[จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8  (อ่าน 150000 ครั้ง)

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หม้อแปลงระเบิดนี้ก็ดีเนอะบุ๋น 555

พี่หมอซึนจริงๆ แสดงออกขนาดนี้
เอาใจช่วยบุ๋นนะ

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หม้อแปลงระเบิดนี้ก็ดีเนอะบุ๋น 555

พี่หมอซึนจริงๆ แสดงออกขนาดนี้
เอาใจช่วยบุ๋นนะ

ออฟไลน์ janny_j

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คิดถึงมากกกกกกกกก พี่หมอเริ่มผูกพันกับบุ๋นแล้วใช่มั้ย บุ๋นสู้ๆนะ

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   “ผมซื้อกาแฟกับขนมปังมาฝากพี่ด้วยนะครับ” บุ๋นเปิดกระเป๋าหยิบถุงพลาสติกที่วางอยู่ออกมายื่นให้คนที่ทำท่าจะลุกกลับไปอ่านหนังสือ



   “ไม่เป็น…” ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธพอสบตากับคนที่บอกว่าซื้อมาฝากปากก็ดันพูดอีกอย่าง “อืม ขอบคุณ”



   “ครับ” บุ๋นยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธเขาเหมือนทุกๆครั้ง




   เขาตั้งใจจะซื้อมาให้จริงๆ




   “งั้นผมอ่านหนังสือนะ” เมื่อหยิบอุปกรณ์เตรียมอ่านออกมาหมดแล้วก็เงยหน้าไปบอกคนที่กำลังจะเดินกลับโต๊ะ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า ยังไม่ทันที่จะหันกลับไปเขาก็พูดต่อ “พรุ่งนี้ไม่มีสอบ…ถ้าไม่เข้าใจก็เรียก”




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันกลับมาสนใจเนื้อหาตรงหน้าต่อ




   ถึงแม้ว่าจะมีอะไรน่าสนใจกว่าการอ่านหนังสือแต่จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าเขาต้องอ่านให้จบเพื่อที่จะเอาความรู้ที่อ่านมาทั้งหมดไปสอบในวันพรุ่งนี้และไม่ทำให้คนที่ตั้งใจสอนเขาผิดหวัง




   ตั้งสติบุ๋น…ไม่เป็นไร กูเข้าใจ




   เข้าใจว่าอยากมอง…




   แต่ว่า…




   เออ ขอมองนิดนึงก็ยังดี




   หลังจากที่ทะเลาะกับตัวเองพักใหญ่บุ๋นก็ค่อยๆเงยหน้ามองคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ แผ่นหลังกว้างที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่พอมองจากตรงนี้มันทำให้เขารู้สึกดีไม่ต่างกับตอนที่ได้พูดคุยกัน แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีประโยคใดๆหลุดออกมาจากปากของเขาทั้งสอง แต่แค่ได้มองหมอฐานทัพในทุกอิริยาบถก็มีความสุขมากแล้ว




   บางทีบุ๋นก็คิดว่า…เขาโรคจิต




   ถ้าจะโรคจิตก็เป็นโรคจิตที่ชอบทุกอย่างที่เป็นหมอฐานทัพแหละวะ…แค่หมอฐานทัพ




   บุ๋นยิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเองก่อนจะกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง ถึงจะเริ่มรู้สึกหิวแล้วแต่พอเริ่มเข้าเนื้อหามันก็อ่านไปได้เรื่อยๆจนกระทั่งได้กลิ่นหอมๆลอยมาแตะจมูก




   ถ้วยมาม่าถูกวางไว้ข้างๆหนังสือพร้อมกับอีกถ้วยที่ถือไปวางไว้บนโต๊ะ บุ๋นมองการกระทำของหมอฐานทัพงงๆ ทั้งๆที่บรรยากาศรอบข้างก็ไม่ได้เสียงดังแต่ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยว่าหมอลุกไปต้มมาม่า




   “ให้ผมหรอครับ?” คนที่ปิดหนังสือลงเอ่ยถาม




   “อืม” ฐานทัพหันมาตอบ “ได้ยินเสียงท้องร้อง”




   “จริงหรอครับ” บุ๋นทำตาโต ถ้าเป็นเสียงท้องร้องทำไมจะไม่ได้ยิน เขาไม่ได้ตั้งใจอ่านจนไม่ได้ยินเสียงของร่างกายตัวเอง




   “ล้อเล่น” ฐานทัพตอบก่อนจะชี้ถ้วยมาม่า “กิน”




   “ครับกิน…แต่พี่ไม่มากินด้วยกันหรอครับ” บุ๋นยกหนังสือลงวางกับพื้น “ต่างคนต่างกินแบบนี้ดูใจร้ายเกินไปหน่อย”




   “หรอ” คนที่ไม่คิดอะไรรีบยกถ้วยมาม่ามาวางไว้ตรงหน้าบุ๋นทันที ปกติเขาก็ทำแบบนี้กับเพื่อนตลอดไม่เคยเห็นมีปัญหา




   ใจร้ายยังไง




   “ผมล้อเล่น” บุ๋นยิ้มนิดๆอย่างผู้ชนะก่อนจะพูดต่อ “ไหนๆพี่ก็ยกมาแล้ว ก็กินตรงนี้กับผมเลย”




   “อืม” ฐานทัพที่พึ่งจะเข้าใจพยักหน้า “อ่านถึงไหน”




   “เหลือหนึ่งบทกับอีกครึ่งหนึ่งครับ” เขาเป่าไล่ความร้อนจากเส้นมาม่าก่อนจะพูดต่อ “แล้วพี่ล่ะครับ อ่านถึงไหนแล้ว”




   “จบแล้ว” ฐานทัพตอบ “วิชาอื่นเหลืออ่านทวน”




   “โห ทำไมไว”




   “เก่ง” เขาตอบกลับมากวนๆก่อนจะยิ้มมุมปาก “ล้อเล่น”




   “ถ้าไม่บอกว่าล้อเล่นผมก็เชื่อนะ” บุ๋นสบตาคนตรงหน้านิ่ง “เพราะพี่เก่งจริงๆ”




   “อืม” คนที่โดนชมตรงๆถึงกับไปต่อไม่ถูก ฐานทัพเป็นฝ่ายหลบตาแล้วกินมาม่าต่อ




   “พี่ไม่เหนื่อยหรอครับที่เรียนเยอะขนาดนี้”




   “เหนื่อย แต่ไหว” เขาตอบกลับ “หนักกว่านี้ก็ไหว…จบไปวิชาที่เรียนต้องเอาไปใช้กับผู้ป่วย ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น”




   “ครับ ผมรู้”




   “อืม แค่เห็นผู้ป่วยหายดีก็หายเหนื่อยแล้ว”




   “งั้นผมจะเป็นผู้ป่วยให้ไหมพี่จะได้หายเหนื่อย”





   “ไม่ต้อง” ฐานทัพตอบกลับทันที “ไม่เป็นอะไรดีแล้ว”




   “ทำไมครับ?”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงนิ่ง “เลิกถามแล้วกิน”




   “โหพี่…”




   “กินแล้วอ่านหนังสือต่อ” เขาพูดย้ำอีกครั้ง “เดี๋ยวนี้”




   ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาที่เขาจะต้องสั่งคนตรงหน้า อาจเพราะคำถามที่ถามเขามาตรงๆและเขาเองก็ไม่รู้คำตอบว่าควรจะตอบกลับไปว่าอะไร




   ที่ไม่อยากให้บุ๋นเป็นอะไรคงเป็นเพราะ…




   อืม เพราะอะไร




   การอ่านหนังสือล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งครึ่ง บุ๋นปิดหนังสือลงหลังจากที่อ่านจบทั้งหมดที่ต้องสอบก่อนจะหาวออกมาเพราะความเหนื่อยล้าและความง่วงที่กำลังคลืบคลานเข้ามา สายตามองไปยังร่างที่นั่งอยู่บนโต๊ะตั้งใจอ่านหนังสือไม่ต่างไปจากสองชั่วโมงที่แล้ว รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นอีกครั้งกับคนที่แอบมอง แม้จะง่วงแต่ก็ไม่กล้าบอกเพราะเห็นท่าทางที่ดูตั้งอกตั้งใจของหมอฐานทัพ บุ๋นค่อยๆบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้าก่อนจะวางแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ใช้อ่านหนังสือแล้วฟุบหน้าลงไป




   ขอพักสายตาสักพัก…




   ฐานทัพปิดปลอกปากกาลงเมื่อเขียนย่อเนื้อหาที่ใช้สอบเสร็จ เขาถอนหายใจออกมาช้าๆก่อนจะหันไปดูเวลาที่อีกไม่กี่นาทีก็จะตีสอง แว่นตาที่สวมอยู่ถูกถอดออกพร้อมกับมือที่ขยี้ตาเพื่อคลายความง่วง เขาปิดโคมไฟอ่านหนังสือลงแล้วลุกออกจากเก้าอี้เพื่อเตรียมตัวนอน สายตาของเขาหันมาสะดุดกับร่างที่ฟุบหน้านอนอยู่บนโต๊ะที่เขายกมาให้ ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะทำให้รู้ว่าคนตรงหน้านอนหลับสนิท ฐานทัพมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ




   เขากำลังยิ้ม




   รู้ตัวอย่างนั้นคนที่ปกติยิ้มยากถึงกับตกใจ ฐานทัพส่ายหน้าไปมาเพื่อเรียกสติตัวเอง อาจเพราะอ่านหนังสือมาหลายชั่วโมงเลยทำให้เขาเบลอๆ ร่างสูงละสายตาจากภาพตรงหน้าก่อนจะเดินไปเปิดตูเสื้อผ้าเพื่อหยิบผ้าห่มอีกผืนออกมาให้คนที่มาขอนอนด้วยกระทันหัน ดีที่เขามีผ้าห่มสองผืนไว้ผลัดเวลาต้องซัก




   “บุ๋น” ฐานทัพเดินไปสะกิดคนที่ฟุบหลับ “ขึ้นไปนอนบนเตียง”




   “…” ไร้เสียงตอบรับมีแต่เสียงลมหายใจของคนตรงหน้าเท่านั้น




   ลืมไปว่าตื่นยาก




   “บุ๋น บุ๋น” เขาเพิ่มแรงเขย่ามากกว่าเดิมหวังจะให้คนตรงหน้าตื่นขึ้นมา




   คงหลับลึกจริงๆ




   “บุ๋น ขึ้นไปนอนบนเตียง” ฐานทัพยังคงพยายามต่อไป “ตื่นก่อน”




   “อืม…” เสียงตอบรับเบาๆดังขึ้นก่อนที่ร่างของบุ๋นจะค่อยๆดันตัวขึ้นมาจากโต๊ะญี่ปุ่น ความรู้สึกแรกคือปวดหลัง เพราะโต๊ะที่ใช้อ่านมันเตี้ยกว่าตัวเขาเวลานั่งทำให้ต้องก้มลงไปเยอะกว่าเดิม




   ปวด…




   “ขึ้นเตียง” ฐานทัพพูดสั้นๆเพื่อให้คนตื่นยากขึ้นไปนอนบนเตียง




   “พี่นอนเถอะครับ ผมนอนพื้นได้” เสียงงัวเงียตอบกลับมา




   “ขึ้นเตียง” เขายังคงยืนยันคำเดิม




   “แต่ห้องพี่นะ”




   “ยังไม่ง่วง” ฐานทัพโกหกกลับไป




   ถ้าพูดแบบนี้แล้วจะทำให้อีกคนยอมขึ้นไปนอนง่ายๆเขาก็ยอม…ขี้เกียจเถียง




   “หืม? หรอครับ” คนที่ตาเหลือขีดเดียวถาม “งั้นถ้าพี่จะนอนปลุกผมนะ เดี๋ยวผมลงมานอนข้างล่างให้”




   อืม…ตัวเองปลุกง่ายมาก




   “ได้” เขารับปากกลับไป




   พอได้ยินอย่างนั้นบุ๋นก็พยักหน้าอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างกับที่พูดไปทั้งหมดคือการละเมอ พอหัวถึงเตียงสติเขาก็ดับลงอีกครั้งราวกับสั่งได้ ฐานทัพมองให้แน่ใจว่าบุ๋นหลับแล้วก่อนจะห่มผ้าให้บุ๋นแล้วเอาหมอนที่วางอยู่ข้างๆลงมาวางไว้ที่พื้นกับผ้าห่มประจำของเขา




   “ลืม” อยู่ๆเสียของบุ๋นก็ดังขึ้นอีกครั้งทำให้มือที่กำลังจะหยิบผ้าห่มบนเตียงชะงักลง




   “อะไร”




   “ฝันดีนะครับ…คร่อก”




   “อืม ฝันดี”




   ไม่รู้ว่าคำที่หลุดออกมาจากปากเป็นการละเมอหรือตื่นขึ้นมาบอกจริงๆแต่เพราะจิตใต้สำนึกบอกให้พูดออกมา แม้จะง่วงแต่ก็ฝืนพูดทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากฟังรึเปล่า




   แค่อยากบอก…ว่าฝันดี




   พอเห็นว่าบุ๋นหลับไปแล้วจริงๆฐานทัพถึงเดินไปปิดไฟที่เปิดอยู่ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด เขาเดินกลับมาที่ข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนช้าๆ ดีหน่อยที่วันนี้ไม่ได้หนาวมากทำให้พื้นห้องเขาสามารถนอนได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาปู ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆหลับตาลงพร้อมความง่วงที่เริ่มคลืบคลานเข้ามา




   ทั้งๆที่รู้สึกง่วง…แต่กลับนอนไม่หลับ




   เหมือนมีคำถามต่างๆวิ่งวุ่นอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน ทั้งที่ปกติฐานทัพเป็นคนนอนหลับง่ายแต่ดันไม่ใช่กับวันนี้ เขารู้สึกง่วงแต่ข่มตานอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาก็ยังไม่ได้ผล




   สงสัยต้องนับแกะ




   ฐานทัพหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะใช้วิธีที่ตอนเด็กๆพ่อเคยบอกเขาอยู่บ่อยๆ ถ้านอนไม่หลับก็นับแกะทีละตัวแล้วจะค่อยๆง่วงหลับไปเอง




   แต่หากคืนนี้ภาพที่เขานับกลับไม่ใช่ภาพแกะ




   มันคือภาพของ…บุ๋น


.   

   แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องของนักศึกษาแพทย์ที่ยังคงนอนหลับสนิท เสียงนกร้องนอกระเบียงทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้นมา บุ๋นหรี่ตานิดๆเพื่อให้ดวงตาปรับแสงสว่างที่ส่องเข้ามา แขนทั้งสองข้างค่อยๆชันตัวลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกได้ว่า




   เขานอนอยู่บนเตียง




   หมายความว่า…




   บุ๋นค่อยๆชะโงกหน้าลงไปดูล่างเตียงช้าๆอย่างรู้สึกผิด ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าหมอฐานทัพต้องนอนอยู่ที่พื้น ทันทีที่เห็นร่างของหมอฐานทัพนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางความรู้สึกผิดก็แล่นขึ้นมาทันที




   เขาจำได้ว่าเขาบอกหมอไปแล้วว่าให้ปลุก…ทำไมไม่ปลุก




   “พี่ครับ” บุ๋นสะกิดคนที่นอนหลับอยู่ “นอนบนเตียงเถอะครับ ผมตื่นแล้ว” พูดไปก็รู้สึกผิดในใจ




   ทำให้หมอฐานทัพลำบาก




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้น เขาหรี่ตาเพื่อปรับแสงจากข้างนอกก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้ตา




   “ทำไมพี่ไม่ปลุกผม นอนพื้นทำไม” บุ๋นถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ผมบอกให้ปลุกผมไง”




   “พูดมาก” ฐานทัพที่พึ่งตื่นตอบสั้นๆก่อนจะขยับตัวขึ้นมาอยู่บนเตียง “นอนล่ะ” พูดจบเขาก็ทิ้งตัวนอนลงไปไม่ตอบคำถามอะไรต่อ




   บุ๋นได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบของหมอฐานทัพ เขาทำท่าจะลุกออกจากเตียงแต่แขนข้างหนึ่งของหมอพาดอยู่บนขาของเขา ทั้งๆที่จะลุกออกไปก็ได้แต่บุ๋นเลือกที่จะนั่งอยู่กับที่




   อืม…ตื่นมาแล้วเจอแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน



   แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่หมอนอนพื้นแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ บุ๋นนั่งอยู่บนเตียงต่อเกือบยี่สิบนาทีก่อนจะลุกออกมาเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับไปอาบน้ำแล้วออกไปสอบในเช้าวันนี้ เขาหวังว่าที่อ่านมามันจะออกสอบทั้งหมด





   ขอให้เป็นอย่างนั้น




   “พี่ครับ ผมไปก่อนนะ” พอเก็บของเสร็จหมดแล้วก็หันกลับมาบอกคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง เขาไม่ได้ต้องการให้หมอตื่นขึ้นมา แค่อยากจะบอก




   “อืม” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ ถึงจะสะลึมสะลือแต่ก็ได้จับใจความได้




   “นอนต่อเถอะครับ ถ้าปวดหลังบอกผมนะ เดี๋ยวผมไปซื้อยามาให้”




   “ไม่ปวด”




   “งั้นผมไปนะ”




   “อืม”




   “ครับ” บุ๋นรับคำแม้ว่าตัวเขาจะยังยืนรอฟังคำๆนึงอยู่




   เพราะเขาเชื่อว่าหมอฐานทัพจะต้องเรียก ‘บุ๋น’




   “บุ๋น”




   เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ คนที่ยืนรอฟังคำๆนี้อยู่ถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่ รอยยิ้มแรกของเช้าวันนี้ปรากฏขึ้นพร้อมน้ำเสียงของหมอที่เอ่ยออกมา




   “ตั้งใจสอบ” เขาเว้นช่วงไปพักหนึ่ง “ขอให้มั่วได้”




   “โหพี่…ไม่เชื่อว่าผมจะจำได้หรอ”




   “เชื่อ” ฐานทัพตอบกลับมาสั้นๆ “เลยไม่พูด”




   “ครับ” คำพูดที่แฝงความนัยไว้ทำให้บุ๋นยิ้มออกมาอย่างหุบไม่อยู่ “ผมจำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมั่วหรอก”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ถ้าตกเลี้ยงข้าว”



   “แล้วถ้าผ่านล่ะครับ?”




   “ก็ผ่านไง” ฐานทัพตอบกลับมากวนๆทำเอาคนที่ถามออกมาหัวเราะ




   “ถ้างั้น…ผมตกก็ได้ จะได้เลี้ยงข้าวพี่”




   “เดี๋ยวหมอนบิน” ฐานทัพพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับหมอนอีกใบที่ยังว่างอยู่ “ห้ามตก” เขาออกคำสั่ง แม้จะไม่จริงจังมากแต่ก็ถือว่าเขาห้าม



   เห็นความตั้งใจที่บุ๋นทำมาก็อยากจะช่วยลุ้นให้สอบผ่านไปได้ด้วยดี




   “ครับ ไม่ตกหรอก” บุ๋นยิ้มอีกครั้ง “ถ้าผ่านเลี้ยงมาม่าผมหนึ่งถ้วยนะ”




   “อืม” เขารับคำ “ให้สองถ้วยเลย”



   “โห มีเพิ่มให้ด้วย งั้นผมต้องได้รองท๊อปแน่ๆ”




   “ทำให้ได้” เขาหันไปมองหน้าบุ๋นก่อนจะพูดต่อ “กลับได้แล้ว เดี๋ยวสาย”



   “ครับ ขอบคุณสำหรับเมื่อคืนนะครับ” บุ๋นไม่ลืมที่จะพูดทิ้งท้าย “ถ้าหม้อแปลงระเบิดอีกผมจะมาหาพี่ใหม่นะ ถือว่าขออนุญาติแล้ว” พูดจบเขาก็ตรงดิ่งออกไปไม่รอให้ฐานทัพพูดอะไรต่อ   




   คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิมประมวลคำพูดสุดท้ายก่อนที่บุ๋นจะออกไปแล้วขมวดคิ้ว




   เมื่อกี้…ถามความสมัครใจหรือแค่บอกให้รับรู้


------------------------------
 เม้นๆกันหน่อยยยยย  :hao5: :z3: :z10: :katai1: :mew5:

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
หม้อแปลงระเบิดทุกวันไปเลย

ออฟไลน์ janny_j

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่ารักกกกกกก  พี่หมอออ รีบรู้ตัวเองสักทีค่ะ เขินแทนบุ๋น :-[

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
งั้นบุ๋นต้องไปทำลายหมอแปลงแล้ว จะได้มาอยู่ห้องหมอ 5555

เอาใจช่วยบุ๋นต่อไป

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่สิบสาม


   บรรยากาศในห้องสอบเต็มไปด้วยความเครียดและความกดดันของนักศึกษาหลายคนที่พึ่งเจอข้อสอบมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก หนึ่งในนั้นคือเดือนคณะเกษตรที่ถอนหายใจเป็นรอบที่สี่ตั้งแต่เข้ามาอ่านข้อสอบ ความจริงเขาก็พอรู้แนวมาบ้างแต่ไม่คิดว่าข้อสอบจะประยุกต์เสียจนไม่เหลือเค้าโครงแนวเดิม คล้ายกับอาจารย์ไม่อยากให้นักศึกษาได้คะแนน




   นาฬิกาหน้าห้องบ่งบอกว่าใกล้จะหมดเวลาในการทำข้อสอบ บุ๋นเขียนความรู้ทุกอย่างลงไปในหน้าสุดท้ายแข่งกับเวลาก่อนจะวางปากกาลงแล้วเดินไปส่งข้อสอบหน้าห้องที่มีกรรมการคุมสอบนั่งอยู่สามคน




   เสร็จไปหนึ่งวิชา…




   แค่วิชาแรกยังรู้สึกเหมือนใกล้ตาย คิดไม่ออกเลยว่าวิชาอื่นๆจะเป็นยังไง




   โทรศัพท์มือถือถูกกดเปิดเครื่องหลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบแล้ว หลายๆคนเริ่มทยอยกันออกมาเหลือก็แต่เพื่อนของเขาที่ยั่งนั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องสอบ มือข้างหนึ่งสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา ในใจก็อดเครียดไม่ได้กับข้อสอบที่เจอมา เขาไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้และเขาไม่มั่นใจเหมือนตอนแรกที่คิดไว้




   อาจเพราะเหม่อทำให้รู้ตัวอีกทีก็กดมือถือมาอยู่หน้าสมุดรายชื่อ บุ๋นค่อยๆเลื่อนดูรายชื่อในโทรศัพท์มือถือก่อนจะหยุดลงที่รายชื่อใหม่ที่เขาเป็นคนตั้งไว้เมื่อคืน




   อยากโทรหา…




   “ไงมึง” แรงตบที่บ่าทำให้คนที่กำลังเหม่ออยู่สะดุ้งสุดตัว มือดันกดพลาดไปโดนปุ่มโทรออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ




   ชิบหาย!!!




   กำลังโทรหา…คิดถึง




   “เชี่ยยย!!” บุ๋นอุทานเสียงหลงก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนงงอยู่ข้างๆ




   ใบหน้าของเดชมีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆแปะไว้ สีหน้าที่เครียดจากห้องสอบในตอนนี้หายไปเหลือแต่เพียงความงงกับสิ่งที่เขาทำ




   ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่วะ โมโหทำไม




   “อะไรของมึง”




   “เล่นอะไร กูตกใจหมด” คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะกดโทรบ่นใส่เพื่อนสนิทก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู




   ไม่ได้ตั้งใจจะโทร แต่ในเมื่อกดไปแล้ว…ก็ช่วยไม่ได้




   แย่จังเลย~




   เสียงสัญญาณดังอยู่พักใหญ่จนคนที่รอปลายสายรับเริ่มถอดใจ นิ้วกำลังจะกดวางสายแต่หน้าจอกลับเปลี่ยนเป็นเลขวินาที




   “ฮัลโหล…”




   ( ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ… )





   ถุ้ย!!!




   เสียงที่ได้ยินไม่เป็นดังที่หวังคนที่รอสายก็ถึงกับกดวางซ้ำๆแล้วถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ตั้งใจกดโทรไปแต่ก็หวังให้ปลายสายรับ




   ไม่ได้อยากได้ยินเสียงสัญญาณอัตโนมัติโว้ยยยยยย!!!





   “หงุดหงิดอะไรมึง” เดชที่ยังไม่ได้รับคำตอบถามซ้ำอีกครั้ง




   “หงุดหงิดทุกอย่าง” บุ๋นตอบก่อนจะเก็บมือถือใส่ในกระเป๋า




   “อะไรของมึงวะ” เดชไม่เข้าใจในความหมายของเพื่อน เขาไปทำอะไรให้หงุดหงิดขนาดนั้น “แล้วมึงจะไปไหนต่อ กลับเลยหรือว่าหาอะไรกิน”




   “กลับมั้ง กินอะไรไม่ลงแล้ว เจอข้อสอบแบบนี้”




   “ไม่เป็นไร กูเข้าใจ” เดชตบบ่าพร้อมพยักหน้า “งั้นไว้พรุ่งนี้เจอกัน”




   “เออ โชคดีนะมึง”




   “เออบาย” เขาโบกมือลาก่อนจะเดินลงบันไดไป




   บุ๋นเดินไปอีกทางที่จอดรถจักรยานไว้อยู่เพื่อเตรียมกลับหอ ตอนนี้ไฟที่หอกลับมาใช้ได้เป็นปกติแล้ว ทั้งๆที่ความจริงเขาอยากจะให้มันเสียนานกว่านี้หน่อยแต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เป็นใจ




   โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นจนทำให้เขาหยุดเดินเพื่อดูสายที่โทรเข้ามา ทันทีที่เห็นรายชื่อความหงุดหงิดที่มีอยู่ก็หายไปเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม


   
   คิดถึง



   รายชื่อที่แอบเมมไว้ไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งเจ้าของเบอร์ อาจจะดูเสี่ยวแต่มันเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับเขา เพลงในสมัยเมื่อหลายปีก่อนทำให้เขาเลือกที่จะเมมชื่อหมอฐานทัพด้วยชื่อนี้




   ทุกครั้งที่โทรหาหมายถึง…กำลังคิดถึง




   ทุกครั้งที่หมอโทรมาหาหมายถึง…ความคิดถึงกำลังเดินทางมา




   “สวัสดีครับ ขอสายใครครับ” เสียงเก้ๆกังๆเอ่ยขึ้นเมื่อกดรับสาย รู้สึกมือเต็มไปด้วยเหงื่อ




   ปกติก็คุยกันบ่อย แต่ไม่เคยคุยโทรศัพท์ด้วยกันเลยสักครั้ง




   ( ขอสายคนโทร )




   “ผะ…ผมเอง ครับ” จะตะกุกตะกักทำไมวะบุ๋น!!




   ( ใคร ) ฐานทัพถามกลับมานิ่งๆ




   “น้องบุ๋นไงครับ”




   ( น้อง? ) ฐานทัพถามกลับ บุ๋นรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย




   น้องบุ๋น…แต๋วชะมัด พูดไปได้ไงวะ




   “บุ๋นเองครับ”




   ( อืม ว่าไง )




   “คะ…คือ มือมันไปกดโดน…แต่แบบว่า…ผม คือ”




   ( กำลังจะออกไปหาอะไรกิน ) ฐานทัพเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ ( หิวไหม )




   “หิวครับ!!!” ตอบกลับไปทันทีโดยลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ติดอ่างมากแค่ไหน บุ๋นยิ้มกว้าง หัวใจของเขาเหมือนมีเลือดเข้ามาสูบฉีดอีกครั้งหลังจากที่ผ่านสมรภูมิรบในห้องสอบมา




   ( อืม เจอกันที่ร้านอาหารตามสั่งหน้ามอ )




   “ครับผม” บุ๋นตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ขาทั้งสองข้างรีบเดินลงบันไดเพื่อไปให้ถึงที่หมายตามที่หมอฐานทัพบอกไว้ให้เร็วที่สุด




   บุ๋นเดินผิวปากไปพร้อมกับเดินไปไขโซ่กุญแจจักรยานที่จอดอยู่หน้าตึกสอบ วันนี้เป็นวันที่นักศึกษาแน่นไปทั่วบริเวณ อาจเพราะเป็นวันสอบวันแรก




   จักรยานคันเก่งปั่นไปตามทางเพื่อไปหาจุดมุ่งหมายแห่งความสุข บุ๋นรู้สึกว่าหมอมีอิทธิพลกับตัวเขามาก ยิ่งเวลาที่เครียดๆแค่ได้ยินเสียงแค่ได้คิดถึงเรื่องทุกอย่างก็ดูเบาลงในทันที แบบนี้จะให้เขาห่างจากหมอฐานทัพได้ยังไง




   บุ๋นจอดรถจักรยานไว้หน้าร้านอาหารตามสั่ง สายตากวาดมองโต๊ะในร้านเพื่อหาร่างของอีกคนแต่ดูเหมือนคนที่เขาตามหาจะยังมาไม่ถึง บุ๋นเดินเข้าไปจองโต๊ะก่อนจะก้มหน้าฟุบลงไปอย่างคนหมดแรงอีกครั้ง




   คืนนี้จะได้นอนกี่โมงวะเนี่ย…




   ฐานทัพที่มาถึงหลังจากบุ๋นไม่กี่นาทีเดินตรงมายังโต๊ะที่เห็นคนที่มาถึงก่อนชัดเจน เขาเดินตรงเข้ามาอย่างไม่ลังเลก่อนจะลากเก้าอี้ตรงข้ามนั่งแล้วมองสภาพคนตรงหน้าเงียบๆ




   หมดสภาพจริงๆ




   “กินอะไร” เขาถามไปสั้นๆแต่กลับทำให้คนที่ฟุบอยู่เด้งตัวลุกขึ้นมาทันที




   “ครับ กินครับ!!!” บุ๋นตอบอย่างกระตือรือร้น




   “รู้ว่ากิน กินอะไร” ฐานทัพถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่เข้าใจคำถาม ดูก็รู้ว่าเหนื่อยและเพลียมาทั้งวันแต่ก็ยังมีรอยยิ้มส่งมาให้เขาเสมอ




   เหมือนทุกๆครั้ง




   “พี่สั่งก่อนเลยครับ” บุ๋นยื่นเมนูให้ก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อหาวไล่ความง่วง




   “เดี๋ยวสั่งให้” เขาสรุปเองเสร็จสรรพก่อนจะเดินไปสั่งอาหารหน้าร้านโดยไม่รอฟังเมนูอาหารจากอีกคน




   บุ๋นมองตามร่างสูงที่เดินไปสั่งพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับแก้วน้ำเปล่าสองแก้ว ฐานทัพวางแก้วน้ำที่เย็นจัดบนแขนบุ๋นจนถึงกับต้องชักแขนหนีก่อนจะมองรอยยิ้มของหมอที่ดูสนุกกับการได้แกล้งเขา





   อย่ายิ้มเลยหมอ…แค่หน้าปกติหัวใจผมก็เต้นผิดไปหลายจังหวะแล้ว





   “ดีขึ้นไหม” ฐานทัพนั่งลงอีกครั้งแล้วถามคนตรงหน้า





   “ดีมั้งครับ เย็นจัดขนาดนี้”





   “สอบเป็นยังไง”





   “พลังหมด” บุ๋นทำท่าจะฟุบหลับอีกครั้ง ทั้งๆที่เมื่อกี้ไม่ได้ง่วงนอนแต่พอมาเห็นหน้าหมอฐานทัพแล้วมันรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนไม่ต้องการอะไรอีกนอกจากได้นอนพัก




   “เงยหน้าขึ้นมา” ฐานทัพออกคำสั่ง




   “ขอสิบนาทีนะพี่”




   “บุ๋น” เขาเรียกเสียงนิ่ง “เงยหน้า”




   “ครับๆ เงยครับ” คนที่อ่อนแรงเต็มทีค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่ง




   แปะ!





   ฝ่ามือของหมอฐานทัพวางทับอยู่บนหน้าผากของเขาทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา ความเย็นจากมือของหมอส่งต่อมายังประสาทรับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี




   รู้สึกดีแปลกๆ…





   “ชาจพลัง” ฐานทัพพูดสั้นๆ





   “ครับ?” อีกคนกลับไม่เข้าใจ




   “เห็นคินทำกับแฟนบ่อยๆ”





   “…”





   “แล้วพูดว่า…ชาจพลัง”





   เขาเห็นคินทำอยู่บ่อยๆจนชินตา ทุกครั้งที่เห็นคินทำแฟนมันก็ดูมีพลังขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าได้รับพลังจริงๆหรือเป็นการอุปทานขึ้นมาเอง




   “ทำบ่อยๆกับแฟนหรอครับ” บุ๋นถามก่อนที่จะรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ใบหน้า




   แฟน…




   “อืม แฟน”




   คนที่ไม่ได้คิดอะไรตอบกลับไปหน้าตาเฉย โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองมีอิทธิพลกับคนตรงหน้าที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากความเหนื่อยล้าเป็นความสดใส




   จาก…พลังที่หมอส่งมาให้




   “งั้น…พี่คงต้องชาจพลังให้ผมบ่อยๆแล้วล่ะ”




   “ไม่” ฐานทัพปฏิเสธ “เดี๋ยวไม่ได้ผล”




   “ครับ” บุ๋นไม่ได้พูดอะไรต่อมีเพียงแต่รอยยิ้มที่ส่งให้คนตรงหน้า




   หมอจะรู้ไหมว่าทุกอย่างที่หมอทำมันได้ผลกับเขาเสมอ แม้ว่าความจริงสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากแต่มันก็ทำให้บุ๋นรู้สึกดี…เพราะคนที่ทำให้คือคนสำคัญของเขา




   ฐานทัพดึงมือกลับไปหลังจากที่เห็นคนตรงหน้ากลับมายิ้มเหมือนเดิม พอเห็นรอยยิ้มนี้แล้วรู้สึกเบาใจขึ้นเยอะแม้บุ๋นจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขากลับเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมันสามารถเพิ่มพลังให้คนตรงหน้าได้จริงๆ




   วิธีของคินได้ผล




   อาหารมาเสริฟหลังจากที่สั่งไปได้พักใหญ่ ฐานทัพยื่นจานราดหน้าไปตรงหน้าคนที่เอาแต่นั่งยิ้มก่อนจะส่งช้อนส้อมให้ คนที่เห็นจานราดหน้าทำตาโตก่อนจะมองคนตรงหน้าอึ้งๆ




   หมอจำได้…




   “ทำไม” ฐานทัพขมวดคิ้ว “ไม่ชอบหรอ?” เขาจำได้ว่าบุ๋นเคยสั่งให้เขาครั้งแรกที่ไปกินข้าวด้วยกัน ก็เลยเลือกเมนูที่บุ๋นเคยทานเพราะคิดว่าน่าจะชอบกิน




   หรือว่าเขาคิดผิด




   “เปล่าครับ” บุ๋นรีบส่ายหน้า “ผมชอบมากต่างหาก…แต่ไม่คิดว่าพี่จะจำได้”




   “จำได้” คนที่คิดไปไกลแอบถอนหายใจนิดๆ “ปกติก็เห็นกินอยู่ไม่กี่อย่าง เลยเดาว่าน่าจะชอบราดหน้า”




   “รู้ใจผมด้วย”




   “อืม เก่ง” ฐานทัพตอบกลับไปอย่างคนไม่คิดอะไรโดยไม่รู้เลยว่าความหมายที่บุ๋นต้องการสื่อในคำพูดนั้นมันลึกซึ้งกว่าที่เขาคิดไว้




   “พี่อ่านใจผมออกหรอ”




   “ไม่” เขาปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ใช่หมอดู”




   “แต่เป็นหมอฐานทัพใช่ไหมครับ” บุ๋นยิ้มบางๆ




   หมอฐานทัพ…ของบุ๋น




   “อืม” เขาพยักหน้าแล้วตอบกลับมาเสียงเบาเพราะข้าวที่เคี้ยวอยู่เต็มปากทำให้พูดไม่สะดวก




   เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอเมื่อได้อยู่กับคนที่ทำให้ยิ้มได้ตลอดเวลา บุ๋นรวบช้อนส้อมหลังจากที่ทานเสร็จแล้ว ความจริงก็อยากจะกินให้นานกว่านี้แต่ไม่อยากทำให้อีกคนเสียเวลา




   ทำไมเวลาสอบไม่ผ่านไปไวๆแบบนี้บ้างวะ




   “พี่จะไปไหนต่อครับ” คนที่ไม่อยากกลับหอถามขึ้น บุ๋นหวังแค่จะได้อยู่กับหมอฐานทัพให้นานกว่านี้





   นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคเสพติดหมอฐานทัพ ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งมีความสุข ไม่อยากจะไปไหนไกล อยากจะอยู่กับหมอนานๆ แต่ก็ไม่อยากทำให้หมออึดอัดใจ เขาเลยต้องพยายามห้ามตัวเองในการกระทำที่ไม่ควรทำ




   ซึ่งบางทีมันก็ห้ามยาก




   “หอสมุด”




   เป็นปกติของฐานทัพที่มักจะไปใช้บริการหอสมุดในการอ่านหนังสืออยู่เสมอเพราะความสะดวกสบายและความเงียบที่เขาต้องการ เสียงรบกวนน้อยกว่าอ่านที่หอพักนักศึกษา แม้ว่าในบางชั้นของหอสมุดจะมีเสียงรบกวนบ้างแต่ไปนั่งตากแอร์ก็ยังดีกว่านั่งอ่านหนังสือกับพัดลม




   “ผมไปด้วยดิ อยากไปนอนแอร์เย็นๆ”




   “อืม นัดคินกับป้องไว้” ฐานทัพเตรียมจะลุกไปจ่ายเงิน “ไปได้”




   “พี่คินหรอ…” บุ๋นถึงกับชั่งใจเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนสนิทหมอฐานทัพ




   ความจริงเขาไม่มีปัญหาอะไรแต่กับพี่คินเขาไม่มั่นใจ เพราะครั้งที่เคยเจอกันเหมือนพี่คินจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับหมอฐานทัพและมันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาไปกับหมอในวันนี้





   ไม่อยากให้ความแตก…ไม่อยากให้หมอฐานทัพรู้สึกอึดอัด




   “ผมไม่ไปดีกว่า ไปก็กวนพวกพี่เปล่าๆ”




   “ตามใจ” ฐานทัพพยักหน้า เขาไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ในเมื่อบอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผลให้มากความเพราะเขารู้ว่าบุ๋นก็มีเหตุผลของบุ๋น




   “อ่านหนังสือเผื่อผมด้วยนะ”




   “อ่านเผื่อได้หรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆ




   “ได้สิครับ อ่านแล้วก็ชาจพลังให้ผมแบบเมื่อกี้” บุ๋นยิ้มกว้าง




   อยากแบตเสื่อมจะได้โดนชาจพลังบ่อยๆ





   “คนขี้เกียจ” แม้จะพูดเชิงตำหนิแต่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกแย่ กลับกันยิ่งทำให้บุ๋นยิ้มกว้างกว่าเดิม





   อย่างน้อยในคำพูดนั้นก็มีรอยยิ้มเล็กๆของหมอให้เขาได้เห็น




   ชื่นใจว่ะ





   ทั้งสองเดินออกมาจากร้านหลังจากจ่ายค่าอาหารเสร็จ บุ๋นเดินช้าลงกว่าปกติ อาจเพราะเขายังรู้สึกไม่อยากกลับไปอ่านหนังสือต่อถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีสอบ




   บุ๋นอยากอยู่กับหมอ…




   “เดินจงกรม?” ฐานทัพหันมาถามเมื่อเห็นบุ๋นเดินช้าราวกับคนเดินสมาธิ





   “โหพี่” บุ๋นหัวเราะออกมาก่อนจะรีบเดินมาหยุดอยู่ข้างๆหมอฐานทัพ “ผมแค่ยังไม่อยากกลับไปอ่านหนังสือ”





   “อ่านซะ” เขาตอบกลับ “สั่ง”





   “โห เดี๋ยวนี้สั่งผมเลยหรอ”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “ทำไม”




   “เปล่าครับ อ่านครับบบบ~” บุ๋นลากเสียงยาวอย่างคนอารมณ์ดี




   ถึงจะไม่อยากอ่านหนังสือแต่ในเมื่อโดนสั่งมาจากคุณหมอฐานทัพ มีเหรอที่คนอย่างบุ๋นจะไม่ทำให้ แม้จะขี้เกียจอยู่มากแต่ก็จะทำ




   ไม่ทำให้หมอผิดหวัง




   แต่เรื่องคะแนนไม่เกี่ยวกัน…อันนั้นตามบุญวาสนาที่ทำมา




   “พรุ่งนี้พี่ตั้งใจสอบนะครับ สู้ๆ ผมเชื่อว่าพี่ทำได้” บุ๋นชูกำปั้นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง




   “ขอบคุณ” ฐานทัพเลือกที่จะพูดคำว่าขอบคุณแทนคำตอบรับแบบเดิมๆ เขายิ้มนิดๆก่อนจะพูด “ตั้งใจเหมือนกัน”




   “ครับ ผมจะตั้งใจนะ”




   “ดีมาก”





   “ไม่ชาจพลังแล้วหรอ” เขาถามอย่างเด็กนึกเสียดาย ถึงหมอทำวันละสิบรอบเขาก็ไม่เบื่อ กลับกันเขายิ่งชอบ




   “พอ” ฐานทัพส่ายหน้า “เดี๋ยวไม่ขลัง”




   “โหพี่…พูดซะเหมือนหมอปลุกเสก”




   “ไม่ใช่…นี่หมอฐานทัพ”





   “ครับ” บุ๋นยิ้ม “นี่ก็บุ๋น” เขาชี้มาที่ตัวเอง




   “จะไปละ” ฐานทัพเตรียมจะขึ้นรถจักรยานปั่นออกไปหลังจากที่ยืนคุยกันมาได้สักพัก




   “มาๆ เดี๋ยวผมชาจพลังให้พี่” บุ๋นยื่นมือทำท่าเลียนแบบฐานทัพที่ทำกับเขาแต่หมอฐานทัพเอี้ยวตัวหลบมือของเขาก่อนที่จะโดนหน้าผาก




   “บุ๋น” เสียงดุๆที่เรียกทำเอาคนขี้เล่นแอบสะดุ้ง





   “ผมขอโทษครับบบ~”




   “อืม ไปละ”





   “เจอกันพรุ่งนี้นะครับ เดี๋ยวผมซื้อแครอทไปให้”




   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆ “อย่าลืมนะ”





   พอได้ยินคำว่าแครอทคนที่ชอบกินเป็นชีวิตจิตใจถึงกับตาเป็นประกาย ฐานทัพย้ำบุ๋นเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดให้ดีใจเล่น ทั้งที่แครอทก็หาซื้อได้ตามทั่วไป แต่เขากลับรอแครอทจากบุ๋น แม้รสชาติไม่ได้แตกต่างกัน แต่กลับรู้สึกว่ามันต่าง




   อาจเพราะ…




   ฟรีมั้ง




-------------------------------------------------
มาแล้วจ้าาา คิดถึงกันไหมมมมมม >______<  :z2: :z3:

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เพราะฟรี5555555555หมอจะน่ารักไปไหนเนี่ยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ janny_j

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 หมออออออออ รู้ตัวสักทีค่ะ เราลุ้นจนเหนื่อย หมอซึนมากอะ 5555 น่ารักได้อีก มาต่อเร็วมากเลย ขอบคุณคนเขียนนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1


   หอสมุดถูกจับจองเต็มทุกโต๊ะแม้ว่าบางโต๊ะจะไม่มีคนนั่งแต่ก็มีของวางอยู่เต็มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ามีคนจอง ดีที่คินกับปกป้องมาจองที่ไว้ก่อนเลยทำให้ไม่ต้องเดินหาโต๊ะว่างให้วุ่นเหมือนหลายๆกลุ่มที่ตั้งใจเข้ามารับแอร์เย็นๆและบรรยากาศสงบๆในหอสมุด



   “ไง มาสายนะไอ้หมอ” คินที่พึ่งถอดแว่นตาหันมาทักผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาถึงโต๊ะ




   “กินข้าวมา” ฐานทัพตอบพร้อมวางหนังสือที่ถือเข้ามาอ่านไว้ข้างๆปกป้องที่มีที่นั่งว่างอยู่




   “อ่ออออออ”




   “เลิกอ่อแล้วอ่านต่อ” ปกป้องที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมาบอกเสียงนิ่ง จะสอบวันพรุ่งนี้อยู่แล้วไอ้คินยังอ่านไปได้รอบเดียว




   “เออรู้แล้วครับไอ้เพื่อน” พอโดนดุคนที่กำลังมีความสุขก็กลับมาทำหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง แม้จะรู้สึกลายตาแต่ก็ต้องหยิบแว่นขึ้นมาสวมใส่เพื่ออ่านหนังสือต่อ




   ง่วง




   “วันนี้อยู่ถึงดึกเลยปะ” ปกป้องหันมาถามฐานทัพที่กำลังจัดเตรียมของออกมาเพื่อจดสรุป




   “ได้หมด”




   “อืม ถ้าดึกมากเดี๋ยวกูขับรถไปส่งมึงที่หอ”




   “อืมๆ” ฐานทัพรับคำสั้นๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อตั้งโหมดปิดเสียงและปิดการแจ้งเตือน




   หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏข้อความใหม่ที่ส่งเข้ามาที่เบอร์ของเขาเมื่อสามนาทีที่แล้ว ข้อความสั้นๆแต่หากทำให้คนที่อ่านยิ้มออกมาบางๆ




   จาก…คนส่งแครอท
   พี่อยากได้แครอทหรือเบบี้แครอทครับ? ผมจะได้ซื้อไปให้ถูก
   ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ อย่ามัวแต่คิดถึงแครอทล่ะ :)




   ชื่อที่พึ่งเมมเข้าเครื่องเมื่อวาน มองแค่ปราดเดียวก็รู้เลยว่าชื่อนี้หมายถึงใคร แม้ว่าจะเมมชื่อแบบธรรมดาก็ได้แต่ฐานทัพเลือกที่จะเมมต่างออกไป



   เพราะ…บุ๋นเหมาะกับชื่อนี้จริงๆ




   “ยิ้มไรวะ ทำตัวแปลกๆนะไอ้หมอช่วงนี้” คินที่ยังไม่มีสมาธิกับหนังสือตรงหน้าทักขึ้น




   “ยุ่ง” ฐานทัพตอบกลับสั้นๆ




   “โอเคครับ เพื่อนคินขอโทษ” คินหัวเราะออกมานิดๆก่อนจะก้มลงไปสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ





   ฐานทัพพิมพ์ข้อความกลับไปสั้นๆก่อนจะกดส่งไปแล้วปิดมือถือลงหลังจากที่ตั้งค่าปิดเสียงปิดการแจ้งเตือนเสร็จหมดแล้ว



   
   จาก…คิดถึง
   เบบี้แครอท





   ข้อความสั้นๆที่ตอบกลับมาหากแต่ทำให้ผู้อ่านยิ้มกว้าง บุ๋นไม่คิดว่าหมอฐานทัพจะตอบกลับมา เขาก็แค่ลองส่งไปถามทั้งๆที่ความจริงเขาตั้งใจจะซื้อไปให้หมอฐานทัพทั้งสองแบบ




   อืม…งั้นซื้อเบบี้แครอทก็ได้



.


   ข้อสอบวันนี้ค่อนข้างดีกว่าเมื่อวานในการทำความเข้าใจ บุ๋นเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับรอยยิ้มต่างจากวันแรก เขารู้สึกว่าเขาทำได้และมั่นใจกว่าวิชาเมื่อวาน ขาทั้งสองข้างก้าวไปที่ร้านขายของที่คณะของตัวเองเพื่อซื้อแครอทให้อีกคนตามสัญญา




   เขาไม่ลืม จำได้แม่นยำ




   “เบบี้แครอทวันนี้เหลือถุงเดียวพอดีเลยค่ะ” พนักงานที่เห็นหน้าบุ๋นบ่อยจนจำได้เอ่ยทักทายเมื่อเห็นร่างของบุ๋นเดินเข้าร้าน




   “เกือบมาไม่ทัน” บุ๋นหันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเหมือนทุกครั้งก่อนจะเดินไปหยิบถุงแครอทถุงสุดท้ายแล้วจ่ายตัง




   ถึงแครอทจะไม่ได้ดูอ้วนมากแต่ก็น่ากินไม่แพ้ครั้งก่อนๆ




   บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัยว่าทำไมหมอฐานทัพถึงได้ชอบแครอทมากขนาดนี้เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกชอบอะไรมากมาย แต่ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของหมอฐานทัพเวลาได้รับแครอทมันทำให้เขามีความสุข จะให้เหมาแครอททั้งไร่ให้หมอเขาก็ทำได้




   “สงสัยจะชอบแครอทมากนะคะ” พนักงานประจำอดที่จะเอ่ยแซวไม่ได้




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆ




   ไม่ได้ชอบแครอท ชอบคนที่กินแครอทมากกว่า




   จักรยานจอดลงหน้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่มีผู้คนแน่นกว่าปกติ อาจเพราะเป็นวันสอบเลยทำให้ที่คณะเต็มไปด้วยนักศึกษาจับจองที่นั่งกันอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องสอบ บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดส่งข้อความไปหาเจ้าของแครอท ตั้งแต่ที่ได้เบอร์มาก็รู้สึกว่าอะไรๆก็ดูสะดวกสบายมากขึ้น บุ๋นมองโทรศัพท์ที่ไม่มีข้อความตอบกลับก่อนจะปิดโทรศัพท์ลง



   เลือกที่จะส่งข้อความเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสอบเสร็จกี่โมง



   บุ๋นยืนรอห่างจากตัวคณะออกมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกเขินที่ต้องอยู่ในวงของคุณหมอหลายๆคน แม้ว่าทุกคนจะสนใจหนังสือตรงหน้าแต่การที่มาต่างคณะก็ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน




   คณะแพทย์ดูใหญ่กว่าคณะเขาเกือบสองเท่า อาจเพราะมีนักศึกษาในแต่ละปีค่อนข้างเยอะและจำเป็นที่จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับวิชาต่างๆเลยทำให้ตึกของคณะแพทย์สูงหลายชั้นกับความทันสมัยที่แตกต่างจากคณะของเขาโดยสิ้นเชิง



   เทียบดูดีๆแล้ว เขากับหมอก็ต่างกันมาก ทั้งความรู้…ขนาดตึกของคณะยังต่างกันราวฟ้ากับเหว



   บุ๋นนึกตลกก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ ถึงจะดูไม่คู่ควรแต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาไม่ปล่อยให้มันจบลงแบบครึ่งๆกลางๆแน่นอน




   ถ้าคิดจะจีบ…ก็จะจีบจนกว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวและยอมรับในความรู้สึกที่เขามอบให้




   และคนๆนั้นก็คือหมอฐานทัพ




   ฐานทัพเดินออกมาจากห้องสอบก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ข้อสอบยากกว่าที่คิดไว้แต่ก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้ แค่ไม่มั่นใจสองถึงสามข้อ เขานวดคออย่างเมื่อยล้าก่อนจะหันไปมองเพื่อนที่พึ่งเปิดประตูออกจากห้องสอบตาม



   “เป็นไง” คำถามแรกหลุดออกมาจากปากปกป้องที่สภาพไม่ต่างจากเขา




   “พอได้” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะถามต่อ “มึงล่ะ”




   “อืม ยากกว่าที่คิดไว้” ปกป้องยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปหาคินที่เดินตามออกมาติดๆ “ว่าไง เอาเอรึเปล่า”




   “มึงไม่เคยได้ยินเพลงนี้หรอวะ...ที่หนึ่งไม่ไหว ฉันเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง~” คินร้องเพลงออกมาอย่างอัดอั้น ถ้าให้เทียบกันความรู้ของเขาคงน้อยกว่าเพื่อนสนิทอีกสองคน




   แต่ก็แค่นิดเดียว




   “แล้วจะไปไหนต่อปะวะ” คินถามต่อ




   “ดูเวลา” ฐานทัพพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโดยลืมไปว่าตัวเองใส่นาฬิกาข้อมืออยู่




   หน้าจอบอกเวลาเที่ยงครึ่งพร้อมกับข้อความที่เรียกความสนใจจากเขาไปได้มากพอสมควร ฐานทัพอ่านข้อความในมือถือปราดเดียวก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองคนที่รอคำตอบ




   “เที่ยงครึ่ง”




   “ไปกินข้าวกันปะ แล้วค่อยแยกย้าย” คินเสนอ




   “อืม ก็ได้ มึงเอาไง” ปกป้องหันมาถามฐานทัพที่เงียบไป




   “อืม ได้” เขาตอบสั้นๆ “เดี๋ยวตามไป ไปเอาของก่อน”




   “ของอะไรวะ” คินถามอย่างคนขี้สงสัย




   “แครอท” ฐานทัพตอบกลับสั้นๆก่อนจะก้าวออกไปไม่รอฟังเสียงเรียกของคินที่ดังตามหลัง


   
   จาก…คนส่งแครอท
   แครอทมาแล้วครับ ผมรอพี่อยู่หน้าคณะนะ
   ปล.ร้อนมากเลย




   ฐานทัพรีบก้าวเท้าเพื่อที่จะไปถึงหน้าคณะให้เร็วที่สุด แสงแดดตอนกลางวันสาดส่องจนเขารู้สึกแสบตา ในใจหวังแค่ว่าบุ๋นคงจะไม่ยืนตากแดดรอเขา ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงหน้าคณะสายตาก็หยุดลงที่ร่างสูงกับถุงแครอทในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง สายตาจับจ้องไปที่ถุงแครอทในมือราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่




   เขารู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายของตัวเอง แม้ว่าจะเคยเห็นรอยยิ้มของบุ๋นหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป รู้สึกเหมือนบุ๋นไม่ได้ยิ้มให้แครอท




   แต่ยิ้มให้เขา…




   “รอนานไหม” ทันทีที่เดินมาถึงก็เอ่ยปากถามคนตรงหน้าออกไปทันที




   “มาแล้วหรอครับ” บุ๋นที่เหม่อมองถุงแครอทรีบละสายตาแล้วเบนสายตามามองที่ฐานทัพแทน “ไม่นานครับ”




   “ทำไมไม่เข้าไปรอข้างใน” เขาถามอย่างนึกสงสัย ปกติที่เคยมาบุ๋นก็มักจะเข้าไปรอข้างในคณะเขาอยู่เสมอ




   “คนเยอะ ผมไม่ค่อยชอบ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะยื่นถุงแครอทในมือให้คนตรงหน้า “เหลือถุงสุดท้ายพอดีเลย เกือบอดกินแล้วนะ”




   “อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้ “ขอบคุณ”



   “เต็มใจครับ” บุ๋นพูดออกไปเต็มเสียงอย่างลืมตัว




   “รู้แล้ว” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับท่าทางของบุ๋นที่ดูเต็มใจอย่างที่พูดจริงๆ นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าได้เห็นตัวตนจริงๆของคนตรงหน้ามากขึ้น




   “สอบเป็นยังไงบ้างครับ”




   “พอได้” เขาไม่เคยบอกว่าทำไม่ได้เพราะจริงๆเขาพอทำได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาไหนก็ตาม “สอบเป็นไง”




   “ก็ดีกว่าเมื่อวานครับ” บุ๋นยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เหลืออีกแค่สี่วิชา “แล้วพี่จะกลับเลยรึเปล่าครับ”




   “ไปกินข้าวกับเพื่อน”




   “อ่อ” บุ๋นพยักหน้าเข้าใจ “งั้นผมไม่กวนแล้วดีกว่า พี่จะได้รีบไป”




   “ชวน” ฐานทัพพูดออกมาสั้นๆแต่ทำให้คนฟังถึงกับหันมามองหน้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่าเมื่อกี้คือคำที่ฐานทัพพูดออกมาจริงๆ




   หมอชวนเขา…




   แต่ว่า…พี่คิน…




   ไม่สนแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!




   “ชวนผมหรอ” บุ๋นชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง




   “ชวนแครอท”




   “โหพี่…”




   “ชวนบุ๋น” ฐานทัพขยายความเพิ่ม “ไปไหม” เขาถามอีกครั้ง




   “ไปครับ ไปอยู่แล้ววววววววว~” บุ๋นตอบออกมาอย่างร่าเริง เขายิ้มอย่างคนยิ้มเก่งหากแต่ทำให้อีกคนต้องคอยเบนสายตาไปทางอื่น




   เกินไปแล้ว




   รู้สึกไม่เป็นตัวเองมากเกินไป




   เป็นอะไรไป…ฐานทัพ

.


   ร้านสเต็กหน้ามหาลัยเต็มไปด้วยนักศึกษาจากคณะต่างๆนั่งตั้งแต่หน้าร้านจนเลยออกมานอกร้าน ด้วยความที่เป็นร้านแอร์และสะอาดถูกหลักอนามัยเลยทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษา บุ๋นเดินตามฐานทัพเข้ามาในร้านที่เพื่อนทั้งสองคนจองกันไว้ก่อน พอเห็นพี่คินกับพี่ปกป้องบุ๋นก็รีบยกมือขึ้นไหว้อย่างน้องเคารพรุ่นพี่




   “ว่าไงไม่ได้เจอกันนานเลยนะมึง” คินทักทายราวกับรู้จักกันมานานก่อนจะหันไปมองปกป้องที่ยังดูไม่เข้าใจเรื่องราวสักเท่าไหร่ “เด็กวันนั้นไง ที่เขียนหน้าไอ้หมอ”




   “เออ รู้แล้ว” ปกป้องตอบกลับมาก่อนจะยิ้มให้บุ๋นนิดๆ




   “แล้วมาด้วยกันได้ไงวะ” คินยังคงไม่เข้าใจเรื่องราว “ไหนมึงบอกว่าจะไปเอา…”




   “สั่งอาหาร” ฐานทัพพูดตัดบทก่อนจะยื่นเมนูให้เพื่อนที่ยังไม่ได้สั่งอาหาร



   ถามมาก



   “เออๆ”



   พนักงานมารับเมนูไปก่อนจะเดินไปรับเมนูจากโต๊ะอื่นต่อ วันนี้ร้านค่อนข้างแน่นเลยทำให้อาหารที่ได้ล่าช้ากว่าปกติไปนานพอสมควร



   “ข้อสอบวันนี้ยากมาก กูนี่แทบไมเกรนขึ้น” คินบ่นออกมาระหว่างรออาหาร




   “ถ้าอ่านเยอะก็ทำได้” ปกป้องตอบกลับมานิ่งๆ “มึงมัวแต่เล่น”




   “เอ้า แต่กูก็ทำได้นะเว้ยยย!” ถึงจะเล่นแต่ก็อ่าน ถึงแม้จะอ่านน้อยกว่าเพื่อนคนอื่นก็ตาม “มึงทำได้ปะไอ้หมอ”




   “พอได้” คนที่โดนถามตอบกลับมาทันที “อ่านเยอะๆ”




   “เออรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำโว้ยยยย” คินรู้สึกเหมือนตัวเองโดนรุม เขาถอนหายใจหนักๆแล้วหันไปถามคนที่นั่งเงียบฟังพวกเขาคุยกัน “สอบปะวะวันนี้ เออก็ต้องสอบดิใส่ชุดนักศึกษา”




   “สอบครับ” บุ๋นยิ้มรับ “ข้อสอบไม่ยากเท่าเมื่อวาน”




   “เออ เจ็บไปอีก” ไม่ต้องถามก็ได้รับคำตอบกลับมาทันที คินเลิกถามเรื่องสอบก่อนจะหันไปถามเรื่องที่ตัวเองยังค้างคาใจ “ตกลงมาด้วยกันได้ยังไงวะ”




   “ชวน” ฐานทัพเป็นฝ่ายตอบแทน




   “มึงชวนใครเป็นด้วยหรอไอ้หมอ” คินรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก ปกติเขาไม่ค่อยเห็นฐานทัพเอ่ยชวนใคร ช่วงนี้เพื่อนดูแปลกๆไป




   “อืม เป็น”




   “ถือว่าเป็นบุญของมึงนะ ปกติไอ้หมอมันไม่ค่อยชวนใคร” คินหันไปพูดกับบุ๋นที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่




   ไอ้เด็กนี่จะยิ้มไปถึงไหนวะ…รู้ว่าหน้าตาหล่อ แต่หมั่นไส้โว้ยยย!!




   “ผมต้องทำบุญมาเยอะมากแน่ๆเลย” บุ๋นตอบกลับ



   “เออ ระดับนึงเลยล่ะ” คินหัวเราะก่อนจะหันไปหาปกป้องที่ได้แต่นั่งเงียบ “มึงไม่พูดอะไรหน่อยวะ”




   “กูเหนื่อย” ปกป้องตอบกลับ “แล้วก็ไม่ได้ขี้สงสัยเหมือนมึง”




   “ว่ากูอีก” คินตีไหล่ปกป้องก่อนจะปล่อยให้เพื่อนอยู่เงียบๆ




   สงสัยมันคงเหนื่อยจริงๆ




   “ว่าจะถามนานละ” คินพูดต่อเมื่อเห็นโต๊ะเงียบ ปกติเขาก็พูดคนเดียวจนชินไปแล้วเพราะเพื่อนอีกสองคนชอบตอบกลับมาด้วยประโยคเดิมๆซ้ำๆ “ตกลงจีบติดยัง หมอที่มึงจีบอะ”




   “ครับ?!” คำถามที่ไม่คิดว่าจะถามออกมาตรงๆทำให้คนที่กำลังดื่มน้ำอยู่สำลักน้ำ “พี่ถามว่าอะไรนะครับ”




   “ตกใจอะไรขนาดนั้นวะ” คินสงสัย “แค่ถามว่าตกลงจีบติดรึยัง”




   “ยังมั้งครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ “เขาไม่เห็นว่าไง”




   “เอ้า แล้วบอกเขาไปไหมว่าจีบ” คินแอบอมยิ้มนิดๆ




   “ไม่ครับ ไม่ได้บอก” บุ๋นส่ายหน้า “เดี๋ยวเขาก็รู้เอง”




   “บางทีอาจจะไม่รู้ก็ได้” คินเบนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างๆบุ๋นที่ดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน




   ถ้าเขาเดาไม่ผิด…




   “หมอบางคนก็ฉลาดแค่เรื่องเรียน”




   “…”




   “เรื่องความรู้สึก…มันโง่”




   ฐานทัพที่นั่งเงียบอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตาคินนิ่งๆราวกับรู้สึกว่าเขาโดนด่าอยู่ ทั้งๆที่คินไม่ได้พูดชื่อแต่สายตาที่จับจ้องมาที่เขานั่นก็เพียงพอที่จะเดาได้




   “อืม ก็จริง” ฐานทัพพยักหน้าเห็นด้วย อย่างน้อยก็มีเขาคนนึงที่โง่เรื่องความรู้สึก




   “มึงรู้แล้วหรอว่าหมายถึงใคร” คินรู้สึกประหลาดใจที่เพื่อนสนิทดูเข้าใจง่ายกว่าทุกครั้ง




   “ไม่รู้” ฐานทัพส่ายหน้า “แค่เห็นด้วย”




   เรียนหมอก็หนักมากพออยู่แล้ว จะให้มาเข้าใจเรื่องความรู้สึกก็ดูจะยุ่งยากไปนิด เขาขมวดคิ้วงงเล็กน้อยเมื่อเห็นคินถอนหายใจหนักๆแล้วยีหัวตัวเองอย่างขัดใจ




   อะไรของมัน




   “มึงนี่มันฐานทัพจริงๆ” คำพูดที่แฝงไปด้วยคำบ่นปนแอบด่าหลุดออกมาจากปากของคิน การที่พูดว่ามึงนี่มันฐานทัพจริงๆในความหมายของเขาก็คือ ฐานทัพเป็นคนความรู้สึกช้าและมักไม่รู้สึกถ้าไม่พูดออกมาให้รับรู้




   “อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ” เสียงจากพนักงานขัดบทสนทนาให้หยุดลง กลิ่นหอมของเสต็กทำให้คินลืมเรื่องที่พูดไปก่อนหน้าทันที




   “กินละนะ” คนที่หิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพูดพร้อมหยิบมีดขึ้นมาตัดเสต็ก




   “เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆหลังจากที่เห็นว่าบทสนทนาเรื่องของเขาจบลง ที่นั่งเงียบไม่ใช่เพราะไม่มีเรื่องพูด แต่เพราะเขินจนไม่กล้าพูด ยิ่งเห็นสายตาของพี่ปกป้องที่มองมาเหมือนรู้ว่าที่พี่คินพูดหมายถึงอะไรเขาก็ยิ่งประหม่า




   ถ้าถามตอนนี้ว่าอยากให้หมอรู้ไหมเขาเองก็ตอบไม่ได้ มันมีทั้งอยากและไม่อยาก




   กลัวว่าถ้าหมอรู้…หมอจะเปลี่ยนไป




   ทั้งโต๊ะเลยเหลือเพียงแค่เพื่อนสามคนกับจานเสต็กที่มาเสริฟ ความค้างคาใจในสิ่งที่คินพูดทำให้ฐานทัพเลือกที่จะถามออกไป




   “ตกลงใคร” แม้ปกติจะไม่ได้สนใจเรื่องราวของคนอื่นแต่พอเป็นบุ๋นเขากลับรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาเฉยๆ




   “อะไรใครวะ” คินที่ลืมเรื่องที่พูดไปถามออกมาก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงดัง “อ่ออออออออออ”




   “อืม”




   “มึงคิดว่าใคร” กลับกลายเป็นคินที่ถามกลับมา ทำเอาคนที่ถามถึงกับอยากจะพ่นคำด่าออกมา ที่เขาถามเพราะเขาไม่รู้




   “ไม่รู้”




   “แล้วอยากรู้ไปทำไมวะ”




   คำถามของคินที่ถามกลับมาทำเอาคนที่ถามไปก่อนหน้าถึงกับชะงักมือที่กำลังตัดสเต็ก ฐานทัพเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนช้าๆ




   นั่นสิ…อยากรู้ไปทำไม




   “ช่างเถอะ” ฐานทัพบอกปัดในเมื่อเขาตอบคำถามของคินไม่ได้เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากรู้




   “ดูไม่ออกจริงๆหรอวะ” คินอดที่จะสงสัยไม่ได้ แม้จะยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นแต่เขาก็พอดูท่าทางออก





   “ไม่ได้เป็นหมอดู” ฐานทัพตอบกลับกวนๆ




   “เออครับไอ้หมอ” คินหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะหันไปหาปกป้องที่เงียบนานเกินไป “เออมึง งานสัปดาห์หนังสือตรงกับวันสอบวันสุดท้ายเราพอดี สนใจไปปะ”




   “อืม เอาดิ” ปกป้องพยักหน้า “ว่าจะไปหาหนังสือแปล”




   “แล้วมึงไปปะไอ้หมอ” คินหันมาถามฐานทัพที่ดูเหม่อลอยไปไกล



   “อืม ไป”




   “แล้วมึงไปปะ” เป็นเวลาเดียวกันกับที่บุ๋นเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพอดีคินเลยถือโอกาสเอ่ยปากชวน




   “ไปไหนหรอครับ” บุ๋นถามกลับ พอเดินมาถึงโต๊ะพี่คินก็พูดประโยคชวนโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง




   “งานสัปดาห์หนังสือ จัดวันสอบเราวันสุดท้ายพอดี”




   “อ่อ” บุ๋นพยักหน้าเข้าใจ ปกติเขาก็ไม่ได้ชอบอ่านหนังสืออะไรขนาดนั้น บุ๋นกำลังจะพูดต่อแต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของฐานทัพที่มองมาแว๊บหนึ่งเขาจึงเปลี่ยนความคิด “ไปครับ”




   “เออ แต่แยกเดินนะ เดินด้วยกันคงไม่ถึงไหน” คินอธิบายต่อ “ยิ่งเดินกับไอ้หมอกูยิ่งไม่เดิน” คินส่ายหน้ารัว




   เขาเคยไปเดินงานสัปดาห์หนังสือด้วยกันบ่อยและทุกครั้งที่ไปเขาก็มักจะแยกกันเดินทุกครั้งเพราะแต่ละคนมีความชอบในหนังสือไม่เหมือนกัน แถมไอ้หมอฐานทัพเป็นคนที่เลือกหนังสือนานและกว่าจะเลือกได้สักเรื่องก็จะต้องยืนอ่านจนกว่าจะรู้สึกว่าคุ้มค่าถึงจะซื้อกลับมา ฐานทัพเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเดินงานหนังสือทั่วทั้งงานเพราะมัวแต่แวะและใช้เวลากับบูธนานมากจนคินกับปกป้องเข็ดที่จะเดินด้วย




   “กินไป” ฐานทัพรู้สึกว่าคินพูดมากกว่าทุกวัน อาจเพราะมีเพื่อนคุยอย่างบุ๋นเลยทำให้คินเล่าเรื่องต่างๆออกมาหมด




   “ครับ แยกเดิน” บุ๋นยิ้มรับนิดๆ




   หลังจากที่ใช้เวลากินกันพอสมควรก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในวิชาถัดไป บุ๋นยกมือไหว้พี่คินกับพี่ปกป้องเหมือนทุกๆครั้งที่เจอพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า การได้มานั่งแลกเปลี่ยนความคิด พูดคุยกันเรื่องต่างๆทำให้เขารู้ว่าคนเรียนหมอก็ชอบอะไรไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป เพียงแค่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนเท่านั้น




   “ไว้สอบเสร็จไปเล่นเกมกัน” คินเอ่ยทิ้งท้ายหลังจากที่รู้ว่าบุ๋นก็เล่นเกมเดียวกับที่เขาชอบเล่น




   “ได้เสมอครับ” บุ๋นยิ้มตอบ




   รถมอเตอร์ไซค์ของพี่คินขับออกไปพร้อมกับพี่ปกป้องก่อนที่บุ๋นจะหันกลับไปหาฐานทัพที่เตรียมจะเดินไปที่รถจักรยานที่จอดไว้ในมหาลัย




   “พี่กลับไปอ่านหนังสือต่อใช่ไหมครับ”



   “อืม” ฐานทัพตอบรับสั้นๆ สายตาทอดมองถนนที่มีรถขับผ่านไปมา




   “สู้ๆนะครับ”




   “อืม” ฐานทัพตอบสั้นๆ ไม่ว่าจะทำใจให้สงบยังไงคำถามที่ถามคินก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่หลุดออกไปสักที




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” บุ๋นถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นฐานทัพตอบกลับมานิ่งๆ




   เขาทำอะไรให้หมอไม่พอใจอีกรึเปล่า




   “เปล่า” เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ข้ามถนน” ฐานทัพพูดพร้อมกับก้าวขายาวๆเพื่อให้ทันกับรถที่กำลังขับผ่านมา




   บุ๋นเดินตามร่างสูงที่เดินไวกว่าเขาหลายก้าว แม้จะเดาอารมณ์ของหมอไม่ได้แต่เขารู้สึกว่าหมอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ปกติหมอฐานทัพจะเดินช้าพอๆกับเขาเสมอ แต่วันนี้หมอเดินไวเกินไปคล้ายกับคนกำลังต้องการหนี…




   หนีงั้นหรอ




   บุ๋นหยุดฝีเท้าลงหลังจากที่ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัว รอยยิ้มค่อยๆจางหายไปพร้อมกับความรู้สึกในใจ เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดไป หรือว่าหมอจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกับหมอ




   หรือว่าหมอจะรังเกียจ




   ความคิดทุกอย่างวิ่งวุ่นไปมาจนทำให้เขาเห็นหมอเดินออกไปไกลขึ้นทุกที บุ๋นรู้สึกถึงหัวใจที่หนักอึ้งขึ้นมา ความรู้สึกของเขามันเอ่อล้นจนกักเก็บไว้ไม่อยู่แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามไม่ทำอะไรให้หมออึดอัด แต่ทำไมเป็นแบบนี้




   ฐานทัพหยุดเดินหลังจากที่รู้สึกเหมือนลืมคนที่เดินมาด้วยกัน ร่างสูงหันกลับไปมองทางที่เดินมาก่อนจะเห็นร่างของบุ๋นหยุดยืนนิ่งๆเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ฐานทัพตัดสินใจหมุนตัวเดินกลับไปหาโดยที่เขาเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเดินกลับไป




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนตรงหน้า “เป็นอะไร”




   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้า “ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย”





   “อืม เหมือนกัน” เขาตอบกลับไปตามความจริงก่อนความคิดเก่าๆจะแล่นเข้ามาในหัว เขาเคยบอกบุ๋นว่าอยากรู้อะไรให้ถาม




   เขาก็ควรจะถาม…




   แล้วถ้าบุ๋นตอบกลับมาว่าอยากรู้ทำไม เขาจะตอบว่ายังไงในเมื่อเขาเองก็หาคำตอบไม่ได้




   “ที่บอกว่าจีบ…จีบใคร” ฐานทัพตัดสินใจถามออกไป คำถามนี้วิ่งวุ่นจนเขาไม่เป็นอันคิดเรื่องอื่นและถ้าปล่อยให้มันค้างคาวันนี้เขาคงไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ




   “จีบ…?” บุ๋นเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะเผยออกมา




   หรือว่าที่หมอฐานทัพเงียบไปเพราะคิดถึงเรื่องนี้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเขาควรจะตอบกลับไปว่าอะไร ในเมื่อคนที่ถามคือคนที่เขากำลังจีบอยู่ ถ้าบอกออกไปตรงๆก็กลัวคนตรงหน้าจะเปลี่ยนไป




   “พี่เก็บความลับได้ไหมครับ”




   “อืม”




   “คนที่ผมจีบ…” บุ๋นระบายยิ้มกว้างเมื่อเห็นแววตาที่ดูสนใจกับคำตอบ เขาก็ยิ่งอยากจะแกล้งเล่น




   “…”




   “เขาเป็นเจ้าของรอยยิ้มของผม”





---------------------------------
อัพครบแล้วจ้าาาาาา  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Lay Kin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บุ๋นน่ารัก รักบุ๋น

ออฟไลน์ manlika

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หมออออออออออ หมอกำลังหึงใช่ไหมมมมม   :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ๊ยบิกไปเถ๊อะ ยิ่มละมุน

ออฟไลน์ janny_j

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้ยยยย ลุ้นน  รู้สักทีเถอะค่ะหมอ เราลุ้นมากๆ บอกเลย อยากให้จีบกันตรงๆสักที  :-[

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ๊ยยย ละมุน

หมอรู้สักทีเถอะค่ะ เอาใจช่วยบุ๋นสุดๆ
บุ๋นบอกไปเลย หมอเค้าไม่รู้หรอกกกกกก


หมอฐานทัพซึนมากก

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่สิบสี่



            สัปดาห์สอบผ่านไปไวเหมือนโกหกหากแต่คนที่สอบติดกันสามวิชาไม่ได้คิดแบบนั้น ร่างไร้วิญญาณเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหลังจากที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ บุ๋นยังรู้สึกช็อคกับข้อสอบวิชาสุดท้ายจนแทบพูดไม่ออก ผิดกับฐานทัพที่ดูผ่อนคลายลงมาเยอะหลังจากที่อ่านหนังสือจนนอนดึกทุกคืน



            งานสัปดาห์หนังสืออัดแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ เป็นปกติที่จะมีคนรักการอ่านมาซื้อหนังสือในงานกลับไปกักตุนไว้ ซึ่งเป็นที่แปลกตาสำหรับคนที่ไม่เคยมางานสัปดาห์หนังสืออย่างบุ๋น…เขาพึ่งเคยมาครั้งแรก



            “คนเยอะใช้ได้เลยว่ะ” คินพูดหลังจากที่เห็นบรรยากาศของงาน



            “เจอกันอีกทีสักหกโมงเย็นก็ได้” ปกป้องเสนอหลังจากดูเวลาในตอนนี้เกือบจะบ่ายโมง



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้า




            ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อเพื่อนทั้งสามคนก็แยกย้ายกันเดินราวกับเป็นเรื่องปกติทำเอาคนที่ไม่เคยมาเดินถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก บุ๋นเลือกที่จะเดินตามหมอฐานทัพเพราะเขาเองก็ไม่มีจุดมุ่งหมายจะซื้อหนังสือเล่มไหนเป็นพิเศษ



            “ผมขอเดินด้วยนะครับ” บุ๋นขออนุญาติคนข้างๆที่ไม่พูดอะไรออกมา




            “แน่ใจ?” ฐานทัพถามลองเชิง บุ๋นก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นคนเลือกหนังสือนานเหมือนที่คินเคยเล่า ถ้าเดินด้วยกันก็คงเบื่อเปล่าๆ



            “ครับ” บุ๋นยิ้ม




            ยิ้มอีกแล้ว…



            คำตอบวันนั้นกลับเข้ามาวนเวียนในหัวฐานทัพอีกครั้งหลังจากที่เขาพยายามเลิกคิดถึงมัน ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายแต่ลึกๆเขาเองก็รู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มของบุ๋น นับวันมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ



            “ตามใจ” ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธความตั้งใจของคนตรงหน้าได้ฐานทัพก็เลือกที่จะตอบตกลงเพื่อเลี่ยงการเถียงกันไปมา



            เพราะเขารู้ว่าสุดท้ายบุ๋นก็เถียงชนะเขาอยู่ดี




            “ครับ” บุ๋นยิ้มตอบ แม้เขาจะเหนื่อยจากการอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้นอนแต่การที่ได้อยู่กับหมอฐานทัพก็เหมือนการเพิ่มพลังไปในตัว




            ฐานทัพเดินช้าลงกว่าปกติเพราะเห็นบุ๋นที่ดูสนใจกับสิ่งรอบข้าง อาจจะเพราะพึ่งเคยมาครั้งแรกและผู้คนที่เบียดอัดกันจนแทบจะต้องมุดหาทางเดินต่อไปข้างหน้า




            “ชอบหรอ” ฐานทัพถามเมื่อเห็นบุ๋นดูสนอกสนใจกับหนังสือของสำนักพิมพ์หนึ่งที่กำลังเดินผ่าน




            “ชอบครับ” บุ๋นหันมาตอบเสียงจริงจังหากแต่ว่าคำตอบนั้นกลับแปลความได้กำกวมจนทำให้ฐานทัพชะงักไป




            “ดูสิ” เขาเว้นช่วงหายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บุ๋นยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้า



            “ผมเลือกไม่ถูกหรอกว่าจะอ่านเล่มไหน” เขาตอบตามประสาคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ “เห็นว่าหน้าปกน่าอ่านเฉยๆ”


            “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยุดลงที่ร้านหนังสือไม่ไกลจากร้านของบุ๋น “จะดูหนังสือตรงนี้ ไปดูสิ” หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตที่ไม่ใช่แนวที่ฐานทัพอ่านทำให้บุ๋นหยุดมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง



            “พี่รอผมตรงนี้นะ”




            “อืม” เขารับคำก่อนจะหยิบหนังสือที่ไม่เคยซื้ออ่านขึ้นมาดูทำท่าว่าเขาสนใจทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ชอบแนวปรัชญาชีวิตสักเท่าไหร่



            ทำแบบนี้เพราะรู้ว่าบุ๋นอยากจะหยุดดูหนังสือแต่ไม่อยากให้รอ




            หนังสือเกี่ยวกับการเกษตรที่แต่ก่อนไม่เคยอยากจะหยิบแตะ แต่ตอนนี้มันกลับดึงดูดความสนใจของคนตรงหน้า เขายอมรับเลยว่าตั้งแต่เข้ามาเรียนคณะเกษตรเขาได้รู้ว่าเกษตรไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดและรู้ว่าตัวเขาเองเหมาะที่จะเรียนเกษตรมากกว่าเรียนคณะอื่นๆ จากที่เคยวิ่งหนีแต่ตอนนี้เขากลับเปิดใจให้ตัวเองได้เรียนรู้มากยิ่งขึ้น สุดท้ายเขาก็เลือกคณะไม่ผิด



            คู่มือปลูกพืชผักสวนครัวฉบับพกพาถูกหยิบขึ้นมาเปิดดูด้วยความสนใจ บุ๋นยืนเลือกอยู่นานแต่สายตาก็ยังคอยหันไปมองหมอฐานทัพเป็นพักๆ กลัวเจ้าตัวจะรอนาน




            “พี่ครับ ช่วยผมเลือกหน่อยได้ไหม” บุ๋นพูดขึ้นเมื่อฐานทัพเดินมาหาเขาที่บูธของสำนักพิมพ์




            “อืม” เขารับคำสั้นๆก่อนจะหยิบหนังสือที่มีหน้าปกแตกต่างกันสองอันแล้วเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน



            เนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก แต่เล่มแรกจะค่อนข้างอธิบายละเอียดกว่า ตัวหนังสืออ่านง่ายไม่เขียนติดกันจนน่าเวียนหัว เขาดูองค์ประกอบโดยรวมก่อนจะยื่นหนังสือเล่มแรกให้บุ๋น




            “คิดเหมือนผมเลย” รอยยิ้มดีใจเผยขึ้นอีกครั้งเรียกความรู้สึกประหลาดของฐานทัพให้ชัดเจนขึ้นอีกขั้น




            “อ่านง่ายดี”





            “งั้นเอาเล่มนี้ครับ” บุ๋นยื่นหนังสือพร้อมกับเงินจำนวนพอดีให้พนักงานก่อนจะยิ้มบางๆให้อีกครั้งก่อนเดินออกมาจากบูธ




            ฐานทัพมองรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าราวกับถูกสลักไว้ก่อนจะเสมองไปทางอื่นเมื่ออีกคนรู้สึกตัวว่าเขามองอยู่ บุ๋นยิ้มออกมาอีกครั้ง หลังจากวันที่เขาบอกหมอฐานทัพออกไปแบบนั้นตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหมอจะรู้ตัวรึเปล่า แต่ท่าทางของหมอที่แสดงออกมาคล้ายกับว่าหมอเริ่มรู้ว่าตัวเอง…เป็นเจ้าของรอยยิ้มของเขา




            “พี่มาเดินคนเดียวทุกปีเลยหรอครับ” บุ๋นชวนคุยเมื่อเห็นว่าหมอยังไม่มีท่าทีสนใจหนังสือที่บูธไหนเป็นพิเศษ




            “อืม คนอื่นก็แยกกันเดิน”




            “งั้นครั้งหน้าผมมากับพี่อีกดีไหม พี่จะได้ไม่เหงา” คนขยันหาโอกาสถามออกไปอย่างมีความหวัง แม้จะแอบเดาได้ลึกๆว่าหมอจะปฏิเสธก็ตาม



            “อืม ตามใจ” ผิดคาดที่ครั้งนี้หมอฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธออกมา “ถ้าไม่เบื่อก่อน”




            “ไม่เบื่อครับ” มากับพี่ผมไม่เคยเบื่อ ประโยคหลังบุ๋นได้แต่คิดในใจไม่กล้าพูดออกไป




            ฐานทัพหยุดเดินเมื่อถึงบูธที่เขามาประจำทุกปี หนังสือเกี่ยวกับทางการแพทย์ที่ลดราคาพิเศษจนเขาต้องซื้อติดไม้ติดมือไปทุกๆครั้ง ความสนใจหนังสือที่ออกใหม่ทำให้ฐานทัพดูตื่นเต้นเป็นพิเศษจนคนที่อยู่ข้างๆอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้




            บุ๋นยืนมองหมอฐานทัพเลือกหนังสือด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าไม่จางหายไป พอเห็นหมอในมุมที่ไม่เคยเห็นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขามองหมอฐานทัพอยู่อย่างนั้นจนคนที่เลือกหนังสืออยู่หันมามองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนเลือกนาน




            “ไปดูบูธอื่นก่อนไหม” คำถามที่เต็มไปด้วยความเกรงใจถามออกมาหากแต่คนข้างๆส่ายหน้ากลับมา




            “ไม่ครับ ผมไม่อยากได้อะไรแล้ว” บุ๋นยิ้ม “อยากดูมากกว่า”




            อยากดูคนข้างๆมีความสุข…มากกว่า





            “อืม” ฐานทัพเป็นฝ่ายหลบสายตาอีกครั้ง




            ช่วงหลังๆเขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง แม้ว่าจะทำทุกอย่างเหมือนเดิมแต่เขากลับรู้สึกว่าข้างในของเขามีอะไรแปลกไป คนเป็นหมอไม่มีทางเข้าใจได้ทุกเรื่องแต่ครั้นจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดก็ดูจะยากเกินไปสำหรับเขา แต่อย่างหนึ่งที่เขารู้สึกและมันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆคือ…เขาชอบรอยยิ้มของบุ๋น



            บุ๋นยืนรอให้ฐานทัพเลือกหนังสือเงียบๆ อาจเพราะเป็นบูธใหญ่เลยทำให้คนไม่ค่อยอัดแน่นกันเหมือนบูธเล็กๆหากแต่ว่าแรงเบียดจากข้างหลังก็ทำเอาเขาเซไปเล็กน้อยจนฐานทัพต้องเอื้อมมือมาจับแขนบุ๋นไว้หลวมๆ



            “ไม่สบาย?” เพราะไม่เห็นตอนโดนชนฐานทัพจึงคิดว่าบุ๋นเสียการทรงตัว แววตาของเขาแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิดจนคนตรงหน้าต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้า



            บุ๋นรู้สึกถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเหมือนเลือดสูบฉีดจนทำให้หน้าของเขาขึ้นสี ร่างสูงส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของหมอฐานทัพที่พร้อมจะทำให้หัวใจวายได้ทุกเมื่อ



            “เปล่าครับ โดนชน” บุ๋นตอบกลับไป



            “ระวังหน่อย” ฐานทัพบอกสั้นๆก่อนจะค่อยๆคลายมือที่จับอยู่ออกหากแต่มือของบุ๋นกลับเปลี่ยนไปจับที่แขนของฐานทัพเบาๆอย่างลืมตัว “หืม?”



            “ปะ…เปล่าครับ” พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบุ๋นก็รีบแก้ตัวแทบไม่ทัน เขาปล่อยมือออกจากแขนของหมอฐานทัพก่อนจะเปลี่ยนมาลูบท้ายทอย “ผมกลัวเซอีก แหะๆ”



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหยิบหนังสือที่ถืออยู่จ่ายตังกับพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกล



            ถุงหนังสือถูกส่งมาพร้อมกับตังทอน บุ๋นรีบรับถุงก่อนที่จะถึงมือหมอฐานทัพพร้อมหันไปยิ้มให้คุณหมอเหมือนทุกๆครั้ง




            “ผมอยากถือให้”



            “บุ๋น” ฐานทัพเรียกคนตรงหน้าเสียงนิ่งๆ หนังสือของเขาทำไมเขาจะถือเองไม่ได้ อีกอย่างเล่มก็ไม่ได้เบา เขาไม่อยากกินแรงใคร



            “ผมเต็มใจ” บุ๋นพูดคำเดิมๆที่หมอฐานทัพได้ยินแล้วต้องยอมแพ้เขาทุกครั้ง “พี่จะได้เดินสบายๆ”




            “ทำไม”




            “เพราะผมอยากทำให้” รอยยิ้มที่ออกมาจากใจทำให้ฐานทัพหมดคำถามที่จะถามต่อ เขาพยักหน้ารับความหวังดีจากบุ๋นก่อนจะเดินต่อ         




            แม้ในใจจะยังมีคำถามมากมาย




            “พี่ครับ”




            “หืม”




            “อยู่กับผมอึดอัดรึเปล่า” เขาถามออกไปเพราะอยากได้คำยืนยันจากคนข้างๆ แม้ว่าที่ผ่านมาหมอจะไม่ได้แสดงออกมารำคาญหรืออึดอัดแต่เขาก็อยากถามเพื่อให้แน่ใจ



            ถ้าเขาสุขแต่อีกฝ่ายทุกข์ เขาเองก็ไม่มีความสุข



            “ไม่” ฐานทัพตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิด เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เคยมีความรู้สึกนั้นตั้งแต่ที่อยู่กับบุ๋นมา



            ไม่เคยคิด



            “งั้นผมจะอยู่กับพี่ไปนานๆเลย” บุ๋นยิ้มกว้าง คำตอบสั้นๆของฐานทัพมีอิทธิพลมากสำหรับเขา ถ้าหมอตอบว่าอึดอัดเขาก็จะยอมถอยออกมาก้าวหนึ่ง



            แม้จะไม่อยากทำก็ตาม



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะพูดต่อเสียงเบาจนคนข้างๆแทบไม่ได้ยิน “อย่าเบื่อก่อน”



            ฐานทัพรู้ตัวดีว่าเขาเป็นคนน่าเบื่อ ในชีวิตของเขามีแต่เรื่องเรียนไม่เคยมีเรื่องอื่นเข้ามาคิดให้รกสมอง ตั้งแต่เขาเจอกับบุ๋นเหมือนเขาได้เจอโลกใหม่ ได้เจอสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยพบเจอ ได้รู้ว่าการที่มีใครอีกคนเข้ามาคอยอยู่ในช่วงเวลาต่างๆมันให้ความรู้สึกอย่างไรและรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป



            หรือถ้าบอกตรงๆก็คือ…เขารู้สึกดีที่มีบุ๋นอยู่ข้างๆ




            “บุ๋น” เขาเรียกชื่อคนข้างๆขึ้นมาระหว่างเดินเที่ยวงาน เรียกทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร




            “ครับผม?” บุ๋นหันมามองอย่างสนใจ




            “ขอบคุณ” ฐานทัพพูดออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขาชะงักฝีเท้าลงก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้างๆชัดๆ




            ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไรกัน




            “ขอบคุณเรื่องอะไรครับ?”




            “เรื่อง...” ฐานทัพหยุดคิดไปก่อนจะพูดต่อ “ถือหนังสือให้”



            “อ่อ” บุ๋นหัวเราะออกมา เขานึกว่าเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้หมอไม่ต้องขอบคุณเขาก็ได้ เพราะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาอยากจะทำให้



            ฐานทัพมองรอยยิ้มที่ยังไม่จางหายไปก่อนที่ริมฝีปากจะระบายยิ้มออกมาบางๆ ตอนนี้เขาตอบได้แล้วว่าเขาขอบคุณบุ๋นเรื่องอะไร ไม่ใช่เรื่องถือของ



            แต่เป็นเรื่องที่…บุ๋นเข้ามาในชีวิตของเขา



            เวลาล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงกับหนังสือเท่าเดิมที่ไม่ได้ซื้อเล่มไหนเพิ่ม ฐานทัพหยุดลงหน้าร้านขายไอศครีมพร้อมกับไปแลกบัตรเพื่อซื้อไอศครีมกินระหว่างเดินต่อโดยที่ไม่ลืมที่จะซื้อให้คนที่ถือของให้เขาด้วย



            ไอศครีมทูโทนรสนมช็อกโกแลตยื่นมาตรงหน้าบุ๋นที่ยืนมองอะไรไปเรื่อย พอได้รับไอศครีมคนที่เริ่มรู้สึกหิวก็รีบรับมาถือไว้พร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้จะหิวแต่เขาอยากเดินมากกว่าไปหาอะไรกิน ตอนแรกก็เล็งร้านไอศครีมไว้เหมือนกันแต่กลัวว่าจะเดินกินไม่ถนัด



            “ขอบคุณนะครับ”



            “อืม เดินต่อไหม” ฐานทัพถามเมื่อเห็นว่าบุ๋นไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มอีก เขาคิดว่าบุ๋นคงเหนื่อยและอยากหาที่นั่งพักแล้ว



            “เดินครับ ผมอยากเดิน”




            “อืม” เขาพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวไปตามเส้นทางอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้เดิน




            งานสัปดาห์หนังสือเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายทำให้ในบางบูธอัดแน่นจนแทบจะเดินต่อไปไม่ได้ บูธที่น่าสนใจก็มีคนยืนเต็มหน้าบูธจนทั้งสองคนถอดใจที่จะเดินเข้าไปดู ฐานทัพเดินมาหยุดลงที่บูธหนังสือแปลก่อนจะหันไปมองบุ๋นเพื่อบอกให้ไปเดินจุดอื่นรอ




            “ไปดูอย่างอื่นก่อนก็ได้”




            “งั้นพี่รอผมตรงนี้นะ เดี๋ยวผมกลับมา” บุ๋นพูดไปพร้อมกับทานไอศครีมในมือ ความหวานของไอศครีมทำให้เขาเพิ่มพลังขึ้นได้บ้าง




            “อืม”




            ร่างของบุ๋นเดินออกไปเหลือเพียงฐานทัพกับหนังสือแปลแถวยาวที่เรียงรายกันจนลายตา พนักงานขายบริเวณจุดนั้นเดินเข้ามาแนะนำอย่างเป็นกันเองก่อนที่เธอจะมองฐานทัพชัดๆ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายที่ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าจัดว่าดูดีในระดับเทียบเท่าดารา เธอมองอยู่อย่างนั้นก่อนที่สายตาจะสะดุดลงกับร่างของผู้ชายอีกคนที่อยู่ไม่ไกลจากบูธของเธอ แววตาที่มองคนที่กำลังเลือกหนังสือเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ริมฝีปากระบายยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหันกลับไปสนใจบูธที่ตัวเองเดินเข้าไป




            ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก




            “ลูกค้าสนใจเล่มไหนถามได้นะคะ หนังสือราคาพิเศษเลย” เธอรัวยาวเมื่อเห็นฐานทัพเงยหน้าขึ้นมาสบตา




            หล่อ…




            “ครับ” ฐานทัพรับคำอย่างเป็นมารยาท เขาเป็นคนพูดไม่เก่งยิ่งกับผู้หญิงแล้วเขายิ่งไม่รู้จะพูดยังไงให้อีกฝ่ายไม่อึดอัด




            “ดูได้เลยค่ะลูกค้า”




            ด้วยความที่เป็นบูธหนังสือแปลเลยทำให้มีผู้คนเดินผ่านไปมามากกว่าจะหยุดยืนอ่าน แม้จะไม่ได้มีผู้คนเข้าบูธจนแน่นแต่ก็มีมาเรื่อยๆ




            “มาคนเดียวหรอคะ” เธออดสงสัยไม่ได้ ถ้ามาคนเดียวแล้วสิ่งที่เธอเห็นคืออะไร




            หรือว่าเธอเข้าใจผิด…





            “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “มากับ...น้อง” เขาเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกไป ที่หยุดคิดเพราะเขาไม่รู้จะเรียกบุ๋นว่าอะไร ในเมื่อตลอดมาเขาไม่เคยมีสรรพนามเรียกบุ๋น



            “อ่อ ค่ะ” เธอยิ้มนิดๆ แม้จะอยากถามต่อแต่ในสถานะที่เธอเป็นพนักงานขายและคนตรงหน้าเป็นลูกค้าก็ดูจะไม่ดีเท่าไหร่นักที่ถามมากเกินไปในเรื่องที่ไม่ควรถาม



            แม้จะแอบสงสัยลึกๆแต่ก็ต้องอดทนเก็บความสงสัยนั้นไว้




            รอยยิ้มและแววตาที่เธอเห็น ไม่ใช่ความรู้สึกของน้องชายมองพี่ชาย…ไม่ใช่แน่ๆ




            “เป็นยังไงบ้างครับ” บุ๋นเดินเข้ามาหลังจากที่แวะไปดูบูธอื่นพักหนึ่ง




            “อยากได้สองเล่ม” ฐานทัพพูดพร้อมกับหยิบหนังสือแปลทั้งสองเล่มให้คนตรงหน้าดู



            “ก็ซื้อสองเล่มเลยครับ” บุ๋นตอบอย่างคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง “ยังไงพี่ก็อ่านทั้งสองเล่มอยู่แล้ว”




            “แพงไป” ฐานทัพพลิกราคาหลังปกให้ดูทำเอาคนที่บอกตอนแรกถึงกับผงะไป “เล่มไหนดี” เขาถามเพื่อต้องการตัดตัวเลือกออกหนึ่งเล่ม



            “ยากจัง” บุ๋นหัวเราะ ลำพังหนังสือปกติเขาก็แทบจะไม่อ่าน แถมหนังสือที่หมอให้เขาเลือกดันเป็นหนังสือแปล “ถ้าเป็นผมคงจะเลือกเล่มนี้ เพราะหน้าปกภาษาดูแปลง่ายกว่าอีกเล่ม”



            “อืม”



            “ผมโง่ ช่วยพี่เลือกหนังสือแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ” บุ๋นบอกไปตามความจริง “เวลาเลือกผมจะเลือกจากสิ่งที่ผมชอบที่สุดเพราะคิดว่ามันดีที่สุด”




            “แล้วเป็นไง”




            “สุดท้ายก็ชอบจริงๆ”



            ฐานทัพมองคนตรงหน้านิ่งๆ แม้เขาจะสนทนากันเรื่องหนังสือแต่คำพูดดูคิดไปไกลกว่าการช่วยเลือกหนังสือไปเยอะ ฐานทัพวางหนังสือเล่มที่อยู่ในมือลงเล่มหนึ่งก่อนจะยื่นอีกเล่มที่บุ๋นช่วยเลือกให้พนักงานที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ



            “รอสักครู่นะคะ” เธอรีบรับหนังสือแล้วตรงไปที่แคชเชียร์แม้จะอยากเห็นเวลาที่ทั้งคู่สนทนากันแต่เธอก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง



            ไม่ผิดแน่ๆ เธอว่าเธอคิดไม่ผิด



            “พี่เชื่อผมหรอ”



            “อืม” ฐานทัพพยักหน้า แม้ปกติจะเป็นคนเลือกนานแต่ครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่เขาตัดสินใจเร็วเพราะคำแนะนำของคนข้างๆ “จะลองเชื่อดู”




            “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะเอื้อมมือไปรอรับหนังสือแต่ฐานทัพเร็วกว่า พอคุณหมอดึงถุงหนังสือไปไว้ในมือได้สำเร็จก็หันมายิ้มให้คนที่พลาด




            “เร็วกว่า” ฐานทัพพูดอย่างผู้ชนะ ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่รู้สึกสนุกกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจนมองข้ามความน่าเบื่อไป




            “งั้นครั้งหน้าผมจะรีบรับให้เร็วกว่านี้ครับ” บุ๋นยิ้มให้กับความเป็นตัวเองของหมอฐานทัพ บางครั้งเขาก็มองว่าหมอฐานทัพดุ แต่ในบางครั้งเขาก็แอบเห็นมุมกวนๆของหมอ




            หลงจะแย่แล้ว




            บุ๋นเดินตามหมอฐานทัพไปยังบูธต่างๆโดยที่ไม่มีการปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในสถานที่ๆมีผู้คนพลุกพล่านหรือแออัด แต่เพราะได้มากับคนที่อยากมา เขาเลยยอมแม้จะต้องเจอกับสิ่งที่เขาไม่ชอบ




            บุ๋นยังจำวันแรกที่เขากระวนกระวายหลังจากที่ต้องนั่งไล่หาเฟสบุ๊คของหมอฐานทัพใหม่ ความพยายามที่ไม่รู้ว่าเอาแรงฮึกเหิมมาจากไหน จนมาถึงวันนี้ที่ได้อยู่กับหมอฐานทัพใกล้ๆ มันทำให้เขารู้ว่าความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ การตัดสินใจของเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องและการที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหมอฐานทัพ เขาตัดสินใจไม่ผิด




            ร่างของหมอฐานทัพเดินไกลออกไปเรื่อยๆแต่ขาทั้งสองข้างก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้ว่าจะไกลกันอยู่แต่เขาเชื่อว่าสักวัน เขาและหมอฐานทัพจะก้าวเดินไปพร้อมๆกัน แววตาของบุ๋นซ่อนความรู้สึกไว้มากมาย ทั้งๆที่ความจริงอาจจะมีหลายๆคนที่ดูออก แต่มีเพียงคนเดียวที่ยังไม่เข้าใจ เขาก็หวังเพียงสักวันที่หมอจะรู้ตัวและรับรู้ความรู้สึกของเขาที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน



            ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่คนเอาแต่ใจอย่างเขายอมทำทุกอย่างเพื่อใครอีกคน





-------------------
เรื่องของหมอกับบุ๋นอาจจะอัพไม่ตรงวันบ้างเพราะเราอยากจะเขียนออกมาให้ดีที่สุด
ตัวละครของหมอกับบุ๋นสำหรับเราและ เขาเหมือนมีตัวตนอยู่จริงๆ
เขาสำคัญกับเรามากจนเรารักตัวละครคู่นี้ ทุกครั้งที่แต่งเราเองก็ยิ้มไปกับความรักของทั้งคู่
และขอบคุณที่รู้สึกรักตัวละครของเรามากมายขนาดนี้ ขอบคุณนักอ่านมากๆเลยนะคะ
นักอ่านคือกำลังใจของเราและของพี่หมอกับน้องบุ๋น
ติดตามกันไปนานๆนะ ^^

ติดตามการอัพนิยายได้ทาง Fan page : perlina.
หรือติดแฮชแท็ก #ผมจีบหมอ พูดคุยกันได้ทางทวิตเตอร์ @perlinjun

ออฟไลน์ Lay Kin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ไม่บอกก็เชื่อฮะ ว่ามีตัวตนจริง
เพราะมันคุ้นๆ ...


แต่ตอนนี้สั้นจัง รอตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ janny_j

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กำลังคิดถึง ก็มาเลย อัพไม่ตรงไม่เป็นไรค่ะ อย่าหายไปก็พอ รักคู่นี้จัง  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ผู้ชายอย่างบุ๋นหาได้จากที่ไหนอีกกกก

ทุ่มเทให้ทุกอย่าง เอาใจช่วยนะบุ่น

สอนให้หมอรู้จักความรัก ❤️❤️❤️

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
บุ๋นสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ :z10:

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
            “บุ๋น” มือเย็นๆแตะที่แขนเขาเบาๆทำให้คนที่เหม่อลอยกลับมาสู่ปัจจุบัน “หยุดเดินทำไม” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจก่อนจะจับแขนของบุ๋นไว้หลวมๆ


            “ผม…เอ่อ…คิดอะไรเพลินไปหน่อย” บุ๋นตอบกลับไปตามความจริง สายตาเลื่อนลงมามองมือของหมอที่จับแขนเขาอยู่ “กลัวผมหายหรอครับ”



            “เปล่า” คำถามที่ถามมาทำเอามือที่จับอยู่ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว “นึกว่าหลง”



            “เกือบหลงแล้วครับ” ร่างสูงหัวเราะ “พี่จะเดินไปไหนก็จูงผมไปด้วย” บุ๋นยื่นแขนไปตรงหน้าหมอฐานทัพ



            จะลากจะดึงหรือจะฉุด…บุ๋นยอมทุกอย่างเลย



            “โตแล้ว” ฐานทัพส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้งโดยหันกลับมามองบุ๋นเป็นพักๆ “ถ้าเหนื่อยไปหาที่นั่ง”



            “ไม่ไปครับ” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “ผมอยากจะเดิน” กับพี่



            “อืม อยากได้อะไร”



            “อยากได้ครับ” บุ๋นตอบอย่างลืมตัว “อยากได้หมอ…”



            “หืม?”



            “หมอนครับ…อยากได้หมอน” เขาแก้ตัวยกใหญ่ นิ้วชี้ไปที่บูธสำนักพิมพ์เด็กที่มีหมอนหน้าตุ๊กตาห้อยแขวนไว้อยู่



            “เอาไปทำไม” ฐานทัพถามกลับมาอย่างไม่เข้าใจ



            “นั่นสิครับ ไม่รู้” บุ๋นหัวเราะแห้งๆ




            ไม่ได้อยากได้หมอน…บุ๋นอยากได้หมอ




            “อืม” ฐานทัพหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าขึ้นมากดรับหลังจากที่สั่นอยู่ในกางเกงมาพักหนึ่ง แค่มองหน้าจอแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าใครโทรมา




            บุ๋นหันไปมองทางอื่นเมื่อเห็นว่าหมอกำลังคุยธุระ ถึงแม้หมอฐานทัพจะไม่ได้ทำท่าว่าเป็นความลับแต่เขาก็ไม่อยากทำตัวเหมือนกำลังแอบฟัง



            “ก็ได้ ไว้เจอกัน” เขาพูดก่อนจะกดวางสายลงแล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “คินโทรมา”




            “มีอะไรรึเปล่าครับ?”




            “มันขอกลับก่อน บอกว่ามีธุระ”




            “แล้วพี่ปกป้องล่ะครับ?”



            “กลับพร้อมกัน มันซื้อหนังสือครบแล้ว ขี้เกียจรอ”




            “อ่าว งั้น…” รอยยิ้มของบุ๋นค่อยๆเผยขึ้นมา แม้จะไม่ได้หวังให้เป็นแบบนี้แต่เขาก็อดดีใจไม่ได้ “เหลือผมกับพี่หรอครับ”




            “อืม”



            “งั้น…” บุ๋นยิ้มกว้าง “พี่อยากเดินให้ทั่วงานไหมครับ เห็นพี่คินเคยบอกว่าพี่ไม่เคยเดินทั่ว”




            “ไหว?” ฐานทัพถามกลับ เท่าที่เดินมาบุ๋นก็น่าจะรู้ว่าเขาเดินช้าและใช้เวลาในการดูหนังสือนาน ขืนให้ดูทั่วงานคงได้กลับตอนงานปิด




            “ครับ ผมไหว”




            “พูดเองนะ”



            “ครับ” บุ๋นยิ้ม เขาอยากจะทำแบบนี้อยู่แล้ว แอบคิดไว้ตั้งแต่แรกแต่ไม่กล้าพูดออกไปเพราะรู้ว่าหมอมากับเพื่อนๆ “พี่อยากไปตรงไหนผมไปกับพี่ได้หมดเลย”




            ถึงจะไม่ได้ชอบงานสัปดาห์หนังสือมากมายแต่พอเห็นคนข้างๆก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ หมอฐานทัพดูมีความสุขมาก แม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่เขารับรู้ได้ว่าหมอรู้สึกผ่อนคลายเพราะได้อยู่กับสิ่งที่ชอบจริงๆ



            “จบไปผมจะทำไร่ให้สวยๆแบบนั้นเลย” บุ๋นพูดพร้อมกับชี้ไปที่ภาพหน้าปกของบูธที่กำลังเดินผ่าน




            “อืม ดี”




            “พี่ชอบไหม” เขาหันไปถามคนข้างๆเพื่อถามความคิดเห็น




            “ชอบ”




            “งั้นมาอยู่กับผมไหม”




            คำถามที่ตั้งใจถามออกมาตรงๆทำให้คนที่กวาดสายตาดูหนังสืออยู่หันไปมองหน้าบุ๋นตรงๆ ฐานทัพไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีความนัยแฝงอยู่หรือต้องการถามแบบนั้นจริงๆ




            “เรียนหมอ จะไปอยู่ไร่ได้ยังไง”




            “ได้สิครับ” บุ๋นระบายยิ้ม “ก็คนทำไร่จะไปอยู่ที่เดียวกับหมอ”




            “…” คำตอบของบุ๋นทำให้ฐานทัพชะงักอีกครั้ง




            “พี่จะได้อยู่กับสิ่งที่พี่ชอบ”




            “เพ้อเจ้อ” แม้จะพูดตัดบท แต่เขาเห็นถึงแววตาจริงจังที่บุ๋นมองมา




            ลึกๆเขารู้สึกว่า…บุ๋นจะทำอย่างที่พูดได้จริงๆ





            รถโดยสารจอดลงหน้ามหาวิทยาลัยหลังจากที่ทั้งสองคนเดินจนทั่วงานแล้ว ถุงหนังสือที่เพิ่มมาสองถุงอยู่ในมือของบุ๋นหนึ่งถุงและฐานทัพอีกหนึ่งถุง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่ม บุ๋นเดินข้างๆฐานทัพที่นั่งเงียบมาตลอดทาง อาจเพราะเดินจนเหนื่อยหมดพลังงานไปมากเลยทำให้เขาไม่ได้ชวนคุยอะไรต่อ




            ทั้งคู่จอดรถจักรยานไว้ที่บริเวณที่จอดจักรยานหน้ามหาลัยเพื่อที่จะได้ขับกลับหลังจากที่ลงรถแล้ว ความเหนื่อยล้าทั้งวันทำให้ฐานทัพอยากจะกลับไปถึงห้องเร็วๆเพื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ผิดกับบุ๋นที่ไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมาให้เห็นทั้งๆที่เดินตามเขาทั่วงาน




            แปลก…




            “พี่จะกลับเลยหรอครับ” คำถามแรกถามขึ้นหลังจากที่เขาทั้งคู่ไม่ได้คุยกันมาตลอดทาง




            “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ เขาเหนื่อย อยากกลับไปนอน




            “อ่อ ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆ ท่าทีของเขาเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมาจนอีกฝ่ายต้องถามกลับ




            “มีอะไร”




            “ผมยังไม่อยากกลับ” เขาพูดในสิ่งที่รู้สึกออกมา แม้ว่าจะดึกแล้วและใกล้จะถึงเวลาเข้าหอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากกลับ



            แค่เขียนชื่อเข้าหอเลยเวลาไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา




            “อยากไปไหน”




            “หิว” บุ๋นลูบท้องน้อยๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ช่วงบ่าย เขาเดินเที่ยวงานจนลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรอีกนอกจากไอศครีมที่หมอซื้อให้




            “ลืม” ฐานทัพเองก็พึ่งรู้ตัว พอเห็นบุ๋นทำท่าลูบท้องความหิวก็แล่นเข้ามาทันที





            ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินข้าว




            “ร้านปิดแล้ว” เขาบอกคนที่ยืนทำหน้าหงอยอยู่ข้างๆ “เซเว่นไหม” พอเห็นท่าทางของบุ๋นก็อดสงสารไม่ได้




            “ครับ เซเว่น” ในเวลานี้ขอแค่มีอะไรตกถึงท้องก่อนกลับเข้าหอก็ดีมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวข้างทางหรือมาม่าอะไรก็กินได้หมด



            หิว




            บุ๋นเดินนำไปที่เซเว่นไม่ไกลจากที่จอดรถ ดีที่เซเว่นในมหาลัยเปิดถึงตีหนึ่งทำให้เขายังมีที่พึ่งพิงอยู่บ้างในเวลาสีทุ่ม เพียงเวลาไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมาจากเซเว่นพร้อมกับถุงขนมปังกับนมอีกสองกล่อง



            “ผมซื้อมาเผื่อพี่ด้วยนะ” บุ๋นชูถุงเซเว่นที่บรรจุขนมปังกับนมไว้ข้างในอย่างภูมิใจ “รอดตายแล้ว”




            “ขอบคุณ” ฐานทัพเอ่ยออกมา ความจริงเขาก็จะเดินเข้าไปซื้อแต่นึกขึ้นได้ว่าที่หอยังมีขนมปังอยู่เลยคิดว่าจะกลับไปกินที่หอ



            “พี่รีบไหมครับ” บุ๋นถามลองเชิง




            “ไม่รีบ”




            “งั้นเราไปหาที่นั่งกินกัน”




            “อืม”




            พอเห็นว่าฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธคนข้างๆก็ยิ้มออกมา บุ๋นเดินนำไปที่อ่างเก็บน้ำของมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากเซเว่นหน้ามหาวิทยาลัยมากนัก อ่างเก็บน้ำของมหาลัยเป็นที่ๆนักศึกษาชอบมานั่งคุย บางคนก็มานั่งเพื่อรับบรรยากาศบริเวณรอบๆ เขาเองก็เคยปั่นจักรยานผ่านหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสแวะมานั่ง วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี




            บุ๋นเลือกนั่งบริเวณที่อยู่ใกล้กับไฟที่ส่องให้เห็นบรรยากาศรอบข้างแบบสลัวๆ แม้จะไม่ได้สว่างมากแต่ก็พอเห็นทัศนียภาพรอบด้าน บริเวณอ่างเก็บน้ำมีผู้คนอยู่เป็นจุดประปราย อาจเพราะเวลาที่เริ่มดึกไปทุกทีทำให้คนน้อยลงเรื่อยๆ เขายืดขาออกคลายความเมื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวันก่อนจะหันไปมองหมอฐานทัพที่ย่อตัวนั่งลงข้างๆ



            “บรรยากาศดีนะครับ พี่ว่าไหม”



            สายตาของเขาทอดมองออกไปสุดสายตา ความเงียบรอบข้างทำให้ได้ยินเสียงแมลงที่อยู่ตามต้นไม้ ลมเย็นๆพัดผ่านกระทบใบหน้าเป็นระลอก แม้ว่ารอบข้างจะยังคงเห็นคนอยู่บริเวณใกล้ๆกันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนเขาอยู่กับหมอฐานทัพแค่สองคน



            “ของพี่ครับ” บุ๋นยื่นถุงขนมปังที่ซื้อมาเหมือนกันให้ฐานทัพก่อนจะฉีกถุงของตัวเองแล้วกินขนมปังทันทีด้วยความหิว




            “อืม” ฐานทัพรับมาถือไว้แล้วฉีกกินตาม “พึ่งเคยมา”



            “เหมือนกันครับ” บุ๋นหันไปยิ้มบางๆ “ผมนึกว่าพี่จะเคยมาแล้วซะอีก”



            “ไม่เคย” แม้ว่าเขาจะอยู่ปีสามแล้วแต่ถ้าให้พูดตามความจริง ยังมีอีกหลายที่ในมหาวิทยาลัยที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไป ไม่ใช่เพราะไม่อยากไป แต่ไม่มีเวลาที่จะไป



            “งั้นก็ถือว่าได้มาแล้วนะครับ”




            “ชอบ” เขาพูดออกมาสั้นๆ “เย็นดี”



            “ชอบเหมือนกันครับ” บุ๋นหันหน้ากลับไปมองน้ำในสระที่มืดจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาของดวงจันทร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงแสงสีส้มเหลืองบนท้องฟ้า




            ลมที่กระทบใบหน้าคล้ายกับเป็นการไล่ความเหนื่อยล้าทั้งวันของฐานทัพให้หายไปกลายเป็นความสดชื่น คนตัวสูงเหยียดขายาวตามคนข้างๆ ดวงตาทั้งสองมองไปยังจุดเดียวกันกับที่อีกคนกำลังมอง



            “โรแมนติก” บุ๋นพูดก่อนจะหันไปถาม “พี่ว่าไหมครับ”




            “ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับแทบจะทันที “โรแมนติกยังไง” คนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนถามออกมาซื่อๆอย่างคนไม่รู้ทำเอาคนที่ถามถึงกับอธิบายต่อไม่ถูก




            “เอ่อ…ผมจะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย” บุ๋นเกาหัว “คือบรรยากาศมันเหมาะ แบบว่าถ้ามากับแฟน มัน…เอ่อ มันโรแมนติก” เขาไม่ได้ขยายความมากกว่าเดิม




            “อ่อ อืม คงใช่” คนที่ไม่เคยมีแฟนอย่างฐานทัพคงยากที่จะเข้าใจ




            “พี่ครับ ผมลืมบอกไปเลย” พอนึกขึ้นได้เขาก็รีบพูดออกมา “ผมติดตัวจริงบาสมหาลัยแล้วนะ พอดีพึ่งรู้เมื่อสองวันที่แล้ว เห็นพี่สอบเลยไม่ได้บอก”




            “อืม” เขาพยักหน้า “ดีแล้ว”




            “อีกสองอาทิตย์ก็จะได้ลงแข่งสนามจริงแล้ว หลังจากนี้ผมคงต้องซ้อมหนักกว่าเดิม”




            “อืม”




            “พี่จะมาดูผมแข่งใช่ไหมครับ?” ถามออกไปอย่างมีความหวัง การแข่งขันครั้งนี้มันเดิมพันด้วยเรื่องในอดีตของเขาว่าเขาจะก้าวผ่านมันไปได้ไหม




            และอยากให้กำลังใจมาอยู่ใกล้ๆ




            “จะพยายาม” ครั้งนี้ฐานทัพไม่ได้ปฏิเสธออกไป เขาไม่กล้ารับปากแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ “ใกล้ๆเตือนอีกที”




            “ครับ ผมอยากให้พี่มานะ”




            “ทำไมถึงอยากให้ไป” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป ทุกๆครั้งเวลาที่บุ๋นชวนเขาแววตาของเจ้าตัวจะเต็มไปด้วยความหวัง ทั้งๆที่ตัวฐานทัพเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้เขาไป




            “อยากได้กำลังใจ” บุ๋นตอบออกไปตรงๆ เขาหันไปมองหน้าคนข้างๆชัดๆ “ถ้าผมพลังหมดขึ้นมาจะทำยังไง”




            “อยากได้เครื่องดื่มชูกำลัง?” ฐานทัพถามออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก ถ้าพลังหมดก็ต้องดื่มอะไรที่รู้สึกสดชื่นไม่ก็ได้ผ้าเย็นๆ



            แต่นั่นคือเหตุผลที่อยากให้เขาไปอย่างนั้นหรอ




            “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้าช้าๆ “อยากโดนชาจพลัง”




            “ตลก”




            “ผมพูดจริงนะ”




            บุ๋นค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือของหมอฐานทัพช้าๆ แม้ว่าจะกลัวหมอปฏิเสธแต่ร่างกายมันไปไวกว่าความคิดเสมอ เขาค่อยๆยกมือของหมอฐานทัพขึ้นมาวางไว้บนหน้าผากเขาเหมือนที่หมอเคยทำก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง




            “อืม…หายเหนื่อยเลย”




            ฐานทัพได้แต่นิ่งอึ้งกับสิ่งที่คนตรงหน้าทำ เขาไม่ได้ดึงมือกลับและไม่คิดปฏิเสธสัมผัสจากคนตรงหน้า ความงุนงงและความสับสนทำให้เขาปล่อยให้อีกฝ่ายชาจพลังอย่างเต็มที่ก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไป




            “ช่วยได้จริงๆหรอ”




            “ครับ” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับ “ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะครับ”




            “…” แม้จะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไปแต่ฐานทัพกลับทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ “อืม”




            ความอบอุ่นจากฝ่ามือของหมอฐานทัพที่ประทับลงบนหน้าผากสามารถไล่ความเหนื่อยล้าของบุ๋นให้หายเป็นปลิดทิ้ง แม้จะอยากค้างอยู่อย่างนี้อีกสักพักแต่เขาก็ต้องห้ามใจตัวเอง แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วที่หมอไม่ดึงมือกลับ ดีเท่าไหร่แล้วที่หมอไม่ปฏิเสธสิ่งที่เขาทำ




            “ขอบคุณนะครับ” บุ๋นค่อยๆดึงมือของฐานทัพออกจากหน้าผากอย่างอ้อยอิ่ง แม้จะไม่อยากปล่อยมือคนตรงหน้าก็ตาม




            “อืม” ฐานทัพที่ยังคงงงอยู่ตอบกลับมาสั้นๆ




            “พี่โกรธรึเปล่าครับ” คนที่แคร์ความรู้สึกของคนตรงหน้ามากถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ควรจะทำ แต่ร่างกายมันขยับเคลื่อนไหวไปเอง




            “ไม่” น้ำเสียงเรียบๆตอบกลับมา “บุ๋น”




            “ครับ?”




            “ตัวอุ่น ไม่สบาย?” หมอฐานทัพก็ยังคงเป็นหมอฐานทัพ ท่าทางซื่อๆของหมอเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ดูประดิษฐ์ขึ้นมา




            “เปล่าครับ ผมสบายดี” บุ๋นระบายยิ้มออกไปเพื่อให้คนข้างๆสบายใจ




            “อ่อ อืม” เขาคงรู้สึกไปเอง “ดีแล้ว”





            ฐานทัพหลบสายตาคนตรงหน้าเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาเองก็ไม่เคยนับ แต่ช่วงหลังๆเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่กล้าที่จะมองรอยยิ้มนั้นตรงๆ ทุกครั้งที่บุ๋นยิ้มความรู้สึกข้างในของเขามันดูวุ่นวายแปลกๆ




            “พี่อยากลองชาจพลังดูไหมครับ?” บุ๋นถามหลังจากเห็นคนข้างๆเงียบไป




            “ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ 




            “พี่จะได้รู้ว่ามันช่วยได้จริงๆ” บุ๋นยื่นมือไปตรงหน้า เขาไม่ได้มีความคิดที่อยากจะฉวยโอกาสสัมผัสตัวหมอฐานทัพแต่เขาแค่อยากให้หมอได้รับรู้ความรู้สึกที่เขาได้รับจากหมอ




            มันช่วยได้จริงๆ




            “อืม” มือเย็นๆสัมผัสมือที่ยื่นมาช้าๆ ฐานทัพวางมือของคนข้างๆไว้บนหน้าผากของตัวเองอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือมายังร่างกายของเขาเหมือนพลังงานของแบตเตอรี่ที่กำลังถูกชาจ



            อืม…



            “รู้สึกเหมือนผมไหมครับ?”




            “อืม”




            “ถ้าพี่เหนื่อย ผมจะคอยอยู่ข้างๆเพื่อชาจพลังให้พี่เอง”




            ฐานทัพสบตาคนตรหน้านิ่ง เขาค่อยๆถอนมือของบุ๋นออกจากหน้าผาก ความอบอุ่นยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย รอยยิ้มจากคนยิ้มยากปรากฏขึ้นอีกครั้ง




            “ขอบคุณ”


           






-------------------
ช่วงก่อนหน้านี้ได้กลับบ้านที่เชียงใหม่แล้วไปนั่งอ่างแก้วที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ความรู้สึกตอนนั้นบอกได้เลยว่าบรรยากาศรอบข้างโรแมนติกมากๆ ในหัวก็คิดถึงหมอฐานทัพกับบุ๋นขึ้นมาจนต้องขอเอาแรงบันดาลใจจากสถานที่มาเขียนไว้ในนิยายเพื่อให้คนอ่านได้เข้าถึงบรรยากาศไปกับเราด้วย
ขอบคุณอ่างแก้วนะคะที่ให้เรายืมสถานที่มาเขียนให้นักอ่านได้อ่าน ^^

ติดตามการอัพนิยายได้ทาง Fan page : perlina.
หรือติดแฮชแท็ก #ผมจีบหมอ พูดคุยกันได้ทางทวิตเตอร์ @perlinjun

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ค่อยเป็นค่อยไปนะบุ๋น
ขนาดนี้แล้ว

ได้ชาร์ตพลังให้หมอด้วยยย :mew1:

ออฟไลน์ Lay Kin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
หมอน่าจะรู้ตัวแล้วแหละ...(น่าจะ นะ)

บุ๋น น่ารักเสมอเลย

ขอบคุณจ้า

ออฟไลน์ toeyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอให้หมอรู้ตัวเร็วๆนะ  บุ๋นจะได้ชื่นใจซักที

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ทำไมเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ :ling1:  บุ๋นน่ารัก หมอก็น่ารัก
โอ้ยย ชอบบบบ เนื้อเรื่องเรื่อยๆแต่ไม่น่าเบื่อ แถมอ่านแล้วยิ้มทุกตอนเลย  :o8:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อรร้ายยยย.   ขอชาร์จพลังมั่ง    ช่วงนี้เพลียจิตเพลียใจ

ขอพลังคู่ ของพี่หมอกับน้องบุ๋นน้าาาา

 :hao7:   :hao7:   :hao7:   :hao7: 

.....

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่สิบห้า


   วันมอบเสื้อภาคสนามมาถึงหลังจากที่ได้ยินข่าวลือกันมานานว่าใกล้จะถึงวันรับเสื้อ แม้ว่าจะไม่ได้มีกำหนดการล่วงหน้าจากรุ่นพี่แต่รุ่นน้องคณะเกษตรชั้นปีที่ 1 ก็สามารถตามตัวกันมาจนครบหมดทุกคนราวกับซักซ้อมกันมาอย่างดีทั้งๆที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อน เช่นเดียวกับเดือนคณะที่เข้ามาในห้องประชุมเกือบคนสุดท้ายเพราะพึ่งรู้ข่าวจากเพื่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้



   ดีที่วันนี้เขามีเรียนช่วงเช้าพอดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มาถึงได้ทันเวลาขนาดนี้



   “เงียบ!” น้ำเสียงหนักแน่นของพี่ระเบียบดังขึ้นท่ามกลางนักศึกษากว่าสามร้อยคนในห้องประชุมของคณะ



   “ยังไม่หมดรับน้องอีกหรอวะ” บุ๋นเอ่ยออกมาเสียงเบา หันไปมองหน้าเดชที่นั่งอยู่ข้างๆ “นึกว่าจบไปนานแล้ว”



   “อืม” เดชพยักหน้าเห็นด้วย ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อเสียงของพี่ระเบียบก็ดังขัดขึ้นมา



   “ผมบอกให้พวกคุณเงียบ ทำไมไม่ฟัง!!” เสียงประกาศกร้าวทำให้ทั้งห้องที่เงียบอยู่แล้วเงียบลงจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนข้างๆ



   “คุณรู้กันไหมว่าทำไมพวกผมถึงนัดพวกคุณมาพร้อมกันที่นี่!!!”



   ไม่รู้ครับ



   คำตอบที่บุ๋นอยากจะตอบออกไปแต่ทำได้แค่เพียงเก็บไว้ในใจ การโดนเพ่งเล็งตั้งแต่ช่วงแรกๆของการเข้าห้องเชียร์ทำให้เขาต้องคอยระวังตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ลำพังแค่ตัวเองไม่มีปัญหาอะไร แต่การที่เพื่อนคนอื่นๆโดนทำโทษเพราะเขาด้วยมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ



   “เพื่อนผมถามทำไมไม่ตอบ” พี่ระเบียบที่ยืนเป็นกรอบตะโกนถามก่อนที่เสียงเดียวจะเพิ่มเป็นสองเสียงและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนจับใจความไม่ได้




   ความกดดันในห้องประชุมทำให้บุ๋นได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นจากคนที่อยู่แถวใกล้ๆเขา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงพวกนี้แต่เขาต้องอดทนให้มากที่สุด สิ่งที่รุ่นพี่ทำก็แค่การฝึกความอดทนในหมู่เด็กปีหนึ่งก็แค่นั้น



   “พวกคุณรู้ไหมทำไมพวกผมถึงไม่นัดวันเวลาที่ชัดเจนกับพวกคุณ”




   เป็นอีกครั้งที่ห้องประชุมเงียบลง ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น ไม่มีเสียงจากรุ่นพี่คนไหน มีแต่เสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ บุ๋นถอนหายใจยาวๆ เขาไม่ชอบอยู่ในสภาวะที่กดดันแบบนี้เพราะเขารู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด



   “เพราะพวกพี่อยากให้พวกเราแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าค่ะ” ผู้กล้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ทุกคนในห้องรู้ว่ามือที่ยกตรงแนบชิดใบหูอยู่นั้นสั่นจนแทบจะยกไม่ไหว




   “พวกพี่อยากเห็นความสามัคคีของพวกเรา”



   คำตอบจากหนึ่งเริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆจนทั้งห้องประชุมกลับมามีเสียงดังอีกครั้ง บรรดานักศึกษาปีหนึ่งต่างยกมือกันตอบสลับกันจนพี่ระเบียบยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด



   “คำตอบของพวกคุณมันก็ถูก แต่ความจริงแล้วที่พวกผมไม่บอกเพราะอยากรู้ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกผมตั้งใจทำให้พวกคุณมากแค่ไหน” น้ำเสียงดุดันกลับแฝงความอ่อนโยนของรุ่นพี่ระเบียบไว้ในนั้น



   ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง ดวงตาของนักศึกษาปีหนึ่งจับจ้องไปที่พี่ระเบียบเป็นตาเดียวราวกับว่าสิ่งที่รุ่นพี่จะพูดต่อไปคือเรื่องที่พวกเขารอฟังมานาน



   “และพวกคุณก็ทำให้ผมได้รู้ว่า…พวกคุณพร้อมจะเป็นรุ่นน้องของพวกผม เป็นคณะเกษตรแล้วจริงๆ”



   สิ้นเสียงไฟในห้องประชุมก็ดับลง เสียงเรียกบูมของรุ่นพี่ระเบียบดังกึกก้อง ประตูห้องประชุมกลางถูกเปิดออกพร้อมกับรุ่นพี่ปีต่างๆที่วิ่งเข้ามาล้อมรอบรุ่นน้องที่นั่งอยู่ตรงกลาง เสียงเตรียมบูมครั้งที่หนึ่งดังขึ้นเรียกน้ำตาของปีหนึ่งที่เหน็ดเหนื่อยกับการรับน้องให้พรั่งพรูออกมาด้วยความดีใจ เป็นที่รู้กันว่าการรับน้องของคณะเกษตรศาสตร์ได้จบลงพร้อมกับสัญลักษณ์ที่ทุกคนจะได้เพื่อเป็นที่ยืนยันว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของคณะเกษตรแล้วจริงๆ



   เสื้อภาคสนาม



   เสียงบูมจากรุ่นพี่ยังคงดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องประชุม รอยยิ้มจากนักศึกษาปีหนึ่งเปรียบเสมือนกำลังใจที่ทำให้รุ่นพี่บูมจนถึงรอบสุดท้ายที่เป็นเลขรุ่นของพวกเขา รอยยิ้มของปีหนึ่งที่มอบให้รุ่นพี่อย่างเต็มใจและรุ่นพี่ก็พร้อมที่จะทำสิ่งนี้ให้ปีหนึ่งเพื่อให้น้องเก็บภาพความทรงจำดีๆไว้ ให้น้องจำว่าเกษตรของเรามีแต่ความรักและเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น



   การบูมจบลงพร้อมกับไฟในห้องที่ยังคงมืดสนิท แม้ว่าดวงตาจะปรับแสงให้พอเห็นอะไรในห้องได้บ้างแต่พวกเขาก็ยังเดาไม่ออกว่าต่อไปรุ่นพี่จะทำอะไรต่ออีก จนกระทั่งมีเสียงสั่งให้ทุกคนหลับตา แม้ว่าจะไม่เข้าใจแต่ปีหนึ่งทุกคนก็ทำตามที่รุ่นพี่บอก บุ๋นก้มหน้าหลับตาตามเสียงที่สั่งก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนเท้าคนเดินไปทั่วห้องประชุม เป็นการเดินที่ดูวุ่นวายและไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่



   จนทุกอย่างเฉลยออกมาเมื่อมีคำสั่งให้ลืมตา



   แสงไฟจากห้องประชุมที่สว่างขึ้นอีกครั้งด้วยเทียนจากคนที่นั่งตรงหน้า ในมือมีเสื้อภาคสนามกับรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากคนๆนี้มาก่อน คนที่บุ๋นเคยคิดว่าเกลียด คนที่บุ๋นคิดว่าเขาหาวิธีต่างๆมาแกล้งเพื่อให้ตัวเองสนุก คนที่เคยสั่งให้เขาไปวิ่งรอบมหาลัย คนที่เป็นคนบังคับส่งเขาให้ประกวดเดือนคณะ เป็นคนเดียวกับที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้



   พี่ระเบียบ



   “คนนะไม่ใช่ผี ตกใจอะไรขนาดนั้นวะ” รุ่นพี่ระเบียบที่ใครๆก็ว่าโหดกลับยิ้มออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ ใบหน้าที่บึ้งตึงตอนนี้ไม่หลงเหลือความโหดให้บุ๋นได้เกรงกลัว




   “ผมไม่เข้าใจ” บุ๋นพูดออกมาเสียงเบา



   นี่มันเรื่องอะไรกัน




   “ไม่เข้าใจอะไรวะ ก็เราเป็นสายรหัสกัน วันนี้พี่มึงไม่ว่างกูเลยเป็นคนมามอบเสื้อภาคสนามให้มึงแทน”



   “สายรหัสงั้นหรอครับ”



   แม้จะรู้มาก่อนว่าสายรหัสของคณะเกษตรจะเฉลยวันสุดท้ายนั่นคือวันรับเสื้อภาคสนามแต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสายรหัสของเขาจะมีพี่ระเบียบที่ดูจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่อยู่ด้วย



   “เออดิวะ” พี่ระเบียบหัวเราะ “ความจริงกูก็เทคมึงเยอะนะ แต่มึงไม่รู้ตัวสักที”



   “เทคหรอครับ” บุ๋นขมวดคิ้ว “เทคที่ว่านี่อย่างเช่นสั่งผมวิ่งรอบมหาลัยรึเปล่า”



   “อืม คิดว่าใช่นะ” รุ่นพี่หัวเราะ “กูชื่อใบ มึงจะเรียกกูว่าอะไรก็เรื่องของมึง ส่วนมึงชื่อบุ๋นใช่ไหม”   



   “ครับ บุ๋นครับ”



   “ยื่นมือมาสิ เดี๋ยวกูผูกข้อมือให้” พี่ใบพูดก่อนจะหยดน้ำตาเทียนเพื่อให้ตั้งเทียนได้ก่อนที่จะหยิบสายสิญจน์ในกระเป๋าเสื้อออกมา



   บุ๋นยื่นมือไปตรงหน้ารุ่นพี่ที่เคยหนีหน้ามาตลอด ไม่ใช่เพราะเขากลัวแต่เพราะเขารู้สึกว่าทุกครั้งที่เจอกันเขาจะต้องเจอเรื่องแย่ๆอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้รุ่นพี่กลับเป็นคนเดียวกับที่นั่งผูกข้อมือให้เขา



   “อะไรที่กูเคยแกล้งมึงหรือทำให้มึงไม่พอใจกูก็ขอโทษด้วย” สายสิญจน์ที่ลนน้ำตาเทียนตรงกลางถูกเป่าลมเบาๆเพื่อไม่ให้ร้อนระหว่างผูกข้อมือ “กูดีใจที่สายรหัสเรามีมึงมาเป็นน้อง สายกูจะได้มีคนหล่อๆบ้าง”



   “ครับ” บุ๋นอดหัวเราะไม่ได้กับคำพูดที่ดูภาคภูมิใจของรุ่นพี่ใบ



   “กูจำได้นะที่มึงเคยบอกว่าจะจีบหมอ เอาจริงๆกูก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก แต่ก็ขอให้จีบติด เอาใจช่วย” พี่ใบผูกเสร็จพร้อมกับมือหนักๆที่เอื้อมมาตบบ่า “หลังจากวันนี้ไปมีอะไรมึงปรึกษากูได้ตลอด”



   “ขอบคุณนะครับ”



   “แต่ถ้าเป็นเรื่องเรียนมึงก็ไปถามคนอื่นเถอะ กูโง่” รอยยิ้มเล็กๆเผยออกมาก่อนที่รุ่นพี่จะหยิบเสื้อภาคสนามที่วางอยู่ข้างตัวมาถือไว้ “เสื้อภาคสนามของมึง ปักรหัสของมึง”



   “…”



   “มึงรู้ความหมายของเสื้อภาคสนามใช่ไหม”




   “ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเหมือนที่พี่จะบอกรึเปล่า”



   “อืม” พี่ใบพยักหน้า “งั้นบอกใหม่”



   “ครับ” บุ๋นตั้งใจรอฟังอย่างใจจดใจจ่อยิ่งทำให้รุ่นพี่ที่ได้รับฟังเรื่องมาจากรุ่นสู่รุ่นเริ่มออกอาการเกร็ง



   “เสื้อภาคสนามมึงกูรู้ว่าเราต้องใส่เวลาไปลงพื้นที่ มันแสดงถึงความลำบากกว่าที่จะได้อะไรมาสักอย่าง เสื้อนี้ก็เหมือนกับตัวแทนของเด็กเกษตร เขาว่ากันว่าถ้าเอาเสื้อภาคสนามไปสวมให้ใครเป็นคนแรก ก็เหมือนเป็นการบอกว่า…เราจะไม่ทำให้เขาต้องลำบากเพราะเราจะลำบากแทน”



   “อ่อ…”



   “มันก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา เป็นความเชื่อของพวกรุ่นพี่”



   “แล้วพี่เคยทำจริงไหมครับ?” คำถามที่ตั้งใจฟังคำตอบของบุ๋นทำให้พี่ใบอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม



   “อืม ทำแล้ว”



   “แล้วได้ผลไหมครับ?”



   “ไม่ว่ะ…เขาไม่พร้อมจะลำบาก”



   “…” คำพูดของพี่ใบทำให้คนฟังถึงกับเงียบไปพักใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าอนาคตก่อนที่จะสบายเขาก็ต้องผ่านช่วงที่ลำบากก่อน



   ถ้าถึงตอนนั้น…หมอฐานทัพพร้อมจะลำบากไปกับเขาด้วยรึเปล่า




   “แต่รุ่นพี่บางคนที่เอาวิธีนี้ไปทำก็แต่งงานไปหลายคู่นะ”




   “หรอครับ”




   “มึงมีคนที่อยากจะสวมให้แล้วหรือไง ดูสนใจเป็นพิเศษ”




   “มีแล้วครับ” บุ๋นระบายยิ้ม “แต่ผมไม่รู้ว่าเขาอยากจะสวมมันรึเปล่า”



   “ต้องอยากสิวะ” พี่ใบพูดให้กำลังใจ



   “…”



   “ใครๆก็อยากสวมเสื้อของเดือนคณะอย่างมึง”




   “ครับ” เขาไม่อยากให้คนอยากสวมเสื้อของเขาเพราะเขาเป็นเดือน



   เขาอยากให้คนๆนั้นสวมเสื้อของเขาเพราะเห็นเขาเป็น…บุ๋น



   จาก…คนส่งแครอท
   ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ พี่ช่วยมาเจอผมที่แปลงเกษตรหน่อยได้ไหมครับ
   แต่ถ้าพี่ไม่สะดวก เดี๋ยวผมไปรับเอง ^^


 
   ฐานทัพเลื่อนสายตาอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอก่อนจะกดส่งกลับไปทันทีหลังจากที่ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงพักก่อนจะเรียนต่ออีกชั่วโมงกว่าๆ
         

 
   เดี๋ยวไปเอง แต่เลิกดึกหน่อย
 


   จาก…คนส่งแครอท
   ไม่เป็นไรครับ ผมจะรอ

 


   ฐานทัพปิดโทรศัพท์ลงหลังจากที่อ่านข้อความล่าสุดแล้ว ร่างสูงบิดขี้เกียจเล็กน้อยกับวิชาที่ต้องใช้สมาธิและทักษะในการจดเลกเชอร์ที่ค่อนข้างเร็วจนรู้สึกปวดมือ หันไปข้างๆตัวก็ได้แต่ถอนหายใจกับเพื่อนสนิทที่หลับไปตั้งแต่ต้นคาบ



   เสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติของคนที่กำลังนอนหลับอยู่ให้เด้งตัวลุกขึ้นพร้อมกับอ้าปากหาวออกมา เขาได้แต่ส่ายหน้ากับความขี้เกียจของคินก่อนจะตั้งใจเรียนอีกครั้ง



   อีกชั่วโมงกว่าๆก็เลิกแล้ว




   การเรียนวิชาสุดท้ายจบลงไวกว่าที่คิดไว้เกือบครึ่งชั่วโมง อาจเพราะนักศึกษาตั้งใจฟังจนอาจารย์เห็นใจเพราะสีหน้าของแต่ละคนดูเหน็ดเหนื่อยทำให้เลิกคลาสเร็วกว่าปกติ ร่างของนักศึกษาปีสามเดินออกมาจากห้องด้วยสภาพไม่ต่างกัน ผิดกับฐานทัพที่ดูจะเดินออกมาเร็วเป็นพิเศษ เขามีสิ่งที่จะต้องทำต่อและสิ่งนั้นค่อนข้างรบกวนสมาธิเขาพอสมควร



   “จะไปไหนวะ” คินถาม



   “ธุระ” ฐานทัพทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินปลดล็อคกุญแจจักรยานแล้วรีบคร่อมจักรยานปั่นออกไป




   เวลาเกือบสองทุ่มทำให้ตึกคณะเกษตรค่อนข้างเงียบสงัด อาจเพราะส่วนหนึ่งเรียนเสร็จไปตั้งแต่ช่วงบ่าย อีกส่วนไม่มีงานที่จะต้องเร่งทำเลยทำให้คณะดูเงียบกว่าปกติ ฐานทัพค่อยๆเดินไปยังแปลงเกษตรที่บุ๋นนัดช้าๆ เขาเคยมาแค่ครั้งเดียวเลยกลัวว่าจะไปผิดทาง



   “สะ…สวัสดีครับพี่” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นหากแต่คนๆนั้นไม่ได้พูดกับเขา



   ฐานทัพมองร่างสูงที่ยืนพูดคนเดียวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เขาจะเอ่ยทักอะไรออกไปร่างที่อยู่ตรงแปลงเกษตรก็พูดขัดขึ้นมา




   “จะตะกุกตะกักทำไมวะบุ๋น” เขาดูโมโหไม่น้อยกับอาการของตัวเองที่แสดงออกมา “เอาใจช่วยกันด้วยนะเจ้าแครอท” บุ๋นหันไปพูดกับแปลงแครอทที่เขาเป็นคนปลูกให้หมอฐานทัพก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ



   ฐานทัพหยุดยืนดูสิ่งที่บุ๋นทำอย่างนึกสนใจ รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่บุ๋นกำลังทำอยู่แต่เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจที่บุ๋นแสดงออกมา




   “ผม…ผมอยากให้พี่” ใบหน้าของบุ๋นยิ้มออกมาไม่เต็มปากราวกับเรื่องที่ต้องการจะพูดเป็นเรื่องสำคัญ “ผม ผมไม่รู้ว่าพี่จะรังเกียจไหม”



   “…”




   “พูดยังไงดีวะ” เขาบ่นกับตัวเองอีกครั้ง



   ไม่บ่อยครั้งนักที่บุ๋นจะมีความรู้สึกแบบนี้ ความจริงแล้วเขาอยากจะพูดอะไรออกไปก็พูดได้ แต่สำหรับเรื่องนี้มันสำคัญมากสำหรับเขา



   ถ้าหมอไม่ยอมใส่ ก็เหมือนเขาโดนปฏิเสธทางอ้อม



   ฐานทัพเลือกที่จะแอบมอบต่ออีกสักพัก เขาเองก็อยากจะรู้ว่าบุ๋นกำลังทำอะไรอยู่ ยอมรับตรงๆเลยว่าเขาไม่อาจละสายตากับภาพตรงหน้าได้แม้แต่วินาทีเดียว




   “พี่จะรังเกียจผมไหม ถ้าผม…ผม…ผม” บุ๋นตะกุกตะกักอีกครั้ง ท่าทางเก้ๆกังๆเหมือนเป็นครั้งแรกทำให้ฐานทัพยิ้มอีกครั้ง




   ดูไปดูมาก็น่ารักดี




   “บุ๋น” ฐานทัพตัดสินใจเรียกออกไปเมื่อเห็นว่าปล่อยให้บุ๋นฟุ้งซ่านนานเกินไป



   “ครับ!” ร่างสูงสะดุ้งสุดตัว อย่างกับไม่ทันได้เตรียมใจเมื่อเห็นฐานทัพมาถึงแล้ว



   มือที่ถือเสื้อภาคสนามรีบไขว้ไปด้านหลังเพื่อไม่ให้หมอรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร รอยยิ้มประหม่าเผยออกมาก่อนที่น้ำเสียงของคนตื่นเต้นจะเอ่ยถาม



   “มา…มานานรึยัง…ครับ” บุ๋นยกมือข้างหนึ่งเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาจากความตื่นเต้น



   แม้ว่าพี่ใบจะบอกว่าเป็นแค่ความเชื่อที่เชื่อต่อๆกันมาแต่เขาเองก็อดที่จะคิดมากไม่ได้ ก่อนที่จะออกจากห้องประชุมก็ได้ยินเพื่อนๆพูดถึงเรื่องความเชื่อนี้จนเขาเองก็แอบคาดหวังลึกๆ




   หวังว่าจะผ่านไปด้วยดี




   “พึ่งถึง” ฐานทัพโกหกออกไป ถ้าเขาบอกไปตรงๆว่ามาถึงตั้งแต่ตอนที่เห็นคนกำลังคุยกับแครอทคงจะทำให้บุ๋นทำตัวไม่ถูก




   ไม่บอกคงดีกว่า




   “อ่อ…ครับ”




   “ว่าไง” ฐานทัพมองบุ๋นที่ดูประหม่าเป็นพิเศษ เขาไม่เคยเห็นบุ๋นมีท่าทางไม่มั่นใจเท่าวันนี้มาก่อน คล้ายกับว่าเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก




   แล้วมันจะเป็นเรื่องอะไร




   “ผม…ผม…คือผม” บุ๋นติดอ่างอีกครั้ง ความจริงก็ซ้อมมารอบหนึ่งแล้วแต่ก็เท่านั้น ตอนซ้อมเขาเองก็พูดติดๆขัดๆไม่ต่างกับพูดจริงๆ




   ตั้งสติหน่อยสิวะบุ๋นเอ้ย




   “ตื่นเต้นหรอ” ฐานทัพถามออกไป ไม่ต้อบตอบเขาก็ดูออก แค่อยากถามให้อีกคนผ่อนคลาย




   “ครับ…ตื่นเต้นมาก”




   “ใจเย็น”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะมีความกลัวซ่อนอยู่ลึกๆแต่เขาก็พยายามข่มมันไว้ข้างใน




   ไม่เป็นไรนะบุ๋น…ไม่เป็นไร



   “ผม…ผม…” ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อมือของฐานทัพก็เอื้อมมาวางไว้ที่บ่าบุ๋นเบาๆอย่างเข้าใจ



   “เครียด?”



   “เปล่าครับ” บุ๋นส่ายหน้า “ผมแค่กลัว”




   “อืม” เขาพยักหน้าเข้าใจ “พูดมา”




   “วันนี้ผมได้รับเสื้อภาคสนาม”




   “ไหน” ฐานทัพถามเพื่อให้คนตรงหน้าคลายความกังวลลง บุ๋นค่อยๆเอาเสื้อที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาให้ฐานทัพดูช้าๆ




   “นี่ครับ ปักรหัสผมด้วยนะ”




   เสื้อภาคสนามแขนยาวสียีนส์เข้มปักรหัสไว้บนกระเป๋าซ้าย รหัส 8590001021 ข้างหลังเขียนชื่อคณะตัวใหญ่แสดงถึงความเป็นเด็กคณะเกษตรรุ่นสู่รุ่น




   “สวยดี”




   “เขามีความเชื่อกันว่า ถ้าเอาไปให้ใครสวมเป็นคนแรก คนๆนั้นจะไม่ลำบาก”




   “ทำไม”




   “เพราะเจ้าของเสื้อจะลำบากแทน” บุ๋นสบตาคนตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก




   “อืม”




   “พี่อยากสวมเสื้อของผมไหม?”




   “…” ฐานทัพนิ่งเงียบไป เขามองหน้าคนตรงหน้ากลับด้วยสายตาไม่เข้าใจ แม้ว่าจะอยากถามออกไปแต่ก็ไม่รู้จะถามว่ายังไง




   “ผมอยากให้คนแรกที่สวมเสื้อเป็นพี่”




   “เพราะอะไร”




   “ผมอยากให้เป็นพี่”




   “แน่ใจแล้วหรอ”




   “ครับ ผมมั่นใจว่าผมตัดสินใจไม่ผิด”




-----------------------------------------
เสื้อภาคสนามเป็นเพียงสิ่งที่นักเขียนคิดขึ้นมาเองนะคะ
เผื่อใครเรียนเกษตรแล้วจะท้วงว่าทำไมไม่มีบ้างงT3T
แต่จากที่เคยคุยกับคนที่เรียนบางคนก็บอกมีเสื้อลงสนามแต่ไม่ได้มีความเชื่ออะไรแบบนี้
หรือว่าถ้าที่ไหนที่มีความเชื่อแบบนี้บอกกันหน่อยน้า จะได้ฟินด้วย 55555555555

ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์นะคะ เราตั้งใจแต่งมากๆอยากคนคนที่อ่านมีรอยยิ้ม
ขอบคุณและติดตามกันไปนานๆนะคะ ^^

ออฟไลน์ toeyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านไปยิ้มไปตลอดเลย
ตอนนี้บุ๋นตลกดี 555555  ยังไงหมอก็เห็นใจน้องหน่อยนะ อุตส่าซ้อมมาทั้งที

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด