10
ขวางหูขวางตาจริงๆ ตอนนี้คนที่เดินยุบยับเต็มบ้านทำให้เจ้าของไร่ขมวดคิ้วไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ นี่ขนาดเข้ามาสำรวจคนยังเยอะขนาดนี้ ไม่รู้น้องชายประสานงานยังไงบอกมาได้ว่าทีมงานมาแค่สามคน แล้วที่ยืนสลอนนี่ไม่ใช่คนหรือไง
“พี่ใหญ่ทำหน้าดีๆ หน่อยสิครับ” เล็กสะกิดพี่ชายตัวเองที่นั่งหน้าบูดไม่รับแขก จนไม่มีทีมงานกล้าเข้าใกล้สักคน
“ไหนแกบอกมีไม่กี่คนไง” อดไม่ได้ที่จะบ่น น้องชายรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“ก็ไม่กี่คนไง” เอาจริงๆ เล็กก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่คนมาเยอะกว่าที่ได้คุยเอาไว้ แต่จะให้ไล่ไปก็ดูไม่ดีต่อภาพลักษณ์ “แล้วอัดล่ะ พี่ใหญ่ไม่เห็นหรือ” ตั้งแต่เช้าแล้วที่พี่สะใภ้หายไป และพี่ชายดูไม่เป็นห่วงอย่างที่ควรจะเป็น
“อยู่ในไร่” ใหญ่ว่า ตั้งแต่เช้ามืดที่บอกให้อัษฎาลงไปอยู่ในไร่ เพราะวันนี้จะมีคนไม่ชอบขี้หน้ามา ดังนั้นเพื่อเป็นการดีต่ออารมณ์ควรจะให้ตัวแปรไปอยู่ที่อื่น ใบหน้ายิ้มแย้มแลดูจะมีแผนการ แต่เล็กก็ปล่อยผ่านแล้วเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่มาดูสถานที่ก่อนถ่ายทำจริง
ใหญ่ยังนั่งนิ่งมองดูทีมงานยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายนั่นนี่ ขนาดตุ๊กตาปั้นรูปกบยังลงไปนั่งถ่าย อะไรจะขนาดนั้นแม่คุณ
“คุณอัดล่ะครับ” สายตารีบเบนมาหาคนที่ยืนค้ำศีรษะ ทัศนัยยืนยิ้มจนเหงือกแทบแห้งแต่ไม่ได้รอยยิ้มตอบกลับ มีเสียงสายตาที่มองแบบไม่ชอบใจ “เอ่อ...”
“พอดีอัดเขาทำงานอยู่น่ะครับ” เล็กรีบวิ่งเข้ามายืนขวางระหว่างพี่ชายกับเจ้าของร้านอาหารที่เป็นลูกค้าของไร่ ด้วยความกลัวว่าพี่ชายจะอาละวาดแบบไร้เหตุผลขึ้นมา
“อ๋า ถึงว่าไม่เห็น” เมื่อคนถามหาอัษฎาเดินไป เล็กรู้สึกถึงรังสีบางอย่างที่พุ่งมาจากด้านหลัง ร่างสมส่วนค่อยๆ เอี้ยวตัวไปมอง ทันทีจะสบกับดวงตาดุของพี่ชาย คนเป็นน้องก็แทบอยากยกมือไหว้ ความโหดพุ่งออกมาจนน่ากลัว
“ขอโทษค่ะ” เสียงใสร้องเรียกขัดการต่อว่าทางสายตาจบลง เล็กรีบหันไปยิ้มตามสไตล์ สาวเจ้าดูจะเขินนิดๆ ซะด้วยซ้ำ “คือที่นี่มีไร่องุ่นด้วยใช่ไหมคะ หากจะไปดูสักหน่อยจะได้หรือเปล่า” คำขออนุญาตจากทีมงาน คนที่ตัดสินคือเจ้าของไร่ เล็กหันไปมองพี่ชายอย่างถามความเห็น ใหญ่ทำนิ่งก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ผมจะพาไปชมเอง” เจ้าของไร่บอกเสียงเข้ม พอได้ยินว่าจะได้ชมไร่ ทีมงานทุกคนดูจะตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะร้องวี๊ดว๊าย ใหญ่ขมวดคิ้วไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แต่ที่ต้องพาชมเองก็เพราะคนพวกนี้จะได้กลับไวๆ อีกอย่างจะได้พาห่างจากจุดที่สั่งให้อัษฎาไปทำด้วย ขืนให้เล็กพาไป มีหวังได้เจอกันแน่ๆ
ทีมงานจากเมืองกรุงพากันถ่ายภาพไร่ดอกไม้แสนสวย ยังดีที่เอกสารที่ส่งให้ก่อนหน้าระบุอย่างชัดเจนถึงการเข้าไร่เพื่อสัมผัสดอกไม้ แม้เหล่าทีมงานจะแอบเสียดายที่เข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทไม่ได้ แต่แค่ได้ชื่นชมความงามแบบนี้ก็ต่างกันชื่นชอบ
“เสียดายที่เข้าไปใกล้ๆ ไม่ได้” หนึ่งในทีมงานพูดออกมา ซึ่งกลุ่มคนที่มาด้วยต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย บ้างก็ใช้สายตาอ้อนมองเจ้าของไร่เผื่อจะใจดียอมให้ได้สัมผัสสักครั้ง
ใหญ่ยิ้มตามฉบับของตนเรียกเสียงชอบจากสาวๆ ได้เป็นอย่างดี จะว่าไปเจ้าของไร่ทั้งสองหน้าตาหล่อเหลา หากแต่อยู่ในไร่สาวๆ ข้างนอกจึงไม่ได้เห็น
“คุณใหญ่ขา พวกเราขอเข้าไปดูใกล้ๆ สักหน่อยได้หรือเปล่าคะ พวกเราสัญญาว่าจะไม่แตะต้องดอกไม้เลย” หัวหน้าทีมงานทนสายตาทีมงานไม่ไหวเลยต้องออกหน้าร้องขอแทน ใหญ่ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ครับ แต่คงให้เฉพาะแปลงด้านหน้านะครับ” คราแรกลังเลอยู่นาน แม้จะมีสายตานับสิบคู่ส่งมาอย่างเว้าวอน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องอนุญาตไป “แต่ผมขออย่างหนึ่งนะครับ ขออย่าจับดอกไม้เพราะดอกจะเฉาได้” คนดูแลทุกขั้นตอนย่อมห่วงหวงเป็นธรรมดา
เมื่อได้รับการยืนยัน ใหญ่ได้เดินนำเหล่าทีมงานลงไปในไร่ ทุกคนต่างก็เตรียมกล้องถ่ายรูปไว้ในมือ ขนาดเห็นไกลๆ ยังสวยขนาดนี้ แปลงสองฝั่งมีดอกดาวเรืองกับดอกกุหลาบ แม้จะปลูกไม่ห่างกันมาก แต่ก็มีแนวกั้นอยู่
ทัศนัยที่เดินมาด้วยอดที่จะทึ่งกับไร่ไม่ได้ ด้านบนว่าสวยแล้ว ด้านล่างสวยยิ่งกว่า ดอกดาวเรืองดูสวยงามกว่าที่เคยเห็นในท้องตลาด สีเหลืองทองอร่ามสดสวยซะจนอดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้ ขนาดเขาทำร้านอาหารมา สั่งดอกไม้จากร้านมากมาย แม้ดอกดาวเรืองจะไม่ได้อยู่ในส่วนที่ต้องการ แต่ก็ว่าไม่ได้หากจะนำไปตกแต่งเมื่อเห็นความงามเช่นนี้
กลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินผ่านด้านหน้าของแปลงดอกดาวเรือง คนงานที่เดินผ่านไปมาต่างก็โค้งศีรษะให้นายใหญ่ คนไม่เคยเห็นต่างก็อดที่จะปลื้มไม่ได้ อย่างกับละครที่เคยได้ดู ระหว่างที่ทุกคนสนใจความงามตรงหน้า ใหญ่ที่ตัวสูงเห็นศีรษะคนที่เขาสั่งในอยู่แต่ในไร่เดินออกมา ดวงตาคมรีบหันไปมองเจ้าของร้านอาหารที่เดินปะปนกับกลุ่มคนเมืองกรุง ไม่รู้จะเดินออกมาทำไม
อุตส่าห์พามาไร่ดอกดาวเรืองแท้ ยังเดินออกมาเจออีกจนได้ อัษฎาเดินออกมาเรียกสายตาจากคนกลุ่มใหญ่ที่มองอย่างสังเกต คนงานคนนี้ดูขาวเหมือนไม่เคยเจอแดด แถมยังหน้าตาน่ารักอีก ทัศนัยที่หันมาเจอก็รีบปรี่เข้ามาหา ชายหนุ่มไม่สนสายตาจ้องราวจะกัดของเจ้าของใหญ่ เมื่อเดินผ่านหน้าไปถึงทัศนัยก็รีบช่วยคนที่มองหามาตั้งแต่เช้าถืออุปกรณ์ตัดแต่งกิ่งอย่างกรรไกร แม้ไม่ได้หนักอะไรแต่อย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิด
“คุณใหญ่บอกคุณมาทำงานตั้งแต่เช้า คิดว่าจะไม่ได้เจอกันเสียแล้ว” อัษฎายิ้มนิดๆ ให้กับประโยคที่ได้ฟัง อาจเพราะไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ในประโยคเหล่านั้นเลยไม่ได้คิดอะไรมาก ต่างจากเจ้าของไร่ที่ยืนกอดอกจ้องไม่วางตา “แล้วนี่คุณอัดทำงานเสร็จแล้วหรือครับ”
“ครับ” ตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินมายืนข้างคนหน้าบึ้งที่คล้ายกับสะกิดจิตทางสายตาให้มายืนข้างๆ “คุณใหญ่มานานแล้วหรือครับ” กระซิบถามเบาๆ
“ออกมาทำไม งานที่ฉันสั่งเสร็จแล้วหรือไง” ไม่มีคำตอบ แต่กลายเป็นถามกลับซะอย่างนั้น อัษฎากระพริบตามองคนถาม
“ลุงเหมือนบอกไม่มีอะไรแล้วผมเลยออกมานี่ไง” หัวหน้าคนงานเก่าแก่ที่คราแรกสงสัยว่าทำไมเจ้านายถึงให้อัษฎามาช่วยตัดดอกไม้ อันที่จริงคนงานที่มีก็มากพอจนเหลือด้วยซ้ำ เมื่ออัษฎาลงไปช่วยเลยกลายเป็นว่า ต้องยืนเฉยๆ มอง
“จะออกมาทำไมตอนนี้นะ” ใหญ่พึมพำกับตัวเอง แม้เสียงจะเบาแต่คนที่ยืนชิดใกล้อย่างอัษฎาก็ต้องได้ยิน ใบหน้าขาวหันไปมอง ดวงตากลมโตมองอย่างสงสัยแต่ก็มิได้ถามอะไรออกไป “ไปช่วยพวกที่โรงงานคัดดอกไม้ไป” เพราะไม่อยากให้อยู่เป็นอาหารตาของคนไม่ชอบขี้หน้า หากไปอยู่ในนั้นอีกนานคงจะได้ออกมา พอถึงเวลานั้น กลุ่มพวกนี้คงกลับไปแล้ว
“แต่คุณใหญ่บอกไม่ให้ผมไปทำที่นั่น” คำสั่งนี้เพิ่งได้ยินมาไม่กี่วัน คิ้วเรียงสวยขมวดเป็นปม
“เออ แค่วันนี้นั่นแหละ ดอกไม้มันเยอะไง ถามมากจริง” คนสั่งเริ่มโมโหนิดๆ จะซักไซ้อะไรนักหนา ขนาดมายืนข้างๆ แบบนี้ ทัศนัยยังมองมาเป็นระยะ “รีบๆ ไปเลย”
ขณะอัษฎากำลังจะก้าวเดิน เสียงร้องทักทำให้ต้องหยุดแล้วหันไปมอง หญิงสาวร่างผอมที่ดูจะตกใจปนดีใจ น้ำเสียงแหลมตะโกนเรียกชื่ออย่างสนิทสนมพร้อมเดินเข้ามาหา ใหญ่เหล่ตามองทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างอยากรู้
“อัดใช่ไหม...ใช่จริงๆ ด้วย” หญิงสาวฉีกยิ้ม มือเล็กยื่นมาจับแขนขาว
“แอนเหรอ ไม่ได้เจอตั้งนาน สบายดีใช่ไหม” อัษฎายิ้มร่าเมื่อเจอเพื่อนเก่า จะมีก็แต่คนขี้หวงไม่รู้ตัวที่ไม่ชอบรอยยิ้มนั่น เพราะมันถูกยิ้มให้คนอื่น
“สบายดี อัดล่ะ ทำไมมาอยู่ที่นี่” เพราะไม่ได้พบกันเสียนาน อัษฎาจึงลืมคำสั่งเมื่อกี้ไปซะสนิท ร่างผอมเดินนำเพื่อนสาวไปอีกทางเพื่อไปหาที่นั่งสนทนา
ใหญ่ยืดคอมองตามแผ่นหลังนั้นไป อุตส่าห์กันทัศนัยได้ ยังมีคนรู้จักเพิ่มมาอีกคนหรือนี่ หวังว่าคงไม่ใช่แฟนเก่าที่เคยได้ยินจากแม่มาหรอกนะ แต่เอ...ไม่น่าใช่ แฟนเก่าของอัษฎาเป็นผู้ชาย พอคิดเช่นนั้นใหญ่ก็ถอนหายใจออกมา แต่ไม่พ้นสายตาของคนที่เอนไปทางชอบอัษฎา
“คุณใหญ่ถอนหายใจทำไมหรือครับ” หากเป็นคนอื่นถามคงจะตอบแบบสุภาพ แต่นี่แค่เห็นหน้าก็รู้สึกเกลียดจนไม่อยากมอง ใหญ่ปรายตานิดๆ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินนำกลุ่มทีมงานไปต่อ ทัศนัยมองตามเจ้าของไร่อย่างงงๆ นี่เขาไปทำอะไรให้เจ้าของไร่โกรธหรือเกลียดหรือเปล่า
การเดินชมภายในไร่แม้จะใช้เวลานานแถมยังเหนื่อยจนขาแทบลากแต่ก็รู้สึกสนุก ใหญ่พาทีมงานทุกคนกลับมาที่เรือน นมอิ่มพาสาวใช้เตรียมน้ำองุ่นที่ทำเองออกมาให้ดื่มคลายร้อน อีกทั้งยังมีน้ำสมุนไพรต่างๆ เพื่อให้ได้ลองชิม บางคนถึงกับดื่มทุกแก้วอย่าเช่นทัศนัย จนชายหนุ่มออกปากชมว่าอร่อยทุกอย่าง
“ไวน์ว่าอร่อยแล้ว น้ำองุ่นกับน้ำสมุนไพรก็อร่อยไม่แพ้กันเลยนะครับ” เจ้าของร้านอาหารรู้สึกทึ่งกับไร่นี้มาก ขนาดน้ำดื่มพวกนี้ยังน่าทึ่งจนอดที่จะชมไม่ได้
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ” นมอิ่มยิ้มแย้มเมื่อมีคนชม “ทุกคนที่ตั้งใจทำต้องดีใจมากแน่”
“พอมีสูตรไหมครับ น้ำสมุนไพรรสชาติดีจริงๆ”
“ไม่มีหรอกค่ะ” คำตอบนั้นทำเอาคนอยากได้สูตรเสียดาย หากนำไปเสิร์ฟในลูกค้าที่ร้านละก็ ทุกคนจะต้องติดใจอย่างเขาและทีมงานทุกคน
ใหญ่ที่ยืนอยู่มุมบันได ดวงตาคมมองออกไปด้านนอก เมื่อไม่เห็นคนอู้งานที่หายไปนานสองนาน อาการหงุดหงิดนั่น นมอิ่มที่รู้สาเหตุได้เดินนำน้ำเก๊กฮวยไปให้
“ทานสักหน่อยค่ะคุณใหญ่ อารมณ์จะได้เย็นขึ้น” พอได้ยินใหญ่ก็รีบยิ้มนิดๆ มือกร้านรับแก้วน้ำขึ้นจิบ “เอ ตาอัดหายไปไหน ทำไมไม่มาช่วยคุณใหญ่ดูแลแขก” พูดไปดวงตาก็มองเจ้าของไร่ไป จนคนที่ตามหาเดินมาพร้อมหญิงสาว นมอิ่มรู้ได้ทันทีว่าทำไมเจ้านายของเธอถึงอารมณ์บูดนัก
“อ่าวแม่ คุณใหญ่” อัษฎาเดินยิ้มร่ามาถึงหน้าเรือน พอปะทะสายตาดุรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหาย “นี่แอน เพื่อนผมครับ นี่แม่เราเอง” อัษฎาแนะนำเพื่อนให้รู้จัก มันคงจะเรียบร้อยหากใหญ่ไม่กระแอมออกมา นั่นเพราะเขาไม่ถูกแนะนำด้วย คนเจอเพื่อนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหันไปยิ้มให้เพื่อน “นี่คุณใหญ่ แฟนเราเอง”
เพื่อนสาวได้ยินก็เบิกตาโตมอง แม้จะรู้ว่าเพื่อนชายเลิกรากับแฟนไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีแฟนใหม่รวดเร็วเพียงนี้ ครั้งล่าสุดเธอเพิ่งจะด่าแฟนเก่าของอัษฎามาหยกๆ
“โห เพื่อนได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ” แอนเอ่ยแซว ดวงตาเรียวมองแฟนใหม่ของเพื่อนอย่างทึ่ง ครั้งแรกที่เจอเธอรู้สึกชอบเจ้าของไร่นี้ด้วยซ้ำ ยังคิดอิจฉาคนโชคดีที่ได้แฟนหล่อเหลาเช่นนี้
“ไม่หรอกน่า” ตอบเพื่อนสาวด้วยความขวยเขิน และดูคนหน้าบึ้งจะยิ้มออกมาบ้างแล้ว “ไปเถอะ คุณเล็กรออธิบายนั่นแล้ว”
อัษฎาพาเพื่อนสาวเดินมารวมกลุ่มกับทีมงานที่ตอนนี้ผู้ประสานงานอย่างเล็กกำลังแจกแจงรายละเอียดต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งรายละเอียดส่วนใหญ่ก็มาจากเขาทั้งสิ้น อาจมีบางส่วนที่เล็กเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสมยิ่งกว่า
“นี่” แรงสะกิดจากด้านหลังทำให้คนที่ตั้งใจฟังหันไปมอง อัษฎามองแก้วน้ำในมือของใหญ่ที่ยื่นมาให้ เพราะหิวน้ำด้วยคนรับเลยไม่คิดอะไร มือขาวยื่นไปรับแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด “ฉันกินเหลือ” รอยยิ้มกับน้ำเสียงกวนโมโหทำให้คนที่ดื่มน้ำเก๊กฮวยรวดเดียวสำลัก ดวงตากลมมองค้อน แต่อีกคนกลับหัวเราะร่า
“สนุกมากหรือเปล่าคุณใหญ่” อัษฎากัดฟันถาม คนถูกถามพยักหน้าจนน่าหมั่นไส้
ตลอดเวลาของการฟังรายละเอียด อัษฎามักถูกคนตัวโตแหย่เสมอ บางครั้งก็แทบอยากตวาดออกไป แต่กลัวทีมงานต่างจากเมืองกรุงจะตกใจ เลยได้แต่กัดฟันทำเป็นเฉย และนั่นยิ่งทำให้คนชอบแหย่ยิ่งชอบใจ
“ที่นี่มีลานกว้างสำหรับกางเต็นท์ด้วยนะครับ หากพวกคุณชอบ” เล็กพูดไปสายตาก็เหล่มองพี่ชายกับพี่สะใภ้แหย่กันไปมา อยากจะตะโกนว่าไปหลายครั้งเพราะทำให้เสียสมาธิ “ถ้าสนใจช่วยแจ้งให้ทราบล่วงหน้านะครับ ทางเราจะได้จัดเตรียมสถานที่และอาหารไว้รอ”
“ดีเลย เราชอบแบบนั้น” ทีมงานทุกคนพากันเห็นชอบ คงจะมีหนึ่งคนที่ไม่ใช่ทีมงาน เป็นเพียงแค่ผู้แนะนำที่อดจะเสียดายไม่ได้
มื้อเที่ยงที่ทุกคนรอคอย วันนี้แม่ครัวได้ทำกับข้าวพื้นเมืองไว้รอ อาหารทุกอย่างอร่อยมาก บางอย่างก็อร่อยกว่าร้านอาหารในตัวเมือง โดยเฉพาะต้มยำไก่บ้านที่ทุกคนชอบใจขอตักเพิ่มหลายครั้ง
เจ้าของไร่ทั้งสองอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วย แต่ดูจะกินน้อยเมื่อเทียบกับทุกคน ใหญ่เขี่ยข้าวไปมาเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย บนโต๊ะอาหารทีมงานแย่งชิงหมู ไก่กันอย่างสนุก แต่กับคนนั่งมุมโต๊ะกลับไม่ชอบ
“คุณใหญ่อิ่มแล้วหรือครับ” อัษฎาที่นั่งข้างๆ เอ่ยถามเมื่อเห็นใหญ่แทบไม่แตะต้องอะไรเลย ต่างจากเขาที่มีทัศนัยคอยตักนั่นตักนี่มาให้จนพูนจาน
“อืม” เสียงนิ่งๆ ตอบกลับ ดองตาคมจ้องจานข้าวที่มีกับจนล้น
“นี่ครับ” ดูก็รู้ว่าไม่อิ่ม อัษฎาใช้ช้อนกลางควานหาตับไก่จนเจอ ยังดีที่ชามนี้ไม่มีคนมาตัก อาจเพราะเกรงเจ้าของไร่ที่นั่งหน้าบึ้งก็เป็นไปได้ “ทานน้อยจะปวดท้องนะครับ”
การเอาใจใส่ของอัษฎาที่มีต่อใหญ่ไม่พ้นสายตาคนที่จ้องมองตลอดอย่างทัศนัย คิ้วดำขมวดมุ่น จับสังเกตอาการมาได้สักพักใหญ่ๆ อย่างตอนฟังรายละเอียด หลายครั้งที่หันไปมองเมื่อได้ยินเสียงคนหัวเราะ แม้อัษฎาจะดูหน้าบึ้งไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ยังคงปล่อยให้อีกคนคอยแกล้งอย่างสนุกสนาน
อิ่มท้องกันแล้ว ทีมงานก็พากันกลับ เจ้าของไร่สุดหล่อสองคนยืนส่งอยู่หน้าประตู สาวๆ ต่างโบกมือลาจนรถตู้สีขาวเคลื่อนออกไปจนลับตา เสียงถอนหายใจหนักๆ ของน้องชายทำให้ใหญ่สงสัย
“อะไรของแกตาเล็ก” คนถามได้สายตาขึงตอบ
“ก็เมื่อสักครู่ พี่ใหญ่กับอัดทำให้ผมไม่มีสมาธิ” เล็กว่า “ต่อไปถ้าจะแหย่กัน กรุณาไปเล่นที่อื่น” น้ำเสียงสะบัดงอนจนพี่ชายต้องขำออกมา
“แกก็ทำได้ดีนี่น่า ไปทำงานกันเถอะ” ใหญ่วาดแขนกอดไหล่น้องชาย ขายาวกำลังจะก้าวเดินต้องหยุดชะงักเมื่อเจอคำถามที่ทำเอาพูดไม่ออก
“ทำไมพี่ใหญ่ไม่ให้อัดออกมาส่งด้วยล่ะ” อากัปกิริยาของพี่ชายเกือบทำให้เล็กหลุดขำ “หรือเพราะกลัวคุณทัศนัยเขาส่งสายตาหวานมาให้” คนกลัวถึงกับกรอกสายตาไปมาเมื่อคำถามช่างแทงใจดำ
“กลัวอะไรที่ไหนของแกวะ” กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ถูกหัวเราะใส่ไปแล้ว
“พี่ใหญ่หวงก็บอกมาเถอะ ชอบพี่สะใภ้แล้วใช่ไหม ไม่ต้องเก๊กหรอก ผมรู้ๆ” เล็กกลั้นยิ้ม ยกมือตบบ่าพี่ชายที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คนออกเดินส่ายหัวให้กับพี่ชายท่ามาก
เมื่อเล็กไปแล้ว ใหญ่ยืนนิ่งทบทวนตัวเอง คำถามเมื่อกี้จากน้องชายที่ว่าเขาหวง เขาเนี่ยนะหวง ไม่ได้ชอบจะหวงได้อย่างไร บ้าไปแล้วๆ ที่ไม่ให้ออกมาส่งนั่นก็เพราะให้อยู่ช่วยนมอิ่มเก็บจานชามต่างหาก ไม่เกี่ยวกับการที่กลัวทัศนัยมองตาหวานเลย ไม่เกี่ยว....
ระหว่างที่กำลังสับสนอยู่ คนที่ทำให้ต้องคิดมากวิ่งตาตื่นมาหา ท่าทางคล้ายกับตกใจจนต้องรีบเดินเข้าไปหา อัษฎาพยายามจะพูดและเพราะวิ่งมาไกลเลยได้แต่หอบหนัก
“ใจเย็นๆ” ใหญ่ยกมือพัดลมเย็นๆ ให้เพื่อคลายความเหนื่อย ใบหน้าขาวแดงกล่ำคงเพราะร้อน
“พี่นงกำลังจะคลอดลูกครับ แต่ไม่มีรถเข้าเมือง” พี่นงที่ว่า คือคนงานภายในไร่ที่คัดแยกดอกไม้ในโรงงานที่อัษฎาไปทำด้วย “คุณใหญ่ พาพี่นงไปโรงพยาบาลด้วยนะครับ” ใหญ่รีบพยักหน้าแล้วออกวิ่ง มือใหญ่ยื่นไปจับมืออุ่นให้วิ่งตาม ทั้งคู่วิ่งมาจนถึงบ้านพักคนงานที่มีคนรุมล้อม พอมาถึง ใหญ่ก็รีบบอกให้ทุกคนถอย แขนหนาเข้าช้อนใต้รักแร้เตรียมอุ้ม หากมีเสียงตะโกนจนต้องรีบวาง
“น้ำคล่ำแตกแล้ว” เสียงเอะอะดังจนอัษฎาใจไม่ดี
“รีบไปหาหมอเถอะคุณใหญ่” อัษฎาจับแขนหนาออกแรงเขย่าเล็กๆ ยิ่งเสียงครวญครางราวจะขาดใจยิ่งทำให้ขวัญเสีย “คุณใหญ่”
“ไม่ทันหรอก จากไร่ไปโรงพยาบาลในเมืองใช้เวลาหลายชั่วโมง” คนมีสติว่า “ไปเรียกป้าบุญกับนมอิ่มมา เร็ว” สั่งเสียงดังจนคนงานพากันวิ่งไปตาม แต่คนต้องการตัวได้กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาแล้ว
“เป็นยังไงบ้างคะคุณใหญ่” นมอิ่มทรุดตัวนั่งข้าง มีป้าบุญลูบคลำท้องโต
“น้ำคล่ำแตกแล้วครับ” เป็นอัษฎาที่บอกเสียงเครือ นมอิ่มมองลูกชายตัวเองที่น้ำตาเอ่อ คงจะกลัวล่ะสิ “แม่ เราต้องพาไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้องหรอก ป้าบุญแกเคยทำคลอดมาก่อน อัดไม่ต้องห่วงนะลูก” นมอิ่มบอกเสียงนุ่ม ดวงตารีมองไปยังเจ้าของไร่ ซึ่งคนถูกมองพอจะรู้ว่าถูกมองเพราะอะไร ใหญ่ดึงให้อัษฎาลุกขึ้นยืน แต่เรี่ยวแรงที่มีหดหายไปหมด ยิ่งเสียงทรมานนั่นยิ่งทำให้แข้งขาอ่อน
“คุณใหญ่” อัษฎาเงยหน้ามองคนที่ฉุดแขน ดวงตากลมมีน้ำใสๆ ไหลออกมาจาหางตา จมูกรั้นแดงเป็นลูกตำลึงช่างน่ารัก แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งพิจารณา ใหญ่ตัดสินใจรวบร่างอ่อนปวกเปียกพาดบ่าแล้วพาออกจากห้อง คนถูกแบกอ้าปากค้างไม่ทันที่จะโวยวายจนออกมานั่งม้านั่งด้านนอกถึงได้มองค้อน
เสียงด้านในห้องตะโกนให้เตรียมน้ำร้อน ทุกคนดูจะกระตือรือร้นพากันจัดเตรียมของทุกอย่างๆ เร่งรีบ อัษฎาอยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะทำเช่นไร
“ไม่เป็นไรหรอก เด็กกับแม่จะต้องปลอดภัย” ใหญ่ลูบศีรษะทุยเบาๆ เพื่อปลอบ คนใจเสียเงยหน้ามองนิดๆ ก่อนพยักหน้าลง
การรอคอยมันช่างนานเสียจริง คนงานที่ยืนรออยู่หน้าบ้านต่างก็พากันลุ้น บ้างก็ช่วยกันเบ่งคลอด แม้ไม่ให้ด้านในแต่เสียงเจ็บปวดก็ดังออกมาถึงม้านั่งที่อัษฎานั่งอยู่
“ทำไมยังไม่คลอดอีก คุณใหญ่” คนใจเสียจับมือคนข้างกายไว้แน่น ความวิตกกังวลก่อกวนจนยากจะผ่อนคลายตามคำบอกของเจ้าของมือที่จับ “เราต้องไปช่วยเบ่งอีกแรงไหม” คำถามที่ดูเคร่งเครียด แต่สร้างความขบขันให้แก่คนได้ยิน ใหญ่ขำออกมาไม่สนสายตาขึงค้อน
“ไม่ต้องหรอกน่า เดี๋ยวก็คลอด ฉันเห็นบ่อยๆ” คนเห็นบ่อยๆ ดูไม่กังวลเลย
“เห็นที่ไหน คุณใหญ่เคยทำคลอดด้วยหรือ” ไม่น่าเชื่อว่าจะทำคลอดเป็น
“เคยสิ” ยืนยันหนักแน่นจนคนฟังทำตาโต “ฉันเคยทำคลอดม้าออกจะบ่อย”
ไร้คำโต้เถียง อัษฎาเบือนหน้าหนี จนคนเคยทำคลอดม้าหัวเราะ ก่อนจะบีบมือเพื่อให้คนกลัวรู้สึกดี
เวลาผ่านไปนานจนคนนั่งต้องยืนขึ้น ขาเรียวเดินไปเดินมา ทำให้คนยืนอยู่ด้วยเวียนศีรษะ พอจับให้นั่ง ครู่เดียวก็เดินใหม่ อัษฎาเครียดจนไมเกรนแทบจะขึ้น หากไม่ได้ยินเสียงแผดร้องของเด็กแรกเกิด เขาคงต้องไปกินยาที่บ้านก่อน เสียงร้องดังไปทั่วบริเวณพาให้คนเฝ้ารอกระโดดโลดเต้นกันใหญ่
“คลอดแล้วคุณใหญ่” ด้วยความดีใจ ร่างผอมกระโดดเข้ากอดคนคอยปลอบใจแน่น รอยยิ้มกว้างไม่หุบส่งให้คนในอ้อมกอด ใหญ่ก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วย
มือใหญ่กำลังจะโอบกอด ประตูห้องทำคลอดดันเปิดออกมา คนที่กอดเขาวิ่งถลาไปหาทันที มือที่ยกขึ้นมาจึงค้างเติ่งอยู่แบบนั้น ดวงตาคมจ้องฝ่ามือตัวเองแล้วขำออกมาเบาๆ ชักหนักขึ้นแล้วนะอาการของเขาเนี่ย รอยยิ้มแก้เก้อผุดขึ้นมา ก่อนจะถูกเรียกให้เข้าไปหาเด็กทารกเพิ่งคลอดตัวแดงแจ๋
“น่าเกลียดน่าชังจริงๆ” อัษฎามองลูกในอ้อมกอดแม่อย่างดีใจ ไม่นานพ่อของเด็กที่ขับรถไปส่งดอกไม้มาถึงก้ปรี่เข้ามาหา ภาพความรักของครอบครัวอบอุ่นช่างน่าดูยิ่งหนัก
“มาด เดี๋ยวรถที่ไร่ไปส่งเมียกับลูกไปโรงพยาบาลนะ ให้ป้าบุญไปด้วย” ใหญ่บอก คนงานทุกคนต่างชื่นชมเจ้าของไร่ที่เมตตาคนงานทุกคน เพราะแบบนี้ถึงไม่มีคนงานคนไหนอู้งานเลยสักครั้ง
อัษฎายังคงนั่งมองหน้าเด็กทารกตัวแดงอย่างหลงใหล อยากจะยื่นมือไปจับแต่ก็กลัวมือตัวเองสกปรกเลยได้แต่ชื่นชมด้วยสายตา กว่าจะผละมาได้ก็ตอนที่ใหญ่ดึงให้ออกมายืนด้านนอกเพื่อให้สามีอุ้มภรรยาไปขึ้นรถ ป้าบุญอุ้มเด็กแรกเกิดไว้อย่างทะนุถนอมไปด้วย
“มองทำไม” ใหญ่ก้มมองคนที่จ้องมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ สายตาอ้อนวอนคล้ายกับต้องการอะไรบางอย่าง
“ผมอยากไปด้วย” คำร้องขอถูกปฏิเสธทันที คนอยากไปยู่ปากก่อนเดินตามเด็กน้อยไปถึงรถ ใหญ่ขำนิดๆ กับอาการที่เห็น
“ตาอัดแกคงเอาแต่ใจมากไปหน่อย คุณใหญ่อย่าถือสาเลยนะคะ” นมอิ่มเดินมายืนข้างๆ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกอาการดื้อแพ่งซะแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ” ใหญ่หันมายิ้มอ่อนโยนเช่นดังก่อนให้กับนมอิ่ม หรือแม่ของภรรยาของเขา นมอิ่มมองลูกเขยอย่างปลื้มใจ เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย นิสัยทุกอย่างเธอรู้ดี เนื้อแท้คุณใหญ่เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและอ่อนโยน แต่เพราะเสียภรรยาไปอย่างกะทันหันทำให้กลายเป็นคนคิดมาก ปากร้ายและถือตัวไปสักหน่อย
ท่าทางอยากไปมากของอัษฎาทำเอาคนห้ามถึงกับคลอนศีรษะ สุดท้ายก็ทนต่อสายตาอ้อนวอนไม่ได้ ใหญ่เอารถส่วนตัวออก พาคนขอร้องตามติดรถอีกคันไปจนถึงโรงพยาบาล กว่าเรื่องทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็กลับซะจนมืดค่ำ
“ขอบคุณที่พาผมมา” อัษฎายกมือไหว้คนใจดี
“ไม่เป็นไร” ใหญ่หันมายิ้มให้นิดๆ แล้วหันไปสนใจถนนมืดมิดต่อ
ดวงตากลมโตมองเสี้ยวหน้าคนเคยดุอย่างพิจารณา จากที่ยอมรับว่าตกหลุมรักไปแล้ว มาวันนี้หลุมนั้นยิ่งลึกกว่าเดิมจนไม่รู้จะมีทางขึ้นทางไหน ความอ่อนโยนที่เจ้าตัวเผลอแสดงออกมาคงจะเป็นตัวตนจริงๆ ถ้าไม่ติดเป็นคนฟอร์มจัด ท่ามาก ไม่แน่ อัษฎาอาจจะกล้าสารภาพไปก่อน
“หิวนะคะ” เสียงป้าบุญที่ติดรถมาด้วยเรียกสติและสายตาให้หันไปมอง อัษฎาพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อท้องดันร้องออกมาเสียงดัง
ใหญ่ไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับหักเลี้ยวไปจอดริมถนนที่มีร้านบะหมี่ตั้งขายอยู่ คนหิวสองคนพากันมองตาอย่างดีใจ อัษฎารีบลงจากรถรอประคองป้าบุญให้เดินไปด้วยกัน พอมาถึงโต๊ะ ใหญ่อาสาไปสั่งบะหมี่ให้ คนรอต่างก็มองท้องถนนที่มีรถวิ่งไปมา
“ตอนแรกป้าก็คิดว่าผู้ชายแต่งงานกันเองมันไม่น่าจะรอด ขนาดหลานสาวป้าคบกันแฟนมันมานานแต่งงานไปยังเลิกกันเลย” ป้าบุญบอกความคิดของตัวเองหลังจากเหลือบมองใหญ่ที่คงไม่ได้ยิน อัษฎายิ้มนิดๆ แล้วพยักหน้าเข้าใจ
“ผมว่า ทุกอย่างอยู่ที่การปรับตัว ทั้งตัวเราแล้วก็เขานะครับ” คนถูกถามพูดตามสิ่งที่เคยเจอ ครั้งแฟนคนก่อน ทั้งที่พยายามปรับตัวแต่ก็ไปไม่รอดเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปรับตาม “คุณใหญ่คงลำบากที่ต้องมาแต่งงานกับผู้ชาย” ดวงตากลมมองคนยืนสั่งบะหมี่ด้วยรอยยิ้ม
“คงเป็นงั้นแหละ แต่ดูแกก็มีความสุขดีนะ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคุณใหญ่หัวเราะเสียงดัง” ป้าบุญมองเจ้านายตัวเองอย่างปลื้มใจ “แบบนี้คงเป็นแบบที่นมอิ่มว่า รักไม่ได้อยู่ที่เพศหรืออายุ แต่มันอยู่ที่ตรงนี้” ตรงนี้ของป้าบุญคือหัวใจที่เต้นอยู่
บทสนทนาจบลงเมื่อชามบะหมี่มาวาง คนเดินไปสั่งเดินมานั่งพร้อมน้ำสามแก้ว ความหิวทำให้สามคนสั่งเพิ่มอีกคนละถ้วย ป้าบุญที่กินไม่หมด มีอัษฎาอาสาจัดการให้ แก้มเนียนป่องเมื่อเคี้ยวลูกชิ้นตุ้ยๆ สร้างเสียงหัวเราะในเพื่อนร่วมโต๊ะ ความสุขมักจะอยู่รอบตัวเสมอหากเรามองเห็น อย่างบะหมี่มื้อค่ำนี้ ก็เป็นมื้อธรรมดาแต่มันความสุขกว่าการไปนั่งกินที่ร้านอาหารแพงๆ เสียอีก
...TBC