No Sugar : Part Ken & Pan [6]
ผมขยับตัวแล้วปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องสีขาว อ่า นี่ไม่ใช่ห้องผมสินะ เพราะเมื่อคืนผมติดรถไอ้พี่เกนมา แล้วนี่คงเป็นห้องมัน ... ว่าแล้วผมก็รีบหันไปมองเตียงข้างๆ ปรากฏว่าเจ้าของห้องไม่อยู่แล้ว พอคลำที่นอนอีกฝั่งเริ่มเย็นแล้ว คงตื่นก่อนผมนานพอดู
นอนบิดขี้เกียจก่อนลุกจากเตียงเข้าห้องน้ำ ใช้เวลานานจนออกมาก็ยังไม่เห็นเงาเจ้าของห้อง ไปไหนของเขาวะ ผมเดินวนไปวนมาหน้าประตูห้อง เสื้อผ้ากลับไปสวมชุดเดิมของเมื่อคืนเตรียมกลับหอ แต่พอยื่นมือไปบิดลูกบิด ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจนเกือบจะชนกับหน้า ดีที่ผมเก่งเลยหลบได้ทันเวลา
“อ่าว” เสียงคนที่เข้ามาทำหน้าเหวอเมื่อเห็นผมยืนอยู่ห่างประตูประมาณสองก้าว
“เอ่อ สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ตามอายุ คนที่เข้ามาก็คือคนที่โชว์จูบต่อหน้าผมนั่นแหละ เลขาของพ่อพี่เกน
“พอดีพี่เอาอาหารเช้ามาให้” ว่าแล้วก็รีบสาวเท้าไปที่โต๊ะบาร์แล้ววางจานอาหารสองจาน บนจานมีไข่ดาว ไส้กรอกแล้วก็แฮม “เกนไปวิ่ง เดี๋ยวคงมาแหละ”
“เอ่อ” ผมรีบร้องทักเมื่อเห็นพี่ที่ตัวเล็กกว่ากำลังจะออกจากห้อง
“ครับ? อ่อ เรียกพี่ว่าพี่ปูนแบบที่เกนเรียกก็ได้” พี่ปูนยิ้มหวานส่งมาให้ รอยยิ้มที่เหมือนดอกไม้กำลังผลิบาน
“คือผมจะกลับแล้ว” เป็นห่วงรถของผมด้วย
“ไม่รอเกนล่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว ขานี้ชอบตื่นเช้าไปวิ่ง เห็นกล้ามหน้าท้องมั้ย เซ็กซี่จะตายไป” ผมมองนัยน์ตาพราวกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างระแวง “ไม่ต้องทำหน้ากลัวพี่ขนาดนั้นก็ได้ กินก่อนเลยเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย” พี่ปูนกดตัวผมให้นั่งที่เก้าอี้สูงพร้อมกับเลื่อนจานอาหารเช้ามาให้
“ขอบคุณครับ” ยกมือไหว้ตามที่พ่อกับแม่เคยสอนไว้เวลารับของจากผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ที่ผมไหว้กลับทำหน้าบึ้ง
“ไม่ต้องไหว้พี่หรอก เดี๋ยวพี่ดูแก่” แล้วพี่ปูนก็หัวเราะออกมาพลอยทำให้ผมหัวเราะตาม “ว่าแต่ คบกับเกนแล้วเหรอ” รีบส่ายหน้าเพราะปากเต็มไปด้วยไส้กรอกชีส พี่ปูนหรี่ตาลงอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“จริงๆ นะครับ แล้วนี่ พี่เขาทำร้ายผมเมื่อคืน” ไม่ได้ตั้งใจฟ้อง แต่สถานการณ์มันพาไป ผมชี้ที่มุมปากตัวเองจนพี่ปูนขมวดคิ้ว จะว่าไป ทำไมแผลไม่ค่อยเจ็บแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งโดนเมื่อคืนนี้เอง
“แผลนี้ อ๋า รู้แล้ว เมื่อคืนเกนมาเคาะประตูขอยาแก้ฟกช้ำ คงไปทาให้เราสินะ” พี่ปูนยิ้มล้อเลียนแต่ผมกลับเบิกตาโต ไอ้พี่เกนเนี่ยนะทายาให้ผม ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า
คุยได้อีกนิดหน่อยพี่เกนก็เข้ามา ร่างสมส่วนใส่ชุดวอร์มสีดำ ใบหน้ามีเหงื่อผุดอยู่เต็มไปหมด เจ้าของห้องที่เพิ่งไปวิ่งมาเหล่ตามองคนที่ยืนกอดอกยิ้มอยู่
“มองไร” พี่ปูนแกยิ้มอย่างเดียวไม่ปริปากตอบอะไรจนคนถามส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “เอาข้าวมาให้แล้วก็ออกไปได้แล้ว”
“ไล่เลยเหรอเนี่ย ก็ไม่ได้อยากอยู่หรอกน่า แล้วก็นะ เลิกทำตัวเป็นคนรวยเอาแต่ใจด้วย เดี๋ยวน้องเขาก็ไม่ชอบขี้หน้าเอาหรอก จีบไปไม่ติดแหงๆ”
“พี่ปูน!”
“จี้ใจดำล่ะสิ ออกไปดีกว่า กินเยอะๆ นะ ถ้ากินกับเกนไม่อร่อย ยกจานไปห้องอีกฝั่งได้เลย” พี่ปูนบอกทิ้งท้ายก่อนรีบวิ่งออกไปเมื่อเจ้าของห้องชี้หน้าแล้ววิ่งไล่
ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่เกนถึงโคตรๆ เอาแต่ใจ ก็มีแต่คนเอาใจแบบนี้ถึงไม่ค่อยยอมลงให้ใครก่อน ผมมองคนที่ยืนหันหลังให้ด้วยความสับสน
“ไม่กินเหรอ” พี่เกนเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วลงมือจัดการอาหารเช้า “ทำไม”
“พี่ไม่ได้ชอบทำตัวขวางโลกเหรอ” ตอนแรกคิดว่าจะโดนด่า แต่เปล่าเลย คนโดนถามกลับหัวเราะจนผมแปลกใจ
“มึงคิดว่ากูเลวขนาดนั้น?” ถามปุ๊บก็รีบพยักหน้าปั๊บ “มึงนี่นะ”
“อ่าว ก็พี่ทำตัวเองให้ดูเลวนี่หว่า อย่างตอนที่สาดไฟรถใส่หน้าผม รู้ทั้งรู้ว่าผมนั่งอยู่แต่ก็ไม่ยอมดับเครื่องสักที เลวมั้ยล่ะ” ร่ายยาวจนลืมสังเกตคนข้างๆ พอหันไปพี่เกนกลับวางมีดกับส้อมลงบนจาน “อิ่มแล้วเหรอ”
“มึงจำได้แล้ว?”
“จำอะไรได้?”
“ก็เรื่องที่เจอกูครั้งแรก”
“มันแวบเข้ามาในหัวเอง” ผมบอก “เจอคนพฤติกรรมแย่ๆ แบบนั้นไม่มีใครอยากจำหรอก” เบ้ปากใส่คนที่ทำ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้โมโหหรือโกรธอะไร อีกอย่าง เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วผมก็จำความรู้สึกโกรธตอนนั้นไม่ได้
“กูไม่คิดว่ามึงจะโง่นั่งอยู่ต่อ” แปลว่ากำลังท้าทายผมสินะ ตอนนั้นน่ะ
“ก็เลยไม่ยอมปิดไฟหน้ารถ? เลวว่ะ” ผมมองคนที่ยิ้มรับคำด่า “นี่ด่านะ”
“เออกูรู้ รีบๆ กิน จะไปเอามั้ยรถมึงน่ะ”
“เอา”
“เอาก็กินสิ จะมองหน้าทำไม”
“พี่ดีหรือเลวว่ะ มองไม่ออกจริงๆ” ว่าแล้วก็รีบจ้วงไส้กรอกชีสเข้าปากโดยมีสายตาแปลกๆ มอง “อะไร รีบกินสิ จะไปส่งผมเอารถมั้ย”
“เออ”
ผมคิดไว้ว่าไอ้ต้อมไม่น่าจะกลับมาไวแบบนี้ มันเหมือนกับบังเอิญมากไปนิดเมื่อรถพี่เกนจอดต่อท้ายรถของพี่ฟลอยด์พอดี ที่รู้เพราะคนข้างผมจำรถเพื่อนตัวเองได้นั่นแหละ พอลงจากรถมาก็รู้สึกกดดันโคตรๆ สายตาไอ้ต้อมมันส่งมาที่ผมแบบห่วงใยและส่งไปที่อีกคนแบบไม่ไว้ใจ คงเพราะตอนแรกหลังจากผมเปิดประตูลงมา พี่เกนมันจะขับรถหนีนั่นด้วย
หลังจากพี่เกนเปิดประตูลงมา พี่ฟลอยด์ก็รีบดันเพื่อนตัวเองแล้วซุบซิบกันอยู่สองคน ก่อนจะพาเพื่อนหน้าบึ้งมายืนตรงหน้าไอ้ต้อม ผมยิ้มให้เพื่อนตัวเองคล้ายกับบอกว่าสบายดีไม่มีอะไรบุบสลาย
“ขอโทษ” ทั้งผมและไอ้ต้อมต่างก็พากันทำตาโตเมื่อได้ยิน เป็นคำขอโทษที่โคตรไม่รู้สึกว่ามาจากใจเลยให้ตาย น้ำเสียงจะแข็งไปไหน
“เสียงแบบนี้ใช่คนที่สำนึกผิดหรือเปล่าครับ” ไอ้ต้อมถามออกไป มันไม่กลัวพี่เกนผมรู้ ส่วนคนโดนถามส่งเสียงจิ๊จ๊ะคล้ายกับไม่พอใจ
“เออๆ กูขอโทษ เมื่อคืนกูเมามากไปหน่อย” แหม เมามากไปหน่อยแต่ขับรถพาผมกลับคอนโดได้ แถมพาเข้าห้องซะด้วย เพิ่งรู้ว่าอาการของคนเมามากเป็นแบบนั้น
พี่เกนที่ว่าแน่ยังเถียงกับไอ้ต้อมไม่ได้จนพี่ฟลอยด์ต้องออกโรงบอกให้แฟนตัวเองหยุดว่า ก็อย่างที่ผมเคยบอก หากคิดจะเถียงกับไอ้ต้อม เหตุผลเราจะกลายเป็นสิ่งที่งี่เง่าไปทันที ก่อนประโยคท้ายๆ เหมือนคนเถียงไม่ได้จะหันมามองผม
“กูไม่เชื่อใจใคร แล้วเพื่อนมึงก็กวนตีนกู” โอ้โห นี่กล้ากล่าวหาผมขนาดนี้เลยเหรอ
“พี่กวนผมก่อนนี่หว่า”
“มึงด่ากู”
“ด่าตอนไหน”
“มึงว่าดีออก กูได้ยินเต็มสองหู”
“ดีออกมันเป็นคำด่าตรงไหน”
“ก็ตรงที่มันเป็นคำด่านั่นแหละ”
“บ้าว่ะ”
“มึงมัน!” ถลึงตาใส่คิดว่าผมจะกลัวเหรอ ไม่มีทาง ผมแลบลิ้นกลับไปให้เลยถูกชี้หน้า และพอผมหยุดเถียงไอ้ต้อมที่จ้องอยู่แล้วก็รีบแทรกขึ้นมาปรับสีหน้ากับอารมณ์แทบไม่ทัน เกือบงับลิ้นตัวเองอีก
“มึงมากับพี่เกนได้ไง รถมึงก็เพิ่งจะมาเอาตอนนี้” โดนคาดคั้นหนักมากพร้อมสายตาสะกิดจิต
“ก็เมื่อคืนกว่าจะเปลี่ยนยางเสร็จ มันก็ไม่ยอมไปส่ง กูเลยนอนห้องมันซะเลย” ไม่บอกหรอกว่าเผลอหลับแล้วถูกอุ้มขึ้นห้อง ขายหน้าตาย
“กูรุ่นพี่มึงนะ” ไอ้ต้อมกำลังจะอ้าปากแต่เสียงพี่เกนขัดขึ้นมาซะก่อน และก่อนจะมีเรื่องยาวพี่ฟลอยด์ก็รีบห้าม พี่เกนมองหน้าผมก่อนจะกลับไปขึ้นรถและออกตัวอย่างไวคล้ายกับคนปวดท้อง
แต่ผมควรสนใจเพื่อนตัวเองมากกว่า โดนแน่ๆ
และก็จริงผมโดนไอ้ต้อมคาดคั้นจนเหมือนเป็นส้มที่ถูกคั้นเอาน้ำออกจนหมดแล้วเขี่ยทิ้ง ผมกลับมาที่รถตัวเองแล้วขับกลับห้องที่รออยู่
ภายในหอพักแคบๆ ของผม วันนี้วันหยุดช่างสุขอุราซะจริงๆ ผมตื่นเกือบเที่ยงเพราะท้องร้อง หลังจากเสร็จงานทุกอย่างร่างกายก็อยากพักผ่อน ลุกจากเตียงเดินซุยๆ ไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินมาเปิดทีวีดู
...เบื่อ
อาการเบื่อโลกกลับมาอีกแล้ว นี่แหละที่ผมไม่ชอบการอยู่คนเดียว หากเป็นเมื่อก่อนผมคงไปคลุกอยู่กับไอ้ต้อม แต่ตอนนี้มันมีแฟนแล้ว ผมคงไปอยู่ด้วยไม่ได้ ขืนไปมีหวังถูกพี่ฟลอยด์เตะโด่งออกมาแหงๆ
ผมว่า เบื่อแบบนี้ไปเที่ยวกันเถอะ
แต่งตัวสบายๆ ลากแตะคีบออกจากหอพัก ก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนหรอกครับ ไม่ไกลจากหอพักมีห้างซุปเปอร์สโตร์ ไปหาซื้ออะไรมาตุนไว้ในห้องดีกว่า ผมเดินเลียบถนนไปเรื่อยๆ มีผู้คนเดินผ่านไปมาบางคนก็รีบ บางคนก็เดินเอื่อยแบบผม ตอนนี้ผมเริ่มไม่ชอบวันหยุดซะแล้ว
กว่าจะถึงห้างขาก็แทบลาก อยากจะชิวเองคงโทษใครไม่ได้ ผมลากรถเข็นเพื่อบรรจุของที่ขาด หยิบกระดาษที่ลิสรายการออกมาดู พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เบอร์โทรที่ผมไม่เคยเห็นแต่ชื่อนี่โคตรคุ้น น่าจะเอามือถือผมไปเมมเองแหง
“ครับ” คีบโทรศัพท์ที่คอขณะหยิบน้ำอัดลม
“อยู่ไหน”
“พี่ถามผมเหรอ”
“เออสิ กูโทรหามึงคงถามหาเพื่อนมึงมั้ง” มีความกวนด้วยนะ
“อยู่ห้างแถวๆ หอนี่แหละ”
“เออ”
พูดจบก็วางไปเฉย อะไรของเขาวะเนี่ย
ผมเดินหาของที่ต้องซื้อ กระดาษทิชชู่อันไหนดีหว่า ยี่ห้อนี่ยาวกว่า แต่อีกอันนุ่มกว่า หยิบสองอันมาอ่านเทียบความน่าซื้อจนลืมมองว่ามีคนเดินมาด้านหลังพร้อมกระชากอันที่นุ่มกว่าใส่รถเข็น
“เชี่ย ตกใจ” สะดุ้งจนตัวโยนสิ
“เรื่องมากจริง”
“เอ้า มันต้องเลือกดีๆ สิ” เมื่อก่อนผมก็ไม่เลือกหรอกครับ ไอ้ต้อมมันเคยบังคับให้อ่าน จากนั้นก็เหมือนจะติดเป็นนิสัย “พี่เถอะ มาได้ไงแล้วมาทำไม”
“กูไปหามึงที่หอมาแต่มึงไม่อยู่ที่ห้อง” ผมมองด้านหลังคนที่เข็นรถเข็นของผมไป “แล้วมึงจะซื้ออะไรอีก”
“หา...เออ ผงซักผ้าแล้วก็ บลาๆๆๆ”
ผมกับพี่เกนซื้อของนานมาก นั่นเพราะผมเลือกเยอะ ผมไม่ได้เลือกเยอะหรือเรื่องมากนะ มันก็ต้องอ่านก่อนซื้อหรือเปล่า อย่างสบู่อาบน้ำซึ่งผมชอบที่เป็นก้อนมากกว่าเพราะมันประหยัดใช้ได้นานแม้แต่ก้อนเล็กๆ เราสามารถเอามารวมกันแล้วเติมน้ำเขย่าๆ มันก็ใช้ได้ (ไอ้ต้อมมันเคยมาทำให้) แต่พี่เกนบอกให้เอาแต่ครีมอาบน้ำ
“ครีมอาบน้ำหอมกว่าเยอะ” อยากกรอกตาบนใส่มาก นี่ขนาดว่าจ่ายเงินแล้วยังไม่เลิกพูดอีก
“แต่ผมชอบใช้สบู่ก้อน ครีมอาบน้ำมันลื่นๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” ที่จริงก็อาบได้หมดนั่นแหละครับ แต่แบบก้อนหาซื้อง่ายกว่า
“แต่กูจ่ายเงิน” เหตุผลโคตรน่าฟัง
“แล้วผมขอให้พี่จ่ายหรือไง” ผมเกือบถูกเขกหัวดีที่มือสองข้างของพี่เกนมีถุงเต็มไปหมด
เดินตามคนหน้าบึ้งมาขึ้นรถ ขามาเดินอย่างร้อน ขากลับได้นั่งรถเย็นๆ ค่อยยังชั่ว จะว่าไป พี่เขามาหาผมทำไม หรืออยากมาหาเรื่องทะเลาะกันเฉยๆ แต่พอคิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน มีเพื่อนอยู่ด้วยจะได้ไม่เบื่อ คิดแบบนั้นผมก็นั่งยิ้มอารมณ์ดีจนคนขับรถหันมามอง
“ยิ้มไรของมึง”
“เพราะมีความสุขถึงยิ้มไง” หันไปฉีกยิ้มให้คนถามอีกรอบจนโดนหัวเราะใส่
“อยู่กับกูมีความสุข? ก็ดีนะ”
คล้ายกับถูกไม้ตียุงช็อตหน้าเมื่อเผลอสบตานัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั่น เหมือนหัวใจมันกระตุกๆ ปากที่ยิ้มก็เหมือนเริ่มยิ้มไม่เต็มที่...ผมว่า ผมเริ่มมีอาการอีกแล้ว
“ผมว่า...”
“อะไร”
“เปล่า”
มันคล้ายกับรู้สึกแบบที่เคยรู้สึกกับครีม แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจก็เลยไม่กล้าพูด ผมอาจจะหลงรอยยิ้มเวลาไม่เก๊กนั่น หรืออาจจะชอบกล้ามหน้าท้อง เดี๋ยวนะ ทำไมผมคิดไปถึงเรื่องนั้นซะได้ มันไม่ดีต่อหัวใจเลยสักนิดให้ตายสิ
“มึงหน้าแดงนะ ร้อนเหรอ” รีบพยักหน้าแทนคำตอบ เจ้าของรถยื่นมือไปเร่งแอร์ให้เย็นขึ้นจนขนเริ่มลุก “หยุดนี้มึงจะไปไหน” คำถามที่ทำให้ผมหันกลับไปมองคนที่ทำให้รู้สึกแปลก เอ๋ วันหยุดหลังงานมหาลัยจะไปไหนดี
“ไม่รู้เหมือนกัน กลับบ้านคงเหงาเหมือนเดิม” พ่อแม่ผมทำงานตลอดไม่มีเวลาให้ผมหรอก
“ขี้เบื่อล่ะสิมึงน่ะ”
“ก็คงงั้นมั้ง”
“ไปอยู่กับกูมั้ยล่ะ” รีบหันขวับไปมองคนที่ออกปากชวน
“ไม่ไป” ผมปฏิเสธแม้มันจะน่าสน ห้องนั้นมีทั้งเกมส์ ทั้งหนังสือน่าอ่าน
พี่เกนใช้หางตามองผมนิดๆ ก่อนหันกลับไปสนใจถนนต่อโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก จนถึงหอที่ผมพักอยู่ นี่ถ้าเดินมาคงถึงนานไปแล้ว ขับรถมันต้องไปวนไกล พอลงจากรถผมก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณคนใจดีอาสามาส่ง
“มึงไม่คิดจะชวนกูขึ้นห้องกินน้ำสักหน่อยเหรอวะ” พูดมาซะขนาดนี้ผมเลยยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยชวนไปเลยได้การตอบกลับมาแบบง่ายๆ เรียบๆ “เออ”
เดินนำคนอยากมากินน้ำเข้ามาในห้อง แม้จะเป็นห้องชายโสดแต่ผมก็เก็บของเรียบร้อยนะครับ เพราะตอนปีหนึ่งห้องรกมาก สกปรกมากสาเหตุจากการไม่มีเวลาเพราะต้องไปรับน้องเข้าห้องเชียร์ ห้องเน่าๆ ทำให้ผมป่วยกระเสาะกระแสะเป็นเดือนจนแม่มาเยี่ยมพร้อมกับสั่งบริษัททำความสะอาดมาดูดฝุ่น ทั้งไรฝุ่น ทั้งตัวอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้ผมป่วยอยู่เต็มห้องจนทุกคนแทบอยากจะวิ่งหนี จากนั้นผมก็เริ่มทำความสะอาดมาตลอด ไม่ชอบเลยการไม่สบายเนี่ย มันทำให้ผมต้องนอนอยู่กับที่ไปไหนไม่ได้...มันน่าเบื่อมาก (อยากเพิ่มกอไก่สักล้านตัว)
พี่เกนเดินดูนั่นดูนี่จนพอใจแล้วกลับมานั่งที่พรมหน้าทีวี พอดีกับผมรินน้ำเย็นไปให้ คนรับไปยกแก้วขึ้นมองอย่างพิจารณาเหมือนหาตัวประหลาดในน้ำ พอมองไม่เห็นอะไรค่อยยกดื่ม
“พี่เป็นเอามากนะ น้ำผมไม่มียาพิษหรอกน่า” บอกพร้อมเปลี่ยนกางเกงจากยีนส์มาเป็นกางเกงบอลเพราะมันสบายๆ
“มึงไม่ไปเปลี่ยนในห้องน้ำวะ” นี่ตอบไม่ตรงคำถามแล้วยังถามผมกลับอีก
“ทำไมต้องเปลี่ยนในห้องน้ำ ในเมื่อพี่กับผมก็ผู้ชายเหมือนกัน” ผมบอก แล้วพาลนึกถึงประตูห้องน้ำที่สะท้อนให้เห็นรูปร่างสัดส่วนอย่างล่อแหลม แม้จะไม่เห็นตัวเป็นๆ ก็เถอะ แต่สมองเรามักจะจินตนาการไปไกลกว่าดวงตาเยอะ
“มึงหน้าแดงอีกแล้วนะ”
เพราะพี่นั่นแหละ!
อยากตะโกนออกไปแบบนี้แต่เลือกที่จะยิ้มตอบกลับไปเฉยๆ
“พี่มาหาผมทำไมเหรอ”
“กูอยากมา”
“อ่อ” ไปต่อไม่เป็นเลยไอ้ป่าน
“กูจะกลับแล้ว” อยู่ๆ พี่แกก็ลุกพรวดขึ้น หูสองข้างโคตรแดง “ไว้พรุ่งนี้กูจะมารับไปกินข้าว”
“ดะ เดี๋ยว” ยังไม่ทันได้ตอบอะไรพี่เกนก็รีบเดินหนีออกจากห้องไป อะไรของเขาวะ แค่ผมมานั่งข้างๆ แค่นี้ หรือไม่ชอบที่ผมนั่งด้วย อ่อ...กางเกงบอลผมขาดที่เป้านั่นเอง แค่นี้ก็ต้องรีบกลับด้วย คงรังเกียจกางเกงที่ขาดแน่ๆ อะไรจะขนาดนั้น แค่เย็บก็ใช้ได้แล้วโธ่
“มึงลงมาช้า” เสียงทักประโยคแรกหลังจากถูกโทรปลุกตั้งแต่หกโมงเช้า พี่จะตื่นเร็วไปไหน แล้วมารับสิบโมง รู้แบบนี้ผมน่าจะนอนหลับรอ (มากี่โมงก็ไม่บอก แบบนี้ใครจะไปกล้าหลับต่อ)
“รีบสุดๆ แล้ว” บอกพร้อมเสียงเหนื่อยหอบ “พี่จะเลี้ยงผมเหรอ”
“เออ อยากกินอะไร” ใจดีซะด้วย ผมฉีกยิ้มให้ก่อนจะนึกว่าอยากกินอะไรดี
“มังกรเขียว” ผมบอกไป คนเลี้ยงก็พยักหน้ารับ มื้อนี้จะกวาดให้เรียบเลยคอยดู
แต่พอเอาเข้าจริงผมก็กินได้ไม่เยอะเท่าที่หวัง นั่นเพราะไม่มีคนแย่งกิน เคยกันมั้ยครับที่เวลาซื้ออะไรไปแล้วแย่งกันกินมันจะอร่อยมาก แต่พอซื้อมากินเองมันดูไม่ค่อยอร่อย เหมือนกับตอนนี้ที่พี่เกนกินแบบเอื่อยๆ เลยทำให้ผมเอื่อยไปด้วย
“ไม่อร่อยเหรอ” ยังมีหน้ามาถามผมอีก
“อร่อย แต่อิ่มแล้ว” ลูบท้องเป็นสัญญาณเลยถูกขำ
“แล้วใครวะที่บอกแม่งจะแดกจนหมดร้าน ขี้โม้นี่หว่า” ผมไม่เถียงหรอกครับ เพราะมันคือเรื่องจริง “อยากไปไหนต่อล่ะ” ผมมองหน้าคนที่ถามที่กำลังคีบหมูเข้าปาก
“พี่ตามใจผมเหรอ” นี่โคตรแปลก หรือพี่เกนมันกินยาลืมเขย่าขวดวะ
“อืม” มีช้อนตามองแล้วยิ้มอ่อยด้วย แบบนี้ไม่ดีต่อใจไอ้ป่านนะครับบอกเลย
“ซื้อการ์ตูน” บอกไปงั้นแหละครับ คนถามก็พยักหน้าเบาๆ
สุดท้ายก็ได้การ์ตูนที่อยากได้ครบทุกเล่มโดยไม่ได้ออกเงินสักบาท มันสบายก็ตรงนี้แหละ
“มึงซื้อทำไมเยอะแยะวะ” คนออกเงินที่ผมแทบกราบเท้าถาม
“ก็ผมชอบอ่าน อยู่ห้องคนเดียวโคตรน่าเบื่อ นี่เอาไว้อ่านตอนดึก”
“เพื่อนมึงบอกว่ามึงมีโรค มึงเป็นโรคอะไร ต้องไปหาหมอหรือเปล่า หรือต้องกินยา”
“ผมไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงขนาดนั้น แค่เป็นโรคขี้เบื่อ”
“แล้วทำไมถึงเป็นโรคขี้เบื่อ”
“คงเพราะตอนเด็กๆ ผมอยู่บ้านคนเดียวด้วยมั้ง ไม่ได้ออกไปไหนอยู่กับตัวเองทั้งวันทั้งคืน นั่งๆ นอนๆ เบื่อก็หลับ มันเลยกลายเป็นโรคนี้ขึ้นมา” ผมบอกตามความจริง เพราะพ่อกับแม่ผมท่านยุ่งมาก ทำงานหามรุ่งหามค่ำที่บริษัท กลับมาผมก็เข้านอนไปแล้ว เดือนหนึ่งแทบไม่ได้เจอหน้า
“แล้วทำไมมึงไม่หาอะไรทำ นั่งๆ นอนๆ เฉยๆ ทำไม” คนถามยัดหนังสือการ์ตูนผมใส่หลังรถแล้วสอดตัวเข้ามานั่งประจำที่คนขับ
“ผมเคยเลี้ยงปลานะ ตอนนั้นหายเบื่อไปพักใหญ่เลยล่ะ” ผมยังคิดถึงเจื้อยกับแจ้วได้อยู่เลย ปลาทองสองตัวที่ผมไปเดินเลือกซื้อกับป้าแม่บ้านที่ตลาด “แต่ผมอยู่กับปลาทั้งวันไม่ยอมไปไหนแม่เลยเอาไปปล่อย”
“มึงนี่พอทำอะไรแล้วจะไม่ยอมทำอย่างอื่นเลยสินะ”
“ก็มันทำให้หายเบื่อ”
“แล้วตอนนี้มึงหายเบื่อหรือยัง”
“หา”
“อยู่กับกูนี่หายเบื่อบ้างหรือเปล่า”
สบตาคู่นั้นแล้วใจเต้นแรงอีกแล้ว
“ก็...นิดหน่อย” ตอบแค่นี้ก็เหมือนกับถูกสุมกองไฟใส่หน้า
“ก็ดี” ผมหันหน้าหนีเลยได้ยินแต่เสียงพูดและเสียงหัวเราะ
...แต่มันไม่ดีต่อใจผมอีกแล้ว
...TBCพี่เกนกับน้องป่านเหลืออีก 2 ตอนจะจบแล้วค่าาาาา ขอบคุณสำหรับการติดตามคู่นี้นะคะ ส่วนคู่หลักยังมีตอนพิเศษอยู่นะคะ
