ตอนที่๓
เปลือกตาหนักอึ้งกระพริบๆช้า ความรู้สึกแรกที่สหัสรับรู้คือความเจ็บแปลบที่หน้าท้อง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตากลมโตพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ร่างมนุษย์ช่างอ่อนแอความเจ็บปวดเริ่มถาโถม หากยังไม่ทันได้ขยับตัวคนที่คอยเฝ้าอยู่ไม่ห่างก็เข้ามาประคอง
“เจ็บไหม” เสียงใสๆที่ไม่คุ้นเคยสหัสขยับตัวหนีตามสัญชาติญาณสิงห์ราไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว สหัสได้ยินเสียงเรียกชื่อเจ้าของตนเองดังแว่วๆ เมือปรับความคุ้นเคยได้สักพักสายตาจึงเริ่มจับภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น ร่างที่เขาจำได้ขึ้นใจปรากฏตรงหน้าเธราเดินมานั่งข้างๆ มือเรียวประคองให้สหัสกึ่งนั่งกึ่งนอนได้สะดวกขึ้น
“รารีมาบอกว่าเจ้าฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้างเจ็บแผลมากไหม” พูดไปพลางเอามือไปแตะแผลที่มีผ้าพันอยู่เบาๆ
“เดี๊ยวข้าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้นะ แล้วก็กินข้าวกินยาซะแผลที่กริชแทงลึกพอดูแถมร่องรอยการต่อสู้ตามตัวก็มีไม่น้อย ดีที่ไม่ถูกจุดสำคัญ” พูดไปเรื่อยๆทั้งที่มือก็ยังคงทำแผลให้คนที่นอนนิ่งไม่ตอบโต้อะไร
“แต่ยังไงก็ขอบใจนะสหัส” คำพูดที่ทำเอาคนได้รับคำขอบคุณต้องขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ขอบคุณจริงๆที่ไม่ทำร้ายใคร ทหารทุกคนแค่บาดเจ็บเล็กน้อยไม่ถึงชีวิตขอบใจนะที่รักษาคำพูดของข้าอย่างดี”
สหัสมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ รอยยิ้มบางๆที่มาพร้อมคำขอบคุณที่ตัวเองแทบไม่ได้ผลประโยชน์อะไร
“อย่าทำร้ายคนไม่มีทางสู้ คิดให้ดีก่อนจะฆ่าใครสักคน” คำสั่งที่เคยได้รับยังคงจำฝังใจ
“ท่านเธรา” สหัสเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆ เธราเลิกคิ้วขึ้นเหมือนตอบรับว่าได้ยินแล้วแต่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำแผลให้
“ท่านจะไม่ถามข้าสักนิดรึ ว่าทำไมข้าถึงกลับมาในสภาพแบบนี้”
“อยากบอกใหมล่ะสหัส จริงๆข้าอยากรู้นะแต่ข้าไม่บังคับเจ้าหรอกอยากบอกก็บอกเลยข้าฟังอยู่” เธราบอกอย่างง่ายๆ เงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างอารมณ์ดีเมือทำแผลให้คนตรงหน้าเสร็จ
“เสร็จแล้วเดี๋ยวรารีจะเอายามาให้ กินให้หมดนะและกินข้าวด้วยเดี๋ยวข้าต้องขึ้นไปหาองค์วิรัล”
“ท่านเป็นสนมขององค์วิรัลจริงรึ”
“จริงสิ”
“งั้นท่านคือชาวมาลันเคียสินะ”
“ใช่ ข้าเป็นชาวมาลันเคีย” เธราตอบ
“งั้นท่านก็สามารถรู้ผลแพ้ชนะเวลามีศึกได้”
“ข้าไม่รู้หรอก”
“แต่ว่า....”
“ข้าเป็นชาวมาลันเคียที่ไม่มีญาณน่ะ เลยถูกส่งมาเป็นสนมทั้งที่เป็นผู้ชายเนี้ย” เธราบอกพลางใช้นิ้วชี้มาที่ตัวเอง “เพราะไม่มีประโยชน์ถึงถูกส่งมาไง โชคดีแค่ใหนไม่ถูกตัดคอแล้วโยนให้หมาป่ากิน” เธราพูดเล่าเรื่องตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนหันไปถามคนเจ็บที่ตอนนี้ดูแปลกใจกับคำบอกเล่าของเขาจนไม่ยอมพูดอะไรอีก
“ถามเรื่องศึก จะมีศึกสินะเกี่ยวกับกองทัพเลือดรึเปล่า” คำถามถึงกองทัพปีศาจที่ไม่มีใครอยากเอ่ยชื่อนั้น เรียกความกังวลจากคนถูกถามได้เป็นอย่างดี สหัสลูบแผลตัวเองเบาๆหากใบหน้ากลับเคร่งเครียด
“ข้าเดินทางกลับบ้านตามคำสั่งของท่าน” สหัสบอกก่อนมองคนตรงหน้าที่กำลังตั้งใจฟังอย่างชัดๆ
“ระหว่างทางข้าพบกลุ่มคนแปลกๆราวสิบคน คนพวกนั้นคลุมกายด้วยผ้าสีดำสนิทกำลังมุ่งหน้าไปทางป่าศักดิ์สิทธิ์เขตแดนของกัชธาเมืองแห่งเวทย์ ข้าเห็นว่าไม่ปกติเลยตามไปดูแต่พวกมันรู้ตัวว่าข้าตามไป......... พวกมันเร็วมากก่อนจะฝังกริชลงบนตัวข้ามันบอกว่า”
“สิงห์ราผู้มีนาย กริชอาคมนี้จะฝังอยู่ในตัวเจ้าจนกว่านายของเจ้าจะถอนออกให้” สหัสยังจำได้ถึงแววตาแดงกล่ำที่สบมาตอนแทงกริชลงบนตัวเขาทั้งที่ตอนนั้นเขาอยู่ในร่างสิงห์รา แต่ทันทีที่สบตากับพวกนั้นเขาแทบขยับกายไม่ได้แม้แต่กระดิกนิ้ว เสียงแหบพร่านั้นฟังดูไร้ชีวิต
“ข้าประมาทเกินไปพวกมันไม่มีชีวิตข้ารู้สึกได้ ลมหายใจที่พ่นออกมามีแต่กลิ่นสาปสางพวกมันคือนักรบปีศาจของกองทัพเลือดไม่ผิดแน่”
เธรารับฟังคนตรงหน้าเล่าอย่าเงียบๆ ก่อนขยับเข้าไปใกล้มือเรียวลูบผมสีเทาของสหัสพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
“กลัวหรือสหัส ไม่ต้องกลัวนะอยู่ที่นี่ปลอดภัยเจ้าก็รู้นี่องค์วิรัลน่ะเก่งมากๆจะกองทัพเลือดหรืออะไรองค์วิรัลก็ไม่กลัวหรอกอยู่กับข้าที่นี่ไปก่อนนะ แผลดีขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีขอบใจมากๆที่นำข่าวมาบอก” เธรารับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่ส่งออกมาจากสหัสแม้จะเป็นถึงสิงห์ราแต่สหัสยังดูเยาว์วัยนัก สหัสในร่างมนุษย์ดูสวยงามน่ามองดวงตากลโตสีเทาแวววาวดั่งลูกแก้วริมฝีปากบางได้รูปราวปีกนก เธรายิ้มให้สหัสอีกครั้งก่อนลุกขึ้น
“ข้าไปหาองค์วิรัลก่อนนะ อย่าลืมกินข้าวกินยาแล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกันใหม่”
สหัสมองร่างตรงหน้าที่เพิ่งลับประตูไป รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าความอบอุ่นที่ฉายชัดออกมาจากการกระทำของเธรา ช่วยให้สหัสรู้สึกดีขึ้นได้ไม่ยากเธราปกป้องเขาทั้งที่ไม่จำเป็นเป็นห่วงและช่วยเหลือสำหรับเขาแค่นี้บางทีมันอาจจะมากพอแล้ว ที่จะยอมรับใช้คนตรงหน้าตลอดไปทั้งชีวิตของเขา..
เสียงดาบดังแว่วมาแต่ไกล เธราเดินไปตามทางทอดยาวที่ปลายทางคือโรงฝึกดาบ วันนี้เป็นวันแรกที่เธราต้องขึ้นมาเขียนรายงานว่าตลอดเวลาเกือบสองปีได้ทำอะไรไปบ้าง แต่ด้วยความที่มัวแต่คุยกับสหัสสุดท้ายกว่าจะได้มาก็ล่วงเลยเวลาจนเกือบเย็น พอไปถึงห้องทรงงานนางกำนัลที่เฝ้าห้องอยู่ก็บอกว่าองค์วิรัลมาซ้อมดาบแล้ว สุดท้ายก็เลยต้องตามมาที่โรงฝึกดาบ
บริเวณที่เป็นโรงฝึกดาบนั้นเป็นเพียงลานกว้างๆ และโรงเรือนโปร่งๆที่ใช้เก็บดาบและหลอมดาบเสียงเชียร์ดังมาเป็นระยะบ่งบอกถึงการประดาบที่กำลังเข้มข้น เมื่อเข้าไปใกล้ๆเธาเห็นเหล่าทหารกำลังเกาะกลุ่มเชียร์คนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างออกรสชาติ ฝั่งนึงคือองค์วิรัลแน่นอนร่าสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นไม่ได้สวมเสื้อสวมเพียงกางเกง อีกฝั่งเธราไม่รู้จักร่างสูงออกจะบางกว่าองค์วิรัลสักหน่อยผมสีแดงแต่ผิวขาวซีดดูแปลกตาหากฝีมือดาบนั้นไม่เป็นรององค์วิรัลเลย เธรายืนดูมาสักพักแล้วก็ยังไม่มีใครเพลี้ยงพล้ำให้แก่กันสักที
“พระสนมเสด็จมาแล้วหรือกระหม่อม” เป็นคาเซที่เดินเข้ามาทักเธรา
“มาสักพักแล้ว ข้าไปที่ห้องทรงงานแล้วนางกำนัลบอกองค์วิรัลอยู่ที่นี่”
“เชิญพระองค์ประทับรอก่อนกระหม่อม” คาเซนำเธราไปที่ประทับขององค์วิรัล เธรานั่งลงอย่างเก้อๆเมื่อทุกสายตาเริ่มมองมาอย่างแปลกใจ คาเซรินชากุหลาบใส่แก้วชาก่อนนำมาวางให้เธรา
“คาเซข้าไปยืนรอที่เดิมดีกว่านะ”
“ประทับตรงนี้ดีแล้วกระหม่อม”
“แต่พวกทหารมองใหญ่เลย ข้าไม่ชอบ” คาเซไม่ตอบอะไรแต่กลับเลือนแก้วชากับขนมมาตรงหน้าเธรา เป็นการบอกกลายๆว่าให้ดื่มชาและนั่งรออยู่ตรงนี้
เสียงเฮดังลั่นเมื่อการประลองสิ้นสุด เธราหันไปมองเห็นองค์วิรัลเป็นฝ่ายถูกดาบจ่ออยู่ที่ลำคอ
“แพ้เหรอคาเซ” หันไปถามคาเซ ก่อนหยิบขนมเข้าปาก
“สงสัยจะเสียสมาธิกระหม่อม” คาเซตอบยิ้มๆเมื่อสังเกตว่าองค์วิรัลเอาแต่หันมามองคนที่เพิ่งมาใหม่ จนพลาดท่าโดนดาบจ่อคอ
วิรัลหันไปมองเธราที่ตอนนี้มานั่งคอยเขาอยู่ร่างตรงหน้ามีผ้าผืนใหญ่คลุมไหล่จนบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ร่างสูงใหญ่ของวิรัลเดินตรงไปหาคนที่นั่งรอโดยไม่ได้สนใจสายตาแปลกใจของทหารรอบตัวหรือแม้แต่คู่ซ้อมดาบของตนสักนิด
เธราทำท่าจะลุกขึ้นทำความเคารพองค์วิรัลที่เดินเข้ามาหา หากมือใหญ่กลับจับไหล่เขาไว้และกดให้นั่งลงที่เดิมก่อนฉวยเอาผ้าคลุมไหล่ของเขาไปเช็ดเหงื่ออย่างถือวิสาสะ
“มาช้า” วิรัลพูดขึ้นก่อนนั่งลงข้างๆเธรา
“สหัสเพิ่งได้สติหม่อมฉันเลยต้องดูอาการก่อนมากระหม่อม” วิรัลพยักหน้ารับรู้ “ประลองดาบหน่อยไหมเธรา” พูดพลางส่งดาบให้เธรา
“หม่อมฉันไม่ถนัดใช้ดาบกระหม่อม” เธราส่ายหน้าเขาไม่ชอบฟันดาบเท่าไหร่ หากยังไม่ทันจะได้คุยอะไรมากกว่านั้นเสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“พระองค์ไม่คิดจะแนะนำแขกของพระองค์ให้หม่อมฉันรู้จักสักนิดหรือกระหม่อม” เธราหันไปเห็นชายผมแดงตัวซีดที่เป็นคู่ซ้อมดาบขององค์วิรัลตอนนี้เขามายืนสมทบอยู่ข้างๆคาเซ คำถามที่เขาถามมาแทบจะถามแทนใจเหล่าทหารที่ยังคงมองมาอย่างสงสัย
“นี่พระสนมเอกของข้า เธรา” เธราเห็นคนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นอยากแปลกใจทันที ดวงตาสีอ่อนมองมาที่เขาอย่างสงสัย หากเพียงครู่คนตรงหน้าก็ก้มลงทำความเคารพแก่เธรา ก่อนจับมือของเธราไปจุมพิต
“ถวายบังคมพะยะคะพระสนม นามของหม่อมฉันคือ คุชแม่ทัพฝั่งซ้ายแห่งนันทานครกระหม่อม” เธราไม่ชินเท่าไรกับการถูกปฏิบัติแบบนี้แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าเออออไปด้วย
“หม่อมฉันคงไม่ได้เข้าวังเสียนานจนไม่รู้เลยว่าพระองค์รับพระสนมองค์ใหม่ แถมยังเป็นชาย” คำพูดของคุชทำเอาเธราทำหน้าไม่ถูก
“คุช.......เจ้าเอาเรื่องอะไรมาพูด ข้ามีสนมเอกองค์เดียวคือเธราแห่งมาลันเคีย และก็เป็นชายตามที่เจ้าเห็นนี่ล่ะ” วิรัลพูดขึ้นก่อนลุกขึ้นมองหน้าคุช แม่ทัพฝ่ายซ้ายคนสนิท
ตอนนี้เธราเข้ามานั่งอยู่ในห้องทรงงานขององค์วิรัล มีคาเซและคุชยืนทำหน้าเครียดอยู่ข้างๆ
“เจ้าหมายความว่ายังไงมีสนมข้าอีกคนงั้นรึ” วิรัลถามคุช
“พะยะคะตอนนี้เป็นที่กล่าวกันไปทั่ว ว่าสนมขององค์วิรัลเป็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามราวเทวีมีญาณหยั่งรู้สามารถทำนายทายทักได้แม่นยำ พระสนมออกเดินทางช่วยเหลือชาวบ้านไปทั่วตอนนี้ประทับอยู่ที่หมู่บ้านบันรุหมู่บ้านชายแดนติดกับป่าศักดิ์สิทธิ์กระหม่อม”
คำบอกกล่าวของคุชสร้างความกังวลได้ทันที ไม่ปกติทุกอย่างตอนนี้ไม่ปกติ เธราเริ่มอยู่ไม่สุขหมู่บ้านบันรุเขารู้จัก เขาเคยไปหลายครั้งทั้งตอนไข้สามราตรีและตอนทีมีภัยแล้ง คนในหมู่บ้านเขารู้จักแทบทุกคนและทุกคนรู้จักเขาเพียงแต่ไม่มีคนไหนรู้สถานะที่แท้จริงของเขาทุกคนในหมู่บ้านรู้แต่เพียงว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มผู้มีความรู้เรื่องสมุนไพรและมีน้ำใจไปช่วยเหลือเพียงแค่นั้น
“เรื่องเกิดขึ้นนานรึยังคุช” เป็นเธราที่กล่าวถามออกไป
“ข้าได้ข่าวมาเกือบสามเดือนแล้วกระหม่อม พระสนมองค์นั้นกล่าวอ้างว่าอยากออกมาช่วยเหลือชาวบ้านด้วยญาณของตนเอง ชาวบ้านก็ต้อนรับกันเอิกเกริก”
“นี่ถ้าเจ้าไม่มาเจอเธรา ข้าคงไม่รู้ว่ามีการกล่าวอ้างแบบนี้เกิดขึ้นสินะ” เป็นวิรัลที่พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ขอประทานอภัยกระหม่อม หม่อมฉันเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นแค่การเยี่ยมเยียนชาวบ้านของพระสนม นันทานครเพิ่งว่างเว้นจากการศึกไม่นานหม่อมฉันไม่อยากให้พระองค์ทรงกังวลเรื่องเล็กน้อย”
“เรื่องของประชาชนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คุชเจ้าที่เป็นถึงแม่ทัพฝั่งซ้ายไม่น่ากล่าวคำนี้ออกมา” วิรัลตำหนิแม่ทัพของตนอย่างไม่พอใจ
“หมู่บ้านบันรุเหรอ ทำไมถึงไปที่นั้นล่ะหมู่บ้านบันรุเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ชายแดนเมือง คนในหมู่บ้านมีไม่กี่สิบคนเองนะ แล้วตอนนี้หมู่บ้านก็สงบสุขดีไม่ได้มีปัญหาอะไร” เธราพูดขึ้น
“พูดแบบนี้แปลว่าเคยไป” เสียงทุ้มของวิรัลเอ่ยขึ้นก่อนหันไปมองเธรา
“เอ่อ....เคยไปมาสองสามครั้งกระหม่อม แต่คนในหมู่บ้านไม่มีใครรู้ว่าหม่อมฉันเป็นสนมของพระองค์นะกระหม่อม หม่อมฉันไม่ได้บอกกลัวโดนหาว่าโกหก”
“พระสนมไปทำอะไรที่หมู่บ้านชายแดนอย่างนั้นกระหม่อม” เป็นคุชที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ หากพระสนมเอกตัวจริงตรงหน้าไม่มีญาณที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านได้ ก็ไม่เห็นเหตุผลอะไรทีจะต้องออกไปตามหมู่บ้านชายแดนที่ห่างใกลอย่างนั้น
“ทำหลายอย่างตอนไข้สามราตรีก็ไปดูเรื่องยาไปสอนให้ใช้สมุนไพรรักษา ตอนแล้งก็ไปช่วยทำเขื่อน ขนมเค้กที่หมู่บ้านบันรุอร่อยมากนะคุช” คำตอบของพระสนมเอกเรียกเสียงหัวเราะเบาๆของคาเซได้ทันที ก่อนหันไปตบไหล่คุชที่ยืนงงเบาๆ “ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกคุชเดี๊ยวก็ชิน”
“แล้วทำไมต้องโกหกว่าเป็นข้าด้วย แถมโกหกไม่เนียนเลยข้าไม่มีญาณสักหน่อยแล้วข้าก็เป็นผู้ชายด้วย” เธราพูดอย่างไม่เข้าใจ
“จะเกี่ยวกับเรื่องกองทัพเลือดที่สหัสเตือนพระสนมรึเปล่ากระหม่อม เพราะหมู่บ้านบันกุเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับกัชธาที่เป็นเมืองแห่งเวทย์ที่สุดมีเพียงป่าศักดิ์สิทธิ์กั้นเท่านั้น”
ป่าศักดิ์สิทธิ์ คือผืนป่ากว้างใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างสามเผ่าพันธุ์ให้แยกออกจากกัน มนุษย์ ชาวเวทย์ และพวกอมนุษย์หรือพวกครึ่งสัตว์ ฉะนั้นการคาดเดาของคาเซจึงส่งผลให้ทั้งห้องครอบคลุมไปด้วยความเงียบ
“เอ่ออ.......องค์วิรัลหม่อมฉันกลับตำหนักก่อนได้ใหมกระหม่อม ไว้วันหลังหม่อมฉันจะเขียนรายงานมาถวายนะกระหม่อมวันนี้เย็นมากแล้ว”
วิรัลมองเธราที่อยู่ดีๆก็ขอตัวกลับ ก่อนพยักหน้าอณุญาต
เธราทำความเคารพองค์วิรัลก่อนปลีกตัวออกจากห้องไป
ตำหนักท้ายบึงในยามค่ำคืนมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงที่ส่องแสงให้ความสว่าง ร่างสูงโปร่งในชุดรัดกุมค่อยๆเดินลงแรงให้เบาที่สุดเพราะกลัวคนที่นอนหลับอยู่ตื่นขึ้นมา เธรากำลังหนีรารีและสหัสที่หลับสนิทเพื่อที่จะไปหมู่บ้านบันกุ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องตัวปลอมของตัวเองเธราก็เริ่มห่วงผู้คนในหมู่บ้านและก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าคนที่อ้างว่ามีญาณพิเศษนั้นเป็นชาวมาลันเคียหรือไม่เขาไม่อยากให้ชาวมาลันเคียมายุ่งกับเรื่องยุ่งยากที่ทำท่าจะกลายเป็นสงครามอย่างนี้
เธราค่อยๆเดินเลาะไปตามทางที่คุ้นเคย ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้การหนีแบบนี้ในการออกไปไหน เพราะถ้ารารีรู้ รารีจะห่วงและไม่ยอมให้เขาไปง่ายๆ
ประตูเล็กสำหรับเกวียนที่ใช้ขนเสบียงของวังหลวงคือจุดมุ่งหมาย เกวียนที่ใช้ขนผลไม้จากต่างเมืองจะเข้ามาส่งผลไม้ตอนเที่ยงคืนตรง เธราแค่หาทางแอบขึ้นเกวียนนั้นให้ได้เมื่อออกไปนอกวังแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก ร่างสูงโปร่งยืนแฝงตัวอยู่ในมุมมืดเงียบๆ สายตาจับจ้องคนงานที่ทำการขนผลไม้ลงจากเกวียน
“ไม่ยักรู้ว่าพระสนมของข้าชอบออกมายืนดูเกวียนขนเสบียงยามดึก” ประโยคทักทายที่ดังขึ้นด้านหลังทำเอาเธรายืนตัวแข็งเหมือนเด็กหนีเที่ยวที่โดนจับได้
เธราค่อยๆหันมามองเจ้าของเสียงทั้งที่ความจริงก็จำได้ขึ้นใจ แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าขององค์วิรัลเพราะรอบตัวครอบคลุมด้วยความมืด แต่น้ำเสียงที่ทักทายมานั้นเธราเดาว่าคงไม่พอใจเท่าไร
“พระสนมจะไปหมู่บ้านนันกุหรือกระหม่อม” คราวนี้เป็นคาเซที่เอ่ยขึ้น
“เอออ.....คือ....ข้าแค่อยากรู้ว่าคนที่แอบอ้างเป็นข้าเป็นชาวมาลันเคียรึเปล่า”
“เลยจะหนีไปคนเดียวสินะ” วิรัลเอ่ยขึ้น
“.......” เธราได้แต่ก้มหน้านิ่งเขาไม่รู้จะเถียงว่ายังไง
“แล้วจะไปรึยังล่ะ” คำถามแปลกๆทำเอาเธราเงยหน้ขึ้นมองคนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าถามว่าจะไปได้รึยัง” วิรัลถามย้ำ
“เอ่อ...พระองค์จะเสด็จด้วยหรือกระหม่อม”
“ใช่ ก็ในเมื่อมันเป็นเรื่องของนันทานครข้าก็ต้องรู้ด้วยสิ”
“แต่ว่ามันลำบากนะกระหม่อม หมู่บ้านบันกุอยู่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญการเดินทางก็ลำบาก”
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวความลำบากงั้นรึ”
“ไม่ใช่กระหม่อม แต่ถ้าพวกชาวบ้านหรือแม้กระทั้งคนที่แอบอ้างเป็นสนมของพระองค์รู้ว่าพระองค์เสด็จ เราจะไม่ได้รู้เรื่องที่แท้จริงนะกระหม่อม”
“งั้นหากข้าไปแบบเจ้าคงไม่เป็นไร” วิรัลพูดขึ้นก่อนหันไปเรียกคุช ร่างของแม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งนันทานครเดินออกมาจากมุมมืด
“ข้า เจ้า และคุชจะเดินทางไปหมู่บ้านบันกุด้วยกันสามคน คาเซจะอยู่ค่อยช่วยเหลือเราจากทางนี้จะไม่มีใครรู้ว่าข้าคือองค์วิรัล ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าพอใจรึยังเธรา”
การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธรามีผู้ร่วมเดินทาง คุชขี่ม้านำหน้าตามด้วยม้าของเธราและองค์วิรัลปิดท้าย วิรัลสวมชุดชาวบ้านธรรมดาทั่วไปหากรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าที่ได้รูปนั้นก็ยังคงความโดดเด่นไม่น้อย ม้าศึกฝีเท้าดีทำให้เพียงแค่รุ่งเช้าทั้งสามคนก็มาถึงหมู่บ้านบันกุ
หมู่บ้านที่เคยสงบเงียบตอนนี้ดูวุ่นวายคล้ายจะมีงานเลี้ยงฉลอง ตามต้นไม่และบ้านเรือนถูกประดับด้วยผ้าสีสวยและดอกไม้ ชาวบ้านมากมากมายกำลังจัดเตรียมงาน เธราเดินนำองค์วิรัลและคุชเข้าไปในหมู่บ้านอย่างคุ้นชิน ชาวบ้านเมื่อเห็นเธราก็เข้ามาทักทายอย่างคุ้นเคยเธราแนะนำว่าคุชและวิรัลเป็นเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาด้วย
“วันนี้มีงานอะไรกันเหรอ” เธราเอ่ยถามชาวบ้านที่เข้ามาทักทาย
“งานเลือกคู่ของ พารัมน่ะพระสนมทรงทำนายว่าถ้าพารัมได้แต่งานไปจะนำความโชคดีมาแก่หมู่บ้าน”
“ห๊ะ อะไรกันพารัมยังเด็กอยู่เลยจะแต่งงานได้ยังไงกัน” เธราท้วงออกไป พารัมลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านบันกุสาวน้อยเพิ่งมีอายุเพียง14ปี
“เป็นคำทำนายของพระสนม พวกเราจะกล้าขัดได้ยังไงถ้าพระสนมไม่พอใจไปฟ้ององค์วิรัลพวกเราก็แย่น่ะสิ” คำบอกกล่าวของชาวบ้านทำเอาเธราขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เธราหันไปมององค์วิรัลที่ยังคงยืนฟังอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าหมู่บ้านอยู่ไหนข้าขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“หัวหน้าหมู่บ้านเข้าเฝ้าพระสนม คงออกมาตอนงานเริ่มทีเดียว”
“แล้วพารัมล่ะ” เธราถามก่อนตรงไปที่เก็บตัวเจ้าสามตามที่ชาวบ้านบอก กระโจมเล็กๆถูกตกแต่งอย่างสวยงามภายในมีร่างบอบบางของเด็กหญิงนั่งสะอื้นไห้โดยมีเพียงมารดาที่คอยปลอบประโลมยู่เคียงข้าง
“พารัม” เธราเรียกชื่อคนที่เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างบอบบางของเด็กหญิงโผเขามาหาเธราทันทีที่เห็นว่าใครเป็นผู้เรียกชื่อตน
“พี่เธรา ข้าไม่อยากแต่งงาน ฮืออๆๆ ท่านพ่อ ท่านพ่อเชื่อแต่พระสนมไม่ฟังข้าเลย” เธราได้แต่ลูบหลังปลอบเด็กสาวตรงหน้า
“ตั้งแต่พระสนมมาพ่อของพารัมก็แปลกไปไม่เหมือนเดิม อยู่ดีๆก็จัดงานเลือกคู่ให้พารัมทั้งที่ลูกเพิ่จะ14ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ใครค้านก็ไม่ฟัง” แม่ของพารัมเอ่ยบอกเธราทั้งน้ำตา
“พิธีเลือกคู่ แปลว่าตอนนี้ก็ยังไม่รู้ใช่ใหมว่าพารัมต้องแต่งงานกับใคร”
“ใช่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดถึงจะได้เข้าพิธีแต่งงาน” พารัมตอบทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น
“หมายความว่าต้องต่อสู้กันเหรอ”
“การประลองห้ามใช้อาวุธจะต้องล้มคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ถูกเลือก” เป็นแม่ของพารัมเอ่ยออกมา
“พิธีอะไรกันข้าไม่เคยได้ยินเลย” เธราท้วงขึ้นมาเขาเคยมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เป็นเดือนพิธีแต่งงานของหมู่บ้านบันกุเขาก็เคยเห็นมันไม่ใช่แบบนี้
“พระสนมเป็นคนกำหนดมา ท่านบอกว่าพารัมต้องแต่งงานกับชายที่แข็งแกร่งถึงจะนำความโชคดีมาแก่หมู่บ้านได้” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นทั้น้ำตา เสียงสะอื้นไห้ของสองแม่ลูกบีบหัวใจคนฟังไม่น้อย
แบบนี้เธราไม่ชอบจริงๆ พระสนมตัวปลอมเริ่มทำเกินไปแล้ว
“แปลว่าถ้าเราต้องการเห็นหน้าพระสนมจอมปลอมเราต้องรอจนพิธีเริ่มใช่ใหมกระหม่อม” คุชเอ่ยถามเธรา ทั้งสามแยกตัวออกมายืนมองชาวบ้านจัดพิธีกันอย่างเงียบๆ
“ใช่ ข้าขอเข้าเฝ้าแล้วแต่ไม่ได้พวกชาวบ้านบอกว่าพระสนมจะคุยแต่กับหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น”
“แล้วเจ้าจะทำยังไง” วิรัลเป็นคนหันมาถามเธรา วิรัลมองพระสนมตัวเองอย่างแปลกใจเธรามีท่าทีแปลกไปแบบที่เขาไม่เคยเห็น ใบหน้าเรียบๆที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลากลับนิ่งเฉยแววตาสีน้ำตาลที่เคยน่ามองกลับมีแววขุ่นเคือง
“คงต้องรอดูตอนพิธีประลองเลือกคู่กระหม่อม” เธราตอบทั้งที่ไม่ละสายตาจากภาพการจัดงานตรงหน้า
เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงอย่างครึกครื้น คนทั้งหมู่บ้านออกมารวมตัวกันยังลานที่จัดงาน ลานกลางหมู่บ้านถูกขึงด้วยเชือกกั้นเป็นเวทีการประลอง ชายหนุ่มมากมายจากหลายหมู่บ้านเดินทางมายังงานคัดเลือกเพื่อประลองฝีมือผู้ชนะจะได้สาวน้อยลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านบันกุไปเป็นรางวัล
ทุกอย่างเงียบสนิทเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านออกมาทำสัญญาณว่าพระสนมจะเสด็จ รูปร่างสมส่วนของสตรีที่เดินออกมาจากที่ประทับสวมชุดสวยงามหรูหราตามแบบฉบับชาววังแห่งนันทานคร ผมสีน้ำตาลอ่อนหยิกเป็นลอนสยายเต็มแผ่นหลังผิวที่โผล่พ้นเสื้อผ้าขาวนวลชวนมอง ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าปักมือชั้นดีเหลือเพียงดวงตากลมโตที่โผล่พ้นออกมา ท่าทางสง่างามที่เหมาะสมกับตำแหน่งสนมเอกแห่งนันทานคร
เมือพระสนมแสนสวยหันไปพยักหน้ากับหัวหน้าหมู่บ้าน ก็เป็นสัญญาณว่าพิธีเลือกคู่จะเริ่มขึ้น เสียงดนตรีพื้นเมืองดังสนั่นพร้อมเสียงเชียร์การต่อสู้ที่เริ่มขึ้น การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆ คนแพ้ต้องออกจากการประลองไปให้คนใหม่เข้ามาผลัดเปลี่ยนกันไปมาจนเหลือเพียงหนึ่งคน ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามผิวสีดำแดงที่เต็มไปด้วยรอยแผล ดวงตาเหลือกโปนแดงก่ำยืนตะโกนคำรามท้าทายผู้ที่จะลงประลอง
“มีใครจะลงประลองไหม” เสียงตะโกนถามของกรรมการดังก้องทั่วงาน ชายหนุ่มหลายคนเริ่มถอดใจเพราะคู่ต่อสู่ตรงหน้าน่ากลัวและโหดเหี้ยมเกินไปมีชายหนุ่มหลายคนที่ใจกล้าลงประลองจนต้องเจ็บหนักออกมา บ้างขาหักขาหักบางคนถึงขั้นอาการสาหัสเลยก็มี
“ถ้าไม่มี ข้าขอประกาศว่าผู้ชนะคื...”
“ข้าเอง.....ข้าจะลงประลอง” เธราเอ่ยเสียงดัง ร่างสูงโปร่งก้าวออกมาข้างหน้าอย่างท้าทายสายตายังคงไม่ละไปจากพระสนมจอมปลอมที่นั่งดูการประลองอยู่
“เธราทำอะไร” วิรัลรั้งแขนของพระสนมตัวเองไว้ คู่ต่อสู้ตรงหน้าน่าจะมีเลือดผสมของพวกอมนุษย์เรียวแรงที่มีมากกว่าคนปกติ ไม่ว่ามองมุมไหนเธราก็ไม่มีทางชนะ
“หม่อมฉันจะประลอง” เธราตอบออกไปก่อนหันมามององค์วิรัล “หม่อมฉันจะปล่อยให้เด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรมารับกรรมแบบนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรพระสนมจอมปลอมนั้นต้องรับผิดชอบ” แววตานิ่งสนิทที่จ้องมาเหมือนครั้งที่เอาตัวเองบังธนูให้สิงห์รานั้นวิรัลจำได้ดี แววตาที่สะกดเขาตั้งแต่แรกเห็น
“ให้หม่อมฉันลงประลองแทนพระสนมเถอะกระหม่อม” คุชเสนอตัว
“ไม่ต้องข้าจะประลองเอง” เธราแกะมือวิรัลออกก่อนก้าวเข้าไปในสนามประลอง คู่ต่อสู้ตรงหน้าดูจะกำลังบ้าเลือดเข้าขั้นเพราะร่างสูงใหญ่ตะโกนก้องคำรามดังสนั่นราวข่มขวัญเขาเสียเต็มที่พร้อมพุ่งเข้ามาหาเธราตรงๆ หมัดลุ่นๆเสยเข้าปลายคางของเธราอย่างจังก่อนจะพุ่งเข้ามาซ้ำอีกรอบ คราวนี้เธราขยับตัวหลบแรงปะทะได้ทัน ก่อนจับเข้าที่ลำคอของคู่ต่อสู้พร้อมใช้สันมืออีกข้างฟาดลงที่ท้ายทอยเพียงแค่นั้นร่างที่สูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นก็ฟุบลงกับพื้นและหมดสติลงทันที เสียงเชียร์ที่เคยสนั่นหวั่นไหวกลับเงียบกริบลงทันทีเมื่อผลแพ้ชนะที่เหลือเชื่อปรากฏแก่สายตา
เธราไม่ได้สนใจคู่ต่อสู้ที่ตอนนี้หมดสติกองอยู่กับพื้นแต่อย่างใด สายตากลับจับจ้องมองไปที่พระสนมจอมปลอมที่ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปยังที่ประทับ ตามไปด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน เธราไม่เข้าใจจริงๆว่าหัวหน้าหมู่บ้านที่รักลูกสาวปานดวงใจทำไมถึงยอมจัดพิธีบ้าบอแบบนี้ขึ้นมา
ชาวบ้านเริ่มทยอยกันเขามาแสดงความยินดีกับเธรา แต่เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกลากออกมาจากลุ่มคนเสียก่อน
“ทำไมถึงวู่วามแบบนี้เธรา” วิรัลเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ ใบหน้าเธราตอนนี้เริ่มเขียวช้ำแล้วจากการโดนหมัดเมื่อครู่ ริมฝีปากและจมูกมีเลือดใหลออกมาไม่น้อย
“ขอประทานอภัยกระหม่อม” เธราได้แต่ขอโทษเขาไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
วิรัลมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้หูลู่หางตกแบบคนยอมรับผิดเต็มที่อย่างเหนื่อยใจ เมื่อไหร่เธราจะเลิกทำให้เขาตกใจกับเรื่องไม่คาดคิดเสียที จะโกรธหรือลงโทษก็ทำไม่ลงเพราะแต่ล่ะเรื่องที่เธราทำจะว่าผิดก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะว่าถูกก็พูดยากเพราะวิธีที่ทำมันแปลกจนคาดไม่ถึงเสมอๆ
“เจ้ามีแผนอะไรใช่ใหม” วิรัลเอ่ยถามขึ้นอย่างจนใจในเมื่อห้ามไม่ได้เขาจะลองทำตามแผนของคนตรงหน้าดูสักครั้ง เธราพยักหน้าก่อนจะสะดุ้งเมืออาการเจ็บจากการโดนหมัดหนักๆเริ่มออกฤทธิ์ มือเรียวหยิบตลับยาแก้ฟกช้ำที่มีติดตัวขึ้นมาทา ค่อยๆแตะยาลงบนแก้มตัวเองเบาๆแต่ก็ยังมิวายเจ็บจนหน้าเหยเก
“ใหนว่าไม่ถนัดใช้ดาบข้าก็นึกว่าเจ้าไม่ชอบการใช้กำลัง” วิรัลพูดขึ้นพลางนั่งมองคนที่ทายาให้ตัวเองด้วยท่าทีทุลักทุเล
“หม่อมฉันไม่ถนัดใช้ดาบ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้มือเปล่าล่ะก็พอได้กระหม่อม” คำตอบที่วิรัลถึงกับส่ายหน้าแต่ทำเอาคุชที่นั่งฟังเงียบๆมานานถึงกับหัวเราะ สงสัยเขาต้องเริ่มทำใจให้ชินกับพระสนมตามที่คาเซบอกแล้วกระมัง

มาต่อแล้วค่าา
เข้าไปพูดคุยหรือทวงนิยายหรือ่านสปอยได้ในเพจเลยนะคะ
https://www.facebook.com/Myprimprie/ เพิ่งเปิดสดๆร้อนๆเลยเอาไว้คุยกันนะคะ
สำหรับตอนนี้อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงเม้นบอกเป็นกำลังใจกันบ้างนะคะ
ฝาก เธรากับวิรัล ด้วยน้าาาาา