“พี่ง่วงก็นอนเลยนะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำบอกกับคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“อืม ไม่เป็นไร” เขาไม่อยากปล่อยให้บุ๋นต้องขับรถกลับคนเดียว “เดี๋ยวอยู่คุยด้วย”
“หืม คุยเรื่องอะไรดีครับ” บุ๋นหัวเราะ
“ไม่รู้” ฐานทัพไม่ใช่คนคุยเก่งแต่เขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่บุ๋นขับรถ มันคงไม่ดีถ้าเขาจะสบายคนเดียวโดยปล่อยให้อีกคนต้องเหนื่อย
“พี่เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมผมกับพี่ถึงได้รู้จักกัน” บุ๋นเปิดประเด็นที่น่าสนใจพอที่จะทำให้ฐานทัพตั้งใจฟัง
“สงสัย” เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่เลิกสงสัยไปแล้ว”
จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสงสัยตอนไหนและความสงสัยนั้นหายไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็จำชื่อคนๆนี้ได้ขึ้นใจ แม้จะอยู่กันคนละคณะคนละฟากของมหาวิทยาลัยแต่นั่นดูไม่เป็นปัญหาสำหรับการเจอกันของเขาและบุ๋น
คิดๆดูแล้วก็แปลกดี
“ทำไมถึงเลิกสงสัยล่ะครับ” บุ๋นถามต่อ
“ไม่รู้” ฐานทัพไม่ใช่คนที่จะเก็บเรื่องทุกอย่างมาคิดจนได้คำตอบ ในบางครั้งถ้าเขารู้สึกว่าปัญหาที่เกิดมันนานเกินไปเขาก็เลือกที่จะลืมเพื่อไม่ให้กวนใจในการใช้ชีวิต
แต่บางเรื่องก็ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“แล้วพี่อยากรู้ไหมครับ?” บุ๋นหันมาถาม บางทีในตอนนี้เขาคิดว่าเขาถึงเวลาที่ควรจะบอกความรู้สึกบางส่วนที่มีต่อหมอฐานทัพ
กลัวว่าถ้าบอกทั้งหมดออกไปพร้อมกันหมอจะรับไม่ไหว
ความรู้สึกของเขามันมากเกินไป…
“อืม” คำสั้นๆที่เปล่งออกมาเรียกรอยยิ้มจากคนข้างๆได้ไม่น้อย แม้จะเป็นคำแค่พยางค์เดียวแต่นั่นก็พอให้บุ๋นรู้ว่าคนข้างๆกำลังตั้งใจรอฟัง
“ผมอยากรู้จักพี่”
“ทำไม?”
“เพราะเป็นพี่ ต้องเป็นพี่” บุ๋นพูดไปยิ้มไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำมีสายตาของฐานทัพจับจ้องอยู่ รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ฐานทัพรู้สึกคือ…เขายิ้มบ่อยขึ้น
“ผมดีใจนะที่พี่ยอมให้ผมได้สนิทกับพี่ ได้รู้จักพี่ได้…เอ่อ ได้ ได้ติวหนังสือ” บุ๋นพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที เขาเกือบหลุดพูดออกไป
เกือบหลุดว่าได้ใกล้ชิดกับหมอฐานทัพ…
“ผม…ผมดีใจมาก…มากมาก” บุ๋นยิ้มกว้างจนเก็บอาการไม่อยู่ วันแรกเขารู้สึกกับหมอยังไงจนถึงวันนี้เขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม
เขาไม่เคยรู้สึกน้อยลงเลย
“ดีใจที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกของพี่” สายตาที่ทอดมองเส้นทางข้างหน้าไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาคนข้างๆ บุ๋นรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวที่เริ่มแผ่ซ่านทั่วใบหน้า
“ผมดีใจที่พี่จำชื่อผมได้”
“ย้ำบ่อย จำไม่ได้ก็ตลก” ฐานทัพอดไม่ได้ที่จะตอบออกไป เขาจำได้ว่าช่วงแรกๆบุ๋นย้ำชื่อตัวเองกับเขาบ่อยมากจนเขาจำได้ขึ้นใจ
คนอะไรย้ำชื่อตัวเอง
“ผมกลัวพี่ลืม”
“ทำไมต้องกลัว”
“กลัวไม่ได้สนิทกับพี่” บุ๋นตอบออกไปตรงๆ เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะพูดถ้อยคำที่กลั่นกรองออกมาจากใจ “ผมอยากให้พี่จำ ไม่อยากให้ลืม”
“จำแล้ว” ฐานทัพตอบ “ไม่ลืม”
“ผมรู้แล้ว” บุ๋นพยักหน้าเบาๆ “แล้วตอนแรกพี่เจอผมพี่รู้สึกยังไง”
“เอาความจริง?”
“ครับ ความจริง”
“เพี้ยน”
“เพี้ยนหรอ” ไปต่อแทบไม่ถูกเมื่อได้ยินคำนี้ออกจากปากหมอฐานทัพ บุ๋นหัวเราะออกมาก่อนจะคิดไปถึงครั้งแรกที่เจอกัน
ไม่แปลกที่หมอจะคิดแบบนั้น
“แล้วตอนนี้ละครับ…รู้สึกยังไง”
“อืม…” ฐานทัพนิ่งเงียบไป เขาหันไปมองคนข้างๆ ความมืดจากสองข้างทางทำให้เขาเห็นสีหน้าของบุ๋นไม่ชัดเจน
“ตอบยากหรอครับ”
“ไม่ยาก”
ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันเขาเห็นบุ๋นในหลายมุม ได้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ทั้งรอยยิ้มเสียงหัวเราะ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ เขาเคยสงสัยมาตลอดว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไรและคิดว่าตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว
“ชอบ” คำสั้นๆที่พูดออกมาหากแต่ว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อคนข้างๆ เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ไม่ใช่คนที่ไวต่อความรู้สึก แต่ครั้งนี้เขารู้สึก
ชอบ…จริงๆ
“ชอบผมหรอครับ?” บุ๋นถาม แม้น้ำเสียงจะเรียบๆแต่ใครจะรู้ว่าเสียงหัวใจของบุ๋นเต้นแรง เขารู้สึกดีจนแทบจะตะโกนออกมาดังๆให้โลกรู้
ชอบ แค่คำๆเดียวจริงๆ
“อืม” คำยืนยันจากปากคนข้างๆทำให้บุ๋นยิ้มกว้าง คนยิ้มเก่งถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อจู่ๆหมอก็พูดออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม
“ชอบแบบไหนครับ”
“ชอบแบบฐานทัพ” เขาหันไปสบตาคนข้างตัวก่อนจะยิ้มบางๆ ทุกอย่างที่พูดไปนั่นคือความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี
“ชอบแบบฐานทัพเป็นยังไงหรอครับ” บุ๋นถามกลับตามประสาคนซื่อแอบเจ้าเล่ห์ แม้ว่าจะพอเดาออกแต่เขาก็อยากจะได้ยินจากปากของหมอ
“ไม่รู้” ฐานทัพตอบกลับ “คิดเอง”
“พิเศษกว่าคนอื่นรึเปล่าครับ”
“อืม” เขารับคำสั้นๆ
“…”
“ไม่เคยพูดกับใคร”
.
ท้องถนนที่เริ่มเคลื่อนตัวได้สะดวกทำให้รถขยับได้เรื่อยๆ บุ๋นกับฐานทัพพึ่งขึ้นรถเมล์เพื่อกลับมอหลังจากที่เอารถกลับไปจอดที่บ้านและให้อาหารเจ้าอ้วนเสร็จแล้ว นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง แม้รถจะไม่ติดมากแต่กว่าจะถึงหอก็น่าจะปาไปห้าทุ่มกว่า
ฐานทัพหันไปมองคนที่นั่งติดกระจกสายตาทอดมองการจราจรข้างนอก ในรถเมล์คันที่นั่งค่อนข้างโล่งทำให้ไม่น่าอึดอัดเหมือนทุกๆครั้งที่เคยขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของบุ๋นค่อยๆหลับลงด้วยความอ่อนเพลียจากการขับรถและไปช่วยงานที่บ้านสวนมาทั้งวัน
ตลอดทางกลับบ้านฐานทัพไม่ได้นอนอย่างที่บอกกับบุ๋นไว้เพราะลึกๆแล้วเขาก็รู้ว่าอีกคนก็เหนื่อยไม่ต่างจากเขา ถึงแม้บุ๋นจะเหนื่อยแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะไม่ได้รับรอยยิ้มจากคนข้างๆ บางครั้งเขาเองก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงยังยิ้มทั้งๆที่ตัวเองเหนื่อยแทบจะหมดแรง
บุ๋นมาทำลายทุกทฤษฎีที่เขาเรียนมา เป็นคนที่เขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตของเขาจะได้เจอ ทั้งที่คิดว่าคินร่าเริงและดูมีความสุขที่สุดแต่พอมาเจอบุ๋นความคิดเขาก็เปลี่ยนไป บุ๋นทำให้เขารู้สึกอยากจะสนุกไปกับบุ๋นด้วย แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบุ๋นมันน่าสนใจไปหมด
หงึก
ฐานทัพหันไปมองหัวที่โงนเงนไปมาราวกับหาที่พักพิงไม่ได้ ท่าทางของบุ๋นตอนนี้ดูหมดสภาพคล้ายกับต้องการการพักผ่อนสูง มือหนาค่อยๆประครองศรีษะของบุ๋นให้เอนมาทางไหล่เขาก่อนจะนั่งยืดตัวไปข้างหน้ามากกว่าเดิมเพื่อให้ไหล่ต่ำลงเพื่อไม่ให้คนที่นอนอยู่ปวดต้นคอ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฐานทัพกลายเป็นคนใส่ใจอีกคนมากขนาดนี้…
ภาพเหตุการณ์ต่างๆย้อนกลับมาทำให้คนยิ้มยากเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง บางทีฐานทัพก็รู้สึกว่าเขาติดนิสัยยิ้มบ่อยมาจากบุ๋น เขายังจำวันแรกที่เจอบุ๋นได้อย่างดีและนึกสงสัยว่าทำไมถึงจำได้ทั้งๆที่ปกติเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา แต่เหมือนบุ๋นเป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกๆอย่าง
ท่าทางตะกุกตะกัก ท่าทางพูดไม่รู้เรื่อง ท่าทางที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับตัวเอง แววตาประหม่า สีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มทั้งๆที่ตัวเองกำลังกังวล ทุกๆอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เขาเห็นได้จากคนๆเดียวและนั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขามองว่า
บุ๋น…ไม่เหมือนคนอื่นที่เคยรู้จัก
บางครั้งเขารู้ว่าบุ๋นกำลังรู้สึกแย่แต่ทุกๆครั้งที่เขาเห็นบุ๋นก็มักจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มหรือคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าบุ๋นจะเจอเรื่องมามากมายแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่อยู่กับเขา…เหมือนเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น
อะไรๆเริ่มชัดเจนและยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เมื่อวาน…
หลังจากที่ไปกินข้าวเสร็จเขาก็ยังไม่เข้าใจในเสื้อภาคสนามที่บุ๋นขอให้เขาสวมและคนที่จะให้คำตอบเขาได้ดีที่สุดก็คงจะเป็น google เขาพิมพ์คำว่าเสื้อภาคสนามพร้อมกับคำถามสั้นๆเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลที่ไปในทางเดียวกันกับที่เขาสงสัย จนได้มาเจอกับกระทู้หนึ่งที่ตั้งขึ้นในเว็บบอร์ดข่าวสารของมหาวิทยาลัย เว็บบอร์ดที่นักศึกษาจะเข้ามาตั้งกระทู้เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสอบ เรื่องลงทะเบียนเรียนหรือเรื่องความเชื่อของแต่ละคณะ
เหมือนกระทู้นี้…
‘แฟนเอาเสื้อภาคสนามของคณะเกษตรมาให้ใส่ หมายความว่ายังไงคะ?
ถามไปเขาก็ไม่ตอบบอกว่าให้ไปถามคนอื่นเอง งงมากเลยค่ะ’
ฐานทัพเลื่อนลงอ่านความเห็นด้วยความสนใจ ข้อความที่ตอบมาเกือบสิบข้อความล้วนมาจากนักศึกษาคณะเกษตรที่เล่าความเชื่อแตกต่างกันออกไป สายตาของเขาสะดุดเข้ากับความเห็นล่าสุดที่พึ่งเข้ามาตอบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
KAP : เสื้อภาคสนามส่วนมากก็เอาให้แฟนใส่ครับหรือว่าคนที่กำลังจีบอยู่ ส่วนความหมายที่ผมเคยได้ยินมาเขาบอกว่า เป็นการสัญญาว่าจะดูแลเขา ไม่ให้เขาต้องลำบากเพราะเราจะลำบากแทน ประมาณนั้นครับ
แฟน…
ฐานทัพนิ่งเงียบไปกับคำตรงหน้านานกว่าสิบนาที ก่อนจะค่อยๆเลื่อนอ่านความเห็นถัดไป แม้ว่าจะมีหลายความเชื่อแต่ที่อ่านคร่าวๆโดยสรุปก็คือจะนิยมให้แฟนสวมหรือไม่ก็เป็นคนที่กำลังจีบอยู่
เขากับบุ๋นไม่ได้เป็นแฟนกัน งั้นก็เหลือแค่…
คิดขึ้นมาเขาก็รู้สึกถึงไอร้อนๆอีกครั้ง ฐานทัพสลัดความคิดของตัวเองก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่ยังคงนอนหลับสบายอยู่ คงเหนื่อยมาทั้งวันจริงๆ
ในตอนนี้เขายังมีเวลาที่จะให้คนข้างๆนอนซบเพื่อพักผ่อนแต่เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เขายังจะมีเวลาที่จะทำแบบนี้ได้อีกรึเปล่า บางครั้งการที่เป็นแบบนี้ยังพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แต่…จะเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกนานแค่ไหน
.
แรงสะกิดจากคนข้างๆทำให้บุ๋นค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่ารถเมล์กำลังจะจอดหน้ามหาวิทยาลัย บุ๋นหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะรู้ตัวว่า…
เขาซบไหล่หมอตลอดทาง!!!
“พี่ครับผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลับ คือมันเผลอ คือมัน…”
“ไม่เป็นไร รู้ว่าเหนื่อย”
“ผม…”
“ถึงแล้ว ไปเถอะ” ฐานทัพพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
เขาทั้งคู่ควรที่จะรีบกลับไปที่หอเพื่ออาบน้ำนอนจะได้พักผ่อนหลังจากที่ช่วยบ้านสวนมาทั้งวัน ตัวฐานทัพเองไม่เหนื่อยเท่ากับบุ๋นที่ทั้งยกของทั้งขับรถ เขาเลยไม่หลับเพื่อให้อีกคนที่เหนื่อยกว่าพักผ่อนแทน
“พี่ไม่ได้นอนเลย ผมขอโทษนะครับ” บุ๋นยังรู้สึกผิดอยู่ เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปตอนไหน
“เดี๋ยวก็ได้นอน” ฐานทัพตอบกลับระหว่างทางเดินไปที่จักรยานที่จอดไว้
“ขอบคุณนะครับพี่”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบ “พรุ่งนี้ซ้อมเช้า กลับไปก็รีบนอน”
“ครับ” บุ๋นยิ้มกว้าง เขาเดินไปที่จักรยานที่จอดอยู่ก่อนจะปลดล็อกกุญแจแล้วขึ้นคร่อมจักรยานเตรียมจะปั่นกลับ “เดี๋ยวผมปั่นไปส่งพี่ที่หอ”
“ไม่เป็นไร” ฐานทัพปฏิเสธ “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“แต่ว่าผม…”
“บุ๋น” น้ำเสียงนิ่งๆที่เอ่ยออกมาทำเอาคนที่กำลังคิดหาข้ออ้างชะงักไป เวลาหมอดุทีไรเขาก็ไม่กล้าขัดทุกที
“ก็ได้ครับ”
“ฝันดี” ฐานทัพคร่อมจักรยานเตรียมจะปั่นกลับหอพัก
“พี่ครับ” บุ๋นเรียกฐานทัพไว้เมื่อเห็นว่าหมอกำลังจะปั่นออกไปจากที่จอดจักรยาน
“ว่า?”
“ผม…” บุ๋นเงียบไปก่อนจะรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด ความรู้สึกของเขาล้นทะลักออกมาจนต้องบอกออกไปให้หมอได้รับรู้
“…”
“ผมชอบพี่แบบบุ๋น”
“…”
“ชอบแบบบุ๋น”
-------------------------------------
ดีใจทุกครั้งที่มีคนติดตาม ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ทุกกำลังใจนะคะ^_^