[จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] ▲△ (ผม)จีบหมอ Beside you ▼▽.: [25: ผมรักหมอ 100%] 27/01/60 หน้า8  (อ่าน 150243 ครั้ง)

ออฟไลน์ janny_j

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านอยู่นะคะ รักพี่หมอ น้องบุ๋นนนนนน

ออฟไลน์ loocbomb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 นี่เราสมัครสมาชิคเพื่อมาเม้นเรื่องนี้เลยนะเนี่ย55555
บุ๋นมีความน่าร้ากกกกแต่นางก็มีความแมนอยู่ในตัวจนบางโมเม้นนี่แอบสับสนว่าใครเป็นพระเอกนายเอกกันแน่ แต่ด้วยความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวของฐานทัพแล้วเราว่าเอาน้องบุ๋นได้อยู่หมัดแน่นอน กิกิ
รออ่านนะค่าาา เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าา  :mew1:

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บุ๋นน่ารัก บางทีพ่อแม่อาจรู้เนอะ

รอต่อไป ละมุนน

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

   “พี่ง่วงก็นอนเลยนะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำบอกกับคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง



   “อืม ไม่เป็นไร” เขาไม่อยากปล่อยให้บุ๋นต้องขับรถกลับคนเดียว “เดี๋ยวอยู่คุยด้วย”



   “หืม คุยเรื่องอะไรดีครับ” บุ๋นหัวเราะ



   “ไม่รู้” ฐานทัพไม่ใช่คนคุยเก่งแต่เขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่บุ๋นขับรถ มันคงไม่ดีถ้าเขาจะสบายคนเดียวโดยปล่อยให้อีกคนต้องเหนื่อย




   “พี่เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมผมกับพี่ถึงได้รู้จักกัน” บุ๋นเปิดประเด็นที่น่าสนใจพอที่จะทำให้ฐานทัพตั้งใจฟัง




   “สงสัย” เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่เลิกสงสัยไปแล้ว”




   จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสงสัยตอนไหนและความสงสัยนั้นหายไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็จำชื่อคนๆนี้ได้ขึ้นใจ แม้จะอยู่กันคนละคณะคนละฟากของมหาวิทยาลัยแต่นั่นดูไม่เป็นปัญหาสำหรับการเจอกันของเขาและบุ๋น




   คิดๆดูแล้วก็แปลกดี




   “ทำไมถึงเลิกสงสัยล่ะครับ” บุ๋นถามต่อ




   “ไม่รู้” ฐานทัพไม่ใช่คนที่จะเก็บเรื่องทุกอย่างมาคิดจนได้คำตอบ ในบางครั้งถ้าเขารู้สึกว่าปัญหาที่เกิดมันนานเกินไปเขาก็เลือกที่จะลืมเพื่อไม่ให้กวนใจในการใช้ชีวิต




   แต่บางเรื่องก็ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ




   “แล้วพี่อยากรู้ไหมครับ?” บุ๋นหันมาถาม บางทีในตอนนี้เขาคิดว่าเขาถึงเวลาที่ควรจะบอกความรู้สึกบางส่วนที่มีต่อหมอฐานทัพ




   กลัวว่าถ้าบอกทั้งหมดออกไปพร้อมกันหมอจะรับไม่ไหว




   ความรู้สึกของเขามันมากเกินไป…



   “อืม” คำสั้นๆที่เปล่งออกมาเรียกรอยยิ้มจากคนข้างๆได้ไม่น้อย แม้จะเป็นคำแค่พยางค์เดียวแต่นั่นก็พอให้บุ๋นรู้ว่าคนข้างๆกำลังตั้งใจรอฟัง



   “ผมอยากรู้จักพี่”




   “ทำไม?”




   “เพราะเป็นพี่ ต้องเป็นพี่” บุ๋นพูดไปยิ้มไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำมีสายตาของฐานทัพจับจ้องอยู่ รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น




   สิ่งหนึ่งที่ฐานทัพรู้สึกคือ…เขายิ้มบ่อยขึ้น




   “ผมดีใจนะที่พี่ยอมให้ผมได้สนิทกับพี่ ได้รู้จักพี่ได้…เอ่อ ได้ ได้ติวหนังสือ” บุ๋นพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที เขาเกือบหลุดพูดออกไป




   เกือบหลุดว่าได้ใกล้ชิดกับหมอฐานทัพ…




   “ผม…ผมดีใจมาก…มากมาก” บุ๋นยิ้มกว้างจนเก็บอาการไม่อยู่ วันแรกเขารู้สึกกับหมอยังไงจนถึงวันนี้เขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม




   เขาไม่เคยรู้สึกน้อยลงเลย




   “ดีใจที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกของพี่” สายตาที่ทอดมองเส้นทางข้างหน้าไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาคนข้างๆ บุ๋นรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวที่เริ่มแผ่ซ่านทั่วใบหน้า




   “ผมดีใจที่พี่จำชื่อผมได้”



   “ย้ำบ่อย จำไม่ได้ก็ตลก” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะตอบออกไป เขาจำได้ว่าช่วงแรกๆบุ๋นย้ำชื่อตัวเองกับเขาบ่อยมากจนเขาจำได้ขึ้นใจ




   คนอะไรย้ำชื่อตัวเอง




   “ผมกลัวพี่ลืม”




   “ทำไมต้องกลัว”




   “กลัวไม่ได้สนิทกับพี่” บุ๋นตอบออกไปตรงๆ เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะพูดถ้อยคำที่กลั่นกรองออกมาจากใจ “ผมอยากให้พี่จำ ไม่อยากให้ลืม”




   “จำแล้ว” ฐานทัพตอบ “ไม่ลืม”




   “ผมรู้แล้ว” บุ๋นพยักหน้าเบาๆ “แล้วตอนแรกพี่เจอผมพี่รู้สึกยังไง”




   “เอาความจริง?”




   “ครับ ความจริง”



   “เพี้ยน”




   “เพี้ยนหรอ” ไปต่อแทบไม่ถูกเมื่อได้ยินคำนี้ออกจากปากหมอฐานทัพ บุ๋นหัวเราะออกมาก่อนจะคิดไปถึงครั้งแรกที่เจอกัน




   ไม่แปลกที่หมอจะคิดแบบนั้น




   “แล้วตอนนี้ละครับ…รู้สึกยังไง”




   “อืม…” ฐานทัพนิ่งเงียบไป เขาหันไปมองคนข้างๆ ความมืดจากสองข้างทางทำให้เขาเห็นสีหน้าของบุ๋นไม่ชัดเจน




   “ตอบยากหรอครับ”




   “ไม่ยาก”




   ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันเขาเห็นบุ๋นในหลายมุม ได้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ทั้งรอยยิ้มเสียงหัวเราะ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ เขาเคยสงสัยมาตลอดว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไรและคิดว่าตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว




   “ชอบ” คำสั้นๆที่พูดออกมาหากแต่ว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อคนข้างๆ เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ไม่ใช่คนที่ไวต่อความรู้สึก แต่ครั้งนี้เขารู้สึก




   ชอบ…จริงๆ



   “ชอบผมหรอครับ?” บุ๋นถาม แม้น้ำเสียงจะเรียบๆแต่ใครจะรู้ว่าเสียงหัวใจของบุ๋นเต้นแรง เขารู้สึกดีจนแทบจะตะโกนออกมาดังๆให้โลกรู้



   ชอบ แค่คำๆเดียวจริงๆ



   “อืม” คำยืนยันจากปากคนข้างๆทำให้บุ๋นยิ้มกว้าง คนยิ้มเก่งถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อจู่ๆหมอก็พูดออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม



   “ชอบแบบไหนครับ”




   “ชอบแบบฐานทัพ” เขาหันไปสบตาคนข้างตัวก่อนจะยิ้มบางๆ ทุกอย่างที่พูดไปนั่นคือความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี




   “ชอบแบบฐานทัพเป็นยังไงหรอครับ” บุ๋นถามกลับตามประสาคนซื่อแอบเจ้าเล่ห์ แม้ว่าจะพอเดาออกแต่เขาก็อยากจะได้ยินจากปากของหมอ




    “ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับ “คิดเอง”




   “พิเศษกว่าคนอื่นรึเปล่าครับ”




   “อืม” เขารับคำสั้นๆ




   “…”




   “ไม่เคยพูดกับใคร”



.

   ท้องถนนที่เริ่มเคลื่อนตัวได้สะดวกทำให้รถขยับได้เรื่อยๆ บุ๋นกับฐานทัพพึ่งขึ้นรถเมล์เพื่อกลับมอหลังจากที่เอารถกลับไปจอดที่บ้านและให้อาหารเจ้าอ้วนเสร็จแล้ว นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง แม้รถจะไม่ติดมากแต่กว่าจะถึงหอก็น่าจะปาไปห้าทุ่มกว่า




   ฐานทัพหันไปมองคนที่นั่งติดกระจกสายตาทอดมองการจราจรข้างนอก ในรถเมล์คันที่นั่งค่อนข้างโล่งทำให้ไม่น่าอึดอัดเหมือนทุกๆครั้งที่เคยขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของบุ๋นค่อยๆหลับลงด้วยความอ่อนเพลียจากการขับรถและไปช่วยงานที่บ้านสวนมาทั้งวัน




   ตลอดทางกลับบ้านฐานทัพไม่ได้นอนอย่างที่บอกกับบุ๋นไว้เพราะลึกๆแล้วเขาก็รู้ว่าอีกคนก็เหนื่อยไม่ต่างจากเขา ถึงแม้บุ๋นจะเหนื่อยแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะไม่ได้รับรอยยิ้มจากคนข้างๆ บางครั้งเขาเองก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงยังยิ้มทั้งๆที่ตัวเองเหนื่อยแทบจะหมดแรง




   บุ๋นมาทำลายทุกทฤษฎีที่เขาเรียนมา เป็นคนที่เขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตของเขาจะได้เจอ ทั้งที่คิดว่าคินร่าเริงและดูมีความสุขที่สุดแต่พอมาเจอบุ๋นความคิดเขาก็เปลี่ยนไป บุ๋นทำให้เขารู้สึกอยากจะสนุกไปกับบุ๋นด้วย แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบุ๋นมันน่าสนใจไปหมด




   หงึก




   ฐานทัพหันไปมองหัวที่โงนเงนไปมาราวกับหาที่พักพิงไม่ได้ ท่าทางของบุ๋นตอนนี้ดูหมดสภาพคล้ายกับต้องการการพักผ่อนสูง มือหนาค่อยๆประครองศรีษะของบุ๋นให้เอนมาทางไหล่เขาก่อนจะนั่งยืดตัวไปข้างหน้ามากกว่าเดิมเพื่อให้ไหล่ต่ำลงเพื่อไม่ให้คนที่นอนอยู่ปวดต้นคอ




   ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฐานทัพกลายเป็นคนใส่ใจอีกคนมากขนาดนี้…




   ภาพเหตุการณ์ต่างๆย้อนกลับมาทำให้คนยิ้มยากเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง บางทีฐานทัพก็รู้สึกว่าเขาติดนิสัยยิ้มบ่อยมาจากบุ๋น เขายังจำวันแรกที่เจอบุ๋นได้อย่างดีและนึกสงสัยว่าทำไมถึงจำได้ทั้งๆที่ปกติเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา แต่เหมือนบุ๋นเป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกๆอย่าง




   ท่าทางตะกุกตะกัก ท่าทางพูดไม่รู้เรื่อง ท่าทางที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับตัวเอง แววตาประหม่า สีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มทั้งๆที่ตัวเองกำลังกังวล ทุกๆอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เขาเห็นได้จากคนๆเดียวและนั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขามองว่า




   บุ๋น…ไม่เหมือนคนอื่นที่เคยรู้จัก




   บางครั้งเขารู้ว่าบุ๋นกำลังรู้สึกแย่แต่ทุกๆครั้งที่เขาเห็นบุ๋นก็มักจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มหรือคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าบุ๋นจะเจอเรื่องมามากมายแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่อยู่กับเขา…เหมือนเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น




   อะไรๆเริ่มชัดเจนและยิ่งชัดเจนมากขึ้น




   เมื่อวาน…




   หลังจากที่ไปกินข้าวเสร็จเขาก็ยังไม่เข้าใจในเสื้อภาคสนามที่บุ๋นขอให้เขาสวมและคนที่จะให้คำตอบเขาได้ดีที่สุดก็คงจะเป็น google เขาพิมพ์คำว่าเสื้อภาคสนามพร้อมกับคำถามสั้นๆเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลที่ไปในทางเดียวกันกับที่เขาสงสัย จนได้มาเจอกับกระทู้หนึ่งที่ตั้งขึ้นในเว็บบอร์ดข่าวสารของมหาวิทยาลัย เว็บบอร์ดที่นักศึกษาจะเข้ามาตั้งกระทู้เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสอบ เรื่องลงทะเบียนเรียนหรือเรื่องความเชื่อของแต่ละคณะ




   เหมือนกระทู้นี้…



                                   ‘แฟนเอาเสื้อภาคสนามของคณะเกษตรมาให้ใส่ หมายความว่ายังไงคะ?
                                         ถามไปเขาก็ไม่ตอบบอกว่าให้ไปถามคนอื่นเอง งงมากเลยค่ะ’


   ฐานทัพเลื่อนลงอ่านความเห็นด้วยความสนใจ ข้อความที่ตอบมาเกือบสิบข้อความล้วนมาจากนักศึกษาคณะเกษตรที่เล่าความเชื่อแตกต่างกันออกไป สายตาของเขาสะดุดเข้ากับความเห็นล่าสุดที่พึ่งเข้ามาตอบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว


   KAP : เสื้อภาคสนามส่วนมากก็เอาให้แฟนใส่ครับหรือว่าคนที่กำลังจีบอยู่ ส่วนความหมายที่ผมเคยได้ยินมาเขาบอกว่า เป็นการสัญญาว่าจะดูแลเขา ไม่ให้เขาต้องลำบากเพราะเราจะลำบากแทน ประมาณนั้นครับ


   แฟน…




   ฐานทัพนิ่งเงียบไปกับคำตรงหน้านานกว่าสิบนาที ก่อนจะค่อยๆเลื่อนอ่านความเห็นถัดไป แม้ว่าจะมีหลายความเชื่อแต่ที่อ่านคร่าวๆโดยสรุปก็คือจะนิยมให้แฟนสวมหรือไม่ก็เป็นคนที่กำลังจีบอยู่




   เขากับบุ๋นไม่ได้เป็นแฟนกัน งั้นก็เหลือแค่…




   คิดขึ้นมาเขาก็รู้สึกถึงไอร้อนๆอีกครั้ง ฐานทัพสลัดความคิดของตัวเองก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่ยังคงนอนหลับสบายอยู่ คงเหนื่อยมาทั้งวันจริงๆ




   ในตอนนี้เขายังมีเวลาที่จะให้คนข้างๆนอนซบเพื่อพักผ่อนแต่เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เขายังจะมีเวลาที่จะทำแบบนี้ได้อีกรึเปล่า บางครั้งการที่เป็นแบบนี้ยังพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนดำเนินต่อไปเรื่อยๆ 




   แต่…จะเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกนานแค่ไหน

.
   
   แรงสะกิดจากคนข้างๆทำให้บุ๋นค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่ารถเมล์กำลังจะจอดหน้ามหาวิทยาลัย บุ๋นหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะรู้ตัวว่า…




   เขาซบไหล่หมอตลอดทาง!!!




   “พี่ครับผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลับ คือมันเผลอ คือมัน…”




   “ไม่เป็นไร รู้ว่าเหนื่อย”




   “ผม…”




   “ถึงแล้ว ไปเถอะ” ฐานทัพพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ




   เขาทั้งคู่ควรที่จะรีบกลับไปที่หอเพื่ออาบน้ำนอนจะได้พักผ่อนหลังจากที่ช่วยบ้านสวนมาทั้งวัน ตัวฐานทัพเองไม่เหนื่อยเท่ากับบุ๋นที่ทั้งยกของทั้งขับรถ เขาเลยไม่หลับเพื่อให้อีกคนที่เหนื่อยกว่าพักผ่อนแทน




   “พี่ไม่ได้นอนเลย ผมขอโทษนะครับ” บุ๋นยังรู้สึกผิดอยู่ เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปตอนไหน




   “เดี๋ยวก็ได้นอน” ฐานทัพตอบกลับระหว่างทางเดินไปที่จักรยานที่จอดไว้




   “ขอบคุณนะครับพี่”




   “ไม่เป็นไร” เขาตอบ “พรุ่งนี้ซ้อมเช้า กลับไปก็รีบนอน”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มกว้าง เขาเดินไปที่จักรยานที่จอดอยู่ก่อนจะปลดล็อกกุญแจแล้วขึ้นคร่อมจักรยานเตรียมจะปั่นกลับ “เดี๋ยวผมปั่นไปส่งพี่ที่หอ”




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”




   “แต่ว่าผม…”




   “บุ๋น” น้ำเสียงนิ่งๆที่เอ่ยออกมาทำเอาคนที่กำลังคิดหาข้ออ้างชะงักไป เวลาหมอดุทีไรเขาก็ไม่กล้าขัดทุกที




   “ก็ได้ครับ”




   “ฝันดี” ฐานทัพคร่อมจักรยานเตรียมจะปั่นกลับหอพัก




   “พี่ครับ” บุ๋นเรียกฐานทัพไว้เมื่อเห็นว่าหมอกำลังจะปั่นออกไปจากที่จอดจักรยาน




   “ว่า?”




   “ผม…” บุ๋นเงียบไปก่อนจะรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด ความรู้สึกของเขาล้นทะลักออกมาจนต้องบอกออกไปให้หมอได้รับรู้




   “…”




   “ผมชอบพี่แบบบุ๋น”




   “…”




   “ชอบแบบบุ๋น”



-------------------------------------
ดีใจทุกครั้งที่มีคนติดตาม ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ทุกกำลังใจนะคะ^_^

ออฟไลน์ silverrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เราก็ชอบทั้งแบบบุ๋นและแบบฐานทัพเลย

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อย่างงี้ก้อแย่ละ หัวใจทำงานหนัก ปากก้อ อมยิ้มมม
จะแบบหมอหรือแบบบุ๋นก้อชอบหมดจร้าาาาา ใจเต้นตับๆ :mew1: :hao7:

ออฟไลน์ Skyflower

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew3:ชอบความน่ารักสดใสของบุ๋นจัง

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่สิบแปด


   ดินสอและอุปกรณ์ที่วางอยู่บนโต๊ะถูกกวาดลงใส่กล่องเหล็กอย่างเร่งรีบ หางตามองเวลาที่ใกล้จะถึงเวลานัดหมาย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเร่งให้เขาต้องรีบเก็บของให้เร็วกว่าเดิม



   “เออกำลังไป” น้ำเสียงเหนื่อยๆของคนที่นั่งทำงานมากว่าห้าชั่วโมงเอ่ยขึ้น



   ( เร็วเลยมึง คนเริ่มเยอะแล้ว )




   “อืม รู้แล้ว” เขาเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบกระบอกใส่งานขึ้นมาสะพายไว้พร้อมกับหนีบกระดานวาดรูปไว้ข้างตัว




   งานที่คิดว่าจะเสร็จเร็วดันเสร็จช้ากว่าที่คิดไว้เลยทำให้นั่งทำงานจนลืมเวลา ขาทั้งสองข้างก้าวยาวๆเพื่อเดินลัดไปที่สนามบาสที่กำลังจะมีแข่งบาสในอีกไม่กี่นาทีที่จะถึง เวลาที่เริ่มบีบเข้ามาทำให้เขาเลือกที่จะวิ่งแทนการเดินเร็ว



   วันนี้เป็นวันสำคัญของไอ้สี่…



   ร่างสูงที่วิ่งพร้อมกับของพะรุงพะรังทำให้ชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินสวนกับเขาเข้าอย่างจัง แรงชนทำให้กระดานวาดรูปตกลงพื้น เขารีบเก็บกระดานขึ้นมาเพราะกลัวว่างานที่วาดค้างไว้จะเปื้อน ยังไม่ได้เอาเก็บในกระบอกใส่งานเพราะกลัวไปไม่ทัน




   “ขอโทษครับ” เขาเอ่ยอย่างคนรู้สึกผิด ปกติไม่เคยต้องรีบร้อนอะไรขนาดนี้ยกเว้นเวลาส่งงานอาจารย์




   “คราวหลังก็ดูทาง จะรีบไปไหน” น้ำเสียงตำหนิเอ่ยออกมาจากคนที่โดนชน




   “ครับ”




   “มึงจะไปดุเขาทำไมวะไอ้ป้อง” น้ำเสียงจากเพื่อนอีกคนที่เดินมาด้วยกันเอ่ยอย่างคนไม่คิดมาก “เขาคงจะมีเรื่องรีบ”




   “อืม ไปเถอะ”




   เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงให้ตัวเองอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม เวลาที่บีบคั้นทำให้เขาเลือกที่จะวิ่งต่อไปโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคนที่เขาชนไปเมื่อครู่




   สนามบาสดูคึกคักมากกว่าปกติเพราะมีการแข่งครั้งสำคัญของมหาลัยที่เป็นคู่แข่งกันมายาวนาน เขาหยุดฝีเท้าลงที่กลุ่มเพื่อนที่มานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เกือบจะมาไม่ทัน




   “ไอ้สาม กูนึกว่ามึงนอนจมกองงานตายไปแล้ว” สองอดที่จะแขวะเพื่อนสนิทไม่ได้




   “เออ ความจริงกูจะมาเร็วกว่านี้ แต่มีปัญหานิดหน่อย”




   “อะไรวะ” สองถามอย่างนึกสนใจ




   “ช่างแม่ง คิดแล้วโมโห” พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ก็อดที่จะโมโหไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจชน ขอโทษไปแล้วก็น่าจะจบไม่ใช่มาพูดตำหนิให้รู้สึกผิดไปมากกว่าเดิม





   ไม่รู้สึกผิดหรอก…หึ





   “เออๆ รอดูไอ้สี่ดีกว่า” สองพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเพื่อนที่กำลังวอร์มร่างกายอยู่ในสนาม




   “มันมองหาใครวะ” หนึ่งที่นั่งเงียบตั้งแต่สามมาถึงเอ่ยขึ้น เขาเห็นทางท่าของสี่ดูชะเง้อมองนอกสนามอยู่ตลอดเวลา




   “มองหาพวกเรารึเปล่าวะ” สองเอ่ยอย่างคนไม่รู้ เขาก็พึ่งมาสังเกตว่าไอ้สี่ดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่คล้ายกับว่ารอใครสักคนอยู่



   “มันอาจจะอยากได้กำลังใจจากเรา” หนึ่งคาดการณ์



   “แล้วมันเห็นพวกมึงรึยัง”




   “เห็นแล้ว นั่นไงกำลังเดินมา” สองพูดพร้อมกับโบกมือเรียกสี่ที่เดินตรงมาทางเพื่อนที่ยืนดูอยู่ติดขอบสนาม



   บุ๋นยิ้มมาแต่ไกลเมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสามมารอตั้งแต่ก่อนที่เขาจะแข่ง อย่างน้อยก็ทำให้เขาเบาใจไปได้เปราะหนึ่งว่าวันนี้ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าลึกๆแล้วเขาจะแอบหวั่นแต่ให้ถอยตอนนี้คงไม่ทัน



   “มาเอากำลังใจจากพวกกูอะเด้” สองเอ่ยแซวพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ที่แวะกลับไปเอาที่หอมาเตรียมไว้เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทเป็นคนเหงื่อออกเยอะ




   “เออ สวดมนต์ช่วยกูด้วย” บุ๋นเอ่ยติดตลก เขารับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อก่อนจะหันกลับไปมองที่สนาม




   อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มแข่งแล้ว




   คงไม่มาจริงๆ…




   “มองหาใครอยู่วะ” สามอดที่จะสงสัยไม่ได้ ทั้งๆที่เพื่อนก็นั่งอยู่ตรงนี้แต่ดูเหมือนไอ้สี่จะกำลังหาใครสักคนที่ไม่ใช่พวกเขา




   “กำลังใจ” บุ๋นตอบออกมาก่อนจะถอนหายใจ “กำลังใจไม่มาเลยว่ะ”




   “เอ้า พวกกูนี่ไงกำลังใจ” สองเอ่ยออกมาเสียงดัง “นี่กูโดดเรียนคาบนึงเพื่อมึงเลยนะไอ้สี่”




   “อืม ไอ้สองมาลากตัวกูที่คณะ” หนึ่งบอกบ้าง “ยังคุยงานไม่เสร็จเลย แต่รีบมาเพราะกลัวมึงรอพวกกู”




   “ส่วนกูก็โดนไอ้สองโทรตาม เลยไปมีปัญหากับแม่ง” สามโมโหอีกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น




   “พูดอย่างกับพวกมึงน้อยใจ” บุ๋นหัวเราะ “กูดีใจที่พวกมึงมา นี่กูยิ้มได้เพราะได้กำลังใจจากพวกมึงนะ”




   “เออๆ สู้นะมึง ชนะเดี๋ยวพวกกูพาไปเลี้ยง” สองสรุปเองเสร็จสรรพโดยไม่ถามความเห็นเพื่อนอีกสองคน




   เสียงนกหวีดดังขึ้นเรียกให้นักบาสของแต่ละมหาลัยไปรวมตัวกันเพื่อรอลงสนามในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บุ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อนทั้งสามคน




   อย่างน้อย…กำลังใจเขาก็มาครึ่งหนึ่ง




   ส่วนอีกครึ่งค่อยไปทวงหลังแข่งเสร็จ


.

   นาฬิกาบอกเวลาหกโมงตรง ฐานทัพเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาที่คณะเพื่อฝากงานไว้กับเพื่อนทั้งสองคนที่จะต้องส่งต้นคาบ แม้ว่าจะบอกบุ๋นไปแล้วว่าไม่ได้ไป แต่เขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้




   ไปแค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร




   “อ่าวมึงจะรีบไปไหนวะ” คินเอ่ยถามเมื่อฐานทัพวางงานไว้บนโต๊ะที่เขานั่ง




   “สนามบาส” เขาตอบส่งๆอย่างคนไม่มีเวลาจะคุยเยอะ




   “ไปทำไมวะ” คินยังคงถามต่อ วันนี้เห็นแต่คนทำท่าทางรีบร้อนก็อดสงสัยไม่ได้ ตอนไปกินข้าวกับปกป้องก็เห็นว่าที่สนามบาสมีคนอยู่เต็ม



   วันนี้มีแข่งอะไรหรือไง




   “ไปหา…” ฐานทัพเงียบไปอย่างคนพึ่งนึกได้ว่าเขาเสียเวลาไปเพราะมัวแต่ตอบคำถามของคิน “ไปละ” ฐานทัพตัดบท




   “เห้ยเดี๋ยว” คินยังไม่หยุดสงสัย




   “อะไร”




   “มึงคบกันแล้วหรอวะ”




   คำถามที่ถามออกมาทำเอาฐานทัพนิ่งไปพักใหญ่ แม้จะไม่เอ่ยชื่อแต่เขาก็รู้อัตโนมัติว่าคินกำลังถามถึงใคร คบกันงั้นหรอ…




   “ยัง”




   “เอ้า”




   “เขายังไม่ขอ”




   “แล้วทำไมมึงไม่ขอวะ” คินถามอย่างไม่เข้าใจ จริงๆเขาไม่แปลกใจกับการที่ฐานทัพตอบออกมาแบบนี้เพราะเขาเองก็ดูออกมาสักพัก




   “ขอก่อนได้หรอ” ฐานทัพถามกลับอย่างคนไม่เคยมีประสบการณ์




   “โว้ยยย นี่มึงสอบติดมาได้ไงวะเนี่ย ฉลาดแค่เรื่องเรียนจริงๆสินะ” คินบ่นออกมา เขาเอามือขยี้หัวตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ที่มีต่อเพื่อนสนิท




   ฐานทัพมันฉลาดแค่เรื่องเรียนจริงๆ




   “เออ” เขายอมรับอย่างว่าง่าย “ไปละ รีบ”




   ไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบกลับมาขาทั้งสองข้างก็วิ่งไปที่จักรยานเพราะกลัวไปไม่ทัน ถึงแม้ว่าจะใกล้เข้าเรียนวิชาสุดท้ายของวันแต่ก็อดห่วงไม่ได้




   ไม่ไปไม่ได้จริงๆ




   ฐานทัพจอดลงหน้าตึกตรงข้ามสนามบาสที่มีผู้คนมุงอยู่จนแทบไม่เห็นด้านในสนาม เขารีบข้ามฝั่งมายังสนามบาสก่อนจะแทรกฝูงชนเข้าไปยังด้านในของขอบสนาม ปกติแล้วเขาไม่ชอบอยู่ในที่ๆมีคนเยอะๆแต่เพราะเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกทำให้เขาพาตัวเองเข้ามาถึงขอบสนามด้านในที่มีผู้คนแออัด




   บุ๋นถอนหายใจเป็นรอบที่หกของวันหลังจากที่เขาไม่ได้เจอหมอฐานทัพมาหลายวัน ความจริงเขาก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหมอคงไม่มาเพราะติดเรียน แต่มันก็อดหวังไม่ได้ ยิ่งเห็นคู่ต่อสู้ที่ดูจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองภาพเก่าๆก็ย้อนกลับมาหลอกหลอนเขา




   ไม่เป็นไร…เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป




   “บุ๋น” น้ำเสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นจากข้างหลัง บุ๋นรีบหันไปตามเสียงที่ได้ยินพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเป็นคนเดียวกับที่เขารอ




   “เห้ย ไปไหนวะ จะแข่งแล้ว” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆถามออกมาเมื่อเห็นบุ๋นลุกพรวดทำท่าจะเดินไปที่อื่น




   “ไปเอากำลังใจ” บุ๋นหันมายิ้มอารมณ์ดี “เดี๋ยวรีบมา ไปแป๊บเดียว”




   ไม่รอฟังคำตอบจากเพื่อนขาทั้งสองข้างก็รีบก้าวตรงไปยังร่างสูงที่ยืนรออยู่ บุ๋นยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อเห็นรอยยิ้มของหมอฐานทัพที่ยิ้มกลับมาให้กับเขา ใบหน้าของหมอมีเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเขารีบมาจริงๆ




   “เกือบไม่ทัน” ฐานทัพเป็นคนเริ่มพูดเมื่อเห็นคนตรงหน้ายิ้มไม่หุบ




   บุ๋นไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือของหมอฐานทัพขึ้นมาวางไว้บนหน้าผากช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลงคล้ายกับกำลังรับพลังงานจากคนตรงหน้าท่ามกลางผู้คนมากมายในสนาม เสียงหัวใจเต้นเร็วขึ้นบอกถึงความรู้สึกที่ยังคงไม่เปลี่ยนไป รอยยิ้มของคนยิ้มเก่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง




   “ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ” เขาบอกคนที่ยืนนิ่งๆไม่ได้ขัดขืน “ไว้ผมแข่งเสร็จจะมารับพลังอีกนะครับ”




   “อืม” ฐานทัพตอบออกมาเสียงเบา อาจเพราะเขาไม่คิดว่าบุ๋นจะทำแบบนี้ในที่ๆมีสายตาหลายร้อยคู่กำลังจับตามองอยู่




   “ผมไปก่อนนะ ขอบคุณที่มานะครับ”



   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกก่อนที่บุ๋นจะเดินกลับไปยังจุดที่ทีมเขาอยู่




   “ครับ?”




   “ให้” ขวดสเปรย์ที่นั่งหาข้อมูลมาหลายวันถูกยื่นไปให้อีกคนที่ยืนรออยู่ ฐานทัพไม่ชอบเล่นกีฬาเลยไม่ค่อยรู้เรื่องยาแก้ปวด




   ตอนแรกเขาจะซื้อแบบครีมให้แต่คิดว่าคงเสียเวลาที่จะมานั่งทาเลยหาข้อมูลยาที่เป็นสเปรย์แทน ถึงเขาจะไม่เคยใช้มาก่อนแต่คิดว่าน่าจะทดแทนกันได้




   “ขอบคุณครับ” บุ๋นรับมาด้วยความเต็มใจ รอยยิ้มของเขายังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่หายไปไหน หมอฐานทัพก็ยังเป็นหมอฐานทัพ




   ห่วงเขาตลอด




   “สู้ๆ” ฐานทัพทิ้งท้ายไว้ก่อนที่บุ๋นจะเดินออกไป




   “สู้อยู่แล้วครับ ชาจพลังแล้ว” บุ๋นยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งไปยังสนามเมื่อกรรมการเป่านกหวีดเป็นการเรียกผู้เล่นลงสู่สนาม




   ฐานทัพมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่เดียวก่อนจะรีบฝ่าฝูงชนออกไปเพื่อไปเรียนในวิชาสุดท้ายของวัน การได้เจอกันเพียงไม่กี่นาทีแค่นั้นก็ทำให้เขาทั้งคู่สบายใจ




   อย่างน้อยบุ๋นก็รู้ว่าหมอไม่ลืมและฐานทัพก็รู้ว่าบุ๋นรอเขา




   สู้ๆนะบุ๋น




   เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณในการเริ่มควอเตอร์แรก บุ๋นกระโดดรับบาสมาไว้ในมืออย่างชำนาญ มือเลี้ยงลูกไปเรื่อยๆก่อนจะโยนไปยังผู้ที่ยืนอยู่ใต้แป้นบาสรอรับลูกจากเขา ลูกบาสลอยสูงตกไปยังเพื่อนอีกคนตามที่เขาเล็งไว้ก่อนที่แต้มแรกจะเป็นแต้มของทีมเขา




   “เยี่ยม” สองที่ดูเพื่อนสนิทตาไม่กระพริบยิ้มออกมาเมื่อได้แต้ม




   “แล้วเมื่อกี้ใครวะ” สามที่สงสัยมาสักพักเอ่ยถาม “ไม่คุ้นหน้า”





   “ไม่รู้ กูก็อยู่กับมึงไหมครับเพื่อน” สองตอบกลับมา สายตายังคงจับจ้องไปที่สนาม




   ตอนนี้ฝั่งของบุ๋นนำอยู่สองแต้มซึ่งอีกทีมดูตีคะแนนมาสูสีจนคาดการณ์กันไม่ได้ว่าทีมไหนจะชนะ ตัวบุ๋นเองเขายังคงความกังวลไว้อยู่มาก




   ยิ่งสบตาคู่ต่อสู้…ภาพวันเก่าๆก็ยิ่งหลอกหลอน




   “สามแต้ม!!!” เสียงของกองเชียร์เฮเสียงดังเมื่อเดือนคณะเกษตรชู้ตบาสเข้าห่วงในบริเวณสามแต้ม




   รอยยิ้มจากคนอารมณ์ดีเผยออกมาพร้อมกับหันไปตบมือเพื่อนที่อยู่ข้างตัว แม้จะกังวลแต่เขาไม่ยอมให้เรื่องนั้นมาทำให้เขาพ่ายแพ้




   ต้องชนะเท่านั้น



.   
   เสียงของอาจารย์บรรยายในห้องใหญ่เหมือนทุกๆวันแต่วันนี้สมาธิของฐานทัพกลับหายไปหมด เขาพยายามนั่งจดเลคเชอร์ตามที่อาจารย์สอนแต่ดูเหมือนเนื้อหาที่เรียนจะไม่เข้าหัวเขาเลยแม้แต่น้อย




   “กังวลอะไรอยู่วะ” คินที่นั่งอยู่ข้างๆสังเกตความผิดปกติของเพื่อนที่ดูไม่ค่อยมีสมาธิ ปกติทุกครั้งที่เรียนฐานทัพจะตั้งใจจดและฟังอาจารย์ไม่วอกแวก แต่วันนี้ท่าทางดูแปลกไป




   “เป็นห่วงบุ๋น” ฐานทัพเอ่ยชื่อออกมาอย่างลืมตัว




   “เอ้า ไปหามาแล้วนิ” คินที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากหันมาถามพร้อมวางดินสอที่จดอยู่ทำเอาคนที่นั่งข้างๆกระทุ้งศอกเพื่อบอกให้หยุดคุย




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ “ช่างเถอะ”




   “ห่วงละไมไม่ไปดูเขาวะ”




   “สอบ” ฐานทัพตอบออกมาสั้นๆ อาทิตย์หน้ามีสอบเลยจำเป็นต้องเข้าเรียนเพื่อที่จะได้เอาเนื้อหาไปอ่านเตรียมสอบ




   ฐานทัพไม่เคยลอกเลคเชอร์ใครและในบรรดาเพื่อนทั้งสองคน คินจดแบบที่ตัวเองอ่านเข้าใจแค่คนเดียว ส่วนปกป้องตัวหนังสือแต่ละตัวต้องนั่งแกะไม่ต่ำกว่าสิบนาที เขาเลยไม่คิดจะขอยืมจากใคร




   “โห้ยเครียดไรวะ เอาของกูไปอ่านก็ได้” คินพูดอย่างคนมั่นใจ




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพตอบกลับทันที ไม่ใช่เพราะเกรงใจ




   แต่เพราะเอาไปก็ไม่เข้าใจ




   “ต้นคาบเห็นว่าจะปล่อยเร็ว” ปกป้องที่นั่งข้างคินหันมาบอกฐานทัพ “เลิกแล้วมึงก็รีบไป”




   ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปสนใจเนื้อหาข้างหน้าอีกครั้ง วันนี้เขารู้สึกกระวนกระวายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่แค่บุ๋นคนเดียวที่ลุ้น




   เขาเองก็ลุ้นไม่ต่างกัน


.

   เสียงนกหวีดพักครึ่งแรกดังขึ้น บุ๋นเดินมายังจุดที่นั่งพักของทีมตัวเอง แก้วน้ำเย็นถูกยื่นจากตัวสำรองที่นั่งดูการเล่นตลอดช่วงแรก




   “ไหวอยู่ปะวะ” เพื่อนในทีมถามหลังจากที่เห็นบุ๋นดูเหนื่อยหอบ




   “เออไหว” เขาสูดลมหายใจลึกๆ “ไหวอยู่” บุ๋นพูดพร้อมกับมองขวดสเปรย์ที่เปรียบเสมือนกำลังใจของเขา




   “ทีมนู้นแม่งดูจะสนใจมึงเป็นพิเศษนะ”




   “เออ ชิน” บุ๋นหัวเราะ ไม่ต้องเอ่ยชื่อเขาก็รู้ว่าเพื่อนหมายถึงใคร



   “เอาวะ ครึ่งหลังทำให้เต็มที่”




   “เออสู้”




   เสียงนกหวีดเรียกนักบาสกลับเข้าสนามเพื่อเข้าสู่ช่วงหลัง บุ๋นสบตาพี่ต้าอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าลึกๆเขาจะรู้สึกหวั่นๆแต่ในวันนี้พี่ต้าไม่ได้เข้ามาระรานเขาจนทนไม่ได้




   หวังว่าจะมีน้ำใจนักกีฬา




   “เก่งนิ” น้ำเสียงคล้ายชื่นชมเอ่ยออกมาระหว่างเดินสวนกัน “อย่ามั่นใจมาก” คำพูดที่จงใจพูดให้เขาได้ยินแค่คนเดียวทำให้เลือดในร่างกายเริ่มพลุ่งพล่าน




   “ครับ” บุ๋นตอบกลับมาเสียงหนักแน่น




   ครึ่งหลังเริ่มขึ้น ฝั่งพี่ต้าได้บาสไปก่อนจะชู้ตสามแต้มทำให้คะแนนของอีกฝั่งนำอยู่ห้าแต้ม บุ๋นเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะไล่ตามลูกบาสโดยที่มีอีกฝั่งขัดทางเขาไว้ไม่ให้ได้ลูก




   โถ่เว้ย!!!




   ลูกบาสส่งมายังบุ๋น ร่างของเขาก็กระโดดเองโดยอัตโนมัติ มือทั้งสองข้างจับลูกบาสไว้อย่างมั่นคงก่อนจะชู้ตลงห่วงแต่กลับโดยอีกฝ่ายปัดลูกได้สำเร็จ




   พี่ต้า…




   “บุ๋น!” เสียงเพื่อนดังขึ้นเรียกสติให้เขาหันกลับไปครอบครองลูกอีกครั้ง




   ลูกบาสชู้ตลงห่วงไปอย่างสวยงาม บุ๋นหันไปแท็กมือกับเพื่อนในทีมก่อนจะหันไปมองพี่ต้าที่ดูจะสนใจเขาในครึ่งหลังเป็นพิเศษ




   “มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ปะวะ” สามเอ่ยเมื่อเห็นบรรยากาศในสนามที่ดำเนินต่อไปแต่ในใจเขากลับเป็นห่วงเพื่อนสนิท




   คนอย่างพี่ต้าไม่เคยยอมแพ้ใคร




   “ไม่หรอก” หนึ่งที่นั่งดูอยู่เงียบๆตอบ




   การเล่นดำเนินไปจนถึงควอเตอร์สุดท้าย คะแนนของฝั่งเขาเป็นรองอยู่ 62 ต่อ 76 ทำให้ค่อนข้างเครียดกว่าเดิมจากที่ตอนแรกเป็นฝ่ายนำ แม้ว่าจะห่างอยู่ไม่มากแต่ก็ไม่ง่ายกว่าที่จะได้แต้ม

.
   
   ฐานทัพเก็บของออกจากห้องอย่างรวดเร็วหลังจากอาจารย์ปล่อยก่อนเกือบครึ่งชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที เท้าทั้งสองข้างรีบวิ่งไปยังจักรยานเพื่อปั่นไปให้ถึงสนามโดยเร็วที่สุด




   เป็นครั้งแรกที่เขารู้ตัวเองว่า…เขาไม่ใช่ฐานทัพคนเดิม




   “ขอให้ชนะนะโว้ยยยย” คินตะโกนตามหลัง ไม่เคยเห็นฐานทัพในมุมนี้มาก่อนพอได้เห็นเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้




   สนามบาสเงียบผิดปกติแม้จะมีผู้คนแน่นกว่าตอนแรกที่เขามา ฐานทัพรีบจอดจักรยานลงก่อนจะเดินแทรกตัวเข้าไป ดีที่ครั้งนี้ยังมีที่ๆเขาพอจะแทรกเข้ามาง่าย ทันทีที่เข้ามาถึงด้านในเขาก็รับรู้ได้ว่าทำไมทั้งสนามถึงเงียบ




   บุ๋นที่ยืนถือลูกบาสอยู่ตรงจุดหลังเส้นลูกโทษมีสีหน้ากังวลไม่น้อย ฐานทัพมองคนตรงหน้าก่อนจะเบนสายตาไปยังคะแนนที่เท่ากันราวกับโกหก




   86 ต่อ 86



ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   ลูกบาสที่อยู่ในมือถูกจับแน่นขึ้นอีกจากความกังวล จะชนะหรือแพ้ก็ขึ้นอยู่กับลูกที่เขากำลังจะชู้ตลงห่วง อีกไม่ถึงนาทีก็หมดเวลาแต่เขาดันโดนอีกฝั่งทำฟาล์วเลยทำให้ต้องมาเป็นผู้ชู้ตลูกโทษ




   บุ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะจ้องมองแป้นที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นการชู้ตปกติเขาคงไม่กังวลเท่ากับวันนี้ ถ้าชนะก็เหมือนแก้ปมต่างๆในอดีต




   สายตาของบุ๋นหยุดลงยังร่างที่ยืนเด่นอยู่ข้างสนาม สายตาประสานสายตา รอยยิ้มบางๆของฐานทัพเผยออกมา ดวงตาที่จ้องมองมายังเขาเปรียบเสมือนกำลังใจที่ส่งมาถึงเขาโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆออกมา




   พี่ดูผมนะ…




   ตึง!!!




   ลูกบาสชู้ตลงห่วงอย่างสวยงามพร้อมกับเสียงเชียร์จากข้างสนาม บุ๋นถอนหายใจออกมาก่อนจะรับลูกบาสอีกครั้งเพื่อชู้ตครั้งที่สอง




   สวบ!!!




   ลูกบาสชู้ตลงอย่างกับจับวาง เกมส์ดำเนินต่อไปอีกไม่นานเสียงนกหวีดจบเกมส์ก็ดังขึ้นเรียกเสียงเฮจากคนทั้งสนามได้อย่างล้นหลาม




   “เชี่ยยยยยย!!!!!!” สองที่นั่งเกร็งจนเป็นตะคริวอุทานออกมาเสียงดังก่อนจะหันไปกอดคอเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “มันทำได้ ไอ้สี่มันทำได้แล้ว!!”




   “เออ เห็นแล้ว” แม้จะไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับสองแต่หนึ่งเองก็รู้สึกดีใจไม่ต่างกัน




   “เพราะพวกเรามาเชียร์มันแน่ๆเลย” สองเอ่ยออกมาอย่างคนหลงตัวเอง เขาไม่เคยรู้สึกดีเท่าวันนี้มาก่อน วันที่เพื่อนของตัวเองก้าวผ่านความกลัวทุกอย่าง




   ไอ้สี่ มึงทำได้




   บุ๋นยิ้มกว้างหลังจากที่กรรมการตัดสินเกมส์จบลง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมายมันอัดแน่นจนเขาระบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก บุ๋นหันไปยิ้มให้เพื่อนทั้งสามที่ดูดีใจมากกว่าตัวเขาก่อนจะหันไปยังกำลังใจหนึ่งเดียวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาถึงเขา



   ผมทำได้แล้ว




   “ขอบคุณนะครับ” เขาเอ่ยเมื่อมือแตะกับพี่ต้าที่ดูผิดหวังไม่น้อย




   แม้เขาจะเคยแค้นแต่เมื่อเห็นพี่ต้าตอนนี้เขาก็อดสงสารไม่ได้ คงหวังไว้มากไม่ต่างกับทีมของเขา




   “เออ” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์เอ่ยออกมา “ยอมรับแล้วว่ามึงเก่ง” คำพูดที่บุ๋นไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของศัตรูได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย




   “พี่ก็เก่ง”




   “อืม” พี่ต้าหัวเราะในลำคอก่อนจะวางมือลงบนบ่าเขาหนักๆ “ไว้รอบหน้ามาเล่นกันอีก”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มรับ




   เขาไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ต้าจะคิดทำอะไรเขาอีกไหม แต่ลึกๆเขารู้สึกว่าทุกอย่างมันได้จบลงแล้ว แม้ว่าจะดูง่ายดายไปหน่อยแต่เขารับรู้ได้ถึงน้ำใจนักกีฬาของฝ่ายตรงข้าม




   ร่างสูงเดินกลับมาเก็บของพร้อมพูดกับเพื่อนในทีมที่นัดกันไปกินเลี้ยงแต่เขาต้องขอปลีกตัวออกมาเพราะนัดกับเพื่อนทั้งสามไว้แล้ว ถึงจะอยากไปแต่ถ้าเขาไปไอ้สามคนต้องน้อยใจเขามากแน่ๆ




   “ไง ยิ้มจนแก้มจะฉีกแล้วนะมึง” สองเอ่ยเมื่อเห็นร่างของสี่เดินมาแต่ไกล




   “เออ แน่นอน คืนนี้ไปกินที่ไหนกูพร้อม”




   “งั้นไปกันเลยปะ”




   “เดี๋ยว กูขอเวลาแป๊บ” บุ๋นยกมือห้ามเพื่อนที่กำลังจะลุกขึ้น “หรือพวกมึงจะไปรอที่ร้านก่อน”




   “แน่นอนว่าต้องอย่างหลัง” สามตัดสินใจแทนทุกคน เขาลุกขึ้นก่อนจะดึงเพื่อนอีกสองคนลุกขึ้นตามโดยไม่ถามอะไรต่อ




   “เดี๋ยวโทรหา”




   “เออ รีบตามมา” สามโบกมือก่อนจะลากคอสองที่ดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์ออกจากสนาม




   บุ๋นมองร่างของเพื่อนที่เดินจากไปก่อนจะหันไปมองยังจุดเดิมที่หมอฐานทัพยืน หมอยังอยู่ที่เดิมไม่หายไปไหน รอยยิ้มของบุ๋นเผยขึ้นมาอีกครั้ง ขายาวก้าวตรงไปยังร่างที่ยืนรออยู่อย่างรวดเร็ว




   “ดีใจด้วย” ฐานทัพเอ่ยออกมาทันทีที่ร่างของบุ๋นหยุดยืนอยู่ตรงหน้า




   ร่างของเขาถูกดึงเข้าไปยังอ้อมแขนของอีกคนอย่างรวดเร็ว ฐานทัพนิ่งเงียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือหัวใจของคนตรงหน้าที่เต้นแรงจนเขาตกใจ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ




   “บุ๋น” ฐานทัพไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพยายามเรียกคนที่กอดเขาแน่น




   “ขอบคุณนะครับ”




   “…”




   รอบข้างเงียบสนิทมีเพียงเขาสองคนที่ยังคงอยู่ในสนาม บุ๋นกอดคนตรงหน้าแน่นด้วยความรู้สึกที่ตีวุ่นไม่หยุด เขาบังคับตัวเองไม่ได้อีกต่อไป




   “ตัวผมมีแต่เหงื่อ เหม็นด้วย”




   “…”




   “แต่ขออยู่แบบนี้สักพักนะครับ”




   ฐานทัพพยักหน้าช้าๆในอ้อมแขนของคนตรงหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่รับรู้ถึงความรู้สึกที่ถูกส่งมา แม้จะดูแปลกๆที่ผู้ชายสองคนกอดกันแต่เขากลับไม่ขัดขืน




   “ชาจพลังเต็มแล้ว” บุ๋นค่อยๆผละออก ถึงจะไม่อยากปล่อยแต่ขืนอยู่นานกว่านี้คงไม่ได้ ตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ




   “หรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมา “เป็นยังไงบ้าง”




   “ชนะครับ”




   “รู้แล้ว” เขาไม่ได้หมายถึงผลคะแนน “เจ็บตรงไหนรึเปล่า”




   “เจ็บข้อเท้านิดหน่อยครับ สงสัยลงน้ำหนักมากไป”




   “ใช้สเปรย์ที่ให้”




   “ครับ ใช้ไปรอบนึงแล้ว คงต้องใช้อีกรอบ” บุ๋นหยิบขวดสเปรย์ที่ฐานทัพให้ขึ้นมาเขย่า




   “ไปนั่ง เดี๋ยวทำให้” เขาไม่รอให้บุ๋นตอบ มือทั้งสองข้างผลักร่างตรงหน้าไปยังที่นั่งข้างสนามก่อนจะกดให้บุ๋นนั่งลงตามคำสั่ง



   “ผมฉีดเองได้ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ด้วยความที่เล่นกีฬามาเขาเลยไม่อยากให้หมอฐานทัพเป็นคนทำให้




   กลิ่นเท้าไม่ใช่เรื่องตลก




   “ไม่เป็นไร” ฐานทัพดึงขวดสเปรย์ไปถือไว้ “เจ็บตรงไหน บอกหมอ” คำพูดทีเล่นทีจริงที่ไม่เคยออกมาจากปากของหมอฐานทัพทำเอาคนที่ได้ฟังถึงกับตาโต



   เจ็บตรงไหนบอกหมอ…




   คำธรรมดาแต่โคตรเขินเลยว่ะ!




   “อะ…เอ่อ ตรงนี้ครับ” บุ๋นตะกุกตะกักขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำเรียกแทนตัวเองของหมอฐานทัพครั้งแรก




   หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ




   ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!




   “ดีขึ้นไหม” ฐานทัพถามหลังจากฉีดสเปรย์ลงบริเวณที่บุ๋นชี้




   “ผมว่าน่าจะรอสักพักมันถึงจะออกฤทธิ์”




   “อ่อ ใช่” ฐานทัพพยักหน้าอย่างลืมตัว “ถ้ายังไม่หายก็กลับไปทายา”




   “ครับ” บุ๋นยิ้ม “วันนี้พี่เลิกเร็วหรอครับ”




   “อืม” ฐานทัพตอบ เขาไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดว่าที่เร็วขนาดนี้เพราะเขารีบมา บางทีบุ๋นก็ไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดขนาดนั้น




   “ดีใจที่พี่มานะครับ”




   “อืม” ฐานทัพก็ยังเป็นฐานทัพ แม้จะพูดมากขึ้นกว่าเดิมแต่ทุกครั้งที่บุ๋นขอบคุณเขาก็คิดคำอื่นไม่ออกนอกจากตอบรับสั้นๆ




   “ผมนึกว่าพี่จะไม่มาซะแล้ว” บุ๋นบอกความจริงออกมา เขาเตรียมใจไว้ส่วนหนึ่งว่าหมอฐานทัพคงมาไม่ได้จริงๆแต่ผิดคาด




   หมอมา…แม้จะเป็นช่วงสุดท้ายของเกมส์




   “ตอนแรกก็คิดว่างั้น”




   “แล้วทำไมถึงมาละครับ?” บุ๋นหันไปถามเพราะความอยากรู้




   “ห่วง” ฐานทัพพูดออกมาโดยไม่หยุดคิด




   “ห่วงผมหรอครับ” บุ๋นชี้นิ้วเข้าตัว ตาประกายแวววาวรอฟังคำตอบจากปากหมอฐานทัพ




   “อืม” คำตอบรับสั้นๆทำเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆไปไม่เป็น บุ๋นยิ้มกว้างออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้หมอเห็นอาการที่เขาแสดงออกมา




   หมอห่วง…หมอห่วง!!!!!!!




   “ยิ้มอะไร” เหมือนการหันไปอีกทางจะไม่ได้ช่วยให้หมอมองไม่เห็น ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจ “แค่ห่วงก็ยิ้มแล้วหรอ”




   “ครับ” บุ๋นรับคำ “พี่เคยพูดคำนี้กับใครบ้าง”




   “พ่อ ปกป้อง คิน” ฐานทัพนับนิ้วก่อนจะชูนิ้วทั้งสามไปที่บุ๋น “สามคนมั้ง”




   “ผมก็เป็นคนที่สี่ใช่ไหมครับ?”





   “อืม”




   “นั่นคือสาเหตุที่ผมยิ้มครับ” บุ๋นตอบด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า “ทั้งสามที่พี่พูดมาเป็นคนสำคัญของพี่”





   “ใช่”




   “แล้วตอนนี้ผมก็กลายเป็นคนสำคัญของพี่”




   “มั่ว” คำสั้นๆที่เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มทำให้บุ๋นรู้ว่าหมอไม่ได้หมายความตามที่พูดออกมาแต่หมายความตามที่เขาพูด





   หลงไม่รู้จะหลงยังไงแล้วหมอ…





   “ผมไม่สนหรอก ผมคิดว่าผมสำคัญไปแล้ว” บุ๋นเอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจ “ขอบคุณที่พี่มาเป็นกำลังใจให้นะครับ”





   “อืม”





   “กำลังใจดีจริงๆ” เขาพึมพำออกมาคล้ายกับพูดกับตัวเองหากแต่หมอฐานทัพได้ยิน




   ฐานทัพไม่ได้ถามในสิ่งที่บุ๋นพูดไปแต่คำถามที่คินถามเขาไว้กลับมาวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าต้องขอยังไงและไม่รู้ว่าขอแล้วต้องทำยังไงต่อไป




   “ผมเคยคิดก่อนที่จะเข้าที่นี่ว่าถ้าได้แข่งบาสอีกครั้งแล้วคนที่ชอบมาเชียร์คงจะรู้สึกดีมากๆ” จู่ๆบุ๋นก็เปิดประเด็นใหม่หลังจากที่เห็นฐานทัพเงียบไป




   “แล้วเป็นยังไง”




   “เขาก็มาเชียร์จริงๆครับ” รอยยิ้มที่ดูมีความสุขสะกดสายตาของคนข้างๆไม่ให้หันไปมองสิ่งอื่น




   ชอบ…รอยยิ้มนี้




   “ใคร” ฐานทัพตัดสินใจถามออกไป ไม่รู้ทำไมในใจลึกๆเขาหวังให้บุ๋นตอบออกมาเป็นอย่างที่เขาคิด ถามไปก็รู้สึกกลัวคำตอบ




   กลัวว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด




   “เจ้าของรอยยิ้มของผม” เขายังยืนยันคำเดิม แม้ว่าจะรู้ว่าหมอฐานทัพคงไม่เข้าใจแต่กลับแปลกที่ครั้งนี้หมอไม่ได้มีท่าทางที่ดูงงเหมือนครั้งก่อน




   “ใคร”




   “หมอ” บุ๋นเอ่ยออกมาสั้นๆ “เขาเป็นหมอที่พี่รู้จักดีเลย”




   “หรอ” ฐานทัพเงียบไป คำว่ารู้จักดีนั่นหมายถึงเป็นคนใกล้ตัวของเขา ซึ่งก็หมายความว่าคนๆนั้น





   ไม่ใช่เขา…




   “เขาเป็นคนเงียบๆครับ ถามคำตอบคำ ดูไม่ค่อยอยากจะพูดกับผมสักเท่าไหร่ แต่เขาเรียนเก่งมากเลยนะ ติวหนังสือให้ผมด้วย”




   “อืม” ฐานทัพได้แต่รับคำกลับไปสั้นๆ




   นอกจากเขาที่เคยติวหนังสือให้บุ๋นแล้วยังมีคนอื่นอีกงั้นหรอ




   “เขาเหมือนจะไม่สนใจแต่เขาเก็บทุกรายละเอียด เหมือนจะเข้าถึงยากแต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ผมคิด”




   “…”




   “เขาเป็นคนที่ทำให้ผมอยากจะยิ้มให้ทุกครั้งแม้ว่าผมจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม”




   “…”




   “เขาทำให้ผมรัก…รักแรกพบ” รอยยิ้มที่มีความสุขของบุ๋นส่งไปถึงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาที่พร้อมจะบอกความรู้สึกทุกอย่างถ่ายทอดออกมาจากแววตาและคำพูด




   หวังว่าหมอจะรู้




   “ไม่ไปไหนกับเพื่อนหรอ เห็นเมื่อกี้ได้ยินเพื่อนพูด” ฐานทัพเปลี่ยนประเด็นเพราะเขาไม่อยากจะฟังต่อ ทั้งๆที่แต่ก่อนเขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากฟัง




   “ไปครับ” บุ๋นตอบ “แต่ผมอยากอยู่กับพี่มากกว่า”




   “…”





   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมเงียบไป?” บุ๋นรู้สึกถึงความผิดปกติหลังจากที่เขาเริ่มพูดถึงเรื่องหมอหรือว่าหมอฐานทัพจะรู้แล้วว่าเป็นเขา




   ถ้ารู้แล้ว…ที่เงียบไม่ตอบหมายความว่ายังไง




   หรือเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว…




   “เปล่า” ฐานทัพตอบกลับมา เขาไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองตอนนี้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ รู้แค่ว่าจู่ๆก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา




   “แต่ว่า…”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อคนข้างๆเสียงนิ่ง




   “ครับ?”




   “เปล่า” เขาถอนหายใจออกมาเสียงดัง ความกล้าที่เตรียมมาเหลือศูนย์ทันทีเมื่อเขาได้ยินบุ๋นเล่าถึงคนที่ชอบ




   ไม่ถามคงจะดีกว่า




   ฐานทัพเป็นคนพูดน้อย ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจใครแต่ความจริงแล้วเขาก็ใส่ใจ ดูเป็นคนเงียบแต่ที่เงียบเพราะไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายคุยอะไร เขาเรียนเก่งแต่ในบรรดาเพื่อนๆรอบตัวทุกคนก็เก่งไม่ต่างจากเขา




   แล้วใคร…คือคนที่บุ๋นหมายถึง




   “พี่อยากจะถามอะไรผมรึเปล่า?”




   “อืม” เขาพยักหน้า




   “ถามได้นะครับ” เมื่อเห็นคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนบุ๋นก็อดห่วงไม่ได้ หมอเครียดเรื่องอะไร




   หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เขาพึ่งพูดไป




   “ใครติวหนังสือให้บ้าง”




   “หืม?” คำถามธรรมดาที่ได้ยินทำเอาเขาเงียบไปพักหนึ่ง บุ๋นคิดว่าหมอจะถามอะไรที่มันยากกว่านี้แต่พอถามออกมาแบบนี้เขาก็ตั้งตัวไม่ทัน




   “ก็มีพี่แล้วก็เพื่อนที่คณะ”




   “ใครอีก” ฐานทัพถาม “ในคณะแพทย์”




   “ถ้าคณะแพทย์ก็มีพี่คนเดียวนะครับ”




   “คนเดียวได้ไงก็เมื่อกี้บอกว่า…” ฐานทัพชะงักไปเมื่อกำลังจะพูดประโยคถัดไป สมองค่อยๆประมวลผลช้าๆก่อนที่คำพูดทุกอย่างจะถูกจัดวางใหม่จนเขา…




   เข้าใจ




   “คนเดียวงั้นหรอ” ฐานถามย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ




   “ครับ” บุ๋นยังคงไม่รู้เรื่องแต่อีกคนเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านขึ้นมาบนใบหน้า




   “หมายความว่ายังไง”




   “เรื่องอะไรหรอครับ?”




   “คนที่ชอบ” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “คนที่ชอบติวหนังสือให้”




   “ครับ”




   “ถ้าเป็นหมอ” ฐานทัพพยายามประมวลผลเพื่อไม่ให้สิ่งที่กำลังจะพูดออกไปเป็นความเข้าใจผิดหรือการคิดไปเอง




   “…”




   “ก็คือ…” เขาชี้นิ้วเข้ามาที่ตัวเองอย่างคนพึ่งเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง มือของเขาเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ รู้สึกร้อนๆหนาวๆคล้ายจะเป็นไข้




   “ครับ” บุ๋นพยักหน้า เขาระบายยิ้มออกมาบางๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงมากแค่ไหน แต่กลับรู้สึกแปลกใจมากกว่าเมื่อเห็นคนตรงหน้ามีอาการที่ผิดปกติ




   หมอหน้าแดง…




   “…”





   “คนที่ผมพูดถึง…คือพี่”





---------------------------------
ใกล้จะปีใหม่แล้ว สุขสันต์วันปีใหม่ทุกคนนะคะ ไปเที่ยวก็ขอให้สนุกๆ ระวังตัวกันด้วยน้า  :mew1:

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
หมอน่ารัก. อรักคู่นี้   รักคนเขียน :L2: :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบมากค่ะ อ่านแล้วดีต่อใจมากๆ

ออฟไลน์ NorthCat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
งื้ออ  :hao7: ทำไมเขินแทนหมออออ น่ารักไปอีก :hao3:

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บุ๋นทำได้แล้ว เย้ๆๆๆ
หมอรู้ตัวเองแบบชัดๆ ซะทีนะ

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่สิบเก้า

   “คนที่ผมพูดถึง…คือพี่”



   “หรอ…” เป็นเขาเองที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกสารภาพออกมาตรงๆ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำตัวยังไง เขาไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน




   “ครับ” บุ๋นยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทั้งที่คิดว่ายังไม่ควรจะบอกแต่เขาเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้อีกต่อไป




   มันล้นทะลักออกมาแล้วหมอ…




   “หรอ” ฐานทัพพูดได้แต่คำเดิม ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมดหากแต่คนข้างๆไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถาม




   “พี่เชื่อเรื่องรักแรกพบไหมครับ”




   “ไม่รู้” เขาตอบ ฐานทัพไม่เคยมีความรักมาก่อนเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามนี้ได้ ถ้าถามเรื่องเรียนเขาคงจะตอบได้เป็นบทๆ




   แต่เรื่องความรัก…เขาโง่กว่าเด็กอนุบาล




   “แต่ผมเชื่อนะ” บุ๋นระบายยิ้ม “มันมีอยู่จริงนะครับพี่”




   “อืม…” เขาพยักหน้าช้าๆ ความร้อนที่แผ่นซ่านทั่วใบหน้าทำให้เขายกมือที่เย็นเฉียบขึ้นมาวางบนแก้มทั้งสองข้าง





   หน้าร้อนแปลกๆ…




   “ผมเจอพี่ครั้งแรกจากเพื่อนแนะนำในเฟสบุ๊ค ตอนนั้นผมยังอยู่มอหก จำได้ดีเลยว่าวันนั้นผมโดนครูดุที่แอบเล่นโทรศัพท์ในห้องเรียน” บุ๋นค่อยๆระลึกถึงความหลัง จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเดินหน้าจีบหมอมาจนถึงตอนนี้




   “มันตลกตรงที่พอโดนครูดุผมก็ทำมือถือดับ ต้องกลับไปนั่งหาตั้งนานกว่าจะเจอเฟสบุ๊คของพี่”




   “แค่เฟสบุ๊ค?” ฐานทัพไม่เข้าใจในสิ่งที่บุ๋นเล่าสักเท่าไหร่ เขาเคยได้ยินมาว่าการที่คนจะรู้สึกดีต่อกันคือการได้พบเจอกันได้รู้จักนิสัยของกันและกัน




   แต่ที่บุ๋นเล่า…มันไม่ตรงกับที่เขาเคยได้ยินมา




   “ครับ เฟสบุ๊คคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมชอบพี่” พอสารภาพออกมาตรงๆก็อดเขินไม่ได้ “ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมก็เคยคิดแบบนั้น คิดว่าแค่ชอบสักพักเดี๋ยวก็เลิกชอบ แต่มันไม่ใช่”




   “…”




   “ยิ่งติดตามพี่มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากจะรู้จักตัวตนจริงๆของพี่”




   “…”




   “พอได้รู้จัก…รู้ตัวอีกทีก็ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว” บุ๋นพูดความรู้สึกทั้งหมดออกมา ไม่จำเป็นที่เขาต้องเก็บไว้อีกในเมื่อหมอรับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้




   “ได้รู้จัก ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ?” ฐานทัพถามกลับ เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรน่าสนใจ เขาเป็นคนใช้ชีวิตธรรมดาไม่มีอะไรหวือหวา เป็นคนที่น่าเบื่อคนหนึ่งด้วยซ้ำ   




   “ครับ ผมไม่เคยเปลี่ยนใจตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้” บุ๋นหันกลับมาสบตาคนตรงหน้านิ่ง “ผมไม่เคยคิดว่าการตัดสินใจของผมมันผิด”




   “…”




   “ผมเชื่อในความรู้สึกแรกของตัวเอง”




   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ




   ฐานทัพเชื่อทุกอย่างที่บุ๋นพูดออกมาโดยไม่ต้องมีคำยืนยันใดๆ คำพูดที่หนักแน่น แววตาที่มั่นคง ทุกคำพูดบุ๋นพูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ




   เขารับรู้ได้





   “พี่รู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึกรึเปล่า” คำถามที่พยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก แม้ว่าท่าทางของหมอจะไม่มีท่าทีปฏิเสธแต่เขาไม่รู้เลยว่าในใจของหมอรู้สึกยังไงกำลังคิดอะไรอยู่




   ฐานทัพเงียบไป เขายอมรับว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกมันถูกต้องรึเปล่า แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่บุ๋นมีให้ต่อเขาได้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ลึกๆแล้ว…เขารู้สึกมาตลอด




   “อืม รู้สึก” คำตอบที่ใช้เวลานานกว่าที่จะตอบออกมาทำเอาคนที่นั่งกลั้นหายใจอยู่ข้างๆถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก



   สิ่งที่เขาทำไป…ไม่สูญเปล่า




   และถึงจะสูญเปล่าเขาก็เต็มใจที่จะทำ…เพราะหมอคือความสุขของเขา




   “ไม่เคยมีแฟนมาก่อน” ฐานทัพเอ่ยอย่างเริ่มกังวล “คงไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ”




   “ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วหรอครับ?” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นหมอฐานทัพเอ่ยเปิดทาง




   “อ่าว” ฐานทัพร้องออกมาอย่างงงๆ “รู้สึกดีต่อกันก็ต้องคบกันหรือว่าเข้าใจผิด”




   “ไม่ผิดหรอกครับ” บุ๋นหัวเราะในความซื่อของคุณหมอ “พี่พูดต่อเลย”




   “ตามนั้น” เขาถอนหายใจ “ช่วงนี้เรียนหนักขึ้นกว่าเดิม เทอมสองก็หนักขึ้น ไม่มีเวลาหรอก”




   “…”




   “จะทนได้จริงๆหรอ” เขาถามออกมาอย่างต้องการคำตอบ ฐานทัพเป็นห่วงคนที่จะมาอยู่ข้างๆมากกว่าตัวเขาเอง




   เขารู้ดีว่าหลังจากนี้ตัวเองต้องเรียนหนักขึ้นและนั่นหมายถึงเขาอาจไม่มีเวลามาสนใจสิ่งอื่นเท่าที่ควรจะทำ ถ้าเป็นอย่างนั้น…จะทนได้จริงๆรึเปล่า




   “ผมไม่ทนครับ” บุ๋นตอบกลับมาทำเอาคนฟังใจเสียไปครึ่งหนึ่ง “ไม่ขอใช้คำว่าทน”




   “…”




   “ผมขอใช้คำว่าเข้าใจแทนดีกว่า” บุ๋นยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ผมรู้ตั้งแต่วันแรกที่เจอพี่ว่าพี่มีการใช้ชีวิตยังไงและผมก็มีความสุขมาตลอด”




   “…”




   “ถึงจะไม่เจอกันหรือเจอกันน้อยลงมันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผมน้อยลง”




   “…”




   “พี่ไม่ว่างแต่ผมว่าง ไปหาสักห้านาทีสิบนาทีผมก็มีความสุขแล้ว”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้าช้าๆ เขายิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ลึกๆแล้วเขาก็หวังให้บุ๋นเข้าใจในความเป็นเขาและเขาก็จะเข้าใจในความเป็นบุ๋น




   เหมือนกับเส้นขนานสองเส้นที่กำลังจะมาบรรจบกัน




   ครืดดดดด!!




   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นทำลายบรรยากาศรอบข้าง บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับก่อนที่จะได้ยินเสียงโหวกเหวกจากปลายสาย




   “เออรู้แล้ว กำลังจะไปแล้ว เดี๋ยวเจอกัน” เขาบอกสองที่โทรมาตามก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวเหมือนเดิม




   “เพื่อนโทรตามแล้ว”




   “ใช่ครับ”




   “อืม ไปเถอะ”




   “ยังไปไม่ได้หรอกครับ” บุ๋นพูดก่อนจะหันไปมองหน้าฐานทัพชัดๆ ความจริงเขามีอีกหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับหมอแต่เขาเองก็ไม่อยากผิดนัดเพื่อนๆ




   ขออีกคำถามก่อนที่จะไป




   “จะเอายังไงต่อไปดีครับ”




   “เรื่องอะไร?” ฐานทัพถามอย่างไม่เข้าใจ




   “ก็เรื่องพี่กับผม” บุ๋นเกาหัวตัวเองแก้เขิน ถ้าจะให้ถามออกไปตรงๆก็ดูจะตรงเกินไป เขาควรจะถามอ้อมๆแต่ไม่รู้ว่าควรจะอ้อมไปทางไหน




   “ทำไม” ฐานทัพถามต่ออย่างไม่เข้าใจ เรื่องเขากับบุ๋นทำไม ก็ในเมื่อรู้สึกตรงกันก็เป็นแฟนกันหรือเขาเข้าใจอะไรผิดไป




   “โอเคครับ งั้นผมจะถามตรงๆแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าหมอไม่เข้าใจในความหมายจริงๆที่เขาต้องการจะสื่อบุ๋นเลยต้องถามออกไปตรงๆ




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้ารอฟังคำที่บุ๋นจะพูดออกมา




   “เรามาคบกันไหมครับ?”




   “เป็นแฟนกันหรอ” ฐานทัพถามกลับตามประสาคนไม่เคย




   “ครับ” บุ๋นเขินหนักขึ้นไปอีกเมื่อหมอถามกลับมาตรงๆ ทั้งๆที่เขาควรจะเป็นฝ่ายถามแต่กลับเป็นหมอที่ถามกลับมา




   “ก็…”




   “ผมมีทางเลือกให้พี่ตอบระหว่างเป็น ได้ หรือ ตกลง”




   “ยังต้องเลือกอีกหรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมา สิ่งที่บุ๋นให้เขาเลือกมันเป็นการตอบไปในทางเดียวกันหมด




   “เอาจริงๆก็ไม่อยากให้เลือก อยากให้เป็นเลย”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “เป็น”




   “เย้!!!!!!!” บุ๋นร้องออกมาด้วยความดีใจ ร่างสูงลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นออกมาอย่างมีความสุข เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับของขวัญที่ดีที่สุดในวันแข่งกีฬาชนะ




   บุ๋นจีบหมอติดแล้วโว้ยยยยยย!!!!!!




   “ไม่เคยมีแฟน มีอะไรก็แนะนำได้” ฐานทัพยิ้มออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เวลาที่เห็นบุ๋นยิ้มเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้




   อาการหนักแล้วฐานทัพ




   “ถ้าจะให้แนะนำ ผมจะแนะนำให้พี่เข้ามากอดผม”




   “หรอ” ฐานทัพเอ่ยถาม เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงไปยังร่างสูงแล้วค่อยๆโอบกอดช้าๆ “แบบนี้หรอ”




   บุ๋นถึงกับยืนตัวแข็ง เขาไม่คิดว่าคำพูดที่แกล้งหมอฐานทัพจะทำให้หมอคิดจริง บางทีเขาก็คิดว่าหมอซื่อเกินไป




   น่ารัก




   “ครับ แบบนี้แหละ” อ้อมแขนของบุ๋นค่อยๆโอบรอบตัวของคนตรงหน้า




   “…”




   “ขอบคุณนะครับพี่หมอของบุ๋น”


.


   ฐานทัพกับบุ๋นแยกกันที่สนามบาสเพราะบุ๋นต้องไปตามนัดเพื่อนต่อทำให้ฐานทัพต้องปั่นจักรยานกลับหอพักคนเดียว บรรยากาศรอบข้างทำให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา




   วันนั้น…


   “มึงทำอะไรอยู่วะ” คินที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆหันมาถามเพื่อนสนิทที่นานๆทีจะเห็นนั่งจับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

   “คุยกับเพื่อน” ฐานทัพตอบพร้อมกับพิมพ์ข้อความหาคู่สนทนาที่เขาเป็นฝ่ายทักไป
   
   Thanthup titrirat : โกโก้อยู่ไหม
   Cangcacoa : ว่าไง ตกใจนะเนี่ยคุณหมอทักมา อิอิ
   Thanthup titrirat : มีเรื่องสงสัย
   Cangcacoa : ว่าไงงงงงง ถ้าเป็นเรื่องเรียนเราคงตอบไม่ได้นะ
   Thanthup titrirat : คนที่มาขอไลน์เราเป็นใคร ชื่ออะไร
   Cangcacoa : อ่ออ นึกว่าเรื่องอะไร เห็นบอกว่าเพื่อนฝากขอนะ
   Thanthup titrirat : อืม ใครขอ
   Cangcacoa : คนนี้ที่ขอๆ
   Cangcacoa : *ส่งรูปภาพ*

   ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ในชุดนักศึกษาพร้อมกับแคปชั่นสั้นๆว่า

   ‘ปีหนึ่งแล้วครับ’

   คนนี้มัน…บุ๋น

   
   Thanthup titrirat : ชื่ออะไร
   Cangcacoa : บุ๋น แต่คนที่ฝากขอไลน์เราไม่รู้นะ แต่บุ๋นมาขอไลน์ฐานทัพจากเรา
   Thanthup titrirat : โอเค ขอบคุณมาก
   Cangcacoa : จ้าาา ยินดีน้า

   “เห้ยนี่มันไอ้เด็กที่เขียนหน้ามึงวันแรกพบปะวะกูคุ้นๆ” คินที่แอบชะโงกหน้ามองข้อความในโทรศัพท์ถามออกมาอย่างสงสัย

   “ไม่รู้” ฐานทัพตอบแม้ว่าลึกๆเขาจะมั่นใจว่าใช่

   “ใช่แน่ๆกูจำได้ ว่าแต่มึงมีรูปเขาได้ยังไงวะ”

   “ยุ่ง”




   คิดถึงวันนั้นเขาก็อดยิ้มไม่ได้ ตอนแรกที่ถามโกโก้ไปเพราะเขาสงสัยว่าทำไมคนๆนี้ถึงชอบส่งรูปภาพประหลาดๆคล้ายกับข้อความที่ส่งในไลน์กลุ่มครอบครัวมาให้เขาทุกวันจนต้องถามออกไปเพื่อคลายความสงสัย





   และทุกอย่างยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อคนๆนั้นเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ไลน์เป็นรูปตัวเอง





   ไม่ใช่เพื่อนของเขาอย่างที่บอกแต่เป็น…ตัวเขาเอง




   บุ๋น

.

   นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ร่างของคนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออย่างขมักเขม้นคงเห็นได้ไม่ยากในตึกหอพักนักศึกษาแพทย์ที่ต่างคร่ำเคร่งกับการสอบย่อยและสอบไฟนอลที่จะสอบเร็วกว่าคณะอื่นๆ




   ฐานทัพเปิดหนังสือเล่มหนาที่ยืมมาจากหอสมุดกลางช้าๆ แม้ว่าจะอ่อนล้ามามากแต่เขาไม่มีเวลาพอที่จะหยุดอ่านตอนนี้ อาทิตย์หน้ามีสอบย่อยแล้วอีกไม่กี่อาทิตย์เขาก็ต้องสอบไฟนอล จะว่าเร็วก็เร็วแต่สำหรับเขาแล้วมันช้ากว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน บางครั้งเขาก็รู้สึกเบลอกับตัวหนังสือที่เต็มหน้ากระดาษ แต่จะให้เลิกอ่านก็ทำไม่ได้




   ครืด~




   โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงสั่นเตือนข้อความเข้า ฐานทัพถอดแว่นตาที่ใส่อยู่ออกก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วค่อยๆล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม




   ชื่อของคนส่งข้อความเรียกรอยยิ้มจากคนอ่านได้ไม่น้อย



   จาก…คนส่งแครอท
   กลับมาถึงหอแล้วครับ ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนมาอิ่มจนพุงปลิ้นแล้ว
   พี่ทำอะไรอยู่ครับ? ให้ผมเดาพี่คงอ่านหนังสืออยู่ใช่ไหม
   เจอกันพรุ่งนี้นะครับ ฝันดีครับ :)




   ฐานทัพอ่านข้อความที่ส่งมาซ้ำสามรอบก่อนที่เขาจะค่อยๆตอบกลับตามที่บุ๋นส่งข้อความมาโดยไม่ลืมที่จะเรียงลำดับให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายๆ



   จาก…คิดถึง
   โอเค ระวังท้องอืด กำลังอ่านหนังสืออยู่ เดาเก่งมาก
   พรุ่งนี้เจอกันที่ไหน? ฝันดีครับ




   บุ๋นอ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาก็อดหัวเราะไม่ได้ หมอฐานทัพก็ยังเป็นหมอฐานทัพ บุ๋นเข้าใจเลยกับคำว่าไม่เคยมีแฟนของหมอมันครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับความรักและความโรแมนติก




   คำว่าพรุ่งนี้เจอกันสำหรับบุ๋นเป็นแค่คำบอกเล่าธรรมดาเหมือนคนทั่วไปคุยกันแต่กับหมอฐานทัพแล้วคงเข้าใจอย่างที่พิมพ์ไปจริงๆ




   พรุ่งนี้…จะได้เจอกัน




   จาก…คนส่งแครอท
   พรุ่งนี้เราไปกินข้าวเย็นกันไหมครับ ผมเลิกเรียนหกโมง




   ฐานทัพหยิบโทรศัพท์ที่มีการส่งข้อความกลับมาอย่างรวดเร็วขึ้นมาอ่านขณะที่กำลังพักสายตาจากการอ่านหนังสือ
   พรุ่งนี้เขาเลิกหนึ่งทุ่ม…




   จาก…คิดถึง
   พรุ่งนี้เลิกหนึ่งทุ่ม วันอื่นไหม?




   จาก…คนส่งแครอท
   ไม่เป็นไรครับ ผมจะรอ
   



   จาก…คิดถึง
   อืม ตกลง



   บุ๋นอ่านข้อความสุดท้ายก่อนจะปิดโทรศัพท์ลง ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขายิ้มออกมาเพราะความน่ารักของหมอฐานทัพ ขออะไรก็ยอมง่ายๆไม่มีปฏิเสธหรือถามมากความ




   ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองมีแฟนแล้วก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจแปลกๆ




   “ยิ้มอีกนิดปากมึงจะถึงหูแล้ว” สองที่พึ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาก็อดหมั่นไส้ในความอารมณ์ดีของเพื่อนสนิทไม่ได้





   คิดว่าตัวเองเป็นเทเลทับบี้หรือไงวะ อารมณ์ดีตลอดเวลา





   “อารมณ์ดีก็ต้องยิ้มดิวะ” บุ๋นยักคิ้วกวน




   “เออ รู้แล้วครับ” สองถอนหายใจ บ่นไปก็เท่านั้น ทำอะไรกับรอยยิ้มบ้าๆของไอ้สี่ไม่ได้




   เห็นแล้วหมั่นไส้โว้ยยยยยยย




   “ไปอาบน้ำละ ขี้เกียจฟังคนขี้อิจฉา” บุ๋นกวนทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูและขันที่ใส่อุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไป




   อาบน้ำให้ตัวหอมๆแล้วจะได้นอนหลับฝันดี




   ฝันถึงหมอ~



.

   บุ๋นจอดจักรยานลงหน้าตึกคณะแพทย์ในเวลาใกล้จะหนึ่งทุ่มตรง วันนี้เขาเองก็เลิกสายกว่าที่ควรจะเป็นเพราะเนื้อหาที่ค่อนข้างเยอะและอาจารย์เข้าห้องช้าเลยทำให้เวลายืดออกไปอีก เขาเดินไปนั่งที่นั่งใต้ตึกคณะที่มีผู้คนอยู่ประปรายเพื่อรอเวลาที่คุณหมอจะเลิกเรียน





   การแข่งขันเมื่อวานทำเอาเขารู้สึกอ่อนล้ามาทั้งวัน เมื่อวานเขาเล่นจนสุดแรงของตัวเองจริงๆเลยไม่แปลกที่จะทำให้รู้สึกปวดเมื่อย ขาของเขาดูจะหมดแรงเอาดื้อๆในเวลาที่จะลุกเดินหรือปั่นจักรยานออกไปเรียน




   เขามองตึกรอบข้างที่ดูทันสมัย มีนักศึกษาแพทย์นั่งอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆจดจ้องอยู่กับคอมพิวเตอร์บางเฉียบกับหนังสืออีกสองสามเล่มข้างตัว บางคนก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ บางคนก็ยืนคุยโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม บางคนก็นั่งหาวแต่ก็ต้องพยายามปลุกตัวเองเพราะยังทำงานไม่เสร็จ





   และบางคน…กำลังวิ่งตรงมาที่เขา

   

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   “รอนานไหม” คำพูดแรกที่เอ่ยขึ้นจากปากคุณหมอที่รีบวิ่งออกมาจากห้องทันทีที่เลิกเรียนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรอนานถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ



   ดูก็รู้ว่าหมอฐานทัพรีบมาเพราะเขายังไม่ถอดหูฟังทางการแพทย์ที่ห้อยอยู่ที่คอออก บุ๋นยิ้มออกมาบางๆก่อนจะส่ายหน้าเพื่อให้อีกคนคลายความกังวล




   “ไม่นานครับ ผมพึ่งมาเอง”




   “อ่าวหรอ” ฐานทัพเอ่ยเสียงเบาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบุ๋น “นึกว่าหิวเลยรีบมา”




   “หิวครับ” บุ๋นตอบกลับ “แต่รอได้”




   “ไปเถอะ” ฐานทัพทำท่าจะลุกขึ้นแต่บุ๋นดึงไว้ก่อน เห็นท่าทางเหนื่อยหอบของหมอเขาเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ความจริงหมอไม่ต้องรีบวิ่งมาก็ได้ ยังไงเขาก็รอได้




   “พี่นั่งพักก่อนเถอะครับ ผมว่าตรงนี้ลมเย็นดีนะ” บุ๋นให้เหตุผล เขาไม่ได้บอกไปตรงๆว่าเพราะอะไรถึงยังไม่ลุก




   “ไม่หิว?” ฐานทัพถามกลับอีกครั้ง




   “หิวครับ แต่ยังไม่อยากไป” บุ๋นตอบก่อนจะหันไปมองคนข้างๆชัดๆ “พี่จะไม่ถอดออกหรอครับ” เขาชี้ไปยังหูฟังที่หมอฐานทัพห้อยอยู่ที่คอ




   “อ่อ” ฐานทัพเหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้ “ลืม” เขาตอบออกมาสั้นๆก่อนจะถอดออกเพื่อเก็บไว้ในกระเป๋า




   วันนี้วิชาที่เรียนต้องใช้หูฟังหรือที่เรียกว่าสเตโทสโคปเพื่อฟังการเต้นของชีพจรหัวใจและฟังเสียงจากปอด ฐานทัพจำได้ว่าเก็บไปแล้วแต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้เก็บตามที่คิดไว้




   “บุ๋น” ฐานทัพที่พึ่งนึกขึ้นได้ชะงักมือที่กำลังจะเก็บค้างไว้ก่อนจะหันไปเรียกคนข้างๆ “หันมา”   




   “ครับ?” บุ๋นดูไม่เข้าใจในสิ่งที่หมอบอกแต่ก็ยอมทำตามที่ขอ




   “ขอฟังเสียง” ฐานทัพใส่หูฟังสเตโทสโคปก่อนจะวางไดอะเฟรมหรือส่วนที่แนบกับลำตัวของผู้ป่วยลงบนอกข้างซ้ายของคนตรงหน้าทำเอาคนที่ไม่เข้าใจถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย




   “หายใจปกติ” ฐานทัพพูดอย่างไม่คิดอะไรแต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังทำส่งผลให้อีกคนใจไม่นิ่ง




   “พี่ทำอะไรครับ” ถึงจะพอเดาออกแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี




   ทำแบบนี้หมอก็รู้หมดน่ะสิว่าเวลาเขาอยู่กับหมอ…หัวใจเขาเต้นแรงขนาดไหน




   “นับชีพจรการเต้นของหัวใจ”




   “…!!!!”




   ชัดเจน…




   “เอ่อ…ผม…”




   “เต้นแรงมาก” ฐานทัพพึมพำก่อนจะถอดหูฟังออก “ไปตรวจร่างกายหน่อยไหม”




   “ครับ?”




   “หัวใจเต้นแรง” เขายังย้ำคำเดิม “เป็นโรคหัวใจหรอ”




   “ครับ?” บุ๋นยังคงงงกับคำถามของหมอฐานทัพ “ผมไม่ได้เป็นโรคหัวใจ”




   “ไปตรวจหน่อยก็ดี”




   “มันเต้นแรงแค่บางเวลาเท่านั้นแหละครับ” บุ๋นเกาหัวแก้เขิน หมอจะรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ นี่หมอกำลังแกล้งเขาอยู่ใช่ไหม




   “ยังไง ลองบอกอาการมา” ฐานทัพดูจริงจังขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินบุ๋นพูดแบบนั้น




   “ก็…” เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูด “เวลาหัวใจเต้นแรง หน้าผมก็จะแดงทุกที”




   ถ้าร้องเป็นเพลงได้เขาคงร้องไปแล้ว…




   “มันไม่ได้เป็นโรคหัวใจหรอกครับ”




   “…”




   “เป็นโรคภูมิต้านทานหมอต่ำ…เจอทีไรใจเต้นแรงทุกที”




   “ต้องเขินไหม?” ฐานทัพยิ้มออกมาบางๆ




   “เขินหน่อยก็ดีครับ”




   “อืม เขิน”





   คำพูดที่บุ๋นแกล้งถามไปเล่นๆแต่คนข้างๆดันตอบกลับมาจริงจังทำเอาคนถามถึงกับไปไม่เป็น บุ๋นยกมือขึ้นเกาหัวกับความซื่อของหมอ คิดว่าหลังจากนี้เขาคงต้องเจอความซื่อแบบนี้ไปอีกนาน




   แต่นั่นคือเสน่ห์ของหมอฐานทัพ




   “ตอบแบบนี้ผมก็แย่ดิพี่”




   “แย่ยังไง”




   “เขินจะแย่” บุ๋นยิ้มกว้าง เขาไม่เคยเบื่อเลยสักครั้งที่จะต้องยิ้มให้หมอ




   “อืม แย่จริงด้วย” ฐานทัพหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเก็บสเตโทสโคปลงกระเป๋า




   “อ่าว ไม่ให้ผมนับชีพจรพี่บ้างหรอ” บุ๋นแซว




   “ไม่” ฐานทัพตอบกลับมาทันที “เดี๋ยวรู้”




   “รู้ว่า?”




   “เต้นแรงเหมือนกัน”




   ฉึก!!!




   เหมือนมีมีดนับสิบเล่มแทงเข้ามาที่หัวใจเขาอย่างอ่อนโยน บุ๋นรับรู้ถึงรังสีสีชมพูที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ เขาต้องรับมือกับหมอฐานทัพให้หนักกว่านี้ ไม่อย่างนั้น




   เขาไม่ไหวแน่ๆ…




   เกินไปแล้วหมอ เสี่ยงต่อใจผมเหลือเกิน


.
   
   ทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักหลังจากใช้เวลากว่าชั่วโมงในการนั่งกินอาหารพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน เป็นช่วงเวลาที่เขาอยากจะหยุดมันไว้นานๆแต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะหมอต้องกลับไปอ่านหนังสือต่อ



   “พรุ่งนี้ผมต้องไปคุยงานของปีหนึ่งที่คณะ แล้วพี่เรียนทั้งวันรึเปล่าครับ” ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถจักรยานเขาก็เอ่ยขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบข้างเงียบจนเกินไป




   “อืม แต่เลิกเร็ว สี่โมง”




   “ผมเลิกเร็วกว่าอยู่ดี ผมเลิกบ่ายสอง” บุ๋นอวดโดยที่ไม่รู้ว่าจะอวดไปทำไม เลิกเร็วเขาก็ไม่รู้จะทำอะไร งานแต่ละวิชาเขาก็เคลียร์จนใกล้จะเสร็จหมดแล้ว




   “แล้วไปไหนต่อ”




   “กลับหอมั้งครับ ขี้เกียจไปไหน”




   ถ้าเทียบกับสองและสาม บุ๋นถือเป็นคนที่อยู่ติดห้องมากที่สุดเพราะเวลาเลิกเรียนเขาก็มักจะกลับหอพักหรือไม่ก็ไปวนเวียนแถวๆตึกคณะแพทย์ ส่วนอีกสองคนไม่ต้องพูดถึง สองจะเห็นก็ตอนค่ำๆไม่ก็เช้าตรู่เพราะเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเลยต้องไปประชุมงานบ่อยๆ ส่วนสามจะเห็นก็ตอนดึกที่ยกงานกลับมานั่งทำต่อที่ห้อง ดูๆไปแล้วเขาก็ดูว่างที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ




    “พรุ่งนี้จะไปอ่านหนังสือที่หอสมุด ไปไหม” ฐานทัพถามออกไป เขาตั้งใจว่าหลังเรียนเสร็จจะไปหาหนังสือที่จะต้องใช้อ่านในการสอบย่อย




   “ไปครับ” บุ๋นตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิด




   ถึงจะไม่ชอบหอสมุดสักเท่าไหร่แต่ถ้าคนที่ชวนคือหมอฐานทัพต่อให้ชวนไปที่ไหนเขาก็ไปทั้งนั้นเพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับสถานที่แต่เกี่ยวกับ…




   คนที่ไปด้วย





   “ตอบไว” ฐานทัพหัวเราะ บางครั้งบุ๋นก็แสดงออกมาตรงๆไม่ต้องให้เขาคิดว่าบุ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนอย่างเขา




   “พี่ครับ วันนี้อากาศดีเนอะ” เมื่อใกล้จะถึงที่จอดจักรยานเขาก็หาเรื่องชวนคุยใหม่




   ยังไม่อยากกลับ




   “อืม”





   “เราไปเดินเที่ยวกันหน่อยไหมครับ ผมว่าอากาศแบบนี้เดินย่อยอาหารหน่อยก็คงดี”




   “หรอ” ฐานทัพถาม “อยากเดินย่อยอาหาร?”




   “อยากเดินกับพี่ครับ” บุ๋นตอบตามความจริงเมื่อเห็นสายตาของหมอฐานทัพที่มองมา เขาโกหกหมอไม่ได้เลยจริงๆ





   เหมือนหมอจะตามเขาไม่ทัน…แต่ความจริงหมอตามทัน




   “อืม ไป” ฐานทัพตอบรับง่ายๆตามประสาของเขา




   ฐานทัพยอมรับตรงๆว่าตั้งแต่ที่สถานะระหว่างเขาสองคนเปลี่ยนไปเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันต่างจากตอนที่ยังไม่ได้คบกัน บุ๋นยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนตัวเขาเองก็ยังเป็นตัวเขาเหมือนเดิม แบบนี้หรอที่เรียกว่าแฟน




   เขาคงต้องไปอ่านกระทู้กูรูให้มากขึ้นมั้ง




   “พี่คิดอะไรอยู่หรอครับ” เมื่อเห็นว่าหมอดูเงียบไปเขาเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ หรือว่าหมอจะรีบกลับไปอ่านหนังสือแล้วเขาทำให้หมอเสียเวลา




   “นิดหน่อย”




   “มีอะไรบอกผมได้นะครับ”




   “บอกได้จริงหรอ” ฐานทัพถามกลับอย่างมีความหวัง เขาไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้ควรจะบอกบุ๋นไปตรงๆไหม แต่เขาก็ไม่รู้จะถามใครได้ดีเท่าคนข้างๆ




   “ครับ ได้สิ” บุ๋นระบายยิ้มบางๆ เมื่อเห็นใบหน้าของหมอที่ดูครุ่นคิดอะไรอยู่เขาก็อดห่วงไม่ได้





   เขาอยากให้หมอรู้สึกสบายใจที่อยู่กับเขา





   “เป็นแฟนต้องทำยังไง” ฐานทัพพึมพำออกมาอย่างคนไม่กล้าพูดเสียงดัง





   กลัวคนข้างๆจะหัวเราะกับคำถามของเขา





   “หืม? พี่คิดเรื่องนี้หรอครับ” บุ๋นหัวเราะออกมาเบาๆแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังก็รีบหยุดแล้วปรับสีหน้าให้จริงจังตามหมอฐานทัพ “ทำไมจู่ๆถึงถามขึ้นมา”




   “สงสัย”




   “แล้วทำไมถึงสงสัยครับ?”




   “กวน” เขาเอ่ยออกมาสั้นๆเมื่อบุ๋นเอาแต่ถามกลับไม่ยอมตอบคำถามเขาสักที




   “อะๆ ผมตอบก็ได้ครับ” เมื่อแกล้งอีกคนสำเร็จบุ๋นก็ยิ้มออกมา “ผมไม่รู้หรอกว่าแฟนกันต้องทำยังไง แต่ละคู่เขาก็มีการแสดงออกที่ไม่เหมือนกัน”




   “…”




   “แต่สำหรับผมก็คงเป็นการได้เจอกัน ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน รู้ว่ามีอีกคนคอยห่วง มีกำลังใจให้กันและกัน”




   “แล้วมันต่างกับก่อนจะคบยังไง”





   “ต่างสิครับ ต่างมากด้วย”




   “ยังไง” ฐานทัพยังคงสงสัยไม่หยุด




   “เรารู้ว่าเราจะจริงจังกับใครสักคน สถานะชัดเจนและ…” บุ๋นเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เราจะมีเขาแค่คนเดียว”





   กลายเป็นฐานทัพที่เงียบไปเมื่อคำตอบของบุ๋นตอบคำถามทุกอย่างที่อยู่ในใจเขาได้หมดโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาเข้าใจทุกอย่าง




   “จะพยายามทำความเข้าใจ” ฐานทัพถอนหายใจออกมา “ไม่เคยคบใครเลยทำตัวไม่ถูก”




   “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เป็นแบบนี้ผมก็มีความสุขแล้ว”




   “สุขยังไง”




   “สุขยังงี้” บุ๋นจิ้มนิ้วไปที่แขนของหมอฐานทัพเบาๆ “โห จะว่าไปพี่ก็อ้วนเหมือนกันนะเนี่ย แขนแน่นเชียว”




   “กวนละ” ฐานทัพผลักหัวบุ๋นเบาๆ




   “พี่รู้รึเปล่าว่าพี่อารมณ์ดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลย” บุ๋นยิ้มออกมาเมื่อเห็นหมอฐานทัพในแบบที่ไม่เคยเห็นเมื่อก่อน “พี่ยิ้มพี่หัวเราะ ไม่เหมือนช่วงแรกๆที่ดูเงียบๆ”




   “รู้” และเขารู้ว่าเป็นเพราะใคร




   บุ๋น…ทำให้เขาเปลี่ยนไป




   ทั้งสองปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ก่อนที่จะเดินวนกลับมาที่จอดจักรยานบ่งบอกเวลาที่เขาทั้งสองจะต้องกลับไปที่หอพักของตัวเอง ถึงจะไม่อยากกลับแต่ก็คงต้องยอมกลับ




   “ให้ผมปั่นไปส่งพี่ไหม” บุ๋นถามแม้ในใจเขาจะมีคำตอบอยู่แล้ว




   “ไม่”




   “โหพี่…”




   “ไม่โห แยกกลับ” ฐานทัพสั่งเด็ดขาด วันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันไม่มีเหตุผลที่บุ๋นจะต้องปั่นไปส่งเขา แม้จะรู้ว่าบุ๋นเต็มใจแต่เขาต้องปฏิเสธความตั้งใจนั้น




   “แต่ว่า…”




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกเสียงนิ่งๆทำเอาคนที่สรรหาข้ออ้างถึงกับเงียบลง




   “ก็ได้ครับ” กลายเป็นลูกหมาในกำมือทันทีที่ได้ยินเสียงดุ “ถึงหอแล้วผมจะส่งข้อความไปนะครับ”




   “อืม โอเค”




   “ถ้าพี่ถึงก่อนก็ส่งมาหาผมนะ”




   “อืม ได้”




   “ไม่ให้ผมไปส่งจริงๆหรอ” เขาถามอย่างมีความหวัง




   “บุ๋น”




   “ครับ เข้าใจแล้ว” บุ๋นเอ่ยคอตก ถึงจะดึงดันยังไงหมอก็คงยืนยันคำเดิม เขาเดินไปปลดล็อกโซ่จักยานเตรียมปั่นกลับหอ



   “พรุ่งนี้เจอกัน” ฐานทัพเอ่ยหลังจากที่ขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเองแล้ว




   “ครับ” บุ๋นยิ้มกว้าง




   “ไปละ”





   “เดี๋ยวครับ” บุ๋นเรียกไว้ทำให้คนที่กำลังจะปั่นออกไปหันกลับมาเลิกคิ้วเชิงถาม




   “หืม?”





   “ยิ้มก่อน” บุ๋นพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มที่ลักยิ้มทั้งสองข้างของเขา “ยิ้มให้ดูก่อน จะได้กลับไปฝันดี”





   “เพี้ยน” ฐานทัพตอบกลับแต่ก็ไม่วายยิ้มตามที่อีกคนบอก แม้จะไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนคนยิ้มเก่งแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่คนยิ้มเก่งหวงที่สุด




   “ยิ้มให้ผมคนเดียวพอนะ” บุ๋นพึมพำกับตัวเองไม่ให้หมอได้ยิน




   “อืม” แต่บุ๋นคงคิดผิดไปเพราะบริเวณรอบข้างเงียบสงัดทำให้หมอฐานทัพได้ยินที่เขาพูดทุกคำ




   “ได้ยินด้วยหรอครับ?”




   “อืม” เขาพยักหน้าย้ำให้บุ๋นรู้ว่าที่ตัวเองพูดมาเขาได้ยิน




   “คือผม…”




   “เหมือนกัน” ฐานทัพเอ่ยขัด




   “ครับ?”




   “อย่ายิ้มให้คนอื่นเยอะ”




   “…”




   “ไม่ดี”   





   ไม่ดีก็คือ…ไม่ชอบ





---------------------------
แอบหนีเที่ยวหลายวันเลยยย กลับมาอัพเดทต่อแล้วจ้าาา
คิดถึงกันไหมน้าาาาาาา  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พูดได้แค่ว่า น่าร๊ากกกกกกกก ดีต่อใจเหลือเกิน ปอลิง. อยากขโมยหมอมาฟัดจัง :-[

ออฟไลน์ nsai.ss

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
ระเบิด...บู้มมมมม~

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คุณหมอค่ะ เราจะไม่ทน
น้ารักเกินไปแล้ว

ความซื่อ
แบบทันคนของหมอ น่ารักก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NorthCat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่ทันแล้วจ้าพี่หมอน้องบุ๋น คนอ่านปากจะฉีกถึงแล้ว  :katai1:

ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จีบหมอครั้งที่ยี่สิบ

   จาก…คนส่งแครอท
   วันนี้ผมคงไปหอสมุดกับพี่ไม่ได้แล้ว งานที่คณะยังอีกเยอะเลยครับ
   เดี๋ยวจะไปซื้อสีทำคัทเอ้าท์ เลิกเย็นแน่ๆ (อีโมชั่นร้องไห้)
   ยังไงถ้าเสร็จเดี๋ยวผมโทรหานะ



   ข้อความที่ส่งมาถูกอ่านอย่างรวดเร็วจากคนที่วางมือถือไว้ข้างๆตัวบนโต๊ะของโรงอาหารคณะแพทย์ระหว่างรอเรียนวิชาถัดไป




   “ใครวะ” คินที่นั่งอยู่ตรงข้ามชะเง้อคอมองข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอเพื่อนสนิท




   “เลิกยุ่งเรื่องเพื่อนสักวันมึงไม่ตาย” ปกป้องดึงคอเสื้อคินกลับพร้อมถอนหายใจกับความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันลดน้อยลง




   “เอ้า หรือมึงไม่อยากรู้”





   “ถ้ามันไม่บอกก็เป็นเรื่องของมัน” ปกป้องตอบอย่างคนไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น “กินข้าวไป จะเข้าเรียนแล้ว”




   “เออ ดุจังวะ” คินบ่นอุบอิบ “นี่ถ้ามึงเป็นผู้หญิงกูไม่เอามึงเป็นแม่ของลูกแน่ๆ บ่นเยอะกว่าแม่กูอีก”




   “ถามว่ากูจะเอามึงไหม” ปกป้องสวนกลับ




   “พอๆ” ฐานทัพยกมือห้ามก่อนจะหันไปมองคิน “ข้อความจากบุ๋น”




   “หืม?” คินทำตาโตทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ “แลกเบอร์กันแล้วหรอวะ”




   “สักพักแล้ว”




   “โอ้โห…ไอ้หมอมึงมันร้าย”




   “ร้ายยังไง” ฐานทัพถามกลับอย่างไม่เข้าใจ




   “อธิบายไปมึงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” คินถอนหายใจอย่างคนขี้เกียจอธิบายยาว “แล้วนี่ไปถึงไหนแล้ว ขอคบยัง”




   “อืม” ฐานทัพพยักหน้า “คบแล้ว”




   “ฮะ?!! คบแล้วด้วย?” คินกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่เชื่อหู ถึงเขาจะพอดูออกแต่ก็ไม่คิดว่าฐานทัพจะตอบกลับมาด้วยท่าทางธรรมดาไม่แสดงอารมณ์อะไร




   ไอ้หมอมันเข้าใจคำว่าคบจริงๆใช่ไหม…





   “อืม ตกใจอะไร”




   “เปล่า กูแค่ไม่คิดว่ามึงจะคบกันแล้ว”




   “ก็ตอนนั้นมึงบอกให้ขอ”





   “แล้วมึงขอหรอ?”




   “เปล่า เขาขอ” ฐานทัพตอบกลับตามความจริง เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังเพื่อนสนิทและเขาก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะผิดแปลกตรงไหน




   “เอ่อ แล้วมึงโอเคหรอวะ…ที่คบกับ กูหมายถึงแบบ ผู้ชาย” คินพูดคำสุดท้ายออกมาเสียงเบา เขาไม่รู้ว่าฐานทัพเข้าใจคำว่าคบในรูปแบบไหน




   ฐานทัพไม่เคยมีแฟนมาก่อนและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนรักกันจะต้องปฏิบัติต่อกันยังไง ยิ่งแฟนคนแรกเป็นผู้ชายเขายิ่งตะขิดตะขวงในใจ




   กลัวว่าความรู้สึกของฐานทัพมันคือความรักแบบพี่ชายกับน้องชาย ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย




   “ทำไมจะไม่โอเค” ฐานทัพยังคงงงกับสิ่งที่คินถามออกมา เขาไม่เข้าใจว่าคินต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่




   “ถ้ามันไม่โอเคมันจะคบทำไม” ปกป้องที่นั่งฟังอยู่นานแทรกขึ้น ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องระหว่างฐานทัพกับบุ๋นเท่าไหร่ แต่จากที่ผ่านมาเขาก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของบุ๋น




   “มึงก็รู้มันไม่เคยมีแฟน” กลายเป็นคินที่เครียดแทน “กูกลัวว่ามันจะยังไม่เข้าใจดีพอแล้วมันจะแย่กันทั้งสองฝ่ายนะ”




   เขาไม่ได้ต้องการให้เพื่อนลังเลแต่ที่พูดเพราะห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ เขารู้ว่าบุ๋นรู้สึกกับเพื่อนเขายังไง แต่กับฐานทัพเขาไม่รู้ว่าจะรู้สึกแบบเดียวกับอีกคนไหม




   แล้วถ้าไม่…มันจะเป็นยังไงต่อไป




   “เข้าใจแล้ว” ฐานทัพที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น “เพราะกูเป็นผู้ชายแล้วบุ๋นก็เป็นผู้ชาย เรื่องนี้ใช่ไหมที่มึงห่วง”




   “เออดิ” คินตอบ “กูไม่ได้เหยียดเพศนะ แต่แค่แปลกใจเพราะกูไม่เคยเห็นมึงสนใจผู้ชายมาก่อน”




   “ผู้หญิงมันก็ไม่สน” ปกป้องพูดเสริม “มึงชอบน้องมันจริงๆใช่ไหม”




   “อืม” ฐานทัพรับคำ “จริง”




   ถึงจะไม่เคยมีใคร ถึงจะไม่เข้าใจความรักแต่เขารับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับบุ๋นมันพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ




   “เออ งั้นกูก็ดีใจด้วย” คินยิ้มออกมาบางๆ เขาไม่มีสิทธิจะไปห้ามความรู้สึกของเพื่อน กลับกันเขาไม่คิดจะห้ามด้วยซ้ำเพราะบุ๋นไม่มีส่วนไหนที่ทำให้เขาไม่ชอบ




   ถ้าไอ้หมอมั่นใจ…เขาก็ดีใจด้วย




   “เหมือนกัน” ปกป้องเอื้อมมาตีไหล่เพื่อนสนิทแรงๆ “แล้วไม่ตอบข้อความกลับหรอ”




   “เกือบลืม” เหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ก่อนจะกดลบและพิมพ์ลงไปอีกครั้งและลบอีกจนต้องหันมือถือที่ถืออยู่ให้เพื่อนอีกสองคนอ่าน “ตอบไปว่าไงดี”




   คินกับปกป้องอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอพร้อมรอยยิ้มของคินที่เผยออกมาหลังอ่านข้อความจบ ทำไมเขารู้สึกถึงความใส่ใจเล็กๆน้อยๆของเด็กคนนี้




   “แล้วมึงอยากเจอเขาไหมล่ะ”




   “เกี่ยวอะไรกับข้อความ” ฐานทัพถามกลับ




   “เอาใหม่” คินถอนหายใจยาวๆ “กูหมายถึงถ้ามึงอยากเจอมึงก็ไปหาเขาที่คณะหลังจากไปหอสมุดเสร็จ”




   “อ่อ” เขาพยักหน้าเข้าใจ “คราวหลังก็บอกตรงๆ กูขี้เกียจคิด” ฐานทัพบ่นกลับก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป




   คินหันไปมองปกป้องก่อนจะส่ายหน้าไปมากับความซื่อบื้อของเพื่อนตัวเอง นี่ถ้าไม่ติดว่าฐานทัพสอบได้คะแนนเยอะกว่าเขาทุกวิชาเขาคงด่าไปแล้วว่าไอ้โง่




   ติดตรงที่ เขาโง่กว่า…

.

   จาก…คิดถึง
   ไปหอสมุดเสร็จเดี๋ยวไปหา ถ้ายังอยู่




   บุ๋นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความแทบจะทันที สงสัยหมอยุ่งอยู่เลยตอบข้อความเขาช้ากว่าทุกๆครั้ง บุ๋นพิมพ์ตอบไปอีกครั้งก่อนจะหันไปหาเดชที่ยืนรออยู่ข้างๆ




   “ครับมึง กูไปเดี๋ยวนี้แหละ” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยกับเพื่อนสนิท




   ทั้งคู่จะปั่นจักรยานออกไปเพื่อไปซื้อสีมาทำคัทเอ้าท์ในวันเปิดบ้านอีกหนึ่งอาทิตย์ที่จะถึง จะเรียกว่างานด่วนก็คงใช่เพราะเขาพึ่งรู้ว่าที่มหาลัยจะมีงานเปิดบ้านเมื่อตอนเช้าที่เรียกปีหนึ่งทุกคนมาประชุมและตอนบ่ายใครที่เรียนเสร็จก็ต้องมาช่วยจัดเตรียมงาน




   คณะเกษตรดูครึกครื้นกว่าทุกวันเพราะมีปีหนึ่งแยกกันทำงานตามจุดต่างๆของคณะ บางคนที่เก่งเรื่องศิลปะก็ประจำอยู่ที่คัทเอ้าท์แผ่นใหญ่กลางลานคณะ บางคนก็อาสาเป็นฝ่ายสวัสดิการคอยเสริมน้ำซื้อขนมมาให้เพื่อนๆจากเงินกองกลางของปีหนึ่ง ทุกคนแยกย้ายกันทำตามความถนัด เป็นภาพที่พี่ๆปีอื่นๆรู้สึกชื่นใจเหมือนทุกๆปี




   งานเปิดบ้านจะเป็นงานแรกที่ปีหนึ่งได้ลงมือทำอย่างเต็มรูปแบบเพราะรูปแบบที่ทำต่อๆกันมาเป็นแบบแผน ปีหนึ่งจะมีหน้าที่เตรียมงานวันเปิดบ้าน ส่วนพี่ปีอื่นๆจะมีหน้าที่คอยแนะแนวน้องในแต่ละสาขาของคณะเกษตรซึ่งในส่วนนี้ปีหนึ่งจะมีหน้าที่น้อยที่สุดเพราะยังไม่ได้เรียนพื้นฐานไม่ได้เจาะลึกเหมือนปีสูงๆ




   “สีมาแล้วววว~” บุ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง ถังสีที่ซื้อมาถูกวางลงข้างๆเพื่อนที่กำลังนั่งร่างดินสอลงบนแผ่นคัทเอ้าท์ “ถึงไหนแล้ว”




   “ยังร่างไม่เสร็จเลย” เธอตอบกลับมาก่อนจะเริ่มร่างภาพต่อ




   “เดี๋ยวเราช่วยยก” บุ๋นเดินไปช่วยยกคัทเอ้าท์อีกอันแทนผู้หญิงที่กำลังช่วยกันคนละไม้คนละมือเพราะขนาดคัทเอ้าท์ที่ใหญ่และค่อนข้างหนัก




   “ขอบคุณนะ” เธอยิ้มให้ก่อนจะขยับพื้นที่ให้อีกคนได้ช่วยถืออีกแรงเพื่อผ่อนแรงคนอื่นๆ




   จากที่แต่ก่อนทุกคนในคณะคิดว่าเดือนกับดาวเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่บุ๋นได้ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้ต่างจากทุกๆคน บุ๋นแทบจะไม่ได้ใส่ใจในตำแหน่งที่ตัวเองได้รับเลยด้วยซ้ำ ทำให้เขาได้รับคะแนนจากบุคคลรอบข้างไปเต็มๆเรื่องความใจดีและมีน้ำใจ




   แถมอีกอย่าง…ความหล่อ




   “น้ำฟ้า จะยกไปไหนเดี๋ยวเรายกไปให้” บุ๋นเข้าไปอาสาเมื่อเห็นร่างเล็กแบกกองชีทอยู่บนแขนทั้งสองข้าง




   “เอาขึ้นไปที่ห้องพักอาจารย์จ้ะ แต่ว่าเดี๋ยวเราเอาขึ้นไปเองก็ได้”




   “เห้ยไม่เป็นไร น้ำฟ้าไปช่วยคนอื่นเถอะ เดี๋ยวเรายกให้” บุ๋นไม่รอฟังคำตอบมือทั้งสองก็ฉวยเอากองชีทมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง




   “ขอบคุณนะ ห้องอาจารย์ยุภานะ”




   “ครับผม” บุ๋นตอบรับเสียงใส




   ร่างสูงเดินไปพร้อมกับกองชีทโดยไม่รู้เลยว่ามีรอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นจากการกระทำที่เขาทำไปอย่างเป็นปกติ ถึงบุ๋นจะเคยบอกทางอ้อมให้เธอหยุดคิดแต่ดูเหมือนความรู้สึกที่เกือบจะเป็นปกติมันกลับมารบกวนจิตใจอีกครั้ง




   บางทีเธอก็ควรจะบอกความรู้สึกให้เขาได้รับรู้…

.



   ความเย็นจากแก้วน้ำกระทบที่ข้างแก้มทำให้คนที่แอบอู้นอนหลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา บุ๋นมองไปยังผู้กระทำที่ยืนหัวเราะคิกคักชอบใจดูมีความสุขกับการได้แกล้งเขา




   “ไอ้เดช!” น้ำเสียงดุเอ่ยออกมาหากแต่ไม่ได้มีอารมณ์ตามน้ำเสียง




   “อะไรมึง เห็นเพลียๆกูเลยไปซื้อน้ำมาให้” เดชบอกจุดประสงค์ก่อนจะยื่นแก้วน้ำสีใสมาให้ “เขาบอกว่าจะกินสไปร์ทต้องใส่ถุง แต่กูใส่แก้วมาให้”




   “เออ ขอบใจ” บุ๋นหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะรับแก้วน้ำไว้ในมือ




   “นี่ก็ใกล้เสร็จแล้ว มึงจะกลับก่อนก็ได้นะ”




   “ไม่ว่ะ กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ อีกอย่างมึงอยู่กูก็อยู่ ไม่ได้รีบไปไหน” บุ๋นตอบพร้อมกับลุกขึ้นตามเดชเพื่อไปดูคัทเอ้าที่มีเพื่อนสี่ห้าคนกำลังระบายสีอยู่




   “ตื่นแล้วหรอบุ๋น” น้ำฟ้าเอ่ยทักเป็นคนแรกเมื่อเห็นใบหน้าสะลึมสะลือของบุ๋นเดินตรงมายังจุดที่ระบายสี




   “อ่าว รู้ด้วยหรอ” บุ๋นหัวเราะก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างๆ “ให้เราช่วยไหม”




   “ได้จ้ะ เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนน้ำก่อนนะ น้ำสีดำหมดแล้ว”




   “เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนให้ อยู่นี่แหละ” บุ๋นออกตัวแทนเหมือนทุกครั้งที่เขาชอบทำ ร่างสูงเหยียดลุกขึ้นพร้อมยกแก้วน้ำที่ใช้ล้างพู่กันทาสีออกไปยังก๊อกน้ำ




   “เทลงต้นไม้นะ เดี๋ยวแม่บ้านด่า” เดชบอกตามหลัง




   “เออครับคุณเดช”

.   



   อยู่ไหน ถึงแล้ว   




   ฐานทัพส่งข้อความหาบุ๋นเมื่อจอดจักรยานลงหน้าคณะเกษตร ตอนนี้ที่คณะมีผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมดเหมือนกำลังเตรียมงานอะไรสักอย่าง เขาหยิบหนังสือที่ยืมมาจากหอสมุดไว้ก่อนจะเดินเข้าไปยังคณะเพื่อหาที่นั่งรอ




   สายตาของเขาหยุดลงตรงร่างของบุ๋นที่ลุกขึ้นเดินไปยังอีกจุด ฐานทัพเปลี่ยนทิศเดินไปตามบุ๋นก่อนจะหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าใครอีกคนที่เขาคุ้นหน้าลุกเดินตามบุ๋นไป




   คงไม่มีอะไร…




   ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ขาทั้งสองข้างก็พาเขาก้าวเดินตามไปจนถึงจุดที่บุ๋นหยุดยืนอยู่ น้ำสีดำถูกเทลงที่ต้นไม้ข้างๆตัวก่อนที่จะหันไปล้างแก้วน้ำโดยไม่ได้สนใจเลยว่ามีใครอีกคนเดินตามมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ




   “บุ๋น” น้ำเสียงเล็กเอ่ยเรียกทำให้คนที่กำลังล้างแก้วอยู่หันไปตอบ




   “อ่าวน้ำฟ้า ตามมาทำไม เดี๋ยวเรายกไปให้ไง”




   “ตรงนั้นคนเยอะแล้วเลยอยากออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย เรานั่งระบายสีนานจนปวดแขนไปหมดแล้ว”




   “อ่อ เข้าใจแล้ว” บุ๋นก็ยังคงเป็นบุ๋นที่อัธยาศัยดีกับทุกคน




   ฐานทัพมองการกระทำของทั้งคู่เงียบๆ จะเรียกว่าเขาแอบดูก็คงได้ แต่ในจุดที่เขายืนก็ไม่ได้เรียกว่าการแอบดูสักเท่าไหร่ ถ้าบุ๋นหันมาบุ๋นก็จะเห็นเขา




   “บุ๋น คือเรามีอะไรอยากจะบอก” น้ำฟ้าเปิดประเด็นอีกครั้ง คำพูดเหมือนกับครั้งก่อนแต่ครั้งนี้เธอต้องการจะพูดมันออกไป




   อย่างน้อยก็ให้อีกฝ่ายได้รับรู้




   “ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆไม่ปฏิเสธ เขาก็พอจะเดาออกว่าน้ำฟ้าจะพูดอะไร ในเมื่อเธอกลับมาพูดเรื่องนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เขาก็จะรับฟัง




   และจะทำให้ทุกอย่างชัดเจน




   “เราชอบบุ๋นนะ” คำพูดที่เปล่งออกมาได้อย่างยากลำบากเอ่ยออกมาต่อหน้าคนที่ยืนรอฟัง น้ำฟ้าก้มหน้าลงต่ำรอคำตอบจากอีกฝ่าย




   ไม่ว่าจะเป็นยังไงเธอก็จะรับให้ได้




   “ความจริงเรารู้อยู่แล้ว” บุ๋นระบายยิ้มบางๆ “แต่เราคงรับความรู้สึกที่น้ำฟ้ามีให้เราไว้ไม่ได้”




   “…” เหมือนหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้จะพอเดาคำตอบออกแต่เธอก็หวังมาตลอดว่าสักวันคำตอบในใจของบุ๋นจะเปลี่ยนไป




   “เรามีคนที่เรารักอยู่แล้ว” เมื่อคิดถึงคนๆนั้นรอยยิ้มของเขาก็เผยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ถ้าเป็นแต่ก่อนเราคงเป็นฝ่ายขอจีบน้ำฟ้าด้วยซ้ำ”




   ฐานทัพที่ยืนฟังอยู่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคที่บุ๋นเอ่ยออกมา ถ้าเป็นแต่ก่อนอย่างนั้นหรอ…ทำไมล่ะ




   “แต่ตอนนี้เราทำไม่ได้ เรามีคนที่เราคิดจะจริงจังด้วย”




   “อืม…เราเข้าใจแล้ว” ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงความรู้สึกที่กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ




   “ขอโทษนะครับ”




   “อืม คนๆนั้นน่าอิจฉาเนอะ” น้ำฟ้าเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจื่อน




   “เราว่าเราอิจฉาตัวเองมากกว่า” บุ๋นยิ้มบางๆ




   “…”




   “ที่ได้เจอเขา”




   บริเวณรอบข้างที่เงียบสนิททำให้ฐานทัพได้ยินสิ่งที่บุ๋นพูดออกมาอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ รอยยิ้มบางๆเผยออกมา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังบุ๋นก็ยังเป็นบุ๋น




   ถึงแม้คำพูดก่อนหน้าจะดึงอารมณ์ของเขาไปบ้างก็ตาม




   “อืม” น้ำฟ้าพยักหน้าอีกครั้ง “งั้นเดี๋ยวเราไปช่วยเพื่อนต่อนะ”




   “ครับ” บุ๋นยิ้มนิดๆก่อนจะหันกลับไปล้างแก้วน้ำต่ออย่างกับเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น ความจริงเขารู้มาสักพักแล้วแต่เขาก็เว้นระยะมาตลอด




   ป็อก!




   นิ้วชี้ที่มาจากไหนไม่รู้ดีดหน้าผากเขาไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ บุ๋นเตรียมจะหันไปด่าแต่พอเห็นเจ้าตัวที่ยืนอยู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก




   หมอมาตั้งแต่เมื่อไหร่




   “พี่มาทำไมไม่โทรบอกผม” รอยยิ้มดีใจเผยออกมาเมื่อเห็นหมอฐานทัพมาหาเขาถึงที่




   “ส่งข้อความไปแล้วแต่ไม่เห็นตอบเลยเดินเข้ามาหา” ฐานทัพอธิบายก่อนจะสบตาคนตรงหน้านิ่งๆ




   “พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำหน้าเครียดเชียว” บุ๋นค่อยๆหุบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของหมอฐานทัพดูเครียดผิดปกติ




   “เป็น” ฐานทัพยอมรับตรงๆ “เป็นมาก”




   “เป็นอะไรหรอครับ” บุ๋นเริ่มเข้าโหมดจริงจัง พอเห็นท่าทีนิ่งๆของหมอก็ทำเอาเขาเครียดไปด้วย




   “ถ้าจะปฏิเสธก็อย่าพูดให้ความหวัง”




   “ครับ?” บุ๋นขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรหรอครับ”




   “ถ้าเป็นแต่ก่อนคงเป็นฝ่ายขอจีบ” ฐานทัพถอนหายใจออกมาแรงๆ เขาไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้ แค่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “หมายความว่าไง”




   “พี่…” บุ๋นเงียบพร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่



   หมอได้ยิน…




   “ตอบ” ฐานทัพไม่เคยบังคับให้ใครตอบในสิ่งที่ไม่อยากตอบ แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เข้าใจไปตลอด




   “พี่โกรธผมหรอ” บุ๋นหน้าเสีย หมอฐานทัพไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและเขาก็รู้สึกกลัวกับอาการที่หมอแสดงออกมา




   “เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธ “แค่อยากรู้”




   “…”




   “อยากเข้าใจว่าหมายความว่ายังไง”




   “ผมหมายความตามที่พูดจริงๆแหละครับ” บุ๋นยอมรับไปตรงๆ “แต่นั่นมันความคิดก่อนที่ผมจะเจอพี่”




   “…”




   “พอเจอพี่ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นอีก” บุ๋นค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆหมอฐานทัพ ครั้งนี้หมอนิ่งมากจนเขาทำอะไรไม่ถูก




   กลัวไปหมด…




   แต่เขาอยากให้หมอเชื่อว่าที่เขาพูดมาคือความจริงทั้งหมด




   “ทำไมถึงไม่คิด”




   “เพราะผม…” คำที่อยากจะพูดต่อมันจุกอยู่ที่อก เขาไม่รู้ว่าถึงเวลาที่เขาควรจะบอกหมอฐานทัพรึยัง เขากลัวว่ามันจะเร็วเกินไปที่จะบอกคำๆนี้




   แม้ว่าเขาจะรู้สึก…รัก มานานแล้วก็ตาม




   “ไม่ต้องพูดแล้ว” ฐานทัพเป็นคนตัดบท “ช่างเถอะ”




   “ไม่ช่าง พี่ยังไม่เข้าใจ”




   “ใช่ ไม่เข้าใจ” ฐานทัพไม่อยากเป็นคนไม่มีเหตุผล เขาแค่ไม่อยากจะถามให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ “จะเสร็จงานรึยัง จะชวนไปกินข้าว”



   “อีกสักพักก็น่าจะเสร็จแล้วครับ” บุ๋นตอบเสียงอ่อน เขาอยากจะพูดแต่ในเมื่อหมอไม่อยากฟังก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องพูดต่อ



   มือหนักวางลงบนหัวของอีกคน ฐานทัพถอนหายใจออกมาก่อนจะลูบผมคนตรงหน้าช้าๆ เห็นสีหน้าของบุ๋นที่ดูเครียดไม่มีรอยยิ้มเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้



   ไม่ได้ต้องการให้เครียด…เขาแค่อยากจะถามเพื่อที่จะได้เข้าใจ




   “เครียดหรอ” ฐานทัพพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ เขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นักกับอารมณ์ที่ตัวเองแสดงออกไป




   “ครับ” บุ๋นยอมรับ “ผมไม่อยากให้พี่เข้าใจผิด”




   “อืม รู้แล้ว”




   “ผมไม่อยากให้พี่คิดมาก” บุ๋นยกมือขึ้นไปวางทับกับมือของหมอที่ลูบผมเขาอยู่ “ผมห่วงพี่มาก”




   “อืม”




   ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของทั้งสองคนอีก ฐานทัพลูบหัวคนตรงหน้าราวกับว่าเป็นบุ๋นเด็กๆโดยที่อีกคนก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธสัมผัสที่อบอุ่น ถึงจะไม่เข้าใจแต่ฐานทัพจะพยายามเข้าใจ




   เหมือนที่บุ๋นพยายามเข้าใจในตัวเขา




   “อย่าพูดแบบนี้กับใครอีก” ฐานทัพเป็นฝ่ายเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบรอบข้าง




   “ไม่พูดแล้วครับ”




   “อืม”




   “พี่…หึงหรอครับ” บุ๋นตัดสินใจถามออกไปเมื่อเห็นว่าหมอฐานทัพเริ่มกลับมาเป็นปกติไม่มีท่าทีเหมือนตอนแรก




   “หึง?” ฐานทัพเลิกคิ้ว “ยังไง”




   “ก็แบบที่พี่แสดงออกมา”




   “อืม”  ฐานทัพพยักหน้า




   “…”




   “ถ้าเมื่อกี้เรียกหึง…ก็คงหึง”



.   
   จักรยานสองคันจอดลงหน้าหอพักนักศึกษาแพทย์ในเวลาเกือบสองทุ่มหลังจากที่ไปกินข้าวกันเสร็จ จากที่คิดว่าหมอฐานทัพยังเคืองเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่แต่ดูเหมือนเขาจะคิดไปเองฝ่ายเดียวเมื่อหมอฐานทัพทำเหมือนเรื่องเมื่อตอนเย็นไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้เขาเบาใจไปได้อีกเปราะ




   แฟนไม่ใช่คนคิดมาก…




   “กลับได้แล้ว” ฐานทัพที่พึ่งล็อกกุญแจเสร็จบอกอีกคนที่ยังยิ้มอยู่บนรถจักรยาน




   “ยังไม่อยากกลับเลย ผมหมดแรงแล้ว” บุ๋นแกล้งทำเป็นไม่มีแรงทั้งๆที่พลังงานเขาเหลือเฟือ




   “งั้นขึ้นก่อนนะ”




   “ใจร้าย”




   “พึ่งรู้หรอ” ฐานทัพหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินเขาสวนกลับ เขารู้สึกว่ายิ่งอยู่กับบุ๋นนานๆเขายิ่งอยากแกล้ง



   “จะขึ้นไปจริงๆหรอครับ ไม่สงสารเด็กปีหนึ่งที่ปั่นมาส่งพี่หรอ”




   “ไม่” เขาตอบกลับมาทันที




   “ใจร้ายอีกแล้ว”




   “ล้อเล่น” ฐานทัพนั่งลงตรงเหล็กที่เอาไว้คล้องกับจักรยานก่อนจะมองคนตรงหน้า “นั่งแล้ว”




   “เย้” บุ๋นตอบเหมือนเด็กๆก่อนจะยิ้มออกมา เอาจริงๆเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรจะชวนหมอคุยแต่แค่ยังไม่อยากกลับ




   อยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้




   “พี่ยังสงสัยเรื่องอะไรอีกไหมครับ” บุ๋นตัดสินใจถามออกไป เขาไม่อยากให้หมอรู้สึกค้างคา ถ้าสงสัยเขาก็พร้อมจะตอบทุกคำถาม



   “อืม” ฐานทัพรับคำสั้นๆ




   สงสัยงั้นหรอ




   “ทำไมคนนั้นถึงมาบอกชอบ”




   “คนที่พี่หึงหรอครับ” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์




   “บุ๋น” ฐานทัพเรียกเสียงดุ




   “ฮ่าๆ” เขาหัวเราะออกมา “ความจริงน้ำฟ้าจะบอกผมแล้วรอบนึงแต่ตอนนั้นผมพูดดักไว้เธอก็เลยไม่ได้บอก แต่ทำไมวันนี้จู่ๆมาบอกผมก็ไม่เข้าใจ”




   “แล้วชอบไหม”




   “คนสวยใครๆก็ต้องชอบ” บุ๋นตอบตามความจริง “แต่ผมมีคนที่ชอบอยู่ก่อนแล้วเลยไม่ได้สนใจ”




   “อืม”




   “อยากรู้ไหมครับคนที่ผมชอบคือใคร” บุ๋นยิ้มกว้าง “ถึงพี่ไม่อยากรู้ผมก็จะบอก”




   “…”




   “ผมชอบพี่” บุ๋นพูดออกมาด้วยหัวใจที่พองโต “ชอบมาตลอด ไม่เปลี่ยนใจ”   



ออฟไลน์ perlina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
   แววตาที่จริงจังเหมือนต้องการจะสื่อออกมาจากความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี ฐานทัพรับรู้ได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงและสายตา



   “ชอบเหมือนกัน” ฐานทัพตอบกลับไปทำเอาคนที่พึ่งสารภาพไปก่อนทำตัวไม่ถูก บุ๋นไม่คิดว่าหมอจะตอบกลับเขาด้วยคำๆนี้




   “ชอบมากไหมครับ?”




   “อืม”




   คำตอบสั้นๆเป็นตัวยืนยันทุกอย่าง บุ๋นระบายยิ้มออกมา ไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูดว่ามีความสุขมากแค่ไหน บอกได้แค่เขามีความสุขมากๆ




   สุขที่ได้อยู่กับหมอตรงนี้




   “คบกับผมพี่ไม่ต้องหึงเลย”




   “…”




   “เพราะผมไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจจากพี่”




   “…”




   “มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หนึ่งปีที่แล้วแล้วครับ”




   ตั้งแต่วันที่รู้ตัวว่า…รักแรกพบมีอยู่จริง




   “เชื่อแล้ว” ฐานทัพตอบกลับ เขามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ว่าตอนนี้ข้างในเขารู้สึกอย่างไร นับวันความรู้สึกยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ




   ความรักมันดีแบบนี้นี่เอง




   “ผมดีใจนะที่พี่ไม่โกรธผม”




   “ไม่รู้จะโกรธไปทำไม” ฐานทัพตอบตามที่เขาคิด “โกรธไปก็รู้สึกไม่ดีเปล่าๆ”




   “ครับ ดีจังเลยเนอะ” บุ๋นยิ้มกว้าง




   ไม่เคยรู้สึกผิดที่เลือกจีบคนๆนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าการตัดสินใจของเขาผิดเพราะหมอฐานทัพเข้าใจทุกอย่าง ถ้าไม่เข้าใจหมอก็เลือกที่จะถามไม่กลับไปคิดต่อคนเดียว




   เขารู้สึกโชคดีมากๆ




   “กลับ ดึกแล้ว” ฐานทัพดูเวลาในโทรศัพท์ที่เกือบจะสองทุ่มครึ่ง ความจริงก็ไม่ดึกมากแต่ว่าเขาไม่อยากให้บุ๋นอยู่คุยจนกลับดึก




   “ครับ พี่จะอ่านหนังสือต่อใช่ไหม” บุ๋นถามอย่างคนรู้ทัน




   “ใช่ จะมีสอบย่อย”




   “แล้วพรุ่งนี้พี่เลิกเรียนกี่โมงหรอครับ”




   “ห้าโมง”




   “งั้นเดี๋ยวผมซื้อของไปฝาก”




   “แครอทหรอ” ฐานทัพถามอย่างมีความหวัง




   หลังจากที่ไปบ้านสวนกลับมาเขาก็กินแครอทหมดภายในห้าวันหลังจากนั้น ตัวเขาเองก็ยังงงว่าทำไมแครอทถุงใหญ่ถึงหมดเร็วขนาดนี้ทั้งๆที่แม่ของบุ๋นก็ให้มาตั้งเยอะ



   สงสัยคงละเมอเผลอหยิบกิน




   “อย่ารู้ทันสิครับ” บุ๋นยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาประกายของหมอเมื่อพูดถึงแครอท “ที่ไม่ได้ซื้อให้เพราะคิดว่าพี่ยังกินไม่หมด”



   “หมดแล้ว” ฐานทัพตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เอาเบบี้แครอท”



   “ไม่เอาเบบี้บุ๋นหรอครับ”




   “ไม่” ฐานทัพตอบพร้อมหัวเราะ “เอาแครอทดีกว่า”




   “ทำไมปฏิเสธเร็วขนาดนั้น บางทีเบบี้บุ๋นอาจจะอร่อยกว่าก็ได้นะ” บุ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาเชื่อเชิญขนาดนี้แล้วหมอไม่รู้สึกตะหงิดในใจบ้างเลยหรอ




   “เพ้อเจ้อ” เขาตอบกลับ “กลับได้แล้ว”




   “ครับ กลับแล้ววว” บุ๋นลากเสียงอย่างร่าเริง พอเห็นหมอกลับมาเป็นปกติเขาเองก็เบาใจ กลับไปคืนนี้เขาคงนอนหลับฝันดีเหมือนทุกๆวัน




   “ฝันดี”




   “ฝันดีครับ” เขาเตรียมจะปั่นจักรยานออกไปแต่ก็ไม่วายเหลียวหลังกลับมามองฐานทัพที่ยืนรอส่งเขาอยู่




   “เจอกัน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดจักรยานหันมามองฐานทัพเลยโบกมือลา “บาย”




   “ไม่ลองเบบี้บุ๋นจริงๆหรอครับ” บุ๋นยังไม่ละเลิกความพยายาม




   “ไม่ลอง” คำขาดที่ตอบกลับมาเป็นที่รู้กัน




   “ครับ เข้าใจแล้ววววว~” บุ๋นลากเสียง “ฝันดีครับ” ร่างสูงที่คร่อมจักรยานอยู่โบกมือลาสองสามทีก่อนจะปั่นออกไป




   ฐานทัพหยุดยืนรอจนกว่าจักรยานของบุ๋นจะปั่นออกไปพร้อมรอยยิ้มบางๆที่ปรากฏขึ้นมุมปาก บุ๋นจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองมีเสน่ห์ขนาดไหน ฐานทัพไม่เคยละสายตาจากรอยยิ้มนั้นได้เลย




   อะไรที่ทำให้บุ๋นชอบในตัวเขา…




   เขาที่ไม่ได้โดดเด่นเหมือนคนอื่นๆ

.

   จาก…คนส่งแครอท
   ถึงหอแล้วนะครับ



   จาก…คิดถึง
   อืม




   บุ๋นวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะเตรียมตัวไปอาบน้ำ เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้งทำให้เขาหันกลับไปมองข้อความที่พึ่งถูกส่งมา




   จาก…คิดถึง
   เบบี้บุ๋น ตลกดี




   “หืม?” บุ๋นหลุดพูดออกมาก่อนจะเลิกคิ้ว เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งก่อนจะพิมพ์ข้อความกลับไปหาปลายทาง




   จาก…คนส่งแครอท
   ตลกยังไงครับ น่ารักจะตาย




   จาก…คิดถึง
   อืม น่ารัก




   ฉึก!!!




   เหมือนโดนมีดกระหน่ำแทงอีกครั้ง ถึงหมอฐานทัพจะชอบตอบกลับมาตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมแต่เขาสารภาพได้เลยว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาชินกับการตอบกลับของหมอฐานทัพ





   แต่ก่อนก็คิดว่าตัวเองจู่โจมแรง…แต่ตอนนี้ไม่น่าจะใช่แล้วสิ




   “ยิ้มไรมึง มีความสุขมากไหมวะ” คนที่พึ่งกลับมาถึงห้องพูดขึ้นอย่างนึกหมั่นไส้




   สามวางอุปกรณ์ที่ถือมาลงบนเตียงของตัวเองก่อนจะเดินมานั่งข้างๆเพื่อนสนิทที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชวนให้เขานึกหมั่นไส้ได้ทุกวัน ลำพังเจองานที่คณะก็เครียดมากพอแล้ว กลับมายังต้องเจอเพื่อนสติไม่สมประกอบอีก




   จะมีอะไรปกติบ้างในชีวิตเขา




   “ถ้าตอบว่ามากมึงจะทำไมวะ” บุ๋นถามกลับ




   “กูก็จะโยนงานให้แม่งทำ” เพราะงานที่ถูกสั่งมาอย่างกับว่าทำหนึ่งชั่วโมงเสร็จ ทำให้เขาค่อนข้างที่จะเครียด




   “ทำไมต้องโมโหขนาดนั้น” บุ๋นหัวเราะ “งานไร ให้กูช่วยไหม”




   “ไม่อะ เดี๋ยวงานกูพัง” สามส่ายหน้ารัว “แค่มานั่งคุยกับมึงแก้เหนื่อยเฉยๆ” เขาบิดขี้เกียจ




   “เอ้า อะไรของมึงวะ”




   “วันนี้กูทำงานยันเช้าแหละ เตรียมผ้าปิดตาใส่นอนด้วย โมเดลงานยังไม่เสร็จว่ะ” เขาพูดพร้อมกับมองไปยังโมเดลที่ทำไปได้แค่ครึ่งเดียว




   “เออสมควรไม่เสร็จ กูเห็นมึงนั่งเล็งเป็นชั่วโมงกว่าจะทำแต่ละจุด” บุ๋นบ่น




   “เอ้า งานละเอียดสิวะ” เขาตอบก่อนจะหันไปมองรอบข้าง “เอ้า ไอ้สองยังไม่กลับมาหรอวะ”




   “ยัง เห็นว่าวันนี้กลับดึกไม่ก็ไปนอนหอเพื่อน”




   “อ่อ เออๆ” สามหันไปยกงานของตัวเองไปไว้บนโต๊ะประจำ “กูมีเรื่องจะถาม สงสัยมาตั้งแต่วันแข่งแล้ว”




   “เรื่องอะไรวะ”




   “คนที่พวกกูเจอ ใครวะ” ความจริงก็สงสัยมาสักพักแล้วแต่ไม่มีโอกาสเหมาะที่จะถาม เขาไม่อยากถามต่อหน้าคนอื่นๆเพราะไม่รู้ว่าไอ้สี่อยากจะเล่าให้เขาฟังรึเปล่า




   “บอกไปมึงจะรับได้หรอวะ” บุ๋นถามออกไปตรงๆ เขาไม่รู้ว่าเพื่อนจะมีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องแบบนี้




   “แฟนมึงหรือไง” สามประชดกลับไป ทำซะอย่างกับว่าเขาจะรับไม่ได้ยังไงยังงั้น



   “ถ้ากูตอบว่าใช่ล่ะ”




   “…” คนถามเงียบไป มือที่กำลังจะยกเก้าอี้เพื่อเตรียมทำงานค้างอยู่กับที่ เขาค่อยๆหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเตียง



   เมื่อกี้…มันพูดเล่นรึเปล่า



   “เรื่องจริง” บุ๋นยืนยันอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงจะช้าหรือเร็วพวกมันก็ต้องรู้อยู่ดี




   “ละ…แล้วไหนมึงบอกว่าสนใจหมอ จะจีบหมอ” สามถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ




   “คนนี้แหละ…หมอ” บุ๋นตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทีตลกกับสิ่งที่พูดออกมา ที่เขาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง




   “หรอวะ” สามพูดเสียงอ่อน “ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”




   “มอหก”




   “แต่ตอนนั้นมึงคบอยู่กับแพร”




   “อืม”




   “กูไม่เข้าใจว่ะ”




   “เออรู้” บุ๋นถอนหายใจ “มึงรับไม่ได้สินะ มึงคงผิดหวัง”




   “ผิดหวังเหี้ยไรวะ” สามถามกลับ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมกูต้องผิดหวังเพราะรู้ว่าเพื่อนชอบผู้ชาย”




   “…”




   “ที่กูไม่เข้าใจคือทำไมมึงไม่เคยบอกเรื่องพวกนี้ ไม่สิ มึงบอกว่ามึงชอบหมอ แต่มึงไม่ได้บอกว่าเขาเป็น…” สามถอนหายใจหนักๆ “กูแค่คิดว่าเราไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน”




   “ที่ปิดเพราะกลัวพวกมึงรับไม่ได้”




   “ทำไมกูจะรับไม่ได้” เขาถามกลับ “จะเป็นยังไงมึงก็เพื่อนกู”




   “…”




   “แค่ผิดหวังที่มึงบอกเพราะกูถาม” สามทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สายตามองตรงมายังเพื่อนสนิทของตัวเอง




   ถ้าไม่ถามก็คงไม่บอกอย่านั้นใช่ไหม




   “กูตั้งใจจะบอก แต่หาเวลาไม่ได้”




   “เออช่างแม่ง” เขาพูดปัด “เลิกแก้ตัว ไม่อยากฟังแล้ว”




   “นี่โกรธกูหรอ”




   “เออ” เขาตอบกลับมาอย่างไม่ต้องคิด “โกรธมาก”




   “เห้ย ไม่เอาดิวะไอ้สาม” บุ๋นเดินเข้าไปตบบ่าเพื่อนอย่างที่เคยทำ เขาไม่คิดว่าสามจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ “กูขอโทษ”




   “กูไม่ให้อภัย” สามตอบกลับเสียงแข็ง “จนกว่ามึงจะช่วยกูติดกาวทำโมเดล”




   “ฮะ? อะไรนะ” บุ๋นถามกลับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง




   “ช่วยกูทำงาน หูหนวกหรือไงวะ” สามตอบกลับ เขาเสมองไปทางอื่นพร้อมถอนหายใจ “จะให้กูโกรธมึงลงได้ยังไงวะไอ้สี่”




   “…”




   “แค่เรื่องแค่นี้ กูโกรธมึงไม่ลงหรอก” รอยยิ้มบางๆเผยออกมาทำให้คนที่พึ่งบอกความจริงโล่งไปใจเปราะใหญ่




   ถึงแม้ว่าเขาจะเคืองที่พึ่งรู้เรื่องต่างๆแต่เขาก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะถึงจะบอกกันได้และเป็นไปได้ไอ้สี่ก็คงไม่อยากปิดบังใคร



   แต่เพราะมันกลัว…ว่าคนรอบข้างจะไม่เข้าใจ



   มันคิดผิด…เพราะเพื่อนทุกคนพร้อมจะเข้าใจในตัวมัน



   “หายโกรธงี้มาให้กูจุ๊บแก้มหน่อยมา”




   “แก้มก้นไหมล่ะเดี๋ยวเปิดให้” สามสวนกลับทำท่าจะถอดกางเกงออก




   “ไม่เอาโว้ย มึงยังไม่ได้อาบน้ำ”




   “ถ้าอาบจะจุ๊บใช่ปะ”




   “ไม่โว้ยยยยยยยยย” บุ๋นโวยวายเสียงดัง




   เสียงหัวเราะของทั้งสองดังกึกก้องอยู่ในห้องเล็กๆของหอพักนักศึกษาชายซึ่งอาจจะไปรบกวนห้องข้างๆได้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติของหอพัก




   บุ๋นคิดมาตลอดว่าเขาโชคดีที่ได้เจอพ่อแม่ที่เข้าใจ ได้เจอเพื่อนที่พร้อมจะรับฟังในทุกๆเรื่อง ได้เจอรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือ ได้เจอคนรักที่เข้าใจและพร้อมจะเดินไปกับเขา บุ๋นรู้สึกว่าทุกอย่างที่ผ่านมามันเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของคนๆหนึ่ง ถึงเขาจะเรียนไม่เก่ง สอบเข้าคณะตามที่หวังไว้ไม่ได้ แต่ในความผิดหวังมันกลับทำให้เขาเห็นทางเดินที่แท้จริง




   แค่นี้…ก็เพียงพอแล้ว




.

   คณะแพทย์เหมือนเดิมทุกครั้งที่เขามา บุ๋นจอดจักรยานไว้ก่อนจะไปนั่งรอยังโต๊ะที่ว่างอยู่พร้อมกับถุงเบบี้แครอทในมือ วันนี้เขามาทันเวลาพอดีเป๊ะเพราะอยู่ช่วยงานที่คณะก่อนที่จะออกมา   
   



   จาก…คนส่งแครอท
   ถึงแล้วนะครับ



   จาก…คิดถึง
   พึ่งเลิก เดี๋ยวลงไป





   บุ๋นอ่านข้อความที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะเก็บมือถือไว้ที่เดิม วันนี้เขาซื้อแครอทมาได้ถุงเดียวเพราะถูกเหมาไปเกือบหมดตั้งแต่ช่วงเที่ยงวัน ดีที่เขาไปบอกพนักงานให้เก็บไว้เผื่อเขาหนึ่งถุงไม่อย่างนั้นหมอคงอดกินแน่ๆ



   มือเย็นๆที่อ้อมมาจากด้านหลังปิดตาทั้งสองข้างของเขาไว้ บุ๋นวางถุงแครอทลงช้าๆก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นสัมผัสมือของอีกคน



   ไม่ใช่มือของหมอ…




   “พี่คิน สวัสดีครับ” บุ๋นลองสุ่มชื่อคนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดออกมาก่อนที่มือทั้งสองข้างจะปล่อยออก




   “อะไรวะ รู้ได้ไง” คนถูกจับได้เอ่ยออกมาอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินอ้อมมาข้างหน้าพร้อมกับหมอฐานทัพที่หัวเราะเบาๆที่แผนของคินใช้ไม่ได้ผล



   “ผมเก่ง”



   “เออจ้า จะบอกว่าจำได้ว่างั้นเถอะว่ามือไอ้หมอไม่ใช่แบบนี้”




   “ครับ” บุ๋นรับคำ




   “กูขอเบะปากสี่สิบห้าองศาได้ไหมวะ” คินพูดอย่างคนขี้อิจฉา “แวะมาทักทายเฉยๆ เดี๋ยวไปละ”




   “อ่าวพี่ไปไหนครับ”




   “ไปหาแฟนกูดิ เห็นงี้ก็มีแฟนนะเว้ย” ได้ทีก็ยืดข่มคนตรงหน้า ไม่อยากจะอวดว่าวันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีเขากับแฟน




   เขินจังเลย…




   “แล้วนี่ซื้ออะไรมา”




   “แครอทครับ” บุ๋นหยิบถุงแครอทไปให้คินดูใกล้ๆ




   “ให้ไอ้หมอสินะ” เห็นแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ “มึงเลี้ยงมันดีเกินไปละ ดูดิกูก็ว่าทำไมช่วงนี้แก้มมันแดงๆ”




   “อ่าวไม่ดีหรอครับ”




   “กูแยกไม่ออกนี่สิว่ามันแดงเพราะเขิน ร้อนหรือว่าเพราะกินแครอท”




   “ผมว่าน่าจะอย่างแรกนะครับ”



   “เออเรื่องของพวกมึงเลยยยยยย” พอเห็นความมั่นใจของเด็กปีหนึ่งก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “กูไปละ”




   “อ้าวแล้วพี่ปกป้องละครับ” บุ๋นพึ่งสังเกตว่ามีแค่หมอฐานทัพกับพี่คิน




   “มันมีนัดเลี้ยงสายเลยแยกไปตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว”




   “อ่อ ครับ”




   “กูไปก่อนนะ เดี๋ยวไปสาย” คินยักคิ้วกวนก่อนจะโบกมือลาแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว




   “อ่าว…” ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อร่างของคินก็เดินออกไปไกลจนบุ๋นไม่ทันได้บอกลา “สงสัยพี่คินจะรีบจริงๆนะครับ”




   “อืม ใช่” ฐานทัพพยักหน้าก่อนจะนั่งลงข้างๆ “แก้มแดงหรอ” เขาไม่เห็นรู้สึกว่าแก้มแดงเหมือนที่คินพูด




   ไม่คิดว่ากินแครอทเยอะแล้วแก้มจะแดง




   “ไม่นิครับ พี่คินคงแซวเล่น”




   “อืม ไม่สนหรอก” ฐานทัพตอบ “แดงไม่แดงก็จะกิน”




   “เบบี้แครอทหรอครับ?”




   “อืม” เขาพยักหน้า




   “แต่ถ้ากินเบบี้บุ๋นคงจะแดงตามที่พี่คินบอกนะครับ”




   “เนียนนะ” ฐานทัพหัวเราะออกมา




   “ว้า…แย่จัง พี่รู้ทันซะแล้ว”




   “บางที…อาจจะรู้ทันมานานแล้ว”



---------------------------------------
มาแล้วจ้าาา คิดถึงกันไหมน้อออออ >3<

ออฟไลน์ Lay Kin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
หมอพูดเก่งขึ้นเยอะเลย

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 5555 เบบี้บุ๋น
จะดีหรอออออ
หมอหึงด้วยยยยยยยยยยยย

หึงก็รักเนอะ

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
รักหมอรักบุ่นรักคนเขียนนน

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ nsai.ss

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด