TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}  (อ่าน 87322 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เข้าใจเสือนะ ปากบอกว่าไม่ แต่ใจกลับตอบรับ
ความรักเป็นสิ่งสวยงามนะ อิจฉาที่คนรักกัน
 :katai1:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี}



บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเย็นนี้ครึกครื้นมาก โดยเฉพาะเจ้ศรียิ้มจนหน้าบานขึ้นเป็น 2 เท่าแล้ว และยิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นคุณย่าผู้น่ายักษ์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าระดับความแฮปปี้ก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสุขตรงหน้าทำให้ลืมเรื่องที่ทำให้คิดมากมาตลอดหลายเดือนไปชั่วขณะ

คนเราบางทีก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้กับตัวเองตลอดนี่หว่า

“เสือ”

“ครับ” ผมที่กำลังคุยบางอย่างกับพี่สิงห์ขานรับแม่แล้วหันไปมอง

“จำหนูแองจี้ที่อยู่ซอยถัดไปได้มั้ย”

เอาอีกแล้วเมื่อกี้ยังมีความสุขกับหลานคนใหม่อยู่เลยวกกลับมาหาเมียให้ผมทำม้ายย~

“จำได้ครับ”

“น้องสอบติดแอร์สายการบินดังด้วยนะ”

“แล้วไงครับ” ผมถามกลับอย่างใจเย็น ปกติถ้าอยู่กันสองคนผมเดินหนีไปแล้วแต่นี่เกรงใจพี่สะใภ้ไม่อยากให้งานกร่อยไง

เสือก็มีมารยาทเหมือนกันนะครับ

“น้องยังโสดนะ”

“หน้าที่การงานดีขนาดนั้นอีกไม่นานก็ไม่โสดแล้ว”

“ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้างรึไงนะเราน่ะ”

“พอเถอะแม่เสือไม่อยากจีบใครทั้งนั้นแหละอีกอย่างนะปล่อยน้องเขาไปเจอคนดีๆ เถอะ”

“ลูกแม่ก็ไม่ได้แย่”

“แต่ก็ไม่ได้ดี ตัวเสือเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลยแม่ จะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลคนอื่นแต่ถ้าเสือจะดูแลใครซักคนเสือก็อยากดูแลพ่อกับแม่ก่อน”

โอ้โห ทำไมเสือพูดได้ดีขนาดนี้

อึ้งไปเลย เจ้ศรีอึ้งไปเลยน้ำตาปริ่มด้วย ซึ้งอ่ะเด้

“คนนั้นก็ไม่ชอบ คนนี้ก็ไม่เอาสรุปคือชาตินี้แม่จะได้หน้าเมียแกมั้ย”

อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คิดไว้นี่นาแทนที่จะซึ้งกลับมาถอนหายใจใส่หน้ากันซะงั้น ผมเกือบจะค้อนกลับแล้วโชคดีหน่อยที่เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นซะก่อน

คงจะเป็นไอ้เอิ้นนั่นแหละ คิดถึงผมจนทนไม่ไหวเลยต้องโทรมาอ้อนแน่นอน

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อคนที่โทรมาไม่ใช่ไอ้เอิ้น

“มีอะไรมึง” ผมมองหน้าแม่ก่อนจะลุกจากโต๊ะมา

‘คืนนี้พี่เสือว่างมั้ย’

“ว่าจะนอนว่ะ”

‘นอนยังไม่พออีกเหรอถูกพักงานตั้งนาน’

“เจ็บสัส ว่าแต่จะชวนไปไหนวะ”

‘ร้านเพื่อนผมที่เราเคยไปด้วยกันไงพี่’

“จะมีที่เหรอวะ” นี่คืนวันที่ 31 ไง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าร้านต้องเต็มทุกที่นั่งแน่นอน

‘นี่กวินน้องพี่เสือนะครับ อีกชั่วโมงนึงเจอกันที่ร้านนะพี่’

นัดแล้วก็ตัดสาย ไม่ถามความสมัครใจกันซักคำ



▼▲ ▼▲ ▼



ผมแทบจะคลานเข่าเข้าไปขอเจ้ศรี นั่งให้บ่นอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้รับอนุญาตแต่มีข้อแม้ว่าต้อพกพี่สิงห์ไปด้วย นี่แหละไอ้ตัวภาระ ผมพยายามส่งสายตาอ้อนพี่สะใภ้อยู่นานแต่พี่แกก็ไม่เห็นใจทั้งยังให้เงินผมไปซื้อเหล้าด้วย

ห่วงผัวนิดนึงนะเจ้นะ

แน่นอนครับว่านอกจากเป็นน้องแล้วก็ต้องรับหน้าที่เป็นสารถีด้วย รถติดไฟแดงมา 10 นาทีแล้วยังไม่มีแววว่าจะได้ขยับไปไหน ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้มีหวังได้ก้าวสู่ปีใหม่กันในรถแคบๆ นี่แหละ

มีความสุข =_=;;

“ไปฉลองกับเพื่อนนี่ขออนุญาตแฟนแล้วเหรอวะ”

อยู่ๆ ระหว่างรถติดไฟแดงพี่สิงห์ก็ถามให้ผมละสายตาจากรถคันข้างหน้ามามอง

“แฟนอะไร ไม่มีซักหน่อย”

“เอิ้นไง ไม่ใช่แฟนเหรอ”

“ต้องให้เสือบอกอีกกี่ครั้งว่าไม่ใช่”

“แล้วเมื่อไหร่จะใช่วะ”

“พี่สิงห์ทำไมชอบยัดเยียดน้องให้ไอ้เอิ้นจังวะ”

“พี่ว่าเอิ้นมันเอาแก่อยู่”

“เอาอะไร ไม่เคย” ผมปฏิเสธเสียงแข็งให้พี่ชายหัวเราะลั่นแล้วมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์เลยนะ แต่แกเล่นปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...เคยแล้วเหรอวะ”

“เมา” ผมบอกสั้นๆ แล้วเบือนหน้าหนี

อย่างที่เคยเกริ่นว่าผมกับพี่สิงห์ไม่เคยมีความลับต่อกันแต่เรื่องนี้มันค่อนข้างพูดยากนะ บอกว่าอายก็อายแต่ถ้าไม่บอกตอนนี้เดี๋ยวพี่มันก็เซ้าซี้จนผมบอกมันอยู่ดี

“ก็ได้กันแล้ว แล้วจะเล่นตัวอีกทำไม”

“เสือไม่ได้เล่นตัวนะพี่สิงห์แต่เสือไม่มั่นใจ กลัวด้วย”

“ไม่มั่นใจ กลัว เรื่องอะไร?”

“ความรู้สึกของตัวเอง เสือไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อไอ้เอิ้นตอนนี้มันเรียกว่าอะไร ถ้ามันไม่ใช่ความรักแล้วเสือเกิดคบกับมัน แล้วถ้าวันนึงเลิกกัน เสือไม่อยากเสียเพื่อน”

“ใช้ชีวิตโดยการเอาความคิดผูกติดกับอนาคตตั้งแต่เมื่อไหร่”

สำหรับเรื่องอื่นผมอาจจะใช้ชีวิตไปวันๆ ได้ แต่เรื่องไอ้เอิ้นผมทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆ ผมกลัว กลัวจะเสียมันไปอีกครั้ง

“สิ่งที่เราทำในวันนี้มันมีผลต่ออนาคตก็จริง แต่ในเมื่อเราไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างที่เราหวังรึเปล่า ทำไมเราไม่มีความสุขกับวันนี้วะ เสือ พรุ่งนี้ไม่ได้มีสำหรับทุกคนหรอกนะ”

พรุ่งนี้ไม่ได้มีสำหรับทุกคน

คำพูดของพี่สิงห์ดังวนอยู่ในหูของผมตลอดราวกับมันตั้งเล่นซ้ำไว้กล่อมประสาทผม กระทั่งเรามาถึงร้าน เสียงเพลงฟังสบายๆ ที่ดังมาให้ได้ยินยังไม่สามารถกลบเสียงพี่สิงห์ได้เลย

“พี่เสือทางนี้”

เพียงเดินไปถึงหน้าร้านกวินก็วิ่งออกมารับ มันชะงักไปจังหวะหนึ่งเมื่อสบตากับพี่ชายของผม เมื่อผมแนะนำไอ้คนมารยาทดีก็ยกมือไหว้เล่นเอาคนไม่มีมารยาทอย่างพี่สิงห์รับไหว้แทบไม่ทัน

“คนเยอะจังวะ มีที่นั่งแน่เหรอ” ผมถามอย่างไม่มั่นใจ คืนข้ามปีแบบนี้ถ้าไม่ได้จองไว้ก็ต้องมีเส้นเท่านั้นถึงจะเข้ามานั่งในร้านได้

บังเอิญว่าผมมีเส้นว่ะ

โต๊ะที่กวินพามาตั้งอยู่หน้าเวทีเลย โคตรจะวีไอพี ผมคงมีความสุขกว่านี้ถ้าไม่พบว่าที่โต๊ะมีรุ่นพี่สายรหัสไอ้กวินนั่งอยู่ก่อนแล้ว

บรรยากาศครุกรุ่นทันที่ที่ผมนั่งลง เห็นพี่สิงห์หันไปถามกวินว่าไอ้ขี้เก๊กนี่ใคร

ไอ้นพชัยไงล่ะ พี่ชายผมรู้จักมันจากคำบอกเล่าของผมแล้ว

“นั่งหลายๆ คนสนุกดี”

พี่ชายผมเป็นตัวสร้างบรรยากาศครับ พอพูดจบก็ขอแก้ว ขอน้ำแข็ง เหล้าเข้าปาก แอลกอฮอล์วิ่งไปตามเส้นเลือดก็เริ่มพูดมาก

บรรยากาศเริ่มดีขึ้น เพลงก็เพราะ อีกไม่นานแม่งก็เมา เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่อยากให้มันมาด้วย การพาพี่สิงห์มาด้วยก็ไม่ต่างจากการแบกภาระน้ำหนักกว่า 60 มาด้วยหรอก จะกินเหล้าก็มัวแต่คิดว่าใครจะดูมัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงจิบเหล้าเบาๆ

แม่งเอ้ย! ถ้าไอ้เอิ้นอยู่ด้วยก็ดี

แน่ะ! ไอ้บ้านี่ชอบฉวยโอกาสแว้บเข้ามาในความคิดผมเสมอเลย

“มึงไม่บอกกูว่าสายรหัสมึงมาด้วย”

เมื่อได้จังหวะเหมาะผมก็ปรายตามองไอ้นพชัยแล้วยิงคำถามให้น้องผม

กวินยิ้มแห้งๆ

“ผมอยากให้พวกพี่ได้คุยกัน”

“กูไม่มีเรื่องจะคุย และถ้ามีคนเห็นพวกเรานั่งร่วมโต๊ะกันอาจจะเอาไปเล่าต่อด้วยความเข้าใจผิด แค่นี้กูก็ไม่มีที่จะยืนแล้ว”

“เมื่อก่อนพี่เสือไม่เห็นจะแคร์เรื่องนี้”

“กูเป็นคน กูกินข้าว เจ็บแล้วก็ต้องจำกันบ้างสิวะ”

“ผมแค่คิดว่าถ้าพวกเราทำงานร่วมกัน…”

“พอเหอะ ใครเขาคุยเรื่องงานกันตอนวันหยุด ที่จริงกูกำลังคิดอยู่ว่ากูจะหยุด กูเหนื่อยแล้วว่ะ”

อย่างที่คุณลลินบอก บางทีเราก็ควรจะปล่อยวาง

อย่างที่พ่อพูด ถ้าทำแล้วทำให้ชีวิตไม่มีความสุขจะทำทำไม

แต่ระหว่างนั้นคำพูดของพี่สิงห์ก็เข้ามาแทรกให้สมองเริ่มประมวลผลใหม่อีกครั้ง

‘เสือคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตอยู่กับความสงสัยอย่างนี้ไปได้ตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ’

นั่นสิ! ผมทำได้เหรอวะ

ระหว่างที่บทสนทนาบนโต๊ะกำลังดำเนินไปพร้อมๆ กับเสียงเพลงฟังสบายๆ ที่ดังอยู่นั้น อยู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมก็ดังขึ้น

ผมคิดว่าเป็นไอ้เอิ้นนะ

“กูขอตัวแป๊บนะ ฝากพี่กูด้วย” ผมบอกกวินแล้วมองพี่สิงห์ที่แดกเหล้าอย่างกับอดอยาก

“เดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าชั้น 4 ได้นะพี่ ที่นั่นเงียบดี”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา กว่าจะเดินมาถึงดาดฟ้าเสียงเรียกเข้าก็เงียบไปแล้ว ผมกำลังจะโทรกลับแต่เมื่อคิดได้ว่าไอ้เอิ้นอยู่ญี่ปุ่นผมจึงหยุดมือ ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นอีก

ใช่ไอ้เอิ้นจริงๆ

‘นอนรึยังอะ’ เสียงสดใสดังผ่านสัญญาณโทรศัพท์มา

“แล้วทำไมมึงยังไม่นอน ที่ญี่ปุ่นใกล้จะตี 2 แล้วไม่ใช่เหรอ”

‘ทำไมเสียงเหมือนอยู่ข้างนอก หนีเที่ยวเหรอ’

“ไม่ได้หนี กูขอเจ้ศรีแล้ว มากับพี่สิงห์ด้วย”

‘เที่ยวไหนอะ’

“มึงจะถามอะไรนักหนา พ่อกูยังไม่เซ้าซี้กูเท่ามึงเลย”

‘เอิ้นไม่ใช่พ่อไง เอิ้นอยากเป็นแฟน’

น้ำเสียงปลายสายงอแงมาก มากเสียจนคิดว่าถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงทุบมันแรงๆ สักทีอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

‘ยังไงอะ เป็นแฟนได้มั้ย’

“เพ้อเจ้อนะมึงอะ ง่วงป่ะเนี่ย”

‘นิดหน่อย’

“ก็ไปนอนสิ ฝืนทำไม”

‘อยากเคาท์ดาวน์กับเสือ’

“ที่ญี่ปุ่นเขาเคาท์ดาวน์เสร็จไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

‘เสร็จแล้ว แต่แฟนเอิ้นอยู่ไทยไงก็เลยต้องรอเคาท์ดาวน์อีกรอบ เดี๋ยวแฟนงอน’

“ใครแฟนมึง”

‘เสือไง เป็นมั้ย’

ผมควรจะปฏิเสธทันทีที่คำถามจบลงว่า ‘ไม่’ แต่ผมกลับพูดไม่ออก

“ถึงมึงจะไม่โทรมากูก็ไม่งอนหรอกนะ” เปลี่ยนเรื่องซะจะได้จบๆ

‘จริงดิ ไม่งอนวันนี้แต่อาจจะเก็บไว้ก่อนตอนเป็นแฟนกันงี้ป่ะ’

นี่มันสกิลลอะไร ไอ้เอิ้นแม่งจะคุยเรื่องนี้ให้ได้เลยใช่มั้ย รู้มั้ยว่าหัวใจเสือทำงานหนักมากแล้วเนี่ย

‘เอิ้นอยากคบกับเสือแบบจริงจังจริงๆ นะ ถ้านี่เป็นคำขอสุดท้ายของปีนี้ เสือจะให้เอิ้นได้มั้ย’

“10” อีกครั้งที่ผมเลี่ยงตอบคำถาม แล้วเริ่มนับถอยหลัง

‘เสืออาจจะไม่เชื่อ แต่เอิ้นอยากบอกว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่มีซักวันเลยนะที่เอิ้นจะไม่คิดถึงเสือ’ ผมนับ 9 ในใจ

“8”

‘7’

“6”

‘5’

“4”

‘3’

“2”

‘เอิ้นรักเสือนะ’

“ขอบคุณ”

‘ว่าไงนะ’

“กูจะไม่พูดซ้ำนะ แล้วทำไมอยู่ๆ มาบอกรัก ต้องนับหนึ่งสิวะ”

‘ไม่ดีเหรอ มีคนบอกรักในช่วงเวลาแบบนี้ พิเศษออก’

ก็ดี ดีมากๆ ดีจนถ้าไอ้เอิ้นอยู่ตรงหน้ามันต้องรู้แน่ๆ ว่าผมมีความสุขแค่ไหน หัวใจแม่งพองโตเต็มอก ปากก็ยิ้มไม่หุบ พลุบนฟ้าก็ดูสวยเป็นพิเศษ

ต้องยอมรับแล้วล่ะว่าผมแพ้

เดือนนี้ไอ้เอิ้นต้องโดนค่าโทรระหว่างประเทศบานตะไทแน่ๆ บทสนทนาระหว่างเราดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างที่ไม่มีเวลาให้คิดถึงการโทรที่ประหยัดที่สุด รู้แค่ว่าช่วงเวลานี้มันโคตรรดี

“คุยกับแฟนเหรอครับ”

เมื่อวางสายอย่างอิดออด ไอ้นพชัยที่ไม่รู้ว่าขึ้นมาบนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ก้าวเข้ามายืนข้างๆ แล้วเอ่ยถาม

“มึงนี่มารยาททรามจริงนะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ถ้ามึงจะมาคุยเรื่องข้อตกลงอะไรนั่นล่ะก็ กูไม่อยากคุยและกูก็ไม่มีอะไรจะให้มึงด้วย”

“คุณเสือเป็นคนดีกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ ทั้งที่ดิเอเจ้นทำกับคุณขนาดนี้แล้วยังภักดีอยู่ได้”

“กูเป็นคนดีแต่กูไม่ได้ภักดี มึงก็รู้นี่นพว่าการเอาข้อมูลไปขายให้คู่แข่งมันเป็นการกระทำที่โคตรจะไม่ซื่อสัตย์”

“ผมไม่ได้ขอข้อมูล ผมแค่อยากให้แชร์พนักงานขายกัน และอีกอย่างนึงนะ เรื่องข้อมูลความลับของดิเอเจ้นน่ะ ถึงคุณไม่เอามาขายก็มีคนอื่นเอาออกมาแล้ว”

“มึงหมายถึงใคร”

“ยังไม่รู้อีกเหรอ คุณเสือควรจะกินปลาเยอะๆ จะได้ฉลาด”

จะด่าไอ้เหี้ยก็สงสารเหี้ย แม่ง! ผมกำมือแน่นกัดฟันกรอด อยากต่อยปากมันสักทีแต่ก็ต้องหักห้ามใจ

“กูไม่อยากปรักปรำใครเพียงเพราะคำพูดของคนอย่างมึง”

“เดี๋ยวก็คงได้รู้กันว่าคำพูดจากปากผมเชื่อได้แค่ไหน ส่วนเรื่องข้อเสนอนั่นคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน สุดท้ายเราก็มีแต่ได้กับได้ไม่ใช่หรือไง”

ถ้าตัดเรื่องที่บริษัทเป็นคู่แข่งกันออกไป การแชร์พนักงานขายกันก็เป็นเรื่องที่ดีมากแหละ แต่ก็นะขึ้นชื่อว่าคู่แข่งแล้วจะร่วมมือกันมันก็กะไรอยู่

ผมเดินตามไอ้นพชัยลงมาข้างล่าง เสียงเพลงจังหวะสบายๆ ยังคงดังให้ผ่อนคลายชวนเคลิ้มหลับ

“จริงดิพี่สิงห์ ผมนี่แฟนคลับพี่เลยนะครับ”

“แฟนคลับอะไรกันวะ” ด้วยความขี้เสือกผมจึงถามเมื่อนั่งลงข้างๆ

“พี่เสือไม่เห็นเคยบอกผมว่ามีพี่ชายเป็นนักแคสเกม แม่งถ้าไอ้วิทรู้ล่ะก็มันต้องกรี้ดเหมือนเจอแมลงสาบแน่”

“เดี๋ยวนะมึง กูสิงห์ครับไม่ใช่แมลงสาบ”

มันพูดเรื่องอะไรกัน ผมนี่งงไปหมดแต่ไม่เหงาครับเพราะมีไอ้นพนั่งงงอยู่ใกล้ๆ

“พี่หลอกอะไรน้องเสือ” ไอ้พี่สิงห์ก็กรึ่มๆ แล้วครับ

“กูไม่ได้หลอก เดอะไลอ้อนคิงไงห่าเสือ”

“อ๋อ เดอะไลอ้อนคิงขี้โม้อะนะ มึงยังไม่เลิกแคสเกมอีกเหรอวะ”

“นี่มึงไม่ได้ดูพี่เลยเหรอวะ ก็ว่าอยู่ยอดวิวคลิปหลังๆ หายไปจนกูแปลกใจ”

ปกติตอนที่พี่สิงห์เริ่มเข้าสู่วงการแคสเกมแรกๆ ก็มีผมนี่แหละที่ปั่นวิวและเป็นหน้าม้าให้มัน การที่มันก้าวขึ้นมาเป็นนักแคสเกมที่มีชื่อเสียงต้องยกความดีความชอบให้ผมนะ แต่มันก็ผ่านมาหลายปีจนตอนนี้มันเปิดบริษัทเกี่ยวกับงานพัฒนาระบบแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะยังมีเวลามาแคสเกมอยู่

“ผมขอลายเซ็นพี่ได้มั้ยครับ”

“ถ่ายเซลฟี่ยังได้ ไอ้เสือ!!” ยื่นมือถือของมันเองให้ผมครับ

ไอ้พวกบ้าเกม บ่นมันในใจแต่นิ้วก็ทำหน้าที่กดไปอย่าให้พลาด

“พี่นพมาสิพี่มาถ่ายกัน”

ผมหยุดมือแล้วมองไปยังไอ้นพ หูมันแดงๆ เหมือนอาย อย่าบอกนะว่า…

“นั่งเงียบทำไมเล่า นี่ไลอ้อนคิงไง ไอดอลนักแคสเกมของเรา ตัวจริงแม่งเจ๋งเนอะ”

ของเราด้วย อ๋อ กูรู้แล้วที่พวกมันสนิทเกินสายรหัสก็เพราะเล่นเกมด้วยกันนี่เอง

“มาเถอะน่าไอ้นพ ไม่ต้องเขินกู”

“ผมไม่ได้เขิน”

โอ้โห เสียงสั่นขนานนี้ ไม่เขินก็ไม่เขิน

ถึงจะดูเก้ๆ กังๆ ไปหน่อยแต่มันก็ขยับเข้ามาใกล้พี่ผมครับ หลังจากเซลฟี่ไทม์ผ่านพ้นไป คุ้นเคยกันมากขึ้น เท่านั้นลากยาวจนผับปิดโลด



[- T B C -]

สำหรับเสือของเอิ้น เราคิดไว้ว่าจะจบแค่ 20 ตอนต้นๆ อีกไม่นานก็คงต้องจากกันแล้ว
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกกำลังใจนะคะ
รักเหมือนเดิม^^
 :กอด1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มาให้หายคิดถึง ขอบคุณนะจ๊ะ
ตอนนี้พี่สิงห์แย่งซีนไปเต็ม ๆ
 o13

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มีพี่สิงห์มาเป็นตัวสร้างความครึกครื้นซะงั้น คึคึ
ยัฃสงสัยคำพูดบองนพอยู่เลย ตกลงใครที่เป็นคนทำกันแน่

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน รวดเดียว ชอบครับ
ตัวละครมี มิติให้น่าค้นหา เดาไม่ถูกเลยว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง ยังกะโคนัน อิอิ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
บอกรักวินาทีข้ามปี
เอิ้นน่ารักเกินไปแล้ววว

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 18 {ของขวัญ}



“เจ้สร้อยสวยนะครับ”

ผมทักเมื่อแวะเข้ามาหาเจ้ในร้านหลังจากจอดรถเสร็จแล้ว ไม่อยากตามพี่สิงห์เข้าบ้านครับ กลัวพี่สะใภ้ด่าแล้วโดนหางเลข ปกติพี่สะใภ้ไม่โหดหรอก แต่นี่เล่นออกไปกินเหล้ากันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วกลับมาตอนเกือบเที่ยงไง นี่ยังคิดอยู่เลยว่าควรเรียกรถพยาบาลมารอหรือเปล่า

“ลูกชายซื้อให้ไง” เสียงเจ้ฟังดูภูมิใจมาก

“ชอบมั้ย”

“แน่นอนสิ”

“แม่ชอบ เสือก็ดีใจ พ่อล่ะ อยู่ในสวนเหรอ”

“ไปใช้กิฟวอชเชอร์ไง”

“โห ไม่ค่อยจะเห่อกันเลย” ผมแซวแม่จึงยิ้มกว้าง

“ขอบใจนะเสือ”

“เจ้อย่ามาซึ้งน่า สำหรับพ่อกับแม่แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

“อย่ามาซึ้ง”

โอเค จบความซาบซึ้งแต่เพียงเท่านี้

ผมขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอน ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับยังได้ยินเสียงพี่สะใภ้บ่นแว่วๆ มา เสือก็เห็นใจพี่สิงห์ แต่งานนี้ตัวใครตัวมันว่ะ

เสือจะไม่ยุ่ง

พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับเลย เปิดเพลงทิ้งไว้อย่างนั้นให้มันเล่นซ้ำไปเรื่อยๆ

เป็นเพลลิสต์เพลงที่ผมไม่ค่อยฟังหรอก แต่เห็นแผ่นซีดีวางอยู่บนสุดก็เลยหยิบมาเปิดไปงั้นๆ

ถ้าเจ้ไม่เปิดประตูเข้ามาปลุกผมคงนอนหลับยาวถึงเช้าพรุ่งนี้ไปแล้ว

“ไปส่งข้าวหนูเอิ้นหน่อย”

หา! ผมไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย

“ไปส่งถึงญี่ปุ่นเลยเหรอเจ้”

“ญี่ปุ่นอะไร ไม่รู้เหรอว่าหนูเอิ้นกลับมาถึงเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว”

รู้ลึกรู้จริงอย่างกับดีเจมดดำ

แม่เดินออกจากห้องไปตอนที่มั่นใจแล้วว่าผมตื่นจริงๆ เหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลที่บอกเวลา 1 ทุ่มท้องก็ร้องโครกครากเรียกร้องอาหารค่ำ

ผมคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่าง

กล่องข้าวถูกเตรียมไว้แล้วและทุกคนนั่งพร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

ผมตั้งใจจะเดินเข้าไปนั่งแต่ก็ถูกเจ้ห้ามไว้

พี่สิงห์หัวเราะคิกคักให้ผมงงเข้าไปใหญ่

“รีบไป”

“เสือก็หิวข้าวนะเจ้”

“ในกล่องนั่นไงแม่เตรียมไว้เผื่อเราแล้ว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหนูเอิ้นหน่อย อยู่ห่างพ่อแม่มันเหงา” ห่วงกันขนาดนี้ไม่ไปเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำกันเองเลยล่ะครับ

บ่นในใจรัวๆ แต่ในความเป็นจริงทำได้แค่เดินคอตกไปหยิบกล่องข้าวแล้วเดินออกจากบ้านมา

ไม่มีใครอยู่ข้างเสือเลย สะเทือนใจ

ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่นานนักก็มาถึงคอนโดหรูแถวๆ กลางเมือง

เคาะประตูแล้วยืนรอไม่นาน เจ้าของห้องก็โผล่หน้าออกมาต้อนรับ

“เสือ” และร้องเรียกผมด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊าเหมือนหมาเจอเจ้าของ ถ้ามันมีหางคงกระดิกริกๆ

ผมเดินผ่านไหล่แกร่งที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามตัวบางเข้าไปในห้อง ตรงรี่ไปยังห้องครัวด้วยความหิว

“กินข้าวกัน”

“มาเพื่อกินข้าวเนี่ยนะ”

“เจ้ให้กูมากินข้าวกับมึง มานั่งดิ หิวจะตายอยู่แล้ว”

“เราก็นึกว่าคิดถึง”

“คุยกันทุกวันแล้วยังจะมีเวลาให้คิดถึงอีกเหรอวะ” ผมว่าพลางเตรียมอาหารบนโต๊ะ

“เอิ้นก็คิดถึงเสือตลอดเวลาแหละ”

“เลิกพล่ามเถอะครับ นั่งๆ” ผมพยักเพยิดไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มลงมือจ้วงอาหารตรงหน้า

ความหิวโหยนี้คงเกิดขึ้นเพราะผมไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแน่ๆ

“เอิ้นซื้อของมาฝากเสือด้วยนะ”

“เออๆ ขอบใจ”

“แค่เนี้ย”

“ขอบใจน้อยไปเหรอ งั้นขอบคุณละกัน”

“เสือ...” ผมละสายตาจากข้าวที่กินจนเกือบหมดเพื่อเหลือบมองคนที่ทำหน้าง้ำงอมองผมด้วยสายตาตัดพ้อ

อะไรวะ

“มึงไม่กินเหรอ อันนี้อร่อยนะ” มองต่ำลงมาที่จานข้าวก็พบว่าข้าวยังไม่พร่องลงสักนิดผมจึงตักผัดผักรสชาติอร่อยเหาะใส่จานให้

ใจดีกว่าเสือก็พระอินทร์ที่เก็บขวานให้นายพรานแล้วล่ะครับ

“ที่มาหาเนี่ยเพราะแม่ขอให้มาเหรอ”

“อือ ทำไม ไม่อยากให้กูมาเหรอ”

“ถ้าเสือเต็มใจมา”

“บอกว่าคิดถึงกูไม่ใช่เหรอ จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจสุดท้ายก็เจอกันแล้วนี่ไง มึงนี่งี่เง่าเหมือนกันเนอะ”

“ปกติไม่เป็นนะ เอิ้นจะเป็นแบบนี้เฉพาะกับคนที่เอิ้นแคร์เท่านั้นแหละ”

“แคร์กูแน่ใช่มั้ย”

“แน่สิ”

“งั้นก็ยิ้มสิ เวลามึงเจอหน้าคนที่มึงชอบ มึงไม่มีความสุขเหรอวะ”

“มี”

“งั้นก็ยิ้มสิ คนที่มึงชอบนั่งอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง”

“แล้วเอิ้นเป็นคนที่เสือชอบรึเปล่า”

“แดกข้าวครับ”

ตักข้าวยัดปากแม่งข้อหาถามเรื่องไร้สาระให้ผมหน้าร้อน

หลังจากนั้นไอ้เอิ้นคนงี่เง่าก็ยิ้มไม่หุบเลยครับ กระทั่งกินข้าวเสร็จ ผมเก็บโต๊ะส่วนเจ้าของห้องเป็นคนล้างจาน เสียงฮัมเพลงด้วยท่วงทำนองแปลกๆ ก็ยังคงดังให้ได้ยิน

มีความสุขขนาดนั้นเชียว

“ไหนของฝากที่มึงบอก”

“อยู่ในห้องเอิ้นน่ะ เสือไปหยิบได้เลย”

“ห้องนอนอะนะ”

“ใช่ อยู่บนเตียงนะ”

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนตามคำบอก กวาดสายตามองเข้าไปในกองกระเป๋าเดินทางที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ข้างในนั้นมีเสื้อผ้าอยู่ไม่มาก ส่วนมากที่เห็นจะเป็นพวกของฝากซะมากกว่า

แล้วอันไหนของผมล่ะเนี่ย

“เอิ้น ของกูอันไหน”

“ในกล่องสีขาว”

ผมมองหากล่องสีขาวตามคำบอก และก็พบว่ามันมีอยู่ 2 กล่อง ผมเลือกเปิดกล่องใหญ่ที่อยู่ซ้ายมือก่อน

ผ่าง!!

ฉิบหาย

ผมโยนกล่องที่เปิดอ้าลงบนเตียงจนข้าวของกระจายออกมา กวาดสายตามองอีกครั้งให้มั่นใจว่าเมื่อครู่ไม่ได้ตาฝาดและก็ไม่ได้ฝาดจริงๆ

สารพัดเซ็กส์ทอยที่หาซื้อได้ยากในประเทศแห่งนี้แต่ไอ้เชี่ยเอิ้นกลับพกมันกลับมาจากญี่ปุ่น

เนี่ยนะของขวัญ ไอ้สัส เดี๋ยวปั๊ดฟาดหน้าด้วย ด้วย ด้วยอะไรสักอย่างที่กองอยู่บนเตียงนั่น

“เสือ หาเจอมั้ย”

“เจอ”

“เปิดดูได้เลยนะ”

“กูเปิดแล้ว”

“ชอบมั้ย” ท้ายประโยคไอ้เจ้าของห้องก็โผล่หน้าเข้ามา ดวงตาคู่คมเบิกกว้างก่อนจะวิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าแล้วหยิบอะไรสักอย่างขึ้นมาพิจารณา “นี่มันอะไรน่ะ”

“มึงถามใคร ถามกูเหรอ”

“ไม่ใช่ของเอิ้นนะเสือ”

“ของกูงั้นสิ”

“ฉิบหายเอ้ย! พี่สาวเอิ้นแน่เลยอะ”

“มึงไม่ต้องโยนความผิดให้คนอื่นเลยนะ ต้องหมกมุ่นแค่ไหนวะถึงจะกล้าซื้อของแบบนี้ให้คนที่ตัวเองชอบ”

“ไม่ใช่ของเอิ้นจริงๆ นะเสือ ระดับเอิ้นไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้หรอก เสือก็รู้”

“กูไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ มึงแม่ง ปากก็บอกว่าชอบกูแต่ที่จริงมึงก็แค่อยากได้กูใช่มั้ยล่ะ”

“ก็อยากได้ แต่ที่อยากได้ก็เพราะรักป่ะวะ ของที่เอิ้นจะให้เสือคือกล่องนี้ต่างหาก”

กล่องสีขาวอีกกล่องถูกยื่นมาตรงหน้า ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมรับมา

“เปิดดูสิ เอิ้นอยากรู้ว่าเสือจะชอบมั้ย”

“อย่าคิดว่ากูจะหายโกรธเพราะได้ของนะ”

“ก็โกรธไปสิ”

ง้อกูนิดนึงก็ได้นะ ผมเบะปากใส่แล้วจึงนั่งลงบนที่ว่างบนเตียงบรรจงเปิดกล่องที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีขาว

“ชอบมั้ย หายโกรธยัง”

ผมเหลือบมองคนถามแล้วก้มมองนาฬิกาที่ได้รับมา มันอาจจะไม่สวยมาแต่เป็นแบบที่ผมชอบ แน่นอนว่ามันทำให้ความโกรธของผมหายไปแล้วกึ่งหนึ่ง

แต่นี่เสือนะ จะให้บอกว่าหายโกรธง่ายๆ ได้ยังไง

“ถ้ายังไม่หายเอิ้นจะง้อแล้วนะ”

“ง้อเหี้ยไร” ไอ้เอิ้นนั่งลงข้างๆ “ถอยไปไกลๆ กูเลย”

“ไม่ถอย จะง้อ”

“ง้อยังไง กูไม่ง่ายหรอกนะ”

“จริงดิ”

“เออ”

“หน้าแดงแล้ว”

“ใครหน้าแดง”

“เสือไง นี่ขนาดเอิ้นยังไม่ทำอะไรหน้ายังแดงขนาดนี้เลย เขินแล้วล่ะสิ”

“กูนี่ยนะเขินมึง ตลกป่ะเอิ้น นี่เสือครับ เสือ”

“อือ เสือไง รักนะ”

เหมือนไอ้เอิ้นมันรู้ว่าผมแพ้คำว่ารักถึงได้บอกผมซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ จะละสายตาจากมันก็กลัวว่าจะถูกจับได้ว่ากำลังเขินจนหน้าร้อนจึงต้องทนสบตามันอยู่อย่างนี้ ให้ตายเถอะ สายตาที่มองมาหวานจนเสือจะละลายแล้ว

“หายโกรธยัง” ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้อีกขณะที่วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่

“บอกแล้วไงว่ากูไม่ง่าย”

“เอิ้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน”

“เหรอ” ว่าจบก็จับผมกดลงบนเตียงโดยไม่ทันตั้งตัว

ผมเบิกตากว้างยกมือขึ้นดันไหล่ไอ้เอิ้นเอาไว้ตอนที่มันโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาเกือบชิด ลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วๆ ที่ปลายจมูก

“ลองของเล่นพวกนั้นกันมั้ย”

“ไอ้เอิ้น ไอ้หมา”

“ด่าอีกแล้ว เขินล่ะสิ”

“กูโกรธ”

“เสือไม่โกรธหรอก ถ้าเสือโกรธเอิ้นจริงป่านนี้เสือกระทืบเอิ้นไปแล้ว”

เออว่ะ ถ้าจะทำอย่างมันว่าผมก็ทำได้นี่หว่าแล้วทำไมไม่ทำล่ะ

ผมเหลือบมองไอ้เอิ้นอีกครั้ง พิจารณาความหมายนัยน์ตามันไปพร้อมๆ กับฟังเสียงหัวใจตัวเอง

“กูจะกลับแล้ว” ผมลุกขึ้น

“อ้าว ไม่โกรธแล้วเหรอ”

“ไปหาวิธีง้อมาใหม่ วิธีนี้ไม่เวิร์ค”

ผมลุกขึ้นไอ้เอิ้นจึงลุกตาม “ให้เอิ้นไปส่งมั้ย”

“ไม่อะ กูขับรถมา”

“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันมั้ย”

“เรื่องอะไรอะ”

“ไม่รู้สิ เอิ้นแค่อยากดูหนังกับเสือ”

“ไปปลุกละกัน” ผมหันไปบอกเมื่อตรงหน้าเราคือประตูห้อง “แล้วนี่ของมึง”

ผมยัดกล่องบุผ้าสีดำใส่มือเจ้าของห้อง ไม่รอให้มันถามอะไรหรอกครับ ชิ่งเดินเร็วๆ ออกจากห้องมาก่อนเลย


▼▲ ▼▲ ▼


ห้องนอนของผมถูกเปิดออกในตอน 10 โมงเช้าด้วยฝีมือของไอ้เอิ้นนั่นแหละครับ ปลุกผมแล้วก็เดินฮัมเพลงด้วยจังหวะแปลกๆ ลงข้างล่างไป

แปลกดีที่วันนี้มันไม่วอแว

พอเดินรูดราวบันไดลงมาถึงชั้นล่างก็พบว่าไอ้เอิ้นกับพี่สิงห์กำลังคุยกันอย่างออกรสชาติน้ำลายแตกฟอง ถ้าบอกว่าผมคุยเก่ง พี่ชายก็คงคุยเก่งกว่า

ไอ้เอิ้นส่งยิ้มให้ตอนที่เหลือบเห็นผมที่กำลังเดินตรงเข้าไปหา

“เห็นว่าจะไปดูหนัง พี่ไปด้วยได้มั้ย”

“อยากไปก็ไปสิ” ผมบอกทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ไปด้วยได้จริงเหรอ ไม่เป็นก้างขวางคอเหรอ” พี่ชายผมแม่งกวนตีน

“มึงอยากไปจริงหรือแค่อยากกวนตีนกูล่ะ”

ไม่บ่อยหรอกที่ผมจะพูดหยาบกับพี่สิงห์และถ้าเจ้ศรีมาได้ยินเข้าล่ะก็ ไอ้เสือตายแน่ ตายแน่ๆ ไอ้เสือ

“กวนตีน”

“ไปเถอะเอิ้น” ทำหน้าเอือมใส่พี่ชายตัวเองแล้วเดินนำไอ้เอิ้นออกจากบ้านมา

“เสืออยากดูหนังเรื่องอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

“ไม่อะ” เสียงปลดล็อคดังขึ้นพอดีผมจึงเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งก่อน ไม่นานคนขับก็สอดตัวเข้ามานั่งประจำที่

“ชอบนาฬิกาที่เอิ้นซื้อให้มั้ย”

อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง

ผมยกข้อมือตัวเองขึ้นมา พลิกไปมาเพื่อพิจารณา จะบอกว่าชอบก็ทำได้แหละแต่ขอเล่นตัวหน่อยเดี๋ยวคนให้จะได้ใจ

“ถ้ากูไม่ชอบกูไม่ใส่หรอก”

“เอิ้นก็ชอบปากกาที่เสือให้นะ แต่สงสัยอยู่หน่อยนึงอะ”

“สงสัยอะไร”

เจ้าของรถยื่นมือมาเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกล่องปากกาออกมา เปิดฝากกล่องแล้วหยิบปากกาแท่งสีดำขึ้นมาพิจารณา

“ตรงนี้ทำไมสลักชื่อเสือล่ะ ที่จริงมันต้องเป็นชื่อเอิ้นไม่ใช่เหรอ”

“ทำไมล่ะ ใช้ของที่มีชื่อคนที่มึงรักไม่ได้รึไง”

“เสือ…”

อึ้งรับประทานเลยสิครับงานนี้

จะบอกอะไรให้นะ ที่จริงเสือก็มีมุมอ่อนโยนและโรแมนติกอยู่เหมือนกันนะขอบอก

เมื่อวันก่อนขณะนั่งหาหนังใหม่ๆ ของน้องมาอิ อยู่ก็ไปเจอบทความเกี่ยวกับการซื้อของขวัญให้คนรักบทความหนึ่ง และผมก็สะดุดตากับข้อที่ว่าให้มอบของที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ

แน่นอนว่า ปากกาสลักชื่อผมนั้นแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของสุดๆ แล้ว เวลาไอ้เอิ้นเอาออกมาใช้ ถ้าใครช่างสังเกตหน่อยต้องถามแน่ๆ ว่าปากกานั้นสลักชื่อใคร และไอ้เอิ้นก็ต้องบอกว่า…ของคนที่ผมรักครับ

ความคิดของเสือลึกซึ้งใช่มั้ยล่ะ

“เอิ้นขอนาฬิกาคืนก่อนได้มั้ย”

“ให้แล้วให้เลยสิวะ ขอคืนอะไรล่ะ”

“ขอเอาไปสลักชื่อก่อนไง”

“ไม่!” ผมปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ถ้าอยากสลักชื่อก็ซื้ออันใหม่มาสิ”

“ได้อยู่แล้ว เสือ…”

“อะไร”

“ที่เราทำอยู่นี้เรียกว่าแฟนได้รึยัง”

ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง หาโปรแกรมหนังที่เข้าฉายวันนี้ เมื่อก่อนผมชอบดูหนังมากแต่เมื่อทำงานความชอบนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเมื่อคำว่าไม่ว่างเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

“ดูเรื่องนี้มั้ย”

ไอ้เอิ้นพยักหน้าตอนที่ผมยื่นมือถือไปตรงหน้า

“งั้นจองรอบบ่าย 2 นะ”

“อื้อ” ถามคำตอบคำแบบนี้เชื่อสิว่ากำลังงอนอยู่แน่ๆ

ผมไม่เข้าใจนะว่าจะจริงจังกับสถานะอะไรนักหนาในเมื่อสิ่งที่ผมปฏิบัติต่อมันอยู่ตอนนี้ผมไม่เคยทำกับใครเลย พูดง่ายๆ ก็คือสำหรับผมไม่เคยมีใครพิเศษเท่าไอ้เอิ้นเลย

เราแวะทานข้าวกันก่อนหนังจะฉาย ตอนเช็คบิลป๋าเอิ้นก็ควักบัตรเครดิตจ่าย เมื่อออกจากร้านผมจึงถามค่าอาหาร ตื๊ออยู่นานกว่าจะตอบ ผมจึงยื่นเงินให้ เพราะคิดว่ากินด้วยกันก็ต้องหารกันแต่ไอ้เอิ้นแม่งโคตรงี่เง่า หาว่าผมทำตัวห่างเหิน

ไอ้สลัด กูเป็นผู้ชายไง กูมีรายได้และมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่เกาะใครกิน

“ถ้ามึงไม่รับเงินนี่ กูไม่ดูหนังกับมึงนะ”

ลองดูสิ งัดไม้ตายออกมาสู้ขนาดนี้แล้วยังจะกล้าปฏิเสธกันอยู่มั้ย

“เอิ้นเป็นคนชวนเสือมา เอิ้นรับเงินจากเสือไม่ได้หรอก”

“มึงชวนกูมาดูหนัง กูก็ให้มึงจ่ายค่าตั๋วหนังแล้วไง เอิ้น อย่าทำให้กูลำบากใจได้มั้ย”

“อยู่กับเอิ้นแล้วลำบากใจมากเลยเหรอ”

“ถ้ามึงปฏิบัติกับกูเหมือนกูเป็นผู้หญิงทั้งๆ ที่กูเป็นผู้ชาย ใครบ้างจะไม่ลำบากใจ เชื่อสิว่าผู้หญิงก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบให้ผู้ชายเทคแคร์”

“แต่เอิ้นอยากดูแลเสือ”

“กูก็ไม่ได้ห้ามให้มึงดูแลซักหน่อย แต่มันก็ต้องมีขอบเขตที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอวะ ถ้ามึงทำอย่างวันนี้กูคงไม่กล้าออกมาเที่ยวกับมึงอีก”

“500 จ่ายมา 500”

“มึงอย่ามาโกง ค่าอาหารแค่ 980 หารสองก็เหลือแค่ 490 ทอนมา 10 บาท”

“ไม่ให้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตหน่อยเหรอ”

“ให้บอกให้มึงรูดล่ะ”

ยืนหาเงินทอนอยู่นานเลยครับ แต่คนที่ใช้บัตรเครดิตจนเป็นนิสัยอย่างไอ้เอิ้นหาเท่าไหร่ก็ไม่มีผมจึงอาสาซื้อป๊อบคอร์นกับน้ำดื่ม

ที่นั่งที่ผมจองไว้เป็นแบบฮันนีมูนซีทซึ่งตั้งอยู่แถวบนสุด ไม่ได้อยากสวีทหวานหรือต้องการควานเป็นส่วนตัวอะไรหรอก เบาะมันนั่งสบายดีแถมยังไม่ต้องกังวลว่าใครจะเอาเท้ามาก่ายคอด้วย

“จับมือได้มั้ย”

ไอ้เอิ้นหันมาถามตอนที่บนจอกำลังฉายหนังตัวอย่าง

“ไม่ กูจะกินป๊อบคอร์น” คนถูกปฏิเสธหน้างอง้ำผมจึงหยิบป๊อบคอร์นรสชีสยัดใส่ปากไปเต็มคำ “อร่อยมั้ย”

“ถ้าบอกว่าอร่อย เสือจะป้อนเอิ้นอีกมั้ย”

“ได้คืบจะเอาศอกนะมึงอะ” ผมว่าเหมือนอารมณ์เสียแต่จริงๆ แล้วไม่หรอก ก่อนจะยัดถังป๊อบคอร์นใส่มืออีกฝ่าย ไอ้เอิ้นกอดถังนั้นไว้แล้วเอื้อมมือข้างนึงมาจับมือผมแล้วยิ้ม

“แค่นี้ก็จับมือได้แล้ว”

“มึงนี่!”

หนังตัวอย่างถูกฉายหมดแล้ว

“บรรยากาศแปลกๆ เนอะ” คนข้างๆ หันมากระซิบ

“แปลกอะไร ปกติจะตาย” ผมยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบตอบ

“ไม่เหมือนหนังแอคชั่นเลย”

“หนังแอคชั่นอะไร นี่หนังผี”

“ฮะ!” ไอ้เอิ้นร้องเสียงหลงให้คนข้างๆ และด้านหน้าหันมาชักสีหน้าใส่ เจ้าตัวก้มหัวขอโทษปรกๆ ก่อนจะถลึงตาใส่ผม

จำได้ว่าไอ้เอิ้นกลัวผีมาก กลัวจนขี้ขึ้นสมองเลยล่ะ

“เสือก็รู้ว่าเอิ้นไม่ชอบหนังผี”

“มึงบอกเองว่าดูหนังอะไรก็ได้” ผมลอยหน้าลอยตาบอกแล้วยื่นมือไปจกถังป๊อบคอร์นทว่ากลับถูกอีกฝ่ายจับมือไว้ซะก่อน

“เสือต้องรับผิดชอบ”

“รับผิดชอบอะไร”

“เอิ้นกลัว” ว่าด้วยเสียงสั่นๆ แล้วเลื่อนมืออีกข้างมากกอดแขนจากนั้นก็วางศีรษะลงบนไหล่ ก่อนจะพูดซ้ำๆ ว่า “เอิ้นกลัวๆ”

เอาจริงๆ นะ ผมว่าไอ้เอิ้นแม่งตอแหล หลายครั้งที่ผมพยายามแกะมือมันออกแต่ก็ไม่ได้ผล นี่มือคนหรือหนวดปลาหมึก หนุบหนับหมุบหมับเหลือเกิน พอไม่เห็นทางสุดท้ายผมจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ซะเอง

“เหี้ย!!”

ผมสะดุ้งสุดตัวและตะโกนสุดเสียงเมื่ออยู่ๆ ในความมืดที่หน้าจอดับลงผีห่าก็โผล่มา แต่นั่นยังไม่เท่าดนตรีที่บิ๊วเหลือเกิน ถ้าหัวใจวายในโรงหนังใครรับผิดชอบ ไหนตอบเสือดิ๊

พอผมตะโกนไอ้ที่เกาะแขนและซบไหล่ผมอย่างกับจะสิงกันก็ยิ่งกอดแน่นแล้วช้อนสายตาขึ้นมา
“กลัวอะ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ”

“ไม่!” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง หนังก็น่ากลัวหรอกนะ แต่ถ้าออกจากโรงกลางคันก็แพ้ไอ้นพสิวะ

เมื่อวานตอนที่ไอ้เอิ้นชวนดูหนัง ผมที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องนี้ก็โทรไปปรึกษาไอ้แชมป์ แต่ไอ้แชมป์ก็คือไอ้แชมป์ครับ หัวมันคิดแต่เรื่องหนังโป๊อะ โทรหาแม่งโคตรเปลืองค่าโทร พอไม่ได้คำตอบจากเพื่อนสนิทผมจึงโทรหากวิน และน้องมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง มันบอกว่าเรื่องนี้แหละเด็ด ถามมันว่าดูแล้วเหรอก็ได้คำตอบว่าไอ้นพชัยแนะนำมา

ไอ้นั่นมันคอหนังครับ ตอนที่ยังทำงานด้วยกันอย่างสมานสามัคคีก็มันนี่แหละที่แนะนำหนังดีๆ ให้ดู

“ฟัค!!!”

ไอ้ผีนี่คิดจะโผล่ก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ครั้งนี้ตกใจกว่าครั้งที่แล้วซะอีกและขาที่กระตุกก็ยันเข้าที่พนักเก้าอี้ของคนข้างหน้าเต็มแรง

ตายแน่กู พี่เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเอี้ยวตัวมองมองผมตาเขียวปั๊ด หน้าตาโคตรพร้อมจะมีเรื่อง

“ขอโทษครับ”

“ถ้ากลัวนักก็ออกไปสิวะ” เสียงดังลั่นโรงเลยครับ ถามว่ากลัวมั้ย กลัวน้อยกว่าผีในจอนั่นอีก

“เวร!”

“มึงอยากมีเรื่องกับกูใช่มั้ย”

“พี่ใจเย็น ผมไม่ได้ว่าพี่”

ไม่ได้แถนะครับ ที่สบถเมื่อครู่เพราะผีแม่งโผล่มาอีกแล้ว ตาแดงก่ำเต็มจอ ใครไม่ตกใจบ้างวะ และผมน่ะก็เป็นประเภทที่เมื่อตกใจแล้วชอบสบถคำหยาบ เคยลองพยายามสบถคำอื่น อย่างเช่น ‘คุณพระ’ ‘ตาเถร’ ‘อุ้ยแม่ร่วง’ ประมาณนี้แล้วแต่คนมันตกใจ ควบคุมอะไรได้ที่ไหนวะ

“มึงไม่ต้องมาแถ”

ชี้หน้าผมแล้วก้าวข้ามพนักพิงมาคว้าคอเสื้อของผมจนต้องลุกขึ้น ไอ้เอิ้นผละออก มันพยายามห้ามพี่ตัวโตที่กำลังโกรธจัดแต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกผลักจนกระเด็นไปนั่งตักเบาะข้างๆ อีก

ตอนนี้ไม่มีใครสนใจผีในจอแล้วครับ ทุกสายตาสนใจพวกผมนี่ ถามว่าอายไหม ก็นิดนึงล่ะมั้ง

“ผมขอโทษนะ ผมผิดเองแหละ ขอโทษครับ”

ถ้าเป็นยามปกติเสือคงสู้แต่เพราะวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่แถมยังเป็นการมาเที่ยวกันครั้งแรกของผมกับไอ้เอิ้นด้วย คงไม่ดีแน่หากมีเรื่องชกต่อย

พอผมขอโทษพี่ยักษ์ก็เหมือนจะใจเย็นลงครับ มือที่กำคอเสื้อผมแน่นก็คลายออกจนผมเป็นอิสระ

“ผิดแล้วยอมรับผิดแบบนี้สิวะเขาถึงเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง” จัดเสื้อให้ผมแล้วชมอีกต่างหาก

ผมควรดีใจไหมวะ

เมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ หลังจากกล่าวขอโทษคนในโรงหนังแล้วไอ้เอิ้นที่จับมือผมไว้ตลอดจึงจูงมือผมออกมาข้างนอก

เราไม่พูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอีก

“ไปเกมเซ็นเตอร์กันมั้ย”

“เอาสิ” ผมพยักหน้ารับ

“ที่พนันกันไว้ครั้งที่แล้ว เรามาเล่นกันอีกครั้งมั้ย”

“จะแข่งกันอีกซักกี่ครั้งมึงก็ไม่มีทางชนะกูหรอก”

“ไม่ลองก็ไม่รู้นะ หรือเสือกลัวแพ้”

“ในพจนานุกรมของเสือไม่มีคำว่าแพ้”

“งั้นก็ไปเกมเซ็นเตอร์กัน”

ไอ้เอิ้นเข้ามากอดคอผมแล้วมุ่งหน้าไปยังเกมเซ็นเตอร์ ไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งไหนเทพเจ้าเกมเซ็นเตอร์อย่างเสือก็ไม่มีทางออมมือให้หรอกโว้ย

พี่เอิ้นกับน้องเสือเหรอ

เตรียมตัวฝันสลายได้เลยครับ



[- T B C -]

‘เวลามึงเจอหน้าคนที่มึงชอบ มึงไม่มีความสุขเหรอวะ’
‘งั้นก็ยิ้มสิ คนที่มึงชอบนั่งอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง’
ถ้าเราเป็นคุณเอิ้นเราคงยิ้มจนแก้มแตก ^____^

ที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าแฟนได้รึยังน๊า
คุณเอิ้นสงสัย เราเองก็อยากรู้ แล้วทุกคนล่ะว่าไง
เรียกว่าแฟได้รึยัง

เอาไว้มาหาคำตอบกันต่อตอนหน้า
แจ๊ส :)


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เฮ้อ.. โล่งอก นึกว่ามีการกระทืบกันในโรงหนังซะแล้ว
 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไหนเสือ? แมวชัด ๆ !

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไม่มีซักตอนที่เอิ้นไม่โดนด่า 5555555555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ TITAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากมาย มาต่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
ซึนกว่าเสือก็เสือนี่แหละ แฟนก็บอกว่าแฟนสิ มาเขินแล้วบอกสถานะไม่สำคัญเท่าที่เป็นอยู่นี่มันก็นะ เสือจริงๆ :hao3:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง}




ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการฝันที่เป็นจริง

เรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยากให้เสือเรียกมันว่าพี่ใจจะขาด เมื่อได้โอกาสก็ชวนเล่นเกมแล้วเดิมพัน อาจเพราะรามือไปนาน เสือที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าจึงพ่ายให้แก่เขา

ห่า ฝันที่เป็นจริงไหมล่ะมึง

“คราวหน้ากูไม่แพ้มึงแน่” ผมชี้หน้าคนที่ฉีกยิ้มเต็มใบหน้าด้วยความหมั่นไส้

“กูมึงอะไรกันครับน้องเสือ นี่พี่เอิ้นไง ไหน เรียกพี่เอิ้นซิ”

“พะ พะ พะ พี่ อะ อะ….”

พอไม่ชินปากก็ดันติดอ่างขึ้นมาให้ไอ้เอิ้นขำใหญ่

“น้องเสือนี่ตลกจังนะครับ” พูดไปขำไป มีความสุขเหลือเกินเดี๋ยวมึงจะทุกข์เพราะโดนบาทาลูบพักตร์

ถ้าเป็นปกติผมต้องมีอาการหน้าร้อน หัวร้อนบ้างสิ แต่นี่รู้สึกร้อนแค่ที่หน้า ยิ่งเห็นไอ้เอิ้นยิ้มหัวใจก็ยิ่งทำงานหนักจนต้องเสมองไปทางอื่น

และตรงที่อื่นนั้นผมก็เจอน้องดาว ข้างๆ เธอคือชายหนุ่มท่าทางภูมิฐาน พิจารณาดูแล้วก็รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

“เสือ” กระทั่งคนข้างกายแตะต้นแขนเบาๆ เรียกสติผมจึงละสายตาจากคนตรงหน้าแล้วหันไปมองคนข้างๆ “มีอะไรรึเปล่า”

“เจอน้องดาวอะ เข้าไปทักมั้ย”

ไอ้เอิ้นมองตามสายตาผมไปยังคู่รักที่เดินเอื่อยเฉื่อยอยู่อีกฟาก ไม่รู้ว่าตาฝาดรึเปล่าแต่ชั่วพริบตาหนึ่งผมเห็นไอ้เอิ้นยกยิ้มร้าย แล้วหลังจากนั้นก็เป็นมันนั่นแหละที่จับมือผมแล้วดึงให้เดินตามไป

“คุณดาว” และเป็นมันอีกตามเคยที่ทักทาย

คนถูกทักเบิกตากว้าง ขณะที่ไอ้เอิ้นยังคงปั้นหน้ายิ้ม ส่วนแฟนน้องดาวยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นมาก
“พี่เสือ คุณเอิ้น มาซื้อของกันเหรอคะ” เมื่อได้สตินั่นแหละจึงทักทายด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกับน้องมากแต่ก็พอดูออกว่าน้องดาวกำลังกระวนกระวาย

“แฟนเหรอ”

ความเสือกไม่เข้าใครออกใครครับ

ผมโพล่งถามออกไปให้ชายหนุ่มข้างกายน้องดาวยิ้มแล้วตอบรับแทนแฟนสาว

“ปราชญาครับ”

“ชื่อเพราะนะครับ” ผมชมแล้วพิจารณาใบหน้าเขา “คุณปราชญาหน้าคุ้นๆ นะครับ”

“พี่ชายคุณปรางไงเสือ”

“ปราง” ผมทวนคำแล้วมองใบหน้าคุณปราชญาอีกครั้ง

จริงว่ะ ทั้งโครงหน้า จมูกและปากโคตรจะเหมือนกัน

“ปรางเล่าเรื่องคุณเสือให้ฟังบ่อยมาก ยินดีที่ได้เจอครับ” ว่าจบก็ยื่นมือมาจับและผมก็ยื่นมือไปสัมผัสอย่างเสียไม่ได้

“ไม่ค่อยแฟร์เลยนะครับ ปรางเล่าเรื่องผมให้คุณปราชญาฟังแต่น้องดาวไม่เห็นเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังบ้างเลย”

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ ยังมีเวลาอีกมากมายที่เราจะทำความรู้จักกันหากคุณเสือต้องการ”

เขาว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันสุภาพสักนิด ในน้ำคำเหมือนแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ เมื่อมองหน้าไอ้เอิ้น มันก็เอาแต่จ้องน้องดาวไม่วางตา

เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำลึกลับซับซ้อนที่ผมไม่รู้แน่ๆ



▼▲ ▼▲ ▼



สีหน้าและแววตาไอ้เอิ้นยังคงไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่เจอน้องดาวแม้ว่าเราจะลากันแล้วก็ตาม

“มึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ย”

“เยอะแยะ”

“เรื่องคุณปราชญานะ”

“เรื่องของเอิ้นนี่แหละ”

“กวนตีน กูไม่อยากรู้เรื่องของมึง”

“กูมึงอะไรกันต้องน้องเสือกับพี่เอิ้นสิ ไหนเรียกพี่เอิ้นซิ”

ยากฉิบหาย ยากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยถูกร้องขอมา

“ขอเวลาทำใจก่อน”

“ต้องทำใจด้วยเหรอ”

“เออดิ ไม่เต็มใจนี่หว่า”

“เรียกเหมือนเรียกพี่สิงห์ไง”

“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน”

“ที่ความรู้สึกไง พี่สิงห์เป็นพี่แต่มึงเป็นเพื่อน”

“แค่เพื่อนเองเหรอ”

“เป็นเพื่อนไปก่อน”

“แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นอย่างอื่น”

“ไม่รู้ครับ พี่เอิ้น” ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ คนถูกเรียกพี่เงียบกริบ ก็อยากถามว่าเงียบทำไม ยิ่งเงียบบรรยากาศก็ยิ่งชวนให้ขวยเขิน

“น่ารักจังเลยครับน้องเสือ”

น้ำเสียงไอ้พี่เอิ้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกนรก รอบกายร้อนรุ่มไปหมด เหงื่อแตกพลั่กจนอีกฝ่ายต้องยื่นมือมาช่วยซับ ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกมีแต่จะทำให้ร้อนเข้าไปใหญ่

“พอได้แล้ว ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ” ผมปัดมือมันออกแล้วยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อตัวเอง

“เขินล่ะสิ”

“เออ เขินจะแย่แล้วเนี่ย” ผมผลักอกแกร่งแก้เขินไปทีหนึ่งแล้วก้าวเร็วๆ ไปยังลานจอดรถ

เมื่อร่างกายและความรู้สึกเขินอายสงบลงแล้วก็เริ่มกลับไปคิดเรื่องน้องดาวกับคุณปราชญาอีกครั้ง

“เอิ้น”

“พี่เอิ้น”

“เออ พี่เอิ้นก็พี่เอิ้น จะจริงจังอะไรขนาดนั้นวะ”

“ทุกเรื่องของน้องเสือ พี่เอิ้นจริงจังหมดแหละ”

“งั้นพี่เอิ้นก็ช่วยตอบน้องเสืออย่างจริงจังด้วยนะครับว่าเรื่องน้องดาวกับคุณปราชญานั่นมันยังไง”

“เขาก็เป็นแฟนกันไง”

“เอิ้น!”

“คืนนี้ไปนอนห้องเอิ้นสิแล้วจะเล่าให้ฟัง ทั้งหมดเลย”

ฉวยโอกาสแบบนี้ก็ได้เหรอ ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเมื่อก้าวเข้าห้องนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นผมกลับพยักหน้ายอมรับอย่างงายดาย ก็แหม ความขี้เสือกมันเข้าใครออกใครซะที่ไหนล่ะ

“ไม่กลัวเอิ้นแล้วเหรอ”

“ไม่เคยกลัว”

“ให้จริง”

“แน่นอน”

ปากเก่งกว่าไอ้เสือมีอีกไหม มือสั่นริกๆ ยังจะกล้าบอกเขาว่าไม่กลัวอีก

ไม่ปฏิเสธหรอกว่าการถูกไอ้เอิ้นโอบกอดไว้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก แต่นั่นมันก็เรื่องหนึ่งแต่อีกเรื่องที่ผมไม่เคยชินและไม่เคยคิดว่าในชีวิตหนึ่งจะได้ทำมันกับผู้ชาย เรื่องนั้นน่ะทำให้ผมกลัวจริงๆ

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นพร้อมกับตัวเลขบอกชั้นในลิฟต์ที่กำลังพาเราสูงขึ้นไป

“เสือบอกแม่รึยังว่าคืนนี้จะค้างห้องเอิ้น”

“ใครจะค้างห้องมึง”

“มึงคือใคร นี่พี่เอิ้นนะ”

“เอิ้น” ผมเรียกมันเสียงอ่อนแล้วกระตุกชายเสื้อให้เจ้าของชื่อที่เพิ่งก้าวออกจากลิฟต์หันมามอง

“ครับ”

“ไม่เล่นแล้วได้มั้ย”

“เสืออย่ามาอ้อนนะ”

“ไม่ได้อ้อน” ผมเถียง

“ที่ทำเสียงแง้วๆ เมื่อกี้ไม่อ้อนเลยเนอะ” เสียงแง้วๆ อะไร นี่เสือครับไม่ใช่แมว

เมื่อพอจะรู้แล้วว่าคำขอของผมไม่เป็นผลจึงแทรกตัวผ่านช่องประตูโดยไม่ลืมกระแทกไหล่เจ้าของห้องแรงๆ ข้อหาทำให้ผมโกรธแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา

“มาครับพี่เอิ้น มีอะไรจะเล่าก็รีบมาเล่าอย่าลีลา”

“เอาเรื่องอะไรก่อนดี” ไอ้พี่เอิ้นมันถามเมื่อนั่งลงเบียดกัน

โซฟาตั้งกว้างยังจะมานั่งเบียดอีก ขาดความอบอุ่นเรอะ

“เรื่องน้องดาวไง”

“เอิ้นกำลังตามสืบอยู่ แต่อยากให้เสือรู้ไว้ว่าตอนนี้น้องดาวคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง”

“กะอีแค่น้องมันเป็นแฟนกับพี่ชายคุณปรางอะนะ”

“พี่ชายคุณปรางที่กำลังจะเปิดบริษัทเพื่อเป็นคู่แข่งรายใหม่ของเราน่ะเหรอ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะแต่เสือก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมน้องต้องใส่ร้ายเสือ” ไอ้พี่เอิ้นยิ้มหน่อยๆ แล้ววางมือลงบนต้นขาของผม

“คงทำให้เสือไม่มีทางเลือกมั้ง”

“ยังไง”

“ก็ถ้าเสือจบกับดิเอเจ้นท์โดยมีคดีติดตัว เสือคิดว่าอนาคตของเสือจะเป็นยังไง”

“ก็คงไม่มีบริษัทไหนรับคนขี้โกงเข้าทำงาน”

“เมื่อเราจนตรอกแล้วมีใครซักคนยื่นมือให้เรา เราจะคว้าไว้รึเปล่าล่ะ”

“แน่นอน” ผมตอบอย่างไม่ต้องคิด

ก็นะ สภาพตอนนั้นก็คงไม่ต่างจากคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วอยู่ๆ ก็มีห่วงยางลอยมาใกล้ให้คว้าเอาไว้หรอก

“แต่ว่านะ ในทางตันมันก็ต้องมีทางออกเสมอไม่ใช่เหรอ”

“บอกเอิ้นได้มั้ยว่าทางออกของเสือคืออะไร”

ผมใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“ขับวินไง หรือไม่ก็เซ้งร้านต่อเจ๊ศรีเป็นไง สนใจทำธุรกิจร่วมกันมั้ยล่ะ”

“ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเลยได้มั้ย”

“แล้วเรื่องน้องดาวจะเอายังไงต่อ”

“เปลี่ยนเรื่องแบบนี้ก็ได้เหรอ”

“อือ” ผมยักคิ้ว

“ตอนนี้หลักฐานทุกอย่างชี้ไปที่คุณดาวหมดแล้ว ทั้งเรื่องใส่ร้ายเสือ เรื่องเอาข้อมูลความลับของบริษัทออกไปเผยแพร่ภายนอก แต่ว่าคุณดาวจะอยู่รับซองขาวหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่อง ไม่แน่มะรืนนี้เราอาจจะไม่เจอคุณดาวที่ออฟฟิศแล้วก็ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าหลักฐานเหล่านั้นจะช่วยให้เสือพ้นจากทุกข้อกล่าวหาได้”

“รู้ได้ยังไงว่าน้องดาวใส่ร้ายเสือ”

“จำที่เอิ้นไปเจอคุณปรีชาวันโน้นได้มั้ย”

วันเดียวกับที่ผมนัดเคลียร์กับสุพลอย่างไรล่ะ

“เอิ้นทำงานสายนี้ตั้งแต่เรียนจบ ก็หลายปีแล้วนะ เสือมีเพื่อนเยอะ เอิ้นก็มีเหมือนกัน ลลิน...”

“เพื่อนเยอะเหี้ยไร กูก็เห็นว่ามึงมีเพื่อนอยู่คนเดียว หายใจเข้าหายใจออกก็มีแต่ลลิน”

“อย่าเพิ่งหึงสิ ฟังเอิ้นให้จบก่อน”

พอได้ยินชื่อคุณลลินอารมณ์ก็เดือดปุดๆ อย่างห้ามไม่ได้ เออวะ หึงก็หึง เสือยอมรับ

“เอิ้นเล่าต่อนะ”

“เออ” ผมตอบห้วนๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มชอบใจ

“เพื่อนลลินเป็นเลขาคุณปรีชา เธอเล่าว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเดอะเฟิร์สขอเข้าไปคุยเรื่องงานของปีหน้า ตอนนั้นคุณปรีชาลังเลเรื่องต่อสัญญากับเราเพราะผลงานของเราไม่ค่อยจะสู้ดีนัก”

ช่วงกลางปียอดขายดิ่งมาก พนักงานขายลาออกจนหาเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มซึ่งส่งผลเสียยืดเยื้อจนถึงจบสัญญาจ้าง

“คุณปรีชาไว้ใจเสือ ชื่นชอบการทำงานของเสือ แต่ไม่ค่อยประทับใจทีม เขาบอกเรื่องนี้กับคุณปราง”

“มีอยู่ช่วงนึงปรางตามตื๊อเสือหนักมาก จำได้”

“คงเป็นช่วงนั้นแหละ”

“แต่พอถูกเสือปฏิเสธเธอก็เงียบหายไปนะ”

“คงเพราะรู้ว่าเสือเป็นคนเด็ดเดี่ยว”

“แล้วน้องดาวเกี่ยวอะไร”

“มีข่าวออกมาช่วงก่อนที่เสือจะถูกพักงานว่าคุณปราชญาซึ่งเติบโตมาจากเดอะเฟิร์สกำลังจะเปิดบริษัทใหม่ ที่จริงพวกเค้าคงจะเตรียมการกันมาสักระยะแล้ว อาจจะก่อนที่คุณดาวจะมาทำงานกับเราด้วยซ้ำ”

“เอิ้นจะบอกว่าน้องดาวมาทำงานกับเราเพราะอยากได้ข้อมูลอย่างนั้นเหรอ” คนถูกถามพยักหน้า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับใส่ร้ายเสือ”

“มีใครไม่อยากทำงานกับคนเก่งบ้าง”

“จะบอกว่าที่ใส่ร้ายเพราะอยากให้เสือไปทำงานด้วยอย่างนั้นเหรอ”

“ถ้าเสือรักงานสายนี้และเสือไม่มีทางเลือก สุดท้ายเสือก็ต้องเลือกเขา”

“แล้วน้องดาวใส่ร้ายเสือยังไง งงว่ะ”

“วันที่คุณปรางเข้าไปขายงาน เพื่อนของลลินเล่าให้ฟังว่าคุณปรีชายื่นคำขาดว่าถ้าดึงเสือมาอยู่เดอะเฟิร์สได้เขาจะยอมเซ็นสัญญา ถ้าคุณปรางทำได้เธอจะมีผลงานแต่เธอทำไม่ได้ในทันที เธอจึงยืมมือคุณดาวซึ่งเป็นคนของบริษัทเราเข้าไปช่วย”

ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้เอิ้นรู้เรื่องมากขนาดนี้

“คุณดาวไม่ใช่คนฉลาดนักหรอก หลังจากที่คุณปรางแจ้งว่าเสือจะย้ายไปเดอะเฟิร์สแน่นอน คุณดาวก็ใช้อีเมล์เสือส่งไปยืนยันกับคุณปรีชาอีกครั้งว่าเสือจะย้ายไปแน่ๆ”

ลูกค้าผมก็เสือกหูเบาเชื่อเขาอีก

“รู้ได้ยังไงว่าเป็นดาว”

“เราได้ข้อมูลการส่งและลบอีเมล์ และเสืออย่าลืมว่าเรามีกล้องวงจรปิด”

เออว่ะ ผมลืมไปว่าบริษัทติดกล้องวงจรปิดไว้ในออฟฟิศตัวนึง ซึ่งพนักงานใหม่ๆ ไม่รู้หรอกว่ามีของพรรคนี้ซ่อนอยู่

“ทำไมต้องเป็นน้องดาววะ ทั้งที่พยายามหาคนต้นเรื่องมาตลอดแต่พอเจอตัวกลับไม่รู้สึกโล่งใจอย่างที่คิดเลย ตรงข้ามกลับยิ่งรู้สึกว่าถ้าไม่รู้จะดีกว่านี้หรือเปล่า”

“เสียใจเหรอ”

“ผิดหวัง”

“โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในสังคมเพื่อดำเนินชีวิต เราก็ต้องเจอกับผู้คนหลากหลายรูปแบบ แต่เสือไม่ต้องกลัวนะ เอิ้นจะอยู่ข้างเสือเอง”

มือของผมถูกกอบกุมเอาไว้ส่งผ่านความรักความอบอุ่นให้ผมเผลอยิ้มตามด้วยความสุขที่ไม่อาจปิดบังอีกต่อไป

“เอิ้นอยู่ข้างเสือตลอดไปไม่ได้หรอก มันต้องมีเวลาที่เราใช้ชีวิตของตัวเองบ้างสิแล้วเมื่อไหร่จะบอกซักทีว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่”

“ลลินบอกเสือแล้วเหรอ”

“เกริ่นไว้ บอกให้ถามเอง ที่จริงก็ไม่อยากถามหรอก คิดว่าถ้าอยากบอกเดี๋ยวก็คงจะบอกเอง”

“เอิ้นจะเปิดร้านอาหาร”

“ห๊ะ!!!” อดที่จะอุทานด้วยความตกใจไม่ได้ “ทำอาหารเองด้วยรึเปล่า”

“แน่นอน”

“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”

“เป็นสิ คิดว่าจะทาบทามแม่เสือมาเป็นแม่ครัว”

“พูดเป็นเล่นน่า”

“เสือจะได้เซ้งมินิมาร์ทไง”

“เฮ้ย! เป็นความคิดที่ดีว่ะ พูดจริงพูดเล่นเนี่ย”

“เอิ้นฝันอยากเป็นเชฟมาตั้งแต่ยังตัวอ้วนแล้วนะ” ถ้าหากการพูดถึงอดีตเป็นการหลอกล่อผมให้ลืมความทุกข์ใจก็ถือว่าเอิ้นประสบความสำเร็จ

“เออๆ จำได้ ตอนป.4 ที่ครูให้เขียนเรียงความเรื่องอาชีพในฝันแล้วให้ออกไปพูดที่หน้าห้อง ตอนนั้นเอิ้นบอกว่าอยากเป็นพ่อครัว เสือจำได้”

“ตอนนั้นเสือบอกว่าอยากเป็นนักบิน ยังอยากเป็นอยู่รึเปล่า”

“มันก็แค่ความฝันของเด็ก 10 ขวบ ตอนอายุ 13 เสือโคตรอยากเป็นยาม เพราะอะไรรู้เปล่า” คนข้างๆ ส่ายหน้า มองผมด้วยสายตาเอ็นดู “เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าลุงยามมีอำนาจสูงสุดในการจะให้ใครเข้าหรือออกโรงเรียนก็ได้ แต่พอตอนอายุ 15 อยากเป็นพระเอกเอวี”

“เพราะดูหนังอย่างว่าเหรอ”

“อือ”

“ทะลึ่งนะเราอะ”

“ไม่เคยดูเหรอ”

“เคย แต่ไม่ชอบ ไม่ประเทืองปัญญา”

“จะคิดซะว่าเอิ้นไม่ได้ด่าเสือนะ”

“เรียกกันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย น่ารักดี”

“เสือกับเอิ้นอะนะ”

“อื้อ เอิ้นชอบ เหมือนเป็นแฟนกันเลย”

“ถามจริงๆ นะเอิ้น จริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน”

“มาก” ยิ่งอีกฝ่ายตอบอย่างไม่คิดอะไรผมก็ยิ่งคิดมาก ถามว่ารักไหม ตอนนี้หัวใจของผมก็คงบอกว่ารัก แต่ก็เหมือนกับว่ามีบางอย่างค้างคาให้ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนี้

อาจจะเพราะเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงรู้สึกว่าเรื่องความรักของเรามันยากจัง

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่เสียใจเหรอ”

“คงเสียใจมากกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยตอนที่ยังมีโอกาส”

“ถ้าเกิดมันไม่เป็นอย่างที่คิดล่ะ”

“เอิ้นไม่เคยจินตนาการว่าเสือจะเป็นแฟนแบบไหน เอิ้นคิดแค่ว่าถ้ามีเสืออยู่ข้างๆ เอิ้นคงมีความสุข แต่คงดีกว่าถ้าเสือก็มีความสุขที่มีเอิ้นอยู่ข้างๆ เหมือนกัน”

“…”

“ไม่ต้องกังวล ถ้าเสืออยากให้เอิ้นเป็นคนรัก คนรู้ใจ หรือแค่อยากให้เป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าเสืออยากให้เอิ้นเป็นอะไรเอิ้นก็เป็นให้ได้ทั้งนั้นแค่เสือมีความสุขก็พอ”

ผมวางสายตาไว้บนใบหน้าเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่น พลิกฝ่ามือเป็นฝ่ายจับมือเขาไว้ ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ให้ห่างกันเพียงคืบ ผมซาบซึ้งกับความรักที่ได้รับมาก ก้อนเนื้อในอกซ้ายที่กำลังเต้นตุบๆ ให้คำตอบแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรในตอนนี้

“จะซึ้งเกินไปแล้วนะ แต่ก็ขอบคุณนะเอิ้น”

ผมแทนคำขอบคุณทั้งหมดด้วยรอยยิ้มก่อนจะมอบจุมพิตลงบนเรียวปากของอีกฝ่ายแผ่วเบา

“อุตส่าห์ห้ามใจแต่เสือกลับทำแบบนี้แล้วเอิ้นต้องทำยังไงต่อล่ะ”

“แล้วอยากทำอะไร”

“อยากจูบมากกว่านี้” หน้าผากถูกแนบลงมา “อยากกอดมากกว่านี้” ร่างของผมถูกกระชับกอดจนร่างแทบจะเกยไปบนตัก

“ก็ทำสิ” ผมหลับตาลงรอคอยจุมพิตที่กำลังจะเกิดขึ้น หากริมฝีปากนุ่มและจมูกกลับฝังลงบนแก้มก่อนเสียงกระซิบจะดังขึ้นใกล้ๆ

“อยากจูบทั้งตัว ทำได้มั้ย”

“ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปส่งพี่สิงห์”

“หลังจากส่งพี่สิงห์ล่ะ”

“มะรืนนี้ต้องไปทำงาน” ผมตอบอย่างเย็นชาให้อีกฝ่ายหน้าบูดบึ้ง

“ใจแข็งตลอด” และตัดพ้อ

“ใจหื่นตลอด”

“ก็หื่นเฉพาะกับเสือ”

“ควรดีใจมั้ย”

“คิดว่าควรดีใจนะ”

“หมกมุ่นว่ะ"

คนถูกหาว่าหมกมุ่นหัวเราะร่วน ผมอาศัยจังหวะนั้นทิ้งตัวลงบนโซฟาโดยวางศีรษะลงบนหน้าขาของคนที่ตอนนี้หยุดหัวเราะแล้ว

“อ้อนเหรอ” นิ้วเรียวสอดผ่านเข้ามาในกลุ่มเส้นผมของผม ลูบไล้และเล่นกับมันส่งผลให้ผมรู้สึกเคลิ้มๆ

“เล่าให้ฟังบ้างสิว่าหลังจากย้ายโรงเรียนไปเป็นยังไงบ้าง”

“อยากฟังจริงเหรอยาวนะ”

“อือ” ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วยื่นมือไปลูบปลายคางที่อยู่ระดับสายตาก่อนจะไล้ไปตามกรอบหน้าแล้วหยุดที่ปลายจมูกโด่งได้รูป “จมูกเอิ้นสวยจัง ไปทำที่ไหนมา”

“ไม่ได้ทำ นี่ของจริง ลองกัดดูมั้ย โอ้ย!!”

คนจมูกสวยร้องลั่นเมื่อถูกผมบีบจมูกแรงๆ

“เจ็บเหรอ”

“เจ็บสิ ลองมั้ยล่ะ” มือที่เคยลูบไล้เส้นผมย้ายมาบีบจมูกผมเบาๆ

“เรียนจบอะไรมาเหรอ” ผมจับมือที่ลูบจมูกผมไม่หยุดเอาไว้แล้วพามากอบกุมกันไว้ที่แผ่นอก จ้องมองคนที่ก้มหน้าลงมาคุยกับผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“เอิ้นเหรอ”

“คุยกับหมาอยู่มั้งเนี่ย”

“พูดไม่เพราะ เดี๋ยวก็จูบอีกซะหรอก”

“ก็จูบสิ”

“ชอบเหรอ”

“ก็ไม่เลวนะ”

“ยิ่งนับวันยิ่งน่ารักนะเราอะ”

“น่ารักได้กว่านี้อีก แต่ว่าช่วยตอบคำถามก่อนได้มั้ย”

“เอิ้นจบบริหาร”

“จบบริหารเหมือนกันเลย แต่เกรดโคตรง่อย ตอนแรกคิดว่าจะเรียนไม่จบด้วยซ้ำ”

“เอิ้นจบเกียรตินิยมนะ”

“เก่งครับ แล้วทำไมไม่เรียนอะไรที่มันเกี่ยวกับอาหารล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนเลือกคณะเอิ้นคิดแค่ว่าต้องเรียนอะไรก็ได้ที่เราจะเอาไปใช้ได้จริง และบริหารมันก็ใกล้ตัวเรามากๆ” ครอบครัวเอิ้นทำธุรกิจ “แล้วเสือ ทำไมเลือกเรียนบริหาร”

“เพราะคิดว่ามันจะหางานทำง่ายล่ะมั้ง”

“ความฝันล่าสุดคืออะไร สิ่งที่เสืออยากจะทำน่ะ”

“ไม่รู้สิ ไม่ฝันมานานแล้ว”

“ต่อจากนี้ฝันได้มั้ย”

“ฝันอะไร”

“ฝันอะไรก็ได้ที่มีเอิ้นอยู่ข้างๆ”

“ไม่ต้องฝันแล้วมั้ง นี่ก็อยู่ข้างจนนึกว่าเป็นฝาแฝดแล้วเนี่ย”

“ก็ดีนะ จะได้อยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงเลย”

“น่าเบื่อจะตาย วันโน้นที่เจอคุณลลิน เธอบอกว่าที่เอิ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก็เพื่อเสือเหรอ แล้วเธอยังบอกอีกว่าเอิ้นพูดถึงเสือบ่อยมากแถมมีรูปให้ดูด้วย ไปเอารูปมาจากไหนวะโคตรสงสัยอะ”

“พี่สิงห์ส่งให้พี่สาวเอิ้นน่ะ”

“ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่มึง”

“เรียกใครมึง”

“เรื่องที่เอิ้นชอบเสือ”

“ก็ไม่เห็นว่าอะไร จริงๆ แล้วครอบครัวเอิ้นค่อนข้างจะให้เสรีต่อการคิดและตัดสินใจของพวกเรา ขอแค่อย่างเดียวคืออย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน”

“ดีจัง” 

อีกครั้งที่ผมรู้สึกอิจฉา ไม่ใช่ว่าเจ๊ศรีไม่ตามใจผมนะ ถึงจะไม่บ่อยแต่ก็มีบ้าง แต่ละครอบครัวมีวิธีการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจ คงดีมากถ้าหากเจ๊ยอมรับการตัดสินใจของผมในครั้งนี้




[- T B C -]

เสือกับเอิ้นมั้ยล่ะ
ตอนนี้อาจจะยังดูขัดๆ กับการที่เจ้าเสือแทนตัวเองด้วยชื่อ
ซักพักค่ะ ให้เวลาหน่อย เดี๋ยวก็ชิน
อย่าว่างั้นงี้ ขนาดนี่เขียนเองยังรู้สึกขัดเลย แต่ตอนหลังจากนี้ก็ชินแล้ว เราชินแล้วล่ะ

ตอนที่แล้วเรื่องเงินทอน 10 บาทของเจ้าเสือถูกพูดถึงเยอะเลย
555 ก็ตลกดีค่ะ

เจอกันตอนหน้า สัปดาห์หน้า
ก่อนปีใหม่น่าจะได้อ่านกันอีก 2 ตอนล่ะ

รักเหมือนเดิม ขอบคุณทุกๆ การติดตามค่ะ
แจ๊ส
 :กอด1:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อร๊ายยย.  รู้สึกดีต่อใจ. อิอิ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เสือไม่ใจอ่อนเลย ได้กินแค่ตอนเมา 555555555

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
เสือคือใคร เห็นแต่แมวขี้อ้อน~ :hao7:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขัดใจเอิ้นยังไงไม่รู้ เหมือนไม่ค่อยชอบบุคคลิกเอิ้นเท่าไหร่ เป็นพระเอกที่ทำเราขัดใจ 55555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
แหมๆ เสือน้อยอ้อนๆแบบน่าจับ... อ่ะ  :m3:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 20 {ความจริง}



พวกเราไปส่งพี่สิงห์กับพี่สะใภ้ในวันถัดมา ไอ้คนขี้ประจบอาสาขับรถไปส่งถึงสนามบินและเจ๊ก็ยินยอมพร้อมใจเสียเหลือเกิน เมื่อคนรักเสือมารวมตัวกันบทสนทนาระหว่างทางส่วนมากจึงเป็นเรื่องของผม

ก็แมนดี นินทากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ได้ด้วย

กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก เจ๊ศรีคนดีก็เลยถือโอกาสชักศึกเข้าหาไอ้เสือด้วยการชวนไอ้เอิ้นนอนบ้าน แต่คงเพราะความเหนื่อยสะสมล่ะมั้งครับพอหัวถึงหมอนก็ไปเฝ้าพระอินทร์ทันที ก็ดีครับ ดีกว่าต้องนอนระแวงว่ามันจะลุกขึ้นมาปล้ำทั้งคืน

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่เจอคนที่นอนอยู่ข้างๆ มาทั้งคืนแล้ว

ผมออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าที่ห่างหายจากมันไปนานกว่า 3 เดือน พร้อมข้าวกล่องในถุงผ้าสีชมพูที่เจ๊ศรีเตรียมไว้ให้ ผมกระชับมันไว้ในมือก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์ที่วันนี้อาสาไปส่งฟรีเพื่อฉลองการกลับไปทำงานอีกครั้งของผม

ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็พอๆ กับตอนที่เริ่มงานใหม่เมื่อ 5 ปีก่อน แต่เป็นความตื่นเต้นที่แตกต่าง

ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความกังวล ถ้าเกิดเปิดประตูเข้าไปแล้วไม่เจอน้องดาวล่ะ ผมกลัวความจริงเรื่องนั้นมากจนจิตตก

“คุณเสือกลับมาแล้วเหรอคะ”

เมื่อก้าวเข้าไปในออฟฟิศเสียงเจื้อยแจ้วที่ฟังดูสดใสเป็นพิเศษก็ดังขึ้นทักทาย ผมยิ้มให้เจ้าของเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ หยุดทักทายนิดหน่อยแล้วจึงก้าวเข้าไปด้านใน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งแรกที่ผมจับจ้องคือโต๊ะของน้องดาวที่อยู่ข้างกวินและความกลัวของผมก็เหมือนจะเป็นจริงเมื่อพบว่าโต๊ะตัวนั้นว่างเปล่า

“ดาวยังไม่มาเหรอวิน”

“หลังๆ มานี้น้องมันมาทำงานสายประจำแหละพี่”

“งั้นเหรอ” ขอให้เป็นเพียงแค่การมาสายจริงๆ เถอะ

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“เปล่า” ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งสบายผิดปกติ เมื่อลองสังเกตดูก็พบว่ามันเป็นเก้าอี้ใหม่ และของใหม่ที่ผมได้รับก็ไม่ใช่แค่เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องเก่ากลายเป็นโน้ตบุ๊กตัวใหม่แล้ว

“อิจฉาพี่เสือว่ะ ได้ของใหม่ยกชุดเลย”

“เอาไหมล่ะ พี่ยกให้” ทั้งที่เมื่อก่อนผมอยากได้นู่นนี่ใหม่ตลอดแต่เมื่อเขาเปลี่ยนให้กลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด

แต่ในเมื่อเขาให้แล้วก็ต้องใช้ใช่ไหมล่ะ

อีเมล์นับ 100 ฉบับค้างอยู่ในกล่องจดหมาย ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก็พบว่าส่วนมากเป็นอีเมล์จากลูกค้าแต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับอีเมล์ฉบับล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามาเมื่อคืนนี้

Darika_P0102@gmaill.com

ชื่ออีเมล์ไม่คุ้นตาแต่ชื่อคนที่ปรากฏทำให้รีบกดเปิดข้อความแทบจะทันที




พี่เสือ
ตอนที่อ่านอีเมล์นี้พี่เสือคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว โกรธดาวใช่มั้ยล่ะคะ พี่เสือจะเกลียดดาวก็ได้เพราะสิ่งที่ดาวทำมันผิดต่อพี่เสือมาก มากเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย แต่ดาวก็ยังอยากขอโทษพี่เสืออยู่ดีค่ะ ดาวขอโทษนะคะ ดาวไม่อยากเป็นแค่พนักงานบริษัทตัวเล็กๆ อีกแล้ว แฟนดาวกำลังจะเปิดบริษัทของตัวเอง ดาวอยากมีอนาคตที่ดีค่ะ พี่เสือไม่ต้องให้อภัยดาวก็ได้แต่ช่วยรับคำขอโทษนี้ไว้นะคะ
ดาว




ข้อความสั้นๆ บอกเรื่องราวทั้งหมดได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผมผุดลุกจากเก้าอี้อย่างที่ทุกคนซึ่งกำลังนั่งเคลียร์งานเงยหน้าขึ้นมามองอย่างพร้อมเพรียง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

สองเท้าก้าวเดินไปยังห้องของคนเป็นผู้จัดการ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเจ้าของห้องซึ่งนั่งมองมายังประตูราวกับรู้ว่าผมกำลังจะมา

“เอิ้นได้รับจดหมายลาออกจากคุณดาว”

“ได้รับอีเมล์เหมือนกัน” ผมบอกเมื่อนั่งลงตรงข้าม

“ไหวมั้ย”

“ผิดหวังว่ะ”

“อื้อ” ตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะเลี่ยงไป “เดี๋ยวเอิ้นต้องรายงานเรื่องนี้”

“น้องจะโดนอะไรบ้างวะ”

“ลักลอบนำเอกสารสำคัญไปเผยแพร่ก็โทษหนักอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ทางคณะกรรมการจะพิจารณาตัดสิน อาจจะถึงขั้นโดนแบล็คลิสต์”

“จากบริษัทเราที่เดียวเหรอ”

“ไม่รู้สิ ไม่แน่ว่าคณะกรรมการอาจจะเผยแพร่เรื่องนี้ให้กับกลุ่มธุรกิจสายเดียวกับเราเพื่อเป็นบุคคลพึงระวัง”

“แล้วเอกสารสำคัญที่ว่ามันคืออะไรบ้างวะ”

“พวกสัญญาจ้าง กฎระเบียบ รูปแบบรายงาน และเอกสารอื่นๆ ที่ไม่ควรจะนำออกไปเผยแพร่ให้คนนอกรับทราบ”

“ไม่น่าเลยเนอะ มีทางอีกตั้งมากมายที่จะพาเราไปสู่อนาคตที่ดี น้องดาวมีความสามารถ ไม่น่าเลือกทางนี้เลย”

“ก็เหมือนเวลาเราขับรถ ทางตรงอาจจะขับรถง่าย สะดวก สบาย มีเพื่อนร่วมทางต่างกับทางลัดที่ถึงแม้อาจจะเสี่ยงหน่อยแต่ถ้ามันทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า บางคนก็เลือกที่จะเสี่ยง เหมือนคุณดาว”

“คนเราเนี่ยมองแค่ภายนอกไม่ได้เลยนะ”

“ใช่ เหมือนเสือ ดูภายนอกโคตรถ่อยแต่ภายในโคตรน่ารัก ขาวด้วย”

“ไอ้เชี่ยเอิ้น มึงนี่แม่ง...”

“มึงที่เสือพูดถึงนี่ใครเหรอ ไม่ใช่พี่เอิ้นใช่มั้ยครับ” เกลียดมัน เกลียดสายตากรุ้มกริ่มของมันที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง “เย็นนี้เสือว่างมั้ย”

“ว่างมั้ง ทำไมเหรอ”

“ไปที่นึงด้วยกันหน่อยสิ”

ผมไม่ตอบอะไร และการไม่ตอบอะไรก็ทำให้อีกฝ่ายฟันธงไปแล้วว่าผมตกลง ก็ไม่เชิงหรอก อย่างไรดีล่ะ ไปก็ไปแหละ

เรื่องของน้องดาวยังคงกวนใจผมอยู่ทั้งวันถึงแม้ว่าตอนเย็นจะมีอีเมล์ชี้แจ้งเรื่องการพักงานของผมและการลาออกอย่างกะทันหันของน้องดาวถึงทุกคนก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นบางอย่างยังคงกวนใจของผม ความรู้สึกเหมือนเศษแก้วเล็กๆ ติดอยู่ที่มือ ถูกมันทิ่มแทงให้รู้สึกเจ็บนิดๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่สามารถดึงมันออกไปได้

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะพี่เสือ เสียดายด้วย น้องมันทำงานโคตรดีแต่ไม่น่าฆ่าตัวเองด้วยการทำแบบนี้เลย”

กวินยังพูดซ้ำๆ ว่าเสียดาย ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวจะหาคนที่เก่งกว่าน้องดาวมาช่วย”

“พูดจริงๆ นะพี่ เก่งไม่เก่งผมไม่เกี่ยง ผมอยากได้คนที่พร้อมจะรับฟัง พร้อมจะเรียนรู้ กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ผมอยากได้เพื่อนร่วมงาน”

“โตขึ้นเยอะเลยนะมึงอะ วินทำให้พี่โคตรภูมิใจเลยว่ะ”

“ภูมิใจที่ผมเก่งอะนะ”

“เปล่า ภูมิใจที่เลือกคนไม่ผิดไง”

“ผมก็ภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับพี่เสือ”

“ยอกันไปยอกันมาเนอะ 6 โมงแล้วไม่กลับบ้านเหรอวะ”

“เออพี่ ลืมไปเลยว่ะ เย็นนี้มีเลี้ยงสายรหัส ไปนะ”

“อือ”

“พี่เสือ ฝากปิดเครื่องด้วยสิ”

ไม่รอให้ตอบรับ เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าจอค้างเอาไว้ก็วิ่งหายไปซะแล้ว ผมลุกจากเก้าอี้ของตนเองแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของกวิน วางมือขวาลงบนเม้าส์แล้วลากเคอร์เซอร์ไปยังทูลบาร์ด้านล่าง ลองเปิดรายงานขึ้นมาไฟล์หนึ่งแล้วไล่สายตาดูตัวเลขยอดขาย

“ทำอะไรน่ะเสือ” เจ้าของเสียงหยุดลงข้างๆ

“กำลังจะปิดเครื่อง”

“ยอดขายเดือนสุดท้ายดีมั้ย”

“เหมือนจะดีมั้ง”

“ขอเอิ้นดูหน่อย”

เจ้าของชื่อขยับเข้ามาใกล้อีกจนไหล่แกร่งในเสื้อสูทชนกับไหล่ของผม แขนข้างขวาสอดผ่านด้านหน้าของผมก่อนจะวางมือลงบนมือของผมบนเม้าส์ ครั้นพอจะดึงออกก็ถูกกดเอาไว้ก่อนไอ้คนร้ายกาจจะหันมายักคิ้วให้

“ยอดขายดีเหมือนกันนะ คุณปรีชาต้องเสียดายทีมเราแน่ๆ เสือว่ามั้ย”

“ช่วยไม่ได้อยากหูเบาเอง”

“ไปกันยัง”

“ไปสิ” ผมว่าแล้วกดชัทดาวน์ “ว่าแต่จะไปไหน”

“ไปดูร้านกัน”

“ร้าน? ร้านอะไร”

“ร้านอาหารของเอิ้นไง วันนี้ช่างเข้าไปตกแต่งวันแรก เอิ้นอยากให้เสือไปดูด้วยกัน”



▼▲ ▼▲ ▼



รถยนต์วิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยดีจนต้องเอ่ยปากถามหลังจากเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนเพลงที่กำลังดังให้บรรยากาศเงียบเชียบเปลี่ยนเป็นเพลิดเพลิน

“นี่มันทางกลับบ้านนี่” พวงมาลัยถูกหมุนบังคับให้รถเลี้ยวซ้าย

“ร้านอยู่ใกล้ๆ บ้านเสือ” ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง

อย่าบอกว่าอยู่ใกล้เลย ระบุตำแหน่งว่าอยู่หน้าปากซอยบ้านผมเลยดีกว่า ระยะห่างจากร้านไปบ้านผมไม่เกิน 500 เมตร เป็นการเลือกทำเลร้านเหมือนกับจงใจมาอยู่ใกล้ๆ กัน

อาคารพาณิชย์ 4 ชั้นจำนวน 2 คูหาที่เมื่อหลายเดือนก่อนยังมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่สีหลุดร่อนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปปีแล้วปีเล่า บัดนี้ถูกเสกสรรให้กลายสภาพเป็นตึกสีขาวสะอาด พื้นที่ด้านหน้าที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ถูกเติมเต็มด้วยโต๊ะเก้าอี้จำนวนหลายชุด ถัดไปด้านหลังตรงกำแพงมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษขนาดใหญ่สีดำติดเอาไว้ว่า ‘SIT HERE’ ถัดลงมาเป็นตัวหนังสือภาษาไทยที่ใช้ฟอนต์เล็กลงมาหน่อยว่า ‘เชิญนั่ง’

“นั่นชื่อร้านเหรอ”

“เก๋มั้ย”

“ติดหูดีนะ”

“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

อาจเพราะเพิ่งเริ่มตกแต่งภายใน ข้าวของต่างๆ จึงยังคงถูกวางไว้อย่างระเกะระกะ มองไม่ค่อยออกว่าร้านที่ตกแต่งเสร็จแล้วจะออกมาเป็นแบบไหน

“ร้านยังไม่เสร็จดีเลย ข้างนอกนั่นวางเก้าอี้ทำไม”

“คนเดินผ่านไปมาจะได้นั่งไง”

“กลยุทธ์ทางการตลาดเหรอ”

“เปล่า หล่อด้วยมีน้ำใจด้วย”

“เหรอ”

“มีแฟนหล่อ ไม่ภูมิใจเหรอ”

“ใครแฟน แล้วพามาทำไมวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“เสือชอบกินสปาเก็ตตี้มั้ย”

“จะทำเหรอ”

“ก็กะว่าอย่างนั้น”

“เอาสิ”

ผมเดินตามว่าที่เจ้าของร้านอาหารคนใหม่เข้าไปในครัวที่มีสภาพพร้อมใช้งาน ยืนมองแล้วก็นึกสงสัยจนอีกฝ่ายเฉลยให้ฟัง

“เอิ้นมาฝึกบ่อยๆ น่ะ ครัวก็เลยพร้อมใช้งานแบบนี้ไง”

“งั้นก็แปลว่าเริ่มทำมานานแล้วน่ะสิ”

“ก็ตั้งแต่วันที่เสือเจอลลินที่ห้องเอิ้น”

“คุณลลินเป็นหุ้นส่วนเหรอ” คนที่กำลังหยิบของออกจากตู้เย็นอย่างคล่องแคล่วเอี้ยวตัวมองผม ยิ้มแล้วส่งกล่องพลาสติกใบหนึ่งมาให้

“ลลินเป็นแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจแต่เสือเป็นหุ้นส่วนหัวใจ” เหมือนไอ้เจ้าของร้านอาหารรู้ว่าพูดแบบไหนแล้วทำให้ผมเขินอายได้ ครับ ใบหน้าผมนี่เห่อร้อนลามไปถึงลำคอแล้ว

พักหลังมานี้ทุกการของกระทำของไอ้เอิ้นทำผมเขินไปหมด

“รีบทำอาหารเถอะ เดี๋ยวเสือออกไปจัดโต๊ะ”

“ไม่อยู่ช่วยกันก่อนเหรอ”

ถ้าขืนยังอยู่ในครัวมีหวังได้กินขนมครกแทนสปาเก็ตตี้แน่ๆ หยอดกูไม่มีพักมีผ่อนเลย

ผมนั่งลงบนเก้าอี้หลังจากที่ลากมันออกมาตั้งไว้ในบริเวณที่โล่งที่สุด ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นสปาเก็ตตี้ที่หน้าตาน่ากินมาทีเดียว

“กินได้จริงเหรอ” ผมลองเอาส้อมเขี่ยเส้นเมื่อถาม ก็รู้หรอกว่ามันกินได้ก็แค่แซวเล่น บางทีเสือก็มีอารมณ์ขี้เล่นบ้างเหมือนกัน

“ไม่ใช่แค่กินได้นะ อร่อยเลยแหละ”

“มีความมั่นใจสูงมาก แล้วถ้าไม่อร่อยให้ตีป่ะ”

“ก็ได้ แต่ถ้าอร่อยเสือให้เอิ้นจูบป่ะ”

“ไม่” ผมปฏิเสธให้คนตรงหน้าขำ สายตาที่มองผมยังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดูเช่นเดิม ผมชอบนะ มองตาไอ้เอิ้นแล้วรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวเสือกินไปก่อนเลย เอิ้นไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ”

สปาเก็ตตี้ร้านเชิญนั่งอร่อยมากครับ คำแรกที่ลิ้นสัมผัสให้ความรู้สึกเหมือนตัวกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งอาจจะเป็นที่มาของคำว่าอร่อยเหาะ

“เสือ”

“หืม” ผมขานรับแล้วแหงนหน้ามองต้นเสียงทั้งที่เส้นสปาเก็ตตี้ยังคาอยู่ที่ปาก ยังไม่ทันได้เห็นหน้าคนเรียกสัมผัสนุ่มหยุ่นก็ประทับลงบนแก้มจนเกิดเสียงดังจุ๊บ

ไอ้เอิ้นแม่งฉวยโอกาสจูบแก้มผมเฉยเลย

พอถอนริมฝีปากออกก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเองทำหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นปล่อยให้ผมนั่งคาบเส้นสปาเก็ตตี้อึ้งกิมกี่อยู่ลำพัง

“กินเลอะ เป็นเด็กหรือไงฮะ”

สติยังไม่ทันกลับมาก็ถูกจู่โจมอีกครั้งด้วยนิ้วเรียวที่ปาดลงบนเรียวปากของผมแผ่วเบาราวกับยั่วเย้า

“ใจเต้นแรงเลยล่ะสิ”

“ก็งั้นๆ แหละ” ใครจะกล้ายอมรับว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกล่ะ เสียฟอร์มหมดสิ

“เรากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันได้มั้ย”

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเจ๊ศรีงอน”

“ก็กินที่บ้านเสือบ้างแล้วก็กินที่บ้านเอิ้นบ้างไง สลับกัน เอิ้นอยากกินข้าวกับเสือทุกวันเลย”

“บางวันก็อยากไปกินเหล้ากับพวกไอ้วินเหมือนกันนะ”

“เสือไม่อยากกินข้าวกับเอิ้นทุกวันเหรอ”

“ไม่อะ ถ้ากินข้าวด้วยกันทุกวันก็ไม่มีเวลาให้คิดถึงกันสิ” ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งถูกแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง

“ลึกซึ้งนะเนี่ยแฟนใครก็ไม่รู้”

“หยุดเลย” ผมยกมือขึ้นดันใบหน้าคนที่ตั้งท่าจะโน้มเข้ามาหาก่อนจะออกแรงดันให้ถอยไปจุดเดิม “แล้วเปิดร้านเมื่อไหร่วะ”

“ต้นเดือนหน้า นี่เอิ้นยื่นใบลาออกแล้วนะ”

“มั่นใจแล้วเหรอว่าจะออกมาทำเต็มตัว ทำไมไม่ทำงานไปด้วยแล้วก็ดูแลร้านไปด้วยล่ะ”

“เอิ้นไม่อยากจับปลาสองมือ”

“แต่มันเสี่ยงนะ ถ้าเกิด...”

“ถ้าสุดท้ายมันจะไปไม่รอดอย่างน้อยเอิ้นก็ภูมิใจที่เอิ้นได้ทุ่มเททำมันด้วยแรงของตัวเอง เอิ้นรู้ว่าเสือเป็นห่วง ช่วยอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เอิ้นนะ”

“สปาเก็ตตี้อร่อยขนาดนี้ ใครไม่ได้มากินต้องเสียดายไปทั้งชาติแน่ๆ เดี๋ยวช่วยเขียนรีวิวลงเว็บไซต์ดีกว่าเนอะ”

“ขอบคุณนะเสือ”

“ไม่ต้องมาทำซึ้งหรอก เราเป็นอะไรกันล่ะ ถ้าไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย ว่าแต่ใครจะขึ้นเป็นผู้จัดการคนใหม่ หรือย้ายมาจากที่อื่น”

“เอิ้นไม่รู้ แล้วเสือล่ะตัดสินใจจะทำงานต่อใช่มั้ย”

“จนกว่าจะมั่นใจว่ากวินแข็งแกร่งพอที่จะทำงานด้วยตัวเองได้ ที่จริงก็ไม่อยากอยู่ต่อหรอก เบื่อว่ะแต่ก็ทิ้งน้องมันไม่ได้”

“เอิ้นจะช่วยกำชับ HR ให้รีบหาคนนะ”

“อือ รอบนี้ตอนสัมภาษณ์ขอให้กวินเข้าด้วยนะ”

“เอาสิ คนที่เรารับมาต้องทำงานร่วมกับวินอยู่แล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”



▼▲ ▼▲ ▼



1 เดือนผ่านไปเร็วมาก ทำงานไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่ 31 มกราคมซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำงานของผู้จัดการคนปัจจุบันแล้ว

พอเลิกงานปุ๊บพวกเราก็เฮโลกันมาที่ร้านเหล้าของเพื่อนไอ้วินทันที

“คุณเอิ้นครับ ร้องเพลงให้เราฟังซักเพลงนะครับ” หลังจากเสียงเพลงจากพี่ประชาสัมพันธ์จบลง กวินซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรวันนี้ก็เรียกชื่อว่าที่อดีตผู้จัดการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที

คนถูกเรียกมองหน้าผม ลังเลที่จะขึ้นไป แน่สิ ไอ้เอิ้นร้องเพลงได้ที่ไหนล่ะ

“ผมร้องเพลงไม่เป็นครับ ส่งเสือขึ้นไปร้องแทนได้มั้ย”

ผมร้องอ้าวเมื่ออยู่ๆ งานก็เข้า และแทนที่ไอ้พิธีการจะเล้าหลือต่อ ไม่เลยครับ กวักมือเรียกผมยิกๆ แถมคนที่นั่งด้านหน้าเวทีก็ส่งเสียงกดดันให้รีบขึ้นไปข้างบนนั้นอีก โดนขนาดนี้มีหรือที่เสือจะปฏิเสธได้ลงคอ

เมื่อผมลุก ไอ้คนข้างๆ ก็ลุกด้วย พอผมเดินตรงไปยังเวทีมันก็ยังคงเดินตามมา คำถามคือ

“ตามมาทำไม”

“ก็กวินเรียกเอิ้น”

“ก็เขาเรียกเสือแล้ว เอิ้นจะตามมาทำไมอะ”

“ก็กวินเรียกเอิ้น” อะไรของมัน ยังเถียงกันไม่ทันจบเรื่องก็เดินมาถึงเวทีซะแล้ว

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อเราทั้งคู่ปรากฏตัวบนเวทีให้รู้สึกเขินนิดหน่อย

“กล่าวอะไรซักหน่อยมั้ยครับคุณเอิ้น”

“ได้ครับ”

ว่าที่อดีตผู้จัดการรับไมค์มา เขากวาดสายตามองว่าที่อดีตเพื่อนร่วมงามแล้วยิ้ม

“ต้องบอกว่าที่เรายังคงยืนหยัดกันอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความร่วมมือของทุกคน ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอาจจะทำให้การเติบโตของยอดขายน้อยกว่าในทุกๆ ปี”

เอิ้นถอนหายใจ

“ตอนที่ผมถูกย้ายมาที่นี่ ทุกคนคงไม่รู้ว่าผมถูกย้ายพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง ผมได้รับโจทย์มาว่าต้องกระตุ้นยอดขายให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้นจากปีทีแล้วไม่ต่ำกว่า 10% ดูข่าวเศรษฐกิจแล้วก็หนักใจครับ แต่ยังไงก็ต้องมา เพราะอยากเจอใครซักคน”

ท้ายประโยคดวงตาคมที่แฝงด้วยความสุขเหลือบมองมายังผมให้รู้ว่าใครคนนั้นคือเสือเอง

“ถ้ากำไรน้อยกว่า 10% จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณเอิ้น หรือว่าเพราะกำไรเราไม่ถึง 10% คุณเอิ้นถึงต้องลาออก”

“ไม่ใช่ครับ” คนถูกถามส่ายหน้า “ถ้ากำไรไม่ถึง 10% สำนักงานใหญ่มีนโยบายจะปิดบริษัทที่ไทย”

เสียงอื้ออึงดังขึ้นทันทีที่จบประโยค มือหนายกขึ้นกลางอากาศเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบเสียง

“น่าเสียดายที่ปีนี้กำไรของเราเพิ่มขึ้นเพียง 9% อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้แต่ก็ยังเป็นผลประกอบการที่ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายนัก บริษัทยังคงมีการเติบโตเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันในประเทศนี้ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนตั้งใจทำงานกันต่อไปครับ เราก็เหมือนเรือนะ ถ้าเราช่วยกันพายสุดท้ายเราก็ถึงฝั่ง”

รอยยิ้มอ่อนโยนถูกแจกจ่ายไปทั่วทั้งร้าน

“ผมดีใจครับที่ชีวิตพนักงานออฟฟิศของผมจบลงที่นี่ มันเป็นความภาคภูมิใจที่อย่างน้อยช่วงหนึ่งของชีวิตถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็ได้ทำงานกับคนที่มีประสิทธิภาพกลุ่มหนึ่ง ขอบคุณที่ถึงแม้บางครั้งจะท้อแต่คุณก็ลุกขึ้นมา ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ทั้งหมดครับ ขอบคุณจริงๆ พวกคุณสุดยอดมาก”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ดังกว่าครั้งก่อนซัก 10 เท่าได้ หลายคนถึงกับลุกขึ้นปรบมือเลยทีเดียว แปลกนะ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ปรบมือให้ผมซักหน่อยแต่ผมกลับรู้สึกปลาบปลื้ม แล้วเจ้าของเสียงปรบมือที่แท้จริงล่ะจะปลาบปลื้มซักแค่ไหนกันนะ

“เอาล่ะ วันนี้ผมมีเพลงมอบให้ทุกคนแต่ว่าผมร้องเพลงไม่ได้ เสียงมันแย่มากครับก็เลยจะฝากเสือร้อง ขอดนตรีครับ”

หันไปบอกนักดนตรีแล้วจึงก้มลงมากระซิบบอกชื่อเพลงที่ข้างหูของผม

เพลง ‘คนข้างๆ’ ที่ถูกขับร้องโดยผมอาจจะไม่เหมือนต้นฉบับสักเท่าไหร่แต่การที่ทุกคนโบกมือไปตามจังหวะเพลงก็ทำให้รู้สึกดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ต้องยกความดีความชอบให้คนเลือกเพลงนั่นแหละครับ อยากรู้เหมือนกันว่ามันเลือกเพลงมาจากบ้านหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องยอมรับว่าเอิ้นเป็นคนที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยมมากทีเดียว

“พี่เสือของเรานอกจากทำงานเก่งแล้วยังร้องเพลงเพราะมากๆ เลยครับ ทำไมเป็นคนเพอร์เฟคขนาดนี้ครับเนี่ย”

ต้องตอบด้วยเหรอ แม้จะไม่ค่อยมั่นใจแต่ผมก็เอาไมค์มาจ่อปาก

“หล่อด้วย ทำงานเก่งด้วย ร้องเพลงเพราะด้วย แต่จนครับรับเลี้ยงได้นะ”

“เอิ้นรับเลี้ยงครับ”

เสียงกรี๊ดที่ผมเคยฟังแล้วรู้สึกดีบัดนี้กลับทำให้ผมอยากแทรกแผ่นดินหนี มาหยอดอะไรต่อหน้าสาธารณะชนวะ ตัวเองลาออกไปแล้วก็พูดได้สิ แต่ผมเนี่ยต้องทำงานกับคนเหล่านี้ต่อนะไม่คิดว่าผมจะอายบ้างเหรอ

“ใครบางคนที่คุณเอิ้นอยากจะมาเจอก่อนตัดสินใจย้ายมาที่นี่คือพี่เสือเหรอครับ”

“ใช่ครับ เสือเป็นเพื่อนคนพิเศษ และผมก็มีเพลงอยากมอบให้เพื่อนคนพิเศษเหมือนกันแต่ต้องขอให้เขาช่วยร้อง เสือจะช่วยเอิ้นมั้ย”

คือยังไงวะ คือต้องร้องเพลงให้ตัวเองเหรอ มันไม่ดูแปลกเหรอวะ หากยังไม่ทันได้ตอบรับเสียงดนตรีก็ดังขึ้นซะแล้ว ตามมาด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นข้างๆ หูเพื่อบอกชื่อเพลง

“เพลงอะไรนะ ไม่เคยได้ยินชื่อเลย”

“ไม่เอาแล้ว ของ Crazy Adults ที่เอิ้นเปิดในรถตอนที่เรานั่งมาที่นี่ไง”

นี่คนนะไม่ใช่ตู้เพลง สายตาผมบอกมันอย่างนั้น แต่ไอ้เอิ้นก็ยังเล้าหลือให้ร้อง ผมยืนถือไมค์เงยหน้ามองเพดานทบทวนเนื้อเพลงที่เคยผ่านเข้าหูขณะที่ดนตรีเล่นไปแล้วกว่าครึ่งเพลง



“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เป็นแล้ว แค่เพื่อนเธอ
ปล่อยเอาไว้ อาจไม่พ้นฉันต้องเสียใจ
ถ้าบอกรัก บอกว่ารัก เธอจะคิดว่ายังไง
รบกวนเธอ ให้ลองเผยใจ ว่าฉันมีสิทธิ์ไหมเธอ”



ความหมายดีมากๆ อะครับ ร้องไปก็เขินไป คนฟังก็เขิน คนร้องยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ ส่วนคนขอให้ร้องหน้าบานเป็นจานดาวเทียมจนอยากเอาปลาแห้งไปวางบนหน้ามัน

ด้วยความเขินอายที่มีจนแทบจะซึมออกมาทุกรูขุมขนทำให้ผมโยนไมค์ให้ไอ้พิธีกรทันทีเมื่อเพลงจบก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ลงจากเวทีด้วยกลัวว่าจะมีเพลงต่อๆ ไป

พอซักทีเถอะ บรรยากาศหวานเลี่ยนพวกนั้นน่ะ หวานจนเบาหวานถามหาแล้วครับ

นักร้องมือสมัครเล่นผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงขับกล่อมพวกเราจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืน ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นช่วยให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นไปอีก

“เรามาแดนซ์กันดีกว่าทุกโค้นนนน~”

พิธีกรของงานใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี น้ำเสียงเริ่มควบคุมไม่ได้ ถ้าดื่มอีกนิดผมคิดว่ามันต้องล้มพับบนพื้นเวทีแน่ๆ

พอกวินพูดจบเสียงดนตรีจังหวะสนุกๆ ก็ดังขึ้นให้โยกตัวตามจังหวะ ผมไม่ใช่ขาแดนซ์หรอกแต่เมื่อบรรยากาศพาไป หัว ตัวและขาก็เผลอขยับไปตามจังหวะทุกที

“ออกไปเต้นสิ” คนเป็นเจ้าของงานที่วันนี้ดื่มน้อยเป็นพิเศษโน้มใบหน้าเข้ามาบอกผม

“เต้นเป็นที่ไหนล่ะ เอิ้นก็ออกไปเต้นสิ”

“เต้นไม่เป็นเหมือนกัน”

“คุณเอิ้นเชิญทางนี้หน่อยค่ะ” จบประโยคแขนคนที่บอกว่าเต้นไม่เป็นก็ถูกคว้าแล้วดึงให้เดินตามขึ้นไปบนเวที พี่อรคุยอะไรสักอย่างกับเอิ้น ไม่นานเจ้าตัวก็ยอมโยกตัวไปมา ทื่อฉิบหายครับ ผมที่ว่าเต้นไม่เป็นเลยยังโยกตัวได้พลิ้วกว่า

เห็นภาพนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ ถ่ายคลิปเก็บไว้คงดี

ดังนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดถ่ายคลิป ยาวๆ ไปครับ ถ้าเจ้าตัวเห็นว่าตัวเองเต้นยังไงคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ

“เหนื่อยอะ” โยกๆ ไปเพลงเดียวก็กลับมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วบ่น

“เดี๋ยวให้ดูอะไร” ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากดเปิดคลิปแล้วยื่นไปตรงหน้าระดับสายตา

“เฮ้ย! ตลกอะเสือ”

“ใช่มั้ย โคตรตลกแต่ไม่ลบหรอกนะ จะเก็บไว้ดูเวลาเครียด”

“ได้ แค่เอิ้นทำให้เสืออารมณ์ดีได้เอิ้นก็มีความสุขแล้ว”

“คร้าบบบ~ ทำไมวันนี้ดื่มน้อยจัง ดื่มเยอะๆ สิ งานเลี้ยงส่งตัวเองทั้งที”

“เสือก็ดื่มน้อย”

“ก็จะได้ขับรถให้ไง ดื่มเถอะ”

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

เท่านั้นแหละ กระดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่า กว่างานจะจบ กว่าเหล้าจะหมดจากบริษัทที่มีแต่คนก็กลายเป็นบริษัทที่มีแต่หมา นอนเรี่ยราดเต็มพื้นที่ไม่ต่างจากหมาหน้าเซเว่นสักเท่าไหร่เลย


มีต่อ ด้านล่าง :)

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

SPECIAL {เมื่อเอิ้นเมา}



งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

"เสือครับ เสือมานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ"

แว้บไปเข้าห้องน้ำครู่เดียว กลับมาที่โต๊ะก็ไม่เจอคุณเอิ้นแล้ว

ผมเดินตามหาด้วยความเป็นห่วง กระทั่งพบว่า...

เอิ้นกำลังนั่งคุยกับหมาที่หน้าร้าน

ผมจะไม่โกรธและเท้าเอวมองเลยหากมันไม่เรียกเจ้าหมาขนสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาเป็นมิตรตรงหน้านั้นว่า 'เสือ'

เมาจริงหรือแค่หลอกด่าผม ถามใจไอ้เอิ้นดู

"เอิ้น" ผมนั่งลงข้างๆ มองหน้าคนเมา "นั่นหมาไม่ใช่เสือ"

"ไหน หมาที่ไหน นี่เสือ"

"ถ้าไอ้ที่มีหูมีหางนั่นเสือ แล้วนี่ใคร" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเมื่อถาม

คนเมาจ้องหน้าผมมุ่นคิ้วอย่างคนคิดหนักราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักกัน

"คุณเป็นใคร"

พับผ่าสิ นี่เสือไง

"เมาแล้วอะเอิ้น กลับบ้านเถอะ" ผมลุกขึ้นก่อนแล้วดึงแขนอีกคนให้ลุกตาม ถึงจะมีแรงขืนแต่คนเมามีหรือจะสู้คนไม่เมาได้

"เสือช่วยเอิ้นด้วย" ยื่นมือไปให้หมาดมแล้วคร่ำครวญ

"นั่นหมา" ผมบังคับให้อีกฝ่ายหันมามอง "นี่เสือ"

"นี่หมา" หมาเต็มหน้ากูเลย ถ้าไม่ติดว่าเมามีต่อยอะจริงๆ

"เสือ"

"หมา"

เรายืนเถียงกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะยอมแพ้

เถียงกับคนเมาไปก็เท่านั้น เอาไว้สร่างแล้วค่อยเอาคืนทีเดียว

"กลับบ้านกัน"

ไอ้เอิ้นมองหน้าผมสลับกับหมาด้วยความลังเล ท่าทางตอนนี้คุณเขาดูเว้าวอนหมามากอะ

"พาเสือไปด้วยได้มั้ยอะ"

"นั่นหมา"

พอผมย้ำซ้ำๆ อีกฝ่ายก็เริ่มลังเล คนเมาทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าหมาอีกครั้ง จ้องมันแล้วเงยหน้ามองผม ยิ้มแหยแล้วว่า

"ไม่ใช่เสือจริงๆ ด้วยอะ แต่น่ารักเหมือนเสือเลย"

ว่าจบก็ลูบหัวหมา บอกลามันแล้วลุกขึ้นยืนโอนเอน

ผมควรดีใจไหมที่อยู่ๆ ก็น่ารักเหมือนหมา

"เอิ้นจะไปไหน"

"ไปหาเสือ"

ผมพยายามรั้งคนที่เดินโซเซเอาไวเแต่ดื้อไง ดื้อมากด้วย เมื่อรั้งไม่ได้ผมจึงเดินตามไปเงียบๆ




วันนี้ท้องฟ้ามืดผิดปกติ พระจันทร์ลอยเด่น ท้องถนนปราศจากผู้คน ลมเอื่อยๆ พัดผ่านใบหน้าให้ผมที่เซ็ตเป็นทรงเริ่มกลับสู่สภาพปกติ

"เสือ"

ผมเสยผมแล้วมองไปยังคนที่เงยหน้าแล้วชี้ไปยังพระจันทร์

"ไปทำอะไรอยู่บนนั้นอะ ลงมาหาเอิ้นเร้ว"

ไอ้เอิ้นแม่งรั่วว่ะ

"นั่นไม่ใช่เสือ" ผมกอบกุมใบหน้าเขาไว้บังคับให้มองหน้ากัน "เสืออยู่นี่"

"เสือ" ละสายตาจากผมแล้วเดินต่อ

นี่เสือไง เสืออยู่นี่

"เสือทำไมเป็นสีเขียวอะ"

หยุดคุยกับถังขยะเปียกเฉย

"ทำไมไม่คุยกับเอิ้นล่ะ โกรธอะไรครับหืม"

ก้มหน้าลงไปคุยกับถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะทำหน้าแหยแล้วถอยออกมา

"เสืออาบน้ำบ้างนะ ตัวเหม็นมากอะ

มองคนคุยกับถังขยะเปียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือโกรธก่อนดี

ผมส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วก้าวไปยืนข้างๆ

"เหม็นแล้วไม่รักเหรอ"

"รักสิ เอิ้นรักเสือจะตาย" ตอบผมแต่ไม่ละสายตาจากถังขยะตรงหน้า

มองอย่างไรถังขยะเปียกก็ไม่เห็นจะเหมือนเสือตรงไหน เสือออกจะหล่อ ขาว ตัวหอมด้วย ถ้าอาบน้ำอะนะ

"ถ้ารักก็มองดีๆ ว่านั่นใช่เสือจริงๆ หรือเปล่า"

คนเมาจ้องถังขยะตามที่ผมบอก

จ้องอยู่นานเลยครับก่อนจะเงยหน้ามามองผม

"ไม่ใช่เสือนี่นา"

ผมยิ้มเล็กๆ อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติอยู่

"แล้วเสืออยู่ไหน"

"เสือ" เอิ้นจ้องหน้าผม จ้องเหมือนที่จ้องถังขยะเมื่อครู่ก่อนจะชี้นิ้วผ่านไหล่ของผมไป "เสือ"

ร้องเรียกแล้วก็เดินโซเซไปหยุดที่ต้นไม้

เป็นหมา เป็นถังขยะเปียก และก็เป็นต้นไม้

ผมตบหน้าผากตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่กอดต้นไม้แน่น

"ผิวเสือสากจัง"

นั่นมันเปลือกไม้ไงจะละมุนละไมเหมือนผิวคนได้ไงวะ

แม้ความอดทนจะเหลือไม่มากแต่เห็นคนที่กอดต้นไม้แน่นก็อดขำไม่ได้ ผมอมยิ้มแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปถาม

"ผิวสากแล้วชอบป่ะ"

"ไม่อ่ะ"

อะไรวะ ไหนบอกว่ารักเสือ แค่ผิวสากก็เลิกรักกันได้แล้วเหรอ แต่ก่อนที่ผมจะโกรธคนเมาก็ยกยิ้มลอยๆ แล้วว่า

"แต่รัก"

โอเค ไม่โกรธแล้วก็ได้

หลังจากผละจากต้นไม้ เสือก็กลายเป็นของสารพัดสิ่งบนท้องถนน ทั้งเสาไฟฟ้า กระถางต้นไม้ จักรยาน พวงมาลัยรถ

ล่าสุดเสือกลายเป็นตุ๊กตาส่ายหัวดุ๊กดิ๊กที่วางอยู่บนคอนโซลรถ

ผมออกรถเมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยให้คนเมาที่เหมือนจะไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ เสร็จแล้ว

"เสือไม่เมื่อยเหรอ"

"ไม่นะ" ผมตอบไม่ละสายตาจากถนน

"แต่เอิ้นเมื่อยแล้วอะ"

"เหนื่อยก็นอนสิ เอาไว้ถึงบ้านเดี๋ยวปลุก"

"เสือ"

"หืม" รถติดไฟแดงพอดีผมจึงหันไปมองคนข้างๆ เพื่อพบว่า...

"เลิกส่ายหัวซักทีสิ เอิ้นเวียนหัว"

ไอ้สันขวาน มันคุยกับตุ๊กตาครับ แล้วที่ผมตอบเมื่อกี้คือคุยคนเดียวเว้ย

แม่ง! ฉิบหาย กูไม่ถือคติที่บอกว่าอย่าโกรธคนบ้าอย่าว่าคนเมาแล้ว เสือจะด่า เสือจะด่ามัน

ผมบ่นเป็นหมีกินผึ้ง จริงๆ คือทั้งบ่นทั้งด่าอะ แต่ไอ้คนถูกด่าก็หาได้สนใจเสือไม่ มันยังคุยกับตุ๊กตาเป็นตุเป็นตะ

เสือสงสัย ไอ้เอิ้นเมาหรือปัญญาอ่อน

โชคดีที่ตอนดึกรถไม่ติด เราจึงใช้เวลาไม่นานในการเดินทางกลับคอนโด

ถ้าอยู่ด้วยในสภาพนี้นานกว่านี้ผมต้องประสาทแดกแน่

ให้ตายเถอะ คราวหน้าจะไม่เสี่ยงให้ไอ้เอิ้นเมาอีกแล้ว เสือกลัว



"เอิ้น เสือเหนื่อยแล้วนะเว้ย"

ผมนั่งลงบนพื้นหลังจากความพยายามพาไอ้เอิ้นออกจากรถหมดลง อยากปล่อยมันไว้นี่แต่มันเมาไง เมาแบบไร้สติด้วย ถ้าไม่ดูแลก็กลัวจะออกไปเถลไถล

ไม่น่าเป็นคนมีจิตสำนึกดีเลยกู

"เหนื่อยไรอะ"

เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นใกล้ๆ แต่ผมก็ไม่ตอบ เพราะคิดว่ามันคงคุยกับตุ๊กตา

"มีเรื่องหนักใจอะไรบอกเสือได้นะ แฟนผมโคตรเก่ง"

ตุ๊กตาถูกยื่นมาตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับรอยยิ้มของคนพูด

รอยยิ้มที่ดูภูมิอกภูมิใจเมื่อพูดถึงเสือ

ความเหนื่อยไม่ได้หายไปแต่กำลังใจมาเต็ม

ผมลุกขึ้น ลังเลอยู่ว่าจะต่อยไอ้เอิ้นแล้วลากขึ้นห้องดีไหม แต่คิดดูแล้ว นี่คนที่อยู่ในฐานะเป็นอะไรกันไงจะใช้ความรุนแรงก็ดูป่าเถื่อนเกินไปหน่อย

แต่ว่า ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้แล้วว่าจะพาอีกคนขึ้นห้องได้ยังไง

แล้วถ้า...

เร็วเท่าความคิด ผมคว้าเนคไทของอีกฝ่าย รั้งให้ใบหน้าเข้ามาใกล้แล้ว...

จูบ

เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มจูบดูดดื่มก่อนในยามตัวเองยังมีสติดี การเป็นฝ่ายรุกก็รู้สึกดีเหมือนกัน

ผมป้อนจูบให้คนเมาจนอีกฝ่ายเคลิ้มแล้วจึงผละออก

ผมเช็ดปากแล้วมองเอิ้นเต็มตา คนเมาทำหน้าเคลิ้ม ตาลอย ตอนนี้แหละเหมาะที่จะลากมันขึ้นห้องที่สุดแล้ว



[- T B C -]

นี่เสือไง แมวที่ไหน ไม่มีหรอก
เสือจริงๆ ถึงความขี้อ้อนจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังเป็นเสือนะ

ตอนนี้ตัวหนังสือเยอะมากเลย ขอบคุณที่ทนอ่านกันนะคะ
ตอนพิเศษนั้นแทนคำขอบคุณของเรานะคะ


แจ๊ส :)
 :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2016 07:08:18 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอิ้นเมาจริงไม่ได้แกล้งใช่ป่ะ
อาการอย่างฮาอ่ะ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบเอิ้น+เสือมากค่ะ ตอนอยู่ด้วยกันน่ารักมาก ๆ
เนื้อเรื่องกระชับ มีสาระด้วย เขียนได้ชวนติดตามค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้มากค่ะ สนุก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอิ้นเมาเลื้อนมากกกกกกกก

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เอิ้นเมาแล้วรั่วขนาดนี้เลยหรออออ
55 คุยกับหมาไม่เท่าไหร่ คุยกับถังขยะ แถมดมด้วยนี่สิ หนักนะเรา!!

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอิ้นรั่วมากกกกกก

เสือที่ไหน? หมาชัด ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด