TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}  (อ่าน 87018 ครั้ง)

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
 o13 เยี่ยมคะน้องดาว~

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอขย้ำเสือออออออออออออ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เราว่านี่มันเบ้าขนมครกแล้ว ไม่ใช่เสือหรอก

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน}



กิจกรรมตอนกลางวันของทุกคนจบลงตอนพระอาทิตย์ตกดิน

ผมเก็บโทรศัพ์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงตอนที่ส่งภาพพระอาทิตย์ตกดินให้เจ้ศรีแล้วได้รับข้อความตอบกลับมาว่าอย่าแกล้งหนูเอิ้นล่ะ

ถามจริ๊งนี่ใครลูก เสือหรือเอิ้น

“เสือ” พอนึกถึงก็โผล่หน้ามาข้างหลังให้หันไปทำหน้าเฉยเมยใส่

นี่ยังโกรธเรื่องเมื่อกลางวันอยู่นะ

“ถ่ายรูปกัน”

“กูไม่ชอบถ่ายรูป” ผมหมุนตัวกลับแล้วก้าวเดินไปตามชายหาด

“เมื่อกลางวันยังถ่ายกับสาวๆ อยู่เลย”

ผมอุตส่าห์พูดอ้อมๆ ให้มันคิดเองแล้วแต่ในเมื่อยังเซ้าซี้ก็จะไม่มีทางได้รับความเกรงอกเกรงใจจากเสืออีก

“กูไม่ชอบถ่ายรูปกับมึงไง” ผมเน้นเสียงหนักๆ ตรงท้ายประโยค “แล้วมึงล่ะ ไหนบอกไม่ชอบถ่ายรูป”

“ไม่ชอบถ่ายกับคนอื่นไงแต่ชอบถ่ายกับเสือ”

“ชอบถ่ายกับเสือก็ไปสวนสัตว์สิวะ”

เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วครู่ก่อนเสียงหัวเราจะดังขึ้นจากคนที่ยืนข้างๆ

“เสือนี่นอกจากน่ารักแล้วยังตลกอีกนะเนี่ย”

ผมหันขวับ “กูไม่น่ารัก”

“น่ารักจะตาย” สงสัยไอ้เอิ้นอยากตายถึงได้กล้ายื่นมือมาหยิกแก้มผม

หยิกแก้มเสร็จก็เลื่อนลงมาโอบไหล่ เอาแก้มมาแนบแก้มแล้วกดชัตเตอร์ดังแชะๆๆๆ

เอาที่มึงสบายใจเถอะหน้ากูคงเหี้ยมากเมื่อเทียบกับหน้ามึง

“เห็นมั้ยเสือน่ารักจะตาย” ก้มกดมือถือยุกยิกแล้วก็ยื่นมาตรงหน้าให้ผมดู

ไอ้เวร ทำไมต้องเติมหูแมว ทำไมต้องเติมแก้มแดง เสือแบ๊วเลย ไม่แมน ไม่เอา

“มึงลบเดี๋ยวนี้เลย” ผมออกคำสั่ง

“ลบทำไมน่ารักดีออก”

ดูท่าแล้วไอ้เอิ้นคงจะไม่ยอมลบจริงๆ ผมจึงฉวยโทรศัพท์มือถือของมันมา

“เดี๋ยวกูลบเองก็ได้ ลีลาดีนัก”

“อื้อ ลีลาดี” คนละความหมายละสัส

ผมทำหูทวนลมเลิกคุยเรื่องใต้สะดือที่ถ้าต่อความยาวไอ้คนหมกมุ่นในกามารมย์ต้องลวนลามผมด้วยคำพูดแน่

“จะลบรูปรู้รหัสผ่านโทรศัพท์เอิ้นเหรอ”

“ก็ไม่เห็นจะยาก” ปากเก่งไปอย่างนั้นเอง ผมลองสุ่มกดวันเกิดตัวเองพอกดเลขตัวที่ 4 หน้าจอก็สว่างขึ้น

เดาถูกเฉยเลยว่ะ

ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอมยิ้มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

หน้าร้อนไปหมด เขินเลยเนี่ย ไม่คิดว่ามันจะใช้วันเกิดผมเป็นรหัสมือถือจริงๆ

“ห้องกับเอทีเอ็มก็วันเกิดเสือนะ”

“กูไม่อยากรู้”

“เขินเลยอะดิ” เอาไหล่มากระแซะอีก

เออกูเขิน ห่า ทำไมกลายเป็นเสืออ่อนหัดไปได้วะ

ผมรีบลบรูปแล้วยัดมือถือใส่มือมันกลบเกลื่อนความเขินที่คิดว่าไอ้เอิ้นมันคงรู้แล้วแหละถึงมองผมไม่วางตา ถ้ากินผมได้คงจับยัดใส่ปากกลืนลงท้องไปแล้วว่ะ

“นี่เสือ”

“อะไรอีก”

“แม่ชมว่าเสือน่ารักด้วยแหละ”

แม่? แม่ใครแต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แม่ผมหรอก อย่างเจ้ศรีไม่มีทางชมลูกชายอย่างเสือว่าน่ารัก แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

และไอ้เอิ้นก็ทำให้ขนที่กำลังตั้งชันนอนลงอย่างสงบด้วยการยื่นมือถือที่เปิดค้างไว้ที่แอพลิเคชั่นสีเขียวมาตรงหน้า

‘Family’

กรุ้ปครอบครัวมันว่ะ

ย้ำให้ฟังว่าไอ้เอิ้นส่งรูปมุ้งมิ้งของผมกับมันเข้าไปในกรุ้ปครอบครัวมันครับ

เพื่อ!?

และก็เป็นแม่มันที่ชมว่าผมน่ารัก

ให้ตายเถอะ เขารู้กันทั้งครอบครัวเลยหรือเปล่าว่าไอ้เอิ้นตามจีบผมอยู่

“พ่อกับแม่เอิ้นรู้นะ” นี่ก็ตอบได้ตรงกับคำถามในความคิดผมประหนึ่งส่งสปายเข้ามาแอบอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของอวัยวะภายในร่างกายผม

“แล้วเขาไม่ว่าอะไรเหรอวะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

ก็แหมความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมันค่อนข้างยากที่จะยอมรับอะเนอะ

“ก็ไม่นะ”

“ครอบครัวมึงนี่ใจกว้างจัง”

“พ่อกับแม่รักเสือจะตาย”

“กูไม่ยักรู้”

“ก็รู้ไว้สิ รักเหมือนที่เอิ้นรักแหละ”

ง่ะ ไปแดกข้าวเอาของคาวเข้าปากครับของหวานเลี่ยนๆ น่ะเก็บเอาไว้ก่อนกูฟังจนจะเป็นเบาหวานแล้วเนี่ย


▼▲ ▼▲ ▼


“พี่เสือคุณเอิ้น!!!”

น้องดาวครับเสียงแจ๋นมากกูอยากอัดเสียงเอาไว้ไล่หมาที่ชอบมาขอข้าวเจ้ศรีกินเหลือเกิน

ปีนี้งานเลี้ยงบริษัทไม่ได้มีคอนเซปส์อะไร แต่ถ้าพูดให้ดูดีหน่อยก็คืออนุญาตให้ทุกคนฟรีสไตล์ อย่างน้องดาวนี่สไตล์จัดเต็มครับ เต็มมากระทั่งเบ้าตาที่คัดมาเป็นอย่างดี

“ไปไหนกันมาคะเนี่ย” ความขี้เสือกก็จัดเต็มเช่นกัน

“ไปดูพระอาทิตย์ตกมาครับ”

“โรแมนติกจัง”

ทำหน้าเคลิ้มฝันทำไมต่างคนต่างดูอย่ามโน

ผมเดินเลี่ยงออกมาในตอนนั้น และกวาดมองหาไอ้กวินก็พบว่ามันนั่งอยู่กับแก็งค์ไอที

อาหารเย็นของเราในวันนี้เป็นพวกปิ้งย่างบาบีคิวจัดที่ริมหาด แดกเหล้าชิวไป

“มึงน่ะลดๆ เบียร์ลงบ้างแล้วออกกำลังกายหน่อยพุงล้ำดั้งแล้วสัส”

ผมบอกไอ้ไอทีเมื่อเห็นว่ามันเอาแต่กระดกเบียร์ ไร้รสนิยมชะมัดเหล้าแพงๆ ไม่ยอมดื่ม ดันชอบแดกช้างกระป๋องละสี่สิบกว่าบาท

“กินเหล้าแล้วกูเมา”

“แดกเบียร์มึงก็เมา” ผมว่าแล้วส่งแก้วเหล้าให้มัน

“กูไม่เอา”

มันปฏิเส ธผมจึงยื่นแก้วไปตรงหน้าไอ้กวิน ป่วยการที่จะหลอกล่อพวกไร้รสนิยมครับ

“มึงเป็นเพื่อนมันรับผิดชอบดิ๊”

“ไหงงั้นล่ะพี่” ไอ้กวินถามเลิกคิ้วสูง

“แดกๆ ไปเถอะนี่กูชงให้เลยนะ” ไอ้กวินส่งมือมารับพร้อมทำหน้าแหยอย่างไม่ปิดบัง

ผมยกแก้วตัวเองขึ้นดื่มบ้าง เหลือบมองคนข้างๆ ที่ค่อยๆ จิบของเหลวจากแก้วที่ผมเพิ่งส่งให้

รสชาติบาดคอดีไหมล่ะมึงที่ผมชงเมื่อครู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเหล้าเพียวๆ ก็ว่าได้

“ผมว่าพี่เสืออย่าชงเหล้าให้ใครอีกดีกว่ารสชาติโคตรห่วยแตก”

ไอ้กวินเป็นพวกที่เมื่อเมาแล้วจะพรั่งพรูความลับและความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมดเปลือก ก็หวังว่าคืนนี้ผมจะได้ยินความลับจากปากของมัน

แก้วเดียวก็กรึ่มแล้ว ความจริงที่ผมตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

“มาพี่ ผมชงให้แต่พี่ต้องดื่มให้หมดนะครับ”

แก้วในมือผมถูกกวินแย่งไปใส่น้ำแข็งโซดาและเหล้าคนให้น้ำแข็งกระทบกับแก้วดังแกร้งๆ แล้วค่อยคืนให้ผมก่อนจะหันไปชงให้ตัวเอง

“ชน” ผมบอกแล้วใช้ก้นแก้วกระแทกกัน

ต่างฝ่ายต่างดื่มจนหมดแก้ว

ไอ้เอิ้นที่เมื่อครู่ยังกล่าวเปิดงานอยู่เลยตอนนี้เดินมาหยุดข้างผม นั่งลงแล้วหยิบแก้วส่งให้กวิน

“ชงให้ผมบ้างได้มั้ย”

คนถูกขอพยักหน้างงแต่ก็ยอมรับแก้วไป

“คืนนี้จะเมามั้ย” ไอ้เอิ้นกระซิบถามผมอย่างมีเลศนัย

เจอเหยื่ออีกรายแล้ว มอมเหล้าแม่งทั้งคู่เลยดีกว่า ผมยกยิ้มร้ายก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่ไอ้กวินให้หยุดการกระทำ เมื่อน้องมันหันมามองผมจึงพยักพเยิดบอกให้ส่งแก้วมา

“เดี๋ยวกูชงเอง”

“ผมบอกพี่แล้วไงว่าพี่ชงเหล้าได้ห่วยแตกมาก”

รู้ครับ อย่าย้ำ เจ็บปวด

ผมกรอกตาแล้วฉกแก้วมา “มึงอยากให้กูชงเหล้าให้มั้ย” หันไปถามไอ้เอิ้นและแน่นอนว่ามันไม่ปฏิเสธ

ผมยกยิ้มร้ายแล้วเติมน้ำแข็งรินเหล้าเหยาะโซดาใช้นิ้วตัวเองนี่แหละคนให้เข้ากัน ก่อนส่งให้ไอ้ข้างๆ ที่มองผมไม่วางตา

“แดกให้หมดนะมึง”

ไอ้เอิ้นรับแก้วกระดกรวดเดียวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

อะไรวะ เหล้าผมโคตรแรงมันต้องมีปฏิกิริยาอะไรบ้างเซ่

“รสชาติเป็นไงบ้างวะ” สีหน้าของมันทำให้ผผมอดถามไม่ได้

“แย่” โอเค กูซึ้ง

“เห็นมั้ยบอกแล้วว่าแย่” โอ้โห โดนซ้ำตับแตกแล้วครับ

“ไหนมึงบอกมึงชอบกู” ผมหันไปกระซิบถามพร้อมทำหน้างอแงใส่ ที่จริงผมควรจะถามห้วนๆ ดิวะ งอแงอะไร เสือทำอะไรลงไปจะกลับตัวกลับใจก็ไม่ทันแล้วเมื่อไอ้เอิ้นมองผมอยู่เต็มตา

“ก็ชอบแต่รสชาติเหล้าที่เสือชงให้มันห่วยจริงๆ แต่ถ้าเสือชงให้อีกเอิ้นก็ไม่ปฏิเสธหรอก”

เสือควรซึ้งหรือโกรธกดโหวตให้ที

ผมละสายตาจากมันแล้วมองตรงไปยังคลื่นทะเลที่สาดเข้าสู่ชายฝั่ง

“คิดจะทำอะไร”

“เปล่า”

“จะมอมเหล้าเอิ้นเหรอ”

“ทำไมกูต้องมอมเหล้ามึงล่ะ”

“กลัวเอิ้นจะปล้ำอะดิ”

ผมนี่ไปต่อไม่ถูกเลยเมื่อถูกจับได้

เออ กูกลัวพอใจยังแต่ไม่บอกหรอกนะ เป็นตายร้ายดีอย่างไรเสือก็ไม่ยอมเผยความกลัวให้ศัตรูได้เห็นหรอกโว้ย

“ไอ้วินโชนนน~”

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะสโลโมชั่นผมหันไปชนแก้วกับไอ้กวินที่มองแก้วในมือมันอย่างเลื่อนลอย

“เหล้าจ๋าเหล้าหมดแล้ว”

“เดี๋ยวผมชงให้” ไอ้เอิ้นเสนอตัวแล้วลุกไปชงเหล้า

พอเห็นคนเป็นผู้จัดการชงไอ้ไอ้ทีก็วางเบียร์ลงแล้วยื่นมือมาขอ

“จะเป็นเกียรติมากถ้าคุณเอิ้นชงให้ผมซักแก้ว”

“ไหนมึงบอกแดกเหล้าแล้วเมา” ผมแขวะแล้วมองตามันที่เเริ่มเยิ้มๆ

ดื่มเบียร์ก็เมาเหมือนกันแหละวะแถมลงพุงด้วย

“ถ้าคุณเอิ้นชงกูแดกโว้ย”

ไอ้คุณเอิ้นก็ใจดีครับชงให้ไอ้กวินแล้วก็ลงมือชงให้ไอ้ไอทีต่อ

เสียงชนแก้วดังขึ้นต่อจากนั้นเลยมาจนถึงกลางดึกโดยมีไอ้คุณผู้จัดการชงเหล้าส่งให้ไม่ขาดมือ

ลมทะเลหอบเอาสติไอ้ไอทีหลุดลอยไปคนแรก ร่างลงพุงนอนเหยียดอยู่บนเสื่อก่ายขาบนตักของผมให้ไอ้เอิ้นที่เมาน้อยสุดลุกไปจัดท่านอนให้

“เสือจะได้นั่งสบาย” ไม่ลืมหันมาบอกผมแล้วส่งยิ้ม

แอลกอฮอล์ในร่างกายทำให้เลือดสูบฉีดหนักมากหัวใจผมเต้นแรง ใบหน้าร้อนผะผ่าว รอยยิ้มให้เอิ้นยังคงหลอกหลอนแม้มันจะหุบยิ้มและกลับมานั่งชงเหล้าส่งให้กวินต่อแล้ว

“ไอ้วิน” ผมเรียกให้มันส่งสายตาเยิ้มๆ มองมา

“ว่าไงครับพี่เสือ”

“มึงมีแฟนใช่มั้ย” ผมส่งสายตาบอกไอ้เอิ้นให้หยุดชงเหล้า

“เปล๊า” เสียงสูงถึงยอดตึกมหานครละสัส กูคงเชื่อมึงหรอก

“มีแฟนไม่บอกพี่นะมึงอะ”

“ผมเปล่ามีแฟนจริงๆ นะพี่แค่งานที่พี่ทิ้งไว้ก็ทำผมเครียดจะตายละ”

ไอ้กวินว่าเสียงอ้อแอ้ให้รู้ว่าแผนมอมเหล้าของผมใกล้จะสำเร็จแล้ว

ไอ้เอิ้นหยิบโทรศัพท์ออกมากดบันทึกเสียงแล้ววางไว้ข้างๆ

“ผมพยายามทำทุกอย่างอย่างที่พี่บอกแต่ทำยังไงก็ไม่เหมือนที่พี่เสือทำเลยว่ะ สิ่งที่พี่บอกว่าง่ายนิดเดียวพอผมลองทำนะแม่งง่ายนิดเดียวแต่ส่วนใหญ่น่ะโคตรยาก”

ผมกับไอ้เอิ้นมองหน้ากันเมื่อสิ่งที่ไอ้กวินพูดออกมานั้นไม่ใช่อย่างที่คาด

“ผมอยากจบงานนี้ให้ดีแต่พี่รู้ป่ะยิ่งผมทำลูกค้าก็ยิ่งด่าผม ด่าทุกวันจนผมโคตรอยากจะเอาปืนไปยิงหัวมันให้กระจุย”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ” ไอ้เอิ้นถามพลางวางมือลงบนไหล่

“ผมไม่บอกคุณเอิ้นเพราะถ้าคุณเอิ้นรู้พี่เสือก็ต้องรู้ ผมไม่อยากให้พี่เสือผิดหวังในตัวผม”

“ไอ้วิน” ผมเรียกมันเสียงเบา รู้สึกจุกไปทั้งช่องอก

ผมโคตรโกรธตัวเองที่มองน้องมันผิดไป

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่เสือจะทิ้งพวกเราไปอยู่กับเดอะเฟิร์ส พี่เสือที่ผมรู้จักเป็นคนซื่อสัตย์ ซื่อตรง พี่เสือไม่มีทางหักหลังเรา”

ยิ่งฟังก็รู้สึกว่าตัวเองโคตรแย่จนไอ้เอิ้นที่เห็นว่าสีหน้าผมไม่ค่อยดีนักยื่นมือมาตบไหล่ปุๆ แล้วบีบเบาๆ

“แปลกใจอะดิว่าทำไมผมรู้เรื่องนี้…”

ผมและไอ้เอิ้นไม่ได้พยักหน้าและไอ้วินก็แค่หันมามองพวกผมแว้บเดียวแล้วพูดต่อ

“ลูกค้าแม่งกรอกหูผมอยู่ทุกวันว่ามันคิดถูกแล้วที่จบสัญญากับเราแล้วไปต่อสัญญากับเดอะเฟิร์ส ไปทำงานกับพี่เสือ ผมขอโทษนะพี่”

มือผมถูกดึงไปกุมไว้ไอ้วินมองผมด้วยสายตาเว้าวอน

“ตอนแรกผมเชื่อว่ะเชื่อว่าพี่จะไปจริงๆ แต่พอมาลองคิดดูมันโคตรจะเป็นไปไม่ได้ พี่เสือที่ผมรู้จักไม่มีทางหักหลังพวกเรา ผมขอโทษที่เผลอเข้าใจพี่ผิด ยกโทษให้ผมนะพี่เสือ ผมผิดไปแล้ว”

“กู…” ผมพูดไม่ออก ที่จริงควรจะเป็นผมที่กล่าวขอโทษ ควรจะเป็นผมที่ขอให้น้องมันยกโทษให้

“ผมขอโทษที่เราจบกับลูกค้าไม่ดี ผมขอโทษว่ะพี่ ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง”

“คุณทำเต็มที่แล้วกวิน” ไอ้เอิ้นว่า

“ไม่” และไอ้วินก็ปฏิเสธทันที “ผมคิดว่าผมทำได้ดีกว่านี้แต่ผมมันไร้ประสิทธิภาพ ควรจะเป็นผมที่ถูกพักงาน ควรจะเป็นผมไม่ควรจะเป็นพี่เสือเลย”

“อย่าโทษตัวเองเลยวินที่จริงพี่ก็ผิดที่ไม่ได้สอนอะไรเอ็งก่อนจะออกไป เอาเป็นว่าเก็บมันไว้เป็นบทเรียนนะ”

“ผมแม่งยังอ่อนหัด พี่เสือพี่ต้องกลับมานะ กลับมาสอนงานผม คุณเอิ้นคุณรู้ใช่มั้ยว่าพี่เสือถูกใส่ร้าย พี่เสือถูกใส่ร้ายจริงๆ นะ”

“ผมรู้ กวิน ผมรู้” มือแกร่งตบไหล่ไอ้วินปุๆ ให้เจ้าตัวหันมายิ้ม

ตาเยิ้มๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ค่อยๆ ปิดลงก่อนมันจะทิ้งตัวลงไปเคียงข้างไอ้ไอทีที่กรนแข่งกับเสียงคลื่นที่สาดเข้าฟังดังซ่าๆ

“เสือดูโล่งอก”

ผมหันไปมองคนพูด ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสีหน้าอย่างไรในตอนนี้แต่ก็อย่างที่ไอ้เอิ้นว่าผมโล่งใจมากจริงๆ

ขอบคุณที่กวินไม่ได้หักหลังผม

แล้วใครล่ะ?

ความโล่งอกถูกคลื่นซัดออกไปแล้วแทนที่ด้วยความหนักใจและสงสัย

คนใกล้ตัวอย่างนั้นเหรอ

ใกล้ผมที่สุดตอนนี้…

เมื่อคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

ไม่เอาน่าเสือ ไอ้เอิ้นไม่มีทางหักหลังมึงหรอก

“ดื่มหน่อยมั้ย” แก้วเหล้าถูกส่งมาให้แล้วผมก็รับมา

“จะมอมเหล้ากูรึไง”

“นี่เสือก็กรึ่มๆ แล้วนะ” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเจ้าตัวนั่งลงข้างๆ

“กูรู้สึกผิดต่อไอ้กวินจังว่ะ”

“ไม่ใช่ความผิดเสือหรอก”

“น้องมันศรัทธาในตัวกูมากแต่กูกลับตอบแทนมันด้วยการไม่ไว้ใจมัน กูแม่งแย่ว่ะ”

“เรามีสิทธิที่จะคิดอะไรก็ได้นะเสือ ตราบใดที่ความคิดของเราไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดหรอกถ้าเราจะคิด”

ไหล่ของผมถูสัมผัสแผ่วเบาแต่รู้สึกราวกับว่าถูกโอบกอดเอาไว้

“ตอนนั้นเอิ้นก็เคยคิดไม่ดีกับเสือ”

“ทำอย่างกับว่าตอนนี้มึงคิดดีกับกูงั้นแหละ”

ไอ้เอิ้นหัวเราะแหะๆ

“มันคนละความรู้สึกไง ตอนนี้คิดไม่ดีเพราะรัก”

“พอเลยกูไม่เคลิ้ม” ผมขยับไหล่ให้มือข้างนั้นหลุดออกแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด “เก็บไอ้พวกนั้นขึ้นห้องเถอะปล่อยไว้แบบนี้นานๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะแย่เอา”

ทั้งไอ้กวินและมนุษย์ไอทีถูกผมกับไอ้เอิ้นเก็บขึ้นห้องอย่างทุลักทุเล

ตอนที่ทิ้งไอ้วินลงบนเตียงนั้นเองที่มือของผมดันสัมผัสเข้ากับโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ผมล้วงมันออกมาแล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะถือวิสาสะสแกนนิ้วเจ้าของเครื่อง

“เสือทำอะไร”

“กูสงสัยว่าเมื่อบ่ายไอ้วินมันคุยกับใคร” ผมตอบพลางกดแอพแชทสีเขียว

ชื่อคุณปรีชาอยู่ในประวัติการแชทล่าสุด

ไหนๆ ก็เสียมารยาทขนาดนี้แล้วกดเข้าไปดูบทสนทนาหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก

“เจออะไรดีๆ งั้นเหรอ”

คงเห็นว่าผมมุ่นคิ้วจนยุ่งไอ้เอิ้นจึงถามแล้วนั่งลงข้างๆ ชะโงกหน้าผ่านไหล่ ใช้ดวงตาจับจ้องที่หน้าจอซึ่งปรากฏบทสนทนาที่ทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นอีกระดับ

สารพัดคำดูถูกเหยียดหยาม ตำหนิติเตียนและคำเปรียบเทียบที่เหมือนจะตั้งใจเหยียบไอ้กวินให้จมดินที่คุณปรีชาลูกค้าที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าส่งมานั้นไม่แปลกเลยที่คู่สนทนาจะรู้สึกแย่เอามากๆ

‘ความสามารถคุณไม่ติดฝุ่นคุณเสือด้วยซ้ำ’
‘น้ำหน้าอย่างคุณอย่าคิดว่าจะเทียบชั้นคุณเสือเลย ในชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสร่วมงานกับคนเก่งๆ อย่างนั้นก็บุญหัวแล้ว’
‘ใกล้จบงานแล้วคิดว่าจะทำงานห่วยแตกอย่างไรก็ได้งั้นเหรอ โชคดีเหลือเกินที่ผมตัดสินใจจบสัญญากับบริษัทคุณ’
‘ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าถ้าบริษัทคุณไม่มีคุณเสือสักคนจะยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างไร’

ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันคำชมก็ไม่ทำให้รู้สึกดีเมื่อคำชมนั้นทำให้คนที่เรารักต้องเจ็บปวด

ผมเหลือบมองไอ้กวินที่นอนอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกมากมาย ตลอดหลายเดือนกับคำตำหนิเหล่านี้มันทนได้อย่างไรกัน

“เอิ้นว่าดีแล้วล่ะที่เราไม่ต้องร่วมงานกับลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์แย่แบบนี้”

“แต่เราก็ต้องย้อนดูตัวเองด้วยรึเปล่าวะ ถ้าพนักงานของเราทุกคนมีประสิทธิภาพลูกค้าคงไม่ยึดติดกับใครคนใดคนหนึ่งหรอก”

ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่ง ผมเป็นเพียงแค่พนักงานคนหนึ่งที่มีความสามารถเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีวาทะศิลป์ในการพูดจาจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อถือ

“เสือเคยได้ยินคำว่า Put the Right Man to the Right Job มั้ย”

เลือกคนให้ถูกงาน

แน่นอนสิ ผมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว

“ทุกคนมีประสิทธิภาพนะเสือแต่มีประสิทธิภาพในงานคนละแบบ อย่างเสือเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง พูดจาน่าเชื่อถือรู้วิธีเข้าหาคนเราจึงมอบงานที่ต้องพบปะผู้คนให้ทำ กวินเขาจบบริหาร เก่งเรื่องการวางระบบงาน แต่พูดไม่เก่งเราจึงมอบงานอีกแบบให้กับเขา”

ผมมองหน้าไอ้เอิ้นนิ่ง

“หากเปรียบบริษัทเราเป็นจิ๊กซอว์ ความสามารถของแต่ละคนล้วนแล้วแต่ต่างกันออกไปตามเนื้องานที่เรามอบหมายให้ทำ สุดท้ายความแตกต่างนั้นเมื่อถูกนำมารวมกันอย่างถูกต้องมันก็จะกลายเป็นภาพที่สวยงาม”

“มึง…พูดดีเกินไปแล้วนะ”

“แน่นอนถ้าไม่มีความสามารถเอิ้นก็มาไม่ถึงจุดนี้เหมือนกันแหละ”

“คร้าบๆ ไอ้คนมีความสามารถ”

แขวะมันแล้วจึงกดแบ็คกลับมาที่หน้าหลัก คราวนี้ผมถึงกับต้องเบิกตาจ้องมองชื่อและภาพของคู่สนทนาที่อยู่ประมาณลำดับที่ 3 หรือ 4

‘พี่นพ’

เหี้ย!! ไอ้นพชัยทั้งชื่อและรูปเลยว่ะ

“มีอะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” ผมไม่ตอบคำถามแต่ยื่นสมาร์ทโฟนไปตรงหน้ามันแทนคำตอบ

“พี่นพ?” ยิ่งอ่านออกเสียงก็ยิ่งย้ำให้ผมงุนงงไปหมด “ใช่คนที่เราเจอตอนไปห้างวันเสาร์รึเปล่า”

เมื่อหลายเดือนก่อนยังไงล่ะ

ผมพยักหน้าให้คนถามพยักหน้าตาม

“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“นั่นสิ” ผมคล้อยตามความสงสัยของไอ้เอิ้น

“เสือไว้ใจวินมั้ย”

ผมนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะตอนนี้ความไว้ใจก่อนหน้าค่อยๆ จางลงเพียงรู้ว่ากวินกับไอ้นพชัยรู้จักกัน

“เราอ่านได้มั้ย”

เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าไอ้เอิ้นก้มหน้าอ่านข้อความอยู่แล้ว

เออเนอะก่อนหน้านี้จะถามความเห็นผมหาพระแสงอะไร

“เสือยังไว้ใจวินอยู่รึเปล่า” ก้มหน้าอ่านอยู่พักหนึ่งจึงเงยขึ้นมาถามผม

“กู…”

“มั่นใจในตัวเองหน่อย”

“ตอนแรกกูก็ไว้ใจแต่มันก็จางไปตอนเห็นชื่อไอ้นพ”

“เอิ้นเข้าใจว่าเสือกับคุณนพไม่ถูกกัน ก็ไม่แปลกหรอกที่เสือจะกังวล แต่ว่านะถ้าเสือเชื่อใจกวิน เอิ้นก็อยากให้เสือเชื่อใจต่อไปถ้ายังลังเลก็ลองอ่านนี่ดู”

สมาร์ทโฟนถูกยัดใส่มือผมอีกครั้ง ไอ้เอิ้นคะยั้นคะยอให้ผมอ่าน การกระทำนั้นปลุกความสงสัยของผมขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จับจ้องไปยังหน้าจอมือถืออีกครั้ง

ขอบคุณความไร้มารยาทที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

เท่าที่อ่านข้อความบทสนทนา สองคนนั้นรู้จักกันจริงและคงรู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว ทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งแต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

สิ่งที่ผมสงสัยในตอนนี้คือกวินกับนพชัยมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่


[- T B C -]

เคลียร์เรื่องกวินเนอะ ลึกๆ แล้วตอนแรก (ตอนเขียนพล๊อตครั้งแรกสุด)
เราตั้งใจจะให้กวินนี่แหละเป็นตัวร้าย
แต่...พอลองคิดๆ ดู คนเรามันมีหลายมิตินะ
เราอยากให้บุคลิกของเสือพัฒนาขึ้นจากความผิดพลาดครั้งนี้ :)

ส่วนนพชัย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่เขาหรือเปล่า ต้องรอลุ้นเนอะ
คุณเอิ้น ตอนนี้มาหยอดนิดหน่อย เดี๋ยวเบ้าขนมครกจะเต็ม
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะ
รักค่ะ
แจ๊ส

 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2016 21:16:08 โดย PillowMellow »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แต่ตอนแรกหลักฐานทั้งหมดโยงมาทีกวิน
แบบนี้จะมีใครนอกจากกวินอีกง่ะ
คนใกล้ตัวเสือ งืมมมมม ใครกัน

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เอิ้นแน่ๆที่เป็นคนร้ายตัวจริง  :z2:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ไม่ใ่ช่ว่ากวินกับนพชัยอะไรนั้นเป็นแฟนกันหรือ

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
งั้นใครอะ? :ruready

ออฟไลน์ Soda.wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :ruready. ใครมาทำพี่เสือเนี่ยยยยยย

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
คิดว่าเอิ้นเป็นตัวร้ายด้วยนะ อีกด้านก็แอบคิดว่าไอทีคนนั้นไม่ก็น้องดาว โอ้ยยย  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 o13
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากจ๊ะ
รีบมาต่อเร็วๆ นะจ๊ะ
น่ารัก มุ้งมิ้ง ดีมาก

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ้าววว คดีพลิก

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
 เสือหาย :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 13 {ทำกันเถอะ}



ปาร์ตี้ยังไม่เลิกราเพราะสาวๆ ไม่ยอมหยุดแดนซ์ซักที

เสียงขวดแก้วกระทบกันดังขึ้นผสานกับเสียงดนตรีที่ชวนให้โยกตาม มองสาวๆ เต้นก็ผ่อนคลายดีครับ ทำให้ลืมเรื่องไอ้กวินกับไอ้นพชัยไปได้ชั่วขณะหนึ่งเลยล่ะ

“ดื่มอีกนะคะคุณเอิ้น”

เหลือบมอบไอ้คนข้างๆ ที่ทำหน้าปูเลี่ยนๆ รับแก้วเหล้าที่ถูกเติมจนเต็มมาอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วก็สะใจ

แดกเข้าไปครับจะได้เมาแล้วจะได้ไม่มีแรงทำเรื่องสัปดน

“พี่เสือ” น้องดาวครับ เธอส่งตาหวานๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ให้ผมแล้วนั่งลงข้างๆ “เลิฟช็อตกันมั้ยคะ”

“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธแต่น้องมันก็ช่างตื๊อ

“นิดเดียว นะคะ นะๆ พี่เสือ”

พอถูกคะยั้นคะยอด้วยความขี้เกียจจะต่อปากต่อคำผมจึงยกแก้วแล้วกระดกเหล้าเข้าปากไปจนหมด กระแทกก้นแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะหันไปบอกมือชงด้วยสายตาว่ามึงหยุดเถอะกูไม่อยากดื่มแล้ว

ไม่ได้อ่อนหัดนะโว้ยแต่ไม่อยากเมาไง

คิดดูสิ เมาไม่พอแล้วยังต้องนอนห้องเดียวกับไอ้เอิ้นอีกไม่ปลอดภัยสุดๆ เลยว่ะ

อยู่ๆ ขณะหันไปสบตากับคนที่กำแก้วเหล้าแน่นความคิดดีๆ ก็ผุดขึ้นในหัว

ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไอ้เอิ้นรู้ว่าถูกผมแทงข้างหลังมันต้องโมโหจนไม่กล้ามาวอแวผมอีกแน่ๆ

ใช่มั้ย เป็นความคิดที่ดีสุดๆ เลยใช่มั้ยล่ะ

แต่ว่านะ ครั้งก่อนที่ไปส่งมันที่ห้องมันยังบอกว่ายอมให้ผมเสียบมันอยู่นี่หว่า แต่ช่างเรื่องพรุ่งนี้เช้าก่อนเถอะเอาเป็นว่าถ้ามันเมาหนักมากผมก็ปลอดภัย

“สาวๆ ชงเหล้าให้คุณเอิ้นหน่อย”

ผมดึงแก้วออกจากมือเจ้าของชื่อแล้วส่งให้น้องมะนาวที่ปกติต้องแต่งตัวภูมิฐานเพราะหน้าที่การงานค้ำคอ ส่วนวันนี้สวยจนผิดหูผิดตาและเธอก็รับไปชงอย่างไม่เกี่ยงงอน

แก้วที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำแอลกอฮอล์ถูกส่งกลับมา

ผมกระแซะที่ไหล่ไอ้เอิ้นเมื่อมันลังเลที่จะรับ “รับไปสิวะน้องเขาอุตส่าห์มีน้ำใจ”

ไอ้เอิ้นเป็นคนมีความเกรงใจในระดับหนึ่งครับ เมื่อผมบอกอย่างนั้นรวมถึงมือชงสาวสวยที่ส่งตาปริบๆ มาให้ มีหรือที่มันจะปฏิเสธการรับแก้วมา

“ดื่มให้หมดด้วยนะคะ นะค้าคุณเอิ้น”

มากไปครับน้อง อ้อนอะไรนี่เจ้านายไม่ใช่ผัว

“ดื่มดิ ดื่มให้หมดด้วยนะคะคุณเอิ้น” ผมว่าตามพยายามบีบเสียงให้เหมือนน้องมะนาวขณะยื่นมือไปดันก้นแก้วบังคับกรายๆ ให้มันดื่มซะ

แม้จะมีอาการขัดขืนหน่อยๆ แต่สุดท้ายเหล้าในแก้วก็ถูกดื่มจนหมด

“ไหนมีใครอยากชงเหล้าให้คุณเอิ้นอีกมั้ยครับ โอกาสดีมีแค่ครั้งเดียวเร่เข้ามาเร่เข้ามา” ผมตะโกนบอกพร้อมเคาะแก้วเสียงดังกริ้งๆ

“ดาวอยากชงค่ะ อยากชงให้ทั้งพี่เสือและคุณเอิ้นเลย”

อ้าวอีน้องดาว ชงให้กูทำไมงานนี้กูไม่เกี่ยวโว้ย

ผมอยากจะโวยวาย ผมพยายามส่งสายตาไม่พอใจให้แล้วด้วยแต่น้องดาวที่กรึ่มๆ ก็หาได้สนใจผมไม่ เจ้าหล่องยังคงตั้งหน้าตั้งตาชงเหล้าแล้วส่งมา

“เลิฟช็อตๆๆ”

ใคร!? ใครเป็นคนต้นคิด มองไปที่ต้นเสียงก็อีน้องดาวอีกนั่นแหละครับ นอกจากชงเหล้าแล้วยังชงกูกับไอ้เอิ้นอีกฟินลืมโลกไปเลยล่ะสิมึง

นั่นแหละครับ พอถูกกดดันด้วยเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ก็จำต้องคล้องแขนแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กันเพื่อดื่มเหล้าในแก้ว หน้าไอ้เอิ้นที่ผมเห็นตอนนี้ฟินกว่าหน้าอีน้องดาวอีก

มึงไม่ต้องยิ้มกรุ้มกริ่มครับเดี๋ยวกูเคลิ้ม

แอบสงสัยนะว่าพวกมึงฮั้วกันใช่มั้ย จ่ายใต้โต๊ะไปเท่าไหร่สารภาพมา

“คุณเอิ้นกับพี่เสือนี่น่ารักจังเลยนะคะ ฟินสุดๆ” ทำหน้าดี๊ด๊าไปอีก ส่วนไอ้เอิ้นน่ะเหรอจะจ้องหน้ากูทำไมนักหนาครับ รู้ว่าหลงกูหนักมากแต่ช่วยหักห้ามใจด้วย

“ดาว” ผมกระแอมทีหนึ่งก่อนจะเรียก “ทีหลังหนูไม่ต้องชงเหล้าให้ใครแล้วนะคะ”
“ทำไมล่ะคะ”

“รสชาติอุบาทว์มากค่ะ” ผมเน้นเสียงตรงคำว่า ‘อุบาทว์’ ให้เจ้าของรสชาติเบิกตากว้างจนตาแทบถลนออกมา

“จริงเหรอคะคุณเอิ้น”

“นิดหน่อยครับ” เท่านั้นแหละหน้าฟินเปลี่ยนเป็นหน้าจ๋อยแทบจะทันที

ผมหัวเราะหึๆ ก่อนจะเคาะแก้วเหล้าเรียกให้สาวๆ หยุดเจี๊ยวจ๊าว

“ได้ยินแล้วใช่มั้ยสาวๆ คุณเอิ้นเพิ่งจะกินเหล้ารสชาติอุบาทว์ลิ้นเข้าไป มีใครอยากช่วยชงเหล้าล้างปากให้คุณเอิ้นมั้ยนะ”

“หนูๆ” เท่านั้นแหละ…

เมาแอ๋ครับ

กูเนี่ยเมา ทำไมเป็นเสืออีกแล้วล่ะ คนเมาคอพับควรเป็นไอ้เอิ้นสิวะ

ตุบ!

ร่างผมถูกโยนลงบนเตียง ไหนบอกว่ารักกูแล้วทำไมไม่อ่อนโยนกับเสือเลยวะ

“ไงล่ะครับคนเก่งคิดจะมอมเหล้าเอิ้น แต่ไหงตัวเองมีสภาพเป็นงี้”

เจ้าของเสียงนั่งลงบนเตียงใกล้ๆ ผม ยื่นมือข้างหนึ่งมาเสยผมข้างหน้าที่ปรกหน้าผากของผมขึ้นก่อนจะไล้มือลงมาที่แก้ม

ฉลาดอย่างไอ้เอิ้นไม่แปลกหรอกที่มันจะรู้ว่าผมต้องการมอมเหล้ามัน แต่ก็นะเพื่อไม่ให้คนที่มันพร่ำบอกว่ารักนักรักหน้าหน้าแตกมึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้างก็ได้มั้ย

และเรื่องที่ว่าทำไมผมเป็นฝ่ายเมาเสียเองนี่มีเหตุผลอยู่ข้อเดียวเท่านั้นครับ

ผมมีเสน่ห์ดึงดูดสาวๆ มากกว่ามันไง ชอบพี่เสือได้นะครับแต่อย่าส่งเหล้ามาบ่อยกูไม่อยากกลายเป็นแมวร้องเหมียวๆ อยู่ใต้ร่างใคร

“เอิ้นกูจะนอนแล้วนะ” ผมบอกเห็นรางๆ ว่ามันพยักหน้ารับ

“ก็นอนสิ”

“เอามือออกไปจากแก้มกูสิแล้วก็กลับไปที่เตียงมึงได้แล้ว”

“ไม่เอาอะจะนอนเตียงเดียวกับเสือ”

ว่าอย่างเอาแต่ใจแล้วก็ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดให้แผ่นหลังแนบกับอกแกร่ง ลมหายใจอุ่นๆ รินรดท้ายทอย

“กูอึดอัด”

“อึดอัดหรือกลัว”

ผมเงียบไอ้เอิ้นจึงว่าต่อ

“ไม่ทำหรอก แล้วทำไมถึงคิดว่าเอิ้นจะทำ”

“ก็มึงชอบทำตอนกูเมา”

“อยากทำตอนไม่เมามากกว่าอีกแต่เสือไม่ให้ความร่วมมือเลย”

ไม่ได้ให้ความร่วมมือโว้ ยตอนเมาน่ะจะเดินยังไม่ไหวแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปขัดขืน

“งั้นเอิ้นปิดไฟนะ”

สัมผัสอุ่นๆ ผละหายไปครู่หนึ่งแล้วจึงกลับมาใหม่

“เอิ้น” ในความมืดผมเรียกชื่อคนที่กอดผมไว้แนบอก

“หืม”

“มึงเกลียดกูมั้ย”

“เอิ้นจะเกลียดเสือทำไม”

“ก็กูไม่น่ารัก เป็นเสือที่ไม่ได้เรื่องเลย”

“เสือน่ารักที่สุดแล้ว” อ้อมกอดที่กระชับขึ้นราวกับย้ำว่านั่นคือเรื่องจริง

“มึงโกหก ถ้ากูดีจริงแม่กูต้องรักกูมากกว่ามึงสิ”

“เอ๊ะ! คิดอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ”

“อือ ทำไมหรือไม่จริง”

“ไม่จริง” ก็เห็นๆอยู่ว่าเจ้ศรีเอ็นดูมันจะตายส่งข้าวส่งน้ำแบบที่เสือไม่เคยจะได้รับ “แม่ที่ไหนจะรักคนอื่นมากกว่าลูกตัวเองล่ะ”

“แม่กูไง”

“เสือ” ไอ้เอิ้นขยับเข้ามากระซิบที่หู ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดทำให้ขนลุกซู่ๆ “เอิ้นจะบอกอะไรให้นะ”

ร่างของผมถูกพลิกให้หันไปเผชิญหน้า เราอยู่ใกล้กันมาจนสายตาผมจับภาพใบหน้าไอ้เอิ้นไม่ได้เลย มันเลือนลางไปหมด

“ที่แม่เสือดูแลเอิ้นเพราะแม่เอิ้นฝากเอิ้นเอาไว้และอีกอย่างนะ แม่เสือขอให้เอิ้นช่วยดูแลเสือ มันจะแปลกอะไรที่เราต้องทำดีเพื่อตอบแทนกันและกัน”

“ที่มึงดีกับกูเพราะแม่กูขอมาว่างั้น ”แล้วไม่บอกตั้งแต่แรกปล่อยให้กูแอบหวั่นไหวอยู่ตั้งนานสองนาน

“ถึงแม่ไม่ขอเอิ้นก็ดูแลเสืออยู่แล้ว เอิ้นชอบเสือ”

“แต่กูไม่ชอบมึง”

“จริงอ่ะ”

คำถามดังขึ้นพร้อมกับร่างของผมที่ถูกกระชับกอด ร่างกายของเราเบียดชิดไปทุกสัดส่วน ให้ความรู้สึกร้อนวูบวาบ ไอ้เอิ้นจงใจถูปลายจมูกของมันกับปลายจมูกผมก่อนจะงับเบาๆ ให้ผมร้องออกมา

“ไหนมึงบอกจะไม่ทำ”

“ก็ไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย” ก็เห็นๆอยู่ว่าจงใจปลุกเร้าผมยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตาปฏิเสธอีก “หรือว่า…”

มันว่าเสียงยานๆ เหมือนสงสัยขณะลูบแผ่นหลัง

“เสืออยากให้เอิ้นทำ”

“มึงไม่ต้องมาทำรุ่มร่ามกับกูเลย นู่นเลยไปทำกับผู้หญิงของมึงนู่น”

“ผู้หญิงของเอิ้น? หมายถึงลลินอะนะ”

ผมไม่ตอบ และหลุบตาลงเพื่อเลี่ยงการสบตา

“นี่หึงเหรอ”

ไม่รู้โว้ย ผมก้มหน้าลงอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ตอบมันออกไปว่าไม่หึงหรือที่จริงแล้วผมอาจจะหึง

เสือสับสน

“หึงจริงๆ ด้วยสินะ” เสียงแผ่วๆ ที่แค่ฟังก็รู้ว่าคนพูดกำลังยิ้มอยู่เหนือศีรษะ “ลลินเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้นหรอก”

“จริงอะ” ผมช้อนตาขึ้นมองจึงสบตากับคนที่จ้องมองผมอยู่พอดี

“เอิ้นมีแค่เสือจริงๆ”

“อือ” ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเบียดร่างเข้าหามันอีก

เรายังคงสบตากัน

“อย่ามาทำหน้าน่ารักใส่กันในสถานการณ์แบบนี้สิ”

“กูน่ารักจริงๆ เหรอ” ผมถามและคนถูกถามก็พยักหน้าทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด

“น่ารักที่สุด”

“อย่าชมกูว่าน่ารักอีกนะ” คนถูกห้ามมุ่นคิ้ว ผมเองจึงมุ่นคิ้วตาม

จะว่าอย่างไรดีล่ะ พอถูกชมว่าน่ารักหัวใจมันก็พองโตขึ้นมา ทั้งยังเต้นรัวอย่างน่ากลัวอีกต่างหาก และพอถูกชมบ่อยๆ ผมก็กลัวว่าตัวเองจะเคลิ้ม

“ก็เสือน่ารักจริงๆ”

“บอกว่าไม่ให้ชมไง”

“น่ารัก”

“เอิ้น”

ผมเรียกแล้วผละออก ดันตัวขึ้นให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันไม่รู้อะไรดลใจให้ยื่นมือไปวางลงบนแก้มลูบไล้เบาๆให้อีกฝ่ายเบิกตามองด้วยความประหลาดใจ

“บอกว่าอย่าชมว่าน่ารักไง”

“ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งน่ารัก”

รู้สึกว่าสายตาที่กวาดมองผมนั้นกรุ้มกริ่มแบบที่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกกับร่างกาย ถึงกระนั้นผมก็ยังลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาไม่หยุด

“ตามึง” มือกับปากทำงานประสานกันเป็นอย่างดี ไอ้เอิ้นหลับตาลงตอนที่ผมสัมผัสเปลือกตาของมัน “แค่คิดว่ามึงมองผู้หญิงคนอื่นกูก็อยากจะต่อยตามึงแล้วว่ะ”

“ต่อจากนี้เอิ้นจะไม่มองใครนอกจากเสือ”

“ขี้โม้”

“พูดจริงๆ”

“ปากมึงก็ด้วยก่อนจะกลับมาหากูจูบใครมามั่งแล้วอะ”

“อดีตไม่สำคัญหรอกรู้แค่ว่าตอนนี้เอิ้นอยากจูบเสือคนเดียว”

สิ้นคำใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามาใกล้ ส่งมือข้างหนึ่งมาลูบท้ายทอยของผมหลอกล่อให้เคลิบเคลิ้มแล้วจึงประทับจูบลงมา

รสสัมผัสที่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ

ร่างกายตอนเมานี่ช่างซื่อตรงจนน่ากลัว

ผมจูบตอบ ส่งปลายลิ้นไปสัมผัสกับส่วนเปียกชื้นที่เล็มเลียริมฝีปากของผม กดจูบแล้วกัดเนื้ออ่อนแผ่วเบา ไม่เจ็บแต่ให้ความรู้สึกซ่านสยิวเกินบรรยาย

ร่างกายของผมร้อนฉ่าราวกับว่ามีไฟรั่วออกมาทุกรูขุมขน

“บอกว่าอย่าทำตัวน่ารักไง” ไอ้เอิ้นว่าเมื่อผละริมฝีปากออก แต่ก็แค่อึดใจเดียวก่อนจะประกบจูบลงมาอีกครั้ง

เนิ่นนานจนแทบขาดอากาศหายใจ ผมพยายามหายใจทั้งที่ริมฝีปากของเราคลอเคลียกันไม่ห่าง

เราต่างลูบไล้ใบหน้าของกันและกันราวกับโหยหา

กระทั่ง...

“ทำกันเถอะ”
ฉิบหาย! ผมพูดอะไรออกไป

อย่าว่าแต่ไอ้เอิ้นที่หยุดทุกการกระทำแล้วมองหน้าผมด้วยดวงตาตื่นตกใจเลย ผมเองก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน

“แน่ใจเหรอ”

เสือกพยักหน้าอีก เอากับร่างกายไอ้เสือตอนเมาสิ ซื่อตรงจนน่ากลัวอย่างที่บอกจริงๆ

เอาวะ

คิดดังนั้นแล้วก็เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมไอ้เอิ้นเลย ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าผมทำอย่างนั้นก็ยิ่งโตขึ้นเกือบจะเท่าพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญเชียวล่ะ

“เสือ...”

 เสียงไอ้เอิ้นดังแผ่วๆ เมื่อผมถอดเสื้อตัวเองออกแล้วยื่นมือไปรั้งชายเสือมันบ้าง

อาการตื่นตกใจในคราแรกหายไปจนหมด บนใบหน้าหล่อเหลาเหลือเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะยกตัวขึ้นให้ผมรั้งเสื้อออกแล้วโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

“ตื่นเต้นจัง”

คนใต้ร่างว่าพลางส่งมือมาสัมผัสที่หน้าท้องของผมให้รู้สึกปลาบแปลบอย่างที่แทบจะร้องออกมา

ผมตื่นเต้นมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าสัญชาติญาณของผู้ชายช่วยผมเอาไว้เยอะมากเหมือนกัน

ผมจับมือที่ลูบไล้แผ่นท้องจนถึงหน้าอกของผมเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ลมหายใจของเราประสานกันเป็นหนึ่งเดียวตรงช่องว่างเล็กๆ ที่เหลืออยู่

ไอ้เอิ้นไม่ได้หลับตาเมื่อผมแนบริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มนิ่ม ลองใช้ลิ้นแตะดูก็พบว่ามันไม่ได้มีรสหวานแต่ผมรู้สึกว่ามันหวาน

“มันเป็นของเสือ”

เจ้าของเรียวปากหวานว่าก่อนจะเปิดริมฝีปากให้เราสัมผัสกันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ผมไม่ค่อยมั่นใจหรอก ผมไม่คุ้นเคยกับการจูบ เพราะนอกจากจูบกับไอ้เอิ้นแล้วผมก็ไม่เคยจูบกับใครอีกเลย

เพียงเรียวลิ้นของเราสัมผัสกันในโพรงปากของคนใต้ร่างผม ร่างกายของผมก็สั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ยิ่งแตะต้อง หยอกล้อ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับจะขาดใจให้ได้

แผ่นหลังของผมถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือที่ไม่ว่าจะลูบไล้บริเวณไหนมันก็ร้อนรุ่มไปหมด

อื้ม...

เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อผมผละออก มองลึกเข้าไปในดวงตาหวานล้ำที่เต็มไปด้วยความปรารถนาก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนปลายคาง ส่งปลายลิ้นออกมาไล้เลียให้อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินทำให้ผมรู้สึกดี

ผมจูบไอ้เอิ้นลงมาเรื่อยๆ จากปลายคางลงมายังลำคอ แผ่นอก จูบซับให้คนใต้ร่างสะท้านไหว คงเพราะรู้สึกดีล่ะมั้ง

ว่ากันตามจริง ฝีมือผมก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ

ไม่มีอะไรที่เสือทำไม่ได้หรอก จริงไหม

แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ผิวไอ้เอิ้นนี่ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้สึกดี จะลูบจะคลำตรงไหนก็พอดีมือไปซะหมดจนอดคิดไม่ได้ว่ามันเกิดมาเพื่อผม

เดี๋ยวนะ! กูคิดอะไรวะ

ผมหยุดปลายลิ้นที่กำลังไล้เลียลงมาที่กลางอก หากมือหนาที่ลูบไล้แผ่นหลังผมกลับกำลังทำหน้าที่ปลุกเร้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ตัวผมนี่ร้อนเป็นไฟแต่อยู่ๆ ร่างกายก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ สมองที่เคยประมวลได้ดีเกินระดับคนเมาก็พร่าเบลอ

ผมซบหน้าลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าอุ่นที่อุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว ขณะที่เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง ความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบคือ ความซ่านสยิวที่ถูกปรนเปรอด้วยมือหนาบนแผ่นหลัง

เอิ้น...กูขอโทษนะ กูไม่ไหวแล้วจริงๆ



▼▲ ▼▲ ▼



แอร์เย็นๆ ที่ลูบไล้ผิวกายส่วนที่โผล่พ้นผ้าห่มนวมทำให้รู้สึกหนาวจนต้องซุกตัวเข้ากับของอุ่นๆ ที่นอนนิ่งอยู่ข้างกาย

“ตื่นรึยัง” เสียงพร่ากระซิบบริเวณศีรษะ

“นอนต่อได้มั้ยครับ” ผมถามเมื่อซุกกายเข้าไปแนบชิดอีก

“นอนได้แต่ไม่รับประกันความปลอดภัยนะ” เดี๋ยวๆ จังหวะที่สมองเริ่มทำงานในเช้าวันใหม่ ผมผละออกแล้วเงยหน้ามองเจ้าของเสียง

เชี่ย! ไอ้เอิ้น

ผมกับมันนอนกอดกันกลมอยู่บนเตียงเล็กๆ ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

แล้วทำไมผมไม่สวมเสื้อ ไอ้เอิ้นก็เหมือนกัน

เมื่อคืนเราทำกันอีกแล้วเหรอวะ

ด้วยความตกใจผมทะลึ่งตัวลุกขึ้นกระชับผ้าห่มแล้วถอยกรูดออกมา ไม่ได้คาดคะเนอะไรทั้งนั้นและนั่นก็เป็นความคิดที่ผิดเมื่อเพียงถอยร่างทั้งร่างก็หลุดขอบเตียงแล้วหงายหลังลงไปนอนเจ็บอยู่บนพื้นทันที

“เจ็บมั้ย” ไอ้คนข้างบนชะโงกหน้ามาถามด้วยรอยยิ้มขำๆ

ตลกตายล่ะห่า กูเจ็บหลังจะแย่อยู่แล้ว

เกลียดหน้าไอ้เอิ้นว่ะ คิดดังนั้นจึงพลิกตัวพิงขอบเตียงแล้วห่อตัวเอาไว้ด้วยผ้าห่มที่ติดมือลงมาด้วย
พยายามคิดย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้แต่คิดอย่างไรภาพสุดท้ายที่เห็นก็คือสาวๆ ที่รายล้อมอยู่รอบกายพร้อมกับแก้วเหล้า

เมื่อคืนน่ะผมเมาหนักมากเลย

“คิดอะไรออกบ้างรึยัง” ไอ้เอิ้นกระโดดมานั่งตรงหน้าผิวกายขาวๆ สะท้อนกับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ดูเหมือนผิวของมันเปล่งประกายวิบวับ

แยงตาจนต้องก้มหน้าหลบ

“เมื่อคืนเสือน่ะ…” คนตรงหน้าหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะฉกวูบเข้ามาจนหน้าผากแนบชิด

มือหนาวางลงบนไหล่ของผมแล้วลูบไล้ลงมาตามท่อนแขน สายตาหวานล้ำกวาดมองทั่วทั้งใบหน้าของผม การกระทำที่ทำให้ร่างกายรู้สึกแปลกๆ ไม่นานหลังจากนั้นผ้าห่มที่ผมกอดเอาไว้แนบอกก็ถูกดึกออกเผยท่อนบนเปลือยเปล่า

“…ร้อนแรงมากๆ เลยนะ” ไอ้เอิ้นขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูให้ผมได้สติ

“ร้อนแรงเหี้ยไร”

“ไม่เชื่อเหรอ ดูนี่สิ”

ผิวกายไอ้เอิ้นเหมือนของร้อนที่เมื่อสัมผัสแล้วแทบจะชักมือออกในทันที แต่เจ้าของผิวร้อนๆ กลับไม่ให้ผมได้ทำดั่งใจ มันล็อคมือของผมไว้พานิ้วเรียวลากไล้ลงบนรอยช้ำที่เด่นชัดอยู่บนแผ่นอกขาวผ่อง

“แล้วนี่ฝีมือใคร”

“ยุงกัดรึเปล่า” ปัญญาอ่อน กูเนี่ยครับโคตรปัญญาอ่อนดูก็รู้ว่ารอยมนุษย์ดูดแน่ๆ หรือบางทีอาจจะเป็นรอยเสือดูดก็ได้

“ช้ำขนาดนี้ต้องเป็นยุงตัวใหญ่มากแน่ๆ เลยเนอะ”

ไม่ต้องมามองด้วยสายตาหวานเยิ้มเลยเดี๋ยวกูเคลิ้ม

ผมแบมือออกวางแหมะลงบนรอยช้ำนั้นแล้วออกแรกผลักหากอีกฝ่ายก็ขืนตัวไว้แล้วยิ้ม

ยิ้มแบบที่ผมโคตรเกลียด

“ยังมีที่อื่นอีกนะ ร้อนแรงเหมือนกันนะเราอะ”

ไม่ต้องบอกก็เห็นแล้วว่ารอยจ้ำๆ กระจายอยู่ทั่วลำตัว กระทั่งหน้าท้องยังมี นี่ผมทำอะไรลงไปต้องโทษสาวๆที่ชงเหล้าให้ผมไม่ขาดจนเมาไร้สติขนาดนี้

“แล้วทำไมมึงไม่ห้ามกูล่ะ”

“ทำไมต้องห้ามล่ะตอนเสือทำโคตรรู้สึกดีถ้าไม่ตักตวงช่วงเวลาอันมีค่านั้นไว้ก็บ้าแล้ว”

ตรงดีและผมก็อยากจะสวนหมัดเข้าที่หน้ามันตรงๆ สักทีแต่ติดที่มือของผมทั้งสองข้างถูกพันธนาการเอาไว้น่ะสิ

“มึงก็รู้สึกดีแล้วต้องการอะไรจากกูอีก”

“อยากทำรอยบนตัวเสือบ้าง” ตรงกว่านี้ก็ไม่บรรทัดแล้ว

พูดเฉยๆ คงกลัวว่าผมจะไม่เชื่อมือไม้ถึงได้เริ่มเลื้อยไปตามตัวผมเหมือนเถาวัลย์พันต้นไม้ ทั้งลูบ บีบ คลึง ถามว่าเสือเคลิ้มมั้ย

บอกเลยว่า…จะเหลือเรอะ

ผมปิดเปลือกตาลงแล้วเชิดหน้าขึ้นนิดหนึ่งตอนที่ไอ้เอิ้นเอียงใบหน้าทำทีเหมือนจะจูบ นี่ผมต้องการจูบจากมันขนาดนั้นเชียวเหรอวะ

“บอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวน่ารัก”

เสียงกระซิบดังที่ข้างหูก่อนที่ความนุ่มหยุ่นจะทาบทับลงมาบดเบียดแล้วจึงสอดแทรกความเปียกชื้นเข้ามาภายใน ความร้อนรุ่มเมื่อสัมผัสค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น ผ้าห่มที่คลุมตัวถูกรั้งออกไปกองไว้ข้างตัว มือหนาลูบไล้ที่ต้นขาของผมให้มันรู้สึกร้อนผะผ่าวก่อนจะค่อยๆ แยกออกเพื่อให้ร่างของเราแนบชิดยิ่งขึ้น

ริมฝีปากของเราบดเบียดกัน ลิ้มรสชาติความหวานที่ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ผละออกแล้วจึงแนบลงมาใหม่

มือของไอ้เอิ้นลูบไล้ที่แผ่นหลังของผมในตอนที่มันผละริมฝีปากออกให้ผมขยับใบหน้าตาม

รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏ ผมไม่รู้ว่ามันส่ายหน้าทำไมกระทั่งริมฝีปากถูกสัมผัสด้วยนิ้วเรียวที่ทาบลงมาบดคลึง

“ให้เอิ้นทำเหมือนที่เสือทำให้เอิ้นเมื่อคืนนะ”

ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาในตอนท้ายประโยค สัมผัสนุ่มหยุ่นที่เคยคลอเคลียริมฝีปากของผมบัดนี้กำลังแนบลงบนปลายคางให้แหงนเงยใบหน้าขึ้นอัตโนมัติแล้วสัมผัสนั้นก็ค่อยเคลื่อนต่ำลงมาที่คอ ผมรับรู้ได้ถึงแรงขบเม้มที่ทำให้รู้สึกเจ็บ

แต่ว่า…

“เอิ้นที่คอไม่ได้” ผมจับไหล่แกร่งแล้วพยายามดันออก

“ทีเสือยังทำที่คอเอิ้นเลย” พออีกฝ่ายเอียงคอนิดนึงก็เห็นรอยที่ผมฝากเอาไว้

ถ้าเป็นแบบนี้คนอื่นก็รู้เรื่องที่เราทำกันพอดีสิ

“แล้วทำไมมึงไม่ห้ามกู”

“เอิ้นชอบ ชอบให้คนอื่นรู้ว่าเอิ้นมีเจ้าของแล้ว”

“แต่กูไม่ชอบ ถอยไป” ผมออกแรงดันไหล่มันอีกแต่อีกฝ่ายก็ขืนตัวไว้ไม่ยอมถอยง่ายๆ

“แต่เสือมีอารมณ์แล้วนี่” ก้มลงมองที่เป้ากางเกง พร้อมมากจนผู้เป็นเจ้าของอย่างผมยังตกใจ

“เออมีแต่ไม่ได้มีกับมึง”

“อ้าวเมื่อกี้เรายัง…”

“ถอย!! กูจะไปอาบน้ำ” คราวนี้แค่ถูกผลักเบาๆ คนตรงหน้าก็ยอมถอยไปง่ายๆ

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไม่สนใจแล้วว่าร่างกายจะอยู่ในสภาพล่อแหลมแค่นั้น แก้ผ้าเดินโทงๆ ต่อหน้ามันยังเคยมาแล้วเลยนับประสาอะไรกับสวมกางเกงตัวเดียว

สบาย

ถึงจะปลอบใจตัวเองด้วยเรื่องขายขี้หน้าในอดีตแต่ขาทั้งสองขาวก็ก้าวเร็วๆ เหมือนกำลังแข่งเดินมาราธอน

ผมเหลือบมองไอ้เอิ้นตอนที่หยุดตรงหน้าประตู เพียงเราสบตากันมันก็ถลาเข้ามาหาผม

แผ่นอกแนบแผ่นหลังจนผมยืนตัวเกร็ง แค่ชั่ววูบหนึ่งจริงๆ ที่ผมถูกจู่โจมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ให้เอิ้นช่วยนะ” ต้องยอมรับในความพยายามของมัน แน่นอนว่าอารมณ์ของผมยังมีอยู่แต่มันใช่เรื่องที่ผมควรให้มันช่วยเหรอ

ก็แค่มันชอบผม ส่วนผม…ไม่ได้ชอบมันซักหน่อย

“มึงจะปล่อยกูดีๆ หรืออยากให้กูใช้กำลัง”

“แล้วเสืออยากให้เอิ้นช่วยดีๆ หรืออยากให้เอิ้นใช้กำลัง”

ยอกยอน!!

ผมพลิกตัวกลับ ถ้าไอ้เอิ้นใส่เสื้อผมคงคว้าคอเสื้อมันไปแล้วแต่เพราะร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยไงสิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือกระทุ้งเข่าใส่ตั้งใจให้โดนจุกยุทธศาสตร์ที่มีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเสือใหญ่ของผมแต่ไอ้นี่มันไหวพริบดี พอผมยกขามันก็หลบ

มีอะไรที่ผมเก่งกว่ามันไหม

ผมวางเท้าลงเก้อๆ ทว่าเมื่อเท้าสัมผัสพื้นลมหายใจที่ผ่อนออกมายังไม่ทันหมด ท่อนขาก็ถูกจับหมับแล้วยกขึ้นแนบไว้ข้างลำตัวคนตรงหน้าที่แทรกเข้ามา

ผมเบิกตากว้างเมื่อตรงกลางกายของเราสัมผัสกัน

เท่านั้นแหละนรกหรือสวรรค์ก็ไม่รู้

รู้แต่ว่า…รู้สึกดีว่ะ



[- T B C -]

ไงล่ะคุณเสือ ริจะมอมเหล้าเขา แล้วไงเมาแอ๋
โชคดีนะที่คุณเอิ้นเขามีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ ไม่งั้นล่ะก็เรียบร้อยโรงเรียนคุณเอิ้นแน่ๆ
เอาเป็นว่าตอนนี้เราเซอร์วิสให้นะคะ ตอนก่อนหน้ามันแอบเครียดไง และเดี๋ยวตอนหน้าจะมาเคลียร์ต่อ
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส

 :mew1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เสือหรือแมว เอาดีๆ 55555

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
เสือนิสัยไม่ดี =^= สงสารเอิ้น //ชูป้ายไฟ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 14 {ใกล้}



อีก 1 สัปดาห์ก็จะสิ้นปีแล้ว

สำหรับผมปีนี้ถือว่าสมบุกสมบันมากทีเดียว มีเรื่องมากมายเข้ามาไม่หยุดหย่อนแต่ผมก็ยังแก้ไม่ได้ซักอย่าง

กับกวินความสัมพันธ์ของเรากลับมาดีเหมือนเดิมในขณะที่ความรู้สึกผิดของผมที่มีต่อน้องยังเท่าเดิม ตราบใดที่ยังไม่ได้ขอโทษเรื่องความเข้าใจผิดนั้นผมไม่มีทางรู้สึกโล่งใจหรอก

ถามว่าตอนนี้สงสัยใครเป็นพิเศษไหมบอกเลยว่ามืดแปดด้าน

ถ้าไม่ติดคีย์เวิร์ดคนใกล้ตัวล่ะก็ป่านนี้ผมตามไปต่อยไอ้นพชัยแล้ว

“พี่เสือมานานรึยัง ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จว่ะ” เจ้าของเสียงนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม

วันนี้ผมนัดกวินออกมาทานข้าวเย็นด้วยกัน ดูสภาพน้องมันแล้วก็รู้เลยว่ามันเหนื่อยล้าเพียงใด

นึกย้อนไปถึงข้อความที่ได้อ่านแล้วก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมสภาพมันถึงเป็นแบบนี้

“สั่งอาหารเลยมั้ย”

“คิดยังไงนัดผมออกมากินข้าววะพี่” ถามขณะเปิดเมนูอาหาร

“มีเรื่องจะถามหน่อย”

“ถามเลยก็ได้นะพี่”

“รออาหารก่อนดีกว่า” ผมบอกขณะเรียกพนักงานมารับออเดอร์

รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ

เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระในตอนที่ค่อยๆ รับประทานอาหารรสชาติยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณไอ้เอิ้นที่แนะนำร้านอาหารนี้ให้ถึงราคาจะไม่ค่อยสบายกระเป๋าก็เถอะ

“พี่บอกมีเรื่องจะถาม” กวินวางช้อนลงแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“ตอนที่เอ็งเมา…”

“ผมพูดอะไรไม่ดีกับพี่รึเปล่า”

“ขอโทษนะวิน”

“เรื่องอะไรพี่”

“พี่คิดว่าเอ็งเป็นคนใส่ร้ายพี่ว่ะ”

คนถูกผมปรักปรำด้วยความคิดนั่งนิ่งไปจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่นานนักเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าชื่นมื่นราวกับเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก

“ก็ไม่แปลกหรอกพี่ ผมเองก็ทำตัวน่าสงสัย”

“ไม่โกรธเหรอวะ”

“ไม่หรอก แต่ถ้าพี่ได้ยินเรื่องที่ผมจะบอกพี่ต่อจากนี้พี่ต้องโกรธผมแน่ๆ เลยว่ะ”

“อะไร” ผมเริ่มใจคอไม่ดี

“ตอนที่พี่ถูกพักงานผมเองก็กำลังพยายามทำบางอย่างเหมือนกัน

กวินนิ่งไปราวกับกำลังตัดสินใจว่าควรจะเล่าต่อดีหรือไม่ กระทั่งผมยกยิ้มบางแบบที่คิดว่ามองแล้วทำให้รู้สึกดีที่สุดมันจึงว่าต่อ

“ผมน่ะพยายามจะเป็นเหมือนพี่มาตลอดเลยนะ กระทั่งตอนพี่ถูกพักงานแม้จะเสียใจแต่ลึกๆ แล้วผมกลับดีใจว่ะเพราะเท่ากับว่าช่วงเวลานั้นผมจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำได้เหมือนพี่ เผลอๆ อาจจะดีกว่าพี่ด้วยซ้ำ แต่เชื่อมั้ยพี่พอได้ลองทำจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย อย่างไรผมก็ไม่มีทางทำได้เหมือนพี่”

อยู่ๆ คำของไอ้เอิ้นก็ผุดขึ้นมาในหัว

‘Put the Right Man to the Right Job เลือกคนให้ถูกงาน’

“เหนื่อยมั้ยวะ”

“โคตรเหนื่อย” คนตรงหน้าผมยกยิ้มเพลียๆ “แต่มันก็คุ้มนะ อย่างน้อยๆ สิ่งที่ผมทำและผลที่ได้รับก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร ผมจะไม่พยายามเป็นเหมือนพี่แล้ว แต่ผมจะเป็นตัวของตัวเอง เก่งในแบบของตัวเองและจะประสบความสำเร็จให้เท่ากับพี่”

“มึงนี่แม่งทำกูรู้สึกว่าตัวเองเลวไปเลยว่ะ”

“พี่เสือก็ไม่ใช่คนดีไม่ใช่รึไง”

“เออ กูแม่งเลวไง วิน กูถามมึงอีกเรื่องนึงได้มั้ย”

“เรื่องพี่นพใช่ป่ะ” ถามผมกลับราวกับรู้ใจ แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อม

“อือ” ผมพยักหน้ารับ มือชื้นเหงื่อเมื่อแอบลุ้นไปกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ

“พี่นพเป็นรุ่นพี่สายรหัสของผม”

สายรหัส? ผมทราบว่าสองคนนี้เรียนจบจากที่เดียวกัน แต่ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้

“เขาสอนผมหลายๆ เรื่องแต่ผมไม่เคยเอาข้อมูลบริษัทเราไปบอกเขานะพี่ พี่นพเองก็ไม่บอกอะไรผมเลยเหมือนกัน”

“งั้นเหรอ คนอย่างไอ้นพไม่น่าจะยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือ”

“พี่เสือกับพี่นพเหมือนกันอยู่อย่างนึงนะ”

“กูกับไอ้นพเนี่ยนะ กูดีกว่ามันเยอะว่ะวิน”

“พี่เสือคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

“ไอ้นี่ !!”

ผมแยกเขี้ยวใส่แต่ไอ้วินกลับหัวเราะก่อนจะว่าต่อ

“พี่นพเคยตื๊อถามผมเรื่องเกี่ยวกับบริษัทอยู่ครั้งนึง พอผมไม่บอกเขาก็ไม่ถามอีก เหมือนพี่เสือที่เวลาผมมีปัญหาพี่จะถามผมครั้งเดียวถ้าผมแก้ไม่ได้พี่ก็จะลงมือทำเอง นั่นแหละที่ผมคิดว่าพวกพี่เหมือนกันมากๆ เลย”

“งั้นเหรอไม่คิดว่ามันจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้”

“พี่นพไม่ได้ยอมแพ้ครับ พี่นพแค่หาทางของตัวเอง พี่เสืออาจจะเคยเห็นพี่นพไปเสนอเงื่อนไขต่างๆ ให้น้องพนักงานขายของเราใช่มั้ยล่ะ”

ผมพยักหน้ารับ ก็เห็นๆ กันอยู่อะนะ

“แต่เขาก็ไม่เคยตื๊อน้องเลยนะครับ ถ้าน้องยอมรับเงื่อนไขก็ไปแต่ถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร พี่เสือรู้มั้ยว่านั่นทำให้ผมคิดได้ว่าอย่างไรผลประโยชน์ที่ได้รับก็เป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ของการเลือกงาน”

“มันก็จริงว่ะ” ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอก อย่างไรเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต “ไม่คิดว่าไอ้นพจะเป็นคนดีขนาดนี้ มึงเข้าข้างพี่ตัวเองรึเปล่าวะ”

“ผมมองพี่นพอย่างไม่มีอคติต่างหาก”

อย่างนั้นเหรอ คำพูดของกวินทำให้ผมนึกถึงวันที่เจอนพชัยครั้งแรก ตอนนั้นผมชื่นชมมันมากเลยนะ เรียนเก่ง บุคลิกภาพดี ดูดีจนไม่คิดว่ามันเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่งเมื่อเรากลายเป็นศัตรูผมก็ไม่เคยมองมันให้แง่ดีอีกเลย

แน่นอนว่าคงเป็นเพราะปมถูกอคติบังตาไปแล้ว มันคงดีถ้าเรามองทุกๆ โดยปราศจากอคติได้

“ขอบคุณพี่เสือที่ถามผมตรงๆ”

เสียงกวินดึงผมให้หลุดจากความคิดที่ย้อนกลับไปในอดีต

“คืนที่ทะเลกูมอมเหล้ามึงนะวิน”

“ผมรู้ พี่แอบดูโทรศัพท์ผมด้วยล่ะสิ”

“มึงรู้ได้ไง” หรือว่ามันแกล้งเมาวะ

“วันก่อนคุณเอิ้นเรียกผมเข้าไปคุย แล้วเขาก็โทรไปต่อว่าฝั่งโน้นเรื่องที่ใช้คำพูดรุนแรงกับผม พี่กับคุณเอิ้นสนิทกันจนผมอิจฉาแล้ว”

มีแต่คนบอกว่าผมสนิทกับไอ้เอิ้นว่ะ เอาวะสนิทก็สนิท

“แล้วมันว่าไงอีก”

“คุณเอิ้นบอกว่าเราทำงานกันเป็นทีม”

“แค่นี้?”

“ไม่นะพี่ คำพูดของคุณเอิ้นทำให้ผมคิดได้ว่าผมไม่ใช่ตัวคนเดียว ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรผมจะไม่เก็บไว้คนเดียวอีกแล้ว”

“จำคำพูดตัวเองไว้ อย่าให้กูรู้ว่ามึงเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้คนเดียวอีก จะต่อยให้คว่ำเลย”

“ผมดีใจนะที่ร่วมงานกับคนดีๆ อย่างพี่เสือและคุณเอิ้น โคตรโชคดีเลยว่ะ”

“ดีใจเหมือนกันที่ได้ร่วมกันน้องกวิน”

“ขนลุกไปหมด” ไอ้น้องกวินสั่นระริกเมื่อพูด

เออ ขนลุกจริง

“แล้วพี่สงสัยใครเป็นพิเศษมั้ยนอกจากผม” เข้าสู่โหมดเครียดเฉยเลย

ผมมุ่นคิ้วก่อนจะส่ายหน้าอย่างคนหมดทาง

“คนจากฝั่งเดอะเฟิร์สรึเปล่า แบบเอาชื่อพี่ไปอ้างเพื่อแย่งลูกค้าเรา พี่ก็รู้ว่าคุณปรีชาติดพี่จะตาย ตอนด่าผมนี่ชมพี่จ๊น !!!” กวินทำเสียงเอือมๆ แล้วกรอกตามองบน

“เกิดเป็นเสือนี่มันเหนื่อย”

“ค่อยๆ คิดนะพี่ ผมเอาใจช่วย”


▼▲ ▼▲ ▼


ผมกับกวินแยกกันที่หน้าร้านตอนที่เคลียร์ปัญหาทุกอย่างจบแล้ว รู้สึกดีราวกับยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะ

เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก รู้สึกดีอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ ความคับข้องใจก็เข้ามาเบียดพื้นที่หัวใจอีกหนเมื่อเผลอเหลือบมองไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นว่าใครนั่งอยู่ข้างในนั้น

ไอ้เอิ้นกับคุณปรีชา

คุณปรีชาคือลูกค้าที่จะจบงานกับเราใน 1 สัปดาห์ข้างหน้า คนที่ด่าไอ้กวินอย่างกับหมูกับหมาอย่างไรล่ะ

แปลกจัง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าสองคนนี้คุ้นเคยกันถึงขั้นนัดกันกินข้าวแบบส่วนตัว

อยู่ๆ คำว่าคนใกล้ตัวที่ไอ้สนิมเคยบอกก็สว่างขึ้นในหัว

ผมพยายามมองข้ามไอ้เอิ้นแล้วแต่หลายอย่างที่มันทำ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเป็นมันที่ใส่ร้ายผม

ที่บอกว่าชอบผม บางทีอาจจะเป็นแค่ลมปากที่พูดออกมางั้นๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย


▼▲ ▼▲ ▼


ผมไม่ได้แวะไปหาเจ้ศรีในร้านตอนที่กลับมาถึงบ้านอย่างที่เคยทำ หลายๆ อย่างที่ยังถูกผูกเป็นปมอยู่ในใจทำให้ผมอยากทำแค่อย่างเดียวคือนอนเฉยๆ

ไม่ใช่อะไรหรอก ขี้เกียจล้วนๆ เลย

ผมยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก เหลือบมองเสื้อวินที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะหลับตาลง

บางทีผมอาจจะไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นอีก ถ้าเรื่องทุกอย่างจบก่อนปีใหม่นี้

ความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาปิดลง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ไม่น่าจะใช่เจ้ศรีเพราะแม่ผมไม่ได้มีมารยาทขนาดนั้น พ่อเหรอ? ไม่มีทางหรอก ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยมาเคาะห้องผม ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพ่อรู้หรือเปล่าว่าห้องลูกชายอยู่ตรงไหนของบ้าน

มันเหรอ?

อยู่ๆ ก็นึกถึงไอ้เอิ้นขึ้นมา

“เสือ...”

และก็ใช่มันจริงๆ

“เอิ้นเข้าไปได้มั้ย”

“กูไม่อยากคุยกับมึง” ผมตะโกนตอบออกไป

“งอนอะไรอีกเนี่ย” ไม่ได้ฟังกันเลยใช่มั้ย บอกว่าไม่อยากคุยด้วยไงแล้วยังถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามา ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆ กันอีกต่างหาก

“มึงไปกินข้าวกับคุณปรีชา อย่าคิดว่ากูไม่เห็น”

“หึง?”

“หึงเหี้ยไร กูจริงจังนะเอิ้น”

“เสือสงสัยเอิ้นเหรอ”

เออสงสัย

ใจจริงก็อยากจะตอบไปอย่างที่ใจคิดแต่เมื่อมองเข้าไปในตาของคนตรงหน้าแล้วก็พูดอะไรไม่ออกเลย ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจมันในขณะที่มันโคตรดีกับผม

“กวินเล่าให้เสือฟังแล้วใช่มั้ยว่าเอิ้นโทรไปต่อว่าคุณปรีชา เค้าโกรธมากเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอิ้นคงยอมแต่เมื่อคิดว่าถ้าเป็นเสือ เสือต้องไม่ยอมแน่ๆ เอิ้นก็เลย...ต่อว่าเค้าไปยกใหญ่เลยล่ะ”

“ทำเป็นเก่ง”

“ก็ไม่เก่งหรอก เอิ้นลำบากใจมากเลยที่ต้องทำร้ายคนนึงเพื่อปกป้องอีกคน”

ผมเงียบ มองไอ้เอิ้นที่แสดงสีหน้าลำบากใจสุดๆ

“แต่ว่านะ หลังจากได้คุยกับกวินเมื่อวันก่อน ดูเค้าไม่เครียดเท่าไหร่แล้ว ความลำบากใจมันก็ค่อยๆ หายไป เข้าใจความรู้สึกของเสือเลยล่ะ”

“ความรู้สึกอะไรของกู”

“ตอนที่เสือปกป้องน้องในทีม ตอนที่เสือปกป้องเอิ้น เอิ้นเข้าใจแล้วว่าระหว่างทางมันอาจจะเจ็บปวดแต่ที่ปลายทางถ้าคนที่เรารักไม่ต้องทุกข์เราก็มีความสุขแล้ว ใช่มั้ย เอิ้นเข้าใจถูกใช่ป่ะ”

“กูเคยปกป้องมึงตอนไหน”

“ปากแข็งนะเรา” พูดเฉยๆ ไม่ได้ต้องยื่นมือมาเกลี่ยริมฝีปากกัน ครั้นเมื่อผมปัดออกมันก็เลื่อนมาวางมือไว้ที่ข้างแก้ม

มองลึกเข้ามาในดวงตาของผมด้วยแววตาลึกซึ้ง

“ไม่ต้องมามองเลย แล้วลงไปจากเตียงกูด้วย”

“ทำไม กลัวเอิ้นเหรอ แต่จะว่าไปตอนนั้นเสือก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ” หมายถึงวันนั้นหน้าห้องน้ำ

ไอ้ระยำ ถ้าผ่าสมองมันออกคงมีแต่เรื่องอย่างว่าที่ทะลักออกมา

แล้วพอพูดก็วางมือลงบนขาของผมลูบสูงขึ้นมา ปลุกเร้ากันสุดๆ ถ้าไม่คว้ามือแกร่งข้างนั้นเอาไว้ล่ะก็อารมณ์หื่นของเสือต้องมาแน่ๆ

ผมนี่แม่ง นิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่นละห่า

“เอิ้นเหนื่อยจังเลยเสือ” ว่าพร้อมกับวางศีรษะแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกของผม “เมื่อกี้คุณปรีชาด่าเอิ้นจนไม่มีช่องว่างให้สำนึกผิดเลย”

“ยังไม่พอใจใช่มั้ยถึงมาให้กูด่าถึงนี่” ผมวางมือลงบนแผ่นหลังคนบนอกแล้วตบเบาๆ

“ถ้าเป็นเสือ ให้ด่าทั้งชีวิตยังได้เลย”

“มึงนี่นะ ไม่เบื่อบ้างเหรอวะ”

“เอิ้นไม่เคยเบื่อเสือ”

“ทำไมมึงถึงชอบคนอย่างกูวะ”

“คนอย่างเสือเป็นยังไงเหรอ” ไอ้เอิ้นผละออกจากอกแล้วมองหน้าผมตรงๆ ในดวงตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยคำถาม

“หยาบคาย นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว ขี้เกียจ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้เรื่อง”

“ทำไมพูดถึงแต่ข้อเสียของตัวเองล่ะ ถ้าเอาแต่ข้อเสียมาพูด เราคงไม่มีสิทธิ์ให้ใครมารักหรือรักใคร เสือต้องเข้าใจนะ ว่าคนหนึ่งคนประกอบด้วยทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีใครที่เป็นคนดี 100% หรอก อย่างเอิ้น ถึงจะมีข้อดีที่หล่อมาก ดูรวยแต่จริงๆ แล้วเอิ้นขี้เกียจอาบน้ำสุดๆ เลย”

“ตลกนะมึงอะ”

“นี่ไม่เชื่อเหรอ ลองไปอยู่ด้วยกันซักวันสิ แล้วเอิ้นจะพิสูจน์ให้ดู”

ผมเบือนหน้าหนีเม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้จะด่ามันด้วยคำไหนดี ไอ้เอิ้นแม่งหาช่องว่างให้ตัวเองเอาเปรียบผมได้ตลอดเลยว่ะ

“ลองไปคิดดู เอิ้นชวนจริงจังนะเนี่ย”

“มึงจะยังไม่หยุดใช่มั้ย”

“เขินเหรอ เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือเขินกว่านี้อีก”

ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ ให้หัวใจสั่นไหว ผมแม่งก็ไม่ยอมผละออกนะ จ้องมันกลับอยู่นั้นแหละ

“พร้อมจะเขินรึยัง”

“อะไรของมึง” เมื่อผมพูดจบประโยคไอ้เอิ้นก็จับไหล่ของผมบีบเบาๆ ไม่รู้หรอกว่ามันต้องการจะสื่ออะไรและก่อนที่ผมจะผลักไสมันออกไปไกลๆ คนตรงหน้าของผมก็เอ่ยออกมาซะก่อน

“เวลาที่เรารักใครเรามักจะมองข้ามข้อเสียของเขาไปจนหมด แต่สำหรับเอิ้น เมื่อได้รักใครแล้วนั่นหมายความว่าเอิ้นรับได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของเขา”

“...”

“เวลาเสือด่าเอิ้น หมายความว่าสิ่งที่เอิ้นทำมันทำให้เสือเขินมากๆ จนทำอะไรไม่ถูกก็เลยแก้เขินด้วยการด่าเอิ้น”

“หือ มึงนี่จินตนาการสูงเนอะ”

“แน่นอนสิ เอิ้นจินตนาการถึงเสือตลอดแหละ”

“ไอ้ทะลึ่ง”

“เสือคิดอะไรเนี่ย คิดว่าเอิ้นจินตนาการถึงตอนที่ทำเรื่องอย่างว่าเหรอกฃ ก็ถูกนะ” ใบหน้าของผมร้อนฉ่า “แต่เวลาอื่น เอิ้นก็คิดถึงเสือเหมือนกัน เสือเป็นแรงบันดาลใจของเอิ้น เป็นคนที่ทำให้เอิ้นพยายามเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ เพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆ เสือไง”

“...”

“เสือบอกว่าเสือนิสัยไม่ดี แบบไหนล่ะที่เรียกว่านิสัยไม่ดี เสือเป็นคนขี้โกหกเหรอ เป็นคนผัดวันประกันพรุ่งรึเปล่า เห็นแก่ตัว ก็ไม่นะ เอิ้นเคยเห็นเสือสละที่นั่งบนรถเมล์ให้คนแก่ เคยเห็นซื้อข้าวให้คนจรจัด เคยพาหมาข้ามถนน นี่หรือคนนิสัยไม่ดี แต่ถ้านิสัยไม่ดีในความหมายของเสือคืออารมณ์ร้อนวู่วาม แคร์แต่คนอื่น ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต ใช่ เสือนิสัยไม่ดีเลย แต่จะบอกให้นะ เอิ้นเองก็คงนิสัยไม่ดีเหมือนเสือ”

ฟังไอ้เอิ้นแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีขึ้นมาเลยว่ะ

“เสือบอกว่าเสือขี้เกียจ แล้วไงอะ คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะขี้เกียจ เอิ้นเองก็ขี้เกียจเหมือนกันนะบางที”

“...”

“เรื่องเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มันอาจจะเป็นนิสัยที่ติดตัวเสือมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าแก้ไม่ได้ เอิ้นก็พร้อมจะยอมรับ บอกแล้วไงว่าเอิ้นยอมรับทุกอย่างของคนที่เอิ้นรัก”

“...”

“และการที่เสือบอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง เสือรู้มั้ยว่าเสือโคตรดูถูกตัวเองเลย ถ้าเสือไม่ได้เรื่อง พวกบริษัทคู่แข่งจะแย่งตัวเสือไปทำไม เสือน่ะโคตรเก่งเลยรู้เปล่า”

“...”

“เอิ้นไม่อยากให้เสือมองแต่ข้อเสียของตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักข้อดีของตัวเองเราก็จะไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง ในสายตาเอิ้นเสือเป็นคนดี รักเพื่อนพ้อง เห็นอกเห็นใจคนอื่น เป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ตรงไปตรงมา ไม่อายที่จะทำอะไรก็ตามที่ตัวเองคิดว่ามันไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าจะให้เอิ้นสาธยายความดีของเสือ วันนี้ทั้งวันคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

“มึงนี่ ท่าทางจะหลงเสน่ห์กูมากๆ เลยเนอะ”

“แล้วเมื่อไหร่เสือจะหลงเสน่ห์เอิ้นบ้างล่ะ”

“ฝันไปเถอะ”

“งั้นนอนกันจะได้ฝัน” ว่าจบก็ดันตัวผมให้ล้มลงบนเตียงก่อนจะวางศีรษะลงบนอกของผมอีกครั้ง  คิดว่าไอ้เอิ้นคงได้ยินเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงเพราะคำชื่นชมของมันแน่ๆ

“กวนตีน อยากนอนนักก็กลับบ้านไปสิวะ อย่ามาเนียน”

“นอนนี่แหละ แม่ชวนให้อยู่กินข้าวก่อน”

“ถ้าแม่กูรู้ว่ามึงคิดอกุศลกับกูล่ะก็ แม้แต่หลังคาบ้านกูมึงก็ไม่มีสิทธิ์เห็น”

“ความรักไม่ใช่เรื่องอกุศลซะหน่อย แล้วอีกอย่างนะ แม่รู้ว่าเอิ้นชอบเสือ”

“หือ มึงอย่ามาตลก”

“แม่ยังบอกให้เอิ้นดูแลเสือดีๆ”

“ไม่มีทาง เมื่อหลายวันก่อนแม่ยังบอกให้กูหาเมียอยู่เลย”

“แม่บอกว่าเสือไม่ชอบผู้หญิง ชอบเอิ้นจนไม่มีที่ว่างในหัวใจให้ใครแล้วใช่มั้ยล่ะ”

“มึงนี่!!!” เอะอะวกเข้าเรื่องผมมีใจให้มันตลอดเลยว่ะ ฟังจนเคลิ้มคิดว่าตัวเองมีใจให้มันจริงๆ แล้วเนี่ย เอ๊ะ! หรือว่าที่จริงผมก็มีใจให้มันแล้ว

ไม่มีทางหรอก ทั้งเรื่องความรู้สึกของผมและเรื่องแม่

“เขินจนหูแดงแล้ว” มันบอกในตอนที่ช้อนสายตาขึ้นมองผม

เกลียดแม่งว่ะ ทั้งที่รู้สึกอย่างนั้นแต่ผมกลับไม่ผลักไสมันออกไป และหากจะทำก็ทำได้ง่ายๆ เลย


▼▲ ▼▲ ▼


ผมใช้เวลาไม่กี่วันที่เหลือก่อนปีใหม่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อวินของไอ้แชมป์ คิดไว้ว่าวันที่ 30 จะแคะกระปุกเอาเงินไปซื้อของขวัญปีใหม่ให้เจ้ศรีกับพ่อ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าของแบบไหนที่พวกท่านจะชอบ

“มุ่นคิ้วอีกแล้วเดี๋ยวหน้าก็แก่ก่อนวัยอันควรหรอก”

“ไหนมึงบอกจะกลับบ้านไงแล้วทำไมยังเสนอหน้ามานี่ล่ะ” ระหว่างรอผู้โดยสารไอ้ผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ก็โผล่มา

ไอ้เอิ้นโผล่มาที่วินบ่อยจนคนในซอยคิดว่ามันเป็นหัวหน้าวินแล้ว ก็ดูมันแต่งตัวสิ ดีเกินหน้าเกินตา

“ไม่อยากกลับเลย ปีใหม่อยากอยู่กับเสือมากกว่า”

“กลับไปเยี่ยมครอบครัวน่ะถูกแล้ว”

“เสือว่าดีเหรอ”

“อือ”

“เสือว่าดี เอิ้นก็ว่าดีด้วย ว่าแต่มีเรื่องอะไรให้คิดเหรอ หน้ายุ่งเชียว”

“คืองี้นะ กูจะซื้อของขวัญให้เจ้กับพ่อไง แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่ะว่าจะซื้ออะไร”

“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ถ้าเป็นของที่คนที่เรารักซื้อให้ล่ะก็ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ผู้รับก็ดีใจหมดแหละ”

“ไม่สิมึง นอกจากดีใจที่ได้รับแล้วก็ต้องดีใจที่เป็นของที่ตัวเองชอบด้วยดิวะ”

“ผู้หญิงชอบเครื่องประดับ เสือน่าจะซื้อสร้อยหรือไม่ก็ต่างหูให้แม่นะ ส่วนพ่อ ชอบอ่านหนังสือใช่มั้ย ซื้อหนังสือดีๆ ซักเล่มให้ท่านสิ”

“มึงรู้จักพ่อกับแม่กูดีกว่ากูอีก” ผมนี่ดูเป็นลูกที่ไม่น่ารักเลยว่ะ

“ก็เอิ้นชอบเสือนี่”

“ถึงจะรู้ว่าพ่อชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าชอบอ่านหนังสือแนวไหน ยากฉิบหาย”

“ลองถามแม่สิ”

“ถ้าถามเจ้ เจ้ก็รู้สิว่ากูจะซื้อของขวัญปีใหม่ให้น่ะ”

“รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร”

“มันไม่เซอร์ไพร์สไง”

“เอิ้นคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปห้างกัน”

“อะไร กูต้องทำมาหากินครับ”

“เอิ้นก็ต้องทำงานเหมือนกัน ไปกันตอนเย็นนะ ไปนะเสือ”

แม้อยากจะปฏิเสธแต่หน้าเจ้ากรรมดันกดลงตอบรับคำชวนมันไปซะอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าหล่อผมตัดคอตัวเองทิ้งไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย

หลังจากนั้นผมก็ขับวินไปส่งมันที่คอนโด ย้ำว่าส่งแค่หน้าคอนโด จะบอกอะไรให้นะ อย่างเสือน่ะ ถ้าไม่เมาหรือหิวไม่ยอมเข้าห้องไอ้เอิ้นง่ายๆ หรอกโว้ย

ไอ้นี่ก็แปลกนะ รถหรูมีไม่ขับ ดันอยากซ้อนมอเตอร์ไซค์ ลำบากผมต้องตื่นเช้ามารับไปทำงานอีก

แต่เงินดีครับ ยอมให้มันดมซอกคอกับกอดเอวนิดหน่อย ได้ตั้งเที่ยวละ 500 ขอโทษอย่าแจ้ง สคบ. ครับ เพราะผู้บริโภคเต็มใจให้เอาเปรียบ


▼▲ ▼▲ ▼


เรานัดเจอกันที่ห้างในวันถัดมา ผมมาถึงทีหลังและเมื่อมาถึงร้านกาแฟที่นัดหมายผมนี่อยากจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปทางเดิมในทันทีเมื่อเห็นว่าตรงที่นั่งข้างๆ ไอ้เอิ้นนั้นไม่ได้ว่างเปล่า

ใช่ครับ มันพาคนอื่นมาด้วย และคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร เพื่อนสนิทมันไงคุณลลินคนสวย

สวยจนกูอยากจะเดินหนีเชียวล่ะ

“เสือ ทางนี้”

กูเห็นแล้วไม่ต้องโบกไม้โบกมือทำหน้าดี๊ด๊า รู้ไหมว่ากูหมั่นไส้มึงมาก

ถึงจะอยากถอยหลังกลับแค่ไหนแต่ในเมื่อนัดกันไว้แล้วก็จำต้องเดินเข้าไปหาครับ

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทักทายเพื่อนสนิทไอ้เอิ้นให้เขารู้ว่าเป็นคนมีมารยาทแล้วจึงล้วงมือถือขึ้นมากดเลย ไม่อยากมองหน้าใครทั้งนั้นแหละ อารมณ์เสีย

“เราไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนมั้ย” เป็นไอ้เอิ้นที่เอ่ยขึ้นในสถานการณ์ที่ผมโคตรจะอึดอัด

“กูไม่หิว”

“แต่ลลินหิวค่ะ ไปหาอะไรกินก่อนนะเอิ้น กว่าจะซื้อของเสร็จก็คงดึกอ่ะ กินตอนนั้นคงไม่ดี”

“ถ้าหิวก็ไปกินกันเลย เดี๋ยวกูไม่ซื้อของเองคนเดียวก็ได้”

“ไม่เอาน่าเสือ เดี๋ยวเอิ้นเลี้ยง” สัมผัสได้เลยว่าน้ำเสียงคนพูดลำบากใจ แล้วไงอะ ใครบอกให้พาเพื่อนสนิทมา

“กูไม่หิว” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแล้วลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เสียงหวานที่โคตรจะยียวนกวนอารมณ์ก็ดังขึ้นซะก่อน

“คุณเสือนี่ขี้หึงจังเลยนะครับ”

“ว่าไงนะครับ” ผมไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เมื่อกี้คุณลลินอะไรนี่บอกว่าผมหึง

ไม่หึงโว้ย

“เปล่าค่ะ แต่ถ้าคุณเสือไม่ได้เป็นอย่างที่ลลินว่าก็ไปทานข้าวด้วยกันก่อนสิคะ”

ผมหันไปมองไอ้เอิ้นที่นั่งหน้าเจื่อนอยู่ข้างๆ เธอ ผมไม่เห็นใจมันหรอกนะ หาเรื่องใส่ตัวเองนี่หว่า ไม่สมน้ำหน้าให้ก็บุญหัวแล้ว

“ต้องขอโทษคุณลลินจริงๆ ครับ ก่อนมาผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวในซอยมาแล้ว คงไปกินด้วยอีกไม่ได้”

“แค่ไปนั่งด้วยกันก็ได้ค่ะ”

“ไม่ดีกว่าครับเสียเวลา ขอตัวนะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ เหลือบมองไอ้เอิ้นก่อนจะเดินออกจากร้านมา

ให้มันได้อย่างนี้ เป็นคนนัดกูมาแต่กลับเลือกที่จะไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิท

ถึงจะโกรธจนอยากกลับบ้านแต่ไหนๆ ก็เสียเวลามาถึงนี่แล้วก็ควรจะลองไปเดินเลือกดูของเลยดีกว่า

ผมเดินลงไปที่ชั้นล่างในส่วนของซุปเปอร์มาเก็ตก่อน ไม่ได้มาห้างนานแล้วไม่รู้ว่าน้องๆ พนักงานขายที่ผมเคยดูแลเป็นอย่างไรบ้าง

“พี่เสือ” เพียงผมเดินเข้าไปใกล้น้องที่ยืนจัดของตรงชั้นวางก็ยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ “สบายดีมั้ยคะ ไม่ได้เจอกันเลย หนูเป็นห่วงพี่แทบแย่”

“ถ้าพี่ป่วยจะเดินมานี่ได้ไง”

“กวนเหมือนเดิม แต่เห็นพี่สบายดีหนูก็สบายใจค่ะ”

“แล้วเป็นไงบ้าง สินค้าขายดีมั้ย”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะ พี่เสือคะที่ในตลาดเขาลือกันว่าพี่เสือจะย้ายไปเดอะเฟิร์ส จริงรึเปล่าคะ พี่เสือยังจะตามไปดูแลพวกหนูใช่มั้ยคะ”

“พี่ไม่ได้ไปนะ เป็นแค่ข่าวลือ”

“อ้าว ในห้องประชุมตอนต้นเดือน หลังพวกพี่วินกลับ คุณปรางเข้ามาเอาใบสมัครให้เซ็น เขาแจ้งพวกเราว่าจะได้ร่วมงานกับพวกพี่เสือเหมือนเดิม บอกว่าพวกพี่อาจจะยกทีมมาทำงานที่เดอะเฟิร์สเลย”

“คุณปราง พูดแบบนั้นเหรอ”

“ค่ะ ตอนแรกพวกเราก็ลังเล แต่พอทราบว่าจะได้ทำงานกับพวกพี่เหมือนเดิมก็เลยเซ็นสัญญาจ้างไปแล้ว”

“อ้าว”

ผมคิดคำพูดไม่ออกเลย ได้แต่ร้องอ้าวๆ ซ้ำไปซ้ำมา

“ถ้าเป็นอย่างที่พี่เสือว่า น่าเสียดายจังเลยค่ะที่จะไม่ได้ร่วมงานกับพี่เสืออีกแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรอก เราก็ทำงานด้วยกันมานานแล้ว ทำกับคนอื่นบ้างจะได้เรียนรู้ คิดซะว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้การทำงานจากคนใหม่ๆ ได้รับประสบการณ์ที่เราไม่เคยได้รับ ถ้าเรากล้าที่จะเดินออกมาจากกำแพงของเรา เราจะรู้ว่าการเริ่มใหม่มันไม่ได้น่ากลัวเลย”

“หนูก็คิดได้นะ แต่หนูทำงานกับพวกพี่มานานมากมันก็เลยมีความกลัวอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลง”

“ไม่เป็นไรน่า คนเก่งไม่ว่าจะทำงานที่ไหน ถ้าเราทุ่มเทและรู้จักปรับตัวเราก็อยู่ได้”

“พี่เสือนี่ยังให้กำลังใจคนเก่งเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“แน่นอน นี่พี่เสือไง เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว ถ้ามีอะไรโทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเหมือนเดิมนะ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่เสือมากที่แวะมาหาหนู”

“ตั้งใจทำงานครับ”

ผมบอกลาแล้วจึงเดินห่างออกมา ไม่ได้ตั้งใจดูอะไรในซุปเปอร์มาเก็ตเป็นพิเศษจึงมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อนเลย แต่เพียงเดินผ่านชั้นอาหารสัตว์ก็ถูกใครคนหนึ่งที่ผมไม่เจอมานานดักหน้าเอาไว้ซะก่อน

ไอ้คุณนพชัย สายรหัสกวินอย่างไรล่ะ



[- T B C -]


กลับมาแล้ว คิดถึงพี่เสือกับคุณเอิ้นกันไหม
ตอนนี้หลายอารมณ์มากๆ เลยค่ะ เรื่องของกวินจบแค่นี้แหละ
ตอนเขียนคุณเอิ้นพูดถึงเสือ โอ้โห มีความสุขมากค่ะ เขียนไปก็ยิ้มไป
ถามตัวเองตลอดว่าคุณเอิ้นเขาหลงพี่เสือมากกว่าเราหรือเปล่านะ 555

หลังจากนี้จะกลับมาอัพปกติแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่ยังรอและติดตามกันนะ
รักค่ะ
แจ๊ส

 :t3:


ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
น่ารักน้อ

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
เอ๊ะ! ทำไมลลินครับ :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอิ้นรักเสืออะไรขนาดนั้น

อยากได้เอิ้น ๆๆๆๆๆๆ

พี่ปรางนี่ยังไง ดูมีเงื่อนงำ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยาวปายยยยยยย ไม่รู้จะจับตามองใครดี

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ช่วงตามคนน่าสงสัยก็แอบสงสัยคุณปรางเหมือนกัน แล้วใครเป็นคนวางแผนละเนี่ย~
--
อยากให้เสือทำให้เอิ้นหงุดหงิดใจแบบนี้บ้างจังแหะ 5555 อยากรู้ว่าคนที่มันหลงนักหลงหนา จะเป็นยังไง  :hao3:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร}



ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วจึงยกยิ้ม

“มาซื้ออาหารเหรอวะ” มองเลยไปยังชั้นอาหารสัตว์ข้างหลังเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมหมายถึงอาหารประเภทไหน และไอ้นพก็เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดี ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ

“ปากหมาเหมือนเดิม อยากกินยี่ห้ออะไรล่ะ เดี๋ยวผมเลี้ยง”

“แล้วปกติมึงกินยี่ห้ออะไรล่ะ แนะนำกูมั่งดิ”

“ได้ข่าวว่าคุณสงสัยน้องผม กวินเป็นคนดีนะ ผมหลอกถามน้องมันเรื่องงานที่บริษัท ก็ไม่เคยบอกซักครั้ง ถามจริงเถอะ ไม่รู้สึกผิดต่อน้องมันบ้างเหรอ”

“แล้วมึงล่ะไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอที่ทำให้น้องมันถูกเข้าใจผิดแบบนี้ บอกตรงๆ นะถ้ากูไม่รู้ว่ามันรู้จักกับมึงกูก็คงไม่สงสัยน้องมันหรอก”

“คุณเสือก็มองผมในแง่ร้ายเกินไป เพราะเอาแต่จับผิดผมไงถึงไม่รู้ซักทีว่าใครกันแน่ที่ใส่ร้ายคุณ”

“มึงอย่ามาพูดเหมือนรู้”

“คนอย่างนพชัยถ้าไม่รู้จริงไม่พูดหรอก ขอร้องผมสิแล้วผมจะบอกให้ว่าใครที่ใส่ร้ายคุณเสือจนตกอับได้ขนาดนี้” แค่คำพูดไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรหรอกหากมันไม่กดสายตามองผมอย่างดูแคลน

“กูจำเป็นต้องขอร้องมึงด้วยเหรอ ถ้ารู้จริงก็บอกมาสิ อย่ามาทำเป็นกั๊ก”

“ผมไม่ได้กั๊ก แต่การให้อะไรใครไปเราย่อมต้องการสิ่งตอบแทนจริงมั้ย แล้วคุณเสือมีอะไรมาแลก ลองว่ามาสิ ผมจะได้พิจารณาว่ามันคุ้มค่ารึเปล่า”

“มึงดูสภาพกูนะ มึงคิดว่าอย่างกูเนี่ยมีอะไรจะให้มึงได้วะ” ตอนนี้ผมก็แค่วินมอเตอร์ไซค์หล่อๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง

“ตอนนี้อาจจะยังไม่มี แต่ถ้าคุณเสือกลับไปทำงาน เราอาจจะมีอะไรดีๆ แลกกันก็ได้นี่”

“มึงจะให้กูเอาข้อมูลบริษัทมาบอกมึงอย่างนั้นเหรอ อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเองนะไอ้นพ”

“อย่างเพิ่งใจร้อนสิคุณเสือ ผมเองก็อาจจะไม่ใช่คนดีแต่ผมก็ไม่ได้ชื่นชอบคนที่เอาข้อมูลความลับของบริษัทออกมาขายให้คู่แข่งเพื่อหากินหรอกนะ  ผมแค่คิดว่าถ้าคุณกลับมาทำงานเราน่าจะแลกเปลี่ยนน้องพนักงานขายกันได้ คุณก็รู้ว่าพักหลังมานี้ พนักงานขายเก่งๆ และมีประสบการณ์หายากเหลือเกิน”

ทำเป็นพูดดีไป ทั้งที่ตัวเองก็เคยทำผิดกฎของบริษัทที่ว่าหลังจากลาออกหรือจบงานกับเดอะเอเจ้นในระยะเวลา 1 ปีห้ามไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง

“ทำอย่างกับมึงไม่เคย”

“อย่าเอาเรื่องนั้นมาเป็นประเด็นสิ ผมเลือกทำงานสายนี้แล้วในเมื่อเดอะเอเจ้นไม่เลือกผม แล้วจะให้ผมทิ้งฝันแล้วนอนอยู่บ้านเฉยๆ หรือไง ผมมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ มีแม่ต้องดูแล มีน้องที่ต้องส่งเสียให้เรียนหนังสือ คุณไม่คิดเหรอว่าสัญญาข้อนั้นมันเอาเปรียบเรามากเกินไป”

“กูไม่ซีเรียสว่ะ”

ถึงจะตอบอย่างนั้นแต่ก็แอบคิดตามเหมือนกัน เข้าใจบริษัทนะ เขาคงกลัวว่าพนักงานเก่าที่ไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งจะเอาข้อมูลที่มีติดตัวไปใช้ในงานใหม่ด้วยนั่นแหละ แต่ถ้าเราคิดดีกฎข้อนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวเลย

“ไม่ซีเรียสได้ยังไงถ้าคุณเสือพิสูจน์ตัวเองไม่ได้คุณก็ต้องถูกไล่ออกใช่ไหมและถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วคุณยังอยากทำงานสายนี้ ต้องหยุดงานไปปีนึงเลยนะ รายได้ก็ไม่มีจะอยู่ได้อย่างไร”

“ถ้ากูออกจากที่นี่กูก็ไม่คิดจะทำงานสายนี้แล้ว”

“จะเอาชนะกันให้ได้เลยใช่มั้ย เอาชนะผมได้มีความสุขมากเลยสินะ”

“ก็ดีนะ รู้สึกดี และเรื่องข้อเสนอนั่นน่ะมึงมั่นใจได้ยังไงว่ากูจะได้กลับไปทำงาน”

“ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณเสือจะไม่กลับไป หรืออยากเป็นวินมอเตอร์ไซค์ตลอดชีวิต”

“ก็ไม่เลวนะ ไปรับจ้างต่อคิวซื้อของก็ได้ค่าจ้างวันละตั้งหลายร้อย”

“เอาที่สบายใจเถอะ ถ้าไม่อยากรู้และไม่อยากรับข้อเสนอ ผมก็คงต้องขอตัว”

“กูไม่อยากเอาเปรียบมึง เพราะกูเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำงานที่นั่นอีกหรือเปล่า กูเหนื่อยที่ต้องมารองรับอารมณ์ของลูกค้าเต็มทนแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาความจริง”

“กูไม่อยากมีความผิดติดตัวไปตลอดชีวิต”

“แค่ไม่มาเริ่มกับเดอะเฟิร์สก็พอแล้วนี่”

“ไม่พอ” ผมสวนทันควัน “ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบเดียวกับเรา บางคนอาจจะคิดว่าที่กูไม่ไปเริ่มงานเพราะถูกจับได้แล้วว่าถูกดึงตัว ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้พิสูจน์ความจริงไม่ง่ายกว่าเหรอ”

“แล้วมันง่ายเหรอ นี่ก็หลายเดือนแล้ว คนที่ปล่อยข่าวเรื่องคุณยังนั่งจิบสตาร์บัคสบายใจอยู่เลย ผมจะบอกอะไรดีๆ ให้นะคุณเสือบางทีผู้หญิงแม่งก็ดอกไม้อาบยาพิษดีๆ นี่เอง ผมบอกแค่นี้รวมกับข้อมูลที่คุณมีก็น่าจะมากพอที่จะชี้ตัวคนที่ใส่ร้ายคุณได้แล้ว อย่าลืมข้อตกลงของเราล่ะ”

เชี่ยไร ว่าจบก็ตั้งท่าจะเดินหนีผมจึงเดินไปดักหน้ามันเอาไว้

“กูยังไม่ได้รับข้อเสนอ”

“มัดมือชกไง ในเมื่อข้อมูลจากผมไปแล้ว ทีนี้ก็คราวที่คุณจะต้องตอบแทนผมบาง ตามนี้นะคุณเสือ”

“มึงน่ะที่จริงก็แอบปลื้มกูล่ะสิ” คนที่กำลังเดินห่างออกไปชะงักกึกแล้วเอี้ยวตัวมามองผมด้วยสายตาเอือมระอาเต็มทน

“เอาสมองส่วนไหนคิด”

“อยากเป็นเพื่อนกับกูก็บอก”

“ไม่ได้อยากหรอกแต่ผมแค่ปรับตัวเก่ง คุณเองก็ควรจะหัดทำอย่างผม ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรเหรอ”

“เคยสิแต่กูไม่มีศัตรู”

“มั่นใจแค่ไหนที่บอกว่าตัวเองไม่มีศัตรู แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาทำเพราะรักคุณงั้นสิ”

คงรักผมมากจึงอยากให้นอนพักผ่อนอยู่บ้านล่ะมั้ง

“ถ้าข้อมูลที่มึงให้มาคือเรื่องจริง กูถามหน่อยได้ไหมว่านอกจากเงื่อนไขลมๆ แล้งๆ นั่น มีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่ามึงถึงเอาเรื่องนี้มาบอกกู”

“คุณคิดว่าไงล่ะ”

“จะใช้มือกูเขี่ยใครบางคนออกจากบริษัทใช่มั้ย”

“สมองยังใช้การได้ดีนี่”

“มึงอยากแน่ใจด้วยใช่มั้ยว่ายังไงกูก็ไม่มีทางไปเริ่มงานกับเดอะเฟิร์ส กลัวว่าถ้ากูไปแล้วตัวเองจะตกกระป๋องล่ะสิ”

“…”

“มึงจะต้องกลัวอะไรทำไมในเมื่อมึงออกจะเก่ง นพแค่มึงลดความเป็นตัวเองลงหน่อย ใส่ตัวตนขององค์กรลงไปกูว่ามึงทำได้”

“คนเก่งหรือจะสู้คนขี้ประจบ ตอนอยู่เดอะเอเจ้น แพ้เพราะเก่งไม่เท่ายังไม่เจ็บเท่าแพ้เพราะประจบไม่เป็นเลย”

“เล่าให้กูฟังได้นะ” นพชัยดูเครียดมากกับประโยคเมื่อครู่

“ไม่ต้องมาหลอกถามหรอก ยังไงผมก็ไม่มีทางบอกคุณ”

โธ่ เสือก็แค่เป็นห่วง

นพชัยปลีกตัวออกไป หลังจากนั้นส่วนผมก็ไปเดินดูเครื่องประดับแต่เพราะไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลยสักนิดจึงได้แต่เดินโฉบไปโฉบมา เมื่อพนักงานขายเข้ามาถามก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง

สุดท้ายก็กลับบ้านมือเปล่า เดี๋ยวหาข้อมูลแน่นๆ แต่งตัวดีๆ ให้เหมาะกับสถานที่แล้วค่อยกลับไปเองคนเดียวก็ได้วะ



▼▲ ▼▲ ▼




ไอ้เอิ้นโทรมาหลังจากผมกลับถึงบ้านแล้ว
แดกข้าวเหี้ยไรตั้ง 2-3 ชั่วโมง
กระหน่ำโทรเข้ามาเถอะ กดโทรออกให้จอทัชสกรีนมึงพังกูก็ไม่รับโว้ย



▼▲ ▼▲ ▼




ช่วงวันสองวันมานี้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องประดับสตรีหนักมากจนหลอนอยากเปิดร้านขายแม่งซะเองแล้ว แต่น้ำหน้าอย่างผมมีปัญญาซื้อให้เจ้ศรีชิ้นนึงก็เก่งเกินละ

ส่วนหนังสือของพ่อผมลองค้นดูในตู้หนังสือก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าพ่อชอบอ่านหนังสือแนวไหนไม่เห็นต้องพึ่งไอ้เอิ้นเลย โด่!

วันนั้นที่ผมไม่ยอมรับโทรศัพท์จนถึงวันนี้แม่งก็ยังไม่ติดต่อผมมาอีกเลย หน้าจอทัชสกรีนพังไปแล้วจริงๆ เหรอวะ

พอมันไม่ติดต่อมา ด้วยทิฐิส่วนตัวผมเองก็ไม่ติดต่อมันเหมือนกัน

วินวินไงหรือบางทีอาจจะลอสทั้งคู่

ที่จริงผมจะถามเรื่องมันจากไอ้แชมป์ที่ทำหน้าที่ไปส่งข้าวกลางวันแทนก็ได้แต่ก็นั่นแหละผมมันคนทิฐิสูงไง รู้นะว่าถ้าวางได้จะส่งผลดีต่อชีวิตมากแต่ก็แค่คิดได้รึเปล่าวะในเมื่อภาคปฏิบัติแม่งโคตรยาก

“ช่วงนี้ไอ้เอิ้นไม่มาเลย พวกมึงทะเลาะกันอีกแล้วเหรอวะ”

“เปล่า”

“ก็ดีเป็นผัวเมียกันต้องพูดกันดีๆ เดี๋ยวจะเป็นเหมือนกูกับแม่เจ้าชิป”

“ผัวเมียเหี้ยไร” ผมแทบจะผุดลุกยันปากไอ้แชมป์เดี๋ยวนี้

“ตกลงไม่ใช่เหรอวะแต่สายตาที่ไอ้เอิ้นมองมึงน่ะโคตรหวาน โคตรหลง โคตรรัก”

“งั้นเหรอวะ”

“เออดิ ยอมรับแล้วใช่ป่ะว่าพวกมึงสองคนแบบว่า…” มันยกมือขึ้นมาเอานิ้วชี้มาสีๆ กันหน้าโคตรเจ้าเล่ห์

“ไม่เสือกนะแชมป์”

“แก้มแดงเป็นตูดลิงแล้วไอ้เสือ”

“แดงเหี้ยไร ไปลูกค้ามาโน่นแล้ว”

“คิวมึงนะ”

“จริงดิ”

“เขินจนสติฟั่นเฟือนแล้วเพื่อน”

“ห่า” ผมหันไปแจกนิ้วกลางก่อนจะตรงไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ตั้งแต่ขับวินมานี่ผิวผมคล้ำขึ้นมากเลยว่ะ



▼▲ ▼▲ ▼




ผมกลับบ้านมาตอน 4 ทุ่ม

รถไอ้เอิ้นจอดอยู่หน้าบ้านและตัวมันก็คงอยู่ในบ้านนั่นแหละ

และก็เป็นดั่งคาดแหละครับเพียงเปิดประตูบ้านเท่านั้นก็เจอกับรอยยิ้มแป้นแล้นของมันแล้ว ยิ้มอย่างกับไม่เคยทำผิดต่อผมเลย

นี่ยังเคืองเรื่องที่ห้างอยู่นะ

แม้จะเหลือบมองมันในคราแรกแต่ผมก็เลือกที่จะเมินเฉยแล้วตั้งใจจะเดินขึ้นห้องหากไม่ถูกเสด็จเจ้เรียกเอาไว้ป่านนี้ผมพุ่งหลาวลงบนเตียงแล้ว

“วันนี้หนูเอิ้นจะนอนนี่แม่เตรียมหมอนกับผ้าห่มให้แล้ว”

ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองด้วยความเร็วแสงจนคอแทบเคล็ด

“อะไรเจ้ ไม่ถามเสือซักคำ”

“บ้านฉัน ฉันจะให้ใครนอนไหนก็ได้” พูดเหมือนเสือเป็นคนนอกไปอีก รักลูกตัวเองบ้างไหมถามใจเจ้ศรีดู อยากเห็นเสือร้องไห้ใช่ไหม สักวันเถอะ

เมื่อถูกพลังเผด็จการกระแทกเสียจนหงายเงิบจึงจำต้องทำตามที่เจ้เจ้าบ้านเขาว่า

ไอ้เอิ้นลุกขึ้นยืน รอยยิ้มบนใบหน้าของมันทำให้ผมอยากจะกระโดดราวน์ดอพถีบขาคู่ให้มันยิ้มไม่ออกแต่เจ้เจ้าของบ้านมองอยู่จึงทำได้เพียงส่งสายตาอาฆาตใส่อย่างที่คนได้รับก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

อารมณ์เสีย !!

“เตียงเสือน่านอนเนอะ”

“ไม่เท่าเตียงห้องมึงหรอก” ผมกระแทกไอ้คนที่กำลังจะทิ้งตัวลงบนเตียงของผมออกแล้วทิ้งตัวนั่งลง ปรายตามองมันแล้วบอกผ่านสายตาว่าให้นั่งลงบนพื้น

ให้มันรู้ซะบ้างว่านี่มันถิ่นใคร

“วันหลังเสือจะไปนอนห้องเอิ้นก็ได้นะ” ว่าแล้วก็วางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนพื้นก่อนจะทิ้งตัวลงข้างผม

“ทำไมกูต้องไปนอนห้องมึง บ้านกูก็มี”

“เมื่อกี้เสือบอกเตียงเอิ้นน่านอน”

“กูไม่ได้หมายความว่ากูอยากนอนเตียงมึงแต่กูจะบอกว่าเตียงนอนมึงแม่งโคตรใหญ่โตจะอยากมานอนเบียดกับกูบนเตียงแคบๆ ทำไม”

“ไม่รู้จริงอ่ะ”

ไม่ต้องมาถามด้วยสายตาแพรวพราวเดี๋ยวปั๊ดจิ้มตาแตก

“ที่จริงเอิ้นก็ไม่อยากรบกวนเสือหรอกแต่แม่ขอให้เอิ้นมานอนนี่เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องไปรับพี่สิงห์ที่สนามบินไง”

เออว่ะ มัวแต่คิดเรื่องของตัวเองจนลืมเรื่องพี่สิงห์ไปเลย

“กูคุยกับแม่แล้วว่ากูจะไปรับเอง”

“แม่บอกว่าเสือขี้เซาขับรถตอนเช้าอันตราย”

ก็เข้าใจนะว่าแม่เป็นห่วงแต่การไหว้วานให้ไอ้เอิ้นมาช่วยขับรถแล้วให้มานอนด้วยก็ไม่ได้ทำให้ผมปลอดภัยขึ้นหรอก

“ช่างเถอะ” มองนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งบอกเวลาเกือบ 5 ทุ่มผมจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนูเตรียมตัวอาบน้ำ

ปกติผมก็แก้ผ้ากลางห้องนี่แหละแต่วันนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงตั้งใจว่าจะถอดในห้องน้ำทีเดียวเลย

เห็นมั้ยว่าไอ้เอิ้นสร้างความลำบากให้กับชีวิตผมแค่ไหน

“ให้เอิ้นช่วยถูหลังมั้ย” เสียงดังแว่วๆ ทำให้ผมที่เพิ่งปิดประตูเปิดมันออกอีกครั้ง

“เสือก”

ไม่ถูกกูด่าสักวันสงสัยจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ



▼▲ ▼▲ ▼




 “เสือ”

เสียงเรียกดังมาจากข้างเตียง

“อะไร จะนอน” ผมตอบกลับด้วยความหงุดหงิด คนจะหลับจะนอนยังจะมาชวนคุยอีก

“เสือชอบบ้านหรือคอนโด”

ไม่ได้ฟังกันเลยสินะคนจะหลับจะนอนโว้ย

“ว่าไง” พอผมเงียบก็เซ้าซี้จะเอาคำตอบให้ได้

“บ้านสิวะ”

“หมากับแมวล่ะ”

“หมา”

“ทะเลกับภูเขา”

“แมนๆ อย่างกูต้องเลือกภูเขาอยู่แล้ว”

“เอิ้นกับเอิ้น”

“เอิ้น” ผมตอบออกไปอย่างไม่ทันคิดให้คนที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงกระโดดขึ้นมาจนเตียงนอนผมยวบลง

“เมื่อกี้เสือบอกว่าชอบเอิ้น”

“กูยังพูดไม่จบไง กูจะบอกว่าไม่ว่าจะเอิ้นหรือเอิ้นกูก็เกลียดมึงโว้ย ลงไปจากเตียงกูซะ อึดอัด” ผมทั้งผลักทั้งดันให้มันลงจากเตียงไป ถ้าไม่ขี้เกียจลุกล่ะก็ผมยันมันลงไปกองที่พื้นแล้ว

เว้นช่องว่างให้ไม่ได้เลยฉวยโอกาสตลอด

“นอนกอดกันแบบนี้อุ่นดีออก” ว่าแล้วก็สอดมือเข้ามาใต้ต้นคอของผม เบียดร่างเข้ามาแนบชิดก่อนพาดท่อนแขนไว้บนลำตัว

ฉวยโอกาสกอดกันชัดๆ แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรอก มิหนำซ้ำพอสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แนบชิดนั้นดวงตาก็ค่อยๆปิดลง ร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันก็ชัตดาวน์ตัวเองในทันที



▼▲ ▼▲ ▼




ผมถูกปลุกด้วยเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง เปิดเปลือกตาขึ้นมองไปยังต้นเสียงก็พบไอ้เอิ้นครับกำลังเป่าผมด้วยไดร์ฟฟ้าผ่าดังตั้งแต่บ้านผมยันปากซอยอะ ไม่ได้โม้

“มึงปิดไอ้ที่อยู่ในมือนั่นเดี๋ยวนี้นะ” ผมสั่งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง

“แม่บอกให้เปิด เสือจะได้ตื่น” เชื่อฟังกันดีเหลือเกิน “ตื่นแล้วใช่มั้ย ลุกสิมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวครึ่งชั่วโมง”

“ขออีก 5 นาที”

“เสือลุก”

“ขอ 5 นาทีไง”

“ถ้าเสือไม่ลุกเอิ้นจะบังคับแล้วนะ”

“กลัวตายล่ะ” ผมว่าพลางซุกหน้าลงบนหมอน

“คิดว่าเอิ้นไม่กล้าหรือไง”

เสียงความเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาก่อนที่เตียงนอนจะยวบลง ผ้าห่มถูกเลิกออกร่าง ผมที่นอนคว่ำแนบหน้ากับหมอนถูกพลิกให้นอนหงายก่อนไอ้เอิ้นจะโถมทั้งร่างเข้าใส่

“ให้ตัดสินใจอีกครั้งว่าจะลุกเดี๋ยวนี้หรือจะให้เอิ้นบังคับ” เล่นคร่อมกันแบบนี้คิดว่าผมจะยอมให้มันบังคับเหรอ อีกอย่างผมตื่นเต็มตาตั้งแต่ตอนที่มันแนบหน้าผากลงมาแล้วโว้ย

“มึงก็ลุกออกไปก่อนสิ ทับกูอยู่แบบนี้กูจะลุกได้ไงวะ”

“ไม่อยากให้เอิ้นบังคับเหรอ”

ข้อมือที่ถูกตรึงเอาไว้ได้รับอิสระผมจึงดันตัวลุกขึ้นแล้วผลักอกมันแรงๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบมัน

นี่เสือนะโว้ยเสือเชียวนะ



▼▲ ▼▲ ▼



แม่ตกใจใหญ่โตอลังการตอนที่ผมเดินลงมาข้างล่างในสภาพพร้อมเดินทางไปรับพี่สิงห์ เอาจริงนี่เพิ่งตี 5 เจ้จะตื่นมาทำไม ตื่นเต้นที่ลูกชายสุดที่รักจะกลับบ้านล่ะสิ ขี้เห่อว่ะ

“ทำอะไรอะหอมเชียว” ผมถามตอนที่เดินตามกลิ่นเข้าไปในครัว “ซุปของโปรดพี่สิงห์นี่ดีใจออกนอกหน้าไปป่ะครับเจ้”

ผมแซวให้แม่เบ้ปากใส่

“แน่นอนสิยะ”

“คิดถึงแต่พี่สิงห์เคยคิดถึงเสือบ้างป่ะ”

“ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอ เธอก็อยู่กับฉันทุกวัน”

“ถ้าสมมติว่าเสือไม่อยู่ไง”

“แล้วเธอจะไปไหนล่ะ”

“แม่อะก็เผื่อเสือมีครอบครัวไรงี้”

“เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนก็คงคิดถึงล่ะมั้ง ผู้ชายอะไรขี้เม้าท์ชะมัด ส่วนหนูเอิ้นเดินทางปอดภัยนะลูก” ท้ายประโยคเจ้เปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนหวาน ใจดี แม่พระแล้วหันไปพูดกับไอ้เอิ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

พูดกับลูกชายไม่เคยไพเราะเพาะพริ้งขนาดนี้ร้อก

เมื่อกี้เจ้บอกไอ้เอิ้นเดินทางปลอดภัยงั้นเหรอ

ผมหันไปมองมัน

“มึงกลับวันนี้เลยเหรอ”

“ไม่ต้องคิดถึงนะไม่กี่วันก็กลับ”

“ใครคิดถึงมึงอย่ามโน” ผมเดินนำออกจากบ้านหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าไอ้เอิ้นดังตามมาพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ

เกลียดแม่งว่ะ ไหนบอกจะช่วยกูเลือกของขวัญให้พ่อกับแม่ไง

ไม่รู้เป็นอะไร ระหว่างเดินทางผมโคตรจะไม่อยากคุยกับมัน ถามคำตอบคำจนคนขับหันมามองตั้งหลายรอบ

“เอิ้นมีอะไรจะให้ด้วยนะ” มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ส่งให้

ผมรับมาด้วยความสงสัย “อะไร” ยังไม่ทันได้คำตอบผมก็เป็นฝ่ายเปิดดูซะก่อน

“เป็นเครื่องประดับที่กำลังได้รับความนิยมมากในช่วงนี้ มีรายละเอียดและราคาด้วยนะ เสือลองศึกษาดูถ้าสนใจอันไหนก็ไปที่ร้านได้เลย”

“น่าสนใจดี”

“ส่วนหนังสือของคุณพ่อเราซื้อเป็นวอชเชอร์ให้คุณพ่อดีไหม ถ้าท่านอยากได้หนังสืออะไรเสือค่อยเอาไปแลกให้ทีหลัง

“เป็นความคิดที่ดีนะ”

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษอะไรอีก”

“ทั้งที่ตั้งใจจะช่วยเสือเลือกของขวัญให้คุณแม่แท้ๆ แต่กลับทำได้แค่นี้”

“ก็วันนั้นมึงเลือกเพื่อนสนิทมึง”

“หึงอีกแล้วนะ” ครั้งนี้ผมไม่ได้ตอบโต้ อาจจะจริงที่บอกว่าผมกำลังหึง ไม่สิผมก็แค่หวงอะ ผมก็เพื่อนมันแล้วอีกอย่างนั่นก็เป็นนัดของเรามันยังทิ้งผมได้ลง

“กูโกรธ”

“ขอโทษแล้วไง ดีกันเถอะ” ไอ้คนข้างๆ ทำหน้าอ้อนแล้วยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า “ดีกัน” ตื๊อให้ผมเกี่ยวก้อย

“ปัญญาอ่อน”

เมื่อผมปัดมือที่อยู่ตรงหน้าออกก็ใช่ว่าไอ้เอิ้นจะยอมง่ายๆ ครับ คว้ามือผมไปจับเฉยเลยพอดึงออกก็ยิ่งบีบแรงขึ้นพอผมหยุดยื้อมันก็ยิ้ม มีความสุขอะไรขนาดนั้นวะ

อะ เอาที่สบายใจก็แล้วกัน

ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้นแต่บรรยากาศโดยรวมก็ไม่ได้อึดอัดกระทั่งเราเดินทางมาถึงสนามบิน

ไอ้เอิ้นลงจากรถไปก่อนเมื่อผมตามลงไปก็พบว่ามันกำลังยกกระเป๋าเดินทางลงจากท้ายรถ

“เครื่องออกกี่โมง”

ผมถามในตอนที่เราเดินตรงเข้าไปภายในอาคารผู้โดยสาร

“9 โมง”

“หาอะไรกินก่อนมั้ยกว่าพี่สิงห์จะมาถึงก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง”

“เสือเลี้ยงนะ”

“เอาสิ”

“วันนี้ใจดีจัง”

“ทำไม กูจะใจดีบ้างไม่ได้เหรอ บางทีกูก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกันนะ”

ไอ้เอิ้นยิ้มๆ แหมพอบอกว่าจะเลี้ยงนี่มีความสุขขึ้นมาเชียวนะมึง

อาหารสนามบินแพงสัสครับแต่ก็กลับคำไม่ได้แล้วไงเลี้ยงก็เลี้ยงก็ได้แต่ภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายสั่งของแพงมากครับ กูตกงานไง มึงจะสั่งของแพงมากๆ มากินไม่ได้

“เสือไม่กินเหรอ” ถามเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ

“ไม่ล่ะเดี๋ยวกลับไปกินบ้าน”

“กว่าจะถึงบ้านก็เลยเวลาอาหารเช้าแล้วกินด้วยกันมั้ย”

“ไม่เป็นไรมึงกินไปเถอะน่า”

“ไม่เป็นไรน่าเดี๋ยวขึ้นเครื่องก็มีอาหารเสิร์ฟ”

“เอางั้นเหรอ”

เพียงคนตรงข้ามพยักหน้าผมก็จ้วงตักอาหารเข้าปากทันทีครับ หิวมากอ่ะวางฟอร์มแทบตายสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

“หลังปีใหม่นี้เสือจะไปเริ่มงานเลยมั้ย”

“หือ” ผมหยุดมือที่กำลังตักของกินเข้าปากแล้วเหลือบมองคนถาม “ก็คงงั้นมั้ง แล้วจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอวะ” ผมแอบกังวลเรื่องนี้ตลอดเลย

“ไม่เป็นไรหรอก ปีใหม่นี้เราน่าจะได้ความจริงแล้ว”

“รู้อะไรมา”

“เราพอรู้แล้วว่าใครเป็นคนใส่ร้ายเสือ แต่เอิ้นยังบอกไม่ได้จริงๆ”

“แล้วจะไม่เป็นไรเหรอ แบบ ยังถูกพักงานอยู่แต่กลับเสนอหน้าไปทำงาน ตัวมึงจะไม่เป็นไรเหรอวะ”

“เป็นสิ”

“อ้าว”

“แต่เอิ้นไม่เดือดร้อนหรอก”

“ไม่เดือดร้อนกับผีอะไร”

“ห่วงเอิ้นเหรอ”

“ก็ห่วง ถ้ามึงเดือดร้อนเพราะกู กูคงไม่สบายใจ”

“อย่าคิดมาก เอิ้นเต็มใจช่วยเสือนะ เต็มใจช่วยทุกอย่างเลย”

“ขอบคุณนะเอิ้น”

“ยินดีครับ แต่ว่านะ” คนตรงหน้าเท้าคางมองผม “วันนี้เสือน่ารักจัง”

“ในสายตามึงกูก็น่ารักทุกวันแหละ ห่า บอกว่าไม่น่ารักไงเล่า”

“ก็เสือน่ารักจริงๆ นี่นา”

ยังจะเถียงอีก มีสักเรื่องไหมที่จะไม่เถียงผมนะ ปล่อยให้ผมชนะบ้างก็ได้นะเว้ย




รอพี่สิงห์ไม่นานพี่ชายผมในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขาดๆ และรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ก็เดินนำหน้าพี่สะใภ้มา โห สภาพนี้เขาก็ให้ขึ้นเครื่องเหรอ เหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมาซัก 2 วัน

“ไอ้เสือ ไงได้ข่าวว่าตกงาน”

ฟังคำแรกที่มันทักผม

“สบายดีนะอยากลองตกงานบ้างมั้ยล่ะ” กวนตีนมากวนตีนกลับ ไม่โกงแน่นอน

“พี่ชายมึงทำธุรกิจส่วนตัวและกำลังจะมีเบบี๋น่ารักๆ นะครับ ตกงานอะไรเดี๋ยวปั๊ดต่อยปากแตก” ชูกำปั้นขึ้นสูงด้วย เห็นยังว่าผมป่าเถื่อนเหมือนใคร

เหมือนพี่ชายผมนี่ไง

ผมทักทายพี่สะใภ้เสร็จไอ้เอิ้นจึงทำตามให้คิ้วพี่สิงห์ผูกกันเป็นปมเมื่อจ้องหน้าคนหล่อเขม็ง

“ใครวะ แฟนมึงเหรอเสือ”

“แฟนห่าไรพี่สิงห์ นี่ไอ้เอิ้นไงที่เคยอยู่ข้างบ้านเราอะ”

พี่สิงห์นิ่งคิดพักหนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเข้ามาตบไหล่คนข้างผมป้าบๆ

“ผอมแล้วหล่อขึ้นจนจำไม่ได้เลยนะอ้วน”

“เอิ้นครับ”

“เมื่อก่อนกูก็เรียกมึงแบบนี้ไม่เห็นมึงจะหือจะอือ ทำไม หล่อขึ้นแล้วใจกล้าขึ้นเหรอ ฮะ เดี๋ยวปั๊ดต่อยให้จมูกเสียทรง นี่ๆ…” อยู่ๆ แม่งก็เปลี่ยนเรื่องแล้วจับแขนพี่สะใภ้ให้เธอขยับเข้ามาใกล้ “เมียกู สวยป่ะ กำลังท้องเตรียมของรับขวัญหลานด้วยนะมึง ไม่ต้องซื้อของแพงมากก็ได้ ทองซักบาทสองบาท หรือถ้ามึงคิดว่ามันน้อยไปจะซัก 10 บาทก็ไม่ว่ากัน”

“พอเลยพี่สิงห์” ผมห้ามไอ้คนขายลูกไม่ให้พูดต่อ “เดี๋ยวพี่รอแถวๆ นี้ก่อน เสือไปส่งไอ้เอิ้นแป้บ”

“ไม่เป็นไรเสือกลับไปได้เลย” คนที่ผมบอกจะไปส่งร้องห้าม

“ไม่เป็นไรน่าเดี๋ยวกูไปส่ง”

เถียงกันไปอาจจะตกเครื่องผมจึงคว้ากระเป๋าเดินทางแล้วเป็นฝ่ายเดินนำให้อีกคนวิ่งเหยาะๆ ตามมา

“วันนี้ชักจะใจดีเกินไปแล้วนะ” กระเป๋าถูกแย่งกลับไป

“แล้วไม่ดีเหรอ”

“ก็ดีแต่รู้สึกแปลกๆ”

“ชอบกูเวอร์ชั่นโหดมากกว่าเหรอวะ”

“อืม ว่ายังไงดีล่ะ” ไอ้เอิ้นทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งกว่าจะตอบ “แค่เป็นเสือไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนเอิ้นก็ชอบหมดแหละ”

หยอดจนวินาทีสุดท้ายแต่ก็แปลกที่ผมไม่ด่ามันอย่างเคยแถมยังหัวเราะเบาๆเหมือนชอบใจอีกต่างหาก

“มึงนี่” ผมผลักไหล่มันทีนึง “ไปได้แล้วเดินทางปลอดภัย”

“แล้วเอิ้นจะโทรหานะ”

“อือ”

“เสือน่ารักแบบนี้เอิ้นชักอยากจะฉีกตั๋วเครื่องบินทิ้งแล้วสิ”

คนต้องเดินทางทำหน้างอแงไม่อยากไป ถ้าลงไปดิ้นได้มันคงทำ อาลัยอาวรณ์อะไรขนาดนั้น ห่างกันเป็น 10 กว่าปียังเคยมาแล้วครั้งนี้ไม่ถึง 10 วันด้วยซ้ำ

“ไปเช็คอินได้แล้วกูไปนะ” ผมผลักไหล่ไล่ไอ้คนงอแงให้ไปเช็คอินแล้วหันหลังเพื่อกลับไปทางเดิมแต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้

ผมเอี้ยวตัวไปมอง

“เอิ้นต้องคิดถึงเสือมากแน่ๆ เลย”

ไอ้นี่ก็เวอร์ไป

“รีบไปก่อนจะโดนตีน” ผมว่าพร้อมกับยกเท้าขึ้นบอกว่าผมเอาจริงแน่ถ้ามันยังดื้อ

ไอ้เอิ้นหัวเราะแห้งๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือมิหนำซ้ำยังสอดนิ้วเข้ามาให้ฝ่ามือของเราประสานกัน สายตาที่ใช้จ้องมองผมทำให้รู้สึกวูบวาบ

ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรจมูกโด่งก็ฝังลงบนแก้มของผม

ได้ยินเสียงดังฟอดแล้วสัมผัสนั้นก็ห่างออกไป

คนชอบฉวยโอกาสเดินห่างออกไปแล้วทิ้งไว้แต่ผมที่ยืนนิ่งเหมือนคนไร้สติอยู่ที่เดิม

ไอ้บ้าเอ้ย~ จนได้สินะ




[- T B C -]


บอกก่อนว่าเรื่องที่คุณเอิ้นพาเพื่อนสนิทมาด้วยเมื่อตอนที่แล้วเนี่ย ยังบอกจุดประสงค์ไม่ได้นะ ต้องติดตามกันต่อไป
โดยส่วนตัว...
เราค่อนข้างอินกับเรื่องไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรนะ
สิ่งที่เสือเจอ หลายๆ คนก็คงจะเคยเจอ เราเองก็เหมือนกัน
รักกันอยู่ดีๆ เกลียดกันซะงั้น ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย รู้ตัวอีกทีพอเค้าไม่อยู่ก็คิดถึงเค้า
นี่ยกตัวอย่าง
ชีวิตก็แบบนี้ โลกหมุนอยู่ตลอดเวลา เราจะอยู่นิ่งๆ ได้ยังไงล่ะ
นี่เรากำลังพูดถึงเสือของเอิ้นนะ 555 ตอนนี้เสือกับเอิ้นอาจจะไม่หวือหวามาก
เรากลัวว่าคนอ่านจะเขินจนเกินไป เป็นห่วงค่ะ
เจอกันตอนหน้า ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะ อย่างที่บอกว่าอ่านแล้วมีความสุขมาก
รักค่ะ
แจ๊ส
:hao5:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ขนาดไม่หวือหวายังเขินได้เลย

อยากได้เอิ้นๆๆๆ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เสือนี่โหดทุกตอนเลยนะ มิน่าถึงโดนลอบแทง เอ้ย ลอบทำร้าย
แหม ท้ายๆ มีแอบมุ้งมิ้ง ทำเนียนไปส่งนะ แล้วไงโดนแอบหอมซ้าาา

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โยนกลับไปที่เพื่อนเก่าคนนั้นสินะ
แต่นางจะเป็นตัวหลอกอีกป่าวหว่า

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

 
ตอนที่ 16 {เรื่องของเสือกับเอิ้น}



เพิ่งรู้เมื่อตอนมาถึงบ้านว่าข้างในสมุดแคทตาล็อกเล่มเล็กๆ นั้นมีคูปองส่วนลด 20% อยู่ด้วย

ก็ไม่อยากจะชื่นชมมันหรอก แต่ในเมื่อมันทำความดีก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกดีๆ กับสิ่งที่ได้รับ

ผมออกจากบ้านตอนบ่ายหลังจากงีบหลับจนเต็มอิ่ม พี่สิงห์ขอมาด้วยตอนที่ผมเดินผ่านห้องรับแขกที่มันกำลังนอนเอกเขนกดูทีวีแต่ผมก็ชิ่งวิ่งหนีออกมาก่อน

ถ้ามากับพี่ชาย ผมกลัวว่ามันจะขอหาร ไม่ได้หรอก ของขวัญชิ้นนี้ผมตั้งใจซื้อให้พ่อกับแม่จริงๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอนที่จอดรถเสร็จแล้ว ทิ้งข้อความไว้ในแชทถามไอ้เอิ้นว่ามันถึงญี่ปุ่นหรือยัง ก็ถามไปอย่างนั้นเองแหละ เพิ่งออกเดินทางอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึง

ผมไม่ค่อยรู้เรื่องครอบครัวไอ้เอิ้นมากนักหรอก รู้แต่ว่ามันเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 3 คน พี่ชายคนโตเป็นเพื่อนรักกับพี่สิงห์ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังติดต่อกันอยู่ไหม ส่วนคนรองเป็นพี่สาวที่อายุมากกว่าพวกเรา3 ปี คุณพ่อไอ้เอิ้นเป็นนักธุรกิจ ส่วนคุณแม่ เมื่อก่อนเป็นคุณครูแต่พอย้ายไปต่างประเทศผมก็ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอาชีพอะไร

คุณแม่ไอ้เอิ้นใจดีครับ ท่านเอ็นดูผมมากๆ เพราะเป็นเช่นนั้นผมจึงรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองที่เคยปฏิบัติต่อลูกชายคนเล็กของท่านในอดีต

เรื่องนั้นมันเป็นปมในใจที่ผมไม่รู้เลยว่าจะลบล้างมันออกไปจากหัวใจได้อย่างไร

ทุกครั้งที่นึกถึงไอ้เอิ้นเรื่องราวเหล่านั้นก็มักเข้ามากวนใจผมอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงลืมมันไปเสีย

ผมพยายามคิดว่าตัวเองลืม แต่ที่จริงแล้วไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะไม่คิดถึงมัน

ตอนเช้าตื่นไปโรงเรียน เมื่อเดินผ่านถนนเส้นเดิมที่เคยเดินด้วยกัน ผมก็มักตั้งคำถามเสมอว่าตอนนี้เพื่อนตัวอ้วนของผมกำลังเดินไปโรงเรียนเหมือนกันไหม ที่โรงเรียนใหม่มันจะถูกใครรักแกหรือเปล่า ปรับตัวได้ไหม จะมีเพื่อนใหม่ที่มันรักเท่าผมหรือเปล่า

ทุกครั้งที่ผมใช้ชีวิตประจำวัน ผมก็เผลอนึกถึงมันอยู่เสมอ

มันกำลังทำอะไรอยู่

เรียนอะไร ที่ไหน มีเพื่อนหรือเปล่า มีแฟนหรือยัง มีชีวิตที่ดีไหม คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวไม่ว่าจะพยายามสะบัดมันให้หลุดออกไปเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็เผลอนึกถึงแต่มัน

การได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเลยครับ ยิ่งกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนยิ่งเติมความประหลาดใจของผมจนมันแทบล้นออกมา

ไอ้เอิ้นที่กลับมาพบผมอีกครั้ง ตอบคำถามที่ผมเคยตั้งไว้ตลอด 10 ปีแล้วว่า มันมีชีวิตที่ดี ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อเราได้พบกันอีกครั้งมันก็อยู่ในสถานะที่ไม่ได้ลำบาก ชีวิตมันเหมือนจะดีกว่าผมด้วยซ้ำ

ก็ดีแล้ว คนดีๆ อย่างไอ้เอิ้นควรพบเจอแต่สิ่งดีๆ

คูปองส่วนลดที่ได้มาเซฟเงินในกระเป๋าผมไปประมาณหนึ่งเชียวล่ะ

ผมแวะร้านหนังสือหลังจากได้สร้อยเส้นเล็กๆ ที่ประดับด้วยจี้ทองคำขาวเรียบๆ ไม่หรูหรา เจ้ศรีไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวสวยครับ พูดง่ายๆ คือแมนเหมือนลูกสาวกำนัน แน่สิ แม่เป็นเป็นอดีตครูพละเชียวนะ

หลังจากได้กิ๊ฟวอชเชอร์ที่แลกซื้อหนังสืออ่านได้ทั้งปีผมที่ไม่ได้รีบร้อนอะไรก็เดินทอดน่องตากแอร์อยู่ในห้างคิดอะไรไปพลางๆ

รู้ตัวอีกทีก็เดินลงมาจนถึงซุปเปอร์มาเก็ตแล้ว

หวังว่าคงไม่เจอไอ้นพชัยอีก ผมกับมันน่ะบังเอิญเจอกันในห้างประจำแหละ ถ้าเป็นชายหญิงคงหยิบเรื่องพรหมลิขิตมาอ้างได้ แต่ไม่ใช่ระหว่างผมกับมันว่ะ

พูดถึงไอ้นพชัย ผมไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่มันบอกสักเท่าไหร่หรอก แต่เมื่อลองเอามาปะติดปะต่อกับที่น้องพนักงานขายบอกเรื่องคุณปรางวันนั้นมันค่อนข้างจะเข้ากันทีเดียว

บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่ากว่าจะเจอตัวคนที่ใส่ร้ายผม ผมต้องสงสัยคนใกล้ตัวไปอีกคน

ตัดกวินออก ตัดไอ้เอิ้นที่หลงผมหัวปักหัวปำออกก็เหลือแค่น้องดาวคนเดียว

ผมไม่อยากจะคิดว่าเป็นเธอ น้องดาวหญิงสาวที่สดใสร่าเริงเป็นมิตรคนนั้นน่ะไม่มีทางหักหลังผมหรอก

ตั้งแต่เจอกัน ไม่มีสักครั้งที่เธอจะแสดงออกถึงความทะเยอทะยาน มิหนำซ้ำยังเป็นคนเรียบง่ายที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจมาก

ผมเดินดูของไปเรื่อยเปื่อยแวะทักทายน้องพนักงานที่ถึงแม้วันพรุ่งนี้จะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายแต่น้องก็ยังคงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เห็นน้องแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ครับ

ถ้าได้ทำงานด้วยกันยาวๆ ก็คงดี

วันนี้ผมไม่เจอไอ้นพชัยที่ซุปเปอร์ ใกล้ปีใหม่แล้วอะเนอะก็ต้องหยุดพักผ่อนกันบ้าง

ระหว่างเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดู

ไอ้เอิ้นคงยังไม่ถึงญี่ปุ่นแชทถึงได้เงียบเหงาขนาดนี้

“คุณเสือคะ” เสียงทักทายเรียกให้ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์

คุณลลินว่ะ

“สวัสดีครับ” แม้ไม่อยากทักทายแต่ด้วยมารยาทแล้วก็คงต้องทัก

เธอยิ้มกว้างกลับมา “คุยกันหน่อยมั้ยคะ”

ไม่รู้หรอกว่าเธออยากคุยอะไรแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

เราเลือกร้านกาแฟใกล้ๆ เป็นสถานที่พูดคุย ระหว่างรอเครื่องดื่มมาเสิร์ฟคนที่บอกว่าอยากคุยกับผมกลับเอาแต่ก้มหน้ากดมือถือ

“มีอะไรจะคุยเหรอครับ” จนผมต้องเอ่ยถามเสียเอง

“เหมือนคุณเสือไม่ค่อยชอบหน้าลลินนะคะ”

“งั้นเหรอครับผม แสดงออกขนาดนั้นเชียว”

“ก็ขนาดนั้นแหละค่ะ หึงลลินกับเอิ้นเหรอคะ” รู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ สอยเข้าที่ปลายคาง

โชคดีที่เครื่องดื่มมาเสิร์ฟมาพอดี

“ลลินชอบเอิ้นค่ะ” ผมสำลักจนกาแฟเกือบจะพุ่งออกทางจมูกเมื่ออีกฝ่ายบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ

คุณลลินส่งทิชชู่ให้ผมแล้วว่าต่อ

 “ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่ายิ่งใกล้ชิดเขาก็ยิ่งชอบ”

“แต่ไอ้เอิ้นชอบผู้ชาย”

“ไม่ใช่ค่ะเอิ้นมีแฟนเป็นผู้หญิงทุกคน” เธอย้ำคำว่าทุกคนอย่างหนักแน่น

ต้องการจะสื่ออะไรเหรอ ถ้าแน่จริงก็พูดออกมาตรงๆ เลยสิว่าไอ้เอิ้นแค่เล่นกับผม บอกสิว่ามันไม่จริงใจอย่างปากว่าหรอกแต่ถึงแม้เธอจะไม่พูดผมก็เข้าใจไปอย่างนั้นซะแล้ว

เราแค่นั่นกันเงียบๆ ผมไม่อยากจะคุยอยู่แล้วไงจะลุกไปซะก็ได้แต่เมื่อคุณลลินยังทำท่าทางเหมือนอยากคุยแต่ไม่ยอมปริปากซักทีผมก็ไม่อยากลุก อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะพูดอะไร

“เอิ้นน่ะพยายามมากเลยนะคะ”

“ครับ?” ผมว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“เรื่องคุณเสือ เขาพยายามมากจริงๆ”

ผมเริ่มไม่เข้าใจคุณลลินแล้ว ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรกับบทสนทนาที่วกไปวนมาเหมือนพายเรืออยู่ในแอ่งน้ำวน

“ลลินจะไม่เล่าก็ได้แต่เพราะลลินเห็นทุกความพยายามของเอิ้น ลลินรักเอิ้น ลลินอยากเห็นคนที่ลลินรักมีความสุข”

นางฟ้า !?

ประชดไปอย่างนั้น ไม่ว่าเธอจะพูดดีเพียงใดแต่ในน้ำเสียงหวานก็ยังเจือด้วยความนัยบางอย่างที่สะกิดใจผมไม่ให้เชื่อเธอเต็มร้อย

“ก็ไม่ต้องเล่าสิครับ”

“ลลินเจอเอิ้นตั้งแต่ตอนที่เขาย้ายไปญี่ปุ่น ตอนนั้นเอิ้นเป็นแค่เด็กอ้วนคนนึงที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย”

คำบอกเล่านั้นชวนให้ผมขยับนั่งหลังตรงมองคนตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ลลินเองก็ไม่สนใจเอิ้นเหมือนกัน ไม่เคยคิดจะสนใจเลยสีกนิด แต่เพราะแม่เห็นว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ก็เลยถูกขอร้องแกมบังคับให้ช่วยดูแล”

ถ้าไม่ถูกบังคับก็คงไม่ยอมเป็นเพื่อนกับไอ้เอิ้นอย่างนั้นสินะ

ผมคิดภาพออกเลยว่าตอนนั้นเพื่อนของผมโดดเดี่ยวเพียงใด

“แรกๆ เอิ้นพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย มันยากนะคะที่ต้องใช้ชีวิตในที่ที่เราไม่เข้าใจภาษาของเขา สื่อสารกับเขาไม่ได้ บอกตรงๆ ว่าที่ยอมเป็นเพื่อนด้วยก็เพราะสงสาร กว่าเอิ้นจะสื่อสารด้วยภาษาญี่ปุ่นได้คล่องก็ผ่านไปเป็นปี”

คงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เมื่อลองย้อนดูตัวเองก็พบว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเกเรสุดๆ

“ประมาณเกรด 11 มั้งคะ อยู่ๆ เอิ้นก็มาปรึกษาลลินเรื่องลดความอ้วน เขาเริ่มควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดี พอถามว่าทำไมอยู่ๆ ถึงอยากผอมเขาก็เอารูปเด็กผู้ชายหหน้าตาดีคนหนึ่งให้ลลินดู”

เธอจ้องมองใบหน้าผมเมื่อจบประโยคแล้วยิ้มสวย

“ตอนที่เห็นคุณเสือในรูป ลลินยังคิดเลยค่ะว่าคุณหล่อและมีเสน่ห์จริงๆ”

ชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็แอบเขินเหมือนกันแฮะ

“เอิ้นบอกว่าเขาอยากดูดีเหมือนเพื่อนรักของเขา เอิ้นบอกว่าคุณเป็นเพื่อนคนสำคัญ ตลอดเวลาที่คบกันเอิ้นพูดถึงคุณเสือเสมอจนบางทีลลินก็เบลอๆ คิดว่าตัวเองรู้จักกับคุณเสือเป็นการส่วนตัวไปด้วย”

ยังเห็นว่าผมเป็นเพื่อนคนสำคัญทั้งๆ ที่ผมเคยทำร้ายมันเนี่ยนะ

ไอ้เอิ้นบ้าหรือเปล่าวะ

“ก่อนจะมาที่นี่เขาพยายามมากเลยนะคะ คุณเสือก็น่าจะรู้ว่าอายุเท่าเรามันไม่ง่ายเลยที่จะแข่งขันกับพวกรุ่นพี่แล้วก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ”

นั่นสินะ ผมเองก็เคยลองพยายามปีนแล้วครั้งหนึ่ง

เมื่อ 2 ปีก่อนผู้จัดการสาขาที่มาเลเซียกำลังจะเกษียณ ตอนนั้นผมได้รับเสนอชื่อเพื่อเลื่อนตำแหน่ง แต่มีกติกาว่าต้องนำเสนอผลงานของตัวเอง สำหรับคนที่ชอบการแข่งขันอย่างผม มันเป็นเรื่องน่าสนุกมากแต่สุดท้ายผมก็ถอดใจและถอนตัวเพราะงานประจำที่ต้องรับผิดชอบทำให้ไม่มีเวลาได้พรีเซนต์ตัวเองสักเท่าไหร่ ตอนนั้นผมคิดว่าคนจากสำนักงานใหญ่น่าจะเห็นสิ่งที่ผมทำโดยที่ไม่ต้องพรีเซนต์ตัวเองแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อย่างที่คิด

เขามองไม่เห็นเราหรอกถ้าเราไม่ก้าวเข้าไปบอกว่าเราทำอะไรหรือถ้าเห็นก็เห็นแค่เสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น

แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่ผมทำจะไร้ประโยชน์เสียหมด เงินเดือนที่ถูกปรับขึ้นในปีนั้นทำให้ผมค่อนข้างภูมิใจในตัวเองมากทีเดียว

ผมมองหน้าคุณลลินที่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบฟังเรื่องที่เธอเล่าแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า…

“คุณบอกว่าชอบเอิ้นแล้วบอกเรื่องนี้กับผมทำไมครับ”

“ก่อนลลินจะตอบคำถามคุณเสือ คุณเสือช่วยตอบคำถามลลินก่อนได้มั้ยคะ”

“ถ้าไม่เกินความสามารถครับ”

“ตอนเป็นเด็กทำไมถึงเป็นเพื่อนกับเอิ้นเหรอคะ คนที่ไม่มีอะไรน่าสนใจแบบนั้น คนที่ไม่ค่อยพูดคุย อยู่ด้วยแล้วไม่เห็นจะสนุก ลลินสงสัยค่ะว่าทำไมคุณเสือถึงยอมคบด้วย”

ไอ้เอิ้นก็เป็นอย่างที่คุณลลินว่าจริงๆ นั่นแหละ เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งผมถึงแปลกใจอย่างไรล่ะ นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วนิสัยใจคอการวางตัวทุกอย่างที่เคยเป็นไอ้เอิ้นเพื่อนรักของผมหายไปจนหมดเลย

ถามว่าชอบเอิ้นคนไหนมากกว่า

คนก่อนโน้นก็ดีนะแต่คนปัจจุบันก็ดีไปอีกแบบ

ผมเจอไอ้เอิ้นตอนอายุ 5 ขวบเมื่ออยู่ๆ บ้านหลังข้างๆ ที่พี่สิงห์ชอบหลอกผมว่าเป็นบ้านผีสิงก็มีคนย้ายเข้ามาอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิก 5 คน

ครั้งแรกที่เจอกันคงเป็นตอนที่พวกเขามาแนะนำตัว ตอนนั้นผมกำลังทะเลาะกับเจ้ศรีอย่างรุนแรงด้วยเรื่องที่ผมไปต่อยหลานป้าไก่หน้าปากซอย จำไม่ได้หรอกว่าทะเลาะกับมันเรื่องอะไร เห็นไหมล่ะว่าผมกับเจ้ศรีน่ะเป็นคู่กัดกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

พอทำความรู้จักกันแล้วเห็นว่าผมกับไอ้เอิ้นอายุเท่ากันก็จัดการฝากฝังให้ผมดูแลมันทันที แน่นอนครับว่าคนที่เพิ่งทะเลาะกันมาหมาดๆ นั้นย่อมมีแรงต่อต้านกันเป็นเรื่องธรรมดาและอีกอย่างผมหัวดื้อด้วยแหละ ขึ้นชื่อเรื่องไม่ค่อยเชื่อฟังแม่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งบังคับผมก็ยิ่งไม่ทำ

ไอ้เอิ้นย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกับผม ตอนนั้นผมก็มีแก็งเพื่อนของผมส่วนไอ้เอิ้นตัวอ้วนหน้าตายพูดน้อยไม่ค่อยเป็นมิตรก็อยู่คนเดียวไปตามระเบียบ

ความสัมพันธ์ก็ดำเนินไปอย่างนั้นครับ จนกระทั่งความเซี้ยวเกินเด็กของผมเป็นเหตุให้มีเรื่องกับรุ่นพี่ป.4 ตอนถูกเขาต้อนเข้ามุมเพื่อนในก๊วนของผมก็แตกฮืออย่างกับผึ้งแตกรัง ไม่มีใครสนใจผมเลย แต่ไม่โกรธนะมันเป็นสัญชาติญาณ ไม่มีใครไม่รักตัวกลัวตายหรอก ขณะที่เพื่อนๆ ของผมหนีไปหมดปล่อยให้ผมเผชิญชะตากรรมลำพัง อยู่ๆ ไอ้เอิ้นก็โผล่มา เสียงเล็กๆ ที่ไม่มีพลังร้องบอกให้พวกรุ่นพี่หยุด

คิดว่าได้ผลไหม ได้ครับแต่ได้แผลนะ พวกเราคงนอนหมอบเป็นหมากินยำตีนอยู่ตรงนั้นหากลุงภารโรงไม่มาเจอ

พวกเรากลับบ้านด้วยกันครั้งแรก วันนั้นเจ้โกรธผมมากแล้วยังลงโทษด้วยการไม่ให้กินข้าวเย็นด้วย คืนนั้นผมคงหิวจนนอนไม่หลับหากเพื่อนข้างบ้านไม่โยนขนมปังลอดหน้าต่างมาให้

ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

ระหว่างเรามันไม่ใช่ความประทับใจแรกแต่มันค่อยๆ พัฒนาทีละนิดจนกลายเป็นเพื่อนสนิท มีเสือที่ไหนมาเอิ้นที่นั่น เรารู้ข้อดีข้อเสียของกันและกัน ถึงผมจะมีข้อเสียมากหน่อยแต่ไอ้เอิ้นก็ไม่เคยเกลียดผมนะ มันดีกับผมมาก ตามใจทุกอย่าง ตอนนั้นผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าผมโคตรรักมัน

ผมคิดมาตลอดเลยว่าผมกับไอ้เอิ้นจะเป็นเพื่อนสนิทกันตลอดไป กระทั่งตอนม.ต้นผมก็พังความสัมพันธ์ของเราเองกับมือ

รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นคนหน้าตาดี พอเข้าม.1 ที่โรงเรียนใหม่ก็มีรุ่นพี่สาวๆ มาชอบไง แต่ผมไม่ได้เล่นด้วยหรอก ตอนนั้นยังเด็กมาก ติดเพื่อน ติดเกม ทั้งที่ผมก็อยู่ของผมดีๆ พวกรุ่นพี่ผู้ชายก็มาหาว่าผมแย่งแฟนเขา อะไรวะแค่กูหน้าตาดี อีกอย่างคนที่เข้าหาผมคือแฟนเขานะเว้ย แต่รุ่นพี่แม่งโง่ไงหลงผู้หญิงจนหน้ามืดตามัวคิดไม่ได้แล้วก็มาหาเรื่องผม อีกครั้งที่เพื่อนในก๊วนแตกฮือ เช่นเคยมีแต่ไอ้เอิ้นที่เข้ามาช่วยผม

แต่ใครจะไปรู้ว่าการช่วยผมครั้งนี้จะนำความเดือดร้อนมาให้มัน

หลังจากวันนั้นไอ้เอิ้นก็ถูกหมายหัว ถูกแกล้งสารพัดโดยที่ผมทำได้แค่มอง มันน่าอดสูมากที่ช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เลย

ลำพังตัวผมเองคงช่วยอะไรไม่ได้มาก ตอนนั้นที่โรงเรียนนอกจากกลุ่มพวกไอ้เอ้กที่กร่างที่สุดในระดับม.ต้น แล้วยังมีรุ่นพี่ม.ปลายอีกกลุ่มที่ทรงอิทธิพลกว่า พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องหน้าตาดี บ้านรวยแต่นิสัยเลวมากชอบรีดไถ ชอบแกล้งคนอื่นทำตัวไม่สมเป็นรุ่นพี่ม.ปลายหรอก

ผมใช้เวลาคิดอยู่หลายวันก่อนจะตัดสินใจขอเข้ากลุ่มกับรุ่นพี่พวกนั้นด้วยความที่ผมหน้าตาดี (อีกนั่นแหละ) ตรงกับคอนเซปกลุ่มพวกพี่มันก็เลยยอมรับง่ายๆ ตอนนั้นผมก็งงนะ แค่หน้าตาดีก็เข้ากลุ่มได้เหรอวะ จนมารู้ทีหลังว่าที่พวกพี่มันรับเพราะไม่เคยมีรุ่นน้องม.ต้นใจกล้ามาขอเข้ากลุ่มเลย

หลังจากนั้นไม่นานผมก็ใช้อิทธิพลของกลุ่มรุ่นพี่ม.ปลายลากไอ้เอิ้นออกมาจากกลุ่มไอ้เอ้ก แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ครับ รุ่นพี่ม.ปลายถึงจะไม่ทำร้ายร่างกายอย่างไร้เหตุผลแต่ก็รีดไถเอาเงินไปหมดจนไอ้เอิ้นไม่มีเงินกินข้าวกลางวัน และพอมันไม่มีเงินก็สอนให้เป็นขโมย พอมันไม่ทำก็วนกลับเข้าเรื่องทำร้ายร่างกาย

ผมมองไอ้เอิ้นโดนทำร้ายด้วยความกล้ำกลืน ถ้าผมกล้าหาญได้ซักครึ่งของมันผมคงเข้าไปช่วยมันแล้ว

มันเจ็บปวดมากนะที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนถูกทำร้าย

หลังจากนั้นไม่นานไอ้เอิ้นก็ย้ายโรงเรียนไป

ผมยังจำใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยยิ้มจางๆ ของมันได้ติดตา

ทุกอย่างเป็นความผิดของผม หากผมไปยืนในที่ของมันกลายเป็นคนถูกทำร้ายแล้วเปลี่ยนไอ้เอิ้นเป็นตัวผมที่ลงมือทำร้ายเพื่อนตัวเองกับมือ ผมคงโกรธมันมาก มากจนไม่รู้ว่าจะให้อภัยได้ไหมในชาตินี้

ย้อนกลับไปที่คำถามของคุณลลิน

ทำไมผมถึงเป็นเพื่อนกับมันอย่างนั้นเหรอคงต้องย้อนถามมันก่อนว่าทำไมถึงทนกับกับเพื่อนนิสัยแย่ๆ อย่างผมได้

“ได้คำตอบแล้วใช่มั้ยล่ะคะ จุดเริ่มต้นของเอิ้นกับคุณเสือต้องดีกว่าลลินแน่ๆ ใช่มั้ยล่ะคะ”

“คุณพูดเรื่องไอ้เอิ้นกับผมทำไมเหรอครับ หากมองในแง่ของธุรกิจผมคือคู่แข่งเบอร์ 1 ของคุณเลยนะ”

“เรื่องเอิ้น ลลินแพ้คุณเสือตั้งแต่คิดจะลงแข่งแล้วต่างหาก คุณเสือเป็นเพื่อนคนเดียวที่เอิ้นอยากจะได้ใจ ลลินอยากให้คุณเสือทบทวนความรู้สึกตัวเองแล้วเปิดใจให้เอิ้นบ้าง”

“ถ้าผมจะเปิดใจให้ไอ้เอิ้น ผมคงเปิดใจเพราะตัวมัน ใจมัน และการกระทำของมันไม่ใช่เพราะคำบอกเล่าของใครผมรู้ตัวดีครับว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ คุณลลินต่างหากที่รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

“ทราบสิคะ ลลินคิดเรื่องนี้มาอย่างดี ลลินอยากทิ้งความรู้สึกรักที่ค้างคาใจเอาไวกับปีเก่าเพื่อปีใหม่จะได้เริ่มต้นใหม่ ลลินอยากทำงานร่วมกับเอิ้นอย่างสบายใจ”

“ทำงานกับเอิ้น?”

“รอเอิ้นเล่าให้คุณเสือฟังเองดีกว่าค่ะ” มีลับลมคมในอะไรกันต้องการให้สงสัยข้ามปีกันเลยใช่ไหม “เอิ้นรักคุณเสือมากเลยนะคะ”

“แล้วไงครับ”

“เรื่องที่คุณเสือกำลังตามหาความจริงอยู่หยุดตามหาตั้งแต่ตอนนี้ได้มั้ย”

ผมส่ายหน้าทันที

จะบ้าหรือไง เดินทางใกล้คำตอบเข้าไปทุกทีแล้วจะให้ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ ได้ยังไง

“เอิ้นกังวลเรื่องคุณเสือมาก เอิ้นบอกว่าคุณเป็นคนใจร้อน เขากลัวคุณจะไปมีเรื่อง กลัวคุณจะเจ็บ เวลาที่เราเอาแต่กังวลเรื่องของคนที่ตัวเองรักมันไม่มีเวลาให้มีความสุขเลยนะคะ”

ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนไม่ใช่แค่ไอ้เอิ้นทั้งแม่ พ่อ ไอ้แชมป์ พี่สิงห์และคนอื่นๆ ที่รักผม ผมไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเขาเลย

ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่จะให้ผมหยุดตอนนี้คงทำไม่ได้หรอก

“จบธุระของคุณลลินแล้วใช่มั้ยครับ” ผมขยับตัวเมื่อถามเธอพยักหน้าผมจึงบอกลา

ผมยังคงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้าง อยากซื้อบางอย่างให้บางคนแต่ก็ไม่รู้ว่าซื้ออะไรถึงจะดี

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนที่ผมหยิบมันขึ้นมาพอดี หน้าจอปรากฏเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นไอ้เอิ้นผมจึงกดรับ

‘โมชิโมชิ’

“โมชิพ่องสิ”

‘พ่ออยู่ข้างๆ เสือคุยมั้ย’

“คุยอะไรล่ะ ไม่คุยโว้ย’

“คุยได้พ่อเอิ้นก็เหมือนพ่อเสือ’

“ถ้ามึงจะโทรมากวนประสาทก็แค่นี้นะ เปลืองค่าโทร”

‘คิดถึงเสือแล้ว น่าจะมาด้วยกัน นี่แม่เอิ้นอยากเจอเสือนะ’

“แค่นี้แหละกูขี้เกียจคุยแล้ว”

‘เอาไว้ถึงบ้านแล้วเอิ้นสไกฟ์หานะ’

“ไม่ต้อง”

‘ไว้คุยกันคิดถึงครับ’

บอกลาจบก็ตัดสายไปเลยไม่เคยฟังกัน บอกว่าไม่ต้องๆ ก็ดันทุรังทั้งที่ควรหัวเสียที่ถูกขัดใจแต่ผมกลับยิ้ม รู้เลยว่าตัวเองกำลังมีความสุข

ต้องรีบกลับบ้านแล้วล่ะ



▼▲ ▼▲ ▼



ช่วงปีใหม่ถนนโล่งดีเหยียบสัก 120 ก็ได้เถอะ ก็สะดวกดีแต่อิจฉาคนที่มีบ้านต่างจังหวัดให้กลับไปเยี่ยม ผมเองก็อยากมีแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

เมื่อกลับถึงบ้านเจ้ศรีก็ยังไม่เลิกเมาท์ถึงแม้ว่าลูกชายที่รักจะเอาแต่กดมือถือเจ้ก็ยังไม่หยุดพูด

“พ่อไปไหนอะเจ้”

“อยู่ในสวนมั้ง”

“แล้วนี่อย่าบอกนะว่าอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เสือออกไปยังไม่ได้ลุกไปไหนเลย”

“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเจ้าสิงห์มากมาย”

“พี่สิงห์ก็ดูเหมือนมีเรื่องอยากคุยกับเจ้มากมายเหมือนกันเนอะ”

คนถูกพาดพิงหันมาแยกเขี้ยวใส่เมื่อถูกผมประชด

“เสือไม่กวนละไปหาพ่อดีกว่า”

พ่อกำลังตัดหญ้าอยู่ในสวนหลังบ้าน ผมเดินเข้าไปนั่งลงบนพื้นข้างท่านมองหน้าแล้วยื่นมือไปขอกรรไกรตัดหญ้าแต่ก็ถูกปฏิเสธ

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า” เมื่อถูกจ้องเอาๆ พ่อที่ปกติไม่ค่อยสนใจถามเรื่องของผมเท่าไหร่จึงเอ่ยถาม

“พ่อผิดหวังในตัวเสือมั้ย”

“แล้วสิ่งที่แกทำอยู่ตอนนี้ทำให้แกมีความสุขรึเปล่า”

“เสือไม่รู้” ผมก้มลงเอื้อมมือไปดึงหญ้า

“แปลว่าไม่มีความสุข ถ้าแกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตพ่อก็คงผิดหวังในตัวแก” มือแข็งแกร่งที่เคยโอบอุ้มผมด้วยความรักวางลงบนไหล่แล้วบีบเบาๆ

“แค่เสือมีความสุขก็พอเหรอ ทั้งๆ ที่เสือใช้ชีวิตแบบนี้ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องได้ราวซักอย่างเนี่ยนะ ประสบความสำเร็จคืออะไรยังไม่เคยสัมผัสซักครั้งเลย”

“แกรู้หรอว่าอะไรที่เขาเรียกว่าประสบความสำเร็จ สำหรับพ่อ ชีวิตทุกวันนี้พ่อถือว่าพ่อประสบความสำเร็จแล้วนะอาจจะไม่ร่ำรวยแต่ภาระหนี้สินที่มีก็ไม่มากไปกว่ารายได้และค่าใช้จ่าย มีภรรยาที่ถึงแม้จะปากจัดแต่ก็ทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องและที่สำคัญเธอคือคนที่พ่อรัก การได้ใช้ชีวิตคู่กับคนรักมันเป็นอะไรที่วิเศษมากจริงๆ ส่วนลูกชาย เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าชีวิตเขาต้องการอะไรแต่พ่อก็มีความสุขดีที่ได้เห็นเขาค่อยๆ ลองใช้ชีวิต พ่อไม่ได้หวังให้พวกแกร่ำรวย ไม่ได้หวังให้ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า พ่อหวังแค่ว่าพวกแกจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

“ถึงแม้ความสุขของเสืออาจจะไม่ใช่สิ่งที่สังคมยออมรับอย่างนั้นเหรอครับ”

“แล้วความสุขของเราทำให้สังคมเดือดร้อนรึเปล่าล่ะ อย่าไปสนใจกระแสสังคมให้มาก ความคิดของคนส่วนใหญ่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอเสียเมื่อไหร่กัน”

“พ่อดูปลงๆ กับชีวิตเนอะ” ผมว่าแล้วขำให้พ่อขำตาม

“ก็มีความสุขดีนะ”

“ดีจริงเหรอ การมีภรรยาปากร้ายอย่างเจ้ศรีทำให้ชีวิตมีความสุขจริงๆ เหรอครับ เสือมองว่าพ่อกับแม่ต่างขั้วมากเลยนะคิดแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ทุกที”

“จิ๊กซอว์รูปร่างเหมือนกันต่อกันไม่ติดหรอก การใช้ชีวิตคู่เราไม่ได้ต้องการคนที่เหมือนเราแต่เราต้องการคนที่มาอยู่เพื่อเติมเต็มให้ชีวิตเราสมบูรณ์ พ่อกับแม่อาจจะไม่ได้ต่อกันติดทั้งหมดตั้งแต่ทีแรก แต่พอมีเสือกับสิงห์ ความสัมพันธ์ที่เว้าแหว่งไม่แนบชิดก็ถูกเติมเต็ม เสือเองก็เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ตัวนึง ซักวันก็ต้องมีจิ๊กซอว์อีกตัวที่ต่างจากเสือเข้ามาเพื่อเติมเต็มชีวิตเสือ”

“งั้นเหรอครับ”

“เจอแล้วใช่มั้ยล่ะจิ๊กซอว์ตัวนั้นน่ะ”

โทรศัพท์มือถือที่ไม่รู้ว่าหล่นลงบนพื้นหญ้าตอนไหนดังขึ้นตรงกลางประโยค และบนหน้าจอก็โชว์หน้าไอ้เอิ้นที่ยิ้มแฉ่งชูสองนิ้วโคตรแบ๊ว

“ชีวิตเสืออยู่ในมือเสือ พ่อเคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ”

ผมมองหน้าพ่อด้วยความรู้สึกเดียวคือรัก กระทั่งเสียงเรียกเข้าดับไปแล้วดังขึ้นใหม่

ช่างตื้อจริงเว้ย



▼▲ ▼▲ ▼



เราสไกฟ์คุยกันหลังจากผมขึ้นห้องมา ใบหน้าไอ้เอิ้นดูมีความสุขดีถึงแม้จะผ่านการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลายชั่วโมง

‘คิดถึงเสือแล้ว’

ถ้าเอาคำว่าคิดถึงจากปากไอ้เอิ้นมาต่อเป็นถนนป่านนี้ยาวถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรสแล้ว

“กูซื้อสร้อยให้แม่แล้วนะ” ผมวางมือถือลงเพื่อเดินไปหยิบสร้อยมาโชว์

‘รสนิยมดีไม่เบานี่นา’

“กูเห็นมึงเขียนดาวไว้”

‘เอิ้นคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับแม่’

“วันนี้กูเจอเพื่อนมึงด้วยแหละ”

‘ลลินน่ะเหรอ เธอบอกเสือแล้วใช่มั้ย’

“เรื่องอะไรล่ะ”

‘ก็เรื่องที่เธอคุยกับเสือวันนี้ไง ที่จริงลลินบอกเอิ้นแล้วว่าจะคุยกับเสือ’

“อ๋อ มึงใช้ให้เขามานำเสนอด้านดีๆ ของมึงให้กูฟังงี้”

‘ลลินพูดถึงเอิ้นด้วยเหรอ’

“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เรื่อง”

‘ไม่รู้จริงๆ ครับ แล้วลลินว่าไงบ้างอะ’

“กูจะไปกินข้าวแล้ว”

‘เดี๋ยวสิยังคิดถึงอยู่เลย’

“จะคิดถึงอะไรนักหนาแค่นี้นะ” ผมชิงจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้นก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงนอนมองเพดานแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยรอเสียงเรียกให้ลงไปกินข้าว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ผมเคลิ้มๆ จะหลับ ผมแม่งโคตรคลั่งไคล้การนอน ว่างไม่ได้เลยตาจะปิดทุกที

พี่สิงห์โผล่หน้าเข้ามาตอนที่ผมตะโกนอนุญาต

พี่ผมมีมารยาทแบบนี้ตั้งแต่เมื่ไหร่ เมื่อก่อนไม่เห็นจะมี

“คุยกับแฟนเสร็จแล้ว?”

“แฟนอะไร”

พี่สิงห์นั่งลงข้างผมแล้วหัวเราะ

“กับเอิ้นไงไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”

“พูดอะไรของพี่วะ”

ผมนี่ร้อนๆ หนาวๆ งงไปหมดว่าทำไมอยู่ๆ พี่สิงห์ถึงถามแบบนี้ ระหว่างผมกับไอ้เอิ้นมีอะไรที่ทำให้คนอื่นมองแค่แว้บเดียวแล้วรู้ลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราเลยหรือไง

“ปกติเสือไม่เคยมีความลับกับพี่นี่หว่าแต่เรื่องเอิ้นไม่เคยเห็นเล่าให้ฟัง”

ปกติถ้ามีอะไรผมจะเล่าให้พี่สิงห์ฟังตลอด เรื่องถูกพักงานก็ด้วยแต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะเล่าเรื่องของไอ้เอิ้น

นั่นสิ ทำไมวะเพราะผมอายที่ถูกผู้ชายตามจีบหรือเพราะไม่มั่นใจความสัมพันธ์กันแน่

“สิงห์พี่คิดว่าเสือหยุดดีมั้ย”

“หยุดชีวิตไว้ที่เอิ้นอะนะ”

“สิงห์!!” ผมดันตัวลุกขึ้นแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตามันเพื่อบอกว่ากำลังจริงจังให้พี่ชายผมหัวเราะชอบใจ

“เรื่องคนใส่ร้ายน่ะเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ

“คิดดูดีๆ ว่าถ้าหยุดตอนที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องนี้มันจะยังค้างใจเราไปเรื่อยๆ หรือเปล่า”

พี่ชายผมรู้จักผมดีกว่าใคร

“เหนื่อยแล้วว่ะ ยิ่งรู้ว่าคนนั้นเป็นใกล้ตัวเราเสือก็ยิ่งไม่สบายใจ”

“คงไม่ใช่แฟนเราหรอกใช่มั้ย”

“ใช่ไอ้เอิ้นซะที่ไหนกันเล่า”

“แน่ะ ไหนเมื่อกี้บอกไม่ใช่แฟน”

เออว่ะ! แล้วเมื่อกี้ก็พูดแบบไม่ทันคิดด้วย

“เสือไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นซะหน่อย”

“ไม่ทันแล้วไอ้น้องสิ่งที่เราพูดเวลาเผลอมักจะเป็นความจริงที่อยู่ในใจเราเสมอแหละ ป่ะ! ไปกินข้าวทุกคนรออยู่ข้างล่าง”

ผมเดินตามพี่สิงห์ลงมาพลางครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนหน้า

ความรู้สึกของผมที่มีต่อไอ้เอิ้นเรียกว่ารักจริงๆ เหรอวะ


[- T B C -]


 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ลุ้นค่ะ คงไม่มาโป๊ะเชะที่เอิ้นใช่ไหม โอ๊ย ลุ้น
ติดตามค่ะ

 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด