Just you and I :7
จะบอกว่างานเข้าก็ได้หรือความซวยมาเยือนก็ได้ ก็เพราะตอนนี้ผมกำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนุ่มแถมยังมีแขนหนักๆ พาดลำตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ นั่นไม่น่าตกใจเท่าปลายเตียงมีผู้หญิงสวยยืนอยู่ และดูเธอจะอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ดวงตากลมโตเบิกกว้างพอๆ ปากที่อ้ารอแมลงวี่บินเข้าไป
“แม่คะ คุณน้าคนนี้เป็นใครเหรอคะ ทำไมมานอนบนเตียงกับน้าโช” เสียงใสถามแม่ตัวเองพร้อมกับนิ้วป้อมๆ ชี้มาที่คนแปลกหน้า
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เธอตอบลูกสาวพร้อมๆ กับยกมือปิดดวงตากลมของเด็กเล็กก่อนเงยหน้ามองคนที่นอนร่วมเตียงกับเจ้าของห้อง “เธอเป็นใครแล้วทำไมมานอนกับโชแบบนี้...หรือว่าแฟน”
“มะ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่” ผมรีบปฏิเสธจนลิ้นแทบพันกัน แม้สภาพผมกับไอ้คนที่ยังไม่ยอมเอาแขนออกจากเอวผมมันจะโคตรขัดก็เถอะ
ผมจำได้ว่าตอนง่วงแล้วเผลอหลับ เสื้อผ้าผมยังอยู่ครบนะ แล้วไหงตอนนี้มันเหลือแค่บ๊อกเซอร์ เสื้อกับกางเกงผมหายไปไหน
“ไม่ใช่แล้วทำไมนอนกันสภาพแบบนี้ พวกเธอคงจะ...ไม่อยากพูด” สาวสวยตรงหน้าที่ผมไม่รู้จักทำท่าทางเหมือนกับขนลุก ก่อนเธอจะเดินดุ่มๆ มายืนข้างเตียงแล้วยกเท้าขึ้นถีบช่วงเอวของไอ้คนนอนขี้เซา
ผู้หญิงคนนี้โคตรโหด
“ตื่น โชตื่น ถ้าแกไม่ตื่นฉันจะเอาน้ำมาสาดแก ตื่นโว้ย” เสียงพูดกึ่งตะโกนบวกกับความโหดทำให้ผมแทบอยากจะลุกหนี มือผมพยายามแงะ แกะ งัดแขนหนักๆ “ไอ้โช อย่าให้พี่แกต้องโมโหนะเว้ย”
ได้ผลครับ ไอ้พี่โชเริ่มขยับ พอลืมตาตื่นขึ้นมามันก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมอย่างไวจนผมหลบไม่ทัน เต็มๆ ตาเลยครับ คนปลุกสายโหดอ้าปากค้าง ดีที่เด็กตัวน้อยเดินออกไปข้างนอกแล้ว ไม่งั้นได้อธิบายยาวเหยียดแน่
“นี่แก...”
“อ่าวพี่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่โชมองสาวสวยที่ยืนข้างเตียงอย่างเรียบเฉย ไม่มีท่าทีตกใจ ต่างจากผมที่เบิกตากว้างจนจะถึงท้ายทอย
พี่สาว! มิน่าโหดเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง
“มานานพอจะเห็นแกนอนกอดกับผู้ชายนี่แหละ” พี่สาวคนสวยทำตาดุมองน้องชายตัวเองแล้วเผื่อแผ่มาถึงผม ไม่ต้องทำตาดุใส่ผมขนาดนั้นก็ได้ แค่นี้ก็กลัวจะแย่แล้วครับ “แล้วนี่ แกจริงจังใช่มั้ยถึงพามานอนที่ห้องเนี่ย”
“ก็อย่างที่เห็น โอ้ย เจ็บนะโว้ย” พี่โชโดนฝ่ามือเน้นๆ ตรงกลางหัวเลยครับ
“ก็พูดให้มันเคลียร์ๆ หน่อย”
“ไม่เคลียร์ตรงไหนวะ”
พูดจบก็โดนฝ่ามืออีกรอบครับแต่เปลี่ยนเป็นหลังแทน ผมละสงสารพี่โชแกจริงๆ พี่สาวคนสวยก็หวดไม่ยั้งจนหลังแดงเถือก ส่วนน้องชายก็ดิ้นหนีไปมาจนกลิ้งตกเตียง
“เหนื่อย” พี่สาวสายโหดหอบหนักก่อนจะเหล่ตามองผม “ฉันให้เวลาสองนาที แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วเราค่อยคุยกัน” ไอ้ประโยคหลังทำเอาผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่เจอพี่โชครั้งแรกเลย ทั้งสายตา น้ำเสียง ท่าทาง พี่น้องคู่นี้เหมือนกับลอกบุคลิกกันมาเปี๊ยบ
เมื่อคนให้เวลาเดินออกจากห้องนอน ผมก็ตาลีตาเหลือกมองหาเสื้อกับกางเกงของตัวเอง ซึ่งมันถูกขว้างมาจนถึงประตูห้องน้ำ นี่ผมละเมอมาถอดเองหรือว่าไอ้พี่โชมันถอดวะเนี่ย ผมสะบัดหัวตัวเองก่อนจะรีบเดินตามเจ้าของห้องที่ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงบอล
ด้านนอก เสียงการ์ตูนดังพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของเด็กตัวเล็ก แต่ความตลกไม่เรียกความสนใจได้อีกเมื่อเห็นน้าตัวเองเดินออกมา เด็กหญิงตัวน้อยก็รีบวิ่งเข้ามากอดขาพี่โชทันที ผมก็ไม่ได้เกลียดเด็กหรอกนะครับ แต่ทำตัวไม่ถูก ยิ่งโดนมองหน้าแบบนี้ยิ่งทำอะไรไม่ถูก
“น้าโชขา พี่คนนี้เป็นใครเหรอคะ” เด็กตัวป้อมชี้นิ้วมาที่ผม อามันก็ยิ้มกริ่มก่อนก้มกระซิบทำให้ผมไม่ได้ยินที่มันตอบหลานตัวเอง “อ๋อ แบบนี้นี่เอง...น้าสะใภ้”
ผมร้องเสียงหลงเมื่อถูกเรียกว่าน้าสะใภ้ ไอ้พี่โชมันไปบอกอะไรหลานมันวะ แล้วหลานมันก็ขยับมาตรงหน้าผม มือป้อมๆ นั่นกวักให้ผมย่อตัวนั่งลง พอผมทำตาม เด็กน้อยก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่ ก่อนจะเปล่งเสียงพูดดังฟังชัดทำเอาผมแทบหงายหลังลงไปนั่งกองกับพื้น พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะดั่งปีศาจของน้าของเด็กตัวเล็ก
“รักกันนานๆ นะคะน้าสะใภ้”
หลังจากพูดจบ เด็กตัวเล็กก็ได้สองนิ้วโป้งจากน้าของตัวเอง แต่ผมแทบอยากจะยกนิ้วอื่นให้น้าเด็กแทน มันต้องสอนพูดแน่ๆ แถมยังต่อหน้าพี่สาวตัวเองอีก ไม่กลัวถูกฝ่ามืออีกหรือไง
แต่ผมคิดผิดครับ เพราะตอนนี้พี่สาวของพี่โชกำลังรื้ออาหารในตู้เย็นออกมากองบนโต๊ะไม่ได้สนใจพวกผมเลย ผมมองถุงที่อยู่บนโต๊ะอย่างงงๆ ทั้งที่ของที่วางอยู่ก็เยอะซะขนาดนั้นแล้ว ไม่รู้จะค้นออกมาทำไมอีก ผมมองไอ้เจ้าของห้องกำลังเล่นกับหลานตัวเองไม่สนใจใคร เลยเลือกที่จะเดินเข้าไปหาพี่สาวคนสวย แม้จะแอบกลัวหน่อยๆ ก็เถอะ ก็ภาพการปลุกด้วยเท้ากับสายตาโหดยังติดตาอยู่เลย
“พี่หาอะไรเหรอครับ” ผมกลั้นใจส่งเสียงออกไป คนถูกถามตีหน้ายุ่งหันกลับมามอง
“หาซุปไก่ก้อนน่ะสิ จำได้ว่ามาครั้งก่อนซื้อติดตู้เย็นไว้แล้ว”
ผมมองคนที่ก้มๆ เงยๆ หาของก่อนจะชี้นิ้วไปที่ด้านล่างของช่องใส่ไข่
“ตรงนั้นหรือเปล่าครับ ก้อนเหลืองๆ นั่น”
“ไหน อ๋า มันอยู่นี่เอง ขอบใจนะ ว่าแต่ทำกับข้าวเป็นหรือเปล่า” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้รอยยิ้มจากพี่สาวของพี่โชบ้าง เพราะบรรยากาศมันดูผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะ
“พอเป็นครับ ผมช่วยแม่ทำกับข้าวขายบ่อย”
“งั้นก็ทำอร่อยน่ะสิ”
“ไม่หรอกครับ”
“งั้นดีเลย มาช่วยพี่ทำหน่อย วันนี้มันรู้สึกปวดเมื่อยจนไม่อยากเดินไปมา ได้เธอมาช่วยฉันจะได้เบาแรง” พี่สาวคนสวยว่า ก่อนเธอจะส่งผ้ากันเปื้อนลายหมีพูให้ผมใส่ “เข้ากับหน้าเธอดีนะ ว่าแต่ชื่ออะไรน่ะเรา พี่ชื่อชีสนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกับไอ้โชได้”
ผมว่าพี่ชีสกับพี่โชเริ่มไม่ค่อยเหมือนกันแล้วล่ะครับ คำพูดน่ะนะ ดูพี่ชีสจะเป็นมิตรมากกว่า แม้ในยามโหดจะเหมือนกันก็เถอะ
“ผมชื่อกลอยครับ เป็นรุ่นน้องเฉยๆ” ผมตอบตามความจริง แต่พี่ชีสดูไม่ค่อยเชื่อ เพราะเธอเดินมาซะชิดตัวผมจนจมูกโด่งๆ ของเธอแทบจะทิ่มแก้ม
“หึ” เสียงเค้นหัวเราะจากลำคอของพี่ชีสทำให้ผมมองอย่างสงสัย ก่อนพี่แกจะถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม แล้วชี้นิ้วสั่งให้ผมเก็บของสดใส่ตู้เย็น ส่วนของแห้งก็แยกใส่ตู้ลิ้นชัก
“พี่มีไรกินบ้าง” พี่โชครับ มันเดินอุ้มหลานมันมายืนข้างเคาน์เตอร์
“มีแต่จานเปล่าๆ จะกินมั้ย” ไม่พูดเปล่านะครับ พี่ชีสแกหยิบจานเซรามิกขึ้นมาให้ด้วยจนพี่โชล่าถอย “เกะกะจริงๆ ไอ้น้องคนนี้ ว่าแต่ชื่อไรเราน่ะ ไม่เห็นตอบ”
“ผมตอบพี่ไปแล้วเมื่อกี้ แต่บอกใหม่ก็ได้ฮะ ผมชื่อกลอย”
“โอเค งั้นกลอยก็ช่วยพี่ล้างผักกาดขาวนะ รู้จักใช่มั้ย”
“อ่า ครับ”
“เยี่ยม สมแล้วที่จะมาเป็นน้องเขย หรือว่าน้องสะใภ้นะ”
ไม่ใช่ทั้งสองนั่นแหละครับพี่
ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะหยิบเอาถุงผักกาดขาวที่มีอยู่สองหัวไปล้าง เด็ดใบที่แก่ทิ้งเหลือแต่ใบอ่อน ผมล้างน้ำสองรอบก่อนจะยกไปวางบนเคาน์เตอร์ ส่วนพี่ชีสก็เริ่มผสมหมูสับกับวุ้นเส้น ดูเหมือนหมูจะถูกคลุกกับรากผักชีกับกระเทียมมาเรียบร้อยแล้ว ผมจ้องมองพี่ชีสอย่างปลื้ม เขาว่าผู้หญิงที่ทำกับข้าวเป็นมักจะมีเสน่ห์ พี่ชีสก็เป็นแบบนั้นแหละครับ
ใบหน้าขาวเนียนไร้สิว ตัดกับคิ้วที่ถูกแต่งด้วยดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาลเพื่อให้เข้ากับสีผม จมูกโด่งเป็นสันสวย ปากเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนๆ พี่ชีสเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ เหมือนกับน้องชายของพี่เขาที่ก็หล่อไม่มีที่ติเหมือนกัน
ผมช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้ จนต้มจืดหมูสับหอมกรุ่นไปทั่วห้อง ผมมองนาฬิกาติดผนังก่อนจะรู้สาเหตุที่ท้องร้อง เพราะนี่มันก็เกือบๆ จะทุ่มหนึ่งแล้ว ผมมาที่ห้องพี่โชตอนบ่ายสามแล้วนอนยาวเกือบทุ่มเลยเหรอเนี่ย
พี่ชีสตีไข่ไก่ห้าฟองในถ้วยที่ผมตอกให้ ก่อนจะเทลงในกระทะเพื่อทำไข่เจียว กลิ่นหอมที่เล็ดลอดจากเครื่องดูดควันเพิ่มความหิวโหยให้กับผมและสองน้าหลานที่กำลังเกาะเคาน์เตอร์มองกับข้าวตาละห้อย
“เอาไปวางที่โต๊ะเลยจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป” พี่ชีสเอาตะหลิวชี้บอก ผมรีบพยักหน้าแล้วยกแกงจืดกับไข่เจียวออกไปวางที่โต๊ะกินข้าวโดยมีพี่โชกับหลานเดินทำจมูกฟุดฟิดตาม
เห็นท่าทางแบบนี้แล้วตลกดี ไม่คิดว่าจะได้เห็นพี่โชมาดโหดกลายเป็นเด็กเดินตามอาหารแบบนี้
เราทั้งสี่เริ่มลงมือจัดการกับข้าวบนโต๊ะ ขอบอกว่าอร่อยมากครับ แม้จะเป็นกับข้าวธรรมดาก็เถอะ หรือเป็นเพราะว่าบรรยากาศสนุกด้วยละมั้งครับ พี่ชีสกับพี่โชเถียงกันตลอด ขนาดแย่งหมูก็ทะเลาะกันผมล่ะยอมสองพี่น้องนี้เลย
“นี่ค่ะ น้องบีมตักให้น้ากลอย” มือป้อมๆ ที่ถือช้อนสำหรับเด็กตักหมูที่ถูกแบ่งครึ่งมาใส่จานผม ผมมองใบหน้าน่ารักที่ยิ้มจนแก้มยุ้ยอย่างแปลกใจ “น้ากลอยไม่ชอบหมูเหรอคะ” คงเห็นผมไม่ยอมแตะเพราะเอาแต่จ้องหน้า
“อ่า ชะ...”
“น้ากลอยเขาต้องชอบน้าโชมากกว่าหมูสิคะ”
เสียงพี่โชพูดแทรกขณะที่ผมกำลังจะตอบว่าผมชอบกินหมูมากที่สุด คำตอบของน้าตัวเองเรียกเสียงหัวเราะคิกคักของหลานพร้อมกับเสียงอ้วกของพี่สาว ส่วนผมน่ะเหรอ ก้มหน้าอย่างเดียวครับ ไม่ใช่เขินนะ แต่อาย มันเหมือนกันหรือเปล่า? ช่างมันเถอะครับ รู้แต่ว่า ผมยังไม่พร้อมมองหน้าไอ้พี่โชได้ในตอนนี้ก็แล้วกัน
“จะก้มหน้ากินข้าวหรือไง เงยหน้า” ไอ้พี่โชครับ มันพูดพร้อมเอามือมาจับหน้าผมให้เงยขึ้น
“พี่ก็ วู้” ผมไม่รู้จะตอบอะไรแต่ก็ปัดมือมันออกแล้วกินข้าวต่อครับ
เสียงหัวเราะของสองพี่น้องประสานกันจนผมอยากจะวิ่งออกจากห้องให้มันรู้แล้วรู้รอด ก็รู้ว่าชอบแต่ไม่คิดว่าจะถูกรุกขนาดนี้ อยากจะรบกวนให้ช่วยเพลาๆ ความเสี่ยวลงหน่อยเพราะผมกลัวจะทนไม่ไหว
มื้ออาหารหน้าแสนร้อนผ่านไป ผมก็รับอาสาล้างจานให้ ได้ยินเสียงสองพี่น้องคุยกันบ้างทะเลาะกันบ้างก็ตลกดีนะครับ จะว่าไป ผมกับพี่สาวก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ไม่โหดขนาดพี่ชีส โหดสุดก็แค่เอาจานเขวี้ยงใส่หัวผมแตกก็แค่นั้น
ผมล้างมือหลังจากจานใบสุดท้ายเสียงกับตะแกรง พอเดินออกมาก็เจอดวงตาดุสองคู่มองมาจนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก
“พี่สองคนมีอะไรหรือเปล่าครับ” จ้องหน้าผมซะขนาดนั้นผมก็กลัวน่ะสิ
“มานั่งนี่” พี่โชบอก มือขาวๆ นั่นก็ตบโซฟาข้างๆ
ผมเดินซุยๆ ไปนั่งข้างแต่ขยับให้ห่างจนโดนมือขาวนั่นลากให้มานั่งซะจนชิด ถ้าพี่จะให้นั่งตรงนี้ไม่ให้นั่งตักไปเลยล่ะวะ ผมส่งตาเขียวมองแต่พี่โชทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งมีสายตาของพี่ชีสจับผิดแบบนั้นยังกล้าทำแบบนี้กับผมอีก เดี๋ยวก็ถูกเข้าใจผิดกันพอดี
“จะพาเข้าบ้านเมื่อไหร่ แม่บอกรีบๆ หน่อยเพราะอาทิตย์หน้าจะไปเที่ยวยุโรป” ผมฟังพี่ชีสถามน้องชายตัวเองอย่างงงๆ พี่โชจะไปเที่ยวกับครอบครัวเหรอเนี่ย อิจฉาอ่ะ ผมก็อยากไปต่างประเทศบ้าง
“ไม่รู้”
“อ่าว ยังไงล่ะพี่บอกแม่ไปแล้วนะ ส่งรูปให้ดูแล้วด้วย แกก็รู้ว่าอย่าให้แม่มาหาเอง”
“ก็พี่จะบอกทำไม”
“อ่าว ฉันก็ตกใจสิ นานแค่ไหนที่แกไม่ให้นอนเตียงด้วย”
ผมมองพี่โชทำท่าทางอึกอักไม่ยอมตอบคำถามพี่สาวตัวเองว่าทำไมถึงยอมให้ผมมานอนเตียง ทั้งที่เป็นคนหวงของ
“แล้วพี่มาทำไม” เปลี่ยนประเด็นไปซะแล้ว
“ฉันก็ห่วงน้องชายฉันบ้างไม่ได้หรือไง”
“เอาเรื่องจริง”
“รู้ทันตลอด ฉันทะเลาะกับพี่เขยนายน่ะสิ คนบ้าอะไรไม่รู้ มาสั่งให้ฉันห้ามตัดผม ไม่เข้าใจหรือไงว่าฉันอยากปรับลุค บลาๆฯ”
เหตุผลของผู้หญิงมันช่างยากที่จะหยั่งถึงนะครับ เหมือนความกว้างของท้องฟ้าที่เราไม่รู้จุดสุดสิ้นมันอยู่ตรงไหน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงผู้หญิงถึงอยากทำโน้นทำนี่ ทั้งที่บางทีทำลงไปแล้วมันไม่มีผลอะไรเลย อย่างเรื่องตัดผม จะผมสั้นผมยาวมันก็อยู่ที่เราจัดแต่งไม่ใช่เหรอ ผมว่า ผมชอบผู้หญิงผมยาวมากกว่านะ
เรื่องมากมายของพี่ชีสถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ของพี่โช ผมได้ยินเสียงปลายสายโวยวายก่อนสายจะถูกตัด ผมว่า คงมีเรื่องเกิดขึ้น พี่โชรีบไล่พี่สาวกลับเพราะต้องไปทำธุระ ซึ่งผมต้องติดไปด้วยอยู่แล้ว คืนนี้ผมก็ต้องกลับไปนอนห้องสิ ผมไม่ได้ใจง่ายหรอกนะ...เอ่อ ง่ายนิดนึงก็ได้
ใช้เวลาบนท้องถนนไม่นานผมก็พาร่างแห้งๆ มายืนอยู่หน้าสถานีตำรวจ สงสัยคนที่โทรมาอาจมีเรื่องราวใหญ่โต ว่าแต่ใครทำพี่โชต้องรีบเหาะมาแบบนี้ได้
ถ้าไม่ใช่...ไอ้พี่จอม
คืออยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า ตอนนี้พี่จอมแกนั่งหัวเราะอยู่ในห้องขัง โหนกแก้มซ้ายมีรอยช้ำ ริมฝีปากก็แตกมีเลือดติดเกรอะ สงสัยฝีมือจะตก เพราะคราวนั้นสิบคนรุมยังไม่มีบาดแผล พี่แกคงคุยกับผู้ต้องขังคนอื่นเพลินเกินจนลืมมองผมที่ยืนหัวโด่อยู่หน้ากรงจนผมต้องกระแอม
“อ่าว มึงมากับไอ้โชเหรอ” ทักแค่นั้นละครับ พี่แกก็หันไปเล่าเรื่องตลกให้คนอื่นฟังต่อ พี่ครับ พี่ติดคุกอยู่นะครับ ไม่มีท่าทางเสียใจอะไรเลยเหรอ
ผมยืนเป็นวิญญาณไร้ร่างอยู่สักพักก่อนพี่โชจะเดินมาพร้อมกับคุณตำรวจที่มาเปิดประตูห้องขัง
“ออกมาๆ”
“ผมต้องไปแล้ว ไว้จะมาเล่าเรื่องตลกให้ฟังใหม่นะ” คำล่ำลาของพี่จอมกับคนที่ยังถูกขัง
นี่พี่ยังอยากจะเข้ามาอยู่ในนี้อีกเหรอ ยอมเขาเลย
ระหว่างที่ผมเดินมึนๆ ตามหลังออกมา หูผมก็ได้ยินเหมือนคนเรียกชื่อ จะว่าพี่โชก็ไม่ใช่ เพราะพี่เขาคุยกับพี่จอมอยู่หน้าผมเนี่ย แล้วใครวะ
หันซ้ายที ขวาที พอมองลึกไปในห้องขังที่พี่จอมเพิ่งออกมา ชัดเลย เต็มสองตา
“ไอ้อัธ ไอ้ม่าน”
พวกมันสองคนเห็นผมก็รีบปรี่เข้ามาเกาะซี่กรงทำหน้าตาเหมือนเด็กที่ถูกเอามาปล่อยโรงเรียนแล้วอยากกลับบ้าน
“พวกมึงเข้าไปอยู่ทำไมในนั้นวะ”
“พวกกูไม่ได้อยากเข้าโว้ย แค่ตกกระไดพลอยโจร มึงช่วยกูด้วยนะไอ้กลอยใจเพื่อนรัก” ไอ้ม่านโวยวาย ทรุดตัวนั่งดีดดิ้นเหมือนเด็กอยากได้ของ ถ้าเด็กทำมันก็คงน่ารัก แต่ไอ้นี่ทำแล้วดูไม่ได้จริงๆ
ผมกำลังจะอ้าปากถามเพื่อนแต่อยู่ๆ ไอ้พี่จอมก็ถลาทำหน้าตื่นเข้ามาจนพวกผมตกใจ
“กูลืมพวกมึงไปเลย ออกมาๆ กูให้ไอ้โชประกันตัวแล้ว”
“ทำพวกผมเข้ามาในนี้ ทำเป็นลืมนะ”
“ก็พวกมึงไปนั่งมุมห้องกูก็ลืมสิวะ ออกมาๆ”
คุณตำรวจเดินมาเปิดประตูห้องขังรอบสอง ไอ้อัธ ไอ้ม่านเดินออกมาอย่างโรยแรง โดยเฉพาะไอ้ม่านที่มันพุ่งเข้ามากอดผมแน่น
“ไอ้กลอยใจ กูโคตรกลัวเลยสัด” ผมยกมือลูบหัวไอ้ม่านที่มันกำลังเอาหน้ามาเช็ดกับไหล่ผม เลยโดนผมโบกหัวไปทีแต่มันก็ไม่ยอมปล่อย
มึงเอาขี้มูกมาเช็ดเสื้อกูไอ้สาด
พวกเราสี่คนเดินออกมาด้านนอกเห็นพี่โชยืนพิงกับรถคู่ใจตัวเองรอ
“พี่โชแมร่งเท่ตลอดอ่ะสัด” ไอ้ม่านครับ
“กูเท่กว่าอีก” นี่ไอ้พี่จอมมันเกทับ เลยโดนสายตาดูถูกจากรุ่นน้องไปถึงสามคู่
“แล้วพวกมึงอยู่กับพี่จอมได้ยังไง แล้วทำไมสภาพพี่จอมถึงเละแบบนี้อ่ะ”
“พี่จอมเป็นเพื่อนพี่รหัสกู” ไอ้อัธตอบผมครับ
“ส่วนกูรู้จักเพราะพี่เขาเป็นเพื่อนของพี่รหัสไอ้อัธ ซึ่งไอ้อัธคือเพื่อนของกู” อธิบายตามที่มึงเข้าใจเลยไอ้ม่าน
“สรุปว่ารู้จักกัน”
“เออ” สามเสียงประสานกันจนผมตกใจ
เดี๋ยวนะ ถ้าพวกนี้รู้จักกัน งั้นเรื่องของผมกับไอ้พี่โชล่ะ ซวยแล้วไอ้กลอยเอ้ย
“เอ่อกูว่าจะถาม มึงมากับพี่โชได้ไง แล้วรู้จักกันตอนไหนทำไมกูไม่รู้” นั่นปะไร ไอ้อัธมึงไม่ต้องสงสัยทุกเรื่องก็ได้
“คือกู...”
“ตอบยากตรงไหนวะ นี่เมียไอ้โชมัน”
“ห๊า/เฮ้ย/เชี่ย” ทั้งไอ้อัธ ไอ้ม่าน รวมทั้งผมต่างก็อุทานออกมาพร้อมกัน แม้จะคนละแบบก็เถอะ
“มึงเป็นเมียพี่โช เรื่องจริงเหรอวะ” ไอ้ม่านเบิกตากว้าง ถามอย่างตกใจ
“เชี่ยไม่ใช่เว้ย”
“มึงกับพี่โชเนี่ยนะ กูต้องพูดต้องถามแบบไหนดี” ไอ้อัธมันคงสับสน ซึ่งผมก็สับสันเหมือนมันนั่นแหละ
“กูยังไม่ได้เป็นเมียโว้ย พี่จอมอย่าพูดเรื่องไม่จริงได้ป่ะ ผมเสียหายนะเว้ย”
“กูพูดผิดตรงไหน”
“ก็ผิดตรงที่ผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับเพื่อนพี่ไงเล่า”
“อ่าวเหรอ”
ดูมันครับ พูดเสร็จก็เดินไปหาเพื่อนมันที่ยืนรอ ผมรู้ว่าพี่โชได้ยินทุกประโยค เพราะใบหน้าพี่เขาดูเรียบเฉย ต่างจากตอนที่พวกเราเดินออกมา มุมปากยังมีรอยยิ้ม ผมมองพี่โชด้วยแววตาที่สับสน แค่เสี้ยวหน้าเท่านั้นที่พี่เขามองมาก่อนเดินอ้อมไปขึ้นรถตัวเองโดยมีพี่จอมเข้าไปนั่งแทนที่ที่ผมนั่งมา...
เสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคาร์ดังลั่นพร้อมกับออกตัวอย่างไว แสงสีแดงของท้ายรถทำเอาผมใจหาย บางทีผมควรจะต้องทำ ทำอะไรสักอย่างแล้ว แล้วผมจะมายืนร้องเพลงทำไมวะ ผมควรสนใจเพื่อนตัวเองที่กำลังจ้องจนแทบจะทะลุร่างของผมอยู่ต่างหาก พวกมึงไม่ต้องทำสายตาเผือกเรื่องกูขนาดนั้นก็ได้
ผมติดรถของไอ้อัธมาลงที่หอพัก ระหว่างทางมาไม่มีใครพูดอะไรสักอย่าง จนผมลงจากรถ ไอ้อัธกับไอ้ม่านต่างก็เดินลงมาด้วย บอกแค่อยากให้เคลียร์เรื่องของตัวผม คือเรื่องของกู กูไม่รู้อะไรเลยนะ ผมเดินนำพวกมันมาถึงห้อง พวกมันก็แทรกตัวเข้าไปนั่งก่อนผมซะอีก นี่กูเจ้าของห้องนะโว้ย แต่ท่าทางนิ่งเงียบของพวกมันสองคนทำเอาผมไม่กล้าปริปาก จะเครียดอะไรขนาดนั้นวะ
“กูขอถามเลยนะ เรื่องมึงกับพี่โช” ไอ้อัธเปิดประเด็นทันทีที่ผมหย่อนก้นลงนั่งกับพื้น เพราะโซฟาเล็กๆ ถูกพวกมันนั่งก็เต็มแล้ว “มึงคบกับพี่โชอยู่เหรอวะ”
“ไม่ได้คบโว้ย” ผมตอบทันที
“ไม่ได้คบก็ดี ที่กูพูดแบบนี้เพราะกูเป็นห่วงมึง พี่โชน่ะ ไม่เหมาะกับคนธรรมดาแบบมึงหรอก” แม้ผมจะไม่ค่อยชอบคำพูดแบบนั้นแต่มันก็เป็นเรื่องจริง “ถ้ามึงคบกับพี่เขา ชีวิตมึงจะไม่มีความสงบ ผู้หญิงที่วนเวียนรอบตัวพี่เขามันน่ากลัวเกินกว่ามึงจะรู้ ที่มหาลัยผู้หญิงกี่คนที่ต้องตบตีแย่งกัน กูไม่อยากให้มึงเข้าไปเกี่ยว” ไอ้อัธพูดจริงจังจนผมเริ่มคิดหนัก
จะว่าไปผมก็รู้สึกแบบนั้นตอนไปที่มหาลัยพี่โช ผมยังจำภาพที่พี่โชยืนคุยกับสาวหุ่นดีที่โรงอาหารนั่นได้ เธอถูกกลุ่มนักศึกษาสาวที่นั่งโต๊ะไม่ไกลจ้องด้วยสายตาเกลียดชังและดูถูก ผมรู้ว่าไอ้การมองตั้งแต่ตัวหัวจรดเท้าคือการดูถูก หมายถึงจากคนที่ไม่ชอบกันอะนะ
“แต่กูก็ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขาจริงๆ”
“กูแค่อยากให้มึงอยู่ห่างจากพี่เขาบ้าง”
“ช่าย อย่าทำตัวเป็นไอซ์ศรัณยู” ทั้งผมและไอ้อัธต่างก็มองไอ้ม่านอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรไอซ์ศรัณยูวะ” ไอ้อัธมันถามก่อนผม
“ก็เป็นคนใจง่ายไง พวกมึงนี่ไม่รู้เรื่องเลย โง่มาก” เอาตามที่มึงสบายใจเลยไอ้ม่าน
ผมมองเพื่อนสนิทอย่างระอา แต่ก็ดีนะครับ มีมันก็ไม่เหงาดี เวลามีเรื่องเครียดๆ ได้คุยกับมันก็หาย โดยเฉพาะมุกควายๆ แบบนี้แหละ
“ขอบใจพวกมึงที่เตือน กูจะระวังตัว ไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งอีก”
“ได้ก็ดี ส่วนเรื่องบลูแฟนมึง กูให้เพื่อนช่วยสืบมาละ” ไอ้อัธว่าพลางยื่นซองสีน้ำตาลมาให้ผม ไอ้นี่เป็นนักสืบเหรอวะ
ผมเปิดซองแล้วหยิบแผ่นกระดาษด้านในออกมาดู ข้อความมากมายที่บอกว่าบลูไม่ได้ตั้งใจเรียน แถมยังติดเอฟจนแทบจะโดนรีไทร์ ทั้งๆ ที่เธอบอกกับผมว่าถ้าจบภายในสามปีครึ่งเธอจะได้เกียรตินิยม แต่กระดาษแผ่นหลังๆ ทำเอาผมขมวดคิ้ว รูปภาพบลูกับผู้ชายคนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เพื่อนของพี่โช
“มึงได้รูปพวกนี้มาจากไหน” ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่เป็นควายถูกบลูสวมเขา
“บอกไม่ได้ว่ะ แต่รูปพวกนี้มาจากเฟซของเจ้าตัวซึ่งมีหลายแอคเคาท์ แต่ละแอคเคาท์สถานะก็จะคบคนต่างกัน อย่างเช่นเฟซที่มึงกับบลูขึ้นสถานะด้วยกัน เป็นต้น” ไอ้อัธร่ายยาวจนผมพูดไม่ออก
“มึงมันเทพมาเกิดชัดๆ เพื่อนกูครับเพื่อนกู”
“มึงเพิ่งรู้เหรอครับเพื่อนม่าน” ไอ้อัธยืดรับคำชม ก่อนมันจะหันมาจ้องหน้าผม “ไอ้กลอย ไม่ใช่กูเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ยังมีคนที่ตามสืบเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้ว่าใคร ดังนั้นมึงควรรีบเคลียร์ตัวเองจากผู้หญิงคนนี้ซะ แล้วหลังจากนั้นมึงค่อยคิดว่าจะทำยังไงดีเรื่องพี่โชกับความสัมพันธ์ที่มึงเริ่มเป็นไอซ์ศรัณยูแบบที่ไอ้ม่านว่า”
ผมมองหน้าเพื่อนทั้งสองอย่างกังวล มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องเดินไปบอกบลูเรื่องพวกนี้ ผมเคยรักเธอ และตอนนี้ก็ยังคงชอบ ผมอยากกลับไปเป็นเพื่อนเหมือนครั้งแรกที่รู้จักกัน แต่มันคงจะเป็นไปได้ยาก ถ้าผมเคลียร์เรื่องนี้ได้ ทั้งผมและบลูคงจะเข้าหน้ากันไม่ติด ผมคงต้องรีบทำใจแล้วเดินหน้าต่อ ผมจะได้เลิกเป็นควาย ส่วนเรื่องพี่โช ผมก็คงต้องเลิกเป็นไอซ์ศรัณยูแบบที่ไอ้พวกนี้บอกจริงๆ.....
แล้วผมจะบ้าจี้กับพวกมันทำไมเนี่ย!!
................... TBCมีคนเดาถูกเรื่องพี่ซันด้วย แล้วพี่ซันจะทำอะไรกลอยหรือเปล่านี่ไม่รู้ได้ ที่แน่ๆ ความสัมพันธ์ของพี่โชกับกลอยเริ่มสั่นคลอนตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ..
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและรักพี่โชของน้องกลอยนะคะ >w<~~~
... อัพวนไปค่ะ ...