ตอนที่๖
ขั้นบันใดที่นำไปสู่คุกใต้ดินทั้งเล็กและแคบ แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่มีคือแสงจากคบไฟที่ปักอยู่ตามกำแพงแสงไฟสีส้มสาดส่องสะท้อนผู้มาเยือนเป็นเงาตะคุ่ม ทหารที่เฝ้ายามทำความเคารพอย่างเคยชินเมื่อเห็นผู้มาเยือน เธรารายิ้มให้ทหารยามราวสนิทสนมมือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนหยิบเอาถุงผ้าเล็กๆออกมา
“ขนมจากหมู่บ้านบันกุข้าเอามาฝาก อร่อยนะ” เธราเอ่ยบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนก้าวนำสหัสเข้าไปในด้านใน
ด้านในคุกใต้ดินเป็นโถงใหญ่ ถูกซอยย่อยแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆกางกั้นด้วยลูกกรงเหล็ก แสงจากเปลวไฟพริ้วไหวไปมาก่อเป็นเงาราวปีศาจ แม้สหัสจะรับรู้ได้ถึงชีวิตหลายชีวิตแต่บรรยากาศกลับเงียบสนิทราวไร้ลมหายใจ
“มาแล้ววว” อยู่ดีๆเธราก็ตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น เธราวางฟูกกับหมอนลงก่อนเดินไปจุดคบไฟเพิ่มสถานที่อึมครึมเริ่มสาดส่องไปด้วยแสงสว่าง ร่างต่างๆที่นั่งหลบมุมอยู่หลังกรงเหล็กค่อยๆเดินออกมาให้เห็นความเงียบที่เคยปุกคลุมจางหายไปทดแทนด้วยเสียงทักทายราวสหายสนิท
“อ่าวไอ้ตัวเล็ก หายหน้าไปนานเลยไปซนที่ไหนมา” เสียงทุ้มของชายกลางคนร่างสูงใหญ่ทักขึ้น ด้วยน้ำเสียงเจือแววเอ็นดูอย่างปิดไม่มี
“ท่านแอนเดรียสข้าเอาฟูกกับหมอนมาให้แล้วนะ มีขนมจากบันกุด้วย” เธราเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี
“ซนไม่เข้าเรื่อง ชอบหาเรื่องเจ็บตัวจริงๆ” คราวนี้เป็นชายที่มีเพียงตาเดียวเป็นคนเอ่ยทัก ศรีษะที่ไม่มีผมนั้นต็มไปด้วยรอยสัก รวมไปถึงใบหน้าและตามตัว
“ไม่ได้ซนนะเค ข้าไม่ได้หนีไปด้วยคราวนี้ข้าไปกับองค์วิรัลมา” เธราตอบมือเรียวจัดฟูกกับหมอนและขนมแจกจ่ายไปทั่ว สำหรับคุกใต้ดินนี้ทุกคนรู้ว่าเธราเป็นใคร ทุกคนรู้จักเธราที่เป็นพระสนม รู้จักเธราผู้เป็นโอรสแห่งมาลันเคีย รู้จักเธราผู้เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรี แม้ที่อื่นเธราจะไร้ตัวตนเพียงไรแต่ทุกคนที่นี่กลับรักและเอ็นดูหนุ่มน้อยคนนี้อย่างจริงใจ เธราใช้เวลาเกือบปีในการเพียรเข้าออกที่นี่เพื่อคุยกับทุกคน เริ่มจากยาเล็กๆน้อยๆ อาหารดีๆเท่าที่หาได้ดูแลราวคนในครอบครัวทั้งที่ไม่ใช่ แม้จะใช้เวลาแต่สุดท้ายทุกคนในนี้ก็เปิดใจยอมรับเธรา
“มีนวมมีฟูกหน้าหนาวนี้จะได้ไม่ป่วยกันอีก”
“แล้วนี่เจอหน้าองค์วิรัลได้แล้วรึไง” สหัสหันไปมองคนที่ถามแล้วถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อใบหน้าที่โผล่พ้นความมืดออกมานั้นแปลกตา ดวงตาเรียวยาวที่สะท้อนแสงในความมืดหูที่แหลมยาวผิดมนุษย์กับเขี้ยวเล็กๆที่โผล่พ้นริมฝีปากนั่น ลูกครึ่งอมนุษย์สินะ
“สบ๊าย” เธราตอบติดตลกก่อนเดินเข้าไปใกล้คนถาม แต่สหัสกลับเข้าไปขวางเขารับรู้ได้ถึงกลิ่นไออันตรายที่แผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิตหลังกรงเหล็กนั่น อันตรายเกินไปที่จะเข้าใกล้ เธรามองสหัสอย่างไม่เข้าใจแต่ร่างในกรงขังชิงพูดขึ้นซะก่อน
“หวงเจ้าของยังกะลูกหมาเลยนะเจ้าสิงห์ราหนุ่ม” ใบหน้าครึ่งมนุษย์แย้มยิ้มราวเย้ยหยัน
“หายไปคราวนี้ได้สัตว์เลี้ยงมาใหม่ด้วยเหรอเธรา” เมื่อสิ้นประโยคคำถาม เธราก็ต้องตกใจเมื่อสหัสกลายร่างเป็นสิงห์ราทันที ร่างสูงใหญ่ประชิดกรงเหล็กอย่างรวดเร็วก่อนสอดมือเข้าไปคว้าเข้าที่ลำคอของคนที่อยู่หลังกรงเหล็ก
“เจ้าลูกครึ่งต่ำชั้นกล้าดียังไง ” เสียงขู่คำรามดังก้อง แววตาที่สะท้อนแสงในความมืดเลิกขึ้นอย่างไม่ถือสา ริมฝีปากบางเฉียบที่ประดับด้วยเขี้ยวเล็กๆแย้มยิ้มราวเอ็นดู
“สหัสหยุดๆ ปล่อยก่อนๆ อย่าใจร้อนสิ” เธราโผเข้าไปห้ามก่อนพยายามแกะมือสหัสออกจากคออีกฝ่าย “บอกให้หยุดสหัส” เธราตวาดเสียงดัง สหัสถึงยอมคลายกรงเล็บ สหัสถอยห่างออกไปเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมคืนร่างเป็นมนุษย์
“ว้าว เป็นเด็กดีซะด้วย” คนในกรงเหล็กยังคงยียวน
“เลิกยั่วโมโหเขาได้แล้วโชบุ” เธราหันไปเอ็ดอีกคนแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเมื่อคนโดนเอ็ดกลับหัวเราะอย่างนึกสนุก
“โชบุถ้าเจ้าไม่หยุดข้าจะเลาะฟันแหลมๆนั่นทิ้งซะ” เสียงกังวานที่ดังออกมาจากมุมมืดในห้องขังเดียวกันกับโชบุดังขึ้น” ร่างที่สูงจนแทบจรดเพดานคุกปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าดุดันนั้นเรียบนิ่งดวงตาสีดำสนิทนั้นไร้ซึ่งตาขาว เขาเล็กๆสองอันประดับอยู่ที่หน้าผากมีสีดำสนิท
“โอ้ ชุนโมโหซะแล้ว” โชบุพูดติดตลก
ร่างที่ปรากฏออกมาใหม่นั้นยิ่งเรียกความกังวลของสหัสมากขึ้นไปอีก อมนุษย์ทั้งสองที่ปรากฏตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา สิ่งที่แผ่ออกมานั้นอันตรายจนเขากังวล
“หายไปนานเลยเธรา นี่ไปซนจนเจ็บตัวมาอีกใช่ไหม” เสียงทุ้มกังวานของเจ้าของร่างใหญ่ยักษ์ถามขึ้น
“นิดหน่อยเอง” เธราตอบก่อนทยอยยกของไปให้ตามห้องขังต่างๆ
“แผลรอบคอนั่นข้าว่าไม่นิดหน่อยนะ”
“ชุนก็อย่าไปดุเธรามากนักสิ นั่นน่ะพระสนมแห่งนันทานครเชียวนะ” โชบุพูดพลางหัวเราะหากสายตาที่มองมาที่รอบคอเธรากลับมีแววกังวล
“ไม่เจ็บแล้วเลือดก็หยุดไหลแล้วด้วย” เธราพูดก่อนเดินเข้าไปหาโชบุ พลางยื่นมือลอดกรงขังเข้าไปส่งของบางอย่าง แต่คนด้านในกลับไม่ยอมรับของที่ส่งให้ โชบุยื่นมือออกมาสัมผัสรอยแผลที่คอเธราเบาๆก่อนผละออก
“ปีศาจสินะ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นใช้พลังอ่านเหตุการณ์กับข้าเลยโชบุ อาการป่วยเป็นยังไงบ้าง เอ้ารับยาไปสิ” เธราบ่นพลางส่งถุงยาให้อีกฝ่าย
“ชุนดูแลให้โชบุกินยาด้วยนะ” เธราพูดตัดบท เขายังไม่สามารถเล่าอะไรได้มาก แม้คนในคุกใต้ดินนี้จะเป็นมิตรกับเขาแต่อาจไม่ใช่กับนันทานครและองค์วิรัล ตอนนี้อะไรก็ไม่น่าไว้ใจ
------------------------------------------------------------------------
----------------------
------
--
เช้าวันนี้เธราตื่นแต่เช้าตามปกติ ก่อนออกมารดน้ำสมุนไพรให้อาหารปลาและดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ตามปกติสหัสที่พยายามจะช่วยถูกไล่ให้นั่งรอ เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
“เสร็จแล้วไปกินข้าวกัน รารีทำข้าวเสร็จแล้วมั้ง” หันไปบอกสหัสที่นั่งรออยู่ใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร คาเซก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมทหารห้าหกนายที่แบกของมาเต็มไปหมด
“ถวายบังคมพะยะคะพระสนม” คาเซแสดงความเคารพเธรา
“อะไรเต็มไหมดคาเซ”
“องค์วิรัลให้นำเครื่องประดับกับฉลองพระองค์มาให้พระสนมทรงเลือกกระหม่อม”
“เอามาทำไมคาเซ ข้าไม่ต้องใช้หรอกเสื้อผ้าก็ยังพอมีใส่นะ” คำตอบของเธราทำเอาคาเซอยากกุมขมับ
“งานพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์ขององค์วิรัล จะจัดขึ้นวันมะรืนนี้พิธีเฉลิมฉลองจะจัดขึ้นสามวันสามคืนเพราะฉะนั้นพระสนมคงต้องใช้ทั้งฉลองพระองค์ทั้งเครื่องประดับหลายชิ้นอยู่กระหม่อม”
“แล้วทำไมข้าต้องใช้ล่ะ” เธราถามอย่างไม่เข้าใจงานพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์จัดขึ้นทุกปี และทุกปีถ้าเธราไม่ออกไปข้างนอกก็อยู่แต่ตำหนักท้ายบึง ไม่เป็นต้องแต่งตัวอะไรมากมาย
“องค์วิรัลมีคำสั่งให้พระสนมเข้าร่วมพิธีด้วยกระหม่อม”
“ไม่เอาอ่ะ” เธราปฎิเสธทันที เขาไม่ชอบพิธีการวุ่นวายและคิดว่าตัวเองไม่สมควรเข้าไปเสนอหน้าอยู่ในพิธีสำคัญแบบนี้ด้วย
“คำขอของพระสนมจะเป็นโมฆะทันทีถ้าพระสนมไม่เข้าร่วมพิธีนะกระหม่อม” คาเซอมยิ้มอย่างพอใจเมื่อเธรามีท่าทีลังเลทันที เขารู้จักเธราดีตลอดเวลาเกือบสองปีที่เธราอยู่ที่นันทานคร คาเซเฝ้ามองอยู่ห่างๆตลอดเวลา คนอย่างเธราไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง
“งั้น.....ถ้าข้าเข้าร่วมพิธีองค์วิรัลจะทรงพระราชทานอภัยโทษให้พวกที่อยู่ในคุกใต้ดินจริงๆเหรอ” เธราถามอย่างไม่แน่ใจ เขารู้ว่าคำขอของเขามันค่อนข้างมากไปและอันตราย แต่ถ้าขอได้เขาก็อยากลองดู
คาเซเพียงแค่พยักหน้าเบาๆโดยไม่ตอบอะไร หากก่อนจะจากไปคาเซก็อดถามคำถามที่ค้างคาใจไม่ได้ “ทำไมพระสนมถึงอยากช่วยพวกในคุกใต้ดินนักล่ะกระหม่อม”
เธราเลิกคิ้วเบาๆกับคำถามตรงประเด็นของคาเซ “อืม... ข้ารู้สึกว่าพวกเขาคล้ายๆข้ามั้งคาเซ ทำเพราะหน้าที่ ยอมรับการถูกลงโทษทั้งที่ไม่ใช้ความผิดตัวเอง รู้สึกเหมือนพวกเดียวกันเพียงแค่ข้าไม่ถูกขังคุกเหมือนพวกเขาก็เท่านั้น” คำตอบง่ายๆตรงไปตรงมาพร้อมรอยยิ้มของเธรา ทำเอาคาเซหมดคำถามที่จะถามต่อ
--------------------------------------------------------------------------
เมื่อถึงวันงาน เธรายืนนิ่งให้รารีแต่งตัวให้อย่างเบื่อหน่ายของมากมายที่คาเซเอามาให้เมื่อวันก่อน มันเยอะจนแทบไม่มีที่วาง ตำหนักท้ายบึงเล็กนิดเดียวยิ่งตู้เสื้อผ้าของเขายิ่งแล้วใหญ่ ทั้งเครื่องประดับทั้งเสื้อผ้าตอนนี้วางกองอยู่ทั่วตำหนักจนแทบไม่มีที่เดิน
“สีไหนดีเพคะพระสนม สีนี้ก็ดีนะเพคะขับผิวดีมากเลย แต่พระสนมตากแดดมากไปดูสิใบหน้าเอยแขนเอยคล้ำหมดแล้ว แต่ถ้าเป็นเสื้อตัวนี้ก็เหมาะกับต่างหูคู่นี้ดีนะเพคะ” ดูเหมือนรารีจะเป็นคนเดียวที่ดูชื่นชอบกับของมากมายที่เคาเซเอามาให้
“รารีเลือกเลยข้ายังไงก็ได้” เธราพูอย่างเหนื่อยใจก่อนยืนนิ่งให้รารีแต่งตัว
------------------------------------------------------------
----------------------------
งานพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์ ถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตบรรดาเชื้อพระวงศ์และกษัตริย์ต่างๆจากเมืองมนุษย์ มาร่วมงานกันคับคั่ง ท้องพระโรงกว้างใหญ่เต็มไปด้วยแขกเมืองมากมายองค์วิรัลประทับอยู่ที่บัลลังก์ร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งใบหน้าได้รูปไม่แสดงอารมณ์ใดๆ สายตาจับจ้องไปที่ทางเข้าอย่างจดจ่อ
“ทรงทำหน้ารับแขกสักนิดเถอะกระหม่อมใบหน้าราวกับพร้อมตัดหัวคนแบบนี้ทำเอางานกร่อยหมดนะท่านรัล” คาเซเอ่ยเตือนเมื่อเห็นเหนือหัวของตนทำหน้าไม่รับแขกทั้งที่มีแขกอยู่เต็มงาน
“เจ้าไปบอกแล้วใช่ไหมว่ามีงานวันนี้” วิรัลถามคนสนิททั้งที่ยังไม่ละสายตาจากทางเข้างาน
“ถ้าหมายถึงพระสนมหม่อมฉันไปบอกแล้วกระหม่อม” วิรัลได้แต่พยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะมองเห็นร่างของคนที่ตนรอเดินเข้ามาในงาน วิรัลไม่รอให้เธราเดินมาหาเพราะท่าทางคนตรงหน้าจะหาที่ยืนหลบเขาเสียมากกว่า ร่างสูงใหญ่จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาเสียเอง
“มาช้า” เสียงทุ้มกับคำพูดที่ดูจะออกไปทางตำหนิทำเอาเธราหน้าเสีย ก่อนจะงุบงิบตอบเสียงเบา
“ขอประทานอภัยกระหม่อม”
“มานี่” พูดจบก็จับแขนเธราให้เดินตามไป คนในงานเริ่มมองมาที่เธราอย่างสงสัย วิรัลพาเธรามาที่ที่ประทับประจำตัวของพระสนมที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธราไม่เคยได้นั่งเลยสักครั้ง
“นั่งลง และเลิกก้มหน้าก้มตาได้แล้ว” วิรัลออกคำสั่งเมื่อเห็นเธราเริ่มอิดออด
“หม่อมฉันอยู่คนเดียวได้กระหม่อม”
“นั่งตรงนี้”
“แต่หม่อมฉันอยู่คนเดียวได้จริงๆกระหม่อม”
“เจ้าเป็นใครเธรา” คราวนี้วิรัลหันมาถามคนข้างๆที่กำลังดื้อดึงอย่างจริงจัง
“เออ...เป็นสนมเอกของพระองค์กระหม่อม”
“แล้วตรงนี้ที่ของใคร”
“ที่ของพระสนมกระหม่อม”
“งั้นเจ้านั่งตรงนี้ก็ถูกแล้วเธรา เลิกงอแงเป็นเด็กได้แล้ว ไอ้ความมั่นใจตอนกระโดดลงไปตีกับเขาที่หมู่บ้านบันกุหายไปไหนหมด” สุดท้ายเธราก็ต้องนั่งลงยังที่ข้างๆด้านซ้ายบัลลังค์ของวิรัล
-------------------------------------
------
“ท่านวิรัลยังสง่างามเหมือนเดิมเลยนะกระหม่อม” เสียงทักทายของกษัตย์แห่งวูธเมืองแห่งทองคำ อีกหนึ่งเมืองที่ยิ่งใหญ่ของชาวมนุษย์
“พระองค์ก็ยังทรงแข็งแรงน่าเกรงขามเหมือนเดิมกระหม่อม” วิรัลตอบกลับไปตามมารยาท วูธไม่ใช่เมื่องขึ้นของนันทานครแต่วูธคือเมืองที่เป็นพันธมิตรที่ดีตามหน้าที่ของนันทานคร การเสแสร้งแกล้งเป็นมิตรจึเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่ได้
“ช่วงนี้นันทานครสงบสุขไม่มีศึกมากวนใจ องค์วิรัลก็คงเบาใจไปมากเมื่อไหร่จะมีข่าวดีล่ะท่าน” กษัตย์แห่งวูธกล่าวขึ้นราวกับไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ซึ่งวิรัลได้แต่ยิ้มรับอย่างขอไปที
“หวังว่างานคราวนี้จะถูกใจท่าน ขาดตกบกพร่องตรงไหนบอกหม่อมฉันได้เลย”
“งานเลี้ยงใหญ่โตไม่มีอะไรขาดตกบงพร่องหรอกท่านข้าชอบมาก ลูกสาวข้าตื่นตาตื่นใจใหญ่เชียว” สาวงามที่ยืนอยู่ข้างๆกษัตย์แห่งวูธมาตั้งแต่แรกทำความเคารพวิรัลอย่างรู้หน้าที่ ใบหน้าสะสวยถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอย่างงดงาม
“ถวายบังคมเพคะองค์วิรัล หม่อมฉันโยนาพระธิดาแห่งกษัตย์วูธเพคะ” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันรู้กันกลายๆว่ากษัตย์แห่งวูธต้องการให้ลูกสาวตนเป็นราชินีแห่งนันทานคร วิรัลได้แต่ตอบรับไปตามธรรมเนียมก่อนหันไปเรียกเธราที่ยังคงนั่งงงๆแบบไม่รู้จะทำอะไรให้เดินมาหา
เธราทำความเคารพกษัตย์แห่งวูธและพระธิดา ก่อนหันไปมองวิรัลอย่างไม่เข้าใจ
“อย่างที่ท่านรู้นันทานครเพิ่งว่างเว้นจากการศึก ข้าเองก็เพิ่งได้พักผ่อนหลังจากออกศึกมานานนับหลายปี ตอนนี้เลยอยากพักผ่อนดูแลสนมเอกของข้าบ้างปล่อยปละละเลยมานานเต็มทีเดี๋ยวน้อยใจหนีกลับมาลันเคียเดือนร้อนข้าต้องไปตามอีก” วิรัลพูดไปเรื่อยก่อนยกแขนขึ้นมาโอบไหล่เธราไว้ เธราที่อยู่ดีๆก็ถูกลากมาเล่นละครโรงใหญ่ได้แต่ยืนเฉยๆใบหน้าราบเรียบพยายามฉีกยิ้ม แม้จะดูฝืดเต็มทนเธรารู้ว่าเขาถูกเรียกมาเป็นกันชนแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ชินอยู่ดี
“พระสนมเธราเป็นชาวมาลันเคียหรือเพคะ” เป็นโยนาพระธิดาแห่งกษัตย์วูธที่เอ่ยถามขึ้น สาวงามตรงหน้าแย้มยิ้มราวยินดีหากแววตากลับต่างออกไป เธรามองคนถามแล้วได้แต่ถอนหายใจความอยากเอาชนะของสตรีไม่ว่าเมื่อไรก็น่ากลัวเสมอ
“ใช่กระหม่อม”
“งั้นพระสนมก็ทรงทำนายอนาคตได้สิเพคะ ทรงทำนายให้หม่อมฉันหน่อยได้ไหมว่าเนื้อคู่ของหม่อมฉันจะเก่งกล้าได้ครึ่งนึงขององค์วิรัลหรือไม่” มือบางของโยนายื่นมาตรงหน้าของเธราก่อนเดินเข้ามาใกล้ๆเมื่อเอ่ยขอให้ทำนายอนาคตให้
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าเนื้อคู่ของพระองค์จะเก่งกาจไหม แต่ชายหนุ่มที่เป็นคนรักของพระองค์ผู้มีผมสีน้ำตาลแดงนั้นคงเป็นที่รักของพระองค์มาก” เธรากล่าวออกไปยิ้มๆหากพระธิดาแห่งกษัตย์วูธมีสีหน้าตื่นตกใจทันทีก่อนผงะถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าสีสวยซีดเผือดริมฝีปากบางสั่นเทาและดวงตาฉายแววตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“แหม พระสนมช่างมีญาณที่ล้ำเลิศนัก ข้ารบกวนท่านนานแล้วข้าขอตัวกระหม่อม” กษัตย์แห่งวูธกล่าวลา ทั้งที่ใบหน้านั้นซ่อนแววไม่พอใจไม่แทบไม่มิด แววตาที่เหลือบมองพระธิดาตัวเองมีแววโมโหอยู่คุกกรุ่น แววตาที่เธราเห็นและอดห่วงหญิงสาวไม่ได้
“เจ้ารู้ได้ยังไง” วิรัลเอ่ยถามอย่างแปลกใจกับการทำนายที่ดูจะตรงจนน่าแปลกใจของคนที่ไม่ได้มีญาณ
“พระธิดาโยนามีผมสีดำ หากเส้นผมที่ติดอยู่ที่ชุดนั้นกลับมีสีน้ำตาลแดงแถมที่นิ้วนางของพระธิดายังมีรอยของการสวมแหวนเป็นเวลานาน พระธิดาคงจะเพิ่งถอดแหวนออกก่อนเข้าร่วมงานนี้” เธราตอบข้อสงสัย ก่อนมีสีหน้ากังวลใจ
“ข้าคิดว่าเรื่องคนรักของพระธิดาโยนา อาจไม่ได้รับการยอมรับจากกษัตย์แห่งวูธข้าพูดไปอย่างนั้นพระธิดาจะถูกลงโทษไหมกระหม่อม” วิรัลมองคนที่เริ่มออกอาการห่วงคนโน้นคนนี้ไปทั่วก่อนส่ายหน้า
“อย่าเข้าไปยุ่งนะเธรา มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า” คำห้ามปรามของวิรัลนั้นทำเอาเราต้องพยักหน้ารับ
---------------------------------------------------------
งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงเวลาที่กำหนด พิธีฉลองการครองราชย์ที่แสนศักสิทธิ์ก็เริ่มขึ้น วิรัลกล่าวคำปราศรัยที่แสนยืดยาวก่อนมีการดื่มไวท์แสดงความยินดี เธราได้แต่ทำตามพิธีไปเรื่อยๆตอนนี้ข่าวลือเรื่องเธราและคำทำนายคงแพร่สะพัดไปทั่ว ข่าวลือย่อมลามไปเร็วกว่าความจริงเสมอ เธรคิดก่อนเหม่อมองไปที่องค์วิรัลที่กำลังปราศรัยอยู่ท่ามกลางหมู่คน
“การรวบรวมนันทานครให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงไม่ใช่งานที่ง่ายนัก แม้นันทานครจะเป็นผู้กุมชัยชนะ หากพวกเราก็รับรู้ถึงความสูญเสียของผู้แพ้ วันนี้เนื่องในวันครบรอบการครองราชย์ของข้า ข้าขอประกาศให้นักโทษที่อยู่ในคุกใต้ดิน นักโทษของนันทานครผู้สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองของตัวเอง เป็นอิสระกลับไปดูแลบ้านเมืองของตัวเอง และตราบใดที่ท่านเคารพและซื่อตรงต่อนันทานคร เราก็จะให้เกียรติและดูแลท่านอย่างดีที่สุดเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน” เสียงประกาศอภัยโทษขององค์วิรัลเรียกเสียงฮือฮาไปทั่ว นักโทษในคุกใต้ดินทุกคนถูกนำตัวมาที่ท้องพระโรง
คำประกาศขององค์วิรัลเรียกรอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าของเธราได้เป็นอย่างดี วิรัลเหลือบมองพระสนมของตัวเองที่ดูดีใจเสียนักหนาก่อนหันไปประกาศเสียงดัง
“กลับบ้านเมืองของพวกเจ้าไป ดูแลบ้านเมืองของพวกเจ้าให้ดีให้สมกับที่สู้เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องนับจากนี้พวกเจ้าไม่ใช้ทหารที่แพ้สงครามแต่เจ้าคือทหารที่ปกป้องประชาชน ตราบใดที่เจ้าไม่ทำร้ายข้า ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า เราจะปกป้องซึ่งกันและกัน” เมื่อจบคำของวิรัล ทุกคนล้วนก้มลงทำความเคารพอย่างสูงสุดโดยไม่ต้องบังคับ เหมือนเป็นการยอมรับโดยพร้อมเพรียงกัน
“เลิกยิ้มได้แล้ว” วิรัลที่ตอนนี้เดินมานั้งข้างๆเธราเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพระสนมตัวเองที่ตอนนี้ฉีกยิ้มไปทั่ว
“ขอบพระทัยกระหม่อม ที่ฟังคำขอของหม่อมฉัน” เธราบอกทั้งที่ยังคงยิ้มไม่เลิก แต่แล้วเสียงซุบซิบที่ลอยมาเข้าหูก็เรียกให้เธรากับวิรัลหันไปมอง
ร่างแปลกตาของลูกครึ่งอมนุษย์ยื่นเด่นอยู่กลางงงาน ใบหน้าที่แปลกประหลาดเรียกความสนใจจากรอบข้างได้เป็นอย่างดี
“นั่นมันโชบุกับชุนนี่นา” เธราเอ่ยออกมาก่อนทำท่าจะเดินเข้าไปหา
“จะทำอะไร” วิรัลถามขึ้นก่อนดึงแขนเธราไว้ ดวงตาคมหันไปมองลูกครึ่งอมนุษย์ทั้งสองที่ตอนนี้กำลังยืนมองมาที่พระสนมของเขา
“ไปหาโชบุกับชุนกระหม่อม จะไปถามว่าทำไมยังไม่กลับบ้านตัวเอง”
“สองคนนั้นไม่มีบ้านเธรา พวกนั้นเป็นทหารรับจ้าง” คำบอกเล่าของวิรัลทำเอาเธราตาโต
“เขาเคยบอกว่าบ้านเขาอยู่ที่ชายแดนติดกับเมืองของพวกอมุษย์ แล้วจะไม่มีบ้านได้ยังไงกระหม่อม”
“เธรา สองคนนั้นเป็นลูกครึ่งอมนุษย์ พวกนนี้น่ะจะอยู่ในเมืองมนุษย์ก็มีแต่ผู้คนหวาดกลัวจะไปอยู่ที่เมืองของพวกอมนุษย์ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ ข้าจับพวกเขาได้เพราะพวกเขาลอบฆ่าข้า เค้นยังไงก็ไม่บอกว่าใครจ้างมา” คำบอกเล่าของวิรัลยิ่งเรียกความกังวลให้เธราได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรต่อ ร่างของโชบุกับชุนก็ตรงมาที่เธรา หากยังไม่ทันได้เข้าใกล้ทหารที่อยู่โดยรอบก็เข้ามาขวางไว้
“องค์วิรัลเมตตาปล่อยพวกเจ้าแล้วก็ไปตามทางของเจ้าซะเจ้าพวกเลือดผสม” เป็นคาเซที่กล่าวขึ้น
“เจ้าชีวิตของข้าอยู่ที่นี่ข้าคงไปไหนไม่ได้” เป็นโชบุที่เอ่ยขึ้นดวงตาสีเหลืองซีดที่เรื่องแสงในความมืดทอดมองไปที่เธรา
“เจ้าชีวิตของเจ้าคือใครกัน” เป็นวิรัลที่เอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าชีวิตของพวกข้าคือ ท่านเธรา พระสนมเอกแห่งนันทานคร” เมื่อสิ้นประโยคของชุน ทั้งท้องพระโรงก็เงียบสนิท เธราที่อยู่ดีๆก็เป็นเจ้าชีวิตของโชบุและชุนถึงกับทำหน้าไม่ถูก

มาต่อแล้วนะคะ
ฝากวิรัลกับเธราด้วยค่าา