Chapter 6 : ระเบิดลูคัสนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องใหม่ในคุกมาเกือบสองวันแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่บอกว่ามีเรื่องต้องการคุยกับตนนั้นหายไปไหน เวลาว่างมีมากมายจนไม่รู้ทำอะไร พอได้ยินพวกโจรคุยกันเขาจึงใช้ถ่านเขียนคำพูดเหล่านั้นลงบนกำแพง เขียนไปเขียนมาก็เริ่มจะตีความหมายได้
“ออกไปได้เมื่อไหร่ ข้าจะเอาหัวไอ้ทหารผมแดงคนนั้นไปฝากหัวหน้า”
“เจ้าคิดว่าหัวหน้าจะอยากได้เรอะ เอาดาบของพวกมันดีกว่า ข้าได้ยินว่าทำจากเหล็กชั้นดี คงขายได้เงินมากมาย”
“ไอ้หมู่บ้านริมแม่น้ำนั่น ได้ข่าวว่ามีของดีเยอะ อุดมสมบูรณ์ที่สุด ผู้หญิงที่นั่น... หัวหน้าต้องชอบแน่”
“ใกล้คืนเดือนดับ แล้ว หึๆ”โจรพวกนั้นพูดถึงหมู่บ้านของมารีหรือเปล่า หรือว่าหมู่บ้านอื่น แต่ดูเหมือนจะวางแผนอะไรกันอยู่ คืนเดือนมืดที่พูดถึงกัน... ก็น่าจะใกล้ถึงแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าทหารดังแว่ว พวกโจรก็ปิดปากเงียบ ปกติแล้วทหารจะเดินผ่านมาตรวจการณ์อยู่บ่อยๆ แต่เพราะเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลูคัสที่นอนเอนหลังอยู่ในตอนแรกจึงลุกขึ้นนั่ง
เสียงลูกกุญแจลั่นดังก้อง ก่อนบานประตูสัมฤทธิ์จะเปิดออกกว้าง
“เลน มารี!” ลูคัสเบิกตาโพลง จากนั้นจึงเห็นว่าคอนราดกับทหารอีกสามนายยืนประกบอยู่ทางด้านหลัง เขายิ้มกว้าง พุ่งเข้าสวมกอดเลนกับมารีทันที “ทุกคนปลอดภัยใช่มั้ย!”
“ถามอะไรน่ะลูคัส พวกข้าสิต้องถามเจ้า” มารีร้องไห้โฮ ส่วนเลนก็กอดเด็กหนุ่มไว้แน่น “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ลูคัสพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ในลำคอ เขาซบใบหน้าลงในอ้อมกอดของทั้งสองคน
“ได้เห็นเจ้าแบบนี้พวกข้าค่อยสบายใจหน่อย” เลนยิ้มบาง “โชคดีที่เขายอมให้เข้ามาหาเจ้าได้”
มารีส่งผ้าห่มสีตุ่นๆ ที่ยัดขนเป็ดขนห่านไว้ข้างในให้เด็กหนุ่มพร้อมกับห่อผ้าใส่อาหาร “ข้าเอาผ้าห่มของเจ้ามาให้ ตายายก็ฝากขนมปังที่เจ้าชอบมา เจ้าวิลน่ะ ร้องไห้จะเป็นจะตาย จะขอตามมาหาเจ้าให้ได้”
“.....”
“พวกข้ารอเจ้าอยู่นะ ทุกคนรอเจ้าอยู่”
เด็กหนุ่มพยักหน้าพลางเม้มปากแน่น กระบอกตาร้อนผ่าวคล้ายมีน้ำตาอุ่นๆ รื้นขึ้นมาเอ่อคลอ “......”
“เอาล่ะ พอแล้ว” คอนราดเอ่ยขึ้น
มารีถลาเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่ม “รักษาตัวให้ดีนะ พวกข้าจะรอเจ้ากลับมา” ก่อนพวกทหารจะเข้ามาฉุดแขนหล่อนกับลูกชายออกไป
ก่อนบานประตูห้องจะปิดลง ลูคัสคว้าแขนองครักษ์หนุ่มไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้แล้วเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะครับ”
คอนราดยิ้มบาง “ขอบคุณท่านคาร์ลเถอะ” จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป
เด็กหนุ่มเผยอริมฝีปากค้าง กะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง
คนคนนั้น? เป็นคนอนุญาตให้มารีกับเลนเข้ามาเยี่ยมเขาได้อย่างนั้นหรือ
มือเรียวเอื้อมไปหยิบผ้าห่มที่มีขนเป็ดขนห่านอยู่ข้างในขึ้นมากอด เขานั่งเหม่ออยู่สักพักก่อนริมฝีปากสีแดงจะคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วเปรยเบาๆ กับตนเอง “ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะ”
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ ลูคัสหลับสบายอยู่บนที่นอนของเขา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเหยี่ยวร้องดังก้อง ส่งผลให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้น ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันของพวกโจร เขารีบจดข้อความที่ได้ยินไว้บนกำแพงแล้วตีความหมาย
“ทางน้ำ... พ่อค้า”
“ทรอย”
“ทั้งหมด... พร้อมแล้ว”
“ได้เวลายืดเส้นยืดสาย”
“กวาดให้เรียบทั้งหมู่บ้าน ภูเขา แม่น้ำสีเลือด”
เสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าสยดสยองดังก้อง ทำให้คนที่ได้ฟังขนลุกซู่
ไอ้พวกโจรวางแผนจะบุกเข้ามาปล้นหมู่บ้านในคืนเดือนมืดเป็นแน่ แต่ว่ามันคือคืนไหนกันล่ะ เขาไม่ได้เห็นทั้งดวงตะวันดวงจันทร์มาหลายวันแล้ว คืนสุดท้ายที่ได้เห็นดวงจันทร์นั่นก็คิดว่าคืนเดือนดับน่าจะมาถึงในอีกสองหรือสามวัน
ลูคัสลุกเดินวนไปวนมาภายในห้องอย่างกระวนกระวาย เขาจะต้องหาวิธีออกไปจากที่นั่นให้ได้ ไม่มีเวลารอให้มีใครเดินหลงมาหาเขา หรือต่อให้เป็นพวกทหารก็คงไม่มีใครใส่ใจคำพูดของเขา
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อาจจะรับฟังและช่วยทุกคนไว้ได้ ทว่าการจะเข้าถึงตัวคนคนนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เพราะเขาเป็นถึงลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
แต่ว่าต่อให้เขาลอบเข้าไปในปราสาทได้ก็ไม่รู้ว่าห้องไหนคือห้องของท่านลอร์ดอยู่ดี
เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงแพลนของปราสาทที่เขาเคยเห็น มันไม่ใช่แพลนที่สมบูรณ์ แล้วตัวปราสาทก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้งตามยุคและผู้เป็นเจ้าของ หากแต่ห้องที่มีกำแพงสองชั้นห้องนั้น อย่างไรก็น่าจะเป็นห้องของเจ้าของปราสาทเป็นแน่ แล้วถ้านั่นเป็นทางลับที่ทำไว้สำหรับหลบหนี อย่างไรทางลับนั้นก็คงไม่เชื่อมไปออกประตูหน้าตรงๆ ส่วนทิศใต้เป็นหน้าผาก็ไม่ได้อีก คงต้องหลบไปทางทิศตะวันตกหรือตะวันออก
เดี๋ยวสิ! วันก่อนที่เขาพบท่านลอร์ดที่ป้อมกำแพงทางทิศตะวันตกนั่น... ข้างล่างไม่มีทหาร มีเพียงคอนราดซึ่งเป็นคนใกล้ชิดที่รู้ว่าท่านลอร์ดอยู่ตรงนั้น บางทีทางเข้าออกทางลับที่ว่าอาจจะอยู่แถวนั้นด้วยเช่นกัน
ขณะที่เดินครุ่นคิดอยู่นั้น ขาเรียวเตะตวัดไปโดนกระสอบหนึ่งล้มลง เขาจึงก้มลงหยิบกระสอบตั้งขึ้น ทว่าสิ่งที่อยู่ในกระสอบทำให้เขาต้องประหลาดใจ “นี่มัน ดินปืน!?”
เท่าที่เคยได้ยินมา ในยุคกลางส่วนใหญ่จะใช้ดินปืนในการทำดอกไม้ไฟ วิธีการใช้ปืนและทำระเบิดยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย จะมีปืนใหญ่ใช้ก็เฉพาะในเมืองสำคัญๆ เช่นกรุงโรม เขาคิดว่าดินปืนพวกนี้อาจจะถูกนำมาเก็บไว้ที่นี่ก่อนส่งต่อไปเมืองอื่นหรืออาจจะได้รับมาเป็นของบรรณาการ แต่พวกทหารที่เพิ่งเดินทางมาประจำที่ปราสาทนี่อาจจะไม่รู้จักกัน หรือไม่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังมีดินปืนหลงเหลืออยู่ที่นี่
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างเชื่องช้า วัสดุภายในห้อง... ก็น่าจะมีพอที่จะทำระเบิดแบบง่ายๆ ได้
ทว่าถ้าจะทำระเบิด มันก็เสี่ยงมากนะ ไอ้ส่วนผสมของดินปืนนี่มีส่วนประกอบอะไรเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แล้วเขาก็เคยทำแต่ในห้องแล็บเสียด้วย
ลูคัสเดินไปตรวจสอบบานประตูสัมฤทธิ์ มันหนาพอดู คงจะไม่พังง่ายๆ แต่ผนังห้องฝั่งที่บานประตูฝังอยู่ทำจากอิฐบล็อก ดูไม่หนาสักเท่าไหร่
ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ “เอาวะ ไม่ลองไม่รู้!” เขาเดินไปหยิบเหยือกดินเผาสำหรับใส่น้ำ เทน้ำออกและเช็ดให้แห้ง กรอกดินปืนใส่เข้าไป ใช้เศษผ้าชุบน้ำมันจากตะเกียงบนโต๊ะเป็นชนวน ยัดถ่านจากในเตาปิดท้ายแล้วเอาผ้ายัดปากเหยือกไว้ให้แน่น คาดเดาจากขนาดเหยือกแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากพอที่จะพังสลักหรือทำให้ผนังอิฐบล็อกเป็นรูโหว่ได้
เด็กหนุ่มจัดวางโต๊ะและเตียงเพื่อเป็นกำบังให้ตัวเองที่อีกมุมห้อง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก นึกถึงครอบครัวแล้วเดินเอาเหยือกไปวางที่ตรงผนังอิฐบล็อก พอจุดชนวนแล้วรีบวิ่งไปหลบหลังกำบัง มือเรียวหยิบผ้าคลุมมาคลุมตัว ปิดตาไว้แน่นพร้อมกับอุดหู หัวใจเต้นระส่ำ ภาวนาให้พระเจ้าอยู่ข้างเขา
ไม่นานก็มีเสียงระเบิดดังก้อง แรงระเบิดทำให้ผนังอิฐบล็อกพังทลายลงมาเล็กน้อย เป็นช่องพอที่จะเอาตัวลอดออกไปได้ แต่แรงระเบิดนั้นก็ทำให้สลักบานประตูสัมฤทธิ์หลุดออกมาด้วย
ฝุ่นควันลอยโขมงภายในห้อง ลูคัสไอแค่กๆ เขาใช้เสื้อปิดปาก วิ่งไปถีบกำแพงอิฐให้พังมากขึ้นแล้วดึงบานประตูออกกว้าง เขาไม่ยังหนีออกไป แต่หลบอยู่หลังบานประตูแทน
เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคาดไว้ พวกทหารรีบวิ่งมาที่ห้อง พอเห็นช่องโหว่ที่บนกำแพงและไม่พบตัวเขาก็รีบรุดกันออกไปตามหาข้างนอก ทางจึงเปิดโล่งให้เขาหลบออกจากคุกไปได้สะดวกขึ้น
ลูคัสชะโงกหน้ามองพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียง มือเรียวหยิบตะเกียงน้ำมันมาถือไว้ จากนั้นจึงย่องออกไปตามทางเดินในคุกอย่างเงียบเชียบที่สุด เขาสบสายตากับพวกโจรทั้งห้าคนโดยบังเอิญ พวกมันจ้องเขาเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ หากวินาทีนี้ลูคัสไม่สนใจอีกแล้ว พอพ้นเขตคุกไปได้ก็รีบรุดไปยังจุดที่เขาเคยพบกับลอร์ดหนุ่ม
ทุกอย่างคือการคะเนทั้งสิ้น แต่มาถึงขั้นนี้เขาก็ถอยไม่ได้แล้ว เมื่อไปถึงป้อมปราสาทเหนือกำแพงม่านตรงจุดที่หมาย เขาเงยหน้าขึ้นมอง บนป้อมมีนายทหารเพียงคนเดียว ส่วนพวกทหารคนอื่นๆ คงกำลังตามหาตัวเขากันอยู่ เด็กหนุ่มยกตะเกียงน้ำมันในมือขึ้นส่องก้อนหินทีละก้อน เมื่อเจอก้อนที่ไม่เหมือนก้อนอื่นและมีตรารูปมังกรสลักไว้เล็กๆ ตรงมุมด้านล่าง เขาจึงใช้มือดันก้อนหินก้อนนั้นไปจนสุดแรง
ได้ผล กำแพงเคลื่อนไปเล็กน้อย เมื่อลองผลักดูก็เปิดเป็นช่องพอให้คนแทรกเข้าไปได้ เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง เขารีบก้าวเข้าไปข้างในแล้วดันกำแพงกลับให้ปิดสนิทเช่นเดิม
ด้านหลังกำแพงเป็นห้องโล่งๆ แคบๆ ห้องหนึ่ง มีเตียงกับโต๊ะไม้ ซึ่งบนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันจุดไว้ แสดงว่าที่นี่ต้องมีคนเฝ้า แต่อาจจะออกไปข้างนอกตอนที่ได้ยินเสียงระเบิด
นัยน์ตาสีเข้มเหลือบไปเห็นผ้าคลุมไหล่คุ้นตา “เหมือนที่คุณคอนราดใช้รึเปล่านะ แต่ช่างมันก่อนเถอะ หาทางไปต่อก่อนดีกว่า” เด็กหนุ่มหันมองไปรอบๆ ในห้องไม่มีประตู แต่มีชั้นหนังสือ เพราะฉะนั้น... “นี่แหละทางเข้า” เขาลองผลักชั้นหนังสือดู พอมันเคลื่อนออกก็รีบมุดเข้าไปทันที
เขาพบอุโมงค์แล้ว มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย เด็กหนุ่มได้แต่ภาวนาให้ตะเกียงน้ำมันอยู่รอดถึงปลายทาง เขาต้องรีบไปให้ถึงก่อนที่คอนราดจะกลับมา
ลูคัสเอามือป้องตะเกียงไว้ สองขาพาเจ้าของวิ่งไปเรื่อยๆ ระยะทางไกลแสนไกลราวกับว่าจะไม่มีวันถึง ยิ่งห่างจากทางเข้าไปมากเท่าไหร่ ความกังวลใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ไม่นานก็เห็นไฟลิบๆ ที่ปลายทาง เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าเขามาถึงทางตันเข้าเสียแล้ว บนกำแพงตรงปลายทางนั้นมีคบเพลิงจุดไว้ให้แสงสว่าง
“อะไรอีกเนี่ย!”
หากเมื่อเข้าไปใกล้กำแพงนั้นก็เห็นว่ามีอีกกำแพงซ้อนกันอยู่ พอเดินเข้าไปก็พบกับบันไดวน ลูคัสยิ้มกว้าง เขารีบไต่บันไดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ชั้นหนึ่ง... ชั้นสอง...” นับไปพลางหอบฮักๆ แต่ในที่สุดเขาก็ไปหยุดอยู่ที่บานประตูห้องที่ชั้นสาม
หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมาจากในอก มือขาวผลักบานประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพบกับทางให้เดินต่อ ที่ตรงสุดปลายทางมีบานประตูอีกบาน ถ้าเขาเดาไม่ผิด นั่นคงจะเป็นบานสุดท้ายแล้ว
ช่องบานประตูมีขนาดไม่ใหญ่มาก อยู่เหนือพื้นขึ้นมาประมาณเข่า เด็กหนุ่มเดาว่าอีกฝั่งคงจะใช้รูปภาพแทนบานประตูเป็นแน่
ลูคัสค่อยๆ แง้มบานประตูเปิดออกแล้วมองเข้าไปภายในห้อง เขาเห็นตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะทำงานยังติดไฟอยู่แต่ก็ให้แสงพอสลัวเท่านั้น ที่ตรงกลางห้องมีเตียงสี่เสาหลังใหญ่ ม่านที่ใช้ขึงยังมัดไว้กับเสา ทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นเงาของคนที่นอนอยู่บนเตียงหลังนั้นได้
ฟันซี่เล็กกัดลงบนกลีบปากอวบอิ่ม เขาหันมองกลับไปทางด้านหลัง คิดว่าอีกไม่นานคอนราดน่าจะตามมาทันแล้ว เวลามีไม่มาก เพราะฉะนั้นต้องใส่เกียร์เดินหน้าต่อเท่านั้น
ขาเรียวพาเจ้าของก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปภายในห้องอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ปล่อยบานประตูปิดลงอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงเดินตรงไปที่เตียง
พอได้เห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงชัดๆ ก็ยิ้มกว้าง ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เขามาถึงที่นี่จนได้ ที่นี่คือห้องของท่านลอร์ดอย่างที่คิดไว้
หละหลวมชะมัด ทหารเฝ้าก็ไม่มี แต่อย่างว่าล่ะนะ ท่านลอร์ดเพิ่งย้ายเข้ามา อะไรคงยังไม่เข้าที่เข้าทางล่ะมั้ง
ลูคัสค่อยๆ ย่องไปที่ข้างเตียงแล้วชะโงกหน้ามองคนที่นอนอยู่ ในใจครุ่นคิดว่าจะปลุกอีกฝ่ายอย่างไรให้ลุกขึ้นมาคุยดีๆ ด้วย หรือจะกระโดดทับไว้ก่อนเลยดีไหม แต่ท่านลอร์ดตัวใหญ่กว่า เขาจะโดนดีดปลิวเสียก่อนหรือเปล่า
มือขาวยื่นออกไปช้าๆ กะว่าจะเขย่าเบาๆ เพื่อเรียกให้ตื่น ทว่าจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นคว้าแขนเขาพร้อมกับกระชากลงไปบนเตียง
“เฮ้ย!”
ลอร์ดหนุ่มพลิกร่างโปร่งให้ลงไปอยู่ใต้ร่างอย่างว่องไว มือข้างหนึ่งกดไหล่เด็กหนุ่มลงกับเตียง อีกข้างคว้าดาบยาวมาพาดไว้บนลำคอระคง “เจ้าต้องการอะไร!” หากเมื่อเห็นใบหน้าของลูคัสก็ชะงัก “ลูคัส”
นัยน์ตาสีเข้มเบิกโพลง “เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณนะ ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกต่างหาก!”
“เจ้าออกมาจากคุกได้ยังไงกัน มาที่นี่ได้ยังไง!”
ลูคัสหลุบตาลงมองสัมผัสของคมดาบที่เย็นเฉียบบนลำคอ ร่างกายแข็งเกร็งไปทั้งร่าง เวลานี้จะกลืนน้ำลายยังไม่กล้าเลย “เอาไอ้นี่ออกไปก่อนได้มั้ย”
คาร์ลประสานสายตากับนัยน์ตาสีเข้มอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเก็บดาบลงในฝักพลางถอนหายใจ “มีอะไร”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวด “คือว่าผมได้ยินพวกโจรในคุกมันคุยกันเรื่องแผนการในคืนเดือนมืด คืนนี้เดือนมืดรึยังครับ”
“ยัง คืนพรุ่งนี้”
ลูคัสถอนหายใจอย่างโล่งอก “ถ้างั้นก็ยังมีเวลา”
“เจ้าฟังพวกมันคุยกันเข้าใจหรือ ทหารของข้าบอกว่าภาษาที่พวกมันใช้แปลกประหลาด ไม่เหมือนภาษาที่คนทั่วไปใช้สักเท่าไหร่”
“พวกมันใช้รหัสครับ สลับคำพูดในประโยค แล้วใช้คำแปลกๆ เสริม ผมนอนฟังพวกมันคุยกันมาหลายวันแล้ว แต่คืนนี้มีเหยี่ยวมาส่งข่าวให้พวกมัน ผมจับใจความได้เป็นบางคำ แต่ก็คิดว่าพวกมันน่าจะพูดถึงแผนการในคืนเดือนมืด มีคำว่า ทางน้ำ... พ่อค้า... ทรอย... ทั้งหมด... พร้อมแล้ว... ได้เวลายืดเส้นยืดสาย... กวาดให้เรียบทุกหมู่บ้าน ภูเขา แม่น้ำสีเลือด”
ลอร์ดหนุ่มชะงักพลางย่นคิ้วเข้าหากัน “เจ้าแน่ใจรึ”
“ผมเสี่ยงตายมาหาคุณถึงนี่ คิดว่าผมจะนึกสนุกแล้วบุกมาเล่นๆ หรือครับ” มือขาวจับท่อนแขนแกร่งแน่น แววตาที่สบประสานกับดวงตาสีฟ้าสั่นไหว “ครั้งนี้พวกมันจะต้องฆ่าคนในเมืองหมดแน่ๆ ชีวิตของทุกคนอยู่ในอันตราย คุณคนเดียวที่ช่วยพวกเขาได้ ได้โปรด...”
เสียงประตูปิดดังก้อง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ารัวๆ อยู่ที่ด้านหลังภาพวาดขนาดใหญ่ ก่อนจะมีเสียงเคาะดังขึ้น “ท่านคาร์ล ลูคัสหลบเข้ามาที่นี่หรือเปล่า”
ลอร์ดหนุ่มผละออกช้าๆ หากขณะที่จะลุกไปยังภาพวาดเขาก็ถูกมือเรียวดึงรั้งไว้
ลูคัสจ้องใบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ “ผมสาบานว่าที่พูดไปคือเรื่องจริง ได้โปรด... เชื่อผมเถอะครับ”
พอคอนราดได้ยินเสียงพูดคุยในห้อง เขาก็ตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านคาร์ล!”
“เขาอยู่ที่นี่” ผู้เป็นนายตอบขณะที่สายตายังคงสบประสานกับเด็กหนุ่ม “บอกทหารไม่ต้องตามหา ส่วนเจ้าไปตามเออร์วิน แล้วไปรอข้าที่ห้องหนังสือ”
“แต่ท่านคาร์ล!”
“ไปรอที่ห้องหนังสือ คอนราด”
องครักษ์หนุ่มที่ด้านหลังภาพนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยอมถอยกลับไปตามคำสั่ง “ขอรับ ท่านคาร์ล”
ภายในห้องเงียบกริบลงทันควัน เมื่อคาร์ลลุกขึ้นจากเตียง เด็กหนุ่มก็รีบลุกตาม
“เอาล่ะ เจ้าบอกสิ่งที่ได้ยินไอ้พวกโจรคุยกันทั้งหมดมาซิ” คาร์ลพูดพร้อมกับเดินไปนั่งลงบนโซฟาในห้อง
ลูคัสเดินตามไปห่างๆ พอลอร์ดหนุ่มนั่งลงก็ยืนเก้ๆ กังๆ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะยืนหัวโด่อยู่อย่างนี้ หรือจะนั่งลง หรือจะต้องคุกเข่าลงก้มศีรษะแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์ หรือจะต้องทำอย่างไร
“ไปนั่งสิ” คาร์ลชี้ไปที่โซฟาอีกตัว
เมื่อนั่งลงแล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มย้อนเล่าคำพูดของพวกโจรทั้งหมดที่พอจะจำได้ให้เจ้าของห้องฟัง “ผมจำได้เท่านี้ล่ะ ที่จริงก็มีอีก แต่คิดว่าไม่สำคัญหรอกมั้ง ผมเขียนที่พวกมันคุยกันไว้บนกำแพงในคุกนั่นล่ะ คุณบอกให้พวกทหารของคุณไปจดมาสิ”
ลอร์ดหนุ่มเท้าแขนลงบนที่วางแขนโซฟา “คืนพรุ่งนี้มีจะกลุ่มพ่อค้านำเรือมาเทียบท่าแบร์กไฮม์ พวกมันอาจจะแฝงตัวเข้ามา”
“ถ้าอย่างนั้น ทรอยที่ว่าก็คงหมายถึงม้าโทรจันสินะ แปลว่าจะปลอมตัวเพื่อลักลอบเข้ามา” ลูคัสพึมพำ
“เจ้ารู้จักด้วยหรือ” คาร์ลเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ จะว่าไป เด็กคนนี้อ่านเขียนหนังสือได้ ซ้ำยังรู้จักเรื่องเล่าในหนังสือหายากเสียด้วย
“ผมเคยอ่านตอนเด็กๆ ม้าไม้กรุงทรอย กลของโอดีสซีอุส ผมเคยไปเที่ยวเมืองทรอยที่ว่านี่ด้วยนะ แต่เหลือแต่ซากแล้วล่ะ”
ลอร์ดหนุ่มจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สายตาคมกริบฉาบไว้ด้วยความเคลือบแคลง
“เอ่อ...” สงสัยเขาจะพูดมากไปเสียแล้ว ลูคัสปิดปากสนิท
“เจ้าหนีออกมาจากคุกได้ถึงสองครั้ง แล้วยังหาทางลับเข้ามาถึงห้องของข้าได้ เจ้าเป็นใคร มาจากไหนกันแน่”
“ผม...” ลูคัสอึกอัก จากนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ “ผมมาจากที่ไกลมากๆ แต่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมเองก็ตอบไม่ได้ เพราะผมก็ไม่รู้ ผมบอกได้แค่ว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณ ไม่ได้คิดร้ายกับใคร”
“คนที่รู้ทางลับเข้ามาที่นี่ มีเพียงข้า เออร์วินและคอนราด เจ้าหามันเจอได้อย่างไร”
“ผมก็เดาเอาน่ะสิ จากวันก่อนที่ผมเจอคุณ แล้วตรงนั้นก็ไม่มีทหาร ผมก็เลยเดาว่าคุณอาจจะออกมาจากตรงไหนสักแห่งแถวนั้น แล้วปกติปราสาทก็มักจะทำทางหนีทีไล่ไว้ให้เจ้าของปราสาทด้วย”
“เจ้าเคยเข้าไปในปราสาทอีกหลายแห่งงั้นหรือ”
“ถ้าผมบอกว่าเคยไปมาเป็นสิบๆ ปราสาทแล้ว คุณจะเชื่อผมมั้ย” เด็กหนุ่มทำเป็นพูดทีเล่นทีจริง หากพอเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วก็คิดว่าไม่ควรจะขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกไปมากกว่านี้ “ล้อเล่นน่ะ ผมอ่านเอาจากหนังสือทั้งนั้นแหละ”
คาร์ลนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ความฉลาดเฉลียวของเด็กหนุ่มคนนี้ หากคิดร้ายก็อาจจะนำอันตรายใหญ่หลวงมาให้เขาได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้าหากอีกฝ่ายมีความซื่อสัตย์และคิดเสียสละเพื่อชาวเมืองของเขา ก็อาจช่วยทำประโยชน์ได้มากมาย
แล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี จะลองเชื่อใจดูสักครั้งดีไหม
“ผมควรจะต้องทำยังไงให้คุณไว้ใจผมมากขึ้น...” ลูคัสพูดไปแล้วก็หยุดกึก ใจนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่ตนเองหลงมาอยู่ในยุคนี้ “ตอนผมมา ผมมาทางห้องหนังสือ ถ้าผมจะกลับ ผมก็อาจจะกลับทางห้องหนังสือได้ ถ้าคุณช่วยพวกชาวเมืองได้แล้ว ผมจะไปจากที่นี่ เพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณจริงๆ ผมแค่ต้องการช่วยเหลือชาวเมืองเท่านั้น แต่ครั้งนี้ขอให้เชื่อ...”
ลอร์ดหนุ่มลุกพรวดจากโซฟา ทำเป็นว่าไม่ได้สนใจคำพูดสุดท้ายของอีกฝ่าย จากนั้นจึงเดินตรงไปยังบานประตูห้อง “เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ถ้าอยากจะนอนพักก็ตามใจ”
“อ้าว แล้วคุณจะไปไหน” ลูคัสลุกวิ่งตามเจ้าของห้องไป พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะออกไปจากห้องก็รีบคว้าแขนเสื้อเอาไว้ “คุณ... คุณครับ ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆ จริงๆ อาจจะพูดมากไปสักหน่อยแต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ผมไม่ใช่คนร้ายจริงๆ เรื่องที่ผมบอกคุณไปทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ได้โปรดเชื่อผม...”
คาร์ลหันกลับมาหาเด็กหนุ่มช้าๆ แล้วลดสายตาลงมองมือเรียวที่จับแขนเสื้อของตน ก่อนจะเคลื่อนสายตาขึ้นมาสบกับดวงตาสีเข้ม “ถ้าอยากให้ข้าเชื่อก็รออยู่ที่นี่เฉยๆ”
ลูคัสชักมือกลับทันที “ครับ แต่ว่าคุณ... คุณจะช่วยพวกชาวเมืองได้ใช่ไหม”
“มันเป็นหน้าที่ของข้า” ลอร์ดหนุ่มพูดแล้วเปิดประตูเดินออกจากห้องไป
*~TBC~*น้องลูคัสช่างร้ายกาจ บุกเข้าห้องปู้จาย! น่าจับถลกกุงเกงตีตูดนัก! /โดนทั่นหลอดเหยียบ
เป็นไงล่ะ ย้ายคุกเขานัก ไม่มีลูกกรง ระเบิดแม่ม... 55555
(เรื่องการทำระเบิดนั้น ฮัสกี้มั่วเอานะคะ กร๊าก โปรดอย่าใส่ใจ)
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะค้า หลงรักทั่นหลอดกับน้องลูคัสหรือยังเอ่ย~
ปล. ขอบคุณคุณmultiver อุตส่าห์แวะมาดันกระทู้ให้เค้าด้วยอ่ะ น่ารักกกก 55555 