[END]แรกพบสบรัก-สบตา ครั้งพิเศษ: คืนสู่วงการ[10-05-60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]แรกพบสบรัก-สบตา ครั้งพิเศษ: คืนสู่วงการ[10-05-60]  (อ่าน 80770 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สบตา ครั้งที่ 4: คชาเป็นตัวอันตราย[2]

สรุปแล้วผมก็แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เกือบจะโดดเรียนกลับมานอนที่หอเดิมอยู่แล้วเชียวถ้าหากว่าเมื่อเช้าไม่ได้นัดกับคชาไว้ว่าตอนเย็นจะไปขนของที่หอผมเพิ่มเติม ผมก็อยากจะปฏิเสธมันอยู่หรอก แต่เห็นท่าทางหัวเสียของมันแล้วก็ไม่อยากจะขัด ไม่ใช่เพราะกลัวมันนะ...แต่โอ้โห แม่งเล่นบ่นเช้าบ่นเย็นกรอกหูอย่างนี้ ผมจะประสาทกินน่ะสิ

“ถ้ามึงมัวลีลานะ กูจะโยนของมึงออกจากระเบียงห้องกูเลยคอยดู”

มึงอย่ามาทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อนเรื่องที่กูจับได้ว่ามึงว้าวเมื่อคืนว่ะ รู้ทันหรอก

แต่ไม่พูด ปล่อยมันเถอะ อยากจะพล่ามอะไรก็ช่างเพราะอันที่จริงที่ทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ก็เป็นเพราะผมเอง ดังนั้นพอตกเย็น ผมก็ไปเจอกับคชาที่หน้าคณะตามที่นัดหมายกันไว้ แล้วพากันไปขนของที่ยังเหลืออยู่ที่ห้องผม ของที่ยังเหลืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหนังสือกับของใช้กระจุกกระจิกอีกนิดหน่อย

...นิดหน่อยพ่อง! มากมายมหาศาลเลยเถอะ!

ตอนมันอยู่ในห้องเฉยๆ มันก็ดูไม่มากแหละ พอขนเท่านั้น โอ้โห นรกเลย มากหรือไม่มาก ดูสีหน้าของคชาตอนนี้ได้เลย มันยกกล่องพลาสติกพร้อมกับก่นด่าผมไปตลอดทางเดินลงบันไดเลยทีเดียว

“ไหนมึงบอกไม่เยอะไงวะ ซื้อมาฝังตัวเองเหรอไอ้เอ๋อ”

ฝังมึงนี่แหละถ้าไม่หุบปากสักที!

ผมที่เดินตามหลังมันอยู่แทบจะเอากล่องพลาสติกในมืออีกกล่องทุ่มใส่หัวมัน ทว่าก็ทำได้แค่คิด ลำพังแค่ยกแล้วเอาลงมาก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว เรื่องทุ่มใส่หัวมันนี่เลิกคิดไปเลย เหนือสิ่งอื่นใด ผมหงุดหงิดเรื่องอื่นมากกว่า

แม่ง! ทำไมหอนี้มันไม่มีลิฟต์วะ!

ตอนมาอยู่ก็อาศัยว่าหอราคาไม่แพงมากไงเลยไม่จำเป็นต้องมีลิฟต์ก็ได้ ตอนย้ายออกนี่นรกเลยทีเดียว กว่าจะขึ้นมา กว่าจะขนลง เล่นเอาหอบกินไปตามๆ กัน สำหรับคชาน่ะไม่เท่าไหร่ ถึงมันจะดูเจ้าสำอางแต่มันก็ออกกำลังกายบ่อย ใช้แรงแค่นี้ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่เดินขึ้นบันไดรอบเดียวก็เหนื่อยแล้ว

ขนกันมาพักใหญ่ ผมก็ต้องขอเวลานอกก่อนเพราะไม่ไหวจริงๆ เสื้อนักศึกษานี่ชุ่มเหงื่อไปหมด ในขณะที่คชาเองก็มีสภาพเหมือนเพิ่งไปวิ่งร้อยเมตรมาเหมือนกัน

“เอ้ามึง เร็วเข้า เหลืออีกสี่กล่อง รีบขนจะได้เสร็จๆ”
“เดี๋ยวก่อนนะคชา เราขอพักอีกแป๊บ” ผมต่อรอง ไม่ไหวจะขึ้นไปตอนนี้จริงๆ หอบแฮ่กเป็นน้องหมาหอบแดดขนาดนี้ ให้ขึ้นไปขนต่อเลยคงจะไม่ไหว

ทว่าพอผมพูดไปอย่างนั้น คชาก็ทำหน้าเบ้ใส่ “อะไรของมึงวะ แค่นี้ทำเป็นสำออย”

ใครจะไปถึกเหมือนมึงล่ะไอ้คชา!

อยากจะด่า แต่ก็สงบปากสงบคำ ผมไม่ใช่พวกชอบต่อล้อต่อเถียงอยู่แล้วด้วย อีกอย่างแค่คชายอมเป็นรูมเมทผม แถมยังมาช่วยขนของ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ผมเลยยืนพักอีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามแผ่นหลังกว้างเข้าไปในหอพักอีกครั้ง

คราวนี้เป็นการขนรอบสุดท้าย... ผมคาดการณ์ว่าจะเป็นอย่างนั้น ของเหลืออีกสี่กล่องไม่ใหญ่มาก คชาเลยเอาซ้อนกันแล้วยกลงมาทีเดียวสองกล่อง เหลืออีกสองให้ผมขน ผมก็เลยทำตามมัน ทว่า...ไม่สามารถว่ะครับ ก็ไอ้กล่องที่คชามันยกน่ะมีแต่เสื้อผ้า ส่วนที่มันเหลือทิ้งไว้ให้ผมแม่งมีแต่หนังสือ ไอ้คชาเดินตัวปลิวไปโน่นแล้ว มีแค่ผมที่ต้องค่อยๆ ยกลงมาทีละกล่อง ยกไปก็พึมพำด่ามันในใจไปด้วย

แทนที่จะยกกล่องหนังสือไปแล้วให้ผมยกกล่องเสื้อผ้า ไอ้นี่แม่งกวนแท้!

แบกไปก็ก่นด่าคชาในใจไปตลอดทาง ทว่าระหว่างที่กำลังไต่ลงบันได จู่ๆ หูผมก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“เอ้า มาวิน”
เสียงคุ้นหูมาก แต่จะหันไปมองก็ไม่ถนัด ได้แต่หยุดยืนอยู่อย่างนั้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะรีบเดินเข้ามาหาผม แย่งเอากล่องในมือไปช่วยถือ
“จะย้ายหอเหรอ”
หันไปมองปุ๊บก็ต้องผงะ

พี่ชิณณ์!

พี่ชิณณ์ยิ้มหวาน จังหวะที่ผมสบตาเขาพอดี แว้บ!...เสื้อผ้าหายไปแล้ว โฮรว! พี่ชิณณ์ในชุดนักศึกษาช่วยผมถือกล่องหนังสือกลายเป็นชีเปลือยไปแล้วเรียบร้อย ช่วงบนมีกล่องหนังสือบังอยู่ แต่ช่วงล่างนี่ต่องแต่งโตงเตงจนผมเหลือบมองไปทางอื่นแทบไม่ทัน

“เอ้า พี่ถามน่ะ ไม่ได้ยินเหรอหืม?” พอเห็นว่าผมไม่ตอบก็เลยถามซ้ำอีก
ผมพยักหน้ารับ “ครับ แล้วพี่ชิณณ์มาทำอะไร”

ถูกถามกลับบ้าง พี่ชิณณ์ก็ร้องอ๋อเสียงดัง “พี่แวะมาเอาของที่ห้องหลานรหัสน่ะ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามาวินก็อยู่หอนี้”
ผมไม่รู้จะตอบกลับยังไงจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อขอกล่องหนังสือในมือของพี่ชิณณ์คืน
“เดี๋ยวผมถือลงไปเองก็ได้ครับ” พูดอย่างนี้เพราะคิดว่าพี่ชิณณ์คงจะช่วยผมถือลงไป

แล้วก็จริงอย่างที่คาดคิดไว้ซะด้วยเพราะพี่ชิณณ์ขยับตัวหลบแล้วหัวเราะเล็กน้อย
“เดี๋ยวพี่ช่วยเอาลงไปให้ มาวินขึ้นไปขนที่เหลือเถอะ”
“แต่ว่า...” ผมกำลังจะแย้ง
“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจ ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ มาวินจะได้ไม่ต้องเหนื่อยด้วย เหงื่อท่วมแล้วเราน่ะ” พี่ชิณณ์ก็สวนมาอีก

คือกูไม่ได้เกรงใจมึง กูแค่ไม่อยากเห็นป๋องแป๋งโอเคไหม!?

แล้วยังไงล่ะ จะให้พูดเหรอว่า ‘พี่ชิณณ์ครับ ไปไหนก็ไปเถอะ กระเปี๊ยวพี่จะทำตาผมบอดแล้ว’ มันก็ไม่ใช่ปะ ผมก็เลยได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงักไป ถอนหายใจออกมาก่อนจะบอก

“คชารออยู่หน้าหอนะครับ พี่ชิณณ์เอาไปไว้ในรถหมอนั่นได้เลย”
พี่ชิณณ์รับคำเล็กน้อยก่อนจะเดินลงไป ปล่อยให้ผมขึ้นไปเอาของที่เหลืออยู่ ทว่าที่ผมเห็นว่าพี่ชิณณ์เดินลงไปน่ะ เขาไม่ได้ไปก่อนนะ ลงไปยืนรออยู่ที่ล็อบบี้หอชั้นล่างแล้วออกไปข้างนอกพร้อมกับผม ไม่รู้เหมือนกันว่ารอทำไม แต่เอาเป็นว่าดีแล้วล่ะที่เขามาช่วยถึงตอนแรกผมจะไม่อยากให้เขามาอยู่ใกล้สักเท่าไหร่ก็เถอะ

และพอเดินออกมาหาคชาที่รถ มันก็ออกปากบ่นผมทันที
“ทำบ้าอะไรของมึงอยู่วะ รู้ไหมว่ากูรอ...ฮิคารุซามะ...”

ไอ้ที่กำลังอ้าปากด่าๆ อยู่ก็นิ่งค้างไปเลยเมื่อเห็นหน้าพี่ชิณณ์ และยิ่งเลิ่กลั่กมากขึ้นไปใหญ่พอพี่ชิณณ์ร้องทัก
“สวัสดีคชา”

เท่านั้นแหละ มันยกมือขึ้นพนมตรงหน้าอก ริมฝีปากสั่นระริกทันควัน
“วะ...หวัดดีครับฮิคา...พี่ชิณณ์” เหมือนปลายประโยคจะระลึกขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้าคือใคร
พี่ชิณณ์ไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่นักนอกจากจะร้องถาม “แล้วกล่องนี่เอาไว้ท้ายรถได้เลยหรือเปล่า”
“ดะ...ได้เลยครับ”
คชารีบปรี่มารับกล่องจากมือพี่ชิณณ์ไปวางที่ท้ายรถอย่างรวดเร็ว ขณะที่พี่ชิณณ์หันมารับกล่องอีกใบจากผม
“ส่งมาสิมาวิน พี่ช่วยถือ”
ผมก็ไม่อยากจะส่งให้หรอกแต่เห็นเขาพยักเพยิดพร้อมส่งยิ้มหวานแล้วก็ยื่นให้แต่โดยดี ตอนนี้แหละที่เริ่มเกรงใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่ได้เกรงใจพี่ชิณณ์นะ

เกรงใจไอ้คชามันเนี่ย จ้องเขม็งจนจะกินหัวกูอยู่แล้ว!

บอกเลยว่าไม่ได้อ่อยพี่ชิณณ์สักนิด ที่ทำไปเพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไงล้วนๆ ไอ้คชาก็มองจนเบ้าตาแทบถลน ส่วนพี่ชิณณ์ก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอากล่องใบสุดท้ายไปวางได้ก็หันมาถามผมอีก
“แล้วนี่จะย้ายไปที่ไหนเหรอ ให้พี่ไปช่วยขนไหม ว่างพอดี”
แวบหนึ่งผมคิดว่าควรปฏิเสธ แต่พอเห็นคชาขยิบตาส่งให้เป็นพัลวันแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตกลงกับมันว่ายังไงจึงรีบตอบรับไป
“ดีเลยครับ ผมกับคชาขนกันตั้งหลายรอบกว่าจะเสร็จ ได้พี่ชิณณ์มาช่วยคงจะดี” พลางทำหน้าตาระรื่นสุดชีวิต

บอกเลยว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยระริกระรี้อย่างนี้มาก่อน แต่มันได้ผลเพราะหลังจากที่ผมทำอย่างนั้น พี่ชิณณ์ก็ยิ้มกว้าง หันไปหาคชาอย่างรวดเร็ว
“งั้นพี่ขอติดรถไปด้วยนะครับคชา”
คชาเก็บความระริกระรี้ไม่อยู่เหมือนกัน หูหางสะบัดสะโบก รีบพยักหน้ารับ
“งั้นขึ้นรถเลยครับ ไปที่หอผมกัน”

ประหนึ่งชวนพี่ชิณณ์ไปทำเรื่องอย่างว่าก็ไม่ปาน ผมไม่อยากขัดมันหรอก ได้แต่เดินเตาะแตะไปเปิดประตูรถทางด้านหลัง ปล่อยให้พี่ชิณณ์ไปนั่งข้างคชาที่ทำหน้าที่ขับรถอย่างรู้งาน ทว่าพอเปิดประตูรถปุ๊บ ผมก็ต้องชะงักปั๊บ

ตายหอง ข้างหลังมีพวกกล่องโน่นนี่นั่นเต็มไปหมดจนไม่มีที่นั่ง

แล้วกูจะไปนั่งตรงไหนดีวะเนี่ย!?

คิดไปแป๊บนึงก่อนตัดสินใจว่าจะเรียกมอเตอร์ไซค์วินนั่งตามไป หากแต่พี่ชิณณ์ดันมาเห็นเสียก่อน
“เอ้า ข้างหลังไม่มีที่นั่งนี่”
คำพูดนี้ทำเอาคชาหันมาสนใจผมเช่นกัน ก่อนจะสบตาผมราวกับข่มขู่ว่าให้ปฏิเสธ ซึ่งผมก็ปฏิเสธอย่างไม่รีรอ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเรียกรถตามไป”

คชาพยักหน้าช้าๆ คล้ายกับกำลังบอกว่า ‘ดีแล้ว ทำถูกต้อง’ เพราะมันเป็นการเปิดโอกาสให้คชากับพี่ชิณณ์ไดอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ทว่าพี่ชิณณ์ไม่ตอบรับข้อเสนอนั้น

“ไม่ต้องหรอก ไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับว่าพี่มาแย่งที่ของมาวินเลยน่ะสิ นั่งตักกันไปก็ได้ มาวินตัวเล็ก พี่ไม่หนักหรอก”
พูดมาอย่างนี้ผมก็กระอักกระอ่วนใจ มองหน้าคชาอย่างขอตัวช่วย แต่ไอ้บ้านั่นกลับเอาแต่มองผมตาขวาง ส่ายหน้าพรึ่บพรั่บให้ผมปฏิเสธอีก

เออ ปฏิเสธก็ปฏิเสธวะ กูก็ไม่อยากจะนั่งตักพี่ชิณณ์เหมือนกัน

“พี่ชิณณ์อย่าคิดมากเลย ไปกับคชาเถอะ ผมไปเองได้ เดี๋ยวไปเจอกันที่หอครับ”
แต่พี่ชิณณ์ดื้อกว่าที่คิด ไม่ยอมไม่พอ ยังจะคว้าข้อมือผมที่กำลังจะเดินหนีไปจับอีก
“ถ้ามาวินไปเอง พี่ก็จะไปกับมาวินด้วย ให้คชาขับรถไปรอที่หอก่อนเนอะ”

มึงจะมาพูดเองเออเองไม่ได้นะเว้ยไอ้พี่ชิณณ์ โน่น! ดูหน้าไอ้คชาโน่น จะกินหัวกูอยู่แล้ว!

ถลึงตาแทบถลนใส่ผม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจเมื่อเห็นว่าพี่ชิณณ์หันไปบอกมันเป็นที่เรียบร้อย
“ไว้เจอกันที่หอนะครับคชา”

เฮ้ยๆ เดี๋ยว! กูยังไม่ได้ตกลงปลงใจด้วยสักนิด!

และไอ้คชาก็ไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนั้น เห็นผมโดนลากไป มันก็รีบโพล่งถาม
“พี่ชิณณ์ขับรถเป็นไหมครับ”
พี่ชิณณ์ชะงัก หันไปมอง “เป็นครับ”
“งั้นพี่ชิณณ์มาขับ ผมนั่งข้าง ส่วนมาวินนั่งตักผม”

ผมอ้าปากค้างมากกว่าเดิมไปอีก

รู้อยู่หรอกว่ามันอยากใกล้ชิดพี่ชิณณ์ ไม่อยากให้พี่ชิณณ์ไปไหนมาไหนกับผมเพียงลำพัง

แต่มึงจะมาหึงหวงพี่ชิณณ์แล้วทำแบบนี้กับกูไม่ได้!

แล้วผมปฏิเสธได้ไหมล่ะ? หึ! ไม่ได้! แค่พี่ชิณณ์ได้ยินมันพูดอย่างนั้นก็ตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
“เอาสิ แบบนี้ดีกว่าเนอะ”
ดีกับผีอะไรล่ะ!
“ผมว่าเดี๋ยวผมไป...”
“กุญแจรถครับ พี่ชิณณ์มาขับเลย” ไม่ทันจะได้แย้งอะไร คชาก็จัดการเอากุญแจรถส่งให้พี่ชิณณ์แล้วสอดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อะไรไม่ว่า ลากผมเข้าไปนั่งตักมันด้วย

ผมขืนตัวเล็กน้อยด้วยไม่อยากให้พี่ชิณณ์ผิดสังเกต แต่ก็ต้องผ่อนแรงเมื่อถูกคชากระซิบกระซาบใส่
“ตกลงจะไม่เป็นแล้วใช่ไหมรูมเมทกูเนี่ย”

ว่ามาอย่างนี้ผมก็ต้องยอมสิครับ เข้ามาในรถอย่างว่าง่ายก่อนจะค่อยๆ หย่อนก้นลงบนตักมัน หย่อนไป เกร็งไป บอกเลยว่าไม่กล้านั่งเต็มก้น คชาก็คงไม่อยากให้ผมเอาก้นไปสัมผัสกับหน้าขามันเช่นกัน มันเลยแสร้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ผมเกร็งตัวไว้จนตะคริวจะขึ้น มีพี่ชิณณ์ที่สังเกตเห็นจึงหันมาหัวเราะน้อยๆ

“เฮ้ย เพื่อนกัน นั่งตักกันแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก นั่งลงไปเลยมาวิน”
พูดไม่พอ ยื่นมือมาดึงแขนผมให้นั่งลงไปเต็มๆ เป็นที่เรียบร้อย จังหวะที่ผมทิ้งตัวลง คชาถึงกับร้องเฮ้ยออกมาเสียงดัง เหลือบไปมองก็เห็นมันทำหน้าตากินเลือดกินเนื้อใส่ หากแต่พอพี่ชิณณ์พูด มันก็รีบทำหน้าดี๊ด๊าทันควัน
“เห็นไหม คชาไม่ว่าอะไรซะหน่อย นั่งเต็มๆ ก้นจะดีกว่านะ เวลาพี่เบรกจะได้ไม่หัวทิ่ม เนอะคชา”
“ครับ นั่งลงมาเต็มๆ ดีกว่า”

ยิ้มระรื่นตอบรับพี่ชิณณ์เป็นปี่เป็นขลุ่ยทีเดียว ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ลอบถอนหายใจออกมาด้วยขณะที่พี่ชิณณ์สตาร์ตรถออกตัว
“คชาเกาะเอวมาวินไว้หน่อยก็ดีนะ พี่ขับรถไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ กลัวมาวินจะพุ่งทะลุกระจกน่ะ”

พูดเหมือนพูดเล่นนะ แต่ไม่ใช่เลย พูดจริง เพราะหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นจบไม่ทันไร พี่ชิณณ์แม่งก็ขับรถขึ้นลูกระนาดบนถนนชนิดไม่เบรก ทำเอาผมพุ่งไปข้างหน้าก่อนที่หัวจะโหม่งเข้ากับกระจกเต็มแรง พี่ชิณณ์ทำหน้าตกใจ หันมาขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไรหรือเปล่ามาวิน เจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบตอบกลับ มือยกขึ้นลูบหัวตรงที่โดนกระแทกป้อยๆ

ให้ตาย...หัวกระแทกอีกแล้ว กูจะสบตาใครแล้วเห็นเครื่องในไหมเนี่ยคราวนี้

ดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น สบตาพี่ชิณณ์ก็ยังเห็นแค่ร่างเปลือยเหมือนเดิม แต่ที่น่าตกใจก็คือพอพี่ชิณณ์ส่งสายตามาให้ผมด้วยความเป็นห่วง คชาก็ส่งเสียงฟึดฟัดออกมาก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างคว้าเอวผมให้ขยับเข้ามาใกล้ พลันตวัดแขนข้างหนึ่งมาโอบรอบเอวผมไว้

ดะ...เดี๋ยว! กอด! มันกอดเอวผม!

“ทีนี้ก็นั่งดีๆ หน่อย” จากนั้นมันก็ว่าสั้นๆ ในขณะที่ผมนั่งตัวเกร็งกว่าเดิม

นะโมพุธโธ...ขอให้อยู่รอดปลอดภัย ขอให้มันไม่เปลี่ยนใจจากพี่ชิณณ์มาเป็นผม

คชาแม่งโคตรเป็นตัวอันตรายเลย ทำแบบนี้เสียวสันหลังนะเว้ย!
------------------------------
กลับมาอัพแล้วค่ะ มีเปลี่ยนชื่อตอนนิดหน่อย 555
เรื่องนี้จะทยอยมาเรื่อยๆ นะคะ รอกันนิดนึง
ขออภัยที่ปล่อยให้รอนาน จะกลับมาเขียนจริงๆ จังๆ แล้ว XD

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ความหึงหวงของคชาตลกดี หวงพี่ชิณณ์ แต่แสดงออกเหมือนจะหวงอีกคน ฮา

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
คชา.....//มองบน

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ตลกคชา5555
พี่ชิณณ์ต้องเป็นตัวช่วยที่ทำให้ทั้งมาวินกับคชาใกล้ชิดกันมากขึ้นแน่ๆเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อิหลั่กอิเหรื่อ คชา มาวิน
พี่ชินณ์ อารมณ์ดี ขับรถของคชา
สรุปพี่ขับรถเป็นหรือไม่เป็น
เล่นไม่ผ่อนความเร็ว ตอนเจอลูกระนาดเลย
เหมือนพี่ชินณ์ แอบๆแกล้ง คชา มาวินปะเนี่ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สบตา ครั้งที่ 5: ความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง

นั่งเกร็งไปตลอดทาง ทั้งที่ระยะทางจากหอเดิมไปยังหอของคชาอยู่ห่างกันแค่หน้ามอกับหลังมอแท้ๆ แต่ผมรู้สึกราวกับว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน แล้วไอ้พี่ชิณณ์นะ คำว่าขับรถเป็นของเขาไม่ได้หมายความว่าขับรถได้ดีเลยแม้แต่น้อย แม่งมีลูกระนาดกี่ลูก ขับพุ่งทะยานเหินฟ้าทุกลูก แล้วผมที่นั่งตักคชาอยู่ก็กระเด้งกระดอนไปตามแรงเหวี่ยงอย่างไม่อาจหาที่ยึดได้

ผมหาที่ยึดไม่ได้ แต่แขนของคชายึดอยู่ที่เอว...

ยึดไม่พอ ออกแรงกอดด้วยตอนเห็นผมกระเด้งตัวลอย ก้นผมกับเป้ามันงี้แทบจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ฮู้ยยย... ขนลุกไปตั้งแต่หัวยันหาง ดีที่มาถึงหอคชาได้อย่างสวัสดิภาพแม้ว่าก้นจะชาไปบ้างก็ตาม แต่เอาเป็นว่าผมมาถึงในสภาพครบสามสิบสองประการก็แล้วกัน

และการที่ให้พี่ชิณณ์มาช่วยขนของมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกไม่น้อย เพราะนอกจากจะไม่เหนื่อยมากแล้ว พี่ชิณณ์ยังชวนผมคุยไปเรื่อยเปื่อยทำให้ผมผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ต่างกับตอนอยู่กับคชาที่เอาแต่ทำให้ผมหัวเสีย

อย่างว่าแหละนะ พี่ชิณณ์เป็นคนอัธยาศัยดีนี่

กระทั่งขนกล่องสัมภาระของผมทั้งหมดขึ้นมาที่ห้องของคชาจนครบ ผมก็ออกปากชวนพี่ชิณณ์ให้นั่งพัก ดื่มน้ำดื่มท่าในห้องของคชาก่อน ซึ่งคชาก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่เห็นพี่ชิณณ์ยังอยู่ แถมยังชูนิ้วโป้งให้ผมเป็นเชิงบอกว่า ‘ทำได้ดีมากอีกด้วย’

กูชวนตามมารยาทไหม เขาอุตส่าห์ช่วยขนจนเหงื่อซ่ก จะไล่ให้กลับไปเลยก็ยังไงอยู่ ที่แน่ๆ คือไม่ได้ชวนเพราะจะเป็นนางนกต่อให้มึงสักนิด!

แต่ผมไม่อยากจะสนใจนักเพราะหลังจากนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผมแล้ว เป็นหน้าที่ของคชาที่ต้องดูแลพี่ชิณณ์ แล้วดูท่าทางมันก็ไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งการเทคแคร์แขกของมันด้วย เห็นมันขนขนมนมเนยจากตู้เย็นมาให้พี่ชิณณ์ที่นั่งอยู่บนโซฟากิน พร้อมกับชวนคุยโน่นนี่นั่น ผมก็ปลีกตัวออกมา ตั้งใจว่าจะจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ก่อน

มือคว้ากล่องเสื้อผ้ามาใบหนึ่ง เปิดออกแล้วยกเสื้อผ้าที่พับเป็นระเบียบเรียบร้อยข้างในออกมาวางบนเตียงเป็นตั้ง แยกเสื้อกับกางเกงอย่างละกอง เตรียมจะเรียงเข้าตู้

ทว่าการคัดแยกเสื้อผ้าของผมก็ต้องมีอันถูกรบกวนจนได้เมื่อจู่ๆ พี่ชิณณ์ที่อยู่ในโซนห้องนั่งเล่นเดินเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างผม

“จะเอาเสื้อผ้าใส่ตู้เหรอ”
ผมหันไปมองพลันพยักหน้า “ครับ”
“ให้พี่ช่วยไหม”
คิดอยู่แล้วว่าเดี๋ยวพี่ชิณณ์จะต้องเสนอตัว ผมเลยเตรียมจะหันไปบอกว่าไม่ต้อง แต่ไม่ทันแล้ว พี่ชิณณ์เอากล่องเสื้อผ้าอีกใบมาเปิดเป็นที่เรียบร้อย แถมกล่องนั้นยังเป็น...
“เอากางเกงในไว้ไหนดี”

โอ๊ย! ไอ้พี่ชิณณ์ มึงอย่าวุ่นวายได้ไหม!

ไม่ถามอย่างเดียว ยกตั้งกางเกงในผมไว้ในมือแล้วเป็นที่เรียบร้อย ผมเห็นแล้วก็หน้าร้อนวูบเลยทีเดียว ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดโชว์กางเกงในโดยไม่รู้สึกอะไรนะเว้ย!

ผมเลยรีบพุ่งไปแย่งตั้งกางเกงในนั้นมาจากมือคนตรงหน้าพลางว่าเร็วๆ
“พี่ชิณณ์นั่งเฉยๆ เถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
พี่ชิณณ์หัวเราะกับท่าทางประดักประเดิดของผม ก่อนจะพูดออกมาอีก
“เอาน่า เดี๋ยวพี่ช่วย ไม่ต้องอายหรอก”

มึงไม่มีสิทธิ์มาพูดอย่างนี้นะเว้ย!

จังหวะเดียวกับที่คชาเดินเข้ามาพอดี เห็นผมกับพี่ชิณณ์นั่งอยู่ด้วยกันก็เอ่ยปากถาม
“ช่วยไอ้เอ๋อจัดเสื้อผ้าเหรอครับ”

ดูมัน พูดกับพี่ชิณณ์ซะเพราะแต่ยังเรียกผมด้วยสรรพนามไม่รื่นหูเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตาเก็บกางเกงในของตัวเองไปซ่อนอยู่อีกมุม ปล่อยให้พี่ชิณณ์พยักหน้ารับ

“อื้ม คชาก็มาช่วยด้วยสิ จะได้เสร็จเร็วๆ”

มึงวุ่นวายคนเดียวไม่พอ ยังจะชวนไอ้เวรนั่นมาวุ่นวายอีกเหรอ!?

ผมนี่โคตรอยากจะออกปากไล่เลย แล้วก็เดาได้ด้วยว่าคชาก็คงจะไม่อยากมาช่วยผมหรอก แต่เพราะพี่ชิณณ์ชวนไง มันก็เลยทิ้งตัวลงนั่งร่วมวงอย่างช่วยไม่ได้
“มีอะไรให้กูช่วยล่ะ” แล้วมันก็เอ่ยปากถามผม
ผมกำลังจะตอบว่าไม่มี แต่พี่ชิณณ์ก็สวนขึ้นมาก่อน
“คชาพูดจาไม่เพราะเลย” มองหน้าคชาเล็กน้อยด้วย ทำเอาคชาเหวอไปเลย “พูดมึงๆ กูๆ กับมาวินตลอดเลยเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” อึกอักไปทันตา เหลือบมองผมอย่างขอความช่วยเหลือด้วย

ตอนนี้แหละที่ผมเห็นว่าพี่ชิณณ์มีประโยชน์ล่ะ

สมน้ำหน้ามึงไอ้คชา กูบอกแล้วว่าให้รู้จักพูดเพราะๆ ก็ไม่เชื่อ คะแนนติดลบแน่มึง!

“ก็...ครับ” เพราะผมไม่ช่วย สุดท้ายมันก็ต้องยอมรับไป หน้างี้เสียไปเลย
พี่ชิณณ์ยิ้มน้อยๆ “เพื่อนสนิทกันนี่เนอะ จะพูดมึงกูกันก็ไม่แปลก”
คราวนี้คชาพอจะยิ้มออกมาบ้าง
“แต่ถ้าใช้คำพูดแบบมาวิน คชาจะดูมีเสน่ห์มากกว่านี้ขึ้นเยอะเลยนะ” หมายถึงเรียกแทนตัวเองว่า ‘เรา’ เรียกแทนอีกฝ่ายว่า ‘นาย’

คชาหน้าเจื่อนไปอีกระลอก ส่งสายตาให้ผมรัวๆ ว่าให้พูดอะไรหน่อย แต่ผมไม่พูดหรอกเพราะผมเองก็เคยตกลงกับมันแล้วว่าให้พูดกับผมเพราะๆ ไม่ต้องเพราะมากก็ได้ เอาแค่ฟังแล้วรื่นหูก็พอ ดีซะอีกที่พี่ชิณณ์เป็นคนพูด คชามันน่าจะเชื่อฟังกว่าที่ผมพูด ก็มันต้องสร้างภาพลักษณ์ให้พี่ชิณณ์มองว่ามันเพอร์เฟ็กต์ไปทุกด้านนี่นา

แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อมันพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วถามผมขึ้นอีกครั้ง
“มาวิน มีอะไรให้เราช่วยไหม”

หวายยย ไอ้คนสร้างภาพ!

ผมแอบหัวเราะในใจรัวๆ เลยขณะที่พี่ชิณณ์ยิ้มกว้าง
“พูดอย่างนี้ดูมีเสน่ห์กว่าอีก”
คราวนี้คชายิ้มออกมาบ้าง มันคงหวังว่าพี่ชิณณ์จะมองว่ามันมีเสน่ห์ล่ะมั้ง
ผมไม่ได้ใส่ใจนัก นอกจากตอบคำถามของมันไปตามเรื่อง
“ไม่เป็นไร เราทำเองได้”
“ให้คชากับพี่ช่วยเถอะมาวิน จะได้เสร็จเร็วๆ นะ” คราวนี้พี่ชิณณ์เป็นคนพูดโดยมีคชาเสริม
“นั่นดิ ให้กู...เราช่วยเถอะ จะได้เสร็จๆ” พูดไปก็ย่นคิ้วไป หน้าตาบูดเบี้ยวคล้ายกับว่าฝืนใจเต็มทน แต่รอยยิ้มของพี่ชิณณ์ก็ทำให้มันต้องกล้ำกลืน

ผมเห็นแล้วก็อึดอัดขึ้นมาประหลาดๆ เลยตัดบทให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจัดการเอง นายพาพี่ชิณณ์ไปหาอะไรกินเถอะ เย็นมากแล้ว พี่ชิณณ์น่าจะหิวแล้วล่ะ”
ไล่ให้พวกมันไปหาอะไรยาไส้แม่งเลย คชาถึงกับเบิกตาโตที่ผมพูดเปิดโอกาสให้ พลันเหลือบมองพี่ชิณณ์อย่างรวดเร็วด้วยลุ้นระทึกว่าอีกฝ่ายจะตอบอย่างไร
“หิวน่ะใช่แต่พี่อยากให้มาวินไปด้วย พี่ว่าพี่ช่วยมาวินให้เสร็จเร็วๆ ดีกว่า จะได้ไปกินข้าวด้วยกัน”
พี่ชิณณ์ก็คือพี่ชิณณ์ นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังจะเสนอหน้ามาคว้าตั้งเสื้อผ้าของผมที่อยู่บนเตียงไปถือไว้อีก ผมถอนหายใจออกมาราวกับยอมแพ้
“ก็ได้ครับ งั้นพี่ชิณณ์เอาไปไว้ในตู้นี้นะ”

คชาฮึดฮัดเล็กน้อยคล้ายกับว่าขัดใจที่แผนการไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ พี่ชิณณ์รั้นขนาดนี้ ผมก็ลำบากใจที่จะปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกัน

ทว่า...การยินยอมให้พี่ชิณณ์ช่วยนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ผมเพิ่งรู้สึกตัวก็ตอนที่พี่ชิณณ์ลุกขึ้น ตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่คชาแบ่งให้ผมใช้ ก่อนที่ในเสี้ยววินาทีนั้นผมจะนึกขึ้นได้ว่าข้างในตู้มันมีอะไรอยู่

ปะ...โปสเตอร์ฮิคารุซามะกับห่อหมกของเขา!

พี่ชิณณ์! เดี๋ยว!

คชาก็นึกขึ้นได้ในตอนนี้เหมือนกัน มองหน้าผมด้วยสีหน้าตกใจ หันไปหาพี่ชิณณ์เตรียมจะห้ามกันอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันแล้ว พี่ชิณณ์เปิดประตูตู้เป็นที่เรียบร้อย ก่อนเขาจะนิ่งงันไปเมื่อโปสเตอร์ขนาดเกือบเท่าคนจริงที่แปะอยู่ในตู้ปรากฎให้เห็นอย่างอล่างฉ่าง

แค่โปสเตอร์อย่างเดียวคงยังไม่สาแก่ใจ ยังมีบรรดาซีดีและข้าวของลิมิเต็ดอิดิชันด้านในนั้นอีก แน่นอนว่ารวมถึงไอ้หมอนข้างฮิคารุที่คชาเอาไปซ่อนไว้ก่อนที่พี่ชิณณ์จะเข้ามาในห้องนอนด้วย

พี่ชิณณ์นิ่งงัน สีหน้าตกตะลึงไม่ใช่น้อยก่อนจะขยับริมฝีปาก
“นี่มัน...”

แล้วก็เงียบไป ปล่อยให้ผมกับคชาหน้าซีด เหงื่อเม็ดเป้งไหลเป็นน้ำตกเจ็ดสาวน้อยทันที

หมดกันภาพลักษณ์ของไอ้คชา ลาก่อน มึงมาได้แค่นี้...

ผมอดสงสารมันไม่ได้เลยที่ความลับของมันถูกเปิดเผยอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทว่าผมกลับคิดผิดเพราะพี่ชิณณ์ไม่ได้คิดว่าของพวกนั้นเป็นของคชา แต่คิดว่ามันเป็นของ...
“มาวินชอบอะไรแบบนี้เหรอ”

เป็นของผม!

โอ๊ย! เรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!

“มาวินเป็นเกย์งั้นเหรอ” พี่ชิณณ์หันมาถามอีกเพื่อความแน่ใจ
ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลย ลืมคิดไปนิดว่าก่อนหน้าผมบอกว่าให้เอาเสื้อผ้าผมไปไว้ในตู้นั้น จึงไม่แปลกถ้าพี่ชิณณ์จะเข้าใจว่าข้าวของข้างในตู้เป็นของผม

ถูกถามมาอย่างนี้ผมก็ได้แต่อึกอัก ส่วนคชา พอเห็นว่าความเข้าใจผิดมาตกลงที่ผมแล้ว มันก็ได้ทีแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ ครางออกมา

“นายเป็นเกย์เหรอเนี่ย ทำไมไม่เคยเห็นบอกเราเลย”

มึงไม่ต้องมาพูดสุภาพกับกูเลย ของมึงทั้งนั้นแหละไอ้คชา!

เผาแม่ง! จะเผาทิ้งให้หมด!

อยากจะเผาสมบัติของมันทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าหากว่าพี่ชิณณ์ไม่โน้มตัวเอาเสื้อผ้าผมเข้าไปวางบนที่ว่างในตู้ ก่อนจะผละออกมา
“ตู้ไม่ค่อยมีที่ว่างเลยเนอะ มิน่าทำไมมาวินถึงไม่อยากให้พี่ช่วยจัด ของเยอะอย่างนี้นี่เอง” หันมาพูดหน้าระรื่นใส่ผมอีก
ผมก็ไปต่อไม่ถูกเลย ได้แต่พยักหน้ารับไปเจื่อนๆ เท่านั้น
“ครับ พี่ชิณณ์กลับไปเถอะ ไม่ต้องช่วยผมหรอก” ออกปากไล่ด้วย

คือไม่ไหวแล้ว สงสารตัวเองเต็มทนเพราะนอกจากจะต้องเห็นพี่ชิณณ์แก้ผ้าเนื้อตัวเปล่าเปลือยตลอดเวลาแล้ว ยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์โรคจิตที่มีรสนิยมแปลกๆ ด้วย ป่านนี้พี่ชิณณ์จะสังเกตหรือยังนะว่าฮิคารุซามะอะไรนี่หน้าตาคล้ายตัวเอง?
ไม่ต้องถามเขาก็ได้คำตอบเมื่อจู่ๆ พี่ชิณณ์ก็พูดขึ้นมา
“ว่าแต่ผู้ชายคนนี้หน้าตาคล้ายพี่เนอะ”

นั่นไง! เอาแล้วมึงเอ๊ย!

“ถึงว่าทำไมมาวินทำตัวน่ารักกับพี่จัง”

ไม่ใช่เลย! ไม่ใช่กู ไอ้คนข้างหลังมึงต่างหาก!

ผมหันไปส่งสายตาขุ่นแค้นให้คชาอย่างรวดเร็ว แต่มันเสมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
หน็อย! อย่าให้กูเอาคืนบ้างก็แล้วกัน!

ดีที่พี่ชิณณ์ไม่พูดอะไรให้ผมรู้สึกประดักประเดิดไปมากกว่านี้ ทำเพียงเอ่ยลาแล้วคชาก็เสนอหน้าขับรถไปส่งที่หอเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ ปล่อยให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

ทำไมกูต้องมาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์เพราะท่านฮิคารุของมึงด้วยวะไอ้คชา!




 
หลังจากที่คชาจัดการส่งพี่ชิณณ์กลับหอเป็นที่เรียบร้อย มันก็กลับมาบ่นผมเรื่องแผนไปกินข้าวเย็นสองต่อสองกับพี่ชิณณ์พังพินาศ แน่นอนว่ามันไม่เข้าหูผมเลยสักนิด ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนใจเรื่องที่มันพูดด้วยนอกจากทำท่าซังกะตายใส่มันเพราะถูกเข้าใจผิดครั้งใหญ่

คชาก็เหมือนจะรู้นะว่าผมรู้สึกยังไง มันเลยลากผมไปเลี้ยงข้าวเป็นการปลอบใจ แต่มันไม่ขอโทษหรอกแล้วก็ไม่ยอมรับด้วยว่าเป็นความผิดมัน ผมก็ไม่ได้จะเรียกร้องอะไร แค่เซ็งนิดหน่อยที่ถูกเข้าใจผิดทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะ แล้วผมก็ไม่เห็นประโยชน์ในการแก้ตัวด้วย ดูท่าทางพี่ชิณณ์น่าจะเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว และก็คงช็อกพอสมควร

ถ้าไม่ช็อกจะรีบอัปเปหิตัวเองออกจากห้องไปเหรอทั้งที่ก่อนหน้าดึงดันจะช่วยผมจะเป็นจะตายน่ะ!

ผมแทบไม่รับรู้รสชาติอาหารที่ตักเข้าปากเลยแม้แต่น้อย กินได้ไม่กี่คำก็ต้องเลื่อนจานออกห่าง นั่งเท้าคางทำหน้าเครียดอย่างไม่รู้ตัวจนคชาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องออกปากบ่น
“ก็แค่พี่ชิณณ์คิดว่ามึงเป็นเกย์ มึงจะเครียดไปทำไมวะ”

ตอนนี้มันกลับมาพูดไม่เพราะกับผมอีกละ

แล้วก็เออ มันก็ไม่น่าเครียดหรอกถ้าพี่ชิณณ์ไม่คิดว่ากูเป็นเกย์อย่างเดียว นี่คิดว่าเป็นเกย์ไม่พอ ยังจะคิดว่ากูคลั่งเขาอีก ซึ่งกูไม่ใช่เว้ย เป็นมึงต่างหาก!

ผมได้แต่เหลือบมองหน้าคชาตาขวางที่มันพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเต็มแรงอย่างเหนื่อยหน่ายโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

เวรจริงๆ แล้วจากนี้ผมจะเข้าหน้าพี่ชิณณ์ได้ยังไง ต้องเจอหน้ากันตลอดเทอม ขอเปลี่ยนคู่ทำเปเปอร์ตอนนี้จะทันไหมนะ?
“เอาน่าไอ้เอ๋อ ยังดีกว่าพี่ชิณณ์เข้าใจว่ากูเป็นเกย์นะเว้ย”

ไอ้คชายังพูดจ้อไม่หยุด คล้ายพยายามจะปลอบผมนะ แต่ไม่ใช่เลย ผมนี่อยากจะคว้าเอาขวดน้ำฟาดหน้ามันให้หุบปากชะมัด
เข้าใจว่ากูเป็นเกย์มันดีกว่าเข้าใจว่ามึงเป็นเกย์ตรงไหน มึงน่ะไม่ต้องเข้าใจผิดแล้ว มึงมันเป็นเกย์เลย ชัดเจน!
แต่รู้สึกว่าเถียงไปแล้วผมน่าจะเหนื่อยกว่าที่เป็นอยู่จึงได้แต่ทอดถอนหายใจ ปล่อยตัวให้ไหลไปบนโต๊ะราวกับว่าโลกนี้สิ้นหวังแล้ว ทำเอาคชาชำเลืองมองผมอย่างหมั่นไส้

“แค่ถูกพี่ชิณณ์เข้าใจว่าเป็นเกย์ทำเป็นจะเป็นจะตายไปได้”
“ไม่ตายหรอก ดีซะอีก พี่ชิณณ์จะได้ตีตัวออกห่างจากเรา เราจะได้วางตัวง่ายๆ”

ผมคิดในอีกแง่เพราะพี่ชิณณ์ดูจะเจ๊าะแจ๊ะกับผมเหลือเกิน ที่สำคัญ ผมไม่อยากเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของพี่ชิณณ์อีกต่อไปแล้ว แต่ทว่าคำว่า ‘ตีตัวออกห่าง’ ทำเอาคชาหันขวับมา ส่งเสียงดังทันควัน

“เฮ้ย ไม่ได้นะเว้ย มึงต้องสนิทชิดเชื้อกับพี่ชิณณ์ไว้สิวะ”

เอ้า อะไรของมึง เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอยู่หมาดๆ

“แต่เราไม่อยากสบตาแล้วเห็นเจี๊ยวพี่ชิณณ์อีกแล้วอะ” ผมโอดครวญ ไม่อยากเห็นจริงๆ อย่างที่ปากว่า
และคำพูดนั้นก็ทำให้คชาต้องมองผมด้วยสายตาประหลาด ทำท่าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อนนิ่งไปครู่แล้วย่นคิ้ว
“ไอ้เรื่องพลังวิเศษอะไรของมึงเนี่ย เห็นพูดหลายรอบละ มึงพูดจริงเหรอวะ”
ผมพยักหน้ารับช้าๆ ถอนหายใจออกมาอีก
“เออสิ เจอหน้าพี่ชิณณ์ทีไร สบตาปุ๊บก็เห็นจู๋ทุกที เบื่อจะตายอยู่แล้ว”

พูดไปตามความรู้สึกจริงๆ แต่ลืมไปนิดว่าคชามันชอบพี่ชิณณ์อยู่ พอมันได้ยินว่าผมเห็นของสงวนของพี่ชิณณ์ มันก็ปั้นหน้าดุใส่ผมเป็นที่เรียบร้อย ทำเอาผมรีบแก้ตัวแทบไม่ทัน

“แต่เราไม่ได้อยากมองนะ มันจังหวะจริงๆ หนีไม่ได้ด้วย ต้องไม่เจอหน้ากันอย่างน้อยชั่วโมงนึงอะถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
อันนี้เป็นข้อสังเกตอาการประหลาดของผมเอง แต่คล้ายว่ามันจะไม่เข้าหูคชาเลยแม้แต่น้อยเพราะมันเอาแต่จ้องผมเขม็ง ซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอีก

“มาวิน”
“วะ...ว่าไง” วินาทีนี้คิดว่าเดี๋ยวจะต้องโดนมันต่อยแน่ๆ เลยรีบผุดขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อตั้งหลัก

หากแต่ผิดคาดเพราะมันทำแค่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เท่านั้น

“เห็นจริงๆ เหรอวะ”
“เห็นอะไร”
“ก็...ของพี่ชิณณ์น่ะ”

ผมมองมันอย่างชั่งใจเล็กน้อยพลันพยักหน้า
“แน่ใจนะ”

ผมพยักหน้าไปอีก
“งั้นกูมีอะไรจะถาม”
“ว่า?”
“พี่ชิณณ์...” เอ่ยชื่ออีกฝ่ายแล้วกระซิบถาม “เอียงซ้ายหรือเอียงขวาวะ”

ถามอะไรของมึงเนี่ย!

ผมถึงกับเบิกตาโต
“ถามจริงดิ?”

คชาคล้ายว่าจะรู้สึกตัวในตอนนี้ว่าถามอะไรออกไป รีบผละออกจากผม แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“โอ๊ย กูก็พูดเล่นไป เห็นมึงจริงจังว่ามีพลังวิเศษอะไรนั่นจริงก็เลยลองถามดู มันดูน่าเหลือเชื่อเกินไป”

ก็มีจริงๆ นี่หว่า ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง

พอเห็นผมเงียบไปอีก ไม่ตอบสนองต่อคำพูดมัน มันก็กระซิบถามอีกครั้ง
“แล้วตกลงพี่ชิณณ์เอียงข้างไหนวะ”

มึงนี่ก็จะรู้ให้ได้จริงๆ เลยใช่ไหม!?

“เอียงซ้าย!” ผมตอบส่งๆ ไปเพื่อตัดปัญหา
คชาผละออกมานั่งนิ่ง ก้มหน้า ส่งสายตาจับจ้องไปที่เป้ากางเกงของตัวเองก่อนยิ้มกริ่ม
“ข้างเดียวกัน”

มึงจะดีใจเรื่องเอียงข้างเดียวกันทำไมเนี่ย!

ผมมองคชาด้วยสายตารังเกียจอย่างไม่รู้ตัวทันที แต่คชาไม่สนผมแล้ว มันชะโงกหน้าเข้ามาอีก ถามในสิ่งที่อยากรู้
“แล้วของพี่ชิณณ์...บิ๊กไบท์หรือฟุตลอง”

กูจะไปรู้ไหม! ไม่ได้สังเกตขนาดนั้น!

“เลิกถามเรื่องนี้เถอะ เราไม่อยากคิดถึงมันแล้ว ถ้าอยากรู้ก็ไปถามพี่ชิณณ์เองเลยไป” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
คชาถอยกลับไปยืดตัวตรง พึมพำเบาๆ “ถ้ากูถามเองได้ก็ไม่มาถามมึงหรอก ขืนถามไป พี่ชิณณ์ก็เข้าใจว่ากูเป็นเกย์พอดี”

ก็มึงเป็นเกย์ไงไอ้คชา! มึงจะมาปฏิเสธอะไรอีก!

“เข้าใจว่าเป็นเกย์ก็ถูกแล้ว นายเป็นจริงๆ นี่
คชาย่นคิ้วทันควัน “ก็ไม่ได้เป็น
“ถ้านายไม่ได้เป็นเกย์ นายจะสนใจอะไรพี่ชิณณ์นักหนา” ผมสวนคืน
คชาเองก็ยอกย้อนอย่างรวดเร็วเช่นกัน “ไม่ได้เป็นเกย์เว้ย กูไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่กับพี่ชิณณ์มันพิเศษเข้าใจไหม”

มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกนิยายวายหรือไงวะที่เอาแต่ปฏิเสธตัวเองว่าไม่ได้เป็นเกย์ แต่รู้สึกพิเศษกับผู้ชายแค่คนเดียวเนี่ย!

ผมฟังแล้วก็อดเบ้ปากไม่ได้ คชาก็ดูท่าทางจะไม่สนผมแล้วเพราะมันถามผม
“แล้วนี่อิ่มแล้วใช่ไหม จะได้เรียกเก็บเงิน”

พอผมพยักหน้ามันก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน ปล่อยให้ผมนั่งทอดถอนหายใจต่อไปด้วยคิดไม่ตกว่าเจอหน้าพี่ชิณณ์คราวหน้าจะวางตัวยังไง

ไอ้คชา...มึงนะมึง ไม่เป็นนกต่อให้มึงแล้ว กูจะเก็บพี่ชิณณ์ไว้เองให้รู้แล้วรู้รอดเลยคอยดู!
----------------------------------
มาต่อให้แล้ววว เลยเถิดไปกันใหญ่มาก มาวินแพะรับบาปมาก 555
เรื่องนี้อาจจะมาวันเว้นวันนะคะเพราะหนูแดงจะอัพสลับกับเรื่อง ตราบรักนิรันดร์
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยเน้อ XD

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เราว่าพี่ชิณณ์จะเข้าหามาวินมากกว่าเดิมอีกนะ หึหึ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
มองคชา แล้ว เบ้ปากเลยอะ :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ชีวิตมาวินวุ่นวายมากตั้งแต่รู้จักฮิคารุซามะ  :hao5:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สบตา ครั้งที่ 6: ดงมะเขือยาวมรณะ[1]

ความจริงแล้วเรื่องที่พี่ชิณณ์เข้าใจผิดว่าผมเป็นเกย์แล้วบ้าดารา GV ที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายเขาอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลเท่าไหร่นักหรอก เพราะผมไม่ได้สนิทสนมกับเขาจนถึงขนาดต้องมาแคร์ความรู้สึกอะไรแบบนั้น แต่ปัญหามันก็คือ...ผมเข้าหน้าเขาไม่ถูกน่ะ คงยังไม่ลืมกันสินะว่าผมจะต้องเจอกับเขาทั้งเทอมเพราะทำเปเปอร์ร่วมกัน

แต่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องยอมรับความอัปยศที่เกิดจากความเข้าใจผิดที่มีสาเหตุมาจากไอ้บ้าคชาด้วยล่ะ พอวันใหม่มาถึง ผมก็ไม่รอช้า พุ่งไปที่ห้องห้องพักอาจารย์ประจำวิชานั้นเพื่อขอปรึกษาว่าจะเปลี่ยนคู่ หรือจะทำงานเดี่ยวก็ได้เพราะเท่าที่จำได้ ในคลาสเหมือนจะเหลือแค่ผมกับพี่ชิณณ์สองคนเท่านั้นที่ไม่มีคู่ เราถึงได้มาคู่กัน

ทว่าพอผมเดินขึ้นไปยังชั้นบนและก้าวไปบนทางเดินที่กำลังจะเลี้ยวเข้าสู่ทางที่มุ่งหน้าไปห้องพักอาจารย์ปุ๊บ ผมก็ต้องชะงักปั๊บเมื่อจู่ๆ ร่างสูงของใครบางคนก็โผล่มาจ๊ะเอ๋เสียระยะประชิดจนแทบจะชนกัน

ผมรีบเสยผมหน้าม้าที่ปรกยาวปิดตาของตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นภาพตรงหน้า ขณะที่ปากเอ่ยขอโทษขอโพย
“ขอโทษครับ”
แต่แล้วเสียงที่ตอบกลับมากลับเป็น...
“เอ้ามาวิน มาหาอาจารย์เหมือนกันเหรอ”

เงยหน้าขึ้นไปมอง สบตาว้าบ เสื้อผ้าหายไปเรียบร้อย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าผม

อะ...ไอ้พี่ชิณณ์! มึงมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!

หน้าผมซีดไปเลย ริมฝีปากงี้สั่นพั่บๆ อึกอักขึ้นมาทันควัน

ก็ใครมันจะกล้าไปบอกล่ะวะว่ามาขออาจารย์แยกวงกับมันเนี่ย!

เลยได้แต่หลบสายตาพี่ชิณณ์ ปากพูดอยู่แค่คำเดียว
“คือ...คือว่า...”
พี่ชิณณ์มองผมนิ่งๆ อยู่แวบหนึ่ง ไม่ได้เค้นถามอะไรก่อนจะยิ้มออกมา
“ธุระส่วนตัวล่ะสินะ”

มองโลกในแง่ดีโคตรๆ ผมควรจะบอกความจริงไปว่ามาทำอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มของพี่ชิณณ์ที่ส่งมาให้เสมือนเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ผมก็รีบพยักหน้าหงึกหงักทันที

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” แล้วก็ตามมาด้วยรีบชิ่งอย่างรวดเร็ว
หากแต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินสวนเขาไป ต้นแขนผมก็ถูกคว้าเอาไว้ฉับพลัน หันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่ชิณณ์ที่รั้งผมเอาไว้ พอผมทำท่าจะถามว่ามีอะไร เขาก็ชิงพูดออกมาก่อนแล้ว

“พี่ไม่ได้มาหาอาจารย์เพราะอยากจะขอแยกกับมาวินหรอกนะ มาคุยเรื่องคะแนนสอบมิดเทอมที่ตกมีนน่ะ”
“ครับ?”
“พี่กลัวเราเข้าใจผิดเลยแก้ตัวไว้ก่อน” พี่ชิณณ์ว่า

ผมก็นิ่งงันไปเลย ไม่รู้จะพูดต่อว่าอะไรดี รู้สึกผิดเสียอีกที่เป็นฝ่ายอยากจะขอแยกทำงานกับเขา แล้วเขาก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวไปเสียอย่างนั้นเมื่อเขาพูดออกมาอีก

“เรื่องเมื่อวานน่ะ ขอโทษนะที่พี่ทำเสียมารยาท คือจริงๆ มันก็เป็นรสนิยมส่วนตัวของมาวินน่ะเนอะ พี่แค่ตกใจมากไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ”

โหย ทำไมเป็นคนดีอย่างนี้วะ ทำเอากูที่กำลังจะเทมึงทิ้งดูชั่วขึ้นมาเลย

ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ไม่ไปหาอาจารย์ละ ทำงานต่อด้วยก็ได้วะ ในชีวิตมหาวิทยาลัยของผมจะได้เจอคนดีอย่างเขาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เชื่อก็ดูสิ นอกจากเพื่อนร่วมคณะที่รู้จักกันแบบผิวเผินแล้ว ก็มีคชาอีกคนที่ผมรู้จัก แต่มันดันหล่อแต่หน้า ทว่าเป็นบ้า แถมเป็นเกย์แล้วไม่ยอมรับอีกต่างหาก พี่ชิณณ์นี่เรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรปกติที่สุดที่อยู่ใกล้ชิดผมแล้ว จะให้เขาออกไปจากวงโคจรชีวิตก็ดูตัวเองจะน่าสงสารไปหน่อย

ก็เล่นไม่ปกติตั้งแต่ตัวผมเองยันรูมเมทอย่างนั้น มีคนปกติเข้ามาในชีวิต ผมก็ต้องยินดีแหละวะถึงจะไม่ค่อยอยากจะเจอหน้าสักเท่าไหร่ก็เถอะ เจอที่ไรแม่งสบตาผมแล้วเสื้อผ้าหายทุกที เห็นแบบนี้บ่อยๆ ก็ไม่ไหว

แต่กับพี่ชิณณ์คงต้องยกให้เป็นกรณีพิเศษ...

“ไม่โกรธพี่นะ”
ถามผมมาอีกแล้ว มีรอยยิ้มพิมพ์ใจแถมมาด้วย ในสายตาผม พี่ชิณณ์นี่โคตรน่ารักเลย ถึงจะไม่หล่อดึงดูดสายตาเท่าคชาก็เถอะ แต่ก็มีเสน่ห์ไม่ใช่เล่น คงเพราะความอ่อนโยนของเขาน่ะ
“ครับ ไม่โกรธ”
พอผมตอบไปอย่างนี้ พี่ชิณณ์ก็ยิ้มกว้าง
“พี่จะเชื่อว่ามาวินหายโกรธจริงๆ ก็ต่อเมื่อมาวินไปกินข้าวกับพี่นะ”

พูดมาอย่างนี้คงเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่ แต่ผมไม่สะดวกใจที่จะไปกับเขาเท่าไหร่นักหรอกต่อให้เขาแสนดีกับผมแค่ไหนก็เถอะ แต่พออ้าปากจะปฏิเสธก็ถูกพี่ชิณณ์แทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน

“อย่าบอกว่ากินแล้ว พี่ไม่เชื่อ ถ้ากินแล้วจริงๆ ก็ไปกินขนมหรือน้ำก็ได้ ไปกินเป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยง”

ดักคอมาอย่างนี้ ผมจะปฏิเสธอะไรได้ล่ะครับ ก็เลยได้แต่พยักหน้าตอบรับไป ก่อนจะถูกพี่ชิณณ์ลากมาที่โรงอาหารใกล้ๆ กับตึกคณะ ตอนแรกที่เขาบอกว่าถ้าผมกินข้าวแล้วก็ให้กินขนมหรือน้ำแทน ไปๆ มาๆ ผมก็ถูกยัดเยียดให้กินข้าวอยู่ดี พี่ชิณณ์ให้เหตุผลว่าไม่เชื่อเหมือนเดิม ในขณะที่ผมก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงว่ากินแล้ว แต่เขาฟังที่ไหนล่ะ โน่น เดินอาดๆ ไปซื้อข้าวต้มเครื่องหมูสับมาให้เป็นที่เรียบร้อย

วางถ้วยลงตรงหน้าผมได้ก็ยื่นอุปกรณ์การกินมาให้ผมรับทันที

“ผมไม่ค่อยหิวน่ะครับ” ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่กับการถูกทำแบบนี้เลยบ่ายเบี่ยงไปอีก
“รู้นะว่ามาวินไม่อยากให้พี่บังคับ แต่กินรองท้องสักหน่อยเถอะ คำสองคำก็ยังดี ถ้ามาวินกินข้าวเช้ามาแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็ซดน้ำให้พี่ชื่นใจหน่อยนะ”

พี่ชิณณ์นี่ลูกอ้อนลูกชนโคตรเยอะ ผมปฏิเสธแล้วก็ยังจะมีเงื่อนไขมาทำให้ผมต้องตกปากรับคำอีก แล้วพอเห็นผมไม่ตอบรับโดยทันทีนะ เขาก็ทำปากยู่ ส่งเสียงกระเง้ากระงอดออกมา

“นะครับมาวิน นะ”

แม่ง...น่ารักฉิบ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคชาถึงได้หลงพี่ชิณณ์นัก ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังคิดเลยว่าพี่ชิณณ์มีอะไรบางอย่างที่ผู้ชายทั่วๆ ไปไม่มี มันก็คือ...

ความโมเอะ!

ส่งเสียงออดอ้อน เอียงคอ ทำปากย่นเหมือนเป็ด

เออ ยอมก็ได้วะ

“คำสองคำนะครับ”
ผมตกปากรับคำ คว้าช้อนมาตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวเนือยๆ โดยมีสายตาของพี่ชิณณ์มองอยู่ในระยะประชิด ผมหลบสายตาเล็กน้อยก่อนจะต้องเบนกลับมามองเขาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง

“ตักคำเล็กไปนะมาวิน ถ้าจะกินแค่คำสองคำต้องกินคำใหญ่ๆ มา พี่ป้อน”
ไม่พูดอย่างเดียว เอาจริงด้วย คว้าช้อนมาตักข้าวต้มในถ้วยข้างหน้าผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังยื่นมาที่ปากอีก ทำเอาผมผงะถอยหนีแทบไม่ทัน ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่เขาจะป้อนข้าวหรอกนะ

แต่มึงมองรอบข้างหน่อยเถอะ! เดี๋ยวคนอื่นเขาก็คิดว่ากูเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมึงหรอก!

“ผะ...ผมว่าผมกินเองดีกว่าครับ”
“กินเองก็กินเหมือนแมวดม ตักแค่ครึ่งช้อนได้ไง อย่ามาโกงพี่” พี่ชิณณ์ว่า
“ให้ผมกินเอง ผมสัญญาว่าจะไม่โกง” ผมต่อรอง
หากแต่พี่ชิณณ์ไม่ยอม หัวเราะในลำคอแล้วพูดมาสั้นๆ
“ไม่เชื่อ อ้าปากเลย เป็นเด็กดื้อเหรอเราน่ะ”

ดื้อพ่อง! เอาชามข้ามต้มราดหัวแม่ง! กูแค่ไม่อยากให้ผู้ชายมาป้อนข้าวกูเว้ย!

หมดแล้วซึ่งความโมเอะเมื่อกี้นี้ คือจริงๆ มันก็ยังโมเอะน่ารักอาโนเนะนั่นแหละ แต่พอมันมากเจ๊าะแจ๊ะกับผมมากๆ เข้า ผมก็รำคาญไง
“เอาน่ามาวิน คำเดียวแล้วพี่จะเลิกยุ่งเลย”
เพื่อตัดความรำคาญ ผมก็เลยพยักหน้าตอบตกลงไปแม้ว่าใจจะไม่อยากก็ตาม อ้าปากขึ้นงับเอาข้าที่อยู่บนช้อนในมือของพี่ชิณณ์เข้าปากมาเคี้ยวช้าๆ เสมือนเคี้ยวเอื้อง ขณะที่หน้าก็ร้อนวูบไปเพราะรู้สึกได้ว่ามีสายตาของคนรอบข้างมองมา ถึงคนในโรงอาหารช่วงเช้าจะไม่เยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ตกเป็นเป้าสายตา แต่สำหรับพี่ชิณณ์แล้ว รายนี้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เห็นผมเชื่อฟังแต่โดยดีก็วางช้อนลง เท้าคางพลางยิ้มรับกับการกระทำของผม

“อย่างน้อยก็มีอะไรรองท้อง”

ยังมีหน้ามาพูดอีก!

ผมได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ อยากจะลุกไปจากตรงนี้เต็มแก่แล้ว แต่ก็เห็นแก่ความมีน้ำใจกับความใจดีของพี่ชิณณ์เลยกะจะนั่งรอให้เขากินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกัน

แต่การคิดอย่างนั้นเป้นการตัดสินใจที่ผิด เพราะวินาทีที่ผมตัดสินใจนั่งอยู่ต่อ ทางด้านหลังผมก็มีใครบางคนมายืนค้ำหัวไว้ทันที
“นั่งด้วยได้ไหมเนี่ย”

หันไปมองก็เห็นว่าเป็นคชา ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าไม่เห็นว่าภายใต้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอาบพรายของมันนั้นมีความอำมหิตเคลือบแฝงอยู่ในแววตา

มะ...มึงเห็นที่ไอ้พี่ชิณณ์มันทำกับกูเมื่อกี้แล้วสินะ!

ไม่ต้องถามก็รู้เพราะตอนนี้คชามันเหลือบมามองผมพร้อมออกปากถามแล้ว
“นั่งด้วยคงไม่เป็นก้างขวางคอหรอกใช่ไหมไอ้เอ๋อ”
หน้ายังยิ้มอยู่ น้ำเสียงก็เป็นมิตรมาก แต่ข้างในใจมันไม่ใช่เลย

ผมกะจะบอกมันว่า ‘เชิญเลยตามสบาย เราจะไปแล้ว’ ก็ไม่ทัน พี่ชิณณ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นมาแล้ว

“ก้างขวางคออะไรกัน พูดเล่นไปเรื่อยนะคชา เอาของวางแล้วไปซื้อข้าวสิ กินด้วยกัน เดี๋ยวพี่รอ”

ชวนมันทำป้ามึงเหรอไอ้พี่ชิณณ์ซามะ!

ผมอยากจะลุกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดตรงนี้ฉิบเป๋ง อย่างที่รู้กันว่าคชามันสนใจพี่ชิณณ์และมันให้ผมเป็นพ่อสื่อให้ แต่การที่มันได้เห็นพี่ชิณณ์ป้อนข้าวผมเมื่อกี้ แน่นอนว่ามันต้องไม่พอใจแน่
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันเอ่ยขึ้น
“พี่ชิณณ์ช่วยไปซื้อข้าวให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีจู่ๆ ก็มึนหัว”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็รีบออกปาก
“เดี๋ยวเราไป...”
คชายื่นมือมาปิดปากผมทันควัน ยิ้มกว้างให้พี่ชิณณ์แล้วขอร้องอีกครั้ง
“นะครับ ผมจะได้ให้มาวินไปซื้อยาที่มินิมาร์ทให้ผม” พลางพยักปลายคางไปที่มินิมาร์ทใกล้ๆ กับโรงอาหาร
พี่ชิณณ์ก็เป็นคนดี พยักหน้าตอบรับคำขอของมันไปอีก
“ได้เลย อยากกินอะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้ครับ พี่ชิณณ์เลือกมาเลย ผมกินได้หมด”
“งั้นเอาข้าวต้มเหมือนมาวินแล้วกันเนอะ กินง่ายดี”

คชาตอบรับ โปรยยิ้มตบท้าย พอพี่ชิณณ์ลุกจากโต๊ะไป รอยยิ้มที่พร่างพรายบนหน้ามันเมื่อครู่ก็มลายหายไปสิ้น เหลือแต่เพียงสีหน้าบูดบึ้งทันทีที่มันหันมามองทางผม

“อะไรของมึงวะ”
จู่ๆ ก็ถาม ผมดึงมือมันออกจากปากผม ถามกลับบ้าง
“หมายถึงอะไรล่ะ”
“ที่มึงให้พี่ชิณณ์ป้อนข้าวไง อะไรของมึงวะนั่น” คชาว่าออกมาอีก
ผมกะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ก่อนจะว่าไปตามความจริง
“ก็พี่ชิณณ์ตื๊อจะป้อนเรานี่นา ให้เราทำไงได้ล่ะ ปฏิเสธก็แล้ว แต่พี่ชิณณ์ไม่ยอมเลิก”
“มึงก็เลยเลยตามเลยว่างั้น?” ทำหน้าหาเรื่องเต็มที่

ผมดูก็รู้เลยว่ามันไม่พอใจเป็นอย่างมาก เลยตั้งใจว่าจะขอโทษมันจะได้จบๆ เรื่องไป แต่สมองของผมมันสั่งการเร็วกว่าการกระทำของคนอื่น แค่คิดได้แต่ยังไม่ทันพูด คชาก็ชิงพูดออกมาก่อน

“ไหนว่ามึงไม่อยากอยู่ใกล้พี่ชิณณ์เพราะสบตาแล้วเห็นจู๋อะไรนี่ไง”
“ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“แล้วที่กูเห็นเมื่อกี้คืออะไรวะ”
“ก็อธิบายไปแล้วนี่ว่าพี่ชิณณ์ตื๊อ เราปฏิเสธแล้วเขาไม่ยอมก็เลยต้องเลยตามเลย”

ผมพ่นลมหายใจออกมายาว ดูก็รู้เลยว่าคชาไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด มันก็เชื่อยากอยู่หรอก ยิ่งผมไปทำกับคนที่คชาชอบ คชาก็ไม่เชื่อหนักเข้าไปใหญ่
“เหตุผลของมึงฟังไม่ขึ้นเลยว่ะ จริงๆ แล้วมึงกะจะเก็บพี่ชิณณ์ไว้เองใช่ไหมล่ะ”
ซ้ำคชายังคิดเองเออเองเต็มที่ ยัดเยียดการกระทำที่ผมไม่ได้คิดจะทำมาให้อีก

กั๊กไว้ทำบ้าอะไรฮิคารุซามะของมึงเนี่ย กูแทบจะใส่พานถวายให้มึงด้วยซ้ำ!

“คชา เราไม่ได้...”
“ทำเป็นจะช่วยกูอย่างโน้นอย่างนี้ จะกั๊กกูก็บอก แหม ทำเป็นมาโกหกกูว่าสบตาแล้วเห็นจู๋ ถ้าเห็นจริง มึงจะมาเจ๊าะแจ๊ะกับพี่ชิณณ์ทำไมนักหนาวะ”

โอ้โห มาเป็นชุด ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม ไอ้พี่ชิณณ์ต่างหากที่เป็นคนตอแยกูน่ะ แล้วนี่มาบอกว่ากูโกหกอีก มึงไม่เห็นอย่างที่กูเห็นบ้างก็แล้วไปไอ้คชา!

“เราไม่ได้โกหกนายสักนิด”
ผมขึ้นเสียงเล็กน้อย ยอมรับเลยว่าโกรธนิดๆ ที่คชามาให้ร้ายผมอย่างนั้น แต่คชาก็ยังไม่หยุด ดังดันมาอีก
“โกหก แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าโกหก โบราณเขาบอกว่าคนที่มีไฝที่หางตาข้างขวาเป็นคนขี้โกหก มีการจารึกไว้ในสมุดข่อยเป็นหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีฯ ด้วย”

สมุดข่อยสมัยกรุงศรีฯ ปู่มึงเถอะ! ไปรับยาบ้างหรือเปล่าไอ้คชา!

ป่วยการที่จะคุยกับมัน ในเมื่อไม่เชื่อก็เรื่องของมัน ผมไม่ได้ขอร้องให้มันมาเชื่อด้วยจึงได้แต่เงียบ จังหวะเดียวกับที่เห็นพี่ชิณณ์เดินกลับมาพร้อมกับข้าวเช้าของคชาพอดี เท่านั้นคชาก็รีบปั้นหน้ายิ้มเหมือนเดิม มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่ยังนั่งนิ่ง พูดออกไปเสียงเบา

“เราไม่ได้โกหก เห็นจริงๆ”
คชาเหลือบมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะขยับปากทั้งที่ยิ้มอยู่
“กูไม่ยอมให้มึงมาพรากฮิคารุซามะของกูไปหรอก”

โอ๊ย! มึงนี่พูดไม่รู้เรื่อง! บอกแล้วไงว่ากูไม่ได้...

ช่างแม่ง! ไม่อยู่คุยกับมันแล้ว!

ผมหงุดหงิดกับคำพูดของคชาที่เอาแต่หาว่าผมโกหกทั้งที่ผมพูดความจริงจึงลุกขึ้นพรวด คว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วเดินออกจากโต๊ะ ทำให้พี่ชิณณ์ซึ่งเดินมาถึงที่พอดีร้องถามเสียงหลง
“ไปแล้วเหรอมาวิน ไม่รอไปพร้อมกันเหรอ”
ผมหันไปมอง “เชิญพี่ชิณณ์กินข้าวกับไอ้บ้านั่นไปเถอะครับ”

จากนั้นก็เดินไปเลย แต่หูก็ไม่วายได้ยินพี่ชิณณ์ถามคชาว่า ‘ทะเลาะกับมาวินเหรอ’ ส่วนคชาก็บอกว่า ‘ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจหรอกครับ’ แอบเหลือบไปมองนิดหนึ่งก็เห็นว่ามันยิ้มร่าให้พี่ชิณณ์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หึย! ไอ้คนขี้โกหกน่ะมึงต่างหาก ขี้โกหกไม่พอ ยังตีสองหน้าด้วย!

หงุดหงิดแต่เช้าเลยเว้ย!
---------------------------
ไม่ได้มาอัปนาน มาต่อแล้วนะคะ
เดี๋ยวเย็นๆ มืดๆ จะมาต่อให้ครบ 100% ค่ะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยว่าใครยังอยู่รอกันบ้างให้ชื่นใจหน่อยจ้า XD
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2017 18:06:20 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สบตา ครั้งที่ 6: ดงมะเขือยาวมรณะ[2]

หงุดหงิดก็แค่ตอนนั้น พอตระเวนเรียนทั้งวันและกลับถึงหอ ผมก็ลืมไปหมดสิ้นว่าเมื่อเช้าเคืองคชาเรื่องอะไร ทำตัวปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น ผมก็เป็นแบบนี้แหละ โกรธยาก แต่ถ้าโกรธแล้วก็หายเร็วด้วยเป็นคนไม่ค่อยเก็บเอาอะไรมาใส่ใจสักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ผิดด้วยถ้าคชาจะไม่เชื่อ ถ้าลองสลับบทกัน คชามองเห็นอะไรอย่างที่ผมเห็น ส่วนผมมองไม่เห็น เวลาคชามันมาบอก ผมก็เชื่อไม่ลงเหมือนกัน

ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องทำตัวให้ชินกับสิ่งที่ตัวเองเห็นล่ะสินะ

เข้าใจว่ามันเป็นปัญหาของผม ผมไม่ควรจะลากคชาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แค่มันยอมมาเป็นรูมเมทคนที่แทบจะไม่มีตัวตนอย่างผม แถมยังไม่ค่อยมีสังคมก็ดีแค่ไหนแล้ว ผมเสียอีกที่จะต้องขอโทษคชาสำหรับเรื่องเมื่อเช้าแล้วก็อธิบายพร้อมปรับความเข้าใจกันอีกที

ผมถอนหายใจยาวทันทีที่มาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะพูดประโยคไหนก่อนตอนเจอหน้าคชา

คชา...เรื่องเมื่อเช้านี้เป็นความผิดเราเอง ขอโอกาสให้เราอธิบายเรื่องพี่ชิณณ์หน่อยนะ

เออ ประโยคนี้แหละ ฟังดูสำนึกผิดดีแม้ว่ามันจะเหมือนผัวที่นอกใจไปง้อเมียหน่อยก็เถอะ แต่คิดว่าน่าจะทำให้คชามันหายหัวร้อนเพราะหึงพี่ชิณณ์ได้

มือเอื้อมไปเปิดประตู ปากก็ร้องเรียกออกไป
“คชา เรามีเรื่องจะคุยด้วย”
ทว่าผมก็ต้องชะงักเมื่อเปิดประตูแล้ว ภาพของชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดนักศึกษาอีกสี่ห้าคนก็ปรากฎให้เห็น

คนพวกนั้น...พวกกลุ่มเพื่อนของคชาที่เจอในห้องน้ำตอนที่ผมเจอคชาครั้งแรก

น่าจะเป็นพวกทูตกิจกรรมเหมือนกันเพราะหน้าตาดีกันหมดยกแก๊ง และดูท่าทางน่าจะอยู่กันคนละคณะด้วย บางคนใส่ชุดนักศึกษา บางคนใส่เสื้อช็อป คงจะหลายๆ คณะปนกันไป

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญก็คือพอผมโผล่หน้าเข้าไปปุ๊บ ทุกชีวิตก็หันมามองผมเป็นตาเดียว

ตาสบตา... ฉิบหาย! เสื้อผ้าหายไปอีกแล้ว!

ผมนิ่งค้างไปเลย พูดไม่ออก บอกไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ได้เห็นดงมะเขือยาวอย่างไม่ทันตั้งตัว อู้หู ไอ้นั่นเอียงขวา ไอ้นี่เบี้ยวซ้าย อันนั้นรูปร่างพิลึก อันนั้นพงหญ้าด๊กดก

ตากูจะบอด นี่มันดงมะเขือยาวมรณะชัดๆ!

และการที่ผมนิ่งค้างไปอย่างนั้นเลยทำให้คชาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงถามเสียงขุ่น
“อะไรของมึง”
ผมได้สติ รีบวางตัวให้เป็นปกติทันที
“คือ...เรามีเรื่องจะคุย”
บอกไปแล้ว คชาย่นคิ้วเล็กน้อย
“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อเช้า ไว้ค่อยคุย กูยุ่งอยู่”

คงจะยุ่งอย่างที่ปากว่าเพราะผมเห็นในมือของแต่ละคนมีกระดาษอะไรอยู่ด้วยก็ไม่รู้ เดาว่าคงจะเป็นสคริปต์สำหรับงานกิจกรรมอะไรสักอย่างของมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึงและคนพวกนี้ก็มีส่วนร่วมด้วย
แต่พวกมันจะทำอะไรกัน ผมก็ไม่สนใจหรอก รู้อย่างเดียวว่าผมต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่งั้นหลงดงมะเขือยาวจนหาทางออกไม่ได้แน่ๆ

“งั้นเดี๋ยวเรากลับมาใหม่นะ ตามสบายเลย”
พูดอย่างนั้น ผมก็รีบโยนกระเป๋าไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ เปลี่ยนรองเท้าแล้วตั้งท่าจะออกจากห้อง หากแต่ไม่ทัน คชาลุกจากเตียงมายืนอยู่ข้างหลังผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“จะไปไหน”
หันไปก็เห็นว่าคชาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไปรอข้างนอกไง” ผมว่าซื่อๆ
“ไม่ต้อง ห้องกูก็เหมือนห้องมึงแล้วตอนนี้ อยู่ที่นี่แหละ แป๊บเดียวเดี๋ยวพวกมันก็ไป แค่มาต่อสคริปต์เฉยๆ”

จากนั้นคชาก็ถือวิสาสะลากผมไปร่วมวงกับเพื่อนตัวเองหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจผมที่ร้องห้ามแต่อย่างใด ทว่าร้องห้ามได้แป๊บเดียว ผมก็ต้องหุบปากเงียบ วางตัวให้ดูปกติ ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนปลายเตียง หันหลังให้กับคนพวกนั้นพลางสะกดจิตตัวเองเป็นพัลวัน

มีก็มีเหมือนกัน เห็นของตัวเองอยู่ทุกวัน ของคนอื่นก็ไม่ต่างกัน ต้องทำตัวให้ชิน... ต้องทำตัวให้ชิน

ทั้งที่สะกดจิตตัวเองให้คิดอย่างนั้น แต่ก็อดเหงื่อกาฬไหลพราก ลมปราณแตกซ่านไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะบอกให้ทำตัวให้ชิน แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากนะกับการที่ต้องมาเห็นอะไรของคนอื่นอย่างนี้ เอาจริงๆ ปัญหาหลักมันไม่ใช่เรื่องการเห็นจุ๊ดจู๋ของคนอื่นสักเท่าไหร่ ปัญหาหลักมันอยู่ที่การที่ผมเข้าสังคมไม่เก่ง เวลาอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากแล้วรู้สึกประดักประเดิด

ขนาดใส่เสื้อผ้า ผมยังอึดอัดเลย แล้วนี่มาอยู่ท่ามกลางชีเปลือย ความอึดอัดก็พุ่งทวีมากขึ้นเข้าไปใหญ่

ผมว่าหน้าผมคงจะซีดแล้วล่ะ สังเกตจากฝ่ามือที่เย็นเยียบของตัวเองน่ะ แต่ก็ทำได้แค่นั่งตัวลีบรอให้พวกนั้นจัดการงานของตัวเองให้เสร็จไวๆ ก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น

“วันนี้เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกพี่ก็เรียกไปซ้อมต่อสคริปต์อีก ไว้ไปพรุ่งนี้ทีเดียว เผื่อมีแก้อะไร”
อีกหลายๆ คนเห็นด้วย เป็นสัญญาณให้รู้ว่าดงมะเขือยาวที่รายล้อมผมอยู่กำลังจะอันตรธานหายไปแล้ว

แต่พระเจ้าเกลียดผม...

เพราะขณะที่ในใจผมลิงโลดอยู่นั้น จู่ๆ คชามันก็พูดแทรกขึ้นมา
“แล้วพวกมึงไม่ลองชุดกันเหรอวะ กูอุตส่าห์ขนมาให้เนี่ย”

ลองชุด!?

ป้ามึงเถอะไอ้คชา มึงจะรั้งพวกมันไว้ทำไม!

“เออว่ะ กูก็ลืม งั้นลองก่อนก็ได้ เผื่อไซส์ไม่พอดีจะได้บอกพวกพี่ๆ ให้เอาไปแก้เลย”
ผมหันไปมองพวกมันที่เออออห่อหมกกันด้วยสายตาประหนึ่งโลกจะแตก ก่อนจะเห็นคนพวกนั้นถอดเสื้อผ้า...

ยังไงดีล่ะ คือผมไม่เห็นเสื้อผ้าบนตัวพวกมันหรอก เห็นแต่พวกมันทำท่าทางถอดเสื้อผ้า พอเสื้อผ้าหลุดออกจากตัวพวกมัน ตอนนั้นแหละที่ผมเห็นเสื้อผ้าที่ถูกโยนทิ้งลงพื้น เดาว่าตรงกลางลำตัวน่าจะมีบ็อกเซอร์เหลืออยู่ แต่คือผมไม่เห็นไง

จะถอดหรือจะใส่ กูก็มองเห็นแต่มะเขือยาวของพวกมึงเนี่ย!

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเลย อยากจะร้องไห้โฮดังๆ ออกมาก็ในตอนนี้ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวเรากลับมานะ”
ไม่อยู่แล้ว... กูไม่อยู่ดูงวงของพวกมึงแล้ว!
แต่พอยืนปุ๊บ คชาก็เข้ามากดไหล่ผมให้นั่งลงไปเหมือนเดิมปั๊บ
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว รออยู่นี่แหละ”

ผมเหลือบมองหน้าคชาที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายอาบพรายก็รู้ขึ้นมาในวินาทีนั้นเลย

แผนของมึงนี่หว่าไอ้คชา!

ไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ทำไม แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้เวรตรงหน้านี่ตั้งใจเรียกเพื่อนๆ มาโชว์งวงให้ผมอยู่
มึงนึกว่ากูเป็นควาญช้างหรือไง! งวงเยอะขนาดนี้ กูก็ไม่สู้เว้ย!

แล้วแผนของมันก็เพิ่มความแอดวานซ์มากขึ้นไปอีก แค่เห็นแต่ตายังไม่พอ มีต้องสัมผัสด้วยเมื่อจู่ๆ เพื่อนคนหนึ่งของคชาที่กำลังสวมกางเกงที่เป็นเครื่องแบบของกิจกรรมอยู่ร้องบอก

“ซิปรูดไม่ขึ้นว่ะคชา”
“แล้วทำไมวะ”
“รูดให้กูหน่อย”
“กูไม่ว่าง มึงให้ไอ้เอ๋อช่วยแล้วกัน”

โบ้ยมาให้ผมเสียอย่างนั้นทั้งที่เมื่อกี้มันยังว่างอยู่เลย ตอนนี้มันไปคว้าชุดของตัวเองมาลองบ้างละ ถอดเสื้อเป็นที่เรียบร้อย ทำเอาผมอ้าปากค้างกลางอากาศเลยทีเดียว

“ดะ...เดี๋ยวนะคชา คือว่าเรา...”

คือว่ากูไม่มารูดซิปเป้ากางเกงให้เพื่อนมึงหรอกนะเว้ย!

แต่ไม่ทัน แค่ไอ้คชาบอกว่าให้ผมจัดการให้ เพื่อนมันก็เดินเข้ามาหา เอาเป้ามาจ่อหน้าผมที่นั่งอยู่ที่เดิมเป็นที่เรียบร้อย
“โทษทีนะ รบกวนหน่อย” ไอ้เวรนี่ก็ดันมารยาทดี ขอร้องพร้อมส่งรอยยิ้มให้

ผมก็ปฏิเสธไม่ออก ได้แต่อึกๆ อักๆ

“คือว่า...”

สายตาเหลือบมองไปที่ส่วนกลางลำตัวของคนตรงหน้า

คุณพระ... หรรมล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม

มะเขือยาวกับมะเขือเปราะมึงจะทิ่มหน้ากูอยู่แล้ว!

เหนือสิ่งอื่นใด... กูไม่เห็นซิปเป้ากางเกงมึงเว้ย เห็นแต่งวงมึงเนี่ย!

เอื้อมมือไป โคตรมั่นใจเลยว่าได้รูดอย่างอื่นแทนรูดซิปแน่ๆ ส่วนไอ้เวรนั่นก็แอ่นเป้ามาข้างหน้า
“อย่าแอบจับของเรานะ เดี๋ยวเราติดใจ”
มึงก็หลงตัวเองเหมือนไอ้คชาเป๊ะ! มิน่าถึงเป็นเพื่อนกันได้
“ให้คนอื่นทำให้ได้ไหม เราว่าเรา...”

กูว่ากูทำใจไม่ได้! แต่พูดต่อไม่ออกเพราะจู่ๆ เพื่อนของคชาอีกคนก็ร้องบอก

“เฮ้ย ของกูก็ซิปติดว่ะ”
“มึงให้ไอ้เอ๋อจัดการให้เลย”

บ้านมึงเถอะไอ้คชา มึงมาจัดการเองสิวะ!

“เอ้า เร็วๆ เข้า นั่งบื้ออะไรอยู่ได้”
พอผมไม่ทำ คชามันก็ส่งเสียงเร่งมา ผมหันไปมองหน้ามัน ทำหน้าวิงวอนสุดๆ
“คชา...” มึงบอกเพื่อนมึงให้เอาหรรมออกไป!

หากแต่คชาจ้องหน้าผมนิ่ง พยักเพยิดเป็นเชิงบอกว่าให้เร็วๆ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง สถานการณ์กดดันเหลือเกิน หอยงวงช้างก็มาจ่ออยู่ตรงหน้า จึงได้แต่แสร้งทำท่าเหมือนรูดซิปไปที่เป้าของเพื่อนหมายเลขหนึ่งของมัน
“อะ...เอ้า เสร็จแล้ว”

อัลเบิร์ต ไอสไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ของกูนี่จินตนาการสำคัญความความจริงเลย

ทำเสร็จปุ๊บ ผมก็รีบขยับออกห่าง ขณะที่เพื่อนมันซึ่งถูกผมรูดซิปให้มองหน้ากันไปมา ก่อนที่คชาซึ่งตอนนี้คิ้วผูกกันยุ่งเป็นเชือกรองเท้าจะร้องถาม
“ทำอะไรของมึงวะ”
“รูด...รูดซิปไง”
“รูดบ้าอะไรของมึง กางเกงล่องหนหรือไง”

ก็เออน่ะสิวะ ถ้ากูเห็น กูจะทำแบบนี้เหรอ!

ผมพูดไม่ออก รู้อย่างเดียวว่าตอนนี้ชักจะไม่ไหวแล้ว ยิ่งถูกเพื่อนของคชาอีกคนที่เดินเข้ามาแล้วคว้ามือไปใกล้ๆ เป้าเพื่อนมัที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมก็แทบจะสติแตก

“ซิปกางเกงมันอยู่ตรงนี้ต่างหากล่ะ”
“ไม่! ไม่เอา!”

แล้วแม่งก็กรูกันเข้ามาจับผมกันยกใหญ่ ผมดิ้นพราดๆ อย่างกับโดนน้ำร้อน รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคชาจงใจแกล้ง แต่ไม่คิดว่าจู่ๆ มันจะทวีความรุนแรงขึ้นมา แล้วการที่เพื่อนเขาทำแบบนี้ ผมก็รู้เลยว่าคนพวกนี้สมรู้ร่วมคิดกับคชาด้วย สำหรับคนอื่นมันอาจจะดูเป็นการแกล้งที่ไม่รุนแรง แต่สำหรับผมมันกระทบกระเทือนจิตใจมากเลยทีเดียวล่ะ ทำเอาผมแหกปากลั่น น้ำตาคลอเบ้า

แม่งเอ๊ย! ทำไมต้องมาถูกรุมแกล้งตอนอายุขนาดนี้ด้วยวะ พวกมึงเป็นเด็กประถมกันหรือไง!

ดิ้นหนีไปมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ คชาที่ร้องบอกว่า ‘เป็นผู้ชายด้วยกัน อายอะไร ไม่ต้องเขิน’ อะไรเมือกนั้น ก่อนที่หูของผมจะได้ยินของใครบางคนดังขึ้น

“พวกมึงพอกันได้แล้ว”
ไม่มีใครฟังคชาสักคน ยังคงดำเนินการแกล้งผมอย่างสนุกสนานจนคชาต้องตะคอก
“กูบอกให้พอได้แล้วไง! ไม่ได้ยินหรือไงวะ!”

คราวนี้ทุกชีวิตหยุดเลย คชาเดินเข้ามา คว้ามือของเพื่อนตัวเองออกจากมือผม
“แล้วก็ปล่อยมือมันด้วย ส่วนพวกมึงจะไปไหนก็ไป ที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง”

ออกปากไล่เป็นที่เรียบร้อย สีหน้าดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทำให้เพื่อนๆ ของเขาหน้าซีดไปตามๆ กัน
“อะไรของมึงวะ เป็นคนคิดแผนเองแท้ๆ ไหนมึงว่าอยากจะแกล้ง”
“แต่ตอนนี้กูไม่อยากแล้ว พวกมึงกลับไปกันได้ละ ขอบใจมาก”

โบกมือไล่เป็นที่เรียบร้อย พวกเพื่อนของคชาเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้วก็พากันบ่นอุบ แต่ก็พากันกลับออกจากห้องแต่โดยดี เหลือแค่ผมกับคชาในห้อง ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งสองคน

ตอนนี้ผมโกรธ...โกรธอีกแล้ว คราวนี้โกรธมาก โกรธจริงจังเลยล่ะ

ส่วนคชาก็ถอนหายใจ หันมามองผมพลางพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ
“หยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นเล่นใหญ่นะไอ้เอ๋อ”
ผมเงยหน้ามองคชาทันที

เล่นใหญ่งั้นเหรอ คิดว่าการกระทำทุเรศๆ ของตัวเองเป็นเรื่องเล็กน้อยงั้นสิ!?

“เราไม่สนุก” ผมสวนเสียงเรียบ
คชาเอียงคอเล็กน้อย ว่าด้วยสีหน้ากวนอารมณ์
“แต่กูสนุก มึงอย่าไปคิดอะไรมาก บอกแล้วว่าแค่หยอกเล่นนิดหน่อย”

นิดหน่อยบ้านมันสิ มันจะเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศอยู่แล้วถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็เถอะ!

ผมกำมือแน่น ตัวสั่นเทิ้มเลยทีเดียว ก่อนจะอดใจไม่ไหว ปล่อยหมัดกระแทกหน้าหล่อๆ ของมันไปเต็มแรง

คชาเซถลาไปตามแรงกระแทกนั้น มันไม่ใช่หมัดที่หนักนักหรอกเพราะผมตัวเล็กกว่าคชาอยู่เยอะ แต่ก็ทำให้คชาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเป๋ไปเหมือนกัน พอตั้งหลักได้ก็ยกมือขึ้นกุมซีกหน้า โวยวายใส่ผมเสียงดัง

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!”
ปากแตกเลยล่ะ เลือดไหลซิบ แต่ก็สมควรแล้วกับการกระทำสิ้นคิดนั่น

“เรื่องที่มึงทำน่ะ ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับกูเลยเพราะกูไม่ขำ”
ผมว่า หลุดคำหยาบออกมาด้วย มันเหลืออดจริงๆ ตบท้ายด้วยการชูนิ้วกลางใส่มัน แล้วเดินพรวดพราดออกจากห้องนั้นมาทันทีโดยไม่สนใจจะหันไปมองหน้าคชาที่ดูตะลึงงันไปแม้แต่น้อย

จะไม่เป็นรูมเมทกันอีกต่อไปก็ช่างแม่ง มาอยู่ด้วยแค่ไม่กี่วันก็แกล้งกันแบบนี้ มึงกับกูแยกหัวแยกหางกันไปคนละทางเลยไอ้คชา!
 ------------------------------------
พระเอกเรื่องนี้นอกจากจะไม่ปกติแล้ว ยังทำหน่องมาวินปรี๊ดแตกได้อีก 555
อย่าเพิ่งเหม็นขี้หน้านางนะคะ ตอนต่อๆ ไปจะทำตัวดีขึ้นละ ส่วนพี่ชิณณ์เป็นของเก๊า #โดนตบ
ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อย พรุ่งนี้จะมาต่อให้ค่ะ
 

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
แกล้งแรงไปนะคชา
โมโหควันออกหูไปกับมาวินด้วยคน

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โกรธมันเลยน้องวิน !!  :hao7:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เพราะไม่เชื่อว่าเห็นจริง ๆ เลยแกล้งสินะ คชาไม่รู้หรอกว่าสำหรับอีกคนแล้วมันเลวร้ายแค่ไหน

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สนุกมาก  ขำสุด ๆ มาต่อบ่อย ๆ นะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สงสารก็สงสารนะ แต่ก็ขำมากด้วย

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ Ujeen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอตอนต่อไปค่ะ มาต่อเร็วๆน้าาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nupammee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อืมมมมมมมม นี่จากใจเลยไรต์นี่กะจะเลิกอ่านแต่ว่าแบบเห็นอัพแล้วก็เลยลองเข้ามาอ่าน บกตงเลย 555 ว่ารอตอนต่อไปเลยค่ะ  :o8:  :o8:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ขนาดเจอดงมะเขือม่วงยังขนาดนี้ นี่ถ้าหลงไปเจอกลุ่มฝรั่งดวงแมมมอสไม่อ๊วกกันเลยเหรอ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ทั้งสงสารและตลกนายเอกในคราวเดียวกัน ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สบตา ครั้งที่ 7: ถ้าเราผิด เราขอโทษ

ออกจากห้องมาทั้งอย่างนั้นก็ไม่รู้จะไปที่ไหนต่อดี ผมเลยได้แต่เตร็ดเตร่อยู่แถวละแวกหอ คิดครุ่นไม่ตกว่าคืนนี้จะไปหาที่ซุกหัวนอนที่ไหน เพื่อนที่สนิทพอที่จะไปขอค้างคืนก็ไม่มี ครั้นจะให้ไปเช่าห้องพักรายวันอยู่ ผมก็ไม่อยากจะเจียดเงินที่พอมีอยู่น้อยนิดไปใช้กับอะไรไม่เข้าท่าอีก หอเก่าก็ทำเรื่องคืนห้องเรียบร้อยแล้วด้วย สุดท้ายก็ได้แต่นั่งจ๋องอยู่ในร้านกาแฟแถวหอจนฟ้าเริ่มมืด หัวคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง ใจก็อยากจะกลับไปที่หอนะแต่ก็ไม่อยากจะเจอหน้าคชาตอนนี้ เท่าที่ผมคิดออกก็เห็นจะมีก็แต่พี่ชิณณ์เท่านั้นแหละที่ผมจะขอไปพึ่งพาได้

บอกตามตรงผมไม่อยากไปรบกวนเขาหรอก อยู่กับพี่ชิณณ์ยังอึดอัดมากกว่าอยู่กับคชาอีก ทว่าเหมือนดูจะไม่มีทางเลือกสักเท่าไหร่เพราะอีกไม่นาน ร้านกาแฟที่ผมสถิตอยู่ก็จะถึงเวลาปิดแล้ว ผมจึงคว้าโทรศัพท์ออกมากดไล่ดูเบอร์พี่ชิณณ์ กะจะโทรขอความช่วยเหลือจากเก่า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าที่หน้าจอโทรศัพท์มีสายเรียกเข้าไม่ได้รับขึ้นเป็นสิบๆ สาย และสายพวกนั้นก็เป็นของ...

“คชา...”

ผมเอ่ยปากเบาๆ เมื่อเห็นว่ามีสายเรียกเข้าจากเบอร์เดิมมาอีกแล้ว ผมก็ยังไม่รับอยู่ดีด้วยไม่พร้อมจะคุยอะไรทั้งนั้น ดีนะที่ผมยังเปิดแจ้งเตือนระบบสั่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนไปเรียน ไม่อย่างนั้นล่ะก็มันคงร้องลั่นร้านไปหลายรอบแล้ว

สายตัดไปแล้วก็สั่นขึ้นมาอีก ผมตัดสินใจกดตัดสาย กะว่าจะปิดเครื่อง ทว่าในจังหวะที่กำลังนั่งจิ้มๆ อยู่นั้น จู่ๆ หางตาก็เหลือบเห็นร่างสูงของใครบางคนมายืนอยู่ตรงหน้า

“ตัดสายทำไม”

มึงโผล่มาได้ยังไง!

หน้าเหวอไปทันทีที่เห็นคชาในสภาพเหนื่อยหอบน้อยๆ ชุดนักศึกษาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ มองมาที่ผมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“กะ...ก็เราไม่อยากรับ” ผมก็ดันตอบรับมันไปอีก แถมยังเผลอทำท่ากลัวมันราวกับว่าผมเป็นคนผิดไปอีก

ก็นะ ผมน่ะไม่ผิดหรอก แต่พอเห็นซีกหน้าหล่อๆ ของคชาที่มีรอยแดงช้ำจากการถูกหมัดผมกระแทกใส่ ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาน่ะ ตั้งแต่เด็กยันโต ผมยังไม่เคยไปชกตีกับใครเลยสักครั้ง เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้

“ทำไมไม่อยากรับ” คชาถามออกมาอีก
ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่าผมไม่ได้เป็นคนผิดแม้แต่นิดเดียว พลันข่มความรู้สึกก่อนหน้าลงไป ตอบกลับมันเสียงแข็ง
“แล้วนายทำอะไรกับเราไว้ล่ะ ยังจะต้องถามอีกหรือไงว่าทำไมเราถึงไม่อยากคุย”
“ถ้าไม่คุยแล้วจะเคลียร์กันได้เหรอวะ!” คชาเสียงดังขึ้นมา

สายตาของคนรอบข้างเหลือบมองมาทางพวกเราทันที
มองอย่างสงสัยก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่ง...แม่งพากันเข้าใจว่าผมกับไอ้คชาเป็นคู่ผัวเมียตีกันไปแล้วเรียบร้อย!

ผมไม่อยู่ให้ใครต่อใครเข้าใจผิดแน่นอน แค่คชาเอ่ยมาอย่างนั้น ผมก็ลุกพรวด
“ไม่ต้องเคลียร์เพราะเราไม่อยากคุย”
เดินอาดๆ ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อที่จะจ่ายค่ากาแฟ ขณะที่กำลังล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาจะจ่ายเงิน คชาก็เดินมาแทรก กระแทกแบงค์ร้อยสองใบลงบนเคาน์เตอร์ให้กับพนักงาน
“กูเลี้ยง”
ผมเหลือบมองหน้า “ไม่ต้อง”
“เถอะน่า”
“ไม่ต้องมาทำดีกับเราหรอกคชา เราไม่ต้องการ” ผมว่าอย่างรู้ทัน รู้สึกว่าตัวเองฝีปากแก่กล้าขึ้นพอสมควรที่กล้าสวนคืนคชาไปอย่างนั้น

ผมไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เห็นคชาทำหน้าหงุดหงิดก็รีบเอื้อมมือไปคว้าแบงค์ร้อยพวกนั้นจะส่งคืน แต่คชาก็ชิงแย่งไปก่อนแล้วส่งให้พนักงาน

“บอกว่าจะเลี้ยง มึงอย่ามาเรื่องเยอะได้ไหม!”เสียงดังใส่ผมอีกแล้ว พนักงานถึงกับชะงักเลย ก่อนที่คชาจะหันไปบอกพนักงานคนนั้น “เอาเงินนั่นแหละพี่ คิดเงินเลย” จากนั้นก็หันมาจ้องหน้าผมขณะรอเงินทอน “มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่คุย”
“มาตามง้อมึงถึงที่แล้ว อย่าเล่นตัวมากได้ไหม!” โวยวายมาอีกระลอก สีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิมเท่าทวี

ตอนนี้แหละที่คนอื่นๆ ที่มองมาทางเรามั่นใจเต็มร้อยเลยว่า...ไอ้คชามันเป็นผัวผม!

โอ๊ย! ไม่ใช่!

แล้วใครจะฟังล่ะ กระซิบกระซาบ ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเลยสำนึกได้ว่าผมผิดเองที่ทำท่าสะบัดสะบิ้งใส่มันอย่างนั้น อย่างกับเมียงอนผัวไม่มีผิด...

วินาทีนั้นตัดสินใจอยู่นิ่งๆ ทันตา คชามันก็คงจะกลัวผมหนี ได้ตังค์ทอนแล้วก็เอื้อมมือมาคว้าแขนผมหมับ

“ไปที่รถ จะได้คุยกันสักที”
พลันลากถูลู่ถูกังออกจากร้านกาแฟไปโดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไรแม้แต่น้อย สำหรับผมน่ะมันไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพราะยังไงก็ไม่มีใครรู้จักผม แต่กับคชาที่เป็นทูตกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ซ้ำยังมีป้ายโปสเตอร์แปะหราไปทั่ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีคนพูดถึงอยู่แล้ว

แต่ก็สมน้ำหน้ามัน ทีนี้แหละคนจะได้รู้กันทั้งมหาวิทยาลัยว่ามึงเป็นเกย์!

คชาลากผมขึ้นรถ ขับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ มันก็ไม่ได้พาผมไปไหนไกลหรอก พากลับมาที่หอนี่แหละ จอดที่ลานจอดรถของหอได้ มันก็ไม่ยอมปลดล็อกประตูจนกระทั่งผมเอื้อมมือไปทำท่าจะเปิด เท่านั้นมันก็คว้าแขนผมไว้หมับ

“กูยังไม่ได้บอกให้มึงลงเลย กูเคลียร์กับมึงแล้วหรือไง”
“จะคุยอะไรก็รีบคุยสิ” ผมว่า
คชาหันมามอง ถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“นี่มึงโกรธจริงจังเลยเหรอวะ”

ถามมาอย่างนี้ ผมก็ไม่ตอบสิ โดนต่อยไปขนาดนั้นยังจะมีหน้ามาถามอีก

คชาถอนหายใจออกมาอีก
“กูก็แค่แกล้งเล่นเฉยๆ”

ผมเงียบ

“ใครจะไปคิดล่ะวะว่ามึงจะหัวร้อนขนาดนั้น ผู้ชายด้วยกันนะเว้ย”

ผมเงียบอีก คราวนี้คชาเหลือบมามองผม พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง

“โอเคๆ กูยอมแล้ว กูผิดเอง แต่ที่กูทำมีเหตุผลนะ”
“แล้ว?”
“กูเชื่อเรื่องที่มึงพูดไม่ลงนี่หว่า ก็เลยลองพิสูจน์ว่าจริงไหมเท่านั้น”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ย่นคิ้ว
“ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อสิ ไม่เชื่อก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาแกล้ง นายสนุก แต่สำหรับเรามันกระทบกระเทือนจิตใจมากเลยนะ” ผมว่าสวน

ตอนนี้เองที่คชาเงียบไป หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันค่อยๆ คลายออก ก่อนจะเงียบไป ผมเองก็เงียบเช่นกัน ที่เงียบน่ะเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ใจตอนนี้ไม่อยากจะเจอหน้าคชาสักเท่าไหร่เพราะการที่มันยอมรับความผิด มันเหมือนแค่ตอบรับไปให้เรื่องมันจบก็เท่านั้น จนถึงตอนนี้คำว่า ‘ขอโทษ’ ยังไม่หลุดออกจากปากมันมาสักคำ

แล้วเราก็เงียบกันอยู่อย่างนั้นจนผมชักจะอึดอัด กะจะหนีมันออกจากรถอยู่แล้วถ้าคชาไม่พูดขึ้นมาก่อน
“ที่มึงบอกว่าสบตาคนอื่นแล้วเสื้อผ้าหายไป ตกลงมึงพูดจริงเหรอ”

ผมพยักหน้า ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกจากปากผมเพื่ออธิบายเรื่องนี้อีกเพราะผมพูดไปแล้ว
คชาก็ยังทำหน้าเหมือนไม่เชื่อนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถาม
“เกิดขึ้นได้ยังไงวะ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนสิบขวบ เราปีนต้นไม้เล่นแล้วตกลงมาหัวกระแทกพื้น จากนั้นก็เห็นอะไรแบบนี้มาตลอด”
“สมองได้รับการกระทบกระเทือนเลยทำงานบกพร่องอะไรงี้?”
“เปล่า แค่หัวแตก”
“เป็นไปได้เหรอวะ”
“ถ้าไม่เชื่อก็ดูที่หัวยังมีรอยแผลเป็นอยู่เลย เย็บตั้งสิบเข็ม” ผมยื่นหัวเข้าไปใกล้เล็กน้อย
“ไม่เป็นไร กูก็แค่ถามเฉยๆ” คชาเบี่ยงตัวออก

ผมอ่านสีหน้าเรียบเฉยของมันไม่ออกหรอกว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่ก็เดาเอาว่ามันคงจะไม่เชื่อหรอก ถึงตอนนี้ผมไม่ขอร้องให้มันเชื่อแล้ว

จะคิดยังไงกับผมก็ช่าง ผมไม่อยากจะสนใจแล้ว การพยายามทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราเป็นแต่เขาไม่เชื่อเนี่ย มันเหนื่อยมากเลยนะ ขนาดแม่กับพี่สาวผมยังไม่เชื่อเรื่องนี้เลยแม้ว่าผมจะบอกพวกนั้นไปตั้งแต่แรกเริ่มที่ผมเห็นภาพอะไรแบบนั้นแล้วก็ตามจนผมล้มเลิกความคิดที่จะพยายามให้คนอื่นมาทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องเผชิญเป็นที่เรียบร้อย

ทว่าพอผมนั่งเงียบไปอีกครั้ง คชาก็เอามือมาวางไว้บนกระหม่อมผมแล้วว่าลอยๆ ขึ้นมา
“ถึงมันจะน่าเชื่อยากไปหน่อย แต่ถ้ามันเป็นจริง เรื่องวันนี้กูต้องขอโทษมึงด้วย”

เป็นครั้งแรกที่คำขอโทษหลุดออกจากปากคชา ผมหันขวับไปทันที แล้วก็เห็นว่าคชาพูดโดยไม่มองหน้า พลันว่าต่อขึ้นมาอีกทันทีที่ผมหันไปมอง

“แต่ต่อให้มึงจะมองไม่เห็นหรือโกหกกู กูก็ไม่ควรวางแผนไปแกล้งมึงอย่างนั้น วันนี้ก็แกล้งแรงไปจริงๆ เพื่อนกูดันให้ความร่วมมือมากไปหน่อย เอาเป็นว่าถ้ากูขอโทษ”

ฟังแล้วก็ค่อยๆ คลายความขุ่นเคืองก่อนหน้าได้ แต่ขนลุกนิดหน่อยที่มันมาง้ออย่างนี้ และมันก็ทำให้ผมขนลุกมากขึ้นไปอีกเมื่อมันหันมาสบตาแล้วพูดออกมา

“ถ้าเราผิด เราขอโทษ หายโกรธเรานะ”

จู่ๆ ก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมที่ถูกพูดใส่อย่างนั้นก็อึ้งไปเลย อะไรไม่ว่า ที่แขนงี้เป็นตุ่มหนังไก่เป็นที่เรียบร้อย

ขนลุกฉิบเป๋ง!

“ไม่...ไม่เป็นไร” ผมรีบตอบรับก่อนที่มันจะทำเรื่องน่าขนลุกมากกว่านี้
คชาเลยดึงมือออกจากหัวผมได้ พลันพูดออกมาอีก
“คืนนี้ก็กลับไปนอนที่ห้องเหมือนเดิมแหละ เป็นผู้ชายอย่างอนนานนักเลย ขี้เกียจตามง้อบ่อยๆ ถ้ากูเป็นผัวมึงก็ว่าไปอย่าง”
ขนลุกไปเป็นระลอกที่สองแม้ว่ามันจะกลับมาพูดด้วยสรรพนามปกติของมันแล้วก็ตาม

กูก็ไม่เอามึงมาทำผัวหรอกเว้ย!

ไม่ใช่แค่มัน คนอื่นผมก็ไม่เอา คิดแล้วก็ขนพองสยองเกล้า แต่ก็แสร้งหัวเราะแห้งๆ ให้กับคำพูดของมันไป
“วันหลังแค่ขอโทษเราก็พอ สำนึกผิดแล้วขอโทษแค่นี้เราก็พอใจแล้ว ไม่ต้องง้ออะไรขนาดนี้หรอก”

คชาชำเลืองมองพลันพยักหน้า “อือ แล้วมึงกินข้าวหรือยัง”
ผมส่ายหน้า ก็ตั้งแต่ออกจากห้องมา ผมก็เอาแต่นั่งสิงอยู่ที่ร้านกาแฟ ข้าวอะไรไม่ทันได้คิดหรอกว่าต้องกินด้วย
“งั้นกูเลี้ยงแล้วกัน ไถ่โทษเรื่องวันนี้”

ผมยังไม่ทันจะตอบรับเลย คชาก็ถอยรถออกจากลานจอดรถ ขับออกไปถนนใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ผมก็เลยปล่อยให้เลยตามเลยกระทั่งมันพาผมไปที่ร้านข้าวต้มกุ๊ยไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่นัก

มานั่งโต๊ะได้ มันก็สั่งอาหารโดยถามผมเป็นระยะว่ากินนั่นได้ไหม กินนี่ได้ไหม ผมก็เออออไปตามประสา พออาหารมา ก็ไม่วายบริการผมด้วยการตักใส่ถ้วยข้าวให้อีกจนผมต้องออกปากบอกให้มันพอ

“พอแล้วล่ะ ไม่ต้องดูแลเราขนาดนี้ก็ได้”
“เอาน่า กูถือว่ากูเป็นคนผิด อีกอย่างมึงก็เป็นรูมเมทกู กูจะดูแลรูมเมทตัวเองหน่อยก็คงไม่เป็นไรเพราะยังไงมึงก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนกูหรอก”

ดูแลดีจนขนลุก แต่ยอมรับตามตรงว่าผมก็รู้สึกดีไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีเพื่อนอย่างจริงจัง คำพูดของคชาทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาทันควัน แบบว่าดีใจที่มีเพื่อนน่ะ และการที่จู่ๆ ผมก็ยิ้มออกมา ทำให้คชาย่นคิ้วเล็กน้อย

“ยิ้มอะไรของมึงวะ”
“เปล่า”

คชานิ่วหน้าไปครู่ ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“กูก็ลืมไปเลยว่ามึงชอบกูนี่หว่า แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าที่กูทำกับมึงอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่ามีใจให้มึง อย่าเข้าใจผิด”

มึงคิดไปเองทั้งนั้นไอ้คนหลงตัวเอง ใครไปเข้าใจผิดกับมึงเนี่ย!

“อย่าลืมว่ากูมีท่านฮิคารุคนเดียว ไม่มีสิ่งใดจะเปลี่ยนใจกูได้”

แล้วกูพูดเหรอว่าอยากได้อยากโดนมึงน่ะ!

ผมผิดเองแหละที่เผลอมองว่ามันเองก็เป็นคนดีเหมือนกัน ลืมไปเสียสนิทเลยว่าไอ้คชามันเป็นผีบ้า พลันคว้าตะเกียบมาพุ้ยข้าวเข้าปาก ก่อนจะถามมันออกมาด้วย

“มีท่านฮิคารุ แล้วพี่ชิณณ์จะไม่เอาแล้วว่างั้น”
พูดไปงั้นแหละ ไม่ได้คิดอะไร แต่ทำให้คชานึกออกมาได้ทันควัน
“เออว่ะ กูก็ลืมไปว่ากำลังเต๊าะพี่ชิณณ์อยู่”

นั่นไงมึง ไอ้หลายใจ ไหนบอกว่าไม่มีสิ่งใจมาเปลี่ยนใจมึงจากฮิคารุเหวอะไรนั่นได้ไง

ผมอดเบ้ปากออกมาไม่ได้เลย แล้วก็ต้องสำลักข้าวระลอกใหญ่เมื่อได้ยินมันพูด
“มึงช่วยกูจีบพี่ชิณณ์หน่อยดิ”
“แค่ก! เอาจริงอะ” พอจะบรรเทาไอได้ก็ร้องถาม มองหน้าคชาด้วย
คชาพยักหน้า “เอาจริง กูว่ากูชอบพี่ชิณณ์ว่ะ”
“ไหนว่าไม่ได้เป็นเกย์ไง”
“ก็ไม่ได้เป็น แต่พี่ชิณณ์เป็นผู้ชายคนเดียวที่กูชอบ”

แหม ไอ้พระเอกนิยายวาย! ฟังแล้วก็หมั่นไส้ชะมัด แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ชัดเจนแล้วล่ะว่าชอบพี่ชิณณ์ ผมเองก็จะได้ชัดเจนเหมือนกันว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่ชิณณ์เลยสักนิดนอกจากจะเป็นพ่อสื่อให้มันเฉยๆ

“เราก็ไม่มีปัญหาหรอกถ้าจะช่วยนายจีบพี่ชิณณ์น่ะ แค่อย่าแกล้งเราอย่างวันนี้ก็พอ”
คชายิ้มกว้างรับทันที
“ไม่แกล้งแล้ว เดี๋ยวกูจะให้พวกมันมาขอโทษมึงด้วย”

ผมมองคชาที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าพี่ชิณณ์เป็นเกย์หรือมีใจชอบเพศเดียวกันอยู่บ้าง คชาคงจะจีบพี่ชิณณ์ติดได้แบบง่ายๆ อย่างแน่นอน ก็คชาน่ะมันหล่อจะตาย ยิ่งตอนยิ้มยิ่งโคตรหล่อ หล่อเสียจนน่าอิจฉา แต่ทุกความอิจฉาก็ถูกกลบลงได้ด้วยประโยคถัดไปที่หลุดออกจากปากมัน

“ขอบใจมากเพื่อน”

เพื่อนเหรอ...

ผมมีเพื่อนเป็นตัวเป็นตนจริงจังแล้วสินะ

ดีใจแฮะ...




 
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็กลับมาที่หอกับคชา ระหว่างทางก็คุยกันไปด้วยว่าจะจีบพี่ชิณณ์ยังไงดี จากการวิเคราะห์พี่ชิณณ์ด้วยสายตาและอุปนิสัยเท่าที่พอจะรู้จักกันแล้ว ดูท่าทางพี่ชิณณ์จะเป็นคนเจ้าสำอางไม่น้อย และแน่นอนว่าคนเจ้าสำอางก็จะต้องชอบคนที่ดูดีเหมือนกัน ดังนั้นคชาจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะออกกำลังกายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ได้ยินคชาเล่าว่าปกติมันก็ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ช่วงเดือนสองเดือนนี้เพลาลงเพราะวุ่นวายเรื่องเรียนและกิจกรรม ทว่าต่อจากนี้คงจะต้องกลับมาออกกำลังอย่างจริงจังอีกครั้ง ทั้งหมดก็เพื่อสร้างหุ่นมาดแมนแฮนด์ซัมให้พี่ชิณณ์หลงใหลอยากได้อยากโดนอะไรแบบนั้น

บอกตรงๆ ว่าผมนึกไม่ออกเลยนะว่าผู้ชายด้วยกันมันจะไปหลงใหลอยากได้ผู้ชายหุ่นดีทำไม ถ้าอยากได้หุ่นแมนๆ เต็มไปด้วยกล้ามกับร่างกายตัวเองอันนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรนอกจากฟังที่คชาพูด

มันบอกว่าวันนี้ดึกแล้ว คงทำได้แค่ออกกำลังกายเบาๆ เช่น ซิทอัพสักพันครั้งอะไรอย่างนั้น พร้อมกับขอให้ผมช่วยมันด้วย ผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดสบายๆ เรียบร้อย ผมก็มายืนรอให้คชาเตรียมข้าวของ

หมอนั่นเอาเสื่อโยคะมาปู ถอดเสื้อออก สวมแต่กางเกงขาสั้นแล้วทิ้งตัวลงนอน
“มึงคอยจับข้อเท้ากูไว้นะ รู้ใช่ไหมว่าต้องจับยังไง”

ผมตอบรับ เดินไปที่ปลายเท้าแล้วทรุดตัวลงคุกเข่าจับข้อเท้าของคชาตรึงเอาไว้กับพื้น ก่อนคชาจะร้องถามอีกครั้ง

“พร้อมนะ?”
ผมพยักหน้า พอพยักปุ๊บ คชาก็เอาแขนทั้งสองข้างมาไขว้เป็นรูปกากบาทที่หน้าอก พลันยกตัวขึ้นมา
“ฮึบ!”

กล้ามเนื้อเป็นลอนแข็งๆ ปรากฏให้เห็นที่หน้าท้องทันที ผมมองแล้วก็ได้แต่ร้องโอ้โหอยู่ในใจด้วยเมื่อครู่ไม่ทันได้สังเกตว่าร่างกายของคชาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

นั่นซิกส์แพ็กหรือขนมปังปลา เป็นลูกๆ ก้อนๆ ขนาดนั้น คนบ้าอะไรมันจะทั้งหน้าตาดี ทั้งหุ่นดีได้ขนาดนี้วะ

บอกตามตรงว่าอิจฉาความเพอร์เฟ็กของมันขึ้นมาอีกรอบละ ได้ยินมาว่านอกจากรูปร่างหน้าตาดี แถมกิจกรรมเด่นแล้ว มันยังเรียนดีอีกต่างหาก จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าจริง มันก็เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเลยนะ เสียอย่างเดียวที่มัน...หลงตัวเองผิดมนุษย์มนา

“มึง...ว่ากูหล่อไหม...หนึ่ง”
จู่ๆ คชาที่ดันตัวขึ้นมาก็ร้องถาม ทำเอาผมที่จับข้อเท้ามันอยู่พยักหน้ารับแทบไม่ทัน
“ก็หล่อ ถามทำไม” ผมว่าไปตามความจริง

คชาทิ้งตัวลงนอนก่อนจะลุกขึ้นมาตอบ
“กูแค่...อยากรู้...สอง”

ซิทอัพไปด้วย ถามเรื่องตัวเองหล่อไหมไปด้วย ผมเห็นแล้วก็นึกสมเพชมันขึ้นมา

ถึงจะเพียบพร้อมทุกอย่างแต่ก็มีปมด้อยเรื่องความไม่มั่นใจตัวเองล่ะสินะ

“อือ หล่อๆ”
ยอมันไปหน่อย ตอบแทนที่มันอุตส่าห์ทำดีกับผม มันจะได้มั่นใจในตัวเองขึ้นมาบ้าง

พอพูดไปอย่างนั้น คชาก็ยิ้มกว้าง ฉับพลันก็มีลูกบ้าขึ้นมา ซิทอัพแล้วก็ร้องเสียงดัง
“คชาหล่อเหลาเขายายเที่ยง! สาม!”

ทิ้งตัวลงนอน ลุกขึ้นมาใหม่
“คชาหล่อวัวตายควายล้ม! สี่!”

ทิ้งตัวลงไปอีก ลุกขึ้นมาอีก
“คชาหล่อวารีดำเนิน! ห้า!”

ล้มตัวลงไปอีกที ลุกขึ้นมาพร้อมกับคำป้อยอตัวเองประโยคใหม่ ส่วนผม...ตอนนี้ประจักษ์แล้วล่ะว่าปมด้อยของคชามันไม่ใช่เรื่องไม่มั่นใจในตัวเองอะไรนี่หรอก แต่เป็นเรื่อง...

มึงมันหลงตัวเองเกินไปไอ้คชา! เป็นโรค Narcissistic เหรอ!

โรคนี้เป็นโรคทางจิตเวช ชื่อภาษาอังกฤษเต็มๆ คือ Narcissistic Disorder และมีชื่อภาษาไทยว่าโรคคลั่งตัวเองหรือหลงตัวเอง ผมว่าสำหรับคชา มันทั้งคลั่งทั้งหลงตัวเองเลยล่ะ ตั้งแต่รู้จักกับมันมา ไม่เคยเห็นมันไม่หลงตัวเองเลยสักวัน

หนักข้อขึ้นไปอีกด้วยเมื่อมันซิทอัพเสร็จ มันก็ลุกขึ้นมาเดินตรงไปยังกระจกที่ตู้เสื้อผ้า เอียงตัวเล็กน้อย มองภาพสะท้อนของตัวเองในสภาพเหงื่อท่วมกายแล้วก็ยิ้มมุมปาก
“หล่อจริงๆ นะเรา”

ชมตัวเองไม่พอ เอาแขนไปเท้าที่กระจก หัวเราะหึๆ ในลำคอ
“หล่อสลัดรัสเซีย”

ผมมองแล้วก็อดทำหน้าเบ้ไม่ได้

คชา...กูว่ามึงต้องกินยา มึงขาดยานานเกินไปละ

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะคชาหันมาบอกผมเร็วๆ
“กูขออาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวว่ะ” แล้วก็ตรงเข้าห้องน้ำไปเลย

ผมไม่ได้ท้วงอะไร ทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนเตียง เอาหูฟังเสียบหู เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบเห็นประตูห้องน้ำเปิดพร้อมกับใบหน้าของคชาที่โผล่ออกมาพูดอะไรบางอย่าง ด้วยความที่ผมใส่หูฟัง ผมเลยไม่ได้ยิน พอจะเอาหูฟังออกแล้วร้องถาม คชาก็ทำหน้าหงุดหงิดก่อนจะทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดด้วยการเดินออกจากห้องน้ำในสภาพโทงเทง

มะ...แมมมอสยังไม่สูญพันธุ์!

แมมมอสจริงๆ ถ้าเทียบกับกลุ่มพวกเพื่อนมันที่ผมเห็นมาวันนี้ เล่นเอาผมอ้าปากค้างได้นี่ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

เป็นควาญช้างให้เพื่อนมันยังไม่พอ ต้องมาเป็นควาญช้างแมมมอสให้มันด้วยเหรอวะ แต่เดี๋ยวนะ... นี่ผมสบตามันแล้วเสื้อผ้าหาย!?

อารามตกใจพวยพุ่งทันที ก่อนคชาจะเดินผ่านหน้าไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาดึงหูฟังที่เสียบหูผมอยู่ออก

“เปิดเพลงฟังซะดัง กูบอกให้เอาผ้าเช็ดตัวมาให้หน่อย ไม่ได้ยินเหรอวะ”

ก็ไม่ได้ยินน่ะสิเว้ย!

แต่ได้ยินอย่างนั้น ผมก็รีบจับต้นชนปลายทันที

แสดงว่าผมไม่ได้สบตามันแล้วเห็นเปี๊ยว แต่มันเดินห้อยโตงเตงมาให้เห็นเองล่ะสินะ

โล่งใจไปทันที แทบจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ก็เก็บอาการไว้ ในขณะที่คชาบ่นผมอีกนิดหน่อยที่ไม่ได้ยินเสียงมันจนมันต้องแก้ผ้าออกมาให้ผมเห็น ตบท้ายด้วยการพูดว่า...

“เป็นบุญตาล่ะสิ อย่าเก็บเอาไปฝันล่ะ”

เก็บเอาไปฝันแป๊ะอะไรล่ะ!

มียาล้างตาไหม กูจะเทราดตาตัวเองเดี๋ยวนี้เลย!
---------------------------------
ในที่สุดมาวินก็ได้เจอช้างแมมมอธของคชา 555
ตอนนี้กะว่าจะให้มีโมเม้นต์น่ารักๆ กัน แต่พอครึ่งหลังก็พ่ายแพ้ให้กับความหลงตัวเองของคชา เป็นพระเอกผีบ้ามากๆ วงวารมาวิน 555

เรื่องนี้ตั้งแต่บทนำถึงตอนที่ 6 จะค่อนข้างมีคำผิดเยอะ แล้วรายละเอียดบางส่วนก็ไม่ตรงกันนิดๆ หน่อยๆ นะคะเพราะหนูแดงทิ้งไว้นาน พอมาแต่งต่อมันเลยต้องแก้ใหม่ทั้งหมด แต่หนูแดงขี้เกียจอัปใหม่ ไว้ไปอ่านในรูปเล่มฉบับสมบูรณ์ที่จะออกกับ สนพ.พบรัก เอาแล้วกันนะ

ส่วนตอนหน้า พรุ่งนี้จะมาต่อให้ค่ะ ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ชื่นใจด้วยนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2017 01:12:15 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านๆไปนี่อยากสั่งยาให้คชา อาการหนักมาก 55555555555555555555  :hao7:

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ขำ ไม่ไหวแล้ววววว โคตรทรมานต้องกลั้นขำเพราะเมทนอนตั้งแต่ตอนแรกมาถึงตอนล่าสุด   บอกได้คำเดียวอิคชา อิบ้าาาาา กรีดร้องเป็น  วรนุชครั้งแล้วครั้งเลา แม่งงงงงไม่ไหวกับสติ  โอ้ยยย ยิ่งอ่านยิ่งขำ สงสารวิน ดงแตงกวา คงหลอนน่าดูแต่เด็ก ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยังดีที่รู้สึกผิดและขอโทษเป็น

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ออร่าพระเอกจะเปลี่ยนไปก็อีตอนหลงตัวเองนี่ละ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด