ราคาฝัน # 09
หญิงสาวที่ผลักประตูเข้ามาทำให้คนเป็นเจ้าของห้องต้องลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอ่ยคำทักทายออกไปตามมารยาทที่พึงกระทำ
“สวัสดีครับตอง วันนี้มีประชุมที่นี่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ มาคุยเรื่องต่อสัญญาพรีเซ็นเตอร์ จริงๆตองไลน์บอกพี่ชาติแล้วแต่พี่ชาติไม่เห็นอ่านไลน์ตองเลย” เจ้าหล่อนกล่าวตัดพ้อพร้อมปั้นหน้าเง้างอตามที่มักทำจนติดเป็นนิสัย
“ช่วงนี้พี่งานยุ่ง เลยไม่ค่อยได้เช็คไลน์เท่าไหร่” ธีรชาติตอบเสียงเรียบ สีหน้าและท่าทางที่เขาใช้นั้นดูห่างเหินราวกับว่ากำลังพูดคุยอยู่กับลูกค้าสักรายหาใช่คนเคยสนิท หากเปลี่ยนสรรพนามเป็นคุณกับผมได้โดยไม่พาให้บรรยากาศต้องน่าอึดอัดไปมากกว่านี้เขาก็คงทำไปแล้ว “ว่าแต่ตองมีธุระอะไรกับพี่เหรอ?”
“เดี๋ยวนี้ต้องมีธุระเท่านั้นเหรอคะตองถึงจะแวะมาคุยกับพี่ชาติได้? ตองเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้วก็เลยจะมาชวนพี่ชาติไปหาอะไรทานด้วยกัน”
“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ว่าเย็นนี้พี่ไม่ว่าง” ผู้บริหารนามสกุลดังตอบออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน
เรียวคิ้วที่ได้รับการแต่งแต้มมาเป็นอย่างดีของคนฟังกระตุกเข้าหากันน้อยๆ “แต่เมื่อกี้ตองถามเลขาฯพี่ชาติ เขาบอกว่าหลังเลิกงานวันนี้พี่ชาติไม่ได้มีนัดที่ไหนต่อไม่ใช่เหรอคะ?”
“ธุระส่วนตัวน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับงานหรอก”
“กลับบ้านไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่เหรอคะ?”
“เปล่าครับ”
“นัดกินเลี้ยงกับเพื่อนเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ครับ”
“หรือว่าจะไป...”
“ตองครับ” ธีรชาติตัดสินใจเบรคประโยคคำถามของเธอขึ้นมาด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิมหนึ่งเบอร์ “พอดีตอนนี้พี่กำลังตอบอีเมล์สำคัญ ถ้าตองไม่ได้มีเรื่องอะไรพี่ขอใช้ความคิดก่อนได้ไหม?”
ได้ยินดังนั้นเจ้าหล่อนก็ส่งสายตาแสดงความน้อยอกน้อยใจมาให้เขา ซึ่งธีรชาติก็ทำได้เพียงเสตากลับมายังหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อหลีกหนีความอิหลักอิเหลื่อเท่านั้น
ใบตอง รมิตาพนักหน้าเบาๆแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้มองเธออยู่ก็ตาม “วันนี้พี่ชาติยังไม่พร้อมคุยกับตองก็ไม่เป็นไรค่ะ ไว้วันหลังตองจะมาหาใหม่...ตองจะมาหาจนกว่าพี่ชาติจะกลับมาใจดีกับตองเหมือนเดิม”
ธีรชาตินิ่งเงียบ ไม่แสดงปฏิกิริยาใดกับคำพูดของหญิงสาว
“ถ้าอย่างนั้นตองกลับก่อนนะ...” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว “...ตองรักพี่ชาตินะคะ”
ทันทีที่ประตูห้องบานสวยปิดลงลมหายใจเฮือกโตก็ถูกชายหนุ่มผ่อนทิ้งจากปอดไปอีกระลอก เขาแหงนหน้าพิงพนักเก้าอี้พลางยกมือขึ้นบีบนวดบริเวณสองข้างขมับหมายจะระบายความคับข้องออกจากใจ
...รัก...
...ไม่เข้าใจจริงๆว่าเธอกล้าพูดคำๆนั้นออกมาได้ยังไง...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
อีกเพียงสองวันก็จะถึงกำหนดที่ลิงเกอร์คอร์ปฯนัดให้เข้าไปพรีเซ็นต์งานรอบต่อไป แต่ไอเดียของเขายังถูกกลั่นออกมาเป็นภาพให้ลูกค้าเห็นได้เพียงไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ดีเลยด้วยซ้ำ
“ทำยังไงให้ทันวะเนี่ยไอ้จินเอ๊ย!” สถาปนิกหนุ่มบ่นออกมาเบาๆพลางยกนิ้วขึ้นเกาหนังกบาลจนเรือนผมที่ปกติก็ไม่เป็นระเบียบอยู่แล้วยิ่งยุ่งหนักเข้าไปอีก ตอนนี้รอบกายของเขามีอุปกรณ์ทำโมเดลวางเกลื่อนไปหมด แต่ทั้งที่มีทุกอย่างพร้อมแล้ว จินดากลับเบลอจนคิดไม่ออกว่าควรหยิบจับชิ้นไหนขึ้นมาจัดการก่อนดี
แล้วในขณะที่กำลังกวาดตามองข้าวของบนพื้นห้องด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่นั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเขาไป ในใจก็นึกว่าคนที่มาเคาะคงเป็นไอ้เด็กแว๊นห้องข้างๆที่มาขอยืมไม้ตียุงอีกตามเคย
“ทีหน้าทีหลังมึงซื้อของมึงสักอันนะไอ้โต๊ด มันถูกกว่าค่าโช๊คที่มึงเพิ่งไปเปลี่ยนมาอีก..อ..อ้าว...คุณชาติ...” ทันทีที่บานประตูถูกดึงให้เปิดออกมือที่เงื้อมเอาไม้ตียุงชูไว้เหนือหัวเตรียมจะเคาะกะโหลกเจ้าเพื่อนบ้านขาซิ่งก็ต้องชะงักไปโดยพลัน “...ม..มีธุระอะไรกับผมเหรอ?”
ผู้มาเยือนที่จินดาคิดว่าน่าจะเป็นไอ้น้องชายข้างห้องกลับกลายเป็นนายธีรชาติที่ตอนนี้กำลังยืนฉีกยิ้มหล่อเหลามาให้จากหน้าประตูห้อง ในอุ้งมือทั้งสองข้างของผู้บริหารคนดังเต็มไปด้วยสัมภาระพะรุงพะรัง
“ขอเข้าไปคุยในห้องได้ไหม? ของผมหนัก”
“..อ..อ้อ..เข้ามาสิ”
“โอ้โห! วันก่อนผมเพิ่งจัดห้องให้ทำไมมันรกอีกแล้วเนี่ยคุณ!” ธีรชาติเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นทันทีที่สภาพห้องปรากฏสู่สายตา “คุณเป็นสถาปนิก คุณทำให้บ้านดีๆสวยๆให้คนอื่นได้แต่ทำไมทำให้บ้านตัวเองน่าอยู่ไม่ได้? ผมล่ะงงจริงๆ”
ได้ยินอย่างนั้นจินดาได้แต่ยืนปั้นหน้าโป๊กเกอร์
...เออ เขาก็งงเหมือนกัน...
...อยู่ดีๆก็มีแขกมาบ่นถึงบ้าน แถมยังเป็นแขกที่เขาไม่ได้เชิญเสียด้วย...
“กำลังทำงานที่จะไปเสนอบริษัทผมมะรืนนี้อยู่ใช่ไหม?”
เมื่อถูกถามมาเช่นนั้นคนเป็นเจ้าของห้องจึงพยักหน้ารับเบาๆ
“เหลืออะไรที่ยังไม่เสร็จบ้าง?”
“เยอะแยะเลย ผมตั้งใจว่าจะทำฟิสิเคิลโมเดลไปให้เขาดูสักสองสามออปชั่นซึ่งยังไม่ได้เริ่ม แล้วก็ยังเหลือไดอะแกรมอธิบายคอนเซ็ปต์กับภาพจำลองอีก ตอนนี้มีแค่แปลนกับรูปด้านที่เสร็จแล้ว”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมทำโมเดลให้ คุณอธิบายมาก็แล้วกันว่าจะให้ทำยังไง แล้วระหว่างนี้คุณจะได้เอาเวลาไปทำพวกงานกราฟฟิกแทน แบบนี้ฟังดูโอเคไหม?”
“เฮ้ย..” จู่ๆจินดาก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมาในช่องท้อง เขายืนกระพริบตาปริบๆอยู่สองสามทีราวกับในสมองกำลังประมวลผลถึงสิ่งที่เพิ่งได้ฟังก่อนที่ในชั่วอึดใจถัดมากลีบปากบางจะค่อยๆเปิดออกอีกครั้ง “..อย่าบอกนะว่าที่คุณมาถึงนี่ก็เพื่อ..”
“ก็มาเป็นลูกมือคุณไง” ธีรชาติตอบอย่างเต็มปากเต็มคำและไร้ซึ่งท่าทีลังเล “ขาดคนช่วยไม่ใช่เหรอ?”
“ถามจริง?”
“ก็จริงน่ะสิ นี่ไง ผมพกอุปกรณ์มาด้วยเห็นไหม มีทั้งคัตเตอร์ แผ่นรองตัด กาว แล็ปท็อปผมก็เอามานะ ผมไม่รู้หรอกว่าคุณอยากให้ใช้อะไรบ้างก็เลยเตรียมมาเผื่อ”
จินดาเหลือบสายตามองไปยังข้าวของมากมายที่ตอนนี้ถูกธีรชาติวางลงบนโต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว แผ่นรองตัดสีเขียวเข้มโผล่พ้นถุงใบหนึ่งออกมาจริงๆ
“มาๆ อย่ามัวแต่ยืนเฉย เอาแบบมาให้ผมดูเร็ว รีบทำจะได้รีบเสร็จ” ธีรชาติถูมือทั้งสองข้างไปมาพลางเอ่ยเร่งเร้าดึงสติให้คนที่เอาแต่อึ้งได้เริ่มตื่นตัวอีกครั้ง
.
.
.
จินดาที่ตอนนี้มานั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวเก่งจนได้หันมองแขกยามวิกาลที่กำลังก้มหน้าก้มตากรีดไม้บัลซ่าอยู่บนพื้นห้องโดยมีพัดลมจ่อบรรเทาความอบอ้าวอยู่เพียงตัวเดียวด้วยความรู้สึกประหลาด
...นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิง เขาต้องนึกว่าตัวเองโดนธีรชาติจีบอยู่แน่ๆ...
คิดอย่างไรจินดาก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดจู่ๆคุณลูกค้าคนสำคัญถึงจะเสนอตัวมาช่วยนักออกแบบโนเนมถึงบ้าน ยิ่งได้เห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจของอีกฝ่ายในตอนนี้แล้วจินดาก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“เอ่อ...คุณ”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้ธีรชาติต้องเงยหน้าขึ้นจากแผ่นรองตัดเพื่อหันมองสถาปนิกหนุ่ม “ครับ?”
“ทำไม...คุณถึงมาช่วยผม?”
เมื่อได้รับคำถามมาอย่างนั้นนักธุรกิจมาดดีจึงวางมือลงจากคัตเตอร์ครู่หนึ่ง “ก็อยากช่วย”
“อยากช่วย?”
คนถูกถามพยักหน้าส่งไปเพียงเบาๆ “ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ผมแค่รู้สึกว่าอยากช่วย คืนนี้ผมไม่ได้มีนัดที่ไหนก็เลยมาช่วย”
“แล้วทำไมถึงอยากช่วยอะ?”
“ทำไม? คิดว่าผมมาจีบคุณเหรอ?” ธีรชาติย้อนถามด้วยสีหน้ายียวนอย่างที่จินดาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นมาก่อน
“เฮ้ย! เปล่า! ใครจะไปคิดแบบนั้น...ผมแค่คิดว่ามันแปลกที่คนอย่างคุณเจียดเวลามาช่วยทำงานยิบย่อยพวกนี้ คุณไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ?”
“ ‘คนอย่างผม’ นี่คือยังไง? หน้าตาผมดูไม่เหมาะกับการหยิบยื่นน้ำใจให้ใครเหรอครับ?”
จบประโยคของธีรชาติ จินดาก็ยกมือขึ้นตบหน้าผากดังป้าบ “เอาๆ ผมไม่ถามแล้วก็ได้ ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาช่วย แต่ผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยแล้วกันว่าผมอาจจะไม่มีปัญญาตอบแทนคุณมากมาย อย่างดีก็เลี้ยงข้าวเลี้ยงขนม ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ก็อย่าถือสากันนะ”
ผู้บริหารหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆให้กับสิ่งที่ได้ฟังก่อนจะหันกลับไปจัดการกับไม้บัลซ่าตรงหน้าต่อตามเดิม
บรรยากาศภายในห้องเงียบลงไปอีกครั้ง หากแต่มันก็เงียบอยู่อย่างนั้นได้เพียงไม่กี่นาทีเมื่อฝ่ายคนที่นั่งทำโมเดลอยู่กลางห้องเปิดปากกล่าวถึงบางสิ่งขึ้นมาราวกับเพิ่งเรียบเรียงคำพูดได้
“ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมชอบงานคุณ” ธีรชาติเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นทั้งที่ยังก้มหน้าจดจ่ออยู่กับอุปกรณ์ทำโมเดลในมือซึ่งถ้อยคำของเขาก็เรียกให้จินดาหันกลับมามองได้อีกรอบ “ผมชอบสเปซแบบที่คุณนำเสนอและรู้สึกว่ามันเหมาะกับลิงเกอร์ฯมาก อยากจะลองเข้าไปเดิน เข้าไปนั่งในที่แบบนั้น แล้วก็อยากเห็นคนอื่นๆเข้ามาใช้งาน...”
สถาปนิกหนุ่มนั่งฟังคนพูดนิ่งๆพลางสายตาก็เพ่งพินิจเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายไปด้วย
“เหมือนก่อนหน้านี้คุณมาวาดฝันให้ผมดูแล้วก็ชวนให้ผมฝันเหมือนคุณได้สำเร็จแล้ว ก็แปลได้ว่าตอนนี้ผมกับคุณมีความฝันร่วมกัน เพราะอย่างนั้นก็ไม่เห็นแปลกอะไรที่ผมจะอยากมีส่วนร่วมในการทำให้มันเกิดขึ้นจริง...ผมไม่ได้จบสถาปัตย์มา ไม่มีความรู้ทางด้านนี้เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็พอจะช่วยหยิบจับงานง่ายๆได้ โปรเจ็คต์นี้มีคุณเป็นมันสมองอยู่แล้ว ก็ถือซะว่าผมเป็นมือที่เพิ่มขึ้นมาแล้วกัน มีสี่มือยังไงก็เหนื่อยน้อยกว่าสองมือใช่ไหมล่ะ?”
“โอ้โห...” จินดาอุทานขึ้นมาเสียงแผ่วหลังจากฟังคำของธีรชาติจนจบ สถาปนิกรุ่นเล็กนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นนานเกือบนาทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจ ก่อนในที่สุดเขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อตรงไปยังตู้เย็น
...แล้วเพียงไม่นานเครื่องดื่มชูกำลังหนึ่งขวด กับช็อคโกแล็ตห่อเล็กห่อน้อยอีกหนึ่งกำมือจะถูกนำมาวางลงตรงหน้า ‘ลูกมือ’ เจ้าของนามสกุลดังคับประเทศ...
ธีรชาติเงยหน้าขึ้นมามองงงๆ “อะไรครับเนี่ย?”
“...คำตอบคุณโคตรหล่อเลยอะ” จินดากล่าวเสียงอ่อน “วันนี้ผมไม่มีอะไรจะให้ ทั้งห้องมีขนมอยู่แค่นี้ เอาไปกินก่อนนะ”
ได้ยินดังนั้นนักธุรกิจหนุ่มก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “คราวที่แล้วก็คิทแคท คราวนี้ก็เอ็มร้อยฯ เห็นผมเป็นเด็กหรือไงถึงได้เอาขนมมาล่อ?”
“ก็...ไม่เคยมีลูกค้าคนไหนมาพูดกับผมแบบนี้ ผมทำตัวไม่ถูก ผมตื้นตัน น้ำตาเกือบรื้นแล้วเนี่ยดูดิ” ว่าแล้วจินดาที่กำลังย่อตัวนั่งทับส้นเท้าอยู่ตรงหน้าธีรชาติก็ยกนิ้วจิ้มๆลงไปที่ใต้ตาของตัวเอง “ผมแค่อยากให้อะไรคุณบ้าง...”
“ไม่ต้องให้อะไรผมหรอก รีบไปทำงานของคุณให้มันเสร็จก็พอ”
สถาปนิกผู้กำลังซาบซึ้งประกบสองมือเข้าหากันจนเกิดเป็นท่าคล้ายคนกำลังไหว้เจ้าขอพรก่อนจะก้มหัวลงจนหน้าผากจรดกับปลายนิ้ว “ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ”
เมื่อได้เห็นท่าทางการไหว้ปลกๆของคนตรงหน้าธีรชาติก็หัวเราะร่วนแล้วจึงยกไม้บัลซ่าในมือขึ้นเคาะลงไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้
...และในทันทีที่นายจินดาเงยหน้ากลับขึ้นมาคลี่ยิ้มกว้างให้ เขาก็เผลอตัวชะงักทุกการกระทำลงไปโดยไม่มีสาเหตุ...
ธีรชาติจับจ้องใบหน้าอ่อนใสของพ่อนักออกแบบไฟแรงอยู่อย่างนั้นครู่สั้นๆ ก่อนที่เพียงไม่กี่ชั่วพริบตาถัดมาเขาจะโบกไม้โบกมือไล่พร้อมรอยยิ้มข้างมุมปาก “ไปๆ รีบไปทำงานต่อได้แล้ว มัวแต่คุยกันเดี๋ยวงานก็เสร็จไม่ทันพอดี”
“ครับผม!”
.
.
.
จินดาละสายตาออกจากภาพกราฟฟิกฝีมือตัวเองบนจอคอมฯก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้งหลังจากที่นั่งติดเบาะมาเป็นเวลาร่วมสามชั่วโมงติดกันแล้ว “คุณชาติ ผมจะลงไปเซเว่นฯ คุณเอาอะไรไหม?”
“คุณจะไปซื้ออะไรที่เซเว่น?”
“กางเกงในกระดาษมั้ง โธ่..ถามมาได้ ก็ต้องซื้อข้าวสิ ผมหิว”
“กินอาหารแช่แข็งอีกแล้วเหรอ” นักธุรกิจหนุ่มจำได้ดีว่าคราวก่อนที่ช่วยเก็บห้องให้จินดา เขาก็เจอกล่องพลาสติกซึ่งเคยเป็นภาชนะบรรจุอาหารจากร้านสะดวกซื้อนอนอยู่ก้นถังขยะเป็นจำนวนมาก “กินอาหารปรุงสดๆบ้างดีกว่ามั้ง ผมว่าคุณกินของพวกนั้นเยอะเกินไปแล้วนะ”
“ให้ทำ’ไงเล่า? นี่มันเกือบเที่ยงคืนแล้ว มีร้านไหนเขาเปิดจนถึงตอนนี้กันบ้าง?”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็นิ่งคิดไปครู่ “อ่า...ถ้าเป็นแถวๆนี้ผมรู้จักอยู่ร้านนึง ไปด้วยกันไหม? ผมก็หิวเหมือนกัน...”
.
.
.
จินดาหันซ้ายมองขวาก่อนจะลากสายตากลับมาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้าอีกครั้ง
“คุณกินข้าวต้มกุ๊ยแบบนี้เป็นด้วยเหรอ?”
“อ้าว ทำไมถามแบบนั้น? ข้าวต้มกุ๊ยมันกินยากกว่าอาหารประเภทอื่นตรงไหน?”
“ก็คุณเป็นไฮโซฯ ผมก็นึกว่า..”
“ ‘ไฮโซฯ’..ผมเกลียดคำนี้มากเลย ไม่เรียกอย่างนี้ได้ไหม?...ผมก็กินก็อยู่เหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ แค่มีเงินมากว่า มีโอกาสได้แตะของแพงมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ของถูกไม่เป็น”
“โอ้โห หล่ออีกละ...มีคนทาบทามคุณไปเป็นพระเอกละครบ้างไหมเนี่ยถามจริง? หล่อทุกมุมเลย”
“ประชดเหรอ?”
จินดาหัวเราะออกมาเสียงดัง “เปล่าสักหน่อย ผมพูดจริงนะ คือถ้าผู้ชายมีเวทีประกวดเหมือนพวกนางสาวไทย ผมคงส่งคุณไปประกวดแล้วเนี่ย ได้มงชัวร์”
จบประโยคของสถาปนิกหนุ่มธีรชาติก็ส่ายศีรษะไปมาเบาๆก่อนจะที่เขาเสตาขึ้นมองภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์ของร้านเมื่อเสียงของพิธีกรดังลอดเข้ารูหูมา
“เป็นเรื่องอีกแล้วค่ะคุณผู้ชม ดิฉันขอบอกว่างานนี้ขาจิ้นได้เตรียมฟินกันแน่นอน เพราะแว่วมาว่าเลิฟซีนในละครเรื่องใหม่ของน้องใบตอง รมิตากับหนุ่มธนาหน้าตี๋ที่กำลังมีข่าวว่ากิ๊กกั๊กกันอยู่นั้นดุเด็ดเผ็ดมันส์เชียวล่ะค่า! เมื่อวานเราได้ส่งทีมข่าวภาคสนามเข้าไปติดตามบรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายทำในกอง จะหวานแค่ไหน แซ่บแค่ไหนลองไปชมภาพกันเลยค่ะ” ธีรชาติไม่ปล่อยให้ตัวเองได้มองภาพอดีตคนรักอยู่นานนัก เขาเบนสายตากลับลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาโดยไม่ได้รู้เลยว่าตนกำลังถูกเพื่อนร่วมโต๊ะลอบสังเกตอาการด้วยท่าทีสนอกสนใจ
“...ไม่หึงบ้างเหรอ?...”
“หืม?” ธีรชาติเลิกคิ้วมองคนที่จู่ๆก็ส่งคำถามประหลาดมาให้ด้วยความแปลกใจ “ถามผมเหรอ?”
“อ้าว ก็นั่งอยู่ด้วยกันสองคนแล้วคิดว่าผมถามชามถามตะเกียบหรือไงอะ?” จินดากล่าวกลั้วหัวเราะ “ผมถามคุณนั่นแหละ เห็นแฟนไปนัวเนียกับผู้ชายคนอื่นแบบนั้นหึงบ้างไหม? อยากรู้ความรู้สึกของคนที่มีแฟนเป็นดารามานานแล้ว”
“คุณติดตามข่าวซุบซิบพวกนี้ด้วยเหรอ?”
“ไม่ได้ติดตาม แค่บังเอิญเห็น”
ธีรชาติยักไหล่ขึ้นน้อยๆด้วยท่าทางไม่หวั่นไหว “เมื่อก่อนเคยหึงนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่หึงแล้ว ผมเลิกกับเขามาได้หลายเดือนแล้ว”
...ก็ไอ้เจ้าดาราหน้าหยกที่ชื่อธนานี่แหละที่เป็นสาเหตุของการเลิกรา...
“อ้าว แต่วันก่อนผมยังเห็นเขายังให้สัมภาษณ์ว่ายังคบกับคุณอยู่เลยนี่”
นักธุรกิจหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเบาๆ “บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจวงการบันเทิงเหมือนกัน บางคู่คบกันก็บอกว่าไม่คบ บางคู่เลิกกันก็บอกว่าไม่เลิก ผมไม่แน่ใจว่าทำไมเขาตอบแบบนั้น แต่เรื่องจริงคือผมไม่ได้เป็นแฟนกับเขาแล้ว”
“โห เสียดาย...เขาสวยมากเลยอะ” จินดาหันหน้ากลับไปมองจอทีวีอีกครั้งเพื่อพิจารณาใบหน้าสวยหวานของเจ้าหล่อน “...ถ้าผมเป็นคุณสงสัยผมคงนอนร้องไห้ไปเป็นเดือนๆแน่เลย”
“หึ..ก็เวอร์ไป แล้วคุณล่ะ คบใครอยู่หรือเปล่า?”
เมื่อถูกถามกลับจินดาก็สั่นหัวแรงๆทันที “โอ๊ย จะเอาเวลาที่ไหนไปมีอะคุณ ผมคบกับใครได้ไม่เกินครึ่งปีสักคน สถิตินานสุดคือห้าเดือน”
“จริงๆก็ไม่น่าแปลกใจนะ คุณเล่นบ้างานขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะทนได้”
“นั่นน่ะสิ ทุกคนก็บอกเลิกผมด้วยเหตุผลนี้แหละ บอกว่าผมบ้างาน ไม่มีเวลาให้...ไม่มีใครเก็ทผมสักคนว่างานก็สำคัญ นี่มันวัยสร้างตัว ยังมีไฟมีกำลังอยู่ก็ต้องรีบทำงานสิถึงจะถูก...หาคนเข้าใจอาชีพแบบผมมันยาก ไม่รู้ป๋าแกหาเมียได้ยังไง ผมยังงงอยู่จนถึงทุกวันนี้”
ได้ฟังอย่างนั้นธีรชาติก็หัวเราะร่วน “ผมเห็นสถาปนิกเขามีครอบครัวกันตั้งเยอะแยะ ตัวคุณบริหารเวลาไม่ดีเองมากกว่ามั้ง”
จินดาห่อปากเข้าหากันน้อยๆก่อนคลายออก “ก็อาจจะถูกของคุณ...”
“เอาน่า จริงๆผมว่าความมีแพชชั่นมันก็เป็นเสน่ห์ของคุณนะ มันต้องมีสักคนแหละที่ชอบ...เดี๋ยวก็เจอ”
สถาปนิกหนุ่มหลุบตาลงมองกับข้าวที่พนักงานร้านเพิ่งจะยกมาเสิร์ฟก่อนลอบถอนหายใจออกมาห้วงสั้นๆ
...ถ้ามีคนๆนั้นจริงอย่างที่ธีรชาติว่าก็คงดี...
...ถึงอยากเป็นเกรตเต็กแค่ไหน แต่ในอนาคตก็อยากมีเมียมีลูกกับเขาเหมือนกันแหละ...
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853
