No Sugar ตอนพิเศษ : ลอยกระทงสุขสันต์
อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานลอยกระทง ทุกทีที่จะมีการจัดงานขึ้น คณะผมก็มักจะถูกจับตามอง ไม่ใช่เพราะสร้างซุ้มสวยหรืออะไร แต่เพราะคณะอื่นพากันจับจองต้นกล้วยที่พวกผมกับรุ่นพี่เป็นคนปลูก มันใช่เรื่องมั้ยครับเนี่ย กว่าจะปลูก กว่ามันจะโตอีก พวกผมเลยต้องผลัดเวรกันเฝ้าความปลอดภัยของต้นกล้วยจากพวกกระเป๋าแห้งทั้งหลาย
ไอ้ป่านมีบอร์ดี้การ์ดประจำตัวมานั่งเฝ้า ผมเพิ่งรู้ว่าพี่เกนก็หวานเป็นกับเขา พี่มันซื้อขนม นม เนยมาให้เพื่อนผมชนิดที่ว่า แบ่งคนทั้งคณะกินยังไม่หมด ต่างจากพี่ฟลอยด์ที่เอาแต่นั่งดูการ์ตูนต่อสู้อะไรสักอย่าง ได้ข่าวว่ามันออกมานานแล้ว แต่พี่แกเพิ่งได้ดู ต้องโทษไอ้ดอยที่แนะนำ มันเอาแต่หัวเราะหลังจากพี่ฟลอยด์ติด
“พี่กลับไปดูบ้านไป” เริ่มรำคาญคนที่หัวเราะคนเดียวอย่างกับคนบ้า
“ไม่เอา” เสียงตอบกลับแต่ตายังดูการ์ตูน
“พี่แก่ขนาดนี้ยังติดการ์ตูนอีกเหรอ”
“อายุเป็นเพียงตัวเลขน่า เลิกบ่นได้แล้ว”
“เออ” กระแทกเสียงใส่ก่อนจะลุกขึ้น ทำไมช่วงนี้พี่ฟลอยด์แม่งเอาแต่ใจอีกแล้ว แรกๆ ก็เริ่มดีขึ้น แต่ไหงกลับมาเป็นแบบเดิมอีก เบื่อที่จะพูด โตขนาดนี้แล้ว
ผมเดินออกมามีสายตาไอ้ป่านกับพี่เกนมองตาม ดูก็รู้ว่าปากหมาๆ ของไอ้ป่านพร้อมจะกัด แต่ตอนนี้ผมไม่พร้อมกัดกับมันเลยเลือกที่จะเดินหนีไปที่อื่น ใช่อะไร หิวด้วยส่วนหนึ่ง มีคนกินขนมล่อหน้าล่อตาแบบนั้นท้องก็ต้องร้องธรรมดา ไอ้คนที่น่าจะพึ่งได้ดันติดการ์ตูนอีก พึ่งตัวเองก็ได้วะ
ซื้อลูกชิ้นปิ้งกลิ่นหอมหวนมาสิบไม้ เผื่อเด็กโข่งติดการ์ตูนอยากกินด้วย เห็นผมแบบนี้โคตรใจดีและหล่อมากนะครับ ระหว่างทางกลับ ผมกัดกินลูกชิ้นอย่างอร่อย สมแล้วกับการต่อแถวรอซื้อ แถมแม่ค้ายังสวยสะเด็ดอีก ลูกสุดท้ายกำลังจะเข้าปาก หากไม่มีคนมาดึงข้อศอกทำให้มันตกพื้นอย่างน่าเสียดาย
“ไอ้เหี้ยนัว มึงทำลูกชิ้นกูตก” โมโหสิครับ ลูกชิ้นไม้สิบบาทห้าลูก ลูกละตั้งสองบาท
“ขอโทษๆ แต่ตอนนี้กูรีบ” ไอ้นัวดูร้อนรนก่อนมันจะดึงแขนผมให้วิ่งตาม
“อะไรของมึงเนี่ย” ขาก็วิ่ง ปากก็โวยวาย มือก็รีบเก็บถุงลูกชิ้น (กลัวมันตก)
“เออน่า ไปกับกูก่อน”
วิ่งตามแรงดึงของไอ้นัวไปจนห้องสโมสรนักศึกษาคณะ ภายในห้องมีผู้คนจำนวนหนึ่งนั่งหน้าเครียดอยู่ ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ปีสี่ที่มีอยู่ประปราย และก็ต้องรับไหว้เด็กปีสองกับปีหนึ่ง
“มีอะไรกับผมหรือเปล่า” ถามอย่างหวาดระแวง เพราะสายตาทุกคู่ต่างก็พุ่งมาหา ประหนึ่งว่าผมลืมรูดซิป
“คืองี้นะต้อม” พี่เต็นท์เดินเข้ามาตบบ่าผม ดวงตารีจ้องหน้าผมนิ่ง “พวกพี่แล้วก็เพื่อนๆ น้องๆ ได้ตกลงกันแล้วว่า งานประกวดนาย-นางนพมาสจะให้ต้อมประกวด”
“เฮ้ย ได้ไงพี่” ผมเบิกตาโตมองรุ่นพี่ “ไม่เอา”
“ไม่เอาก็ต้องเอา พวกพี่ตกลงกันแล้ว” พี่แจน พี่ปีสี่อีกคนพูดแทรกขึ้นมา ผมหันไปมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างขอความเห็นใจ
“แต่ผมไม่ได้ตกลงนี่นา เล่นแบบนี้พวกพี่กำลังข่มขืนความรู้สึกผมอยู่นะ”
“มึงใช้คำถูกหรือเปล่าวะ” ไอ้นัวถามออกมา มันตีหน้ายุ่งจนรุ่นน้องขำ
“คำไหนของมึง” ผมถามกลับ
“ก็ข่มขืนความรู้สึก มันทะแม่งๆ ว่ะ”
“ข่มขืนทั้งที่กูไม่เต็มใจไง ไม่ถูกเหรอวะ” เอาซะผมไม่มั่นใจไปด้วย ไอ้นัวหลับตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้าเออออไป “พวกพี่ทำไมไม่หาคนที่มันหน้าตาดีกว่าผม คณะเรามีตั้งเยอะ อย่างไอ้เดือนปีสองที่เกือบเป็นเดือนมหาลัยนั่นไง”
“มันก็ได้อยู่ แต่น้องเขามีแฟนคลับน้อย” พี่เต็นท์ว่า
“แฟนคลับอะไรพี่” งงไปกันใหญ่ เกี่ยวอะไรกับแฟนคลับ
“เอ้า ก็มันมีรางวัลขวัญใจมวลชน ถ้ามึงประกวด แฟนคลับคู่มึงก็ต้องมาเชียร์ ได้รางวัลใสๆ” ไอ้นัวยิ้มพรายออกมา
“โหย” ครวญอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ไหวหรอกพี่”
“นะต้อม ช่วยพี่หน่อย เพื่อพี่ เพื่อเพื่อน เพื่อน้อง ที่สำคัญ เพื่อคณะของเรา”
“รู้สึกไม่กดดันเลย”
เพราะสายตานับสิบคู่ที่ส่งมาทำให้ผมเผลอพยักหน้าไป แค่นั้นเสียงเฮก็ดังลั่นจนหน้าตกใจ อย่าบอกว่าทุกคนตีหน้าเศร้าแกล้งผมอยู่ แบบนี้คงโดนหลอกแล้วล่ะ ไอ้ต้อมมึงถูกหลอก จากนั้นผมก็ถูกนัดซ้อมในวันพรุ่งนี้เพื่อวันถัดไปจะได้ไม่ทำขายหน้าบนเวทีประกวด รู้สึกเหมือนจะขึ้นเขียงพิกล
ตกลงกันเสร็จสรรพก็กลับไปที่เดิม เห็นพี่ฟลอยด์ตีหน้ายุ่ง มือก็ยกโทรศัพท์แนบหูอยู่ตลอด โทรหาใครวะนั่น แต่พอเห็นผมเดินมา พี่แกก็ปรี่หน้ายักษ์มาหาจนผมต้องถอยหลัง
“อะไร”
“มึงไปไหนมา” เสียงตะคอกดังจนตกใจ “กูโทรหาเป็นสิบรอบทำไมไม่รับวะ” ลองตบกระเป๋ากางเกงตัวเองก็ไม่มีโทรศัพท์
“อยู่ในกระเป๋าเป้นู้น” ผมชี้กระเป๋าตัวเองที่วางอยู่ข้างไอ้ป่าน พี่ฟลอยด์ทำตาโหดจนต้องยิ้มแหยๆ ให้ “กินป่ะ”
“ไม่” มีงอนด้วยนะ “กลับ”
ผมรีบไปหยิบเป้ตัวเองก่อนจะวิ่งตามคนขี้งอนที่เดินอาดๆ ไปก่อน ได้ยินเสียงตะโกนด่าตามก้นมาจากพี่เกนกับไอ้ป่าน เพราะยังไม่ถึงเวรเปลี่ยนกะคนเฝ้า ทำให้สองคนนั้นต้องเฝ้าอีกชั่วโมง พี่ฟลอยด์ไม่พูดไม่จาจนกลับถึงบ้านก็เดินปึงปังขึ้นห้อง
“มันเป็นอะไร” เสียงพ่อของพี่ฟลอยด์ถามออกมา ผมยกมือไหว้ก่อนส่ายหน้าเพราะไม่รู้
“น่าจะปวดท้องมั้งครับ”
“คงปวดขี้หนัก”
ผมกับพ่อพี่ฟลอยด์หันมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมา บรรยากาศระหว่างผมกับครอบครัวนี้ดีขึ้นเยอะ หลังจากคุยกันอีกหน่อยผมก็ขอตัวขึ้นห้อง เรื่องจะง้อคนขี้งอนไม่ต้องคิดมาก แค่หอมแก้มหนักๆ ไม่ก็ยอมอ้อนสักหน่อยแค่นี้ก็หายแล้ว
“พี่ฟลอยด์ครับ อาบน้ำกัน” ตะโกนทันทีที่เปิดประตู คนงอนตุ๊บป่องนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงรีบเด้งขึ้นมายืนยิ้มแป้นแล้นทันที
แค่นี้ก็หายงอนแล้ว
“ไอ้ต้อม มึงยิ้มหวานเป็นมั้ยวะ ยิ้มหวานๆ น่ะ” ไอ้ดอยด่าผมมาหลายรอบ ผมก็พยายามยิ้มหวานตามที่ทุกคนบอก แต่มันได้แค่นี้จริงๆ
“มันได้แค่นี้” ผมว่า
“ต้อม เห็นแก่พวกพี่และคณะ ยิ้มให้มันเป็นธรรมชาติหน่อย” หันไปมองพี่แจนที่แทบยกมือไหว้ร้องขอ
“แล้วผมยิ้มไม่เป็นธรรมชาติตรงไหน”
“ทุกตรง”
คนในห้องเกือบๆ สิบคนตะโกนออกมาพร้อมกันจนผมสะดุ้งโหยง ก็ฉีกยิ้มให้กว้างโชว์ฟันขาวแล้วกระพริบตาถี่ๆ แบบนี้มันไม่ธรรมชาติตรงไหน
“มึงลองมองไปที่ตู้หนังสือนะ” ไอ้ป่านเดินมาข้างผมแล้วชี้ไปที่ตู้ “มึงลองใช้สมองอันน้อยนิดจินตนาการว่านั่นคือพี่ฟลอยด์ พี่เขากำลังยิ้มให้มึงอยู่น่ะ เห็นป่ะ” เสียงกรอกหูทำให้ผมลองนึกภาพตาม ตู้คือพี่ฟลอยด์เหรอวะ
ผมลองยิ้มแบบธรรมดาเหมือนยิ้มทุกวัน ไม่ได้เห็นตู้คือพี่ฟลอยด์หรอกนะครับ แต่กำลังมองเป็นเพื่อนๆ ทุกคน พอยิ้มแบบนั้น ทุกคนก็พากันเฮลั่น ไอ้ป่านตบหลังผมจนหน้าเกือบคว่ำ
“ดีมากๆ”
ได้รับคำชมมาแบบงงๆ แต่ก็เออออไป
สองวันมาแล้วกับการซ้อมเดิน ซ้อมยิ้มและตัดชุด ผมไม่เข้าใจว่ากะอีแค่ขึ้นประกวดทำไมต้องมากมายขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องนุ่งโจงกระเบนอีก เวลาเข้าห้องน้ำทีโคตรลำบาก อย่างตอนนี้ผมโคตรปวดขี้เลย พอเวลาใกล้เข้าไปทุกทียิ่งปวดให้ตายสิ
ผมถูกจับแต่งตัวแต่งหน้ามาหลายชั่วโมง พวกพี่ฟลอยด์กับเพื่อนก็รออยู่ด้านนอกเพราะคนนอกห้ามเข้ามา ตอนแรกพี่แกก็กระฟัดกระเฟียดนิดๆ แต่ผมก็อธิบายให้ฟังจนยอมนั่งรอ อันที่จริงก็ไม่เชิงอธิบายหรอก ข่มขู่นิดๆ พอประมาณแค่นั้น
“ห่วงผัวเหรอ เชี่ย” ตบหัวไอ้ป่านเสียงดังจนพี่ช่างแต่งหน้าสะดุ้ง
“มึงห่วงผัวมึงเถอะไอ้ห่า กูปวดขี้เว้ย” รีบอธิบาย
“อ๋อเหรอ ไอ้เราก็คิดว่าห่วงผัวตอนที่มาเห็นกลายสภาพแบบนี้”
อันที่จริงนี่ก็ส่วนหนึ่ง สภาพผมตอนนี้ทั้งตัวมีแค่โจงกระเบน แค่ผมก็ไม่เท่าไหร่ ผู้ชายแมนๆ มีแพกนิดๆ จากการยกปุ๋ยยกดิน แต่ไอ้คนนั่งรอไม่รู้จะว่ายังไง ผมก็ไม่เข้าใจจะหวงทำไม คนอื่นมองไปก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี
“พี่เขาไม่ว่าหรอกเว้ย”
“ปากดีให้ตลอดนะมึงไอ้เชี่ยต้อม”
เวลาล่วงเลยไปนานซะจนผมเผลอนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ ถ้าไอ้นัวไม่เดินมาปลุก ผมคงนอนยันเช้า ก่อนออกจากห้องแต่งตัวที่คณะ ผมยังถูกเอาแป้งมาทาทั่วตัวแถมเอาสายสร้อยมาคล้องซะเหมือนกุมารทอง ถ้าเกล้าผมจุกนะใช่เลย ผมเดินตามไอ้นัวกับพี่แจนออกมาด้านนอก มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนมานั่งรอ หรือไปเที่ยวที่อื่นแล้วก็ไม่รู้
พอออกจากห้องแต่งตัวมาสู่โลกภายนอก ความวุ่นวายก็ถาโถมเข้ามาหา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องต่างพากันมาขอถ่ายรูปกับผมใหญ่ เห็นผมเป็นของแปลกหรือเปล่าวะ ขนาดตัวแทนนางนพมาสอย่างน้องนุ่นยังไม่ฮอตเท่า
“โหพี่ต้อม นึกว่าพระเอกละคร” ไอ้เป็กน้องรหัสเริ่มกวนอวัยวะเบื้องล่าง แต่มันก็ยกมือถือมาถ่ายรูปกับผม
ระหว่างเกิดจลาจลขนาดย่อมๆ สายตาผมเหลือบไปเห็นบางอย่างที่มุมเสา บางอย่างที่ผมเอาผมขนลุกซู่เหมือนปวดขี้ตอนเช้า สายตาที่พุ่งมาคล้ายกับแสงเลเซอร์ที่ยิงจนร่างแทบพรุน ตายห่าแล้วไอ้ต้อม
พี่ฟลอยด์ก้าวขาเร็วเข้ามา ข้างๆ มีพี่เกนกับไอ้ป่านที่เอาแต่ขำ มันคงนึกถึงคำตอบของผมอยู่แน่
“มึง” คำสั้นๆ มาพร้อมเสื้อแขนยาวของคนพูดคลุมตัวผมทันที ผู้คนที่ยืนอยู่รายล้อมต่างพากันมองเลิกลัก แต่จะมีบางกลุ่มที่พากันลั่นชัตเตอร์ไม่ยั้ง
“พี่ทำไรเนี่ย” พูดลอดไรฟันไปถาม คนถูกถามขมวดคิ้วจ้อง พี่แกไม่สนผู้คนว่าใครจะมองเหตุการณ์นี้ยังไง “พี่ฟลอยด์”
“ใครให้มึงแต่งแบบนี้วะ” เสียงตวาดกร้าวจนสะดุ้งกันเป็นแถวๆ
“พี่ ใจเย็นก่อน” ผมรีบลูบแขนลูบหลังให้คนขี้โมโหใจเย็น พี่เกนรีบเดินมาประชิดตัวเพื่อน คงกลัวพี่ฟลอยด์จะพุ่งต่อยหน้าคน
“ฉันให้แต่งเอง” ในช่วงที่ผมพยายามทำให้อารมณ์ที่ฟลอยด์เย็นลง พี่เต็นท์ก็เดินมาหาแล้วออกตัวรับทันที มันก็ดีอยู่หรอกที่พี่ออกรับ แต่ตอนนี้คนเลือดร้อนมันน่ากลัวกว่าภูเขาไฟที่มันระเบิดอีกนะ
“พี่ฟลอยด์” สังเกตเห็นปากบางๆ กำลังจะอ้า ผมรีบขัดขึ้นมาก่อน กลัวพี่ฟลอยด์มีเรื่องกับพี่คณะผม มันไม่ดีแน่นอน ทั้งคู่ก็ปีสี่เหมือนกันด้วย
“กูไม่ให้ต้อมประกวดแล้ว มึงหาคนใหม่แล้วกัน” พี่ฟลอยด์เหล่หางตามองผมนิดๆ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่แขนผมแล้วออกแรงดึงไป ลำบากผมที่ต้องยื้อร่างตัวเองไว้ “อะไร”
“พี่ แต่ผมต้องประกวด” ไม่ได้อยากได้รางวัลหรอกนะครับ แต่มันจะเสียเวลาหากหาคนอื่น ตอนนี้ไม่ทันแล้วด้วย กว่าจะแต่งหน้าแต่งตัวอีก
“กูไม่ให้ประกวด” เสียงดังฟังชัดจนผมต้องเม้มปาก
“แต่ผมเป็นตัวแทนคณะนะ”
“ก็กูไม่ให้ประกวด”
“มีเหตุผลหน่อยสิ ผมทำเพื่อคณะนะ”
“แล้วกูล่ะ ไม่ทำเพื่อกูเหรอ”
“มันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า”
“ยังไงกูก็ไม่...”
“มึงคนนอก มายุ่งอะไรกับคณะพวกกูวะ” พี่ยักษ์ รุ่นพี่ในคณะที่อยู่แถวนั้นเดินเข้ามาขวาง ผมว่า เริ่มจะไม่ดีซะแล้วสิ
“อ่าว พูดแบบนี้ก็สวยสิวะ” พี่เกนพุ่งเข้ามาหาทันทีจนไอ้ป่านเกือบรั้งไว้ไม่ทัน พี่ไม่นับเท้าคนในคณะผมเหรอวะ
“ทำไม มึงจะทำไม” พี่ยักษ์ก็ไม่กลัว จนผมต้องย่อตัวลงไปนั่ง ถ้าลงไปนอนดิ้นที่พื้นได้นะ ทำไปแล้ว “เป็นไรของมึงไอ้ต้อม” พี่ยักษ์จะคว้าผมแต่ถูกพี่ฟลอยด์ผลักซะกระเด็นจนเกือบจะต่อยกัน
“พวกพี่หยุดทะเลาะกันสักที หยุด นี่ก็หยุด” ตะโกนจนดังลั่น ผมชี้นิ้วไปที่พี่ยักษ์ให้เงียบ แล้วหันกลับมาชี้พี่ฟลอยด์อีกรอบ “ผมจะประกวด จบแค่นี้ แยกย้ายๆ” ผมรีบดึงพี่ฟลอยด์ให้เดินออกมาทันที ขืนช้ามีหวังพุ่งเข้ากัดกับพี่ยักษ์แน่ ขู่ด้วยสายตาซะขนาดนั้น
“ไม่ให้ประกวด” พี่ฟลอยด์ยังยืนยันเสียงแข็ง หน้าตาบูดบึ้งเหมือนเด็กถูกบังคับให้กินยาน้ำ
“ไม่ทันแล้ว เดี๋ยวผมจะขึ้นเวทีแล้ว” บอกขณะที่เดินไปที่เวทีกลาง บรรดาพี่ช่างแต่งหน้า หรือสตาฟฟ์คณะคนอื่นๆ ต่างพากันเดินตามห่างๆ คงกลัวถูกลูกหลง
“คิดจะบอกกันสักคำมั้ยไอ้ประกวดเนี่ย” ตวัดสายตามองคนถามแทบจะทันที
“บอกจนนับไม่ได้แล้ว แต่พี่ไม่สนใจเอง มัวดูแต่การ์ตูนนั่นไง” พูดแล้วก็โมโห ผมบอกไปแล้วนะครับว่าจะประกวด แต่พี่ฟลอยด์ไม่สนใจ ไม่แม้จะเงยหน้ามามองด้วยซ้ำ
“ไม่เห็นได้ยิน”
“ก็หูพี่มัวแต่ฟังการ์ตูนนั่นจะได้ยินผมได้ไง”
พอเถียงไม่ได้ก็ทำหน้างอเป็นเด็กตลอด
เดินไปจนเกือบถึงเวทีก็เจอไอ้กลอยที่เดินเคียงข้างกับพี่โช ผมยกมือไหว้พี่เขาตามมารยาท แต่ไม่ทันได้พูดคุยเพราะใกล้ขึ้นเวที ผมเดินมาปะปนกับบรรดาชายงามต่างคณะ บ้างก็รู้จัก บ้างก็ไม่เคยเห็นหน้า พี่ฟลอยด์ถูกกันให้ออกไปด้านนอกเพราะไม่เกี่ยวข้อง ก่อนจะออกไปยังกำชับให้ผมสวมเสื้อคลุมไว้ห้ามถอด แล้วมันจะทำแบบนั้นได้ยังไง
ยืนอยู่หลังเวทีแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเพราะหูอื้อไปหมด มันตื่นเต้นจนเหงื่อออก ยิ่งคนที่ยืนอยู่ด้วยค่อยๆ ทยอยออกไปยิ่งแล้วใหญ่ มือสองข้างของผมเย็นเหมือนกำน้ำแข็งไว้ เกิดมาไม่เคยได้ประกวดอะไรกับเขา นี่ถ้าผมเดินสะดุดล้มคงขายหน้าแน่นอน
พอถึงคิวที่ผมต้องขึ้น แข้งขาอ่อนไปหมดจนเกือบสะดุดบันได ผมพยายามสวดมนต์เพื่อให้จิตใจสงบ แต่บทสวดทุกอย่างหายไปเมื่อต้องขึ้นไปยืนบนเวทีที่มีผู้คนมากมาย ยังดีที่น้องนุ่นอยู่ข้างๆ น้องพยายามกระซิบให้ผมเดินตามและให้ยิ้มกว้างๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หน้าตัวเองเป็นแบบไหนหรือยิ้มยังไง รู้แค่ว่า โคตรตื่นเต้น
“เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกๆ ท่านจะร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินรางวัลขวัญใจมวลชนแล้วนะคะ พร้อมแล้วใช่มั้ยคะ ดิฉันคิดว่า ทุกคนคงมีดอกกุหลาบอยู่ในมือแล้ว หนึ่งดอกก็เท่ากับหนึ่งกำลังใจและเสียงโหวต เราจะให้เวลาหนึ่งนาทีนะคะ รักใครเชียร์ใครเชิญเลยค่า” พอสิ้นเสียงพิธีกรปุ๊บ บรรดาผู้ร่วมประกวดก็เดินไปอยู่หน้าเวทีกันหมด ผมหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะทำยังไงจนมีกลุ่มผู้หญิงกวักมือเรียก
ผมเดินไปอยู่ด้านหน้าเวทีดอกกุหลาบเกือบสิบดอกก็ถูกยื่นมาให้จากกลุ่มที่เรียกผม พอผมรับพวกเธอก็กรีดร้องแล้วถอยหลังไปให้คนที่อยู่ข้างหลังแทรกเข้ามา...และเรียกสายตาของทุกคน
ดอกกุหลาบช่อโตที่ถูกห่อกระดาษถูกยื่นมาตรงหน้า ผมเบิกตากว้างอ้าปากค้างมองคนที่หน้าบูดบึ้งแต่ก็ยังส่งดอกไม้มาให้
ไม่ได้อยากให้ประกวด แต่ก็ไม่อยากให้แพ้สินะ
ผมยื่นมือออกไปรับพร้อมกับเสียงกรี๊ดและเสียงรัวชัตเตอร์ พี่ฟลอยด์บ่นอีกนิดๆ ก็ต้องถูกดันให้หลบ จากนั้นบรรดาพี่น้องในคณะก็รีบยื่นดอกกุหลาบมาให้จนล้นมือ
“หมดเวลาแล้วค่า แหม ได้กันจนล้นมือเลยทีเดียว” ผมหันไปมองพิธีกรที่จงใจพูดถึงผมแน่ เพราะสายตาเธอมองมาที่ผม “ดูจากสายตาแล้วรางวัลนี้คงเป็นของใครคนอื่นไม่ได้แล้วละมั้งคะ” พูดแบบนั้นจนผมปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
ดอกไม้จากทุกคนถูกส่งไปในทีมงานด้านหลังเพื่อนับคะแนนขวัญใจมวลชน แต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือคะแนนจากกรรมการตัดสินตำแหน่ง นายและนางนพมาส ผมรู้ตัวดีว่าคงไม่มีหวังกับตำแหน่งนี้ แต่น้องนุ่นอาจมีหวังเพราะตอบคำถามดี
ก่อนจะประกาศรางวัล ทุกคนจะได้เดินโชว์ตัวอีกรอบ (ทำเหมือนนางงามเลยว่ะ) ผมเดินยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเจอสายตาพิฆาตที่จ้องมาจนเกือบสะดุดเวที พอเดินครบทุกคน ผลคะแนนทุกอย่างก็ถูกยื่นไปที่พิธีกร ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มจนเข้มจัดยิ้มแย้มเมื่อมีซองในมือ
“ในที่สุด เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง” พิธีกรชูซองสีขาวขึ้นเรียกเสียงโห่ร้องได้เป็นอย่างดี “รางวัลแรกที่เราจะประกาศคือรางวัลขวัญใจมวลชน...” ผมเหล่ตามองซองสีขาวที่ถูกเปิดออก กระดาษเล็กๆ ถูกดึงออกมาก่อนคนถือจะกวาดสายตามองไปรอบๆ “รางวัลขวัญใจมวลชนฝ่ายชายได้แก่หมายเลข...”
บอกสักที ลุ้นจนปวดขี้อยู่แล้ว
“หมายเลข”
จะย้ำทำไมเนี่ย
“หมายเลขอะไรดี”
ป้าแกคงคิดว่าตัวเองตลก ผมขมวดคิ้วมองคนที่เล่นกับความตื่นเต้นของคนอื่น เธอดูมีความสุขที่ได้แกล้งทุกคน จนในที่สุดก็ประกาศออกมา ใครวะเลขเก้าเนี่ย
“พี่ต้อมออกไปสิ” เสียงเริงร่าของน้องนุ่นกับแรงผลักเบาๆ ทำให้ผมมองน้องคณะอย่างงงๆ “พี่ได้รางวัล”
หือ หันซ้ายหันขวาก่อนจะเดินงงๆ ออกไปกลางเวที รองคณบดีคณะผมยืนยิ้มแป้นรอมอบสายสะพายให้ ผมยกมือไหว้แล้วย่อตัวลง สายสะพายเขียนบอกชื่อรางวัล ผมมองกราดไปที่กลุ่มคณะตัวเองที่กระโดดโลดเต้นกับรางวัลนี้ ทุกคนดูจะมั่นใจว่าผมจะได้ และมันก็ได้จริงๆ ต้องยกรางวัลนี้ให้กับทุกคน ส่วนฝ่ายหญิงเป็นของคณะนิเทศศาสตร์ไป
รางวัลนายนพมาสเป็นของคณะบริหารรุ่นน้องของพี่ฟลอยด์ ส่วนฝ่ายหญิงก็มาจากคณะบริหารเหมือนกัน รุ่นพี่คณะถึงกับยิ้มกริ่ม เอาเถอะ ผมไม่ได้คาดหวังรางวัลอยู่แล้ว แค่ได้ขวัญใจอะไรนี่ก็เกินที่คิดไว้แล้ว พอลงเวทีรุ่นพี่รุ่นน้องคณะผมก็ล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนพากันชื่นชมถ้วยรางวัลกันใหญ่
“ไงมึง ได้รางวัลด้วยนี่หว่า” ไอ้ดอยเดินมาทักผมขณะกำลังจะเดินออกจากหลังเวที
“กูหน้าตาดีก็งี้แหละ” ผมว่า ไอ้ดอยมันขำพรืดก่อนวงดนตรีมันจะเดินมาสมทบ “จะขึ้นเล่นเหรอวะ”
“เออ วงกูก่อน เดี๋ยววิศวะจะมาปิดท้าย”
อวยพรเพื่อนก่อนจะเดินออกไป เจอพี่ฟลอยด์ที่ยืนรอพร้อมเสื้อคลุม เห็นผมปุ๊บ เสื้อก็คลุมตัวผมปั๊บจนพี่เกนขำออกมา
“มึงหวงเกินไป ไอ้ต้อมมันเป็นผู้ชาย”
“ถึงเป็นผู้ชายก็เมียกู มึงไม่เห็นผิวมันเหรอ ขาวขนาดนั้น” รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ ไอ้ป่านเอาแต่ขำจนผมต้องเตะขามันไป
“มึงใช่ไอ้ฟลอยด์เพื่อนกูจริงๆ หรือเปล่าวะ” ประโยคนี้ของพี่เกนทำผมขำ ก่อนเราจะหันไปสนใจบนเวทีที่กำลังซาวด์เช็คกันอยู่ “ไอ้ดอยนี่”
“เพื่อนผมเอง เจ๋งป่ะล่ะ” ไอ้ป่านอวดเพื่อนเต็มที่
วงดนตรีของคณะผมมักจะเล่นเพลงเพื่อชีวิตซะส่วนใหญ่ แต่ผู้คนก็ยังสนุกและชื่นชอบ ยิ่งเพลงบัวลอยยิ่งทำท่าเหมือนเพื่อนจะตาย ยังดีที่ไม่เกิดศึกสงครามท่ามกลางความสนุก ผมอยู่เฮฮาได้ไม่กี่เพลงก็ถูกลากกลับไปเปลี่ยนชุด ผมเพิ่งสำเหนียกได้ว่าตัวเองใส่ชุดอะไรอยู่ แล้วยังมีหน้ามากระโดดตาม ดีที่โจงกระเบนไม่หลุด ถ้าหลุดมีเฮแน่นอน
เปลี่ยนชุดออกมาก็ถูกจับยัดในรถ หมดกันความคิดจะไปมันส์อยู่หน้าเวที ป่านนี้ไอ้ป่านคงโดดไส้หลุดแล้ว ผมเหล่ตามองคนที่บังคับ
“ผมยังไม่อยากกลับเลยนะ”
“แต่พี่อยากกลับ”
“เออ” ขี้เกียจเถียง เดี๋ยวทะเลาะกันอีก ผมกอดอกมองการจราจรที่คับคั่ง คงเพราะวันนี้เป็นวันลอยกระทง ผู้คนมากมายออกมาเที่ยวงานบ้างก็มาลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้ลอยกระทงเลยนี่หว่า
รถสุดหวงของพี่ฟลอยด์จอดนิ่งสนิทที่โรง ผมเปิดประตูลงไปกำลังจะเดินเข้าบ้านแต่แขนถูกดึงไว้ ผมมองหน้าคนดึง ปากก็ถามแต่พี่ฟลอยด์ไม่พูดอะไร พี่แกเอาแต่ลากผมไปข้างบ้าน
“ไปไหน” ถามเสียงเบาเพราะไฟในบ้านปิดเกือบหมด ไม่รู้เพราะไปเที่ยวกันหรือนอนหลับกันแล้วกันแน่
“ไปลอยกระทง” พี่ฟลอยด์หันมายิ้มให้ก่อนจะดึงผมไปที่สระว่ายน้ำ
“ลอยในสระว่ายน้ำเนี่ยนะ” ผมถาม
“ใช่ ไม่ต้องไปเบียดแย่งใครดี”
เอาตามที่พี่สบายใจเลยครับพี่ครับ
สระน้ำที่ผมชอบมาว่ายเล่นประจำ พี่ฟลอยด์ดึงให้ผมนั่งลงข้างๆ ถุงที่คล้องแขนอีกข้างถูกปลดแล้ววางลง ด้านในคือกระทงสวยสองอัน
“กระทง?”
“อืม พี่ไปซื้อมาตอนที่ต้อมยังแต่งตัว ไม่คิดว่าไปซื้อกระทงแป๊บเดียวกลับมาจะเจอเมียแต่งตัวแบบนั้น” น้ำเสียงเหวี่ยงจนผมต้องรีบเบี่ยงประเด็น
“แพงป่ะเนี่ย”
“ไม่เลย” รีบปฏิเสธเชียวนะ ผมจ้องหน้านิ่งจนคนซื้อยิ้มแห้งๆ แล้วพยักหน้า “สองร้อย”
“สองอันสองร้อย?”
“อันละ”
“พี่!”
“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอก มันสวยเห็นมั้ย”
“มันแพงไง อันตั้งสองร้อย ซื้อมาทำเองไม่กี่สิบบาท”
“เอาน่า ครั้งเดียวเอง” พี่ฟลอยด์รีบยัดกระทงใส่มือผม ดวงตาคมพรายระยับเมื่อสะท้อนกับคลื่นของสระน้ำ “ต่อไปพี่สัญญา...”
“อย่าสัญญาในสิ่งที่คิดว่าอาจจะทำไม่ได้”
“โอเคๆ ต่อไปจะพยายามคิดก่อนซื้อ ตกลงมั้ยครับคุณเมียที่รัก”
“พี่เคยอยู่ดีๆ แล้วตกน้ำป่ะ” ถ้าไม่ห้ามใจตัวเองผมคงถีบพี่ฟลอยด์ลงน้ำไปแล้ว แม่ง ชอบนักเรียกผมเมียเนี่ย
“โหดตลอด”
ผมไม่สนใจคนที่เริ่มกลับมากวนโมโหอีกครั้ง กระทงสวยในมือถูกยกขึ้น ผมหลับตาอธิฐาน ขอให้ทุกๆ ปีพ่อกับแม่และครอบครัวผมกับพี่ฟลอยด์มีความสุข ปราศจากโรคภัยที่จะย่างกรายเข้ามา สาธุ
“พี่ทำอะไร” ผมเหล่หางตามองคนที่จับข้อศอกผมไว้ตั้งแต่แรก ที่ไม่โวยวายเพราะกำลังขอพรอยู่
“ก็ขอพรร่วมกันไง ลอยกระทงเถอะ”
“แล้วของพี่ล่ะ” กระทงอีกอันวางอยู่ด้านข้าง
“ลอยด้วยกันดีกว่า ประหยัดแบบที่ต้อมชอบไง เร็วๆ”
“พี่อยากประหยัดแต่มันไม่ทันแล้วไง มันจ่ายเงินไปแล้ว แต่ลอยอันเดียว อีกอันปล่อยไว้เฉยๆ ก็เปลืองเงินเปล่าๆ น่ะสิ”
“สองร้อยเอง”
“สองร้อยเองของพี่ คนอื่นกินข้าวได้ทั้งวัน ไปกลับบ้านอีก แล้วไหนจะ...อุ๊บ” คำบ่นต่างๆ นาๆ ถูกกลืนหายไปเมื่อปากถูกประกบจูบแน่น “พี่ทำไรเนี่ย” ทันทีที่ปากเป็นอิสระก็หอบกันเลยทีเดียว
“จูบเมีย...เชี่ย” เรียบร้อยด้วยฝ่าเท้า ผมยกขาถีบพี่ฟลอยด์ลงน้ำไปเรียบร้อย คนตกน้ำโวยวายเสียงดังลั่น “ทั้งถอดเสื้อโชว์คนอื่น ทั้งถีบผัว จับได้ลุกไม่ขึ้นแน่”
ผมหัวเราะลั่นเมื่อถูกชี้หน้าคาดโทษจากคนเอาแต่ใจและขี้หึง
“ขึ้นจากน้ำให้ได้ก่อนเถอะ ว๊าก” พี่ฟลอยด์ขึ้นจากน้ำโคตรไวแล้วพุ่งเข้าใส่จนผมหลบเกือบไม่ทัน
“เสร็จแน่”
“โนวววววว”
นี่มันวันลอยกระทงจริงๆ เหรอ ทำไมผมไม่รู้สึกอย่างนั้น แต่มันก็คือวันลอยกระทงจริงๆ นั่นแหละ...สวัสดีวันลอยกระทงครับผม
..................................
สุขสันต์วันลอยกระทงค่าาาา ทุกข์โศกจงหมดไป รวยๆ ค่าาา
