ตอนที่ ๖ ผู้แต่ง :: FANISMZในระดับแรกผมเข้าใจว่าห้องสมุดคณะสถาปัตย์เนี่ยมันมีอยู่แค่สามชั้นตามจำนวนชั้นที่มากที่สุดที่ผมเคย(ถูกบุรินทร์บังคับให้)ปีนมาแล้ว แต่ที่ไหนได้ มันมีซ่อนไว้ข้างบนอีกชั้นหนึ่ง แล้วไอ้บ้าพี่จิณณ์มันก็ดันแก่นไปเลือกที่ตั้งของโต๊ะประจำอยู่ชั้นนั้น กว่าจะก้าวผ่านบันไดแต่ละขั้นมาจนถึงขั้นสุดท้ายก็เล่นเอาผมหอบจนลิ้นห้อย
“โต๊ะ เก้าอี้ ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้มีมากมาย ทำไมพี่ไม่เลือกเอาสักโต๊ะวะ ทนเดินขึ้นเดินลงอยู่ได้”
“ข้างล่างคนมันเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ น่ารำคาญ” คนที่ยืนรอผมอยู่ตอบเสียงเบา ผมกลอกตามองมันเหมือนไม่เข้าใจแล้วก็ต้องเบะปาก ลืมไปว่าพ่อคุณเนื้อหอมแค่ไหน ขนาดไปซ่อนตัวในที่มืดอย่างโรงหนังยังมีคนตามเข้าไปดูด้วยได้ นับประสาอะไรกับโต๊ะที่เปิดโล่งไปทั้งลานแบบนั้น ถ้าจิณณ์ไปนั่งแถวนั้นคงไม่ต้องทำงานทำการอะไรทั้งคนถูกมองแล้วก็คนแอบมองนั่นแหละ
ผมเกาะราวบันไดมองบันไดอีกเก้าขั้นที่เหลืออย่างทดท้อ ข้างตัวยังมีผู้ชายหน้าตาหล่อไม่บันยะบันยังยืนกอดอกหลวม ๆ มองอยู่ มันน่าแปลกไหมล่ะครับ ขนาดท่วงท่าที่ดูสบาย ๆ พอจิณณ์เอามาทำบ้างมันกลับกลายเป็นภาพที่น่ามองไปเสียฉิบ แค่กอดอกแล้วก็เอียงไหล่พิงกับผนังตึกด้านในของบันไดเท่านั้นเอง
สายตาผมคงบอกอะไรไปเยอะ เจ้าตัวมันถึงได้ยิ้มละลายใจ(สาว)ตอบกลับมา
ไอ้เชี่ย แม่ง หล่อสาดเสียเทเสีย
ผมอุบอิบกับตัวเองแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปีนบันไดไปสู่ควาเตอร์สุดท้ายของหอสมุดแห่งนี้ บันไดแดงยังทอดวนไปสูงเกินกว่าที่จะมองเห็นอะไรในชั้นสี่ได้ ขาผมเริ่มล้าเพราะนานครั้งที่จะได้ออกกำลังหนักแบบนี้ เดินมาได้ครึ่งหนึ่งก็คิดว่าจะพักอีกสักแป๊บ แต่ดันมีมนุษย์เหล็กที่ตามหลังผมมาติด ๆ คว้าหมับเข้าที่ศอกผม ใบหน้าหล่อจัดยิ้มพราย บอกเสียงนุ่ม
“วิ่งกันเถอะ”
“วิ่ง?”
วิ่งเหี้ยอะไรรรรรร ไอ้คนบ้าพลังมันไม่ยอมฟังที่ผมพูด ตั้งต้นลากแขนผมวิ่งตามมัน อยากร้องไห้เหลือเกินครับ ผมจะสะบัดประท้วงไม่เอาไม่ยอมก็ไม่ได้เพราะพี่มันไม่ยอมฟังแถมยังจับผมแน่นไม่ปล่อย จำต้องกัดฟันวิ่งตามมันไป จนเกือบจะพ้นบันไดสองขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว ร่างของผมก็เซไปข้างหน้า ถลาเหมือนนกปีกหักเลยคุณ โชคดีที่พื้นชั้นสี่ปูพรมหนาจนนุ่มพอผมเลยไม่เจ็บตัวเพราะความบ้าของมัน พอหายตกใจแล้วผมซัดไหล่ไอ้คนชั่วไปซะสองหมัด
“พี่จะฆ่าผมหรือไงวะ” ผมโกรธจนหน้าร้อนไปหมด เหนื่อยก็เหนื่อย แล้วยังต้องมาตกใจเพราะการกระทำบ้า ๆ ของมัน นี่ถ้าผมไม่มือไว คว้าให้มันล้มมาด้วยกันผมจะแค้นมันยิ่งกว่านี้ จะแค้นอะไรซะอีกล่ะ ก็ไอ้พี่จิณณ์มันปล่อยมือผมในวินาทีสุดท้ายเล่นเอาผมสะดุดบันไดขั้นบนสุด แล้วก็ถลาลมลงมานอนหมดท่ากันอยู่นี่ยังไงล่ะ
“คราวหลังผมจะไม่มากับพี่แล้ว อยากฆาตกรรมกันก็บอกมาตรง ๆ สิ ลากขึ้นมาถึงชั้นสี่ให้เหนื่อยทำไม”
“ล้อเล่นน่า เห็นเครื่องอืดก็เร่งให้ไง”
“โดยการลากผมวิ่งขึ้นมาแล้วก็ผลักทิ้งเนี่ยนะ” พ่อคนดี พ่อศรีพระนคร จะเล่นทีก็เกือบถึงชีวิตเลยนะมัน โดนผมว่าไปขนาดนี้พี่มันยังไม่สะเทือน ยังเท้าศอกกับพื้นหัวเราะอารมณ์ดีตามประสาคนบ้าของมันไป
“ไม่ได้ทิ้ง ฉันก็ล้มตามนายมาด้วยนี่ไง เป็นไง เหงื่อออกแบบนี้รู้สึกดีไหม”
“ไม่ต้องมาพูดดี ถ้าผมไม่ดึงพี่ลงมาด้วย พี่คงยืนกอดอกหัวเราะสมน้ำหน้าผมแน่”
“ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า นายดูนั่นสิ ถ้าเรานอนกับพื้นแบบนี้จะเห็นภาพเขียนบนเพดานโดยไม่ต้องแหงนคอตั้งบ่าให้เมื่อยเลยนะ สวยไหม” เสียงนุ่มที่ไร้วี่แววของความเหนื่อยหอบอธิบายเบา ๆ นิ้วเรียวชี้ให้ผมมองลวดลายที่กินพื้นที่ทั้งหมดของเพดานรูปโค้ง ผมเผลอเขวี้ยงค้อนให้มันทีหนึ่งโทษฐานแกล้งลืมเลือนความผิดของตัวเองแล้วก็ยอมมองตาม แรก ๆ ก็ไม่ค่อยจะเข้าหูเท่าไหร่ เพราะอารมณ์โกรธมันมีอยู่มากแต่พอจิณณ์บอกว่ามันอยู่ในวิชาที่ผมกำลังเรียนอยู่ เลือดเด็กรักเรียนในตัวมันก็เตือนสติให้ผมจำต้องตั้งใจฟัง
“รูปนี้ได้แนวคิดมาจากการเขียนภาพเพดานในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่โบสถ์ของคริสตจักร นิสิตของเรามีหลายเชื้อชาติ ศาสนา พวกเราเลยเลือกที่จะใช้ภาพเหตุการณ์จากตำนานเทพกรีกและโรมัน อ้างอิงมาจากฉบับของอิดิธ ฮามิลตัน แล้วก็จินตนาการออกมาเป็นภาพที่คิดว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน เข้ากันกับบรรยากาศของหอสมุดมากที่สุด”
ผมนอนกอดอก มีรุ่นพี่หน้าหล่อที่ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นนอนอยู่ข้าง ๆ มันชี้มุมนั้นมุมนี้พร้อมทั้งอธิบายประกอบ เสียงนุ่มเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ฟังแล้วเพลินหูจนผมเผลอหลุดปากถามเรื่องที่ไม่เข้าใจไปหลายครั้ง แล้วจิณณ์ก็ตอบได้ชัดเจน ตรงประเด็นอย่างน่าทึ่ง
จิณณ์เปิดเล็คเชอร์วิชาวรรณคดีกับทรรศนศิลป์ให้ลูกศิษย์คนเดียวคือผมจนรู้แจ้งเห็นจริงทั้งประวัติความเป็นมาและกลวิธีการสร้างสรรค์งานเป็นที่เรียบร้อย ผมก็พลิกตัวไล่ความเมื่อยอีกครั้ง แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองนอนหนุนพุงของอาจารย์พิเศษมาตลอด ผมเม้มปากนิด ๆ กลิ้งหน้าไปมองมัน จิณณ์ก็มองตอบกลับมา คนตัวสูงกว่าผมเท้าศอกข้างหนึ่งกับพื้น กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีสบายสุดฤทธิ์ ในมือขาวมีปากกาหรูที่ใช้แทนแสงเลเซอร์ชี้ตำแหน่งภาพให้ผมดูเมื่อครู่ ผมมานอนบนตัวพี่มันตั้งแต่เมื่อไร่วะ จำไม่ได้เลยโว้ย
“เมื่อยไหม” แทนที่จะเป็นผมที่เป็นคนถามคำถามนั้น กลับกลายเป็นคนที่โดนนอนทับมาตลอดเป็นคนถามเสียเอง ผมส่ายหน้า ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วก็จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยตามปกติของคนที่ต้องดูดีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จิณณ์ลุกขึ้นนั่งแล้วก็เอื้อมมือไปเก็บตำราของตัวเอง(ที่ให้ผมยืมมา)จนครบ
“ลืมไปเลยว่าเราสองคนกำลังหิวข้าว”
“เออ นั่นสิ” ผมคราง เพิ่งนึกออกเหมือนกันนั่นแหละ จิณณ์หยิบหนังสือมาวางซ้อนกันแล้วก็หันมามองผม เรามองตากันไปมาแล้วสุดท้ายก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน บ้าไปแล้วผม แทนที่จะโมโหหิวอย่างที่เคยเป็น มานั่งอารมณ์ดีอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย!
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องทำงานต่อ” และก็เป็นจิณณ์อีกครั้งที่ดึงให้งานของผมเดินไปข้างหน้า ผมมองนาฬิกาแล้วก็นิ่วหน้า เราสองคนใช้เวลากับการนอนมองเพดานไปนานถึงครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ อะไรมันจะเพลินขนาดนี้ แล้วทำไม...ผมหันไปมองบันไดที่ทอดวนลงไปชั้นล่าง ไม่ยักกะมีใครเดินขึ้นมาบนนี้สักคน แม้แต่คนที่จะเดินกลับลงไปข้างล่างก็ไม่มี พอผมถามเจ้าถิ่นก็บอกว่า
“ไม่มีใครขึ้นมาหรอก ชั้นสี่จัดไว้สำหรับเก็บหนังสือหายาก มีแต่บรรณารักษ์เท่านั้นที่จะขึ้นมาได้แต่ก็จะใช้บันไดอีกทางหนึ่ง ทางนี้มีแต่สมาชิกสภาของคณะที่ใช้ขึ้นลง เพราะห้องของพวกเราอยู่ด้านนี้”
“พวกเรา?”
“ก็พวกเรา ฉันกับเพื่อน ๆ ในสภา อ้อ มีพีร์ด้วยนะ”
“ถึงว่า นิสิตปกติทั่วไปคงไม่มีใครมาตั้งโต๊ะประจำในห้องสมุดหรอก ยกเว้นพวกที่พิเศษมาก ๆ แบบ...” ผมอดไม่ได้ที่จะแขวะยิ้ม ๆ จิณณ์ก็คงรู้ทัน มันเลยเคาะปากกากับหน้าผากผมซะเจ็บเลย
“ปากจัด”
“พี่ก็มือหนัก”
“รู้ได้ยังไง”
“เอะอะก็ผลักก็ตีแบบนี้ใครจะไม่รู้” ผมทำตาขุ่นตอบเมื่อมันยื่นหน้าเข้ามาดูผลงานตัวเองใกล้ ๆ
“เคาะไปทีเดียวก็ใส่ร้ายกันเลยนะ ขี้โวยวายสมคำร่ำลือจริง ๆ”
“ใคร ใครมันบังอาจลือ พูดให้ดี ๆ นะโว้ย”
“ช่างเถอะ อย่าให้คนอื่นเค้ารับเคราะห์ด้วยเลย เดี๋ยวนายรู้แล้วจะวิ่งโร่ไปต่อยเค้า”
“ผมไม่ใช่พี่นะไม่พอใจอะไรก็ใช้กำลังน่ะ”
“ฉันไปใช้กำลังกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่” จิณณ์หันมาถามเสียงต่ำ จู่ ๆ มันก็เกิดคึกอยากทำหน้าจริงจังขึ้นมา เล่นเอาผมที่กำลังสนุกกับการต่อปากต่อคำกับมันถึงกับอึ้งไปชั่ววิ
“เคยมีตอนไหนที่ฉันทำให้นายเจ็บตัวหรือคุณภัทร” ดวงตาสีดำจัดจับจ้องนิ่งที่ดวงตาผม แม่ง พอมันไม่ยิ้มอย่างทุกทีแล้ว ไอ้พี่จิณณ์มันก็ผู้ร้ายเราดี ๆ นั่นเองครับท่านผู้ชมมมม
“ก็เมื่อกี้ไง ผลักมาได้ เกิดผมก้าวพลาดตกลงไปข้างล่างพี่จะทำไง” ผมตอบแบบไม่เต็มคำนัก รู้สึกเหมือนเลือดมันวิ่งมารวมกันที่แก้มทั้งสองข้าง พาลให้ร่างกายส่วนอื่นขาดเลือดหล่อเลี้ยงเลยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงตามไปด้วย เราถอนสายตาออกจากกัน จิณณ์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ก้มลงมาบอกผมอย่างมั่นใจว่า “มันจะพลาดได้ยังไงฉันตั้งใจผลักขนาดนั้น”
นั่น! มันสารภาพออกมาแล้วว่าตั้งใจแกล้งผม
ก่อนที่จะเกิดสงครามน้ำลายที่มีผมเป็นฝ่ายเริ่มแต่ไอ้หล่อเป็นฝ่ายจุดชนวนอีกครั้ง จิณณ์ก็ฉุดผมลุกขึ้นยืนเป็นการตัดบท เราจัดเสื้อผ้า ทรงผมเกือบเรียบร้อย เสียงห้าวของบุคคลที่สามก็ดังให้ผมได้หันไปมอง
“มาทำอะไรตรงนี้วะ?” รณพีร์ จีรวัฒน์สกุลครับพี่น้อง เปิดประตูกระจกเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมมองแล้วรู้สึกว่าเค้าจงใจส่งตรงให้ผมคนเดียวยังไงก็ไม่รู้ เพราะพอหันไปทางจิณณ์ เพื่อนของวาก็ทำตาหรี่แล้วก็อมยิ้มมองซะอย่างนั้น ผมทักทายอีกฝ่ายก่อนเพราะตัวเองอ่อนกว่าหลายปี ฝ่ายนั้นทักตอบอย่างคนมีอัธยาศัยดีผิดกับหน้าตาดุ ๆ ลิบลับ จิณณ์ส่งชีทปึกเดิมมาให้ผมแล้วก็เลยดึงสายเป้ผมให้เดินตาม
“ขึ้นมาเอากระเป๋าเดี๋ยวจะไปกินข้าวต่อ”
“กินข้าว นี่มึงกินข้าววันละกี่มื้อกันวะ พวกเราเพิ่ง...”
“มันจะแปลกอะไร กูหิว ช่วงนี้ต้องใช้พลังงานเยอะ”
“จริงดิ หักโหมขนาดนั้นเลยหรือวะ” พี่พีร์นึกจะแซวก็ไม่คิดจะยั้ง ผมเลยได้เห็นไอ้หล่อมันทำร้ายร่างกายคนอื่นอีกครั้ง คราวนี้มันใช้สันหนังสือที่อยู่ในมือนั่นเอง โขกไปทีหนึ่งพี่พีร์ก็ร้องลั่น
“สัด! เจ็บนะโว้ย แซวแค่นี้ทำเขิน”
“พีร์ ไม่เกรงใจเพื่อนมึงก็เกรงใจคนอื่นมั่ง ยืนตาแป๋วมองอยู่เนี่ยเห็นไหม” พี่พีร์หัวเราะเสียงดังแถมยังหันมายักคิ้วให้ผมแบบไม่รู้สำนึก ผมเองก็ไม่ใช่คุณหนูที่หูเปราะบางจนฟังคำหยาบไม่ได้ เรื่องทะลึ่งตึงตังก็ยิ่งถนัดใหญ่เลยไม่สะทกสะท้านกับหัวข้อที่ทั้งสองคนพูดกันนัก แต่ที่มันสะกิดใจผมดันเป็นคำพูดที่มาจากปากแดง ๆ ของไอ้พี่จิณณ์นี่แหละ รู้จักกันมาตั้งอาทิตย์หนึ่ง ผมเพิ่งรู้ว่าพี่มันก็ขึ้นมึงขึ้นกูเป็น
เราสามคนเดินออกประตูกระจกทรงสูงที่พี่พีร์เพิ่งเปิดเข้ามา ด้านนอกเป็นลานกว้าง ลมพัดเย็นสบาย มีม้านั่งกระจายให้เป็นจุด ๆ ส่วนหนึ่งยื่นออกไปรับแสงแดดแต่ตรงที่พวกพวกกำลังเดินตัดผ่านเป็นส่วนที่มีร่มเงาของอาคารบังแสงไว้ มาถึงอีกด้านก็เจอประตูกระจกสีขุ่นเหมือนเมื่อครู่ พี่พีร์ดันประตูเปิดเข้าไปก่อน
“ไพร่ฟ้าหน้าใสทั้งหลายเก็บไพ่ด่วน พ่อมึงกลับมาแล้วโว้ย”
“แอบเล่นไพ่กันอีกแล้ว” จิณณ์เอ่ยแล้วก็ส่ายหน้าและเพราะอีกฝ่ายตัวสูงมากผมเลยต้องเยี่ยมหน้าออกไปมองเอง
ในห้องนั้นมีขนาดกว้างประมาณไหนน่ะหรือครับ ขนาดที่ว่าหากมีคนอยู่เกือบสิบคนก็ยังไม่ดูอึดอัดเลยล่ะ ด้านหนึ่งเป็นกระจกที่เปิดม่านมูลี่ให้เห็นวิวด้านนอก มองผ่าน ๆ ก็เห็นว่ามันถูกแบ่งพื้นที่ไว้สองส่วนใหญ่คือที่ทำงานและที่พักผ่อน ทางซ้ายของประตูเป็นโต๊ะทำงานหลายโต๊ะแต่ละโต๊ะหันหน้าเข้าหากันและถูกกั้นด้วยกระจกสีขุ่นเพื่อความเป็นส่วนตัว มีคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ทุกโต๊ะ ด้านหลังเป็นที่เก็บเอกสารบวกอุปกรณ์การออกแบบ โมเดลรูปแบบของบ้านและอาคาร อุปกรณ์วาดเขียนที่เรียงไว้ได้ดูดีอย่างน่าทึ่ง
ทางขวาของประตูเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่ กินพื้นที่เยอะที่สุดของห้อง ล่วงเข้าไปข้างในถูกกั้นด้วยชั้นวางหนังสือสีเข้ม จิณณ์พาผมตรงไปยังหลังชั้นวางหนังสือนั้นแล้วก็ได้เห็นว่าข้างหลังนั้นเป็นมุมพักผ่อนของจริง เตียงขนาดเล็กตั้งชิดด้านในสุด โต๊ะขนาดเล็กวางตรงกลางและเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอแบนขนาดห้าสิบสองนิ้วที่ฝังลึกไปในผนัง ผมกวาดตามองรอบห้องแล้วก็เพิ่งสำนึกได้ว่าไอ้พื้นนุ่ม ๆ ที่เหยียบเข้ามาตั้งแต่ประตูนั้นคือพรมประเภทเดียวกับที่เคยเหยียบในห้องจิณณ์!
“นี่พี่สร้างโรงแรมส่วนตัวไว้ในมหาวิทยาลัยหรือเนี่ย”
“ไม่ใช่ นี่ห้องสภา” ผมมองรูปเขียนสีน้ำข้างผนังแล้วก็เผลอค้อนคนตอบให้ทีหนึ่ง “สภาบ้าอะไร ห้องสภาของคณะผมยังไม่เห็นจะหรูหรา อุปกรณ์ครบครันแบบนี้เลย”
“ก็ของมันต้องใช้ทั้งนั้น ออกมานี่ก่อนเร็ว” จิณณ์บอกผมหลังจากเก็บของของตัวเองเสร็จ เราออกมาเจอพี่พีร์อีกครั้งพร้อมผู้ชายอีกหลายคนที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าเอาเสียเลย ก็ได้แต่สงสัยว่าตอนที่ผมเดินเข้ามาเมื่อกี้พวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ตรงไหนของห้อง ผมแอบเกร็งนิด ๆ แต่ดีที่ทุกคนยิ้มส่งมาให้ก่อน ผมเลยไม่ต้องยืนตัวเกร็งเกาะพี่มันให้รำคาญตัวเอง
“นั่น พีร์ รณพีร์นายคงรู้จักแล้ว ส่วนนั่นไวทิน นรวิชญ์แล้วก็ภูวดล เพื่อนของฉัน ทุกคน นี่คุณภัทร น้องเป็นเพื่อนของวา ช่วงนี้เรามีเรื่องต้องพึ่งพากันอยู่อาจจะเห็นเค้าที่นี่บ่อย ๆ”
“สวัสดีครับน้องคุณ ได้ยินวาพูดถึงมานาน เพิ่งได้เคยเจอกันเนาะ” ผู้ชายหน้าโหดที่สุดเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายผมอย่างน่ารัก ผมชอบจังเลยเวลาเขายิ้มแล้วเห็นรอยจีบพับข้างดวงตาแบบนั้นน่ะ มันดูจริงใจดี
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักพี่...ไวทิน” ใช่ไหมนะ ผมยิ้มนำทัพส่งออกไปก่อน ทุกคนเปลี่ยนกันทักทายแล้วก็พูดอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจแต่เดาว่าคงเป็นภาษาเปรียบเทียบแบบเด็กสถาปัตย์เลยไม่ได้สนใจ จนท้องมันเริ่มประท้วงอีกรอบผมเลยแอบสะกิดจิณณ์ ลูบท้องบอกให้รู้ว่าผมหิวจนจะกินหัวมันได้แล้ว
“กลับก่อนนะ ต้องไปทำงานต่อ”
“งานอะไรวะ กูเห็นมึงปั่นไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งอาทิตย์ยังไม่เสร็จอีกหรือ” ผู้ชายตาเรียว มือสวยที่ผมจำไม่ผิดว่าชื่อภูวดลร้องถามแต่พี่พีร์ก็สกัดตอบสั้น ๆ ว่า “คนละงานกัน”
คนที่ข้องใจมองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง จากนั้นก็หันไปเจ๊าะแจ๊ะกับพี่โหดของผมต่อ ผมบอกลาทุกคน เดินผ่านลานกว้างมาได้จนเกินครึ่งแล้วก็หันกลับไปดู ปรากฏว่าทุกคนในห้องนั้นพากันพร้อมใจออกมายืนส่งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าจนผมชักสงสัย
“ทำไมทุกคนมองผมแปลก ๆ”
“แปลกยังไง”
“ก็มองแล้วก็ยิ้ม ๆ บางทีก็กระซิบกระซาบกันแล้วก็หันมามองยิ้ม ๆ”
“อึดอัดหรือเปล่า ถ้ารู้สึกไม่ดีจะไปจัดการให้” ได้ยินพี่มันถามเหมือนเป็นเรื่องสำคัญ ผมก็รีบให้เวลาสำรวจความคิดของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า มันก็ไม่ได้รุนแรงอะไร
“ไม่หรอก ไม่ได้รู้สึกไม่ดี แค่สงสัยน่ะ ทุกคนก็ดูเป็นมิตรดี”
“พวกนั้นมันก็บวม ๆ แบบนี้แหละ อย่าถือสาเลย รู้จักกันไปจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรหรอก คงตื่นเต้นน่ะไม่ค่อยมีใครขึ้นมาให้เห็นบนนี้ วัน ๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมามันคงเบื่อ”
“แล้วเวลาที่วามาหาพี่พีร์ก็ขึ้นมาบนนี้หรือ”
“ใช่ แต่มาไม่บ่อยหรอก สองคนนั้นบ้านใกล้กันส่วนใหญ่ก็เจอกันที่บ้านมากกว่า” ดูท่าทางทุกคนจะสนิทสนมกันดี การที่จู่ ๆ ก็มีผมโผล่เข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ได้รู้จักกับใครมาก่อนมันจะทำให้พวกเค้าลำบากหรือเปล่า เรื่องแค่นี้ผมก็ต้องเก็บเอามาคิดตามประสาคนที่มีเชื้อสายผู้ดีที่มักจะเกรงอกเกรงใจผู้อื่นเสมอ ผมคิดและคิดจนกลายเป็นเงียบอยู่คนเดียว
“เป็นอะไร ยังติดใจเรื่องเมื่อกี้อยู่หรือ”
“ก็ไม่เชิง ถ้าเราไปทำงานในห้องนั้น มันจะลำบากคนอื่นหรือเปล่า ผมหมายถึงว่าผมเป็นคนนอก เอางานส่วนตัวเข้าไปทำในห้องสภาของคณะอื่น มันอาจจะไม่ค่อยดี” จิณณ์ประท้วงด้วยเสียงครางในลำคอ
“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก แล้วต่อไปนี้ นายก็ไม่ใช่คนอื่นแล้วด้วย”
“ทำไม”
“ก็ไม่ทำไม เพื่อนฉันก็เหมือนเพื่อนพวกนั้นด้วยเหมือนวากับพีร์ไง”
“ทำแบบนั้นได้หรือ”
“ได้สิ วันไหนเลิกเรียนเร็วก็ขึ้นมาหาฉันบนนี้ได้ ระหว่างที่รอเรียนตอนบ่ายจะขึ้นมานอนฆ่าเวลาก็ไม่มีใครว่า ถ้าว่างมากนักก็ให้เจ้าพวกนั้นช่วยติวให้ เห็นอย่างนั้นน่ะหัวกะทิของรุ่นทั้งนั้นเลยนะ ลองปีนบันไดแดงเล่นวันละรอบสองรอบ ร่างกายจะได้แข็งแรงดีกว่าเอาเวลาไปเที่ยวตะลอน ๆ แถวสยามหรือทองหล่อตั้งเยอะ” สุดท้ายมันก็วกเข้าเรื่องเดิม พยายามเหลือเกินละ ไอ้เรื่องที่จะให้ผมหันมารักมาชอบการปีนบันไดหฤโหดของคณะมันเนี่ย หยุดคิดไปสักวันมันจะทำให้รัศมีความเป็นคนดีหมองลงหรือยังไง ผมนึกแขวะพ่อคนดีท่านในใจแล้วก็เบรคกึก
“พี่รู้ได้ยังไง?”
“ก็เคยทำมาก่อนทำไมจะไม่รู้”
“ไม่ใช่ รู้ได้ยังไงว่าผมเอาเวลาไปเที่ยวตะลอน ๆ ตรงไหนบ้าง”
“ก็...”
“จิณณ์” ผมเน้นเสียงเข้ม “บอกมาตามตรง พี่รู้ได้ยังไงว่าผมชอบไปไหน เมื่อไหร่” หลบตา เสมองขั้นบันได แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ อาการแบบนี้เด็กห้าขวบแถวบ้านผมฟันธงว่าไอ้พี่จิณณ์มีพิรุธร้อยเปอร์เซ็นต์!
“ฉันก็เคยไปแถวนั้นเหมือนกัน”
“แล้วก็บังเอิญเป็นทุกครั้งที่ผมไปด้วยอย่างนั้นใช่ไหม” ผมชี้ทางเอาตัวรอดให้พี่มันอย่างใจกว้าง จิณณ์ยิ้มเขิน รู้ล่ะสิว่าเหตุผลที่พูดออกมานั่นน่ะมันไม่ใช่ความจริงสักนิดเดียว ผมปรายตามองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังส่งยิ้มมาให้แล้วก็นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มแบบนี้ด้วย
โธ่เอ๊ย จะหลอกคนอื่นก็เอาให้มันเนียนหน่อยได้ไหม ผมรู้หรอกน่าว่าที่จริงแล้วน่ะไอ้พี่จิณณ์ไม่ได้-บังเอิญ-ไปเจอผมหรอก จับปึกชีทในมือโบกไปมา ยิ้มให้คู่สนทนาอย่างเป็นต่อ
“คิดว่าผมไม่รู้ความจริงหรือไง” จิณณ์กะพริบตาปริบ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อผมตบชีทปึกนั้นบนอกของเค้า แหม อยากให้คุณเห็นสีหน้าของคุณชายจิณณ์ตอนนี้เสียจริง หน้าขาว ๆ แดงก่ำ พยายามสบตาผมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเองแต่เสียงที่ส่งมาเถียงนี่สิ ไม่มั่นคงเอาซะเลย
“ความจริงอะไร ไม่มีหรอก”
“ก็ความจริงที่ว่าพี่ไม่ได้บังเอิญไปเจอผมแถวนั้น...แต่ว่าพี่...” ยิ่งผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไอ้พี่จิณณ์มันก็ยิ่งมีพิรุธครับ ทำเป็นเก๊กหน้านิ่งแต่ใจเต้นรัวเลยนะพี่จ๋า
โปรดติดตามตอนต่อไป ((หรือว่าน้องคุณจะรู้แล้วว่าพี่จิณณ์.....))