ตอนที่ 13 ด้ายสีแดง (2)
หลังจากมื้อเที่ยงทั้งสองคนเดินดูซุ้มงานคณะอื่นอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกกันไปทำธุระของตัวเอง ภามปฏิเสธไม่ให้พี่ดีนไปส่งที่ตึกเพราะกลัวจะโดนคนในคณะรุมล้อจนไม่เป็นอันทำอะไร เด็กหนุ่มเลื่อนฟีดเฟซบุ๊กแล้วอมยิ้มเพราะขนมไทยจากชมรมเขาได้รับความชื่นชมมากเลยทำให้คนมาดูคณะเศรษฐศาสตร์เยอะกว่าปีก่อนๆ เลื่อนไปเลื่อนมาก็เจอภาพตัวเองที่โดนแอบถ่ายกับพี่ดีนอีกชุด ซึ่งได้แต่มองแล้วถอนใจ
..แอบกดเซพเก็บไว้หน่อยแล้วกัน
ภามเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง เมื่อสักครู่พี่กิ๊ฟฟี่ไลน์มาบอกว่าให้ไปเจอที่ห้องชมรม เขาเลยเปลี่ยนเส้นทางจากตึกคณะไปอีกทางแต่พอก้าวเท้าเข้าไปเท่านั้นแหละ
“อุตส่าห์ให้ไปนอนพักน้า” หัวหน้าชมรมส่งเสียงมาก่อนเพื่อน
ภามวางกระเป๋าไปล้างมือ หน้าตายังงุนงงกับรอยยิ้มล้อของคนในชมรม
“พักใจไงคะ ไปจูงมือกันกระหนุงกระหนิงขนาดนั้น” อีกคนช่วยเสริม
“นี่เราต้องเรียกค่าเสียหายจากการจับมือเด็กในชมรมเท่าไหร่คะประธาน”
“บังคับผูกขาดสั่งอาหารชมรมเลยสิ คึคึ”
คราวนี้คนหัวช้าชักนึกออก เขาทำเป็นไม่สนใจเสียงล้อของพี่ๆ แต่ทั้งแก้มทั้งหน้ามันฟ้องจนคนเห็นหัวเราะก๊ากด้วยความเอ็นดู
“โอ้ย ภามไม่ต้องเก๊กหน้านิ่ง แดงขนาดนี้” สาวๆ รุมดึงแก้มรังแกรุ่นน้องที่พยายามปกป้องสวัสดิภาพตัวเอง กว่าจะยอมปล่อยให้หลุดออกไปได้ ภามก็หอบแฮ่กเผ่นหนีไปเตรียมแป้งอยู่อีกทาง
นี่ถ้ารู้ว่าโดนยิ่งกว่าจับมือ พี่ๆเขาไม่เรียกร้องกันกว่านี้เหรอเนี่ย
คิดแล้วก็พาลนึกถึงสัมผัสวาบหวาม ภามยกมือขึ้นแตะริมฝีปากลูบเบาๆ ราวกับความอบอุ่นจากริมฝีปากพี่ดีนยังหลงเหลืออยู่ รวมถึงรสชาติหวานติดปลายลิ้นของ.......เขาก้มลงมองแป้งในมือที่กำลังปั้นเพื่อจะห่อไส้
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
“พี่อุ้มครับ!!”
“ขา” พี่อุ้มสะดุ้งโหยงเกือบจะทำฝาซึ้งสำหรับนึ่งขนมหล่น
“ผมขอเปลี่ยนมาทำบุหลันดั้นเมฆได้ไหม” ภามขอปากคอสั่น จะให้เขาปั้นขนมพระพายไปด้วยคิดถึงพี่ดีนไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด ตายแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ
รุ่นพี่ทำหน้างง แต่เห็นน้องขอด้วยสายตาเว้าวอนก็ยอมให้เปลี่ยนตำแหน่ง ภามรุดเข้ามายกถาดขนมจัดเรียงลงในซึ้งขนาดใหญ่ โชคดีที่ไอน้ำร้อนช่วยปกปิดใบหน้าแดงก่ำไม่ให้ใครรู้ว่าตอนนี้คิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนๆ
----
----
“อิน จะออกไปจริงๆ เหรอ” หญิงสาววัยเกือบ30เอ่ยถามน้องชายที่ห่างกันเป็นสิบปี “ถ้าพ่อรู้เข้า..”
“พี่อันช่วยปิดให้ผมหน่อยนะ” เด็กหนุ่มทำตาละห้อยเกาะแขนพี่สาว “แค่ครึ่งวัน ผมอยากไปพบพี่กรณ์” ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของเขากับพี่กรณ์โดนจับได้จนกลายเป็นเรื่องทะเลาะกันใหญ่โตทั้งสองฝ่าย แล้วโดนกักบริเวณไปเป็นเดือนๆ โชคเข้าข้างที่วันนี้พ่อแม่ทั้งของเขาและพี่กรณ์ไม่อยู่ ทางสะดวกให้แอบหนีไปพบกันได้
อันทิกาถอนใจกับความซนแสบของน้อง หล่อนพยักหน้า “ห้ามไปค้าง ดึกๆ พ่อน่าจะโทรเข้าบ้านเพื่อเช็คว่าเราอยู่ไหม”“อืม ผมจะรีบกลับมา” ผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็หันมาลูบหัวหลานสาววัย7ขวบ“น้าอินไปไหนคะ” เด็กหญิงตัวน้อยกอดตุ๊กตามองน้าชายตาแป๋ว มือข้างหนึ่งเกาะชายเสื้อแม่ไว้แน่น“น้าอินไปธุระค่ะ เดี๋ยวกลับมา ฝากอลินดูแลคุณแม่ด้วยนะคะ” หอมแก้มยุ้ยอย่างหมั่นเขี้ยว เขารักหลานมากแถมชื่ออลินเขาเป็นคนตั้งเองกับมือ “หลานน้าอินเหมือนตุ๊กตาฝรั่งเลย น่ารักแก้มแดง”
อันมองสองน้าหลานหยอกล้อกันทั้งๆที่ควรจะรู้สึกดีแต่หล่อนกลับใจหายอย่างบอกไม่ถูก พอน้องลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปเธอก็โผเข้ากอดแน่น“เย็นนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ทำรอ” อินหัวเราะพลางลูบหลังพี่สาวเบาๆ “งั้น..ขอแฮมเบิร์กชิ้นโตๆกับแกงส้มชะอมไข่ครับ” พี่สาวหัวเราะคิกกับเมนูที่ไปคนละทิศละทาง เพราะแฮมเบิร์กคือของโปรดลูกสาวเธอต่างหาก อินชอบสปอยล์หลานอยู่เรื่อย“โอเค พี่จะทำไว้รอนะ”“รักพี่นะ บาย” เขาโบกมือแล้วรีบออกไปจากบ้านเหลือพี่สาวและหลานมองตามหลังจนลับตา“คุณแม่เป็นไรคะ” เด็กตัวน้อยกระตุกเสื้อมารดาแล้วเริ่มเบะปาก “คุณแม่...ร้องไห้ทำไม” เริ่มน้ำตาไหลตามอย่างไม่มีเหตุผลอันทิกาปาดน้ำตาใจไม่ดีเหมือนจะไม่ได้เจอน้องชายอีก เธอลูบอกตัวเองหนักๆ แล้วก้มลงเช็ดน้ำตาให้ลูก“แม่ไม่เป็นไรค่ะ เราไปสวดมนต์กันไหมอลิน แล้วตอนเย็นก็ไปซุปเปอร์ซื้อของอร่อยๆมาทำให้น้าอินกัน”“เย้” อลินกระโดดดึ๋งร้องเพลงชอบใจวันนั้นอันทิกาไม่คิดเลยว่าแฮมเบิร์กชิ้นโตและแกงส้มกลิ่นหอมที่ทำสุดฝีมือนั้น......
...
น้องชายจะไม่ได้กลับมากินตลอดกาล----------
----------
“กลิ่นแกงส้ม?”
“เฮ้ย!!!” คนในชมรมสะดุ้งโหยง “กลิ่นบุหลันฯจะกลายเป็นแกงส้มได้ไง” พี่บางคนโวยวายรีบวิ่งมาดูขนมที่เพิ่งยกออกมาจากซึ้งนึ่ง แต่กลิ่นหอมฉุยนั้นเป็นกลิ่นน้ำดอกไม้หวานฉ่ำตามปกติ
ภามถูจมูกขมวดคิ้ว ลองดมอีกทีก็ไม่มีกลิ่นแกงส้มแล้ว
“สงสัยจะเป็นหวัด” เขาบ่นเบาๆ
“งั้นพอเลยค่ะ เดี๋ยวเอาหวัดลงขนม เดี๋ยวเอาขนมไปให้ที่คณะก็หมดงานแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวสต๊าฟคนอื่นจัดการเอง ภามตามสบายเลย” พี่อุ้มหยิบกล่องพลาสติกส่งให้เพราะรู้ว่าน้องจะเอาไปฝากคนอื่นๆ
“นี่นะคะ จะเอาไปฝากแฟน ฝากกิ๊ก ฝากใครก็ตามสบาย”
“พี่อุ้ม!!” ภามหน้าแดง ทำไมวกกลับมาเรื่องแฟนอีกละเนี่ย ทุกคนทำตัวเหมือนรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือมีติดเครื่องดักฟังเอาไว้??
“ไปค่ะไป สามโมงเย็นแล้ว” พี่ๆ บริการหยิบขนมใส่กล่องใส่ถุงยัดมือรุ่นน้องเรียบร้อย
จากนั้นก็โดนทั้งผลักทั้งดัน รู้สึกตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็มายืนเคว้งอยู่กลางมหาวิทยาลัย เขาลองเปิดไลน์ดูพอเห็นข้อความของทีมส่งทิ้งเอาไว้ว่าหนุ่มน้อยตกน้ำจะเปิดถึงแค่4โมงเย็น เขาก็ตัดสินใจไปหาเพื่อนที่ชมรมทันที
เสียงหัวเราะและเสียงเฮฮาดังลั่นทั่วบริเวณสระว่ายน้ำ อีกทั้งเสียงเชียร์เรียกความสนใจผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนี้ ภามยืนมองทางเข้าสระที่ตกแต่งเชิญชวนคนเข้ามาดู เดินหมุนไปหมุนมาเกิดอาการป๊อดขึ้นมากะทันหัน เขามองนาฬิกาข้อมือกัดปากเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ แอบเข้าไปดูสถานการณ์ข้างใน
ดูเหมือนการสาธิตว่ายน้ำจะจบลงไปแล้วเหลือแค่เกมหนุ่มน้อยตกน้ำที่มีซุ้มสามซุ้มเซตเอาไว้ที่ขอบสระ และใช้สระขนาดมาตรฐานแทนถังน้ำ ส่วนลูกบอลที่ใช้จะมีอักษรเขียนเอาไว้ เช่น ถ้าใครโดนลูกบอลที่มีรูปผีเสื้อปาตกน้ำ คนนั้นต้องว่ายท่าผีเสื้อหนึ่งรอบสระ ดูเหมือนว่าอันนี้จะเป็นความคิดรองประธานเพื่อให้ซ้อมไปในตัว
ภามพยายามยื่นหน้าเมื่อเห็นทีมเพิ่งตะกายขึ้นจากสระน้ำ ท่าทางเพิ่งโดนปาตกไปหมาดๆ เขาโบกมือหยอยๆหวังว่าเพื่อนจะเห็น แล้วฟ้าก็เป็นใจ
..พี่วินดันหันมาเต็มสองตา..
“อ้าว น้องภาม!!” รองประธานชมรมแสนดีจงใจตะโกนเรียกลั่นสระทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย ทีมที่กำลังเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดตาถึงกับหยุดแล้วหันมามอง รวมถึงสมาชิกที่เหลือทุกคนก็หันมาที่ทางเข้าพร้อมกัน บังเกิดเป็นความเงียบจนภามเกือบถอยหลังเตรียมโกยหนี
“ของกิน!” ทีมพุ่งเข้าใส่คว้าเพื่อนซี้เอาไว้พร้อมดวงตาแวววาว “ไหนขนมๆๆๆ”
ภามรีบควักกล่องส่งให้ทันที แถมด้วยอีกกล่องใหญ่
“อันนี้ของทีมกับคนอื่นๆ ในชมรม”
โอ้ววววว
สมาชิกที่เหลือครวญคราง มองคนมาใหม่เหมือนกับเทวดามาโปรดยามหิวโหย รองประธานพุ่งเข้ามาคว้าแขนรุ่นน้องอีกข้างพร้อมรับกล่องขนมมาถือหน้าชื่นตาบาน
“ขอบคุณครับ พอดีไอ้ดีนมันเพิ่งเดินไปที่ห้องชมรม เดี๋ยวก็คงมา”
เด็กหนุ่มส่ายหัวพรืด “ผมแวะเอาขนมมาฝากทีมกับคนในชมรมเฉยๆ” รีบแก้ตัวพัลวัน
“ไม่มีของพี่พิเศษแบบทีมเหรอ” วินทำเสียงละห้อย
“มีครับมี” ชูถุงให้ดู
“แล้วของพี่ดีน..” ทีมแกล้งถามลองเชิง
“พี่ดีนกินแล้ว” ภามบอกเสียงอุบอิบ
“อ้าว” เสียงทุ้มคุ้นหูดังอยู่ข้างหลัง “งั้นคราวนี้พี่ห้ามกิน?”
ภามหันหลังขวับปะทะเข้ากับพี่ดีนที่อยู่ในชุดว่ายน้ำมีผ้าขนหนูพาดคอไว้ หัวก็ยังดูเปียกๆ ดวงตาสีสวยที่จ้องมองเขาดูขบขัน
“กินได้ ผมเอามาให้ด้วย” รีบหยิบอีกกล่องส่งให้ทำเมินรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเพื่อนซี้และพี่วิน
“เชิญครับเชิญ เอ้ายืนมองอะไรมากินขนมเร็ว” พอได้ยินคำอนุญาตจากรองประธาน เหล่าสมาชิกก็กรูกันเข้ามาหยิบขนมกับหนุบหนับ ในขณะที่ท่านประธานเอาแต่หยิบลูกกลมๆ สีน่ารักเข้าปากไปสามลูกแล้ว
“มึงชอบกินขนมพระพายเหรอ” วินเอาเข้าปากบ้าง ถึงจะอร่อยแต่ส่วนตัวเขาชอบบุหลันดั้นเมฆมากกว่า
ดีนยักไหล่ เขาตอบเพื่อนแต่ตาเหลือบมองน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ “ช่วงนี้ติดใจรสขนมพระพายน่ะ” งับเข้าไปอีกลูก “หวานดี..”
คนโดนกระทบแก้มร้อนรีบก้มหน้านิ่งซ่อนความเก้อเขินจากสายตาคนรอบตัว ภามอุบอิบต่อว่าเสียงเบา
“พี่ดีนนิสัยไม่ดี...”
คนได้ยินยิ้มกริ่มเงียบๆ ด้วยความพอใจ
“เดี๋ยวจบงานมึงจะไปไหนต่อ ไปหาไรกินกันไหม” วินพูดขึ้นหลังจากสำเร็จโทษขนมจนหมดกล่อง รุ่นน้องเองก็ทยอยไปเก็บซุ้มและทำความสะอาดรอบสระน้ำ
ดีนมุ่นหัวคิ้วแล้วหันมาจ้องภามที่นั่งอยู่ข้างๆ จนคนโดนมองสะดุ้งโหยงรีบหันไปมองรุ่นพี่ผมทองอีกทอด พร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัว
“ถามผม?”
วินขำก๊าก “เปล่า พี่ถามไอ้ดีนมัน แต่ดูเหมือนมันยกหน้าที่ตัดสินใจให้ภาม”
หูยยยยยยเสียงสมาชิกชมรมอุทานจากรอบทิศ เพราะเสียงรองประธานไม่เบาเลยทำให้คนอื่นๆที่กำลังเก็บของได้ยินชัดเจน รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและดวงตาวับวาวบันทึกไว้เรียบร้อยว่าถ้าน้องน้องปี1แห่งชมรมขนมไทยมาที่สระว่ายน้ำ คงต้องจัดที่นั่งพิเศษให้ ในขณะที่ภามทำหน้าไม่ถูก ประธานชมรมว่ายน้ำกลับตีหน้าเฉย ยอมรับกลายๆว่าให้น้องตัดสินใจจริง
“แหมะ มีให้ตัดสินใจแทน อั่ก!!” ทีมถองศอกใส่เพื่อนเบาๆ แต่โดนศอกกลับเต็มแรงจนแทบจุก ไม่คิดว่าเวลาเพื่อนอายจะส่งผลรุนแรงขนาดนี้
“เดี๋ยวต้องไปหามะนาวกับเดล” ภามพูดถึงสองสาวที่น่าจะแสดงละครเสร็จพอดี จริงๆ ก็อยากไปดูหรอกแต่โดนห้ามเอาไว้เพราะสาวๆ อายมากกลัวเจอหน้าคนรู้จักแล้วจะลืมบท
“ก็พาไปด้วยกันดิ” ทีมเสนอ “กินข้าวด้วยกันหลายคนไง”
ภามพยักหน้าเป็นการสรุปว่าเย็นนี้พวกเขาจะไปกินข้าวด้วยกัน
หลังจากที่ยกโขยงไปรับสองสาวเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้คนที่ยืนอยู่แถวโรงยิม เพราะหายากที่ประธานชมรมว่ายน้ำจะพาตัวเองมาแถวนี้ได้ แถมมีรองประธานอารมณ์ดีส่งรอยยิ้มแจกจ่ายเป็นคอมโบเซ็ทที่สุดแสนจะคุ้มยิ่งกว่าป๊อปคอร์นหน้าโรงหนังเล่นเอาพวกเขาเหนื่อยสายตัวแทบขาด โดยเฉพาะเจ้าทีมที่บ่นหิวทุกๆ ห้านาที แถมยังมีเรื่องที่ประธานชมรมว่ายน้ำไปยืนเขม่นมองกับดาราลูกครึ่งอีกกรณีด้วย ทำเอาพวกเขาใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงกว่าจะขนทั้งหกชีวิตมายืนอยู่ในห้าง E ใจกลางเมืองตอนเกือบจะได้เคารพธงชาติพอดี
ดีน ภาม วิน ทีม มะนาวและเดล เดินไปพลางถกเถียงไปพลางว่าจะกินอะไร วินขอบายอาหารไทยในขณะที่สาวๆขอผ่านอาหารที่มีชีส สุดท้ายก็จบลงที่ชาบูเจ้าดัง
เมื่อตกลงร้านได้คนรู้ทางอย่างดีนก็เดินนำด้านหน้าสุด โดยมีสองสาวที่ยังคุยกันไม่เลิกเรื่องละครที่แสดงวันนี้อยู่ตรงกลาง และมีวินกับทีมเดินทอดน่องประกบหลัง
“อุ้ย เดลดูสิ” มะนาวกระตุกแขนเสื้อเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เดลหันไปมองตามที่มะนาวบอก พี่ชายคนโตของบ้านที่ตอนแรกเดินค่อนข้างเร็วพอหันมาเห็นภามเร่งฝีเท้าตาม เขาก็ลดสปีดลงจนเดินข้างกันแล้วก้มลงพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้คนข้างๆ แยกเขี้ยวใส่ ภามยกมือขึ้นจับชายเสื้อพี่ชายเธอเอาไว้พร้อมรอยยิ้มและแววตาอบอุ่นทำให้เดลอดยิ้มไปด้วยไม่ได้
“ดีจัง”
“ดีมากกกก” มะนาวยิ้มแฉ่งแอบถ่ายรูปแล้วแปะลงห้องลับในไลน์
เดลหัวเราะคิก สงสัยความหมาย
ดีจัง ของเธอกับมะนาวจะต่างกันไปสักหน่อย
....ดีจัง...ที่พี่ชายของเธอหาคนสำคัญได้แล้ว...
“เด๊ลลล!!” คราวนี้มะนาวจับมือเพื่อนสาวเขย่าเรียกเสียงหลง “นี่มันดีขนาด Full HD เลยยยยอั้ยยยะ”
เดลตั้งสติมองพี่ชายอีกครั้งแล้วแก้มก็ร้อนผะผ่าว เพราะครั้งนี้มือของภามที่จับเสื้ออยู่โดนดึงออกเอาไปกุมแน่น ภามดูเก้อเขินแก้มขึ้นสีระเรื่อพยายามพูดอะไรสักอย่างแล้วจะเอามือออกแต่พี่ดีนส่ายหัวจับมือแน่นไม่ปล่อย สุดท้ายก็เม้มปากแน่นเบือนหน้าออกไปทางอื่น
จากตรงที่พวกเธอยืนอยู่เห็นได้ชัดว่าภามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ตาก็มองพื้นปล่อยให้พี่ดีนจูงเดินต้อยๆ ในขณะที่พี่ดีนเองก็อมยิ้มที่มุมปาก การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ปราณีหัวใจคนที่กำลังแอบมองอยู่เลย
เดลแก้มร้อนเหลือบตามองมะนาวที่ตอนนี้ปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้องด้วยดวงตาสั่นระริก
..โอเค เธอยอมรับก็ได้..
คำว่าดีจังเมื่อกี้เหมือนของมะนาวอยู่ 50%
น้ำซุปในหม้อกำลังเดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน หกคนสองหม้อกำลังเริ่มบรรเลงมื้อเย็นอย่างสนุกสนาน ทีมรีบจุ่มเนื้อลงหม้อแกว่งให้สุกแล้วเอามาจิ้มน้ำจิ้มที่ผ่านการผสมโดยสมาชิกชมรมขนมไทยแล้วทำหน้าฟิน จริงๆ ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษเพียงแต่เป็นความเชื่อส่วนตัวว่าของกินอะไรก็ตามถ้าผ่านมือเจ้าเพื่อนซี้คนนี้มันต้องอร่อยแน่นอน
พอเขาบอกแบบนี้ทุกคนบนโต๊ะก็หันมามองภามเป็นตาเดียวกัน เดือดร้อนเจ้าตัวต้องผสมน้ำจิ้มให้ทุกคนอย่างงงๆ
“วันนี้ละครที่เล่นเป็นเรื่องของความรักชะตาลิขิตแหละค่ะ พระเอกของเรื่องตื่นมาก็พบว่าตัวเองมีด้ายสีแดงผูกอยู่ที่นิ้ว เลยออกตามหาปลายด้ายว่ามันอยู่ที่ไหน” มะนาวเป็นฝ่ายเริ่มต้น เธอนั่งตรงข้ามเดลถัดไปคือพี่วินและทีม ส่วนฝั่งตรงข้ามถัดจากเดลคือพี่ดีนและภาม
“ด้ายแดงคืออะไร? ปกติตื่นมาเจอแบบนี้พี่ตัดด้ายขาดไปแล้ว เกะกะ” วินถามพลางโกยข้าวเข้าปากเพียงไม่กี่คำก็เล่นเอาเกือบหมดถ้วย
“โห่ ไม่โรแมนติกเลย คืองี้ค่ะ” มะนาววางตะเกียบเริ่มอธิบาย “คนญี่ปุ่นเขาเชื่อกันว่าคนที่เป็นเนื้อคู่กันจะมีด้ายสีแดงผูกติดกันเอาไว้ที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เปรียบเสมือนเส้นเลือดจากหัวใจที่ไปผูกติดกับคนแห่งโชคชะตา”
ทีมพยักหน้าหงึกหงักเขาเคยอ่านจากการ์ตูนมาบ้างเลยพอรู้จักเรื่องแบบนี้ แต่พอเห็นรุ่นพี่ประจำชมรมทำหน้าหมางงเป็นโกลเด้นหลงทาง เขาเลยหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนสามปื้ดแล้วโชว์กลางโต๊ะอาหาร “แบบนี้ไง”
ทุกคนชะโงกหน้ามองแล้วร้อง อูยยยยยแทบจะพร้อมกัน
“เฮ้ย ไอ้ทีม!!!” ภามร้องลั่นรีบตะครุบมือเพื่อนแต่ก็ไม่ทัน ทีมส่งต่อให้พี่วินทันที
“อาฮะ เข้าใจแล้ว เนื้อคู่กันนี่นะ” วินดูเสร็จก็ยิ้มล้อรุ่นน้องต่างชมรมที่ตอนนี้เหมือนจะระเบิดตัวตายอยู่รอมร่อ
“จำไว้นะ” ภามอุบอิบฝากความแค้นให้เพื่อนกับรุ่นพี่ที่หัวเราะกิ๊กกั๊กชอบใจ ก็นั่นมันภาพเขากับพี่ดีนที่มีด้ายแดงผูกนิ้วก้อยเดินคู่กันนี่นา
ดีนส่ายหัวยิ้มๆ จัดการส่งเนื้อชิ้นโตให้น้องสาวบังเกิดเกล้าเพื่อไม่ให้แซวคนที่หน้าดำหน้าแดง แล้วส่งอีกชิ้นให้น้องคนพิเศษอีกคนข้างตัว เขาทำตาระยิบระยับหนักเมื่อเห็นภามหน้าแดงไปจนถึงใบหู
อาการแบบนี้..มันไม่ดีกับหัวใจเขาเลย ไม่ดีจริงๆ
เดลเคี้ยวชิ้นเนื้อจากพี่ชายเสร็จก็ช่วยเปลี่ยนเรื่อง “อ้อ ตอนซ้อมละครเรื่องนี้เดลได้ยินตำนานด้ายแดงของจีนด้วยนะคะ” พูดพลางแกว่งชิ้นเนื้อลงในหม้อน้ำซุปจนมันกึ่งสุกเธอก็ยกออกกลายเป็นเนื้อนุ่มนิ่มกำลังดี
“แล้วมันต่างกับของญี่ปุ่นเหรอ” วินเติมข้าวจานที่สอง ระหว่างรอก็หันไปแย่งเนื้อของรุ่นน้องเลยโดนตะเกียบฟาดเข้าหลังมือเต็มแรง เขาเบะปากเรื่องกินนี่เจ้าทีมสู้ลืมตายจริงๆ เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่จานของน้องมะนาวคนสวย แต่อนิจจา..เธอฟาดเรียบไม่มีให้ขโมย
“ต่างค่ะ ก็ของญี่ปุ่นมันผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้ายใช่ไหมคะ แต่ของจีนมีความเชื่อว่าคนที่โชคชะตากำหนดให้คู่กันจะมีเชือกสีแดงผูกที่ข้อเท้าของแต่ละฝ่ายแหละค่ะ”
พอได้ยินว่ามีผูกคนละที่คนละทาง แต่ละคนชักสงสัยว่าการผูกด้ายแดงแต่ละที่ต่างกันอย่างไรและมีหมายความอะไรกันแน่
“แล้วเคยได้ยินเรื่องนี้รึเปล่า” ทีมที่เริ่มอิ่มเล่าบ้าง “คู่ที่มีความรักไม่สมหวัง เขาจะผูกเชือกหรือด้ายสีแดงที่ข้อมือเอาไว้ด้วยกันแล้วฆ่าตัวตาย เพราะเชื่อว่าเจ้าด้ายแดงเนี่ยจะเป็นตัวโยงให้พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”
ตึกตัก..ภามกุมอกตัวเองด้วยความรู้สึกประหลาด ในขณะที่สาวๆ พึมพำว่าสงสารกระตุ้นให้ทีมเล่าต่อ
ตึกตัก..“แล้วพอกลับมาเกิดใหม่ พวกเขาก็จะรู้สึกเหมือนกับรู้จักกันมานาน..แสนนาน เหมือนรอมาทั้งชีวิต” เสียงของทีมเริ่มไกลออกไป
ตึกตัก“ตอนเขาเจอกันจะรู้สึกยังไงน้า...” แล้วมีเสียงมะนาวตบท้ายบางเบา
...
...
รู้สึก....อบอุ่น โหยหา ตื้อในอก...
[“สัญญานะว่าเราจะหากันจนเจอ...”]ดวงตาจะร้อนผ่าว น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
[“อืม..สัญญา”]...
...
เฮือก!!ภามสะดุ้งโหยง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นถี่เหมือนเจอเรื่องตกใจอะไรสักอย่าง เขาสูดลมหายใจลึกๆ ดูเหมือนว่าสมาชิกบนโต๊ะจะไม่ทันสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนข้างๆนั้น..
“พี่ดีน” ภามเรียกเสียงพร่า
ตอนนี้ดวงตาสีสวยกำลังมองเขา มองด้วยสายตาลึกล้ำเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง มันดูอาวรณ์ โหยหา ชวนให้เศร้าในอกจนร้อนหัวตา ภามกำมือใหญ่ตอบแน่น
ถ้าเมื่อกี้พี่ดีนไม่จับมือเขาแล้วบีบเรียกสติเขาคงเหม่อไปไกลกว่านี้ ต่างคนต่างมองหน้ากันเหมือนมีอะไรจะถามแต่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายทั้งคู่ก็พูดออกมาพร้อมกัน
“สัญญา” “สัญญา”
สัญญาอะไร? ทำไมถึงต้องเป็นคำนี้?
ดีนขมวดคิ้วรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกคล้ายกับตอนที่เขาเกือบขับรถไปจูบกำแพงบ้านตัวเอง
“อ้าว คู่นี้สัญญาอะไรกัน” วินแกล้งทำเสียงอิ๊อ๊ะล้อ จนภามรีบหลุบตาลงมองชามข้าวตัวเองกลบเกลื่อน
“อ๋อ ฉันสัญญาว่าจะพาน้องไปส่งบ้าน” ดีนเนียนขึ้นมาเสียอย่างงั้น เนียนจนภามเบิกตากว้างหันกลับไปมองผู้ชายตรงหน้าใหม่
เดี๋ยว??? สัญญากันตอนไหนครับพี่???
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก” ทีมแกล้งโวยวาย แค่เห็นเพื่อนทำหน้าเหวอปากพะงาบเขาก็รู้แล้วว่าท่านประธานที่เคารพคงมัดมือชก เด็กในชมรมที่ดีควรส่งเสริมให้ความช่วยเหลือ
“งั้นขากลับพี่ดีนไปส่งภามนะคะ เดลเอารถมาอยู่แล้วคงแวะไปส่งมะนาวก่อน จะไปเอาของที่ทิ้งไว้ห้องมะนาวด้วย” เดลรีบส่งลูกต่อ แต่เธอต้องไปห้องมะนาวจริงๆ เพราะเมื่อคืนเธอค้างห้องเพื่อนเพื่อซ้อมบทครั้งสุดท้าย
ภามหันซ้ายหันขวาเริ่มตามเพื่อนๆ ไม่ทัน วันนี้เขาไม่ได้เอารถมาจริงเพราะคิดว่าลานจอดรถต้องเต็มแน่เลยติดรถมาพร้อมทีมตอนเช้าและตั้งใจจะกลับด้วยกัน
“โอเค ดีล” วินเติมข้าวชามที่สาม “กินต่อเร็ว เผื่อไปต่อขนมได้อีก” มนุษย์กระเพาะเหล็กเอื้อมไปฉกจานท่านประธานชมรม แต่ก็โดนเลื่อนจานหลบรวดเร็วจนตะเกียบปักพื้นโต๊ะดังปั๊ก
เสียงหัวเราะครื้นเครงดังลั่นจนกลบความรู้สึกแปลกๆ เมื่อสักครู่ บทสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องโรแมนติกกลายเป็นบิงซูร้านไหนอร่อย แล้วกลายเป็นเรื่องถกเถียงจริงจัง
ดีนคลี่ยิ้มมองเด็กน้อยเสนอความคิดเห็นกับเพื่อนๆ หากสองมือของพวกเขายังกุมเอาไว้ไม่ปล่อย มันกลายเป็นความเคยชินทั้งๆที่เพิ่งเคยจับมือกันไม่กี่ครั้ง ไม่ได้รู้สึกแปลกแต่กลับคุ้นเคยเหมือนว่าพวกเขาเคยจับมือกันมานานหลายปี
ด้ายแดง...เนื้อคู่..
ชายหนุ่มถอนใจ เขาหยิบมือถือขึ้นมากดเสิร์จหาอะไรสักอย่าง อะไร..ที่จะช่วยขจัดความสงสัยเขาไปได้สักที
ท้องฟ้ามืดสนิท เวลาบนรถเปลี่ยนเป็นสองทุ่มครึ่ง รถซีดานสีดำเลี้ยวเข้าคอนโดเจ้าประจำอย่างคุ้นเคย ดีนขับรถไปแอบข้างๆ เพื่อให้น้องได้ขนของลงได้อย่างสะดวก
“จริงสิ พี่ดีน วันนี้ผมฝันกลางวันด้วยแหละ” ภามเอี้ยวตัวหยิบหนังสือไปพลางคุยไปพลาง
“หือ ฝันกลางวัน?” ดีนถึงกับเลิกคิ้วงงๆ “นี่เอาเวลาไหนไปนอนกลางวัน”
“ไม่ได้นอนครับ” หัวเราะชอบใจ “ยังไงดี มันเหมือนมีภาพแว๊บเข้ามาในหัวน่ะครับ” ชี้ที่หัวตัวเองแล้วทำหน้านึก “ทำขนมอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองมีหลานสาว”
“หลาน? แล้วมีรึเปล่าล่ะ”
ภามส่ายหัว “แม่ผมมีญาติคนเดียวอยู่ที่อเมริกายังไม่ได้แต่งงาน ส่วนญาติฝั่งพ่อไม่ได้เจอกันนานมากตั้งแต่พ่อเสีย จนผมจำอะไรไม่ได้แล้ว น้องชายก็อายุแค่15 เลิกพูดเรื่องหลานได้เลยครับ”
“นี่กำลังจะบอกพี่ว่าอยากมีเด็กเล็กๆ ?” ดีนพาดมือกับพวกมาลัยแซวน้องขำๆ
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นครับ” รีบโวยวาย “แค่แปลกใจที่อยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองมีหลาน แถมมีพี่สาวด้วยนะ”
คราวนี้คนพี่หัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาขยี้หัวภามด้วยความเอ็นดู
“นอนน้อยแล้วก็ละเมอละสิ วันนี้รีบไปนอนเลย”
“หูย หาว่าผมละเมอนะ” ตีมือใหญ่เบาๆ แล้วรวบของทุกอย่างไว้ในอ้อมแขน “ไปละครับ ขอบคุณที่มาส่งนะครับ” ยกมือไหว้แล้วยิ้มหวานให้
“..........” ประธานชมรมว่ายน้ำแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง นับวันเขาชักต้านทานรอยยิ้มน้องไม่ไหวแล้วยิ่งวันนี้เพิ่งจะได้ลิ้มลองของหวานของริมฝีปากนุ่มนิ่มไป เลยอดไม่ได้ที่จะขอ...สักนิด
“ให้มากกว่าคำขอบคุณได้ไหมครับ” เขาหรี่ตามองเด็กน้อย
“เอ๋” ภามทำตาโต แอบคิดว่าหูฝาดหรือเปล่า
“ถ้าพี่ขอมากกว่านั้นจะได้ไหม”
(ต่ออีกนิดที่repถัดไปค่ะ)