ตอนที่ 9 ครอบครัว
กลิ่นหอมของข้าวต้มกระดูกอ่อนคละคลุ้งในห้องสตูดิโอเล็กๆ เช้านี้เจ้าของห้องยังคงต้อนรับแขกหน้าเดิมด้วยอาหารเช้าบำรุงสุขภาพ
ดีนนั่งมองน้องเดินไปเดินมาหยิบจับของในครัวอย่างคล่องแคล่ว เขาอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กน้อยชิมรสแล้วยิ้มหวานออกมา เพียงครู่เดียวข้าวต้มร้อนๆ ก็เสิร์ฟบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย
“อร่อย” เสียงทุ้มดังขึ้นทันทีที่กินเข้าไปคำแรก ไม่ใช่ชมเพื่อเอาใจแต่อร่อยจริงๆ “ภามทำอาหารอร่อยมาก”
คนโดนชมยิ้มเขินจนตาหยี “จริงๆ ผมอยากเปิดร้านอาหารน่ะครับ ว่าจะสานต่อร้านที่แม่เคยปิดไป”
“อ้าว แล้วทำไมมาเรียนเศรษฐศาสตร์ล่ะ” เคี้ยวกระดูกอ่อนนุ่มลิ้น
“พ่ออยากให้เรียนครับ แล้วผมเองก็ชอบด้วย” ดวงตาสดใสมองสบอีกฝ่าย “พ่อเสียไปแล้วผมเลยอยากทำให้ท่านสักอย่าง”
เสียงเล่าดังไปเรื่อยในขณะที่คนฟังก็กินเพลิน ดีนยอมรับว่าตอนนี้เขาเสพติดอาหารน้องจริงจัง
“พี่ดีน..เป็นลูกผสมชาติไหนเหรอครับ” อยู่ๆ น้องก็ถามขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มต้องวางช้อนลง
“แม่พี่เป็นลูกครึ่งตะวันออกกลางรู้สึกจะมีหลายเชื้อชาติ พี่ไม่เคยเจอญาติฝั่งแม่สักเท่าไหร่ แม่เองก็ไม่ได้เล่าเลยไม่ได้ลองถามดูสักที ส่วนสีตาที่ภามเห็น” เขาขยับใบหน้าเข้าใกล้จนเด็กน้อยสะดุ้งผละถอยหนีนิดๆ “ดูเหมือนเป็นยีนส์เด่นจากฝั่งยาย น่าจะเป็นเพราะเม็ดสีผิดปกติ ทั้งแม่ ทั้งพี่และน้องๆตาสีนี้หมด” บีบจมูกรั้นเอ็นดู “กลัวไหม สมัยเด็กๆมีคนบอกว่าเหมือนตาผี”
ภามส่ายหัวพรืด “ผมชอบ!! หง่า..............ชอบดวงตาของพี่” รีบพูดตะกุกตะกัก “มันสวยเหมือนอัญมณี”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจ “ภามเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้ ขอบคุณครับ”
เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง เขาชอบตาพี่ดีนจริงๆ ถ้าไม่อายคงจ้องทั้งวัน “เอ๊ะ พี่มีแผลตรงขมับเหรอครับ”
มือใหญ่แตะที่ขมับด้านขวาแล้วไล้ปลายนิ้วเบาๆ “เปล่าครับ มันเป็นปาน” ปานสีอ่อนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
“ถ้าไม่สังเกตนี่ไม่เห็นเลยนะครับเนี่ย ผมเองก็มีนี่ไง” เปิดผมให้ดูที่ขมับตัวเองบ้าง “แม่เคยเล่าว่าคนเก่าแก่เขาเชื่อกันว่าปานคือสิ่งที่ติดตัวมาจากชาติที่แล้ว พอมีปานตรงขมับนี่อดคิดไม่ได้ว่าชาติที่แล้วไปทำอะไรถึงมีรอยตรงนี้” หัวเราะเบาๆ แล้วหยิบชามข้าวอีกฝ่ายไปตักเพิ่ม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพี่ดีนกินเยอะมากจนต้องทำเผื่อเอาไว้
ภามตักจนข้าวต้มเต็มถ้วย เขาหันมาหาชายหนุ่มที่ตั้งใจฟังเสียงเจื้อยแจ้ว
“แล้ววันหนึ่ง เจ้าภูมิน้องชายผมมันไปดูหนังแล้วปากเสียบอกผมว่ารอยที่ขมับแบบนี้สงสัยชาติที่แล้วคงยิงตัวตา....”
เด็กหนุ่มหยุดชะงัก ภาพบางอย่างวูบไหวขึ้นมา เสียงร้องไห้เหมือนจะขาดใจ น้ำตาที่เปียกชุ่มไปทั้งใบหน้า ใครสักคนกำลังมองตรงมายังเขาพร้อมขยับริมฝีปากช้าๆ..
พี่....รัก.....อ..
พี่กรณ์!!!
ปัง!!!
เพล้ง!!
“อึก” ชามข้าวต้มแตกเป็นเสี่ยงอยู่ที่พื้น ร่างสูงดีดตัวพุ่งเข้ามาหาน้องทันที ดีนรวบร่างที่กำลังยืนสั่นเทาเข้ากอดแน่น
“ชู่ว์ ใจเย็นๆ” มือใหญ่อบอุ่นลูบหลังอีกฝ่ายปลอบโยนพร้อมปลอบให้คนในอ้อมแขนสงบลง
ภามหายใจหอบหนักเหมือนคนวิ่งระยะไกลมาหมาดๆ เขาซุกหน้ากับอกกว้างหลับตาลงสงบสติ อีกนิดเดียวโรคเขาก็จะกำเริบโชคดีที่พี่ดีนไวพอจะช่วยหยุดมันไว้ได้
เสียงนาฬิกาข้อมือดังขึ้นเบาๆ เป็นการเตือนว่าพวกเขาควรต้องออกจากห้องได้แล้ว แต่ทั้งคู่ยังคงกอดกันนิ่ง ดีนแนบจมูกกับหัวทุยสัมผัสผมนุ่มนิ่มที่มีกลิ่นแชมพูจางๆจวบจนร่างในอ้อมแขนขยับดุ๊กดิ๊กคนพี่ก็รับรู้ว่าหมดเวลาฉวยโอกาสเสียแล้ว
“ชาม..” ภามหน้าแดงๆ พยายามดันตัวออกเพื่อไปจัดการเศษที่กระจายอยู่บนพื้น
“ระวังโดนบาด..” เขารั้งเอวเล็กเพียงนิดเดียวก็ลอยหวือมาที่เก้าอี้ ดีนจับอีกฝ่ายพลิกดูว่ามีรอยบาดไหม พอไม่พบอะไรก็เดินไปเก็บเศษชามที่แตกละเอียด
“พี่..เดี๋ยวผมเก็บเอง” ภามที่ตั้งสติได้รีบห้ามแขกของห้อง แต่เขาก็ได้รับสายตาดุๆเป็นคำตอบ ทำให้ต้องนั่งจ๋อยอยู่ที่เดิม
จากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงทั้งสองร่างก็เปลี่ยนมาอยู่บนรถ ภามพกแอ๊ปเปิ้ลและลูกพลับหั่นชิ้นในกล่องติดมาให้คนตัวโตด้วยเผื่อยังไม่อิ่ม
“เมื่อกี้..ผมขอโทษนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยอุบอิบสองมือบีบกล่องบนตักแน่น
“เรื่อง?”
“ที่ผมพูดอะไรไร้สาระ..แล้วดันโรคกำเริบ” ทำตาละห้อยมองคนขับรถ
ดีนเหลือบมองคนที่กำลังทำหน้าจ๋อย เขายกมือข้างหนึ่งขยี้หัวน้องจนตัวเอียง
“บางอย่างที่ไม่ควรจดจำ...ก็ไม่ควรรื้อฟื้นมันขึ้นมา” เขาพูดทั้งๆที่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น
ภามหลุบตาลงต่ำอย่างใช้ความคิด “ผมเองก็จำไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆอาการมันถึงกำเริบ” เริ่มเบะปากช้อนตามองพี่อีกครั้ง “ผมขอโทษพี่เลยต้องลำบากไปด้วย”
“ดีแล้วที่มันกำเริบตอนพี่อยู่” ดวงตาสีสวยหรี่ลงเมื่อนึกอะไรออก “แต่พี่อดกินข้าวต้มอีกชามนี่แอบเคืองเหมือนกัน”
“งื้อ งะ งั้นให้ผมทำข้าวต้มให้อีกไหม” รีบอ้อนเอาตัวรอด
“ผลไม้”
“ฮะ?” ภามมองกล่องในมือ “อันนี้ผมเอามาเผื่อพี่อยู่แล้วครับ” เปิดกล่องให้ชายหนุ่มดู ซึ่งเขาก็พยักหน้าหงึกๆ
“นั่นแหละ อยากกิน”
คนที่ยังงงๆ จัดแจงหยิบไม้จิ้มผลไม้ที่พกมาด้วยจิ้มจึกลงบนแอ๊ปเปิ้ลแล้วยื่นทั้งกล่องให้ “นี่ครับ”
“พี่ขับรถอยู่” ดีนเหยียดยิ้มมุมปาก เขาเหลือบมองเด็กน้อยที่พยายามประมวลผล ออกจะช้าไปหน่อยเลยต้องกระตุ้นเพิ่ม “มือไม่ว่าง...”
มือไม่ว่าง.............ภามทวนคำ กินเองไม่ได้...แปลผลในสมอง พอเริ่มบรรลุแก้มก็ร้อนขึ้นมา
นี่คือจะให้ป้อน????
“อยากกินให้หมดก่อนถึงมหาลัยนะ” ดีนยังคงย้ำยิ้มๆ เร่งให้มือเล็กจิ้มผลไม้ขึ้นมา
ภามเม้มปากแอบมองค้อนใส่ เขาจิ้มแอ๊ปเปิ้ลด้วยมือที่แอบสั่นเล็กน้อยยื่นไปที่ปากอีกฝ่าย ดวงตาใสๆ มองริมฝีปากได้รูปสวยขยับช้าๆ งับแอ๊ปเปิ้ลที่หั่นมาเป็นชิ้นพอดีคำ เด็กน้อยใจระทึกยามเห็นลิ้นสีสดเลียริมฝีปากนั้น ดวงตาสีสวยเหลือบมองคนป้อนที่กำลังจะขาดใจตาย
“อร่อย” เขาย้ำเบาๆ ด้วยดวงตาพราวระยับ
บรึ้ม
“พี่ดีน!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เด็กหนุ่มโวยลั่นหน้าแดงแจ๋เมื่อรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้ง
ดีนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ หัวเราะอย่างที่เขาไม่ได้ทำมานานจนจำไม่ได้แล้วว่าหัวเราะแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
“ขอโทษๆ ไม่แกล้งแล้วครับ หึหึ” ขยี้หัวน้องอีกครั้ง
ภามทำหน้าตูด นับวันพี่ดีนยิ่งนิสัยเสียเหมือนเขาไปกดสวิตช์อะไรของพี่เขาเข้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการถามทีม พี่ดีนยังคงนิ่งเป็นปกติตอนอยู่กับคนอื่น เก็บคำพูดใช้สายตา ที่เปลี่ยนไปคงจะเป็นเรื่อง..ใจดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น
สุดท้ายผลไม้ในกล่องก็ถูกเก็บเพราะน้องไม่ยอมป้อนต่อ เดือดร้อนคนขับรถที่ต้องง้อน้องแทนจนถึงมหาวิทยาลัย
รถซีดานสีดำจอดที่ลานตามปกติ ภามถือแฟ้มที่ใส่เอกสารยืนรออีกฝ่ายหยิบของจากหลังรถ ดวงตาที่มักสดใสดูสับสนลังเล จนเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาหาภามก็เงยหน้าเอ่ยสิ่งที่คิดมาตลอด
“พี่ดีน............พี่ไม่ต้องมารับผมแล้วก็ได้”
ดีนชะงักกึกมุ่นหัวคิ้ว เขามองน้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไม”
“รถผมซ่อมเสร็จแล้ว จะได้ไม่รบกวนพี่” รีบอธิบายร้อนรน
“พี่เคยบอกเหรอว่ารบกวน” น้ำเสียงติดห้วนแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ “หรือภามลำบากใจที่พี่ไปกวนที่ห้องทุกวัน”
ภามส่ายหัวพรืด “ไม่ครับ ไม่เคยลำบากใจ ผมดีใจด้วยซ้ำ” หลุดปากแล้วก็ร้อนแก้มซะงั้น
ดวงตาดุๆ ละมุนลง “แล้วทำไมถึงไม่อยากให้มารับแล้วละครับ” น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นจนคนฟังต้องพยายามใจแข็ง
“เดล..” เขาเอ่ยชื่อน้องสาวอีกฝ่าย “พี่มากินข้าวกับผมตอนเช้า ทำให้ไม่ได้กินข้าวกับครอบครัวใช่ไหมละครับ”
ดีนนิ่งอึ้ง เขายอมรับว่าลืมครอบครัวตัวเองไปเสียสนิท
“น้องๆ ของพี่อยากคุยกับพี่นะครับ และเขามีโอกาสแค่ช่วงเช้าที่อยู่พร้อมหน้ากัน ผมไม่อยากทำลายโอกาสนี้ไป” ภามค่อยๆอธิบายอย่างใจเย็นพร้อมเหตุผล “อย่าทิ้งพวกเขาไว้แบบนั้น ผมขอร้อง”
ชายหนุ่มหลับตาลง หวนคิดถึงน้องสาวและน้องชายที่ไม่ได้คุยกันมาเป็นอาทิตย์ ในความทรงจำเขามีแต่ภาพของน้องๆ ที่มองมาอย่างเกรงใจไม่กล้าเข้ามาเกาะแกะ ไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบพี่น้องสักนิด ขนาดอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันยังไม่เคยโผล่มาให้เห็นด้วยซ้ำ
“พี่เป็นพี่ชายที่แย่มากใช่ไหม”
ภามยิ้มกว้างแล้วส่ายหัว “พี่แค่ยังทำตัวไม่ถูกต่างหาก” พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วส่งมาเป็นคำถามก็ขยายความอีกหน่อย “เดลบอกว่าพวกพี่แยกกันอยู่ มาเจอกันตอนโต พี่เลยทำตัวไม่ถูกใช่ไหม มะ สำหรับผมผู้มีประสบการณ์เป็นพี่ชายมา16ปีจะสอนให้” คนตัวเล็กกว่าทุบอกตัวเองอั่กๆ
ดีนคลี่ยิ้มแล้วกอดอก “ไหน ว่ามาสิพี่ชาย”
“เริ่มคุยครับ ถ้าน้องไม่กล้าเราก็เข้าไปคุยก่อน รับฟังน้องพูดแล้วตอบโต้ให้คำแนะนำ” โอเค ตรงนี้ภามจะข้ามไปว่าเจ้าภูมิไม่ค่อยจะฟังเขาสักเท่าไหร่ พอเห็นพี่ดีนพยักหน้าก็พูดต่อ “ชวนกันไปเที่ยวไปกินข้าวบ้าง ผมเชื่อว่าพวกพี่ไม่เคยไปไหนด้วยกันเลย จริงไหม”
“ก็ถูก” ดีนพยักหน้า เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เด็กๆถูกเลี้ยงด้วยพี่เลี้ยง ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน
“แค่นี้แหละครับ คุยกันไปไหนด้วยกันบ้างจะได้รู้ว่าใครชอบอะไร เลือดมันตัดไม่ขาดเดี๋ยวก็สนิทกันเอง”
“พี่จะพยายาม” เขาลูบหัวทุยแทนคำขอบคุณ “แต่น่าเสียดายที่พี่จะไม่ได้ไปกินข้าวกับภามอีก”
ภามหุบรอยยิ้มลง ใจหายที่จะไม่ได้กินข้าวด้วยกันอีก บรรยากาศสบายๆยามเช้า พูดคุยกันเบาๆ กลายเป็นเรื่องเคยชินไปเสียแล้ว
“ไปเถอะ เดี๋ยวจะสายเอา” โชคดีที่วันนี้ภามมีเรียนเก้าโมง ส่วนดีนมีเรียนตอนสิบโมงเขาคงแวะไปชมรมก่อน
เมื่อคนตัวโตทำท่าจะออกเดิน สองมือของภามก็ตะครุบเสื้อพี่เอาไว้จนแฟ้มหล่นลงบนพื้น เจ้าของไม่คิดจะสนใจหากเอาแต่ก้มหน้าซ่อนผิวแก้มแดงๆเอาไว้ พร้อมพูดอุบอิบด้วยความเขิน
“ไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยกันก็จริง....แต่” ช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังมองอยู่ก่อนแล้ว “ข้าวกลางวัน ข้าวเย็น..หรือวันหยุด...ก็ยังมี” ท้ายเสียงหายไปในอากาศเพราะคนพูดอายจนแทบจะมุดดิน
ริมฝีปากของประธานชมรมว่ายน้ำขยับยิ้มอย่างอดไม่อยู่ หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงจนเจ้าตัวต้องพยายามระงับความรู้สึกเอ็นดูเอาไว้ ให้ตายเหอะ..
ทำตัวแบบนี้เขาจะทนได้อีกสักแค่ไหน
เมื่อร่างของภามเหยียบเข้าห้องเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค เสียงพูดคุยในห้องดูเหมือนจะเงียบไปอึดใจจนเจ้าตัวต้องมองไปรอบตัวย่างงุนงง รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเพื่อนๆทำเอาภามหน้าร้อนแปลกๆ เขารีบเดินไปตรงที่มะนาวกับทีมนั่งอยู่แล้วกระซิบ
“ทำไมมีแต่คนมองเราวะ” ทรุดตัวลงนั่งแล้วถามเจ้าทีมที่อมยิ้มมองมา
มะนาวยิ้มตาหยี เจ้าหล่อนหยิบมือถือส่งมาให้ภามดู คราวนี้เขาก็เก็ตทันทีว่าทำไมถึงถูกมองแบบนั้น
ภาพที่เขาดึงเสื้อพี่ดีนเมื่อกี้โดนแอบถ่ายมาลงเพจคิ้วท์บอย!! ไม่รวมภาพตอนลงจากรถยืนคุยกันอีกนะ เฮ้ย เร็วไปไหม ภามอ้าปากค้างมองเพื่อนสองคนอย่างุนงง นี่เขาโดนจับตาดูอยู่เหรอ???
“มิน่าไม่เรียกใช้เราแล้ว” ทีมเบะปากจนภามต้องรีบง้อ
“ไม่ใช่แบบนั้น คือ..มัน”
ทีมยันหัวเพื่อนออกพร้อมหัวเราะขบขัน “ไอ้บ้า ไม่ได้โกรธโว้ย แต่บอกกันบ้างก็ดีจะได้ไม่เป็นห่วง แอบไปรับไปส่งกันตอนไหน หือ?” กอดอกทำตัวเป็นคุณพ่อไว้หนวดทันที
“แอบอะไรเล่า” แก้มใสแดงก่ำ ไม่ยอมสบตาเพื่อนทั้งคู่ ก็ไม่ได้แอบจริงๆ เพราะที่ผ่านมาพี่ดีนก็เอารถมาจอดแล้วต่างคนก็ไปคณะตัวเอง ขากลับบางวันพี่ดีนก็จอดรถเรียกกลางมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำแต่ไม่มีใครสนใจ
“เราว่าที่ดีนภามดังขึ้นมาน่าจะเป็นเพราะภาพที่เขาแชร์กันมากกว่า” มะนาวตั้งข้อสังเกต พอเห็นเพื่อนทำหน้างงก็ช่วยอธิบาย “ภาพป้อนขนมไงจ้ะ”
อะหือ ชัด
แต่ที่ชัดสุดๆในความทรงจำคือภาพเขาป้อนแอ๊ปเปิ้ลพี่ดีนเมื่อเช้าต่างหาก!!!
“โอย แบบนี้ก็แย่สิ เราป้อนตั้งหลายคนไหงโดนถ่ายอยู่คนเดียว” เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับโต๊ะเรียนงอแง “เราจะโดนแฟนคลับพี่ดีนรุมไหม”
มะนาวลูบหลังเพื่อนแล้วก้มลงยิ้มหยอกเย้า “เสียใจด้วยนะจ้ะ ดูเหมือนแฟนคลับพี่เขาจะถูกใจภามม๊ากมาก”
“มะนาวรู้ได้ไง” เป็นคำถามที่ทำให้ทีมที่กำลังดูดน้ำจากขวดหันมามองด้วยความสนใจ
“นี่ไง ห้องลับคลับดีนภาม!!” หญิงสาวอวดกรุ๊ปไลน์ที่มีสมาชิกหลายร้อยอย่างภูมิใจ “ตอนแรกเป็นห้องลับแฟนคลับพี่ดีนตอนนี้เขาบวกภามเข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นภามจ๋า” เจ้าหล่อนหันมือถือมายังใบหน้างุนงงของเพื่อน แล้วถ่ายรูปแบบไม่ให้ตั้งตัว
“เฮ้ยยย” ภามร้องเสียงหลง “มะนาวไม่เอานะเว้ย” ตะครุบมือถือเพื่อนสาว หน้าพิลึกแบบนั้นเอาไปให้คนอื่นดูได้ไงกัน น่าอายออก แต่มะนาวก็รีบทำตาอ้อนทันที
“นะ นะ ขอลงหน่อยนะ มีคนอยากได้รูปภามเยอะมาก เราสัญญาว่าถ้าจะลงรูปเราจะถามภามก่อนทุกครั้ง”
“ทำไมถึงอยากได้รูปเราล่ะ” ภามทำหน้างุนงงแล้วหันไปหาทีมที่กำลังกรอกตาในความซื่อบื้อของเพื่อน
“แกเคยดูอะไรนอกจากเฟสพี่ดีนหรือเพจชมรมว่ายน้ำบ้างไหม”
ฉึก ศรปักอกอย่างแรง ภามแยกเขี้ยวใส่แก้เขิน สู่รู้จริงๆเลยให้ตายเถอะ
“ในหน้าเฟส หน้าบอร์ดมหาวิทยาลัยภาพแกร่อนออกไปทั่วเลย นี่ไม่ได้เข้าไปดูเลยละสิคุณน้องภามหน้าใส ขวัญใจคณะเศรษฐศาสตร์” ยันนิ้วบนเหม่งจนภามหน้าหงาย “แล้วก็นะหลังจากที่จบค่าย ชมรมฉันบางคนก็ไปโพสต์ในบอร์ดมหาลัยตามหาว่าใครเป็นคนทำลูกชุบ แล้วก็มีคนโพสต์ภาพแกตอนปั้นลูกชุบ “ดวงดาว” เป็นคำตอบ เท่านั้นแหละมันเลยยิ่งบานปลายไปกันใหญ่ ว่างๆก็ไปเสพข่าวตัวเองบ้างนะครับ” ทีมแถมท้ายด้วยการดีดเหม่งดังผั๊วะเรียกเสียงร้องอุทานน้ำตาเล็ด
“แม่ง มือหรือเท้า” อุบอิบพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
เสียงหัวเราะคิกคักของสาวๆ ดังมาจากด้านหลังทำให้สองหนุ่มต้องเงยหน้ามอง ทีมหรี่ตาลงเหมือนเข้าใจอะไรลางๆ เลยจัดการเซอร์วิสด้วยการโอบไหล่เพื่อนที่ยังตามอะไรไม่ทันเข้ากอดเรียกเสียงกรี๊ดดังขึ้นเบาๆ
“อะไรของแกวะ” ภามทุบไหล่ทีมดังพลั่ก
“บ้าจริง ชิปเปอร์ทีมภามยังเหลืออยู่อีก” มะนาวจิ๊ปากหมดมาดสาวสวยและนั่นยิ่งทำให้ภามงงหนัก ส่วนทีมกลับหัวเราะชอบใจน้ำหูน้ำตาไหล
“ตกลงเราเอาภาพลงได้ไหม ไม่ได้ไม่เป็นไรนะ” หันหนาจอที่เป็นรูปถ่ายเมื่อกี้ให้ดู ภาพที่ภามกำลังซบหน้ากับโต๊ะหันมามองเพื่อนด้วยแววตาอ้อนๆ เจ้าของภามทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนใจแล้วยักไหล่
“ตามสบาย”
เพียงแค่นั้นเพื่อนสาวคนดีก็จมอยู่กับกลุ่มไลน์ พิมพ์ไปยิ้มไปหัวเราะไปจนภามกับทีมถึงกับแอบขยับถอยห่างออกมาด้วยความหวาดกลัว
เช้าวันถัดมาห้องอาหารของบ้านวงศ์เนตรยังคงดำเนินอย่างเงียบเชียบ สาวน้อยคนเล็กของบ้านนั่งเกร็งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวจนพี่ชายคนรองขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรไม่สบายเหรอ”
“เปล่าค่ะ คือ...” เดลเหลือบมองไปที่บันไดบ้าน สักพักพี่ชายคนโตก็เดินลงมาในชุดนักศึกษา
ดีนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกวาดตามองน้องๆ ด้วยความเคยชิน เขากำลังคิดหัวหมุนว่าจะเริ่มทักทายน้องก่อนยังไง
“วันนี้....พี่ไม่รีบไปเหรอ” ดอนเอ่ยทักอย่างแปลกใจ เพราะช่วงอาทิตย์หลังๆ พี่ชายโผล่มาพูดสองสามคำก็ขับรถออกไปเลยโดยไม่แวะกินข้าวด้วยซ้ำ
“ไม่ล่ะ วันนี้กินข้าวเช้าด้วย” เขาตอบเรียบๆ แล้วพยักหน้าให้แม่บ้าน จะว่าไปวันนี้บนโต๊ะไม่มีอะไรวางอยู่เลยนอกจากน้ำ “ทำไมไม่กินกันก่อนล่ะ”
“เดลบอกให้รอพี่น่ะ” ดอนพยักเพยิดไปทางน้องสาว
ถึงจะงงๆ แต่ดีนก็ไม่ได้ว่าอะไร สักพักแม่บ้านก็เดินเข้ามาในครัวพร้อมเสริ์ฟข้าวต้มให้ทั้งสามคน ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจเพราะปกติบ้านเขามีแต่อาหารเช้าฝรั่ง
“ข้าวต้มกระดูกหมู?” ดอนตักขึ้นดู “มาได้ไงเนี่ย”
“คุณเดลเป็นคนทำค่ะ” แม่บ้านยิ้มแฉ่ง “คุณเดลลงมาทำแต่เช้าเลย บอกว่าอยากให้พี่ๆ ได้กิน”
เดลหน้าแดงก่ำ “กินตอนที่ยังร้อนๆ เถอะค่ะ นะ นะ” รีบคะยั้นคะยอเพราะไม่อยากตอบคำถามจากพี่ชายทั้งสองคน
พี่ชายคนโตของบ้านมองข้าวต้มร้อนๆ แล้วตักชิม กลิ่นหอมและรสชาติคุ้นเคยทำให้เขาต้องเหลือบตามองน้องสาวที่ฉีกยิ้มส่งมาให้ เดลแอบกดมือถือยุกยิกไปพลางมองพี่ชายไปพลางเหมือนกังวลใจ แต่พอเห็นพี่ชายทั้งสองคนกินจนเกลี้ยงเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“อร่อยมาก เดลทำเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ดอนถึงกับร้องขออีกชามแน่นอนว่าพี่ชายคนโตก็ขอเพิ่มเช่นกัน
เดลยังไม่ยอมตอบแต่จ้องมองพี่คนโตตาแป๋ว ดีนเกือบจะหัวเราะออกมากับความน่ารักของน้องสาว..ที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน
“อร่อย พี่ชอบ” มือใหญ่เอื้อมไปลูบหัวน้องเบาๆ
เดลรู้สึกร้อนวูบที่ขอบตา เธอยิ้มแหะๆจับมือพี่ชายบนหัวตัวเองบีบเบาๆ “เดลให้เพื่อนสอนให้ค่ะ ลองผิดลองถูกตั้งหลายครั้ง”
“เพื่อนคนไหนเหรอ” ดอนรับชามข้าวต้มร้อนกรุ่นจากแม่บ้าน เติมพริกไทยสักหน่อยแล้วกินต่ออย่างเพลิดเพลิน
“เพื่อนจากชมรมทำอาหารค่ะ” หยีตาเมื่อพี่ชายขยี้หัวส่งท้ายแล้วกลับไปกินข้าวต่อ
“น่ารักไหม” ดอนวางช้อนทำตาระยิบระยับขึ้นมาทันที
“ทำไม จะจีบเหรอคะ” เดลเบะปากใส่พี่คนรองที่หูตั้งหางกระดิก
“บ้ะ ถ้าสอนให้เดลทำอาหารได้ขนาดนี้ ฝีมือตัวจริงไม่ธรรมดาแน่ ต้องจีบสิครับ!” จุ๊ปากโบกนิ้ว
บรรยากาศครึกครื้นที่ไม่มีมานานเรียกรอยยิ้มให้ทุกคนแม้แต่แม่บ้านที่ยืนอยู่แถวนั้น ความอบอุ่นที่จางหายกำลังค่อยๆกลับมาสู่ครอบครัว
เดลเหล่มองพี่ชายคนโตที่อมยิ้มกินข้าวต้มเงียบๆ ฟังเธอกับพี่ดอนคุยกัน
“งั้นคงช้าไปแล้วล่ะ เพราะมีคนจองไว้เรียบร้อย ใช่ไหมคะพี่ดีน”
“แค่กๆ” ชายหนุ่มรีบหยิบทิชชู่เพราะสำลักข้าว เขาดื่มน้ำทีเดียวหมดแก้วมองน้องสาวที่ทำตาใสยิ้มให้จนเขาพูดไม่ออก
“เอ้า พี่ดีนรู้จักด้วย ?” ดอนตั้งท่าจะถามพี่ชายแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเจอสายตาโหดๆมองกลับมา
“รณฤทธิ์ รณพร” ชื่อจริงมาครบจนเจ้าของชื่อรีบนั่งตัวตรงแหน่ว เพราะบ้านวงศ์เนตรมีประเพณีอย่างหนึ่ง ถ้าโดนเรียกชื่อจริงหมายถึงต้องจบทุกอย่างโดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง “รีบกินจะได้ไปเรียน”
หญิงสาวยิ้มแหยรีบกินข้าวต้มที่เหลือ มือถือที่อยู่บนตักสั่นเล็กน้อยพร้อมข้อความเด้งขึ้นบนหน้าจอ
Ph@m : เป็นยังไง สำเร็จไหม
เดลอมยิ้มจรดมือตอบไลน์คุณครูสอนทำอาหารผู้มีพระคุณของเธอ
Delta☆彡: เกลี้ยงเลยจ้ะ ขอบคุณภามจริงๆ
ภามเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงด้วยรอยยิ้มที่ยังค้างอยู่บนใบหน้า ถึงแม้จะไม่ได้กินข้าวเช้ากับพี่ดีนเหมือนทุกครั้งแต่หัวใจก็อุ่นๆไปด้วยความสุข
หลังจากเขาจบคอร์สสอนเดลทำช่อม่วงได้แค่วันเดียว หญิงสาวก็จับเขาไปคุยสองต่อสอง แว้บแรกใจหายเพราะเดลยื่นมือถือพร้อมภาพที่ถูกแชร์ในโซเชี่ยลส่งมาให้ตรงหน้า แต่พอได้คุยกันเดลกลับไม่ได้มีอาการต่อต้านอะไร หนำซ้ำยังแอบยิ้มกรุ้มกริ่มให้เขาด้วยซ้ำ ก่อนจะจบลงที่ขอให้สอนทำอาหารง่ายๆ เพื่อเป็นตัวช่วยลดระยะห่างระหว่างพี่น้องลง
มือถือสั่นอีกครั้งรัวๆ ทำให้ภามต้องหยิบขึ้นมาดู
Delta☆彡: *ส่งรูป*
Delta☆彡: วันนี้พี่มาส่งด้วย ขอบคุณมากภาม ขอบคุณจริงๆ
Delta☆彡: *Stickerแมวร้องไห้*
..
ภามหายใจลึกๆ ระงับหัวใจที่เต้นตึกตัก มือเจ้ากรรมกดเซฟรูปที่เดลส่งมาแบบไม่เสียเวลาลังเลแม้แต่น้อย ภาพชายหนุ่มคุ้นตาในชุดนักศึกษานั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ ใบหน้าคมคายหันมามองกล้องแล้วยิ้มให้น้อยๆ ที่มุมปากพร้อมดวงตาวาวระยับชวนให้หวั่นไหว
Delta☆彡: เดลบอกว่าจะถ่ายรูปพี่ส่งให้คนสอนทำอาหารเลยได้รูปนี้มาล่ะ หุหุ
โอเค..บางทีเดลกับมะนาวอาจจะเหมือนกันกว่าที่คิดก็ได้...
-------------------------------
สวัสดีวันเสาร์ค่ะ ^^
ขอโทษที่คราวนี้มาช้า แฮ่ แต่ก็มาแล้วเนอะ
ไหนใครบอกว่าได้กลิ่นมาม่า จริงๆตอนเขียนบทที่8ก็กำลังกินมาม่าอยู่จริงๆค่ะ (ฮา) กินไปพิมพ์ไปเลยกลิ่นติดไปกับนิยาย
น้องเดลน่ารักนะคะ เป็นเด็กผู้หญิงที่น่าอิจฉาสุดแล้ว
ตอนนี้อ้อยน้อย (ใช่ไหม)หน่อย เพราะต้องเอาเนื้อเรื่องหลักเข้ามาใส่มากขึ้น และจะมากขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ
แต่ยังใส่ความมุ้งมิ้งไว้ให้เสมอ
ป.ล มีคนถามถึงเพจ เลยเปิดขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีอะไรนะคะเอาไว้อัพเดทแจ้งเรื่องนิยายเนอะ
กดค่ะ
https://www.facebook.com/iamlazysheep/