พิมพ์หน้านี้ - TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: แจซอล ที่ 10-07-2016 15:33:33

หัวข้อ: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 10-07-2016 15:33:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



นิยายเรื่องอื่นๆ ของเรา

JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - จบแล้วจ้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.0)
Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก - Updating... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61584.0)
คุณครูพี่มิน - Updating... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65959.msg3781936#msg3781936)




║█║▌║█║▌│║▌║▌█║



'บางครั้งเจ้ากรรมนายเวรก็มาหาเราในรูปแบบของ...เพื่อนเก่า'

(https://www.img.in.th/images/bb9d90b9c662d4dbe2629b470ec80e43.jpg)


เสือ :: ผมชื่อ 'เสือ' ส่วนเจ้านั่นชื่อ 'เอิ้น' เราเคยเป็นเพื่อนกัน
ขอย้ำว่า 'เคยเป็น' แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่ต้องให้ทวนซ้ำเนอะ เปลืองพลังงาน

เอิ้น :: ใช่ครับ ผมชื่อเอิ้น คุณแม่เสือเรียก 'หนูเอิ้น'
แต่เสือชอบเรียกหมูอ้วน อาจจะจริงที่ว่าเราเคยเป็นเพื่อนกัน
แต่ตอนนี้เราเป็นมากกว่านั้น บางครั้งก็เป็นหัวหน้ากับลูกน้อง แต่เมื่อคืนเพิ่งเป็นของกันและกัน
ผมชอบสถานะหลังมากกว่านะ ฟินสุโค่ย

เสือ :: ฟินพ่องดิ ของกันและกันห่าไร

เอิ้น :: ทำเป็นจำไม่ได้ อยากให้เอิ้นชวนทวนความจำใช่ป่ะ
มามะ มาให้ป๋ากอดซะดีๆ


▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼

►สารบัญ◄
บทนำ {เจ้ากรรมนายเวร} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3420679#msg3420679)
ตอนที่ 1 {คุณอัคคี} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3423891#msg3423891)
ตอนที่ 2 {สรัล} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3428691#msg3428691)
ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3435240#msg3435240)
ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3442709#msg3442709)
ตอนที่ 5 {เสือใหญ่} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3447091#msg3447091)
ตอนที่ 6 {ใส่ร้ายป้ายเสือ} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3452116#msg3452116)
ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3457772#msg3457772)
ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3462668#msg3462668)
ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3468311#msg3468311)
ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3473881#msg3473881)
ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3481695#msg3481695)
ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน}  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3487466#msg3487466)
ตอนที่ 13 {ทำกันเถอะ} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3496838#msg3496838)
ตอนที่ 14 {ใกล้} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3506488#msg3506488)
ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3511843#msg3511843)
ตอนที่ 16 {เรื่องของเสือกับเอิ้น} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3516986#msg3516986)
ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี}  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3521996#msg3521996)
ตอนที่ 18 {ของขวัญ} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3527816#msg3527816)
ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3534770#msg3534770)
ตอนที่ 20 {ความจริง} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3543894#msg3543894)
SPECIAL {เมื่อเอิ้นเมา} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3543896#msg3543896)
ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3552039#msg3552039)
ตอนที่ 22 {เพราะรัก} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3567203#msg3567203)
ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} - ตอนจบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3577311#msg3577311)
SPECIAL  {เอิ้นเสืออินเจแปน} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.msg3591175#msg3591175)

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 10-07-2016 16:12:17
 :mc4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {เจ้ากรรมนายเวร} 100716
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 10-07-2016 16:36:25


บทนำ
{เจ้ากรรมนายเวร}





ความทรงจำสุดท้ายของผมในค่ำคืนนี้คือแก้วเหล้าบนโต๊ะยาวในห้องคาราโอเกะซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้จัดการแผนกคนใหม่ควบคู่กับเลี้ยงส่ง คนเก่า

เห็นหัวล้านๆ ของคุณสุริยะที่กำลังโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงแล้วก็อดเศร้าไม่ได้ ผมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านมาหลายปี ท่านให้โอกาสผมหลายอย่าง ก็รู้ว่างานเลี้ยงต้องมีวันเลิกราแต่มันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี

ผมนั่งถือแก้วเหล้าอยู่บนโซฟา เยื้องจากผมไปราวๆ 2 ที่นั่งคือชายหนุ่มหน้าตาดีที่มารับตำแหน่งผู้จัดการแผนกคนใหม่ ประเมินจากลักษณะและรูปร่างหน้าตาแล้วอายุไม่น่าจะห่างจากผมมากนัก แต่ดูภูมิฐานดี ถ้าเรียกภาษาชาวบ้านก็ขี้เก๊กน่ะแหละ

ไม่รู้เพราะความหล่อเหลาหรือความขี้เก๊กของเขาที่ทำให้ผมละสายตาไม่ได้ซักที หลายครั้งที่มองไปยังพวกที่เต้นเป็นไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวกอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีก็กลับมาวางสายตาไว้ที่เขาแล้ว

เหล้าในแก้วพร่องลง เสียงเพื่อนร่วมงานแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะบอกว่า – มึงอย่าดื่มเยอะนะไอ้เสือเดี๋ยวแม่งก็เมาหรอก

เมาอะไรครับเหล้าผสมโค้กแก้วเดียวทำอะไรผมไม่ได้หรอก คนอะไรจะคออ่อนขนาดนั้น

เหล้าแก้วที่ 2 ถูกส่งจากน้องนางคนสวยในชุดที่เผยเนื้อนมไข่ อยากได้กับแกล้มเป็นเนื้อขาวๆ สักชิ้น

ผมค่อยๆ ดื่มมันอีกครั้งเมื่อละสายตาจากก้นงามงอนของน้องนาง น่าแปลกที่ทั้งคืนนี้สายตาผมชอบจะเผลอไปวางไว้บนใบหน้าหล่อเหลาของผู้จัดการแผนกคนใหม่เสมอ

ไม่รู้สิ ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

คิดไม่ออกเหรอดื่มแม่ง เอ้าชน!!

แกร๊ง!

เสียงแก้วดังประสานกันครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งที่ผมกระดกแอลกอฮอล์เข้าปากก็จะมีมือใครสักคนมารั้งข้อมือผมเอาไว้ แล้วกรอกหูด้วยคำเดิมๆ ว่า – เดี๋ยวก็เมาหรอกไอ้เสือ คอแม่งอ่อนยิ่งกว่าดอกหญ้าอีก

โอ้โห ลมพัดมาทีคอกูนี่ลู่ไหวไปตามแรงเลยว่ะ ถุย!

“คออ่อนเหี้ยไร เขาเรียกว่าภูมิคุ้มกันแอลกอฮอล์บกพร่องเว้ย”

ผมจำไม่ได้ว่าพูดคำนี้ซ้ำไปกี่รอบ แต่น่าจะมากกว่าจำนวนครั้งที่แอลกอฮอล์ถูกน้องนางคนงามเติมใส่แก้ว

อีกครั้งที่ผมกระดกเหล้าเข้าปาก และพอดื่มหมดคนรอบตัวผมก็กลายเป็นทศกัณฑ์ แปลงร่างก็ได้ด้วยว่ะ สุโค่ย หลังจากนั้นเจ้ายักษ์ 10 หน้าก็ล้างเอาความทรงจำของผมไปจนหมด




▼▲▼▲▼




“จันทร์ เอาน้ำแข็งมาถูหลังให้ฉันซิ”

เมื่อคืนก่อนเพิ่งได้ดูหนังอีโรติกชื่อดังเรื่องนี้และประโยคนี้ก็บังเอิญติดหูมา

อะไรวะ แม่ไม่ได้จ่ายค่าไฟเหรอ หรือว่าแอร์เสีย ร้อนฉิบหาย

ผมลุกขึ้นพร้อมกับอาการมึนหัวบนเตียงนอนนุ่มที่มีกลิ่นหอมสะอาด พยายามดึงรั้งเสื้อผ้าชุดทำงานออกจากกายในยามที่ทนกับความร้อนไม่ไหว เสื้อเชิ้ตถูกโยนไปทางซ้าย เข็มขัดที่ยังติดอยู่ที่หูกางเกงถูกโยนไปทางขวา ถุงเท้า... ผมคลำไปตามท่อนขาเปลือยเปล่าลงไปจนถึงจุดต่ำสุดของร่างกายแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อถุงเท้าไม่มี

แม่ใจดีจังเลย ทั้งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่แล้วยังถอดถุงเท้าให้ลูกชายที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันแอลกอฮอล์บกพร่องอีก น่ารักที่สุด

“ขอบคุณครับแม่” ผมตะโกนดังๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างก่อนจะทิ้งร่างกายที่เหลือเพียงกางเกงชั้นในลงนอนแผ่หลาบนเตียงอีกครั้ง

แปลกจัง ทำไมวันนี้เตียงมันดูกว้างใหญ่กว่าทุกๆ วัน...

แม่สั่งเตียงนอนมาใหม่ด้วยเหรอ

ฮึ้ยหนาว

ขนอ่อนทั้งกายผมตั้งชันเมื่ออยู่ๆ จันทร์ก็เอาน้ำแข็งมาถูที่หน้าท้อง

จันทร์ไหน ที่นี่ไม่มีจันทร์

ผมลืมตาโพลงด้วยความตกใจ อาการมึนหัวแล่นจี้ดไปทั่วทั้งขมับจนต้องยกมือขึ้นทุบหัวแรงๆ แต่แม่งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักเท่าไหร่หรอก

ในความเลือนลางขณะที่สายตาพร่ามัวผมเห็นเงาของใครสักคนที่รูปร่างไม่คุ้นตา เขาไม่ใช่คนในครอบครัวของผมแน่ๆ

โจรเหรอวะ สัญชาติญาณการเอาตัวรอดผลักผมให้ถอยห่างจากเขา แต่เพียงขยับตัวก็ถูกคว้าข้อเท้าเอาไว้แล้วมือหนาข้างนั้นก็ลูบขึ้นมาถึงขาอ่อน คราวนี้แหละอาการร้อนวูบวาบที่กำลังแล่นริ้วทำผมตื่นเต็มตา มองคนตรงหน้าชัดเจนยิ่งกว่าระบบ HD ซะอีก

“ตื่นแล้วเหรอ”

คนที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครถามด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง แต่สายตาแพรวพราวที่กำลังกวาดมองเรือนร่างเกือบเปลือยเปล่าทำให้ผมไม่อยากจะอยู่ฟัง

เมื่อผมขยับหนี เขาก็เพิ่มน้ำหนักมือที่วางไว้เฉยๆ บนต้นขาเป็นกดเอาไว้บังคับไม่ให้ขยับ สัญชาติญาณกระซิบบอกให้ผมรีบออกไปจากที่นี่แต่สภาพคนที่ยังไม่สร่างเมาดี แม้คิดจะหนีแต่ร่างกายกลับเป็นใจเอาซะเลย

“ตัวสั่นเชียว กลัวเหรอ”

น่ากลัวตายห่า – ผมด่าได้แค่ในใจเมื่อซุ่มเสียงไม่สามารถลอดผ่านลำคออันแห้งผากออกมาได้

น้ำแข็งที่ยังวางอยู่บนหน้าท้องกำลังละลาย น้ำใสๆ ไหลลงมาที่เอวก่อนจะหยดลงบนที่นอนนุ่ม ตอนนี้เองที่ผมตระหนักได้ว่าแม่ไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือซื้อเตียงให้ใหม่ เพราะที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม

ที่นี่ที่ไหนวะ

“คุณเสือยังอยากได้น้ำแข็งอยู่มั้ย” รู้จักชื่อผมด้วย

ผมลองมองคนตรงหน้าชัดๆ เมื่อเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ เออ ชัดเลย หล่อๆ แบบนี้ ใครวะ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหน แต่ไม่ว่าจะเค้นความทรงจำจากสมองซีกไหนก็ไม่เห็นจะจำได้เลย

“เฮ้ย!!”

ผมอุทานแล้วคว้าแขนเขาไว้ เมื่อมือหนาหยิบเอาน้ำแข็งก้อนใหม่วางลงบนแผ่นท้องเปลือยเปล่าของผมแทนอันเก่าที่ละลายไปหมดแล้ว

“ทำไมล่ะ คุณบอกให้ผมเอาน้ำแข็งมาถูหลังให้ไม่ใช่เหรอ”

ไม่รู้ว่าเขาแรงเยอะหรือผมไม่มีแรง เมื่อมือผมที่รั้งแขนเขาไว้ไม่สามารถหยุดการกระทำอันอุกอาจนี้ได้เลย

น้ำแข็งที่ค่อยๆ ละลายนั้นถูกลูบไล้ขึ้นมาที่อก

ซี้ดเลยว่ะ ความรู้สึกของนักแสดงหญิงคนนั้นคงเหมือนผมตอนนี้

ไม่สิ มึงต้องไม่เคลิ้มสิวะเสือ

ร่างของผมถูกผ่อนลงบนเตียงนอนกว้างอย่างง่ายดาย มันง่ายเกินไปจนผมเริ่มกลัวใจตัวเอง ครั้นจะปัดป้องก็เหมือนกับว่าถูกสายตาแพรวพราวคู่นั้นดูดพลังงานไปจนหมด

ร่างกายผมอ่อนปวกเปียกเหมือนผักที่กำลังจะถูกเก็บทิ้งจากแผงในตลาด เขาจับผมคว่ำลง ก่อนที่น้ำแข็งอีกก้อนจะถูกลากไปตามแนวกระดูกสันหลัง ความวูบวาบแล่นริ้วตั้งแต่ปลายเท้ายันก้านสมอง มือเย็นๆ วางลงบนก้นเมื่อน้ำแข็งละลายไปจนหมด เขาค่อยๆ คลำแล้วขย้ำ

ส่วนล่างของผมมี 2 ความรู้สึก ข้างหน้าร้อนวูบวาบและกำลังตื่น ส่วนข้างหลังมันวูบโหวงและวาบหวิวเกินกว่าจะบรรยายได้

“ยะ หยุ...” แอลกอฮอล์ทำให้สติสัมปชัญญะลดลง ผมไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืน ไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงด้วยซ้ำ

แม่ง ไม่น่าดื่มเลยว่ะ รู้ตัวตอนนี้ก็เหมือนจะสายไปเสียแล้ว

“ผิวคุณสวยกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” เสียงแหบพร่าดังชิดที่ข้างหู ขบเม้มอย่างหมั่นเขี้ยว ขณะที่มือข้างที่เคยวางอยู่บนก้นกำลังลากขึ้นมีที่แผ่นหลัง

เขาลูบไล้ ฟ้อนเฟ้น ก่อนจะประทับจูบที่ท้ายทอยซ้ำๆ

มันก็รู้สึกดีนะ แต่มึงจะเคลิ้มไปกับคนแปลกหน้าไม่ได้นะเสือ – ถ้าผมหยุดเขาได้ก็คงดี

ผมกำผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกเป็นรองและหมดหนทางสู้ ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เสือผู้ชาญฉลาดอย่างผมจะรู้สึกจนตรอก เสือนะไม่ใช่หมา แต่เขาคนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมา หมาตัวน้อยๆ ที่ถ้าเขาจะบีบก็คงตาย และเขาก็บีบ

บีบนมกูเต็มมือเลย

ผมพยายามเปล่งเสียงร้อง แต่ลำคอที่เหือดแห้งไม่มีทางส่งเสียงอะไรออกมาได้

“ดื่มน้ำซักหน่อยมั้ย”

ร่างของผมถูกพลิกให้นอนหงาย เขาลูบไล้ต้นขาก่อนจะค่อยๆ แยกมันออกกว้างเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งในชุดคลุมอาบน้ำแทรกเข้ามาง่ายๆ

ฝ่ามือแกร่งข้างหนึ่งสร้างความรัญจวนด้วยการฟอนเฟ้นที่ต้นขา นิ้วมืออีกข้างหนึ่งบดคลึงที่ริมฝีปากแล้วสอดเข้ามาลูบไล้ด้านในให้ผมอ้าเผยอเรียวปากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มพึงใจ เขาแลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากของผมให้ความรู้สึกเหมือนถูกราดน้ำมันลงบนกองไฟ

ตัวผมเปรียบเสมือนกองไฟที่ในยามนี้เปลวเพลิงกำลังลุกโชน

ไม่ใช่-- สิ่งที่ถูกราดลงมาบนตัวผมนั้นไม่ใช่น้ำมัน แต่มันเป็นน้ำผึ้งต่างหาก ผมสัมผัสได้ถึงความหวานของน้ำเชื่อมเมื่อความฉ่ำชื้นถูกส่งเข้ามาภายในโพรงปาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันให้ความรู้สึกดีมากจนอดที่จะส่งลิ้นไปสัมผัสมันไม่ได้เลย

ความซ่านสุขโอบล้อมตัวของผม มันฉุดรั้งให้จมลึกลงไป ทั้งฝ่ามือที่กำลังฟอนเฟ้นเรือนกาย เรียวปากที่กำลังป้อนความหวานรสเลิศ ความแข็งขืนที่บดเบียดกันที่ส่วนกลางกายเมื่อร่างกายแนบชิด ทั้งหมดนั้นมันดีมากอย่างที่คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธมัน

อื้อ...

เมื่อลำคอที่แห้งผากถูกหล่อเลี้ยงด้วยความฉ่ำชื้นเสียงที่บ่งบอกว่าผมกำลังรู้สึกดีเพียงใดก็ดังลอดจากเรียวปากที่กำลังบดเบียดกันอย่างร้อนแรง

เขาผละออกและเป็นผมเองที่โน้มลำคอแกร่งให้ลงมามอบความหวานให้กันอีกหากแต่เขาทำให้ผมผิดหวัง

“ใจเย็นเด็กดี”

เสียงกระซิบดังชิดเรียวปากชุ่มฉ่ำ แล้วใบหน้าของผมก็ถูกบังคับให้แหงนเงยขึ้นเมื่อเรียวลิ้นร้อนลากจากปลายคางลงไปที่ลำคอ

“ผมขอกินคุณทั้งตัวเลยได้ไหม” เขาว่าก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนผิวอ่อนตรงลำคอ มันเจ็บแต่ก็แฝงไปด้วยความซ่านสยิวแบบที่ไม่เคยพบพาน

ความร้อนลามไปทั่วร่างกายเหมือนไฟลามทุ่งเมื่อปลายจมูก ริมฝีปาก เรียวลิ้นและมือทำงานประสานกันเป็นอย่างดี

เขาพรมจูบแผ่นอกผมไปทุกซอกมุม มือหนาก็บีบเคล้นฟ้อนเฟ้นราวกับต้องการประทับลายนิ้วมือเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

ผมรู้ว่าหน้าอกเป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกแต่ไม่เคยรู้ว่ามันให้ความรู้สึกดีถึงเพียงนี้กระทั่งเขาบีบเค้นมัน ใช้ปลายนิ้วสะกิดบริเวณปลายยอดจนมันแข็งคัด เขาฉาบมันด้วยน้ำหวานจากปลายลิ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมแทบขาดใจ  ผมดึงทึ้งผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมจนยับย่น บิดร่างไปมาด้วยความซ่านเสียวที่แล่นพล่านไปทั่วทุกรูขุมขน

เสียงน่าอายถูกเปล่งออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความดังของมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อปลายลิ้นร้อนลากลงมาที่แผ่นท้อง หยอกล้อกับหลุมสะดือแล้วจึงค่อยไปหยุดที่ขอบกางเกงตัวสุดท้ายบนร่างของผม

เขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับดวงตาหรี่ปรือของผม ไม่นานหลังจากนั้นส่วนล่างที่กำลังร้อนรุ่มก็ถูกเปิดเผย

ผมอายมากจนต้องหลับตาลง หากยิ่งหลับตาความรู้สึกที่ได้รับจากปลายลิ้นซึ่งกำลังเล็มเลียที่ซอกขาด้านในกลับยิ่งชัดเจน

ร้อนไปหมด ซ่านเสียวจนอยากจะดึงทึ้งทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ให้ขาดวิ่น

สะโพกของผมลอยสูงขึ้นเมื่อน้ำหวานจากปลายลิ้นของเขาถูกเคลือบลงบนเสือใหญ่ที่กำลังขยับขยาย ส่วนปลายของมันปวดร้าวและสั่นระริกรับความนุ่มนิ่มที่ตวัดคล้ายกับกำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ

ช่างเป็นผลงานศิลปะที่ซ่านสยิวเสียเหลือเกิน

การถูกปรนเปรอด้วยเรียวลิ้นทำให้สติที่ไม่ค่อยมีล่องลอยไปไกลแสนไกล ผมแหงนเงยใบหน้าขึ้น เสียงครวญครางที่ไม่คิดว่าจะใช่ของตนดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อตัวตนถูกครอบครองด้วยโพรงปากฉ่ำชื้น เขาตวัดลิ้นเหมือนกำลังวาดพู่กันลงบนผืนผ้าใบ ดูดอมเหมือนกับของที่อยู่ในปากคือไอศกรีมรสเลิศ การปรนเปรอที่ไม่ผ่อนปรนทำให้ความแข็งขืนนั้นค่อยๆ พองตัว ผมกำลังจะปริแตก

อารมณ์กำลังพุ่งทะยานถ้าเขาผละออกในตอนนี้ผมต้องตายแน่ๆ ผมเลื่อนมือที่เคยวางอยู่บนไหล่ไปยังศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีเข้มของเขา กดเอาไว้ขณะยกสะโพกขึ้นรับความวาบหวามที่เดินมาจนถึงปลายทาง

พลุไฟนับพันดังขึ้นในหัว มันสว่างวาบชั่วครู่หนึ่งแล้วจึงดับลง

ร่างกายปวกเปียกจากความสุขสมของผมถูกคร่อมทับอีกครั้ง เมื่อหรี่ดวงตาปรือปรอยมองก็เห็นว่าเขากำลังคลายปมเสื้อคลุมแล้วรั้งมันออกเผยเรือนร่างงดงามสมชาย

ผมยกมือขึ้นดันกล้ามท้องของเขา บอกด้วยการกระทำว่า – พอแล้ว แต่เหมือนเขาจะเข้าใจเจตนาของผมผิดไปเมื่อเขาจับมือผมแล้วพาลากต่ำลงไปยังร่างกายส่วนล่างที่เปลือยเปล่า ผมชักมือออกเหมือนเจอของร้อนแต่เขาก็ส่ายหน้าแล้วอ้อนผมด้วยแววตา

เชื้อไฟที่ยังไม่มอดดับทำให้ผมกลายเป็นคนว่าง่าย ผมลองแตะมันอีกครั้งสร้างความคุ้นชินแล้วจึงจับมันไว้เต็มมือ

“อย่างนั้น เด็กดี มือคุณ...” เขาสูดหายใจเขาแล้วผ่อนออก ทุกจังหวะการรูดรั้งเรียกเสียงฮึมฮัมให้ดังลอดออกมาจากลำคอแกร่ง

ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ซ่านสยิวของเขาทำให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว เสือใหญ่ที่อ่อนปวกเปียกก็ปึ๋งปั๋งขึ้นมาอีกครั้ง

เขาโน้มใบหน้าลงมามอบจุมพิตให้กับผม ดูดดึงเรียวลิ้นพร้อมๆ กับมือใหญ่ที่กอบกุมและรูดรั้งให้ผมเช่นกัน

พลุไฟกำลังจะถูกจุดอีกครั้ง ขณะที่มือของผมทำหน้าที่หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ และไฟก็ถูกดับลงทั้งที่มันกำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเมื่อเขาหยุดทุกการสัมผัส ทั้งยังรั้งมือของผมไว้

“พอก่อน ผมอยากสัมผัสคุณมากกว่านี้”

มากกว่านี้? ยังใกล้ได้มากกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ

ผมมุ่นคิ้วมองเมื่อเขาส่งนิ้วชี้และนิ้วกลางมาลูบไล้บดคลึงที่ริมฝีปากก่อนจะสอดเข้ามาให้ผมใช้เรียวลิ้นตวัดเลียมันจนชุ่มฉ่ำ เขายิ้มพอใจก่อนจะมอบจุมพิตให้กับผมอีกครั้ง

ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนก็ไม่ต่างจากแมงเม่าที่ถูกล่อด้วยดวงไฟสวยๆ กระทั่งข้างหลังที่ไม่เคยถูกแตะต้องถูกลูบวนด้วยนิ้วที่เคลือบด้วยน้ำลายของผมเอง

กลัว-- แต่อารมณ์รักที่ถูกปลุกเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้ผมค่อยๆ ขยับเรียวขาให้กว้างออก เพียงนิ้วเดียวที่รุกล้ำเข้ามา ร่างกายผมก็แทบจะปริแตกแล้ว มันคับแน่นจนแทบหายใจไม่ออก และเมื่อนิ้วที่สองถูกแทรกเข้าไปผมก็รู้สึกราวกับว่ารอบกายผมไร้ซึ้งอากาศหายใจ หากเขาไม่ช่วยต่อลมหายใจให้ผมคงได้ตายไปแล้วจริงๆ

แต่ใครเลยจะรู้ว่าความเจ็บปวดเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความหฤหรรษ์ได้เมื่อร่างกายยอมเปิดรับ นิ้วเรียวยาวขยับเข้าออกเนิบช้าในคราแรกและเขาก็ค่อยๆ เพิ่มความรัวเร็วขึ้นทีละระดับ

ไม่เคยรู้เลยว่าตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกดีได้เหมือนกัน

ท่อนขาของผมบิดเกร็ง พลุไฟในหัวถูกจุดอีกครั้ง ในยามที่มันกำลังจะระเบิดเขากลับดับมันด้วยการถอนนิ้วออกแล้วขยับลุกนั่ง ขาทั้งสองข้างของผมถูกวางไว้บนหน้าขาของเขา มือหนาลูบไล้ตัวตนที่กำลังแข็งขืน เขาฉีกซองพลาสติกด้วยฟันคมแล้วจึงครอบมันลงบนส่วนที่กำลังขยับขยาย รูดรั้งไม่กี่ทีแล้วจึงขยับมาจดจ่อที่ช่องทางของผมซึ่งกำลังร้อนผ่าว

เพียงเขาดุนดันเพื่อพยายามจะเข้ามาความเจ็บปวดก็มาเยือนพร้อมกับความซ่านเสียวที่แยกไม่ออกเลยว่าความรู้สึกใดมีมากกว่า

เขาปลอบโยนผมด้วยการก้มลงวาดปลายลิ้นลงบนยอดอก รูดรั้งตัวตนของผมถี่ๆ เมื่อร่างกายกำลังจะปริแตกเขาก็สอดแทรกเข้ามาในร่างกายของผม

มันคับแน่น จุกเสียด และเจ็บราวกับจะขาดใจ

ผมกอดรัดร่างเขาแน่น ขณะที่เขาเองก็พยายามดันสะโพกเข้ามาจนสุด ริมฝีปากของผมถูกปรนเปรอด้วยลิ้นร้อนชื้น หลอกล่อให้จดจ่อกับความเร่าร้อนแสนหวาน เขายกสะโพกขึ้นถอดถอนตัวตนออกมาเพียงครึ่งแล้วกดลงมาแผ่วเบา ทำแบบนั้นซ้ำๆ จนความเจ็บร้าวถูกแทนที่ด้วยความซ่านเสียว

มือที่บีบรัดแผ่นหลังของเขาค่อยๆ คลายออกพร้อมกับจุมพิตที่หยุดลง

เขาแนบหน้าผากกับหน้าผากของผม เราสบตากัน ดวงไฟเล็กๆ ในดวงตาบอกความนัยน์ได้เป็นอย่างดีว่าเราพรักพร้อมสักแค่ไหน

เขาถอนตัวตนออกไปอีกครั้งให้ร่างของผมผวาตาม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปาก

เขาส่ายหน้า “ฉันอยู่ตรงนี้เด็กดี”

จบคำตัวตนอันใหญ่โตก็จมลึกลงมาอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งจนร่างกายของผมโยกไหวไปตามจังหวะอันเร่งเร้า หยาดเหงื่อของเราผสมกันเป็นหนึ่งเดียว เครื่องปรับอากาศไม่สามารถต้านท้านความร้อนรุ่มของร่างกายนี้ได้ ผมกอดรัดเขาแน่น ขีดข่วนระบายความซ่านเสียวลงบนแผ่นหลังแกร่ง ขณะที่เขาเองก็ตอกย้ำตัวตนลงมาในร่างผมด้วยจังหวะอันหนักหน่วงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เสียงร่างกายเสียดสี เสียงครวญครางที่บ่งบอกถึงความซ่านสุขดังก้องอยู่ในห้องกว้างที่เปิดไฟสว่างโร่

ยิ่งใกล้เส้นขัยมากเท่าไหร่ จังหวะการโยกไหวก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นมากเท่านั้น

พลุไฟในหัวผมถูกจุดอีกครั้ง

“นายจำฉันไม่ได้เหรอทิกเกอร์” ไฟในกายเกือบจะมอดดับเมื่อชื่อในอดีตที่มีเพียงคนในครอบครัวและเพื่อนสมัยเด็กท่านั้นที่รู้ดังปนเสียงหอบให้ได้ยินที่ข้างหู

ใบหน้าหล่อเหลาดูดุดันเมื่อเส้นชัยอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ผมพยายามคิดขณะที่ร่างกายกำลังจะปริแตก

เขาคือใคร คนที่กำลังโยกไหวอยู่บนร่างของผมคือใครกันแน่

“ฉัน เอิ้นไง หนูเอิ้น จำไม่ได้เหรอ”

“เอิ้น...” ผมทวนคำพร้อมกับจังหวะหนักหน่วงครั้งสุดท้ายที่เขาฝากฝังลงมา

เสียงพลุไฟดังก้องในหัว ร่างกายของผมเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ เขาที่เพิ่งปลดปล่อยเช่นกันทิ้งตัวซบหน้าลงกลางอกผม เสียงหัวใจอันถี่รัวของเราดังเป็นจังหวะเดียวกัน

ผ่านไปครู่ใหญ่จนหายใจได้ในจังหวะปกติผมจึงผลักเขาออกเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว

เอิ้นอย่างนั้นเหรอ เอิ้น...

“ไอ้หมูอ้วน นายคือไอ้หมูอ้วนเหรอ” ผมตะโกนลั่นพลางภาวนาให้คำตอบคือไม่ แต่สุดท้ายคำภาวนาของผมก็ไม่เป็นผล เมื่อเขาพยักหน้าเบาๆ

“ใช่ ฉันไง ไอ้หมูอ้วนของนาย”

ถึงแม้รูปร่างจะเปลี่ยนไป แต่ผมไม่เคยลืมรอยยิ้มมันเลย

เชรดดดด~ ใครก็ได้ปลุกผมให้ตื่นจากฝันร้ายนี้ที






T B C


ชื่อเสือนะรู้ป่าว ทิกเกอร์อะไร ชื่อหน่อมแน้มแบบนั้นเราทิ้งไปตั้งแต่จบม.ต้นแล้วเว้ย
ความอยากเป็นเสือของคุณเสือเขาแหละค่ะ
แต่ไหงเสือถึงได้สิ้นท่าให้เจ้าหมูอ้วนซะล่ะคะ สิ้นลายตั้งแต่บทนำเลยเหรอ
ม่ายนะ
ครั้งแรกเลยค่ะที่เปิดเรื่องด้วยความ 18+ เริ่มกับแบบซอฟท์นะ นี่คือซอฟท์แล้ว
เพราะหลังจากนี้คุณเอิ้นจะรุกหนักขึ้น หนักขึ้น และหนักขึ้นอีก
ฝากด้วยนะคะ จะคอมเม้นท์ก็ได้ หรือถ้าสะดวกทวิตก็ติดแฮชแท็ก #เสือของเอิ้น (https://twitter.com/search?f=tweets&q=%23%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99&src=typd) นะ
แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า
 :mew3:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {เจ้ากรรมนายเวร} UP.100716
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-07-2016 07:15:04
เห็นชื่อแล้วนึกว่าเสือจะเป็นเมะ แล้วเอิ้นจะเป็นเคะเสียอีก
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {เจ้ากรรมนายเวร} UP.100716
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-07-2016 18:11:47
เฮ้ยยยย สลับกันหรือเปล่าค่ะ ไม่ใช่เอิ้นเคะเหรอค่ะชื่อให้มากกกกกก แต่เสือนี่สิ้นลายตั้งแต่บทนำเลยเหรอค่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {เจ้ากรรมนายเวร} UP.100716
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 11-07-2016 21:48:44
ฮ่าๆๆๆๆ พออ่านแล้วสลับกับความคิดแว๊ปแรกที่เห็นชื่อเรื่องเลย ชอบๆๆๆ ลุ้นต่อๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {เจ้ากรรมนายเวร} UP.100716
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 11-07-2016 22:38:38
ทิกเกอร์ก็ทิกเกอร์สิ สงเสืออะไร นายตั้งเองทั้งนั้น 55555555555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {คุณอัคคี} UP.140716
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 14-07-2016 21:42:33



ตอนที่ 1 {คุณอัคคี}





ใครสักคนกล่าวว่า – คนที่ง่วงนอนตลอดเวลาคือคนที่กำลังอยู่สภาวะเครียด

ก็จริงว่ะ แต่ผมนี่อาการหนัก นอกจากเครียดแล้วยังเสือกมีโรคแทรกซ้อนเป็นความขี้เกียจอีก วันจันทร์ก็แบบนี้  กว่าจะงัดตัวเองออกจากเตียงได้นี่ สมาร์ทโฟนที่แปลงร่างเป็นนาฬิกาปลุกก็ปลุกซ้ำไม่ต่ำกว่า 5 รอบแล้ว คาดว่าอีกไม่นานเจ๊เจ้ามือหวยคงถือตะหลิวขึ้นมาฟาดกบาลผมแน่ๆ

ผมรีบอาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เจ๊ศรีสมรคุณแม่สุดสวยเจ้ามือหวยที่โด่งดังที่สุดในซอยจัดไว้ให้ เป็นเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล็คที่รีดเนี้ยบจนน่ากลัวว่าอาจจะบาดขาใครสักคนที่เดินสวนกันไปมา

เวอร์ไปเนอะ

“บ้านซอยโน้นหายไปทั้งแถบแล้ว” พอเห็นหน้าลูกชายที่หล่อเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าเจ๊ก็แซะทันที เป็นแม่ที่บันเทิงเหลือกิน

ผมจับเส้นผมที่จัดทรงด้วยเจลแล้วขยิบตา ยกยิ้มมุมปาก อย่างที่คนถูกหว่านเสน่ห์ถึงกับยกตะหลิวขึ้นขู่แก้เขินเลยทีเดียว

อยู่กันมาตั้ง 20 กว่าปียังไม่คุ้นชินกับความหล่อของลูกชายอีกเหรอครับ

“ก็ว่าจะกินบ้านฝั่งนี้ด้วยเหมือนกันแต่กลัวเจ๊ไม่มีทำเลเปิดโต๊ะแทงหวย”

“กวนประสาทแต่เช้า เดี๋ยวฉันก็เทข้าวส่วนของเธอให้เจ้าแต้มซะนี่”

“เจ้าแต้มมันเลือกกินจะตาย มันคงกินอาหารฝีมือแม่หรอก”

“งั้นก็ไม่ต้องกินทั้งคนทั้งหมามั้ยล่ะ”

“โหยยย ใจร้าย T^T” ผมทำเป็นเบ้หน้าเหมือนจะร้องแล้วยื่นมือไปรับจานข้าวต้มหอมๆ มา

แม่นั่งลงตรงข้ามแล้วเริ่มบ่น ผมเองก็ชอบอธิบายไง ดังนั้นสงครามประสาทเล็กๆ ระหว่างผมกับแม่จึงเริ่มขึ้นและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ กระทั่งลดหนังสือพิมพ์ลงระดับสายตาเมื่อมองหน้าเราทั้งคู่สลับกัน

“หยุดเลยทั้งคู่ พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ทุกเช้าไม่เบื่อรึไง”

เรื่องผมไม่ยอมมีแฟนอย่างไรล่ะ บ่นเช้าบ่นเย็นว่าอยากอุ้มหลาน เดี๋ยวๆ บ่นมากๆ เข้าเสือคนนี้อาจจะไปทำสาวท้องให้สมใจแม่สักวัน

บ่นเจ๊ศรีจบ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นก็มาหยุดที่ผม

“แล้วนี่เราไม่รีบเข้าออฟฟิศเรอะ สายแล้วนะ” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็พบกับหายนะ

ฉิบหาย สายแล้วโว้ย วิ่งไม่ได้ด้วย เจ็บตูด



▼▲▼▲▼



“คุณสรัลมาสายนะคะ ลงเวลาด้วยค่ะ”

เหี้ยมั้ยล่ะชีวิต อุตส่าห์ทนเจ็บตูดซ้อนวินมายังไม่ทัน 9 โมงเลย แล้ววัฒนธรรมลงเวลาเข้างานระบบเขียนมือนี่ควรจะยกเลิกได้แล้วนะ นี่มันศตวรรษที่เท่าไหร่แล้วครับ ผมอยากสแกนนิ้ว สแกนม่านตาบ้างก็ไม่มีโอกาสเลย

บ่นได้แค่ในใจเท่านั้นแหละ เมื่อในความเป็นจริงผมทำได้เพียงก้มหน้าตวัดปากกาเขียนชื่อตัวเองก่อนจะเดินผ่านคุณพี่ประชาสัมพันธ์ที่คิดว่าคงจะลงหลักปักฐานที่นี่ไปจนเกษียณ พูดตรงๆ จากใจนะ ตอนมาสมัครงานที่นี่ผมเกือบจะไม่กรอกใบสมัครแล้ว ประชาสัมพันธ์ไม่แจ่มเลย

“พี่เสือ” พอทิ้งตูดลงบนเก้าอี้แผ่วเบา ไอ้กวินก็ไถลเก้าอี้เข้ามากระซิบกระซาบ “ขี้กั๊กนะเรา”

“กั๊กเหี้ยไร” ถามมันพร้อมกับกดเปิดคอมพิวเตอร์พีซีที่ขอให้เปลี่ยนมาแล้ว 2 ชาติแต่ก็ไม่เคยได้รับการอนุมัติ

“รู้จักกับผู้จัดการคนใหม่ไม่เคยบอกกันเลยนะ”

“ผู้จัดการคนใหม่อะนะ กูไปรู้จักเค้าเมื่อไหร่วะ”

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาใสซื่อเลย หน้าพี่แม่งร้าย โกหกยังไงผมก็ไม่เชื่อหรอก”

“เอาอะไรมาพูด กูหล่อ กูไม่ได้ร้าย” ลองไปถามสาวๆ ชั้น 5 ได้เลย ตอนกลางวันนี่เดินสวนกันไม่ได้นะ ขอเลี้ยงกาแฟนผมตลอด ไอ้ผมก็ขี้เกรงใจไง เขาให้แล้วจะไม่รับไว้ก็กะไรอยู่

อิ่มท้องสบายกระเป๋าสุดๆ เลยล่ะ

“คุณสรัล” เสียงที่ดังมาจากชั้นบนซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นห้องผู้จัดการทำให้ผมตัดจบบทสนทนาแล้วเงยหน้ามอง ผมช็อคตาตั้งทำอะไรไม่ถูกในทันทีที่สบตา คำด่ามากมายก็ผุดขึ้นมาในหัว

ไอ้เหี้ย ที่สุดของความเหี้ย โคตรพ่อโคตรแม่เหี้ย เหี้ยทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว

ไอ้หมูอ้วน ไอ้เหี้ยที่เอาหนอนมาไชตูดผม ทำให้ผมนั่งวินมาทำงานด้วยความทรมาน ไอ้เหี้ย!!

“เชิญที่ห้องผมครับ” ทำมาเป็นเสียงเข้ม เมื่อคืนนั้นยังครางเสียงพร่าอยู่ข้างหูกูอยู่เลย

พอนึกถึงเรื่องนั้น เสียงพร่าที่ว่าก็ดังแผ่วๆ ขึ้นในหู

“โชคดีนะพี่” ได้สติเมื่อไอ้กวินไหล่ให้กำลังใจ ตบจนร่างทะลุถึงชั้นใต้ดินก็ไม่ได้ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาหรอก

ผมถอยหายใจด้วยหวังว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่ไม่เลย ถอนจนหมดลมก็ไม่ดีขึ้นหรอก

อยู่ๆ ลำคอก็แห้งผาก ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รสชาติหวานๆ ที่ได้รับในคืนนั้นยังติดที่ปลายลิ้นอยู่เลยว่ะ

ชีวิตผมแม่งบัดซบฉิบหาย นอกจากเสียตัวให้เพื่อนเก่าที่ผมโคตรจะไม่ชอบมันแล้ว ยังพบว่ามันเป็นหัวหน้าตัวเองอีก

ก๊อกๆๆ

“ขออนุญาตครับ” ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาถึงจะเกลียดขี้หน้ามันสักเท่าไหร่ผมก็มีวุฒิภาวะพอที่จะแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว

ไอ้หมูอ้วนแม่งยกยิ้มเมื่อหมุนเก้าอี้กลับมา เท่ห์ตายล่ะมึง

“นั่งสิ”

“คุณอัคคีมีอะไรก็พูดได้เลยครับ”

“นั่งก่อนสิ” ไอ้เหี้ย กูเจ็บตูดเนี่ย เข้าใจบ้างสิวะ

โกรธแหละ ไม่อยากนั่งหรอก แต่เพราะเป็นผู้น้อยไงเมื่อเขาบอกให้นั่งก็ต้องนั่ง ผมกัดฟันจนน่ากลัวว่ามันจะสึกเมื่อลากเก้าอี้ออกมาแล้วทิ้งตัวนั่งลงอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เคยทำมา

“ยังเจ็บอยู่เหรอ”

“เรียกผม มีอะไรรึเปล่าครับ” ผมวางแขนไว้บนโต๊ะ พยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ก้น มันเจ็บอ่ะ นี่ขนาดอาการทุเลาลงบ้างแล้วนะยังเจ็บอยู่เลย

“คุณสุริยะฝากให้ผมดูแลทีมคุณเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าช่วงนี้ลูกค้าคอมเพลนเรื่องการเติมเต็มพนักงาน มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“ก็ปกติดีนะครับ”

“มันจะปกติได้ยังไง การเติมพนักงานขายไม่เต็มไม่ใช่เรื่องปกตินะ”

“เงินเดือนมันน้อย งานก็หนัก มันก็เป็นเรื่องปกติที่น้องหน้าตาสวยๆ เค้าจะไม่สู้”

“ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นมุมมองแบบนี้จากคนเป็น  AE (Account Executive) นะสรัล ถ้าน้องผู้หญิงหน้าตาสวยๆ เค้าไม่สู้งาน เรามีทางอื่นมั้ยล่ะ”

“ไม่ใช่ผมไม่เคยคุยกับลูกค้านะครับ เราพยายามจะลดสเป็คพนักงานขายที่ลูกค้าต้องการแต่มันก็ไม่เคยเป็นผล ในเมื่อเค้าไม่ยอมก็ต้องยอมรับกับผลที่ตามมา”

“เราต่างหากที่ได้รับผล ถ้าลูกค้าไม่ต่อสัญญาใครจะเดือดร้อน ไม่ใช่ทีมคุณเหรอ”

ก็ต้องยอมรับว่าถ้าลูกค้าไม่ต่อสัญญา ทีมผมนี่แหละที่จะเดือดร้อน แล้วจะให้ทำยังไงวะในเมื่อที่ผ่านมาเราพยายามกันมาทุกวิธีแล้วแต่ก็เหมือนเดิม งานมันหนัก คนสวยๆ ที่ไหนเขาอยากจะทำ ไปเป็นพริตตี้เงินดีกว่าอีก

“เราเป็น Outsource นะคุณสรัล เราทำงานบริการ ทั้งบริการลูกค้า รวมถึงบริการน้องพนักงานของเราด้วย คุณเคยคิดไหมว่าเราจะทำยังไงให้คน 2 กลุ่มนี้คลิกกันแล้วอยู่ด้วยกันไปนานๆ”

ทำงานที่นี่มา 5 ปี ไม่มีสักวันที่ผมไม่คิดเรื่องนนี้

“ผมให้เวลาคุณคิด ถ้าคิดได้แล้วเคาะห้องผมได้ตลอด”

พูดเหมือนจะง่ายหรอก แต่ทำจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น

บริษัทของเราเป็น Outsource การทำงานไม่เหมือนกับจัดหางานซะทีเดียว แต่คนส่วนมากมักคิดว่าเป็นงานเดียวกัน หลักๆ เลยที่พวกเราทำคือ การสรรหาว่าจ้างพนักงานขายสินค้าให้กับแบรนด์สินค้าต่างๆ ถ้าหากพวกคุณเคยเดินห้างแล้วมีน้องๆ หน้าตาสวยใสแต่งกายดูดีสะอาดสะอ้านเข้ามาเสนอขายสินค้า นั่นแหละพนักงานในสังกัดเราเอง แต่นั่นก็เป็นเพียงงานหน้าม่านที่ดูเหมือนจะสวยหรู คนนอกมองว่าง่ายแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย ไม่มีงานไหนง่ายหรอก อยากได้เงินก็ต้องพยายาม

เมื่อเป็นพนักงานขายก็ต้องมียอดขายที่ต้องทำ ถ้าทำได้ตามเป้าที่วางไว้ก็ได้ค่าคอมมิสชั่นที่ทางบริษัทเจ้าของแบรนด์เป็นฝ่ายเสนอให้ แล้วถ้าทำยอดไม่ได้ล่ะ ก็กินเงินเดือนเพียวๆ นั่นแหละ ถ้าจะพูดกันซื่อๆ คือ คนขยันและทำยอดได้เท่านั้นแหละที่จะอยู่ได้ หรือถ้าทำไม่ได้พนักงานคนนั้นก็ต้องเป็นคนประหยัดสุดๆ ก็อย่างที่บอก เงินเดือนมันน้อย

แล้วหน้าที่ของพวกผมล่ะ การสรรหาพนักงานที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น ที่จริงแล้วเราต้องวิเคราะห์ยอดขาย คิดโปรโมชั่น สำรวจตลาด ทำเงินเดือน ทำรายงานยอดขาย ประชุม เอาเป็นว่าทำแม่งทุกอย่างที่ลูกค้าให้ทำอะครับ

เราเป็นเหมือนคนกลางระหว่างพนักงานขายกับบริษัทเจ้าของแบรนด์ ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าการเป็นคนกลางแม่งโคตรเหนื่อยอ่ะ ไม่รู้ว่าควรเอาใจฝั่งไหน

ฝั่งลูกค้าก็อยากได้พนักงานขายที่ทั้งสวยและเก่งแต่เงินเดือนแม่งแค่หยิบมือ จ่ายค่าเช้าห้อง ค่าผ่อนมือถือซื้อเครื่องสำอางค์ก็หมดแล้ว ส่วนน้องที่สวยๆ ตรงตามสเป็คหน่อยก็อยากทำงานสบาย บางทีผมแม่งก็อยากลาออกไปเป็นพนักงานขายเองซะ รำคาญฉิบหาย



▼▲▼▲▼



การประชุมเริ่มขึ้นในตอน 5 โมงเย็น หลังจากส่งรายงานฉบับสุดท้ายของวันให้ลูกค้า

ปัญหาเดิมๆ ถูกนำเข้าที่ประชุมอีกครั้ง น่าเบื่อฉิบหาย แต่ในเมื่อมันยังแก้ไม่ได้ก็ต้องหาวิธีกันต่อไป

กว่าจะประชุมเสร็จก็ตอนที่เลยเวลาเลิกงานมาเกือบ 1 ชั่วโมงแล้ว ที่จริงผมไม่อยากดึงเวลาคนในทีมหรอก แต่ก็ช่วยไม่ได้ เรื่องมันเร่งด่วนจริงๆ ก็ผู้จัดการคนใหม่เขากำชับมานี่หว่า ไอ้ผมก็ไม่อยากจะมีปัญหา

“หาอะไรกินกันมั้ยลูกพี่”

“ไม่ล่ะ” กวินทำท่าตะเบะเหมือนทหารเมื่อผมปฏิเสธ มองมันแล้วก็ให้นึกถึงตัวเองตอนเข้ามาทำงานที่นี่แรกๆ

ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาจบใหม่ อ่อนด้อยในทุกประสบการณ์ กระทั่งผ่านมา 5 ปี ที่นี่สอนให้ผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจนตัวผมเองก็แทบจะไม่เชื่อเหมือนกัน

ผมเงยหน้ามองห้องผู้บริหาร แม้กระทั่งคนสั่งงานก็ยังชิ่งกลับไปก่อน ถ้าเป็นคุณสุริยะล่ะก็ เขาจะอยู่กับพวกผมจนการประชุมจบ เผลอๆ อาจจะเข้าร่วมประชุมและให้แนวทางที่บางครั้งพวกเราที่ประสบการณ์น้อยกว่าก็ไม่อาจรู้

หมอนั่น – ผมหมายถึงไอ้หมูอ้วน เขาไม่มีสักอย่างที่เหมือนผู้จัดการคนเดิม

เพราะอาการเจ็บที่ก้น ผมเลือกเดินกลับบ้าน ระยะทางราว 1 กิโลเมตรในเมืองหลวงไม่ได้ไกลจนเหนือบ่ากว่าแรง

รถยนต์ไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้ามินิมาร์ทของเจ๊ศรีสมร ไม่แน่ใจหรอกว่าใช่รถไอ้หมูอ้วนไหม แต่เซนส์ผมโคตรแรงนะ ผมพยายามเดินเลี่ยงห้องรับแขก แต่เสียงเจ๊ศรีก็ดังแว้ดขึ้นมาให้หยุดฝีเท้าแล้วหันไปยิ้มแหย

ไอ้หมูอ้วนนั่งอยู่ในห้องนั้นจริงๆ มันยิ้มพลางยักคิ้วกวนตีนให้ผม สงสัยจะอยากได้ตีน

“เรานี่น่าตีจริงๆ มานี่ มาให้แม่ตีซะดีๆ”

อะไรวะ ผมทำหน้าแบบหมางงแล้วเดินเกาหัวเข้าไปในห้องรับแขกอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอนั่งลงข้างๆ เจ๊ศรีก็หยิกแขนผมเสียจนต้องร้องออกมา หยิกแรงมากอะ เนื้อเขียวแล้วแน่ๆ เลย

“อะไรแม่ เสือทำไรผิดอีกอะ”

“ไม่เห็นบอกเลยว่าหนูเอิ้นทำงานที่เดียวกับเรา”

“เสือก็เพิ่งรู้วันนี้”

“โกหก” ตะคอกกันอีก ต่อหน้าคนอื่นไว้หน้าลูกชายมั่งเถอะเจ๊ศรี นี่อายุ 26 ย่าง 27 แล้วนะ ยังจะมาดุกันเป็นเด็กอยู่ได้

“เสือโกหกอะไรอะ เสือก็เพิ่งรู้วันนี้”

“หนูเอิ้นบอกว่าคืนวันศุกร์เราเมาหนัก” เออใช่ ผมเมาหนัก แต่อย่าบอกนะว่า... “ไปนอนห้องเค้ามาขนาดนั้นยังจะมาโกหกว่าเพิ่งรู้อีกเหรอ ทำไมเธอเป็นเด็กแบบนี้ฮะ”

โอ้ย!!

หยิกกันเข้าไป หยิกให้เนื้อขาดเลยมั้ยเจ๊จะได้สบายใจ

ขณะที่ผมร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ไอ้คนปากสว่างกลับกำลังยิ้ม คงจะมีความสุขมากสินะที่เห็นผมโดนแม่ลงโทษอะ เสียเซลฟ์ว่ะ โกรธมาก เจ็บตูดด้วย



▼▲▼▲▼



ก๊อกๆๆ

เจ๊ศรีสมรไม่ได้มีมารยาทถึงขนาดที่ต้องเคาะห้องลูกชายก่อนเข้ามาหรอก

จำได้เลยว่าครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังดูหนังอย่างว่าและกำลังรูดๆ อยู่ๆ เจ๊ก็เปิดประตูเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมนี่ทั้งหดทั้งอาย นี่ยังจำหนังเรื่องนั้นได้อยู่เลย คิดแล้วก็...หน้าร้อน

“เข้าไปได้มั้ย”

เสียงไอ้หมูอ้วนว่ะ

“ไม่!”

ฮ่วย! กูบอกว่าไม่ไงแล้วเปิดประตูเข้ามาหาพระแสงอะไร ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอวะ

“กูบอกว่าไม่ให้เข้าไง”

“ก็เข้ามาแล้ว ห้องน่าอยู่เนอะ” กวาดสายตามองห้องผมกรายๆ แล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอย่างเสียมารยาท

“ห้องกูเคยน่าอยู่ กระทั่งมึงเข้ามา”

“เหรอ” นี่คนเขาด่ามั้ยล่ะ ทำหน้าสะทกสะท้านรู้สึกผิดนิดนึงมั้ยมึง หน้าด้านระดับไหนถึงกล้านั่งหน้าสลอนทั้งยังหยิบหนังสือการ์ตูนผมขึ้นมาอ่าน “แม่ให้เอายาขึ้นมาให้”

“ให้แล้วก็ลงไปสิ”

“เมื่อกี้แม่หยิกแขนข้างไหน” อย่าถามเลยถ้าจะจับแขนทั้งสองข้างของผมไว้แล้วใช้สายตาคมคายสำรวจ พอเห็นว่าเป็นแขนขวาก็ปล่อยแขนซ้ายก่อนจะดึงผมให้ขยับเข้าไปใกล้ แต่อย่าคิดว่าจะได้กินเสือง่ายๆ วันนี้สติดีเว้ย ไม่เมา

เราจ้องหน้ากัน ยื้อกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

กระทั่ง...

“โอ้ย! เชี่ยแม่ง” คำหยาบมาทั้งยวงเมื่อไอ้หมูอ้วนจิ้มที่รอยช้ำตรงท่อนแขนผมแรงๆ พอผมเผลอมันก็ดึงผมลงไปนั่งข้าง

แม่ง ขี้โกงว่ะ

“อยู่นิ่งๆ ไม่เป็นเหรอ เดี๋ยวก็ปล้ำอีกซะหรอก” ปล้ำหาพ่อมึงเหรอ ในหัวมึงตอนเจอหน้ากูนี่คิดแต่เรื่องบนเตียงเหรอวะ

ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบผู้ชายคนไหนเลย กระทั่งเจอมัน

ก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าผู้ชายก็สะดิ้งได้ ผมพยายามสะบัดแขน ถ้าเป็นสาวๆ คงมีคำพูดประมาณว่า ‘ปล่อยฉันนะตาบ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้’ แต่นี่เสือครับ แมนๆ ใช้กำลังอย่างเดียว

“ถ้าไม่อยู่นิ่งๆ เอิ้นปล้ำเสือจริงๆ นะ”

พูดเฉยๆ มันคงกลัวผมไม่เชื่อถึงได้ปล่อยแขนแล้วเปลี่ยนมาวางมือไว้ที่ก้น ห่า บีบก้นกูอีกแล้ว ชอบมากมั้ยแต่กูไม่ชอบโว้ย

“จะทาก็รีบทา จับก้นกูทำห่าไร”

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ”

“มึงลองให้กูจับก้นมึงดูบ้างมั้ยล่ะ”

“อยากจับเหรอ ได้นะ” ดูความกวนประสาทของมัน พอละมือจากก้นผมแล้วเชี่ยอ้วนก็คลานเข่าขึ้นไปบนเตียงแล้วส่ายก้นดุ๊กดิ๊กเชิญชวน

“มึงจะกลับมาแก้แค้นกูใช่ป่ะ”ผมตีก้นมันแรงๆ ทีหนึ่งแล้วจึงนั่งลงข้างๆ

ไอ้หมูอ้วน ไม่สิ ตอนนี้มันไม่อ้วนแล้ว เปลี่ยนมาเรียกไอ้เอิ้นก็ได้

เอิ้นพลิกตัวนั่งขัดสมาธิ ดวงตาเรียวรีจับจ้องผมคล้ายกำลังสงสัย “แก้แค้นอะไร”

“ก็เรื่องตอน ม.ต้นไง มึงโกรธกูมากใช่ป่ะ”

“เสือคิดว่าเรื่องคืนนั้น เอิ้นทำเพราะเอิ้นอยากแก้แค้นเสือเหรอ”

“เออ กูคิด และกูก็มั่นใจว่ากูคิดไม่ผิดหรอก”

“งั้นเหรอ ชักอยากจะแก้แค้นอีกแล้วสิ อยากจะแก้แค้นตลอดไปเลย” ไอ้เอิ้นยื่นหน้าหล่อๆ เข้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงแผ่วตบท้ายด้วยยิ้มยียวนที่ทำให้หน้าผมกระตุก

พ่อมึงมันไปทำอะไรมาทำไมหล่อ

“ถอยไปไกลๆ เลยห่า” ถ้าใกล้นานกว่านี้หัวใจกูอาจจะกระตุกและอีกสักพักอาจจะเป็นส้นเท้าที่จะกระตุกไปยันยอดหน้า

“พูดกันดีๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้เลยรึไง เปลี่ยนไปเยอะนะเราอะ”

“มึงไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”

“เปลี่ยนเยอะเลยแหละแต่มีอย่างนึงนะที่ไม่เคยเปลี่ยน อยากรู้ป่าว”

ยันมือสองข้างไว้ที่ฟูก โน้มใบหน้าที่ปรากฏยิ้มยียวนเข้ามาใกล้ ผมก็เอนตัวหนีสิครับจะนั่งนิ่งเป็นสากกระเบืออยู่ทำไมแต่พอผมเอนแม่งก็โน้มตัวตามลงมา นี่คือจะสิงกูใช่ป่ะ

“ถอยไปเลยห่า” ผมชกอกมันรัวๆ ประหนึ่งอกแข็งๆ นั่นเป็นกระท้อนยิ่งช้ำยิ่งหวานอะไรประมาณนั้น

“เอิ้นเจ็บนะเสือ”

ก็ทุบให้เจ็บป่ะไม่ได้ทุบให้ฟิน บรรลุวัตุถึประสงค์ผมแล้ว ไปให้ไกลส้นตีนเลยครับ“มึงจะถอยดีๆ ป่ะ”

“หอมจัง”

โว้ย! ทุบก็แล้ว ด่าก็แล้วยังไม่ขยับออกไปอีก มิหนำซ้ำยังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกเกือบจะฝังแก้มผมแล้ว

เสือมึงจะอ่อนปวกเปียกงี้ไม่ได้นะ ตีมันดิ ถีบมันสิวะ

อย่าว่าแต่ถีบเลยตอนนี้แรงจะยกขายังไม่มีเมื่อไอ้เอิ้นแม่งวางมือลงบนหน้าขาแล้วลากสูงขึ้นมาพร้อมกับจมูกที่ลากต่ำลงไปที่สันกราม ไอ้เสือคนไม่รักดีก็เสือกแหงนเงยใบหน้าอำนวยความสะดวกให้มันอีก

“ขอแก้แค้นตอนนี้เลยได้มั้ย”

เสียงมันดึงผมขึ้นจากภวังค์ ส่วนที่เคยอ่อนแรงแม่งก็ปึ๋งปั๋งขึ้นมา อ่อนไหวอะไรขนาดนั้นวะเสือ

ผมดันใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ ยันออกไปจนสุดแขนแบบที่ไอ้เอิ้นก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร มันยอมผละห่างออกไปแต่โดยดี เสียงหัวเราะคล้ายสะใจดังขึ้นให้ได้ยินหลังจากที่ผมยันตัวลุกขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้า

หมดกันภาพเสือที่กูสั่งสมมา เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้เชี่ยเอิ้น เพราะมึงคนเดียว !!!

“หล่อแล้ว” ชมเฉยๆ คงคิดว่าผมจะไม่ปลื้มถึงได้ยื่นมือเรียวมาลูบเส้นผมสีเข้มที่ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง

ผมตีมือมันดังเพี้ยะให้เจ้าตัวชักมือออกแล้วลูบป้อยๆ ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกแค่ชั่วครู่แล้วจึงยกยิ้มหวาน

ไม่ต้องมาหว่านเสน่ห์ ยังไงซะกูก็ไม่มีทางหลงมึงครับ

“เสือมีแฟนยัง”

“ถามทำไม”

“อยากรู้ ตอบหน่อยสิ”

“อยากรู้ไปทำไม หรือว่ามึงมีแผนจะแย่งแฟนกู”

“คิดว่าเอิ้นเป็นคนแบบนั้นเหรอ”

“กูไม่รู้”

“แล้วอยากรู้เรื่องของเอิ้นบ้างป่ะ”

“ไม่! กูไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านเหมือนมึง”

“เอิ้นเสือกเฉพาะเรื่องของคนที่เอิ้นสนใจเท่านั้นแหละ” เชรด เย็นไว้นะหัวใจ มึงจะเต้นผิดจังหวะแบบนี่ไม่ได้ ผมหายใจไม่ทันครับ

ผมกระพริบตาปริบๆ เรียกสติตัวเองแล้วค่อยเบะปากกวนตีนมัน

“ที่สนใจกูเพราะแค้นกูมากใช่มั้ย เจ้าคิดเจ้าแค้นนะมึง เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วลืมๆ ไปบ้างเหอะ”

“เอิ้นจะลืมเสือได้ยังไงกัน ลืมไม่ได้หรอกครับ”

ทำไมน้ำเสียงตอนพูดว่า ‘ครับ’ ต้องหวานหยาดเยิ้มหยดย้อยขนาดนั้น สายตามันอีกหวานจนใช้ชงกาแฟแทนน้ำตาลได้แล้ว

และที่หนักกว่าก็หน้าผมนี่แหละ จะร้อนแค่ไหน ร้อนจนชงกาแฟได้เลยมั้ยครับมึง




T B C


คนอะไรไม่กลัวเสือ คนกินเสืออย่างเอิ้นไงล่ะ
คุยกันได้ในแท้ก #เสือของเอิ้น
รออ่านคอมเม้นท์อยู่เหมือนกันนะ แลกกัน :)
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {คุณอัคคี} UP.140716
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 14-07-2016 22:23:30
ชอบบบบบบบบบบ -.,-
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {คุณอัคคี} UP.140716
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 15-07-2016 07:34:00
จากเสือ กลายเป็นน้องเหมียวแล้ว

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {คุณอัคคี} UP.140716
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-07-2016 10:25:33
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {คุณอัคคี} UP.140716
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-07-2016 16:34:19
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {คุณอัคคี} UP.140716
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-07-2016 20:49:52
เอิ้นมันลื่นอ่ะ กินเสือ อิอิ
ลุ้นต่อๆๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล 100%} UP.240716
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 20-07-2016 22:45:46

ตอนที่ 2 {สรัล}





มีบางอย่างไม่ปกติ

“พี่เสือ น้องแม่งลาออกอีกแล้วว่ะ” อยากจะพ่นกาแฟที่สาวชั้น 5 ให้มาทิ้งจริงๆ เมื่อใบลาออกปึกใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะทำงาน

ลองเปิดดูผ่านๆ ก็พบว่าสาเหตุการลาออกส่วนใหญ่คือไปทำธุรกิจส่วนตัว

ขายครีมเหรอมึง อย่าให้กูเห็นไปยืนขายสินค้าแบรนด์อื่นจะขึ้นบัญชีดำรายตัวเลย

“แจ้งรีครูทให้หาเด็กเลย”

“แจ้งแล้วพี่ โดนด่ารัวอย่างกับปืนกล แม่งใครจะอยากให้น้องออกวะ จริงป่ะ แล้วด่าเรามันจะเกิดประโยชน์อะไร  สู้เอาเวลาไปหาน้องดีกว่าป่ะ”

“สู้เอาเวลาบ่นไปหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ดีกว่าป่ะ”

คุณอัคคีไงจะใครล่ะ พอกวินแม่งเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างหลังก็เผ่นแนบทิ้งกูเลยนะมึง รักพี่เหลือเกินแต่รักตัวเองมากกว่างี้ป่ะ

“ถึงเวลาเอาจริงรึยัง” น้ำเสียงที่เล่นทีจริงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นจริงจัง

“นี่ก็ไม่ได้ทำงานเล่นๆ นะ” ผมว่าแล้วยกแก้วกาแฟจรดริมฝีปาก

“คุยกันหน่อย” และก็ต้องวางลงที่เดิมเมื่อเจ้านายออกคำสั่ง

พ่อมึง กาแฟก็ยังไม่ได้กินเลยเว้ย งานเข้าแต่เช้าไปอีก

ผมเดินตามเขาขึ้นบันไดไปบนชั้นลอย เปิดประตูด้วยความรู้สึกเหมือนวัวกำลังถูกพาเข้าโรงฆ่าสัตว์ พอทิ้งตัวลงนั่งแล้วสบตากันบรรยากาศเคร่งเครียดที่ชวนอึดอัดก็ถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นสึนามิ

“ประชุมเมื่อวานได้ข้อสรุปว่ายังไงบ้าง”

“กำลังจะร่างเมล์ส่งให้คุณพอดี”

“เล่าให้ฟังก่อนแล้วค่อยไปส่งเมล์ก็ได้ ว่ามาสิ”

“เบื้องต้น เราก็คงจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ระหว่างนี้ทางทีมจะลงตลาดครับ มีน้องรายงานมาว่าเอเจนซี่รายใหม่ให้ค่าแรงสูงมาก ขายว่างานสบาย อาจจะเพราะเหตุผลนั้น ผมคิดว่านะ แต่อันนี้เรายังสรุปไม่ได้ ก็เลยคิดว่าจะลงตลาดครับ”

“ไม่เลวนะ แล้วจะลงกันเมื่อไหร่”

“วันนี้ตอนบ่ายครับ คิดว่ายิ่งลงเร็วเท่าน่าจะลดผลกระทบด้านลบได้มากเท่านั้น”

“พร้อมแล้วเหรอ การออกตลาดไม่ใช่สักแต่ว่าลงไปเดินเรื่อยๆ นะ มันต้องวัตถุประสงค์ พอกลับเข้าบริษัทฯ คุณต้องมีรายงานส่งผมนะสรัล”

“ผมทำงานนี้มา 5 ปีนะครับคุณอัคคี ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”

“ก็ดี งั้นผมไปด้วย จะได้เรียนรู้งานจากคุณ”

“คิดว่าคงจะไม่สะดวกนะครับ”

“สะดวกสิ บ่ายนี้ไปรถผม โอเค เชิญครับ” มัดมือชกกูเห็นๆ  ว่าจบก็ผายมือไล่ผมอย่างสุภาพแต่ความหมายจริงๆ ก็คือบอกว่ารีบไสหัวไปเถอะนั่นแหละ

บอกตรงๆ เลยว่าผมไม่สบอารมณ์กับทั้งคำพูดและการกระทำของเขา มัดมือชกเรื่องออกตรวจตลาดนั่นก็เรื่องนึง ส่วนอีกเรื่องคือ...ผมไม่อยากทำงานกับมัน ไม่ชอบขี้หน้าเป็นการส่วนตัว จบนะ ไม่ต้องพูดซ้ำ







ถึงจะไม่อยากให้คุณอัคคีไปด้วยแต่มีหรือที่ผู้น้อยอย่างผมจะกล้าขัดใจ ถึงกล้าเขาก็ไม่ฟังผมหรอก พอนาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาบ่ายโมงตรงปุ๊บ ประตูห้องผู้จัดการก็ถูกเปิดออกทันที ตามมาด้วยร่างสูงในชุดสูททันสมัยที่ปรากฏตัว

เขาสะกิดไหล่ผมซึ่งกำลังจิบกาแฟร้อนที่สาวๆ ชั้น 5 คะยั้นคะยอให้รับมา กลอกตามองบนแล้วจึงมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขา พอลุกเพื่อเดินตามคุณเขาออกไปไอ้กวินแม่งก็หันมายิ้นกวนตีนให้ยกตีนให้มันทีนึง
กฎของห้างคือห้ามถ่ายรูปดังนั้นเรื่องการเก็บภาพน่ะลืมไปได้เลย และเมื่อเราออกตรวจกะทันหัน เรื่องการขออนุญาตอย่างเป็นทางการนั้นก็ลืมไปซะ

เราออกตรวจตลาดด้วยกันในฐานะอะไรก็ตามที่ไม่ใช่คนจากบริษัทที่ปรึกษาและให้คำแนะนำด้านทรัพยากรบุคคล

“น้องไม่ค่อยเชียร์ขายเลยนะ”

ปัญหาแรกที่ทั้งผมและคุณอัคคีเห็นคือเรื่องการไม่ค่อยเข้าหาลูกค้า แน่นอนว่าเมื่อไม่เชียร์ขาย ยอดขายก็ไม่เกิด ถือว่าเป็นสาเหตุต้นๆ ของการเปลี่ยนงานเลยทีเดียว

“มีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงบ้างสรัล”

“เบื้องต้นคงต้องกลับไปดูยอดขายครับ ถึงแม้พนักงานจะไม่เชียร์ขายแต่ถ้ายอดขายยังดีอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายอดขายไม่ดีก็คงต้องเรียกเข้าบริษัท”

“อย่างนี้ ถ้าใครได้ยืนในพื้นที่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเยอะกว่า มีลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากกว่าก็ถือว่าได้เปรียบน่ะสิ”

ใช่ครับพี่...

“มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเราเอาเปอร์เซ็นการเติบโตของยอดขายมาเป็นตัวตัดสินว่าใครควรจะได้รับการอบรมใหม่”

ดีครับผม...

“ผมไม่ได้บอกให้คุณทำตามนะ แค่อยากให้ลองเอาไปคิด ให้น้องในทีมช่วยคิดก็ได้ มันคงไม่แฟร์ถ้าเอายอดขายที่เป็นจำนวนมาตัดสินว่าใครทำดีหรือไม่ดี คุณคงไม่ชอบถ้าผมทำกับคุณแบบนั้น ถูกมั้ย”

เหมาะสมครับท่าน...

“แล้วนี่เหลือห้างที่ต้องไปตรวจอีกกี่ที่” ผมเหลือบมองคนข้างๆ ก่อนมองนาฬิกาที่ข้อมือ

“น่าจะได้อีกซักที่ แต่ถ้าคุณอยากกลับก่อนก็กลับได้เลยนะ”

“แพลนไว้กี่ที่”

“3”

“งั้นก็ไปที่สุดท้ายกัน” ไอ้คุณอัคคีเดินยกไหล่นำไปก่อน มองท่าทางวางมาดเป็นหนุ่มสมาร์ทของมันแล้วก็อดเบะปากหมั่นไส้ไม่ได้ ไม่ได้อิจฉาที่สาวๆ เอาแต่มองมันหรอกนะ

ว่าแต่แม่สาวน้อยนักศึกษาที่นั่งละเลียดไอศกรีมอยู่นั่นจะมองมันทำไมนักหนา มองพี่เสือนี่ครับ หล่อ เถื่อน และจน สนใจรับเลี้ยงสักตัวมั้ย

“สรัล”

“อะไร เอ่อ ครับ ว่าไงครับคุณอัคคี” ผมปรับเสียงห้าวเป็นอ่อนน้อมเมื่อนั่งลงข้างๆ เขาบนรถประจำตำแหน่งสุดหรู แอร์เย็นจนไข่สั่นทีเดียว

“ในแพลนคุณต้องไปตรวจ 3 ที่ถูกมั้ย”

ผมพยักหน้ารับ ก็บอกไปแล้วเมื่อกี้ไง ความจำสั้นเหรอวะ

“แล้วตอนที่วางแผนได้คำนวณเวลารึเปล่า ออกจากออฟฟิศบ่ายโมง ตรวจห้างที่ 2 เสร็จตอน 5 โมงเย็น การบริหารเวลาของคุณถ้าผมประเมินติดลบเลยนะสรัล”

“ปกติก็ตรวจทัน เผลอๆ ตรวจได้ 4-5 ห้างด้วยซ้ำ”

“ตรวจแบบไหนกันล่ะ แค่คุยผ่านๆ ไม่ได้สังเกตการทำงานของน้องรึเปล่า”

“ถ้าการบริหารเวลาของผมทำให้คุณเสียเวลา คุณจะกลับก่อนก็ได้นะ”

“มันไม่เกี่ยวกับว่ากลับบ้านตอนไหนสรัล คุณไม่เข้าจุดประสงค์การพูดเรื่องนี้ของผม ช่างเถอะ เอาไว้คราวหน้าผมจะสอนเรื่องนี้คุณเอง

“ถ้าไม่สะดวกใจที่จะทำงานด้วยกันก็เชิญคุณอัคคีกลับไปก่อนได้เลยครับ” ผมปลดเข็มขัดนิรภัย เอื้อมมือข้างหนึ่งไปเปิดประตูแต่ก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไหล่ไว้ พอเหลือบมองก็พบว่าใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยนแล้ว

”อย่าใจร้อนสิเสือ ถ้าผมกลับก่อนคุณจะกลับยังไง”

ผมไม่ใช่สาวน้อย ไม่ได้เป็นง่อย ไม่ต้องมาห่วงออกนอกหน้า ไม่ซึ้งครับ ไม่เลยสักนิด

“กลับได้น่า”

“กลับด้วยกันดีกว่า”

ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานแม้อยากจะขัดแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ทำ ในยามนี้ผมทำได้เพียงนั่งเฉยๆ  มองไฟท้ายรถคันข้างหน้า ท่ามกลางการจราจรอันคับคั่งในช่วงเวลาเร่งด่วน

พ่อมึง เมื่อไหร่จะถึงห้างสุดท้าย

“เสือหิวมั้ย”

“ไม่” ผมละสายตาจากสมุดโน้ตเพื่อมองหน้าเขา “หิวเหรอ”

“อือ หิวมาก” มองหน้าผมแล้วเลียปาก อยากแดกกูเหรอไง คนครับ แม้จะเป็นเสือที่ผิวขาวมากแต่เนื้อกูไม่หวานหรอก เคยเอาลิ้นแตะๆ แขนตัวเองแล้ว เค็มฉิบ

“อดทนดิ รถติดอยู่คิดไม่ได้เหรอ”

เอิ้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงว่า “6 โมงกว่าแล้วนี่เอง เลิกงานแล้วยังต้องไปตรวจห้างสุดท้ายอยู่มั้ย”

พอถึงเวลาเลิกงานปุ๊บ น้ำเสียง คำแทนตัว บรรยากาศ ทุกๆ อย่างระหว่างเราทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปราวหลังมือกับฝ่าเท้า

“ไปสิ เลี้ยวขวาแยกหน้าก็ถึงแล้ว”

“ขยันแบบนี้ เงินเดือนขึ้นปีละเท่าไหร่”

“เสือก”

“ก็บอกแล้วไงว่าเอิ้นเสือกเฉพาะเรื่องของคนที่เอิ้นสนใจ และตอนนี้เอิ้นก็...”

“หุบปากไปเลยมึง” ผมยกมือห้าม พลางชะเง้อคอมองหาช่องว่างเพื่อจอดรถ “ตรงนั้นมึง ข้างโตโยต้าอ่ะ แม่ง!!”

ฉิบหายเอ้ย! อีมาสด้าแดง มึงขับเลยไปแล้วป่ะ แล้วจะเสนอตูดกลับมาทำซากอ้อยอะไรครับ ลงไปด่าแม่งดีมั้ย ยึกยักอยู่ได้

ด่าในใจไม่สะใจว่ะต้องลงไปด่าให้แม่งหน้าชา ผมตั้งท่าจะเปิดประตูแต่ก็ถูกเอิ้นคว้าไหล่เอาไว้

“จะไปไหน”

“ไปด่ามันไง”

“ไม่เอาน่า เรามาทำงานนะเสือ”

“กูไม่เบิกโอทีก็ได้”

“มันไม่เกี่ยวกับโอที เอิ้นไม่อยากให้เสือมีเรื่อง”

“แต่กูอยากมี” ผมสะบัดมือมันออกจากไหล่ เปิดประตูออกมา ปลดกระดุมที่ปลายแขนเสื้อ ถลกขึ้นแล้วเดินอาดๆ ไปยังรถมาสด้าสีแดงที่ยังขับยึกยักยึกยือเหมือนกิ้งกือหารูไม่เจอ

เสือจะผงาดแล้ว โปรดจงตั้งใจดู

ผมก้มตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับกระจก ยิ้มเย็นๆ อย่างที่ไอ้กวินบอกว่าน่ากลัวสาดดดด~ ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะ ถ้าเจอหน้าอยากถามมากเลยว่ามึงซื้อใบขับขี่มาเหรอ หรือถ้าไม่ซื้อแล้วสอบผ่านมาได้จริงๆ กูก็อยากรู้ว่าไปสอบที่ไหน จะตามไปเผาแม่งให้วอด และจังหวะนั้นเองกระจกสีทึบก็ค่อยๆ เลื่อนลงจนสายตาของผมกับเจ้าของรถสบประสานกัน

เท่านั้นแหละ….



[-50%-]





ผมก้มตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับกระจก ยิ้มเย็นๆ อย่างที่ไอ้กวินบอกว่าน่ากลัวสาดดดด~ ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะ ถ้าเจอหน้าอยากถามมากเลยว่ามึงซื้อใบขับขี่มาเหรอ หรือถ้าไม่ซื้อแล้วสอบผ่านมาได้จริงๆ กูก็อยากรู้ว่าไปสอบที่ไหน จะตามไปเผาแม่งให้วอด และจังหวะนั้นเองกระจกสีทึบก็ค่อยๆ เลื่อนลงจนสายตาของผมกับเจ้าของรถสบประสานกัน

เท่านั้นแหละ คำด่าทั้งหมดทั้งปวงก็พลันแหลกสลายหายไปราวกับฝุ่นธุลี

“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ” เจ้าของรถเป็นคุณตาแก่ๆ มีคุณยายที่แก่พอๆ กันนั่งเคียงข้าง

ด่าคนแก่อยู่ตั้งนานสองนาน นรกกินกบาลไอ้เสือแล้ว

“หนุ่มช่วยจอดรถให้ตาหน่อยได้ไหม”

“ได้สิครับ” ผมเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เข้าไปนั่งแทนที่คุณตา แล้วถอยรถเข้าซองอย่างสวยงาม จังหวะที่เอี้ยวตัวมองข้างหลังนั้นเอง สายตาก็ดันปะทะเข้ากับดอกลิลลี่ช่อโตหอมฟุ้ง “โอกาสพิเศษเหรอครับ”

คุณยายพยักหน้ายิ้มๆ “ครบรอบแต่งงานจ้ะ ปีที่ 40 แล้ว”

ครองรักกันมา 40 ปี เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ อะ ถ้าสักวันผมได้มีโอกาสฉลองอะไรแบบนี้ วันนั้นผมจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ ต้องมีความสุขมากแน่ๆ เลยว่ะ

“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม”

ลิลลี่ดอกหนึ่งถูกดึงออกจากช่อ คุณยายยื่นมันให้ผม ผมพยักหน้าขอบคุณ ทอดสายตามองตามคู่รักวัยชราที่เดินควงแขนกันเข้าไปในห้าง อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองยิ้มแบบไหน แต่ไอ้คนข้างๆ นี่ยิ้มโคตรกวนตีน

เอิ้นก้าวเข้ามายืนข้างๆ กอดคอแล้วชะโงกหน้าเข้ามามองหน้าผมใกล้ๆ “เป็นเสือที่อ่อนโยนไม่เบานะเรา หอมอีกต่างหาก”
สายตาเจ้าเล่ห์เลื่อนลงมาจับจ้องที่ริมฝีปากผม ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้กระทั่งริมฝีปากจรดลงบนลิลลี่ในมือ ทั้งที่ไม่มีส่วนใดของร่างกายสัมผัสกันแต่ผมกลับรู้สึกร้อนวูบวาบคล้ายๆ กับคืนนั้น

พอนึกถึงคืนนั้นภาพมันก็วิ่งวนซ้ำเหมือนฉายหนังเรื่องเดิมพลันในหัวใจเต้นแรง ร่างกายไม่รักดีก็ร้อนวูบวาบขึ้นมา

สาบานว่าผมไม่ได้อยากที่จะ...

ไม่ได้ต้องการอะไรจากไอ้เอิ้นจริงๆ เชื่อเสือสิครับ





กว่าจะตรวจห้างสุดท้ายเสร็จก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้ว รวมเวลาที่ไอ้ขี้ประจบเลือกขนมไปฝากแม่แล้วถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยคงได้ช่วยพี่รปภ.ปิดห้าง

“ซื้ออะไรอีกมั้ย”

“มึงถามตัวเองดีกว่ามั้ย” มองมันแล้วก็มองรถเข็นที่เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย ก็ไม่รู้ว่านี่มันใช่เรื่องที่ผมต้องทำเหรอวะ

“นั่นสิ ต้องซื้ออีกอย่าง”

“อะไรอี๊ก” ผมอยากจะทิ้งรถเข็นแล้วชิ่งกลับบ้านเดี๋ยวนี้ แต่แค่คิดว่าต้องเสียเวลาไปโบกแท็กซี่ที่เปิดไฟแต่ไม่รับผู้โดยสารก็เบื่อจะเสียเวลาแล้วว่ะ รอไอ้หน้าหล่อนั่นอีก 5 นาที 10 นาทีคงไม่เป็นไร ไหนๆ มันก็ต้องแวะบ้านผมอยู่แล้ว

แวะไปประจบแม่ไง ชอบให้ผู้ใหญ่เรียกน้องเอิ้นอย่างนั้น น้องเอิ้นอย่างนี้ล่ะสิ แหวะ!

ว่าแต่ว่ามันไปยืนง่วนทำอะไรอยู่ตรงนั้น หน้าตาจริงจังมากซะด้วย

“เสือ มานี่หน่อย” ผมทิ้งรถเข็นไว้แล้วเดินอย่างเชื่องช้าประหนึ่งหอยทากเข้าไปใกล้ ตอนนี้แหละที่ได้รู้ว่าที่แม่งทำหน้าเครียดเนี่ยเพราะกำลังเลือก ‘ถุงยางอนามัย’

“มึงจะจริงจังอะไรเบอร์นั้นวะ”

“ต้องจริงจังสิ ว่าแต่เสือชอบแบบไหนอ่ะ หนา บาง แบบผิวเรียบ ไม่เรียบ กลิ่นอะไรดี หรือชอบไม่มีกลิ่น”

“แล้วมึงจะถามกูทำไม”

“เสือเคยได้ยินคำนี้ป่ะ...”

“อะไร”

“ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน”

“กูเคยได้ยินแต่รถเสียเรียกช่างมาลากเข้าอู่ อะไรของมึงเนี่ย มีอะไรก็ว่าตรงๆ จะอ้อมค้อมเพื่อ??”

“เอิ้นหมายถึง...” สายตาที่มองผมเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามากระซิบใกล้ๆ หู “ซื้ออะไรก็ต้องตามใจผู้ใช้สิ”

“อะไร”

“ก็เอิ้นจะซื้อไว้ใช้กับเสื้อ”

“พ่อมึง” ร่างสมส่วนเสียหลักเซไปข้างหลังทันทีที่ผมผลักอกมันแรงๆ เหี้ยเอิ้น! นี่มึงยังหวังจะแอ้มกูอีกเหรอ ครั้งเดียวเกินพอเว้ย ไม่มีครั้งที่สองแน่นอน ถ้ากูไม่เคลิ้มอะนะ

“ถามหาพ่ออีกแล้ว อยากเจอพ่อเอิ้นขนาดนั้นเชียว”

“กูด่ามึง”

“ไม่เอาดิ ไม่หน้างอครับ  ดีกันๆ” ขอกรรไกรหน่อย ผมจะตัดนิ้วก้อยมันทิ้ง

“มึงจะซื้อก็รีบซื้อเถอะ กูอยากกลับบ้านแล้วเนี่ย”

“ติดบ้านนะเรา เสือก็มาช่วยเอิ้นเลือกสิ จะได้รีบกลับกันไง” ถ้าไม่ช่วยเลือกก็จะไม่จบว่างั้น เพราะงั้นผมจึงหยิบกล่องที่อยู่ใกล้มือที่สุดโยนให้มัน

ไอ้เอิ้นรับแล้วยกขึ้นมาอ่าน

“One Touch Maxx Dot  ผิวไม่เรียบ แบบปุ่ม แน่ะ ชอบแบบนี้ก็ไม่บอก นี่แอบจำขนาดเอิ้นได้ด้วยเหรอ XL เท่านั้นครับ”

กูแค่หยิบไปส่งๆ มั้ยล่ะ

พอถูกมันล้อผมก็รีบดึงกล่องเล็กๆ ในมือมันกลับมายัดลงที่ที่เคยอยู่แล้วหยิบกล่องที่อยู่ข้างๆ กันมาแทน คราวนี้ไม่รอให้มันพูดอะไรหรอก ชิ่งไปเข็นรถเพื่อไปจ่ายตังค์ทันทีเลย





อย่ามายุ่งกับกู

ผมมองไอ้คนตรงข้ามที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ด้วยใบหน้าอิ่มสุขแล้วท่องคำนั้นในใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้อยากเบียดกูเลย

“เสือมองหน้าเอิ้นตั้งนานแล้ว อยากกินเหรอ”

“ใครอยากกินมึง” ผมสวนทันควันและไอ้เอินก็ยิ้มขำทันที

“เอิ้นหมายถึงหมูทอดครับ แต่ถ้าอยากกินเอิ้น ก็ได้นะ ยอมให้กินทั้งตัวเลย”

“พ่อมึง”

“ถามหาพ่ออีกแล้ว อยากเจอขนาดนั้นเชียว”

“งั้นแม่มึง”

“ก็เดี๋ยวให้เจอทั้งบ้านเลย ในวันแต่งงานของเราอะ”

“ใครจะแต่งกับมึง สำหรับกูต้องสาวน้อยเท่านั้นเว้ย”

“เสือคิดว่าเอิ้นไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”

“รับผิดชอบอะไร”

“ยังเจ็บก้นอยู่ป่ะ” มันถามเสียงพร่า หน้าตาโคตรโรคจิต

ก้นน่ะไม่เจ็บแล้ว แต่ใจเนี่ยโคตรเจ็บ และตอนนี้มือที่กำช้อนด้วยความโมโหจนควันแทบจะพุ่งออกหูก็เจ็บมากๆ เลยโว้ย
ไอ้เอิ้นแม่ง!!

ผมลุกขึ้น ทุบโต๊ะดังปังแล้วเขวี้ยงช้อนใส่มันก่อนจะก้าวเข้าไปหาแล้วกระชากมันจากเก้าอี้ กระหน่ำสาดหมั่นใส่หน้าหล่อๆ
ของมัน เน้นที่มุมปากให้มันพูดไม่ได้ ยิ้มไม่ได้

สะใจโว้ย!!

“เสือเป็นอะไร หัวเราะคนเดียวก็ได้เหรอ”

แม้แต่ในฝันยังโดนมันขัดอะคิดดู ผมสามารถทำอะไรมันได้บ้าง จับมันปล้ำอย่างที่มันทำกับผมเมื่อคืนนั้นดีมั้ยจะได้เจ๊ากัน

“เด็กเรียกร้องความสนใจก็แบบนี้แหละ” แม่เดินเข้ามาแล้วใส่ความกัน ปกติก็ไม่ค่อยเข้าข้างผมอยู่แล้วไง ยิ่งพอหนูเอิ้นอดีตลูกรักปรากฏตัวแบบนี้ผมนี่ได้กลิ่นหัวตัวเองตุๆ เลย

เสือหัวเน่าแล้วครับ

“เสือเปล่าซะหน่อย ไม่เคยเรียกร้องความสนใจซักครั้งเลยเหอะ”

“แม่ให้โอกาสแกพูดใหม่ นี่จำตอน ป.5 ไม่ได้ใช่มั้ย”

เชรดดดด~ ตอน ป.5 นี่เพิ่ง 11 ขวบป่ะวะ 16 ปีผ่านไปแม่ยังกล้าที่จะรื้อฟื้นอีกเหรอ

“ตอนนั้นน่ะที่หนูเอิ้นปั่นจักรยานหนีเรา แล้วเราก็ทำเป็นล้มน่ะ ไม่ได้เรียกร้องความสนใจเลยเนอะ”

“มันก็นานมาแล้วป่ะครับ เสือลืมไปหมดแล้ว จำไม่เห็นได้เลยว่ามันทิ้งจักรยานแล้ววิ่งกลับมาดูเสือ”

“จำไม่ได้เลย”

ว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันแล้วก็หันไปพยักหน้างุบงิบกับไอ้เอิ้น ถามจริงครับเจ๊ศรีนี่ใครเป็นลูกแท้ๆ และใครเป็นอดีตเด็กข้างบ้าน เห็นหนุ่มหล่อไม่ได้ หลงรักเขาง่ายๆ แบบนี้เลย

“อิ่มแล้ว เสือขึ้นห้องเลยนะ ไม่ลงมาแล้วด้วย”

“หนูเอิ้นขับรถกลับไหวใช่มั้ย” ไม่สนใจลูกชายแท้ๆ สักนิดเลยอะ เสือจะงอนจริงๆ แล้วนะเว้ยเฮ้ย

ผมหยุดฝีเท้าที่บันไดขั้นแรก เอี้ยวตัวมองเห็นเจ๊ศรีสมรทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยไอ้อดีตเด็กข้างบ้านเอามากๆ แต่ก็ไม่โทษเจ๊หรอกนะ เพราะอีกคนนั่นก็อ้อนเข้าไปสิ นั่นแม่กูโว้ย

“นอนที่นี่มั้ย นอนกับเสือก็ได้”

“แม่!!!” ผมตะโกนลั่นบ้าน ค้านหัวชนฝาเลยเอ้า ยังไงซะผมก็ไม่ยอมนอนร่วมเตียงกับมันแน่ๆ ไม่มีทาง “ถามเสือซักคำมั้ย”

“ทำไมต้องถามเธอ นี่บ้านเธอเหรอ”

พูดกับลูกเสียงแข็งอย่างกับไม้หน้าสาม ฟาดทีได้ดั้งใหม่แน่นอน

“ไม่เป็นไรครับแม่ เอิ้นไหวน่า เอาไว้ถึงคอนโดเอิ้นโทรบอกแม่ดีมั้ยครับ”

“ต้องโทรนะ” เสียงหวานเชียว ได้ยินแล้วก็อดเบ้ปากมองบนกลอกตาร้อยเป็นสิบองศาไม่ได้เลยว่ะ

พอล่ำลากันเสร็จก็ไม่พ้นผมที่ต้องเดินออกมาส่งมันที่รถ อยากขัดใจเจ๊อยู่หรอก แต่กลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มีข้าวเช้ากินน่ะสิ นี่ถ้าตัดสินใจขึ้นห้องไปตั้งแต่แรกก็จบแล้วเนอะ

“เสือ”

“อะไร มึงนี่ก็เรียกกูจังเนอะ”

“เก็บนี่ไว้ที่ห้องด้วยดิ” มันยื่นกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มองปราดเดียวรู้เลยว่าเป็นสิ่งที่เลือกซื้อเป็นอย่างสุดท้ายในห้างสรรพสินค้า

ถุงยางอนามัยอย่างไรล่ะ

“มึงซื้อมามึงก็เก็บดิ จะมาแบ่งก็ทำไม”

“ก็เผื่อฉุกเฉิน บางทีเอิ้นอาจจะมาค้างที่ห้องเสือซักคืน”

“ใครจะให้มึงค้าง ฝันป่ะ ตื่นได้แล้ว”

“เก็บไว้น่า ถ้าไม่เก็บเราไม่ใส่นะแล้วจะหาไม่เตือน”

ไอ้เชี่ย พ่อมึง

ยัดเยียดกล่องนั่นใส่มือผมแล้วผิวปากอย่างอารมณ์ดี๊ดีขึ้นรถไปเฉย

‘ดูเร็กซ์ เฟอร์ฟอร์มา ลดการไวต่อความรู้สึกสัมผัส’

พ่อมึงสิไอ้เอิ้น!!!

อยากจะปาทิ้งหรอก แต่ก็เสียดาย เก็บเอาไว้เผื่อฉุกเฉินก็ได้

เฮ้ยๆ อย่าเข้าใจผิด ผมไม่คิดจะฉุกเฉินกับมันหรอกนะ หมายถึงสาวน้อยในสเป็กโว้ย สักวันต้องได้ใช้กับน้องนางแน่นอน





[- T B C -]



ร้ายกว่าเสือไม่ใช่ยุงหรอกค่ะ แต่เป็นหมูเอิ้นนี่แหละ
เตรียมการเผื่อฉุกเฉินซะด้วย ยอมใจเขาจริงๆ
เจอกันตอนหน้านะ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ อ่านแล้วรู้สึกมีพลังจังเลย
 :mew3:


------------------------------------------------------





เห็นพี่เสือเขาห้าวๆ แบบนี้เขาก็เป็นคนทำงานเป็นนะคะ
รู้ว่าเวลาไหนควรผงาด เวลาไหนควรเชื่อง
ก่อน 9 โมงกับหลัง 6 โมงเย็นนี่ ถ้าไม่เบิกโอทีมีฟาดฟันเอิ้นทั้งคำพูดและสายตาเชียวล่ะ
ไม่รู้ว่าน้องเอิ้นเขาจะทนพี่เสือได้สักแค่ไหน
แต่ตราบใดที่ยังชอบเสือกเรื่องของเสืออยู่ ก็หมายความว่ายังสนใจเสือนะ
ไว้เจอกันครึ่งหลัง น่าจะสัปดาห์หน้าเลยค่ะ
ทิ้งคอมเมนต์ไว้ให้เค้าอ่านบ้างน้า
คุยกันได้ในแท้ก #เสือของเอิ้น
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.200716
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 21-07-2016 05:50:27
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.200716
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-07-2016 06:27:07
ชอบพี่เสือมากค่ะ น่ารักมาก แต่แพ้ทางเอิ้นตลอด ติดเรื่องนี้แล้วค่ะ  พี่เสือรับผิดชอบด้วยการมาบ่อยๆ นะค๊ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.200716
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 21-07-2016 10:48:45


ติดตามค่ะ พี่เสือมาบ่อย ๆ น้า... คิดถึง ^^

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.200716
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 21-07-2016 11:50:55
รอพี่เสืออยู่นะคะ


 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.240716
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-07-2016 07:46:30
โธ่ เสือแพ้ทางเอิ้นตลอดเลย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.240716
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 27-07-2016 08:42:33
 :o8: พี่เสือตามไม่ทันหมูอ้วนตลอด
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || {สรัล} UP.240716
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 27-07-2016 13:04:40
คือ เอิ้นชอบเสือมานานแล้วใช่ไหม ไม่น่าใช่การแก้แค้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ ||ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 28-07-2016 22:15:01


ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน}







“เจ้าเสือแกจะไปไหน”

“นัดพวกไอ้แชมป์ไว้ เจ๊มีไรป่าว จะฝากขายหวยเหรอ”

“ฉันไม่รบกวนแกหรอก แค่อย่าไปก่อเรื่องก็พอ”

“เสือโตแล้วนะแม่ มีการมีงานทำแล้ว ก่อเรื่องอะไร ไม่ทำหรอก”

“ตอนนี้ก็ไม่ทำหรอก แต่พอเจอหน้าพวกไอ้แชมป์แล้วรวมแก็งค์กันน่ะไม่แน่ใช่มั้ยล่ะ”

“แค่ไปเดินหล่อๆ อ่อยสาวที่ห้างเอง”

“ให้มันจริง อย่าให้รู้ว่าไปซิ่งจะโดนไม่ใช่น้อย”

“ไม่ให้รู้หรอก ไปนะครับ สวัสดี” ยกมือไหว้แม่ประหนึ่งท่านสส.เดินหาเสียง ท่าทางการไหว้ที่แม่บอกว่ายกระดับความกวนตีนของผมขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

ไม่ว่ากันครับ น้อมรับ ทั้งหล่อทั้งกวนตีน นี่แหละเสน่ห์เสือตัวนี้

แชมป์เป็นเพื่อนสมัยมัธยมครับ รู้จักกันตั้งแต่ ม.1 แต่สนิทสนมกันจริงจังตอนเข้าแก็งค์มัจจุราชหน้าหยกตอน ม.3 แก็งค์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้หมูอ้วนขาดสะบั้นลง

“เสือมากับใครคะเนี่ย”

“คุณปราง บังเอิญจัง” ขณะที่หล่อกำลังเดินเอ้อระเหยอยู่นั้นโลกก็ดันเหวี่ยงคนเคยรู้จักให้มาเจอกัน

‘ปรางทิพย์’ เคยเป็นรีครูทมือใหม่ไฟแรงที่ ‘The Agent’ บริษัทฯ เดียวกับผม เราเริ่มงานวันเดียวกัน อายุเท่ากันจึงค่อนข้างที่จะมีเรื่องให้คุยกันมากกว่าคนอื่น แต่เมื่อปี 3 ปีที่แล้วเธอก็ลาออก หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่าเธอไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง

“เรียกคุณอะไรกัน เราเคยสนิทกันมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ หาที่คุยกันหน่อยมั้ย”

“แต่ผมนัดเพื่อนไว้”

“แป๊บเดียวเอง ปรางมีเรื่องจะคุยกับเสือจริงๆ นะ”

“งั้น ร้านกาแฟตรงนั้นมั้ย” ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากนั่งร้านกาแฟในห้างหรอก แพงเกินเงินเดือนพนักงานบริษัทอย่างผมมากเหลือเกิน แต่นี่ต่อหน้าสาวไงจะแสดงความจนให้เขาเห็นได้อย่างไร

เราเลือกนั่งโต๊ะกลมแบบคู่ติดกระจกหน้าร้าน วัตถุประสงค์เพื่อจะได้มองหาไอ้ชมป์ได้ถนัด ปรางทิพย์เริ่มคุยเรื่องของเธอในระหว่างรอกาแฟ เธอเริ่มต้นบทสนทนาด้วยชีวิตการทำงานของเธอเอง ฟังๆ ดูแล้วเหมือนกำลังโม้มากกว่า

“เสือไม่คิดจะเปลี่ยนงานบ้างเหรอ”

“ไม่เคยคิด”

“พูดตรงๆ เลยนะเสือ เจ้านายปรางท่านชอบเสือมากเลยนะ บอกปรางเสมอเลยว่าอยากให้เสือมาทำงานด้วย”

“เจ้านายปรางรู้จักผมได้ไง” ผมไม่ใช่คนดังในแวดวงธุรกิจสายนี้สักหน่อย ก็แค่พนักงานเงินเดือนตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง

“ปรางเล่าให้ฟังเองแหละ ปรางถามอะไรเสือหน่อยได้มั้ย” เธอโน้มลำตัวลงมาใช้ฝ่ามือป้องปาก ดูก็รู้ว่าคงเป็นคำถามที่น่าจะตอบยากพอสมควร แต่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอก

“ถามได้ดิ แต่ไม่แน่ใจนะว่าจะตอบได้รึเปล่า”

“ที่นี่เค้าให้เงินเดือนเท่าไหร่ เจ้านายปรางให้ 2 เท่าเลยนะ”

“ไม่เป็นไรดีกว่า ขอบคุณปรางมาก ไว้เจอกันคราวหน้าคุยกันเรื่องอื่นดีกว่าเนอะ” ผมบอกลาเธอด้วยประโยคนั้นแล้วจึงเดินถือแก้วกาแฟออกมาสมทบกับไอ้แชมป์ที่มาถึงพอดี

“แฟนมึงเหรอไอ้เสือ แจ่มนี่หว่า ดูขาคู่นั้นดิ ขาวฉิบหาย” ไอ้แชมป์ที่หนึ่งเรื่องเสือผู้หญิงว่าด้วยน้ำเสียงหื่นกามขณะใช้สายตาโลมเลียท่อนขาปรางทิพย์

ไม่ต้องเชื่อเรื่องความแจ่มของสาวๆ ที่ได้ยินจากปากมันมากหรอก ไอ้นี่น่ะแค่เป็นผู้หญิงนมใหญ่แม่งก็บอกว่าแจ่มหมดแหละ

“เลิกสนใจเพื่อนกูเถอะ แล้วไหนของที่กูบอกให้มึงเอามา”

“ที่จริงกูเอาไปให้มึงที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นต้องให้ถือมาถึงนี่เลย”

“ถ้ามึงเอาไปให้กูตั้งแต่แรก กูก็คงไม่ต้องทวงยิกๆ หรอก เอามา ลีลาเยอะนะมึง”

“ใจร้อนจังวะเสือ เออมึง กูได้ข่าวไอ้หมูอ้วนแม่งกลับมาแล้วเหรอ”

“เออ กูกลับมาแล้ว” ขณะที่ผมกำลังกลอกตาทำหน้าเซ็งที่ได้ยินชื่อที่ไม่เสนาะหู เจ้าตัวกลับปรากฏตัวขึ้นข้างกาย เซ็งหนักกว่าเดิมอีก

แม่ง! วันหยุดแท้ๆ ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ได้

“นี่ใช่มึงเหรอ ล้อกูเล่นป่ะเนี่ย ทำไมแม่งหล่อวะ” ไอ้แชมป์ปรี่เข้าไปจับใบหน้าไอ้เอิ้นแล้วหันซ้ายทีขวาทีเพ่งอยู่นานแล้วจึงปล่อย สายตาที่มันแสดงออกบอกได้คำเดียวเลยว่า ‘อึ้งอย่างแรง’

“ถ้าไม่มีการพัฒนาก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์สิ แต่ว่าแชมป์นี่ไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”

“มึง !?” ไอ้แชมป์มุ่นคิ้วหนักมาก คงต้องให้เวลามันสักพักกว่าจะคิดได้ว่าถูกไอ้เอิ้นด่า

“มึงมานี่ได้ไง แอบตามกูมาเหรอ”

“เอิ้นแวะไปบ้าน แม่บอกว่าเสือมาห้าง เอิ้นก็เลยตามมา”

“ห้างมีตั้งเยอะแยะ รู้ได้ไงว่ากูมานี่”

“นี่เอิ้นนะ” ขี้โม้

“มึงแล้วไง”

“เรื่องของคนที่เอิ้นสนใจ เอิ้นรู้หมดแหละ”

“เชี่ยเอิ้นมึงด่ากูเหรอ ร้ายขึ้นนะมึงอ่ะ แม่งเอ้ย!” ถ้าเป็นเมื่อก่อนไอ้แชมป์คงตบกะโหลกคนที่ด่ามันจนหน้าคว่ำ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนครับ

เมื่อก่อนเราอาจจะเคยเป็นแก็งค์หัวโจก เป็นกลุ่มนักเรียนที่เอาแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่ตอนนี้เราโตพอที่จะแยกแยะดีชั่วได้แล้ว ถ้าตอนนั้นคิดได้แบบนี้เราคงไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจนเรื่องของเรากลายเป็นวีรกรรมที่เมื่อพูดถึงคนทั้งโรงเรียนต่างก็พากันร้องยี้

“ว่าก็ว่าเถอะ มึงไปทำอะไรมาวะ จมูกแม่งโคตรสวย หมอไหนวะแนะนำกูมั่งดิ”

“เงินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ยังยืมกู มึงยังคิดจะอยากมีจมูกใหม่อีกเหรอ หาเงินมาคืนกูก่อนมั้ยห่าแชมป์”

“ล้อเล่นไม่ได้เหรอ – ไหนๆ ก็เจอกันเลี้ยงข้าวพวกกูซักมือสิมึง นะ กูโคตรหิว” ว่าเสียงอ้อนๆ เหมือนตอนอ่อยสาวตอนท้ายประโยคแล้วก็มัดมือชกด้วยการกอดคอแล้วลากเหยื่อรายใหม่เข้าร้านอาหารทันที

ไม่รอให้เขาตอบตกลงหรอก มันจัดการสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เลือกกินของแพงซะด้วย

“เอิ้น มึงจำไอ้แบ็งค์ได้ป่ะ”

“หัวหน้าห้องที่แว่นหนาๆ ตัวผอมๆ ป่ะ”

“นั่นแหละ เดี๋ยวเจอมันแล้วมึงจะอึ้ง”

“ทำไมต้องอึ้ง”

“เหอะน่า เดี๋ยวมึงก็รู้” ทิ้งปริศนาไว้แล้วก็ก้มหน้าดูเมนูอาหารต่อ

“อะไรอะ” พอไอ้แชมป์ไม่ยอมบอกก็หันมาซักเอากับผม มีเหรอที่ผมจะยอมบอกปล่อยให้งงไปนั่นแหละดี

เดี๋ยวก็รู้

“เชี่ยแบ็งค์ทางนี้” เรียกกันทีคนหันมามองทั้งร้าน ก็นะ ที่นี่มันร้านผู้ดีพอมีใครมาปล่อยเหี้ยเรี่ยราดก็ต้องกลายเป็นเป้าสายตาเป็นธรรมดาแหละ

“นาฬิกาดีตลอดนะมึง นั่งๆๆ” ไอ้แชมป์ตบที่ว่างข้างมันประกอบคำพูดของผมให้ไอ้กล้ามปูนั่งลงข้างๆ

อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไอ้แบ็งค์ที่เอิ้นเคยบอกว่าแว่นหนาตัวผอม ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นพี่กล้ามปูแล้ว นี่เขาเป็นถึงเจ้าของฟิสเนตเชียวนะ ทำเป็นเล่นไป

“เอิ้นป่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มนะเรา”

“น้อยๆ หน่อยมึง นี่เพื่อน” ผมปัดมือใหญ่ที่ยื่นมาหวังจะสัมผัสใบหน้าคนที่ทำปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ

ไงล่ะไอ้เอิ้นพูดไม่ออกเลยสิมึง

“มึงก็รู้ป่ะเสือว่ากูชอบผู้ชายผิวขาว แล้วมึงดูผิวเอิ้นดิ อย่างกับสำลี ขอกูจับหน่อย”

ได้ยินชัดใช่มั้ยว่ามันชอบผู้ชาย

หนึ่งในบรรดาเพื่อนเรา คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดเห็นทีต้องยกให้ไอ้แบ็งค์นี่แหละ นอกจากรูปร่างแล้ว รสนิยมมันก็เปลี่ยนไปแบบที่รู้ตอนแรกก็เกือบจะรับไม่ได้เหมือนกัน แต่เพื่อนไง ถึงเพื่อนจะกล้ามปู ชอบแต่งหน้า ทาปากแดง และชอบกินเด็กผู้ชายผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มเราก็ต้องรับให้ได้ เหตุผลเดียวเพราะมันเป็นเพื่อนเราไง

“แบ็งค์เหรอ” เหมือนจะเพิ่งตั้งสติได้ถึงได้เพิ่งถาม

“แบ็งค์เอง เปลี่ยนไปเยอะนะเรา”

“คงสู้แบ็งค์ไม่ได้”

“ใช่มั้ยล่ะ ตอนเปิดตัวแรกๆ นะ ไม่มีใครเชื่อเลย บอกว่าแบ็งค์เล่นละคร จะบ้าเหรอ ถ้าฉันเล่นละครเก่งขนาดนี้ ฉันได้ออสก้าแล้วย่ะ”

“นึกแล้วก็ขำ ไอ้เชี่ยแบ็งค์เป็นตุ๊ดยักษ์ไม่เคยบอกพวกกู และมึงคิดดูมันเลือกเปิดตัวในงานเลี้ยงรุ่น”

“กูจำได้เลย แม่งใส่ชุดเสือดาว ห่า กูนึกว่าช้างโดนเสือดาวแดก ภาพแม่งโคตรติดตา”

เรื่องราวของไอ้แบ็งค์ถูกเล่าออกมาเป็นฉากๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่เบาบ้างดังบ้างแล้วแต่จะมีใครมาสะกิดให้รู้ตัว พอเล่าเรื่องมันจบคนต่อไปที่ถูกเผาก็ไม่ใช่ใคร ไอ้แชมป์ไงคนที่ถูกเมียทิ้งให้เลี้ยงลูกเพียงลำพัง ถ้าบอกว่ามันตกอับที่สุดในกลุ่มก็ใช่แหละว่ะ แต่โชคดีที่บ้านมันอยู่ใกล้บ้านผม เจ๊ศรีก็เลยกลายเป็นคุณย่าจำเป็นไปซะอย่างนั้น

“ลูกกูน่ารักนะเอิ้น” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโชว์รูป ‘น้องชิปปี้’ เด็กชายวัย 5 ขวบในชุดนักเรียนอนุบาล

“หน้าไม่ค่อยเหมือนมึง”

“เหมือนแม่มันไง อย่าให้กูเจอนะ จะตบให้ดั้งใหม่แม่งพังไปเลย”

“ไอ้แชมป์มันเคยขายมอเตอร์ไซค์คันโปรดเพื่อเอาเงินมาให้เมียโมดั้ง ไงล่ะ สุดท้ายก็ถูกทิ้ง” ผมหันไปกระซิบเอิ้นที่เบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าไอ้แชมป์จะตบเมียเก่า

มันโกรธเรื่องนี้มากเลยล่ะ เพราะพอเมียมันได้ดั้งใหม่ปุ๊บก็ทิ้งมันกับลูกไปปั๊บ ทุกวันนี้แค่ได้ยินชื่อมันก็ปรี้ดแตกแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้ให้มันได้ยินเชียว ระวังจะฟันร่วงไม่รู้ตัว

“อิ่มแล้วว่ะ เอิ้นมึงเลี้ยงหนังพวกกูหน่อยสิ”

“ไอ้แชมป์นิสัยมึง!!”

“ขอโทษว่ะ เคยตัว นี่กำลังปรับปรุงตัวอยู่ ให้เวลากูนิดนึง”

“เรื่องหนังกูขอบายนะเว้ย เพราะกูมีหนังที่จะดูแล้ว” ผมออกตัวก่อนเลย ไม่ค่อยชอบบรรยากาศในโรงหนังเท่าไหร่ คนเยอะ น่ารำคาญ

“หนังโป๊อีกแล้วล่ะสิ”

“มึง ขอโทษอย่าเรียกว่าหนังโป๊เว้ย โปรดเรียกว่าหนังอีโรติกขั้นแอดว๊านซ์”

“แอดว๊านซ์พ่อมึง” แสดงความคิดถึงพ่อผมเสร็จมือใหญ่ๆ เหมือนไม้พายเรือก็หยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา “กูต้องไปแล้ว นัดเด็กไว้ – เอิ้น ถ้าอยากออกกำลังกายมายิมเราได้นะ โทรมาคุยได้ รอนะจ้ะ”

“กูบอกมึงแล้วไงว่าอย่าริจะกินเพื่อน มึงจะไปไหนก็รีบไปเลย” เป็นผมที่ดึงเอานามบัตรมาเหน็บใส่กระเป๋าตัวเอง

“ทำอย่างกับหึงแน่ะคุณสรัล”

“หึงพ่อมึง”

“แม่หึงพ่อคนเดียวก็พอแล้ว มึงไม่ต้องช่วยแม่กูหึงหรอก พูดถึงพ่อแล้วไม่อยากจะเม้าท์”

“ไหนมึงบอกมึงจะไป เดี๋ยวเด็กแม่งก็ชิ่งหรอก” อย่าปล่อยให้ไอ้แบ็งค์เม้าท์ พอเริ่มเล่าแล้วชอบติดลม ไม่ต้องไปไหนกันพอดี

“อยากเม้าท์อ่ะมึง แต่ผู้ชายสำคัญกว่า กูไปนะคะ บายยยย~”

“แบ็งค์เป็นตุ๊ดตั้งแต่เมื่อไหร่”

ลับหลังตุ๊ดร่างยักษ์ไอ้เอิ้นก็ถามขึ้นมาแผ่วเบาคล้ายลังเล ถึงไม่ค่อยอยากจะชมแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นคนที่มีมารยาทมากทีเดียว

“กูว่าน่าจะรู้ใจตัวเองตอนเริ่มเข้ายิมว่ะ แต่ก็ความสุขของมัน ปล่อยแม่งเหอะ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่หว่า – อ่อ นี่หนังมึง ฝากบอกเจ๊ศรีด้วยว่ากูไปรับน้องชิปเย็นๆ”

ยื่นถุงพลาสติกสีดำให้ผมแล้วลุกขึ้นตั้งท่าจะชิ่ง ทิ้งกูแบบนี้ก็ได้เหรอวะ

“เสือชอบดูหนังพวกนี้เหรอ” คำถามของไอ้เอิ้นรั้งไอ้แชมป์เอาไว้ มันหันมาแสยะยิ้มแล้วจึงตอบ

“ชอบมากเลยล่ะ มึงก็ลองไปดูกับมันสิ ถ้าชอบสั่งกูได้นะ เดี๋ยวขายให้ในราคากันเอง กูไปล่ะ” โบกมือให้แล้วตั้งท่าจะก้าวออกไปอีก และครั้งนี้เป็นผมที่รั้งมันไว้ด้วยมือที่ยื่นไปคว้าชายเสื้อ

“มึงจะไปไหน”

“กูรู้ที่อยู่ใหม่อีกุ๊กแล้วนะ”

“แล้วมึงจะไปทำอะไรเค้า มึงควรปล่อยวางนะแชมป์ ทำอะไรคิดถึงลูกไว้เยอะๆ สิวะ”

“กูไม่ทำอะไรหรอก กูแค่อยากไปเห็นกับตาว่ามันมีความสุขมากมั้ยที่ทิ้งกูกับลูกไป กูจะได้เลิกหวังว่ามันจะกลับมา”
“2 ปีแล้วนะแชมป์ ถ้าเค้าจะกลับมา เค้ากลับมาตั้งนานแล้ว”

“เออน่า ยังไงกูก็จะไป มึงไม่เชื่อใจกูเหรอเสือ กูบอกว่าจะไม่ทำกูก็ไม่ทำ และถ้ากูทำกูยอมให้มึงต่อยกูเท่าที่มึงพอใจเลย”

“จำคำมึงไว้ กูต่อยมึงจริงนะ”

“เออ!”

อย่างนี้ทุกที ทั้งที่รู้ว่าเมื่อเห็นเขามีความสุขแล้วตัวเองต้องกลับมานั่งกอดลูกร้องไห้ แต่มันก็ยังพาสมองขี้เลื่อยไปจดจำภาพเหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทุกวันนี้เห็นใครทำเรื่องโง่ๆ ผมไม่ด่าว่าควายแล้วนะ ด่าว่าไอ้แชมป์เหมาะกว่าเยอะ

พอเคลียร์บิลค่าอาหารเสร็จก็คิดจะชิ่งไอ้เจ้ามือ แต่ถามจริงเถอะนี่คนหรือปลิงเกาะติดกูจัง

“แล้วมึงไม่กลับบ้านกลับช่องเหรอ จะตามกูไปถึงไหน”

“เอิ้นบอกไปแล้วไงว่าเอิ้นมาหาเสือ ว่าแต่เสือจะไปไหนอะ”

“เสือก”

“ต้องย้ำอีกมั้ยว่าทำไมเอิ้นถึงชอบเสือกเรื่องเสือ” ไม่ต้องมาทำเป็นถามด้วยสีหน้าระรื่นเลย เดินหนีแม่ง ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นแหละ

บันไดเลื่อนพาเราลงมาที่ชั้นใต้ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของซุปเปอร์มาเก็ต ผมหยิบตะกร้าใบหนึ่งแล้วโยนหนังแผ่นในถุงพลาสติกสีดำลงไป ทำเป็นเดินเลือกของเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ

“วันนี้คนเยอะนะ ปกติวันหยุดยอดขายเป็นไงบ้าง”

“ก็ดีนะ ช่วงต้นเดือนกับปลายเดือนจะดีมาก เพราะแบบนี้ไงเราถึงไม่อนุญาตให้พนักงานหยุดงานวันสุดสัปดาห์”

“เพราะเป็นช่วงที่มีโอกาสปิดการขายได้มากที่สุดใช่มั้ย”

“อื้อ ช่วงเย็นวันธรรมดาด้วย พีคมากๆ เลยล่ะ”

“เวลาเสือเป็นคุณสรัลนี่ดูจริงจังเนอะ”

“กูก็จริงจังตลอดอะ เวลาด่ามึงกูก็จริงจังนะ”

“เอิ้นก็จริงจังกับเสือนะ” หยอดกูเข้าไป หยอดจนกูอยากเปลี่ยนชื่อจากเสือเป็นเตาขนมครกแล้วเนี่ย “แล้วของที่ให้ไปวันนั้นน่ะ ถูกใจป่ะ”

“หมายถึงถุงยางอะนะ”

“อื้อ”

“พ่อมึงสิไอ้เอิ้น ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องพวกนี้รึไง”

“เสือ” อยู่ๆ น้ำเสียงขี้เล่นเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สีหน้ามันเองก็เช่นกัน เอิ้นกำลังมองบางอย่าง ผมจึงมองตามสายตามันไป

ที่หน้าเชลฟ์ผลิตภัณฑ์ที่เราดูแล พนักงานขายของเรากำลังพูดคุยกับคนๆ หนึ่ง คนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตามันดีเชียวล่ะ

“รู้จักเหรอ” เอิ้นถาม

รู้จักดีเชียวล่ะ

‘นพชัย’ หรือที่ผมเรียกติดปากว่า ‘ไอ้เหี้ยนพ’ คำว่าเหี้ยไม่ใช่ได้มาเพราะความเกลียดชังแต่มันเหี้ยจริงๆ เหี้ยมาจากสันดาน ไอ้นี่เริ่มงานทีหลังผมประมาณ 15 วัน เราอยู่ทีมเดียวกัน แต่ด้วยความที่มันจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผมไม่ได้แอนตี้คนเก่งเหล่านี้ เพื่อนผมหลายคนจบที่เดียวกับมัน เรียนเก่งกว่ามันแต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอีโก้สูงเหมือนมัน

เพราะอีโก้และค่านิยมผิดๆ ที่มันยืดติดว่ามันอยู่เหนือคนอื่นนี่แหละ เวลาทำงานพลาดแล้วถูกตำหนิ ไอ้ห่านี่ชอบยกเรื่องความสูงส่ง.นห้วงมโนขึ้นมาข่มจนความอดทนของหัวหน้าทีมขาดสะบั้นลง ผลที่ออกมาตอนเซ็นสัญญาเป็นพนักงานประจำคือมันไม่ได้รับการบรรจุ

ความโกรธที่ร้อนรุ่มประหนึ่งกองไฟถูกสุมขึ้นในใจมันด้วยเรื่องนั้น แน่นอนว่าคนเก่งๆ ย่อมหางานได้ไม่ยาก และยิ่งมีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทคู่แข่งด้วยแล้ว เปอร์เซ็นที่จะหาได้ทันทีมีมากเกือบ 100 หลังจากเก็บข้าวของออกจาก The Agent ได้เพียง  1 วัน ไอ้นพชัยก็ไปโผล่หน้าเลียแข้งเลียขาเจ้านายคนใหม่ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งกับเราในทันที

ดังนั้นการที่มันมาคุยกับพนักงานในสังกัดของผมย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ผมยืนรอกระทั่งมันคุยเสร็จจึงเดินตามมันไปห่างๆ ก็แหม นานๆ เจอกันสักทีก็ต้องทักทายกันซักหน่อย

“บังเอิญเนอะ ไม่ยักรู้ว่าห้างนี้ใจดีขนาดอนุญาตให้เหี้ยเข้ามาเดินเล่นด้วย” ผมพูดขึ้นด้านหลังให้มันหมุนตัวกลับมายืนเผชิญหน้ากัน

“เหรอ ผมก็ไม่เคยรู้ว่าห้างอนุญาตให้ควายเข้ามาเดินเล็มหญ้าตากแอร์ข้างในนี้ด้วย”

“มึงจะมาดึงน้องกูไปอีกแล้วใช่มั้ย”

“อย่าใส่ร้ายผมอย่างนั้นสิครับสรัล ผมก็แค่เสนออะไรที่มันดีๆ กว่าสิ่งที่ได้รับอยู่ตอนนี้ให้น้องเท่านั้นเอง หรือว่าคุณสรัลไม่อยากเห็นน้องได้ดีครับ” คำพูดสุภาพๆ ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคนพูดจะเป็นคนดีเสมอไป ไอ้นพชัยพิสูจน์ให้เห็นแล้ว

ไม่มีใครไม่อยากเห็นคนรู้จักของตนได้ดีมีความสุขหรอก นอกจากพวกขี้อิจฉา แต่ในฐานะหัวหน้างานผมก็ไม่อยากให้พนักงานในการดูแลลาออกไปเจอกับความเสี่ยงของความฝันลมๆ แล้งๆ ที่คนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างไอ้นพชัยขายไว้ด้วยลมปาก

เพราะปัจจัยเรื่องเงินเดือนสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของการทุ่มกายและใจทำงาน ผมจึงพยายามผลักดันเรื่องการเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ให้พนักงานในการดูแลอยู่เสมอ ขายได้บ้างไม่ได้บ้างแต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่าน้องๆ ไม่ได้ลำบากถึงขั้นปากกัดตีนถีบแน่นอน

“คนอย่างมึงทำดีเป็นด้วยเหรอ นี่กูอยู่ในฝันรึไง”

“ยังหยาบคายไม่เปลี่ยนเลยนะครับ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าคุณเส้นใครกันแน่ คนห่วยๆ เรียนแย่ๆ เกรดต่ำๆ อย่างคุณถึงได้รับเลือก”

“อิจฉาเรื้อรังนะมึงอะ”

“คนอย่างผมน่ะเหรออิจฉาคุณ” มันพ่นลมออกจมูกแรงๆ แล้วทำหน้าเซ็งก่อนจะกวาดสายตาเหยียดๆ มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “คนอย่างคุณมีอะไรให้อิจฉา การศึกษาเหรอ ก็ไม่ ฐานะเหรอ แน่นอนว่าบ้านคุณไม่ได้รวยถึงขนาดที่ผมต้องรู้สึกอย่างนั้น คุณไม่มีค่าพอให้ผมอิจฉาหรอก”

“โอเค ไม่อิจฉาก็ไม่อิจฉา แต่มึงรู้ตัวมั้ยว่าเจอหน้ากันทีไรมึงพูดเรื่องที่กูใช้เส้นตลอดเลย และกูจะบอกซ้ำอีกครั้งนะ ว่าคนอย่างกูไม่ได้กว้างขวางพอที่จะมีเส้นเป็นคนใหญ่คนโต และถ้ามีจริงกูคงไม่ต้องพยายามอย่างที่มึงก็เห็นๆ หรอก และถ้ากูจะใช้เส้น กูไปเป็นครูไม่ดีกว่าเหรอ มึงก็รู้ว่าพ่อกูเป็น ผอ. ไม่ใช่ผัวอีอ้อย ผู้อำนวยการโรงเรียนน่ะ มึงรู้จักใช่ป่ะ หิวน้ำฉิบหาย ไปเอิ้น”

ผมหันไปคว้าต้นแขนคนข้างกายแล้วลากให้ออกมาจากตรงนั้น ก่อนที่ไอ้นพชัยจะทันได้พ่นคำใดออกมา

ไอ้เหี้ยนั่นจะไม่ยอมหยุดหรอกจนกว่ามันจะชนะ และผมเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้ด้วย






“เล่าได้นะ” พอเก็บของใส่ท้ายรถเสร็จแล้วเข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับก็บอกคำนี้กับผม

ต้องการจะสื่ออะไร

“หมายถึงเรื่องคนเมื่อกี้ ถ้าเสืออยากเล่า”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ก็แค่ตัวเหี้ย”

“แต่รู้สึกว่าเหี้ยตัวนี้กำลังกวนใจเสือนะ มีอะไรให้เอิ้นช่วยรึเปล่า”

“ก็บอกว่าไม่มีก็ไม่มีดิ มึงนี่ชอบซักไซ้จังวะ”

“ไม่ซักแล้วก็ได้แต่ขอไซ้ได้มั้ย”

“พ่อมึง!!!” พูดเฉยๆ ไม่ได้สิมึงต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุตฟิตเหมือนหมากำลังดมกลิ่นอาหาร ผมดันใบหน้ามันไว้ด้วยฝ่ามือ ถ้าสถานที่เอื้ออำนวยกว่านี้ก็อยากจะยกเท้าขึ้นยันหน้ามากกว่า

และพอผมทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจมันก็หัวเราะชอบใจ

เป็นไรมากป่ะ

แม่ผมก็ด้วย...เป็นไรมากป่ะ

พอรถคันหรูของไอ้เอิ้นจอดที่หน้าบ้าน เจ๊ศรีก็เดินสะบัดสะโพกออกมายิ้มแฉ่งพลางยื่นมือมาตรงหน้าช่วยหนูเอิ้นของเธอถือของ จนผมต้องเบะปากใส่แล้วมองยังน้องชิปที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก

ที่พื้นห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยของเล่น

“ก๊อซซิล่าจะถล่มเมืองแล้ว” ผมนั่งลง ตั้งชุดเมืองที่ผมซื้อให้เมื่อเงินเดือนออก 2 เดือนที่แล้วขึ้น แล้วหยิบก๊อซซิล่าก๊อปเกาหลีเกรด A ที่ซื้อมาในตอนที่หนังเข้าฉายเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา

น้องชิปยิ้มจนตาเป็นสระอิ ใครบอกว่าน้องไม่เหมือนไอ้แชมป์ ขอให้มาดูตอนยิ้ม เหมือนกว่านี้ก็แฝดแล้วครับ

“ตายซะเถอะไอ้ก๊อซซิล่าน่าเกลียด” ฝ่าเท้าเล็กๆ ของอุลตร้าแมนยันเข้าที่ลำตัวก๊อซซิล่า

เสียงคำรามจากปากผม เสียงปล่อยพลังจากริมฝีปากเล็กๆ ของน้องชิปดังผสมปนเปกันพร้อมกับเจ้าของเล่นในมือที่กำลังต่อสู้กันอย่างเมามัน

กระทั่ง...

“ขออาเอิ้นเล่นด้วยได้มั้ยครับ”

เรื่องเล่นๆ ที่จริงจังของเราหยุดลงเมื่อถูกขัดจังหวะ เด็กน้อยวางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไว้บนใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยนของคนที่เพิ่งนั่งข้างกายผม

“เพื่อนอาเสือเหรอฮะ”

“เพื่อนพ่อแชมป์ฮะ” ผมยิ้มอ่อนโยนอย่างผู้ใหญ่ใจดี “ชื่อลุงเอิ้น”

“ลุงเอิ้น” น้องชิปว่าตามอย่างว่าง่าย

“เดี๋ยวนะ เรียกเสือว่าอาแล้วทำไมเรียกเอิ้นว่าลุง”

“ถ้ามีปัญหามากนักก็ไปไกลๆ เลย”

“โหดตลอดอะ แต่ก็ชอบ”

“ลุงเอิ้นชอบอาเสือเหรอฮะ” น้ำเสียงสดใสเจือความไร้เดียงสาดึงให้สายตาเราทั้งคู่หันมาสบประสานกัน

เกิดความรู้สึกแปลกบางอย่างขึ้นในอก

“ชอบมากๆ เลยฮะ” ไอ้เอิ้นก้มลงตอบใกล้ๆ แล้วยิ้มอ่อนโยนแบบที่น้องชิปเองก็ยิ้มตาม

“น้องชิปก็ชอบอาเสือฮะ อาเสือชอบซื้อของเล่นให้น้องชิปแล้วก็ชอบเล่นกับน้องชิปตอนพ่อไม่อยู่ ชิปชอบอาเสือมากๆ เลย”

“ลุงเอิ้นก็ชอบอาเสือมากๆ เลยครับ” บทสนทนาระหว่างทั้งคู่ดำเนินไปแต่สายตาหวานเชื่อมกลับกำลังจับจ้องที่ใบหน้าผม

คิดว่าเสืออย่างผมจะหวั่นไหวกับอะไรแบบนี้เหรอ บอกเลยว่า...นิดหน่อย

ก็แอบเขินนิดหน่อยเหมือนตอนถูกสาวๆ อ่อยจนต้องทำทีเสมองไปทางอื่น

ผมปลีกตัวออกมาในตอนที่ก๊อซซิล่าพ่ายแพ้ให้กับอุลตร้าแมน 2 ตัวที่รวมพลังกันได้อย่างน่าเกรงขาม

เรื่องไอ้นพชัยยังคงติดค้างอยู่ในหัวจนต้องหาอะไรที่มันบันเทิงๆ ดู

ความบันเทิงในแบบของเสือถูกล้วงออกมาจากถุงสีดำเมื่อผมทิ้งตัวลงบนพื้นปลายเตียงในห้องตนเอง มันเป็นหนังที่ไอ้แชมป์ก๊อปขายออนไลน์ กำไรดีทีเดียว มันบอกว่าอย่างนั้นแต่ผมไม่เชื่อหรอก ถ้ากำไรดีจริงมันต้องใช้หนี้ผมแล้วสิ

จอทีวีสว่างขึ้น น้องเมอิออกมายิ้มทักทายด้วยใบหน้าสวยหวานที่เห็นแล้วแทบละลาย กล้องแพลนลงไปที่เสื้อผ้าของเธอ ให้ตายไม่อยากละลายแล้วอยากหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับเธอมากกว่า

เธอหันมามองผม หมายถึงมองกล้อง กระดิกนิ้วเรียวเรียกอย่างเย้ายวน ผมนี่แทบจะคลานเข้าไปเลียจอ

ภาพบนหน้าจอฉายไปเรื่อยๆ จังหวะการเต้นของหัวใจผมเริ่มเปลี่ยนแปลง

ผ่าง!!!

อยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกอย่างไร้มารยาท และไอ้คนไร้มารยาทก็ไม่ใช่ใคร ไอ้เอิ้นไง จะใครล่ะ

มันปรี่เข้ามานั่งลงข้างผม

“เสือขี้โกง”

อะไรของมัน แต่ก็ช่างสิ ผมไม่คิดจะต่อบทสนทนาจึงหันไปจ้องหน้าจอทำราวกับมันไม่มีตัวตน

“แชมป์บอกให้เราดูด้วยกัน”

“มึงเป็นคนว่าง่ายขนาดนั้นเชียว กูไม่ให้ดู มึงออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้เลย”

“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่อยากให้เอิ้นดูด้วย”

มึงอย่ามาทำเป็นโลกสวย คิดดูนะ ใครจะอยากดูหนังโป๊กับคนที่จ้องจะฟาดตัวเองอยู่ตลอดเวลาวะ

“กลัวเอิ้นใช่มั้ย” กระเถิบเข้ามากระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูอีก คิดว่าผมรูสึกยังไง แอบสยิวสิครับ

ในจอกำลังจะแก้ผ้า ส่วนไอ้คนข้างๆ ก็กำลังคิดจะเปลื้องผ้าผม สังเกตจากมือที่วางแหมะลงบนหน้าขาผม

มือไม้ไอ้เอิ้นโคตรจะซุกซน ในห้องผมควรมีมีด จะตัดมือแม่งให้ขาด





[- T B C -]




คุณเสือด่าคุณเอิ้นว่าเสือกไปกี่ครั้งแล้ว
ต้องให้ย้ำมั้ยว่าทำไมเอิ้นถึงชอบเสือกเรื่องของเสือ
เจอแบบนี้เข้าไป เสือก็เสือเถอะ แอบอ่อนเหมือนกัน
5555
สุดท้ายของตอนนี้ ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
เราอ่านทุกคอมเมนต์เลยล่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจ ว่างๆ แวะไปทักทายกันที่ #เสือของเอิ้น ได้นะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ
แจ๊ส
 :bye2:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 28-07-2016 23:54:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-07-2016 20:38:19
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 29-07-2016 22:52:10
ปูเสื่อรอค่าาาาา
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: Fahkram ที่ 30-07-2016 00:34:50
 :-[

ชอบแบบนี้ครับ ซึนๆใส่กันไปมาฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: iAlexiajang ที่ 30-07-2016 02:57:02
ลื่นกว่าลุงเอิ้นนี่ก็ปลาไหลแล้วครัชชชชชช
;D  :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 30-07-2016 08:20:27
เอิ้นอ่อยไปเสือด่ากลับ
ดี๋ยวก็ได้กันอีกนะอาเสือ

 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-07-2016 13:06:43
เอิ้นแม่งรุกเสือซะไปแทบไม่เป็นแล้วนะนั้น
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน} UP.280716
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-08-2016 23:18:59
รุกแบบบุกทีเดียวถึงหลังบ้านเลย

เสือจะไปไหนรอด ฮ่าฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} UP.070816
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 07-08-2016 17:49:22

ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน}




 “อ๊ากกกกกก!!!”

เสียงไอ้คนข้างๆ ดังระงมเมื่อผมบีบมือมันแรงๆ เรียวขาในกาเกงยีนดิ้นพราดๆ เหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อนสาด
สะใจว่ะ

“พอแล้วเสือ เอิ้นเจ็บ เอิ้นเจ็บ”

ไม่รู้ว่ามันพูดคำว่าเอิ้นเจ็บไปกี่ครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ใจอ่อนยอมปล่อยง่ายๆ มือคู่นี้ใช่มั้ยที่เคยลูบคลำร่างกายผม แค่คิดก็โมโหแล้ว ต้องบิดให้มันเจ็บแล้วจำ

“แขนเอิ้นจะหักแล้ว ฮือออ~”

ไม่ใช่เพราะน้ำตาหยดใสที่ไหลผ่านขอบตาลงมาที่แก้มหรอกนะ ที่ผมปล่อยเพราะเมื่อยมือแล้วต่างหาก

“เจ็บไปหมดเลย” พอผมปล่อยมือมันก็ทำเป็นสำออย บอกว่าเจ็บๆ แล้วซบหน้าลงบนไหล่ของผม

“อย่ามาสำออย” เพราะผมคือเสือ เสือที่ใจแข็งยิ่งกว่าหินผา ไอ้เอิ้นเบะหนักเมื่อผมผลักหัวมันออกจากไหล่

“เอิ้นไม่ได้สำออย เจ็บจริงๆ ข้อมือแดงหมดแล้ว”

หมดแล้วภาพพจน์คุณอัคคี ไอ้เอิ้นที่ทำปากคว่ำ นัยน์ตาปริ่มน้ำและยื่นมือมาให้ผมดูเหมือนเด็กๆ ที่กำลังออดอ้อนร้องขอความเห็นใจ

อยากให้คนที่บริษัทเห็นจริงๆ อยากรู้นักว่าเขาจะยังเคารพมันอยู่รึเปล่า

“เสือไม่เชื่อเอิ้นเหรอ ดูสิ”

น้องเมอิกำลังสอดมือเข้าไปในเสื้อ แต่แทนที่ผมจะได้เห็นฉากต่อจากนั้นกลับถูกข้อมือของไอ้มารข้างๆ ยื่นมาบดบังทัศนียภาพ หักแขนแม่งทิ้งซะดีมั้ย

“เจ็บมากก็ไปให้แม่ดูดิ” รำคาญแม่งฉิบหาย

“เสือทำเอิ้น เสือก็ต้องรับผิดชอบดิ”

“กูไม่รับ” ผมบอกมันเน้นๆ ด้วยเสียงหนักๆ ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจน้องเมอิอีกครั้ง แต่ไอ้เอิ้นแม่งโคตรจะก่อกวน

กวนอะไรนักหนา กูไม่ใช่มะม่วงที่กวนแล้วจะกินได้เลย

หันกลับมาจ้องหน้าจอทีวีอีกทีน้องนางก็เปลือยท่อนบนซะแล้ว

“ชอบแบบนั้นเหรอ”

ผมไม่ตอบ และไอ้คนกวนประสาทก็เงียบไป

ดี ถ้าออกจากห้องไปซะจะดีกว่านี้อีก

“เสือ” เงียบได้ไม่นานก็เริ่มเรียกร้องความสนใจอีก พอผมไม่สนก็จับใบหน้าแล้วบังคับให้หันมองจนคอแทบหัก

Shit!!

“มึงถอดเสื้อทำไม” ผมเบิกตากว้างจ้องไอ้เอิ้นที่คงเห็นน้องเมอิเป็นไอดอลถึงได้ถอดเสื้อโชว์ท่อนบนตามเขา

“เสือชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

แม่ง! ประสาทจะแดก

“กูชอบแบบนั้น” ผมกุมขมับก่อนจะชี้นิ้วไปยังหน้าจอแล้วกลับมาจิ้มที่อกมันแรงๆ “แต่กูไม่ชอบแบบนี้”

“แต่เอิ้นชอบเสือแบบนี้” ว่าแล้วก็วางมือลงบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง โฉบใบหน้าเข้ามาใกล้จนผมตั้งตัวไม่ทัน

“มึง...”

“อยากจูบเสืออะ”

“ไม่...”

ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตมากกว่าผมซักเท่าไหร่ ทำไมแรงเยอะถึงขั้นผลักผมให้ล้มลงบนพื้นง่ายๆ เลยวะ

ผมยกมือขึ้นดันใบหน้าที่กำลังจะโน้มลงมาเอาไว้

“อยากจูบเสืออะ”

“กูไม่ให้จูบ”

“อยากจูบ” หน้าด้านฉิบหาย

“ถ้ามึงไม่ลุกไป กูถีบจริงๆ นะ”

“เอิ้นทับเสืออยู่อย่างนี้ จะถีบได้ไง” ท้าทาย คิดว่าเสือเป็นเพียงชื่อเหรอวะ ถ้าไม่แน่จริงคนทั้งซอยไม่เรียกกูว่าพี่เสือหรอกโว้ย

“มึงประเมินกูต่ำไปป่ะ”

“ถ้าอยากให้คะแนนประเมินสูงกว่านี้ก็ทำให้เห็นสิ” คำท้ายทายดังจากริมฝีปากของคนที่นอนอยู่บนตัวผม คางแหลมเกยอยู่บนอก ดวงตาเรียวพยายามเบิกกว้างให้สดใส

ขอยืมคำผู้หญิงมาด่าได้มั้ย...ไอ้ตอแหล

แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมาถูกทางจริงๆ

ผมเป็นเสือประเภทได้ยินคำท้าทายไม่ได้ซะด้วยสิ

เสียงน้องเมอิไม่ได้เรียกความสนใจของผมได้เท่าคนบนร่าง ผมรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อเป็นฝ่ายคร่อมทับมันแทน

ผมโถมทั้งกายเข้าใส่ ทิ้งน้ำหนังลงไปทั้งหมด ตรึงแขนมันเอาไว้กับพื้นแล้วโน้มใบหน้าที่แสดงออกถึงความเหนือกว่าเข้าไปใกล้

“จะจูบเหรอ” ไอ้ห่านี่ หมกมุ่นไปนะบางที

ไอ้เอิ้นปิดเปลือกตาลง ทำหน้าเคลิ้มประหนึ่งว่ารอคอยให้ผมจูบมันจริงๆ

ฝันไปเถอะ

ไม่ต่อยให้ปากแตกก็บุญเท่าไหร่แล้ว

“อะ โอ้ยๆ เสือ เอิ้นเจ็บ เจ็บนะ ปล่อยเซ่!!” ดวงตาที่เคยปิดสนิทเบิกกว้าง ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีอ่อนยกสูงขึ้นด้วยแรงกระชากของผม มันพยายามแกะมือผม แต่ขอโทษ นี่ใคร เสือนะ ไม่ปล่อยง่ายๆ หรอกโว้ย

“ผมมึงนี่แข็งแรงดี”

“เอิ้นเจ็บนะเสือ”

“ดี นี่แหละที่กูต้องการ” ผมบอกแล้วปล่อยเส้นผมนุ่มมือให้เป็นอิสระ

เอิ้นทิ้งตัวลง มันถอนหายใจแต่อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้ ถ้าได้เริ่มต่อสู้แล้ว เสือไม่ยอมง่ายๆ หรอกครับ

“อ๊ากกกก!!!” เสียงตะโกนดังกลบเสียงน้องเมอิที่ดังผะแผ่วเร้าอารมณ์ เมื่อผม Figure 4 Leg lock มันไม่แรงนัก แต่ไอ้เอิ้นแม่งสำออย ทำเป็นร้องแล้วตีพื้นดังปั๊กๆ

(ท่า Figure 4 Leg lock คือท่าที่จะขัดขาของคู่ต่อสู้เป็นรูปเลข 4 โดยจะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนคู่ต่อสู้ต้องยอมแพ้ไปในที่สุด)

“เจ้าเสือ!!!”

ประตูนรกเปิด ท่านยมบาลก้าวเข้ามาอย่างเชื่อช้า มือที่ตบพื้นแรงๆ ในคราแรกค่อยๆ เบาลง เช่นเดียวกับแรงที่ขาของผมซึ่งค่อยๆ คลายออก

ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดหมุนเมื่อสบกับดวงตาโหดเหี้ยๆของเจ๊ศรี

“น้องเอิ้นเจ็บตรงไหนมั้ยลูก” เรียกหมาอ่อนโยนกว่าเรียกผม 10 เท่า เรียกไอ้เอิ้นอ่อนโยนกว่าหมา 100 เท่า นี่ผมเป็นลูกเจ๊จริงป่ะ

ผมอาศัยช่วงที่เจ๊ปรี่เข้ามาลูบคลำใบหน้าไอ้คนสำคอยรีบไปกระชากปลั๊กทีวีออก

โล่งอกไปหน่อยถ้าเจ๊เห็นว่าดูน้องเมอิอยู่ล่ะก็โดนสวดยับแน่ ไม่ใช่อะไรหรอกแกกลัวเปลืองไฟ

“ข้อมือแดงไปหมดเลย” มืออุ่นๆ ที่ชื่นชอบการตบกบาลผมพอๆ กับชอบตบยุงลูบข้อมือไอ้คนสำออยป้อยๆ

หมั่นไส้แม่งว่ะ นั่นแม่กูนะ อยากอ้อนมากก็กลับไปอ้อนแม่มึงดิ

“เสือก็เจ็บนะแม่”

“เจ็บอะไรก็เห็นๆ อยู่ว่าแกทำหนูเอิ้น เจ็บมากมั้ยลูก โธ่ๆ” ในหนึ่งประโยคจำเป็นต้องมีหลายอารมณ์แบบนี้ด้วยเหรอวะ
เจ๊ศรีลำเอียง ไม่คุยด้วยแล้ว

ผมพิงเตียงแรงๆ ควานหาของให้เกิดเสียงดังตึงตัง รู้ซะบ้างเถอะว่านี้ห้องเสือ เสือที่มีแม่ชื่อเจ๊ศรี เสือที่แม่ไม่รัก นี่ไม่ได้เรียกร้องความสนใจอะไรเลย สาบานด้วยเกียรติของเสือ

“เจ็บนิดหน่อยครับ”

“แกนี่ทำไมชอบแกล้งหนูเอิ้นอยู่เรื่อย โตแต่ตัวรึไงนิสัยน่ะหัดเปลี่ยนซะบ้าง” เออก็อุตส่าห์ไม่ยุ่งด้วยแล้วมั้ย ยังจะมาด่ากันอีก

“เจ๊ไม่ถามมันล่ะว่าใครเป็นเริ่ม” มันเลย มันขึ้นคร่อมผมก่อนนะโว้ย

“เอิ้นแกล้งเสือก่อนเองครับ”

“หืม” ทำเสียงขึ้นจมูก อึ้งไปเลยล่ะสิ ขอโทษเสือให้ไวพร้อมอภัยมากครับ “เรานี่นะแกล้งเจ้าเสือ”

ไอ้เอิ้นพยักหน้า เตรียมตัวเจอเจ๊พิพากษาข้อหาทำร้ายร่างกายลูกชายสุดที่รักได้เลย

“ร้ายกาจนะเรา”

ฮะ! อะไรนะ ไหนล่ะความเกรี้ยวกราด ไหนล่ะคำพิพากษาอันแสนโหดร้าย ลำเอียง เจ๊ศรีโคตรลำเอียง ทีกับผมจิกจนหนังหัวแทบหลุดแต่กับไอ้เอิ้นกลับถามไถ่อย่างเอ็นดู

โธ่ อายุ 27 ฟ้องศาลเยาวชนเรื่องแม่ไม่รักได้ไหมวะ

“เอาล่ะทีหลังก็เล่นกันเบาๆ นะ แม่เอาขนมมาให้ ลองชิมแล้วอร่อยมากจ้ะ” ได้ยินเสียงวัตถุกระทบกันดังแผ่วๆ “ส่วนเราอย่าแกล้งหนูเอิ้นเขาล่ะ เขาอุตส่าห์ซื้อขนมมาฝาก”

“ไม่กิน” ผมกอดอกเชิดหน้าให้แม่รู้ว่าเสือกำลังโกรธนะเว้ย ถึงเวลาต้องง้อแล้วนะ

แต่แม่ก็คือแม่ครับและเจ๊ศรีคือแม่ที่เลี้ยงลูกแบบปล่อยประหนึ่งเป็ดไล่ทุ่ง ไม่สนใจผมหรอกหันไปกุ๊กกิ๊กกับไอ้เอิ้นแล้วก็ทิ้งขนมเอาไว้ให้เป็นภาระ

“เสือลองกินดูสิ ไม่หวานมากหรอก” ผมเบือนหน้าหนีจากภาระที่เจ๊ศรีฝากฝังไว้ให้ แต่ไอ้คนซื้อก็ยังไม่วายคะยั้นคะยอให้กินอยู่นั่น ลุกขึ้นยันปากแม่งซักทีดีมั้ย

“กูไม่ชอบของหวาน”

“รู้ครับ” คนที่รับคำว่ารู้เต็มคำ เขาไม่เอาของที่เราไม่กินมาจ่อปากหรอก จริงไหม แต่ไอ้เอิ้นแม่งตอแหลไง ปากบอกรู้แต่มือมันนี่กำลังพยายามยัดเยียดขนมนุ่มๆ ใส่ปากผม

“มึงกวนตีนกูใช่ป่ะ จะยั่วให้กูโมโหแล้วจะฟ้องให้แม่ลงโทษกูใช่มั้ย” ผมว่าแล้วปัดขนมในมือมันจนกระเด็นไปอย่างไรทิศทาง

“เอแคลร์อร่อยจริงๆ นะ ถ้าเสือไม่ได้กินต้องเสียดายแน่ๆ” ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดเกรี้ยวกราดของผมสักนิดเดียวมันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วหยิบขนมเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ เมื่อหันมามองหน้าผม

ถ้าฟินขนาดนั้นก็เก็บไว้กินคนเดียวน่ะถูกแล้ว

“มึงออกไปจากห้องกูได้ยัง”

“ปากเสือเปื้อน”

“อย่ายุ่งกับกู” จบประโยคปุ๊บใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามาจนหน้าผากแนบชิด แก้มทั้งสองข้างยังคงบวมตุ่ย เสียงเคี้ยวจุบจับดังอยู่ใกล้ๆ

น่ารำคาญฉิบหาย

“เดี๋ยวเอิ้นเช็ดให้”

“ไม่เสือกดิวะ”

“ถ้าไม่ชอบ เอิ้นไม่เสือกหรอก อยู่นิ่งๆ ครับเดี๋ยวเอิ้นจัดการเอง”

คล้ายกับว่าสายตาคู่นั้นที่กำลังจับจ้องสะกดผมเอาไว้ให้ร่างกายแข็งเป็นหิน ขยับทีเหมือนว่าแขนขาจะหลุดออกจากลำตัว
จะเช็ดก็รีบเช็ด อ้อยอิ่งอยู่ได้ แล้วนั่น เลียริมฝีปากทำไม นี่เสือครับ ไม่ใช่เอแคลร์ แดกไม่ได้นะรู้ยัง

แผล้บ!

ก็บอกว่ากินไม่ได้แล้วจะเลียริมฝีปากกูทำไมครับ

ดวงตาของผมเบิกกว้างตกตะลึงกับความเปียกชื้นที่แลบเลียริมฝีปาก อ้าปากจะด่า ยกมือจะผลักมันออกแต่ก็ถูกพันธนาการเอาไว้ไม่ให้สามารถขยับไปไหนได้ ครั้นพอดิ้นขลุกขลักเตะขาแรงๆ ความอุ่นชื้นที่นุ่มนิ่มราวกับเยลลี่ก็ทาบทับลงมา สักพักปลายลิ้นก็สอดแทรกเข้ามาสร้างความร้อนรุ่มให้เรี่ยวแรงมหาศาลพลันมลายหายไป

ผมกำมือแน่นจนเล็บสั้นกุดจิกเข้าที่ฝ่ามือของตน

เสียงหอบหายใจดังประสานเมื่อเรียวปากของเราผละห่าง

ไอ้เอิ้นถ่ายทอดความรู้สึกมายังผมด้วยสายตาหวานเชื่อมแล้วว่าเสียงกระเส่า

“ฉุกเฉินหน่อยมั้ย”

ฉุกเฉิน? สมองอันพร่าเบลอค่อยๆ ประมวลผม พลันภาพที่ไอ้เอินเลือกซื้อถุงยางอนามัยก็แว้บเข้ามาในหัว

ไอ้เวร!!

“ฉุกเฉินพ่อง!!!!”

ผมผลักมันด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนกระเด็นออกไป ร่างทั้งร่างกระแทกประตูดังพลั๊ก ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วตามไปกระทืบแม่งด้วยฝ่าเท้า คนถูกกระทืบนอนเก็บคองอเข่ายกแขนขึ้นป้องกัน

คิดว่าจะรอดเหรอวะ นี่เสือไง ยังไงวันนี้ต้องมีคนเจ็บตัว





ทุกเช้าวันจันทร์มันต้องมีเรื่องให้ปวดหัวทุกทีสิน่า

ผมปิดอีเมล์เพื่อเปิดมันขึ้นมาใหม่ แต่ข้อความที่ปรากฏก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม

การถูกลูกค้าเรียกพบในช่วงใกล้ๆ สิ้นปีแบบนี้ มีอยู่ 2 กรณีเท่านั้น 1.เพื่อต่อสัญญา และ 2.เพื่อจบสัญญา และในสถานการณ์ที่ทีมไม่สามารถเติมเต็มน้องลงพื้นที่ขายได้แบบนี้ มองแบบโลกไม่สวย ผมว่าข้อ 2 ชัวร์เลยว่ะ

“พี่อ่านเมล์แล้วใช่ป่ะ” ไอ้กวินไถลเก้าอี้มาข้างๆ แล้วถามเสียงตื่น

ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นเต็มความสูง ถึงไม่อยากเจอหน้ามัน แต่เรื่องนี้ก็ต้องปรึกษามันอยู่ดี

“ผมอ่านเมล์แล้ว” ลูกค้าผมนี่ก็ดีครับส่งเมล์ถึงไอ้ผู้จัดการด้วย “คุณคิดว่าไง”

ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลง “จบชัวร์”

“มองโลกในแง่ร้ายเกินไปรึเปล่า”

“สถานการณ์ตอนนี้มันชวนให้คิดครับ”

“แล้วคิดวิธีแก้ปัญหาไว้บ้างมั้ย”

“…”

“ยังไม่ได้คิดสินะ” เพิ่งได้รับเมล์เมื่อกี้ จะให้เอาเวลาที่ไหนไปคิด คนธรรมดาครับไม่ใช่อัจฉริยะมาจากไหน

“ขอคิดก่อนแล้วจะแจ้งครับ”

“มะรืนนี้ผมจะไปกับคุณด้วยนะ”

“ครับ”

ด้วยตำแหน่งที่ต่ำกว่ามีหรือจะขัดใจเขาได้





มีเหตุผลมากมายที่อยากจะบอกแต่คนจะไปรั้งอย่างไรก็คงไม่อยู่และก็เป็นดังคาด สัญญาระหว่าง The Agent กับ Touch บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกายอันดับต้นๆ ของประเทศ จะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าขอนไม้ที่ลอยคว้างอยู่กลางทะเลรู้สึกเช่นไร

“เสือ” ไอ้เอิ้นบีบไหล่ผมเบาๆ

“ผมจะบอกเรื่องนี้กับน้องในทีมเอง”

“ถ้าคุณไม่ไหว…”

“ผมสรัล ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้หรอก” เหรอ? ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้งั้นเหรอตลกชะมัด

มีอะไรที่กูทำได้บ้างวะ

มีหลายวิธีที่ผมคิดจะใช้บอกข่าวร้ายนี้กับน้องในทีมแต่ขึ้นชื่อว่าเสือแล้วการพูดตรงๆ นั่นแหละคือสไตล์

เสียงเครื่องยนต์ดับลงเมื่อรถจอดสนิทบนอาคารจอด เป็นครั้งแรกที่ผมอยากนั่งอยู่บนรถคันนี่นานๆ แต่มันก็เป็นแค่การหนีปัญหาชั่วคราวของคนขี้แพ้ ถึงยกนี้ผมจะแพ้แต่ผมก็ไม่ยอมให้ใครมาตราหน้าผมว่าไอ้เสือขี้แพ้หรอก

“กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนมั้ย” ผมเหลือบมองคนพูด ความซาบซึ้งเล็กๆ ถูกวาดขึ้นในหัวใจ แต่ผมก็ปฏิเสธเขาด้วยการส่ายหน้า

จะเร็วหรือช้าเราก็ต้องบอกความจริงอยู่ดี

ลิฟต์ที่ผมกับเอิ้นโดยสารมาลำพังถูกอัดแน่นไปด้วยความตึงเครียด เราสบตากันผ่านกระจกเงาแต่ก็แค่นั้นเพราะไม่มีใครคิดจะพูดอะไร

ประตูออฟฟิศแบบเปิดอัตโนมัติเปิดออก พี่ประชาสัมพันธ์ลุกขึ้นทักทายคุณอัคคี มองเข้าไปข้างในทุกคนยังคงวุ่นวายกับงานตรงหน้าเหมือนทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมแต่ไม่หรอกบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

“พี่เสือ” กวินปรี่เข้ามาหาผมคนแรก ดวงตาที่เคยฉายแววมีความหวังวูบไหวเมื่อใบหน้าของผมเรียบนิ่ง

แม้จะทำงานด้วยกันมาเพียงปีกว่าแต่เราก็ค่อนข้างเข้ากันได้ดี แค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว

“ไม่ได้ไปต่อเหรอพี่”

“อือ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ เพียงเท่านั้นความวุ่นวายเมื่อครู่ก็เป็นอันหยุดชะงักลง

“ไม่ตลกนะพี่เสือ”

“พี่ก็ไม่ตลกครับ”

“เป็นไปได้ยังไง พี่เล่นมุกใช่ป่ะ”

“เรื่องจริงครับ”

สีหน้าทุกคนดูผิวหวัง กวินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างคนหมดแรง น้องดาวแอดมินคนเก่งถึงกับกระแทกเมาส์แล้วถอนหายใจ
ผมเองก็ผิดหวังแต่จะให้ทำไงวะ มันกลับไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุดสิ

“วันนี้กลับไปพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ”

ปกติพออนุญาตให้กลับบ้านก่อนเวลา กระตือรือร้นกันจะตายแต่วันนี้ทุกคนค่อยๆ เก็บของเหมือนพวกซังกะตาย

ให้ตายเถอะไม่ชอบบรรยากาศแบบนี่เลยว่ะ

“งั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะ” ต้นแขนของผมถูกสัมผัสแผ่วเบาให้เหลือบมองรอยยิ้มกว้างที่ผมรู้ดีว่าเขายิ้มเพื่อให้ผมยิ้มตาม แต่ในสถานการณ์แบบนี้ใครจะยิ้มออก

“กลับอะไร เหลืองานให้ต้องเคลียร์เป็นกระตั๊ก”

“ก็ผมอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วไง”

“ก็ต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้านอยู่ดี”

“ผมจะบอกอะไรให้นะสรัล รักงานมันก็ดีแต่ก็ควรรักตัวเองให้มาก อยากแบบงานหรือความกดดันจากงานกลับบ้าน บ้านคือสถานที่พักผ่อน คุณควรใช้มันเพื่อพักผ่อน”

“ผมจะบอกอะไรคุณอัคคีนะครับ…”

ผมหันกลับไปเผชิญหน้า

“งานแบบที่เราทำมันไม่มีวันหยุดหรอก ในเมื่อพนักงานที่เราดูแลยังคงอยู่ในพื้นที่ขาย หน้าที่ของเราก็คือต้องดูแลเขา”

“ผมรู้ว่าคุณรักงานนี้มาก”

“มันเป็นหน้าที่ ตราบใดที่ผมยังสวมบทบาทเป็นสรัลและทำงานกินเงินเดือน The agent ผมก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”

“กลับไปพักเถอะเสือ หน้าแกเพลียมากเลยนะ” พี่อร หัวหน้าโปรเจ็คเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผมคิดว่าแกคงฟังเราอยู่นานแล้วขยับไปอยู่ฝั่งไอ้เอิ้นอีกเสียง แถมสายตาที่เคยมองผมอย่างเอ็นดูตลอดมาก็กำลังจับจ้องแกมบังคับว่า ‘แกรีบๆ กลับไปซะ ฉันรำคาญพวกแกจะตายชัก’

ถ้าอย่างนั้นก็เลี่ยงได้แล้วสินะ

“กลับก็กลับครับ”

ผมเลือกขึ้นรถเมล์คันแรกที่จอดป้าย นั่งลงบนเบาะติดหน้าต่างทอดสายตามองทิวทัศน์ 2 ข้างทางที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากคุ้นเคยเป็นไม่คุ้นตา

ความรู้สึกผมตอนนี้ไม่ต่างจากคนอกหัก มันเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงที่ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่นัก ถ้ามีฝนตกลงมาด้วยบรรยากาศคงเหมาะกับคนอกหักมากๆ เลย

ทุกปัญหามีทางแก้ ทำไมผมจะไม่รู้แต่สิ่งที่ผมไม่รู้คือเราควรจะแก้ยังไงในเมื่อเขาไม่เปิดโอกาสให้เราเลย

“คุณครับ สุดสายแล้วครับจะเข้าอู่ไปกับรถหรือเปล่า” เสียงคนขับดึงผมให้ตื่นจากภวังค์ ลุกขึ้นยืนแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปที่ประตูแบบอัตโนมัติซึ่งเปิดอยู่แล้ว กล่าวขอโทษคนขับอายุคราวพ่อแล้วจึงก้าวลงมา

เมื่อรองเท้าหนังเหยียบพื้น สายตาจับจ้องไปข้างหน้าซึ่งเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย ผมมองซ้าย มองขวา มองไปรอบตัว
จะกลับบ้านยังไง

ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ

4 โมงเย็นแล้ว ใกล้ถึงเวลารถติดแล้วสินะ

เพราะไม่มั่นใจว่าที่นี่คือที่ไหนผมจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ รถโดยสารสาธารณะที่รู้ทุกเส้นทางในเมืองแห่งนี้ เขาสามารถพาเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง

รู้ทุกอย่างงั้นเหรอ

ผมยกยิ้มเมื่อบางอย่างผุดขึ้นในหัวเอื้อมมือไปตรงหน้าเพื่อเปิดประตูหากแต่กลับเปิดมันไม่ออกดั่งคาด

กระจกประตูด้านคนขับเปิดออกพี่คนขับที่อายุยังไม่มากขอโทษขอโพยผมแล้วบอกให้ไปใช้ประตูอีกฝั่ง

“ประตูพังแล้วทำไมไม่ซ่อมก่อนออกมาให้บริการล่ะครับ ประตูฝั่งนั้นมันอันตรายนะ”

“ขอโทษครับ ก่อนออกมาประตูยังใช่ได้ปกติอยู่เลย คิดว่าคงเสียระหว่างให้บริการ”

“ถ้ารถไม่พร้อมก็ไม่ควรจอดรับผู้โดยสารนะครับ”

“ขอโทษครับ ผมกำลังหาค่าเรียนพิเศษให้ลูกสาว ผมคงคิดน้อยไปที่คิดว่าประตูมีตั้ง 2 บาน ถึงอีกบานมันจะเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่ถ้าระวังสักนิด…”

นั่นสินะประตูไม่ได้มีแค่บานเดียวสักหน่อย

ผมเดินอ้อมหลังรถเพื่อใช้ประตูอีกฝั่ง ระวังตัวมากขึ้นอีกหน่อยก็เข้ามานั่งในรถได้โดยสวัสดิภาพแล้ว




[- T B C -]


ทุกปัญหามีทางออก ถ้าออกทางนี้ไม่ได้ก็แค่หาทางออกอื่น หาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ
พี่เสือจะบอกเราแบบนั้นแหละค่ะ
เพราะไม่ใช่นิยายรักหวานแหวว อาจจะมีเรื่องราวเครียดๆ ให้เสือแก้ปัญหาเข้ามาแทรกอยู่เนืองๆ
คิดว่าปัญหาเหล่านี้แหละที่จะกระชับความสัมพันธ์ของเสือกับเอิ้นให้แนบชิดขึ้น
แต่อย่างไรซะ ความหื่นของตาเอิ้นไม่มีทางลดลงแน่นอน
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์ อ่านแล้วชื่นใจมากเลยค่ะ
เจอกันตอนหน้านะ อย่าเพิ่งทิ้งเราไปไหน เราเหงา
แจ๊ส
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} UP.070816
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 07-08-2016 21:08:51
เสือคิดไปไกลแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} UP.070816
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 08-08-2016 12:50:33
พี่เอิ้นนี่ก็หื่นตลอดดดดดดด เสือไม่เครียดนะ ค่อยๆคิดเดี๋ยวก็แก้ปัญหาได้ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} UP.070816
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-08-2016 16:13:00
ผลัดกันรุกผลัดกันรับก็ดีนะเอิ้น
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} UP.070816
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-08-2016 21:27:36
อยากเห็นวันที่เสือจะชนะเอิ้นบ้าง :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน} UP.070816
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-08-2016 18:25:44
ปัญหาหนักของเสือก็เอิ้นเนี่ยแหละ  :laugh:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 5 {เสือใหญ่} UP.130816
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 13-08-2016 20:24:29

 
ตอนที่ 5 {เสือใหญ่}




ปัญหามีไว้ให้แก้ไขไม่ได้มีไว้เพื่อกลุ้มใจ

ผมบอกคำนี้กับน้องๆ ในทีมหลังจากการประชุมจบลงในช่วงสายขอวัน

ถึงแม้ลูกค้าจะไม่ต่อสัญญาแต่สิ่งที่ทำค้างอยู่นี้ก็ต้องทำต่อด้วยพลังใจที่ต้องไม่ลดลง ทำเหมือนปกติ อาจจะเหมือนการโกหกตัวเอง แต่อย่างน้อยการไม่คิดลบก็เป็นพลังขับเคลื่อนที่ดี

ผมบอกคำนั้นกับอัคคีตอนที่เข้าไปรายงานผลการประชุม เขาให้กำลังใจผม แน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกที่ดี

“เจ๋งไปเลยว่ะพี่เสือ”

“อะไรเจ๋งวะ”

“พอประกาศงานด้วยเงื่อนไขการเซ็นสัญญาแค่ 3 เดือน ผู้สมัครสวยๆ รับงานเพียบ”

ผมมุ่นคิ้วฉับ ว่าแล้วเชียว ปัญหามันอยู่ที่ระยะเวลาของสัญญานั่นเอง แปลกที่น้องไม่อยากทำงานประจำแบบต่อสัญญารายปี แต่กลับชอบงานระยะสั้น

ช่วงบ่ายมีผู้สมัครเข้ามาสัมภาษณ์พอดี ผมอาศัยจังหวะนี้สอบถาม

“ทำฆ่าเวลาค่ะพี่ เดี๋ยวต้นปีก็มีงานมอเตอร์โชว์แล้ว ไม่อยากมีพันธะ แล้วอีกอย่างงานพวกพี่เงินน้อย งานหนักด้วย ทำขำๆ หาประสบการณ์” ผู้สมัครสาวสวยใบหน้าแบบพิมพ์นิยม ผมดัดลอน แต่งหน้าเกาหลีแต่ใส่บิ๊กอายสีน้ำทะเลไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ทำขำๆ แล้วจะทำยอดขายให้พี่ได้เหรอครับ”

“ก็ต้องทำให้ดีที่สุดสิคะ หาประสบการณ์ หนูก็อยากได้ประสบการณ์ที่ดีนะพี่”

“แล้วเราเริ่มงานได้เลยมั้ย”

“พี่กวินบอกว่าให้เข้ามาอบรม แล้วเริ่มงานวันจันทร์ค่ะ”

“โอเค ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้แล้วลุกขึ้น หากแต่กลับถูกมือเรียวสัมผัสที่ข้อศอก เอี้ยวตัวมองก็สบเข้ากับดวงตากลม ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบบิ๊กอายเธอเลยว่ะ น่ากลัวสัส

“พี่สรัลมีแฟนรึยังคะ”

“ปิดยอดขายให้พี่ได้ทุกเดือนสิ แล้วพี่จะบอก”

“ร้ายจัง หนูชอบ”

“ตั้งใจทำงานครับ”

“แล้วถ้าอยากเจอพี่สรัลต้องทำยังไงคะ”

“ทำยอดขายให้มันดีๆ สิ แล้วพี่จะไปเยี่ยมที่ห้าง”

“ที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้หนูเลย มีแฟนแล้วแน่ๆ อะ”

“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ต้อง...”

“ปิดยอดขายให้ได้ทุกเดือน รู้แล้วค่ะ ย้ำจัง เอาไว้เจอกันวันอบรมนะคะ” ว่าจบก็กรีดยิ้มสวย โบกมืออย่างมีจริตแล้วเยื้องย่างผ่านผมออกจากห้องไป

ก็ต้องยอมรับว่า มีพริตตี้ เอ็มซีสวยๆ อย่างน้องน้ำหวานไม่มากนักหรอกที่จะเอาเวลาอันมีค่าของพวกเธอมาเพื่อเป็นพนักงานขายผลิตภัณฑ์ตามห้างสรรพสินค้า เป็นสาวเชียร์เบียร์ พริตตี้มอเตอร์โชว์สบายกว่าเยอะ

“อารมณ์ดีเชียว” พอน้องน้ำหวานก้าวผ่านประตูออกไป ไอ้คุณอัคคีก็ก้าวเข้ามาแทน

ประตูห้องถูกปิดลง

“น้องเค้าน่ารัก”

“ที่ชอบงานนี้เพราะได้ใกล้ชิดสาวๆ สวยๆ ใช่มั้ย”

“ก็ส่วนนึงครับ”

“แล้วอะไรทำให้เสือรักงานนี้”

“ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องบอกคุณ ขอตัวครับ”

“มีข่าววงในแว่วมาว่า...” เหมือนเขาเว้นจังหวะไว้ให้ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง “The First เป็นเอเยนซี่เจ้าใหม่ที่จะมารับงานต่อจากเรา ผมจะไม่ได้รับใบลาออกจากคุณใช่มั้ยสรัล”

“อะไรทำให้คิดแบบนั้น”

“วงในเขาแจ้งมาว่าคุณมีเพื่อนทำงานที่นั่นเยอะ”

“ก็เลยคิดว่าผมจะทิ้งที่นี่แล้วไปอยู่ที่นั่นอย่างนั้นเหรอ เห็นผมเป็นคนแบบนี้เองสินะ ก็ไม่แน่หรอก ความคิดของคุณอาจทำให้ผมเปลี่ยนใจก็ได้”

“ถ้าคุณได้อ่านกฎระเบียบ”

“อ่าน และถึงแม้จะไม่อ่านผมก็ไม่มีทางย้ายไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง”

ปัง!

ผมกระแทกประตูปิดแรงๆ จนผนังสั่น แม่ง! โมโหว่ะ ไหนมันบอกว่าชอบผมแล้วทำไมถึงดูถูกกันด้วยความคิดแบบนั้น

ผมเป็นเสือนะ เสือที่ถึงแม้จะจนตรอกแต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายเพื่อให้ตัวเองรอดตายเพียงลำพังหรอก



▼▲▼▲▼



คำชมของลูกค้าหลังจากเติมพนักงานจนเต็มพื้นที่ขายทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ถึงแม้โอกาสที่เขาจะเปลี่ยนใจกลับมาต่อสัญญาเท่ากับศูนย์แต่อย่างน้อยระหว่างเราก็จบกันด้วยดี ถ้าสัญญากับเดอะเฟิร์สจบลงโอกาสอาจจะกลับมาหาเราอีกครั้ง

“หาอะไรตื้ดๆ ฟังกันมั้ยพี่”

“เอาดิ” ผมพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเมื่อชัตดาวน์คอมพิวเตอร์เครื่องเต่ารออีก 10 นาทีนู่นแหละเขาถึงจะปิดลง

“ไปร้านเพื่อนผมมั้ยมันโดนไล่มาจากหลังมอ”

“สาวๆ แจ่มมั้ย”

“แน่นอนสิพี่ น้องนักศึกษาตรึม”

“แล้วจะรออะไรล่ะไอ้น้อง ไปกันโลด”

“ยังไปไม่ได้ดิพี่”

“ทำไมวะ” เมื่อมองตามสายตาที่เหล่มองก็พบกับ…

ไอ้สันดาป

เครื่องกูยังปิดไม่เสร็จเลยครับพี่น้อง ผมนี่อยากชักปลั๊กออกให้รู้แล้วรู้รอด

“คุณอัคคีจะกลับแล้วเหรอครับ”

หน้าจอดับลงในตอนที่เจ้าของชื่อหยุดลงตรงหน้าพวกเราพอดี

“ครับ แล้วนี่จะกลับกันเลยมั้ย ติดรถผมไปก็ได้นะ”

“พวกผมจะไปดื่มกันต่อ ถ้าคุณอัคคีว่าง…”

สนใจเท้ากูที่สะกิดมึงยิกๆ นี่สักหน่อยมั้ยไอ้กวิน ชวนมันทำไม เชื่อกูสิมองสายตาเจ้าเล่ห์ของมันที่กำลังมองกูแล้วมึงจะรู้ว่ามันไม่ปฏิเสธมึงแน่

“ว่างสิ ผมไปด้วยได้ใช่มั้ย”

“ได้อยู่แล้ว แต่คุณอัคคีต้องเลี้ยงนะครับ”

“สบายเลี้ยงตลอดชีวิตยังได้เลย”

คำพูดติดตลกที่กวินทำหน้างง เกาหัวแกร๊ก อาจจะมีเพียงผมที่เข้าใจสิ่งทีมันต้องการจะสื่อ

ลืมไปรึเปล่าว่าเสือไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ไม่ต้องมาบอกผ่านสายตาว่าอยากเลี้ยง กูหาเลี้ยงตัวเองได้ครับ

ถึงไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เพราะความอยากส่วนตัวทำให้จำต้องขึ้นมานั่งข้างคนขับอย่างเงียบเชียบ ฟังไอ้กวินกับไอ้คุณอัคคีคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แต่เดี๋ยวนะมันลากมาถึงเรื่องของผมได้ไง

“ความหล่อของพี่เสือเคยช่วยให้หาพนักงานลงงานเต็มทุกสโตร์มาแล้วนะครับ ไม่ธรรมดาใช่มั้ย”

“งั้นเหรอหล่อจริงๆ ด้วย” รถก็ช่างมาติดไฟแดงตอนนี้ เปิดโอกาสให้เจ้าของรถหันมามองผมเต็มตา

เออไม่ต้องมองมาก กูรู้แล้วว่ากูหล่อ

“ใช่มั้ยครับและผมก็แปลกใจมาก เป็นความแปลกใจที่ไม่เคยถูกไขให้กระจ่างเลยตลอดปีกว่าที่ผ่านมา”

“มึงหุบปากได้มั้ยไอ้วิน”

“ก็ผมสงสัยนี่หว่าพี่ คุณอัคคีไฟเขียวครับ” รถออกตัวเมื่อเสียงไอ้กวินเงียบไป

“เรื่องอะไรเหรอครับวิน ถามผมได้นะผมเป็นเพื่อนสนิทเสือ”

“ถามได้จริงๆ เหรอครับ” ไอ้กวินตาโตเท่าไข่ห่าน

“ได้สิ”

พอได้รับอนุญาตมันก็รีบยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วฉีกยิ้มกว้าง อยากช่วยฉีกให้ปากแหกถึงติ่งหูจังเว้ย

“คุณอัคคีรู้หรือเปล่าครับว่าพี่เสือเคยมีแฟนรึเปล่า” ไม่พ้นเรื่องนี้สินะ

“นั่นสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ตอนนี้มีแฟนหรือเปล่า”

“การรู้ว่ากูมีแฟนหรือยังไม่มีมันทำให้หน้าที่การงานพวกมึงมั่นคงขึ้นเหรอวะ”

“เปล่า” พร้อมใจกันส่ายหน้า

“งั้นก็ไม่เสือกนะ”

“แบบนี้ทุกที ถ้าไม่มีก็บอกดิพี่ เพื่อนผมสนใจพี่หลายคนนะ”

“เท่าที่ผมรู้มา เสือไม่ชอบผู้หญิงอายุน้อยกว่าหรอกกวิน” เอิ่ม...กูบอกตอนไหนวะ

“พี่ชอบคนอายุมากกว่าเหรอ”

“เปล่า” ให้โอกาสผมตอบซะที่ไหน ไอ้เจ้าของรถนั่นแหละที่เป็นฝ่ายตอบ “เสือชอบคนอายุเท่ากัน”

“โห อะไรของพี่วะ อายุไม่สำคัญหรอก ลองเปิดใจคบดูพี่ ไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าแค่เข้าใจกันก็พอแล้ว”

“เอิ้นเข้าใจเสือนะ” คนที่วางมืออยู่บนพวงมาลัยโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบผมในตอนที่ไอ้กวินมองซ้ายมองขวาหาร้านของเพื่อนมัน

ผมอยากจะถอนหายใจเป็นจังหวะเพลงสามช่า บันเทิงมั้ยล่ะ หาทางหยอดกูจนได้เลยสิ



▼▲▼▲▼




 “เหล้าที่แพงที่สุดได้แล้วครับ” เหล้าถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ คนอายุน้อยที่สุดกุลีกุจอชงเหล้าแล้วส่งให้

เราชนแก้วกัน จำไม่ได้ว่าชนไปกี่มากน้อยเพราะผมเอาแต่กระดกน้ำสีอำพันในแก้วลงคอไม่สนใจนับจำนวน ด้วยขี้เกียจจะเสวนาเรื่องต่างๆ รอบตัว ได้แต่นั่งฟังไอ้กวินมันพูดจ้อ กระทั่งวกเข้าเรื่องงานที่กำลังจะจบสัญญา

ดราม่าเริ่มบังเกิดเมื่อบ่อน้ำตาไอ้กวินเริ่มร้าว

ผู้ชายประสาอะไรร้องไห้ง่ายชิปเป๋ง

“ไม่เป็นไรน่ากวิน บริษัทไม่ลอยแพพวกคุณหรอก” คนเป็นผู้จัดการปลอบใจ

“ผมไม่ซีเรียสเรื่องนั้นครับ ผมเสียใจที่ทำให้งานหลุด ถ้าพวกเราขยันกว่านี้ ตั้งใจกว่านี้ ฮึก ผลต้องไม่ใช่แบบนี้ ผมเสียใจครับพี่”

ฟูมฟายแล้วก็วิ่งหายเข้าไปหลังร้าน ถ้าไม่ใช่ร้านเพื่อนมันผมคงตามไปลากคอมันออกมาหรอก แต่ในสถานการณ์นี้ปล่อยมันไปน่ะถูกแล้ว

“เสือเมาแล้วนะ”

“อือ”

“พอแค่นี้มั้ย เดี๋ยวเอิ้นไปส่งบ้าน”

“ไม่อะ กูอยากเมาอีก”

“ไม่กลัวเอิ้นเหรอ”

“กลัวทำไม”

“เสือก็น่าจะรู้”

“กูหมายความว่าจะกลัวทำไมในเมื่อก็เคยแล้ว มันคงไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอก”

“หมายความว่าคืนนี้ก็ได้งั้นเหรอ”

“มึงนี่หมกมุ่นนะ อยากเคลมกูอะไรขนาดนั้นวะ”

“กอดใครก็ไม่อุ่นเท่ากอดเสือ”

“ก่อนจะกลับมาหากู กอดมาหลายคนแล้วล่ะสิ”

“หึงเหรอ”

“เหอะ” ตลกมั้ย ผมเหลือบมองหน้าคนที่ฉีกยิ้มกว้างด้วยสายตาละเหี่ยใจแล้วกระดกเหล้าในแก้วจนหมดรวดเดียว

“พอยัง”

“พออะไร”

“เมาพอยัง มีแรงเดินมั้ย”

“ไม่รู้กูนั่งอยู่นี่ไง ยังไม่ทันได้เดินมึงก็เห็น แล้วมึงถามทำไม”

“ถ้าไม่มีแรงเดินก็ไม่มีแรงขัดขืนเอิ้น ถูกป่ะ”

“มึงนี่แม่ง จะเอากูให้ได้เลยใช่ป่ะ”

“ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าได้ทั้งใจจะดีมากๆ เลย”

“กูถามจริงนะเอิ้น” ผมวางแก้วลงแล้วเท้าคางจ้องมองหน้ามันด้วยสายตาที่พร่าเบลอเต็มที เมาว่ะ เมามากด้วย เหล้ายิ่งแพงยิ่งแรงเหรอวะ “มึงโกรธอะไรกูนักหนาวะ บอกกูสิว่าทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ”

“เอิ้นไม่ได้โกรธเสือ”

“มึงโกรธ ถ้ามึงไม่โกรธมึงจะมาตามกวนใจกูทำไม”

“ไม่โกรธจริงๆ ทำไมถึงคิดว่าเอิ้นโกรธล่ะ”

ก็เพราะเรื่องในอดีตที่ผมทำไม่ดีกับมันไว้ไง แค่นั้นก็มากพอที่มันจะเจ็บจนจำฝังใจและกลับมาแก้แค้นผมแล้ว

“เรื่องนั้นน่ะ เอิ้นไม่โกรธหรอกนะ เอิ้นรู้จักเสือดี เสือไม่ได้ตั้งใจหรอก”

“แล้วมึงย้ายโรงเรียนทำไม”

“ป๊าต้องย้าย เอิ้นไม่ได้อยากไป เอิ้นอยากอยู่กับเสือ แต่เสือรู้ใช่มั้ยว่าตอนนั้น ตอนที่เราเป็นเด็กเราตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเองที่ไหนกัน ทีนี้เข้าใจรึยังว่าเอิ้นไม่ได้โกรธเสือ ที่มาตามกวนใจก็เพราะชอบ จีบนะเนี่ย ไม่รู้เหรอ”

“จีบห่าอะไร ผู้ชายด้วยกัน” หน้าร้อนเลยว่ะ

“ทำไมอะ เป็นผู้ชายจีบกันไม่ได้เหรอ งั้นเป็นแฟนกันเลยมั้ย”

“ตลก กูอยากกลับบ้านแล้ว ไปส่งเลย เจ๊ศรีโทรจิกกูจนกูนึกว่ามีแม่เป็นไก่แล้ว”

“พยุงมั้ย”

“ถ้ามึงไม่พยุงกูคงต้องคลานไปที่รถอะ”

“เสือน่ารัก รู้ตัวมั้ย” หยอดแล้วก็สอดแขนเข้ามาโอบเอว ยกแขนข้างหนึ่งของผมพาดคอ

“ก็มีแต่มึงคนเดียวแหละที่พูดแบบนี้ เสือครับ ไม่ใช่แมว น่ารักได้ไง”

“เหรอ ไม่มีคนพูดว่าเสือน่ารักเลยเหรอ”

“ไม่มี” ผมส่ายหน้า

“ก็ดีแล้ว ไม่อยากให้ใครมาแย่งชอบเสือ”

“ขี้หวงนะมึง”

“หวงมากด้วย” ผมส่ายหน้าหน่ายใจกับการหยอดที่ไม่เคยลดลงเลยสักนิดไม่ว่าจะตอนมีสติหรือตอนเมา ว่าแต่ไอ้คนที่บอกจะไปส่งผมที่บ้านนี่มันเมาหรือเปล่าวะ

“เอิ้น...”

“หืม”

“มึงเมาป่ะ”

“ไม่นะ” ใบหน้าหล่อเหลาโฉบเข้ามาใกล้ “ลองดมดูสิ ไม่มีกลิ่นเหล้าเลยซักนิด”

“ดมเหี้ยไร ออกไป”ผมยกมืออันอ่อนแรงขึ้นดันไหล่แกร่งออกแต่ไอ้เอิ้นก็คือไอ้เอิ้นยิ้มเก่งอะไรขนาดนี้

“อย่ามาทำตัวน่ารักได้มั้ย”

“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง นึกโกรธเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของตนที่ไม่สามารถดันร่างมันออกห่างได้สักนิดเดียว

“ก็ที่มองเอิ้นด้วยตาเยิ้มๆ เนี่ยเขาไม่ได้เรียกว่าทำตัวน่ารักเหรอ”

“กูเมา เอ๊ะ!” ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อนิ้วเรียวยื่นมาเขี่ยปลายจมูกแผ่วเบา ใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงปัดออกแต่ก็เท่านั้นนอกจากไม่ยอมออกห่างง่ายๆ แล้วยังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาโฟกัสภาพไม่ได้อีก

“อยากจูบเสืออีกแล้วอะ”

“จูบเหี้ยไร ขับรถไปกูอยากกับบ้านแล้ว”

“ให้จูบก่อนแล้วจะพากลับบ้าน”

ยังไงผมก็ต้องยอมใช่มั้ย ดังนั้นผมจึงปิดเปลือกตาลงแล้วว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย “จะทำอะไรก็รีบทำ” เคยแล้วนี่คงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลหรอก

ภายใต้ความมืดของเปลือกตาผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดตรงปลายจมูก กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ทำให้เชื่อได้ว่าคนตรงหน้าผมยังมีสติดี

“เวลาเมานี่เสือว่าง่ายจังนะ เอาล่ะกลับบ้านกัน” ไออุ่นผละห่างออกไป

แล้วจูบล่ะผมลืมตาขึ้นในจังหวะที่รถเคลื่อนตัวออกไปถามตัวเองว่ากำลังคาดหวังอะไร

ที่จริงจูบในวันนั้นก็ดีนะ



▼▲▼▲▼




ผมรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนที่สัมผัสเย็นๆ ลูบไล้บนผิวกายตรงแผ่นอก กวาดสายตาที่เปลือกตาหนักอึ้งมองไปรอบห้องซึ่งเปิดไฟสลัวก็พบกับความคุ้นตาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนัก

“เมาหนักเลยนะเรา” เสียงไอ้เอิ้น

หลุบตามองตามสัมผัสเย็นๆ ก็พบกับมือเรียวซึ่งจับผ้าขนหนูลากผ่านแผ่นอกเปลือยอย่างทะนุถนอม

แค่เพียงจิตใต้สำนึกรู้ว่าเป็นสัมผัสจากเขาขนอ่อนทั้งกายก็พร้อมใจกันลุกขึ้นมา

“เอิ้นไม่เช็ด กูหนาว” ผมคว้าสะเปะสะปะเพื่อจับต้นแขนแกร่งเอาไว้

“เดี๋ยวเอิ้นกอด”

“หาเสื้อมาให้กูใส่ก่อน”

“ใส่ทำไมเดี๋ยวก็ต้องถอด”

“กูไม่ถอด” ผมเถียง ถ้าไม่เมาจนขาอ่อนป่านนี้ลุกขึ้นยันมันกระเด็นไปโน่นแล้ว

“ไม่ถอดอะไรนี่ถอดทุกชิ้นแล้ว”

หืม…ลองสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มซึ่งคลุมท่อนล่าง จับที่สะโพกต้นขาและเสือใหญ่

ล่อนจ้อนไม่มีเสื้อผ้าติดกายซักชิ้น

ไอ้ห่าเอิ้น ไอ้เวรคิดจะฉุกเฉินตอนผมเมาอีกแล้วเหรอวะ ตั้งใจจะด่ามันแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากร่างทั้งร่างก็ถูกคร่อมทับเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบที่แผ่นอก ไออุ่นของลมหายใจปลุกความรู้สึกบางอย่างให้ตื่นขึ้นมา

“แบบนี้อุ่นมั้ย ที่จริงยังอุ่นได้กว่านี้อีกนะ” คิดแต่จะมอบไออุ่นให้ไม่ถามสุขภาพกันซักคำว่าอยากไดไหม

ผ้าห่มที่คลุมร่างผมถูกตลบขึ้นเพื่อคลุมกายคนที่พลิกตัวลงนอนข้างๆ ไอ้เอิ้นซุกจมูกลงบนซอกคอของผม จั๊กจี้จนต้องย่นคอหนี

“ขนาดไม่อาบน้ำยังตัวหอมเลย” อยากกินไงเหม็นแค่ไหนมันก็บอกหอมอยู่ดี

“จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง “ขอน้ำกูก่อน คอแห้งชะมัด”

“ร้ายกาจ” ว่าแล้วก็ผงกศีรษะขึ้นมายิ้มร้ายทำผมงงไปหมดแค่ขอน้ำกินมันร้ายกาจตรงไหนวะ

และก็ถึงบางอ้อเมื่อไอ้เจ้าของห้องลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วแหวกเสื้อคลุมอาบน้ำออก ขยับเข้ามานิดเพื่อให้เอิ้นน้อยที่ยังซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าผม

“ไอ้เวร” อยากจะด่ายาวกว่านี้อีกสักกิโลเมตรแต่คอแห้งไงด่าได้เท่านี้ ถือว่าเป็นบุญของมัน

“ทำไมล่ะ เสืออยากดื่มน้ำไม่ใช่เหรอ” ไอ้เอิ้นว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วแล้ววางมือลงบนหลังมือของผมซึ่งวางอยู่บนต้นขาเพื่อผลักมันออกห่าง

“กูหมายถึงน้ำ ไม่ได้หมายถึงของมึง อย่าให้กูต้องพูดมากได้มั้ย เมาอยู่นะเนี่ย”

“รู้ครับรู้ ถ้าเสือไม่เมาคงไม่นอนนิ่งๆ ให้เอิ้นกอด ถูกมั้ย”

อือ ก็ถูกของมัน

ไออุ่นจากผิวกายที่สัมผัสกันผละห่างออกไป ไม่นานนักคนเป็นเจ้าของห้องก็ถือเหยือกน้ำกลับมา เตียงนอนอ่อนยวบลงเมื่อร่างหนาทิ้งกายลงบนเตียง เอิ้นค่อยๆ คลานเข้ามาหาผม มือเย็นๆ วางลงบนต้นแขนลากขึ้นมาที่หัวไหล่ บีบเบาๆ แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

ผมเห็นว่ามันอมน้ำไว้เต็มกระพุ้งแก้ม ไม่อยากจะยอมรับแต่ริมฝีปากกลับอ้าเผยอเมื่อริมฝีปากสีอ่อนขยับเข้ามาใกล้ น้ำใสๆ ถูกส่งมา ความเปียกชื้นถูกแทนที่ด้วยความนุ่มหยุ่นที่เบียดชิด

เอิ้นป้อนน้ำให้ผมจนหมด รสชาติหวานอย่างประหลาดถูกส่งผ่านเข้าไปในลำคอบางส่วน และบางส่วนก็ไหลผ่านขอบปากออกมาเปรอะเปื้อนที่ลำคอ

บางทีเอิ้นเองก็อาจจะกระหายน้ำเหมือนกัน

ริมฝีปากรสชาติหวานๆ ผละออกอ้อยอิ่ง ดวงตาสั่นไหวจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมก่อนที่ความเสียวแปลบจะลามเลียไปทั่วผิวกายเมื่อหยาดน้ำที่เปรอะเปื้อนตั้งแต่ปลายคางระเรื่อยไปถึงแผ่นอกถูกกวาดเก็บด้วยลิ้นชื้นที่ลากผ่านอย่างเชื่องช้า

กล้ามเนื้อทั้งร่างกายของผมกระตุกเกร็งเมื่อหน้าอกถูกริมฝีปากอุ่นจูบซ้ำๆ

ผมวางมือลงบนไหล่แกร่งพยายามดันร่างมันออกแต่ก็ช่างไร้ประโยชน์

“ไม่ชอบเหรอ”

อืม ไม่รู้สิ

“แต่เอิ้นว่าเสือชอบนะ ตรงนี้...” เสือใหญ่อันเปลือยเปล่าถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือที่วางลงไปตรงกลางกายจนร่างกายผมสะท้าน “…ตื่นแล้ว”

เถียงได้ไงเมื่อหลักฐานชัดเจนเสียขนาดนี้

“เอิ้นก็ตื่นเหมือนกัน” ไม่ต้องบอกก็ได้ มือด้วย ไม่ต้องพามือกูไปเจอกับหลักฐานหรอก ไม่อยากสัมผัสโว้ย

เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วครู่ก่อนเสียงแลกเปลี่ยนน้ำหวานในโพรงปากจะเข้ามาแทนที่เมื่อจุมพิตอันหนักหน่วงตั้งแต่ในตอนต้นเริ่มขึ้น

ความรู้สึกที่ยังตกค้างอยู่ในส่วนหนึ่งของร่างกายชัดเจนขึ้นให้เรียวลิ้นที่เอาแต่หนีในคราแรกหยุดชะงักก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วลองส่งมันไปแตะกับส่วนเดียวกันที่พลิ้วไหวอยู่ภายใน

ความปลาบแปลบหลั่งไหลโอบล้อมร่างกายเช่นเดียวกับมือของผมที่กดท้ายทอยอีกฝ่ายเพื่อให้ริมฝีปากเราแนบชิดมากขึ้นอีก

ดีว่ะ ไม่เคยรู้ว่าจูบกับผู้ชายมันรู้สึกดีขนาดนี้ ไม่นับครั้งก่อนในห้องนอนของผม ตอนนั้นมัวแต่โกรธจนหน้ามืดตาลายคิดแต่ว่าจะต้องกระทืบมัน หากพอในร่างกายมีแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ผมกลับโอนอ่อนผ่อนตาม มือไม้จับสะเปะสะปะไปบนแผ่นหลังแกร่ง กอดมันอย่างที่ยามมีสติผมไม่มีทางทำแน่ๆ

“ชอบที่เอิ้นทำมั้ย”

“อ๊ะ!” ร้องเป็นสาวเวอร์จิ้นเลย เกลียดตัวเองจังแต่ก็ต้องยอมรับว่าพอถูกมืออุ่นๆ ของคนอื่นมาคลึงๆ ที่เสือใหญ่มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนสัมผัสด้วยตัวเองเยอะเลย

“ชอบล่ะสิ” ปากก็ขยับเพื่อถามส่วนมือก็ลูบเสือใหญ่ขึ้นๆ ลงๆ ให้ผมกัดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงน่าอาย

ใครจะอยากครางอยู่ใต้ร่างผู้ชายวะ ผมเสือนะเว้ย

“รู้สึกดีใช่มั้ย”

“อ๊ะ!” แผ่นอกของผมกระตุกเมื่อยอดอกถูกจูบย้ำๆ หลายครั้งก่อนที่ริมฝีปากจะครอบลงมา เรียวลิ้นซึ่งก่อนหน้าเคยหยอกล้อกับลิ้นผมกำลังทำแบบเดียวกันกับจุดเล็กๆ ที่รวมทุกความรู้สึกเสียวปลาบ

ผมผวาเฮือกกับความซ่านสยิว เพิ่มแรงกอดรัดมันให้แน่นขึ้นแต่ก็ถูกดึงออกแล้วจับกดไว้กับฟูกนอน

ร่างแกร่งขึ้นมาคร่อมทับ นัยน์ตาของเขาทอประกายความปรารถนาชัดเจน ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากของผมให้หลับตายอมรับความอ่อนโยนที่แทบจะไม่เคยสัมผัส

ความนุ่มหยุ่นลากลงมาที่ปลายจมูกขบมันด้วยเขี้ยวแหลมๆ ให้ผมร้องด้วยเสียงผะแผ่ว

อีกครั้งที่ริมฝีปากของเราเบียดชิดกัน ความร้อนรุ่มเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้สัมผัสจนผมตั้งตัวรับแทบไม่ทัน ทำได้เพียงตอบรับเท่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้

ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอ้เอิ้นมันช่ำชองขนาดนี้ ก่อนหน้าที่จะมาหาผมมันต้องเคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแน่ๆ

ความคิดนั้นทำให้หัวใจของผมหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหินน้ำหนักมหาศาล การกระทำเพื่อตอบสนองหยุดลงชั่วขณะให้คนที่รุกเร้าผมผละห่างแล้วจ้องลึกเข้ามาในดวงตา

“เป็นอะไรหืม” มือเรียวลูบเส้นผมชื้นที่ปรกหน้าผากของผม

“มึงเก่งจัง”

“เก่ง?” ต้องทำหน้าครุ่นคิดด้วยเหรอในเมื่อตอนนี้เราอยู่บนเตียงด้วยกัน ผมก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว “อ๋อ แล้วเสือไม่ชอบเหรอ”

กว่าจะคิดได้ก็นานพอตัว

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ ไม่ใช่ไม่ชอบ ทุกสัมผัสทำให้รู้สึกดีแต่ว่า…

เพียงคิดถึงที่มาของความเก่งกาจก็พาลไม่พอใจซะอย่างนั้น

“ไม่ต้องห่วงนะตอนนี้เอิ้นมีเสือคนเดียว”

ผมกำลังมัวเมากับจุมพิตหวานๆ ที่ถูกป้อนให้หลังจากคำตอบที่ปัดเป่าความไม่พอใจออกไป เสียงแลกเปลี่ยนน้ำหวานที่ไหลเลอะขอบปากยิ่งกระตุ้นให้ไฟในกายพัดโหม

ริมฝีปากของผมถูกขบเม้ม ความชื้นแฉะที่ปลายคางถูกกวาดเก็บไปจนหมด

เอิ้นฟอนเฟ้นเล้าโลมผมด้วยริมฝีปากที่จูบซับไปทั่วทั้งแผ่นอก ดูเหมือนว่ามันจะชื่นชอบหน้าอกของผมเป็นพิเศษถึงได้เฝ้าปาดเลียจูบซับอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ

“ตรงนี่ของเสืออร่อยมากเลย”

เหลือบมองแล้วจึงขบตรงนั้นด้วยฟัน จี๊ดเลยแต่มากกว่าความเจ็บคือความซ่านสยิวที่ทำเอาผมผวาขึ้นจนแผ่นหลังห่างจากฟูกนอน

เส้นผมของเอิ้นถูกผมขย้ำจนกระเซอะกระเซิงแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ

ผมบีบไหล่แกร่งแรงๆ จิกเล็บสั้นลงบนนั้นเมื่อลิ้นชื้นลากผ่านอกลงไปที่หน้าท้อง หลุมสะดือถูกเย้าแหย่จนรู้สึกเสียดท้องแปลบๆ ที่จริงผมต้องผลักมันออก หากในความเป็นจริงนั้นมือเวรกลับกดท้ายทอยให้ร่างกายแนบชิดกว่าเดิม
ให้ตายเถอะ ถ้าไม่เมาจนไร้สติเสือไม่มีทางทำแบบนี้แน่

“ไม่!!” ถึงแม้จะร้องห้ามแต่ร่างกายของผมกลับตอบสนองด้วยการยกสะโพกขึ้นรับการปรนเปรอจากมือหนาที่กำลังลูบไล้เสือใหญ่แล้วรูดรั้งจนปวดหนึบ

เฮือก!!

ราวกับลมหายใจถูกพรากออกไป เมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ที่เคยจูบซับตรงแผ่นท้องลากต่ำลง โพรงปากครอบลงบนเสือใหญ่อย่างระมัดระวัง สะโพกของผมลอยสูงขึ้นอีกเมื่อมือหนาสอดเข้ามาลูบไล้ที่แก้มก้น เช่นเดียวกับลิ้นชื้นที่ปาดเลียทุกสัดส่วนของเสือใหญ่อย่างไม่นึกรังเกียจ

แต่ผมโคตรเกลียดตัวเอง

เกลียดที่ตอบสนองทุกการกระทำที่ปรนเปรอให้ มิหนำซ้ำยังส่งเสียงครางพร่าอย่างน่าอายให้ดังก้องอยู่ภายในห้อง และเหมือนว่าไอ้เอิ้นจะชอบการกระทำนี้ของผม

ทุกความเคลื่อนไหวหยุดชะงักลงเมื่อดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หาเหลือบขึ้นสบกับผม

“รู้สึกดีรึเปล่า”

ครางขนาดนี้ กูคงกำลังรู้สึกแย่มั้ง

“เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือรู้สึกดีกว่านี้อีก”

เดี๋ยวในที่นี้หมายถึงเดี๋ยวนี้ใช่หรือเปล่าวะ

ให้ตายเถอะ นี่ไอ้เอิ้นคิดจะฆ่าผมทางอ้อมใช่ไหม เมื่อมันกดจูบลงบนส่วนยอดของเจ้าเสือใหญ่ซ้ำๆ เหมือนจูบสัตว์เลี้ยงที่น่าเอ็นดู แค่นั้นยังคงไม่สาแก่ใจถึงได้ใช้ปลายลิ้นไล้เลียซะจนส่วนที่ชื้นอยู่แล้วถึงกับเปียกแฉะ

ตอนนี้เองที่ผมรู้สึกว่าร่างกายใกล้จะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ขาที่ถูกบังคับให้แยกออกเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้แทรกเข้ามาได้ง่ายๆ นั้นบิดเกร็ง ผมจิกเล็บสั้นกุดลงบนแผ่นหลังแกร่งแล้วลากลงมาเป็นทางยาวเพื่อระบายความซ่านสยิว

ร่างกายของผมเสียการควบคุม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนไม่ใช่เสียงตน แต่มันจะไม่ใช่ได้อย่างไรในเมื่อมันดังออกมาจากริมฝีปากอันบวมเจ่อของผม

จังหวะลิ้นที่กำลังไล้เลียเสือใหญ่ในโพรงปากอุ่นๆ เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับจังหวะของปากที่ครอบแล้วขยับขึ้นลงนั้นก็กลายเป็นหนักหน่วงขึ้น

หากเปรียบสิ่งที่อยู่ในร่างกายผมคือลาวา ตอนนี้มันคงเอ่อมาจนถึงปากปล่องภูเขาไฟแล้ว

“เอิ้น...”

ผมเรียกมันในจังหวะที่ยกสะโพกสูงขึ้นรับจังหวะโพรงปากที่ครอบลงมา เลื่อนมือขึ้นมาเพื่อกดศีรษะมันเอาไว้แล้วจึงปลดปล่อยทุกความปรารถนาเข้าไปในโพรงปากนั้น

ทุกอย่างในหัวของผมถูกแทนที่ด้วยกลุ่มควันจางๆ ลอยฟุ้ง สักพักจึงค่อยๆ จางลงเหลือเพียงความว่างเปล่า

ในหูได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตน ไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวหรือเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่นใด

แค้กๆ

เสียงไอของสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งบนเตียงนี้ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อลืมตาก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่านซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจขั้น

“ออกมาเยอะเลย ไม่ได้เอาออกนานเลยใช่มั้ย”

ต้องหน้าด้านแค่ไหนถึงกล้าถามอะไรแบบนี้ อยากจะตอบโต้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ร่างกายผมไม่ต่างอะไรจากโทรศัพท์มือถือที่แบตใกล้จะหมด

ดวงตาของผมค่อยๆ ปิดลงอย่างยากที่จะต้านทาน

“เสือ” เสียงไอ้เอิ้นดังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือมือที่จับไหล่แล้วเขย่าแรงๆ

เขย่าเข้าไปเถอะ อย่างไรก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีกแล้วล่ะ

“เสือจะทิ้งเอิ้นไว้กลางทางแบบนี้ไม่ได้นะ เสือ เสือ เสือครับ เสืออออออ~”

เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาลงพร้อมๆ กับสติของผมที่ดับวูบลง

ฝันดี...






[- T B C -]


ทั้งสงสารทั้งขำตาเอิ้น ตะล่อมจะกินเขามาตั้งนาน
ไงล่ะ ถูกทิ้งไว้กลางทางเฉย
ส่วนตัวชอบเสือตอนเมานะ พอเมาแล้วจากเสือก็กลายเป็นแมวทันทีเลย
ถึงจะเป็นแมวก็เป็นแมวที่ร้ายกาจไม่เบา
สุดท้าย ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ รักเลย
แวะมาพูดคุยกันในทวิตเตอร์ก็ได้ ในแท๊ก #เสือของเอิ้น
เจอกันตอนหน้า อย่าทิ้งเราไว้กลางทางเหมือนเสือน้า
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 5 {เสือใหญ่} UP.130816
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-08-2016 21:29:27
สะจายยย...แทนเสือ ได้เอาคืนเอิ้นบ้างแล้ว ฮา
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 5 {เสือใหญ่} UP.130816
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-08-2016 22:52:45
ค้างไหมถามใจเอิ้นดู
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 5 {เสือใหญ่} UP.130816
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 13-08-2016 23:13:17
น่ารัก ตลกอะ เอิ้นโดนทิ้ง 5555555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 5 {เสือใหญ่} UP.130816
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 13-08-2016 23:43:00
รู้สึกสะใจ :laugh: :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 20-08-2016 19:32:56

ตอนที่ 6 {ใส่ร้ายป้ายเสือ}




ถึงแม้ว่าสมองอันหนักอึ้งจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ซักอย่าง แต่ร่างกายกลับจดจำทุกเรื่องราวได้อย่างชัดเจน

ผมเมา พอเมาแล้วจากเสือร้ายก็กลายเป็นเป็นเสือเชื่องๆ จากคำบอกเล่าของคนที่เคยดื่มด้วยกัน เมื่อมองไปยังท่อนแขนที่พาดอยู่บนลำตัวระเรื่อยไปจนถึงคนที่กำลังหลับพริ้มยิ่งชัดเจนว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราแต่ก็แปลกดี มันไม่เจ็บเหมือนครั้งแรกทั้งยังรู้สึกสบายตัวเป็นพิเศษ

ไม่สิ ผมพยายามข่มความรู้สึกดีเอาไว้

“เชี่ยเอิ้น” ผมเขย่าแขนที่พาดอยู่บนลำตัว น้ำหนักของท่อนขาที่กดทับบนท่อนล่างทำให้รู้สึกปวดเมื่อยไปหมด ทั้งศีรษะที่ซุกซบอยู่บนแผ่นอก รวมๆ แล้วช่างน่ารำคาญเหลือเกิน ไม่ได้พูดแก้เขินผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

เหมือนกับว่าแรงเขย่าของผมจะไม่สามารถทำอะไรมันได้

หลับลึกอะไรขนาดนั้น

“เอิ้น ถ้ามึงไม่ตื่นกูถีบนะ”

“งื้อ รุนแรงแต่เช้าเลย” สะลืมสะลือว่าเสียงงัวเงียแต่ไม่ยักกะผละออกห่าง มิหนำซ้ำยังซุกร่างเข้ามาเบียดชิดมากกว่าเดิมเสียอีก

สงสัยอยากให้ใช้กำลัง

ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมยันตัวลุกขึ้นแล้วผลักคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผลคือร่างทั้งร่างของไอ้คนขี้เซาลงนอนกองอยู่บนพื้นด้วยท่าแผ่หลาสวยงาม ที่จริงมันก็ไม่ได้สวยงามหรอกออกจะอุบาทว์เสียมากกว่า

ไอ้เอิ้นแม่งเปลือยทั้งตัวเลยว่ะ

“เอิ้นเจ็บนะเสือ”

“ก็ถูกแล้วไง” ผมยิ้มหยันเมื่อมันค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนเตียงทำหน้ามุ่ยแล้วทุบไหล่ผมเบาๆ นี่แน่ะๆ!

“เรื่องเมื่อคืนยังไม่เคลียร์เลยนะ”

“อะไร” ผมถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์ กระถดออกห่างเมื่อใบหน้าหล่อเหลามีแววเจ้าเล่ห์โน้มเข้ามาใกล้

“เสร็จแล้วก็ชิ่งกันเฉยเลย”

“กูเมาไง” หน้าร้อนฉ่า

“เวลาเมาเสือน่ารักมาก”

“กูไม่รู้นะว่าตอนเมากูมีปฏิกิริยากับคำชมของมึงยังไงแต่ตอนนี้กูไม่ซึ้ง ไม่ต้องหยอด”

“พูดแบบนี้เดี๋ยวก็มอมเหล้าซะเลย”

“กูไม่ง่าย”

“ง่ายไม่ง่ายไม่รู้แต่ที่รู้ๆ เมื่อคืนเราก็…” น้ำเสียงมันโคตรเจ้าเล่ห์แสดงความเหนือกว่าเข้าไปเถอะรู้หรอกน่าว่าเมื่อคืนไม่ลึกซึ้งถึงขั้นร่างกายประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

“มึงก็แค่ฉวยโอกาส กูไม่ต่อยให้ก็บุญหัวมึงเท่าไหร่แล้ว”

ผมพยายามข่มใจให้เย็นที่สุดแล้วจึงก้าวลงจากเตียงตั้งใจจะไปอาบน้ำแต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเอิน
“ตั้งใจจะยั่วกันรึเปล่า”

ดวงตาคมของคนที่นอนคว่ำเท้าคางอยู่บนเตียงกวาดมองร่างกายเปลือยเปล่าของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

ผมไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“อยากให้เอิ้นช่วยอาบน้ำก็บอกดีๆ”

“คนก่อนๆ ของมึงคงทำให้มึงคิดว่าการกระทำแบบนี้คือการเชิญชวนแต่สำหรับกูไม่ใช่ว่ะ”

“แต่เอิ้นอยากช่วยว่ะ” ว่าจบก็กระโดดเข้ามาประชิดตัว ขยับหนีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเมื่อร่างกายในสภาพแรกเกิดถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยแขนแกร่งที่กอดเกี่ยวเอวเอาไว้

“ไอ้เหี้ย”

คนถูกด่าว่าเหี้ยจำเป็นต้องทำหน้าระรื่นขนาดนี้มั้ย เหี้ยคือคำด่าโว้ย ไม่ใช่คำชม

“เอิ้นตื่นอีกแล้วอะ” หลุบตามองต่ำก็พบว่ามันตื่นจริงๆ

เรื่องปกติของผู้ชายนะ แต่มันผิดปกติตรงที่มันดันมาตื่นตอนที่ผู้ชายเปลือยสองคนกำลังยืนกอดกันด้วยท่าทางหมิ่นเหม่อย่างไรละ

“ช่วยหน่อย แบบที่เอิ้นช่วยเสือเมื่อคืน”

“ฝันไปเถอะ ห่า” ผมผลักไหล่มันแรงๆ ให้ไอ้เอิ้นผละออกอย่างง่ายดายแล้วหัวเราะชอบใจ

“ทำไมล่ะ เอิ้นยังเคยทำให้เสือเลย”

“นั่นก็เรื่องของมึง”

“งั้นให้เอิ้นช่วยเสืออีกครั้งมั้ย เมื่อคืนเสือก็เหมือนจะรู้สึกดีนะ”

มองตามสายตาที่หลุบมองเสือใหญ่ของผมที่กำลังยืนตรงแล้วก็อยากจะกระโดดถีบยอดหน้าแม่งจริงๆ แต่ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง ทั้งยังรู้สึกว่าการยืนเป็นอาหารตาให้มันเป็นเรื่องที่เสียเปรียบมากผมจึงเดินโทงๆ เข้าห้องน้ำมา

ไม่ลืมตะโกนบอกให้ไอ้เจ้าของห้องเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ด้วย อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ชิ่งแน่นอน ไม่อยู่รอให้มันจ้องจะกินหรอก


▼▲▼▲▼


เกลียดไอ้เอิ้นว่ะ เพราะมันคนเดียวทำให้ผมต้องสวมเสือเชิ้ตแล้วติดกระดุมจนมิดคอเพื่อปิดร่องรอยที่มันฝากเอาไว้ เป็นจ้ำสีช้ำๆ ชัดมากจนแม่ถามว่าไปนอนกับผู้หญิงที่ไหนมา อยากบอกเจ๊เหลือเกินว่าเด็กข้างบ้านสุดที่รักของเจ๊นั่นแหละที่จ้องจะเคลมเสือ แต่เชื่อไหมว่าบอกไปก็เปล่าประโยชน์ ดีไม่ดีอาจจะโดนเจ๊ด่าจนหูดับอีกด้วย

ไม่เอาอะ เสือไม่อยากเสี่ยงตาย

“คุณเสือ”

พี่อลิซสาวสวยตำแหน่งเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มหล่อเพียงหนึ่งเดียวในตึกร้องเรียกให้ผมหยุดเดินเพื่อทักทาย

“วันนี้แต่งตัวแปลก ถ้าเอาหน้าม้าลงแล้วใส่แว่นนี่สเป็คพี่เลยนะ”

คอนเซ็ปร้านเธอคือหนุ่มเนิร์ดสุดหล่อ มองๆ แล้วก็คล้ายๆ โนบิตะเหมือนกัน

ผมยิ้มแห้งๆ ยกมือต้นคอเก้อๆ อย่างไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไรดี ปกติเสือช่างพูดนะครับแต่วันนี้พูดไม่ค่อยออก อาจเพราะกระดุมเม็ดบนที่ทำให้รู้สึกอึดอัดมากๆ เลย

“วันนี้รับอะไรดีคะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธในทันทีให้พี่สาวหน้ามุ่ย รู้สึกผิดเหมือนกันแต่ความเกรงใจมีมากกว่า

“ไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าคุณเสือเกรงใจ ว่างๆ แต่งตัวแบบนี้มาช่วยงานที่ร้านพี่สิคะ”

“เอางั้นเหรอครับ วันนั้นร้านพี่อลิซต้องขายดีมากแน่ๆ เลย”

“พี่ก็ว่างั้น นั่งรอซักครู่ ชาเขียวเนอะวันนี้”

“ก็ดีครับ ผมดื่มกาแฟมาจากบ้านแล้ว”

“คุณเสือของพี่น่ารักที่สุดเลย”

เรายิ้มให้กันก่อนผมจะนั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองพี่อลิซที่ยืนชี้นิ้วสั่งพนักงานหนุ่มหล่อของเธอด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ไม่นานหลังจากนั้นชาเขียวก็ถูกนำมาเสิร์ฟถึงมือ

ได้กินอะไรหวานๆ แล้วก็รู้สึกชื่นใจ แต่ชื่นใจและดื่มด่ำบนเก้าอี้ออฟฟิศแข็งๆ ได้ไม่นาน โปรแกรมแชทที่ใช้ภายในบริษัทฯ ก็เด้งขึ้นเพื่อแจ้งเตือน

‘สรัลครับ’

เป็นข้อความจากไอ้คุณอัคคี และไม่รู้เป็นอะไร เมื่อถูกเรียกแบบนี้ทีไรผมรู้สึกไม่ดีทุกทีเลย

‘เชิญที่ห้องซักครู่’

ถูกเชิญแต่เช้า ฤกษ์ไม่ดีแล้วว่ะ นาทีนี้ชาเขียวรสชาติกลมกล่อมก็ไม่ช่วยอะไร ผมก้มดูดน้ำในแก้วอีกอึกหนึ่งให้ใจร่มๆ แล้วจึงลุกขึ้นเพื่อไปยังจุดหมาย

“โชคดีพี่”

เหมือนไอ้กวินรู้ถึงได้หันมายกกำปั้นทำท่าไฟต์ติ๊งต๊องๆ ให้กำลังใจ บอกเลยว่าไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด

“เชิญครับ” อนุญาตเหมือนรออยู่แล้ว ไม่เปิดโอกาสให้เคาะประตูเลย

เมื่อผลักประตูเข้าไปแล้วสบตากับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บริหารที่ดูดีกว่าเก้าอี้ผมสักพันเท่าความเครียดก็เข้าโอบล้อมพวกเราไว้ทันที

มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกอย่างนั้นเหรอ

“นั่งสิ”

“เรื่องยาวเหรอครับ”

“อื้อ คิดว่าน่าจะยาว” ดังนั้นผมจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม แม้มันจะให้ความรู้สึกดีกว่าเก้าอี้ของผมแต่บอกตรงๆ ไม่ชอบเลยว่ะ

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

ไอ้คุณอัคคีประสานมือรองไว้ที่ปลายคาง ข้อศอกทั้งสองข้างเท้าอยู่บนโต๊ะ ใช่สายตาเรียบนิ่งที่ซ่อนเอาไว้ด้วยความจริงจังมองใบหน้าของผม

ตอนแรกแอบคิดว่าอาจจะถูกล้อเรื่องเสื้อที่ติดกระดุมจนมิดคอ แต่ไม่เลย ระหว่างเราตอนนี้มันเคร่งเครียดเกินไป

“เสือรู้จักคุณปรางมั้ย”

“รู้จักสิ ปรางเข้ามาที่นี่พร้อมกับผม ทำงานด้วยกันจนเธอลาออก ทำไมเหรอ สงสัยอะไร”

“ผมถามตามหน้าที่นะเสือ ทุกวันนี้ยังติดต่อกับเธออยู่มั้ย”

“ก็ไม่นะ”

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

“หมายถึงใครล่ะ”

“เพื่อนๆ ของคุณที่ทำงานกับบริษัทฯ คู่แข่งน่ะ ได้คุยบ้างมั้ย”

ที่จริงผมมีเพื่อนที่ทำงานในสายงานเดียวกันแต่อยู่คนละบริษัทเยอะมากเลยล่ะ ปกติไม่ค่อยมีโอกาสคุยกันเท่าไหร่ แต่พักหลังมานี้เจ้าพวกนั้นโทรหาผมถี่กว่าปกติจนบางครั้งก็สงสัยว่ามันกลับมาตีสนิทเพื่อยืมเงินหรือเปล่า

“ถามทำไม มีอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก”

“ถ้าบริษัทคู่แข่งให้เงินเดือนคุณมากกว่าที่นี่ 2 เท่าคุณจะไปมั้ย”

“ก่อนเข้ามาทำงานที่นี่ผมอ่านกฎบริษัทอย่างถี่ถ้วนนะ กฎก็บอกอยู่ว่าหลังจากออกจากที่นี่ห้ามทำงานกับบริษัทฯ คู่แข่งเป็นเวลา 1 ปี มันเรื่องอะไรกัน สงสัยอะไรในตัวผมเหรอ”

คุณอัคคีมีสีหน้าลำบากใจอย่างที่ผมเองก็สัมผัสได้ สิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อจากนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“เจอคุณปรางครั้งล่าสุด เธอเสนอเงินเดือนให้เสือเท่าไหร่เหรอ ถ้าที่นี่ให้มากกว่าคุณยังจะไปอยู่รึเปล่า”

ไปไหนวะ ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน คนอื่นจะมารู้ดีไปกว่าผมได้ยังไง

และก็ถึงบางอ้อเมื่อรูปถ่ายจำนวนหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณาแล้วความคิดก็ย้อนกลับไปในวันที่บังเอิญเจอปรางที่ห้างสรรพสินค้า เราคุยกันในร้านกาแฟ แต่ก็แค่สอบถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาคนรู้จัก แล้วมันมีประเด็นอะไร

ผมมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อวางรูปถ่ายในมือลงแต่ยังไม่ละสายตา

“เสือ” คนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโดยตรงว่าเสียงแผ่วๆ ผมสัมผัสได้ถึงความเห็นใจที่ถูกส่งมา ไม่ชอบเลยว่ะ “วงในแจ้งมาว่าคุณมีแพลนจะย้ายไปทำงานกับเพื่อนของคุณ”

มิน่าล่ะเมื่อครู่ถึงพูดเรื่องเงินเดือน

“ผมเนี่ยนะ วงในวงไหนที่บอกมา” คำพูดที่ไม่ต่างจากการเอาไม้หน้าสามตีแสกหน้าทำให้ผมโมโหจนไม่สามารถสงบใจให้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งได้อีก

“ผมเชื่อเสือนะ เสือที่ผมรู้จักไม่มีทางหักหลังใครแต่ผู้ใหญ่เค้า...”

ผมนึกว่าเรื่องของเราในอดีตทำให้เขาปักใจเชื่อว่าผมเป็นพวกที่ชอบหักหลังเพื่อนฝูงซะอีก เหลือเชื่อเลยว่ะ

“มีใครไม่อยากได้เงินเดือนเยอะๆ บ้างล่ะ”

ยอมรับนะว่าตอนเห็นตัวเลขที่ปรางหรือคนอื่นๆ เสนอให้ หัวใจผมนี่พองโตเหมือนลูกโป่งอัดแก๊ส แต่ด้วยศักดิ์ศรีถึงจะอยากรับไว้เพียงใดแต่ก็ต้องข่มใจปฏิเสธ

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาเสนอเงินเดือนที่มากกว่าที่นี่เป็นเท่าตัวให้หรอก บ่อยจนชิน คิดดูดิ แรกๆ ก็งงนะว่าเราเก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็คงเก่งมั้งถึงมีคนมาชวนไปทำงานด้วยเยอะขนาดนี้”

“แล้วเสือไม่หวั่นไหวเหรอ”

“หวั่นไหวสิ”

“แล้วทำไมถึงไม่ไป รักที่นี่มากเหรอ ภักดีต่อบริษัทอย่างนั้นเหรอ”

ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง

อย่าพูดถึงเรื่องภักดีเลย ที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะสบายใจที่ได้ทำ และเงินที่ได้รับตอนสิ้นเดือนทั้งนั้นแหละ

“เอาล่ะ ที่เรียกมาก็เพื่อจะไล่ออกใช่มั้ย”

“ยังไม่ถึงขั้นนั้น ในที่ประชุมมีมติให้พักงานเสือไม่มีกำหนด”

“แล้วมันต่างจากไล่ออกตรงไหนวะ”

“เสืออย่าทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อนได้มั้ย”

“ต้องร้องไห้ฟูมฟายเหรอวะ มึงคิดว่ากูเป็นคนแบบนั้นเหรอ เชี่ยเอิ้น นี่เสือนะเว้ย เสือไม่ร้องไห้หรอก” ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ก็ไม่ร้องไห้หรอก

“เราจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”

“มันจะลับได้ยังไง คนทั้งคนหายไปนะ ต้องมีคนสงสัยอยู่แล้ว บอกความจริงไปสิ กูไม่รู้สึกอะไรหรอก”

“เชื่อใจกันบ้างสิเสือ”

“กูต้องเชื่อใจคนที่ไม่เชื่อใจกูด้วยเหรอ จะทำอะไรก็ทำเถอะ กูลาออก”

“ผมไม่อนุมัติ จนกว่าผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเสือได้ ผมไม่มีทางให้เสือลาออกหรอก”

“เอาเวลาไปหางานให้ทีมกวินเถอะ อย่ามาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เลย” ผมลุกขึ้นยืนตั้งใจจะออกจากห้องแล้วแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามอีกอย่าง “กลับบ้านได้เลยมั้ย”

“เสือ จะไม่ยอมแพ้แค่นี้ใช่มั้ย”

“ทำงานของตัวเองไปเถอะ ที่เหลือกูจัดการเอง” ผมยกยิ้มร้าย ใครทำเสือเจ็บ คนนั้นต้องเจ็บกว่าเสือ เห็นทีพักยาวคราวนี้ต้องเรียกรวมทีมงานซักหน่อย ไม่ได้ฟอร์มทีมนานแล้ว ถือซะว่านี่คือโอกาสที่ดีก็แล้วกัน

“วิน พี่ถูกพักงานนะ”

“หืม” ไม่ใช่เพียงเสียงไอ้กวินคนเดียวแต่เป็นของทุกคนในออฟฟิศดังประสานกัน

“คงไม่กลับมาอีกแล้ว ฝากทำงานต่อด้วย งานทั้งหมดอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ ไม่เข้าใจตรงไหนโทรถามได้ตลอด ขอโทษจริงๆ ว่ะที่อยู่ด้วยจนจบไม่ได้”

“พี่เสือไม่เอาดิวะ มันเรื่องอะไร”

“นั่นสิเสือ พี่จะไม่ถามนะว่าเกิดเรื่องอะไร แต่เสือจะออกแบบนี้ไม่ได้”

“ผมไม่อยากทำแล้วพี่ เบื่อว่ะ”

“ทำไมเอ็งขี้แพ้ ที่ทำอยู่มันไม่ต่างอะไรจากการหนีปัญหา เสือไม่เคยหนีปัญหา และยิ่งแกไปแบบนี้ คนอื่นเค้าก็ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ แกต้องกลับมา เข้าใจพี่ใช่มั้ย”

นี่พี่แกไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเกิดเรื่องอะไรกับผม พูดเป็นฉากๆ แบบนี้ต้องรู้เรื่องอะไรมาบ้างแหละ

“ครับๆ ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้เมื่อไหร่จะมาลาออกให้ถูกต้อง เตรียมเลี้ยงส่งด้วย ไปละ โชคดีทุกคน”

“พี่เสือ ไม่มีพี่แล้วผมจะทำยังไงล่ะ”

ชายเสื้อถูกรั้งเอาไว้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ไอ้กวินจะได้เห็นเสือในโหมดอ่อนโยน

“ถ้าพี่ไม่มั่นใจว่าเอ็งทำได้พี่คงไม่ฝากงานไว้กับเอ็ง มั่นใจในตัวเองหน่อย มีอะไรก็โทรมา พี่ยังเป็นพี่เอ็งเสมอ ไอ้น้อง” เท่ชะมัด

ผมเงยหน้าเพื่อสบตากับคนที่ยืนอยู่บนชั้นที่สูงกว่าในจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ไอ้เอิ้นยืนมองผมตาละห้อย รู้ว่าทำให้ลำบากใจ แต่ผมไม่มั่นใจในกระบวนการของบริษัทหรอก ถึงจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ผมได้แต่คงช้าเป็นเต่าขาเจ็บ สู้มาจัดการด้วยตัวเองสบายใจกว่าเยอะ


▼▲▼▲▼


ผมลงรถเมล์ตรงที่ประจำแล้วเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทางเดินเพื่อประวิงเวลาเผชิญหน้ากับเจ๊ศรี เมื่อถึงหน้ามินิมาร์ทก็ตั้งใจจะรีบวิ่งเข้าบ้านแต่ก็ถูกเรียกเอาไว้ด้วยเสียงอันแหลมสูงแบบที่นกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้บินหนีกันทั้งฝูง

“ตาเสือ ทำไมกลับเร็ว”

“ถูกพักงานครับ” พูดกันตรงๆ นี่แหละ สบายใจดี

“ไปทำอีท่าไหนถึงถูกพักงาน”

“ต้องมีท่าด้วยเหรอ เสือก็จำไม่ได้ว่าทำท่าไหนแต่คงไม่เท่เท่าไหร่หรอก”

“แกต้องเครียดมั้ย ตกงานนะยะยังจะมาตลกอีก”

“เสือชอบนะแม่ ได้นอนตีพุงอยู่บ้านทั้งวัน สบายจะตาย”

“สบายจ้า แล้วค่าใช้จ่ายในบ้านล่ะ แกโตแล้วจะมาเกาะแม่กินไม่ได้แล้วนะ”

“เกาะมาตั้งนานแล้ว ขอเกาะอีกหน่อยไม่ได้เหรอ” เข้าไปกอดอ้อนขอเกาะซักหน่อยเผื่อเจ๊จะใจอ่อน แต่ไม่เลยว่ะ นอกจากไม่ใจอ่อนแล้วยังฟาดไหล่ผมเต็มเหนี่ยวอีก

เจ็บชะมัดเลย

“ไม่ได้ย่ะ อายุเกิน 25 ปีแล้วจะมาเกาะแม่กินอยู่ได้ยังไง ตั้งใจทำงานแล้วหาเมียซะ แม่อยากอุ้มหลาน”

“อ่อ เมื่อเช้าสิงห์สไกฟ์มาบอกว่าพี่สะใภ้ท้องแล้วนะแม่ รออุ้มลูกพี่สิงห์แล้วกันนะ” ผมยิ้มแฉ่งแล้วขยิบตากวนๆ ให้เจ๊ศรีไปทีแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากร้านมา ถ้าไม่รีบล่ะก็เจ๊ต้องหาเรื่องให้ผมไปนัดบอดอีกแน่ๆ

น่าเบื่อ

ปึ้ง!!

ประตูห้องถูกกระแทกปิดแรงๆ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ยังคั่งค้างเป็นตะกอนอยู่ในใจ

อย่าให้รู้เชียวว่าใครใส่ร้ายผม จะจัดแม่งให้หนักเลย

ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสามเม็ดบนออกแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ก่ายหน้าผากและกำลังจะหลับตาแต่เสียงโทรศัพท์ที่ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นซะก่อน

น่าจะเป็นไอ้เอิ้น

ผมล้วงมือถือออกมา มองที่หน้าจอเพื่อพบว่าตัวเองคิดผิด

ทำไมถึงคิดว่ามันจะโทรมา

ผมสไลด์หน้าจอด้วยความหงุดหงิดแล้วจึงกรอกเสียงเบื่อหน่ายลงไป

“กูไม่มีตังค์โว้ย” มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้ไอ้แชมป์โทรหาผม ไม่ยืมเงินก็มีหนังใหม่เข้า

“ได้ข่าวว่าตกงานเหรอครับ” หยอกกูไม่ดูเวร่ำเวลาเลยไอ้เพื่อนเลว

“ข่าวเร็วนะมึง รู้ก็ดีแล้ว หางานให้กูทำหน่อย”

“มาซิ่งกับกูมั้ย หรือไม่ก็เอาเงินมาลงทุนธุรกิจกับกูสิ”

“หนังอาร์ตอะนะ น่าสนฉิบหาย”

“นี่กูกะว่าจะถ่ายเองแล้วว่ะ ลงทุนเองเป็นพระเอกเอง มีแต่ได้กับได้”

“ความคิดมึงนี่” อดที่จะแขวะมันไม่ได้ “เออแชมป์มึงช่วยตามตัวไอ้สนิมให้กูหน่อยสิ”

“มึงจะทำอะไร”

“มีเรื่องจะให้มันช่วยหน่อย”

“เรื่องที่มึงโดนไล่ออกอะนะ”

“กูถูกพักงานไม่ได้ถูกไล่ออก เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้กูโคตรอยากรู้ว่าใครกล้าใส่ร้ายกู ตามพวกไอ้กั๊กให้กูด้วย”

“ไอ้กั๊กมันนักเลงนะ มึงจะเรียกมันมาทำไม”

“มากระทืบไอ้คนที่ใส่ร้ายกูไง”

“แค่กูกับมึงก็พอแล้วมั้ง เดี๋ยวช่วงนี้กูฟิตร่างกายรอเลย”

“เอาเวลาไปดูแลลูกมึงเถอะ แค่นี้นะ บอกไอ้สนิมโทรหากูด้วย”

“แล้วแม่งไม่โทรเองวะ”

“มันคงรับสายกูหรอก เงิน 2 พันตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วแม่งยังไม่คืนกูเลย ถ้าเก็บดอกเบี้ย กูแม่งเศรษฐีแล้วเนี่ย”

“มึงนี่คล้ายเจ้าพ่อเงินกู้เหมือนกัน ถ้าเบื่อๆ ก็มาขับวินนะ คนขาดอยู่พอดี”

“เออ ขอบใจเว่ย”

“เปลี่ยนเป็นลดหนี้ให้กูมั้ย”

“ไม่ กูตกงานอยู่ แค่นี่แหละห่า กูจะนอน”

เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นก่อนสายจะถูกตัดไป

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ต้องใช้บริการไอ้สนิม คนที่ใครก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นนักค้าข้อมูลมือฉมัง อยากได้ข้อมูลอะไรมันหาได้หมด แต่ค่าจ้างก็ไม่ใช่ถูกๆ เหมือนกัน นี่คิดไม่ตกเลยว่าจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายมัน คนตกงานที่ไหนเขามีเงินกันล่ะ

ผมหลับไปตอนที่นอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องเงินที่จะเอามาจ่ายค่างจ้างไอ้สนิม และรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เสือ เอิ้นเข้าไปได้มั้ย”

ไม่โทรมาแต่มาหาถึงที่เลย

“ลงไปคุยข้างล่าง” ผมเปิดประตูแล้วคว้าไหล่แกร่งเพื่อพามันลงไปคุยกันที่ห้องรับแขกแต่อีกฝ่ายกับดื้อดึงยื้อยุดให้เรากลับเข้าไปนั่งในห้องผมตามเดิม

“คุยกันในนี้แหละ ไม่อยากให้แม่ได้ยิน เดี๋ยวจะไม่สบายใจ”

“มีอะไร”

“เสือโอเคมั้ย”

“เรื่องอะไร”

“สุขภาพจิต”

“มึงว่ากูบ้าเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอิ้นเป็นห่วงเสือนะ”

“มึงห่วงตัวเองเถอะ”

“เอิ้นขอโทษนะเสือ ขอโทษที่เอิ้นช่วยอะไรเสือไม่ได้เลย”

“กูบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้กูจะจัดการเอง จะสั่งสอนให้แม่งรู้ว่าอย่าริอาจมาแทงข้างหลังเสือ กูเอาคืนแน่”

“เสือจะทำอะไร”

“เรื่องของกู ตอนนี้กูไม่ใช่คนของบริษัทแล้ว กูจะทำอะไรก็ได้”

“เอิ้นบอกแล้วไงว่าเอิ้นไม่ให้เสือลาออก”

“งั้นกูหนีงาน ส่งใบพ้นสภาพมาที่บ้านได้เลย ลงว่าทำงานวันนี้วันสุดท้ายนะ”

“ถ้าเสือทำแบบนี้มันก็เท่ากับเสือยอมรับว่าเสือเป็นอย่างที่เขาครหา”

“กูไม่สน เพราะยังไงกูก็ไม่กลับไปทำงานในธุรกิจพวกนั้นอีกแล้ว”

“แล้วเสือจะทำอะไร”

“มีงานเยอะแยะ ถ้าไม่เลือกงานก็ไม่ยากจนหรอกเว้ย ทำไม หรือมึงอายที่ต้องมาตามจีบคนไร้อนาคตอย่างกู ก็ดี กูโคตรรำคาญมึงเลย”

“เสือ...”

“กลับไปซะ กูจะนอน”

ผมทิ้งตัวลงนอนบนตะแคง หันหลังให้คนที่เพิ่งจะพ่นคำว่ารำคาญใส่หน้ามันไปหมาดๆ เสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้นต่อจากนั้น เสียงประตูปิดลงดังให้ได้ยิน

ไปแล้วเหรอวะ

โกรธหรือเปล่า

ผมเฝ้าถามคำนี้กับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

ทั้งๆ ที่ไม่ต้องแคร์ก็ได้ แต่จะให้ทำไงวะในเมื่อแคร์เขาไปแล้ว



[- T B C -]


งานเข้าคุณเสือแล้ว ทั้งถูกพักงาน ทั้งพูดให้เอิ้นโกรธ
วุ่นวายชะมัด ช่วยให้กำลังใจเสือด้วย
แล้วก็มาตามหาคนใส่ร้ายไปพร้อมๆ กันนะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ค่ะ รักเลย
แจ๊ส

 :hao3:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 20-08-2016 20:18:37
เสือสู้ ๆ ค่ะ แต่อย่าลืมง้อเอิ้นบ้างนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-08-2016 21:40:53
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 20-08-2016 21:42:33
บริษัทงี้ไม่น่าทำงานด้วยแล้วอ่ะ
ไม่น่าล่ะ พนักงานลาออกเยอะจัง
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 20-08-2016 23:43:16
เสือสู้ๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-08-2016 01:10:42
อุ้ย! นี่นิยายสอบสวนหรือเนี่ย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 21-08-2016 08:28:14
ติดตามค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-08-2016 10:28:33
อื้อหืออออ ใครเป็นตัวการเนี่ย?

จัดการเลยเสือ ไม่ต้องออมมือๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 24-08-2016 13:59:29
จัดเอาให้เจ็บ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 24-08-2016 21:41:56

คือบริษัทนี้มันปัญญาอ่อนไหม?? เห็นแค่รูปถ่ายที่อยู่กับ พนง.เก่าที่ลาออก???
ไม่มีการสอบสวน!! จู่ๆก้อมีคำสั่งพักงาน..เป็นเราจะร้องเรียนกรมแรงงานแน่..
ส่วนเอิ้น เป็น ผจก.ที่ดูหลักลอย..ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆมาช่วยบริษัท
ลุ้น..รอวันบริษัทนี้ปิดกิจการ..ด้วยใจจดจ่อ!!
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-08-2016 22:34:35
บอกตรง บริษัทห่วยเป็นบ้า โดนแบบเสือเราลาออกดีกว่า ไม่ให้ออกก็ไม่กลับมาทำงานด้วยแล้ว

การที่คนเก่งหรือคนมีความสามารถได้รับการทาบทามจากบริษัทอื่นมันผิดมากเลยเหรอ

มันเป็นความผิดของพนักงานเหรอ ถึงได้โดนลงโทษน่ะ ถามจริง  :m31:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 6 {ใส้ร้ายป้ายเสือ} UP.200816
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-08-2016 23:04:11
เสือผิดอะไรเนี่ยยยยย ถ้าจะไปจริง คงไปนานแล้วปะ
บริษัทนี้ตลกละ !!!!
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 28-08-2016 15:31:01


ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้}



ผมตื่นแต่เช้ามานั่งทำหน้าหล่อชะเง้อมองหาใครบางคนจากที่นั่งภายในร้านกาแฟคุณอลิซ

เพื่ออะไร ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าที่ทำอยู่นี้ใช่สาระสำคัญของชีวิตไหม ทบทวนดูหลายครั้งแล้วก็ได้คำตอบว่า – ไม่!

“คุณเสือน่าจะมาทำงานกับพี่”

“ช่วงนี้อยากพักครับ นี่กะว่าจะนอนวันละ 24 ชั่วโมงซักอาทิตย์สองอาทิตย์”

“บ้า คนอะไรจะนอนได้ขนาดนั้น” คุณอลิซว่าทีเล่นที่จริงแล้วฟาดมือเรียวลงบนไหล่ผมเบาๆ “ว่าแต่คุณเสือไม่เครียดเลยเนอะ ยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย อย่าฝืนนะ ถ้าเครียดก็เล่าให้พี่ฟังได้ จะได้สบายใจ”

“ขอบคุณครับ”

บอกกับคนตรงหน้าเสร็จพอดีกับคนที่ผมนั่งรอแต่เช้าปรากฏตัว ไอ้เอิ้นก็คือไอ้เอิ้น เคยเอาแต่มองไปยังจุดหมายโดยไม่สนใจรอบข้างอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งตามไปที่ลิฟต์ซึ่งกำลังจะปิดลงพอดี ผมจึงต้องใช้แขนขั้นมันเอาไว้เพื่อบังคับให้เปิดออกอีกครั้ง

“เสือ อันตรายนะ” น้ำเสียงไอ้เอิ้นตื่นเต้นอย่างโอเวอร์ ขณะกดปุ่มเพื่อเปิดประตูลิฟต์ออกแล้วจึงดึงผมเข้าไปข้างใน

“ปล่อยกูเลยห่า” ผมปัดมือมันแล้วจึงอ้อมแอ้มถามอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง “มึงโกรธกูรึเปล่า”

“โกรธเรื่องอะไร”

“เออ ไม่โกรธก็ดีแล้ว”

ตัวเลขบนหน้าจอดิจิตอลบอกเลข 14 ผมจึงกดชั้น 16

“เสือพูดเรื่องอะไร เอิ้นไม่เข้าใจเลย”

“ไม่โกรธก็ดีแล้ว กูไม่ได้แคร์มึงหรอกนะ แค่ไม่สบายใจอย่าหลงดีใจไปล่ะ”

“เสือพูดเรื่องอะไร เสือ...” ประตูลิฟต์เปิดออก ผมจึงก้าวออกมาแล้วปล่อยให้กล่องสีเหลี่ยมแคบๆ พาไอ้เอิ้นขึ้นไปชั้นบน อยู่ๆ มุมปากก็กระตุกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างที่ไม่สามารถห้ามได้เลย หัวใจเองก็กำลังรู้สึกคันยุบยิบ เป็นความรู้สึกที่ผมไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันแย่นะ


▼▲▼▲▼


ไม่บ่อยหรอกที่จะได้นั่งรถบนถนนโล่งๆ ในเมืองหลวง เป็นเรื่องดีๆ ของการถูกพักงานนะ จริงๆ เสือก็มีมุมโลกสวยเหมือนกันนะ ขอบอก

ผมกวาดสายตามองรถเมล์โล่งๆ ที่มีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน อยากประชดชีวิตด้วยการทิ้งตัวนอนเหยียดยาวที่เบาะหลังแต่ก็เกรงใจอุปกรณ์เก็บเงินของกระเป๋ารถเมล์ที่ดังแก๊บๆ ใกล้ๆ หู จึงทำได้เพียงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมทอดสายตามองท้องถนนที่ปราศจากคำว่ารถติด

ดี๊ดี

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันทีเมื่อกลับมาถึงบ้าน ทำสมองให้ว่างแล้วหลับยาวจนถึงเที่ยง เมื่อท้องหิวจึงลงไปข้างล่างเพื่อหาของกิน

เพราะเคยกินมื้อเที่ยงตรงเวลา พอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรงปุ๊บ ท้องก็ร้องบอกว่าหิวทันที

ผมเกลียดกระเพาะอาหารตัวเอง ถ้าไม่หิวก็คงไม่ต้องลงมาเจอไอ้เอิ้นที่นั่งเสนอหน้าอยู่ในครัว เจ๊ศรีกำลังเตรียมกับข้าวกับปลาให้อย่างคล่องแคล่ว หน้าเจ๊ฟินมาก มีความสุขจนผมหมั่นไส้

“นอนได้นอนดี ลงมาช่วยแม่ตั้งโต๊ะเร็ว” เมื่อเหลือบมามองก็เรียกไปจิกหัวใช้ นี่ลูกนะครับ ลูกที่เจ๊เบ่งออกมาเองเลยนะเฟ้ย

แล้วไอ้คนที่นั่งยิ้มแป้นอยู่นั่นก็ไม่ให้มันช่วยเนอะ

ป่วยการที่จะเถียง ผมจึงเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปในครัว เอ่ยถามเมื่อเดินผ่านมัน

“โดดงานมารึไง”

“พักก่อนเวลา 5 นาที”

“แล้วมึงมาทำไม” ผมถามต่อเมื่อรับจานข้าวจากเจ๊แล้ววางลงบนโต๊ะ

“เป็นห่วงเสือ”

“สบายดี สบายกว่าตอนทำงานอีก”ผมรับจานข้าวจากเจ๊ศรีมาอีกก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ตามสบายนะหนูเอิ้น”

“แล้วคุณแม่ไม่กินด้วยกันเหรอครับ”

“ไม่ล่ะจ้ะแม่ยังไม่หิว กินเสร็จแล้วช่วยเก็บโต๊ะและล้างจานด้วย” ท้ายประโยคนั้นพูดกับผมล่ะ

กระทั่งเจ๊เดินออกจากห้องไปบทสนทนาระหว่างเราจึงเริ่มต้นอีกครั้ง

“เมื่อเช้าเสือทำตัวแปลกๆ ไปดักเจอเอิ้นเหรอ” เป็นประโยคคำถามที่ทำเอาช้อนที่กำลังจ้วงตักแกงจืดหยุดค้างกลางอากาศ

อย่าพูดถึงได้มั้ย แค่คิดว่าตัวเองทำอะไรลงไปหูก็ร้อนแล้ว

ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วจ้วงตักแกงจืดส่งเข้าปาก แต่คนเซ้าซี้ก็ยังไม่ยอมแพ้

“คิดว่าเอิ้นโกรธเรื่องเมื่อวานเหรอ เอิ้นไม่เคยโกรธเสือเลยนะ แค่เห็นหน้าก็โกรธไม่ลงแล้ว”

“ที่ออฟฟิศเป็นไงบ้าง ไอ้วินไม่เห็นโทรหากูเลย งานไม่มีปัญหาใช่มั้ย” เปลี่ยนเรื่องซะก่อนที่คำพูดของคนตรงหน้าจะทำให้ผมปลื้มปริ่มจนกินข้าวไม่ลง

“ก็ราบรื่นดีนะ กวินเป็นคนเก่ง”

“ใช่ เก่งมาก เป็นเด็กที่มีอนาคต เรื่องโปรเจ็คใหม่น่ะ กูเชียร์ให้กวินดูแลนะ”

“กวินเก่ง แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เอิ้นมองว่าเค้ายังไม่เหมาะที่จะทำงานแบบเสือ”

“อะไรล่ะ เรียกน้องคุยสิ กวินมันเหมือนแก้วที่ยังสามารถเติมน้ำเข้าไปได้อีก เป็นคนที่พร้อมจะพัฒนาตัวเอง”

“เสือเชียร์กวินจัง เอิ้นหึงแล้วนะ”

“เรื่องของมึง หยุดชวนคุยซักทีจะแดกข้าว”

“กินเยอะๆ นะ นี่เอิ้นซื้อมาฝากเสือ” ไก่ทอดชิ้นโตจากร้านฟาสฟู๊ดถูกวางลงในจาน ผมจึงเหลือบมองด้วยสายตาจับผิด

“ไหนบอกออกจากออฟฟิศก่อนแค่ 5 นาที เอาเวลาที่ไหนไปซื้อไก่”

“สั่งออนไลน์ไง ง่ายจะตาย”

“ทีหลังไม่ต้องโดดงานมาแล้วนะ กูไม่ซึ้ง เบื่อหน้าด้วย อุตส่าห์ถูกพักงานนึกว่าจะไม่ได้เจอหน้ามึง ยังทำเสล่อเสนอหน้ามาให้เห็นอีก น่าเบื่อว่ะ”

“จะโกรธจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

“โกรธอะไร เมื่อกี้มึงบอกเองว่าไม่มีทางโกรธกู”

“ยิ้มให้ก่อนทีนึงสิ จะไม่โกรธเลย”

“เชิญโกรธ”

“ถ้าโกรธ เสือจะไปง้อเอิ้นที่ออฟฟิศอีกป่ะ”

“ไม่มีทาง กูไม่มีทางทำอย่างนั้นอีก - แดกเข้าไปสิไก่ ซื้อมาทำไมเยอะแยะ” พอเรื่องที่ผมทำไปเมื่อเช้าถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกที จนต้องกลบเกลื่อนด้วยการตักไก่ใส่จานไอ้คนที่ซื้อมา

“ขอบคุณครับ”

อย่ามายิ้มได้มั้ย เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าตัวเองเกลียดรอยยิ้มอ่อนโยนของไอ้เอิ้นมากมายแค่ไหน เกลียดที่มันทำให้หัวใจของผมคันยุบยิบเหมือนมดนับสิบนับพันไต่เล่นอยู่ข้างในนั้น

เกลียดว่ะ


“เจ้าเสือ ไปรับน้องชิปหน่อย”

ถูกพักงานเพื่อมานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ การไปรับน้องชิปหลังเลิกเรียนจึงกลายเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย เคยถามเจ๊ศรีว่าพ่อมันไปไหนก็ได้คำตอบง่ายๆ ว่ารับจ้างไปรับส่งลูกคนอื่น

แล้วมันไม่จ้างผมบ้างวะ ตกงานอยู่นะเว้ย

ที่หน้าโรงเรียนประถมใกล้ๆ บ้านวุ่นวายฉิบหาย ก็มารับหลายวันแล้วแต่ก็ไม่ชินซักที

“อาเสือ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นก่อนเจ้าตัวเล็กจะโผเข้ามากอดผมแน่น ผมดันเจ้าตัวเด็กน้อยออกจนสุดแขน จ้องมองใบหน้าที่มีรอยช้ำที่แก้มและดวงตา

“ใครทำอะไรน้องชิปครับ”

“เปล่าครับ น้องชิปหกล้ม”

“ไม่โกหกอาเสือสิครับ”

“หกล้มจริงๆ ครับ น้องชิปหกล้มจริงๆ”

ผมถอนหายใจแล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ที่หยุดซักไซ้เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรน้องชิปก็ไม่มีทางบอกเรื่องนี้หรอก ดังนั้นจึงตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาสอบถามจากคุณครูเอง

ส่วนตัวผมคิดว่าร่องรอยพวกนี้อาจจะเกิดจากการทะเลาะวิวาท หรือไม่ก็เรื่องความรุนแรงภายในโรงเรียนอย่างที่พวกผมเคยทำเมื่อหลายปีก่อน

เชื่อไหมว่าถ้าเล่าให้เจ๊ศรีฟังล่ะก็ ทั้งผมและไอ้แชมป์ต้องถูกเรียกเข้าฟังธรรมแน่ๆ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม กรรมที่เกิดจากการกระทำนั่นแหละ ใครทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลตอบแทนที่สาสม คนที่รังแกน้องชิปก็ต้องได้รับผลของการกระทำเช่นกัน

วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้า ออกจากบ้านไปรับน้องชิปเพื่อไปส่งที่โรงเรียน

เพราะยังเช้าเกินไป คุณครูเวรหน้าโรงเรียนจึงบอกให้ผมรอก่อนเพราะคุณครูประจำชั้นยังไม่มา ผมเลือกร้านกาแฟตรงข้ามโรงเรียนเป็นสถานที่นั่งรอ กระทั่งกิจกรรมหน้าเสาธงจบลงผมจึงข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง

“เสือ”

“มึงเป็นสตอล์กเกอร์เหรอ” เมื่อหันไปมองต้นเสียงแล้วพบว่าเป็นไอ้เอิ้นที่อยู่ในชุดพร้อมเข้าออฟฟิศก็หยุดปากที่เอ่ยคำหยาบคายไม่ได้เลย

“เมื่อเช้าไปหาเสือที่บ้าน แม่บอกเสืออยู่นี่ หาที่จอดรถยากมาก”

“แต่ก็ยังอุตส่าห์มาให้กูด่าเนอะ มีความพยายามนะมึงอะ เป็นความพยายามที่ไร้ค่าฉิบหาย”

“ไม่ไร้ค่าหรอก แค่ได้เห็นหน้าเสือก็มีความสุขแล้ว”

“เห็นแล้วก็ไปสิ กูมีธุระ”

“ธุระอะไรที่โรงเรียนอนุบาล”

“ไม่เสือกนะ” ว่าจบก็มุ่งหน้าเข้าไปภายในโรงเรียน บอกเจตจำนงการมาให้พี่ รปภ. ทราบ เขาจึงให้อีกคนพาผมไปที่ห้องพักครู

คุณครูประจำชั้นน้องชิปเป็นหญิงสาวอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม เธอผายมือให้ผมนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานแบบครูประถม

“คุณพ่อน้องชิปเหรอคะ แต่เท่าที่ครูจำได้ ครั้งที่แล้วไม่ใช่คนนี้นี่นา”

“ผมเป็นเพื่อนพ่อน้องชิปครับ ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองชั่วคราว คืออย่างนี้นะครู เมื่อวานผมเห็นหน้าน้องมีรอยช้ำ เด็กมีเรื่องกันเหรอ”

“น้องบอกว่าล้มนะคะ”

“แล้วครูก็เชื่อ?”

เธอพยักหน้า ทำเอาผมอดที่จะกลอกตาด้วยความรู้สึกหน่ายใจไม่ได้ ให้ตายเถอะ ไม่คิดว่าครูประถมที่ต้องดูแลเด็กเล็กๆ จะมีความสามารถเท่านี้

“ครู รอยแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะหกล้มหรอกนะ”

“เดี๋ยวครูจะจับตาดูให้นะคะ จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

“ถ้าครูไม่จัดการ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง หวังว่าหลานของผมจะไม่เจ็บตัวกลับบ้านอีก”

“แค่เด็กทะเลาะกันเองค่ะ”

“นั่นไง ครูก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทแล้วยังนิ่งเฉยอยู่เนี่ยอะนะ”

“ครูไม่ได้เฉยนะคะ แต่เรื่องน้องชิปครูถามน้องแล้ว น้องก็บอกว่าล้ม ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมบอกจะให้ครูทำยังไง”

“ไม่รู้แหละ คุณเป็นครู ครูต้องเป็นที่พึ่งให้เด็กได้ การที่น้องไม่ยอมบอกคุณ นั่นก็หมายความว่าน้องไม่มั่นใจว่าคุณจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ คุณครูควรพิจารณาตัวเองนะครับ ขอบคุณที่สละเวลา ลาก่อนครับ”

ผมหันหลังให้เมื่อบอกลา

เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้หรอก จนกว่าจะหาตัวคนที่ทำร้ายหลานผมได้ ผมไม่มีทางรามือแน่


▼▲▼▲▼


ตอนผมทำงาน ผมไม่เห็นจะมีเวลาเหมือนไอ้เอิ้น

“มึงมาทำไมแต่เช้า”

ผมถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียเมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมาในตอนสายแล้วพบกับคนที่ควรจะไปทำงานแต่วันนี้กลับแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทยืนยิ้มแป้นที่หน้าห้องของผม

“ไม่ไปทำงานเหรอวะ”

“พักร้อน”

“มึงนี่ว่างเนอะ”

“จะสิ้นปีแล้ว พักร้อนยังเหลือตั้งหลายวัน”

“พักร้อนกูก็เหลือโคตรเยอะ เสียดาย ถ้ารู้ว่าจะโดนพักงานรีบใช้พักร้อนให้หมดตั้งแต่ต้นปีก็ดี”

“เดี๋ยวเอิ้นยกยอดไปไว้ให้ใช้ปีหน้าดีมั้ย”

“มันทำได้ที่ไหน แล้วกูก็บอกแล้วใช่ป่ะว่ากูลาออก แล้วนี่ทำไมไม่ส่งใบพ้นสภาพมาซักที”

“ก็ไม่ให้ออก”

“ดื้อด้านจริงนะมึง แล้วก็ออกไปจากห้องกูเลย จะนอน”

“นอนอะไร นี่สายแล้ว”

“ก็จะนอน มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“ไปหาอะไรทำแก้เบื่อกัน”

“กูไม่เบื่อ”

“เอิ้นก็ไม่เบื่อ”

“อย่ามาพูดตามได้มั้ย น่ารำคาญ”

“ไม่เบื่อจริงๆ แค่ได้อยู่กับเสือก็สะกดคำว่าเบื่อไม่ถูกแล้ว”

เฮ้ออออ~

ผมถอนหายใจใส่หน้ามันแรงๆ แล้วหมุนตัวกลับเข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงตามเดิม ดูเหมือนว่างแต่วันนี้ผมไม่ว่างหรอก ตั้งใจว่าจะไปตามสืบเรื่องน้องชิปซักหน่อย

“รอยที่ตัวจางแล้วเนอะ” เพราะผมใส่เสื้อยืดที่ทั้งเก่าและย้วย ตรงช่วงคอถึงไหปลาร้าจึงโชว์หราให้ไอ้คนมักมากกวาดสายตามองด้วยความหื่นกระหาย

มันก็ควรจะหายหรอก นี่ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว

“ทำไม มึงจะทำอีกรึไง”

“ถ้าเสือให้ทำ”

“ฝันไปเถอะ”

“ไม่ต้องฝันหรอก แค่มอมเหล้าเสือก็ได้ทำแล้ว” ก็ถูกของมัน

เกลียดตัวเองตอนเมาแค่ไหนก็เกลียดการดื่มเหล้าไม่ลงซักที

“ถึงกูจะไล่ มึงก็ไม่ไปถูกมั้ย”

“ถูกต้องนะครับ” ในเมื่อไล่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ งั้นก็ปล่อยไว้อย่างนี้แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ดีกว่า

“มึงเอารถมาป่ะ”

เจ้าของรถยนต์คันหรูพยักหน้า

“ก็ดี ไปโรงเรียนน้องชิปกัน อีกสองชั่วโมงปลุกด้วย และก็นะ อย่าคิดจะทำอะไรตอนกูหลับ เข้าใจ๊”

“เข้าใจครับ แต่ไม่รับปาก”

“อยากถูกกูยันปากใช่ป่ะ”

“โหดตลอดแต่ก็รัก”

ผมถอนหายใจอีกครั้งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปลง เป็นวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนนี้ หัวใจก็นะ มึงจะเต้นแรงไปถึงไหน เดี๋ยวไอ้คนหน้าด้านก็ได้ยินเอาหรอก


▼▲▼▲▼


เราออกจากบ้านมาตอนบ่ายหลังจากวางสายจากไอ้แชมป์ซึ่งโทรมาบอกข่าวเรื่องไอ้สนิม

ไอ้นักเผือกมืออาชีพนั่นตามตัวยากฉิบหาย คนหรือนินจา ตามตัวมา 2 สัปดาห์แล้วยังไม่เห็นหัวเลย

“น้องชิปยังไม่เลิกเรียนนี่”

“ก็ยังไม่เลิกเรียนไง”

“แล้วไปทำไม”

“ขับรถไปเงียบๆ เถอะน่า”

“เปิดเพลงได้ป่ะ”

“อยากทำอะไรก็ทำ”

“พูดจริงอะ” ถามด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ เชื่อเถอะว่าในหัวมันกำลังคิดเรื่องเอาเปรียบผมอยู่แน่ๆ ไอ้เวรตะไล ถ้าผมเป็นผู้หญิงป่านนี้ท้องลูกเป็นโหลแล้ว

“กูหมายถึงอยากเปิดเพลงก็เชิญเปิดตามสบาย”

เสียงเพลงอินดี้ไม่คุ้นหูดังขึ้นหลังจากได้รับอนุญาต รถยนต์วิ่งไปตามถนนที่เกือบโล่ง มุ่งหน้าสู่โรงเรียนของน้องชิปซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร

ผมบอกให้ไอ้เอิ้นรอที่ร้านกาแฟหลังหาที่จอดรถได้แล้ว แต่คนดื้อด้านจนเป็นสันดานก็ไม่คิดจะเชื่อฟัง เพราะขี้เกียจจะต่อปากต่อคำให้เสียเวลาจึงยอมให้มันเดินตามตูดเข้ามาในโรงเรียนต้อยๆ

“เราจะทำอย่างนี้จริงๆ เหรอเสือ”

หลังจากแลกบัตรประชาชนไว้ที่ป้อมยาม เราทั้งคู่ก็มานั่งหลบมุมเพื่อสังเกตการณ์อยู่แถวๆ พุ่มไม้ใกล้บริเวณสนามเด็กเล่น

เจ๊ศรีเคยบอกว่าช่วงบ่าย 3 โรงเรียนของน้องชิปจะปล่อยให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมนอกสถานที่

เด็กๆ เริ่มทยอยกันออกมาวิ่งเล่น โดยมีคุณครูสาวสวยนั่งมองอยู่ห่างๆ

“ชอบผู้หญิงแบบนั้นเหรอ”

“อือ กูชอบผู้หญิง” ผมรับคำทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคุณครูสาว ที่จริงก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก แค่อยากย้ำให้ไอ้เอิ้นรู้ว่าผมไม่สนใจมันสักนิด รีบตัดใจจากกูซักที

“แต่เอิ้นไม่เคยชอบใครเลยนะ เอิ้นชอบแต่เสือ”

อยู่ๆ อากาศรอบตัวก็กลายเป็นร้อนอบอ้าว จนต้องกระพือคอเสื้อเพื่อระบายอุณหภูมิในร่างกาย

ขณะที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน น้องชิปก็ปรากฏตัว มองไปยังมุมตึกที่น้องกำลังถูกเด็กตัวโตดันหลังให้เดินเข้าไปนั้น รับรู้ได้เลยว่าน้องชิปกำลังหวาดกลัว

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังบริเวณนั้นโดยมีไอ้เอิ้นวิ่งตามมาไม่ห่าง

“เราบอกครูไม่ดีกว่าเหรอเสือ”

“เดี๋ยวค่อยบอก”

หันไปบอกแล้วจึงโผล่พรวดเข้าไปยังซอกเล็กๆ มุมตึกซึ้งทั้งอับชื้นและสกปรก

สถานการณ์ทุกอย่างหยุดลงราวกับนาฬิกาหยุดหมุน

“อาเสือ” น้องชิปซึ่งนั่งแหมะอยู่บนพื้นแฉะๆ จ้องหน้าผมด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ

“ไม่เป็นไรนะครับ” เป็นไอ้เอิ้นที่เข้าไปพยุงเด็กน้อยให้ลุกขึ้น ขณะที่ผมกำลังจ้องหน้าพวกเด็กตัวโตที่มองอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่เด็กรุ่นเดียวกับน้องชิป

“คิดว่าเจ๋งนักเหรอ” ผมถามให้เด็กที่เหมือนจะเป็นลูกน้องหลบสายตา

“ลุงยุ่งอะไรด้วยล่ะ” เด็กที่เหมือนจะเป็นหัวโจกถามผมด้วยน้ำเสียงกร้าว ดวงตาที่มองมาไม่มีแววรู้สึกผิดสักนิด มันน่าตบกะโหลกจริงๆ

“อยากยุ่งมีปัญหาอะไรป่ะ”

“ลุงรู้มั้ยว่าผมลูกใคร”

“เป็นเด็กกำพร้าเหรอเรา พี่ช่วยหาพ่อให้มั้ย แต่ท่าทางจะยากนะ นิสัยแบบนี้ ใครเขาจะอยากเลี้ยง” ในดวงตาของเด็กนั่นสั่นไหว ก็รู้แหละว่าคำนั้นมันรุนแรงสำหรับเด็ก แต่ผมก็แบบนี้ พอโกรธก็ยั้งคำพูดตัวเองไม่ได้เลย

“ถ้าลุงรู้ว่าผมลูกใครแล้วลุงจะหนาว”

ความรู้สึกผิดเมื่อครู่คิดว่าเป็นโมฆะไปก็แล้วกัน

ผมโน้มตัวลงไปจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเด็กนั่น มองหน้ามันด้วยสายตากวนประสาทแล้วจึงว่า

“อ้าว สรุปมีพ่อเหรอ งงกับชีวิตนะเราน่ะ ไหน พ่อเป็นใคร บอกสิ ที่นี่ร้อนมาก อยากสัมผัสอากาศหนาวเหมือนกัน”

“ลุงอย่ามากวนนะเว้ย”

“ไม่ได้กวน ถ้าพ่อใหญ่ก็เรียกพ่อมาคุยหน่อย อยากเจอ”

ว่าจบก็ลากคอให้เด็กขี้อวดพ่อออกมาจากพบกับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยไอ้เด็กลูกกระจ้อก 2 คนก็ทำท่าจะชิ่ง โชคดีที่ไอ้เอิ้นมาด้วย มันจึงคว้าคอเสื้อไอ้เด็กขี้ขลาดเอาไว้ได้

แน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงหูครูฝ่ายปกครองแน่

นั่งรอจนเลยเวลาเลิกเรียนมาเป็นชั่วโมง พ่อที่เด็กเวรบอกว่าใหญ่นักใหญ่หนาถึงได้โผล่หน้ามา

คนที่เดินวางมาดเข้ามาภายในห้องที่ร่ำลือกันว่าเย็นนักเย็นหนาคือชายในชุดสูทท่าทางภูมิฐานคล้ายๆ ผู้บริหาร กับหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหวี่ยงโลก

ประเมินด้วยสายตาแล้ว คู่แข่งวันนี้คือมนุษย์ลุงกับมนุษย์ป้าว่ะ

“น้องบีเอ็ม เจ็บตรงไหนไหมคะลูก” คนเป็นแม่ปรี่เข้าไปถามลูก กรุณาชายตาแลหลานผมนิดนึงครับคุณนาย ตาช้ำทั้งสองข้างจนนึกว่าที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่คือหมีแพนด้า

ลูบคลำตรวจความเสียหายของสภาพร่างกายเด็กเวรเสร็จจึงได้ฤกษ์หันมามองพวกผมบ้าง สายตานั่นถ้าเปรียบเป็นมีดก็คมพอที่จะปาดคอพวกผมทีเดียวสิ้นลม

“คุณทำอะไรลูกฉัน” น้ำเสียงอ่อนโยนกลายเป็นเกรี้ยวกราด นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิง ผมกระโดดยันยอดหน้าไปแล้ว

“กันสาดบนตาบดบังทัศนียภาพเหรอคุณนาย” งอนเป็นแพจนมองไม่ออกเลยว่าเคยเป็นขนตามาก่อน

“กันสาดอะไรยะ ไร้รสนิยมที่สุด” ว่าแล้วก็กระพือกันสากผับๆ

“มองยังไงก็กันสาด” ผมบ่นอุบอิบให้คนที่อุ้มน้องชิปไว้บนตักสลับให้น้องมานั่งกับผม ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับมนุษย์แม่ผู้มีขนตางามงอนด้วยตัวเอง

“ทราบว่าคุณครูแจ้งคุณแม่ไปแล้วว่าน้องบีเอ็มทำร้ายร่างกายเพื่อน”

“ลูกชายฉันไม่มีทางทำอย่างนั้น น้องบีเอ็มเป็นเด็กดี อย่ามาใส่ร้ายลูกฉัน”

“มีเหตุผลอะไรที่พวกเราต้องใส่ร้ายเด็ก ยอมรับความจริงเถอะครับคุณแม่ว่าลูกชายคุณแม่มีปัญหา”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ฉันเลี้ยงลูกฉันมาดี อยากได้อะไรก็หาให้ อย่ามาว่าลูกฉันเป็นเด็กมีปัญหานะ”

“การมีทุกสิ่งไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเด็กสมบูรณ์พร้อม ผมไม่รู้นะครับว่าคุณแม่เลี้ยงดูน้องยังไง แต่ดูเหมือนว่าน้องจะไม่ค่อยสนิทกับคุณพ่อคุณแม่เลยนะครับ”

เมื่อมองตามสายตาคมที่ก้มมองเด็กเวรก็พบว่าเด็กนั่นเอาแต่ก้มหน้า ประสานมือกุมไข่ ไหล่เล็กๆ สั่นไหวอย่างที่มองออกในทันทีว่ากำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว

“อย่ามาทำเป็นสอดรู้ จะสนิทหรือไม่สนิทก็เรื่องของครอบครัวฉัน ที่จะเอาเรื่องเพราะอยากได้เงินใช่มั้ย เท่าไหร่ล่ะ”

“แล้วคุณนายจะให้เท่าไหร่ล่ะ” เป็นผมที่โพล่งออกไปให้ทั้งห้องตกอยู่สถานการณ์เงียบงัน

ยัยคุณนายยกริมฝีปากยิ้มหยัน

“ไม่สิ ผมถามผิดไป ที่จริงต้องถามว่าถ้าผมจะจ้างให้คุณนายเลี้ยงลูกชายซักชั่วโมง คุณนายคิดเงินเท่าไหร่”

“เธอ...”

“เอาเป็นว่าผมขอค่าเสียหายเป็นเวลาของคุณนายที่ควรจะมีให้ลูกซักชั่วโมง คงไม่แพงเกินไปใช่มั้ยครับ”

“อย่ามาทำเป็นสอดรู้ นี่มันเรื่องของครอบครัวฉัน”

“ผมไม่ได้สอดรู้ ผมไม่ได้ยุ่งเรื่องของครอบครัวคุณนาย ผมแค่เรียกค่าเสียหายอย่างที่คุณนายต้องการให้ผมเรียก นี่เด็กเวร” ผมก้มมองไอ้เด็กนั่นแล้วถามต่อ “อยากทำอะไรกับคุณพ่อคุณแม่ในวันหยุดเหรอ”

“อย่ามายุ่ง” เด็กนั่นว่าเสียงแข็งทว่าแผ่วเบา คงเพราะกลัวพ่อกับแม่ซึ่งยืนจ้องเขม็งได้ยิน

“ก้าวร้าวขนาดนี้ ยังจะบอกว่าลูกไม่มีปัญหาอีกเหรอคุณนาย”

“ก็พวกเธอ...” ยัยคุณนายจ้องผมจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เท้าในรองเท้าส้นสูงราคาแพงกระทืบเบาๆ อย่างเอาแต่ใจ

รู้เลยว่าเด็กนั่นนิสัยเหมือนใคร

“อย่าทะเลาะกันต่อหน้าเด็กเลยนะคะ ที่จริงทางโรงเรียนเคยแจ้งเรื่องนี้ไปกับพี่เลี้ยงน้องบีเอ็มแล้ว ไม่ทราบว่าคุณพ่อกับคุณแม่ได้รับรายงานจากพี่เลี้ยงรึเปล่า”

“คนไหนล่ะ”

เมื่อเจอคำถามแบบนั้น คุณครูที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองก็เงียบไป

“ฉันส่งลูกฉันมาโรงเรียนก็เพื่อให้พวกคุณอบรม แต่ในเมื่ออบรมไม่ได้ก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าครู เรียนจบจากที่ไหนกัน ไร้ประสิทธิภาพที่สุด”

“แล้วคุณนายเรียนจบหลักสูตรแม่จากที่ไหนเหรอ ถึงได้ทำหน้าที่แม่ได้ห่วยบรมขนาดนี้ ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่าโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ยังไงซะที่สองก็ไม่สำคัญเท่าที่ 1 หรอก เพราะฉะนั้นสถาบันครอบครัวจึงสำคัญที่สุด ลูกก็เหมือนกระจกสะท้อนตัวตนของพ่อแม่ครับ ถ้าอยากให้ตัวเองดูดีก็ช่วยสอนลูกให้เป็นคนดีด้วย”

“เธอ อายุเท่าไหร่กัน เป็นใครถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”

“ถ้าถามว่าเป็นลูกใครจะเหมือนกับที่ลูกคุณนายถามผมเป๊ะเลยนะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นชัดๆ”

“เสือ พอแล้ว” ไหล่ของผมถูกสัมผัสแล้วบีบเบาๆ บอกผ่านการกระทำว่าให้ใจเย็นๆ

ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องหรอก ก็แค่สงสารเด็ก

“พอเถอะคุณ” คุณพ่อที่นั่งวางมาดประเมินสถานการณ์อยู่นานออกตัวบ้าง เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวมาตรงหน้าเราเคียงข้างภรรยา “เอาเป็นว่าผมรับรู้ปัญหาของลูกแล้ว พวกคุณอยากให้ชดใช้ยังไงก็คุยกับทนายของผมก็แล้วกัน”

นามบัตรถูกยื่นมาตรงหน้า ให้เอิ้นรับเอาไป

“ขอตัวครับ” ข้อมือเล็กๆ ของเด็กสิ้นฤทธิ์ถูกจับจูงออกจากห้องปกครองไป

ถ้าไม่คิดไปเอง เมื่อมองแผ่นหลังเล็กๆ นั้นผมสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่แผ่รังสีออกมา

“จะไม่เป็นไรเหรอวะ”

“อะไรเหรอ”

“เด็กนั่นน่ะ ดูเหมือนว่ามนุษย์พ่อกับแม่คู่นั้นไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เราสื่อเลยนะ”

“เรื่องของครอบครัวเขาน่าเสือ อย่ายุ่งเลย เราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา เพราะงั้นจึงมีหลายๆ เรื่องที่เราควบคุมไม่ได้”

บอกผมแล้วจึงหันไปเอ่ยขอบคุณบรรดาคุณครูที่นั่งเป็นสักขีพยาน

พวกเราทั้งสามเดินไปตามทางเดินเท้าโดยมีน้องชิปเดินอยู่ตรงกลางจับมือของเราไว้คนละข้าง

“ชิปขอโทษฮะ” เสียงเล็กๆ ที่เจือด้วยความรู้สึกผิดรั้งพวกเราเอาไว้ให้หยุดเดินแล้วก้มลงมองเด็กน้อยที่แหงนเงยใบหน้ามองเราอยู่ก่อน

“อาเสือไม่ได้อยากได้ยินคำขอโทษแล้ว”

“ชิป...”

“ทีหลังอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว มีมือมีเท้าเหมือนกัน เป็นผู้ชายด้วย น้องชิปต้องสู้นะครับ ไม่มีใครอยู่ปกป้องน้องชิปได้ตลอด”

“ฮะ” เด็กน้อยพยักหน้ารับคำ

“สอนอะไรหลานน่ะเสือ”

“เรามีชีวิตอยู่เพื่อสู้ ถ้าไม่สู้ก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้” ผมเงยหน้าบอกไอ้เอิ้น

“เอิ้นไม่คิดอย่างนั้นนะ บางเรื่องเราก็ไม่จำเป็นต้องสู้หรอก แค่ตั้งรับ สักพักเรื่องแย่ๆ เหล่านั้นก็จะผ่านไป”

“แล้วเมื่อไหร่มันจะผ่านไป”

“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน เอิ้นจะไม่ทิ้งเสือไปไหนอีกแล้ว”

“งั้นก็ช่วยหาตัวคนที่ใส่ร้ายกูมาให้กระทืบหน่อย คันตีนฉิบหาย”

“ชอบความรุนแรงนะเราอะ”

 “แน่นอนสิ จะว่าไปเรื่องน้องชิปกับไอ้เด็กเวรนั้นทำให้กูนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนว่ะ ถ้าตอนนั้นกูมีความกล้าซักนิด มึงคงไม่ต้องถูกรังแก”

“ใครบอกว่าเสือไม่กล้า ที่ยอมเข้ากลุ่มนั้นก็เพื่อช่วยเอิ้นไม่ใช่เหรอ เสือเป็นคนดี”

“มึงเข้าใจผิดแล้ว กูแม่งเลวกว่าพวกพี่รุ่นก่อนหน้านี้อีก ทั้งรีดไถ ทั้งต่อยตี บ้าระห่ำสุดๆ ไปเลย”

“ขี้โม้”

“จริงๆ นะมึง รอยมีดดาบยังพาดอยู่กลางหลังเลย”

“สำรวจทั้งตัวแล้วไม่เห็นจะมีอะไรเลย นี่เสือ เลิกพูดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีซักที สิ่งที่เสือทำวันนี้มันทำให้เอิ้นยิ่งมั่นใจว่าความเชื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องจริง เอิ้นชอบคนไม่ผิดจริงๆ”

“มึงไม่พูดเรื่องรักๆ ใครๆ ซักพักได้มั้ย เอียนจะตายห่า”

“เขินก็บอก”

“เขินจะตายอยู่แล้วไอ้ห่า” ด่าไอ้คนมั่นหน้าเสร็จแล้วจึงนั่งลงบอกให้น้องชิปขี่หลัง

จะว่าไปผมนี่ก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะเนี่ย




[- T B C -]



อ่านคอมเมนต์ของตอนที่แล้วแล้วค่ะ
บริษัทโดนกระหน่ำเลย 555
เราก็ว่าไม่ถูกต้องหรอก แต่ก็อยากให้ตามอ่านกันไปเรื่อยๆ นะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส
 :katai4:


หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 28-08-2016 19:20:48
พี่เสือคนดีของน้องเอิ้น~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 28-08-2016 19:28:09
สะใจที่เสือตอกหน้ายัยมนุษย์ป้าจริงๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 28-08-2016 21:24:17
เสือทำดีมาก
มนุษย์พ่อมนุษย์แม่ แบบนั้น
น่ารังเกียจที่สุด

 :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-08-2016 21:42:23
ตอนที่แล้วว่าด้วยเรื่องบริษัท

ตอนนี้ว่าด้วยเรื่องมนุษย์พ่อมนุษย์แม่คู่นั้น  :m31: โมโห แต่ก็ต้องปล่อยไปอย่างเสือว่า
พ่อแม่แบบนั้นมันมีอยู่บนโลกแห่งความจริงไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีประโยคที่ว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" หรอก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-08-2016 21:45:27
บีเอ็มโดนที่บ้านดุต่อแน่ๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 29-08-2016 01:50:59
พี่เสือ~~~

 :impress2:





 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 29-08-2016 23:25:01
ฮื้ออออ อยากอ่านตอน8 ต่อเลยยย :ling1:
หรือตัวการจะเป็นนายนพคุณ  อิจฉาไรนักหนา

ครอบครัวแบบบีเอ็มนี่ก็น่าสงสาร กลับไปไม่รู้จะโดนอะไรมั่ง เป็นเด็กดีนะลูกนะ โตขึ้นมาดูแลน้องชิปด้วย  :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 29-08-2016 23:40:06
 :z3: โอ๊ยยย ค้างมากกกก ค้างอย่างแรงอ่ะ มาต่อตอนต่อไปไวๆนะเจ้าคะคนแต่งจ๋า
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 30-08-2016 12:32:41
พี่เสือคนดี
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-09-2016 16:58:58
เสือเก่งมาก
รับมือกับเอิ้นได้
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้} UP.280816
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 03-09-2016 19:57:58
ชอบตอนนี้จังค่ะ สะท้อนสังคม
สนุกมาก ติดตามค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} UP.030916
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 03-09-2016 22:52:35


ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว}




ใครบอกว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วโห ขี้โม้ว่ะ ไงล่ะผลของการทำดีช่วยเหลือเด็กถูกเพื่อนทำร้ายในวันนั้นทำให้เสือกลายเป็นคนว่างงานอย่างสมบูรณ์แบบแล้วในวันนี้

พอเจ้ศรีรู้เรื่องที่ผมไปทำไว้ที่โรงเรียนก็สั่งห้ามผมเฉียดไปใกล้ที่นั่นอีก ด้วยกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้หลาน

ให้ตายเถอะ อยากกลับไปเป็นคนเลว

พอว่างก็เริ่มฟุ้งซ่านครับแต่เมื่อเลยจุดนั้นมาได้ก็เริ่มโฟกัสสิ่งที่ควรจะทำได้สักที

“ไอ้สนิมนี่มันหาตัวยากเย็นจังวะ” ไอ้แชมป์ที่ยังนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์หลังจากไปส่งผู้โดยสารในซอยหันมามองผมก่อนล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ที่จริงไอ้สนิมไม่ได้ติดต่อยากหรอกว่ะ กูลืม ตั้งแต่ครั้งโน้นที่โทรหามันกูก็ไม่ได้โทรอีกเลย โทษทีว่ะ” ไอ้เพื่อนสมองน้อยว่าเสียงแผ่วตอนท้ายประโยค

ในใจผมนี่ร้อนรุ่มเป็นไฟ อยากลุกขึ้นไปยันมันให้หงายหลังตกมอเตอร์ไซค์ให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ไม่ทำดีกว่า บางทีเสือก็เป็นคนดี

ที่จริงก็เผื่อใจไว้เกือบครึ่งอยู่แล้วว่าสมองปลาทองอย่างไอ้แชมป์อาจจะลืมแต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นแทนที่จะย้ำมันบ่อยๆ แต่กลับปล่อยปละละเลยแล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด

“บังเอิญมากมึงไอ้สนิมมันอยู่แถวนี้เดี๋ยวมันแวะเข้ามา” มันบอกหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

ไอ้นักเสือกมืออาชีพคงมาขายงานให้กับพวกนักธุรกิจแถวนี้ล่ะมั้ง ถึงจะดูไม่มีจะกินแต่บ้านของผมก็อยู่ในชุมชนเล็กๆ กลางเมืองซึ่งท่านผู้ว่าฯ มีแผนอนุรักษ์เอาไว้ตราบนานเท่านาน

ฟังดูดี แต่ผมว่าแม่งขี้โม้ เมื่อวันก่อนยังเห็นพวกนายหน้ามาขอซื้อที่ไปทำคอนโดอยู่เลย แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้ควรจดจ่อกับปัญหาตรงหน้าแล้วแก้มันซะ

ผมพยักหน้ารับคำไอ้แชมป์แล้วกลับมารอที่บ้าน

วินมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์ร้อนฉิบหาย นั่งแป๊บเดียวก็รู้สึกเหมือนจะละลายให้ได้เลยหรือบางทีอากาศมันอาจจะร้อนปกติ เป็นผมต่างหากที่เคยชินกับการทำงานในห้องแอร์จึงไม่ค่อยชินกับสภาพอากาศสักเท่าไหร่

เสียงมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์ดังขึ้นที่หน้าบ้านตอนบ่ายเป็นสัญญานบอกถึงการมาของนักเสือกมืออาชีพ เมื่อผมลงมาถึงข้างล่างก็พบว่าพวกมันนั่งรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว

“ไม่ได้เจอกันนาน ท่าทางพี่ยังดูเหี้ยแบบเปิดเผยเหมือนเดิม”

เพิ่งเจอหน้ากันก็เสยหมัดเข้าปลายคางผมซะแล้ว ถ้าจะเหี้ยเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ไม่เรียกพี่ก็ได้มึง

“มึงก็ยังปากหมาเหมือนเดิม”

“ก็คงน้อยกว่าพี่ ว่าแต่โทรหาผมนี่มีเงินจ้างผมเหรอ”

“ไม่มีหรอก” พอได้คำตอบไอ้นักเสือกก็ทำหน้าไม่พอใจ

“ผมไม่ใช่มูลนิธินะพี่ทุกนาทีของนักค้าข้อมูลมีค่า”

“ถ้ามีค่ามากก็รีบบอกข้อมูลที่กูต้องการมาแล้วรีบไสหัวไปจะนั่งแซะกูจนรากงอกเลยรึไง”

จบประโยคไอ้สนิมก็ลุกขึ้นยืน พอถามว่าลุกทำไมจะไปแล้วเหรอ มันก็ตอบแบบกวนให้บาทาลั่นว่า‘ลุกเฉยๆ กลัวรากงอก’

ถ้าไม่ติดว่าอยากได้ข้อมูลป่านนี้มันได้ลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงจริงๆ แล้ว

“มึงเลิกกวนตีนมั้ย เดี๋ยวก็ได้ตีนจริงๆ หรอก”

“เอาล่ะ ในเมื่อพี่ไม่มีเงินผมก็ให้ข้อมูลพี่เท่าที่ผมเคยเป็นหนี้พี่ล่ะนะ”

“แล้วถ้ากูอยากได้ข้อมูลทั้งหมดกูต้องจ่ายเท่าไหร่”

“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเพราะยังไงพี่ก็ไม่มีปัญญาจ่าย”

“ไอ้สนิม ไอ้เวร” จ้องจะดูถูกกันทุกวินาที แต่ก็ถูกของมันแหละ ผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอก

“กิริยาพี่ยังต่ำเหมือนเดิม”ด่าแล้วก็ถอยห่างออกไปก้าวหนึ่ง “ฟังดีๆ นะช่วยกันจำเพราะผมจะไม่พูดซ้ำ”

ทุกคำพูดของมันเหมือนกรอกหูสะกดจิตให้ผมยอมรับว่าไอ้เสือแม่งโคตรโง่

“ข้อมูลที่พี่ต้องการมีคนซื้อไปแล้วแต่เห็นแก่ที่พี่เคยช่วยเหลือผมทีละเล็กทีละน้อยจนผมเป็นหนี้พี่สองพันถ้วน ผมจะบอกข้อมูลให้ก็ได้”

ลีลาเยอะอย่างกับลิเกหลงโรง ไอ้ห่ารีบบอกเถอะกูลุ้นจนเยี่ยวจะเล็ดแล้ว

“มีคนใกล้ตัวพี่เอาข้อมูลเท็จไปบอกลูกค้าเจ้าที่จะจบสัญญาสิ้นปีนี้”

“ข้อมูลอะไร”

“กำลังจะบอกนี่ไง” เห็นว่าตัวเองเป็นต่อคิดจะตวาดกูยังไงก็ได้งั้นสิ

ผมเสมองไปนอกประตู กำมือแน่นห้ามใจไม่ให้ปรี่ไปต่อยมัน ก็นะผมต้องการข้อมูลจากมันนี่หว่า

“คนใกล้ตัวพี่คนนั้นบอกว่าพี่จะย้ายไปทำงานกับเดอะเฟิร์ส แปลกใจนะที่ลูกค้าชอบทำงานกับคนหยาบกระด้างแบบพี่”

ยังไม่หยุดด่ากูอีก

“นั่นแหละคือเหตุผลที่เขาไปต่อสัญญากับเดอะเฟิร์ส ผมให้ข้อมูลได้เท่านี้ ลาก่อนอย่าได้พบเจอกันอีกเลย”

ถ้าแผ่เมตตาได้มันคงทำ

เหอะ! คิดว่าผมอยากเจอมันหรือไงถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากเจอหรอกโว้ย เจอหน้าไอ้สนิมทีไรนึกถึงเรื่องเลวระยำที่ตัวเองเคยทำไว้กับมันตอนเรียนมัธยมทุกที

บอกสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ คือมันเป็นเหยื่อในขณะที่ผมเป็นผู้ล่า กระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อนตอนที่มันตกงานก็ได้ผมนี่แหละที่คอยช่วยเหลือ เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจดราคาความช่วยเหลือของผมเอาไว้ กระทั่งจับพลัดจับผลูไปเสือกจนได้ดีแล้วมันก็หายหน้าไป

“แล้วมึงบอกกูได้มั้ยใครเป็นคนซื้อข้อมูลไป”

ผมถามให้มันชะงักฝีเท้าแล้วเอี้ยวตัวมามอง

“ความลับทางการค้า”

ผมไม่สนใจแม้แต่จะมองแผ่นหลังของคนที่เดินผ่านประตูบ้านออกไป ในหัวกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องคนใกล้ตัวและคนที่ซื้อข้อมูลตัดหน้าผมไป

ไอ้เอิ้นหรือเปล่านะ

ผมต่อสายหามันทันทีเพื่อคลายความสงสัย

“ไงเสือคิดถึงเอิ้นเหรอ”

“ฝันกลางวันเหรอวะ มึงไม่ต้องชวนคุยนอกเรื่องเลยตอบคำถามกูให้ไว”

“เรื่องอะไรครับ”

“มึงซื้อข้อมูลจากไอ้สนิมตัดหน้ากูใช่มั้ย ได้ข้อมูลอะไรมาบ้างบอกให้หมดอย่าคิดจะกั๊กเชียว”

“เสือรู้จักคุณสนิมด้วยเหรอ”

“เออดิถ้าไม่รู้จักกูจะถามถึงมันได้ยังไง โง่ระดับนี้ไม่น่าเป็นผู้บริหาร”

“ปากหวาน”

“กูด่า”

“รู้ครับแต่ที่บอกว่าปากหวานน่ะหมายถึงปากเสือต่างหาก”

“ไอ้เอิ้น ไอ้ระยำไม่ต้องมาหยอดกูไม่ใช่กระปุกออมสิน มึงรีบบอกข้อมูลมาเปลืองค่าโทรฉิบหาย”

“วางสิเดี๋ยวเอิ้นโทรกลับจะได้คุยกันยาวๆ”

ผมไม่ได้ตอบรับแต่เลือกที่จะตัดสายทันที ช่วงนี้ตกงานอะไรประหยัดได้ก็ทำหมดแหละ และหลังจากนั้นไม่เกิน 20 วินาทีโทรศัพท์ในมือผมก็ดังขึ้น ไม่ต้องมองจอก็รู้ว่าใคร

“เล่ามา”

“คิดถึงเสือมากอะ มากแบบมากๆๆๆ เลย” วิญญาณสาวน้อยเข้าสิงเหรอเสียงโคตรแอ๊บแบ๊วแบบที่ภาพจินตนาการใบหน้าคนพูดชัดเจนในความคิด

“อะไรของมึง”

“ก็เสือบอกให้เล่า”

“ไอ้…” ไอ้ห่าหมดคำจะด่า ผมท่องยุบหนอพองหนอในใจผ่อนลมหายใจเข้าและออกเมื่อสงบจิตใจได้จึงว่าต่อ “กูหมายถึงเรื่องไอ้สนิม”

“อ๋อนี่เอิ้นยังติดต่อเขาไม่ได้เลยเหมือนจงใจจะไม่ขายข้อมูลให้อะ”

“มึงพูดจริงเหรอ”

“เอิ้นไม่เคยโกหกเสือเหมือนกับที่ไม่เคยโกหกหัวใจตัวเองเรื่องเสือเลยซักครั้ง”

เงียบจนได้ยินเสียงไอ้แชมป์ที่นอนอยู่บนโซฟาพลิกตัว

“ตลอดอะมึง แค่นี้แหละกูจะวางแล้ว” หน้าร้อนไปหมด

“เขินอะดิ”

“เหอะ”

“เหอะแปลว่าเขิน อ้อเสือเย็นนี้เอิ้นไม่แวะไปที่บ้านนะ”

“บอกกูทำไมไม่อยากรู้”

“กลัวเสือจะรอเก้อ”

“กูไม่เคยรอมึง”

“เสียงสั่นเชียว”

นี่ก็แซวไม่เลิกเลย ว่าแต่เสียงสั่นจริงเหรอวะ กระแอมสักทีเผื่อจะได้หายสั่นและพอผมทำอย่างนั้นเสียงหัวเราะก็ดังลอดออกมา

“เสือน่ารักจริงๆ ด้วย ไม่ต้องห่วงเอิ้นนะคืนนี้ถ้าถึงบ้านแล้วจะโทรหา”

ใครห่วงมัน

“เออๆ”

แม้จะแอบตั้งคำถามในใจแต่ผมก็รับคำแบบส่งๆ แล้วชิ่งวางสายก่อน

แอร์เสียเหรอวะ ทั้งมือชื้นเหงื่อใบหน้าก็ร้อนผ่าวเหงื่อซึมที่ไรผมด้วย ร้อนว่ะ แอร์ต้องเสียแน่ๆ เลย

“พวกมึงกลับมาสนิทกันแล้วเหรอวะ ดีจังเนอะไอ้เอิ้นแม่งโคตรเป็นคนดี”

เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกัน ที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าคืนดีกันแล้วได้หรือเปล่า ไอ้เอิ้นอาจจะให้อภัยผม แล้วผมล่ะให้อภัยตัวเองได้แล้วเหรอ

“คนใกล้ตัวที่ไอ้สนิมพูดถึงน่ะมึงพอจะคิดออกมั้ยว่าเป็นใคร”

“ไม่รู้สิ” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟา “ไม่แน่ใจด้วยว่าคำบอกเล่าของคนที่ขายข้อมูลให้ศัตรูของกูเชื่อได้แค่ไหน”

“แต่ไอ้สนิมเป็นรุ่นน้องเรานะ”

“เป็นรุ่นน้องที่รักกูมากเลยเนอะ”

หน้าเงินขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าบางทีอาจจะมีคนจ้างให้มันเอาข้อมูลเท็จมาบอกผมก็ได้นี่หว่า

ไม่รู้แหละ ไม่อยากคิดแล้ว พอตกบ่ายร่างกายก็ต้องการการพักผ่อนด้วยความเคยชิน ผมยื่นเท้าไปสะกิดให้ไอ้แชมป์ลุกจากโซฟาตัวยาวแล้วค่อยพาตัวเองไปนอนแทนที่

แอร์เจ้ศรีเริ่มทำความเย็นอีกครั้ง สุดยอด สบายจัง



▲ ▼▲ ▼▲ ▼



“แกจะเดินลอยไปลอยมาอาศัยของในร้านฉันประทังชีวิตไปถึงเมื่อไหร่”

คำถามของเจ้ที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไหร่ผมก็จำต้องหยุดทุกการกระทำเพื่ออธิบาย

อยากถามกลับเหมือนกันว่าถามบ่อยๆ และได้ยินคำตอบเดิมๆ ไม่เบื่อบ้างเหรอ

ผมรับไส้กรอกที่เพิ่งอุ่นเสร็จจากพนักงานของเจ้แล้วจ่ายเงิน เห็นไหมผมไม่ได้กินฟรีสักหน่อย ถ้าพกตังค์มาด้วยก็จ่ายตลอดแหละ

“เสือบอกแม่แล้วไงว่าที่ยังไม่หางานใหม่ก็เพราะรอให้ทางบริษัทพิสูจน์ความบริสุทธิ์เรียบร้อยก่อนแล้วจะรีบหางานทันที”

“ถ้าทั้งชาตินี้เขาพิสูจน์ไม่ได้ แกไม่ต้องนั่งๆ นอนๆ ให้ฉันเลี้ยงไปตลอดรึไง”

พูดซะเหมือนเสือเป็นคนพิการนั่งง่อยให้แม่ป้อนข้าวป้อนน้ำเลยว่ะ

“แม่ไม่เชื่อใจเสือเหรอ”

“แกเป็นลูกฉัน ถ้าไม่เชื่อใจลูกจะให้เชื่อใจใคร”

ผมหยุดมือที่กำลังพาไส้กรอกเข้าปากเพื่อมองหน้าแม่เต็มสองตา อยู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็เอ่อล้นจนเต็มหัวใจผมเรียกมันว่าความรู้สึกตื้นตัน

“เสือขอเวลาแค่ 3 เดือนแม่ ถ้าเสือพิสูจน์ตัวเองไม่ได้เสือก็จะเกาะแม่กินต่อไป”

“ไอ้ลูกเวร!”

ชิ่งสิครับรอให้ขวดบินมาฟาดกบาลเหรอ มันก็รู้สึกดีนะที่ได้รับรู้ความห่วงใยจากแม่ด้วยคำพูด

ซึ้งแต่อย่างไรก็ไม่ชินอยู่ดีก็ผมกับเจ้ศรีเป็นแม่ลูกคู่กัดนี่หว่า

ผมได้รับโทรศัพท์จากไอ้เอิ้นตอนเกือบเที่ยงคืน เสียมารยาทเนอะก่อนโทรไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะหลับไปแล้ว แต่ผมก็นะเสือกใจง่ายรับสายมันเฉย

ระหว่างคุยกันผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าในน้ำเสียง อยากรู้อยู่หรอกแต่ก็ไม่อยากถามเดี๋ยวมันเข้าข้างตัวเองหาว่าผมเป็นห่วงอีก

“มึงจะวางยังกูจะนอนแล้ว”

“เสือก็วางก่อนสิ”

“เอองั้นแค่นี้นะ”

“เดี๋ยวสิ” กำลังจะตัดสายเสียงก็ดังลอดออกมาให้แนบโทรศัพท์ไว้ที่หูตามเดิม

“อะไรอีก มึงกำลังทำให้กูพักผ่อนไม่เพียงพอนะเนี่ย”

“จะไม่บอกฝันดีหน่อยเหรอ”

“ถ้ากูบอกฝันดีแล้วมึงจะฝันดีเหรอ งั้นขอให้มึงฝันร้ายทั้งคืน แค่นี้แหละกูจะหลับจะนอน”

“ฝันดีครับ”

“กูไม่อยากฝันโว้ย” ผมตะโกนใส่โทรศัพท์แล้วจึงตัดสาย ทิ้งตัวลงบนที่นอนพยายามข่มตาลง

เชรดดด~~

เพราะคำบอกลาว่า ‘ฝันดีครับ’ ของไอ้เอิ้นที่ดังก้องในหูราวกับมันกระซิบทำให้หลับไม่ลงทั้งคืนเลย

ไอ้เอิ้นกูจะฆ่ามึง



▲ ▼▲ ▼▲ ▼



‘รับสมัครพนักงาน 1 ตำแหน่ง’

“พี่เก่งลาออกเหรอเจ้”

“มันบอกว่ากลับบ้านนอกไปทำนา”

“เสือก็อยากมีบ้านนอกให้กลับบ้างจัง”

“จ่ายเงินด้วย”

อุตส่าห์ชวนคุยเนียนๆ เพื่อจะได้กินนมฟรีซักหน่อยถูกจับได้เฉยเลย ไม่เนียนควรไปฝึกมาใหม่

“เสือไม่ได้เอาเงินลงมาแปะโป้งไว้ก่อน”

“กะจะลงมากินฟรีล่ะสิ นิสัย”

นิสัยหล่อไง แต่ก็มีคนที่หล่อกว่า เกลียดหน้ามันว่ะ

“จ่ายค่านมเสือด้วยครับ” ไอ้เอิ้นครับเสนอหน้ามาตอนสายๆ แบบนี้โดดงานมาชัวร์

รอยยิ้มหวานๆ ถูกหยิบยื่นให้ก่อนเจ้าของมันจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เปิดขวดนมแล้วกระดกรวดเดียวจนหมด

“ไหนๆ มึงก็เลี้ยงแล้วขอกินให้อิ่มเลยได้มั้ย”

ความเกรงใจคืออะไรไม่รู้จักเลย เพียงชายคนนั้นพยักหน้าผมก็รีบปรี่ไปเปิดตู้แช่แล้วหยิบอาหารกล่องออกมายื่นให้เจ้าเอฟพนักงานคนเดียวที่เหลืออยู่แล้วจึงกลับมานั่งที่เดิมเพื่อรอ

“คนถูกพักงานสบายขนาดนี้เลยเหรอ”

“มาก” ผมลากเสียงยาวมากๆๆๆๆ

“อิจฉา”

“ไหนๆ ก็ไม่ยอมให้ออกแล้วก็ช่วยเอาเวลาเตร็ดเตร่ไร้สาระไปหาความจริงมาพิสูจน์กูด้วยครับ”

“ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ซักหน่อย อ่อเรื่องคุณสนิมดูเหมือนคนที่ซื้อข้อมูลไปจะเป็นคนจากเดอะเฟิร์สนะ”

“ไอ้เวรนั่น อย่าเอ่ยชื่อให้ได้ยินได้มั้ย แค้นว่ะ”

ติ้ง!

เสียงไมโครเวฟดังเตือนให้รู้ว่าอาหารอุ่นเสร็จแล้ว ไอ้เอิ้นลุกขึ้นยืนทันทีราวกับตั้งโปรแกรมเอาไว้จะร้องเรียกก็ไม่ทันในเมื่อมันเดินไปจนถึงเคาน์เตอร์ซะแล้ว

พอได้ของแล้วก็ไม่รีบกลับมา แวะคุยกับเจ้ทำไม ไม่ได้หวงแม่ครับ แต่ผมหิว

“หิวโว้ย”

ทั้งไอ้เอิ้นและเจ๊ศรีหันมามอง ส่ายหน้าคล้ายเอือมระอาผมแล้วก็หัวเราะคิกคัก

เข้าขากันดีเหลือเกิน

อย่า อย่าให้เสือมีพวกจะตอบแทนให้สาสม

“คุยไรกันวะ” ผมถามเมื่อกลิ่นอาหารลอยอยู่ตรงหน้า ไม่ได้อยากรู้หรอกก็แค่ถามไปตามมารยาทเท่านั้น

“สนใจเรื่องเอิ้นแปลว่าชอบเอิ้นแล้วล่ะสิ”

“ไอ้กวินเป็นไงบ้างวะไม่เห็นมันโทรมาเลย”

“หืม” คิ้วเข้มเลิกสูงเมื่ออยู่ๆ ผมก็เปลี่ยนเรื่อง

“เนี่ยกูสนใจเรื่องไอ้กวินก็หมายความว่ากูชอบมันอะดิ สมองก็มีหัดคิดวิเคราะห์บ้างนะมึง ไม่ใช่เอาแต่คิดถึงกูไปวันๆ รู้ครับว่าเสน่ห์แรงมากแต่ช่วยหักห้ามใจด้วย”

“หลง…”

“มึงว่ากูหลงตัวเองเหรอ” กล้าว่าเสือเดี๋ยวก็เบิ้ดกะโหลกซะหรอก

“ถ้าเสือจะหลงตัวเองก็ไม่แปลกหรอก ขนาดเอิ้นที่ไม่ได้เจอเสือตั้งหลายปียังหลงเสือเลย”

เลี่ยนจนอยากจะสำรอกข้าวที่เพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี้ออกมาเลยว่ะ พอผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกคนตรงหน้าก็ยิ้มชอบใจให้เจ้ศรีที่น่าจะยืนสังเกตการณ์อยู่สักพักเข้ามาสมทบ

“บอกไปแล้วใช่มั้ยหนูเอิ้น”

บอกอะไร? ผมมองกลับส่งคำถามผ่านสายตาขณะดื่มน้ำจากขวด

“แม่อยากให้เสือหางานทำ”

“มึงจะยอมให้กูลาออกแล้วเหรอ” แทนที่จะดีใจแต่ลึกๆ กลับรู้สึกเจ็บปวดพิกล

“เปล่า” พอได้ยินแบบนั้นบวกกับน้ำเสียงอ่อนโยนผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา

“แล้วไง”

“ถ้าไม่ใช่งานประจำเอิ้นก็พอจะอนุญาตให้ทำได้อยู่”

“ทำไมเจ้อยากให้เสือทำงานนัก” ถ้ามีเหตุผลดีๆ ผมจะรีบปรี่ไปหางานทำเดี๋ยวนี้เลย

“แม่ไม่อยากให้แกฟุ้งซ่าน”

ยอมเลยปกติเจ๊พูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนซะที่ไหน ไม่บ่อยหรอก

ผมมองหน้าเจ้สลับกับหน้าไอ้เอิ้นแล้วมองเลยไปข้างหลังอย่างเลื่อนลอย ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับป้ายรับสมัครงานที่น่าจะเพิ่งถูกแปะตรงหน้าร้าน

ผมชี้นิ้วไปยังจุดนั้นก่อนจะวางของกินในมือลงแล้วก้าวไปกระชากป้ายออก ชูมันขึ้นสูงแล้วตะโกนถามเจ้เจ้าของร้านสะดวกซื้อ

“เงินเดือนเท่าไหร่เจ้”

“จ่ายรายชั่วโมง”

“งั้นก็ไม่นับว่าเป็นงานประจำถูกมั้ย”

ทั้งคู่พยักหน้า

“งั้นเสือสมัคร เริ่มงานพรุ่งนี้นะ ฝากตัวด้วยครับ”

ไม่เปิดโอกาสให้เจ้ศรีปฏิเสธหรอก รีบชิ่งก่อนเลย



▲ ▼▲ ▼▲ ▼



ถ้าขืนยังทำงานกับเจ้ศรีไปเรื่อยๆ แบบนี้ผมต้องตายบนกองเงินกองทองแน่ๆ เลยว่ะ

อยู่ร้านคนเดียวทำสารพัดสิ่งมาเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม ถามว่าสภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ซิกแพ็คกำลังจะแปลงร่างเป็นพุงแล้วครับ ถึงจะอยู่ในฐานะลูกจ้างแต่ที่นี่ร้านแม่ผมนะเว้ย พอหิวก็เปิดตู้แช่หาของกิน เครียดก็กิน เหงาก็กิน ชีวิตดีแต่ก็มีช่วงที่ชีวิตบัดซบเหมือนกัน ก็ตอนที่เจ้จับได้ว่าแอบกินของในร้านยังไงล่ะ

“อาหารกลางวันเสร็จแล้วนะ”

นี่ไงนอกจากงานดูแลร้านแล้วยังต้องทำหน้าที่เป็นดิลิเวอร์รี่แมนส่งอาหารที่อัดแน่นด้วยความรักของเจ้ศรีถึงออฟฟิศไอ้เอิ้นอีก

“รีบไปล่ะเดี๋ยวไม่ทันเวลาพักกลางวัน อ่อแวะซื้อชาเข้าไปหนูเอิ้นด้วยจะได้ลดกาแฟลงหน่อย”

ดูแลดีกว่าลูกอีก กับผมนี่ไม่เคยแสดงความห่วงใยขนาดนี้หรอก

“คร้าบๆ”

ดูเป็นคนว่าง่ายไปอีก ที่จริงผมเคยเถียงนะ เถียงบ่อยด้วย เถียงทีก็หักเงินผมที มาคิดๆแล้วโคตรจะไร้ประโยชน์และเสียผลประโยชน์ ดังนั้นการก้มหน้าก้มตาทำไปให้มันจบๆ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้

การมีเจ้ศรีเป็นเจ้านายทำให้ผมหวนคิดถึงช่วงที่ตัวเองยังทำงานอยู่เหมือนกันนะ

ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตอนนั้นผมเป็นหัวหน้าแบบไหน คำพูดและการกระทำของผมทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจจนลาออกหรือเปล่า

บางทีสาเหตุที่เราเติมพนักงานไม่เต็มพื้นที่ขายซักทีอาจจะเป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่พยายามแก้ปัญหาให้สุดความสามารถ ลองแก้แค่วิธีเดียวเมื่อมันไม่ได้ผลก็ปล่อยผ่านไปทำให้มันกลายเป็นปัญหายืดเยื้อแก้ไม่ได้สักที

“วันนี้มีอะไรกินบ้างคะคุณเสือ”

เสียงทักดังขึ้นดั่งกิจวัตร หลายๆ คนหันมาทักทาย สถานะตอนนี้ทำให้พวกเราทักทายกันอย่างเป็นกันเองกว่าตอนทำงานด้วยกันซะอีก ยกเว้นก็แต่คนที่เคยมีศักดิ์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาผมโดยตรง

ไอ้กวินไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับผมตรงๆ ด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยสนใจข้อมูลจากไอ้สนิมสักเท่าไหร่หรอก ไม่คิดว่าคนที่ร่วมหัวจมท้ายแก้ปัญหาด้วยกันมาจะทำร้ายกันได้ แต่พอเจอไอ้กวินที่มีพฤติกรรมแปลกๆ ผมก็ไม่สามารถมองข้ามมันไปได้จริงๆ

“ไม่กินข้าวกินปลากันเหรอออฟฟิศนี้” มองนาฬิกาก็เลยเที่ยงมานิดนึงแล้ว

“ถามอย่างกับไม่เคยทำงานที่นี่”

“ก็แหม ออกไปตั้งเดือนกว่าแล้วก็คิดว่าออฟฟิศอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง”

“เปลี่ยนสิ พอเธอไม่อยู่ สาวๆ ก็เหงาเลย” ผมยิ้มแล้วกวาดสายตามองทั่วทั้งออฟฟิศ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม จะเปลี่ยนก็แค่ความว่างเปล่าตรงที่นั่งประจำของผม

คิดถึงเหมือนกันแฮะ

“เมื่อไหร่พี่เสือจะกลับมาคะ” น้องดาวสาวสวยเพียงหนึ่งในทีมของผมถามแล้วทำหน้ายุ่งๆ เธอน่าเอ็นดูมากนะ เป็นผู้หญิงที่น่ารัก ยกเว้นเวลาทะเลาะกับแฟน

“พี่บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องรอ พี่ไม่กลับมาแล้ว”

“แต่ดาวคิดถึงพี่เสือจริงๆ นะ ทำงานกับใครก็ไม่สบายใจเท่าพี่เสือ เนอะพี่กวิน”

คนถูกถามความเห็นมองผมเต็มตาเป็นครั้งแรก

“ผมคิดว่าผมไหวนะ พี่เสือไม่ต้องห่วงหรอก ผมเอาอยู่”

“พี่เชื่อใจเอ็ง” ตบไหล่มันปุๆ แล้วจึงมุ่งตรงไปยังจุดหมายซึ่งน่าจะกำลังหิ้วท้องรออยู่ข้างบน

“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ มีอะไรรึเปล่า” คงเพราะผมยืนมองไอ้กวินที่หน้าห้องนานเกินไปคนเป็นเจ้าของห้องจึงเป็นฝ่ายเปิดประตูแล้วรับกล่องข้าวจากมือของผมไป

“เปล่า” ผมละสายตาแล้วก้าวตามเข้าไปโดยไม่ลืมปิดประตู

“สงสัยใครในออฟฟิศเหรอ”

“เปล่า นี่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมมั้ย เอามาแบ่งกันบ้างสิ”

“ทางสำนักงานใหญ่เป็นฝ่ายจัดการเรื่องนี้ ไม่มีรายงานถึงเอิ้นเลย ว่าแต่เสือเถอะได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”

“ถ้าได้โปรเจ็คใหม่มา ใครจะเป็นคนได้ทำ กวินรึเปล่า” ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบโดยถามเรื่องอื่นแทน

“เสือนี่ห่วงกวินจัง ที่จริงตั้งใจว่าจะให้เสือดูแล แต่ถ้าเสือยังยืนยันที่จะลาออก เราก็คงต้องให้กวินเค้าไป เสียดายนะ ลูกค้ารายนี้อยากทำงานกับเสือ ลองกลับไปตัดสินใจใหม่มั้ย”

“ก็ได้ ถ้าอยากให้กูกลับมาทำงาน ก็รีบจัดการเรื่องของกูซะ”

“พูดจริง พูดเล่น”

“นี่เสือนะ เคยพูดเล่นด้วยเหรอ”

“มีแผนอะไรรึเปล่า”

“เปล่า พอได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศเดิมๆ แล้วอดคิดถึงไม่ได้ว่ะ ทำงานที่ไหนก็ไม่สบายใจเท่าที่นี่ กูฝากความหวังไว้ที่มึงนะเอิ้น มึงต้องช่วยกูนะ”

“ช่วยอยู่แล้ว” มือของผมถูกกุมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ สวยตาหวานซึ้งถูกส่งมาพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มเข้ามาใกล้ ผมถอยห่างแต่กลับถูกมืออีกข้างรั้งท้ายทอยเอาไว้

ไม่เปิดโอกาสให้เอาตัวรอดเลยว่ะ

“มึงจะทำอะไร”

“คิดว่าจะทำอะไร คิดว่าเอิ้นจะจูบเหรอ อยากเหมือนกัน จูบได้มั้ยล่ะ”

“จูบได้” ผมบอกอย่างใจเย็นขณะที่สายตาของเราทั้งคู่ยังไม่ละจากกันและกัน “แต่ว่า...”

ผมยกยิ้มร้ายกาจแล้วจึงจับหลอดที่เสียบอยู่ที่แก้วชาเขียวยัดใส่ปากที่โน้มเข้ามาใกล้ บังคับให้มันดื่มชาให้ใจเย็นและเลิกหมกมุ่นซักที

มองใบหน้าที่แสดงความรู้สึกว่ากำลังงอนแต่ปากกลับกำลังดูดน้ำอย่างจดจ่อแล้วก็ได้แต่ขำ

จูบกับหลอดคงฟินน่าดู ใช่มั้ยเอิ้น




[- T B C -]


จริงๆ อยากอัพให้ได้สัปดาห์ละหลายตอนกว่านี้ค่ะ
แต่ไม่สามารถจริงๆ
สำหรับใครที่รอ ขอบคุณที่รอนะคะ ทุกๆ คอมเมนต์อ่านแล้วชื่นใจจริงๆ
สำหรับคนใกล้ตัว...คิดว่าหลายคนมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะ
อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ มาลุ้นไปด้วยกัน
เคยบอกรึเปล่าว่าเรื่องนี้เป็นคอมเมดีนะคะ เพราะงั้นเราจะไม่เน้นเรื่องเครียด
จะค่อยๆ แก้ไขปัญหาไปแบบคอมเมดี้และการหยอดที่ไม่มีวันลดลงของคุณเอิ้น
เจอกันตอนหน้า
รัก
 :impress2:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} UP.030916
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 04-09-2016 00:21:25
กวิน? กวินที่หักหลัง?
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} UP.030916
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-09-2016 20:23:54
ท่าทางจะเป็นกวิน

เอิ้นมีความสามารถในการหยอดมากกกกกก ยอมใจเลย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} UP.030916
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-09-2016 21:06:08
บริษัทนี้ควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่มีพนักงานที่มีอิทธิพลกับการตัดสินใจต่อสัญญาของลูกค้าขนาดนี้
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} UP.030916
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-09-2016 02:17:27
สงสัยทำกันเป็นขบวนการ แล้วก็วินวินกันทั้งสองฝ่ายแน่เลย
ทั้งยัยเพื่อนเก่ากับกวิน เห้ออออออ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 8 {คนใกล้ตัว} UP.030916
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 05-09-2016 06:56:57
กวินน่าสงสัยจริงๆ

 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 11-09-2016 16:05:36


 
ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4}



“วันนี้ทำงานกะดึกเหรอ” เสียงกระดิ่งกรุ้งกริ้งที่หน้าประตูจบลงพอดีกับประโยคคำถามที่ดังขึ้น ไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าเป็นใคร

“เรียกว่า ‘กะ’ ไม่ให้ได้พักได้ผ่อนน่าจะถูกกว่า”

ทำงานคนเดียวมาตั้งแต่เช้า ไอ้เอฟแม่งจะมีธุระอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ไม่เห็นใจกูบ้างเลยครับ เพลียจะตายแล้ว

“อยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวเอิ้นเลี้ยง”

“มึงช่วยทำงานแทนกูจะดีกว่า ของีบซักแป๊บ ง่วงจะตายแล้ว” ผมถอดผ้ากันเปื้อนสีส้มอ่อนซึ่งเป็นสีประจำร้านส่งให้พนักงานจำเป็นแล้วทิ้งตัวลงบนเปลที่เตรียมไว้

“ก็ฟังเพลงแบบนี้ ไม่ง่วงได้ไง”

เพลงอะคลูสติกถูกเปลี่ยนเป็นเพลงร็อคหนักๆ ให้ผมผงกศีรษะขึ้นมาชี้หน้าด่า

“กูจะนอนไง เปลี่ยนกลับไปเพลงเดิมเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เดี๋ยวเอิ้นง่วงตาม”

“อดทนสิวะ โตแล้ว”

ไม่รู้เรื่องเลยเว้ย

“วันนี้ เอิ้นเข้าไปเซ็นสัญญากับลูกค้าเจ้าใหม่แล้วนะ”

“อือ”

“ลูกค้าถามถึงเสือด้วย”

“แล้วตอบไปว่าไง”

“บอกว่าจะได้ร่วมงานกับเสือแน่นอน เขาดีใจใหญ่เลยนะ”

“งั้นเหรอ ไปรับปากกับเขาแบบนั้นทั้งๆ ที่ยังแก้ปัญหาเรื่องกูไม่ได้จะไม่เป็นไรเหรอวะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนไว้ใจเสือ”

“ไว้ใจเหรอ” อยากจะหัวเราะให้ความหล่อกระเด็นกระดอน “ถ้าพวกมึงไว้ใจกู กูคงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้หรอก”

“เสือ...”

เสียงการมาเยือนของลูกค้าดังขึ้นขัดจังหวะพอดี

“ยินดีต้อนรับครับ”

กระทั่งบุคคลที่ 3 จากไป บทสนทนาระหว่างเราจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

“เอิ้น มึงช่วยอะไรกูอย่างนึงได้มั้ย”

“หลายๆ อย่างก็ได้”

“อย่างเดียว ช่วยกูแค่อย่างเดียวก็พอ แล้วหลังจากนี้กูจะจัดการทุกอย่างเอง”



▲▼▲▼▲▼



ข่าวเรื่องการกลับเข้าทำงานที่เดอะเอเจ้นของผมแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของไอ้เอิ้น

“คุณเสือ วันนี้เปลี่ยนลุคเหรอคะ”

จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าเปลี่ยนงานน่าจะถูกต้องกว่า

เพราะงานที่ร้านมินิมาร์ทของเจ้หนักเกินไปผมก็เลยลาออก ถ้าพูดอย่างนั้นก็คล้ายกับว่าเสือกำลังโกหกให้ตัวเองดูดี แท้ที่จริงแล้ว ผมถูกเจ้ศรีเชิญออกด้วยเหตุผลที่ว่าผมทำกำไรของร้านลดลง

อะไรวะ ก็แค่แอบกินของกินในตู้แช่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ถึงกับทำร้านขาดทุนเชียวเหรอ เจ้ศรีก็เวอร์ไป

ถามว่าคนอย่างเสือเดือดร้อนมั้ย ก็ไม่นะ คนปรับตัวเก่งอย่างผมหางานไม่ยากหรอก พอคืนผ้ากันเปื้อนปุ๊บก็หยิบเสื้อวินมาสวมทันที

ตอนนี้ไม่ใช่เสือพนักงานร้านมินิมาร์ทแล้วนะเว้ย แต่เป็นพี่วินสุดหล่อประจำซอย 4 บอกเลยว่าฮ็อตสุดๆ

“ลืมรสกาแฟร้านพี่ไปแล้วหรือยังคะ ส่งของเสร็จแล้วแวะลงมาคุยกันก่อนนะ”

ครับ ผมมาส่งของ ถึงแม้ไม่ได้ทำงานที่ร้านแต่เจ้ร้านมินิมาร์ทก็ยังจิกหัวใช้ผมมาส่งข้าวส่งน้ำเด็กข้างบ้านสุดที่รักอยู่ดี ค่าจ้างดีกว่าวิ่งวินแถมได้กินข้าวฟรีด้วย

ผมไม่ได้รับปากคุณอลิซแต่เชื่อเถอะว่าเมื่อผมลงมาเธอต้องรั้งผมเอาไว้แน่ๆ

แอบดีใจนะ ไม่ได้ลิ้มรสกาแฟราคาแพงมานานแล้ว ระหว่างตกงานดื่มแต่กาแฟรถเข็นราคาไม่เกิน 20 บาท ถึงราคาจะถูกไปหน่อยแต่เรื่องรสชาตินี่ไม่เป็นรองใครเลยนะ

ลิฟต์พาผมขึ้นมาที่ชั้นออฟฟิศ ประตูอัตโนมัติยังทำหน้าที่ดีพอๆ กับพี่ประชาสัมพันธ์ซึ่งทำเพียงเงยหน้ามองผมเช่นเคย

แต่...

“คุณเอิ้นมีแขกค่ะ”

วันนี้ทักผมด้วยว่ะ

“ผมเอาข้าวมาส่งครับ”

“รอก่อนค่ะ เดี๋ยวพี่แจ้งคุณเอิ้นก่อน”

ผมพยักหน้าแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับผู้มาติดต่อ เมื่อได้ลองนั่งตรงนี้แล้วมองไปรอบๆ ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่เหมือนกัน ตอนทำงานผมแทบจะไม่เคยนั่งตรงนี้เลยสักครั้ง เพียงเดินผ่านไปมาเท่านั้นเอง

“พี่เสือ ทำไมวันนี้แต่งตัวแปลก” น้องดาวที่เหมือนจะเพิ่งกลับเข้าออฟฟิศทักทาย เหลือบมองที่มือก็พบกับอาหารกลางวัน

“แอบลงไปซื้อข้าวอีกแล้ว”

“ขอพี่กวินแล้วเหอะ ดาวดีใจนะที่พี่เสือจะกลับมา”

“แล้วคนอื่นดีใจมั้ย”

“ดีใจสิคะ จะบอกอะไรให้” เธอก้มลงมาแล้วป้องปากกระซิบราวกับว่าสิ่งที่กำลังจะพูดนั้นเป็นความลับ “ดาวไม่ชอบทำงานกับพี่กวินเลย พอพี่เสือไม่อยู่ กร่างมากอะ ทำงานด้วยโคตรลำบาก”

“ไม่จริงมั้ง”

“ไม่รู้แหละ แต่ดาวไม่ได้โกหกแน่นอน”

“คุณเสือ เชิญข้างในได้ค่ะ” เสียงเรียบๆ ของพี่ประชาสัมพันธ์ทำให้บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ผมเดินตามน้องดาวเข้าไปข้างใน ทักทายทุกคนด้วยลุคใหม่แปลกตาแล้วจึงเดินตรงขึ้นไปยังชั้น 2

เคาะประตูเบาๆ เดี๋ยวคนข้างในจะหาว่าผมไร้มารยาท ตะโกนบอกเป็นของแถม แล้วจึงผลักประตูเข้าไป

“วันนี้...” มือที่ถือกล่องข้าวตั้งใจจะยกขึ้นโชว์ชะงักค้างกลางอากาศ เช่นเดียวกับคำพูดที่หายเข้าไปในลำคอ

ผมจ้องมองเจ้าของห้องสลับกับสาวสวยที่นั่งอยู่บนโซฟา และเป็นเธอคนนั้นที่ระบายรอยยิ้มสวยผ่ากลางความงุนงงให้ผมยิ้มกลับเก้อๆ

“คุณเสือใช่มั้ยคะ”

รู้จักผมด้วย

ไม่มีแม้แต่เวลาตั้งคำถาม ผมพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ

“ได้ยินชื่อมาตั้งนาน ยินดีที่ได้เจอนะคะ”

‘ใครวะ’ ผมหันไปทำปากพะงาบถามคนที่ทำเพียงนั่งมองเราสลับไปมา และเป็นมันที่กวักมือเรียกให้ผมเข้าไปใกล้ๆ

“มานี่สิ เดี๋ยวเอิ้นแนะนำให้รู้จัก”

ผมก้าวเข้าไปใกล้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่าแต่ สภาพผมตอนนี้คงดูแย่มาก เหมาะแล้วเหรอที่จะทำความรู้จักกับคนที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบเธอคนนี้

“คุณเสือคงแปลกใจที่ลลินรู้จักคุณเสือ ลลินเป็นเพื่อนสนิทเอิ้นค่ะ เราสนิทกันมาก มากจนคุณเสือนึกไม่ถึงเลยล่ะ สนิทแบบที่ไม่มีสักเรื่องของเอิ้นที่ลลินไม่รู้ แน่นอนว่าเรื่องคุณเสือก็ด้วย”

รู้สึกเหมือนคุณลลินอะไรนี่กำลังอวดว่าตนสนิทกับไอ้เอิ้นมากกว่าใคร

แล้วไง ใครสน

“กินข้าวได้ยัง กูหิว”

ผมกระแทกกล่องข้างลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงบนโซฟา กระตุกเสื้อให้คนข้างๆ นั่งลง

“ไม่เชิญคุณลลินนะครับ พอดีว่าอาหารกลางวันมื้อนี้เตรียมมาแค่ 2 ที่ คุณลลินคงไม่ว่ากันเนอะ”

“ลลินกำลังจะกลับพอดีค่ะ อย่าลืมที่นัดนะ” ท้ายประโยคเธอหันไปคุยกับเพื่อนสนิท เธอกล่าวลาผมอีกครั้งแล้วจึงออกจากห้องไป

ปกติผมชอบผู้หญิงสวยนะ ถึงเธอจะไม่ใช่สเป็คแต่ผมก็ชอบ แต่สำหรับคุณลลินที่สวยหยาดเยิ้มปานนางนพมาศผมกลับรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าเธอสักเท่าไหร่

“ลลินเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก มีหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้เกี่ยวกับที่นี่” แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกเบื่อแล้วว่ะ

“อยากจะทำอะไรก็ทำดิ บอกกูทำไม ไม่อยากรู้”

“เอิ้นว่าเสือกำลังหึง”

“กูเนี่ยนะ หึงเหรอ ประสาท กูจะหึงมึงทำไม ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยซักหน่อย”

“จริงอะ ถ้าเอิ้นเอาเวลาไปดูแลลลินแล้วไม่มีเวลาให้เสือก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“อือ”

“งั้น…”

“งั้นเหี้ยไรแดกข้าว กูหิว” ว่าจบก็จ้วงข้าวเลยครับ หิวมาก ที่รู้สึกเหมือนควันออกหูนี่ก็เพราะโมโหหิวไม่ได้หึงโว้ยยยย~

เหลือบมองไอ้เอิ้นเป็นบางคราวก็เห็นว่ามันเคี้ยวข้าวไป มองหน้าผมไป ยิ้มกริ่มไป เป็นบ้าเหรอ

ความกรุ่นโกรธทำให้ผมลุกออกจากห้องทันทีหลังจากข้าวในกล่องของตัวเองหมด ได้ยินเสียงเรียกดังแว่วๆตามมาแต่ก็ไม่คิดจะหันกลับไปให้ความสนใจ

เมื่อลิฟต์มาส่งผมที่ชั้น 1 ก็เป็นดั่งคาด

คุณอลิซรั้งตัวผมเอาไว้ด้วยกาแฟรสชาติคุ้นลิ้น

“พี่เครียดมากเลยค่ะคุณเสือ” หลังจากไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบใบหน้าสดใสก็ถูกแทนที่ด้วยความกลัดกลุ้ม

“เล่าให้ผมฟังได้นะครับ”

“พี่ทำแหวนวงสำคัญหายไปน่ะสิคะ ถ้าจอห์นรู้เขาต้องโกรธพี่แน่ๆ เลย”

“บอกเขาไปตรงๆ ผมว่าคุณจอห์นน่าจะเข้าใจนะครับ ของชิ้นเล็กๆ แค่นั้นก็ต้องมีโอกาสหายอยู่แล้ว”

“แต่มันก็ไม่ควรหาย พี่ควรทำยังไงต่อไปดีคะ พี่หาทุกซอกทุกมุมของบ้านแล้วแต่ก็ไม่เจอเลย”

“ไม่ลองหาซื้อวงที่เหมือนกันมาแทนล่ะครับ คุณจอห์นไม่น่าจะจับได้”

“พี่ลองหาแล้วค่ะไม่เจอเลย คุณเสือต้องช่วยพี่นะคะ”

หาร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ราคาถูกยังจะง่ายกว่าหาซื้อแหวน

“พี่ส่งรูปให้ในไลน์นะคะ” จบประโยคเสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังพอดี

เมื่อเปิดแอพแชทก็พบว่าไม่ใช่มีแค่คุณอลิซที่ส่งข้อความมา ผมมองข้อความของไอ้เอิ้นราว 2 วิแล้วเลิกสนใจ

กดดาวน์โหลดภาพถ่ายครู่หนึ่งภาพจึงขยายเต็มจอ

ภาพที่คุณอลิซส่งมาเป็นรูปคู่ของเธอกับคุณจอห์น บนนิ้วนางข้างซ้ายปรากฏแหวนสีเงินวงหนึ่ง

มองด้วยตาเปล่าก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากแหวนตามท้องตลาดสักเท่าไหร่

“คุณอลิซไม่มีภาพแหวนชัดๆ กว่านี้เหรอครับ ดูแค่นี้มันค่อนข้างจะ…”

“ขอพี่ค้นรูปซักครู่นะคะ จำได้ว่าเคยถ่ายไว้”

ระหว่างที่คุณอลิซก้มหน้าก้มตาค้นรูป ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรจึงก้มหน้าดูรูปของเธอกับแฟนเช่นกัน

ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเห็นหน้าคุณจอห์น จากคำบอกเล่าผมคิดว่าเขาอายุมากแล้วเสียอีก แต่ไม่เลย ยังดูหนุ่มกว่าที่คิดเยอะ มองไปยังคุณอลิซที่ยิ้มกว้างอยู่ข้างๆ ก็รับรู้ได้ถึงความสุขที่กำลังทอประกายในดวงตา

ความสุขระหว่างชายหญิงแบบที่ผมไม่เคยได้สัมผัสด้วยหัวใจ

ผมส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ตั้งใจจะกดปิดหน้าจอแล้วเก็บมือถือที่แบตเตอรี่ใกล้หมดใส่กระเป๋าไว้ตามเดิม แต่สายตาดันไปสะดุดเข้ากับแผ่นหลังของคนคุ้นเคยเข้าซะก่อน

ผมพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่หรอก แค่คนที่มีบุคลิกคล้ายๆ คนที่มีเสื้อแบบเดียวกัน แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงเรื่องโกหกที่ผมใช้หลอกตัวเอง

ผมขอให้คุณอลิซส่งภาพถ่ายเซ็ตนี้ให้ผมทั้งหมดเพื่อย้ำว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่เพียงสิ่งที่ผมคิดไปเอง

“รูปนี้ถ่ายเมื่อไหร่เหรอครับ”

“ครั้งล่าสุดที่จอห์นกลับมาหาพี่ก็น่าจะประมาณ 3 เดือนที่แล้วนะ”

แม้แต่ช่วงเวลายังสามารถนำมาปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องเดียวกันได้

คงไม่ใช่เพียงเรื่องเข้าใจผิดแล้วล่ะสิ

“คุณเสือจะช่วยพี่หาแหวนใช่มั้ยคะ”

“ผมจะพยายามนะครับแต่รับปากไม่ได้จริงๆ ว่าจะทำสำเร็จมั้ย ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ครับ”

“แค่คุณเสือมีใจจะช่วยพี่ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วค่ะ”

เราล่ำลากันหลังจากนั้น

ภาพที่ไม่ว่าสลัดอย่างไรก็ไม่หลุดจากความทรงจำยังคงรบกวนใจผมอยู่อย่างนั้น

ไอ้สนิมไม่ได้โกหกผม

เป็นคนใกล้ตัวผมจริงๆ ที่หักหลังผม

ใช่คนที่ผมคิดจริงๆ



▲▼▲▼▲▼



คืนนั้นไอ้เอิ้นไม่ได้โทรหาผม แล้วไงใครแคร์

เช่นกัน ในเมื่อมันไม่ติดต่อมาผมก็ไม่คิดที่จะไปเจอหน้ามันเหมือนกัน

ผมยกหน้าที่ดิลิเวอรี่แมนให้ไอ้แชมป์ ส่วนตัวเองก็ยังคงทำหน้าที่รับส่งคนในซอยต่อไป

“ผู้หญิงสวยๆ คนนั้นแฟนไอ้เอิ้นเหรอวะ โคตรแจ่ม”

ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือมองเสี้ยวหน้าชื้นเหงื่อของไอ้แชมป์ เกลียดแม่ง อยู่ๆ ก็อยากลุกขึ้นยันปากมันให้รู้แล้วรู้รอด

“มึงเคยเจอเธอแล้วใช่มั้ย สเป็คมันกับสเป็คมึงนี่โคตรต่างเลยเนอะ พวกมึงแม่งไม่มีอะไรคล้ายกันซักอย่าง กูโคตรสงสัยว่าพวกมึงสนิทกันได้ยังไง”

“เคยสนิท” ผมย้ำ ไม่รู้ว่าย้ำความรู้สึกตัวเองหรือย้ำให้ไอ้แชมป์เข้าใจแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “เออแชมป์ พวกไอ้กั๊กว่าไงบ้าง”

“จะว่ายังไงอะไรล่ะ กูไม่ได้โทรหาพวกมันหรอก เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอวะเสือว่าเราจะเลิกใช้ความรุนแรง”

“ยกเว้นครั้งนี้”

“มึงรู้แล้วเหรอว่าใครทำมึง”

“คิดว่า…”

“มั่นใจกี่เปอร์เซ็น”

“มาก”

“ใช่คนที่กูคิดรึเปล่า”

“ถ้าคนที่มึงคิดคือคนเดียวกับคนที่กูสงสัยก็คงใช่คนเดียวกัน”

คนใกล้ตัวผมจะมีสักกี่คนกันล่ะ



▲▼▲▼▲▼



หายไปไม่เคยติดต่อมายังกล้าเสนอหน้ามาให้เห็นอีก

ผมแทบเลี้ยวรถกลับเข้าซอยเมื่อเห็นว่าใครนั่งยิ้มแป้นอยู่ในซุ้มวิน

“ไปส่งหน่อย”

“ไม่ใช่คิวกู”

“งั้นเอิ้นรอเสือ”

“ถ้ามึงจะแค่มากวนประสาทกูก็เชิญไสหัวไปไกลๆ”

“ไม่ได้มากวนประสาทซักหน่อย ไม่เจอกันตั้งหลายวันก็ต้องมีคิดถึงบ้าง เสือล่ะไม่คิดถึงเอิ้นบ้างเหรอ”

กล้าถาม

ผมหันไปมองมันเต็มสองตาก่อนจะชักสีหน้าเบื่อหน่ายให้รู้ว่าไม่คิดถึงมันสักวินาทีจริงๆ

“โกรธเรื่องลลินจริงๆ สินะ หึงอะดิ”

“ถึงกูจะบอกว่าไม่ มึงก็คิดว่ากูหึงอยู่ดี”

“ก็อาการเสือมันฟ้อง”

“กู…”

“ป่ะ! ไปส่งเอิ้นที่คอนโดหน่อย”

“ไอ้เสือคิวมึงแล้วไปส่งมันเหอะ มันนั่งนานเกินไปจนรัศมีความหล่อรวยของมันกลบกูมิดหมดละเซ็ง” ไอ้แชมป์ว่า แหมๆ ถึงไม่มีไอ้เอิ้น ความหล่อกูก็กลบมึงอยู่ดีป่ะ

“ใส่หมวกด้วย” ผมยื่นหมวกให้ ใจจริงอยากจะเอาหมวกฟาดหน้ามันซักที โทษฐานทำให้ผมหมั่นไส้

“แน่ะ! เป็นห่วงด้วย” จะรับหมวกไปเฉยๆ เงียบๆ ไม่ได้เลย

“เดี๋ยวตำรวจจับ กูไม่มีเงินจ่ายค่าปรับแล้วนี่รถมึงล่ะ เอาไปจอดไว้ไหน”

“จอดอยู่แถวนี้แหละ”

“รถหรูมีไม่รู้จักขับ” ผมบ่นแล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์

“เอิ้นแค่อยากอุดหนุนเสือ”

“เตรียมเงินให้พอดีด้วยกูไม่ทอน”

ไอ้เอิ้นหัวเราะแล้วจึงขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์เมื่อผมสวมหมวกแล้วสตาร์ท

“นั่งดีๆ ถ้าไม่อยากตกไปตาย”

กอดเอวผมหมับราวกับรอเวลาอยู่แล้ว ถ้าเป็นสาวสวยเอาหน้าอกมาเบียดๆ เสือคงฟินอยู่หรอกแต่นี่ฟินไม่ไหวว่ะนมแบนเกิ้น

“กอดแน่นไป”

ผมเปิดกระจกเมื่อเอี้ยวตัวกลับไปบอกตอนที่เราจอดติดไฟแดง

“เอิ้นกลัวตก” จริตมารยามันนี่แม่งผู้หญิงต้องอาย

ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรไฟแดงก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียวให้รถออกตัวซะก่อน

ใช้เวลาไม่นานเลยผมก็พามันมาส่งถึงหน้าคอนโด

“มองหน้าทำไมจ่ายเงินมาสิ”

“ขึ้นไปหาน้ำกินข้างบนก่อนมั้ยเดี๋ยวค่อยกลับ” อย่ามาล่อเสือเข้าถ้ำ บอกเลยว่าไม่มีทาง

ผมส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปขอหมวกคืน

รีบคืนมาซะในขณะที่เสือยังใจเย็นอยู่

“มึงอย่ามากวนกูนะเอิ้น ถึงกูจะหน้าตาดีตลอดเวลาแต่ใช่ว่าอารมณ์กูจะดีเหมือนหนังหน้า”

“อารมณ์เสียเหรอให้เอิ้นช่วยซ่อมให้นะ แต่ว่า…” มันก้มลงมากระซิบ “ต้องไปซ่อมบนห้องเอิ้นนะ”

“ไม่จ่ายก็ไม่ต้องจ่าย กูจะถือซะว่าขี่รถมาส่งหมา”

“พูดแบบนี้เดี๋ยวก็กัดซะหรอก”

“อย่าคิดว่าแม่กูชอบมึงแล้วกูจะไม่กล้าทำอะไรมึงนะ”

“เสือก็จะกัดเอิ้นเหมือนกันเหรอ ได้นะเริ่มกัดจากที่ปากก่อนเลยดีมั้ย” ว่าแล้วก็โน้มใบหน้ายื่นริมฝีปากเข้ามาใกล้ๆ ให้ผมฟาดเข้าไปเต็มฝ่ามือ

“ทะลึ่ง”

“ทะลึ่งกับเสือคนเดียวแหละ ป่ะ! ขึ้นไปกินข้าวเย็นด้วยกันก่อน เอิ้นสั่งข้าวไว้อีกไม่เกิน 10 นาทีน่าจะมาถึง”

“กูไม่กิน”

“มีแต่ของโปรดเสือทั้งนั้นเลยนะ”

“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูชอบกินอะไร อย่ามาโม้”

“เสือชอบหรือไม่ชอบอะไรเอิ้นรู้หมดแหละ”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นมึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ชอบมึง”

“ไม่ใช่ซักหน่อย เสือกำลังจะชอบเอิ้นต่างหาก”

ให้คะแนนความมั่นใจเกิน 100 ขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ยังเกลียดมันอยู่หรือเปล่า แล้วมันล่ะเป็นใครเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน โธ่ ไอ้ขี้มโน

“แค่มองตาเสือเอิ้นก็รู้แล้ว”

“รู้ว่ากูหิวอะนะ” ผมหันไปถามตอนที่ลิฟต์ค่อยๆ พาเราไต่ขึ้นไปชั้นบน

ผมไม่ได้เต็มใจตามมันขึ้นมาหรอก เพราะเจ้ศรีนั่นแหละ เพราะเจ้บอกว่าไม่ทำกับข้าวเผื่อผมเพราะไอ้เอิ้นโทรไปบอกว่าผมจะกินข้าวเย็นกับมัน

ไอ้ขี้โกหก

ทราบเรื่องแล้วคิดว่าคนรายได้น้อยอย่างเสือจะยอมอดเหรอวะ บอกเลยว่าไม่

ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งที่ 3 ที่ผมมีโอกาสได้ย่างกรายเข้ามาในห้องชุดเรียบหรูบนตึกสูงแห่งนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเป็นครั้งแรกที่ผมมีสติสัมปชัญญะพอที่จะกวาดสายตามองข้าวของต่างๆ ที่มีอยู่ไม่มากนัก ราวกับว่าเจ้าของห้องเพียงแค่มาอยู่ชั่วคราว

ความสงสัยที่กำลังเดือดอยู่ในสมองทำให้อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

“ทำไมข้าวของในห้องมึงน้อยจัง”

“ก็เอิ้นเพิ่งย้ายมาอยู่”

“เพิ่งย้ายมาอยู่อะไร มึงมาอยู่นี่หลายเดือนแล้วเอิ้น”

“จำได้ด้วย สนใจเอิ้นแล้วล่ะสิ”

“ไหนล่ะอาหารที่สั่งเมื่อไหร่จะมา กูหิวแล้ว หิวมากด้วย”

“กินเอิ้นเป็นอาหารว่างก่อนมั้ย” ว่าแล้วก็ย่างสามขุมเข้ามาให้ผมก้าวถอยจนสะโพกชนเข้ากับพนักโซฟาให้เจ้าของห้องยกยิ้มร้ายกาจแล้วยันแขนไว้ข้างๆ สะโพกของผม

เพียงใบหน้าที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกลโน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจจางๆ หัวใจของผมก็ดันเต้นแรงขึ้นมา อยากจะควักมันแล้วเตะให้ปลิวไปไกลถึงดาวอังคาร

“อยากกินตรงไหนก่อนดี”

หรี่ตามองมา ผมก็หรี่ตามองกลับ มันแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ผมเองก็ทำตาม

คนถูกล้อเลียนนิ่งไปคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างเปิดโอกาสให้ผมเป็นฝ่ายไล่ต้อนมันบ้าง

“อยากเป็นฝ่ายรุกบ้างเหรอ” ในหัวมันคงคิดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวสินะ ไอ้จัญไรเอ้ย

“ถ้าเสืออยากแล้วเอิ้นจะให้เสือรุกเหรอ”

“แทนตัวน่ารักแบบนี้ อยากรุกเอิ้นจริงๆ ใช่มั้ย อืมมม~” ครุ่นคิดไปเถอะ เดี๋ยวมึงจะได้รู้ว่าลุกของจริงมันเป็นยังไง “ลองดูก็ได้นะ ถ้าเป็นความต้องการของเสือ แล้วไม่กินข้าวแล้วเหรอ”

“กินสิ แต่ว่า...” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบที่ข้างหู “กูขอลุกขึ้นถีบมึงก่อน”

น้ำเสียงแหบพร่าถูกเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวให้ไอ้เอิ้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มันยืนนิ่งมองผมที่ก้าวขึ้นไปยืนบนพนักโซฟา กระโดดขึ้นไปบนอากาศแล้วใช้ฝ่าเท้ายันเข้าที่อกมันเต็มแรงจนล้มตึง

จังหวะเดียวกันนั้น เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมมองผ่านไอ้เจ้าของห้องเพื่อตรงดิ่งไปที่ประตู

ยังไม่ทันได้เปิดกลิ่นอาหารก็ลอยมาเตะจมูกแล้ว

“เอิ้นมึงจ่ายตังค์ไปยัง”

“จ่ายแล้วครับ” เป็นคนส่งอาหารที่ตอบคำถามแทนคนที่เงียบผิดปกติ

ผมวางอาหารที่เพิ่งรับมาลงบนโต๊ะ แอบชะเง้อมองไปยังจุดเกิดเหตุก็พบว่าไอ้เอิ้นยังคงนอนอยู่ที่เดิม มันจะเจ็บอะไรขนาดนั้น แค่ถีบเองนะเว้ย

“เอิ้น ถ้ามึงไม่รีบมา กูกินหมดก่อนไม่รู้ด้วยนะ”

เงียบ

“เอิ้น กูพูดจริงนะ มึงก็รู้ว่ากูกินโคตรเก่ง และยิ่งเป็นอาหารที่กูชอบ กูกินเกลี้ยงเลยนะ ไม่แบ่งนะ”

ยังคงเงียบอยู่ เงียบจนผมรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ

แต่คนอย่างไอ้เอิ้นน่ะมารยาเยอะจะตาย บางทีมันอาจจำลังแกล้งผมอยู่ก็ได้ แล้วถ้ามันไม่ได้แกล้งล่ะ ถ้าเจ็บจริงๆ ล่ะ

ช่างแม่ง จะถูกมันหลอกก็ช่างแม่ง ค่อยเอาไว้ว่ากันวันหลัง




[- T B C -]


พี่เสือนี่เป็นได้ทุกอย่างจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะเป็นที่รักของเอิ้น ฮิ้วววว~
และแล้วก็เจอหลักฐานชิ้นสำคัญเข้าแล้วเนอะ หลักฐานชิ้นนี้จะนำทางไปเจอคนร้ายตัวจริงหรือไม่
ไม่ต้องพึ่งโคนัน แต่เดี๋ยวพี่เสือกับคุณเอิ้นจะจัดให้
แน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะเครียดซักแค่ไหน ความหยอดของคุณเอิ้นนั้นก็ไม่เคยลดลงเลย
เขียนเองก็หมั่นไส้เองแล้วล่ะ
ฝากติดตามความน่าหมั่นไส้ของเอิ้นไปเรื่อยๆ จนจบด้วย
รักค่ะ
แจ๊ส
 :pig4:

ปล.ที่เพจมีกิจกรรมแจกหนังสืออยู่นะคะ แวะไปร่วมสนุกกันได้
{https://www.facebook.com/PilMellow/ (https://www.facebook.com/PilMellow/)}

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 11-09-2016 16:22:44
ฮือออ สงสารเอิ้นนน ทำไมเสือต้องรุนแรงขนาดนี้  ไม่ถีบธรรมดา นี่กระโดดถีบเลยยย

เป็นเราจะงอนจนต้องจับเสือปล้ำให้เข็ด 5555555555555555  :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-09-2016 17:14:21
ทำไมดูรูปแล้วถึงรู้ล่ะ ยังตามไม่ทัน
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 11-09-2016 17:55:03
สนุกมากๆเลย รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 11-09-2016 18:17:33
จัดให้หนักเลยน้องเสือ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 11-09-2016 18:23:44
 :hao4: ทำรุนแรงขนาดนี้งัอให้เยอะหน่อยซิพี่เสือ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 9 {พี่เสือซอย 4} UP.110916
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-09-2016 19:31:18
ใครค่อค้นร้ายนะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 18-09-2016 19:31:33


ตอนที่ 10 พี่เอิ้นน้องเสือ




แค่ถูกถีบถึงกับหมดสติเลยเหรอวะ

“เอิ้น”

ผมตบแก้มคนที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น สภาพแม่งเหมือนผักเหี่ยวๆ ที่ถูกทิ้ง ตบแล้วตบอีก ตบจนแก้มมันแดงเถือกแต่ไอ้เอิ้นก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา

“เอิ้น ถ้ามึงไม่ตื่นกูกระทืบนะ”

ไม่มีทางเลยที่เพียงแค่ถูกถีบแล้วจะถึงกับหมดสติ ผมว่ามันน่ะตอแหล

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยกเท้าขึ้นตั้งใจจะกระทืบอย่างที่ปากว่าถ้าหากไอ้คนตอแหลไม่ลืมตาขึ้นมาทำหน้าทะเล้นซะก่อน

“โหดจัง”

“ไปกินข้าวได้แล้ว จะได้รีบกลับไปเอารถ”

“ครับๆ” ไม่ได้ว่าง่ายเพราะผมโกรธหรอก แต่เพราะมันกวนตีนต่างหาก

บรรยากาศบนโต๊ะก็เหมือนๆ เดิม ไอ้เอิ้นเป็นฝ่ายชวนผมคุยจนบางครั้งผมก็อยากจะสาดมันด้วยน้ำแกงแล้วเอามะระยัดปากมันซะให้สิ้นเรื่อง

ผีเจาะปากมาพูดหรือไง พูดมากฉิบหาย

“เอิ้น มึงพอรู้จักร้านทำแหวนที่ฝีมือดีๆ มั้ยวะ” ผมว่าเมื่อรวบช้อนไว้บนจานหลังจากส่งอาหารคำสุดท้ายเข้าปาก

“จะสั่งทำแหวนให้ใคร”

“ให้ผู้หญิง”

“ใคร” น้ำเสียงไอ้เอิ้นแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“มึงรู้จักคุณอลิซเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มหล่อมั้ย”

“ไม่รู้” มันส่ายหน้าหนักๆ

เออ เชื่อแล้วว่าไม่รู้จริงๆ

แปลกดี ผมคิดเองมาตลอดเลยว่าทั้งตึกนี้และตึกข้างๆ คงไม่มีใครไม่รู้จักคุณอลิซที่อัธยาศัยดีราวกับนางงามมิตรภาพ และวันนี้ไอ้เอิ้นก็ทำความเชื่อของผมพังทลาย

“เสือชอบเหรอ”

“ชอบห่าอะไร เค้ามีผัวแล้ว ผัวฝรั่งด้วย”

“โล่งอกไปที แล้วเสือจะทำให้เค้าทำไม เค้ามีสามีแล้วนะ ริอาจจะเป็นชู้เหรอ โอ้ย!!”

ตบผั๊วะเข้าให้ ข้อหาปากไม่สร้างสรรค์

“ชู้อะไร พี่เค้าทำแหวนวงสำคัญที่สามีฝรั่งซื้อให้หายไป”

“ก็เลยจะทำของปลอมอย่างนั้นเหรอ”

“ฉลาดหนิ”

“โกหกไม่ดีนะเสือ”

“ถ้าโกหกแล้วมันส่งผลดีก็ไม่เห็นจะเป็นไร” เรื่องแบบนั้นผมไม่สนใจหรอก

“เป็นความคิดที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว”

หลอกด่ากันนี่หว่า แต่ก็ช่างปะไร ผมไม่แคร์อยู่แล้ว

“สรุปว่ารู้จักร้านทำแหวนมั้ย”

“เดี๋ยวเอิ้นจะลองหาข้อมูลให้ เสือ...” อยู่ๆ น้ำเสียงขี้เล่นก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเสียจนผมปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน

“อะไร ทำเสียงเครียดเชียว”

“รู้แล้วใช่มั้ยว่าคนที่ใส่ร้ายเสือเป็นใคร”

“จะหลอกถามเหรอ ขอโทษ กูไม่โง่ครับ”

“รู้แล้ว? แล้วยังจะสนับสนุนเค้าต่ออีกเหรอ” หมายความว่าไอ้เอิ้นก็รู้แล้วเหมือนกันงั้นสิ

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องโกหกอีกต่อไป

“กูไม่รู้จะทำยังไงว่ะ มันรู้สึกแย่มากเลยนะที่คนที่เราไว้ใจกลับร้ายกับเราที่สุด กูว่ากรรมที่กูเคยทำกับมึงคงกลับมาสนองแล้วล่ะมั้ง”

“เพ้อเจ้อน่า เอิ้นไม่ยอมให้ใครทำร้ายเสือหรอก คนที่ทำร้ายเสือได้มีแต่เอิ้นคนเดียว”

“กูควรซึ้งมั้ย”

“คิดว่า”

“มึงจะไล่มันออกเหรอ”

“แล้วแต่คณะกรรมการจะพิจารณา”

“กูไม่อยากให้ประวัติน้องมันเสียเลยว่ะ มึงก็รู้ว่าถ้าถูกไล่ออก อนาคตน้องมันจะเป็นยังไง มันยากนะที่ต้องใช้ชีวิตโดยที่มีคำนั้นแปะไว้บนหน้าผาก”

“เสือเป็นคนดีจัง”

“อือ ดีจนกูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ แล้วมึงรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อาจจะตั้งแต่เสือออกไปล่ะมั้ง จะว่ายังไงดีล่ะ เอิ้นเห็นความพยายามของกวินนะ เค้าพยายามจะเป็นเสือ ทำทุกอย่างอย่างที่เสือเคยทำ บางอย่างก็ต้องยอมรับว่าเค้าทำดีกว่าเสือด้วยซ้ำ กวินเป็นคนเก่งมากอย่างที่เสือเคยพูด เราต้องการคนเก่ง ต้องการคนทะเยอทะยานแต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องการคนที่ซื่อสัตย์ต่อเพื่อนร่วมงานและบริษัท”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ทุกคำที่ไอ้เอิ้นพูดตรงใจผมอย่างกับมันรู้ว่าผมคิดอะไร

“สิ่งที่กวินทำคือการไม่ซื่อสัตย์ต่อเพื่อนร่วมงาน วันนี้เค้าหักหลังเสือ พรุ่งนี้เค้าอาจจะหักหลังบริษัท เราเชื่อใจกวินไม่ได้เลย”

“แจ้งเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่หรือยัง”

“ยังไม่ได้แจ้ง”

“ไม่แจ้งได้มั้ย”

“เสือ”

“ไม่ว่ายังไงกูก็ไม่กลับทำงานที่นั่นอีก”

“แต่เสือบอกว่าจะกลับ”

“จะกลับแค่ชั่วคราว กูรู้ว่ากวินทำแต่มันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้อาจจะมีคนอยู่เบื้องหลัง”

“เสือหมายถึงใคร”

“ไม่รู้ เพราะไม่รู้ถึงอยากจะสืบให้รู้ไง คิดดูนะเอิ้น ถ้ามึงส่งเรื่องนี้ไปสำนักงานใหญ่ เราก็จะไม่มีทางรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ต่อเวลาให้น้องมันอีกหน่อยจะเป็นไรไปวะ”

“ในแง่ของบริษัทไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องรู้ แต่เอาเถอะ เรื่องนี้มันกระทบกับเสือโดยตรงเอิ้นจะยอมให้ แต่แค่เดือนเดียวนะ เอิ้นให้ได้แค่นี้จริงๆ”

“แค่นั้นก็มากพอแล้ว”



▲▼▲▼▲▼



เงยหน้ามองโรงละครแล้วก็ได้แต่คิดว่า ‘กูสละเวลาอันมีค่ามาเพื่อทำอะไรที่นี่วะ’

ถ้าไม่เกรงใจคุณอลิซคนที่ให้บัตรชมละครเวทีมาเพราะเราช่วยทำแหวนปลอมให้เพื่อพบว่าแหวนจริงของเธอหล่นลงไปอยู่ใต้เตียงล่ะก็ผมไม่มีทางย่างกรายมาที่นี่แน่ๆ

ผมนั่งรอคนที่รับตั๋วมาโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำอยู่ในร้านกาแฟ ภาพสะท้อนตัวเองในกระจกใสทำให้คิดได้ว่า...

นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้แต่งตัวดีแบบนี้

เสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คสีดำรองเท้าหนังเงาวับและทรงผมที่ถูกเซ็ตจนเนี้ยบ

“เสือ วันนี้แต่งตัวดีเชียวไหนบอกไม่อยากมาดู”

“กูเป็นคนรู้จักกาลเทศะไง” มันใช่เรื่องที่จะต้องแต่งตัวแย่ๆ มาในสถานที่แบบนี้เพียงเพราะไม่เต็มใจจะมาหรือไง

ไอ้เอิ้นหัวเราะรับประโยคคำตอบของผมก่อนจะนั่งลงตรงข้าม

“เอิ้นหาข้อมูลละครเวทีเรื่องนี้มาอยากฟังมั้ย”

“ไม่ กูไม่สนใจ”

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้…”

อ้าวไอ้นี่ ถ้าตั้งใจจะเล่าอยู่แล้วก็ไม่ต้องมาทำเป็นถามความเห็นมั้ย

ถึงไม่อยากฟังแต่ในเมื่อไอ้คนตรงข้ามไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพูดก็เลยกลายเป็นว่าต้องฟังมันไปโดยปริยาย

ไม่รู้ว่าผมพลาดตอนสำคัญของบทสนทนาไปหรือเปล่า แต่เมื่อฟังจบผมกลับคิดว่าละครที่พยายามจะสื่อถึงเรื่องความรักกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งเลย

ต่างจาก…

“ซึ้งเนอะ เสือว่ามั้ย” เล่าเองซึ้งเอง ทำหน้าปลื้มปริ่มไม่ดูสีหน้ากูเลย

ผมส่ายหน้าด้วยความรู้สึกหน่ายใจ ก้มมองนาฬิกาแบรนด์เนมบนข้อมือของอีกฝ่ายแล้วก็พบว่าการแสดงใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“ไปเถอะ” ผมเป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อน

ผมรู้ว่าสามีคุณอลิซรวยมาก ตัวเธอเองก็เป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งแต่ก็ไม่คิดว่าบัตรที่ได้มาจะเป็นบัตรวีไอพี โซฟาที่มองด้วยสายตาก็รู้โดยไม่ต้องสัมผัสว่ามันต้องนุ่มสบายมากวางอยู่แถวหน้าสุด ความคิดที่ว่าจะแอบหลับถูกเตะออกนอกโลกไปเลย

การแสดงเริ่มขึ้นตอนที่ไฟทั้งฮอลดับลง

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น คงเพราะประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ตัวผมตอนนี้ถึงได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เหมือนเด็กเลยว่ะ พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นแล้วนะ แต่ยากเหลือเกิน

หลังจากการแสดงเริ่มขึ้นผมก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด

ไม่รู้ด้วยว่าไอ้คนข้างๆ จับมือผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เหลือบมองมันแล้วจึงพยายามดึงมือออกตอนไฟทั้งฮอลสว่างขึ้นเมื่อม่านปิดลง

“ซึ้งมากเลยใช่มั้ยล่ะ” ไอ้เอิ้นมองผมด้วยสายตาล้อเลียน พลางยื่นมืออีกข้างมาตรงหน้า เกลี่ยนิ้วโป้งที่หางตา

ผมร้องไห้เหรอวะ

“ซึ้งอะไร กูหาวน้ำตาก็เลยไหล ไม่ได้ร้องไห้โว้ย” ผมปัดมือมันออกแล้วใช้หลังมือข้างที่ว่างปาดใต้ดวงตาทั้ง 2 ข้าง

“โอเค ไม่ซึ้งก็ไม่ซึ้ง ไปเกมเซ็นเตอร์กันมั้ย”

“มึงอยากเล่นเหรอ”

“อื้อ” คนอยากเล่นพยักหน้าแรงๆ ให้รู้ว่าอยากมากๆ เลยล่ะ

“ถ้ามึงอยากเล่น กูไม่ไป”

“ร้ายอะ แต่ก็รัก” หัวไหล่ภายใต้เสื้อเชิ้ตห่อลงแต่พอประโยคนั้นจบไหล่กว้างก็กลับมาผึ่งผายตามเดิม ให้ผมฟาดแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้

“รถแข่งมั้ย ไม่ได้เล่นนานแล้ว”

“ไหนบอกถ้าเอิ้นอยากเล่นแล้วเสือจะไม่เล่นไง”

“กูอยากเล่นไง ไม่เกี่ยวกับมึงซักหน่อย และมือเนี่ยปล่อยเหอะ”

“อยากจับอะ”

“กูต่อย”

“โหดอีกแล้ว” มือของผมถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ที่ว่าง่ายไม่ใช่เพราะกลัวหรอกแต่มันแค่กวนประสาทผม กวนโคตรๆ เลยล่ะ

เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปตอนเป็นเด็กไร้เดียงสาเลยว่ะ

“อ่อนว่ะ” ผมว่าไม่ได้มองหน้าคนข้างๆ ที่รถของมันกำลังเสียหลักลงข้างทางเมื่อถูกผมเบียดเบาๆ

คิดดูสิ อ่อนแค่ไหน แค่เบียดเบาๆ ก็ลงไปนอนแอ้งแม้งที่ข้างทางแล้ว

“มึงนี่ไม่พัฒนาเลยเนอะ”

“ที่จริงเอิ้นเล่นเก่งนะ”

“ขี้โม้ ถ้าเก่งก็เอาชนะกูให้ได้สิ”

“ถ้าชนะแล้วจะได้อะไร”

“ทำไมกูต้องให้ นี่ชนะมึงตั้งหลายทีแล้ว มึงยังไม่ให้อะไรกูเลย”

“แค่หัวใจเอิ้นไม่พอเหรอ”

“พอเหอะ”

“หืม ยอมรับหัวใจเอิ้นแล้วเหรอ”

“กูหมายถึงมึงเลิกหยอดกูเถอะ เลี่ยนฉิบหาย เอางี้...” ผมละสายตาจากจอเพื่อมองหน้าคนข้างๆ “ถ้ามึงชนะกูยอมเรียกมึงว่าพี่เอิ้นเลย”

“แทนตัวเองว่าเสือด้วยสิ”

“...”

“ไม่กล้า กลัวแพ้?”

“นี่เสือไง”

“เอาเป็นว่าดีลนะ”

“แน่นอน”

“เตรียมเรียกพี่เอิ้นได้เลยน้องเสือ”

“ทะลึ่งแล้ว ยังไม่ชนะไม่มีสิทธิ์เรียกเว่ย”

“ซ้อมไง เวลาเรียกจริงเสือจะได้ไม่เขิน” ไม่เคยเห็นไอ้เอิ้นมั่นใจขนาดนี้มาก่อนเลย ให้ตายเถอะ มันแกะกระดุมที่แขนเสือแล้วพับขึ้น คงกะจะขู่แต่ขอโทษนะ นี่เสือไง ไม่กลัวหรอกโว้ย

“ท่าดีนะมึง”

“หล่อไง”

เกมเริ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่ารถของผมวิ่งนำไปก่อน ผมใช้ความชำนาญปาดซ้ายปาดขวากันทุกทางไม่ให้มันแซงได้ และก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม อ่อนๆ อย่างไอ้เอิ้นก็ทำได้แค่วิ่งตาม จวนจะถึงเส้นชัยอยู่แล้วมันยังตามไม่ทันผมเลย

น้องเสือเหรอ

ตลกป่ะ เอาไว้เรียกชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะไอ้น้อง

“เสือ” อีก 100 เมตรจะถึงเส้นชัย สงสัยคงเรียกเพื่อให้ผมเลิกจดจ่อกับเกมเปิดโอกาสให้มันแซงล่ะมั้ง

อ่อนชะมัด ไม่ได้ผลหรอกเว้ย

“เสือ”

ไม่หันหรอก เรียกให้ตายก็ไม่หันไปหรอกเว้ย อีก 50 เมตรจะชนะแล้ว

ตู้ม!!!

เสียงรถของผมที่เซลงข้างทางแล้วระเบิดอย่างไรล่ะ

ผมหันไปมองไอ้คนขี้โกงที่เพิ่งเอาชนะผมด้วยการขโมยจูบให้ผมตกใจแล้วตัวเองก็ขับรถเข้าเส้นชัยหน้าตาเฉย ด้วยความกรุ่นโกรธผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อคว้าคอเสื้อมัน หมัดของผมถูกเงื้อขึ้นสูง เตรียมพร้อมจะประเคนลงบนใบหน้าหล่อๆ ถ้าหาก...

“แป้บนึงนะเสือ” เสียงโทรศัพท์ช่วยชีวิตไว้แท้ๆ

ผมเสียมารยาทเหลือบมองหน้าจอซึ่งปรากฏชื่อคนโทรเข้าก็พบว่าเป็นชื่อของผู้หญิงคนนั้น

โกรธว่ะ โกรธกว่าตอนถูกโกงอีก

สาบานด้วยเกียรติของเสือว่าผมไม่ได้อยากรู้เลยว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่หูเจ้ากรรมกลับพยายามเงี่ยฟัง แต่ไม่ได้ยินหรอก เสียงเบามากจนอดคิดไม่ได้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าคงกระซิบแบบแนบสนิททุกอณูรูขุมขน

“เข้ามาฟังใกล้ๆ มั้ย”

“ใครอยากฟัง” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินออกจากโซนเกมเซ็นเตอร์โดยมีคนที่เพิ่งเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงวิ่งตามมา

“ลินกับเอิ้นเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ นะเสือ”

“เพื่อนสนิท”

“เพื่อนสนิท” เอิ้นทวนคำพร้อมกับพยักหน้า

“มึงเคยบอกกูแล้ว”

“ก็ย้ำให้ฟังไง ไม่อยากให้เสือเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดอะไร มึงอยากจะแนบชิดสนิทสนมกับเพื่อนคนไหนก็เชิญเลย ไม่เกี่ยวกับกูซักหน่อย”

“เสือเป็นเพื่อนคนเดียวที่เอิ้นอยากจะแนบชิดสนิทสนมด้วย คืนนี้เป็นไง” พูดจบแล้วก็ชวน หน้าหนาอะไรขนาดนี้วะ

ผมผ่อนลมหายใจอย่างพยายามระงับอารมณ์โกรธที่ยังกรุ่นๆ ในอกคล้ายขี้เถ้าจากกองไฟที่เพิ่งมอดดับ หากมีใครโยนเชื้อเพลิงลงมาก็พร้อมจะลุกขึ้นทุกเมื่อ

“พ่อมึงสิ กูจะกลับบ้านแล้ว”

“ให้พี่เอิ้นไปส่งนะครับ”

“มึงว่าอะไรนะ” ขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงักกึกเมื่อได้ยินคำแทนตัวที่ไม่คุ้นเคย

“พี่เอิ้นไงน้องเสือ จำดีลของเราไม่ได้เหรอ”

“มึงโกง”

“แล้วไง ยังไงซะผลก็คือเอิ้นชนะอยู่ดี”

“แต่มึงโกง กูไม่นับ”

“แต่พี่เอิ้นชนะ”

“หน้าด้าน”

“อื้อ หน้าด้าน ขี้โกงด้วย แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ โกงแล้วทำไมอะ คนใหญ่คนโตในบ้านเมืองนี้เขาก็โกงกันทั้งนั้นแหละ คนยังนับถือเค้าเลย เพราะงั้นน้องเสือก็นับถือพี่เอิ้นซะนะครับ”

“กูไม่นับ ยังไงกูก็ไม่นับเว้ย ไอ้ขี้โกง” ผมผลักอกมันแล้วเดินฉับๆ ออกมาโดยมีเสียงเรียกไล่ตามหลังมาไม่ห่าง

“น้องเสือรอพี่เอิ้นด้วย” ร้องเป็นเด็กเลย น่าอายชะมัด

“น้องเหี้ยไร มึงหยุดเลยนะ อายคนอื่นเค้า”

“เรียกพี่เอิ้นก่อน” มันก้าวมาเดินข้างๆ พยายามสาวเท้ายาวๆ ในจังหวะเดียวกัน

“กูไม่เรียก”

“จูบนะ”

“กลัวตายล่ะ”

“คิดว่าไม่กล้าเหรอ”

“น้ำหน้าอย่างมึง...”

“ในเกมเซ็นเตอร์ก็ทำมาแล้ว และนี่ลานจอดรถ ไม่มีคนด้วย อาจจะไม่จบแค่จูบก็ได้นะ”

หมาเห่าแม่งไม่กัดหรอก ผมเชื่ออย่างนั้นและไอ้เอิ้นก็เป็นแค่หมา ริอาจจะมาต่อกรกับเสือเหรอ เร็วไป 3 ชาติ

ผมสบประมาทมันด้วยด้วยการไหวไหล่ล้อเลียน เดินเข้าไปใกล้ตั้งใจกระแทกมันด้วยไหล่แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าแขนเอาไว้

“น้องเสือคิดว่าพี่เอิ้นไม่กล้าจริงๆ ใช่มั้ยครับ”

คนที่แทนตัวเองด้วยคำว่าพี่เต็มปากเต็มคำปรับน้ำเสียงให้เรียบนิ่งขึ้น

ถามว่าเริ่มกลัวไอ้พี่เอิ้นขึ้นมาบ้างหรือยัง ขอตอบแบบเต็มปากเต็มคำเลยว่า – ยัง

น่ากลัวตรงไหน เสือไม่กลัวหมาฉันใดผมก็ไม่กลัวไอ้เอิ้นฉันนั้น

“กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพี่เอิ้นไปส่ง รถจอดอยู่ตรงโน้น” ไอ้เอิ้นชะเง้อมองไปยังที่จอดซึ่งอยู่ตรงสุดทางเดิน

ผมเดินตามมันไปเงียบๆ ลานจอดรถตอนดึกๆ นี่เงียบเกินไป เงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าเชียวล่ะ และเมื่อเดินมาจนถึงรถยนต์ที่จอดอยู่เสียงฝีเท้าก็เงียบลง

เจ้าของรถหันมามองหน้าผมด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจเอาซะเลย

“มองหน้าหาเรื่องรึไง” ผมแกะมือมันออกแต่จังหวะที่กำลังจะได้รับอิสระไหล่อีกข้างกลับถูกคว้าเอาไว้ แผ่นหลังของผมถูกดันให้พิงรถยนต์ วินาทีต่อมาริมฝีปากของผมก็ถูกทาบทับแผ่วเบาก่อนจะบดเบียดจนแนบสนิท

ดวงตาของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจคล้ายกับเวลาหยุดเดินกระทั่งรู้สึกว่ามือที่สัมผัสกันอยู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว จากที่ผมจับมือข้างนั้นด้วยความรู้สึกแข็งกระด้าง ไอ้เอิ้นกลับเปลี่ยนเป็นสอดประสานนิ้วมือเอาไว้อย่างอ่อนโยน

ผมพยายามรั้งตัวเองออก แต่ก็ถูกมืออีกข้างรั้งท้ายทอยให้รับสัมผัสที่ค่อยๆ เพิ่มระดับความแนบชิดขึ้นเรื่อยๆ

ความเปียกชื้นแตะๆ ที่เรียวปาก ก่อนที่มันจะพยายามทำให้ผมเปิดริมฝีปากด้วยการปาดเลียแผ่วเบาซ้ำๆ การกระทำคล้ายๆ หมาแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง

อาการขัดขืนก่อนหน้าหายไปจนหมดคล้ายกับไม่เคยมี ข้อมือที่เคยขืนจนเส้นเลือดปูดโอนอ่อนลง ผมไม่รู้เลยว่ามืออีกข้างของผมไปวางอยู่บนแผ่นอกแข็งๆ ของไอ้เอิ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

ความเปียกชื้นที่อ่อนนุ่มราวกับเนื้อหมักนมสดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาภายในโพรงปาก กวาดไปจนทั่วราวกับว่าข้างในนี้เป็นถ้ำปริศนาที่มีอะไรมากมายให้สำรวจ เป็นการสำรวจที่ทำเอาผมเคลิ้มเสียจนแข้งขาอ่อนแรง

ผมอาจจะล้มลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างไร้ศักดิ์ศรีแน่หากไม่ถูกกอดเกี่ยวเอาไว้ให้ร่างกายเบียดชิด ไอ้เอิ้นแทรกขาข้างหนึ่งเข้ามาระหว่างขาของผมแล้วก็จงใจถูไปมาตรงนั้น

เล้าโลมขนาดนี้ผมก็รู้สึกนะเว้ย

ยอมรับว่ารู้สึกดี แต่ว่า...นี่มันลานจอดรถ

“เอิ้น...” ผมเรียกเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากเปียกชื้นแล้วมองคนตรงหน้าที่กำลังหอบหายใจ

อาการไม่ค่อยดีเลย สมน้ำหน้า ใครใช้ให้หักโหม

“ขอหายใจก่อน” มันคงเข้าใจเจตนาที่ผมเรียกมันผิดไป ไม่ได้เรียกเพราะอยากให้ทำต่อโว้ย

“หายใจห่าไร ขึ้นรถ”

“บนรถเลยเหรอ” ยังไม่หยุดคิดอีก แล้วยังมีหน้ามาทำหน้ากรุ้มกริ่ม

“กูหมายถึงกลับบ้าน”

“กลับไปทำที่บ้านอะนะ บ้านเสือหรือห้องเอิ้นดีล่ะ”

“มึงนี่หมกมุ่นเนอะ”

“หมกมุ่นอะไร เห็นๆ กันอยู่ว่าเสือก็...” ไม่พูดให้จบประโยคแต่สื่อให้ผมเข้าใจด้วยการกดสายตาลงต่ำเพื่อบอกว่าผมเองก็มีอารมณ์

ก็ยอมรับว่ามีอารมณ์ แต่ไม่ให้มันทำ ของแบบนี้ทำเองก็ได้ ทำเองมาทั้งชีวิตแล้วโว้ย ไม่อยากจะโม้

“ถ้ามึงยังไม่หยุดพูดกูต่อยนะ”

“เขินทีไรใช้ความรุนแรงทุกทีเลย คราวหน้าเราหาอะไรสนุกๆ เล่นด้วยกันดีมั้ย” แน่นอนว่ามันหมายถึงเรื่องบนเตียง

ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าแม่งละ หมกมุ่นกับการลากกูขึ้นเตียงเหลือเกิน

“เสือ!!” ไอ้เอิ้นเป็นฝ่ายเบิกตากว้างบ้างเมื่อผมพลิกร่างมันให้แผ่นหลังแนบชิดกับรถยนต์ ละมือข้างหนึ่งจากไหล่ลากลงต่ำไปที่สะโพก ขณะที่ยังไม่ละสายตาที่สบประสานกันสักวินาที

“อยู่ตรงไหนน๊า” ผมเปรย ไม่ได้อยากได้คำตอบเพราะไม่ได้ถาม

“หาอะไร ไม่เอาน่า เอิ้นก็ชอบแต่ว่าเรากลับไปทำที่บ้านดีมั้ย อ๊ะ!” ผมแทบกลั้นขำไว้ไม่ไหวเมื่อไอ้เอิ้นเปล่งเสียงประหลาดตอนผมจับหมับเข้าที่ก้นของมัน

ก้นแน่นมาก

ผมลูบๆ คลำๆ ให้คนถูกจับทำหน้าเคลิ้มๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาข้างหน้าแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่ก่อนที่จะได้ล้วงลึกมือก็ถูกรั้งเอาไว้ซะก่อน

“ไม่เอาน่าเสือ เดี๋ยวเอิ้นก็ทนไม่ไหวหรอก”

“กูก็ทนไม่ไหวแล้ว” ผมยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากแล้วก้มลงไปกระซิบที่หู ข้อมือถูกปล่อยให้เป็นอิสระผมจึงล้วงต่ำลงไปให้ไอ้เอิ้นเคลิ้มไปกับการกระทำ

“เจอแล้ว...”

ผมหยุดทุกการกระทำแล้วดึงกุญแจรถออกมา ชูมันขึ้นตรงหน้าก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะให้ดังก้อง

“ขึ้นรถ ลีลาฉิบหาย แล้วก็นะ ถึงกูจะมีอารมณ์แต่กูก็ไม่ง่ายเว้ย นี่เสือไง เสือนะเว้ย ไม่ง่ายครับ ถ้าไม่เมา”

“เดี๋ยวก็มอมเหล้าซะเลย”

ผมเบะปากใส่ ทำหน้ายียวนกวนตีนสุดฤทธิ์ ถ้าตรงหน้าไม่ใช่ไอ้เอิ้นป่านนี่คงได้มีเรื่องกันไปแล้ว ผมและมันเปิดประตูแล้วสอดตัวเข้ามานั่งข้างในพร้อมๆ กัน

“ขับรถดีๆ”

“ดึกแล้ว”

“ดึกแล้วไง”

“ถนนโล่งไง”

“ไม่เอาน่าเสือ นี่ไม่ใช่รถเอิ้น”

“รถบริษัทไง กูรู้ครับ แต่ใครสนวะ กูจะซิ่งมีปัญหาไรป่ะ”

“เสือ...” ยังไม่สิ้นเสียงรถก็กระชากตัวออกจากซองอย่างแรง ดริฟได้ดริฟครับ เสียงไอ้เอิ้นดังขึ้นทุกครั้งเมื่อผมเข้าโค้งตรงทางลงจากลานจอดรถแบบไม่ผ่อนแรงสักนิด

ตลกดี ยิ่งเหลือบเห็นมือที่จิกเบาะแน่นก็ยิ่งสะใจ

เสือชีตาร์เป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก และทุกครั้งที่มีโอกาสผมก็ชอบที่จะแปลงร่างเป็นเสือชีตาร์ ตอนนี้ก็เช่นกัน

ชนกรวยตรงทางออกจากห้างนั่นดีมั้ยนะ รถบริษัทเฮงซวยนี่จะได้มีประวัติ

“เสือระวังกรวย”

“ระวังทำไมกูตั้งใจ” ตั้งใจขับรถเฉียดให้กรวยล้มไปสองสามอัน

สนุกดีว่ะ

“เสือ รถข้างหน้า”

“กูเห็น”

“จะชนเหรอ”

“ไม่ชนหรอกน่า กูแค่จะแหย่เล่น” ผมตั้งใจขับรถเข้าไปใกล้มากๆ แล้วค่อยแซงแบบไร้มารยาท พอมองผ่านกระจกก็เห็นเจ้าของรถคันเมื่อครู่ส่งนิ้วกลางให้

สนุกดี แต่เหมือนว่ามีแค่ผมที่รู้สึกแบบนั้น ไอ้เอิ้นน่ะเหรอ มองผมตาเขียวปั๊ด ถามว่ากลัวมั้ย ก็ไม่นะ ไม่สนอยู่แล้ว เรื่องสนุกแบบนี้ใช่จะมีให้เล่นบ่อยๆ ซะเมื่อไหร่

กว่าจะถึงบ้านก็ได้นิ้วกลางมาเป็นกระบุง สนุกดี สนุกกว่าละครเวทีเยอะเลยล่ะ



[- T B C -]


สำหรับเอิ้นนั้น มีความตอแหล 555
พี่คะมารยาสาไถอะไรเบอร์นี้
ตอนเขียนเราชอบตอนนี้มากเลยล่ะ ชอบตอนที่เอิ้นทำตัวเหนือกว่าเสือ
ตอนที่แทนตัวเองว่าพี่ แทนเสือว่าน้อง เขียนไปก็ขำไป

ตอนนี้ไม่มีเบาะแสอะไรเลยค่ะ ติดตามกันต่อไปเนอะ
เจอกันตอนหน้า
รักค่ะ
แจ๊ส
 :mew1:


ปล.ที่เพจมีกิจกรรมแจกหนังสืออยู่นะคะ แวะไปร่วมสนุกกันได้
{https://www.facebook.com/PilMellow/ (https://www.facebook.com/PilMellow/)}
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-09-2016 19:52:22
อ่านไปก็หมั่นไส้เอิ้นไป อย่าให้เอิ้นแสดงออกว่าเหนือกว่าเสือนักเลย เพราะ(ในสายตาเรา)เอิ้นเหนือกว่าเสือตลอดอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 18-09-2016 20:07:08
ช่ายยย. ชอบตอนที่สิบอะ เสิอดูชนะ~ :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 18-09-2016 20:14:30
ตอนแรกก็หมั่นไส้เอิ่น แพรวพราวเหลือเกิน มุกเนี่ย

พอหลัง ๆ หมั่นไส้เสือแทน 5555 นิสัยไม่ดี  ดื้อแบบนี้ เดี๋ยวให้พี่เอิ้นปราบเลย

//เป็นกวินที่เลื่อยขาจริง ๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 19-09-2016 06:42:10
ตอนนี้ให้เค้าหยอด เค้าจีบกันไปก่อน เรื่องคนร้ายพักไว้แป๊บ 555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 19-09-2016 09:37:43
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-09-2016 12:44:00
แหม่ ๆ

ผลัดกันรุกผลัดกันรับ

ลีลาดีทั้งคู่ 5555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 10 {พี่เอิ้นน้องเสือ} UP.180916
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-09-2016 13:08:57
คู่นี้มันเหมาะกันดี แสบพอกัน 55555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 29-09-2016 20:23:37


ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ}




นานแล้วที่ไม่ได้ตื่นมารับอากาศเย็นสบายและความวุ่นวายยามเช้า

สัปดาห์หน้าก็จะสิ้นปีแล้ว งานที่กำลังจะจบดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี ผมไม่ได้รับโทรศัพท์จากกวินซักครั้ง  นั่นก็เป็นเครื่องการันตีแล้วว่าเจ้าตัวมีความสามารถมากพอที่จะทำทุกอย่างแทนผมได้

ถามว่าผมโกรธมั้ย โกรธนะ โกรธมากๆ เลยด้วย โกรธที่มันดูถูกความสามารถของตัวเองด้วยการใช้วิธีสกปรกกำจัดผม

ถึงผมจะรู้จักมันไม่ดีพอแต่เท่าที่ได้ทำงานร่วมกันผมสัมผัสได้ว่ากวินไม่ใช่คนเลวโดยสันดาน เพราะฉะนั้นต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ

แล้วคนนั้นคือใครกันล่ะ

นี่แหละคือโจทย์ที่ผมต้องหาคำตอบให้ได้

“พี่เสือ มาด้วยเหรอคะ”

น้องดาวเป็นคนแรกที่เข้ามาทักทายเมื่อผมเดินตรงไปยังรถบัสที่จอดรออยู่หน้าตึก

“แน่นอนสิ เดี๋ยวปีหน้าพี่ก็กลับมาทำงานละ”

“ดีใจจังเลยค่ะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏชัดอย่างที่บอกได้เลยว่าเธอรู้สึกดีมากแค่ไหน

ผมเพียงยิ้มตอบจังหวะเดียวกับที่ไอ้ผู้จัดการในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดเดินเข้ามาหา ยื่นมือข้างหนึ่งมาตรงหน้าเพื่อขอกระเป๋า

ผมเบะปากใส่ นี่เสือครับ แมนๆ ไม่ต้องเทคแคร์ กูดูแลตัวเองได้

ไอ้เอิ้นไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระในตอนที่ผมเดินผ่านมันไปยังประตูรถที่เปิดอยู่ มันไม่ได้ตื๊ออย่างที่คาดทำเพียงเดินตามขึ้นมาบนรถเงียบๆ

ผมตกใจเลยเมื่อเพียงก้าวเข้าไปบนรถเสียงความครึกครื้นก็ดังขึ้น ทุกคนหันมาทักทายต้อนรับผมอย่างเป็นกันเอง

ซึ้งเลย ปลื้มปริ่มจนน้ำตาจะไหล

ผมหันไปทักทายพี่ปัทก่อนแล้วจึงค่อยทักทายคนอื่นๆ ไปตลอดทางเดินสู่เบาะนั่ง การกระทำเยี่ยงส.ส. ที่ได้รับการเลือกตั้ง ถ้ามีพวงมาลัยคล้องคอนี่ใช่ยิ่งกว่าใช่ซะอีก

“กูนั่งนี่ได้มั้ย” ถามไปอย่างนั้นแล้วอาศัยช่วงที่ไอ้กวินตกใจทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

ไอ้เอิ้นยืนอยู่ข้างเบาะไม่ยอมเดินไปไหน ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองมันไม่พูดอะไรแต่อ่านจากสีหน้ามันคงกำลังบอกว่า ‘แล้วเอิ้นล่ะเสือไม่นั่งกับเอิ้นเหรอ’ อะไรประมาณนั้น

“ยืนทำไมไปหาที่นั่งดิ”

ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปชวนอดีตน้องรักคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบมันสักหน่อยถึงแม้ว่าตอนนี้หน้ามันจะเหมือนคนอมทุกข์ก็ตาม

“หมอนั่นชมมึงตลอดเลย” ผมแทนชื่อไอเอิ้นด้วยการมองแผ่นผลังที่กำลังห่างออกไป

“ไม่ยักรู้แต่ก็คงไม่ถูกชมเท่าพี่เสือ”

“แน่นอนอยู่แล้วแต่พี่จะบอกอะไรให้นะวินการแข่งขันที่ส่งผลดีต่อตัวเองที่สุดคือการแข่งกับจิตใจตัวเอง”

“ครับ” ตอบผมสั้นๆ แค่นั้นแล้วก็ชิ่งหลับไปเลย

ไม่เนียน ยิ่งเห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าหากกวินเป็นคนทำเรื่องนี้จริงมันไม่ได้ทำคนเดียวได้แน่ๆ

รถบัสวิ่งไปเรื่อยๆ บนโทลเวย์ที่พาเราออกนอกเมือง เสียงเพลงฟังสบายๆ ขับกล่อมให้ความอ่อนเพลียแผลงฤทธิ์หนังตาเริ่มหน่วงๆ แล้วสุดท้ายมันก็ปิดลง

“พี่เสือ” ยังไม่ทันหลับสนิทเสียงแหลมสูงก็ดังขึ้นให้สะดุ้งตื่น

ใบหน้าสวยหวานของน้องดาวอยู่ใกล้ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรผมก็ถูกลากออกไปยืนข้างหน้าซะแล้ว
เสียงปรบมือทำให้ผมตื่นเต็มตา

“อะไรกัน” ผมลูบท้ายทอยแก้เก้อเมื่อเดาสถานการณ์ไม่ถูก

“พวกเราทุกคนคิดถึงพี่เสือนะคะ” เสียงหวานดึงความสนใจให้ผมหันไปสบกับดวงตากลมโตของคนข้างๆ

“อย่างน้อยก็น่าจะมีพี่ปิ่นที่คงสบายใจเมื่อไม่มีผม”

“คุณเสือใจร้ายทำไมพูดกับพี่อย่างนั้นล่ะคะ” พี่ประชาสัมพันธ์ที่ถูกผมกล่าวถึงกระโดดลุกจากเบาะราวกับที่นั่งนั้นร้อนจัด เธอถามเสียงดังน้ำเสียงไม่ได้โกรธเคืองแต่ออกแนวตัดพ้อซะมากกว่า

“ไม่มีผมก็ไม่มีใครมาสาย พี่ปิ่นก็ไม่ต้องเก็บรายชื่อคนมาสายแล้ว และพอไม่มีผมก็ไม่มีสาวๆ ซื้อกาแฟมาฝากขยะก็ลดลง ความวุ่นวายก็ไม่มีให้ปวดหัว สบายจะตาย”

“สบายอะไรกันคะ พอคุณเสือไม่อยู่คุณอัคคีก็ฮอตขึ้นมาทันทีเลยค่ะ สาวๆ แวะเวียนเอาขนมมาฝากมากกว่าคุณเสืออีกค่ะ”

เสียงหัวเราะครืนๆ ราวกับปืนกลที่กำลังรัวใส่ร่างผมจนพรุน

เสียหน้าชะมัด และเมื่อมองไปยังไอ้คนฮอตกว่าที่มองผมอยู่ก่อนแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามว่ามันมีอะไรดีกว่าผมวะ

หน้าตาก็งั้นๆ รูปร่างก็…ทบทวนดูแล้วก็ใช้ได้นิดนึง หน้าท้องแน่น ขายาว ผิวขาว ยิ่งสาธยายก็ยิ่งเหมือนชมมันเลยว่ะ ฐานะเหรอไม่รู้ว่ะ อย่างน้อยๆ ด้วยตำแหน่งงานแล้วเงินเดือนที่ได้รับก็น่าจะมากกว่าผมหลายบาท

รวมๆ แล้วกูด้อยกว่าเห็นๆ

“อย่าหายไปไหนอีกนะคะ ฮอตประมาณคุณเสือกำลังดีค่ะ พี่รับมือไหวแต่ระดับคุณอัคคีนี่ไม่ไหวจริงๆ ค่ะ”

เกือบจะดีแล้วเชียวถ้าไม่ย้ำว่าไอ้เอิ้นฮอตกว่าผมอะนะ

สาวๆ ตึกนี้แม่ง เสือหายหน้าไปไม่กี่เดือนนารีเป็นอื่นซะแล้ว

“มึงกลับมาก็ดีแล้วช่วงนี่ชีวิตกูขาดหนัง” พอคุณปิ่นนั่งลงไอ้วิทแผนกไอทีก็โพล่งขึ้นมาและหนังที่มันว่าก็หมายถึงหนังอย่างว่านั่นแหละ

“มึงเป็นไอทีไม่มีปัญญาโหลดเองรึไงไอ้ห่า”

“ไม่มีเพื่อนแดกเบียร์”

“กูเห็นมึงเช็คอินร้านเหล้าไม่ก็ลานเบียร์ทุกวันศุกร์อย่าตอแหล”

“ไม่มีใครแบ่งขนมกูเลย”

“ก้มดูพุงตัวเองก่อน ล้ำหน้ายิ่งกว่านมน้องมาอิแล้วครับ หุบปากเหอะไอ้ไอทีขี้กาก”

“ไม่มีใครกล้าด่ากูเหมือนพี่เสือ มามะมากอดที”

ผมเดินตรงไปยังเบาะยาวด้านหลังแล้วทิ้งตัวลงบนพุงของไอ้วิท เด้งดึ๋งอย่างกับพุดดิ้งแน่ะ

ผมไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองสำคัญกับคนอื่นมากแค่ไหน กระทั่งตอนนี้ หากถามอีกครั้งว่าข้อดีของการถูกพักงานคืออะไร นอกจากนอนได้เต็มอิ่มแล้วยังทำให้คนอื่นคิดถึงผมมากๆ ด้วย

นั่งทะเลาะกับพวกเบาะยาวกระทั่งหลับไป นี่ล่ะมั้งที่มาของสุภาษิตที่ว่าพูดจนลิงหลับ เปล่าผมไม่ใช่ลิง ผมเสือเว้ยเป็นเสือต้องหลับทีหลังคนอื่นอยู่แล้ว

ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนรถแวะปั๊มน้ำมันให้เข้าห้องน้ำ

นั่งรถนานมาก ว่าแล้วก็นึกได้ว่าลืมถามไอ้คุณอัคคีว่าเราจะไปเอาท์ติ้งที่ไหนกัน

“ไหวมั้ย” ผมละสายตาจากกระจกตรงหน้าห้องน้ำมองหน้าคนข้างๆ ที่กำลังล้างมือ

“เราจะไปไหนกันวะ”

“คนอื่นไปทะเลแต่เอิ้นจะพาเสือไปสวรรค์”

“แล้วมึงจะได้เห็นนรก” ว่าแล้วก็สะบัดมือที่มีหยดน้ำเกาะพราวใส่หน้ามันด้วยความหมั่นไส้

ไอ้เอิ้นหัวเราะ จับมือผมแล้วใช้เสื้อยืดราคาแพงเช็ดให้

ถามว่าซึ้งมั้ย – นิดนึงมั้ง

“เสือกินอะไรมั้ย”

“ฟรี?”

หัวเราะเฉยเลย ถามก็ตอบสิวะถ้าไม่ตอบผมจะติ๊ต่างว่ามันเลี้ยงแล้วนะ

“โอเคมึงเลี้ยงถ้างั้นซื้ออะไรอร่อยๆ มากระแทกปากหน่อย”

“เอาแบบที่นุ่มๆ หวานๆ ดีมั้ย”

“อะไรวะ” ผมถามไม่ได้ต้องการคำตอบแล้วจึงว่าต่อ “อะไรก็ช่างเถอะแค่กูไม่ต้องเสียตังค์ก็พอแล้ว”

“ไปซื้อด้วยกันสิ”

“ไม่เอา ขี้เกียจ”

ปฏิเสธแล้วชิ่งแม่ง ป้องกันการเหนี่ยวรั้งที่อาจจะทำให้ผมถูกมองว่าใจร้าย

จำได้ว่าไอ้เอิ้นนั่งแถวหลังๆ ลองกวาดสายตามองแล้วเห็นเสื้อคลุมมันวางอยู่จึงเดินตรงไป แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับอดีตน้องรักของผมที่กำลังนั่งกดมือถืออย่างจริงจัง

“ไม่ลงไปเข้าห้องน้ำเหรอมึง”

“เรียบร้อยแล้วพี่” มันตอบสั้นๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวแล้วคว่ำหน้าจอมือถือลงคล้ายกับบอกเป็นนัยๆ ว่าอย่าเสือก

สงสัยผมคงจะติดนิสัยขี้เสือกมาจากไอ้เอิ้นตอนที่จูบกับมันล่ะมั้ง

แล้วทำไมต้องคิดถึงวะ

“มีแฟนเหรอวะ”

“ห๊ะ!!” มันเงยหน้ามองผมพลางอ้าปากเด๋อๆ แล้วก้มหน้ามองมือถืออีกครั้ง “เปล่าพี่ ฟงแฟนอะไร”

“ท่าทางมีพิรุธนะมึงอะ” ผมแสร้งมองด้วยสายตาจับผิดยื่นมือไปทำเหมือนจะฉกมือถือมาให้ไอ้วินรีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกง

“พี่เสือ!!” ครั้งแรกเลยมั้งที่มันกล้าชึ้นเสียงกับผม

ท่าทางของกวินทำให้มั่นใจเลยว่าโทรศัพท์มือถือนั้นคือกุญแจสำคัญในการไขข้อข้องใจนี้

“พี่ล้อเล่นน่ามึงก็รู้ว่าพี่ไม่ขี้เสือกขนาดนั้น”

ตบไหล่ไอ้กวินปุๆ ยกยิ้มเหมือนพี่ชายใจดีก่อนจะกลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะคู่ที่ไอ้เอิ้นเคยนั่งคนเดียว

หยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมยังไม่จบไอ้คนไปช๊อปของกินก็โผล่หัวมาพร้อมกับของพะรุงพะรังให้ต้องเอ่ยถาม

“ซื้อมาทำไมเยอะแยะวะ”

“แบ่งคนอื่นๆ ด้วยไง”

“พ่อพระ” แซวมันแล้วจึงช่วยมันแจกขนมพอแจกเสร็จรถออกเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง

“เข้าไปสิ”

“หืม” ไอ้เอิ้นทำหน้างงเหมือนหมาหลงทางตอนที่ผมพยักเพยิดให้มันเข้าไปนั่งติดหน้าต่าง

“ถ้ามึงไม่ได้นั่งข้างหน้าต่างมึงจะเมารถไม่ใช่เหรอ”

“จำได้ด้วย” พอได้คำตอบก็ฉีกยิ้มจนหน้าบานแทบจะรับสัญญาณจากนอกโลกได้เชียว

“กูจำได้ทุกเรื่องที่มึงดูไม่เท่”

“ไม่เป็นไรแค่เสือจำได้เอิ้นก็ดีใจแล้ว”

ถึงผมจะพูดไม่ดีรอยยิ้มบนใบหน้าของมันก็ยังไม่หายไปอยู่ดี

“หรือมึงจะยืน”

“นั่งครับนั่ง แต่ไม่นั่งติดหน้าต่างก็ได้เอิ้นไม่เมารถแล้ว”

“แล้วแต่” ผมว่าก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งเบาะติดหน้าต่าง “ถ้าคิดว่าที่ทำเนี่ยมันดูเท่ล่ะก็บอกไว้ก่อนว่ามึงคิดผิด”

“ยังไม่ได้คิดเลยเสือแหละคิดว่าเอิ้นเท่มากๆ เลยใช่มั้ยล่ะ”

ยัดเยียดความคิดให้ผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ

“แล้วอย่าอ้วกใส่กูล่ะ”

“ถ้าอ้วกก็ไม่เท่สิ” ว่าแล้วก็ไหวไหล่ เท่ตายล่ะไอ้ขี้เก๊ก พอมีสาวๆ เอาขนมมาให้ที่ออฟฟิศหน่อยทำเป็นทำตัวเหนือชั้น โธ่ ผมนี่ 5 ปีซ้อนยังไม่โม้เลย

“มึงคิดว่าสาวๆ ชั้นไหนสวยสุดวะ”

“อะไร” ไอ้เอิ้นสายตาจากถุงร้านสะดวกซื้อ “สาวๆ อะไร”

ถามจบก็ก้มหน้าแกะซองอะไรสักอย่างเสียงดังก๊อกแก๊ก

“ก็ที่ซื้อขนมมาฝากไง”

“ไม่มีนะ” แกะซองพลาสติกสำเร็จพอดี

“ไม่มีอะไรพี่ประชาสัมพันธ์ก็บอกอยู่ว่ามี”

“เอิ้นหมายถึงไม่มีใครสวยเท่าเสืออีกแล้ว”

แก้มที่ร้อนผ่าวถูกความเย็นจากผ้าเย็นในมือไอ้เอิ้นสัมผัสแผ่วเบา

“ตาก็สวย”

ดวงตาคู่คมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายพิเศษจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมซึ่งมั่นใจมากกว่ามันกำลังสั่นไหว

บ้าเนอะ

“จมูกก็สวย”

ผ้าชื้นๆ แตะที่ปลายจมูก

“ปาก…” คราวนี้อวัยวะบนใบหน้าที่ถูกกล่าวถึงถูกจับจ้อง ไอ้เอิ้นเลียริมฝีปากตนเอง ให้ผมรู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผาก “ก็น่าจูบ”

“ห่า”

ด่ามันสั้นๆ ก่อนจะถูกสัมผัสด้วยนิ้วโป้งของอีกฝ่าย ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องคลี่ผ้าเย็นในมือออกแล้วใช้มันปิดหน้าตัวเองไว้

ฉิบหายละหัวใจหน้าร้อนเป็นไฟ

“เออ แล้วไหนขนมกู” พอสงบจิตสงบใจด้วยผ้าเย็นได้แล้วก็นึกได้ว่ามันบอกจะซื้อของกินมาเผื่อผม

เงียบเชียวนะมึง ไม่ใช่ว่าแจกคนอื่นไปหมดแล้วหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะบีบคอมันแล้วจับหัวกระแทกกระจกรถแม่งเลย

“ไอ้ที่นุ่มๆ หวานๆ อะนะ” ปั้นหน้าไม่น่าไว้ใจอีกแล้วถึงกระนั้นผมก็พยักหน้า

“จะนุ่มๆ หวานๆ หรือกรอบๆ เค็มๆ แข็งๆ ก็เอามาเถอะ”

“ถ้าจะเอาทั้งหมดนั่นเอิ้นไม่มีหรอกนะ”

“มึงนี่ลีลาชะมัดแจกคนอื่นไปหมดแล้วก็บอกไม่ต้องมาเฉไฉ”

“อันนี้ให้คนอื่นไม่ได้หรอกมันเป็นของเสือ”

“ของกูงั้นก็เอามาสิ” ผมพลิกตัวเพื่อหันไปทะเลาะกับมันจริงจังถ้าลีลาอีกคราวนี้จะฟาดหน้าด้วยหลังแหวนจริงๆ ด้วย

นั่นไงมองหน้าผมด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกหวิวๆ ในช่องอกอีกแล้วและก็เพิ่งสังเกตว่าไอ้เอิ้นแม่งชอบเลียริมฝีปากฉิบหาย

“ขยับเข้ามาใกล้ๆ อีกสิ”

กระดิกนิ้วเรียกขณะกดสายตาลงมองริมฝีปากผม

อ๋อเข้าใจแล้ว เสือไม่โง่ไง ไอ้ที่มันบอกว่านุ่มๆ หวานๆ นั่นทั้งยังบอกอีกว่าให้คนอื่นไม่ได้เพราะเป็นของผมคนเดียวน่าจะหมายถึงปากมันแน่ๆ เลยว่ะ

โหยไอ้คนหมกมุ่นในกามารมย์

“มึงก็ขยับเข้ามาเองสิ”

ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้อย่างไม่ลังเล ผมเองก็ยื่นมือไปวางลงบนท้ายทอยของมัน ลูบไล้เมื่อความห่างค่อยๆ ขยับเข้ามาชิดจนได้กลิ่นยาสีฟันจากลมหายใจจางๆ

“รู้เหรอว่าของหวานที่เอิ้นว่ามันคืออะไร”

ผมพยักหน้า

“กินตรงนี้ไม่ได้หรอกนะ” เกลียดเสียงพร่าๆ ของแม่งฉิบหาย

“กูก็ไม่ได้จะกินซักหน่อย”

ผมคว้าหมับเข้าที่เส้นผมตรงท้ายทอย กระชากแรงๆ ให้ไอ้เอิ้นร้องเสียงดัง

“เสือ!! เอิ้นเจ็บ”

“ถูกแล้วไงกูตั้งใจทำให้มึงเจ็บ”

“เสือ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”เสียงพี่ปัทร้องห้ามดังจากที่ไหนสักแห่งให้มือที่ทึ้งหัวให้เอิ้นหยุดชะงักลง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาทุกคู่จับจ้องที่เราหากมองแบบเสือโลกสวยก็คงมองตั้งแต่ไอ้เอิ้นเริ่มร้องแรกแหกกระเชิงล่ะมั้ง

ใช่แหละต้องใช่ตอนนั้นแน่ๆ

ผมยิ้มแห้งๆ มองพี่ปัทแล้วจึงค่อยๆ ปล่อยมือ ถึงปากพี่ปัทจะไม่ได้เอิ้นเอ่ยคำหยาบคายแต่สายตาพี่แกฆ่าผมได้เลยล่ะ

“พี่เสือกับคุณอัคคีนี่สนิทกันจังเลยนะคะ”

ผมมองคนพูดที่มองหน้าพวกเราสลับกันด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ

“ไม่ได้สนิท”

“ถ้าแบบนี้เรียกไม่สนิทแบบพวกเราคงเรียกว่าคนไม่รู้จักแล้วล่ะค่ะ”

กูจะเกลียดอีน้องดาวก็วันนี้

“เสือไม่ค่อยอยากสนิทกับผมเท่าไหร่หรอกครับแต่ผมอยากสนิทกับเสือนะ”

“ปกติพี่เสือสนิทกับคนง่ายจะตายค่ะ” ทำเป็นรู้จักผมดีอีก ในสายตาคนอื่นผมดูเข้ากับคนง่ายขนาดนั้นเชียวหรือวะ

“งั้นเหรอครับ”

“บางทีพี่เสือก็ชอบหว่านเสน่ห์ค่ะ ใครๆ ก็ชอบพี่เสือ ตอนที่หนูเจอพี่เสือครั้งแรกยังแอบหลงเลย ติดที่มีแฟนแล้วก็เลยไม่จีบ”

“ดีแล้วที่ไม่จีบเพราะพี่ไม่อยากหักอกน้องดาว”

ผมพูดแทรกให้คนที่เพิ่งสารภาพความรู้สึกกับผมหันมาค้อนใส่

“เสือไม่หว่านเสน่ห์ผมก็ชอบเสือนะ”

ตายซะเถอะกู เล่นสารภาพว่าชอบกันท่ามกลางมวลมหาประชาชนแบบนี้เอาปืนมายิงกูเลย ยิงกูให้ตายไปเล้ย



▲▼▲▼▲▼



เห็นทีผมคงได้ไปสวรรค์กับไอ้เอิ้นจริงๆ แล้วล่ะ

“เตียงนุ่มจัง” มัดมือชกคว้ากระเป๋าของผมเข้ามาในห้องพักแล้วก็ทิ้งตัวนอนแผ่สามสลึงลงบนเตียงนอนแบบเดี่ยว

อยากจะกระโดดตามขึ้นไปกระทืบแม่งให้ไส้แตก

“แล้วมีแพลนทำอะไรกันบ้างวะ”

“พักผ่อนไง” ผงกศีรษะขึ้นมาตอบแล้วขยิบตา เท่ตายล่ะ

ผมเบะปากใส่แล้วตั้งใจเดินผ่านมันไปที่ระเบียงมองจากตรงนี้ยังเห็นทะเลลิบๆ

ที่พักของเราครั้งนี้เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ความสูง 3 ชั้นแต่หรูมากทีเดียว พวกเราทุกคนพักที่ชั้น 3 บริเวณชั้น 2  มีสระว่ายน้ำ ที่แน่นอนว่าเมื่อมองออกไปจะเห็นทะเลอันกว้างใหญ่

ก็ดีนะกำลังอยากว่ายน้ำพอดี

ผมกลับเข้ามาในห้องรื้อกระเป๋าหากางเกงว่ายน้ำแต่…

ไม่มี!! กางเกงว่ายน้ำผมไปไหนวะ

“มีอะไรหรือเปล่า”

คงเห็นผมทำหน้ายุ่งรื้อข้าวของกระจุยกระจายไอ้เอิ้นจึงลุกขึ้นเดินเข้ามาถาม

“ไม่ได้เอากางเกงว่ายน้ำมาว่ะ”

“ยืมของเอิ้นมั้ย” ว่าแล้วก็ลากกระเป๋าเดินทางมาเปิดไม่ต้องรื้อให้ยุ่งยากก็ได้กางเกงว่ายน้ำมาส่งให้ผมคลี่ดู

“ตัวเล็กจังวะ” ผมว่าแล้วกดตาลงให้ตรงกับตำแหน่งกลางลำตัว “ลืมไปว่าของมึงเล็ก”

“เล็กหรือเปล่าไม่รู้แต่ที่รู้ๆ…” ไอ้เอิ้นโน้มลำตัวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงแผ่ว “ของเอิ้นก็เคยทำให้เสือมีความความสุขมาแล้ว”

“กูไม่ได้มีความสุข” ผมผลักอกมันแรงๆ แต่แทนที่จะโกรธแต่แม่งกลับหัวเราะชอบใจ

“แต่เสียงเสือคืนนั้นมันบอกเอิ้นว่าเสือมีความสุข”

หน้าร้อนไปหมดแล้วห่าเสือ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเถียงด้วย คืนนั้นกูเมาไงแล้วอีกอย่างช่วงนั้นงานยุ่งจนเวลาจะนอนยังไม่มีก็เลย ไม่มีเวลายุ่งกับส่วนนั้นเลยด้วย ผู้ชายอะพอไม่ได้ทำนานๆ มันก็อึดอัดป่ะวะแล้วพอมีคนมาปรนเปรอให้มันก็ยากที่จะห้ามใจ

ร้อนฉิบหาย ร้อนไปทั้งตัวทั้งหน้า ร้อนแบบนี่ต้องไปว่ายน้ำ

คิดได้ดังนั้นผมจึงพรวดพราดลุกขึ้นถอดเสื้อยืดออกจากตัว กำลังจะปลดกางเกงแต่เสียงหยอกเอินของไอ้เอิ้นก็เรียกใให้ผมหยุดทุกการกระทำ

“นี่เสือจะยั่วเอิ้นรึเปล่า”

“ยั่วห่าไรกูจะเปลี่ยนชุด”

“ตรงนี้อะนะ”

“แล้วมึงจะทำไม”

“อยากพิสูจน์ให้เสือเห็นว่าของเอิ้นไม่เล็ก”

“ไม่ต้องพิสูจน์หรอกดูกางเกงว่ายน้ำก็รู้แล้วว่ามึงน่ะเล็ก”

“ขี้ยั่วแล้วยังท้าทายอีกนะเราอะ”

ที่จริงผมเกิดก่อนไอ้เอิ้นนะถึงจะแค่วันเดียวแต่ผมก็อายุมากกว่าป่ะแล้วมันยังมีหน้ามาพูดเหมือนเอ็นดูผม

นี่พี่เสือครับอยากให้จำใส่ใจเอาไว้สักนิด

ผมเลือกที่จะไม่สนใจมันแล้วหันหลังปลดกางเกงถึงจะบอกว่ากางเกงว่ายน้ำมันเล็กแต่ผมดันใส่ได้พอดี

ผมไม่เล็กนะโว้ยกางเกงมันยืดได้ต่างหาก

“ใส่ได้ด้วย งั้นของเสือก็เล็กเหมือนกันน่ะสิ” เป็นไอ้คนพูดที่เดินอ้อมมาจ้องของผมตาเป็นมันลูบคาง ประหนึ่งกำลังพิจารณาสินค้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้ม

“ไม่เล็กโว้ย” ผมตะโกนใส่หน้าแม่งแล้วจึงคว้าเสื้อคลุมมาสวม

แอร์เสียรึเปล่าวะร้อนฉิบหาย

“ที่จริงของเสือก็ไม่เล็กหรอกแต่น่ารักมากๆ เลย”

สายตาวิบวับที่กดต่ำลงไปจ้องลูกชายผมทำให้ตัวผมร้อนเป็นไฟถึงแม้ว่าจะมีทั้งกางเกงว่ายน้ำและชุดคลุมปิดเอาไว้แต่ไอ้เอิ้นแม่งจ้องอย่างกับผมกำลังแก้ผ้าแน่ะ

โว้ย!! ร้อนร่างกายต้องการน้ำ



▲▼▲▼▲▼



คิดว่ามีแต่ผมที่ร่างกายต้องการน้ำ เมื่อลงมาถึงสระกลับพบกับสาวๆ ที่นั่งถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินที่ริมสระ

“พี่เสือถ่ายรูปกันค่ะ” ผมยิ้มให้ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา

ยืนนิ่งๆ เก๊กหล่อเมื่อเข้าร่วมเฟรม

“ถอดเสือคลุมออกด้วยสิคะ”

“ไม่ล่ะ โป๊”

“โป๊อะไรกันคะ ไม่โป๊หรอก ถอดเถอะค่ะ ถอดนะ” ตอนแรกก็มีแต่น้องดาวครับที่คะยั้นคะยอแต่ท้ายๆ ประโยคนี่มาทั้งกลุ่ม งุ้งงิ้งอย่างกับเสียงยุง

“แฟร์ๆ นะพี่ถอดพวกเราก็ถอด”

“พี่เสือทะลึ่ง ถอดอะไรกัน โป๊”

“อ้าว เมื่อกี้ยังบอกพี่เลยว่าไม่โป๊”

“มันไม่เหมือนกันนี่คะ พวกหนูมีหน้าอกแต่พี่เสือไม่มี”

“ผู้ชายก็มีหน้าอกครับเพียงแค่มันไม่นูนเด่นออกมาเท่านั้นเอง”

“นั่นแหละค่ะมันแบนไงถึงบอกว่าไม่โป๊”

“งั้นเหรอครับถ้าน้องดาวถอดก็คงไม่โป๊หรอกมั้งเนอะ”

ผมยักคิ้วกวนให้เจ้าของชื่อแล้วรีบถอดเสื้อคลุมชิ่งลงสระก่อนเจ้าตัวจะคิดได้

ไม่นานเลยที่เสียงก่นด่าจะดังตามมา

บางทีผมก็คิดนะว่าน้องดาวควรจะยอมรับความจริงได้แล้วแบนก็ยอมรับว่าแบนดิวะ



▲▼▲▼▲▼



ผมดำผุดดำว่ายในสระน้ำที่ปราศจากผู้คน

ฟินเฟร่อ

น้ำเย็นๆ ในสระนี้นอกจากทำให้ร่างกายรู้สึกดีแล้วมันยังทำให้ใจผมเย็นลงมาก ความรู้สึกคล้ายกับตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งกับน้ำแหวกว่ายเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ

ผมไม่สนใจสิ่งรอบตัวด้วยซ้ำไม่รู้ด้วยว่าน้องดาวหยุดผรุสวาทคำร้ายกาจไปตั้งแต่เมื่อไหร่

กระทั่ง…

“คุณเอิ้น” ชื่อนั้นทำให้ผมหยุดแล้วหันมองชั่ววินาทีแต่ก็ยังบังเอิญสบตาราวกับคนที่เพิ่งมาใหม่จับจ้องผมอยู่ตลอดเวลา

เบื่อว่ะ มองอยู่ได้ รู้หรอกว่ามันหลงผมมากแต่หักห้ามใจบ้างก็ดี

“คุณเอิ้นถ่ายรูปกันค่ะ”

ไม่ต้องทำเป็นยิ้มละไม สาวๆ พวกนั้นก็ชวนทุกคนแหละมึงไม่ได้พิเศษ

“ไม่ดีกว่าครับผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูป”

“แหมมาเที่ยวทั้งที” เสียงสาวๆ บ่นอย่างแสนเสียดาย “หรือว่ากลัวใครเข้าใจผิดคะ” อีน้องดาว

“ไม่มีใครเข้าใจผิดหรอกครับ ใช่มั้ยเสือ”

เกี่ยวอะไรกับผม ร้องถามผมทำไม แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมหยุดว่ายน้ำแล้วมองดูการสนทนาริมสระ

“คุณเอิ้นกับพี่เสือนี่สนิทกันจังนะคะ”

ไอ้เอิ้นละสายตาจากผมที่ไม่ยอมตอบคำถามมันหันไปมองน้องดาวที่ย้ำจังว่าเราสองคนสนิทกัน บอกว่าไม่สนิทไงต้องให้บอกอีกซักกี่ครั้งว่ากูไม่สนิท

“ผมชอบเสือครับ”

กรี๊ด!

แล้วสาวๆ ครับพวกคุณจะกรี๊ดทำหอกอะไร มดกัดซอกขาหนีบเหรอ

ห่าตัวแช่อยู่ในน้ำแต่ทำไมหน้ากูร้อน ดำน้ำแม่ง

เชี่ย! ผีจับหัว

ดำน้ำอยู่ดีๆ ก็มีมือใครสักคนมาจับที่ศีรษะ ผมเตะขาป่ายมือไปทั่วพยายามพาร่างขึ้นเหนือน้ำ

จะตายในสระว่ายน้ำความลึก 1.5 เมตรไม่ได้นะ เสียชื่อเสือหมด

ฮึบ!

ผมพุ่งขึ้นเหนือน้ำ ผละห่างออกไปกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด

แม่ง! ไอ้เอิ้น

“มึงจะฆ่ากูรึไง”

“แค่จับหัวเอง”

“แค่จับหัวอะไรก็เห็นๆ อยู่ว่ามึงจับกูกดน้ำ”

“เอิ้นชอบเสือขนาดนี้เอิ้นจะทำแบบนั้นทำไม”

“มึงโกรธที่กูไม่ชอบมึงตอบไง”

“แน่ใจเหรอว่าไม่ชอบ”

“เออ” ตอบมันห้วนๆ แล้วว่ายน้ำห่างออกมาแต่ไอ้คนขี้ตื๊อก็ว่ายตาม

อยากแข่งใช่มั้ย ได้อยู่แล้ว อยู่บนบกผมเป็นเสือแต่รู้มั้ยว่าเมื่อลงน้ำผมแปลงร่างเป็นฉลามได้นะ

หมับ!

ฉลามถูกขี่หลังว่ะและตัวไอ้เอิ้นก็ไม่ใช่เบาๆ ริมฝีปากของผมเริ่มจมลงไปในน้ำต้องพยายามฝืนตัวเองไว้แล้วพยายามสะบัดมันให้หลุด

“มึงจะเอาไง จะจับกูกดน้ำให้ได้เลยใช่มั้ย”

“เอิ้นอยากผายปอด” กูจะจมน้ำตายเพราะฝีมือมึงอยู่แล้วยังมีหน้ามาตอบหน้าระรื่น

ลองถูกจับกดน้ำบ้างมั้ย

ผายปงผายปอดอะไรไม่ต่อยให้ก็บุญหัวมึงละ

“ขำมากมั้ยแต่กูไม่ขำ ลงไป”

ผมสะบัดแต่มันยิ่งเกาะผมแน่นแล้วก้มลงมากระซิบที่หู

“ที่จริงเอิ้นอยากจับเสือกดลงบนเตียงมากกว่าอีก” แค่พูดจาลวนลามก็โกรธแล้วนะ ขบเม้มใบหูด้วยนี่คิดว่าจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้มั้ย

บอกเลยว่าได้แต่ต้องถูกเสือตีก่อน

อาจเพราะความโมโหที่กำลังพุ่งปรี้ดผมจึงสามารถสะบัดให้เอิ้นออกจากหลังได้ง่ายๆ

ตู้ม!

เสียงวัตถุน้ำหนักราว 60 กว่าๆ กระแทกกับผิวน้ำ ผมไม่ให้โอกาสมันตั้งตัวรีบกระโจนเข้าไปคว้าคอแลัวจับแม่งกดน้ำซะ

ให้มันรู้ซึ้งถึงความทรมานที่ผมได้รับก่อนหน้านี้ซะบ้าง

“เสือ เอิ้นหายไม่ออก”

“ดี”

“จะตายแล้ว”

“ตายไปเลย”

“แล้วจะไม่เสียใจเหรอ”

เสียใจเหรอ ถ้ากูเสียใจก็คงไม่จับมึงกดน้ำหรอก

ผมมองหน้าไอ้เอิ้นตอนที่ดึงมันขึ้นจากผิวน้ำ ยิ้มเหี้ยมแบบเสือร้ายแล้วกดมันให้ดำดิ่งลงใต้ผิวน้ำอีกครั้ง

จังหวะที่กำลังวุ่นวายเสียงสาวๆ ที่จับกลุ่มกันรัวชัตเตอร์แบบมาราธอนก็ดังเข้าหู

“พี่เสือกับคุณเอิ้นเขาสนิทกันจังเลยเนอะ”

อีน้องดาวครับจะฆ่ากันตายอยู่แล้วยังมองว่าพวกกูสนิทกันอีกเหรอต้องโลกสวยขนาดไหน

‘ดาวไม่เข้าใจเสือ กูไม่สนิทกันโว้ย ไม่สนิท เข้าใจไหมดาว’


[- T B C -]


ทศกัณฐ์หยอดขนมครก บางคนอาจจะบอกว่าไม่เหมาะสม
แต่คุณเอิ้นหยอดคุณเสือมันดีต่อใจจริงๆ ค่ะ มีใครเลี่ยนแล้วหรือยังคะ
อย่าเพิ่งเลี่ยนค่ะ หวานกันยาวๆ ไป เพราะตอนหน้าจะพากวินมาแล้ว
มาคอยดูกันว่าเรื่องกวินที่จริงแล้วจะใช่เขาหรือเปล่าที่เป็นคนใส่ร้ายพี่เสือ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ เราอ่านนะ อ่านทั้งหมดเลย
ฝากติดตามกันต่อไปด้วย
รัก
แจ๊ส

 :hao5:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 29-09-2016 21:05:37
ชอบค่ะ หยอดกันเยอะ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 30-09-2016 16:14:40
น่ารักอ่าาาา
ติดตามค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-09-2016 18:59:25
รออ่านมุมกวินนนน
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 30-09-2016 21:17:57
 o13 เยี่ยมคะน้องดาว~
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 03-10-2016 12:47:04
มารอขย้ำเสือออออออออออออ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 11 {ผมชอบเสือครับ} UP.290916
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-10-2016 20:03:26
เราว่านี่มันเบ้าขนมครกแล้ว ไม่ใช่เสือหรอก
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 07-10-2016 20:41:21

ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน}



กิจกรรมตอนกลางวันของทุกคนจบลงตอนพระอาทิตย์ตกดิน

ผมเก็บโทรศัพ์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงตอนที่ส่งภาพพระอาทิตย์ตกดินให้เจ้ศรีแล้วได้รับข้อความตอบกลับมาว่าอย่าแกล้งหนูเอิ้นล่ะ

ถามจริ๊งนี่ใครลูก เสือหรือเอิ้น

“เสือ” พอนึกถึงก็โผล่หน้ามาข้างหลังให้หันไปทำหน้าเฉยเมยใส่

นี่ยังโกรธเรื่องเมื่อกลางวันอยู่นะ

“ถ่ายรูปกัน”

“กูไม่ชอบถ่ายรูป” ผมหมุนตัวกลับแล้วก้าวเดินไปตามชายหาด

“เมื่อกลางวันยังถ่ายกับสาวๆ อยู่เลย”

ผมอุตส่าห์พูดอ้อมๆ ให้มันคิดเองแล้วแต่ในเมื่อยังเซ้าซี้ก็จะไม่มีทางได้รับความเกรงอกเกรงใจจากเสืออีก

“กูไม่ชอบถ่ายรูปกับมึงไง” ผมเน้นเสียงหนักๆ ตรงท้ายประโยค “แล้วมึงล่ะ ไหนบอกไม่ชอบถ่ายรูป”

“ไม่ชอบถ่ายกับคนอื่นไงแต่ชอบถ่ายกับเสือ”

“ชอบถ่ายกับเสือก็ไปสวนสัตว์สิวะ”

เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วครู่ก่อนเสียงหัวเราจะดังขึ้นจากคนที่ยืนข้างๆ

“เสือนี่นอกจากน่ารักแล้วยังตลกอีกนะเนี่ย”

ผมหันขวับ “กูไม่น่ารัก”

“น่ารักจะตาย” สงสัยไอ้เอิ้นอยากตายถึงได้กล้ายื่นมือมาหยิกแก้มผม

หยิกแก้มเสร็จก็เลื่อนลงมาโอบไหล่ เอาแก้มมาแนบแก้มแล้วกดชัตเตอร์ดังแชะๆๆๆ

เอาที่มึงสบายใจเถอะหน้ากูคงเหี้ยมากเมื่อเทียบกับหน้ามึง

“เห็นมั้ยเสือน่ารักจะตาย” ก้มกดมือถือยุกยิกแล้วก็ยื่นมาตรงหน้าให้ผมดู

ไอ้เวร ทำไมต้องเติมหูแมว ทำไมต้องเติมแก้มแดง เสือแบ๊วเลย ไม่แมน ไม่เอา

“มึงลบเดี๋ยวนี้เลย” ผมออกคำสั่ง

“ลบทำไมน่ารักดีออก”

ดูท่าแล้วไอ้เอิ้นคงจะไม่ยอมลบจริงๆ ผมจึงฉวยโทรศัพท์มือถือของมันมา

“เดี๋ยวกูลบเองก็ได้ ลีลาดีนัก”

“อื้อ ลีลาดี” คนละความหมายละสัส

ผมทำหูทวนลมเลิกคุยเรื่องใต้สะดือที่ถ้าต่อความยาวไอ้คนหมกมุ่นในกามารมย์ต้องลวนลามผมด้วยคำพูดแน่

“จะลบรูปรู้รหัสผ่านโทรศัพท์เอิ้นเหรอ”

“ก็ไม่เห็นจะยาก” ปากเก่งไปอย่างนั้นเอง ผมลองสุ่มกดวันเกิดตัวเองพอกดเลขตัวที่ 4 หน้าจอก็สว่างขึ้น

เดาถูกเฉยเลยว่ะ

ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอมยิ้มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

หน้าร้อนไปหมด เขินเลยเนี่ย ไม่คิดว่ามันจะใช้วันเกิดผมเป็นรหัสมือถือจริงๆ

“ห้องกับเอทีเอ็มก็วันเกิดเสือนะ”

“กูไม่อยากรู้”

“เขินเลยอะดิ” เอาไหล่มากระแซะอีก

เออกูเขิน ห่า ทำไมกลายเป็นเสืออ่อนหัดไปได้วะ

ผมรีบลบรูปแล้วยัดมือถือใส่มือมันกลบเกลื่อนความเขินที่คิดว่าไอ้เอิ้นมันคงรู้แล้วแหละถึงมองผมไม่วางตา ถ้ากินผมได้คงจับยัดใส่ปากกลืนลงท้องไปแล้วว่ะ

“นี่เสือ”

“อะไรอีก”

“แม่ชมว่าเสือน่ารักด้วยแหละ”

แม่? แม่ใครแต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แม่ผมหรอก อย่างเจ้ศรีไม่มีทางชมลูกชายอย่างเสือว่าน่ารัก แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

และไอ้เอิ้นก็ทำให้ขนที่กำลังตั้งชันนอนลงอย่างสงบด้วยการยื่นมือถือที่เปิดค้างไว้ที่แอพลิเคชั่นสีเขียวมาตรงหน้า

‘Family’

กรุ้ปครอบครัวมันว่ะ

ย้ำให้ฟังว่าไอ้เอิ้นส่งรูปมุ้งมิ้งของผมกับมันเข้าไปในกรุ้ปครอบครัวมันครับ

เพื่อ!?

และก็เป็นแม่มันที่ชมว่าผมน่ารัก

ให้ตายเถอะ เขารู้กันทั้งครอบครัวเลยหรือเปล่าว่าไอ้เอิ้นตามจีบผมอยู่

“พ่อกับแม่เอิ้นรู้นะ” นี่ก็ตอบได้ตรงกับคำถามในความคิดผมประหนึ่งส่งสปายเข้ามาแอบอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของอวัยวะภายในร่างกายผม

“แล้วเขาไม่ว่าอะไรเหรอวะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

ก็แหมความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมันค่อนข้างยากที่จะยอมรับอะเนอะ

“ก็ไม่นะ”

“ครอบครัวมึงนี่ใจกว้างจัง”

“พ่อกับแม่รักเสือจะตาย”

“กูไม่ยักรู้”

“ก็รู้ไว้สิ รักเหมือนที่เอิ้นรักแหละ”

ง่ะ ไปแดกข้าวเอาของคาวเข้าปากครับของหวานเลี่ยนๆ น่ะเก็บเอาไว้ก่อนกูฟังจนจะเป็นเบาหวานแล้วเนี่ย


▼▲ ▼▲ ▼


“พี่เสือคุณเอิ้น!!!”

น้องดาวครับเสียงแจ๋นมากกูอยากอัดเสียงเอาไว้ไล่หมาที่ชอบมาขอข้าวเจ้ศรีกินเหลือเกิน

ปีนี้งานเลี้ยงบริษัทไม่ได้มีคอนเซปส์อะไร แต่ถ้าพูดให้ดูดีหน่อยก็คืออนุญาตให้ทุกคนฟรีสไตล์ อย่างน้องดาวนี่สไตล์จัดเต็มครับ เต็มมากระทั่งเบ้าตาที่คัดมาเป็นอย่างดี

“ไปไหนกันมาคะเนี่ย” ความขี้เสือกก็จัดเต็มเช่นกัน

“ไปดูพระอาทิตย์ตกมาครับ”

“โรแมนติกจัง”

ทำหน้าเคลิ้มฝันทำไมต่างคนต่างดูอย่ามโน

ผมเดินเลี่ยงออกมาในตอนนั้น และกวาดมองหาไอ้กวินก็พบว่ามันนั่งอยู่กับแก็งค์ไอที

อาหารเย็นของเราในวันนี้เป็นพวกปิ้งย่างบาบีคิวจัดที่ริมหาด แดกเหล้าชิวไป

“มึงน่ะลดๆ เบียร์ลงบ้างแล้วออกกำลังกายหน่อยพุงล้ำดั้งแล้วสัส”

ผมบอกไอ้ไอทีเมื่อเห็นว่ามันเอาแต่กระดกเบียร์ ไร้รสนิยมชะมัดเหล้าแพงๆ ไม่ยอมดื่ม ดันชอบแดกช้างกระป๋องละสี่สิบกว่าบาท

“กินเหล้าแล้วกูเมา”

“แดกเบียร์มึงก็เมา” ผมว่าแล้วส่งแก้วเหล้าให้มัน

“กูไม่เอา”

มันปฏิเส ธผมจึงยื่นแก้วไปตรงหน้าไอ้กวิน ป่วยการที่จะหลอกล่อพวกไร้รสนิยมครับ

“มึงเป็นเพื่อนมันรับผิดชอบดิ๊”

“ไหงงั้นล่ะพี่” ไอ้กวินถามเลิกคิ้วสูง

“แดกๆ ไปเถอะนี่กูชงให้เลยนะ” ไอ้กวินส่งมือมารับพร้อมทำหน้าแหยอย่างไม่ปิดบัง

ผมยกแก้วตัวเองขึ้นดื่มบ้าง เหลือบมองคนข้างๆ ที่ค่อยๆ จิบของเหลวจากแก้วที่ผมเพิ่งส่งให้

รสชาติบาดคอดีไหมล่ะมึงที่ผมชงเมื่อครู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเหล้าเพียวๆ ก็ว่าได้

“ผมว่าพี่เสืออย่าชงเหล้าให้ใครอีกดีกว่ารสชาติโคตรห่วยแตก”

ไอ้กวินเป็นพวกที่เมื่อเมาแล้วจะพรั่งพรูความลับและความอัดอั้นตันใจออกมาจนหมดเปลือก ก็หวังว่าคืนนี้ผมจะได้ยินความลับจากปากของมัน

แก้วเดียวก็กรึ่มแล้ว ความจริงที่ผมตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

“มาพี่ ผมชงให้แต่พี่ต้องดื่มให้หมดนะครับ”

แก้วในมือผมถูกกวินแย่งไปใส่น้ำแข็งโซดาและเหล้าคนให้น้ำแข็งกระทบกับแก้วดังแกร้งๆ แล้วค่อยคืนให้ผมก่อนจะหันไปชงให้ตัวเอง

“ชน” ผมบอกแล้วใช้ก้นแก้วกระแทกกัน

ต่างฝ่ายต่างดื่มจนหมดแก้ว

ไอ้เอิ้นที่เมื่อครู่ยังกล่าวเปิดงานอยู่เลยตอนนี้เดินมาหยุดข้างผม นั่งลงแล้วหยิบแก้วส่งให้กวิน

“ชงให้ผมบ้างได้มั้ย”

คนถูกขอพยักหน้างงแต่ก็ยอมรับแก้วไป

“คืนนี้จะเมามั้ย” ไอ้เอิ้นกระซิบถามผมอย่างมีเลศนัย

เจอเหยื่ออีกรายแล้ว มอมเหล้าแม่งทั้งคู่เลยดีกว่า ผมยกยิ้มร้ายก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่ไอ้กวินให้หยุดการกระทำ เมื่อน้องมันหันมามองผมจึงพยักพเยิดบอกให้ส่งแก้วมา

“เดี๋ยวกูชงเอง”

“ผมบอกพี่แล้วไงว่าพี่ชงเหล้าได้ห่วยแตกมาก”

รู้ครับ อย่าย้ำ เจ็บปวด

ผมกรอกตาแล้วฉกแก้วมา “มึงอยากให้กูชงเหล้าให้มั้ย” หันไปถามไอ้เอิ้นและแน่นอนว่ามันไม่ปฏิเสธ

ผมยกยิ้มร้ายแล้วเติมน้ำแข็งรินเหล้าเหยาะโซดาใช้นิ้วตัวเองนี่แหละคนให้เข้ากัน ก่อนส่งให้ไอ้ข้างๆ ที่มองผมไม่วางตา

“แดกให้หมดนะมึง”

ไอ้เอิ้นรับแก้วกระดกรวดเดียวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

อะไรวะ เหล้าผมโคตรแรงมันต้องมีปฏิกิริยาอะไรบ้างเซ่

“รสชาติเป็นไงบ้างวะ” สีหน้าของมันทำให้ผผมอดถามไม่ได้

“แย่” โอเค กูซึ้ง

“เห็นมั้ยบอกแล้วว่าแย่” โอ้โห โดนซ้ำตับแตกแล้วครับ

“ไหนมึงบอกมึงชอบกู” ผมหันไปกระซิบถามพร้อมทำหน้างอแงใส่ ที่จริงผมควรจะถามห้วนๆ ดิวะ งอแงอะไร เสือทำอะไรลงไปจะกลับตัวกลับใจก็ไม่ทันแล้วเมื่อไอ้เอิ้นมองผมอยู่เต็มตา

“ก็ชอบแต่รสชาติเหล้าที่เสือชงให้มันห่วยจริงๆ แต่ถ้าเสือชงให้อีกเอิ้นก็ไม่ปฏิเสธหรอก”

เสือควรซึ้งหรือโกรธกดโหวตให้ที

ผมละสายตาจากมันแล้วมองตรงไปยังคลื่นทะเลที่สาดเข้าสู่ชายฝั่ง

“คิดจะทำอะไร”

“เปล่า”

“จะมอมเหล้าเอิ้นเหรอ”

“ทำไมกูต้องมอมเหล้ามึงล่ะ”

“กลัวเอิ้นจะปล้ำอะดิ”

ผมนี่ไปต่อไม่ถูกเลยเมื่อถูกจับได้

เออ กูกลัวพอใจยังแต่ไม่บอกหรอกนะ เป็นตายร้ายดีอย่างไรเสือก็ไม่ยอมเผยความกลัวให้ศัตรูได้เห็นหรอกโว้ย

“ไอ้วินโชนนน~”

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะสโลโมชั่นผมหันไปชนแก้วกับไอ้กวินที่มองแก้วในมือมันอย่างเลื่อนลอย

“เหล้าจ๋าเหล้าหมดแล้ว”

“เดี๋ยวผมชงให้” ไอ้เอิ้นเสนอตัวแล้วลุกไปชงเหล้า

พอเห็นคนเป็นผู้จัดการชงไอ้ไอ้ทีก็วางเบียร์ลงแล้วยื่นมือมาขอ

“จะเป็นเกียรติมากถ้าคุณเอิ้นชงให้ผมซักแก้ว”

“ไหนมึงบอกแดกเหล้าแล้วเมา” ผมแขวะแล้วมองตามันที่เเริ่มเยิ้มๆ

ดื่มเบียร์ก็เมาเหมือนกันแหละวะแถมลงพุงด้วย

“ถ้าคุณเอิ้นชงกูแดกโว้ย”

ไอ้คุณเอิ้นก็ใจดีครับชงให้ไอ้กวินแล้วก็ลงมือชงให้ไอ้ไอทีต่อ

เสียงชนแก้วดังขึ้นต่อจากนั้นเลยมาจนถึงกลางดึกโดยมีไอ้คุณผู้จัดการชงเหล้าส่งให้ไม่ขาดมือ

ลมทะเลหอบเอาสติไอ้ไอทีหลุดลอยไปคนแรก ร่างลงพุงนอนเหยียดอยู่บนเสื่อก่ายขาบนตักของผมให้ไอ้เอิ้นที่เมาน้อยสุดลุกไปจัดท่านอนให้

“เสือจะได้นั่งสบาย” ไม่ลืมหันมาบอกผมแล้วส่งยิ้ม

แอลกอฮอล์ในร่างกายทำให้เลือดสูบฉีดหนักมากหัวใจผมเต้นแรง ใบหน้าร้อนผะผ่าว รอยยิ้มให้เอิ้นยังคงหลอกหลอนแม้มันจะหุบยิ้มและกลับมานั่งชงเหล้าส่งให้กวินต่อแล้ว

“ไอ้วิน” ผมเรียกให้มันส่งสายตาเยิ้มๆ มองมา

“ว่าไงครับพี่เสือ”

“มึงมีแฟนใช่มั้ย” ผมส่งสายตาบอกไอ้เอิ้นให้หยุดชงเหล้า

“เปล๊า” เสียงสูงถึงยอดตึกมหานครละสัส กูคงเชื่อมึงหรอก

“มีแฟนไม่บอกพี่นะมึงอะ”

“ผมเปล่ามีแฟนจริงๆ นะพี่แค่งานที่พี่ทิ้งไว้ก็ทำผมเครียดจะตายละ”

ไอ้กวินว่าเสียงอ้อแอ้ให้รู้ว่าแผนมอมเหล้าของผมใกล้จะสำเร็จแล้ว

ไอ้เอิ้นหยิบโทรศัพท์ออกมากดบันทึกเสียงแล้ววางไว้ข้างๆ

“ผมพยายามทำทุกอย่างอย่างที่พี่บอกแต่ทำยังไงก็ไม่เหมือนที่พี่เสือทำเลยว่ะ สิ่งที่พี่บอกว่าง่ายนิดเดียวพอผมลองทำนะแม่งง่ายนิดเดียวแต่ส่วนใหญ่น่ะโคตรยาก”

ผมกับไอ้เอิ้นมองหน้ากันเมื่อสิ่งที่ไอ้กวินพูดออกมานั้นไม่ใช่อย่างที่คาด

“ผมอยากจบงานนี้ให้ดีแต่พี่รู้ป่ะยิ่งผมทำลูกค้าก็ยิ่งด่าผม ด่าทุกวันจนผมโคตรอยากจะเอาปืนไปยิงหัวมันให้กระจุย”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ” ไอ้เอิ้นถามพลางวางมือลงบนไหล่

“ผมไม่บอกคุณเอิ้นเพราะถ้าคุณเอิ้นรู้พี่เสือก็ต้องรู้ ผมไม่อยากให้พี่เสือผิดหวังในตัวผม”

“ไอ้วิน” ผมเรียกมันเสียงเบา รู้สึกจุกไปทั้งช่องอก

ผมโคตรโกรธตัวเองที่มองน้องมันผิดไป

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่เสือจะทิ้งพวกเราไปอยู่กับเดอะเฟิร์ส พี่เสือที่ผมรู้จักเป็นคนซื่อสัตย์ ซื่อตรง พี่เสือไม่มีทางหักหลังเรา”

ยิ่งฟังก็รู้สึกว่าตัวเองโคตรแย่จนไอ้เอิ้นที่เห็นว่าสีหน้าผมไม่ค่อยดีนักยื่นมือมาตบไหล่ปุๆ แล้วบีบเบาๆ

“แปลกใจอะดิว่าทำไมผมรู้เรื่องนี้…”

ผมและไอ้เอิ้นไม่ได้พยักหน้าและไอ้วินก็แค่หันมามองพวกผมแว้บเดียวแล้วพูดต่อ

“ลูกค้าแม่งกรอกหูผมอยู่ทุกวันว่ามันคิดถูกแล้วที่จบสัญญากับเราแล้วไปต่อสัญญากับเดอะเฟิร์ส ไปทำงานกับพี่เสือ ผมขอโทษนะพี่”

มือผมถูกดึงไปกุมไว้ไอ้วินมองผมด้วยสายตาเว้าวอน

“ตอนแรกผมเชื่อว่ะเชื่อว่าพี่จะไปจริงๆ แต่พอมาลองคิดดูมันโคตรจะเป็นไปไม่ได้ พี่เสือที่ผมรู้จักไม่มีทางหักหลังพวกเรา ผมขอโทษที่เผลอเข้าใจพี่ผิด ยกโทษให้ผมนะพี่เสือ ผมผิดไปแล้ว”

“กู…” ผมพูดไม่ออก ที่จริงควรจะเป็นผมที่กล่าวขอโทษ ควรจะเป็นผมที่ขอให้น้องมันยกโทษให้

“ผมขอโทษที่เราจบกับลูกค้าไม่ดี ผมขอโทษว่ะพี่ ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง”

“คุณทำเต็มที่แล้วกวิน” ไอ้เอิ้นว่า

“ไม่” และไอ้วินก็ปฏิเสธทันที “ผมคิดว่าผมทำได้ดีกว่านี้แต่ผมมันไร้ประสิทธิภาพ ควรจะเป็นผมที่ถูกพักงาน ควรจะเป็นผมไม่ควรจะเป็นพี่เสือเลย”

“อย่าโทษตัวเองเลยวินที่จริงพี่ก็ผิดที่ไม่ได้สอนอะไรเอ็งก่อนจะออกไป เอาเป็นว่าเก็บมันไว้เป็นบทเรียนนะ”

“ผมแม่งยังอ่อนหัด พี่เสือพี่ต้องกลับมานะ กลับมาสอนงานผม คุณเอิ้นคุณรู้ใช่มั้ยว่าพี่เสือถูกใส่ร้าย พี่เสือถูกใส่ร้ายจริงๆ นะ”

“ผมรู้ กวิน ผมรู้” มือแกร่งตบไหล่ไอ้วินปุๆ ให้เจ้าตัวหันมายิ้ม

ตาเยิ้มๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ค่อยๆ ปิดลงก่อนมันจะทิ้งตัวลงไปเคียงข้างไอ้ไอทีที่กรนแข่งกับเสียงคลื่นที่สาดเข้าฟังดังซ่าๆ

“เสือดูโล่งอก”

ผมหันไปมองคนพูด ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสีหน้าอย่างไรในตอนนี้แต่ก็อย่างที่ไอ้เอิ้นว่าผมโล่งใจมากจริงๆ

ขอบคุณที่กวินไม่ได้หักหลังผม

แล้วใครล่ะ?

ความโล่งอกถูกคลื่นซัดออกไปแล้วแทนที่ด้วยความหนักใจและสงสัย

คนใกล้ตัวอย่างนั้นเหรอ

ใกล้ผมที่สุดตอนนี้…

เมื่อคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

ไม่เอาน่าเสือ ไอ้เอิ้นไม่มีทางหักหลังมึงหรอก

“ดื่มหน่อยมั้ย” แก้วเหล้าถูกส่งมาให้แล้วผมก็รับมา

“จะมอมเหล้ากูรึไง”

“นี่เสือก็กรึ่มๆ แล้วนะ” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเจ้าตัวนั่งลงข้างๆ

“กูรู้สึกผิดต่อไอ้กวินจังว่ะ”

“ไม่ใช่ความผิดเสือหรอก”

“น้องมันศรัทธาในตัวกูมากแต่กูกลับตอบแทนมันด้วยการไม่ไว้ใจมัน กูแม่งแย่ว่ะ”

“เรามีสิทธิที่จะคิดอะไรก็ได้นะเสือ ตราบใดที่ความคิดของเราไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดหรอกถ้าเราจะคิด”

ไหล่ของผมถูสัมผัสแผ่วเบาแต่รู้สึกราวกับว่าถูกโอบกอดเอาไว้

“ตอนนั้นเอิ้นก็เคยคิดไม่ดีกับเสือ”

“ทำอย่างกับว่าตอนนี้มึงคิดดีกับกูงั้นแหละ”

ไอ้เอิ้นหัวเราะแหะๆ

“มันคนละความรู้สึกไง ตอนนี้คิดไม่ดีเพราะรัก”

“พอเลยกูไม่เคลิ้ม” ผมขยับไหล่ให้มือข้างนั้นหลุดออกแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด “เก็บไอ้พวกนั้นขึ้นห้องเถอะปล่อยไว้แบบนี้นานๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะแย่เอา”

ทั้งไอ้กวินและมนุษย์ไอทีถูกผมกับไอ้เอิ้นเก็บขึ้นห้องอย่างทุลักทุเล

ตอนที่ทิ้งไอ้วินลงบนเตียงนั้นเองที่มือของผมดันสัมผัสเข้ากับโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ผมล้วงมันออกมาแล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะถือวิสาสะสแกนนิ้วเจ้าของเครื่อง

“เสือทำอะไร”

“กูสงสัยว่าเมื่อบ่ายไอ้วินมันคุยกับใคร” ผมตอบพลางกดแอพแชทสีเขียว

ชื่อคุณปรีชาอยู่ในประวัติการแชทล่าสุด

ไหนๆ ก็เสียมารยาทขนาดนี้แล้วกดเข้าไปดูบทสนทนาหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก

“เจออะไรดีๆ งั้นเหรอ”

คงเห็นว่าผมมุ่นคิ้วจนยุ่งไอ้เอิ้นจึงถามแล้วนั่งลงข้างๆ ชะโงกหน้าผ่านไหล่ ใช้ดวงตาจับจ้องที่หน้าจอซึ่งปรากฏบทสนทนาที่ทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นอีกระดับ

สารพัดคำดูถูกเหยียดหยาม ตำหนิติเตียนและคำเปรียบเทียบที่เหมือนจะตั้งใจเหยียบไอ้กวินให้จมดินที่คุณปรีชาลูกค้าที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าส่งมานั้นไม่แปลกเลยที่คู่สนทนาจะรู้สึกแย่เอามากๆ

‘ความสามารถคุณไม่ติดฝุ่นคุณเสือด้วยซ้ำ’
‘น้ำหน้าอย่างคุณอย่าคิดว่าจะเทียบชั้นคุณเสือเลย ในชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสร่วมงานกับคนเก่งๆ อย่างนั้นก็บุญหัวแล้ว’
‘ใกล้จบงานแล้วคิดว่าจะทำงานห่วยแตกอย่างไรก็ได้งั้นเหรอ โชคดีเหลือเกินที่ผมตัดสินใจจบสัญญากับบริษัทคุณ’
‘ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าถ้าบริษัทคุณไม่มีคุณเสือสักคนจะยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างไร’

ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันคำชมก็ไม่ทำให้รู้สึกดีเมื่อคำชมนั้นทำให้คนที่เรารักต้องเจ็บปวด

ผมเหลือบมองไอ้กวินที่นอนอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกมากมาย ตลอดหลายเดือนกับคำตำหนิเหล่านี้มันทนได้อย่างไรกัน

“เอิ้นว่าดีแล้วล่ะที่เราไม่ต้องร่วมงานกับลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์แย่แบบนี้”

“แต่เราก็ต้องย้อนดูตัวเองด้วยรึเปล่าวะ ถ้าพนักงานของเราทุกคนมีประสิทธิภาพลูกค้าคงไม่ยึดติดกับใครคนใดคนหนึ่งหรอก”

ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่ง ผมเป็นเพียงแค่พนักงานคนหนึ่งที่มีความสามารถเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีวาทะศิลป์ในการพูดจาจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อถือ

“เสือเคยได้ยินคำว่า Put the Right Man to the Right Job มั้ย”

เลือกคนให้ถูกงาน

แน่นอนสิ ผมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว

“ทุกคนมีประสิทธิภาพนะเสือแต่มีประสิทธิภาพในงานคนละแบบ อย่างเสือเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง พูดจาน่าเชื่อถือรู้วิธีเข้าหาคนเราจึงมอบงานที่ต้องพบปะผู้คนให้ทำ กวินเขาจบบริหาร เก่งเรื่องการวางระบบงาน แต่พูดไม่เก่งเราจึงมอบงานอีกแบบให้กับเขา”

ผมมองหน้าไอ้เอิ้นนิ่ง

“หากเปรียบบริษัทเราเป็นจิ๊กซอว์ ความสามารถของแต่ละคนล้วนแล้วแต่ต่างกันออกไปตามเนื้องานที่เรามอบหมายให้ทำ สุดท้ายความแตกต่างนั้นเมื่อถูกนำมารวมกันอย่างถูกต้องมันก็จะกลายเป็นภาพที่สวยงาม”

“มึง…พูดดีเกินไปแล้วนะ”

“แน่นอนถ้าไม่มีความสามารถเอิ้นก็มาไม่ถึงจุดนี้เหมือนกันแหละ”

“คร้าบๆ ไอ้คนมีความสามารถ”

แขวะมันแล้วจึงกดแบ็คกลับมาที่หน้าหลัก คราวนี้ผมถึงกับต้องเบิกตาจ้องมองชื่อและภาพของคู่สนทนาที่อยู่ประมาณลำดับที่ 3 หรือ 4

‘พี่นพ’

เหี้ย!! ไอ้นพชัยทั้งชื่อและรูปเลยว่ะ

“มีอะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” ผมไม่ตอบคำถามแต่ยื่นสมาร์ทโฟนไปตรงหน้ามันแทนคำตอบ

“พี่นพ?” ยิ่งอ่านออกเสียงก็ยิ่งย้ำให้ผมงุนงงไปหมด “ใช่คนที่เราเจอตอนไปห้างวันเสาร์รึเปล่า”

เมื่อหลายเดือนก่อนยังไงล่ะ

ผมพยักหน้าให้คนถามพยักหน้าตาม

“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“นั่นสิ” ผมคล้อยตามความสงสัยของไอ้เอิ้น

“เสือไว้ใจวินมั้ย”

ผมนิ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะตอนนี้ความไว้ใจก่อนหน้าค่อยๆ จางลงเพียงรู้ว่ากวินกับไอ้นพชัยรู้จักกัน

“เราอ่านได้มั้ย”

เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าไอ้เอิ้นก้มหน้าอ่านข้อความอยู่แล้ว

เออเนอะก่อนหน้านี้จะถามความเห็นผมหาพระแสงอะไร

“เสือยังไว้ใจวินอยู่รึเปล่า” ก้มหน้าอ่านอยู่พักหนึ่งจึงเงยขึ้นมาถามผม

“กู…”

“มั่นใจในตัวเองหน่อย”

“ตอนแรกกูก็ไว้ใจแต่มันก็จางไปตอนเห็นชื่อไอ้นพ”

“เอิ้นเข้าใจว่าเสือกับคุณนพไม่ถูกกัน ก็ไม่แปลกหรอกที่เสือจะกังวล แต่ว่านะถ้าเสือเชื่อใจกวิน เอิ้นก็อยากให้เสือเชื่อใจต่อไปถ้ายังลังเลก็ลองอ่านนี่ดู”

สมาร์ทโฟนถูกยัดใส่มือผมอีกครั้ง ไอ้เอิ้นคะยั้นคะยอให้ผมอ่าน การกระทำนั้นปลุกความสงสัยของผมขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จับจ้องไปยังหน้าจอมือถืออีกครั้ง

ขอบคุณความไร้มารยาทที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

เท่าที่อ่านข้อความบทสนทนา สองคนนั้นรู้จักกันจริงและคงรู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว ทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งแต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

สิ่งที่ผมสงสัยในตอนนี้คือกวินกับนพชัยมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่


[- T B C -]

เคลียร์เรื่องกวินเนอะ ลึกๆ แล้วตอนแรก (ตอนเขียนพล๊อตครั้งแรกสุด)
เราตั้งใจจะให้กวินนี่แหละเป็นตัวร้าย
แต่...พอลองคิดๆ ดู คนเรามันมีหลายมิตินะ
เราอยากให้บุคลิกของเสือพัฒนาขึ้นจากความผิดพลาดครั้งนี้ :)

ส่วนนพชัย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่เขาหรือเปล่า ต้องรอลุ้นเนอะ
คุณเอิ้น ตอนนี้มาหยอดนิดหน่อย เดี๋ยวเบ้าขนมครกจะเต็ม
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะ
รักค่ะ
แจ๊ส

 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-10-2016 20:54:52
แต่ตอนแรกหลักฐานทั้งหมดโยงมาทีกวิน
แบบนี้จะมีใครนอกจากกวินอีกง่ะ
คนใกล้ตัวเสือ งืมมมมม ใครกัน
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 07-10-2016 21:29:11
เอิ้นแน่ๆที่เป็นคนร้ายตัวจริง  :z2:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-10-2016 23:11:12
ไม่ใ่ช่ว่ากวินกับนพชัยอะไรนั้นเป็นแฟนกันหรือ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-10-2016 00:45:01
งั้นใครอะ? :ruready
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 08-10-2016 20:51:38
 :ruready. ใครมาทำพี่เสือเนี่ยยยยยย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 09-10-2016 03:17:56
คิดว่าเอิ้นเป็นตัวร้ายด้วยนะ อีกด้านก็แอบคิดว่าไอทีคนนั้นไม่ก็น้องดาว โอ้ยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-10-2016 08:01:34
 o13
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากจ๊ะ
รีบมาต่อเร็วๆ นะจ๊ะ
น่ารัก มุ้งมิ้ง ดีมาก
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-10-2016 22:48:04
อ้าววว คดีพลิก
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 12 {เรื่องของกวิน} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 17-10-2016 12:39:53
 เสือหาย :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 13 {ทำกันเถอะ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 22-10-2016 20:57:42


ตอนที่ 13 {ทำกันเถอะ}



ปาร์ตี้ยังไม่เลิกราเพราะสาวๆ ไม่ยอมหยุดแดนซ์ซักที

เสียงขวดแก้วกระทบกันดังขึ้นผสานกับเสียงดนตรีที่ชวนให้โยกตาม มองสาวๆ เต้นก็ผ่อนคลายดีครับ ทำให้ลืมเรื่องไอ้กวินกับไอ้นพชัยไปได้ชั่วขณะหนึ่งเลยล่ะ

“ดื่มอีกนะคะคุณเอิ้น”

เหลือบมอบไอ้คนข้างๆ ที่ทำหน้าปูเลี่ยนๆ รับแก้วเหล้าที่ถูกเติมจนเต็มมาอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วก็สะใจ

แดกเข้าไปครับจะได้เมาแล้วจะได้ไม่มีแรงทำเรื่องสัปดน

“พี่เสือ” น้องดาวครับ เธอส่งตาหวานๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ให้ผมแล้วนั่งลงข้างๆ “เลิฟช็อตกันมั้ยคะ”

“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธแต่น้องมันก็ช่างตื๊อ

“นิดเดียว นะคะ นะๆ พี่เสือ”

พอถูกคะยั้นคะยอด้วยความขี้เกียจจะต่อปากต่อคำผมจึงยกแก้วแล้วกระดกเหล้าเข้าปากไปจนหมด กระแทกก้นแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะหันไปบอกมือชงด้วยสายตาว่ามึงหยุดเถอะกูไม่อยากดื่มแล้ว

ไม่ได้อ่อนหัดนะโว้ยแต่ไม่อยากเมาไง

คิดดูสิ เมาไม่พอแล้วยังต้องนอนห้องเดียวกับไอ้เอิ้นอีกไม่ปลอดภัยสุดๆ เลยว่ะ

อยู่ๆ ขณะหันไปสบตากับคนที่กำแก้วเหล้าแน่นความคิดดีๆ ก็ผุดขึ้นในหัว

ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไอ้เอิ้นรู้ว่าถูกผมแทงข้างหลังมันต้องโมโหจนไม่กล้ามาวอแวผมอีกแน่ๆ

ใช่มั้ย เป็นความคิดที่ดีสุดๆ เลยใช่มั้ยล่ะ

แต่ว่านะ ครั้งก่อนที่ไปส่งมันที่ห้องมันยังบอกว่ายอมให้ผมเสียบมันอยู่นี่หว่า แต่ช่างเรื่องพรุ่งนี้เช้าก่อนเถอะเอาเป็นว่าถ้ามันเมาหนักมากผมก็ปลอดภัย

“สาวๆ ชงเหล้าให้คุณเอิ้นหน่อย”

ผมดึงแก้วออกจากมือเจ้าของชื่อแล้วส่งให้น้องมะนาวที่ปกติต้องแต่งตัวภูมิฐานเพราะหน้าที่การงานค้ำคอ ส่วนวันนี้สวยจนผิดหูผิดตาและเธอก็รับไปชงอย่างไม่เกี่ยงงอน

แก้วที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำแอลกอฮอล์ถูกส่งกลับมา

ผมกระแซะที่ไหล่ไอ้เอิ้นเมื่อมันลังเลที่จะรับ “รับไปสิวะน้องเขาอุตส่าห์มีน้ำใจ”

ไอ้เอิ้นเป็นคนมีความเกรงใจในระดับหนึ่งครับ เมื่อผมบอกอย่างนั้นรวมถึงมือชงสาวสวยที่ส่งตาปริบๆ มาให้ มีหรือที่มันจะปฏิเสธการรับแก้วมา

“ดื่มให้หมดด้วยนะคะ นะค้าคุณเอิ้น”

มากไปครับน้อง อ้อนอะไรนี่เจ้านายไม่ใช่ผัว

“ดื่มดิ ดื่มให้หมดด้วยนะคะคุณเอิ้น” ผมว่าตามพยายามบีบเสียงให้เหมือนน้องมะนาวขณะยื่นมือไปดันก้นแก้วบังคับกรายๆ ให้มันดื่มซะ

แม้จะมีอาการขัดขืนหน่อยๆ แต่สุดท้ายเหล้าในแก้วก็ถูกดื่มจนหมด

“ไหนมีใครอยากชงเหล้าให้คุณเอิ้นอีกมั้ยครับ โอกาสดีมีแค่ครั้งเดียวเร่เข้ามาเร่เข้ามา” ผมตะโกนบอกพร้อมเคาะแก้วเสียงดังกริ้งๆ

“ดาวอยากชงค่ะ อยากชงให้ทั้งพี่เสือและคุณเอิ้นเลย”

อ้าวอีน้องดาว ชงให้กูทำไมงานนี้กูไม่เกี่ยวโว้ย

ผมอยากจะโวยวาย ผมพยายามส่งสายตาไม่พอใจให้แล้วด้วยแต่น้องดาวที่กรึ่มๆ ก็หาได้สนใจผมไม่ เจ้าหล่องยังคงตั้งหน้าตั้งตาชงเหล้าแล้วส่งมา

“เลิฟช็อตๆๆ”

ใคร!? ใครเป็นคนต้นคิด มองไปที่ต้นเสียงก็อีน้องดาวอีกนั่นแหละครับ นอกจากชงเหล้าแล้วยังชงกูกับไอ้เอิ้นอีกฟินลืมโลกไปเลยล่ะสิมึง

นั่นแหละครับ พอถูกกดดันด้วยเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ก็จำต้องคล้องแขนแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กันเพื่อดื่มเหล้าในแก้ว หน้าไอ้เอิ้นที่ผมเห็นตอนนี้ฟินกว่าหน้าอีน้องดาวอีก

มึงไม่ต้องยิ้มกรุ้มกริ่มครับเดี๋ยวกูเคลิ้ม

แอบสงสัยนะว่าพวกมึงฮั้วกันใช่มั้ย จ่ายใต้โต๊ะไปเท่าไหร่สารภาพมา

“คุณเอิ้นกับพี่เสือนี่น่ารักจังเลยนะคะ ฟินสุดๆ” ทำหน้าดี๊ด๊าไปอีก ส่วนไอ้เอิ้นน่ะเหรอจะจ้องหน้ากูทำไมนักหนาครับ รู้ว่าหลงกูหนักมากแต่ช่วยหักห้ามใจด้วย

“ดาว” ผมกระแอมทีหนึ่งก่อนจะเรียก “ทีหลังหนูไม่ต้องชงเหล้าให้ใครแล้วนะคะ”
“ทำไมล่ะคะ”

“รสชาติอุบาทว์มากค่ะ” ผมเน้นเสียงตรงคำว่า ‘อุบาทว์’ ให้เจ้าของรสชาติเบิกตากว้างจนตาแทบถลนออกมา

“จริงเหรอคะคุณเอิ้น”

“นิดหน่อยครับ” เท่านั้นแหละหน้าฟินเปลี่ยนเป็นหน้าจ๋อยแทบจะทันที

ผมหัวเราะหึๆ ก่อนจะเคาะแก้วเหล้าเรียกให้สาวๆ หยุดเจี๊ยวจ๊าว

“ได้ยินแล้วใช่มั้ยสาวๆ คุณเอิ้นเพิ่งจะกินเหล้ารสชาติอุบาทว์ลิ้นเข้าไป มีใครอยากช่วยชงเหล้าล้างปากให้คุณเอิ้นมั้ยนะ”

“หนูๆ” เท่านั้นแหละ…

เมาแอ๋ครับ

กูเนี่ยเมา ทำไมเป็นเสืออีกแล้วล่ะ คนเมาคอพับควรเป็นไอ้เอิ้นสิวะ

ตุบ!

ร่างผมถูกโยนลงบนเตียง ไหนบอกว่ารักกูแล้วทำไมไม่อ่อนโยนกับเสือเลยวะ

“ไงล่ะครับคนเก่งคิดจะมอมเหล้าเอิ้น แต่ไหงตัวเองมีสภาพเป็นงี้”

เจ้าของเสียงนั่งลงบนเตียงใกล้ๆ ผม ยื่นมือข้างหนึ่งมาเสยผมข้างหน้าที่ปรกหน้าผากของผมขึ้นก่อนจะไล้มือลงมาที่แก้ม

ฉลาดอย่างไอ้เอิ้นไม่แปลกหรอกที่มันจะรู้ว่าผมต้องการมอมเหล้ามัน แต่ก็นะเพื่อไม่ให้คนที่มันพร่ำบอกว่ารักนักรักหน้าหน้าแตกมึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้างก็ได้มั้ย

และเรื่องที่ว่าทำไมผมเป็นฝ่ายเมาเสียเองนี่มีเหตุผลอยู่ข้อเดียวเท่านั้นครับ

ผมมีเสน่ห์ดึงดูดสาวๆ มากกว่ามันไง ชอบพี่เสือได้นะครับแต่อย่าส่งเหล้ามาบ่อยกูไม่อยากกลายเป็นแมวร้องเหมียวๆ อยู่ใต้ร่างใคร

“เอิ้นกูจะนอนแล้วนะ” ผมบอกเห็นรางๆ ว่ามันพยักหน้ารับ

“ก็นอนสิ”

“เอามือออกไปจากแก้มกูสิแล้วก็กลับไปที่เตียงมึงได้แล้ว”

“ไม่เอาอะจะนอนเตียงเดียวกับเสือ”

ว่าอย่างเอาแต่ใจแล้วก็ทิ้งตัวนอนลงข้างๆ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดให้แผ่นหลังแนบกับอกแกร่ง ลมหายใจอุ่นๆ รินรดท้ายทอย

“กูอึดอัด”

“อึดอัดหรือกลัว”

ผมเงียบไอ้เอิ้นจึงว่าต่อ

“ไม่ทำหรอก แล้วทำไมถึงคิดว่าเอิ้นจะทำ”

“ก็มึงชอบทำตอนกูเมา”

“อยากทำตอนไม่เมามากกว่าอีกแต่เสือไม่ให้ความร่วมมือเลย”

ไม่ได้ให้ความร่วมมือโว้ ยตอนเมาน่ะจะเดินยังไม่ไหวแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปขัดขืน

“งั้นเอิ้นปิดไฟนะ”

สัมผัสอุ่นๆ ผละหายไปครู่หนึ่งแล้วจึงกลับมาใหม่

“เอิ้น” ในความมืดผมเรียกชื่อคนที่กอดผมไว้แนบอก

“หืม”

“มึงเกลียดกูมั้ย”

“เอิ้นจะเกลียดเสือทำไม”

“ก็กูไม่น่ารัก เป็นเสือที่ไม่ได้เรื่องเลย”

“เสือน่ารักที่สุดแล้ว” อ้อมกอดที่กระชับขึ้นราวกับย้ำว่านั่นคือเรื่องจริง

“มึงโกหก ถ้ากูดีจริงแม่กูต้องรักกูมากกว่ามึงสิ”

“เอ๊ะ! คิดอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ”

“อือ ทำไมหรือไม่จริง”

“ไม่จริง” ก็เห็นๆอยู่ว่าเจ้ศรีเอ็นดูมันจะตายส่งข้าวส่งน้ำแบบที่เสือไม่เคยจะได้รับ “แม่ที่ไหนจะรักคนอื่นมากกว่าลูกตัวเองล่ะ”

“แม่กูไง”

“เสือ” ไอ้เอิ้นขยับเข้ามากระซิบที่หู ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดทำให้ขนลุกซู่ๆ “เอิ้นจะบอกอะไรให้นะ”

ร่างของผมถูกพลิกให้หันไปเผชิญหน้า เราอยู่ใกล้กันมาจนสายตาผมจับภาพใบหน้าไอ้เอิ้นไม่ได้เลย มันเลือนลางไปหมด

“ที่แม่เสือดูแลเอิ้นเพราะแม่เอิ้นฝากเอิ้นเอาไว้และอีกอย่างนะ แม่เสือขอให้เอิ้นช่วยดูแลเสือ มันจะแปลกอะไรที่เราต้องทำดีเพื่อตอบแทนกันและกัน”

“ที่มึงดีกับกูเพราะแม่กูขอมาว่างั้น ”แล้วไม่บอกตั้งแต่แรกปล่อยให้กูแอบหวั่นไหวอยู่ตั้งนานสองนาน

“ถึงแม่ไม่ขอเอิ้นก็ดูแลเสืออยู่แล้ว เอิ้นชอบเสือ”

“แต่กูไม่ชอบมึง”

“จริงอ่ะ”

คำถามดังขึ้นพร้อมกับร่างของผมที่ถูกกระชับกอด ร่างกายของเราเบียดชิดไปทุกสัดส่วน ให้ความรู้สึกร้อนวูบวาบ ไอ้เอิ้นจงใจถูปลายจมูกของมันกับปลายจมูกผมก่อนจะงับเบาๆ ให้ผมร้องออกมา

“ไหนมึงบอกจะไม่ทำ”

“ก็ไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย” ก็เห็นๆอยู่ว่าจงใจปลุกเร้าผมยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตาปฏิเสธอีก “หรือว่า…”

มันว่าเสียงยานๆ เหมือนสงสัยขณะลูบแผ่นหลัง

“เสืออยากให้เอิ้นทำ”

“มึงไม่ต้องมาทำรุ่มร่ามกับกูเลย นู่นเลยไปทำกับผู้หญิงของมึงนู่น”

“ผู้หญิงของเอิ้น? หมายถึงลลินอะนะ”

ผมไม่ตอบ และหลุบตาลงเพื่อเลี่ยงการสบตา

“นี่หึงเหรอ”

ไม่รู้โว้ย ผมก้มหน้าลงอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ตอบมันออกไปว่าไม่หึงหรือที่จริงแล้วผมอาจจะหึง

เสือสับสน

“หึงจริงๆ ด้วยสินะ” เสียงแผ่วๆ ที่แค่ฟังก็รู้ว่าคนพูดกำลังยิ้มอยู่เหนือศีรษะ “ลลินเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้นหรอก”

“จริงอะ” ผมช้อนตาขึ้นมองจึงสบตากับคนที่จ้องมองผมอยู่พอดี

“เอิ้นมีแค่เสือจริงๆ”

“อือ” ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเบียดร่างเข้าหามันอีก

เรายังคงสบตากัน

“อย่ามาทำหน้าน่ารักใส่กันในสถานการณ์แบบนี้สิ”

“กูน่ารักจริงๆ เหรอ” ผมถามและคนถูกถามก็พยักหน้าทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด

“น่ารักที่สุด”

“อย่าชมกูว่าน่ารักอีกนะ” คนถูกห้ามมุ่นคิ้ว ผมเองจึงมุ่นคิ้วตาม

จะว่าอย่างไรดีล่ะ พอถูกชมว่าน่ารักหัวใจมันก็พองโตขึ้นมา ทั้งยังเต้นรัวอย่างน่ากลัวอีกต่างหาก และพอถูกชมบ่อยๆ ผมก็กลัวว่าตัวเองจะเคลิ้ม

“ก็เสือน่ารักจริงๆ”

“บอกว่าไม่ให้ชมไง”

“น่ารัก”

“เอิ้น”

ผมเรียกแล้วผละออก ดันตัวขึ้นให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันไม่รู้อะไรดลใจให้ยื่นมือไปวางลงบนแก้มลูบไล้เบาๆให้อีกฝ่ายเบิกตามองด้วยความประหลาดใจ

“บอกว่าอย่าชมว่าน่ารักไง”

“ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งน่ารัก”

รู้สึกว่าสายตาที่กวาดมองผมนั้นกรุ้มกริ่มแบบที่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกกับร่างกาย ถึงกระนั้นผมก็ยังลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาไม่หยุด

“ตามึง” มือกับปากทำงานประสานกันเป็นอย่างดี ไอ้เอิ้นหลับตาลงตอนที่ผมสัมผัสเปลือกตาของมัน “แค่คิดว่ามึงมองผู้หญิงคนอื่นกูก็อยากจะต่อยตามึงแล้วว่ะ”

“ต่อจากนี้เอิ้นจะไม่มองใครนอกจากเสือ”

“ขี้โม้”

“พูดจริงๆ”

“ปากมึงก็ด้วยก่อนจะกลับมาหากูจูบใครมามั่งแล้วอะ”

“อดีตไม่สำคัญหรอกรู้แค่ว่าตอนนี้เอิ้นอยากจูบเสือคนเดียว”

สิ้นคำใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามาใกล้ ส่งมือข้างหนึ่งมาลูบท้ายทอยของผมหลอกล่อให้เคลิบเคลิ้มแล้วจึงประทับจูบลงมา

รสสัมผัสที่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ

ร่างกายตอนเมานี่ช่างซื่อตรงจนน่ากลัว

ผมจูบตอบ ส่งปลายลิ้นไปสัมผัสกับส่วนเปียกชื้นที่เล็มเลียริมฝีปากของผม กดจูบแล้วกัดเนื้ออ่อนแผ่วเบา ไม่เจ็บแต่ให้ความรู้สึกซ่านสยิวเกินบรรยาย

ร่างกายของผมร้อนฉ่าราวกับว่ามีไฟรั่วออกมาทุกรูขุมขน

“บอกว่าอย่าทำตัวน่ารักไง” ไอ้เอิ้นว่าเมื่อผละริมฝีปากออก แต่ก็แค่อึดใจเดียวก่อนจะประกบจูบลงมาอีกครั้ง

เนิ่นนานจนแทบขาดอากาศหายใจ ผมพยายามหายใจทั้งที่ริมฝีปากของเราคลอเคลียกันไม่ห่าง

เราต่างลูบไล้ใบหน้าของกันและกันราวกับโหยหา

กระทั่ง...

“ทำกันเถอะ”
ฉิบหาย! ผมพูดอะไรออกไป

อย่าว่าแต่ไอ้เอิ้นที่หยุดทุกการกระทำแล้วมองหน้าผมด้วยดวงตาตื่นตกใจเลย ผมเองก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน

“แน่ใจเหรอ”

เสือกพยักหน้าอีก เอากับร่างกายไอ้เสือตอนเมาสิ ซื่อตรงจนน่ากลัวอย่างที่บอกจริงๆ

เอาวะ

คิดดังนั้นแล้วก็เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมไอ้เอิ้นเลย ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าผมทำอย่างนั้นก็ยิ่งโตขึ้นเกือบจะเท่าพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญเชียวล่ะ

“เสือ...”

 เสียงไอ้เอิ้นดังแผ่วๆ เมื่อผมถอดเสื้อตัวเองออกแล้วยื่นมือไปรั้งชายเสือมันบ้าง

อาการตื่นตกใจในคราแรกหายไปจนหมด บนใบหน้าหล่อเหลาเหลือเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะยกตัวขึ้นให้ผมรั้งเสื้อออกแล้วโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

“ตื่นเต้นจัง”

คนใต้ร่างว่าพลางส่งมือมาสัมผัสที่หน้าท้องของผมให้รู้สึกปลาบแปลบอย่างที่แทบจะร้องออกมา

ผมตื่นเต้นมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าสัญชาติญาณของผู้ชายช่วยผมเอาไว้เยอะมากเหมือนกัน

ผมจับมือที่ลูบไล้แผ่นท้องจนถึงหน้าอกของผมเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ลมหายใจของเราประสานกันเป็นหนึ่งเดียวตรงช่องว่างเล็กๆ ที่เหลืออยู่

ไอ้เอิ้นไม่ได้หลับตาเมื่อผมแนบริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มนิ่ม ลองใช้ลิ้นแตะดูก็พบว่ามันไม่ได้มีรสหวานแต่ผมรู้สึกว่ามันหวาน

“มันเป็นของเสือ”

เจ้าของเรียวปากหวานว่าก่อนจะเปิดริมฝีปากให้เราสัมผัสกันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ผมไม่ค่อยมั่นใจหรอก ผมไม่คุ้นเคยกับการจูบ เพราะนอกจากจูบกับไอ้เอิ้นแล้วผมก็ไม่เคยจูบกับใครอีกเลย

เพียงเรียวลิ้นของเราสัมผัสกันในโพรงปากของคนใต้ร่างผม ร่างกายของผมก็สั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ยิ่งแตะต้อง หยอกล้อ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับจะขาดใจให้ได้

แผ่นหลังของผมถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือที่ไม่ว่าจะลูบไล้บริเวณไหนมันก็ร้อนรุ่มไปหมด

อื้ม...

เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อผมผละออก มองลึกเข้าไปในดวงตาหวานล้ำที่เต็มไปด้วยความปรารถนาก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนปลายคาง ส่งปลายลิ้นออกมาไล้เลียให้อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินทำให้ผมรู้สึกดี

ผมจูบไอ้เอิ้นลงมาเรื่อยๆ จากปลายคางลงมายังลำคอ แผ่นอก จูบซับให้คนใต้ร่างสะท้านไหว คงเพราะรู้สึกดีล่ะมั้ง

ว่ากันตามจริง ฝีมือผมก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ

ไม่มีอะไรที่เสือทำไม่ได้หรอก จริงไหม

แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ผิวไอ้เอิ้นนี่ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้สึกดี จะลูบจะคลำตรงไหนก็พอดีมือไปซะหมดจนอดคิดไม่ได้ว่ามันเกิดมาเพื่อผม

เดี๋ยวนะ! กูคิดอะไรวะ

ผมหยุดปลายลิ้นที่กำลังไล้เลียลงมาที่กลางอก หากมือหนาที่ลูบไล้แผ่นหลังผมกลับกำลังทำหน้าที่ปลุกเร้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ตัวผมนี่ร้อนเป็นไฟแต่อยู่ๆ ร่างกายก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ สมองที่เคยประมวลได้ดีเกินระดับคนเมาก็พร่าเบลอ

ผมซบหน้าลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าอุ่นที่อุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว ขณะที่เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง ความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบคือ ความซ่านสยิวที่ถูกปรนเปรอด้วยมือหนาบนแผ่นหลัง

เอิ้น...กูขอโทษนะ กูไม่ไหวแล้วจริงๆ



▼▲ ▼▲ ▼



แอร์เย็นๆ ที่ลูบไล้ผิวกายส่วนที่โผล่พ้นผ้าห่มนวมทำให้รู้สึกหนาวจนต้องซุกตัวเข้ากับของอุ่นๆ ที่นอนนิ่งอยู่ข้างกาย

“ตื่นรึยัง” เสียงพร่ากระซิบบริเวณศีรษะ

“นอนต่อได้มั้ยครับ” ผมถามเมื่อซุกกายเข้าไปแนบชิดอีก

“นอนได้แต่ไม่รับประกันความปลอดภัยนะ” เดี๋ยวๆ จังหวะที่สมองเริ่มทำงานในเช้าวันใหม่ ผมผละออกแล้วเงยหน้ามองเจ้าของเสียง

เชี่ย! ไอ้เอิ้น

ผมกับมันนอนกอดกันกลมอยู่บนเตียงเล็กๆ ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

แล้วทำไมผมไม่สวมเสื้อ ไอ้เอิ้นก็เหมือนกัน

เมื่อคืนเราทำกันอีกแล้วเหรอวะ

ด้วยความตกใจผมทะลึ่งตัวลุกขึ้นกระชับผ้าห่มแล้วถอยกรูดออกมา ไม่ได้คาดคะเนอะไรทั้งนั้นและนั่นก็เป็นความคิดที่ผิดเมื่อเพียงถอยร่างทั้งร่างก็หลุดขอบเตียงแล้วหงายหลังลงไปนอนเจ็บอยู่บนพื้นทันที

“เจ็บมั้ย” ไอ้คนข้างบนชะโงกหน้ามาถามด้วยรอยยิ้มขำๆ

ตลกตายล่ะห่า กูเจ็บหลังจะแย่อยู่แล้ว

เกลียดหน้าไอ้เอิ้นว่ะ คิดดังนั้นจึงพลิกตัวพิงขอบเตียงแล้วห่อตัวเอาไว้ด้วยผ้าห่มที่ติดมือลงมาด้วย
พยายามคิดย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้แต่คิดอย่างไรภาพสุดท้ายที่เห็นก็คือสาวๆ ที่รายล้อมอยู่รอบกายพร้อมกับแก้วเหล้า

เมื่อคืนน่ะผมเมาหนักมากเลย

“คิดอะไรออกบ้างรึยัง” ไอ้เอิ้นกระโดดมานั่งตรงหน้าผิวกายขาวๆ สะท้อนกับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ดูเหมือนผิวของมันเปล่งประกายวิบวับ

แยงตาจนต้องก้มหน้าหลบ

“เมื่อคืนเสือน่ะ…” คนตรงหน้าหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะฉกวูบเข้ามาจนหน้าผากแนบชิด

มือหนาวางลงบนไหล่ของผมแล้วลูบไล้ลงมาตามท่อนแขน สายตาหวานล้ำกวาดมองทั่วทั้งใบหน้าของผม การกระทำที่ทำให้ร่างกายรู้สึกแปลกๆ ไม่นานหลังจากนั้นผ้าห่มที่ผมกอดเอาไว้แนบอกก็ถูกดึกออกเผยท่อนบนเปลือยเปล่า

“…ร้อนแรงมากๆ เลยนะ” ไอ้เอิ้นขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูให้ผมได้สติ

“ร้อนแรงเหี้ยไร”

“ไม่เชื่อเหรอ ดูนี่สิ”

ผิวกายไอ้เอิ้นเหมือนของร้อนที่เมื่อสัมผัสแล้วแทบจะชักมือออกในทันที แต่เจ้าของผิวร้อนๆ กลับไม่ให้ผมได้ทำดั่งใจ มันล็อคมือของผมไว้พานิ้วเรียวลากไล้ลงบนรอยช้ำที่เด่นชัดอยู่บนแผ่นอกขาวผ่อง

“แล้วนี่ฝีมือใคร”

“ยุงกัดรึเปล่า” ปัญญาอ่อน กูเนี่ยครับโคตรปัญญาอ่อนดูก็รู้ว่ารอยมนุษย์ดูดแน่ๆ หรือบางทีอาจจะเป็นรอยเสือดูดก็ได้

“ช้ำขนาดนี้ต้องเป็นยุงตัวใหญ่มากแน่ๆ เลยเนอะ”

ไม่ต้องมามองด้วยสายตาหวานเยิ้มเลยเดี๋ยวกูเคลิ้ม

ผมแบมือออกวางแหมะลงบนรอยช้ำนั้นแล้วออกแรกผลักหากอีกฝ่ายก็ขืนตัวไว้แล้วยิ้ม

ยิ้มแบบที่ผมโคตรเกลียด

“ยังมีที่อื่นอีกนะ ร้อนแรงเหมือนกันนะเราอะ”

ไม่ต้องบอกก็เห็นแล้วว่ารอยจ้ำๆ กระจายอยู่ทั่วลำตัว กระทั่งหน้าท้องยังมี นี่ผมทำอะไรลงไปต้องโทษสาวๆที่ชงเหล้าให้ผมไม่ขาดจนเมาไร้สติขนาดนี้

“แล้วทำไมมึงไม่ห้ามกูล่ะ”

“ทำไมต้องห้ามล่ะตอนเสือทำโคตรรู้สึกดีถ้าไม่ตักตวงช่วงเวลาอันมีค่านั้นไว้ก็บ้าแล้ว”

ตรงดีและผมก็อยากจะสวนหมัดเข้าที่หน้ามันตรงๆ สักทีแต่ติดที่มือของผมทั้งสองข้างถูกพันธนาการเอาไว้น่ะสิ

“มึงก็รู้สึกดีแล้วต้องการอะไรจากกูอีก”

“อยากทำรอยบนตัวเสือบ้าง” ตรงกว่านี้ก็ไม่บรรทัดแล้ว

พูดเฉยๆ คงกลัวว่าผมจะไม่เชื่อมือไม้ถึงได้เริ่มเลื้อยไปตามตัวผมเหมือนเถาวัลย์พันต้นไม้ ทั้งลูบ บีบ คลึง ถามว่าเสือเคลิ้มมั้ย

บอกเลยว่า…จะเหลือเรอะ

ผมปิดเปลือกตาลงแล้วเชิดหน้าขึ้นนิดหนึ่งตอนที่ไอ้เอิ้นเอียงใบหน้าทำทีเหมือนจะจูบ นี่ผมต้องการจูบจากมันขนาดนั้นเชียวเหรอวะ

“บอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวน่ารัก”

เสียงกระซิบดังที่ข้างหูก่อนที่ความนุ่มหยุ่นจะทาบทับลงมาบดเบียดแล้วจึงสอดแทรกความเปียกชื้นเข้ามาภายใน ความร้อนรุ่มเมื่อสัมผัสค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น ผ้าห่มที่คลุมตัวถูกรั้งออกไปกองไว้ข้างตัว มือหนาลูบไล้ที่ต้นขาของผมให้มันรู้สึกร้อนผะผ่าวก่อนจะค่อยๆ แยกออกเพื่อให้ร่างของเราแนบชิดยิ่งขึ้น

ริมฝีปากของเราบดเบียดกัน ลิ้มรสชาติความหวานที่ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ผละออกแล้วจึงแนบลงมาใหม่

มือของไอ้เอิ้นลูบไล้ที่แผ่นหลังของผมในตอนที่มันผละริมฝีปากออกให้ผมขยับใบหน้าตาม

รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏ ผมไม่รู้ว่ามันส่ายหน้าทำไมกระทั่งริมฝีปากถูกสัมผัสด้วยนิ้วเรียวที่ทาบลงมาบดคลึง

“ให้เอิ้นทำเหมือนที่เสือทำให้เอิ้นเมื่อคืนนะ”

ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาในตอนท้ายประโยค สัมผัสนุ่มหยุ่นที่เคยคลอเคลียริมฝีปากของผมบัดนี้กำลังแนบลงบนปลายคางให้แหงนเงยใบหน้าขึ้นอัตโนมัติแล้วสัมผัสนั้นก็ค่อยเคลื่อนต่ำลงมาที่คอ ผมรับรู้ได้ถึงแรงขบเม้มที่ทำให้รู้สึกเจ็บ

แต่ว่า…

“เอิ้นที่คอไม่ได้” ผมจับไหล่แกร่งแล้วพยายามดันออก

“ทีเสือยังทำที่คอเอิ้นเลย” พออีกฝ่ายเอียงคอนิดนึงก็เห็นรอยที่ผมฝากเอาไว้

ถ้าเป็นแบบนี้คนอื่นก็รู้เรื่องที่เราทำกันพอดีสิ

“แล้วทำไมมึงไม่ห้ามกู”

“เอิ้นชอบ ชอบให้คนอื่นรู้ว่าเอิ้นมีเจ้าของแล้ว”

“แต่กูไม่ชอบ ถอยไป” ผมออกแรงดันไหล่มันอีกแต่อีกฝ่ายก็ขืนตัวไว้ไม่ยอมถอยง่ายๆ

“แต่เสือมีอารมณ์แล้วนี่” ก้มลงมองที่เป้ากางเกง พร้อมมากจนผู้เป็นเจ้าของอย่างผมยังตกใจ

“เออมีแต่ไม่ได้มีกับมึง”

“อ้าวเมื่อกี้เรายัง…”

“ถอย!! กูจะไปอาบน้ำ” คราวนี้แค่ถูกผลักเบาๆ คนตรงหน้าก็ยอมถอยไปง่ายๆ

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไม่สนใจแล้วว่าร่างกายจะอยู่ในสภาพล่อแหลมแค่นั้น แก้ผ้าเดินโทงๆ ต่อหน้ามันยังเคยมาแล้วเลยนับประสาอะไรกับสวมกางเกงตัวเดียว

สบาย

ถึงจะปลอบใจตัวเองด้วยเรื่องขายขี้หน้าในอดีตแต่ขาทั้งสองขาวก็ก้าวเร็วๆ เหมือนกำลังแข่งเดินมาราธอน

ผมเหลือบมองไอ้เอิ้นตอนที่หยุดตรงหน้าประตู เพียงเราสบตากันมันก็ถลาเข้ามาหาผม

แผ่นอกแนบแผ่นหลังจนผมยืนตัวเกร็ง แค่ชั่ววูบหนึ่งจริงๆ ที่ผมถูกจู่โจมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ให้เอิ้นช่วยนะ” ต้องยอมรับในความพยายามของมัน แน่นอนว่าอารมณ์ของผมยังมีอยู่แต่มันใช่เรื่องที่ผมควรให้มันช่วยเหรอ

ก็แค่มันชอบผม ส่วนผม…ไม่ได้ชอบมันซักหน่อย

“มึงจะปล่อยกูดีๆ หรืออยากให้กูใช้กำลัง”

“แล้วเสืออยากให้เอิ้นช่วยดีๆ หรืออยากให้เอิ้นใช้กำลัง”

ยอกยอน!!

ผมพลิกตัวกลับ ถ้าไอ้เอิ้นใส่เสื้อผมคงคว้าคอเสื้อมันไปแล้วแต่เพราะร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยไงสิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือกระทุ้งเข่าใส่ตั้งใจให้โดนจุกยุทธศาสตร์ที่มีสภาพเฉกเช่นเดียวกับเสือใหญ่ของผมแต่ไอ้นี่มันไหวพริบดี พอผมยกขามันก็หลบ

มีอะไรที่ผมเก่งกว่ามันไหม

ผมวางเท้าลงเก้อๆ ทว่าเมื่อเท้าสัมผัสพื้นลมหายใจที่ผ่อนออกมายังไม่ทันหมด ท่อนขาก็ถูกจับหมับแล้วยกขึ้นแนบไว้ข้างลำตัวคนตรงหน้าที่แทรกเข้ามา

ผมเบิกตากว้างเมื่อตรงกลางกายของเราสัมผัสกัน

เท่านั้นแหละนรกหรือสวรรค์ก็ไม่รู้

รู้แต่ว่า…รู้สึกดีว่ะ



[- T B C -]

ไงล่ะคุณเสือ ริจะมอมเหล้าเขา แล้วไงเมาแอ๋
โชคดีนะที่คุณเอิ้นเขามีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ ไม่งั้นล่ะก็เรียบร้อยโรงเรียนคุณเอิ้นแน่ๆ
เอาเป็นว่าตอนนี้เราเซอร์วิสให้นะคะ ตอนก่อนหน้ามันแอบเครียดไง และเดี๋ยวตอนหน้าจะมาเคลียร์ต่อ
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส

 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 13 {ทำกันเถอะ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-10-2016 21:42:06
เสือหรือแมว เอาดีๆ 55555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 13 {ทำกันเถอะ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 24-10-2016 09:26:44
เสือนิสัยไม่ดี =^= สงสารเอิ้น //ชูป้ายไฟ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 04-11-2016 23:28:17


ตอนที่ 14 {ใกล้}



อีก 1 สัปดาห์ก็จะสิ้นปีแล้ว

สำหรับผมปีนี้ถือว่าสมบุกสมบันมากทีเดียว มีเรื่องมากมายเข้ามาไม่หยุดหย่อนแต่ผมก็ยังแก้ไม่ได้ซักอย่าง

กับกวินความสัมพันธ์ของเรากลับมาดีเหมือนเดิมในขณะที่ความรู้สึกผิดของผมที่มีต่อน้องยังเท่าเดิม ตราบใดที่ยังไม่ได้ขอโทษเรื่องความเข้าใจผิดนั้นผมไม่มีทางรู้สึกโล่งใจหรอก

ถามว่าตอนนี้สงสัยใครเป็นพิเศษไหมบอกเลยว่ามืดแปดด้าน

ถ้าไม่ติดคีย์เวิร์ดคนใกล้ตัวล่ะก็ป่านนี้ผมตามไปต่อยไอ้นพชัยแล้ว

“พี่เสือมานานรึยัง ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จว่ะ” เจ้าของเสียงนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม

วันนี้ผมนัดกวินออกมาทานข้าวเย็นด้วยกัน ดูสภาพน้องมันแล้วก็รู้เลยว่ามันเหนื่อยล้าเพียงใด

นึกย้อนไปถึงข้อความที่ได้อ่านแล้วก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมสภาพมันถึงเป็นแบบนี้

“สั่งอาหารเลยมั้ย”

“คิดยังไงนัดผมออกมากินข้าววะพี่” ถามขณะเปิดเมนูอาหาร

“มีเรื่องจะถามหน่อย”

“ถามเลยก็ได้นะพี่”

“รออาหารก่อนดีกว่า” ผมบอกขณะเรียกพนักงานมารับออเดอร์

รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ

เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระในตอนที่ค่อยๆ รับประทานอาหารรสชาติยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณไอ้เอิ้นที่แนะนำร้านอาหารนี้ให้ถึงราคาจะไม่ค่อยสบายกระเป๋าก็เถอะ

“พี่บอกมีเรื่องจะถาม” กวินวางช้อนลงแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“ตอนที่เอ็งเมา…”

“ผมพูดอะไรไม่ดีกับพี่รึเปล่า”

“ขอโทษนะวิน”

“เรื่องอะไรพี่”

“พี่คิดว่าเอ็งเป็นคนใส่ร้ายพี่ว่ะ”

คนถูกผมปรักปรำด้วยความคิดนั่งนิ่งไปจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่นานนักเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าชื่นมื่นราวกับเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก

“ก็ไม่แปลกหรอกพี่ ผมเองก็ทำตัวน่าสงสัย”

“ไม่โกรธเหรอวะ”

“ไม่หรอก แต่ถ้าพี่ได้ยินเรื่องที่ผมจะบอกพี่ต่อจากนี้พี่ต้องโกรธผมแน่ๆ เลยว่ะ”

“อะไร” ผมเริ่มใจคอไม่ดี

“ตอนที่พี่ถูกพักงานผมเองก็กำลังพยายามทำบางอย่างเหมือนกัน

กวินนิ่งไปราวกับกำลังตัดสินใจว่าควรจะเล่าต่อดีหรือไม่ กระทั่งผมยกยิ้มบางแบบที่คิดว่ามองแล้วทำให้รู้สึกดีที่สุดมันจึงว่าต่อ

“ผมน่ะพยายามจะเป็นเหมือนพี่มาตลอดเลยนะ กระทั่งตอนพี่ถูกพักงานแม้จะเสียใจแต่ลึกๆ แล้วผมกลับดีใจว่ะเพราะเท่ากับว่าช่วงเวลานั้นผมจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำได้เหมือนพี่ เผลอๆ อาจจะดีกว่าพี่ด้วยซ้ำ แต่เชื่อมั้ยพี่พอได้ลองทำจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย อย่างไรผมก็ไม่มีทางทำได้เหมือนพี่”

อยู่ๆ คำของไอ้เอิ้นก็ผุดขึ้นมาในหัว

‘Put the Right Man to the Right Job เลือกคนให้ถูกงาน’

“เหนื่อยมั้ยวะ”

“โคตรเหนื่อย” คนตรงหน้าผมยกยิ้มเพลียๆ “แต่มันก็คุ้มนะ อย่างน้อยๆ สิ่งที่ผมทำและผลที่ได้รับก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร ผมจะไม่พยายามเป็นเหมือนพี่แล้ว แต่ผมจะเป็นตัวของตัวเอง เก่งในแบบของตัวเองและจะประสบความสำเร็จให้เท่ากับพี่”

“มึงนี่แม่งทำกูรู้สึกว่าตัวเองเลวไปเลยว่ะ”

“พี่เสือก็ไม่ใช่คนดีไม่ใช่รึไง”

“เออ กูแม่งเลวไง วิน กูถามมึงอีกเรื่องนึงได้มั้ย”

“เรื่องพี่นพใช่ป่ะ” ถามผมกลับราวกับรู้ใจ แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อม

“อือ” ผมพยักหน้ารับ มือชื้นเหงื่อเมื่อแอบลุ้นไปกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ

“พี่นพเป็นรุ่นพี่สายรหัสของผม”

สายรหัส? ผมทราบว่าสองคนนี้เรียนจบจากที่เดียวกัน แต่ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้

“เขาสอนผมหลายๆ เรื่องแต่ผมไม่เคยเอาข้อมูลบริษัทเราไปบอกเขานะพี่ พี่นพเองก็ไม่บอกอะไรผมเลยเหมือนกัน”

“งั้นเหรอ คนอย่างไอ้นพไม่น่าจะยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือ”

“พี่เสือกับพี่นพเหมือนกันอยู่อย่างนึงนะ”

“กูกับไอ้นพเนี่ยนะ กูดีกว่ามันเยอะว่ะวิน”

“พี่เสือคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

“ไอ้นี่ !!”

ผมแยกเขี้ยวใส่แต่ไอ้วินกลับหัวเราะก่อนจะว่าต่อ

“พี่นพเคยตื๊อถามผมเรื่องเกี่ยวกับบริษัทอยู่ครั้งนึง พอผมไม่บอกเขาก็ไม่ถามอีก เหมือนพี่เสือที่เวลาผมมีปัญหาพี่จะถามผมครั้งเดียวถ้าผมแก้ไม่ได้พี่ก็จะลงมือทำเอง นั่นแหละที่ผมคิดว่าพวกพี่เหมือนกันมากๆ เลย”

“งั้นเหรอไม่คิดว่ามันจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้”

“พี่นพไม่ได้ยอมแพ้ครับ พี่นพแค่หาทางของตัวเอง พี่เสืออาจจะเคยเห็นพี่นพไปเสนอเงื่อนไขต่างๆ ให้น้องพนักงานขายของเราใช่มั้ยล่ะ”

ผมพยักหน้ารับ ก็เห็นๆ กันอยู่อะนะ

“แต่เขาก็ไม่เคยตื๊อน้องเลยนะครับ ถ้าน้องยอมรับเงื่อนไขก็ไปแต่ถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร พี่เสือรู้มั้ยว่านั่นทำให้ผมคิดได้ว่าอย่างไรผลประโยชน์ที่ได้รับก็เป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ของการเลือกงาน”

“มันก็จริงว่ะ” ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอก อย่างไรเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต “ไม่คิดว่าไอ้นพจะเป็นคนดีขนาดนี้ มึงเข้าข้างพี่ตัวเองรึเปล่าวะ”

“ผมมองพี่นพอย่างไม่มีอคติต่างหาก”

อย่างนั้นเหรอ คำพูดของกวินทำให้ผมนึกถึงวันที่เจอนพชัยครั้งแรก ตอนนั้นผมชื่นชมมันมากเลยนะ เรียนเก่ง บุคลิกภาพดี ดูดีจนไม่คิดว่ามันเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่งเมื่อเรากลายเป็นศัตรูผมก็ไม่เคยมองมันให้แง่ดีอีกเลย

แน่นอนว่าคงเป็นเพราะปมถูกอคติบังตาไปแล้ว มันคงดีถ้าเรามองทุกๆ โดยปราศจากอคติได้

“ขอบคุณพี่เสือที่ถามผมตรงๆ”

เสียงกวินดึงผมให้หลุดจากความคิดที่ย้อนกลับไปในอดีต

“คืนที่ทะเลกูมอมเหล้ามึงนะวิน”

“ผมรู้ พี่แอบดูโทรศัพท์ผมด้วยล่ะสิ”

“มึงรู้ได้ไง” หรือว่ามันแกล้งเมาวะ

“วันก่อนคุณเอิ้นเรียกผมเข้าไปคุย แล้วเขาก็โทรไปต่อว่าฝั่งโน้นเรื่องที่ใช้คำพูดรุนแรงกับผม พี่กับคุณเอิ้นสนิทกันจนผมอิจฉาแล้ว”

มีแต่คนบอกว่าผมสนิทกับไอ้เอิ้นว่ะ เอาวะสนิทก็สนิท

“แล้วมันว่าไงอีก”

“คุณเอิ้นบอกว่าเราทำงานกันเป็นทีม”

“แค่นี้?”

“ไม่นะพี่ คำพูดของคุณเอิ้นทำให้ผมคิดได้ว่าผมไม่ใช่ตัวคนเดียว ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรผมจะไม่เก็บไว้คนเดียวอีกแล้ว”

“จำคำพูดตัวเองไว้ อย่าให้กูรู้ว่ามึงเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้คนเดียวอีก จะต่อยให้คว่ำเลย”

“ผมดีใจนะที่ร่วมงานกับคนดีๆ อย่างพี่เสือและคุณเอิ้น โคตรโชคดีเลยว่ะ”

“ดีใจเหมือนกันที่ได้ร่วมกันน้องกวิน”

“ขนลุกไปหมด” ไอ้น้องกวินสั่นระริกเมื่อพูด

เออ ขนลุกจริง

“แล้วพี่สงสัยใครเป็นพิเศษมั้ยนอกจากผม” เข้าสู่โหมดเครียดเฉยเลย

ผมมุ่นคิ้วก่อนจะส่ายหน้าอย่างคนหมดทาง

“คนจากฝั่งเดอะเฟิร์สรึเปล่า แบบเอาชื่อพี่ไปอ้างเพื่อแย่งลูกค้าเรา พี่ก็รู้ว่าคุณปรีชาติดพี่จะตาย ตอนด่าผมนี่ชมพี่จ๊น !!!” กวินทำเสียงเอือมๆ แล้วกรอกตามองบน

“เกิดเป็นเสือนี่มันเหนื่อย”

“ค่อยๆ คิดนะพี่ ผมเอาใจช่วย”


▼▲ ▼▲ ▼


ผมกับกวินแยกกันที่หน้าร้านตอนที่เคลียร์ปัญหาทุกอย่างจบแล้ว รู้สึกดีราวกับยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะ

เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก รู้สึกดีอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ ความคับข้องใจก็เข้ามาเบียดพื้นที่หัวใจอีกหนเมื่อเผลอเหลือบมองไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นว่าใครนั่งอยู่ข้างในนั้น

ไอ้เอิ้นกับคุณปรีชา

คุณปรีชาคือลูกค้าที่จะจบงานกับเราใน 1 สัปดาห์ข้างหน้า คนที่ด่าไอ้กวินอย่างกับหมูกับหมาอย่างไรล่ะ

แปลกจัง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าสองคนนี้คุ้นเคยกันถึงขั้นนัดกันกินข้าวแบบส่วนตัว

อยู่ๆ คำว่าคนใกล้ตัวที่ไอ้สนิมเคยบอกก็สว่างขึ้นในหัว

ผมพยายามมองข้ามไอ้เอิ้นแล้วแต่หลายอย่างที่มันทำ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเป็นมันที่ใส่ร้ายผม

ที่บอกว่าชอบผม บางทีอาจจะเป็นแค่ลมปากที่พูดออกมางั้นๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย


▼▲ ▼▲ ▼


ผมไม่ได้แวะไปหาเจ้ศรีในร้านตอนที่กลับมาถึงบ้านอย่างที่เคยทำ หลายๆ อย่างที่ยังถูกผูกเป็นปมอยู่ในใจทำให้ผมอยากทำแค่อย่างเดียวคือนอนเฉยๆ

ไม่ใช่อะไรหรอก ขี้เกียจล้วนๆ เลย

ผมยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก เหลือบมองเสื้อวินที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะหลับตาลง

บางทีผมอาจจะไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นอีก ถ้าเรื่องทุกอย่างจบก่อนปีใหม่นี้

ความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาปิดลง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ไม่น่าจะใช่เจ้ศรีเพราะแม่ผมไม่ได้มีมารยาทขนาดนั้น พ่อเหรอ? ไม่มีทางหรอก ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยมาเคาะห้องผม ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพ่อรู้หรือเปล่าว่าห้องลูกชายอยู่ตรงไหนของบ้าน

มันเหรอ?

อยู่ๆ ก็นึกถึงไอ้เอิ้นขึ้นมา

“เสือ...”

และก็ใช่มันจริงๆ

“เอิ้นเข้าไปได้มั้ย”

“กูไม่อยากคุยกับมึง” ผมตะโกนตอบออกไป

“งอนอะไรอีกเนี่ย” ไม่ได้ฟังกันเลยใช่มั้ย บอกว่าไม่อยากคุยด้วยไงแล้วยังถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามา ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆ กันอีกต่างหาก

“มึงไปกินข้าวกับคุณปรีชา อย่าคิดว่ากูไม่เห็น”

“หึง?”

“หึงเหี้ยไร กูจริงจังนะเอิ้น”

“เสือสงสัยเอิ้นเหรอ”

เออสงสัย

ใจจริงก็อยากจะตอบไปอย่างที่ใจคิดแต่เมื่อมองเข้าไปในตาของคนตรงหน้าแล้วก็พูดอะไรไม่ออกเลย ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจมันในขณะที่มันโคตรดีกับผม

“กวินเล่าให้เสือฟังแล้วใช่มั้ยว่าเอิ้นโทรไปต่อว่าคุณปรีชา เค้าโกรธมากเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอิ้นคงยอมแต่เมื่อคิดว่าถ้าเป็นเสือ เสือต้องไม่ยอมแน่ๆ เอิ้นก็เลย...ต่อว่าเค้าไปยกใหญ่เลยล่ะ”

“ทำเป็นเก่ง”

“ก็ไม่เก่งหรอก เอิ้นลำบากใจมากเลยที่ต้องทำร้ายคนนึงเพื่อปกป้องอีกคน”

ผมเงียบ มองไอ้เอิ้นที่แสดงสีหน้าลำบากใจสุดๆ

“แต่ว่านะ หลังจากได้คุยกับกวินเมื่อวันก่อน ดูเค้าไม่เครียดเท่าไหร่แล้ว ความลำบากใจมันก็ค่อยๆ หายไป เข้าใจความรู้สึกของเสือเลยล่ะ”

“ความรู้สึกอะไรของกู”

“ตอนที่เสือปกป้องน้องในทีม ตอนที่เสือปกป้องเอิ้น เอิ้นเข้าใจแล้วว่าระหว่างทางมันอาจจะเจ็บปวดแต่ที่ปลายทางถ้าคนที่เรารักไม่ต้องทุกข์เราก็มีความสุขแล้ว ใช่มั้ย เอิ้นเข้าใจถูกใช่ป่ะ”

“กูเคยปกป้องมึงตอนไหน”

“ปากแข็งนะเรา” พูดเฉยๆ ไม่ได้ต้องยื่นมือมาเกลี่ยริมฝีปากกัน ครั้นเมื่อผมปัดออกมันก็เลื่อนมาวางมือไว้ที่ข้างแก้ม

มองลึกเข้ามาในดวงตาของผมด้วยแววตาลึกซึ้ง

“ไม่ต้องมามองเลย แล้วลงไปจากเตียงกูด้วย”

“ทำไม กลัวเอิ้นเหรอ แต่จะว่าไปตอนนั้นเสือก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ” หมายถึงวันนั้นหน้าห้องน้ำ

ไอ้ระยำ ถ้าผ่าสมองมันออกคงมีแต่เรื่องอย่างว่าที่ทะลักออกมา

แล้วพอพูดก็วางมือลงบนขาของผมลูบสูงขึ้นมา ปลุกเร้ากันสุดๆ ถ้าไม่คว้ามือแกร่งข้างนั้นเอาไว้ล่ะก็อารมณ์หื่นของเสือต้องมาแน่ๆ

ผมนี่แม่ง นิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่นละห่า

“เอิ้นเหนื่อยจังเลยเสือ” ว่าพร้อมกับวางศีรษะแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกของผม “เมื่อกี้คุณปรีชาด่าเอิ้นจนไม่มีช่องว่างให้สำนึกผิดเลย”

“ยังไม่พอใจใช่มั้ยถึงมาให้กูด่าถึงนี่” ผมวางมือลงบนแผ่นหลังคนบนอกแล้วตบเบาๆ

“ถ้าเป็นเสือ ให้ด่าทั้งชีวิตยังได้เลย”

“มึงนี่นะ ไม่เบื่อบ้างเหรอวะ”

“เอิ้นไม่เคยเบื่อเสือ”

“ทำไมมึงถึงชอบคนอย่างกูวะ”

“คนอย่างเสือเป็นยังไงเหรอ” ไอ้เอิ้นผละออกจากอกแล้วมองหน้าผมตรงๆ ในดวงตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยคำถาม

“หยาบคาย นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว ขี้เกียจ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้เรื่อง”

“ทำไมพูดถึงแต่ข้อเสียของตัวเองล่ะ ถ้าเอาแต่ข้อเสียมาพูด เราคงไม่มีสิทธิ์ให้ใครมารักหรือรักใคร เสือต้องเข้าใจนะ ว่าคนหนึ่งคนประกอบด้วยทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีใครที่เป็นคนดี 100% หรอก อย่างเอิ้น ถึงจะมีข้อดีที่หล่อมาก ดูรวยแต่จริงๆ แล้วเอิ้นขี้เกียจอาบน้ำสุดๆ เลย”

“ตลกนะมึงอะ”

“นี่ไม่เชื่อเหรอ ลองไปอยู่ด้วยกันซักวันสิ แล้วเอิ้นจะพิสูจน์ให้ดู”

ผมเบือนหน้าหนีเม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้จะด่ามันด้วยคำไหนดี ไอ้เอิ้นแม่งหาช่องว่างให้ตัวเองเอาเปรียบผมได้ตลอดเลยว่ะ

“ลองไปคิดดู เอิ้นชวนจริงจังนะเนี่ย”

“มึงจะยังไม่หยุดใช่มั้ย”

“เขินเหรอ เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือเขินกว่านี้อีก”

ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ ให้หัวใจสั่นไหว ผมแม่งก็ไม่ยอมผละออกนะ จ้องมันกลับอยู่นั้นแหละ

“พร้อมจะเขินรึยัง”

“อะไรของมึง” เมื่อผมพูดจบประโยคไอ้เอิ้นก็จับไหล่ของผมบีบเบาๆ ไม่รู้หรอกว่ามันต้องการจะสื่ออะไรและก่อนที่ผมจะผลักไสมันออกไปไกลๆ คนตรงหน้าของผมก็เอ่ยออกมาซะก่อน

“เวลาที่เรารักใครเรามักจะมองข้ามข้อเสียของเขาไปจนหมด แต่สำหรับเอิ้น เมื่อได้รักใครแล้วนั่นหมายความว่าเอิ้นรับได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของเขา”

“...”

“เวลาเสือด่าเอิ้น หมายความว่าสิ่งที่เอิ้นทำมันทำให้เสือเขินมากๆ จนทำอะไรไม่ถูกก็เลยแก้เขินด้วยการด่าเอิ้น”

“หือ มึงนี่จินตนาการสูงเนอะ”

“แน่นอนสิ เอิ้นจินตนาการถึงเสือตลอดแหละ”

“ไอ้ทะลึ่ง”

“เสือคิดอะไรเนี่ย คิดว่าเอิ้นจินตนาการถึงตอนที่ทำเรื่องอย่างว่าเหรอกฃ ก็ถูกนะ” ใบหน้าของผมร้อนฉ่า “แต่เวลาอื่น เอิ้นก็คิดถึงเสือเหมือนกัน เสือเป็นแรงบันดาลใจของเอิ้น เป็นคนที่ทำให้เอิ้นพยายามเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ เพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆ เสือไง”

“...”

“เสือบอกว่าเสือนิสัยไม่ดี แบบไหนล่ะที่เรียกว่านิสัยไม่ดี เสือเป็นคนขี้โกหกเหรอ เป็นคนผัดวันประกันพรุ่งรึเปล่า เห็นแก่ตัว ก็ไม่นะ เอิ้นเคยเห็นเสือสละที่นั่งบนรถเมล์ให้คนแก่ เคยเห็นซื้อข้าวให้คนจรจัด เคยพาหมาข้ามถนน นี่หรือคนนิสัยไม่ดี แต่ถ้านิสัยไม่ดีในความหมายของเสือคืออารมณ์ร้อนวู่วาม แคร์แต่คนอื่น ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต ใช่ เสือนิสัยไม่ดีเลย แต่จะบอกให้นะ เอิ้นเองก็คงนิสัยไม่ดีเหมือนเสือ”

ฟังไอ้เอิ้นแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีขึ้นมาเลยว่ะ

“เสือบอกว่าเสือขี้เกียจ แล้วไงอะ คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะขี้เกียจ เอิ้นเองก็ขี้เกียจเหมือนกันนะบางที”

“...”

“เรื่องเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มันอาจจะเป็นนิสัยที่ติดตัวเสือมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าแก้ไม่ได้ เอิ้นก็พร้อมจะยอมรับ บอกแล้วไงว่าเอิ้นยอมรับทุกอย่างของคนที่เอิ้นรัก”

“...”

“และการที่เสือบอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง เสือรู้มั้ยว่าเสือโคตรดูถูกตัวเองเลย ถ้าเสือไม่ได้เรื่อง พวกบริษัทคู่แข่งจะแย่งตัวเสือไปทำไม เสือน่ะโคตรเก่งเลยรู้เปล่า”

“...”

“เอิ้นไม่อยากให้เสือมองแต่ข้อเสียของตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักข้อดีของตัวเองเราก็จะไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง ในสายตาเอิ้นเสือเป็นคนดี รักเพื่อนพ้อง เห็นอกเห็นใจคนอื่น เป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ตรงไปตรงมา ไม่อายที่จะทำอะไรก็ตามที่ตัวเองคิดว่ามันไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าจะให้เอิ้นสาธยายความดีของเสือ วันนี้ทั้งวันคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

“มึงนี่ ท่าทางจะหลงเสน่ห์กูมากๆ เลยเนอะ”

“แล้วเมื่อไหร่เสือจะหลงเสน่ห์เอิ้นบ้างล่ะ”

“ฝันไปเถอะ”

“งั้นนอนกันจะได้ฝัน” ว่าจบก็ดันตัวผมให้ล้มลงบนเตียงก่อนจะวางศีรษะลงบนอกของผมอีกครั้ง  คิดว่าไอ้เอิ้นคงได้ยินเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงเพราะคำชื่นชมของมันแน่ๆ

“กวนตีน อยากนอนนักก็กลับบ้านไปสิวะ อย่ามาเนียน”

“นอนนี่แหละ แม่ชวนให้อยู่กินข้าวก่อน”

“ถ้าแม่กูรู้ว่ามึงคิดอกุศลกับกูล่ะก็ แม้แต่หลังคาบ้านกูมึงก็ไม่มีสิทธิ์เห็น”

“ความรักไม่ใช่เรื่องอกุศลซะหน่อย แล้วอีกอย่างนะ แม่รู้ว่าเอิ้นชอบเสือ”

“หือ มึงอย่ามาตลก”

“แม่ยังบอกให้เอิ้นดูแลเสือดีๆ”

“ไม่มีทาง เมื่อหลายวันก่อนแม่ยังบอกให้กูหาเมียอยู่เลย”

“แม่บอกว่าเสือไม่ชอบผู้หญิง ชอบเอิ้นจนไม่มีที่ว่างในหัวใจให้ใครแล้วใช่มั้ยล่ะ”

“มึงนี่!!!” เอะอะวกเข้าเรื่องผมมีใจให้มันตลอดเลยว่ะ ฟังจนเคลิ้มคิดว่าตัวเองมีใจให้มันจริงๆ แล้วเนี่ย เอ๊ะ! หรือว่าที่จริงผมก็มีใจให้มันแล้ว

ไม่มีทางหรอก ทั้งเรื่องความรู้สึกของผมและเรื่องแม่

“เขินจนหูแดงแล้ว” มันบอกในตอนที่ช้อนสายตาขึ้นมองผม

เกลียดแม่งว่ะ ทั้งที่รู้สึกอย่างนั้นแต่ผมกลับไม่ผลักไสมันออกไป และหากจะทำก็ทำได้ง่ายๆ เลย


▼▲ ▼▲ ▼


ผมใช้เวลาไม่กี่วันที่เหลือก่อนปีใหม่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อวินของไอ้แชมป์ คิดไว้ว่าวันที่ 30 จะแคะกระปุกเอาเงินไปซื้อของขวัญปีใหม่ให้เจ้ศรีกับพ่อ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าของแบบไหนที่พวกท่านจะชอบ

“มุ่นคิ้วอีกแล้วเดี๋ยวหน้าก็แก่ก่อนวัยอันควรหรอก”

“ไหนมึงบอกจะกลับบ้านไงแล้วทำไมยังเสนอหน้ามานี่ล่ะ” ระหว่างรอผู้โดยสารไอ้ผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ก็โผล่มา

ไอ้เอิ้นโผล่มาที่วินบ่อยจนคนในซอยคิดว่ามันเป็นหัวหน้าวินแล้ว ก็ดูมันแต่งตัวสิ ดีเกินหน้าเกินตา

“ไม่อยากกลับเลย ปีใหม่อยากอยู่กับเสือมากกว่า”

“กลับไปเยี่ยมครอบครัวน่ะถูกแล้ว”

“เสือว่าดีเหรอ”

“อือ”

“เสือว่าดี เอิ้นก็ว่าดีด้วย ว่าแต่มีเรื่องอะไรให้คิดเหรอ หน้ายุ่งเชียว”

“คืองี้นะ กูจะซื้อของขวัญให้เจ้กับพ่อไง แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่ะว่าจะซื้ออะไร”

“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ถ้าเป็นของที่คนที่เรารักซื้อให้ล่ะก็ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ผู้รับก็ดีใจหมดแหละ”

“ไม่สิมึง นอกจากดีใจที่ได้รับแล้วก็ต้องดีใจที่เป็นของที่ตัวเองชอบด้วยดิวะ”

“ผู้หญิงชอบเครื่องประดับ เสือน่าจะซื้อสร้อยหรือไม่ก็ต่างหูให้แม่นะ ส่วนพ่อ ชอบอ่านหนังสือใช่มั้ย ซื้อหนังสือดีๆ ซักเล่มให้ท่านสิ”

“มึงรู้จักพ่อกับแม่กูดีกว่ากูอีก” ผมนี่ดูเป็นลูกที่ไม่น่ารักเลยว่ะ

“ก็เอิ้นชอบเสือนี่”

“ถึงจะรู้ว่าพ่อชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าชอบอ่านหนังสือแนวไหน ยากฉิบหาย”

“ลองถามแม่สิ”

“ถ้าถามเจ้ เจ้ก็รู้สิว่ากูจะซื้อของขวัญปีใหม่ให้น่ะ”

“รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร”

“มันไม่เซอร์ไพร์สไง”

“เอิ้นคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปห้างกัน”

“อะไร กูต้องทำมาหากินครับ”

“เอิ้นก็ต้องทำงานเหมือนกัน ไปกันตอนเย็นนะ ไปนะเสือ”

แม้อยากจะปฏิเสธแต่หน้าเจ้ากรรมดันกดลงตอบรับคำชวนมันไปซะอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าหล่อผมตัดคอตัวเองทิ้งไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย

หลังจากนั้นผมก็ขับวินไปส่งมันที่คอนโด ย้ำว่าส่งแค่หน้าคอนโด จะบอกอะไรให้นะ อย่างเสือน่ะ ถ้าไม่เมาหรือหิวไม่ยอมเข้าห้องไอ้เอิ้นง่ายๆ หรอกโว้ย

ไอ้นี่ก็แปลกนะ รถหรูมีไม่ขับ ดันอยากซ้อนมอเตอร์ไซค์ ลำบากผมต้องตื่นเช้ามารับไปทำงานอีก

แต่เงินดีครับ ยอมให้มันดมซอกคอกับกอดเอวนิดหน่อย ได้ตั้งเที่ยวละ 500 ขอโทษอย่าแจ้ง สคบ. ครับ เพราะผู้บริโภคเต็มใจให้เอาเปรียบ


▼▲ ▼▲ ▼


เรานัดเจอกันที่ห้างในวันถัดมา ผมมาถึงทีหลังและเมื่อมาถึงร้านกาแฟที่นัดหมายผมนี่อยากจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปทางเดิมในทันทีเมื่อเห็นว่าตรงที่นั่งข้างๆ ไอ้เอิ้นนั้นไม่ได้ว่างเปล่า

ใช่ครับ มันพาคนอื่นมาด้วย และคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร เพื่อนสนิทมันไงคุณลลินคนสวย

สวยจนกูอยากจะเดินหนีเชียวล่ะ

“เสือ ทางนี้”

กูเห็นแล้วไม่ต้องโบกไม้โบกมือทำหน้าดี๊ด๊า รู้ไหมว่ากูหมั่นไส้มึงมาก

ถึงจะอยากถอยหลังกลับแค่ไหนแต่ในเมื่อนัดกันไว้แล้วก็จำต้องเดินเข้าไปหาครับ

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทักทายเพื่อนสนิทไอ้เอิ้นให้เขารู้ว่าเป็นคนมีมารยาทแล้วจึงล้วงมือถือขึ้นมากดเลย ไม่อยากมองหน้าใครทั้งนั้นแหละ อารมณ์เสีย

“เราไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนมั้ย” เป็นไอ้เอิ้นที่เอ่ยขึ้นในสถานการณ์ที่ผมโคตรจะอึดอัด

“กูไม่หิว”

“แต่ลลินหิวค่ะ ไปหาอะไรกินก่อนนะเอิ้น กว่าจะซื้อของเสร็จก็คงดึกอ่ะ กินตอนนั้นคงไม่ดี”

“ถ้าหิวก็ไปกินกันเลย เดี๋ยวกูไม่ซื้อของเองคนเดียวก็ได้”

“ไม่เอาน่าเสือ เดี๋ยวเอิ้นเลี้ยง” สัมผัสได้เลยว่าน้ำเสียงคนพูดลำบากใจ แล้วไงอะ ใครบอกให้พาเพื่อนสนิทมา

“กูไม่หิว” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแล้วลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เสียงหวานที่โคตรจะยียวนกวนอารมณ์ก็ดังขึ้นซะก่อน

“คุณเสือนี่ขี้หึงจังเลยนะครับ”

“ว่าไงนะครับ” ผมไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เมื่อกี้คุณลลินอะไรนี่บอกว่าผมหึง

ไม่หึงโว้ย

“เปล่าค่ะ แต่ถ้าคุณเสือไม่ได้เป็นอย่างที่ลลินว่าก็ไปทานข้าวด้วยกันก่อนสิคะ”

ผมหันไปมองไอ้เอิ้นที่นั่งหน้าเจื่อนอยู่ข้างๆ เธอ ผมไม่เห็นใจมันหรอกนะ หาเรื่องใส่ตัวเองนี่หว่า ไม่สมน้ำหน้าให้ก็บุญหัวแล้ว

“ต้องขอโทษคุณลลินจริงๆ ครับ ก่อนมาผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวในซอยมาแล้ว คงไปกินด้วยอีกไม่ได้”

“แค่ไปนั่งด้วยกันก็ได้ค่ะ”

“ไม่ดีกว่าครับเสียเวลา ขอตัวนะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ เหลือบมองไอ้เอิ้นก่อนจะเดินออกจากร้านมา

ให้มันได้อย่างนี้ เป็นคนนัดกูมาแต่กลับเลือกที่จะไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิท

ถึงจะโกรธจนอยากกลับบ้านแต่ไหนๆ ก็เสียเวลามาถึงนี่แล้วก็ควรจะลองไปเดินเลือกดูของเลยดีกว่า

ผมเดินลงไปที่ชั้นล่างในส่วนของซุปเปอร์มาเก็ตก่อน ไม่ได้มาห้างนานแล้วไม่รู้ว่าน้องๆ พนักงานขายที่ผมเคยดูแลเป็นอย่างไรบ้าง

“พี่เสือ” เพียงผมเดินเข้าไปใกล้น้องที่ยืนจัดของตรงชั้นวางก็ยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ “สบายดีมั้ยคะ ไม่ได้เจอกันเลย หนูเป็นห่วงพี่แทบแย่”

“ถ้าพี่ป่วยจะเดินมานี่ได้ไง”

“กวนเหมือนเดิม แต่เห็นพี่สบายดีหนูก็สบายใจค่ะ”

“แล้วเป็นไงบ้าง สินค้าขายดีมั้ย”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะ พี่เสือคะที่ในตลาดเขาลือกันว่าพี่เสือจะย้ายไปเดอะเฟิร์ส จริงรึเปล่าคะ พี่เสือยังจะตามไปดูแลพวกหนูใช่มั้ยคะ”

“พี่ไม่ได้ไปนะ เป็นแค่ข่าวลือ”

“อ้าว ในห้องประชุมตอนต้นเดือน หลังพวกพี่วินกลับ คุณปรางเข้ามาเอาใบสมัครให้เซ็น เขาแจ้งพวกเราว่าจะได้ร่วมงานกับพวกพี่เสือเหมือนเดิม บอกว่าพวกพี่อาจจะยกทีมมาทำงานที่เดอะเฟิร์สเลย”

“คุณปราง พูดแบบนั้นเหรอ”

“ค่ะ ตอนแรกพวกเราก็ลังเล แต่พอทราบว่าจะได้ทำงานกับพวกพี่เหมือนเดิมก็เลยเซ็นสัญญาจ้างไปแล้ว”

“อ้าว”

ผมคิดคำพูดไม่ออกเลย ได้แต่ร้องอ้าวๆ ซ้ำไปซ้ำมา

“ถ้าเป็นอย่างที่พี่เสือว่า น่าเสียดายจังเลยค่ะที่จะไม่ได้ร่วมงานกับพี่เสืออีกแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรอก เราก็ทำงานด้วยกันมานานแล้ว ทำกับคนอื่นบ้างจะได้เรียนรู้ คิดซะว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้การทำงานจากคนใหม่ๆ ได้รับประสบการณ์ที่เราไม่เคยได้รับ ถ้าเรากล้าที่จะเดินออกมาจากกำแพงของเรา เราจะรู้ว่าการเริ่มใหม่มันไม่ได้น่ากลัวเลย”

“หนูก็คิดได้นะ แต่หนูทำงานกับพวกพี่มานานมากมันก็เลยมีความกลัวอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลง”

“ไม่เป็นไรน่า คนเก่งไม่ว่าจะทำงานที่ไหน ถ้าเราทุ่มเทและรู้จักปรับตัวเราก็อยู่ได้”

“พี่เสือนี่ยังให้กำลังใจคนเก่งเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“แน่นอน นี่พี่เสือไง เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว ถ้ามีอะไรโทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเหมือนเดิมนะ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่เสือมากที่แวะมาหาหนู”

“ตั้งใจทำงานครับ”

ผมบอกลาแล้วจึงเดินห่างออกมา ไม่ได้ตั้งใจดูอะไรในซุปเปอร์มาเก็ตเป็นพิเศษจึงมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อนเลย แต่เพียงเดินผ่านชั้นอาหารสัตว์ก็ถูกใครคนหนึ่งที่ผมไม่เจอมานานดักหน้าเอาไว้ซะก่อน

ไอ้คุณนพชัย สายรหัสกวินอย่างไรล่ะ



[- T B C -]


กลับมาแล้ว คิดถึงพี่เสือกับคุณเอิ้นกันไหม
ตอนนี้หลายอารมณ์มากๆ เลยค่ะ เรื่องของกวินจบแค่นี้แหละ
ตอนเขียนคุณเอิ้นพูดถึงเสือ โอ้โห มีความสุขมากค่ะ เขียนไปก็ยิ้มไป
ถามตัวเองตลอดว่าคุณเอิ้นเขาหลงพี่เสือมากกว่าเราหรือเปล่านะ 555

หลังจากนี้จะกลับมาอัพปกติแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่ยังรอและติดตามกันนะ
รักค่ะ
แจ๊ส

 :t3:

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-11-2016 12:43:04
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 05-11-2016 14:12:49
น่ารักน้อ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 05-11-2016 16:17:23
เอ๊ะ! ทำไมลลินครับ :hao4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-11-2016 20:46:15
เอิ้นรักเสืออะไรขนาดนั้น

อยากได้เอิ้น ๆๆๆๆๆๆ

พี่ปรางนี่ยังไง ดูมีเงื่อนงำ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-11-2016 21:17:58
ยาวปายยยยยยย ไม่รู้จะจับตามองใครดี
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-11-2016 21:28:21
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 14 {ใกล้} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 06-11-2016 00:46:45
ช่วงตามคนน่าสงสัยก็แอบสงสัยคุณปรางเหมือนกัน แล้วใครเป็นคนวางแผนละเนี่ย~
--
อยากให้เสือทำให้เอิ้นหงุดหงิดใจแบบนี้บ้างจังแหะ 5555 อยากรู้ว่าคนที่มันหลงนักหลงหนา จะเป็นยังไง  :hao3:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้ฯ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 12-11-2016 16:33:42


ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร}



ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วจึงยกยิ้ม

“มาซื้ออาหารเหรอวะ” มองเลยไปยังชั้นอาหารสัตว์ข้างหลังเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมหมายถึงอาหารประเภทไหน และไอ้นพก็เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดี ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ

“ปากหมาเหมือนเดิม อยากกินยี่ห้ออะไรล่ะ เดี๋ยวผมเลี้ยง”

“แล้วปกติมึงกินยี่ห้ออะไรล่ะ แนะนำกูมั่งดิ”

“ได้ข่าวว่าคุณสงสัยน้องผม กวินเป็นคนดีนะ ผมหลอกถามน้องมันเรื่องงานที่บริษัท ก็ไม่เคยบอกซักครั้ง ถามจริงเถอะ ไม่รู้สึกผิดต่อน้องมันบ้างเหรอ”

“แล้วมึงล่ะไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอที่ทำให้น้องมันถูกเข้าใจผิดแบบนี้ บอกตรงๆ นะถ้ากูไม่รู้ว่ามันรู้จักกับมึงกูก็คงไม่สงสัยน้องมันหรอก”

“คุณเสือก็มองผมในแง่ร้ายเกินไป เพราะเอาแต่จับผิดผมไงถึงไม่รู้ซักทีว่าใครกันแน่ที่ใส่ร้ายคุณ”

“มึงอย่ามาพูดเหมือนรู้”

“คนอย่างนพชัยถ้าไม่รู้จริงไม่พูดหรอก ขอร้องผมสิแล้วผมจะบอกให้ว่าใครที่ใส่ร้ายคุณเสือจนตกอับได้ขนาดนี้” แค่คำพูดไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรหรอกหากมันไม่กดสายตามองผมอย่างดูแคลน

“กูจำเป็นต้องขอร้องมึงด้วยเหรอ ถ้ารู้จริงก็บอกมาสิ อย่ามาทำเป็นกั๊ก”

“ผมไม่ได้กั๊ก แต่การให้อะไรใครไปเราย่อมต้องการสิ่งตอบแทนจริงมั้ย แล้วคุณเสือมีอะไรมาแลก ลองว่ามาสิ ผมจะได้พิจารณาว่ามันคุ้มค่ารึเปล่า”

“มึงดูสภาพกูนะ มึงคิดว่าอย่างกูเนี่ยมีอะไรจะให้มึงได้วะ” ตอนนี้ผมก็แค่วินมอเตอร์ไซค์หล่อๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง

“ตอนนี้อาจจะยังไม่มี แต่ถ้าคุณเสือกลับไปทำงาน เราอาจจะมีอะไรดีๆ แลกกันก็ได้นี่”

“มึงจะให้กูเอาข้อมูลบริษัทมาบอกมึงอย่างนั้นเหรอ อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเองนะไอ้นพ”

“อย่างเพิ่งใจร้อนสิคุณเสือ ผมเองก็อาจจะไม่ใช่คนดีแต่ผมก็ไม่ได้ชื่นชอบคนที่เอาข้อมูลความลับของบริษัทออกมาขายให้คู่แข่งเพื่อหากินหรอกนะ  ผมแค่คิดว่าถ้าคุณกลับมาทำงานเราน่าจะแลกเปลี่ยนน้องพนักงานขายกันได้ คุณก็รู้ว่าพักหลังมานี้ พนักงานขายเก่งๆ และมีประสบการณ์หายากเหลือเกิน”

ทำเป็นพูดดีไป ทั้งที่ตัวเองก็เคยทำผิดกฎของบริษัทที่ว่าหลังจากลาออกหรือจบงานกับเดอะเอเจ้นในระยะเวลา 1 ปีห้ามไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง

“ทำอย่างกับมึงไม่เคย”

“อย่าเอาเรื่องนั้นมาเป็นประเด็นสิ ผมเลือกทำงานสายนี้แล้วในเมื่อเดอะเอเจ้นไม่เลือกผม แล้วจะให้ผมทิ้งฝันแล้วนอนอยู่บ้านเฉยๆ หรือไง ผมมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ มีแม่ต้องดูแล มีน้องที่ต้องส่งเสียให้เรียนหนังสือ คุณไม่คิดเหรอว่าสัญญาข้อนั้นมันเอาเปรียบเรามากเกินไป”

“กูไม่ซีเรียสว่ะ”

ถึงจะตอบอย่างนั้นแต่ก็แอบคิดตามเหมือนกัน เข้าใจบริษัทนะ เขาคงกลัวว่าพนักงานเก่าที่ไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งจะเอาข้อมูลที่มีติดตัวไปใช้ในงานใหม่ด้วยนั่นแหละ แต่ถ้าเราคิดดีกฎข้อนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวเลย

“ไม่ซีเรียสได้ยังไงถ้าคุณเสือพิสูจน์ตัวเองไม่ได้คุณก็ต้องถูกไล่ออกใช่ไหมและถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วคุณยังอยากทำงานสายนี้ ต้องหยุดงานไปปีนึงเลยนะ รายได้ก็ไม่มีจะอยู่ได้อย่างไร”

“ถ้ากูออกจากที่นี่กูก็ไม่คิดจะทำงานสายนี้แล้ว”

“จะเอาชนะกันให้ได้เลยใช่มั้ย เอาชนะผมได้มีความสุขมากเลยสินะ”

“ก็ดีนะ รู้สึกดี และเรื่องข้อเสนอนั่นน่ะมึงมั่นใจได้ยังไงว่ากูจะได้กลับไปทำงาน”

“ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณเสือจะไม่กลับไป หรืออยากเป็นวินมอเตอร์ไซค์ตลอดชีวิต”

“ก็ไม่เลวนะ ไปรับจ้างต่อคิวซื้อของก็ได้ค่าจ้างวันละตั้งหลายร้อย”

“เอาที่สบายใจเถอะ ถ้าไม่อยากรู้และไม่อยากรับข้อเสนอ ผมก็คงต้องขอตัว”

“กูไม่อยากเอาเปรียบมึง เพราะกูเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำงานที่นั่นอีกหรือเปล่า กูเหนื่อยที่ต้องมารองรับอารมณ์ของลูกค้าเต็มทนแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาความจริง”

“กูไม่อยากมีความผิดติดตัวไปตลอดชีวิต”

“แค่ไม่มาเริ่มกับเดอะเฟิร์สก็พอแล้วนี่”

“ไม่พอ” ผมสวนทันควัน “ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบเดียวกับเรา บางคนอาจจะคิดว่าที่กูไม่ไปเริ่มงานเพราะถูกจับได้แล้วว่าถูกดึงตัว ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้พิสูจน์ความจริงไม่ง่ายกว่าเหรอ”

“แล้วมันง่ายเหรอ นี่ก็หลายเดือนแล้ว คนที่ปล่อยข่าวเรื่องคุณยังนั่งจิบสตาร์บัคสบายใจอยู่เลย ผมจะบอกอะไรดีๆ ให้นะคุณเสือบางทีผู้หญิงแม่งก็ดอกไม้อาบยาพิษดีๆ นี่เอง ผมบอกแค่นี้รวมกับข้อมูลที่คุณมีก็น่าจะมากพอที่จะชี้ตัวคนที่ใส่ร้ายคุณได้แล้ว อย่าลืมข้อตกลงของเราล่ะ”

เชี่ยไร ว่าจบก็ตั้งท่าจะเดินหนีผมจึงเดินไปดักหน้ามันเอาไว้

“กูยังไม่ได้รับข้อเสนอ”

“มัดมือชกไง ในเมื่อข้อมูลจากผมไปแล้ว ทีนี้ก็คราวที่คุณจะต้องตอบแทนผมบาง ตามนี้นะคุณเสือ”

“มึงน่ะที่จริงก็แอบปลื้มกูล่ะสิ” คนที่กำลังเดินห่างออกไปชะงักกึกแล้วเอี้ยวตัวมามองผมด้วยสายตาเอือมระอาเต็มทน

“เอาสมองส่วนไหนคิด”

“อยากเป็นเพื่อนกับกูก็บอก”

“ไม่ได้อยากหรอกแต่ผมแค่ปรับตัวเก่ง คุณเองก็ควรจะหัดทำอย่างผม ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรเหรอ”

“เคยสิแต่กูไม่มีศัตรู”

“มั่นใจแค่ไหนที่บอกว่าตัวเองไม่มีศัตรู แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาทำเพราะรักคุณงั้นสิ”

คงรักผมมากจึงอยากให้นอนพักผ่อนอยู่บ้านล่ะมั้ง

“ถ้าข้อมูลที่มึงให้มาคือเรื่องจริง กูถามหน่อยได้ไหมว่านอกจากเงื่อนไขลมๆ แล้งๆ นั่น มีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่ามึงถึงเอาเรื่องนี้มาบอกกู”

“คุณคิดว่าไงล่ะ”

“จะใช้มือกูเขี่ยใครบางคนออกจากบริษัทใช่มั้ย”

“สมองยังใช้การได้ดีนี่”

“มึงอยากแน่ใจด้วยใช่มั้ยว่ายังไงกูก็ไม่มีทางไปเริ่มงานกับเดอะเฟิร์ส กลัวว่าถ้ากูไปแล้วตัวเองจะตกกระป๋องล่ะสิ”

“…”

“มึงจะต้องกลัวอะไรทำไมในเมื่อมึงออกจะเก่ง นพแค่มึงลดความเป็นตัวเองลงหน่อย ใส่ตัวตนขององค์กรลงไปกูว่ามึงทำได้”

“คนเก่งหรือจะสู้คนขี้ประจบ ตอนอยู่เดอะเอเจ้น แพ้เพราะเก่งไม่เท่ายังไม่เจ็บเท่าแพ้เพราะประจบไม่เป็นเลย”

“เล่าให้กูฟังได้นะ” นพชัยดูเครียดมากกับประโยคเมื่อครู่

“ไม่ต้องมาหลอกถามหรอก ยังไงผมก็ไม่มีทางบอกคุณ”

โธ่ เสือก็แค่เป็นห่วง

นพชัยปลีกตัวออกไป หลังจากนั้นส่วนผมก็ไปเดินดูเครื่องประดับแต่เพราะไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลยสักนิดจึงได้แต่เดินโฉบไปโฉบมา เมื่อพนักงานขายเข้ามาถามก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง

สุดท้ายก็กลับบ้านมือเปล่า เดี๋ยวหาข้อมูลแน่นๆ แต่งตัวดีๆ ให้เหมาะกับสถานที่แล้วค่อยกลับไปเองคนเดียวก็ได้วะ



▼▲ ▼▲ ▼




ไอ้เอิ้นโทรมาหลังจากผมกลับถึงบ้านแล้ว
แดกข้าวเหี้ยไรตั้ง 2-3 ชั่วโมง
กระหน่ำโทรเข้ามาเถอะ กดโทรออกให้จอทัชสกรีนมึงพังกูก็ไม่รับโว้ย



▼▲ ▼▲ ▼




ช่วงวันสองวันมานี้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องประดับสตรีหนักมากจนหลอนอยากเปิดร้านขายแม่งซะเองแล้ว แต่น้ำหน้าอย่างผมมีปัญญาซื้อให้เจ้ศรีชิ้นนึงก็เก่งเกินละ

ส่วนหนังสือของพ่อผมลองค้นดูในตู้หนังสือก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าพ่อชอบอ่านหนังสือแนวไหนไม่เห็นต้องพึ่งไอ้เอิ้นเลย โด่!

วันนั้นที่ผมไม่ยอมรับโทรศัพท์จนถึงวันนี้แม่งก็ยังไม่ติดต่อผมมาอีกเลย หน้าจอทัชสกรีนพังไปแล้วจริงๆ เหรอวะ

พอมันไม่ติดต่อมา ด้วยทิฐิส่วนตัวผมเองก็ไม่ติดต่อมันเหมือนกัน

วินวินไงหรือบางทีอาจจะลอสทั้งคู่

ที่จริงผมจะถามเรื่องมันจากไอ้แชมป์ที่ทำหน้าที่ไปส่งข้าวกลางวันแทนก็ได้แต่ก็นั่นแหละผมมันคนทิฐิสูงไง รู้นะว่าถ้าวางได้จะส่งผลดีต่อชีวิตมากแต่ก็แค่คิดได้รึเปล่าวะในเมื่อภาคปฏิบัติแม่งโคตรยาก

“ช่วงนี้ไอ้เอิ้นไม่มาเลย พวกมึงทะเลาะกันอีกแล้วเหรอวะ”

“เปล่า”

“ก็ดีเป็นผัวเมียกันต้องพูดกันดีๆ เดี๋ยวจะเป็นเหมือนกูกับแม่เจ้าชิป”

“ผัวเมียเหี้ยไร” ผมแทบจะผุดลุกยันปากไอ้แชมป์เดี๋ยวนี้

“ตกลงไม่ใช่เหรอวะแต่สายตาที่ไอ้เอิ้นมองมึงน่ะโคตรหวาน โคตรหลง โคตรรัก”

“งั้นเหรอวะ”

“เออดิ ยอมรับแล้วใช่ป่ะว่าพวกมึงสองคนแบบว่า…” มันยกมือขึ้นมาเอานิ้วชี้มาสีๆ กันหน้าโคตรเจ้าเล่ห์

“ไม่เสือกนะแชมป์”

“แก้มแดงเป็นตูดลิงแล้วไอ้เสือ”

“แดงเหี้ยไร ไปลูกค้ามาโน่นแล้ว”

“คิวมึงนะ”

“จริงดิ”

“เขินจนสติฟั่นเฟือนแล้วเพื่อน”

“ห่า” ผมหันไปแจกนิ้วกลางก่อนจะตรงไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ตั้งแต่ขับวินมานี่ผิวผมคล้ำขึ้นมากเลยว่ะ



▼▲ ▼▲ ▼




ผมกลับบ้านมาตอน 4 ทุ่ม

รถไอ้เอิ้นจอดอยู่หน้าบ้านและตัวมันก็คงอยู่ในบ้านนั่นแหละ

และก็เป็นดั่งคาดแหละครับเพียงเปิดประตูบ้านเท่านั้นก็เจอกับรอยยิ้มแป้นแล้นของมันแล้ว ยิ้มอย่างกับไม่เคยทำผิดต่อผมเลย

นี่ยังเคืองเรื่องที่ห้างอยู่นะ

แม้จะเหลือบมองมันในคราแรกแต่ผมก็เลือกที่จะเมินเฉยแล้วตั้งใจจะเดินขึ้นห้องหากไม่ถูกเสด็จเจ้เรียกเอาไว้ป่านนี้ผมพุ่งหลาวลงบนเตียงแล้ว

“วันนี้หนูเอิ้นจะนอนนี่แม่เตรียมหมอนกับผ้าห่มให้แล้ว”

ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองด้วยความเร็วแสงจนคอแทบเคล็ด

“อะไรเจ้ ไม่ถามเสือซักคำ”

“บ้านฉัน ฉันจะให้ใครนอนไหนก็ได้” พูดเหมือนเสือเป็นคนนอกไปอีก รักลูกตัวเองบ้างไหมถามใจเจ้ศรีดู อยากเห็นเสือร้องไห้ใช่ไหม สักวันเถอะ

เมื่อถูกพลังเผด็จการกระแทกเสียจนหงายเงิบจึงจำต้องทำตามที่เจ้เจ้าบ้านเขาว่า

ไอ้เอิ้นลุกขึ้นยืน รอยยิ้มบนใบหน้าของมันทำให้ผมอยากจะกระโดดราวน์ดอพถีบขาคู่ให้มันยิ้มไม่ออกแต่เจ้เจ้าของบ้านมองอยู่จึงทำได้เพียงส่งสายตาอาฆาตใส่อย่างที่คนได้รับก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

อารมณ์เสีย !!

“เตียงเสือน่านอนเนอะ”

“ไม่เท่าเตียงห้องมึงหรอก” ผมกระแทกไอ้คนที่กำลังจะทิ้งตัวลงบนเตียงของผมออกแล้วทิ้งตัวนั่งลง ปรายตามองมันแล้วบอกผ่านสายตาว่าให้นั่งลงบนพื้น

ให้มันรู้ซะบ้างว่านี่มันถิ่นใคร

“วันหลังเสือจะไปนอนห้องเอิ้นก็ได้นะ” ว่าแล้วก็วางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนพื้นก่อนจะทิ้งตัวลงข้างผม

“ทำไมกูต้องไปนอนห้องมึง บ้านกูก็มี”

“เมื่อกี้เสือบอกเตียงเอิ้นน่านอน”

“กูไม่ได้หมายความว่ากูอยากนอนเตียงมึงแต่กูจะบอกว่าเตียงนอนมึงแม่งโคตรใหญ่โตจะอยากมานอนเบียดกับกูบนเตียงแคบๆ ทำไม”

“ไม่รู้จริงอ่ะ”

ไม่ต้องมาถามด้วยสายตาแพรวพราวเดี๋ยวปั๊ดจิ้มตาแตก

“ที่จริงเอิ้นก็ไม่อยากรบกวนเสือหรอกแต่แม่ขอให้เอิ้นมานอนนี่เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องไปรับพี่สิงห์ที่สนามบินไง”

เออว่ะ มัวแต่คิดเรื่องของตัวเองจนลืมเรื่องพี่สิงห์ไปเลย

“กูคุยกับแม่แล้วว่ากูจะไปรับเอง”

“แม่บอกว่าเสือขี้เซาขับรถตอนเช้าอันตราย”

ก็เข้าใจนะว่าแม่เป็นห่วงแต่การไหว้วานให้ไอ้เอิ้นมาช่วยขับรถแล้วให้มานอนด้วยก็ไม่ได้ทำให้ผมปลอดภัยขึ้นหรอก

“ช่างเถอะ” มองนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งบอกเวลาเกือบ 5 ทุ่มผมจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนูเตรียมตัวอาบน้ำ

ปกติผมก็แก้ผ้ากลางห้องนี่แหละแต่วันนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงตั้งใจว่าจะถอดในห้องน้ำทีเดียวเลย

เห็นมั้ยว่าไอ้เอิ้นสร้างความลำบากให้กับชีวิตผมแค่ไหน

“ให้เอิ้นช่วยถูหลังมั้ย” เสียงดังแว่วๆ ทำให้ผมที่เพิ่งปิดประตูเปิดมันออกอีกครั้ง

“เสือก”

ไม่ถูกกูด่าสักวันสงสัยจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ



▼▲ ▼▲ ▼




 “เสือ”

เสียงเรียกดังมาจากข้างเตียง

“อะไร จะนอน” ผมตอบกลับด้วยความหงุดหงิด คนจะหลับจะนอนยังจะมาชวนคุยอีก

“เสือชอบบ้านหรือคอนโด”

ไม่ได้ฟังกันเลยสินะคนจะหลับจะนอนโว้ย

“ว่าไง” พอผมเงียบก็เซ้าซี้จะเอาคำตอบให้ได้

“บ้านสิวะ”

“หมากับแมวล่ะ”

“หมา”

“ทะเลกับภูเขา”

“แมนๆ อย่างกูต้องเลือกภูเขาอยู่แล้ว”

“เอิ้นกับเอิ้น”

“เอิ้น” ผมตอบออกไปอย่างไม่ทันคิดให้คนที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงกระโดดขึ้นมาจนเตียงนอนผมยวบลง

“เมื่อกี้เสือบอกว่าชอบเอิ้น”

“กูยังพูดไม่จบไง กูจะบอกว่าไม่ว่าจะเอิ้นหรือเอิ้นกูก็เกลียดมึงโว้ย ลงไปจากเตียงกูซะ อึดอัด” ผมทั้งผลักทั้งดันให้มันลงจากเตียงไป ถ้าไม่ขี้เกียจลุกล่ะก็ผมยันมันลงไปกองที่พื้นแล้ว

เว้นช่องว่างให้ไม่ได้เลยฉวยโอกาสตลอด

“นอนกอดกันแบบนี้อุ่นดีออก” ว่าแล้วก็สอดมือเข้ามาใต้ต้นคอของผม เบียดร่างเข้ามาแนบชิดก่อนพาดท่อนแขนไว้บนลำตัว

ฉวยโอกาสกอดกันชัดๆ แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรอก มิหนำซ้ำพอสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แนบชิดนั้นดวงตาก็ค่อยๆปิดลง ร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันก็ชัตดาวน์ตัวเองในทันที



▼▲ ▼▲ ▼




ผมถูกปลุกด้วยเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง เปิดเปลือกตาขึ้นมองไปยังต้นเสียงก็พบไอ้เอิ้นครับกำลังเป่าผมด้วยไดร์ฟฟ้าผ่าดังตั้งแต่บ้านผมยันปากซอยอะ ไม่ได้โม้

“มึงปิดไอ้ที่อยู่ในมือนั่นเดี๋ยวนี้นะ” ผมสั่งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง

“แม่บอกให้เปิด เสือจะได้ตื่น” เชื่อฟังกันดีเหลือเกิน “ตื่นแล้วใช่มั้ย ลุกสิมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวครึ่งชั่วโมง”

“ขออีก 5 นาที”

“เสือลุก”

“ขอ 5 นาทีไง”

“ถ้าเสือไม่ลุกเอิ้นจะบังคับแล้วนะ”

“กลัวตายล่ะ” ผมว่าพลางซุกหน้าลงบนหมอน

“คิดว่าเอิ้นไม่กล้าหรือไง”

เสียงความเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาก่อนที่เตียงนอนจะยวบลง ผ้าห่มถูกเลิกออกร่าง ผมที่นอนคว่ำแนบหน้ากับหมอนถูกพลิกให้นอนหงายก่อนไอ้เอิ้นจะโถมทั้งร่างเข้าใส่

“ให้ตัดสินใจอีกครั้งว่าจะลุกเดี๋ยวนี้หรือจะให้เอิ้นบังคับ” เล่นคร่อมกันแบบนี้คิดว่าผมจะยอมให้มันบังคับเหรอ อีกอย่างผมตื่นเต็มตาตั้งแต่ตอนที่มันแนบหน้าผากลงมาแล้วโว้ย

“มึงก็ลุกออกไปก่อนสิ ทับกูอยู่แบบนี้กูจะลุกได้ไงวะ”

“ไม่อยากให้เอิ้นบังคับเหรอ”

ข้อมือที่ถูกตรึงเอาไว้ได้รับอิสระผมจึงดันตัวลุกขึ้นแล้วผลักอกมันแรงๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบมัน

นี่เสือนะโว้ยเสือเชียวนะ



▼▲ ▼▲ ▼



แม่ตกใจใหญ่โตอลังการตอนที่ผมเดินลงมาข้างล่างในสภาพพร้อมเดินทางไปรับพี่สิงห์ เอาจริงนี่เพิ่งตี 5 เจ้จะตื่นมาทำไม ตื่นเต้นที่ลูกชายสุดที่รักจะกลับบ้านล่ะสิ ขี้เห่อว่ะ

“ทำอะไรอะหอมเชียว” ผมถามตอนที่เดินตามกลิ่นเข้าไปในครัว “ซุปของโปรดพี่สิงห์นี่ดีใจออกนอกหน้าไปป่ะครับเจ้”

ผมแซวให้แม่เบ้ปากใส่

“แน่นอนสิยะ”

“คิดถึงแต่พี่สิงห์เคยคิดถึงเสือบ้างป่ะ”

“ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอ เธอก็อยู่กับฉันทุกวัน”

“ถ้าสมมติว่าเสือไม่อยู่ไง”

“แล้วเธอจะไปไหนล่ะ”

“แม่อะก็เผื่อเสือมีครอบครัวไรงี้”

“เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนก็คงคิดถึงล่ะมั้ง ผู้ชายอะไรขี้เม้าท์ชะมัด ส่วนหนูเอิ้นเดินทางปอดภัยนะลูก” ท้ายประโยคเจ้เปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนหวาน ใจดี แม่พระแล้วหันไปพูดกับไอ้เอิ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

พูดกับลูกชายไม่เคยไพเราะเพาะพริ้งขนาดนี้ร้อก

เมื่อกี้เจ้บอกไอ้เอิ้นเดินทางปลอดภัยงั้นเหรอ

ผมหันไปมองมัน

“มึงกลับวันนี้เลยเหรอ”

“ไม่ต้องคิดถึงนะไม่กี่วันก็กลับ”

“ใครคิดถึงมึงอย่ามโน” ผมเดินนำออกจากบ้านหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าไอ้เอิ้นดังตามมาพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ

เกลียดแม่งว่ะ ไหนบอกจะช่วยกูเลือกของขวัญให้พ่อกับแม่ไง

ไม่รู้เป็นอะไร ระหว่างเดินทางผมโคตรจะไม่อยากคุยกับมัน ถามคำตอบคำจนคนขับหันมามองตั้งหลายรอบ

“เอิ้นมีอะไรจะให้ด้วยนะ” มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ส่งให้

ผมรับมาด้วยความสงสัย “อะไร” ยังไม่ทันได้คำตอบผมก็เป็นฝ่ายเปิดดูซะก่อน

“เป็นเครื่องประดับที่กำลังได้รับความนิยมมากในช่วงนี้ มีรายละเอียดและราคาด้วยนะ เสือลองศึกษาดูถ้าสนใจอันไหนก็ไปที่ร้านได้เลย”

“น่าสนใจดี”

“ส่วนหนังสือของคุณพ่อเราซื้อเป็นวอชเชอร์ให้คุณพ่อดีไหม ถ้าท่านอยากได้หนังสืออะไรเสือค่อยเอาไปแลกให้ทีหลัง

“เป็นความคิดที่ดีนะ”

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษอะไรอีก”

“ทั้งที่ตั้งใจจะช่วยเสือเลือกของขวัญให้คุณแม่แท้ๆ แต่กลับทำได้แค่นี้”

“ก็วันนั้นมึงเลือกเพื่อนสนิทมึง”

“หึงอีกแล้วนะ” ครั้งนี้ผมไม่ได้ตอบโต้ อาจจะจริงที่บอกว่าผมกำลังหึง ไม่สิผมก็แค่หวงอะ ผมก็เพื่อนมันแล้วอีกอย่างนั่นก็เป็นนัดของเรามันยังทิ้งผมได้ลง

“กูโกรธ”

“ขอโทษแล้วไง ดีกันเถอะ” ไอ้คนข้างๆ ทำหน้าอ้อนแล้วยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า “ดีกัน” ตื๊อให้ผมเกี่ยวก้อย

“ปัญญาอ่อน”

เมื่อผมปัดมือที่อยู่ตรงหน้าออกก็ใช่ว่าไอ้เอิ้นจะยอมง่ายๆ ครับ คว้ามือผมไปจับเฉยเลยพอดึงออกก็ยิ่งบีบแรงขึ้นพอผมหยุดยื้อมันก็ยิ้ม มีความสุขอะไรขนาดนั้นวะ

อะ เอาที่สบายใจก็แล้วกัน

ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้นแต่บรรยากาศโดยรวมก็ไม่ได้อึดอัดกระทั่งเราเดินทางมาถึงสนามบิน

ไอ้เอิ้นลงจากรถไปก่อนเมื่อผมตามลงไปก็พบว่ามันกำลังยกกระเป๋าเดินทางลงจากท้ายรถ

“เครื่องออกกี่โมง”

ผมถามในตอนที่เราเดินตรงเข้าไปภายในอาคารผู้โดยสาร

“9 โมง”

“หาอะไรกินก่อนมั้ยกว่าพี่สิงห์จะมาถึงก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง”

“เสือเลี้ยงนะ”

“เอาสิ”

“วันนี้ใจดีจัง”

“ทำไม กูจะใจดีบ้างไม่ได้เหรอ บางทีกูก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกันนะ”

ไอ้เอิ้นยิ้มๆ แหมพอบอกว่าจะเลี้ยงนี่มีความสุขขึ้นมาเชียวนะมึง

อาหารสนามบินแพงสัสครับแต่ก็กลับคำไม่ได้แล้วไงเลี้ยงก็เลี้ยงก็ได้แต่ภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายสั่งของแพงมากครับ กูตกงานไง มึงจะสั่งของแพงมากๆ มากินไม่ได้

“เสือไม่กินเหรอ” ถามเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ

“ไม่ล่ะเดี๋ยวกลับไปกินบ้าน”

“กว่าจะถึงบ้านก็เลยเวลาอาหารเช้าแล้วกินด้วยกันมั้ย”

“ไม่เป็นไรมึงกินไปเถอะน่า”

“ไม่เป็นไรน่าเดี๋ยวขึ้นเครื่องก็มีอาหารเสิร์ฟ”

“เอางั้นเหรอ”

เพียงคนตรงข้ามพยักหน้าผมก็จ้วงตักอาหารเข้าปากทันทีครับ หิวมากอ่ะวางฟอร์มแทบตายสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

“หลังปีใหม่นี้เสือจะไปเริ่มงานเลยมั้ย”

“หือ” ผมหยุดมือที่กำลังตักของกินเข้าปากแล้วเหลือบมองคนถาม “ก็คงงั้นมั้ง แล้วจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอวะ” ผมแอบกังวลเรื่องนี้ตลอดเลย

“ไม่เป็นไรหรอก ปีใหม่นี้เราน่าจะได้ความจริงแล้ว”

“รู้อะไรมา”

“เราพอรู้แล้วว่าใครเป็นคนใส่ร้ายเสือ แต่เอิ้นยังบอกไม่ได้จริงๆ”

“แล้วจะไม่เป็นไรเหรอ แบบ ยังถูกพักงานอยู่แต่กลับเสนอหน้าไปทำงาน ตัวมึงจะไม่เป็นไรเหรอวะ”

“เป็นสิ”

“อ้าว”

“แต่เอิ้นไม่เดือดร้อนหรอก”

“ไม่เดือดร้อนกับผีอะไร”

“ห่วงเอิ้นเหรอ”

“ก็ห่วง ถ้ามึงเดือดร้อนเพราะกู กูคงไม่สบายใจ”

“อย่าคิดมาก เอิ้นเต็มใจช่วยเสือนะ เต็มใจช่วยทุกอย่างเลย”

“ขอบคุณนะเอิ้น”

“ยินดีครับ แต่ว่านะ” คนตรงหน้าเท้าคางมองผม “วันนี้เสือน่ารักจัง”

“ในสายตามึงกูก็น่ารักทุกวันแหละ ห่า บอกว่าไม่น่ารักไงเล่า”

“ก็เสือน่ารักจริงๆ นี่นา”

ยังจะเถียงอีก มีสักเรื่องไหมที่จะไม่เถียงผมนะ ปล่อยให้ผมชนะบ้างก็ได้นะเว้ย




รอพี่สิงห์ไม่นานพี่ชายผมในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขาดๆ และรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ก็เดินนำหน้าพี่สะใภ้มา โห สภาพนี้เขาก็ให้ขึ้นเครื่องเหรอ เหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมาซัก 2 วัน

“ไอ้เสือ ไงได้ข่าวว่าตกงาน”

ฟังคำแรกที่มันทักผม

“สบายดีนะอยากลองตกงานบ้างมั้ยล่ะ” กวนตีนมากวนตีนกลับ ไม่โกงแน่นอน

“พี่ชายมึงทำธุรกิจส่วนตัวและกำลังจะมีเบบี๋น่ารักๆ นะครับ ตกงานอะไรเดี๋ยวปั๊ดต่อยปากแตก” ชูกำปั้นขึ้นสูงด้วย เห็นยังว่าผมป่าเถื่อนเหมือนใคร

เหมือนพี่ชายผมนี่ไง

ผมทักทายพี่สะใภ้เสร็จไอ้เอิ้นจึงทำตามให้คิ้วพี่สิงห์ผูกกันเป็นปมเมื่อจ้องหน้าคนหล่อเขม็ง

“ใครวะ แฟนมึงเหรอเสือ”

“แฟนห่าไรพี่สิงห์ นี่ไอ้เอิ้นไงที่เคยอยู่ข้างบ้านเราอะ”

พี่สิงห์นิ่งคิดพักหนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเข้ามาตบไหล่คนข้างผมป้าบๆ

“ผอมแล้วหล่อขึ้นจนจำไม่ได้เลยนะอ้วน”

“เอิ้นครับ”

“เมื่อก่อนกูก็เรียกมึงแบบนี้ไม่เห็นมึงจะหือจะอือ ทำไม หล่อขึ้นแล้วใจกล้าขึ้นเหรอ ฮะ เดี๋ยวปั๊ดต่อยให้จมูกเสียทรง นี่ๆ…” อยู่ๆ แม่งก็เปลี่ยนเรื่องแล้วจับแขนพี่สะใภ้ให้เธอขยับเข้ามาใกล้ “เมียกู สวยป่ะ กำลังท้องเตรียมของรับขวัญหลานด้วยนะมึง ไม่ต้องซื้อของแพงมากก็ได้ ทองซักบาทสองบาท หรือถ้ามึงคิดว่ามันน้อยไปจะซัก 10 บาทก็ไม่ว่ากัน”

“พอเลยพี่สิงห์” ผมห้ามไอ้คนขายลูกไม่ให้พูดต่อ “เดี๋ยวพี่รอแถวๆ นี้ก่อน เสือไปส่งไอ้เอิ้นแป้บ”

“ไม่เป็นไรเสือกลับไปได้เลย” คนที่ผมบอกจะไปส่งร้องห้าม

“ไม่เป็นไรน่าเดี๋ยวกูไปส่ง”

เถียงกันไปอาจจะตกเครื่องผมจึงคว้ากระเป๋าเดินทางแล้วเป็นฝ่ายเดินนำให้อีกคนวิ่งเหยาะๆ ตามมา

“วันนี้ชักจะใจดีเกินไปแล้วนะ” กระเป๋าถูกแย่งกลับไป

“แล้วไม่ดีเหรอ”

“ก็ดีแต่รู้สึกแปลกๆ”

“ชอบกูเวอร์ชั่นโหดมากกว่าเหรอวะ”

“อืม ว่ายังไงดีล่ะ” ไอ้เอิ้นทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งกว่าจะตอบ “แค่เป็นเสือไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนเอิ้นก็ชอบหมดแหละ”

หยอดจนวินาทีสุดท้ายแต่ก็แปลกที่ผมไม่ด่ามันอย่างเคยแถมยังหัวเราะเบาๆเหมือนชอบใจอีกต่างหาก

“มึงนี่” ผมผลักไหล่มันทีนึง “ไปได้แล้วเดินทางปลอดภัย”

“แล้วเอิ้นจะโทรหานะ”

“อือ”

“เสือน่ารักแบบนี้เอิ้นชักอยากจะฉีกตั๋วเครื่องบินทิ้งแล้วสิ”

คนต้องเดินทางทำหน้างอแงไม่อยากไป ถ้าลงไปดิ้นได้มันคงทำ อาลัยอาวรณ์อะไรขนาดนั้น ห่างกันเป็น 10 กว่าปียังเคยมาแล้วครั้งนี้ไม่ถึง 10 วันด้วยซ้ำ

“ไปเช็คอินได้แล้วกูไปนะ” ผมผลักไหล่ไล่ไอ้คนงอแงให้ไปเช็คอินแล้วหันหลังเพื่อกลับไปทางเดิมแต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้

ผมเอี้ยวตัวไปมอง

“เอิ้นต้องคิดถึงเสือมากแน่ๆ เลย”

ไอ้นี่ก็เวอร์ไป

“รีบไปก่อนจะโดนตีน” ผมว่าพร้อมกับยกเท้าขึ้นบอกว่าผมเอาจริงแน่ถ้ามันยังดื้อ

ไอ้เอิ้นหัวเราะแห้งๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือมิหนำซ้ำยังสอดนิ้วเข้ามาให้ฝ่ามือของเราประสานกัน สายตาที่ใช้จ้องมองผมทำให้รู้สึกวูบวาบ

ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรจมูกโด่งก็ฝังลงบนแก้มของผม

ได้ยินเสียงดังฟอดแล้วสัมผัสนั้นก็ห่างออกไป

คนชอบฉวยโอกาสเดินห่างออกไปแล้วทิ้งไว้แต่ผมที่ยืนนิ่งเหมือนคนไร้สติอยู่ที่เดิม

ไอ้บ้าเอ้ย~ จนได้สินะ




[- T B C -]


บอกก่อนว่าเรื่องที่คุณเอิ้นพาเพื่อนสนิทมาด้วยเมื่อตอนที่แล้วเนี่ย ยังบอกจุดประสงค์ไม่ได้นะ ต้องติดตามกันต่อไป
โดยส่วนตัว...
เราค่อนข้างอินกับเรื่องไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรนะ
สิ่งที่เสือเจอ หลายๆ คนก็คงจะเคยเจอ เราเองก็เหมือนกัน
รักกันอยู่ดีๆ เกลียดกันซะงั้น ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย รู้ตัวอีกทีพอเค้าไม่อยู่ก็คิดถึงเค้า
นี่ยกตัวอย่าง
ชีวิตก็แบบนี้ โลกหมุนอยู่ตลอดเวลา เราจะอยู่นิ่งๆ ได้ยังไงล่ะ
นี่เรากำลังพูดถึงเสือของเอิ้นนะ 555 ตอนนี้เสือกับเอิ้นอาจจะไม่หวือหวามาก
เรากลัวว่าคนอ่านจะเขินจนเกินไป เป็นห่วงค่ะ
เจอกันตอนหน้า ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะ อย่างที่บอกว่าอ่านแล้วมีความสุขมาก
รักค่ะ
แจ๊ส
:hao5:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้ฯ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-11-2016 16:55:37
ขนาดไม่หวือหวายังเขินได้เลย

อยากได้เอิ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้ฯ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-11-2016 20:29:00
เสือนี่โหดทุกตอนเลยนะ มิน่าถึงโดนลอบแทง เอ้ย ลอบทำร้าย
แหม ท้ายๆ มีแอบมุ้งมิ้ง ทำเนียนไปส่งนะ แล้วไงโดนแอบหอมซ้าาา
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 15 {ไม่มีมิตรแท้ฯ} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-11-2016 23:55:53
โยนกลับไปที่เพื่อนเก่าคนนั้นสินะ
แต่นางจะเป็นตัวหลอกอีกป่าวหว่า
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 16 {เรื่องของเสือกับเอิ้น} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 19-11-2016 17:47:11

 
ตอนที่ 16 {เรื่องของเสือกับเอิ้น}



เพิ่งรู้เมื่อตอนมาถึงบ้านว่าข้างในสมุดแคทตาล็อกเล่มเล็กๆ นั้นมีคูปองส่วนลด 20% อยู่ด้วย

ก็ไม่อยากจะชื่นชมมันหรอก แต่ในเมื่อมันทำความดีก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกดีๆ กับสิ่งที่ได้รับ

ผมออกจากบ้านตอนบ่ายหลังจากงีบหลับจนเต็มอิ่ม พี่สิงห์ขอมาด้วยตอนที่ผมเดินผ่านห้องรับแขกที่มันกำลังนอนเอกเขนกดูทีวีแต่ผมก็ชิ่งวิ่งหนีออกมาก่อน

ถ้ามากับพี่ชาย ผมกลัวว่ามันจะขอหาร ไม่ได้หรอก ของขวัญชิ้นนี้ผมตั้งใจซื้อให้พ่อกับแม่จริงๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอนที่จอดรถเสร็จแล้ว ทิ้งข้อความไว้ในแชทถามไอ้เอิ้นว่ามันถึงญี่ปุ่นหรือยัง ก็ถามไปอย่างนั้นเองแหละ เพิ่งออกเดินทางอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึง

ผมไม่ค่อยรู้เรื่องครอบครัวไอ้เอิ้นมากนักหรอก รู้แต่ว่ามันเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 3 คน พี่ชายคนโตเป็นเพื่อนรักกับพี่สิงห์ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังติดต่อกันอยู่ไหม ส่วนคนรองเป็นพี่สาวที่อายุมากกว่าพวกเรา3 ปี คุณพ่อไอ้เอิ้นเป็นนักธุรกิจ ส่วนคุณแม่ เมื่อก่อนเป็นคุณครูแต่พอย้ายไปต่างประเทศผมก็ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอาชีพอะไร

คุณแม่ไอ้เอิ้นใจดีครับ ท่านเอ็นดูผมมากๆ เพราะเป็นเช่นนั้นผมจึงรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองที่เคยปฏิบัติต่อลูกชายคนเล็กของท่านในอดีต

เรื่องนั้นมันเป็นปมในใจที่ผมไม่รู้เลยว่าจะลบล้างมันออกไปจากหัวใจได้อย่างไร

ทุกครั้งที่นึกถึงไอ้เอิ้นเรื่องราวเหล่านั้นก็มักเข้ามากวนใจผมอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงลืมมันไปเสีย

ผมพยายามคิดว่าตัวเองลืม แต่ที่จริงแล้วไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะไม่คิดถึงมัน

ตอนเช้าตื่นไปโรงเรียน เมื่อเดินผ่านถนนเส้นเดิมที่เคยเดินด้วยกัน ผมก็มักตั้งคำถามเสมอว่าตอนนี้เพื่อนตัวอ้วนของผมกำลังเดินไปโรงเรียนเหมือนกันไหม ที่โรงเรียนใหม่มันจะถูกใครรักแกหรือเปล่า ปรับตัวได้ไหม จะมีเพื่อนใหม่ที่มันรักเท่าผมหรือเปล่า

ทุกครั้งที่ผมใช้ชีวิตประจำวัน ผมก็เผลอนึกถึงมันอยู่เสมอ

มันกำลังทำอะไรอยู่

เรียนอะไร ที่ไหน มีเพื่อนหรือเปล่า มีแฟนหรือยัง มีชีวิตที่ดีไหม คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวไม่ว่าจะพยายามสะบัดมันให้หลุดออกไปเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็เผลอนึกถึงแต่มัน

การได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเลยครับ ยิ่งกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนยิ่งเติมความประหลาดใจของผมจนมันแทบล้นออกมา

ไอ้เอิ้นที่กลับมาพบผมอีกครั้ง ตอบคำถามที่ผมเคยตั้งไว้ตลอด 10 ปีแล้วว่า มันมีชีวิตที่ดี ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อเราได้พบกันอีกครั้งมันก็อยู่ในสถานะที่ไม่ได้ลำบาก ชีวิตมันเหมือนจะดีกว่าผมด้วยซ้ำ

ก็ดีแล้ว คนดีๆ อย่างไอ้เอิ้นควรพบเจอแต่สิ่งดีๆ

คูปองส่วนลดที่ได้มาเซฟเงินในกระเป๋าผมไปประมาณหนึ่งเชียวล่ะ

ผมแวะร้านหนังสือหลังจากได้สร้อยเส้นเล็กๆ ที่ประดับด้วยจี้ทองคำขาวเรียบๆ ไม่หรูหรา เจ้ศรีไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวสวยครับ พูดง่ายๆ คือแมนเหมือนลูกสาวกำนัน แน่สิ แม่เป็นเป็นอดีตครูพละเชียวนะ

หลังจากได้กิ๊ฟวอชเชอร์ที่แลกซื้อหนังสืออ่านได้ทั้งปีผมที่ไม่ได้รีบร้อนอะไรก็เดินทอดน่องตากแอร์อยู่ในห้างคิดอะไรไปพลางๆ

รู้ตัวอีกทีก็เดินลงมาจนถึงซุปเปอร์มาเก็ตแล้ว

หวังว่าคงไม่เจอไอ้นพชัยอีก ผมกับมันน่ะบังเอิญเจอกันในห้างประจำแหละ ถ้าเป็นชายหญิงคงหยิบเรื่องพรหมลิขิตมาอ้างได้ แต่ไม่ใช่ระหว่างผมกับมันว่ะ

พูดถึงไอ้นพชัย ผมไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่มันบอกสักเท่าไหร่หรอก แต่เมื่อลองเอามาปะติดปะต่อกับที่น้องพนักงานขายบอกเรื่องคุณปรางวันนั้นมันค่อนข้างจะเข้ากันทีเดียว

บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่ากว่าจะเจอตัวคนที่ใส่ร้ายผม ผมต้องสงสัยคนใกล้ตัวไปอีกคน

ตัดกวินออก ตัดไอ้เอิ้นที่หลงผมหัวปักหัวปำออกก็เหลือแค่น้องดาวคนเดียว

ผมไม่อยากจะคิดว่าเป็นเธอ น้องดาวหญิงสาวที่สดใสร่าเริงเป็นมิตรคนนั้นน่ะไม่มีทางหักหลังผมหรอก

ตั้งแต่เจอกัน ไม่มีสักครั้งที่เธอจะแสดงออกถึงความทะเยอทะยาน มิหนำซ้ำยังเป็นคนเรียบง่ายที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจมาก

ผมเดินดูของไปเรื่อยเปื่อยแวะทักทายน้องพนักงานที่ถึงแม้วันพรุ่งนี้จะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายแต่น้องก็ยังคงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เห็นน้องแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ครับ

ถ้าได้ทำงานด้วยกันยาวๆ ก็คงดี

วันนี้ผมไม่เจอไอ้นพชัยที่ซุปเปอร์ ใกล้ปีใหม่แล้วอะเนอะก็ต้องหยุดพักผ่อนกันบ้าง

ระหว่างเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดู

ไอ้เอิ้นคงยังไม่ถึงญี่ปุ่นแชทถึงได้เงียบเหงาขนาดนี้

“คุณเสือคะ” เสียงทักทายเรียกให้ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์

คุณลลินว่ะ

“สวัสดีครับ” แม้ไม่อยากทักทายแต่ด้วยมารยาทแล้วก็คงต้องทัก

เธอยิ้มกว้างกลับมา “คุยกันหน่อยมั้ยคะ”

ไม่รู้หรอกว่าเธออยากคุยอะไรแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

เราเลือกร้านกาแฟใกล้ๆ เป็นสถานที่พูดคุย ระหว่างรอเครื่องดื่มมาเสิร์ฟคนที่บอกว่าอยากคุยกับผมกลับเอาแต่ก้มหน้ากดมือถือ

“มีอะไรจะคุยเหรอครับ” จนผมต้องเอ่ยถามเสียเอง

“เหมือนคุณเสือไม่ค่อยชอบหน้าลลินนะคะ”

“งั้นเหรอครับผม แสดงออกขนาดนั้นเชียว”

“ก็ขนาดนั้นแหละค่ะ หึงลลินกับเอิ้นเหรอคะ” รู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ สอยเข้าที่ปลายคาง

โชคดีที่เครื่องดื่มมาเสิร์ฟมาพอดี

“ลลินชอบเอิ้นค่ะ” ผมสำลักจนกาแฟเกือบจะพุ่งออกทางจมูกเมื่ออีกฝ่ายบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ

คุณลลินส่งทิชชู่ให้ผมแล้วว่าต่อ

 “ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่ายิ่งใกล้ชิดเขาก็ยิ่งชอบ”

“แต่ไอ้เอิ้นชอบผู้ชาย”

“ไม่ใช่ค่ะเอิ้นมีแฟนเป็นผู้หญิงทุกคน” เธอย้ำคำว่าทุกคนอย่างหนักแน่น

ต้องการจะสื่ออะไรเหรอ ถ้าแน่จริงก็พูดออกมาตรงๆ เลยสิว่าไอ้เอิ้นแค่เล่นกับผม บอกสิว่ามันไม่จริงใจอย่างปากว่าหรอกแต่ถึงแม้เธอจะไม่พูดผมก็เข้าใจไปอย่างนั้นซะแล้ว

เราแค่นั่นกันเงียบๆ ผมไม่อยากจะคุยอยู่แล้วไงจะลุกไปซะก็ได้แต่เมื่อคุณลลินยังทำท่าทางเหมือนอยากคุยแต่ไม่ยอมปริปากซักทีผมก็ไม่อยากลุก อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะพูดอะไร

“เอิ้นน่ะพยายามมากเลยนะคะ”

“ครับ?” ผมว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“เรื่องคุณเสือ เขาพยายามมากจริงๆ”

ผมเริ่มไม่เข้าใจคุณลลินแล้ว ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรกับบทสนทนาที่วกไปวนมาเหมือนพายเรืออยู่ในแอ่งน้ำวน

“ลลินจะไม่เล่าก็ได้แต่เพราะลลินเห็นทุกความพยายามของเอิ้น ลลินรักเอิ้น ลลินอยากเห็นคนที่ลลินรักมีความสุข”

นางฟ้า !?

ประชดไปอย่างนั้น ไม่ว่าเธอจะพูดดีเพียงใดแต่ในน้ำเสียงหวานก็ยังเจือด้วยความนัยบางอย่างที่สะกิดใจผมไม่ให้เชื่อเธอเต็มร้อย

“ก็ไม่ต้องเล่าสิครับ”

“ลลินเจอเอิ้นตั้งแต่ตอนที่เขาย้ายไปญี่ปุ่น ตอนนั้นเอิ้นเป็นแค่เด็กอ้วนคนนึงที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย”

คำบอกเล่านั้นชวนให้ผมขยับนั่งหลังตรงมองคนตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ลลินเองก็ไม่สนใจเอิ้นเหมือนกัน ไม่เคยคิดจะสนใจเลยสีกนิด แต่เพราะแม่เห็นว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ก็เลยถูกขอร้องแกมบังคับให้ช่วยดูแล”

ถ้าไม่ถูกบังคับก็คงไม่ยอมเป็นเพื่อนกับไอ้เอิ้นอย่างนั้นสินะ

ผมคิดภาพออกเลยว่าตอนนั้นเพื่อนของผมโดดเดี่ยวเพียงใด

“แรกๆ เอิ้นพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย มันยากนะคะที่ต้องใช้ชีวิตในที่ที่เราไม่เข้าใจภาษาของเขา สื่อสารกับเขาไม่ได้ บอกตรงๆ ว่าที่ยอมเป็นเพื่อนด้วยก็เพราะสงสาร กว่าเอิ้นจะสื่อสารด้วยภาษาญี่ปุ่นได้คล่องก็ผ่านไปเป็นปี”

คงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เมื่อลองย้อนดูตัวเองก็พบว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเกเรสุดๆ

“ประมาณเกรด 11 มั้งคะ อยู่ๆ เอิ้นก็มาปรึกษาลลินเรื่องลดความอ้วน เขาเริ่มควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดี พอถามว่าทำไมอยู่ๆ ถึงอยากผอมเขาก็เอารูปเด็กผู้ชายหหน้าตาดีคนหนึ่งให้ลลินดู”

เธอจ้องมองใบหน้าผมเมื่อจบประโยคแล้วยิ้มสวย

“ตอนที่เห็นคุณเสือในรูป ลลินยังคิดเลยค่ะว่าคุณหล่อและมีเสน่ห์จริงๆ”

ชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็แอบเขินเหมือนกันแฮะ

“เอิ้นบอกว่าเขาอยากดูดีเหมือนเพื่อนรักของเขา เอิ้นบอกว่าคุณเป็นเพื่อนคนสำคัญ ตลอดเวลาที่คบกันเอิ้นพูดถึงคุณเสือเสมอจนบางทีลลินก็เบลอๆ คิดว่าตัวเองรู้จักกับคุณเสือเป็นการส่วนตัวไปด้วย”

ยังเห็นว่าผมเป็นเพื่อนคนสำคัญทั้งๆ ที่ผมเคยทำร้ายมันเนี่ยนะ

ไอ้เอิ้นบ้าหรือเปล่าวะ

“ก่อนจะมาที่นี่เขาพยายามมากเลยนะคะ คุณเสือก็น่าจะรู้ว่าอายุเท่าเรามันไม่ง่ายเลยที่จะแข่งขันกับพวกรุ่นพี่แล้วก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ”

นั่นสินะ ผมเองก็เคยลองพยายามปีนแล้วครั้งหนึ่ง

เมื่อ 2 ปีก่อนผู้จัดการสาขาที่มาเลเซียกำลังจะเกษียณ ตอนนั้นผมได้รับเสนอชื่อเพื่อเลื่อนตำแหน่ง แต่มีกติกาว่าต้องนำเสนอผลงานของตัวเอง สำหรับคนที่ชอบการแข่งขันอย่างผม มันเป็นเรื่องน่าสนุกมากแต่สุดท้ายผมก็ถอดใจและถอนตัวเพราะงานประจำที่ต้องรับผิดชอบทำให้ไม่มีเวลาได้พรีเซนต์ตัวเองสักเท่าไหร่ ตอนนั้นผมคิดว่าคนจากสำนักงานใหญ่น่าจะเห็นสิ่งที่ผมทำโดยที่ไม่ต้องพรีเซนต์ตัวเองแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อย่างที่คิด

เขามองไม่เห็นเราหรอกถ้าเราไม่ก้าวเข้าไปบอกว่าเราทำอะไรหรือถ้าเห็นก็เห็นแค่เสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น

แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่ผมทำจะไร้ประโยชน์เสียหมด เงินเดือนที่ถูกปรับขึ้นในปีนั้นทำให้ผมค่อนข้างภูมิใจในตัวเองมากทีเดียว

ผมมองหน้าคุณลลินที่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบฟังเรื่องที่เธอเล่าแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า…

“คุณบอกว่าชอบเอิ้นแล้วบอกเรื่องนี้กับผมทำไมครับ”

“ก่อนลลินจะตอบคำถามคุณเสือ คุณเสือช่วยตอบคำถามลลินก่อนได้มั้ยคะ”

“ถ้าไม่เกินความสามารถครับ”

“ตอนเป็นเด็กทำไมถึงเป็นเพื่อนกับเอิ้นเหรอคะ คนที่ไม่มีอะไรน่าสนใจแบบนั้น คนที่ไม่ค่อยพูดคุย อยู่ด้วยแล้วไม่เห็นจะสนุก ลลินสงสัยค่ะว่าทำไมคุณเสือถึงยอมคบด้วย”

ไอ้เอิ้นก็เป็นอย่างที่คุณลลินว่าจริงๆ นั่นแหละ เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งผมถึงแปลกใจอย่างไรล่ะ นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วนิสัยใจคอการวางตัวทุกอย่างที่เคยเป็นไอ้เอิ้นเพื่อนรักของผมหายไปจนหมดเลย

ถามว่าชอบเอิ้นคนไหนมากกว่า

คนก่อนโน้นก็ดีนะแต่คนปัจจุบันก็ดีไปอีกแบบ

ผมเจอไอ้เอิ้นตอนอายุ 5 ขวบเมื่ออยู่ๆ บ้านหลังข้างๆ ที่พี่สิงห์ชอบหลอกผมว่าเป็นบ้านผีสิงก็มีคนย้ายเข้ามาอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิก 5 คน

ครั้งแรกที่เจอกันคงเป็นตอนที่พวกเขามาแนะนำตัว ตอนนั้นผมกำลังทะเลาะกับเจ้ศรีอย่างรุนแรงด้วยเรื่องที่ผมไปต่อยหลานป้าไก่หน้าปากซอย จำไม่ได้หรอกว่าทะเลาะกับมันเรื่องอะไร เห็นไหมล่ะว่าผมกับเจ้ศรีน่ะเป็นคู่กัดกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

พอทำความรู้จักกันแล้วเห็นว่าผมกับไอ้เอิ้นอายุเท่ากันก็จัดการฝากฝังให้ผมดูแลมันทันที แน่นอนครับว่าคนที่เพิ่งทะเลาะกันมาหมาดๆ นั้นย่อมมีแรงต่อต้านกันเป็นเรื่องธรรมดาและอีกอย่างผมหัวดื้อด้วยแหละ ขึ้นชื่อเรื่องไม่ค่อยเชื่อฟังแม่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งบังคับผมก็ยิ่งไม่ทำ

ไอ้เอิ้นย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกับผม ตอนนั้นผมก็มีแก็งเพื่อนของผมส่วนไอ้เอิ้นตัวอ้วนหน้าตายพูดน้อยไม่ค่อยเป็นมิตรก็อยู่คนเดียวไปตามระเบียบ

ความสัมพันธ์ก็ดำเนินไปอย่างนั้นครับ จนกระทั่งความเซี้ยวเกินเด็กของผมเป็นเหตุให้มีเรื่องกับรุ่นพี่ป.4 ตอนถูกเขาต้อนเข้ามุมเพื่อนในก๊วนของผมก็แตกฮืออย่างกับผึ้งแตกรัง ไม่มีใครสนใจผมเลย แต่ไม่โกรธนะมันเป็นสัญชาติญาณ ไม่มีใครไม่รักตัวกลัวตายหรอก ขณะที่เพื่อนๆ ของผมหนีไปหมดปล่อยให้ผมเผชิญชะตากรรมลำพัง อยู่ๆ ไอ้เอิ้นก็โผล่มา เสียงเล็กๆ ที่ไม่มีพลังร้องบอกให้พวกรุ่นพี่หยุด

คิดว่าได้ผลไหม ได้ครับแต่ได้แผลนะ พวกเราคงนอนหมอบเป็นหมากินยำตีนอยู่ตรงนั้นหากลุงภารโรงไม่มาเจอ

พวกเรากลับบ้านด้วยกันครั้งแรก วันนั้นเจ้โกรธผมมากแล้วยังลงโทษด้วยการไม่ให้กินข้าวเย็นด้วย คืนนั้นผมคงหิวจนนอนไม่หลับหากเพื่อนข้างบ้านไม่โยนขนมปังลอดหน้าต่างมาให้

ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

ระหว่างเรามันไม่ใช่ความประทับใจแรกแต่มันค่อยๆ พัฒนาทีละนิดจนกลายเป็นเพื่อนสนิท มีเสือที่ไหนมาเอิ้นที่นั่น เรารู้ข้อดีข้อเสียของกันและกัน ถึงผมจะมีข้อเสียมากหน่อยแต่ไอ้เอิ้นก็ไม่เคยเกลียดผมนะ มันดีกับผมมาก ตามใจทุกอย่าง ตอนนั้นผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าผมโคตรรักมัน

ผมคิดมาตลอดเลยว่าผมกับไอ้เอิ้นจะเป็นเพื่อนสนิทกันตลอดไป กระทั่งตอนม.ต้นผมก็พังความสัมพันธ์ของเราเองกับมือ

รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นคนหน้าตาดี พอเข้าม.1 ที่โรงเรียนใหม่ก็มีรุ่นพี่สาวๆ มาชอบไง แต่ผมไม่ได้เล่นด้วยหรอก ตอนนั้นยังเด็กมาก ติดเพื่อน ติดเกม ทั้งที่ผมก็อยู่ของผมดีๆ พวกรุ่นพี่ผู้ชายก็มาหาว่าผมแย่งแฟนเขา อะไรวะแค่กูหน้าตาดี อีกอย่างคนที่เข้าหาผมคือแฟนเขานะเว้ย แต่รุ่นพี่แม่งโง่ไงหลงผู้หญิงจนหน้ามืดตามัวคิดไม่ได้แล้วก็มาหาเรื่องผม อีกครั้งที่เพื่อนในก๊วนแตกฮือ เช่นเคยมีแต่ไอ้เอิ้นที่เข้ามาช่วยผม

แต่ใครจะไปรู้ว่าการช่วยผมครั้งนี้จะนำความเดือดร้อนมาให้มัน

หลังจากวันนั้นไอ้เอิ้นก็ถูกหมายหัว ถูกแกล้งสารพัดโดยที่ผมทำได้แค่มอง มันน่าอดสูมากที่ช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เลย

ลำพังตัวผมเองคงช่วยอะไรไม่ได้มาก ตอนนั้นที่โรงเรียนนอกจากกลุ่มพวกไอ้เอ้กที่กร่างที่สุดในระดับม.ต้น แล้วยังมีรุ่นพี่ม.ปลายอีกกลุ่มที่ทรงอิทธิพลกว่า พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องหน้าตาดี บ้านรวยแต่นิสัยเลวมากชอบรีดไถ ชอบแกล้งคนอื่นทำตัวไม่สมเป็นรุ่นพี่ม.ปลายหรอก

ผมใช้เวลาคิดอยู่หลายวันก่อนจะตัดสินใจขอเข้ากลุ่มกับรุ่นพี่พวกนั้นด้วยความที่ผมหน้าตาดี (อีกนั่นแหละ) ตรงกับคอนเซปกลุ่มพวกพี่มันก็เลยยอมรับง่ายๆ ตอนนั้นผมก็งงนะ แค่หน้าตาดีก็เข้ากลุ่มได้เหรอวะ จนมารู้ทีหลังว่าที่พวกพี่มันรับเพราะไม่เคยมีรุ่นน้องม.ต้นใจกล้ามาขอเข้ากลุ่มเลย

หลังจากนั้นไม่นานผมก็ใช้อิทธิพลของกลุ่มรุ่นพี่ม.ปลายลากไอ้เอิ้นออกมาจากกลุ่มไอ้เอ้ก แต่ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ครับ รุ่นพี่ม.ปลายถึงจะไม่ทำร้ายร่างกายอย่างไร้เหตุผลแต่ก็รีดไถเอาเงินไปหมดจนไอ้เอิ้นไม่มีเงินกินข้าวกลางวัน และพอมันไม่มีเงินก็สอนให้เป็นขโมย พอมันไม่ทำก็วนกลับเข้าเรื่องทำร้ายร่างกาย

ผมมองไอ้เอิ้นโดนทำร้ายด้วยความกล้ำกลืน ถ้าผมกล้าหาญได้ซักครึ่งของมันผมคงเข้าไปช่วยมันแล้ว

มันเจ็บปวดมากนะที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนถูกทำร้าย

หลังจากนั้นไม่นานไอ้เอิ้นก็ย้ายโรงเรียนไป

ผมยังจำใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยยิ้มจางๆ ของมันได้ติดตา

ทุกอย่างเป็นความผิดของผม หากผมไปยืนในที่ของมันกลายเป็นคนถูกทำร้ายแล้วเปลี่ยนไอ้เอิ้นเป็นตัวผมที่ลงมือทำร้ายเพื่อนตัวเองกับมือ ผมคงโกรธมันมาก มากจนไม่รู้ว่าจะให้อภัยได้ไหมในชาตินี้

ย้อนกลับไปที่คำถามของคุณลลิน

ทำไมผมถึงเป็นเพื่อนกับมันอย่างนั้นเหรอคงต้องย้อนถามมันก่อนว่าทำไมถึงทนกับกับเพื่อนนิสัยแย่ๆ อย่างผมได้

“ได้คำตอบแล้วใช่มั้ยล่ะคะ จุดเริ่มต้นของเอิ้นกับคุณเสือต้องดีกว่าลลินแน่ๆ ใช่มั้ยล่ะคะ”

“คุณพูดเรื่องไอ้เอิ้นกับผมทำไมเหรอครับ หากมองในแง่ของธุรกิจผมคือคู่แข่งเบอร์ 1 ของคุณเลยนะ”

“เรื่องเอิ้น ลลินแพ้คุณเสือตั้งแต่คิดจะลงแข่งแล้วต่างหาก คุณเสือเป็นเพื่อนคนเดียวที่เอิ้นอยากจะได้ใจ ลลินอยากให้คุณเสือทบทวนความรู้สึกตัวเองแล้วเปิดใจให้เอิ้นบ้าง”

“ถ้าผมจะเปิดใจให้ไอ้เอิ้น ผมคงเปิดใจเพราะตัวมัน ใจมัน และการกระทำของมันไม่ใช่เพราะคำบอกเล่าของใครผมรู้ตัวดีครับว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ คุณลลินต่างหากที่รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

“ทราบสิคะ ลลินคิดเรื่องนี้มาอย่างดี ลลินอยากทิ้งความรู้สึกรักที่ค้างคาใจเอาไวกับปีเก่าเพื่อปีใหม่จะได้เริ่มต้นใหม่ ลลินอยากทำงานร่วมกับเอิ้นอย่างสบายใจ”

“ทำงานกับเอิ้น?”

“รอเอิ้นเล่าให้คุณเสือฟังเองดีกว่าค่ะ” มีลับลมคมในอะไรกันต้องการให้สงสัยข้ามปีกันเลยใช่ไหม “เอิ้นรักคุณเสือมากเลยนะคะ”

“แล้วไงครับ”

“เรื่องที่คุณเสือกำลังตามหาความจริงอยู่หยุดตามหาตั้งแต่ตอนนี้ได้มั้ย”

ผมส่ายหน้าทันที

จะบ้าหรือไง เดินทางใกล้คำตอบเข้าไปทุกทีแล้วจะให้ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ ได้ยังไง

“เอิ้นกังวลเรื่องคุณเสือมาก เอิ้นบอกว่าคุณเป็นคนใจร้อน เขากลัวคุณจะไปมีเรื่อง กลัวคุณจะเจ็บ เวลาที่เราเอาแต่กังวลเรื่องของคนที่ตัวเองรักมันไม่มีเวลาให้มีความสุขเลยนะคะ”

ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนไม่ใช่แค่ไอ้เอิ้นทั้งแม่ พ่อ ไอ้แชมป์ พี่สิงห์และคนอื่นๆ ที่รักผม ผมไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเขาเลย

ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่จะให้ผมหยุดตอนนี้คงทำไม่ได้หรอก

“จบธุระของคุณลลินแล้วใช่มั้ยครับ” ผมขยับตัวเมื่อถามเธอพยักหน้าผมจึงบอกลา

ผมยังคงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้าง อยากซื้อบางอย่างให้บางคนแต่ก็ไม่รู้ว่าซื้ออะไรถึงจะดี

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนที่ผมหยิบมันขึ้นมาพอดี หน้าจอปรากฏเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นไอ้เอิ้นผมจึงกดรับ

‘โมชิโมชิ’

“โมชิพ่องสิ”

‘พ่ออยู่ข้างๆ เสือคุยมั้ย’

“คุยอะไรล่ะ ไม่คุยโว้ย’

“คุยได้พ่อเอิ้นก็เหมือนพ่อเสือ’

“ถ้ามึงจะโทรมากวนประสาทก็แค่นี้นะ เปลืองค่าโทร”

‘คิดถึงเสือแล้ว น่าจะมาด้วยกัน นี่แม่เอิ้นอยากเจอเสือนะ’

“แค่นี้แหละกูขี้เกียจคุยแล้ว”

‘เอาไว้ถึงบ้านแล้วเอิ้นสไกฟ์หานะ’

“ไม่ต้อง”

‘ไว้คุยกันคิดถึงครับ’

บอกลาจบก็ตัดสายไปเลยไม่เคยฟังกัน บอกว่าไม่ต้องๆ ก็ดันทุรังทั้งที่ควรหัวเสียที่ถูกขัดใจแต่ผมกลับยิ้ม รู้เลยว่าตัวเองกำลังมีความสุข

ต้องรีบกลับบ้านแล้วล่ะ



▼▲ ▼▲ ▼



ช่วงปีใหม่ถนนโล่งดีเหยียบสัก 120 ก็ได้เถอะ ก็สะดวกดีแต่อิจฉาคนที่มีบ้านต่างจังหวัดให้กลับไปเยี่ยม ผมเองก็อยากมีแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

เมื่อกลับถึงบ้านเจ้ศรีก็ยังไม่เลิกเมาท์ถึงแม้ว่าลูกชายที่รักจะเอาแต่กดมือถือเจ้ก็ยังไม่หยุดพูด

“พ่อไปไหนอะเจ้”

“อยู่ในสวนมั้ง”

“แล้วนี่อย่าบอกนะว่าอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เสือออกไปยังไม่ได้ลุกไปไหนเลย”

“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเจ้าสิงห์มากมาย”

“พี่สิงห์ก็ดูเหมือนมีเรื่องอยากคุยกับเจ้มากมายเหมือนกันเนอะ”

คนถูกพาดพิงหันมาแยกเขี้ยวใส่เมื่อถูกผมประชด

“เสือไม่กวนละไปหาพ่อดีกว่า”

พ่อกำลังตัดหญ้าอยู่ในสวนหลังบ้าน ผมเดินเข้าไปนั่งลงบนพื้นข้างท่านมองหน้าแล้วยื่นมือไปขอกรรไกรตัดหญ้าแต่ก็ถูกปฏิเสธ

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า” เมื่อถูกจ้องเอาๆ พ่อที่ปกติไม่ค่อยสนใจถามเรื่องของผมเท่าไหร่จึงเอ่ยถาม

“พ่อผิดหวังในตัวเสือมั้ย”

“แล้วสิ่งที่แกทำอยู่ตอนนี้ทำให้แกมีความสุขรึเปล่า”

“เสือไม่รู้” ผมก้มลงเอื้อมมือไปดึงหญ้า

“แปลว่าไม่มีความสุข ถ้าแกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตพ่อก็คงผิดหวังในตัวแก” มือแข็งแกร่งที่เคยโอบอุ้มผมด้วยความรักวางลงบนไหล่แล้วบีบเบาๆ

“แค่เสือมีความสุขก็พอเหรอ ทั้งๆ ที่เสือใช้ชีวิตแบบนี้ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องได้ราวซักอย่างเนี่ยนะ ประสบความสำเร็จคืออะไรยังไม่เคยสัมผัสซักครั้งเลย”

“แกรู้หรอว่าอะไรที่เขาเรียกว่าประสบความสำเร็จ สำหรับพ่อ ชีวิตทุกวันนี้พ่อถือว่าพ่อประสบความสำเร็จแล้วนะอาจจะไม่ร่ำรวยแต่ภาระหนี้สินที่มีก็ไม่มากไปกว่ารายได้และค่าใช้จ่าย มีภรรยาที่ถึงแม้จะปากจัดแต่ก็ทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องและที่สำคัญเธอคือคนที่พ่อรัก การได้ใช้ชีวิตคู่กับคนรักมันเป็นอะไรที่วิเศษมากจริงๆ ส่วนลูกชาย เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าชีวิตเขาต้องการอะไรแต่พ่อก็มีความสุขดีที่ได้เห็นเขาค่อยๆ ลองใช้ชีวิต พ่อไม่ได้หวังให้พวกแกร่ำรวย ไม่ได้หวังให้ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า พ่อหวังแค่ว่าพวกแกจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

“ถึงแม้ความสุขของเสืออาจจะไม่ใช่สิ่งที่สังคมยออมรับอย่างนั้นเหรอครับ”

“แล้วความสุขของเราทำให้สังคมเดือดร้อนรึเปล่าล่ะ อย่าไปสนใจกระแสสังคมให้มาก ความคิดของคนส่วนใหญ่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอเสียเมื่อไหร่กัน”

“พ่อดูปลงๆ กับชีวิตเนอะ” ผมว่าแล้วขำให้พ่อขำตาม

“ก็มีความสุขดีนะ”

“ดีจริงเหรอ การมีภรรยาปากร้ายอย่างเจ้ศรีทำให้ชีวิตมีความสุขจริงๆ เหรอครับ เสือมองว่าพ่อกับแม่ต่างขั้วมากเลยนะคิดแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ทุกที”

“จิ๊กซอว์รูปร่างเหมือนกันต่อกันไม่ติดหรอก การใช้ชีวิตคู่เราไม่ได้ต้องการคนที่เหมือนเราแต่เราต้องการคนที่มาอยู่เพื่อเติมเต็มให้ชีวิตเราสมบูรณ์ พ่อกับแม่อาจจะไม่ได้ต่อกันติดทั้งหมดตั้งแต่ทีแรก แต่พอมีเสือกับสิงห์ ความสัมพันธ์ที่เว้าแหว่งไม่แนบชิดก็ถูกเติมเต็ม เสือเองก็เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ตัวนึง ซักวันก็ต้องมีจิ๊กซอว์อีกตัวที่ต่างจากเสือเข้ามาเพื่อเติมเต็มชีวิตเสือ”

“งั้นเหรอครับ”

“เจอแล้วใช่มั้ยล่ะจิ๊กซอว์ตัวนั้นน่ะ”

โทรศัพท์มือถือที่ไม่รู้ว่าหล่นลงบนพื้นหญ้าตอนไหนดังขึ้นตรงกลางประโยค และบนหน้าจอก็โชว์หน้าไอ้เอิ้นที่ยิ้มแฉ่งชูสองนิ้วโคตรแบ๊ว

“ชีวิตเสืออยู่ในมือเสือ พ่อเคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ”

ผมมองหน้าพ่อด้วยความรู้สึกเดียวคือรัก กระทั่งเสียงเรียกเข้าดับไปแล้วดังขึ้นใหม่

ช่างตื้อจริงเว้ย



▼▲ ▼▲ ▼



เราสไกฟ์คุยกันหลังจากผมขึ้นห้องมา ใบหน้าไอ้เอิ้นดูมีความสุขดีถึงแม้จะผ่านการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหลายชั่วโมง

‘คิดถึงเสือแล้ว’

ถ้าเอาคำว่าคิดถึงจากปากไอ้เอิ้นมาต่อเป็นถนนป่านนี้ยาวถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรสแล้ว

“กูซื้อสร้อยให้แม่แล้วนะ” ผมวางมือถือลงเพื่อเดินไปหยิบสร้อยมาโชว์

‘รสนิยมดีไม่เบานี่นา’

“กูเห็นมึงเขียนดาวไว้”

‘เอิ้นคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับแม่’

“วันนี้กูเจอเพื่อนมึงด้วยแหละ”

‘ลลินน่ะเหรอ เธอบอกเสือแล้วใช่มั้ย’

“เรื่องอะไรล่ะ”

‘ก็เรื่องที่เธอคุยกับเสือวันนี้ไง ที่จริงลลินบอกเอิ้นแล้วว่าจะคุยกับเสือ’

“อ๋อ มึงใช้ให้เขามานำเสนอด้านดีๆ ของมึงให้กูฟังงี้”

‘ลลินพูดถึงเอิ้นด้วยเหรอ’

“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เรื่อง”

‘ไม่รู้จริงๆ ครับ แล้วลลินว่าไงบ้างอะ’

“กูจะไปกินข้าวแล้ว”

‘เดี๋ยวสิยังคิดถึงอยู่เลย’

“จะคิดถึงอะไรนักหนาแค่นี้นะ” ผมชิงจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้นก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงนอนมองเพดานแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยรอเสียงเรียกให้ลงไปกินข้าว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ผมเคลิ้มๆ จะหลับ ผมแม่งโคตรคลั่งไคล้การนอน ว่างไม่ได้เลยตาจะปิดทุกที

พี่สิงห์โผล่หน้าเข้ามาตอนที่ผมตะโกนอนุญาต

พี่ผมมีมารยาทแบบนี้ตั้งแต่เมื่ไหร่ เมื่อก่อนไม่เห็นจะมี

“คุยกับแฟนเสร็จแล้ว?”

“แฟนอะไร”

พี่สิงห์นั่งลงข้างผมแล้วหัวเราะ

“กับเอิ้นไงไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”

“พูดอะไรของพี่วะ”

ผมนี่ร้อนๆ หนาวๆ งงไปหมดว่าทำไมอยู่ๆ พี่สิงห์ถึงถามแบบนี้ ระหว่างผมกับไอ้เอิ้นมีอะไรที่ทำให้คนอื่นมองแค่แว้บเดียวแล้วรู้ลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราเลยหรือไง

“ปกติเสือไม่เคยมีความลับกับพี่นี่หว่าแต่เรื่องเอิ้นไม่เคยเห็นเล่าให้ฟัง”

ปกติถ้ามีอะไรผมจะเล่าให้พี่สิงห์ฟังตลอด เรื่องถูกพักงานก็ด้วยแต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะเล่าเรื่องของไอ้เอิ้น

นั่นสิ ทำไมวะเพราะผมอายที่ถูกผู้ชายตามจีบหรือเพราะไม่มั่นใจความสัมพันธ์กันแน่

“สิงห์พี่คิดว่าเสือหยุดดีมั้ย”

“หยุดชีวิตไว้ที่เอิ้นอะนะ”

“สิงห์!!” ผมดันตัวลุกขึ้นแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตามันเพื่อบอกว่ากำลังจริงจังให้พี่ชายผมหัวเราะชอบใจ

“เรื่องคนใส่ร้ายน่ะเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ

“คิดดูดีๆ ว่าถ้าหยุดตอนที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องนี้มันจะยังค้างใจเราไปเรื่อยๆ หรือเปล่า”

พี่ชายผมรู้จักผมดีกว่าใคร

“เหนื่อยแล้วว่ะ ยิ่งรู้ว่าคนนั้นเป็นใกล้ตัวเราเสือก็ยิ่งไม่สบายใจ”

“คงไม่ใช่แฟนเราหรอกใช่มั้ย”

“ใช่ไอ้เอิ้นซะที่ไหนกันเล่า”

“แน่ะ ไหนเมื่อกี้บอกไม่ใช่แฟน”

เออว่ะ! แล้วเมื่อกี้ก็พูดแบบไม่ทันคิดด้วย

“เสือไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นซะหน่อย”

“ไม่ทันแล้วไอ้น้องสิ่งที่เราพูดเวลาเผลอมักจะเป็นความจริงที่อยู่ในใจเราเสมอแหละ ป่ะ! ไปกินข้าวทุกคนรออยู่ข้างล่าง”

ผมเดินตามพี่สิงห์ลงมาพลางครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนหน้า

ความรู้สึกของผมที่มีต่อไอ้เอิ้นเรียกว่ารักจริงๆ เหรอวะ


[- T B C -]


 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 16 {เรื่องของเสือกับเอิ้น} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 19-11-2016 19:25:50
ลุ้นค่ะ คงไม่มาโป๊ะเชะที่เอิ้นใช่ไหม โอ๊ย ลุ้น
ติดตามค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 16 {เรื่องของเสือกับเอิ้น} P.4
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-11-2016 19:40:53
เข้าใจเสือนะ ปากบอกว่าไม่ แต่ใจกลับตอบรับ
ความรักเป็นสิ่งสวยงามนะ อิจฉาที่คนรักกัน
 :katai1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 26-11-2016 20:58:44


ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี}



บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเย็นนี้ครึกครื้นมาก โดยเฉพาะเจ้ศรียิ้มจนหน้าบานขึ้นเป็น 2 เท่าแล้ว และยิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นคุณย่าผู้น่ายักษ์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าระดับความแฮปปี้ก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสุขตรงหน้าทำให้ลืมเรื่องที่ทำให้คิดมากมาตลอดหลายเดือนไปชั่วขณะ

คนเราบางทีก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้กับตัวเองตลอดนี่หว่า

“เสือ”

“ครับ” ผมที่กำลังคุยบางอย่างกับพี่สิงห์ขานรับแม่แล้วหันไปมอง

“จำหนูแองจี้ที่อยู่ซอยถัดไปได้มั้ย”

เอาอีกแล้วเมื่อกี้ยังมีความสุขกับหลานคนใหม่อยู่เลยวกกลับมาหาเมียให้ผมทำม้ายย~

“จำได้ครับ”

“น้องสอบติดแอร์สายการบินดังด้วยนะ”

“แล้วไงครับ” ผมถามกลับอย่างใจเย็น ปกติถ้าอยู่กันสองคนผมเดินหนีไปแล้วแต่นี่เกรงใจพี่สะใภ้ไม่อยากให้งานกร่อยไง

เสือก็มีมารยาทเหมือนกันนะครับ

“น้องยังโสดนะ”

“หน้าที่การงานดีขนาดนั้นอีกไม่นานก็ไม่โสดแล้ว”

“ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้างรึไงนะเราน่ะ”

“พอเถอะแม่เสือไม่อยากจีบใครทั้งนั้นแหละอีกอย่างนะปล่อยน้องเขาไปเจอคนดีๆ เถอะ”

“ลูกแม่ก็ไม่ได้แย่”

“แต่ก็ไม่ได้ดี ตัวเสือเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลยแม่ จะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแลคนอื่นแต่ถ้าเสือจะดูแลใครซักคนเสือก็อยากดูแลพ่อกับแม่ก่อน”

โอ้โห ทำไมเสือพูดได้ดีขนาดนี้

อึ้งไปเลย เจ้ศรีอึ้งไปเลยน้ำตาปริ่มด้วย ซึ้งอ่ะเด้

“คนนั้นก็ไม่ชอบ คนนี้ก็ไม่เอาสรุปคือชาตินี้แม่จะได้หน้าเมียแกมั้ย”

อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คิดไว้นี่นาแทนที่จะซึ้งกลับมาถอนหายใจใส่หน้ากันซะงั้น ผมเกือบจะค้อนกลับแล้วโชคดีหน่อยที่เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นซะก่อน

คงจะเป็นไอ้เอิ้นนั่นแหละ คิดถึงผมจนทนไม่ไหวเลยต้องโทรมาอ้อนแน่นอน

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อคนที่โทรมาไม่ใช่ไอ้เอิ้น

“มีอะไรมึง” ผมมองหน้าแม่ก่อนจะลุกจากโต๊ะมา

‘คืนนี้พี่เสือว่างมั้ย’

“ว่าจะนอนว่ะ”

‘นอนยังไม่พออีกเหรอถูกพักงานตั้งนาน’

“เจ็บสัส ว่าแต่จะชวนไปไหนวะ”

‘ร้านเพื่อนผมที่เราเคยไปด้วยกันไงพี่’

“จะมีที่เหรอวะ” นี่คืนวันที่ 31 ไง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าร้านต้องเต็มทุกที่นั่งแน่นอน

‘นี่กวินน้องพี่เสือนะครับ อีกชั่วโมงนึงเจอกันที่ร้านนะพี่’

นัดแล้วก็ตัดสาย ไม่ถามความสมัครใจกันซักคำ



▼▲ ▼▲ ▼



ผมแทบจะคลานเข่าเข้าไปขอเจ้ศรี นั่งให้บ่นอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้รับอนุญาตแต่มีข้อแม้ว่าต้อพกพี่สิงห์ไปด้วย นี่แหละไอ้ตัวภาระ ผมพยายามส่งสายตาอ้อนพี่สะใภ้อยู่นานแต่พี่แกก็ไม่เห็นใจทั้งยังให้เงินผมไปซื้อเหล้าด้วย

ห่วงผัวนิดนึงนะเจ้นะ

แน่นอนครับว่านอกจากเป็นน้องแล้วก็ต้องรับหน้าที่เป็นสารถีด้วย รถติดไฟแดงมา 10 นาทีแล้วยังไม่มีแววว่าจะได้ขยับไปไหน ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้มีหวังได้ก้าวสู่ปีใหม่กันในรถแคบๆ นี่แหละ

มีความสุข =_=;;

“ไปฉลองกับเพื่อนนี่ขออนุญาตแฟนแล้วเหรอวะ”

อยู่ๆ ระหว่างรถติดไฟแดงพี่สิงห์ก็ถามให้ผมละสายตาจากรถคันข้างหน้ามามอง

“แฟนอะไร ไม่มีซักหน่อย”

“เอิ้นไง ไม่ใช่แฟนเหรอ”

“ต้องให้เสือบอกอีกกี่ครั้งว่าไม่ใช่”

“แล้วเมื่อไหร่จะใช่วะ”

“พี่สิงห์ทำไมชอบยัดเยียดน้องให้ไอ้เอิ้นจังวะ”

“พี่ว่าเอิ้นมันเอาแก่อยู่”

“เอาอะไร ไม่เคย” ผมปฏิเสธเสียงแข็งให้พี่ชายหัวเราะลั่นแล้วมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์เลยนะ แต่แกเล่นปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...เคยแล้วเหรอวะ”

“เมา” ผมบอกสั้นๆ แล้วเบือนหน้าหนี

อย่างที่เคยเกริ่นว่าผมกับพี่สิงห์ไม่เคยมีความลับต่อกันแต่เรื่องนี้มันค่อนข้างพูดยากนะ บอกว่าอายก็อายแต่ถ้าไม่บอกตอนนี้เดี๋ยวพี่มันก็เซ้าซี้จนผมบอกมันอยู่ดี

“ก็ได้กันแล้ว แล้วจะเล่นตัวอีกทำไม”

“เสือไม่ได้เล่นตัวนะพี่สิงห์แต่เสือไม่มั่นใจ กลัวด้วย”

“ไม่มั่นใจ กลัว เรื่องอะไร?”

“ความรู้สึกของตัวเอง เสือไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อไอ้เอิ้นตอนนี้มันเรียกว่าอะไร ถ้ามันไม่ใช่ความรักแล้วเสือเกิดคบกับมัน แล้วถ้าวันนึงเลิกกัน เสือไม่อยากเสียเพื่อน”

“ใช้ชีวิตโดยการเอาความคิดผูกติดกับอนาคตตั้งแต่เมื่อไหร่”

สำหรับเรื่องอื่นผมอาจจะใช้ชีวิตไปวันๆ ได้ แต่เรื่องไอ้เอิ้นผมทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆ ผมกลัว กลัวจะเสียมันไปอีกครั้ง

“สิ่งที่เราทำในวันนี้มันมีผลต่ออนาคตก็จริง แต่ในเมื่อเราไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างที่เราหวังรึเปล่า ทำไมเราไม่มีความสุขกับวันนี้วะ เสือ พรุ่งนี้ไม่ได้มีสำหรับทุกคนหรอกนะ”

พรุ่งนี้ไม่ได้มีสำหรับทุกคน

คำพูดของพี่สิงห์ดังวนอยู่ในหูของผมตลอดราวกับมันตั้งเล่นซ้ำไว้กล่อมประสาทผม กระทั่งเรามาถึงร้าน เสียงเพลงฟังสบายๆ ที่ดังมาให้ได้ยินยังไม่สามารถกลบเสียงพี่สิงห์ได้เลย

“พี่เสือทางนี้”

เพียงเดินไปถึงหน้าร้านกวินก็วิ่งออกมารับ มันชะงักไปจังหวะหนึ่งเมื่อสบตากับพี่ชายของผม เมื่อผมแนะนำไอ้คนมารยาทดีก็ยกมือไหว้เล่นเอาคนไม่มีมารยาทอย่างพี่สิงห์รับไหว้แทบไม่ทัน

“คนเยอะจังวะ มีที่นั่งแน่เหรอ” ผมถามอย่างไม่มั่นใจ คืนข้ามปีแบบนี้ถ้าไม่ได้จองไว้ก็ต้องมีเส้นเท่านั้นถึงจะเข้ามานั่งในร้านได้

บังเอิญว่าผมมีเส้นว่ะ

โต๊ะที่กวินพามาตั้งอยู่หน้าเวทีเลย โคตรจะวีไอพี ผมคงมีความสุขกว่านี้ถ้าไม่พบว่าที่โต๊ะมีรุ่นพี่สายรหัสไอ้กวินนั่งอยู่ก่อนแล้ว

บรรยากาศครุกรุ่นทันที่ที่ผมนั่งลง เห็นพี่สิงห์หันไปถามกวินว่าไอ้ขี้เก๊กนี่ใคร

ไอ้นพชัยไงล่ะ พี่ชายผมรู้จักมันจากคำบอกเล่าของผมแล้ว

“นั่งหลายๆ คนสนุกดี”

พี่ชายผมเป็นตัวสร้างบรรยากาศครับ พอพูดจบก็ขอแก้ว ขอน้ำแข็ง เหล้าเข้าปาก แอลกอฮอล์วิ่งไปตามเส้นเลือดก็เริ่มพูดมาก

บรรยากาศเริ่มดีขึ้น เพลงก็เพราะ อีกไม่นานแม่งก็เมา เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่อยากให้มันมาด้วย การพาพี่สิงห์มาด้วยก็ไม่ต่างจากการแบกภาระน้ำหนักกว่า 60 มาด้วยหรอก จะกินเหล้าก็มัวแต่คิดว่าใครจะดูมัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงจิบเหล้าเบาๆ

แม่งเอ้ย! ถ้าไอ้เอิ้นอยู่ด้วยก็ดี

แน่ะ! ไอ้บ้านี่ชอบฉวยโอกาสแว้บเข้ามาในความคิดผมเสมอเลย

“มึงไม่บอกกูว่าสายรหัสมึงมาด้วย”

เมื่อได้จังหวะเหมาะผมก็ปรายตามองไอ้นพชัยแล้วยิงคำถามให้น้องผม

กวินยิ้มแห้งๆ

“ผมอยากให้พวกพี่ได้คุยกัน”

“กูไม่มีเรื่องจะคุย และถ้ามีคนเห็นพวกเรานั่งร่วมโต๊ะกันอาจจะเอาไปเล่าต่อด้วยความเข้าใจผิด แค่นี้กูก็ไม่มีที่จะยืนแล้ว”

“เมื่อก่อนพี่เสือไม่เห็นจะแคร์เรื่องนี้”

“กูเป็นคน กูกินข้าว เจ็บแล้วก็ต้องจำกันบ้างสิวะ”

“ผมแค่คิดว่าถ้าพวกเราทำงานร่วมกัน…”

“พอเหอะ ใครเขาคุยเรื่องงานกันตอนวันหยุด ที่จริงกูกำลังคิดอยู่ว่ากูจะหยุด กูเหนื่อยแล้วว่ะ”

อย่างที่คุณลลินบอก บางทีเราก็ควรจะปล่อยวาง

อย่างที่พ่อพูด ถ้าทำแล้วทำให้ชีวิตไม่มีความสุขจะทำทำไม

แต่ระหว่างนั้นคำพูดของพี่สิงห์ก็เข้ามาแทรกให้สมองเริ่มประมวลผลใหม่อีกครั้ง

‘เสือคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตอยู่กับความสงสัยอย่างนี้ไปได้ตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ’

นั่นสิ! ผมทำได้เหรอวะ

ระหว่างที่บทสนทนาบนโต๊ะกำลังดำเนินไปพร้อมๆ กับเสียงเพลงฟังสบายๆ ที่ดังอยู่นั้น อยู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมก็ดังขึ้น

ผมคิดว่าเป็นไอ้เอิ้นนะ

“กูขอตัวแป๊บนะ ฝากพี่กูด้วย” ผมบอกกวินแล้วมองพี่สิงห์ที่แดกเหล้าอย่างกับอดอยาก

“เดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าชั้น 4 ได้นะพี่ ที่นั่นเงียบดี”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา กว่าจะเดินมาถึงดาดฟ้าเสียงเรียกเข้าก็เงียบไปแล้ว ผมกำลังจะโทรกลับแต่เมื่อคิดได้ว่าไอ้เอิ้นอยู่ญี่ปุ่นผมจึงหยุดมือ ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นอีก

ใช่ไอ้เอิ้นจริงๆ

‘นอนรึยังอะ’ เสียงสดใสดังผ่านสัญญาณโทรศัพท์มา

“แล้วทำไมมึงยังไม่นอน ที่ญี่ปุ่นใกล้จะตี 2 แล้วไม่ใช่เหรอ”

‘ทำไมเสียงเหมือนอยู่ข้างนอก หนีเที่ยวเหรอ’

“ไม่ได้หนี กูขอเจ้ศรีแล้ว มากับพี่สิงห์ด้วย”

‘เที่ยวไหนอะ’

“มึงจะถามอะไรนักหนา พ่อกูยังไม่เซ้าซี้กูเท่ามึงเลย”

‘เอิ้นไม่ใช่พ่อไง เอิ้นอยากเป็นแฟน’

น้ำเสียงปลายสายงอแงมาก มากเสียจนคิดว่าถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงทุบมันแรงๆ สักทีอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

‘ยังไงอะ เป็นแฟนได้มั้ย’

“เพ้อเจ้อนะมึงอะ ง่วงป่ะเนี่ย”

‘นิดหน่อย’

“ก็ไปนอนสิ ฝืนทำไม”

‘อยากเคาท์ดาวน์กับเสือ’

“ที่ญี่ปุ่นเขาเคาท์ดาวน์เสร็จไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

‘เสร็จแล้ว แต่แฟนเอิ้นอยู่ไทยไงก็เลยต้องรอเคาท์ดาวน์อีกรอบ เดี๋ยวแฟนงอน’

“ใครแฟนมึง”

‘เสือไง เป็นมั้ย’

ผมควรจะปฏิเสธทันทีที่คำถามจบลงว่า ‘ไม่’ แต่ผมกลับพูดไม่ออก

“ถึงมึงจะไม่โทรมากูก็ไม่งอนหรอกนะ” เปลี่ยนเรื่องซะจะได้จบๆ

‘จริงดิ ไม่งอนวันนี้แต่อาจจะเก็บไว้ก่อนตอนเป็นแฟนกันงี้ป่ะ’

นี่มันสกิลลอะไร ไอ้เอิ้นแม่งจะคุยเรื่องนี้ให้ได้เลยใช่มั้ย รู้มั้ยว่าหัวใจเสือทำงานหนักมากแล้วเนี่ย

‘เอิ้นอยากคบกับเสือแบบจริงจังจริงๆ นะ ถ้านี่เป็นคำขอสุดท้ายของปีนี้ เสือจะให้เอิ้นได้มั้ย’

“10” อีกครั้งที่ผมเลี่ยงตอบคำถาม แล้วเริ่มนับถอยหลัง

‘เสืออาจจะไม่เชื่อ แต่เอิ้นอยากบอกว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่มีซักวันเลยนะที่เอิ้นจะไม่คิดถึงเสือ’ ผมนับ 9 ในใจ

“8”

‘7’

“6”

‘5’

“4”

‘3’

“2”

‘เอิ้นรักเสือนะ’

“ขอบคุณ”

‘ว่าไงนะ’

“กูจะไม่พูดซ้ำนะ แล้วทำไมอยู่ๆ มาบอกรัก ต้องนับหนึ่งสิวะ”

‘ไม่ดีเหรอ มีคนบอกรักในช่วงเวลาแบบนี้ พิเศษออก’

ก็ดี ดีมากๆ ดีจนถ้าไอ้เอิ้นอยู่ตรงหน้ามันต้องรู้แน่ๆ ว่าผมมีความสุขแค่ไหน หัวใจแม่งพองโตเต็มอก ปากก็ยิ้มไม่หุบ พลุบนฟ้าก็ดูสวยเป็นพิเศษ

ต้องยอมรับแล้วล่ะว่าผมแพ้

เดือนนี้ไอ้เอิ้นต้องโดนค่าโทรระหว่างประเทศบานตะไทแน่ๆ บทสนทนาระหว่างเราดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างที่ไม่มีเวลาให้คิดถึงการโทรที่ประหยัดที่สุด รู้แค่ว่าช่วงเวลานี้มันโคตรรดี

“คุยกับแฟนเหรอครับ”

เมื่อวางสายอย่างอิดออด ไอ้นพชัยที่ไม่รู้ว่าขึ้นมาบนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ก้าวเข้ามายืนข้างๆ แล้วเอ่ยถาม

“มึงนี่มารยาททรามจริงนะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ถ้ามึงจะมาคุยเรื่องข้อตกลงอะไรนั่นล่ะก็ กูไม่อยากคุยและกูก็ไม่มีอะไรจะให้มึงด้วย”

“คุณเสือเป็นคนดีกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ ทั้งที่ดิเอเจ้นทำกับคุณขนาดนี้แล้วยังภักดีอยู่ได้”

“กูเป็นคนดีแต่กูไม่ได้ภักดี มึงก็รู้นี่นพว่าการเอาข้อมูลไปขายให้คู่แข่งมันเป็นการกระทำที่โคตรจะไม่ซื่อสัตย์”

“ผมไม่ได้ขอข้อมูล ผมแค่อยากให้แชร์พนักงานขายกัน และอีกอย่างนึงนะ เรื่องข้อมูลความลับของดิเอเจ้นน่ะ ถึงคุณไม่เอามาขายก็มีคนอื่นเอาออกมาแล้ว”

“มึงหมายถึงใคร”

“ยังไม่รู้อีกเหรอ คุณเสือควรจะกินปลาเยอะๆ จะได้ฉลาด”

จะด่าไอ้เหี้ยก็สงสารเหี้ย แม่ง! ผมกำมือแน่นกัดฟันกรอด อยากต่อยปากมันสักทีแต่ก็ต้องหักห้ามใจ

“กูไม่อยากปรักปรำใครเพียงเพราะคำพูดของคนอย่างมึง”

“เดี๋ยวก็คงได้รู้กันว่าคำพูดจากปากผมเชื่อได้แค่ไหน ส่วนเรื่องข้อเสนอนั่นคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน สุดท้ายเราก็มีแต่ได้กับได้ไม่ใช่หรือไง”

ถ้าตัดเรื่องที่บริษัทเป็นคู่แข่งกันออกไป การแชร์พนักงานขายกันก็เป็นเรื่องที่ดีมากแหละ แต่ก็นะขึ้นชื่อว่าคู่แข่งแล้วจะร่วมมือกันมันก็กะไรอยู่

ผมเดินตามไอ้นพชัยลงมาข้างล่าง เสียงเพลงจังหวะสบายๆ ยังคงดังให้ผ่อนคลายชวนเคลิ้มหลับ

“จริงดิพี่สิงห์ ผมนี่แฟนคลับพี่เลยนะครับ”

“แฟนคลับอะไรกันวะ” ด้วยความขี้เสือกผมจึงถามเมื่อนั่งลงข้างๆ

“พี่เสือไม่เห็นเคยบอกผมว่ามีพี่ชายเป็นนักแคสเกม แม่งถ้าไอ้วิทรู้ล่ะก็มันต้องกรี้ดเหมือนเจอแมลงสาบแน่”

“เดี๋ยวนะมึง กูสิงห์ครับไม่ใช่แมลงสาบ”

มันพูดเรื่องอะไรกัน ผมนี่งงไปหมดแต่ไม่เหงาครับเพราะมีไอ้นพนั่งงงอยู่ใกล้ๆ

“พี่หลอกอะไรน้องเสือ” ไอ้พี่สิงห์ก็กรึ่มๆ แล้วครับ

“กูไม่ได้หลอก เดอะไลอ้อนคิงไงห่าเสือ”

“อ๋อ เดอะไลอ้อนคิงขี้โม้อะนะ มึงยังไม่เลิกแคสเกมอีกเหรอวะ”

“นี่มึงไม่ได้ดูพี่เลยเหรอวะ ก็ว่าอยู่ยอดวิวคลิปหลังๆ หายไปจนกูแปลกใจ”

ปกติตอนที่พี่สิงห์เริ่มเข้าสู่วงการแคสเกมแรกๆ ก็มีผมนี่แหละที่ปั่นวิวและเป็นหน้าม้าให้มัน การที่มันก้าวขึ้นมาเป็นนักแคสเกมที่มีชื่อเสียงต้องยกความดีความชอบให้ผมนะ แต่มันก็ผ่านมาหลายปีจนตอนนี้มันเปิดบริษัทเกี่ยวกับงานพัฒนาระบบแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะยังมีเวลามาแคสเกมอยู่

“ผมขอลายเซ็นพี่ได้มั้ยครับ”

“ถ่ายเซลฟี่ยังได้ ไอ้เสือ!!” ยื่นมือถือของมันเองให้ผมครับ

ไอ้พวกบ้าเกม บ่นมันในใจแต่นิ้วก็ทำหน้าที่กดไปอย่าให้พลาด

“พี่นพมาสิพี่มาถ่ายกัน”

ผมหยุดมือแล้วมองไปยังไอ้นพ หูมันแดงๆ เหมือนอาย อย่าบอกนะว่า…

“นั่งเงียบทำไมเล่า นี่ไลอ้อนคิงไง ไอดอลนักแคสเกมของเรา ตัวจริงแม่งเจ๋งเนอะ”

ของเราด้วย อ๋อ กูรู้แล้วที่พวกมันสนิทเกินสายรหัสก็เพราะเล่นเกมด้วยกันนี่เอง

“มาเถอะน่าไอ้นพ ไม่ต้องเขินกู”

“ผมไม่ได้เขิน”

โอ้โห เสียงสั่นขนานนี้ ไม่เขินก็ไม่เขิน

ถึงจะดูเก้ๆ กังๆ ไปหน่อยแต่มันก็ขยับเข้ามาใกล้พี่ผมครับ หลังจากเซลฟี่ไทม์ผ่านพ้นไป คุ้นเคยกันมากขึ้น เท่านั้นลากยาวจนผับปิดโลด



[- T B C -]

สำหรับเสือของเอิ้น เราคิดไว้ว่าจะจบแค่ 20 ตอนต้นๆ อีกไม่นานก็คงต้องจากกันแล้ว
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกกำลังใจนะคะ
รักเหมือนเดิม^^
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-11-2016 07:25:06
มาให้หายคิดถึง ขอบคุณนะจ๊ะ
ตอนนี้พี่สิงห์แย่งซีนไปเต็ม ๆ
 o13
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-11-2016 12:20:34
มีพี่สิงห์มาเป็นตัวสร้างความครึกครื้นซะงั้น คึคึ
ยัฃสงสัยคำพูดบองนพอยู่เลย ตกลงใครที่เป็นคนทำกันแน่
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: boyslover ที่ 28-11-2016 15:58:08
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน รวดเดียว ชอบครับ
ตัวละครมี มิติให้น่าค้นหา เดาไม่ถูกเลยว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง ยังกะโคนัน อิอิ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 17 {คืนข้ามปี} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-11-2016 22:12:06
บอกรักวินาทีข้ามปี
เอิ้นน่ารักเกินไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 05-12-2016 19:18:47


ตอนที่ 18 {ของขวัญ}



“เจ้สร้อยสวยนะครับ”

ผมทักเมื่อแวะเข้ามาหาเจ้ในร้านหลังจากจอดรถเสร็จแล้ว ไม่อยากตามพี่สิงห์เข้าบ้านครับ กลัวพี่สะใภ้ด่าแล้วโดนหางเลข ปกติพี่สะใภ้ไม่โหดหรอก แต่นี่เล่นออกไปกินเหล้ากันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วกลับมาตอนเกือบเที่ยงไง นี่ยังคิดอยู่เลยว่าควรเรียกรถพยาบาลมารอหรือเปล่า

“ลูกชายซื้อให้ไง” เสียงเจ้ฟังดูภูมิใจมาก

“ชอบมั้ย”

“แน่นอนสิ”

“แม่ชอบ เสือก็ดีใจ พ่อล่ะ อยู่ในสวนเหรอ”

“ไปใช้กิฟวอชเชอร์ไง”

“โห ไม่ค่อยจะเห่อกันเลย” ผมแซวแม่จึงยิ้มกว้าง

“ขอบใจนะเสือ”

“เจ้อย่ามาซึ้งน่า สำหรับพ่อกับแม่แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

“อย่ามาซึ้ง”

โอเค จบความซาบซึ้งแต่เพียงเท่านี้

ผมขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอน ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับยังได้ยินเสียงพี่สะใภ้บ่นแว่วๆ มา เสือก็เห็นใจพี่สิงห์ แต่งานนี้ตัวใครตัวมันว่ะ

เสือจะไม่ยุ่ง

พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับเลย เปิดเพลงทิ้งไว้อย่างนั้นให้มันเล่นซ้ำไปเรื่อยๆ

เป็นเพลลิสต์เพลงที่ผมไม่ค่อยฟังหรอก แต่เห็นแผ่นซีดีวางอยู่บนสุดก็เลยหยิบมาเปิดไปงั้นๆ

ถ้าเจ้ไม่เปิดประตูเข้ามาปลุกผมคงนอนหลับยาวถึงเช้าพรุ่งนี้ไปแล้ว

“ไปส่งข้าวหนูเอิ้นหน่อย”

หา! ผมไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย

“ไปส่งถึงญี่ปุ่นเลยเหรอเจ้”

“ญี่ปุ่นอะไร ไม่รู้เหรอว่าหนูเอิ้นกลับมาถึงเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว”

รู้ลึกรู้จริงอย่างกับดีเจมดดำ

แม่เดินออกจากห้องไปตอนที่มั่นใจแล้วว่าผมตื่นจริงๆ เหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลที่บอกเวลา 1 ทุ่มท้องก็ร้องโครกครากเรียกร้องอาหารค่ำ

ผมคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่าง

กล่องข้าวถูกเตรียมไว้แล้วและทุกคนนั่งพร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

ผมตั้งใจจะเดินเข้าไปนั่งแต่ก็ถูกเจ้ห้ามไว้

พี่สิงห์หัวเราะคิกคักให้ผมงงเข้าไปใหญ่

“รีบไป”

“เสือก็หิวข้าวนะเจ้”

“ในกล่องนั่นไงแม่เตรียมไว้เผื่อเราแล้ว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหนูเอิ้นหน่อย อยู่ห่างพ่อแม่มันเหงา” ห่วงกันขนาดนี้ไม่ไปเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำกันเองเลยล่ะครับ

บ่นในใจรัวๆ แต่ในความเป็นจริงทำได้แค่เดินคอตกไปหยิบกล่องข้าวแล้วเดินออกจากบ้านมา

ไม่มีใครอยู่ข้างเสือเลย สะเทือนใจ

ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่นานนักก็มาถึงคอนโดหรูแถวๆ กลางเมือง

เคาะประตูแล้วยืนรอไม่นาน เจ้าของห้องก็โผล่หน้าออกมาต้อนรับ

“เสือ” และร้องเรียกผมด้วยน้ำเสียงดี๊ด๊าเหมือนหมาเจอเจ้าของ ถ้ามันมีหางคงกระดิกริกๆ

ผมเดินผ่านไหล่แกร่งที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามตัวบางเข้าไปในห้อง ตรงรี่ไปยังห้องครัวด้วยความหิว

“กินข้าวกัน”

“มาเพื่อกินข้าวเนี่ยนะ”

“เจ้ให้กูมากินข้าวกับมึง มานั่งดิ หิวจะตายอยู่แล้ว”

“เราก็นึกว่าคิดถึง”

“คุยกันทุกวันแล้วยังจะมีเวลาให้คิดถึงอีกเหรอวะ” ผมว่าพลางเตรียมอาหารบนโต๊ะ

“เอิ้นก็คิดถึงเสือตลอดเวลาแหละ”

“เลิกพล่ามเถอะครับ นั่งๆ” ผมพยักเพยิดไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มลงมือจ้วงอาหารตรงหน้า

ความหิวโหยนี้คงเกิดขึ้นเพราะผมไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแน่ๆ

“เอิ้นซื้อของมาฝากเสือด้วยนะ”

“เออๆ ขอบใจ”

“แค่เนี้ย”

“ขอบใจน้อยไปเหรอ งั้นขอบคุณละกัน”

“เสือ...” ผมละสายตาจากข้าวที่กินจนเกือบหมดเพื่อเหลือบมองคนที่ทำหน้าง้ำงอมองผมด้วยสายตาตัดพ้อ

อะไรวะ

“มึงไม่กินเหรอ อันนี้อร่อยนะ” มองต่ำลงมาที่จานข้าวก็พบว่าข้าวยังไม่พร่องลงสักนิดผมจึงตักผัดผักรสชาติอร่อยเหาะใส่จานให้

ใจดีกว่าเสือก็พระอินทร์ที่เก็บขวานให้นายพรานแล้วล่ะครับ

“ที่มาหาเนี่ยเพราะแม่ขอให้มาเหรอ”

“อือ ทำไม ไม่อยากให้กูมาเหรอ”

“ถ้าเสือเต็มใจมา”

“บอกว่าคิดถึงกูไม่ใช่เหรอ จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจสุดท้ายก็เจอกันแล้วนี่ไง มึงนี่งี่เง่าเหมือนกันเนอะ”

“ปกติไม่เป็นนะ เอิ้นจะเป็นแบบนี้เฉพาะกับคนที่เอิ้นแคร์เท่านั้นแหละ”

“แคร์กูแน่ใช่มั้ย”

“แน่สิ”

“งั้นก็ยิ้มสิ เวลามึงเจอหน้าคนที่มึงชอบ มึงไม่มีความสุขเหรอวะ”

“มี”

“งั้นก็ยิ้มสิ คนที่มึงชอบนั่งอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง”

“แล้วเอิ้นเป็นคนที่เสือชอบรึเปล่า”

“แดกข้าวครับ”

ตักข้าวยัดปากแม่งข้อหาถามเรื่องไร้สาระให้ผมหน้าร้อน

หลังจากนั้นไอ้เอิ้นคนงี่เง่าก็ยิ้มไม่หุบเลยครับ กระทั่งกินข้าวเสร็จ ผมเก็บโต๊ะส่วนเจ้าของห้องเป็นคนล้างจาน เสียงฮัมเพลงด้วยท่วงทำนองแปลกๆ ก็ยังคงดังให้ได้ยิน

มีความสุขขนาดนั้นเชียว

“ไหนของฝากที่มึงบอก”

“อยู่ในห้องเอิ้นน่ะ เสือไปหยิบได้เลย”

“ห้องนอนอะนะ”

“ใช่ อยู่บนเตียงนะ”

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนตามคำบอก กวาดสายตามองเข้าไปในกองกระเป๋าเดินทางที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ข้างในนั้นมีเสื้อผ้าอยู่ไม่มาก ส่วนมากที่เห็นจะเป็นพวกของฝากซะมากกว่า

แล้วอันไหนของผมล่ะเนี่ย

“เอิ้น ของกูอันไหน”

“ในกล่องสีขาว”

ผมมองหากล่องสีขาวตามคำบอก และก็พบว่ามันมีอยู่ 2 กล่อง ผมเลือกเปิดกล่องใหญ่ที่อยู่ซ้ายมือก่อน

ผ่าง!!

ฉิบหาย

ผมโยนกล่องที่เปิดอ้าลงบนเตียงจนข้าวของกระจายออกมา กวาดสายตามองอีกครั้งให้มั่นใจว่าเมื่อครู่ไม่ได้ตาฝาดและก็ไม่ได้ฝาดจริงๆ

สารพัดเซ็กส์ทอยที่หาซื้อได้ยากในประเทศแห่งนี้แต่ไอ้เชี่ยเอิ้นกลับพกมันกลับมาจากญี่ปุ่น

เนี่ยนะของขวัญ ไอ้สัส เดี๋ยวปั๊ดฟาดหน้าด้วย ด้วย ด้วยอะไรสักอย่างที่กองอยู่บนเตียงนั่น

“เสือ หาเจอมั้ย”

“เจอ”

“เปิดดูได้เลยนะ”

“กูเปิดแล้ว”

“ชอบมั้ย” ท้ายประโยคไอ้เจ้าของห้องก็โผล่หน้าเข้ามา ดวงตาคู่คมเบิกกว้างก่อนจะวิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าแล้วหยิบอะไรสักอย่างขึ้นมาพิจารณา “นี่มันอะไรน่ะ”

“มึงถามใคร ถามกูเหรอ”

“ไม่ใช่ของเอิ้นนะเสือ”

“ของกูงั้นสิ”

“ฉิบหายเอ้ย! พี่สาวเอิ้นแน่เลยอะ”

“มึงไม่ต้องโยนความผิดให้คนอื่นเลยนะ ต้องหมกมุ่นแค่ไหนวะถึงจะกล้าซื้อของแบบนี้ให้คนที่ตัวเองชอบ”

“ไม่ใช่ของเอิ้นจริงๆ นะเสือ ระดับเอิ้นไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้หรอก เสือก็รู้”

“กูไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ มึงแม่ง ปากก็บอกว่าชอบกูแต่ที่จริงมึงก็แค่อยากได้กูใช่มั้ยล่ะ”

“ก็อยากได้ แต่ที่อยากได้ก็เพราะรักป่ะวะ ของที่เอิ้นจะให้เสือคือกล่องนี้ต่างหาก”

กล่องสีขาวอีกกล่องถูกยื่นมาตรงหน้า ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมรับมา

“เปิดดูสิ เอิ้นอยากรู้ว่าเสือจะชอบมั้ย”

“อย่าคิดว่ากูจะหายโกรธเพราะได้ของนะ”

“ก็โกรธไปสิ”

ง้อกูนิดนึงก็ได้นะ ผมเบะปากใส่แล้วจึงนั่งลงบนที่ว่างบนเตียงบรรจงเปิดกล่องที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีขาว

“ชอบมั้ย หายโกรธยัง”

ผมเหลือบมองคนถามแล้วก้มมองนาฬิกาที่ได้รับมา มันอาจจะไม่สวยมาแต่เป็นแบบที่ผมชอบ แน่นอนว่ามันทำให้ความโกรธของผมหายไปแล้วกึ่งหนึ่ง

แต่นี่เสือนะ จะให้บอกว่าหายโกรธง่ายๆ ได้ยังไง

“ถ้ายังไม่หายเอิ้นจะง้อแล้วนะ”

“ง้อเหี้ยไร” ไอ้เอิ้นนั่งลงข้างๆ “ถอยไปไกลๆ กูเลย”

“ไม่ถอย จะง้อ”

“ง้อยังไง กูไม่ง่ายหรอกนะ”

“จริงดิ”

“เออ”

“หน้าแดงแล้ว”

“ใครหน้าแดง”

“เสือไง นี่ขนาดเอิ้นยังไม่ทำอะไรหน้ายังแดงขนาดนี้เลย เขินแล้วล่ะสิ”

“กูนี่ยนะเขินมึง ตลกป่ะเอิ้น นี่เสือครับ เสือ”

“อือ เสือไง รักนะ”

เหมือนไอ้เอิ้นมันรู้ว่าผมแพ้คำว่ารักถึงได้บอกผมซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ จะละสายตาจากมันก็กลัวว่าจะถูกจับได้ว่ากำลังเขินจนหน้าร้อนจึงต้องทนสบตามันอยู่อย่างนี้ ให้ตายเถอะ สายตาที่มองมาหวานจนเสือจะละลายแล้ว

“หายโกรธยัง” ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้อีกขณะที่วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่

“บอกแล้วไงว่ากูไม่ง่าย”

“เอิ้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน”

“เหรอ” ว่าจบก็จับผมกดลงบนเตียงโดยไม่ทันตั้งตัว

ผมเบิกตากว้างยกมือขึ้นดันไหล่ไอ้เอิ้นเอาไว้ตอนที่มันโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาเกือบชิด ลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วๆ ที่ปลายจมูก

“ลองของเล่นพวกนั้นกันมั้ย”

“ไอ้เอิ้น ไอ้หมา”

“ด่าอีกแล้ว เขินล่ะสิ”

“กูโกรธ”

“เสือไม่โกรธหรอก ถ้าเสือโกรธเอิ้นจริงป่านนี้เสือกระทืบเอิ้นไปแล้ว”

เออว่ะ ถ้าจะทำอย่างมันว่าผมก็ทำได้นี่หว่าแล้วทำไมไม่ทำล่ะ

ผมเหลือบมองไอ้เอิ้นอีกครั้ง พิจารณาความหมายนัยน์ตามันไปพร้อมๆ กับฟังเสียงหัวใจตัวเอง

“กูจะกลับแล้ว” ผมลุกขึ้น

“อ้าว ไม่โกรธแล้วเหรอ”

“ไปหาวิธีง้อมาใหม่ วิธีนี้ไม่เวิร์ค”

ผมลุกขึ้นไอ้เอิ้นจึงลุกตาม “ให้เอิ้นไปส่งมั้ย”

“ไม่อะ กูขับรถมา”

“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันมั้ย”

“เรื่องอะไรอะ”

“ไม่รู้สิ เอิ้นแค่อยากดูหนังกับเสือ”

“ไปปลุกละกัน” ผมหันไปบอกเมื่อตรงหน้าเราคือประตูห้อง “แล้วนี่ของมึง”

ผมยัดกล่องบุผ้าสีดำใส่มือเจ้าของห้อง ไม่รอให้มันถามอะไรหรอกครับ ชิ่งเดินเร็วๆ ออกจากห้องมาก่อนเลย


▼▲ ▼▲ ▼


ห้องนอนของผมถูกเปิดออกในตอน 10 โมงเช้าด้วยฝีมือของไอ้เอิ้นนั่นแหละครับ ปลุกผมแล้วก็เดินฮัมเพลงด้วยจังหวะแปลกๆ ลงข้างล่างไป

แปลกดีที่วันนี้มันไม่วอแว

พอเดินรูดราวบันไดลงมาถึงชั้นล่างก็พบว่าไอ้เอิ้นกับพี่สิงห์กำลังคุยกันอย่างออกรสชาติน้ำลายแตกฟอง ถ้าบอกว่าผมคุยเก่ง พี่ชายก็คงคุยเก่งกว่า

ไอ้เอิ้นส่งยิ้มให้ตอนที่เหลือบเห็นผมที่กำลังเดินตรงเข้าไปหา

“เห็นว่าจะไปดูหนัง พี่ไปด้วยได้มั้ย”

“อยากไปก็ไปสิ” ผมบอกทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ไปด้วยได้จริงเหรอ ไม่เป็นก้างขวางคอเหรอ” พี่ชายผมแม่งกวนตีน

“มึงอยากไปจริงหรือแค่อยากกวนตีนกูล่ะ”

ไม่บ่อยหรอกที่ผมจะพูดหยาบกับพี่สิงห์และถ้าเจ้ศรีมาได้ยินเข้าล่ะก็ ไอ้เสือตายแน่ ตายแน่ๆ ไอ้เสือ

“กวนตีน”

“ไปเถอะเอิ้น” ทำหน้าเอือมใส่พี่ชายตัวเองแล้วเดินนำไอ้เอิ้นออกจากบ้านมา

“เสืออยากดูหนังเรื่องอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

“ไม่อะ” เสียงปลดล็อคดังขึ้นพอดีผมจึงเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งก่อน ไม่นานคนขับก็สอดตัวเข้ามานั่งประจำที่

“ชอบนาฬิกาที่เอิ้นซื้อให้มั้ย”

อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง

ผมยกข้อมือตัวเองขึ้นมา พลิกไปมาเพื่อพิจารณา จะบอกว่าชอบก็ทำได้แหละแต่ขอเล่นตัวหน่อยเดี๋ยวคนให้จะได้ใจ

“ถ้ากูไม่ชอบกูไม่ใส่หรอก”

“เอิ้นก็ชอบปากกาที่เสือให้นะ แต่สงสัยอยู่หน่อยนึงอะ”

“สงสัยอะไร”

เจ้าของรถยื่นมือมาเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกล่องปากกาออกมา เปิดฝากกล่องแล้วหยิบปากกาแท่งสีดำขึ้นมาพิจารณา

“ตรงนี้ทำไมสลักชื่อเสือล่ะ ที่จริงมันต้องเป็นชื่อเอิ้นไม่ใช่เหรอ”

“ทำไมล่ะ ใช้ของที่มีชื่อคนที่มึงรักไม่ได้รึไง”

“เสือ…”

อึ้งรับประทานเลยสิครับงานนี้

จะบอกอะไรให้นะ ที่จริงเสือก็มีมุมอ่อนโยนและโรแมนติกอยู่เหมือนกันนะขอบอก

เมื่อวันก่อนขณะนั่งหาหนังใหม่ๆ ของน้องมาอิ อยู่ก็ไปเจอบทความเกี่ยวกับการซื้อของขวัญให้คนรักบทความหนึ่ง และผมก็สะดุดตากับข้อที่ว่าให้มอบของที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ

แน่นอนว่า ปากกาสลักชื่อผมนั้นแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของสุดๆ แล้ว เวลาไอ้เอิ้นเอาออกมาใช้ ถ้าใครช่างสังเกตหน่อยต้องถามแน่ๆ ว่าปากกานั้นสลักชื่อใคร และไอ้เอิ้นก็ต้องบอกว่า…ของคนที่ผมรักครับ

ความคิดของเสือลึกซึ้งใช่มั้ยล่ะ

“เอิ้นขอนาฬิกาคืนก่อนได้มั้ย”

“ให้แล้วให้เลยสิวะ ขอคืนอะไรล่ะ”

“ขอเอาไปสลักชื่อก่อนไง”

“ไม่!” ผมปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ถ้าอยากสลักชื่อก็ซื้ออันใหม่มาสิ”

“ได้อยู่แล้ว เสือ…”

“อะไร”

“ที่เราทำอยู่นี้เรียกว่าแฟนได้รึยัง”

ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง หาโปรแกรมหนังที่เข้าฉายวันนี้ เมื่อก่อนผมชอบดูหนังมากแต่เมื่อทำงานความชอบนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเมื่อคำว่าไม่ว่างเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

“ดูเรื่องนี้มั้ย”

ไอ้เอิ้นพยักหน้าตอนที่ผมยื่นมือถือไปตรงหน้า

“งั้นจองรอบบ่าย 2 นะ”

“อื้อ” ถามคำตอบคำแบบนี้เชื่อสิว่ากำลังงอนอยู่แน่ๆ

ผมไม่เข้าใจนะว่าจะจริงจังกับสถานะอะไรนักหนาในเมื่อสิ่งที่ผมปฏิบัติต่อมันอยู่ตอนนี้ผมไม่เคยทำกับใครเลย พูดง่ายๆ ก็คือสำหรับผมไม่เคยมีใครพิเศษเท่าไอ้เอิ้นเลย

เราแวะทานข้าวกันก่อนหนังจะฉาย ตอนเช็คบิลป๋าเอิ้นก็ควักบัตรเครดิตจ่าย เมื่อออกจากร้านผมจึงถามค่าอาหาร ตื๊ออยู่นานกว่าจะตอบ ผมจึงยื่นเงินให้ เพราะคิดว่ากินด้วยกันก็ต้องหารกันแต่ไอ้เอิ้นแม่งโคตรงี่เง่า หาว่าผมทำตัวห่างเหิน

ไอ้สลัด กูเป็นผู้ชายไง กูมีรายได้และมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่เกาะใครกิน

“ถ้ามึงไม่รับเงินนี่ กูไม่ดูหนังกับมึงนะ”

ลองดูสิ งัดไม้ตายออกมาสู้ขนาดนี้แล้วยังจะกล้าปฏิเสธกันอยู่มั้ย

“เอิ้นเป็นคนชวนเสือมา เอิ้นรับเงินจากเสือไม่ได้หรอก”

“มึงชวนกูมาดูหนัง กูก็ให้มึงจ่ายค่าตั๋วหนังแล้วไง เอิ้น อย่าทำให้กูลำบากใจได้มั้ย”

“อยู่กับเอิ้นแล้วลำบากใจมากเลยเหรอ”

“ถ้ามึงปฏิบัติกับกูเหมือนกูเป็นผู้หญิงทั้งๆ ที่กูเป็นผู้ชาย ใครบ้างจะไม่ลำบากใจ เชื่อสิว่าผู้หญิงก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบให้ผู้ชายเทคแคร์”

“แต่เอิ้นอยากดูแลเสือ”

“กูก็ไม่ได้ห้ามให้มึงดูแลซักหน่อย แต่มันก็ต้องมีขอบเขตที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอวะ ถ้ามึงทำอย่างวันนี้กูคงไม่กล้าออกมาเที่ยวกับมึงอีก”

“500 จ่ายมา 500”

“มึงอย่ามาโกง ค่าอาหารแค่ 980 หารสองก็เหลือแค่ 490 ทอนมา 10 บาท”

“ไม่ให้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตหน่อยเหรอ”

“ให้บอกให้มึงรูดล่ะ”

ยืนหาเงินทอนอยู่นานเลยครับ แต่คนที่ใช้บัตรเครดิตจนเป็นนิสัยอย่างไอ้เอิ้นหาเท่าไหร่ก็ไม่มีผมจึงอาสาซื้อป๊อบคอร์นกับน้ำดื่ม

ที่นั่งที่ผมจองไว้เป็นแบบฮันนีมูนซีทซึ่งตั้งอยู่แถวบนสุด ไม่ได้อยากสวีทหวานหรือต้องการควานเป็นส่วนตัวอะไรหรอก เบาะมันนั่งสบายดีแถมยังไม่ต้องกังวลว่าใครจะเอาเท้ามาก่ายคอด้วย

“จับมือได้มั้ย”

ไอ้เอิ้นหันมาถามตอนที่บนจอกำลังฉายหนังตัวอย่าง

“ไม่ กูจะกินป๊อบคอร์น” คนถูกปฏิเสธหน้างอง้ำผมจึงหยิบป๊อบคอร์นรสชีสยัดใส่ปากไปเต็มคำ “อร่อยมั้ย”

“ถ้าบอกว่าอร่อย เสือจะป้อนเอิ้นอีกมั้ย”

“ได้คืบจะเอาศอกนะมึงอะ” ผมว่าเหมือนอารมณ์เสียแต่จริงๆ แล้วไม่หรอก ก่อนจะยัดถังป๊อบคอร์นใส่มืออีกฝ่าย ไอ้เอิ้นกอดถังนั้นไว้แล้วเอื้อมมือข้างนึงมาจับมือผมแล้วยิ้ม

“แค่นี้ก็จับมือได้แล้ว”

“มึงนี่!”

หนังตัวอย่างถูกฉายหมดแล้ว

“บรรยากาศแปลกๆ เนอะ” คนข้างๆ หันมากระซิบ

“แปลกอะไร ปกติจะตาย” ผมยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบตอบ

“ไม่เหมือนหนังแอคชั่นเลย”

“หนังแอคชั่นอะไร นี่หนังผี”

“ฮะ!” ไอ้เอิ้นร้องเสียงหลงให้คนข้างๆ และด้านหน้าหันมาชักสีหน้าใส่ เจ้าตัวก้มหัวขอโทษปรกๆ ก่อนจะถลึงตาใส่ผม

จำได้ว่าไอ้เอิ้นกลัวผีมาก กลัวจนขี้ขึ้นสมองเลยล่ะ

“เสือก็รู้ว่าเอิ้นไม่ชอบหนังผี”

“มึงบอกเองว่าดูหนังอะไรก็ได้” ผมลอยหน้าลอยตาบอกแล้วยื่นมือไปจกถังป๊อบคอร์นทว่ากลับถูกอีกฝ่ายจับมือไว้ซะก่อน

“เสือต้องรับผิดชอบ”

“รับผิดชอบอะไร”

“เอิ้นกลัว” ว่าด้วยเสียงสั่นๆ แล้วเลื่อนมืออีกข้างมากกอดแขนจากนั้นก็วางศีรษะลงบนไหล่ ก่อนจะพูดซ้ำๆ ว่า “เอิ้นกลัวๆ”

เอาจริงๆ นะ ผมว่าไอ้เอิ้นแม่งตอแหล หลายครั้งที่ผมพยายามแกะมือมันออกแต่ก็ไม่ได้ผล นี่มือคนหรือหนวดปลาหมึก หนุบหนับหมุบหมับเหลือเกิน พอไม่เห็นทางสุดท้ายผมจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ซะเอง

“เหี้ย!!”

ผมสะดุ้งสุดตัวและตะโกนสุดเสียงเมื่ออยู่ๆ ในความมืดที่หน้าจอดับลงผีห่าก็โผล่มา แต่นั่นยังไม่เท่าดนตรีที่บิ๊วเหลือเกิน ถ้าหัวใจวายในโรงหนังใครรับผิดชอบ ไหนตอบเสือดิ๊

พอผมตะโกนไอ้ที่เกาะแขนและซบไหล่ผมอย่างกับจะสิงกันก็ยิ่งกอดแน่นแล้วช้อนสายตาขึ้นมา
“กลัวอะ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ”

“ไม่!” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง หนังก็น่ากลัวหรอกนะ แต่ถ้าออกจากโรงกลางคันก็แพ้ไอ้นพสิวะ

เมื่อวานตอนที่ไอ้เอิ้นชวนดูหนัง ผมที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องนี้ก็โทรไปปรึกษาไอ้แชมป์ แต่ไอ้แชมป์ก็คือไอ้แชมป์ครับ หัวมันคิดแต่เรื่องหนังโป๊อะ โทรหาแม่งโคตรเปลืองค่าโทร พอไม่ได้คำตอบจากเพื่อนสนิทผมจึงโทรหากวิน และน้องมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง มันบอกว่าเรื่องนี้แหละเด็ด ถามมันว่าดูแล้วเหรอก็ได้คำตอบว่าไอ้นพชัยแนะนำมา

ไอ้นั่นมันคอหนังครับ ตอนที่ยังทำงานด้วยกันอย่างสมานสามัคคีก็มันนี่แหละที่แนะนำหนังดีๆ ให้ดู

“ฟัค!!!”

ไอ้ผีนี่คิดจะโผล่ก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ครั้งนี้ตกใจกว่าครั้งที่แล้วซะอีกและขาที่กระตุกก็ยันเข้าที่พนักเก้าอี้ของคนข้างหน้าเต็มแรง

ตายแน่กู พี่เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเอี้ยวตัวมองมองผมตาเขียวปั๊ด หน้าตาโคตรพร้อมจะมีเรื่อง

“ขอโทษครับ”

“ถ้ากลัวนักก็ออกไปสิวะ” เสียงดังลั่นโรงเลยครับ ถามว่ากลัวมั้ย กลัวน้อยกว่าผีในจอนั่นอีก

“เวร!”

“มึงอยากมีเรื่องกับกูใช่มั้ย”

“พี่ใจเย็น ผมไม่ได้ว่าพี่”

ไม่ได้แถนะครับ ที่สบถเมื่อครู่เพราะผีแม่งโผล่มาอีกแล้ว ตาแดงก่ำเต็มจอ ใครไม่ตกใจบ้างวะ และผมน่ะก็เป็นประเภทที่เมื่อตกใจแล้วชอบสบถคำหยาบ เคยลองพยายามสบถคำอื่น อย่างเช่น ‘คุณพระ’ ‘ตาเถร’ ‘อุ้ยแม่ร่วง’ ประมาณนี้แล้วแต่คนมันตกใจ ควบคุมอะไรได้ที่ไหนวะ

“มึงไม่ต้องมาแถ”

ชี้หน้าผมแล้วก้าวข้ามพนักพิงมาคว้าคอเสื้อของผมจนต้องลุกขึ้น ไอ้เอิ้นผละออก มันพยายามห้ามพี่ตัวโตที่กำลังโกรธจัดแต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกผลักจนกระเด็นไปนั่งตักเบาะข้างๆ อีก

ตอนนี้ไม่มีใครสนใจผีในจอแล้วครับ ทุกสายตาสนใจพวกผมนี่ ถามว่าอายไหม ก็นิดนึงล่ะมั้ง

“ผมขอโทษนะ ผมผิดเองแหละ ขอโทษครับ”

ถ้าเป็นยามปกติเสือคงสู้แต่เพราะวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่แถมยังเป็นการมาเที่ยวกันครั้งแรกของผมกับไอ้เอิ้นด้วย คงไม่ดีแน่หากมีเรื่องชกต่อย

พอผมขอโทษพี่ยักษ์ก็เหมือนจะใจเย็นลงครับ มือที่กำคอเสื้อผมแน่นก็คลายออกจนผมเป็นอิสระ

“ผิดแล้วยอมรับผิดแบบนี้สิวะเขาถึงเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง” จัดเสื้อให้ผมแล้วชมอีกต่างหาก

ผมควรดีใจไหมวะ

เมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ หลังจากกล่าวขอโทษคนในโรงหนังแล้วไอ้เอิ้นที่จับมือผมไว้ตลอดจึงจูงมือผมออกมาข้างนอก

เราไม่พูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอีก

“ไปเกมเซ็นเตอร์กันมั้ย”

“เอาสิ” ผมพยักหน้ารับ

“ที่พนันกันไว้ครั้งที่แล้ว เรามาเล่นกันอีกครั้งมั้ย”

“จะแข่งกันอีกซักกี่ครั้งมึงก็ไม่มีทางชนะกูหรอก”

“ไม่ลองก็ไม่รู้นะ หรือเสือกลัวแพ้”

“ในพจนานุกรมของเสือไม่มีคำว่าแพ้”

“งั้นก็ไปเกมเซ็นเตอร์กัน”

ไอ้เอิ้นเข้ามากอดคอผมแล้วมุ่งหน้าไปยังเกมเซ็นเตอร์ ไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งไหนเทพเจ้าเกมเซ็นเตอร์อย่างเสือก็ไม่มีทางออมมือให้หรอกโว้ย

พี่เอิ้นกับน้องเสือเหรอ

เตรียมตัวฝันสลายได้เลยครับ



[- T B C -]

‘เวลามึงเจอหน้าคนที่มึงชอบ มึงไม่มีความสุขเหรอวะ’
‘งั้นก็ยิ้มสิ คนที่มึงชอบนั่งอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง’
ถ้าเราเป็นคุณเอิ้นเราคงยิ้มจนแก้มแตก ^____^

ที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าแฟนได้รึยังน๊า
คุณเอิ้นสงสัย เราเองก็อยากรู้ แล้วทุกคนล่ะว่าไง
เรียกว่าแฟได้รึยัง

เอาไว้มาหาคำตอบกันต่อตอนหน้า
แจ๊ส :)

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-12-2016 21:57:26
เฮ้อ.. โล่งอก นึกว่ามีการกระทืบกันในโรงหนังซะแล้ว
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-12-2016 22:14:24
ไหนเสือ? แมวชัด ๆ !
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-12-2016 19:56:33
ไม่มีซักตอนที่เอิ้นไม่โดนด่า 5555555555555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-12-2016 23:20:14
 :hao6:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-12-2016 17:56:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TITAN ที่ 11-12-2016 21:19:08
สนุกมากมาย มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 18 {ของขวัญ} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 11-12-2016 23:15:04
ซึนกว่าเสือก็เสือนี่แหละ แฟนก็บอกว่าแฟนสิ มาเขินแล้วบอกสถานะไม่สำคัญเท่าที่เป็นอยู่นี่มันก็นะ เสือจริงๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 14-12-2016 20:26:02

ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง}




ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการฝันที่เป็นจริง

เรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยากให้เสือเรียกมันว่าพี่ใจจะขาด เมื่อได้โอกาสก็ชวนเล่นเกมแล้วเดิมพัน อาจเพราะรามือไปนาน เสือที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าจึงพ่ายให้แก่เขา

ห่า ฝันที่เป็นจริงไหมล่ะมึง

“คราวหน้ากูไม่แพ้มึงแน่” ผมชี้หน้าคนที่ฉีกยิ้มเต็มใบหน้าด้วยความหมั่นไส้

“กูมึงอะไรกันครับน้องเสือ นี่พี่เอิ้นไง ไหน เรียกพี่เอิ้นซิ”

“พะ พะ พะ พี่ อะ อะ….”

พอไม่ชินปากก็ดันติดอ่างขึ้นมาให้ไอ้เอิ้นขำใหญ่

“น้องเสือนี่ตลกจังนะครับ” พูดไปขำไป มีความสุขเหลือเกินเดี๋ยวมึงจะทุกข์เพราะโดนบาทาลูบพักตร์

ถ้าเป็นปกติผมต้องมีอาการหน้าร้อน หัวร้อนบ้างสิ แต่นี่รู้สึกร้อนแค่ที่หน้า ยิ่งเห็นไอ้เอิ้นยิ้มหัวใจก็ยิ่งทำงานหนักจนต้องเสมองไปทางอื่น

และตรงที่อื่นนั้นผมก็เจอน้องดาว ข้างๆ เธอคือชายหนุ่มท่าทางภูมิฐาน พิจารณาดูแล้วก็รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

“เสือ” กระทั่งคนข้างกายแตะต้นแขนเบาๆ เรียกสติผมจึงละสายตาจากคนตรงหน้าแล้วหันไปมองคนข้างๆ “มีอะไรรึเปล่า”

“เจอน้องดาวอะ เข้าไปทักมั้ย”

ไอ้เอิ้นมองตามสายตาผมไปยังคู่รักที่เดินเอื่อยเฉื่อยอยู่อีกฟาก ไม่รู้ว่าตาฝาดรึเปล่าแต่ชั่วพริบตาหนึ่งผมเห็นไอ้เอิ้นยกยิ้มร้าย แล้วหลังจากนั้นก็เป็นมันนั่นแหละที่จับมือผมแล้วดึงให้เดินตามไป

“คุณดาว” และเป็นมันอีกตามเคยที่ทักทาย

คนถูกทักเบิกตากว้าง ขณะที่ไอ้เอิ้นยังคงปั้นหน้ายิ้ม ส่วนแฟนน้องดาวยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นมาก
“พี่เสือ คุณเอิ้น มาซื้อของกันเหรอคะ” เมื่อได้สตินั่นแหละจึงทักทายด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกับน้องมากแต่ก็พอดูออกว่าน้องดาวกำลังกระวนกระวาย

“แฟนเหรอ”

ความเสือกไม่เข้าใครออกใครครับ

ผมโพล่งถามออกไปให้ชายหนุ่มข้างกายน้องดาวยิ้มแล้วตอบรับแทนแฟนสาว

“ปราชญาครับ”

“ชื่อเพราะนะครับ” ผมชมแล้วพิจารณาใบหน้าเขา “คุณปราชญาหน้าคุ้นๆ นะครับ”

“พี่ชายคุณปรางไงเสือ”

“ปราง” ผมทวนคำแล้วมองใบหน้าคุณปราชญาอีกครั้ง

จริงว่ะ ทั้งโครงหน้า จมูกและปากโคตรจะเหมือนกัน

“ปรางเล่าเรื่องคุณเสือให้ฟังบ่อยมาก ยินดีที่ได้เจอครับ” ว่าจบก็ยื่นมือมาจับและผมก็ยื่นมือไปสัมผัสอย่างเสียไม่ได้

“ไม่ค่อยแฟร์เลยนะครับ ปรางเล่าเรื่องผมให้คุณปราชญาฟังแต่น้องดาวไม่เห็นเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังบ้างเลย”

“ไม่ต้องรีบหรอกครับ ยังมีเวลาอีกมากมายที่เราจะทำความรู้จักกันหากคุณเสือต้องการ”

เขาว่าด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันสุภาพสักนิด ในน้ำคำเหมือนแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ เมื่อมองหน้าไอ้เอิ้น มันก็เอาแต่จ้องน้องดาวไม่วางตา

เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำลึกลับซับซ้อนที่ผมไม่รู้แน่ๆ



▼▲ ▼▲ ▼



สีหน้าและแววตาไอ้เอิ้นยังคงไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่เจอน้องดาวแม้ว่าเราจะลากันแล้วก็ตาม

“มึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ย”

“เยอะแยะ”

“เรื่องคุณปราชญานะ”

“เรื่องของเอิ้นนี่แหละ”

“กวนตีน กูไม่อยากรู้เรื่องของมึง”

“กูมึงอะไรกันต้องน้องเสือกับพี่เอิ้นสิ ไหนเรียกพี่เอิ้นซิ”

ยากฉิบหาย ยากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยถูกร้องขอมา

“ขอเวลาทำใจก่อน”

“ต้องทำใจด้วยเหรอ”

“เออดิ ไม่เต็มใจนี่หว่า”

“เรียกเหมือนเรียกพี่สิงห์ไง”

“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน”

“ที่ความรู้สึกไง พี่สิงห์เป็นพี่แต่มึงเป็นเพื่อน”

“แค่เพื่อนเองเหรอ”

“เป็นเพื่อนไปก่อน”

“แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นอย่างอื่น”

“ไม่รู้ครับ พี่เอิ้น” ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ คนถูกเรียกพี่เงียบกริบ ก็อยากถามว่าเงียบทำไม ยิ่งเงียบบรรยากาศก็ยิ่งชวนให้ขวยเขิน

“น่ารักจังเลยครับน้องเสือ”

น้ำเสียงไอ้พี่เอิ้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกนรก รอบกายร้อนรุ่มไปหมด เหงื่อแตกพลั่กจนอีกฝ่ายต้องยื่นมือมาช่วยซับ ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกมีแต่จะทำให้ร้อนเข้าไปใหญ่

“พอได้แล้ว ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ” ผมปัดมือมันออกแล้วยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อตัวเอง

“เขินล่ะสิ”

“เออ เขินจะแย่แล้วเนี่ย” ผมผลักอกแกร่งแก้เขินไปทีหนึ่งแล้วก้าวเร็วๆ ไปยังลานจอดรถ

เมื่อร่างกายและความรู้สึกเขินอายสงบลงแล้วก็เริ่มกลับไปคิดเรื่องน้องดาวกับคุณปราชญาอีกครั้ง

“เอิ้น”

“พี่เอิ้น”

“เออ พี่เอิ้นก็พี่เอิ้น จะจริงจังอะไรขนาดนั้นวะ”

“ทุกเรื่องของน้องเสือ พี่เอิ้นจริงจังหมดแหละ”

“งั้นพี่เอิ้นก็ช่วยตอบน้องเสืออย่างจริงจังด้วยนะครับว่าเรื่องน้องดาวกับคุณปราชญานั่นมันยังไง”

“เขาก็เป็นแฟนกันไง”

“เอิ้น!”

“คืนนี้ไปนอนห้องเอิ้นสิแล้วจะเล่าให้ฟัง ทั้งหมดเลย”

ฉวยโอกาสแบบนี้ก็ได้เหรอ ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเมื่อก้าวเข้าห้องนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นผมกลับพยักหน้ายอมรับอย่างงายดาย ก็แหม ความขี้เสือกมันเข้าใครออกใครซะที่ไหนล่ะ

“ไม่กลัวเอิ้นแล้วเหรอ”

“ไม่เคยกลัว”

“ให้จริง”

“แน่นอน”

ปากเก่งกว่าไอ้เสือมีอีกไหม มือสั่นริกๆ ยังจะกล้าบอกเขาว่าไม่กลัวอีก

ไม่ปฏิเสธหรอกว่าการถูกไอ้เอิ้นโอบกอดไว้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก แต่นั่นมันก็เรื่องหนึ่งแต่อีกเรื่องที่ผมไม่เคยชินและไม่เคยคิดว่าในชีวิตหนึ่งจะได้ทำมันกับผู้ชาย เรื่องนั้นน่ะทำให้ผมกลัวจริงๆ

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นพร้อมกับตัวเลขบอกชั้นในลิฟต์ที่กำลังพาเราสูงขึ้นไป

“เสือบอกแม่รึยังว่าคืนนี้จะค้างห้องเอิ้น”

“ใครจะค้างห้องมึง”

“มึงคือใคร นี่พี่เอิ้นนะ”

“เอิ้น” ผมเรียกมันเสียงอ่อนแล้วกระตุกชายเสื้อให้เจ้าของชื่อที่เพิ่งก้าวออกจากลิฟต์หันมามอง

“ครับ”

“ไม่เล่นแล้วได้มั้ย”

“เสืออย่ามาอ้อนนะ”

“ไม่ได้อ้อน” ผมเถียง

“ที่ทำเสียงแง้วๆ เมื่อกี้ไม่อ้อนเลยเนอะ” เสียงแง้วๆ อะไร นี่เสือครับไม่ใช่แมว

เมื่อพอจะรู้แล้วว่าคำขอของผมไม่เป็นผลจึงแทรกตัวผ่านช่องประตูโดยไม่ลืมกระแทกไหล่เจ้าของห้องแรงๆ ข้อหาทำให้ผมโกรธแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา

“มาครับพี่เอิ้น มีอะไรจะเล่าก็รีบมาเล่าอย่าลีลา”

“เอาเรื่องอะไรก่อนดี” ไอ้พี่เอิ้นมันถามเมื่อนั่งลงเบียดกัน

โซฟาตั้งกว้างยังจะมานั่งเบียดอีก ขาดความอบอุ่นเรอะ

“เรื่องน้องดาวไง”

“เอิ้นกำลังตามสืบอยู่ แต่อยากให้เสือรู้ไว้ว่าตอนนี้น้องดาวคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง”

“กะอีแค่น้องมันเป็นแฟนกับพี่ชายคุณปรางอะนะ”

“พี่ชายคุณปรางที่กำลังจะเปิดบริษัทเพื่อเป็นคู่แข่งรายใหม่ของเราน่ะเหรอ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะแต่เสือก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมน้องต้องใส่ร้ายเสือ” ไอ้พี่เอิ้นยิ้มหน่อยๆ แล้ววางมือลงบนต้นขาของผม

“คงทำให้เสือไม่มีทางเลือกมั้ง”

“ยังไง”

“ก็ถ้าเสือจบกับดิเอเจ้นท์โดยมีคดีติดตัว เสือคิดว่าอนาคตของเสือจะเป็นยังไง”

“ก็คงไม่มีบริษัทไหนรับคนขี้โกงเข้าทำงาน”

“เมื่อเราจนตรอกแล้วมีใครซักคนยื่นมือให้เรา เราจะคว้าไว้รึเปล่าล่ะ”

“แน่นอน” ผมตอบอย่างไม่ต้องคิด

ก็นะ สภาพตอนนั้นก็คงไม่ต่างจากคนที่กำลังจะจมน้ำแล้วอยู่ๆ ก็มีห่วงยางลอยมาใกล้ให้คว้าเอาไว้หรอก

“แต่ว่านะ ในทางตันมันก็ต้องมีทางออกเสมอไม่ใช่เหรอ”

“บอกเอิ้นได้มั้ยว่าทางออกของเสือคืออะไร”

ผมใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“ขับวินไง หรือไม่ก็เซ้งร้านต่อเจ๊ศรีเป็นไง สนใจทำธุรกิจร่วมกันมั้ยล่ะ”

“ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเลยได้มั้ย”

“แล้วเรื่องน้องดาวจะเอายังไงต่อ”

“เปลี่ยนเรื่องแบบนี้ก็ได้เหรอ”

“อือ” ผมยักคิ้ว

“ตอนนี้หลักฐานทุกอย่างชี้ไปที่คุณดาวหมดแล้ว ทั้งเรื่องใส่ร้ายเสือ เรื่องเอาข้อมูลความลับของบริษัทออกไปเผยแพร่ภายนอก แต่ว่าคุณดาวจะอยู่รับซองขาวหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่อง ไม่แน่มะรืนนี้เราอาจจะไม่เจอคุณดาวที่ออฟฟิศแล้วก็ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าหลักฐานเหล่านั้นจะช่วยให้เสือพ้นจากทุกข้อกล่าวหาได้”

“รู้ได้ยังไงว่าน้องดาวใส่ร้ายเสือ”

“จำที่เอิ้นไปเจอคุณปรีชาวันโน้นได้มั้ย”

วันเดียวกับที่ผมนัดเคลียร์กับสุพลอย่างไรล่ะ

“เอิ้นทำงานสายนี้ตั้งแต่เรียนจบ ก็หลายปีแล้วนะ เสือมีเพื่อนเยอะ เอิ้นก็มีเหมือนกัน ลลิน...”

“เพื่อนเยอะเหี้ยไร กูก็เห็นว่ามึงมีเพื่อนอยู่คนเดียว หายใจเข้าหายใจออกก็มีแต่ลลิน”

“อย่าเพิ่งหึงสิ ฟังเอิ้นให้จบก่อน”

พอได้ยินชื่อคุณลลินอารมณ์ก็เดือดปุดๆ อย่างห้ามไม่ได้ เออวะ หึงก็หึง เสือยอมรับ

“เอิ้นเล่าต่อนะ”

“เออ” ผมตอบห้วนๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มชอบใจ

“เพื่อนลลินเป็นเลขาคุณปรีชา เธอเล่าว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเดอะเฟิร์สขอเข้าไปคุยเรื่องงานของปีหน้า ตอนนั้นคุณปรีชาลังเลเรื่องต่อสัญญากับเราเพราะผลงานของเราไม่ค่อยจะสู้ดีนัก”

ช่วงกลางปียอดขายดิ่งมาก พนักงานขายลาออกจนหาเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มซึ่งส่งผลเสียยืดเยื้อจนถึงจบสัญญาจ้าง

“คุณปรีชาไว้ใจเสือ ชื่นชอบการทำงานของเสือ แต่ไม่ค่อยประทับใจทีม เขาบอกเรื่องนี้กับคุณปราง”

“มีอยู่ช่วงนึงปรางตามตื๊อเสือหนักมาก จำได้”

“คงเป็นช่วงนั้นแหละ”

“แต่พอถูกเสือปฏิเสธเธอก็เงียบหายไปนะ”

“คงเพราะรู้ว่าเสือเป็นคนเด็ดเดี่ยว”

“แล้วน้องดาวเกี่ยวอะไร”

“มีข่าวออกมาช่วงก่อนที่เสือจะถูกพักงานว่าคุณปราชญาซึ่งเติบโตมาจากเดอะเฟิร์สกำลังจะเปิดบริษัทใหม่ ที่จริงพวกเค้าคงจะเตรียมการกันมาสักระยะแล้ว อาจจะก่อนที่คุณดาวจะมาทำงานกับเราด้วยซ้ำ”

“เอิ้นจะบอกว่าน้องดาวมาทำงานกับเราเพราะอยากได้ข้อมูลอย่างนั้นเหรอ” คนถูกถามพยักหน้า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับใส่ร้ายเสือ”

“มีใครไม่อยากทำงานกับคนเก่งบ้าง”

“จะบอกว่าที่ใส่ร้ายเพราะอยากให้เสือไปทำงานด้วยอย่างนั้นเหรอ”

“ถ้าเสือรักงานสายนี้และเสือไม่มีทางเลือก สุดท้ายเสือก็ต้องเลือกเขา”

“แล้วน้องดาวใส่ร้ายเสือยังไง งงว่ะ”

“วันที่คุณปรางเข้าไปขายงาน เพื่อนของลลินเล่าให้ฟังว่าคุณปรีชายื่นคำขาดว่าถ้าดึงเสือมาอยู่เดอะเฟิร์สได้เขาจะยอมเซ็นสัญญา ถ้าคุณปรางทำได้เธอจะมีผลงานแต่เธอทำไม่ได้ในทันที เธอจึงยืมมือคุณดาวซึ่งเป็นคนของบริษัทเราเข้าไปช่วย”

ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้เอิ้นรู้เรื่องมากขนาดนี้

“คุณดาวไม่ใช่คนฉลาดนักหรอก หลังจากที่คุณปรางแจ้งว่าเสือจะย้ายไปเดอะเฟิร์สแน่นอน คุณดาวก็ใช้อีเมล์เสือส่งไปยืนยันกับคุณปรีชาอีกครั้งว่าเสือจะย้ายไปแน่ๆ”

ลูกค้าผมก็เสือกหูเบาเชื่อเขาอีก

“รู้ได้ยังไงว่าเป็นดาว”

“เราได้ข้อมูลการส่งและลบอีเมล์ และเสืออย่าลืมว่าเรามีกล้องวงจรปิด”

เออว่ะ ผมลืมไปว่าบริษัทติดกล้องวงจรปิดไว้ในออฟฟิศตัวนึง ซึ่งพนักงานใหม่ๆ ไม่รู้หรอกว่ามีของพรรคนี้ซ่อนอยู่

“ทำไมต้องเป็นน้องดาววะ ทั้งที่พยายามหาคนต้นเรื่องมาตลอดแต่พอเจอตัวกลับไม่รู้สึกโล่งใจอย่างที่คิดเลย ตรงข้ามกลับยิ่งรู้สึกว่าถ้าไม่รู้จะดีกว่านี้หรือเปล่า”

“เสียใจเหรอ”

“ผิดหวัง”

“โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในสังคมเพื่อดำเนินชีวิต เราก็ต้องเจอกับผู้คนหลากหลายรูปแบบ แต่เสือไม่ต้องกลัวนะ เอิ้นจะอยู่ข้างเสือเอง”

มือของผมถูกกอบกุมเอาไว้ส่งผ่านความรักความอบอุ่นให้ผมเผลอยิ้มตามด้วยความสุขที่ไม่อาจปิดบังอีกต่อไป

“เอิ้นอยู่ข้างเสือตลอดไปไม่ได้หรอก มันต้องมีเวลาที่เราใช้ชีวิตของตัวเองบ้างสิแล้วเมื่อไหร่จะบอกซักทีว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่”

“ลลินบอกเสือแล้วเหรอ”

“เกริ่นไว้ บอกให้ถามเอง ที่จริงก็ไม่อยากถามหรอก คิดว่าถ้าอยากบอกเดี๋ยวก็คงจะบอกเอง”

“เอิ้นจะเปิดร้านอาหาร”

“ห๊ะ!!!” อดที่จะอุทานด้วยความตกใจไม่ได้ “ทำอาหารเองด้วยรึเปล่า”

“แน่นอน”

“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”

“เป็นสิ คิดว่าจะทาบทามแม่เสือมาเป็นแม่ครัว”

“พูดเป็นเล่นน่า”

“เสือจะได้เซ้งมินิมาร์ทไง”

“เฮ้ย! เป็นความคิดที่ดีว่ะ พูดจริงพูดเล่นเนี่ย”

“เอิ้นฝันอยากเป็นเชฟมาตั้งแต่ยังตัวอ้วนแล้วนะ” ถ้าหากการพูดถึงอดีตเป็นการหลอกล่อผมให้ลืมความทุกข์ใจก็ถือว่าเอิ้นประสบความสำเร็จ

“เออๆ จำได้ ตอนป.4 ที่ครูให้เขียนเรียงความเรื่องอาชีพในฝันแล้วให้ออกไปพูดที่หน้าห้อง ตอนนั้นเอิ้นบอกว่าอยากเป็นพ่อครัว เสือจำได้”

“ตอนนั้นเสือบอกว่าอยากเป็นนักบิน ยังอยากเป็นอยู่รึเปล่า”

“มันก็แค่ความฝันของเด็ก 10 ขวบ ตอนอายุ 13 เสือโคตรอยากเป็นยาม เพราะอะไรรู้เปล่า” คนข้างๆ ส่ายหน้า มองผมด้วยสายตาเอ็นดู “เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าลุงยามมีอำนาจสูงสุดในการจะให้ใครเข้าหรือออกโรงเรียนก็ได้ แต่พอตอนอายุ 15 อยากเป็นพระเอกเอวี”

“เพราะดูหนังอย่างว่าเหรอ”

“อือ”

“ทะลึ่งนะเราอะ”

“ไม่เคยดูเหรอ”

“เคย แต่ไม่ชอบ ไม่ประเทืองปัญญา”

“จะคิดซะว่าเอิ้นไม่ได้ด่าเสือนะ”

“เรียกกันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย น่ารักดี”

“เสือกับเอิ้นอะนะ”

“อื้อ เอิ้นชอบ เหมือนเป็นแฟนกันเลย”

“ถามจริงๆ นะเอิ้น จริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน”

“มาก” ยิ่งอีกฝ่ายตอบอย่างไม่คิดอะไรผมก็ยิ่งคิดมาก ถามว่ารักไหม ตอนนี้หัวใจของผมก็คงบอกว่ารัก แต่ก็เหมือนกับว่ามีบางอย่างค้างคาให้ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนี้

อาจจะเพราะเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงรู้สึกว่าเรื่องความรักของเรามันยากจัง

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่เสียใจเหรอ”

“คงเสียใจมากกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยตอนที่ยังมีโอกาส”

“ถ้าเกิดมันไม่เป็นอย่างที่คิดล่ะ”

“เอิ้นไม่เคยจินตนาการว่าเสือจะเป็นแฟนแบบไหน เอิ้นคิดแค่ว่าถ้ามีเสืออยู่ข้างๆ เอิ้นคงมีความสุข แต่คงดีกว่าถ้าเสือก็มีความสุขที่มีเอิ้นอยู่ข้างๆ เหมือนกัน”

“…”

“ไม่ต้องกังวล ถ้าเสืออยากให้เอิ้นเป็นคนรัก คนรู้ใจ หรือแค่อยากให้เป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าเสืออยากให้เอิ้นเป็นอะไรเอิ้นก็เป็นให้ได้ทั้งนั้นแค่เสือมีความสุขก็พอ”

ผมวางสายตาไว้บนใบหน้าเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่น พลิกฝ่ามือเป็นฝ่ายจับมือเขาไว้ ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ให้ห่างกันเพียงคืบ ผมซาบซึ้งกับความรักที่ได้รับมาก ก้อนเนื้อในอกซ้ายที่กำลังเต้นตุบๆ ให้คำตอบแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรในตอนนี้

“จะซึ้งเกินไปแล้วนะ แต่ก็ขอบคุณนะเอิ้น”

ผมแทนคำขอบคุณทั้งหมดด้วยรอยยิ้มก่อนจะมอบจุมพิตลงบนเรียวปากของอีกฝ่ายแผ่วเบา

“อุตส่าห์ห้ามใจแต่เสือกลับทำแบบนี้แล้วเอิ้นต้องทำยังไงต่อล่ะ”

“แล้วอยากทำอะไร”

“อยากจูบมากกว่านี้” หน้าผากถูกแนบลงมา “อยากกอดมากกว่านี้” ร่างของผมถูกกระชับกอดจนร่างแทบจะเกยไปบนตัก

“ก็ทำสิ” ผมหลับตาลงรอคอยจุมพิตที่กำลังจะเกิดขึ้น หากริมฝีปากนุ่มและจมูกกลับฝังลงบนแก้มก่อนเสียงกระซิบจะดังขึ้นใกล้ๆ

“อยากจูบทั้งตัว ทำได้มั้ย”

“ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปส่งพี่สิงห์”

“หลังจากส่งพี่สิงห์ล่ะ”

“มะรืนนี้ต้องไปทำงาน” ผมตอบอย่างเย็นชาให้อีกฝ่ายหน้าบูดบึ้ง

“ใจแข็งตลอด” และตัดพ้อ

“ใจหื่นตลอด”

“ก็หื่นเฉพาะกับเสือ”

“ควรดีใจมั้ย”

“คิดว่าควรดีใจนะ”

“หมกมุ่นว่ะ"

คนถูกหาว่าหมกมุ่นหัวเราะร่วน ผมอาศัยจังหวะนั้นทิ้งตัวลงบนโซฟาโดยวางศีรษะลงบนหน้าขาของคนที่ตอนนี้หยุดหัวเราะแล้ว

“อ้อนเหรอ” นิ้วเรียวสอดผ่านเข้ามาในกลุ่มเส้นผมของผม ลูบไล้และเล่นกับมันส่งผลให้ผมรู้สึกเคลิ้มๆ

“เล่าให้ฟังบ้างสิว่าหลังจากย้ายโรงเรียนไปเป็นยังไงบ้าง”

“อยากฟังจริงเหรอยาวนะ”

“อือ” ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วยื่นมือไปลูบปลายคางที่อยู่ระดับสายตาก่อนจะไล้ไปตามกรอบหน้าแล้วหยุดที่ปลายจมูกโด่งได้รูป “จมูกเอิ้นสวยจัง ไปทำที่ไหนมา”

“ไม่ได้ทำ นี่ของจริง ลองกัดดูมั้ย โอ้ย!!”

คนจมูกสวยร้องลั่นเมื่อถูกผมบีบจมูกแรงๆ

“เจ็บเหรอ”

“เจ็บสิ ลองมั้ยล่ะ” มือที่เคยลูบไล้เส้นผมย้ายมาบีบจมูกผมเบาๆ

“เรียนจบอะไรมาเหรอ” ผมจับมือที่ลูบจมูกผมไม่หยุดเอาไว้แล้วพามากอบกุมกันไว้ที่แผ่นอก จ้องมองคนที่ก้มหน้าลงมาคุยกับผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“เอิ้นเหรอ”

“คุยกับหมาอยู่มั้งเนี่ย”

“พูดไม่เพราะ เดี๋ยวก็จูบอีกซะหรอก”

“ก็จูบสิ”

“ชอบเหรอ”

“ก็ไม่เลวนะ”

“ยิ่งนับวันยิ่งน่ารักนะเราอะ”

“น่ารักได้กว่านี้อีก แต่ว่าช่วยตอบคำถามก่อนได้มั้ย”

“เอิ้นจบบริหาร”

“จบบริหารเหมือนกันเลย แต่เกรดโคตรง่อย ตอนแรกคิดว่าจะเรียนไม่จบด้วยซ้ำ”

“เอิ้นจบเกียรตินิยมนะ”

“เก่งครับ แล้วทำไมไม่เรียนอะไรที่มันเกี่ยวกับอาหารล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนเลือกคณะเอิ้นคิดแค่ว่าต้องเรียนอะไรก็ได้ที่เราจะเอาไปใช้ได้จริง และบริหารมันก็ใกล้ตัวเรามากๆ” ครอบครัวเอิ้นทำธุรกิจ “แล้วเสือ ทำไมเลือกเรียนบริหาร”

“เพราะคิดว่ามันจะหางานทำง่ายล่ะมั้ง”

“ความฝันล่าสุดคืออะไร สิ่งที่เสืออยากจะทำน่ะ”

“ไม่รู้สิ ไม่ฝันมานานแล้ว”

“ต่อจากนี้ฝันได้มั้ย”

“ฝันอะไร”

“ฝันอะไรก็ได้ที่มีเอิ้นอยู่ข้างๆ”

“ไม่ต้องฝันแล้วมั้ง นี่ก็อยู่ข้างจนนึกว่าเป็นฝาแฝดแล้วเนี่ย”

“ก็ดีนะ จะได้อยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงเลย”

“น่าเบื่อจะตาย วันโน้นที่เจอคุณลลิน เธอบอกว่าที่เอิ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก็เพื่อเสือเหรอ แล้วเธอยังบอกอีกว่าเอิ้นพูดถึงเสือบ่อยมากแถมมีรูปให้ดูด้วย ไปเอารูปมาจากไหนวะโคตรสงสัยอะ”

“พี่สิงห์ส่งให้พี่สาวเอิ้นน่ะ”

“ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่มึง”

“เรียกใครมึง”

“เรื่องที่เอิ้นชอบเสือ”

“ก็ไม่เห็นว่าอะไร จริงๆ แล้วครอบครัวเอิ้นค่อนข้างจะให้เสรีต่อการคิดและตัดสินใจของพวกเรา ขอแค่อย่างเดียวคืออย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน”

“ดีจัง” 

อีกครั้งที่ผมรู้สึกอิจฉา ไม่ใช่ว่าเจ๊ศรีไม่ตามใจผมนะ ถึงจะไม่บ่อยแต่ก็มีบ้าง แต่ละครอบครัวมีวิธีการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจ คงดีมากถ้าหากเจ๊ยอมรับการตัดสินใจของผมในครั้งนี้




[- T B C -]

เสือกับเอิ้นมั้ยล่ะ
ตอนนี้อาจจะยังดูขัดๆ กับการที่เจ้าเสือแทนตัวเองด้วยชื่อ
ซักพักค่ะ ให้เวลาหน่อย เดี๋ยวก็ชิน
อย่าว่างั้นงี้ ขนาดนี่เขียนเองยังรู้สึกขัดเลย แต่ตอนหลังจากนี้ก็ชินแล้ว เราชินแล้วล่ะ

ตอนที่แล้วเรื่องเงินทอน 10 บาทของเจ้าเสือถูกพูดถึงเยอะเลย
555 ก็ตลกดีค่ะ

เจอกันตอนหน้า สัปดาห์หน้า
ก่อนปีใหม่น่าจะได้อ่านกันอีก 2 ตอนล่ะ

รักเหมือนเดิม ขอบคุณทุกๆ การติดตามค่ะ
แจ๊ส
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-12-2016 22:00:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-12-2016 23:23:41
อร๊ายยย.  รู้สึกดีต่อใจ. อิอิ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-12-2016 00:38:07
เสือไม่ใจอ่อนเลย ได้กินแค่ตอนเมา 555555555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 15-12-2016 13:58:15
เสือคือใคร เห็นแต่แมวขี้อ้อน~ :hao7:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-12-2016 21:03:56
ขัดใจเอิ้นยังไงไม่รู้ เหมือนไม่ค่อยชอบบุคคลิกเอิ้นเท่าไหร่ เป็นพระเอกที่ทำเราขัดใจ 55555555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 19 {ฝันที่เป็นจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 18-12-2016 19:30:35
แหมๆ เสือน้อยอ้อนๆแบบน่าจับ... อ่ะ  :m3:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 26-12-2016 20:48:31

ตอนที่ 20 {ความจริง}



พวกเราไปส่งพี่สิงห์กับพี่สะใภ้ในวันถัดมา ไอ้คนขี้ประจบอาสาขับรถไปส่งถึงสนามบินและเจ๊ก็ยินยอมพร้อมใจเสียเหลือเกิน เมื่อคนรักเสือมารวมตัวกันบทสนทนาระหว่างทางส่วนมากจึงเป็นเรื่องของผม

ก็แมนดี นินทากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ได้ด้วย

กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก เจ๊ศรีคนดีก็เลยถือโอกาสชักศึกเข้าหาไอ้เสือด้วยการชวนไอ้เอิ้นนอนบ้าน แต่คงเพราะความเหนื่อยสะสมล่ะมั้งครับพอหัวถึงหมอนก็ไปเฝ้าพระอินทร์ทันที ก็ดีครับ ดีกว่าต้องนอนระแวงว่ามันจะลุกขึ้นมาปล้ำทั้งคืน

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่เจอคนที่นอนอยู่ข้างๆ มาทั้งคืนแล้ว

ผมออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าที่ห่างหายจากมันไปนานกว่า 3 เดือน พร้อมข้าวกล่องในถุงผ้าสีชมพูที่เจ๊ศรีเตรียมไว้ให้ ผมกระชับมันไว้ในมือก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์ที่วันนี้อาสาไปส่งฟรีเพื่อฉลองการกลับไปทำงานอีกครั้งของผม

ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็พอๆ กับตอนที่เริ่มงานใหม่เมื่อ 5 ปีก่อน แต่เป็นความตื่นเต้นที่แตกต่าง

ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความกังวล ถ้าเกิดเปิดประตูเข้าไปแล้วไม่เจอน้องดาวล่ะ ผมกลัวความจริงเรื่องนั้นมากจนจิตตก

“คุณเสือกลับมาแล้วเหรอคะ”

เมื่อก้าวเข้าไปในออฟฟิศเสียงเจื้อยแจ้วที่ฟังดูสดใสเป็นพิเศษก็ดังขึ้นทักทาย ผมยิ้มให้เจ้าของเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ หยุดทักทายนิดหน่อยแล้วจึงก้าวเข้าไปด้านใน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งแรกที่ผมจับจ้องคือโต๊ะของน้องดาวที่อยู่ข้างกวินและความกลัวของผมก็เหมือนจะเป็นจริงเมื่อพบว่าโต๊ะตัวนั้นว่างเปล่า

“ดาวยังไม่มาเหรอวิน”

“หลังๆ มานี้น้องมันมาทำงานสายประจำแหละพี่”

“งั้นเหรอ” ขอให้เป็นเพียงแค่การมาสายจริงๆ เถอะ

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“เปล่า” ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งสบายผิดปกติ เมื่อลองสังเกตดูก็พบว่ามันเป็นเก้าอี้ใหม่ และของใหม่ที่ผมได้รับก็ไม่ใช่แค่เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องเก่ากลายเป็นโน้ตบุ๊กตัวใหม่แล้ว

“อิจฉาพี่เสือว่ะ ได้ของใหม่ยกชุดเลย”

“เอาไหมล่ะ พี่ยกให้” ทั้งที่เมื่อก่อนผมอยากได้นู่นนี่ใหม่ตลอดแต่เมื่อเขาเปลี่ยนให้กลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด

แต่ในเมื่อเขาให้แล้วก็ต้องใช้ใช่ไหมล่ะ

อีเมล์นับ 100 ฉบับค้างอยู่ในกล่องจดหมาย ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก็พบว่าส่วนมากเป็นอีเมล์จากลูกค้าแต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับอีเมล์ฉบับล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามาเมื่อคืนนี้

Darika_P0102@gmaill.com

ชื่ออีเมล์ไม่คุ้นตาแต่ชื่อคนที่ปรากฏทำให้รีบกดเปิดข้อความแทบจะทันที




พี่เสือ
ตอนที่อ่านอีเมล์นี้พี่เสือคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว โกรธดาวใช่มั้ยล่ะคะ พี่เสือจะเกลียดดาวก็ได้เพราะสิ่งที่ดาวทำมันผิดต่อพี่เสือมาก มากเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย แต่ดาวก็ยังอยากขอโทษพี่เสืออยู่ดีค่ะ ดาวขอโทษนะคะ ดาวไม่อยากเป็นแค่พนักงานบริษัทตัวเล็กๆ อีกแล้ว แฟนดาวกำลังจะเปิดบริษัทของตัวเอง ดาวอยากมีอนาคตที่ดีค่ะ พี่เสือไม่ต้องให้อภัยดาวก็ได้แต่ช่วยรับคำขอโทษนี้ไว้นะคะ
ดาว




ข้อความสั้นๆ บอกเรื่องราวทั้งหมดได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผมผุดลุกจากเก้าอี้อย่างที่ทุกคนซึ่งกำลังนั่งเคลียร์งานเงยหน้าขึ้นมามองอย่างพร้อมเพรียง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

สองเท้าก้าวเดินไปยังห้องของคนเป็นผู้จัดการ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเจ้าของห้องซึ่งนั่งมองมายังประตูราวกับรู้ว่าผมกำลังจะมา

“เอิ้นได้รับจดหมายลาออกจากคุณดาว”

“ได้รับอีเมล์เหมือนกัน” ผมบอกเมื่อนั่งลงตรงข้าม

“ไหวมั้ย”

“ผิดหวังว่ะ”

“อื้อ” ตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะเลี่ยงไป “เดี๋ยวเอิ้นต้องรายงานเรื่องนี้”

“น้องจะโดนอะไรบ้างวะ”

“ลักลอบนำเอกสารสำคัญไปเผยแพร่ก็โทษหนักอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ทางคณะกรรมการจะพิจารณาตัดสิน อาจจะถึงขั้นโดนแบล็คลิสต์”

“จากบริษัทเราที่เดียวเหรอ”

“ไม่รู้สิ ไม่แน่ว่าคณะกรรมการอาจจะเผยแพร่เรื่องนี้ให้กับกลุ่มธุรกิจสายเดียวกับเราเพื่อเป็นบุคคลพึงระวัง”

“แล้วเอกสารสำคัญที่ว่ามันคืออะไรบ้างวะ”

“พวกสัญญาจ้าง กฎระเบียบ รูปแบบรายงาน และเอกสารอื่นๆ ที่ไม่ควรจะนำออกไปเผยแพร่ให้คนนอกรับทราบ”

“ไม่น่าเลยเนอะ มีทางอีกตั้งมากมายที่จะพาเราไปสู่อนาคตที่ดี น้องดาวมีความสามารถ ไม่น่าเลือกทางนี้เลย”

“ก็เหมือนเวลาเราขับรถ ทางตรงอาจจะขับรถง่าย สะดวก สบาย มีเพื่อนร่วมทางต่างกับทางลัดที่ถึงแม้อาจจะเสี่ยงหน่อยแต่ถ้ามันทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า บางคนก็เลือกที่จะเสี่ยง เหมือนคุณดาว”

“คนเราเนี่ยมองแค่ภายนอกไม่ได้เลยนะ”

“ใช่ เหมือนเสือ ดูภายนอกโคตรถ่อยแต่ภายในโคตรน่ารัก ขาวด้วย”

“ไอ้เชี่ยเอิ้น มึงนี่แม่ง...”

“มึงที่เสือพูดถึงนี่ใครเหรอ ไม่ใช่พี่เอิ้นใช่มั้ยครับ” เกลียดมัน เกลียดสายตากรุ้มกริ่มของมันที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง “เย็นนี้เสือว่างมั้ย”

“ว่างมั้ง ทำไมเหรอ”

“ไปที่นึงด้วยกันหน่อยสิ”

ผมไม่ตอบอะไร และการไม่ตอบอะไรก็ทำให้อีกฝ่ายฟันธงไปแล้วว่าผมตกลง ก็ไม่เชิงหรอก อย่างไรดีล่ะ ไปก็ไปแหละ

เรื่องของน้องดาวยังคงกวนใจผมอยู่ทั้งวันถึงแม้ว่าตอนเย็นจะมีอีเมล์ชี้แจ้งเรื่องการพักงานของผมและการลาออกอย่างกะทันหันของน้องดาวถึงทุกคนก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นบางอย่างยังคงกวนใจของผม ความรู้สึกเหมือนเศษแก้วเล็กๆ ติดอยู่ที่มือ ถูกมันทิ่มแทงให้รู้สึกเจ็บนิดๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่สามารถดึงมันออกไปได้

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะพี่เสือ เสียดายด้วย น้องมันทำงานโคตรดีแต่ไม่น่าฆ่าตัวเองด้วยการทำแบบนี้เลย”

กวินยังพูดซ้ำๆ ว่าเสียดาย ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวจะหาคนที่เก่งกว่าน้องดาวมาช่วย”

“พูดจริงๆ นะพี่ เก่งไม่เก่งผมไม่เกี่ยง ผมอยากได้คนที่พร้อมจะรับฟัง พร้อมจะเรียนรู้ กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ผมอยากได้เพื่อนร่วมงาน”

“โตขึ้นเยอะเลยนะมึงอะ วินทำให้พี่โคตรภูมิใจเลยว่ะ”

“ภูมิใจที่ผมเก่งอะนะ”

“เปล่า ภูมิใจที่เลือกคนไม่ผิดไง”

“ผมก็ภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับพี่เสือ”

“ยอกันไปยอกันมาเนอะ 6 โมงแล้วไม่กลับบ้านเหรอวะ”

“เออพี่ ลืมไปเลยว่ะ เย็นนี้มีเลี้ยงสายรหัส ไปนะ”

“อือ”

“พี่เสือ ฝากปิดเครื่องด้วยสิ”

ไม่รอให้ตอบรับ เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าจอค้างเอาไว้ก็วิ่งหายไปซะแล้ว ผมลุกจากเก้าอี้ของตนเองแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของกวิน วางมือขวาลงบนเม้าส์แล้วลากเคอร์เซอร์ไปยังทูลบาร์ด้านล่าง ลองเปิดรายงานขึ้นมาไฟล์หนึ่งแล้วไล่สายตาดูตัวเลขยอดขาย

“ทำอะไรน่ะเสือ” เจ้าของเสียงหยุดลงข้างๆ

“กำลังจะปิดเครื่อง”

“ยอดขายเดือนสุดท้ายดีมั้ย”

“เหมือนจะดีมั้ง”

“ขอเอิ้นดูหน่อย”

เจ้าของชื่อขยับเข้ามาใกล้อีกจนไหล่แกร่งในเสื้อสูทชนกับไหล่ของผม แขนข้างขวาสอดผ่านด้านหน้าของผมก่อนจะวางมือลงบนมือของผมบนเม้าส์ ครั้นพอจะดึงออกก็ถูกกดเอาไว้ก่อนไอ้คนร้ายกาจจะหันมายักคิ้วให้

“ยอดขายดีเหมือนกันนะ คุณปรีชาต้องเสียดายทีมเราแน่ๆ เสือว่ามั้ย”

“ช่วยไม่ได้อยากหูเบาเอง”

“ไปกันยัง”

“ไปสิ” ผมว่าแล้วกดชัทดาวน์ “ว่าแต่จะไปไหน”

“ไปดูร้านกัน”

“ร้าน? ร้านอะไร”

“ร้านอาหารของเอิ้นไง วันนี้ช่างเข้าไปตกแต่งวันแรก เอิ้นอยากให้เสือไปดูด้วยกัน”



▼▲ ▼▲ ▼



รถยนต์วิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยดีจนต้องเอ่ยปากถามหลังจากเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนเพลงที่กำลังดังให้บรรยากาศเงียบเชียบเปลี่ยนเป็นเพลิดเพลิน

“นี่มันทางกลับบ้านนี่” พวงมาลัยถูกหมุนบังคับให้รถเลี้ยวซ้าย

“ร้านอยู่ใกล้ๆ บ้านเสือ” ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง

อย่าบอกว่าอยู่ใกล้เลย ระบุตำแหน่งว่าอยู่หน้าปากซอยบ้านผมเลยดีกว่า ระยะห่างจากร้านไปบ้านผมไม่เกิน 500 เมตร เป็นการเลือกทำเลร้านเหมือนกับจงใจมาอยู่ใกล้ๆ กัน

อาคารพาณิชย์ 4 ชั้นจำนวน 2 คูหาที่เมื่อหลายเดือนก่อนยังมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่สีหลุดร่อนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปปีแล้วปีเล่า บัดนี้ถูกเสกสรรให้กลายสภาพเป็นตึกสีขาวสะอาด พื้นที่ด้านหน้าที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ถูกเติมเต็มด้วยโต๊ะเก้าอี้จำนวนหลายชุด ถัดไปด้านหลังตรงกำแพงมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษขนาดใหญ่สีดำติดเอาไว้ว่า ‘SIT HERE’ ถัดลงมาเป็นตัวหนังสือภาษาไทยที่ใช้ฟอนต์เล็กลงมาหน่อยว่า ‘เชิญนั่ง’

“นั่นชื่อร้านเหรอ”

“เก๋มั้ย”

“ติดหูดีนะ”

“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

อาจเพราะเพิ่งเริ่มตกแต่งภายใน ข้าวของต่างๆ จึงยังคงถูกวางไว้อย่างระเกะระกะ มองไม่ค่อยออกว่าร้านที่ตกแต่งเสร็จแล้วจะออกมาเป็นแบบไหน

“ร้านยังไม่เสร็จดีเลย ข้างนอกนั่นวางเก้าอี้ทำไม”

“คนเดินผ่านไปมาจะได้นั่งไง”

“กลยุทธ์ทางการตลาดเหรอ”

“เปล่า หล่อด้วยมีน้ำใจด้วย”

“เหรอ”

“มีแฟนหล่อ ไม่ภูมิใจเหรอ”

“ใครแฟน แล้วพามาทำไมวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“เสือชอบกินสปาเก็ตตี้มั้ย”

“จะทำเหรอ”

“ก็กะว่าอย่างนั้น”

“เอาสิ”

ผมเดินตามว่าที่เจ้าของร้านอาหารคนใหม่เข้าไปในครัวที่มีสภาพพร้อมใช้งาน ยืนมองแล้วก็นึกสงสัยจนอีกฝ่ายเฉลยให้ฟัง

“เอิ้นมาฝึกบ่อยๆ น่ะ ครัวก็เลยพร้อมใช้งานแบบนี้ไง”

“งั้นก็แปลว่าเริ่มทำมานานแล้วน่ะสิ”

“ก็ตั้งแต่วันที่เสือเจอลลินที่ห้องเอิ้น”

“คุณลลินเป็นหุ้นส่วนเหรอ” คนที่กำลังหยิบของออกจากตู้เย็นอย่างคล่องแคล่วเอี้ยวตัวมองผม ยิ้มแล้วส่งกล่องพลาสติกใบหนึ่งมาให้

“ลลินเป็นแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจแต่เสือเป็นหุ้นส่วนหัวใจ” เหมือนไอ้เจ้าของร้านอาหารรู้ว่าพูดแบบไหนแล้วทำให้ผมเขินอายได้ ครับ ใบหน้าผมนี่เห่อร้อนลามไปถึงลำคอแล้ว

พักหลังมานี้ทุกการของกระทำของไอ้เอิ้นทำผมเขินไปหมด

“รีบทำอาหารเถอะ เดี๋ยวเสือออกไปจัดโต๊ะ”

“ไม่อยู่ช่วยกันก่อนเหรอ”

ถ้าขืนยังอยู่ในครัวมีหวังได้กินขนมครกแทนสปาเก็ตตี้แน่ๆ หยอดกูไม่มีพักมีผ่อนเลย

ผมนั่งลงบนเก้าอี้หลังจากที่ลากมันออกมาตั้งไว้ในบริเวณที่โล่งที่สุด ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นสปาเก็ตตี้ที่หน้าตาน่ากินมาทีเดียว

“กินได้จริงเหรอ” ผมลองเอาส้อมเขี่ยเส้นเมื่อถาม ก็รู้หรอกว่ามันกินได้ก็แค่แซวเล่น บางทีเสือก็มีอารมณ์ขี้เล่นบ้างเหมือนกัน

“ไม่ใช่แค่กินได้นะ อร่อยเลยแหละ”

“มีความมั่นใจสูงมาก แล้วถ้าไม่อร่อยให้ตีป่ะ”

“ก็ได้ แต่ถ้าอร่อยเสือให้เอิ้นจูบป่ะ”

“ไม่” ผมปฏิเสธให้คนตรงหน้าขำ สายตาที่มองผมยังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดูเช่นเดิม ผมชอบนะ มองตาไอ้เอิ้นแล้วรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวเสือกินไปก่อนเลย เอิ้นไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ”

สปาเก็ตตี้ร้านเชิญนั่งอร่อยมากครับ คำแรกที่ลิ้นสัมผัสให้ความรู้สึกเหมือนตัวกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งอาจจะเป็นที่มาของคำว่าอร่อยเหาะ

“เสือ”

“หืม” ผมขานรับแล้วแหงนหน้ามองต้นเสียงทั้งที่เส้นสปาเก็ตตี้ยังคาอยู่ที่ปาก ยังไม่ทันได้เห็นหน้าคนเรียกสัมผัสนุ่มหยุ่นก็ประทับลงบนแก้มจนเกิดเสียงดังจุ๊บ

ไอ้เอิ้นแม่งฉวยโอกาสจูบแก้มผมเฉยเลย

พอถอนริมฝีปากออกก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเองทำหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นปล่อยให้ผมนั่งคาบเส้นสปาเก็ตตี้อึ้งกิมกี่อยู่ลำพัง

“กินเลอะ เป็นเด็กหรือไงฮะ”

สติยังไม่ทันกลับมาก็ถูกจู่โจมอีกครั้งด้วยนิ้วเรียวที่ปาดลงบนเรียวปากของผมแผ่วเบาราวกับยั่วเย้า

“ใจเต้นแรงเลยล่ะสิ”

“ก็งั้นๆ แหละ” ใครจะกล้ายอมรับว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกล่ะ เสียฟอร์มหมดสิ

“เรากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันได้มั้ย”

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเจ๊ศรีงอน”

“ก็กินที่บ้านเสือบ้างแล้วก็กินที่บ้านเอิ้นบ้างไง สลับกัน เอิ้นอยากกินข้าวกับเสือทุกวันเลย”

“บางวันก็อยากไปกินเหล้ากับพวกไอ้วินเหมือนกันนะ”

“เสือไม่อยากกินข้าวกับเอิ้นทุกวันเหรอ”

“ไม่อะ ถ้ากินข้าวด้วยกันทุกวันก็ไม่มีเวลาให้คิดถึงกันสิ” ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งถูกแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง

“ลึกซึ้งนะเนี่ยแฟนใครก็ไม่รู้”

“หยุดเลย” ผมยกมือขึ้นดันใบหน้าคนที่ตั้งท่าจะโน้มเข้ามาหาก่อนจะออกแรงดันให้ถอยไปจุดเดิม “แล้วเปิดร้านเมื่อไหร่วะ”

“ต้นเดือนหน้า นี่เอิ้นยื่นใบลาออกแล้วนะ”

“มั่นใจแล้วเหรอว่าจะออกมาทำเต็มตัว ทำไมไม่ทำงานไปด้วยแล้วก็ดูแลร้านไปด้วยล่ะ”

“เอิ้นไม่อยากจับปลาสองมือ”

“แต่มันเสี่ยงนะ ถ้าเกิด...”

“ถ้าสุดท้ายมันจะไปไม่รอดอย่างน้อยเอิ้นก็ภูมิใจที่เอิ้นได้ทุ่มเททำมันด้วยแรงของตัวเอง เอิ้นรู้ว่าเสือเป็นห่วง ช่วยอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เอิ้นนะ”

“สปาเก็ตตี้อร่อยขนาดนี้ ใครไม่ได้มากินต้องเสียดายไปทั้งชาติแน่ๆ เดี๋ยวช่วยเขียนรีวิวลงเว็บไซต์ดีกว่าเนอะ”

“ขอบคุณนะเสือ”

“ไม่ต้องมาทำซึ้งหรอก เราเป็นอะไรกันล่ะ ถ้าไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย ว่าแต่ใครจะขึ้นเป็นผู้จัดการคนใหม่ หรือย้ายมาจากที่อื่น”

“เอิ้นไม่รู้ แล้วเสือล่ะตัดสินใจจะทำงานต่อใช่มั้ย”

“จนกว่าจะมั่นใจว่ากวินแข็งแกร่งพอที่จะทำงานด้วยตัวเองได้ ที่จริงก็ไม่อยากอยู่ต่อหรอก เบื่อว่ะแต่ก็ทิ้งน้องมันไม่ได้”

“เอิ้นจะช่วยกำชับ HR ให้รีบหาคนนะ”

“อือ รอบนี้ตอนสัมภาษณ์ขอให้กวินเข้าด้วยนะ”

“เอาสิ คนที่เรารับมาต้องทำงานร่วมกับวินอยู่แล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”



▼▲ ▼▲ ▼



1 เดือนผ่านไปเร็วมาก ทำงานไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่ 31 มกราคมซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำงานของผู้จัดการคนปัจจุบันแล้ว

พอเลิกงานปุ๊บพวกเราก็เฮโลกันมาที่ร้านเหล้าของเพื่อนไอ้วินทันที

“คุณเอิ้นครับ ร้องเพลงให้เราฟังซักเพลงนะครับ” หลังจากเสียงเพลงจากพี่ประชาสัมพันธ์จบลง กวินซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรวันนี้ก็เรียกชื่อว่าที่อดีตผู้จัดการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที

คนถูกเรียกมองหน้าผม ลังเลที่จะขึ้นไป แน่สิ ไอ้เอิ้นร้องเพลงได้ที่ไหนล่ะ

“ผมร้องเพลงไม่เป็นครับ ส่งเสือขึ้นไปร้องแทนได้มั้ย”

ผมร้องอ้าวเมื่ออยู่ๆ งานก็เข้า และแทนที่ไอ้พิธีการจะเล้าหลือต่อ ไม่เลยครับ กวักมือเรียกผมยิกๆ แถมคนที่นั่งด้านหน้าเวทีก็ส่งเสียงกดดันให้รีบขึ้นไปข้างบนนั้นอีก โดนขนาดนี้มีหรือที่เสือจะปฏิเสธได้ลงคอ

เมื่อผมลุก ไอ้คนข้างๆ ก็ลุกด้วย พอผมเดินตรงไปยังเวทีมันก็ยังคงเดินตามมา คำถามคือ

“ตามมาทำไม”

“ก็กวินเรียกเอิ้น”

“ก็เขาเรียกเสือแล้ว เอิ้นจะตามมาทำไมอะ”

“ก็กวินเรียกเอิ้น” อะไรของมัน ยังเถียงกันไม่ทันจบเรื่องก็เดินมาถึงเวทีซะแล้ว

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อเราทั้งคู่ปรากฏตัวบนเวทีให้รู้สึกเขินนิดหน่อย

“กล่าวอะไรซักหน่อยมั้ยครับคุณเอิ้น”

“ได้ครับ”

ว่าที่อดีตผู้จัดการรับไมค์มา เขากวาดสายตามองว่าที่อดีตเพื่อนร่วมงามแล้วยิ้ม

“ต้องบอกว่าที่เรายังคงยืนหยัดกันอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความร่วมมือของทุกคน ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอาจจะทำให้การเติบโตของยอดขายน้อยกว่าในทุกๆ ปี”

เอิ้นถอนหายใจ

“ตอนที่ผมถูกย้ายมาที่นี่ ทุกคนคงไม่รู้ว่าผมถูกย้ายพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง ผมได้รับโจทย์มาว่าต้องกระตุ้นยอดขายให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้นจากปีทีแล้วไม่ต่ำกว่า 10% ดูข่าวเศรษฐกิจแล้วก็หนักใจครับ แต่ยังไงก็ต้องมา เพราะอยากเจอใครซักคน”

ท้ายประโยคดวงตาคมที่แฝงด้วยความสุขเหลือบมองมายังผมให้รู้ว่าใครคนนั้นคือเสือเอง

“ถ้ากำไรน้อยกว่า 10% จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณเอิ้น หรือว่าเพราะกำไรเราไม่ถึง 10% คุณเอิ้นถึงต้องลาออก”

“ไม่ใช่ครับ” คนถูกถามส่ายหน้า “ถ้ากำไรไม่ถึง 10% สำนักงานใหญ่มีนโยบายจะปิดบริษัทที่ไทย”

เสียงอื้ออึงดังขึ้นทันทีที่จบประโยค มือหนายกขึ้นกลางอากาศเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบเสียง

“น่าเสียดายที่ปีนี้กำไรของเราเพิ่มขึ้นเพียง 9% อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้แต่ก็ยังเป็นผลประกอบการที่ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายนัก บริษัทยังคงมีการเติบโตเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันในประเทศนี้ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนตั้งใจทำงานกันต่อไปครับ เราก็เหมือนเรือนะ ถ้าเราช่วยกันพายสุดท้ายเราก็ถึงฝั่ง”

รอยยิ้มอ่อนโยนถูกแจกจ่ายไปทั่วทั้งร้าน

“ผมดีใจครับที่ชีวิตพนักงานออฟฟิศของผมจบลงที่นี่ มันเป็นความภาคภูมิใจที่อย่างน้อยช่วงหนึ่งของชีวิตถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็ได้ทำงานกับคนที่มีประสิทธิภาพกลุ่มหนึ่ง ขอบคุณที่ถึงแม้บางครั้งจะท้อแต่คุณก็ลุกขึ้นมา ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ทั้งหมดครับ ขอบคุณจริงๆ พวกคุณสุดยอดมาก”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ดังกว่าครั้งก่อนซัก 10 เท่าได้ หลายคนถึงกับลุกขึ้นปรบมือเลยทีเดียว แปลกนะ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ปรบมือให้ผมซักหน่อยแต่ผมกลับรู้สึกปลาบปลื้ม แล้วเจ้าของเสียงปรบมือที่แท้จริงล่ะจะปลาบปลื้มซักแค่ไหนกันนะ

“เอาล่ะ วันนี้ผมมีเพลงมอบให้ทุกคนแต่ว่าผมร้องเพลงไม่ได้ เสียงมันแย่มากครับก็เลยจะฝากเสือร้อง ขอดนตรีครับ”

หันไปบอกนักดนตรีแล้วจึงก้มลงมากระซิบบอกชื่อเพลงที่ข้างหูของผม

เพลง ‘คนข้างๆ’ ที่ถูกขับร้องโดยผมอาจจะไม่เหมือนต้นฉบับสักเท่าไหร่แต่การที่ทุกคนโบกมือไปตามจังหวะเพลงก็ทำให้รู้สึกดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ต้องยกความดีความชอบให้คนเลือกเพลงนั่นแหละครับ อยากรู้เหมือนกันว่ามันเลือกเพลงมาจากบ้านหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องยอมรับว่าเอิ้นเป็นคนที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยมมากทีเดียว

“พี่เสือของเรานอกจากทำงานเก่งแล้วยังร้องเพลงเพราะมากๆ เลยครับ ทำไมเป็นคนเพอร์เฟคขนาดนี้ครับเนี่ย”

ต้องตอบด้วยเหรอ แม้จะไม่ค่อยมั่นใจแต่ผมก็เอาไมค์มาจ่อปาก

“หล่อด้วย ทำงานเก่งด้วย ร้องเพลงเพราะด้วย แต่จนครับรับเลี้ยงได้นะ”

“เอิ้นรับเลี้ยงครับ”

เสียงกรี๊ดที่ผมเคยฟังแล้วรู้สึกดีบัดนี้กลับทำให้ผมอยากแทรกแผ่นดินหนี มาหยอดอะไรต่อหน้าสาธารณะชนวะ ตัวเองลาออกไปแล้วก็พูดได้สิ แต่ผมเนี่ยต้องทำงานกับคนเหล่านี้ต่อนะไม่คิดว่าผมจะอายบ้างเหรอ

“ใครบางคนที่คุณเอิ้นอยากจะมาเจอก่อนตัดสินใจย้ายมาที่นี่คือพี่เสือเหรอครับ”

“ใช่ครับ เสือเป็นเพื่อนคนพิเศษ และผมก็มีเพลงอยากมอบให้เพื่อนคนพิเศษเหมือนกันแต่ต้องขอให้เขาช่วยร้อง เสือจะช่วยเอิ้นมั้ย”

คือยังไงวะ คือต้องร้องเพลงให้ตัวเองเหรอ มันไม่ดูแปลกเหรอวะ หากยังไม่ทันได้ตอบรับเสียงดนตรีก็ดังขึ้นซะแล้ว ตามมาด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นข้างๆ หูเพื่อบอกชื่อเพลง

“เพลงอะไรนะ ไม่เคยได้ยินชื่อเลย”

“ไม่เอาแล้ว ของ Crazy Adults ที่เอิ้นเปิดในรถตอนที่เรานั่งมาที่นี่ไง”

นี่คนนะไม่ใช่ตู้เพลง สายตาผมบอกมันอย่างนั้น แต่ไอ้เอิ้นก็ยังเล้าหลือให้ร้อง ผมยืนถือไมค์เงยหน้ามองเพดานทบทวนเนื้อเพลงที่เคยผ่านเข้าหูขณะที่ดนตรีเล่นไปแล้วกว่าครึ่งเพลง



“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เป็นแล้ว แค่เพื่อนเธอ
ปล่อยเอาไว้ อาจไม่พ้นฉันต้องเสียใจ
ถ้าบอกรัก บอกว่ารัก เธอจะคิดว่ายังไง
รบกวนเธอ ให้ลองเผยใจ ว่าฉันมีสิทธิ์ไหมเธอ”



ความหมายดีมากๆ อะครับ ร้องไปก็เขินไป คนฟังก็เขิน คนร้องยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ ส่วนคนขอให้ร้องหน้าบานเป็นจานดาวเทียมจนอยากเอาปลาแห้งไปวางบนหน้ามัน

ด้วยความเขินอายที่มีจนแทบจะซึมออกมาทุกรูขุมขนทำให้ผมโยนไมค์ให้ไอ้พิธีกรทันทีเมื่อเพลงจบก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ลงจากเวทีด้วยกลัวว่าจะมีเพลงต่อๆ ไป

พอซักทีเถอะ บรรยากาศหวานเลี่ยนพวกนั้นน่ะ หวานจนเบาหวานถามหาแล้วครับ

นักร้องมือสมัครเล่นผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงขับกล่อมพวกเราจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืน ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นช่วยให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นไปอีก

“เรามาแดนซ์กันดีกว่าทุกโค้นนนน~”

พิธีกรของงานใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี น้ำเสียงเริ่มควบคุมไม่ได้ ถ้าดื่มอีกนิดผมคิดว่ามันต้องล้มพับบนพื้นเวทีแน่ๆ

พอกวินพูดจบเสียงดนตรีจังหวะสนุกๆ ก็ดังขึ้นให้โยกตัวตามจังหวะ ผมไม่ใช่ขาแดนซ์หรอกแต่เมื่อบรรยากาศพาไป หัว ตัวและขาก็เผลอขยับไปตามจังหวะทุกที

“ออกไปเต้นสิ” คนเป็นเจ้าของงานที่วันนี้ดื่มน้อยเป็นพิเศษโน้มใบหน้าเข้ามาบอกผม

“เต้นเป็นที่ไหนล่ะ เอิ้นก็ออกไปเต้นสิ”

“เต้นไม่เป็นเหมือนกัน”

“คุณเอิ้นเชิญทางนี้หน่อยค่ะ” จบประโยคแขนคนที่บอกว่าเต้นไม่เป็นก็ถูกคว้าแล้วดึงให้เดินตามขึ้นไปบนเวที พี่อรคุยอะไรสักอย่างกับเอิ้น ไม่นานเจ้าตัวก็ยอมโยกตัวไปมา ทื่อฉิบหายครับ ผมที่ว่าเต้นไม่เป็นเลยยังโยกตัวได้พลิ้วกว่า

เห็นภาพนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ ถ่ายคลิปเก็บไว้คงดี

ดังนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดถ่ายคลิป ยาวๆ ไปครับ ถ้าเจ้าตัวเห็นว่าตัวเองเต้นยังไงคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ

“เหนื่อยอะ” โยกๆ ไปเพลงเดียวก็กลับมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วบ่น

“เดี๋ยวให้ดูอะไร” ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากดเปิดคลิปแล้วยื่นไปตรงหน้าระดับสายตา

“เฮ้ย! ตลกอะเสือ”

“ใช่มั้ย โคตรตลกแต่ไม่ลบหรอกนะ จะเก็บไว้ดูเวลาเครียด”

“ได้ แค่เอิ้นทำให้เสืออารมณ์ดีได้เอิ้นก็มีความสุขแล้ว”

“คร้าบบบ~ ทำไมวันนี้ดื่มน้อยจัง ดื่มเยอะๆ สิ งานเลี้ยงส่งตัวเองทั้งที”

“เสือก็ดื่มน้อย”

“ก็จะได้ขับรถให้ไง ดื่มเถอะ”

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

เท่านั้นแหละ กระดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่า กว่างานจะจบ กว่าเหล้าจะหมดจากบริษัทที่มีแต่คนก็กลายเป็นบริษัทที่มีแต่หมา นอนเรี่ยราดเต็มพื้นที่ไม่ต่างจากหมาหน้าเซเว่นสักเท่าไหร่เลย


มีต่อ ด้านล่าง :)
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 26-12-2016 20:49:32

SPECIAL {เมื่อเอิ้นเมา}



งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

"เสือครับ เสือมานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ"

แว้บไปเข้าห้องน้ำครู่เดียว กลับมาที่โต๊ะก็ไม่เจอคุณเอิ้นแล้ว

ผมเดินตามหาด้วยความเป็นห่วง กระทั่งพบว่า...

เอิ้นกำลังนั่งคุยกับหมาที่หน้าร้าน

ผมจะไม่โกรธและเท้าเอวมองเลยหากมันไม่เรียกเจ้าหมาขนสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาเป็นมิตรตรงหน้านั้นว่า 'เสือ'

เมาจริงหรือแค่หลอกด่าผม ถามใจไอ้เอิ้นดู

"เอิ้น" ผมนั่งลงข้างๆ มองหน้าคนเมา "นั่นหมาไม่ใช่เสือ"

"ไหน หมาที่ไหน นี่เสือ"

"ถ้าไอ้ที่มีหูมีหางนั่นเสือ แล้วนี่ใคร" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเมื่อถาม

คนเมาจ้องหน้าผมมุ่นคิ้วอย่างคนคิดหนักราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักกัน

"คุณเป็นใคร"

พับผ่าสิ นี่เสือไง

"เมาแล้วอะเอิ้น กลับบ้านเถอะ" ผมลุกขึ้นก่อนแล้วดึงแขนอีกคนให้ลุกตาม ถึงจะมีแรงขืนแต่คนเมามีหรือจะสู้คนไม่เมาได้

"เสือช่วยเอิ้นด้วย" ยื่นมือไปให้หมาดมแล้วคร่ำครวญ

"นั่นหมา" ผมบังคับให้อีกฝ่ายหันมามอง "นี่เสือ"

"นี่หมา" หมาเต็มหน้ากูเลย ถ้าไม่ติดว่าเมามีต่อยอะจริงๆ

"เสือ"

"หมา"

เรายืนเถียงกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะยอมแพ้

เถียงกับคนเมาไปก็เท่านั้น เอาไว้สร่างแล้วค่อยเอาคืนทีเดียว

"กลับบ้านกัน"

ไอ้เอิ้นมองหน้าผมสลับกับหมาด้วยความลังเล ท่าทางตอนนี้คุณเขาดูเว้าวอนหมามากอะ

"พาเสือไปด้วยได้มั้ยอะ"

"นั่นหมา"

พอผมย้ำซ้ำๆ อีกฝ่ายก็เริ่มลังเล คนเมาทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าหมาอีกครั้ง จ้องมันแล้วเงยหน้ามองผม ยิ้มแหยแล้วว่า

"ไม่ใช่เสือจริงๆ ด้วยอะ แต่น่ารักเหมือนเสือเลย"

ว่าจบก็ลูบหัวหมา บอกลามันแล้วลุกขึ้นยืนโอนเอน

ผมควรดีใจไหมที่อยู่ๆ ก็น่ารักเหมือนหมา

"เอิ้นจะไปไหน"

"ไปหาเสือ"

ผมพยายามรั้งคนที่เดินโซเซเอาไวเแต่ดื้อไง ดื้อมากด้วย เมื่อรั้งไม่ได้ผมจึงเดินตามไปเงียบๆ




วันนี้ท้องฟ้ามืดผิดปกติ พระจันทร์ลอยเด่น ท้องถนนปราศจากผู้คน ลมเอื่อยๆ พัดผ่านใบหน้าให้ผมที่เซ็ตเป็นทรงเริ่มกลับสู่สภาพปกติ

"เสือ"

ผมเสยผมแล้วมองไปยังคนที่เงยหน้าแล้วชี้ไปยังพระจันทร์

"ไปทำอะไรอยู่บนนั้นอะ ลงมาหาเอิ้นเร้ว"

ไอ้เอิ้นแม่งรั่วว่ะ

"นั่นไม่ใช่เสือ" ผมกอบกุมใบหน้าเขาไว้บังคับให้มองหน้ากัน "เสืออยู่นี่"

"เสือ" ละสายตาจากผมแล้วเดินต่อ

นี่เสือไง เสืออยู่นี่

"เสือทำไมเป็นสีเขียวอะ"

หยุดคุยกับถังขยะเปียกเฉย

"ทำไมไม่คุยกับเอิ้นล่ะ โกรธอะไรครับหืม"

ก้มหน้าลงไปคุยกับถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะทำหน้าแหยแล้วถอยออกมา

"เสืออาบน้ำบ้างนะ ตัวเหม็นมากอะ

มองคนคุยกับถังขยะเปียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือโกรธก่อนดี

ผมส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วก้าวไปยืนข้างๆ

"เหม็นแล้วไม่รักเหรอ"

"รักสิ เอิ้นรักเสือจะตาย" ตอบผมแต่ไม่ละสายตาจากถังขยะตรงหน้า

มองอย่างไรถังขยะเปียกก็ไม่เห็นจะเหมือนเสือตรงไหน เสือออกจะหล่อ ขาว ตัวหอมด้วย ถ้าอาบน้ำอะนะ

"ถ้ารักก็มองดีๆ ว่านั่นใช่เสือจริงๆ หรือเปล่า"

คนเมาจ้องถังขยะตามที่ผมบอก

จ้องอยู่นานเลยครับก่อนจะเงยหน้ามามองผม

"ไม่ใช่เสือนี่นา"

ผมยิ้มเล็กๆ อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติอยู่

"แล้วเสืออยู่ไหน"

"เสือ" เอิ้นจ้องหน้าผม จ้องเหมือนที่จ้องถังขยะเมื่อครู่ก่อนจะชี้นิ้วผ่านไหล่ของผมไป "เสือ"

ร้องเรียกแล้วก็เดินโซเซไปหยุดที่ต้นไม้

เป็นหมา เป็นถังขยะเปียก และก็เป็นต้นไม้

ผมตบหน้าผากตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่กอดต้นไม้แน่น

"ผิวเสือสากจัง"

นั่นมันเปลือกไม้ไงจะละมุนละไมเหมือนผิวคนได้ไงวะ

แม้ความอดทนจะเหลือไม่มากแต่เห็นคนที่กอดต้นไม้แน่นก็อดขำไม่ได้ ผมอมยิ้มแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปถาม

"ผิวสากแล้วชอบป่ะ"

"ไม่อ่ะ"

อะไรวะ ไหนบอกว่ารักเสือ แค่ผิวสากก็เลิกรักกันได้แล้วเหรอ แต่ก่อนที่ผมจะโกรธคนเมาก็ยกยิ้มลอยๆ แล้วว่า

"แต่รัก"

โอเค ไม่โกรธแล้วก็ได้

หลังจากผละจากต้นไม้ เสือก็กลายเป็นของสารพัดสิ่งบนท้องถนน ทั้งเสาไฟฟ้า กระถางต้นไม้ จักรยาน พวงมาลัยรถ

ล่าสุดเสือกลายเป็นตุ๊กตาส่ายหัวดุ๊กดิ๊กที่วางอยู่บนคอนโซลรถ

ผมออกรถเมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยให้คนเมาที่เหมือนจะไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ เสร็จแล้ว

"เสือไม่เมื่อยเหรอ"

"ไม่นะ" ผมตอบไม่ละสายตาจากถนน

"แต่เอิ้นเมื่อยแล้วอะ"

"เหนื่อยก็นอนสิ เอาไว้ถึงบ้านเดี๋ยวปลุก"

"เสือ"

"หืม" รถติดไฟแดงพอดีผมจึงหันไปมองคนข้างๆ เพื่อพบว่า...

"เลิกส่ายหัวซักทีสิ เอิ้นเวียนหัว"

ไอ้สันขวาน มันคุยกับตุ๊กตาครับ แล้วที่ผมตอบเมื่อกี้คือคุยคนเดียวเว้ย

แม่ง! ฉิบหาย กูไม่ถือคติที่บอกว่าอย่าโกรธคนบ้าอย่าว่าคนเมาแล้ว เสือจะด่า เสือจะด่ามัน

ผมบ่นเป็นหมีกินผึ้ง จริงๆ คือทั้งบ่นทั้งด่าอะ แต่ไอ้คนถูกด่าก็หาได้สนใจเสือไม่ มันยังคุยกับตุ๊กตาเป็นตุเป็นตะ

เสือสงสัย ไอ้เอิ้นเมาหรือปัญญาอ่อน

โชคดีที่ตอนดึกรถไม่ติด เราจึงใช้เวลาไม่นานในการเดินทางกลับคอนโด

ถ้าอยู่ด้วยในสภาพนี้นานกว่านี้ผมต้องประสาทแดกแน่

ให้ตายเถอะ คราวหน้าจะไม่เสี่ยงให้ไอ้เอิ้นเมาอีกแล้ว เสือกลัว



"เอิ้น เสือเหนื่อยแล้วนะเว้ย"

ผมนั่งลงบนพื้นหลังจากความพยายามพาไอ้เอิ้นออกจากรถหมดลง อยากปล่อยมันไว้นี่แต่มันเมาไง เมาแบบไร้สติด้วย ถ้าไม่ดูแลก็กลัวจะออกไปเถลไถล

ไม่น่าเป็นคนมีจิตสำนึกดีเลยกู

"เหนื่อยไรอะ"

เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นใกล้ๆ แต่ผมก็ไม่ตอบ เพราะคิดว่ามันคงคุยกับตุ๊กตา

"มีเรื่องหนักใจอะไรบอกเสือได้นะ แฟนผมโคตรเก่ง"

ตุ๊กตาถูกยื่นมาตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับรอยยิ้มของคนพูด

รอยยิ้มที่ดูภูมิอกภูมิใจเมื่อพูดถึงเสือ

ความเหนื่อยไม่ได้หายไปแต่กำลังใจมาเต็ม

ผมลุกขึ้น ลังเลอยู่ว่าจะต่อยไอ้เอิ้นแล้วลากขึ้นห้องดีไหม แต่คิดดูแล้ว นี่คนที่อยู่ในฐานะเป็นอะไรกันไงจะใช้ความรุนแรงก็ดูป่าเถื่อนเกินไปหน่อย

แต่ว่า ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้แล้วว่าจะพาอีกคนขึ้นห้องได้ยังไง

แล้วถ้า...

เร็วเท่าความคิด ผมคว้าเนคไทของอีกฝ่าย รั้งให้ใบหน้าเข้ามาใกล้แล้ว...

จูบ

เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มจูบดูดดื่มก่อนในยามตัวเองยังมีสติดี การเป็นฝ่ายรุกก็รู้สึกดีเหมือนกัน

ผมป้อนจูบให้คนเมาจนอีกฝ่ายเคลิ้มแล้วจึงผละออก

ผมเช็ดปากแล้วมองเอิ้นเต็มตา คนเมาทำหน้าเคลิ้ม ตาลอย ตอนนี้แหละเหมาะที่จะลากมันขึ้นห้องที่สุดแล้ว



[- T B C -]

นี่เสือไง แมวที่ไหน ไม่มีหรอก
เสือจริงๆ ถึงความขี้อ้อนจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังเป็นเสือนะ

ตอนนี้ตัวหนังสือเยอะมากเลย ขอบคุณที่ทนอ่านกันนะคะ
ตอนพิเศษนั้นแทนคำขอบคุณของเรานะคะ


แจ๊ส :)
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-12-2016 21:07:31
เอิ้นเมาจริงไม่ได้แกล้งใช่ป่ะ
อาการอย่างฮาอ่ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 26-12-2016 21:15:11
ชอบเอิ้น+เสือมากค่ะ ตอนอยู่ด้วยกันน่ารักมาก ๆ
เนื้อเรื่องกระชับ มีสาระด้วย เขียนได้ชวนติดตามค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้มากค่ะ สนุก
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2016 22:23:43
เอิ้นเมาเลื้อนมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-12-2016 23:56:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-12-2016 00:37:30
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 29-12-2016 12:26:46
เอิ้นเมาแล้วรั่วขนาดนี้เลยหรออออ
55 คุยกับหมาไม่เท่าไหร่ คุยกับถังขยะ แถมดมด้วยนี่สิ หนักนะเรา!!
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 20 {ความจริง} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-12-2016 21:54:09
เอิ้นรั่วมากกกกกก

เสือที่ไหน? หมาชัด ๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 07-01-2017 12:12:00


ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา}


“วินโทรหาพี่เอ็งดิ๊”

“พี่นพเหรอครับ”

“ไอ้เทพเจ้า 9 ชีวิตอะ บอกให้มันส่งเด็กชานเมืองมาแลกกับเด็กกลางเมืองเราหน่อย”

“น้องส้มน่ะเหรอพี่ เสียดายเนอะ ขายโคตรเก่งแต่สโตร์เราไม่ว่างเลย”

“เออ ให้พี่เอ็งยืมก่อน กำชับมันด้วยว่าฝากเฉยๆ เดี๋ยวถ้าสโตร์ว่างจะไปเอาคืน”

“ทำงานแบบนี้ก็ดีนะพี่” กวินที่กำลังกดมือถือเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่ง

“มันก็ดีแต่ไม่ค่อยถูกต้อง ยังไงมันก็เป็นคู่แข่ง”

“พี่เสือคิดมั้ยว่าถ้าพวกเรา 3 คนทำงานด้วยกันมันต้องเยี่ยมมากแน่ๆ เลยเนอะ”

“ไม่ดีหรอก พี่เคยลองทำงานกับไอ้นพแล้ว แม่งอีโก้สูงมากจนอยากจะฝากอีโต้ไว้บนหน้าผากมัน วันนี้พอแค่นี้เนอะ พรุ่งนี้วินไปประชุมกับน้องใหม่ได้ใช่มั้ย”

“พี่จะปล่อยพวกเราจริงๆ เหรอ”

“มั่นใจในตัวเองหน่อย พี่อยู่ทำงานกับเอ็งไปตลอดไม่ได้หรอกนะ” กวินเบะปากแต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ตอบรับ “อกผายไหล่ผึ่งหน่อยสิวะ”

ผมตบไหล่น้องมันให้กำลังใจก่อนจะบอกลาคนที่ยังเหลือในออฟฟิศก่อนออกมา

เกือบ 2 เดือนที่สอนงานให้กวินเพื่อเตรียมความพร้อมทำหน้าที่แทนเสือแต่ไม่ใช่สไตล์เสือ ประเมินคร่าวๆ จากการดูน้องมันทำงานผมคิดว่ามันพร้อมที่จะรับมือทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ความมั่นใจของเจ้าตัวเท่านั้น ดังนั้นผมจึงมีแผนว่าต้นเดือนมีนาคมนี้คงเหมาะที่จะยื่นใบลาออก

“กลับมาแล้วครับ คนเยอะจัง”

ผมยื่นหน้าเข้าไปในครัวเมื่อเดินผ่านลูกค้าที่นั่งกันเต็มร้านเข้ามาภายใน เจ้าของร้านที่รับหน้าที่เชฟเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ผม

“กินอะไรมารึยังครับ”

“หิวอะ”

“ขึ้นไปรอข้างบนก่อนเดี๋ยวเอิ้นทำขึ้นไปให้”

“ขอบคุณครับคุณเชฟ แล้วปิงปองกลับมารึยังอะ”

“กลับมาแล้ว เอิ้นไปรับมาเมื่อตอนกลางวัน”

“กุ๊กกิ๊กล่ะ”

“ก็กลับมาด้วยกันนั่นแหละ มาที่ร้านเนี่ยคิดถึงแค่หมากับแมวเหรอ คิดถึงเอิ้นบ้างมั้ย”

“เจอกันทุกวันต้องคิดถึงด้วยเหรอ”

ที่ร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านหน้าและชั้น 2 เป็นส่วนของร้าน ครัวและห้องเก็บของ ส่วนชั้น 3 และดาดฟ้าถูกตกแต่งเป็นบ้านพัก เกือบ 2 เดือนที่เปิดร้านมาบอกว่าขายดีมากก็คงไม่ถูกต้องนัก บางวันก็คนเยอะ บางวันก็คนน้อยแล้วแต่สถานการณ์ แต่เชื่อไหมว่าผมไม่เคยได้ยินเชฟคนใหม่บ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง

คำที่บอกว่า ‘เราจะไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหากได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ’ คงจะเป็นเรื่องจริง

คงดีถ้าสักวันผมค้นพบว่าตัวเองชอบและอยากทำอะไร

“ปิงปอง!!” เจ้าหมาพันธุ์ทางที่ผมบังเอิญเก็บได้ในถังขยะเมื่อเดือนที่แล้ววิ่งกระดิกหางดิ๊กๆ ด้วยท่าทางระริกระรี้เข้ามาหา ผมจึงอุ้มมันขึ้นมากอดไว้แนบอกก่อนนั่งลงบนแคร่ไม้ที่ตั้งอยู่บนระเบียง

ผมลูบหัวมัน คุยกับมันราวกับว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ไม่หรอก ถึงแม้เจ้าปิงปองจะมองหน้าผม บางครั้งก็เลียปากผม แต่มันก็ทำไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น มันไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิดเดียว

ขณะที่กำลังคุยกับปิงปอง เจ้ากุ๊กกิ๊กแมวที่น้องชิปเก็บได้และมาฝากเอิ้นเลี้ยงก็เดินมาคลอเคลียที่ขา ครั้นเมื่อตั้งใจจะอุ้มมันขึ้นมา เจ้าแมวก็เดินเลี่ยงผมไปซะอย่างนั้น

จำได้ว่าเคยถูกถามว่าชอบหมาหรือแมวมากกว่ากัน หากถามซ้ำผมก็ยังจะตอบว่าหมา ก็ดูแมวสิ มันทำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงของเราที่ไหน แหม คงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายแล้วเราเป็นทาสล่ะสิ

นี่เสือครับ ไม่ตกเป็นทาสแมวแน่นอน ถ้าอยากได้ทาสล่ะก็เชิญลงไปคลอเคลียเจ้าของบ้านโน่น

“ทะเลาะกับกุ๊กกิ๊กอีกแล้วเหรอ”

ขณะที่ผมกำลังคุยกันด้วยเสียงในใจกับเจ้ากุ๊กกิ๊ก คุณเชฟก็ปรากฏตัวพร้อมกับอาหารกลิ่นหอม

“มีอะไรกินบ้าง”

“ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ เอิ้นเพิ่งลองทำอะ ไม่รู้ว่าจะกินได้มั้ย”

“อ้าว ไม่รู้ว่ากินได้มั้ยแต่เอามาให้เรากินเนี่ยนะ”

“เอิ้นลองชิมแล้ว อร่อยนะแต่อยากให้เสือลองชิมแล้วบอกหน่อยว่าอร่อยจริงๆ หรือว่าเอิ้นเข้าข้างตัวเอง”

เจ้ากุ๊กกิ๊กถูกอุ้มขึ้นมาโดยทาสของมัน ส่วนปิงปองก็เดินอยู่รอบๆ สงสัยคงกินอิ่มแล้วจึงไม่สนใจถาดอาหารของผมเลย

“หน้าตาน่ากินนะ”

มองหน้าเชฟที่มองผมอย่างลุ้นๆ แล้วจึงตักเมนูแนะนำเข้าปาก ผมเคี้ยวมันอย่างละเอียดลออสัมผัสรสชาติด้วยลิ้นที่พักหลังมานี้ทำหน้าที่ชิมเมนูใหม่ๆ บ่อยเหลือเกิน

“เป็นไงบ้าง”

“ใช้ได้”

“แค่ใช้ได้เองเหรอ”

“เคยไปกินที่ร้านแถวๆ มหา’ลัยตอนที่กลับไปเจอพวกเพื่อนๆ น่ะ ร้านนั้นอร่อยมาก อร่อยแบบลืมไม่ลงอะ เสือว่าถ้าเอิ้นอยากให้ลูกค้ากลับมากินอีก เอิ้นก็ต้องทำอาหารที่มีรสชาติพิเศษ แบบที่ต้องมาที่นี่เท่านั้น”

“เป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่เอิ้นจะพยายาม” แม้ปากจะบอกว่ายากแต่ใบหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจนอดกระเซ้าไม่ได้

“ดูมีความสุขนะ”

“มีความสุขสิ ยิ่งได้ทำอาหารให้เสือกินเอิ้นก็ยิ่งมีความสุข”

“เดี๋ยวต้นเดือนว่าจะยื่นใบลาออกแล้วนะ”

“วินเก่งขึ้นแล้วเหรอ”

“มันทำได้แหละ ตอนนี้อยู่ที่ความมั่นใจของน้องมันแล้ว พรุ่งนี้เสือก็ปล่อยให้น้องมันเข้าประชุมเอง เสือไม่ไปด้วย”

“ถ้าลาออกแล้วคิดไว้หรือเปล่าว่าจะทำอะไร”

“ยังไม่ได้คิด” ผมส่ายหน้า

ที่จริงก็คิดแหละ คิดว่าจะพักสักระยะแล้วค่อยคิดแผนการหางานในอนาคต

“ไม่มีความสุขกับการทำงานเหรอ”

“ไม่ถึงกับไม่มีความสุขหรอก แค่คิดว่าใช้เวลาอยู่กับมันนานเกินไปแล้ว 5 ปีแล้วนะเอิ้นที่เสือทำงานที่นี่ อยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ งานเดิมๆ เราเดิน เราเหนื่อย แต่มันเหมือนกับเราย่ำอยู่กับที่ในขณะที่โลกหมุนอยู่ตลอดเวลา”

“ลองปรึกษาแม่ดูก่อนมั้ย”

“เอิ้นไม่อยากให้เสือลาออกเหรอ”

“เอิ้นไม่ได้ห้ามแต่เอิ้นไม่เห็นด้วยที่เสือจะออกจากงานมาโดยไร้จุดหมาย อย่างที่เสือบอกว่าโลกหมุนอยู่ตลอดเวลา เรายังคงต้องดำรงชีวิตอยู่และเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญนะ แต่ถ้าเสือตัดสินใจจะออกจริงๆ เอิ้นก็ไม่ว่าอะไร”

“พูดทำไม เริ่มลังเลแล้วเนี่ย”

“เห็นมั้ย เอิ้นพูดแค่นี้เสือยังลังเล รู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร” ผมส่ายหน้า “ใจนึงเสือก็ยังผูกพันกับที่นั่น แต่อีกใจก็อยากก้าวออกมาเพื่อตามฝันที่เสือเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ใช่มั้ยล่ะ”

โอ้โห ตรงประเด็นอย่างกับนั่งอยู่กลางใจผมอย่างนั้นแหละ

“ถ้าเราไม่มีความฝันเราไม่มีสิทธิลาออกจากการเป็นพนักงานออฟฟิศเหรอ”

“งั้นเสือตอบเอิ้นหน่อยได้มั้ยว่าเสือถนัดอะไรนอกจากงานที่เสือทำอยู่ทุกวัน”

สำหรับคนอื่นคำถามนี้อาจจะไม่ยากเลยแต่สำหรับผมเมื่อได้ฟังคำถามสมองกลับว่างเปล่า ไม่ว่าจะพยายามเค้นหาคำตอบเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หมายความว่าผมไม่ถนัดอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ

ผมทิ้งตัวนอนหนุนตักคนถามคำถามเมื่อยกถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆ อุ้มปิงปองที่นอนหลับอยู่มาวางไว้บนอก มองท้องฟ้าที่ปราศจากดวงดาวไม่ต่างอะไรจากตัวผมที่ไร้ซึ่งความฝัน

“เอิ้นจำได้ว่าเสือวาดรูปเก่ง”

“ไม่ได้วาดมานานแล้ว มือแข็งหมดแล้ววาดไม่ได้หรอก”

“เรียนจบบริหารมาใช่มั้ย”

“อื้อ”

“จบบริหารก็ต้องทำงานบริหาร ระหว่างที่ยังตามหาความฝันตัวเองไม่เจอ ลองมาเป็นผู้จัดการร้านให้เอิ้นก่อนมั้ย เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวันไง”

“ได้เหรอ”

“ได้สิ”

“เงินเดือนเท่าไหร่”

“คงไม่เยอะเท่าที่เก่านะ ร้านเพิ่งเปิด กำไรก็ไม่ค่อยมี”

“มีใครเขาทิ้งงานเงินเดือนเยอะเพื่อมาทำงานเงินเดือนน้อยกันล่ะ”

“ไม่มาเหรอ”

“ไม่อยากใช้เส้นเข้าทำงาน อ่อ นึกได้อย่างนึงแล้วว่าถนัดอะไร”

“อะไร” เจ้าของตักถามด้วยความสนอกสนใจ

“รับจ้างทวงหนี้ดีมั้ย งานใช้กำลังขอให้บอกเถอะ โคตรถนัดอะ”

“ตลกนะเรา”

“ยังไม่ลาออกก็ได้ เดี๋ยวปรึกษาเจ๊ศรีดูก่อน แต่เจ๊คงไม่อยากให้ออกหรอก ออกมาก็มาเกาะเจ๊กิน”

“ก็มาเกาะเอิ้นกินแทนสิ อยากเลี้ยงเสือจะแย่แล้วเนี่ย” พูดเฉยๆ ไม่ได้ต้องไล้มือตามกรอบหน้าแล้วมาสัมผัสที่ริมฝีปาก

“จับอะไรเดี๋ยวก็กัดซะหรอก” นี่แน่ะ! งับนิ้วเข้าให้

“กัดอะไรเดี๋ยวก็จูบซะหรอก”

ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้แล้วแนบริมฝีปากลงมาโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธแม้สักนิดเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ห้ามปรามทั้งยังปล่อยให้ร่างกายตอบสนองไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีสักครั้งที่จูบของเราจะไม่ทำให้ผมรู้สึกดี จะว่าไปมันก็คล้ายยาวิเศษที่มีฤทธิ์ปัดเป่าความกังวลใจ

อาการขลาดเขินลดน้อยลงเมื่อเราสัมผัสกันบ่อยขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หายไป หัวใจของผมยังคงเต้นแรง ใบหน้ายังคงร้อนผ่าวแต่ก็กินระยะเวลาไม่นานก่อนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

“เดี๋ยวเอิ้นต้องลงข้างล่างแล้ว เสือจะนอนเล่นที่นี่ก่อนก็ได้นะ”

“ไม่อะ จะกลับบ้านแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”

“ขอบคุณสำหรับจูบนะ”

ไม่ต้องพูดก็ได้นะ ตอนทำก็ไม่เขินเท่าไหร่หรอกแต่พอพูดเท่านั้นแหละ เขินหนักมากจนต้องแก้อาการเขินนี้ด้วยการชกไหล่แกร่งแรงๆ แล้วชิงเดินลงมาก่อนเลย

เชฟมือใหม่เดินตามมาส่งผมถึงหน้าร้านเพื่อบอกฝันดีเป็นการบอกลา

ระหว่างเราเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เอิ้นย้ายมาอยู่ที่นี่



▼▲ ▼▲ ▼



เดินตรงไปอีกไม่เกิน 500 เมตรก็ถึงบ้านของผมแล้ว ผมแวะเข้าไปทักทายเจ๊ศรีในมินิมาร์ทอย่างที่ทำเป็นประจำแต่แปลกที่วันนี้เจ๊ไม่อยู่ที่ร้าน

“ทำไมวันนี้ไม่อยู่ร้านล่ะเจ๊” ผมทักเมื่อพบว่าเจ๊นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก

“กลับบ้านดึกทุกวันเลยนะพักนี้ แกมีแฟนเหรอ”

“เปล่านะเจ๊ก็ไปกินข้าวบ้านไอ้เอิ้นมา”

“แล้วนั่นไม่ใช่แฟนเหรอ”

คำพูดของเจ๊ทำผมนิ่งค้างเหมือนวิดีโอที่ถูกหยุดไว้ชั่วคราว

“แม่...”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อะไรตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงเจ๊จริงจังกว่าครั้งไหนๆ

“ไม่ได้เป็นแฟน เป็นเพื่อนกัน”

“เพื่อนที่ไหนเขาจูบกัน” ช็อคยิ่งกว่าถูกจับได้ว่าเป็นแฟนกันคือเจ๊เห็นตอนที่ผมกับเอิ้นจูบกัน ในเมื่อหลักฐานมันชัดเจนขนาดนี้ก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาแก้ตัวแล้ว

“เราชอบกันครับแม่แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าแฟนได้รึเปล่า”

“รักสนุกแต่ไม่อยากผูกพันรึไง ทำไมเป็นคนแบบนี้ฮะตาเสือ”

“มันก็ไม่ใช่รักสนุก แต่...”

“แต่อะไร ที่ผ่านมาแกก็สนใจแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอแล้วทำไมตอนนี้ถึง...” สีหน้าเจ๊ไม่ค่อยสู้ดีนัก  ท่าทีของเจ๊ทำให้ความหวังที่ว่าท่านจะยอมรับพวกเราพังทลายลง

ผมรู้สึกผิดหวัง อยากร้องไห้แต่เพราะเป็นผู้ชายผมจึงทำเพียงถอนหายใจแล้วตั้งใจจะอธิบาย ทว่าเจ๊กลับไม่ยอมเปิดโอกาส

น้ำเสียงแข็งดังขึ้นจนผมสะดุ้ง

“ผู้หญิงมีตั้งมากมายทำไมแกถึงชอบผู้ชาย แล้วทำไมต้องเป็นตาเอิ้น แม่ไม่เข้าใจเลยเสือ”

“แม่ไม่ชอบที่เสือชอบผู้ชาย หรือไม่ชอบที่คนนั้นเป็นเอิ้น”

แม่เงียบไม่ตอบแถมยังไม่ยอมมองหน้าผมอีก

“แม่คิดว่าเสือไม่ลำบากใจเหรอ เสือก็อยากมีแฟนเป็นผู้หญิง เสืออยากมีชีวิตธรรมดาแต่เสือก็ห้ามความรู้สึกที่มีต่อเอิ้นไม่ได้ เสือผิดเหรอ แต่ถ้าเสือผิด เสือขอโทษ ขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง”

“ถ้าแกรู้สึกผิดแกก็เลิกเจอกันซะ ถ้าความใกล้ชิดมันทำให้พวกแกรู้สึกพิเศษต่อกัน การอยู่ห่างก็อาจจะทำให้ความรู้สึกพวกแกห่างกันไปด้วยก็ได้”

“แม่ แต่เสือ...”

“ฉันสั่งห้ามให้พวกแกเจอกัน บอกเพื่อนแกด้วยว่าอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

“แม่!!!”

อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้นี่นา

ผมไม่คิดว่าเรื่องจะเลวร้ายแบบนี้ ผมคิดว่าเจ๊จะเข้าใจ ผมไม่เคยคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน

ผมนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องนี้ทั้งคืน

พยายามปลอบใจตัวเองว่าแม่แค่งอน เดี๋ยวตื่นเช้ามาเจอหน้าก็ยิ้มให้กันเหมือนเดิม แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่อย่างที่คิด

แม่กำลังโกรธ โกรธมากอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ปกติถ้าแม่งอน เมื่อเข้าสู่วันใหม่ก็จะหายงอนแล้ว แต่เช้าวันนี้แม่ยังปั้นปึ่งใส่ผมอยู่เลย

เพราะแม่ไม่ยอมคุยกับผม บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตอนเช้าจึงอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก



▼▲ ▼▲ ▼



ผมเดินออกจากบ้านพร้อมกับพ่อ ไม่บ่อยหรอกที่เราจะเดินออกจากบ้านพร้อมกัน เพราะปกติพ่อจะขับรถออกจากบ้านเลย คงเพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารล่ะมั้งท่านจึงตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกันเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“ไปทำอะไรให้แม่เขาโกรธล่ะเรา” พ่อเริ่มเปิดประเด็น

“เรื่องเสือกับเอิ้นแหละพ่อ”

“แม่คงตกใจ”

“แม่โกรธต่างหาก เมื่อคืนแม่ยื่นคำขาดให้เสือเลิกเจอเอิ้นด้วย”

“แม่เขารักเสือนะ แม่รักเอิ้นเหมือนลูกชายคนนึงด้วยเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นทุกข์เพราะเห็นคนที่ตัวเองรักมากสองคนรักกันหรอก”

“แม่ไง ตอนนี้แม่กำลังเป็นทุกข์เพราะความรักของเสือ หรือว่าความรักของเสือกับเอิ้นเป็นสิ่งที่ผิดครับ”

“ความรักไม่ผิดหรอก”

“งั้นก็ผิดที่เสือกับเอิ้นเหรอครับ ผิดที่พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่มั้ย”

พ่อส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีใครผิดทั้งนั้นเสือ”

เหมือนบทสนทนาของเราจะยืดเยื้อพ่อจึงหยุดเดินแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แม่อาจจะแค่กลัว”

“กลัว” ผมทวนคำอย่างคิดไม่ออกว่าแม่กลัวอะไร

“แม่รู้จักเสือดีกว่าใคร แม่รู้ว่าเสือเป็นคนโลเล อยู่ใกล้อะไรก็มักจะคล้อยตามไปกับสิ่งนั้นเสมอ ถ้าอยากหยุดความกลัวและความกังวลใจของแม่เสือต้องทำให้แม่เห็นว่าเราจริงจังกับเอิ้นมากแค่ไหน”

“พ่อนี่สมกับที่เป็นสามีเจ๊ศรีจริงๆ”

“ก็คนอยู่ด้วยกันทุกวันนี่นา”

“แล้วพ่อล่ะผิดหวังในตัวเสือรึเปล่าครับ”

“เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่า...แค่ลูกพ่อมีความสุขพ่อก็มีความสุขแล้ว เอาล่ะ!” พ่อก้มมองนาฬิกา “สายแล้ว รีบเถอะมีคนรออยู่ตรงโน้น”

เมื่อมองตามสายตาอบอุ่นโอบอ้อมของพ่อก็พบกับเจ้าของร้านอาหารที่ยืนมองมายังเราอยู่ก่อนแล้ว

ผมควรบอกเขาเรื่องนี้หรือเปล่านะ

พ่อเดินย้อนกลับไปที่บ้านส่วนผมก็มุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อทักทายคนที่มารอส่งผมไปทำงาน

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ ตาคล้ำเชียว” นิ้วเรียวสัมผัสที่ใต้ดวงตาของผมแผ่วเบาเมื่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

“บอกแม่เรื่องที่จะลาออกแล้วเหรอ”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ก็กังวลเรื่องแม่จริงๆ น่ะแหละ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเครียดเรื่องแม่”

เอิ้นไม่ได้ตอบแต่เหลือบมองไปยังทางเดินที่ผมเพิ่งเดินผ่านมาและเมื่อมองตามสายตาคมก็พบกับคำตอบ แม่ยืนมองเราจากหน้าร้านมินิมาร์ทแต่เมื่อเห็นว่าเรามองกลับไปก็รีบกลับเข้าร้าน

“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจเล่าให้เอิ้นฟังได้ตลอดนะ”

ความอ่อนโยนที่แสดงออกทั้งน้ำเสียงและการกระทำของคนที่ยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้ผมคงไม่ทำให้เจ๊คลางแคลงใจในความรักสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นปัญหาก็คือความรู้สึกของผม

ผมน่ะเป็นพวกแสดงความรู้สึกและแสดงออกไม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ แต่ถ้าอยากให้เจ๊ยอมรับก็ต้องทำให้เห็นล่ะนะ



▼▲ ▼▲ ▼



ผมยื่นใบลาออกทันทีเมื่อเคลียร์งานทุกอย่างเสร็จ ยังไม่รู้หรอกว่าจะออกมาทำอะไร ผมไม่ใช่คนที่ชอบวางแผนอนาคตสักเท่าไหร่ ตอนแรกก็ลังเลหรอกแต่พอพี่สิงห์เห็นดีเห็นงามด้วยเท่านั้นแหละก็ตัดสินใจยื่นใบลาออกทันที

คงจะจริงที่พ่อบอกว่าผมเป็นคนโลเลและมักจะคล้อยตามสิ่งรอบตัวได้โดยง่าย

“ลาออกแล้วนะ”

คำทักทายใหม่ทำให้คนที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวหันมามอง

“อื้อ” และตอบแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ

“ทำไมวันนี้ปิดร้านเร็วจัง” ผมก้าวเข้าไปยืนข้างๆ ชะโงกหน้ามองอาหารในกระทะเมื่อถาม

“ยังไม่ปิด”

“อ้าว ไม่มีคนเลย”

“วันนี้มีลูกค้าเข้าร้านแค่ 2 คนเอง” ครั้งแรกตั้งแต่เปิดร้านที่ผมได้ยินเอิ้นพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

“เอาน่า อย่างน้อยก็มีลูกค้าตั้ง 2 คนแน่ะ ก็ถือซะว่าเป็นวันทำงานแบบชิวๆ ละกัน”

“ชิวมาหลายวันแล้ว เอิ้นไม่คิดเลยอะว่าการทำตามความฝันตัวเองมันจะยากขนาดนี้”

“ถามอะไรอย่างนึงสิ” อีกฝ่ายพยักหน้าผมจึงยื่นมือไปจับชายเสื้อกระตุกเบาๆ แล้วถาม “ที่เปิดร้านอาหารเนี่ยอยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงหรืออยากทำธุรกิจเพื่อแสวงหาผลกำไร”

“มันก็ทั้งสองอย่าง ถ้าการทำตามฝันแล้วไม่มีจะกินจะทำทำไม”

“ถ้าคิดว่าจะทำงานเพื่อให้ตัวเองมีอันจะกิน งานก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะลาออกมาทำตามความฝันตัวเองทำไม เมื่อก่อนเอิ้นดูมีความสุขมากกว่านี้ตอนที่ได้ทำอาหาร ตอนที่เห็นคนอื่นได้กินอาหารที่เอิ้นทำ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

มือที่กำลังง่วนอยู่กับตะหลิวกับกระทะหยุดชะงักลง

“เสือไม่รู้หรอกนะเอิ้น ว่าการได้ทำตามความฝันของตัวเองมันให้ความรู้สึกดีแค่ไหน เสือรู้แค่ว่าตอนที่เสือเห็นเอิ้นทำมันด้วยความรักและความตั้งใจ เสือมีความสุขมากที่เห็นเอิ้นมีความสุขกับมัน”

ผมขยับเข้าไปใกล้คนที่เอาแต่จ้องหน้าผมอีก ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเตาแก๊ส

“ลืมเรื่องผลกำไรไปซักพักได้มั้ย ลองทำมันด้วยความรักจริงๆ ถ้าสุดท้ายความรักที่เอิ้นมีพยุงความฝันของเอิ้นไว้ไม่ไหว เราค่อยมาช่วยกัน”

ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอ่อนล้าของอีกฝ่าย อยากให้เข้ามั่นใจและไว้ใจกัน

“ไว้ใจเสือมั้ย เสือ โปรเจ็คเมเนเจอร์ที่ดันยอดขายผลิตภัณฑ์โนเนมให้สูงทัดเทียมผลิตภัณฑ์ที่ติดตลาดมาแล้วหลายต่อหลายแบรนด์เลยนะ”

บนใบหน้าของคนตรงหน้าผมเผยรอยยิ้ม แม้จะแฝงด้วยความเหนื่อยล้าแต่อย่างน้อยเขาก็ยิ้ม

ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ แบบที่ผมเคยได้รับจากเขามาหลายต่อหลายครั้ง

“เอิ้นเคยบอกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอิ้นจะอยู่ข้างเสือ แล้วเสือเคยบอกเอิ้นมั้ยว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเสือก็จะอยู่ข้างเอิ้นเหมือนกัน”

“แพ้เลยอะ”

“แพ้อะไร”

“แพ้เสือ”

“ไม่ใช่ว่าแพ้มาตั้งนานแล้วหรือไง”

“ครับ โคตรแพ้”

ร่างของผมถูกรั้งเข้าไปกอดเอาไว้แบบที่ผมเองก็ยินยอมให้โอบกอดอย่างไม่เกี่ยงงอน ถ้าหากว่าสัมผัสอุ่นๆ นี้จะช่วยปัดเป่าความเหนื่อยล้าและเยียวยาจิตใจที่ท้อแท้ได้ล่ะก็ ผมยอม

“คืนนี้นอนนี่ได้มั้ย เอิ้นอยากกอดเสือ” เสียงแผ่วกระซิบข้างหูแล้วงับ

“แม่จับตาดูอยู่จะให้ค้างที่นี่ได้ยังไง”

“ให้เอิ้นไปช่วยพูดกับแม่ดีมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก บอกแล้วไงว่าเสืออยากพิสูจน์ตัวเองให้แม่เห็นว่าเสือไม่ใช่คนโลเลอีกต่อไปแล้ว”



▼▲ ▼▲ ▼



เอิ้นพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่าความฝันอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เรามีความสุขที่สุดได้

ผลประกอบการเดือนที่ 2 หลังจากหมดโปรโมชั่นเปิดร้านใหม่แย่ถึงขั้นแม้แต่ต้นทุนก็ยังไม่ได้คืน

“ลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ”

ผมถามในตอนที่เรานั่งกินไอศครีมด้วยกันบนดาดฟ้าในช่วงกลางดึกหลังจากเก็บร้านเสร็จแล้วโดยมีเจ้าปิงปองกับเจ้ากุ๊กกิ๊กเดินพันแข้งพันขาอยู่ไม่ห่าง

“ส่วนมากจะเป็นกลุ่มผู้หญิง”

“ช่วงอายุล่ะ ประมาณเท่าไหร่”

“พนักงานออฟฟิศแถวนี้”

“ช่วงเวลาและเมนูแบบไหนที่ขายดีที่สุดล่ะ”

“กลางวันจนถึงบ่าย อาหารจานเดียวน่าจะมียอดสั่งมากที่สุด”

“แล้วทำไมไม่เพิ่มเมนูอาหารจานเดียวเข้าไปล่ะ อีกอย่าง เอิ้นคิดว่ามันจะดีไหมถ้าเราเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ด้วย”

“เอิ้นทำอาหารไม่ได้หลากหลายขนาดนั้นและอีกอย่างเอิ้นไม่มีความรู้เรื่องการจัดส่งเลย”

“คิดว่ากำลังคุยอยู่กับใคร นี่เสือนะครับ เสือที่คลุกคลีวงการธุรกิจการขายมากว่า 5 ปีและเติบโตมาในย่านนี้ ตรอกไหนซอยไหนขอแค่ถามตอบได้หมด รู้ดียิ่งกว่ากูเกิ้ลแมพอีก”

“คร้าบ คุณเสือ”

“เรื่องทำอาหาร ลองให้แม่สอนดีมั้ย”

“แต่ว่านี่ก็เกือบ 2 สัปดาห์แล้วนะที่ท่านไม่คุยกับเรา”

“นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้พิสูจน์ตัวเองก็ได้นี่”

แผนงานของเรายังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่แต่มันก็ทำให้คนที่ไม่ร่าเริงมาหลายวันยิ้มได้บ้าง ผมเองก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยความรู้ที่มีไม่มากของตนทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ ถ้าเจ๊รู้เจ๊จะภูมิใจในตัวผมหรือเปล่านะ

เอิ้นเดินมาส่งผมที่บ้านหลังจากตกลงกันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาคุยรายละเอียดกันต่อพร้อมคุณลลิน

เราบอกลากันด้วยคำว่า ‘ฝันดี’ อย่างเช่นทุกคืน

ผมเดินเข้าบ้านและควรจะขึ้นห้องถ้าหากไม่พบว่าไฟในห้องรับแขกยังสว่างอยู่ เจ๊ศรีคนขี้งอนกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟากลางห้อง มองด้านข้างก็ยังรับรู้ได้ว่าแม่เหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด ต้นเหตุของความเหนื่อยนี้อาจจะเป็นผม

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงบนพื้น

“แม่ยังโกรธเสืออยู่เหรอ”

แม่ยังคงเมินเฉยเฉกเช่นทุกวัน

“คุยกันหน่อยได้มั้ย เสือมีเรื่องอยากให้แม่ช่วยหน่อย”

เช่นเดิม สายตาของแม่ยังคงจับจ้องที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังฉายโฆษณาผงซักฟอก

“หลายสัปดาห์มานี้ที่เชิญนั่งยอดขายไม่ค่อยดีเลยแม่ เอิ้นก็ท้อ เสือก็เลยมีไอเดียว่าจะให้ที่ร้านทำข้าวกล่องกับพวกอาหารจานเดียวขายด้วย แต่ก็เป็นแค่ความคิดเสือกับเอิ้นนะ ส่วนคุณลลินเราจะคุยกันพรุ่งนี้ เสือไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรอก แต่ว่า เสือไม่สบายใจเลยเวลาที่เอิ้นดูไม่มีความสุข”

ผมไม่รู้ว่าแม่ฟังผมอยู่หรือเปล่าแต่ที่ดันทุรังพูดหวังเพียงว่าจะมีสักประโยคที่ท่านรับรู้

“ทั้งที่เป็นความฝันของตัวเองแท้ๆ แต่กลับทุกข์เมื่อได้ทำมัน เสือว่ามันไม่ถูกต้องเลยแม่”

โฆษณาผงซักฟองเปลี่ยนเป็นโฆษณาแชมพูขจัดรังแค

“ถ้าอาหารที่ร้านขายดีขึ้นทุกคนก็คงมีความสุข เสือว่าแม่ก็คงอยากให้เอิ้นมีความสุขเหมือนกัน แม่ครับ แม่ช่วยเอิ้นหน่อยได้มั้ย”

หน้าจอทีวีดับลงในจังหวะที่ผมพูดจบประโยคพอดี สงสัยแม่คงไม่ชอบโฆษณาแชมพูตัวนี้ถึงได้เดินออกจากห้องรับแขกแล้วขึ้นชั้น 2 ไป โดยไม่สนใจใยดีผมที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้นสักนิดเดียว

เศร้าเลย




[- T B C -]

เสือของเอิ้นเป็นนิยายไบโพลาร์ค่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ปรับอารมณ์ทันป่ะ ไม่ทันก็ต้องทันอะ บังคับ 555

ปีใหม่แล้ว...สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน
ปีนี้ก็ขอฝากตัวอีกปีนะ
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-01-2017 13:39:08
สู้ ๆ นะเสือ เจ้ศรี ก็เก็กไปอย่างนั้นแหละ
ข้างในใจอ่อนจะตาย อ้อนเข้าไว้เดี๋ยวดีเอง
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-01-2017 14:06:00
 :sad4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-01-2017 17:09:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 07-01-2017 17:28:18
ชอบเจ๊ศรี  ที่โกรธนี่คือกลัวลูกสับสนในตัวเองใช่ไหม
เอิ้นกับเสือ จะไปกันไหวใช่ไหม ความฝัน อะ มักจ่ายด้วยของราคาแพงเสมอ ถ้ามันไม่สำเร็จ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 07-01-2017 18:31:33
สงสารเสือกับเอิ้น...
เพราะคาดว่าเจ๊ศรีจะรับได้
พอเจ๊งอนคอนทินิวเลยทำตัวไม่ค่อยถูก

เอาน่า...อย่างน้อยก็ได้เล่า
และเรายังมีกัน...แรงฮึดยังมาแหละเนอะ
สู้ๆ นะเสือเอิ้น << เอ๊ะๆ ผิดตำแหน่ง เอิ้นเสือสิ ^^
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 07-01-2017 20:32:30
เจ๊ศรี!!
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-01-2017 14:19:33
คือเจ้ห่วงเอิ้น กลัวเสือทำเอิ้นเสียใจ

ถถถถถถ เสือ นี่เอ็งยังเป็นลูกเขาหรือหมาหัวเน่ากันนะ

555555
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-01-2017 14:23:11
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมาก จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 29-01-2017 11:20:52

ตอนที่ 22 {เพราะรัก}



ตั้งแต่ถูกแม่งอนผมก็ไม่ได้กินข้าวเย็นฝีมือแม่อีกเลย และพักหลังมานี้ผมก็กลับบ้านดึกทุกวันเพราะเอาแต่ขลุกอยู่กับคนที่ท้อเพราะความฝันตัวเอง

หลังจากสรุปเรื่องร้านได้แล้วคุณลลินก็ขอตัวกลับทันที

ทุกวันนี้เธอไม่มองเอิ้นด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มหยดย้อยอีกต่อไป เห็นดังนั้นผมก็สบายใจ

“เสือทำงานวันสุดท้ายเมื่อไหร่”

“สิ้นเดือน”

“ก็อีกประมาณ 3 สัปดาห์ใช่มั้ย”

“อื้อ ทำไมเหรอ”

“มาทำงานกับเอิ้นมั้ย เอิ้นอยากให้เสือช่วยดูแลเรื่องการส่งเสริมการตลาดให้หน่อย นะ” ใจอ่อนก็เพราะคำว่า ‘นะ’ ที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนตรงท้ายประโยคนี่แหละ

“ก็ช่วยอยู่นี่ไง เสือว่าช่วยเพราะอยากช่วยมันมีพลังมากกว่าช่วยทำเพราะเป็นหน้าที่อีกนะ”

“ทำไมแฟนเอิ้นน่ารักขนาดนี้น๊า”

อ้อมแขนอุ่นๆ โอบกอดผมจากด้านหลัง ด้วยความเคยชินผมจึงยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายกอดเสียให้พอ แต่ดูเหมือนว่าแค่กอดจะไม่พอสำหรับไอ้คนหื่นกามที่ประทับริมฝีปากลงบนท้ายทอยของผม

“เอิ้น” ผมปราม

“หืม” อ้อมกอดถูกกระชับให้แน่นขึ้น ริมฝีปากของคนร้ายกาจไล้มาที่คอด้านซ้ายปลุกความซ่านสยิวในตัวผม

“ปัญหายังมีให้แก้อีกเป็นกระบุงยังมีอารมณ์อยากทำเรื่องอย่างว่าอีกเหรอวะ”

“เสือไม่เคยได้ยินเหรอว่าเซ็กส์ช่วยคลายเครียดได้นะ”

“แต่มึงจะได้เครียดกว่านี้แน่ถ้าเจ๊ไม่ยอมช่วย” ปลายจมูกซุกซนที่ซุกไซ้อยู่บริเวณคอของผมหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินชื่อเจ๊ศรี

“เสือคุยกับแม่แล้วเหรอ”

“อย่าเรียกว่าคุยเลย เรียกว่าพูดคนเดียวถูกกว่า”

“แม่ไม่ยอมคุยด้วยเหรอ”

“อือ” ตั้งแต่ไม่ได้คุยกับเจ๊ผมรู้สึกเหงามาก

“เอิ้นขอโทษนะ เพราะเอิ้นแท้ๆ เลย”

“เออดิ รับผิดชอบเลยนะ”

“ยังไง”

“ไปส่งบ้านหน่อย”

“อะไร ให้รับผิดชอบแค่นี้อะนะ”

“แล้วอยากรับผิดชอบแค่ไหน”

“อยากรับผิดชอบทั้งชีวิตเสือนั่นแหละ”

“พอเลยๆ หยิบมือถือกับกระเป๋าตังค์ให้หน่อย” ของที่ว่าวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าผมซึ่งมันง่ายมากถ้าหากผมจะหยิบเองแต่ผมก็เลือกที่จะทำมันให้เป็นเรื่องยากด้วยการหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ยังคงกอดผมเอาไว้หลวมๆ

“ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะเรา” จมูกของผมถูกบีบเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวก่อนร่างทั้งร่างจะถูกดันให้สะโพกชิดขอบโต๊ะ เรายังคงสบตากันขณะที่เอิ้นเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ของผมอย่างอ้อยอิ่ง

“น่ารักได้กว่านี้อีกจะบอกให้”

ผมกอดเอิ้นไปทีนึง ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก็ผละออกแล้วเปลี่ยนเป็นกอดคอ

“ไปส่งบ้านได้รึยัง อยากกลับบ้านแล้ว”

“ไม่อยากให้กลับเลย”

แม้จะบอกอย่างนั้นและบ่นว่าผมไม่ยอมใจอ่อนนอนค้างด้วยสักทีแต่ก็ยอมเดินมาส่งถึงหน้าบ้านดั่งเช่นทุกๆ คืน



▼▲ ▼▲ ▼



คืนนี้ก็เหมือนคืนก่อนที่ผมเจอเจ๊นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก อยากจะแวะเข้าไปคุยด้วยอยู่หรอกแต่ก็กลัวว่าจะถูกเมินเหมือนเมื่อคืนก่อนจึงตัดสินใจเดินผ่านมาทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าน้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงด้วยความร้ายกาจนิดๆ ที่ผมไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้นให้เอี้ยวตัวกลับไปมอง

“มานั่งนี่สิ”

เจ๊ตบที่ว่างบนโซฟาข้างท่านปุๆ เรียกให้รีบปรี่เข้าไปนั่งราวกับพื้นกระเบื้องที่วิ่งผ่านเต็มไปด้วยลาวาร้อนๆ

แม่มองหน้าผมนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือมาจับมือของผมไปกุมเอาไว้ สายตาอ่อนโยน รักใคร่และเอ็นดูแบบที่ผมไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ทำให้ผมใจชื้นขึ้นหน่อย ความห่างเหินตลอดสัปดาห์ถูกร่นให้น้อยลงจนเป็นปกติ

ถึงแม้เราไม่ค่อยแสดงออก แต่ผมก็รู้ว่าแม่รักผม เรารักกัน แต่ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เราจะแสดงมันออกมา

แม่กุมมือผม เราปล่อยให้ความเงียบโอบกอดเราทั้งคู่เอาไว้เนิ่นนานก่อนเสียงกระแอมไอจะดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าบทสนทนากำลังจะเริ่มขึ้น

หัวใจของผมเต้นแรงจนจับจังหวะไม่ได้ ลุ้นจนแทบลืมหายใจไปกับสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง

ผมมองแม่นิ่ง เฝ้ารอ

“แม่จะถามเสืออีกครั้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเอิ้นเรียกว่าอะไร”

“แฟนครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์นี้อาจจะบอกคนอื่นได้ไม่เต็มปากแต่ผมก็อยากจะบอกให้แม่รู้ความรู้สึกของผมชัดๆ

ผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้านิ่งเรียบ หมายความว่าผมมาถูกทางแล้วใช่มั้ย

“เสือ” ผมไม่รู้ว่าแม่เรียกชื่อผมทำไม มือที่กระชับขึ้นนี้ก็เช่นกัน ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรได้แต่มองหน้าแม่นิ่งๆ เพื่อรอ “เสือรู้ใช่มั้ยว่าแม่ไม่ได้มีความรู้มากมาย ที่แม่ได้เป็นครูก็เพราะร่างกายและความเชี่ยวชาญด้านกีฬาไม่กี่อย่างเท่านั้น”

ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ แม่ถึงพูดเรื่องนี้แต่ก็พยักหน้ารับ

แม่ของผมเป็นครูพละเพราะเคยเป็นนักกีฬาเทเบิลเทนนิสระดับประเทศ และดูเหมือนจะเป็นความเชี่ยวชาญอย่างเดียวที่แม่มี

“แม่เติบโตมากับการเล่นกีฬา ทั้งชีวิตแม่มีแต่กีฬา กระทั่งได้มาเจอพ่อของลูก และที่แม่มีชีวิตที่ดีในทุกวันนี้ก็เพราะพ่อของลูก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตแม่คือครอบครัวของเรา ความสุขของคนในครอบครัวก็คือความสุขของแม่เหมือนกัน”

น้ำใสปริ่มที่ขอบตาแต่แม่ก็ยังเลี้ยงมันเอาไว้ด้วยการมองไปบนเพดาน

“แม่เอาแต่พร่ำบอกให้เสือตั้งใจเรียน ทั้งที่ตอนแม่เป็นนักเรียนแม่ก็ไม่ได้เป็นนักเรียนที่ดีนัก แม่เรียนไม่เก่ง แม่ก็เลยจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่แม่รัก”

แน่นอนว่าสิ่งที่แม่รักในตอนนั้นคือกีฬาเทเบิลเทนนิส

“แม่อยากบอกให้ลูกของแม่เป็นคนซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เป็นลูกผู้ชายที่เป็นที่พึ่งของผู้หญิงได้ แม่อยากสอนลูกในหลายๆ เรื่อง แต่หลายๆ เรื่องนั้นเสือกลับทำได้ดีกว่าแม่ซะอีก”

ที่เป็นเสือได้ทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะแม่แล้วจะเพราะใคร

ผมยื่นมือข้างที่ว่างไปเช็ดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลอาบผิวแก้มของผู้หญิงที่ผมรักที่สุด กอบกุมใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตานั้นไว้

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่แม่ทำได้ดีกว่าเสือเลย เพราะฉะนั้นแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามเสือ”

“ไม่ใช่ซักหน่อย แม่มีสิทธิ์นะ เพราะแม่เป็นแม่เสืออะ ถ้าไม่มีแม่ก็ไม่มีเสือ ถ้าแม่ไม่คอยบ่น เสือก็คงเอาแต่โดดเรียนป่านนี้อาจจะเป็นกุ๊ยอยู่ข้างถนน ที่เสือเป็นคนดีก็เพราะแม่ทำให้เห็น ไม่ว่าใครจะมองแม่เสือยังไง ถึงเขาจะบอกว่าแม่เป็นมนุษย์ป้า แต่สำหรับเสือแม่คือผู้หญิงที่ประเสริฐที่สุดนะ”

ผมวางมือลงบนมือของแม่ เป็นฝ่ายกอบกุมมือบอบบางที่เริ่มจะมีรอยย่นให้พอสัมผัสได้ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เราจับมือกันมือแม่ยังนุ่มนิ่มอยู่เลย แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แม่อายุมากขึ้นอีกแล้ว

“แม่ที่ดีที่ไหนเขากีดกันความรักของลูกกันล่ะ”

“เสือเข้าใจแม่นะ” ผมบีบมือแม่แล้วว่าต่อ “ที่แม่ไม่เห็นด้วยก็เพราะตัวเสือเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้แม่มั่นใจไม่ได้ เสือกำลังพยายามนะแม่ พยายามทำให้แม่เห็นว่าเสือจริงจัง เสือจะไม่ทำให้เด็กข้างบ้านสุดที่รักของแม่เสียใจหรอก เสือไม่ได้บอกให้แม่เชื่อใจเสือตอนนี้นะ แค่คอยมองเสือ คอยตักเตือน ได้มั้ยอะ”

“แม่ไม่เคยเห็นเสือจริงจังกับเรื่องอะไรขนาดนี้มาก่อน แม่ไม่เคยเห็นเสือยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่แม่อยากโกรธที่อยู่ๆ ลูกชายก็มีแฟนเป็นผู้ชายแต่เมื่อมองเสือกับเอิ้นแม่กลับเอาแต่ยิ้ม นั่นมันทำให้คิดได้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขหรอก จริงมั้ย”

ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

หากถามว่าช่วงเวลาใดที่ผมมีความสุขที่สุดผมคงไม่ลังเลที่จะตอบว่าช่วงที่มีเอิ้นอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอดีต ทุกความทรงจำของเราเต็มไปด้วยความสุข ยกเว้นก็แต่ตอนที่ผมทำผิดกับเขา ซึ่งตอนนี้ก็ได้รับการให้อภัยแล้ว

“แม่ก็แก่ลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะอยู่กับเสือไปได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเป็นไปได้แม่ก็อยากให้เสือเจอคนดีๆ เหมือนที่แม่ได้เจอพ่อของเรา เสือรู้มั้ยว่าความฝันของแม่คืออะไร”

ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยสนใจเรื่องความฝันของแม่สักนิด ไม่เคยรู้ด้วยว่าคนวัยแม่ยังมีความฝันเหมือนๆ กับพวกเรา

“แม่อยากเห็นเสือมีความสุข และตอนนี้เสือทำฝันของแม่ให้เป็นจริงแล้ว ถ้าเป็นไปได้แม่ก็อยากให้ความฝันของแม่อยู่กับแม่ไปนานๆ”

“...”

“ถ้าเอิ้นคือความสุขของเสือ เสือก็ใช้ชีวิตในแบบของลูกเถอะ”

“แม่...”

เหมือนกับว่าในอกของผมได้แปรสภาพเป็นทุ่งดอกไม้ที่มีเหล่าผีเสื้อบินอยู่เหนือทุ่งสักพันตัว ผมไม่รู้ว่าจะนิยามความรู้สึกตอนนี้ว่าอย่างไร รู้เพียงว่ามันมากกว่าความสุขที่เคยรู้สึกมาตลอดทั้งชีวิตนี้

ผมโอบกอดแม่ เรากอดกันกลม ความเปียกชื้นไหลอาบแก้มเมื่อความรู้สึกทั้งหมดถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลเป็นสาย แม่เองก็ไม่ต่างกัน ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังจากอกที่ใบหน้าของผมซุกซบอยู่

ผมกอดแม่แน่นขึ้นอีก ถ่ายทอดความคิดถึงที่อัดแน่นจนตัวแทบระเบิด

“เจ๊ ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ผมบอกเสียงอู้อี้แนบอก

“แบบไหน” มือบอบบางลูบเส้นผมของผมแผ่วเบา

“แบบที่ไม่คุยกันน่ะ ไม่เอาแล้ว ถ้าโกรธเสือก็ด่าเสือนะ แต่อย่าเงียบใส่กันอีก โคตรคิดถึงเสียงด่าของเจ๊เลยรู้เปล่า”

“แกนี่มัน...” ไหล่ของผมถูกฟาดแรงๆ แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย ตรงข้ามกลับรู้สึกชอบเสียด้วยซ้ำ

อยากให้เจ๊ตี อยากให้เจ๊ทุบ อยากให้เจ๊หยิก อยากให้เจ๊ด่า ผมโคตรคิดถึงความโหดเหี้ยมเหล่านี้เลยว่ะ



▼▲ ▼▲ ▼



 “รสชาติใช้ได้แล้วนะ แต่แม่ว่ามันยังขาดอะไรไปอย่าง”

“ขาดความอร่อยเหรอครับ”

ผมโผล่หน้าเข้าไปในครัวในตอนเกือบ 1 ทุ่ม คุณเชฟและคุณครูเหลือบมองครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป

เสือยังสำคัญอยู่ไหมอะ

“ขอชิมหน่อยได้มั้ยครับ” เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปถาม

“มันไม่อร่อยหรอก”

“งอนเหรอ เจ๊ดูเอิ้นสิ งอนเสือเฉยเลย”

“ถ้าคิดว่าตัวเองทำอร่อยกว่าก็ไปทำกินเองสิ”

เอ๊า! เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยอะ เสือหัวเน่าอีกแล้ว

“เสือแค่แซวเล่นเองเจ๊ ทำไมต้องรวมหัวกันงอนด้วยอะ”

“เรื่องรสชาติอาหารนี่เอามาล้อเล่นไม่ได้เลยนะ คนทำอาหารเขาจริงจังมากนะยะ ไหนๆ ก็มาแล้วรับผิดชอบอาหารพวกนี้ด้วย แม่ต้องรีบกลับบ้านแล้วเดี๋ยวพ่อคิดถึง”

ผมนี่โห่เลย ไม่จริงอะพ่อไม่เคยแสดงออกว่าคิดถึงแม่สักครั้ง เชื่อผม ผมไม่เคยเห็น

“เดี๋ยวเอิ้นเดินไปส่งนะครับแม่”

อาหารจานสุดท้ายถูกวางลงบนโต๊ะก่อนทั้งคู่จะเดินออกจากครัวไป มองอาหารบนโต๊ะแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หิวก็หิวหรอกแต่ของกินบนโต๊ะนับคร่าวๆ น่าจะซัก 7 จาน ถ้ากินหมดรับรองอิ่มไปถึงฤดูหนาวแน่ๆ

“ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืนกินนะ”

อะไรวะ หายไปตั้งเกือบ 10 นาที กลับมายังไม่หายงอนอีกเหรอ

“รสชาติก็ไม่ได้แย่นี่หว่า”

“จริงเหรอ เอาใจรึเปล่า”

“ต้องเอาใจด้วยเหรอ วันนี้ก็ไม่ค่อยมีลูกค้าเนอะ”

“มีลูกค้ากลุ่มใหญ่มาลงเมื่อตอนกลางวัน เขาชมว่าอาหารอร่อยด้วย”

“มิน่าล่ะ วันนี้ดูอารมณ์ดีเชียว” คนอารมณ์ดียิ้มรับ “แล้วเจ๊มานี่ได้ไง”

“มาหาเอิ้นเมื่อเช้า ตอนเจอแม่ก็แอบกลัวนะแต่พอท่านบอกว่าคุยกับเสือแล้วและรู้แล้วว่าเสือรักเอิ้นมากแค่ไหนท่านก็เบาใจ”

“เอาความจริง”

“ที่บอกไปน่ะจริงที่สุดแล้ว”

“อย่ามาโกหก เสือไม่เคยบอกว่ารักเอิ้นนะ บอกแค่ว่าเห็นเอิ้นมีความสุขเสือก็มีความสุขด้วย”

“จริงดิ เสือพูดแบบนั้นจริงเหรอ”

อ้าวเวร เผลอพูดอะไรออกไป

ผมเฉไฉไม่ตอบคำถามด้วยการก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปาก

“งั้นต่อจากนี้เอิ้นจะมีความสุขให้มากๆ เพราะความสุขของเสือก็คือความสุขของเอิ้นเหมือนกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คืนนี้ค้างนี่มั้ย”

ไอ้ฉิบหาย ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

"พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน"

"ลาป่วยสิ"

ดูความหื่นกระหายของมันสิครับ อยากกอดก่ายผมขนาดนั้นเชียว เชื่อไหม ยิ่งอยู่ใกล้เอิ้นผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโคตรมีเสน่ห์

"แล้วคิดเรื่องเมนูอาหารรึยัง"

"คุยกับแม่ไว้คร่าวๆ อะ เอิ้นโน๊ตไว้ด้วย" โทรศัพท์มือถือถูกยื่นมาตรงหน้า ผมรับมาแล้วกวาดสายตามองคร่าวๆ เมนูส่วนมากเป็นอาหารง่ายๆ ที่เจ๊ศรีชอบทำและผมก็ชอบกิน "แม่บอกว่าเสือกินง่ายอยู่ง่ายและเมนูพวกนี้ก็เป็นของโปรดเสือด้วย"

"เหตุผลแค่นี้อะนะ"

"อื้อ บอกแล้วไงว่าเสือเป็นคนสำคัญ"

"สร้างอนุสาวรีย์กูไว้หน้าร้านเลยมั้ยล่ะ"

"กูคือใคร"

"เสือคร้าบ"

"น่ารักที่สุดเลยคร้าบบบ" แก้มของผมถูกบีบเบาๆ

เวลาอยู่ใกล้เอิ้นนอกจากผมจะรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์โคตรๆ แล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองโคตรสำคัญ และที่สำคัญ เสือแม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ

หลังจากวันนั้นผมก็เจอแม่ที่ร้านเชิญนั่งทุกวัน เวลาทั้งคู่ทำอาหารผมรู้สึกเหมือนกับว่ามองเห็นออร่าความสุขเปล่งประกายอยู่ทั่วห้องครัวจนอดที่จะเข้าไปร่วมแจมด้วยไม่ได้เลย

"วันนี้นอนนี่นะ"

คนที่กำลังล้างจานเงยหน้ามองผม เขานิ่งค้างปล่อยให้น้ำไหลผ่านจานไปเรื่อยๆ จนผมต้องเอื้อมมือไปปิด

"เสือพูดจริงเหรอ"

"อื้อ" ผมพยักหน้าขณะช่วยเก็บจาน "ขอยืมโน้ตบุ๊กด้วยนะ"

"เสือจะทำอะไร"

"ทำเมนูอาหารไง เดี๋ยววันจันทร์เราทำอาหารไปแจกคนที่ออฟฟิศกันมั้ย แล้วก็ฝากเมนูไว้"

"เสือดูสนุกกับเรื่องนี้มากกว่าเอิ้นซะอีกนะ"

"ก็สนุกดี นี่คิดว่าจะเอาไปฝากไว้ที่ร้านพี่อลิซ สาวๆ ชั้น 5 วินมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์แล้วก็ยิมไอ้แบ็งค์ด้วย พูดถึงไอ้แบ็งค์ เราน่าจะทำอาหารคลีนขายด้วยเนอะ แต่ไม่เอาดีกว่าเรื่องอาหารคลีนเก็บไว้เป็นแผนในอนาคตน่าจะดี"

"เอิ้นให้สิทธิ์เสือเรื่องนี้เต็มที่เลย แต่ว่าเสือต้องมาทำงานกับเอิ้นนะ"

"ไม่เอาอะ ทำงานด้วยกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกันเปล่าๆ สู้ไปทะเลาะกับคนอื่นแล้วมาระบายให้กันฟังไม่ดีกว่าเหรอ"

นิ่งไปเลย ซึ้งล่ะสิ พอพูดไม่ออกทีไรก็ขยับเข้ามากอดผมแบบนี้ทุกที



▼▲ ▼▲ ▼



5 ทุ่มกว่าผมยังคงนั่งหน้าคอมพ์ในห้องนอนของเอิ้นไม่ขยับไปไหน เหลือแค่ปรับโทนสีอีกนิดหน่อยก็เสร็จสมบูรณ์รอให้เจ้าของร้านพิจารณาแล้ว

"เสือ อาบน้ำ" เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาก่อนจะหยุดลงด้านหลัง “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

“เสร็จอันนึงแล้ว”

“ต้องทำกี่อัน”

“ว่าจะทำซัก 2-3 อันให้เอิ้นกับคุณลลินลองเลือกดู”

“ขอดูอันนี้หน่อยได้ไหม เอิ้นว่ามันก็สวยดีแล้วนะ” ท่อนบนเปลือยเปล่าทาบทับลงมาบนแผ่นหลังของผม ใบหน้าหล่อเหลาที่เส้นผมยังชื้นๆ โน้มเข้ามาใกล้แล้ววางคางแหลมลงบนไหล่ มือหนายื่นมาวางลงบนมือของผม บังคับให้เมาส์ขยับไปตามทิศทางที่ต้องการ

ผมเองก็นิ่ง อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป เรื่องลวนลามผมนี่ก็ถือว่าเป็นความเสมอต้นเสมอปลายอย่างหนึ่งของคุณเอิ้นเขาล่ะ

“เอิ้นเลือกอันนี้ เสือไปอาบน้ำแล้วมานอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ”

“แน่ใจเหรอว่าจะได้นอน”

“ทำไมล่ะ หรือเสือไม่อยากนอน” ไม่ต้องมามองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เลย เพลียร่างขนาดนี้ใครๆ ก็ต้องอยากนอนพักผ่อนอยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ

“ไม่อาบน้ำได้มั้ยอะ” ลองถามดูเผื่อฟลุ๊ค

ปกติถ้าเหนื่อยมากๆ พอถึงบ้านผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนหัวถึงหมอนแล้วหลับไปเลย ตอนเหนื่อยๆ ใครเขาอาบน้ำกัน พออาบก็สดชื่น สดชื่นแล้วก็นอนไม่หลับ กลายเป็นว่าเพลียหนักกว่าเดิมอีก

“เหนื่อยเหรอ”

ผมพยักหน้าพลางทำหน้างอแงขั้นสุด

“ให้เอิ้นช่วยอาบมั้ย”

“ไม่ต้อง กูไม่เพลียแล้ว”

ห่า นึกว่าจะใจดีที่แท้ก็หาเรื่องลวนลามกันนี่หว่า ผมลุกพรวดขึ้นผลักไหล่คนที่ยืนเบียดจนแทบจะสิงร่างแล้วดึงเอาผ้าขนหนูที่พันท่อนล่างเจ้าของบ้านติดมือมาด้วย

หมั่นไส้มัน ปล่อยให้ยืนล่อนจ้อนท้าลมอยู่นั่นแหละ เฮอะ

ถึงแม้ห้องน้ำบ้านนี้จะกว้างขวางและน่าใช้กว่าห้องน้ำบ้านผมมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากจะใช้มันเป็นเวลานานๆ เพียงไม่เกิน 10 นาทีผมที่ใช้ผ้าขนหนูพันรอบเอวก็เดินออกมาให้ไอ้คนที่นั่งกดมือถืออยู่บนเตียงหันมามองตาค้าง

“ยั่วเหรอ ทำแบบนี้ระวังคืนนี้จะไม่ได้นอน”

“เหรอ” ผมถามกลับเสียงสูงก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงใกล้ๆ กันแล้วยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้ “ช่วยเช็ดผมหน่อยสิ”

“เสือจงใจยั่วเอิ้นใช่มั้ย”

“แล้วคิดว่ายั่วรึเปล่าล่ะ” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก มองคนที่มองท่อนบนอันเปลือยเปล่าของผมพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วก็นึกขำ

อย่างที่รู้ว่าเอิ้นจริงจังกับการจับผมกดลงบนเตียงนอนมากๆ พอเห็นมันจริงจังขนาดนั้นก็อดที่จะอยากแกล้งไม่ได้ไงล่ะ

“นั่งบื้ออยู่ทำไมครับ มานี่มา”

ผมเรียกซ้ำ คราวนี้คว้าแขนแล้วบังคับให้หันหน้ามาหา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ผมจึงเป็นฝ่ายย้ายตัวเองไปนั่งตรงหน้าเสียเอง

“เช็ด” ผมสั่งเมื่อก้มศีรษะเข้าไปใกล้

ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนที่สัมผัสอ่อนโยนจะเข้าครอบงำให้รู้สึกเคลิ้มๆ

ปกติผมไม่ให้ใครยุ่งกับหัวผมหรอกนะ ยกเว้นช่างตัดผม พอมีคนเล่นหัวทีไรเป็นอันต้องง่วงนอนจะหลับทุกทีเลย

“เอิ้น ง่วงอะ”

“จะหลับใส่กันอีกแล้วเหรอ”

“แล้วหลับได้มั้ย” ผมถามแล้วเลื่อนหัวลงมาซบที่ไหล่ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมอง ถามซ้ำ “ได้รึเปล่า”

“เสือกำลังทำร้ายเอิ้น” เอิ้นบ่นงึมงำแล้ววาวมือลงบนไหล่ผม “ใส่เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยนอน”

“อยากใส่ตัวนี้” เสื้อสีขาวที่อยู่บนตัวเอิ้น

“เสือไม่ได้เมาใช่มั้ย”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเลื่อนมือลงไปจับชายเสื้อพยายามที่จะดึงรั้งมันออกจากร่างหนาทว่าเจ้าตัวกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย

เจ้าของสายตาคมคายมองหน้าผมไม่วางตา เราสบตากันก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายถอดเสื้อตัวนั้นออก

“เอิ้นช่วยมั้ย” มือหนาวางลงบนไหล่ก่อนจะไล้ลงมาตามท่อนแขน

ดวงตาคมกวาดมองเรือนร่างของผมราวกับต้องการจะกลืนกิน

“ใส่เองได้” ผมบอกแล้วสวมเสื้อ “ขอกางเกงตัวนี้ด้วยได้มั้ย”

“ถ้าเอิ้นถอดเอิ้นก็โป๊สิ”

“ทำไม อายเหรอ” ผมท้าทายให้อีกฝ่ายจับมือผมไปวางไว้ที่ขอบกางเกง ส่วนมือหนาก็วางไว้ที่ปมผ้าเช็ดตัวของผม ถ้ากระตุกนี่ผ้าหลุดแน่ๆ

“ถอดพร้อมกันมั้ยล่ะ”

ผมเงียบ

“หรือว่าเสือกลัว” เอิ้นรู้ว่าผมเกลียดการท้าทายจึงจี้จุดอ่อนของผมด้วยการพูดเช่นนั้น

เอาเซ่ กลัวที่ไหนล่ะ

“นับ 1 ถึง 3 แล้วถอดพร้อมกัน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนบนเตียง มือข้างหนึ่งจับที่ปมผ้าขนหนูที่ผูกเอาไว้ คนยื่นคำท้าลุกตาม ว่ากันตามจริงผมว่าผมกำลังเสียเปรียบว่ะ ผ้าขนหนูกระตุกทีเดียวก็หลุดแต่กางเกงกว่าจะดึงลงนี่ใช้เวลานานอยู่นะ

“นับ 1” เอิ้นเป็นฝ่ายเริ่มนับ

“นับ 2” ผมนับตาม

และ “3” พวกเรานับพร้อมกันก่อนที่ต่างฝ่ายจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายท่อนล่างออก

“เสือ!!!” เอิ้นร้องลั่นเมื่อพบว่าภายใต้ผ้าขนหนูมีกางเกงอีกตัวที่ผมสวมเอาไว้ก่อนออกจากห้องน้ำ

ว้ายๆ ถูกหลอก

ผมขำกลิ้ง ขณะที่คนที่ถอดกางเกงแล้วเหวี่ยงลงพื้นทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วซุกตัวลงใต้ผ้าห่มทำเป็นเขินอาย

“เก็บกางเกงให้เอิ้นหน่อย”

“ถอดเองก็เก็บเองสิครับ” ผมตอบเมื่อนอนลงข้างๆ แล้วสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“ถ้าเสือไม่ช่วยเก็บเอิ้นก็จะนอนกอดเสือทั้งร่างเปลือยแบบนี้แหละ ยอมมั้ยล่ะ”

ยังไม่ทันได้ตอบร่างของผมก็ถูกสวมกอดจนเต็มรักให้ร่างเปลือยเปล่าแนบสนิทกับผมไปซะทุกส่วน

“ถ้าแค่กอดก็ไม่เป็นไรหรอก” ผมพลิกตัวให้เรามองหน้ากันได้ชัดขึ้น “ปิดไฟมั้ย”

“คิดว่าเอิ้นจะห้ามใจไหวเหรอ”

“ไม่รู้สิ”


[มีต่อ...]


หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 29-01-2017 11:21:37
[ต่อจากข้างบนค่ะ]


“ห้ามไม่ไหวหรอก” เจ้าตัวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ผมก็คิดว่าเขาไม่มีทางห้ามใจไหวแน่ก็เอิ้นน่ะหลงผมโคตรๆ เลยนี่หว่า

จูบของเอิ้นจรดลงบนริมฝีปากของผม ส่งเรียวลิ้นออกมาเลียกลีบปากให้ผมเปิดรับลิ้นที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาภายใน ทันทีที่ปลายลิ้นนุ่มเข้ามาหยอกเย้าผมก็ดูดกลับ ทั้งที่เราเพียงแค่จูบกันแต่ร่างกายกลับเหมือนจะหลอมละลายลงเดี๋ยวนั้น ท่อนล่างที่เคยหลับสนิทภายใต้กางเกงนอนเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง ความร้อนจัดที่แนบบริเวณต้นขาของผมก็เช่นกัน

“เอิ้น” ผมผละริมฝีปากออก ยกมือยันแผ่นอกเปลือยเปล่าเอาไว้ไม่ให้เขาโถมเข้าใส่ผมทั้งตัว

“ทำไมล่ะ” คนที่อารมณ์ทางเพศกำลังพุ่งสูงขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อถาม

ไม่ใช่ผมไม่ต้องการ แต่ผมกลัวเจ็บ ครั้งแรกของเราตอนที่เมาถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะได้รับการปฏิบัติอย่างทะนุถนอมแต่ก้นผมก็ระบมอยู่หลายวันเลยทีเดียว มันทรมานมากเลยนะ

“มันจะไม่เจ็บมากเหมือนครั้งแรกหรอก”

“แต่ว่า...”

“เสือไม่สงสารเอิ้นเหรอ” ปากก็ตะล่อมผมด้วยคำพูด มือหนาก็จับมือผมแล้วพาไปวางไว้ที่กึ่งกลางกายที่ขยับขยายพร้อมใช้งาน

ผมรีบชักมือออกเหมือนเพิ่งสัมผัสของร้อนแต่ก็ถูกเจ้าของมันกดฝ่ามือเอาไว้แล้วพาลูบไล้จนสุดความยาว สีหน้าของคนตรงหน้าผมเปลี่ยนไป เขากัดปาก ใบหน้าแสดงออกถึงความซ่านเสียว มือหนาปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระทว่าผมก็ยังไม่ละจากของในมือ ยังคงลูบไล้มันเหมือนตอนที่เขาสั่งสอน

เอวของผมถูกรวบกอดก่อนจะดึงรั้งให้ร่างกายของเราแนบชิดจนไร้ช่องว่าง

“มือเสือนุ่มจังเลย” เสียงพร่ากระซิบที่ข้างหูไม่ต่างจากการโยนฟืนลงบนกองไฟที่พร้อมจะประทุตลอดเวลา

ร่างกายของผมกระตุกวูบเมื่อมือหนาที่เคยลูบไล้แผ่นหลังเลื่อนมาข้างหน้า สอดเข้าไปในเสื้อเพื่อสัมผัสเนื้อแท้ ลากสูงขึ้นมาจนถึงแผ่นอก

“อื้อ...” ผมร้องเมื่อนิ้วเรียวปัดผ่านยอดอกแผ่วเบา

ตรงนี้มัน...เสียว

“รู้สึกดีเหรอ” คนถามขยับมามองหน้าผมแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือรู้สึกดีกว่านี้อีก”

เสื้อยืดถูกถลกขึ้นเหนือแผ่นอกก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะซุกซบลงบนผิวหนังเปลือยเปล่า ริมฝีปากนุ่มพรมจูบไปทั่วบริเวณ

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ

ผมละมือจากท่อนเนื้อแข็งแกร่งเพื่อย้ายมาจับข้อมือข้างที่กำลังเล่นกับยอดอกข้างซ้ายของผม ทว่าความพยายามก็ไม่เป็นผล ยิ่งห้ามเขาก็ยิ่งสะกิดมันรัวเร็วจนผมหอบหายใจถี่

“เอิ้น อย่ากัด”

ผมร้องห้ามเมื่อเขาครอบปากลงบนยอดอกเล็กๆ ที่ถูกปลุกให้ดันแผ่นอกขึ้นมา ไม่รู้ว่าหมั่นเขี้ยวหรืออะไร อยู่ๆ ถึงได้ฝังเขี้ยวแหลมๆ ลงมาให้รู้สึกเจ็บแต่ถึงกระนั้นความซ่านเสียวจากเรียวลิ้นที่ปาดเลียและนิ้วร้ายซึ่งบดขยี้ยอดอกอีกข้างก็กลบเกลื่อนความเจ็บนั้นไปจดหมด

ยอดอกของผมถูกหยอกล้ออยู่เสียนาน คนถูกปรนเปรออย่างผมแทบจะหมดแรง

ผมแทรกนิ้วเข้าไปในเส้นผมสีเข้ม พยายามดึงรั้งให้ผละออกจากยอดอกที่ตอนนี้คงบวมเป่งเพราะถูกขบกัด ทว่าคนที่กำลังเพลิดเพลินก็ทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองแต่ปากกลับยังทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

มันก็รู้สึกดีแต่ว่าถ้าบีบขยำและดูดเลียมากไปกว่านี้ผมกลัวว่าบางทีอกผมอาจจะเต่งตึงขึ้นมาเป็นสาวคัพซี

“เอิ้นพอแล้ว เจ็บ”

“แต่สีหน้าเสือไม่ได้บอกอย่างนั้น” เรายังคงสบตากัน

“เจ็บจริงๆ อื้อ อย่ากัดสิ” กัดอีกแล้วเป็นหมาเหรอวะ

“ถ้าไม่ให้กัดตรงนี้ให้เอิ้นกัดที่อื่นได้มั้ย”

“อื้อ เอิ้น” ผมยังไม่ทันตอบคำถามเขี้ยวแหลมก็ฝังลงบนแผ่นอกของผมซะแล้ว

ปาก ลิ้นและฟันทำงานประสานกันบนแผ่นอกของผมอย่างดีเยี่ยม คิดว่าแผ่นอกขาวๆ ของผมตอนนี้คงมีแต่ร่องรอยขบกัดแน่ๆ

“เอิ้นอย่าทำที่คอเดี๋ยวเป็นรอย” ผมรั้งใบหน้าของคนที่เม้มต้นคอผมเอาไว้

“ทำไมชอบห้ามจัง ถ้าห้ามอีกเอิ้นจะตามใจตัวเองแล้วนะ”

“ที่ทำอยู่เนี่ยไม่เรียกว่าตามใจตัวเองรึไงเล่า”

“เถียงเก่งนะเราอะ” ดุผมแล้วกดจูบหนักๆ ลงบนเรียวปาก “เดี๋ยวจะทำให้เถียงไม่ออกเลย”

“เอิ้น !?”

ปลายจมูกโด่งลากไล้ขึ้นมาที่ใบหู เพียงเรียวลิ้นชื้นเข้ามาทักทายร่างกายของผมก็รับรู้ถึงความซ่านสยิว รู้ด้วยการดูหนังเอวีว่าตรงนี้ก็เสียวได้แต่เมื่อได้ลองด้วยตัวเองมันยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการไว้เสียอีก

“อื้อ เอิ้น ตรงนั้น” ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการจะสื่ออะไร แค่อยากส่งเสียงเพื่อลดความเสียวซ่านที่ถูกปรนเปรอเท่านั้นเอง

“รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ”

แผ่นอกของผมถูกลูบไล้ขณะที่ลิ้นของเราพัวพันกันนอกริมฝีปาก ร่างกายของผมกระตุกเมื่อมือหนาสอดเข้าไปในบ็อกเซอร์ เขาลากนิ้วสัมผัสที่ต้นขา แม้ไม่ได้สัมผัสที่เจ้าเสือใหญ่โดยตรงแต่ตรงนั้นกลับรู้สึกตามไปด้วย

ผมรู้สึกปวดหนึบ อยากปลดปล่อย ครั้นเมื่อส่งมือลงไปเกือบจะสัมผัสที่กึ่งกลางกายของตนกลับถูกอีกฝ่ายตะครุบเอาไว้

“ไม่เอาสิ เอิ้นอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ”

เรียวลิ้นชื้นผละออกให้เห็นเส้นใยบางเบาที่เชื่อมระหว่างปลายลิ้นของเราทั้งคู่ ก่อนจะลากมันจากปลายคางเป็นทางยาวลงไปที่แผ่นท้อง

ผมผวาตัวแอ่นสะท้านเมื่อหลุมสะดือถูกหยอกเย้า

ต้นขาด้านในถูกลูบไล้ไม่หยุดหย่อน

“มันแข็งแล้วอะเสือ” กางเกงตัวบางถูกรั้งออกจากสะโพกให้เจ้าเสือใหญ่ออกมายืนตรงรับอากาศเย็นภายนอก

แผล้บ!!

“อ๊ะ!!” เพียงส่วนปลายถูกเลียเบาๆ ก็เสียวซ่านไปถึงก้านสมอง เสียงครางของผมนี่น้องเมอิยังต้องอาย “เอิ้นอย่า”

ผมร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ค่อยๆ จูบแผ่วเบาตั้งแต่โคนจรดปลายอย่างทะนุถนอม แต่คนถูกกระทำอย่างผมไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ทุกครั้งที่ถูกสัมผัสร่างกายของผมก็เหมือนจะปริแตก

ผมสอดมือเข้าไปในเส้นผมสีเข้มอีกครั้ง พยายามดึงรั้งใบหน้าหล่อเหลาออกจากบริเวณนั้นแต่เอิ้นแม่งโคตรดื้อ พอผมดึงเขาก็ครอบริมฝีปากลงมาก่อนจะผละออกเหมือนกำลังรูดไอติมโคน รูดไม่พอเสือกเลียอีก นี่ไม่ใช่ไอติมแท่งโว้ย นี่แท่งเนื้อมนุษย์ และอีกอย่างเจ้าของมันเสียวจะตายอยู่แล้ว จะทำอะไรก็รีบทำสักที

“เสือ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลูกชายผมได้รับอิสระจากโพรงปาก ทว่าโล่งใจได้ไม่เท่าไหร่ปากของผมก็ถูกรุกรานด้วยนิ้วเรียว “เลียหน่อย”

อะไรวะ

แม้สมองจะตั้งคำถามแต่ลิ้นผมกลับเลียที่นิ้วแกร่งนั้นจนมันเปียกชื้นตามที่เขาบอก

“อ๊า อึก...”

ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการเลียนิ้ว ช่องทางที่เคยถูกรุกรานมาแล้วครั้งหนึ่งก็ถูกหยอกเย้าด้วยลิ้นชื้นที่ปาดเลียวนไปวนมา ใจคอจะไม่ให้หยุดเสียวซ่านสักวินาทีเลยหรือไงวะ ถึงแม้จะก่นด่าในใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกดีไม่แพ้ข้างหน้าเลย

ผมกำผ้าปูที่นอนแน่น ไม่รู้ว่าปฏิกิริยาที่แสดงออกนี้เป็นไปตามธรรมชาติหรือเปล่าเมื่อผมขยับชันเข่าซึ่งเหมือนจะเป็นการเปิดทางให้คนที่กำลังปรนเปรอผมอยู่นั้นทำได้สะดวกขึ้น

“ฮ้า อึก อื้อ...”

ผมบิดเอวให้ถอยห่างจากเรียวลิ้นที่สอดเข้าไปในช่องทางเปียกชื้นแต่ก็ไร้ผล

การกระทำของเอิ้นทำให้ผมรู้สึกดีเกินไปจนตัดใจหยุดขัดขืนแล้วปล่อยตัวให้โอนอ่อนผ่อนตามเขาไป

มือหนาอีกข้างที่ว่างกอบกุมที่เจ้าเสือใหญ่ ขยับรูดเป็นจังหวะเดียวกับเรียวลิ้น ไม่นานเลยร่างทั้งร่างของผมก็บิดเกร็งปลดปล่อยความต้องการออกมาจนเปียกชื้นที่แผ่นท้องและมือหนา

“รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ”

นิ้วแกร่งถูกดึงออกจากโพรงปากของผม เขากดจูบลงบนหน้าผากเลื่อนลงมาที่ปลายจมูก แก้มแล้วขบเม้มที่ริมฝีปากบวมเจ่อ

เขามอบจุมพิตร้อนแรงให้ผมอีกครั้ง แน่นอนว่ามันทำให้ผมตื่นเต็มตาอีกหน

“อ๊ะ เอิ้น เสือเจ็บ อื้อ เจ็บ”

ผมร้องลั่นยกมือขึ้นกอดรอบคอคนบนร่างเมื่อนิ้วแกร่งชุ่มน้ำลายสอดเข้าไปในช่องทางเปียกชื้นด้านหลัง มันเจ็บมากเพราะนิ้วมือไม่ได้นุ่มเหมือนลิ้น

“ใจเย็นเด็กดี ค่อยๆ หายใจ”

น้ำเสียงปลอบประโลมและมือที่ลูบเส้นผมของผมป้อยๆ ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย ในเมื่อถูกรุกรานแช่ค้างอยู่แบบนี้ใครมันจะไปค่อยๆ หายใจได้วะ

ยิ่งปลอบผมก็ยิ่งหายใจแรงกว่าเดิมเสียอีก

“เอิ้นเอาออกเถอะ มันเจ็บ” ผมร้องขอปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อคลอไหลอาบแก้ม

“ร้องไห้ทำไม อดทนนิดนึงนะเดี๋ยวก็รู้สึกดี” น้ำตาบนแก้มถูกจูบซับจนเหือดแห้ง น้ำเสียงและการกระทำอ่อนโยนดั่งพ่อพระทำให้ผมชะล่าใจ กระทั่ง...

“อื้อ เจ็บ เจ็บโว้ย” ผมร้องลั่นและตีขากับเตียงดังพั่บๆ เมื่อนิ้วที่สองถูกสอดเข้ามา

“เสือ” น้ำเสียงที่ใช้เรียกผมเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “บอกให้ค่อยๆ หายใจไง ผ่อนคลายหน่อย”

“บอกให้เอาออกไปไงเล่า มันเจ็บ ไม่ได้ยินหรือไงบอกว่ามันเจ็บ ฮืออออ”

ผมโวยวาย มือที่จิกผ้าปูที่นอนแน่นคลายออกแล้วเปลี่ยนเป็นระดมทุบสะเปะสะปะไปทั่วทั้งตัวของคนข้างบน

“ไม่รู้ด้วยแล้วนะ”

ไม่รู้อะไรเล่า

“อ๊ะ อึก!”

นิ้วยาวถูกดันเข้าไปจนสุดก่อนจะขยับครูดวนมันอยู่ด้านใน กล้ามเนื้อของผมเริ่มผ่อนคลาย ความเจ็บปวดค่อยๆ ถูกแทนที่ถูกความเสียวซ่าน

“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ”

ใบหูของผมถูกขบเม้มก่อนนิ้วที่สามจะแทรกเข้ามา มันคับแน่น อึดอัด เจ็บนิดหน่อยแต่เสียวมากกว่า ยิ่งในยามที่เขาขยับเข้าออกร่างกายของผมก็คล้ายจะปริแตกอีกครั้ง

เอิ้นก้มลงมามอบจุมพิตหวานให้ เราสลับกันดูดดึงลิ้นของกันและกันราวกับว่ามันคือเยลลี่รสเลิศ ไม่สนใจความชื้นแฉะที่ไหลเลอะขอบปาก สีข้างของผมถูกลูบไล้ จังหวะด้านล่างค่อยๆ รัวเร็วขึ้นจนผมเห็นแสงสว่างของปลายทางอยู่ลิบๆ อีกแค่อึดใจเดียวก็จะถึงจุดหมายทว่า...

“เอิ้น ทะ ทำไม”

“เอิ้นเข้าไปในตัวเสือได้มั้ย”

“มันจะเจ็บมั้ย” ถึงแม้ร่างกายจะรู้สึกว่างเปล่าต้องการบางอย่างมาเติมเต็มทว่าความกลัวก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ

“เจ็บ แต่เอิ้นจะพยายามทำให้เจ็บน้อยที่สุด เสือเชื่อใจเอิ้นมั้ย”

เพียงถูกมองด้วยสายตาหวานล้ำผมก็พยักหน้าทันที และในขณะเดียวกันขาทั้งสองข้างของผมก็ถูกจับให้อ้าออกก่อนร่างหนาที่เปลือยเปล่าแต่ต้นจะแทรกเข้ามา

ท่อนล่างของเราแนบสนิทกัน มันร้อนมากจนเผลอคิดไปว่าพวกเรากำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนกองไฟ

ริมฝีปากของผมถูกครอบครองอีกครั้ง สะโพกแกร่งบดเบียดลงมาให้ท่อนเนื้อร้อนแนบสนิทไปกับด้านหลังของผม

“แป๊บนึงนะเสือ”

จูบร้อนๆ ผละออกไปพร้อมกับร่างแกร่ง ผมมองตามด้วยสายตาเชื่อมปรอยเห็นเอิ้นรื้อบางอย่างออกจากลิ้นชักที่หัวเตียง

เขากลับมานั่งที่ระหว่างขาผมเช่นเดิมก่อนจะใช้ปากกัดซองเล็กๆ สีเงินด้วยท่าทางที่เท่บาดใจ

“อย่ามองแบบนั้นสิ”

คงหมายถึงมองด้วยสายตาหวานๆ ล่ะมั้ง ผมก็ไม่อยากมองหรอกแต่มันห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ

“ช่วยใส่ให้หน่อยได้มั้ย”

ผมส่ายหน้า แค่นี้ก็เขินจะตายห่าแล้วครับ

“ถ้าเสือไม่ช่วยงั้นเอิ้นไม่ใช้นะ” ผมเบิกตากว้างก้มมองท่อนเนื้อที่ตื่นตัวอยู่ระหว่างขากับถุงยางอนามัยในมือแกร่ง อุตส่าห์ซื้อมาก็ใช้ๆ ไปเถอะ อย่าลีลามากนักเลย “เอิ้นล้อเล่นน่า”

เจ้าของห้องยกยิ้มร้ายกาจก่อนคว้ามือผมไปวางลงบนหน้าท้องแข็งแกร่ง ขณะที่เจ้าตัวสวมใส่เครื่องป้องกันเหมือนจงใจให้ผมมอง

ยิ่งมองร่างกายก็ยิ่งร้อนผ่าวเพราะการกระทำสุดแสนจะเร้าใจนั่น

“จะเข้าไปแล้วนะ”

จะทำอะไรก็ทำเถอะ มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็หมดอารมณ์หรอก

ร่างกายของผมถูกคร่อมทับอีกครั้ง ส่วนแข็งขืนถูกมือหนาพามาจดจ่อที่ช่องทางเปียกชื้นเมื่อท่อนขาของผมถูกยกขึ้นไปวางไว้บนหน้าขาแกร่ง

“อึก เอิ้น”

ผมโอบกอดแผ่นหลังของเอิ้นเอาไว้เมื่อท่อนเนื้อใหญ่โตถูกสอดแทรกเข้ามาจนสุด

มันเจ็บในคราแรกแต่เมื่อปรับตัวได้ความซ่านเสียวก็เข้ามาแทนที่

“ขยับได้รึยัง” เอิ้นกระซิบที่ข้างหู มือหนาลูบไล้สีข้างของผมอย่างปลอบประโลม

ผมพยักหน้ารับในทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกอึดอัด

จังหวะรักเริ่มต้นอย่างเชื่องช้าและเนิบนาบเพื่อให้ผมปรับตัวและผ่อนคลาย

ผมกอดเขาแน่นยกตัวขึ้นเพื่อขบเม้มใบหูของเขา

เสียงทุ้มคำรามในลำคอก่อนจังหวะรักจะหนักหน่วงขึ้นจนร่างกายของผมสั่นคลอน

“อ๊ะ เอิ้น แรง แรงไป ไม่ไหว”

“ไม่ดีเหรอ” ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่ซุกอยู่ภายในกาย “อยากให้เอิ้นทำช้าๆ เหรอ”

จังหวะรักถูกผ่อนให้ช้าลง เขาดึงกายออกจนสุดแล้วดันเข้ามาในคราเดียว มันคับแน่นแต่ก็รู้สึกดีเกินจะบรรยาย เอิ้นทำอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่ริมฝีปากของเราก็คลอเคลียกันไม่ห่าง

“เสือน่ารักมากเลยรู้มั้ย” จุมพิตประทับลงบนหน้าผากของผมก่อนปลายลิ้นชื้นจะแตะต้องที่เปลือกตา

“ฮือ เอิ้น เสือไม่ไหวแล้ว เสร็จพร้อมกันเถอะนะ”

“อื้อ แต่ต้องทำแรงๆ นะ”

เพียงผมพยักหน้ารับแรงบดอัดที่สะโพกก็แรงขึ้น หนักหน่วงขึ้น เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอฟังอย่างไรก็ไม่ได้ศัพท์

“อ๊า เสือ ดีจัง ข้างในเสือโคตรดี”

“ฮือ เอิ้น เอิ้น”

ผมเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับแก่นกายที่ถูกดันเข้าดึงออกจนสุดครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นอกของผมแอ่นโค้งขึ้นก่อนที่เรียวลิ้นร้อนจะปาดเลียที่ยอดอก ผมสะบัดหน้ารัวอย่างไม่อาจต้านทานแรงกระสันที่ถูกปรนเปรอได้

“เอิ้น เอิ้น เอิ้น อ๊ะ อื้อ”

“อืม เสือ”

หยดน้ำขาวข้นกระจายเต็มแผ่นท้อง ขณะที่คนบนร่างของผมกระทั้นกายถี่รัว ร่างกายของเราทั้งคู่กระตุกเกร็ง แผ่นอกของผมสะท้านไหว เสียงหอบหายใจดังถี่รัว

“เอิ้นรักเสือนะ”

เราสบตากันด้วยสายตาหวานซึ้งก่อนเอิ้นจะแนบริมฝีปากลงมามอบจุมพิตหวานซ้ำๆ

กระทั่งทุกอย่างสงบนิ่งเขาจึงทิ้งตัวลงกลางอกของผม เส้นผมของเขาเปียกชื้นจากการใช้กำลังอย่างหนักหน่วง ตัวผมเองก็ชื้นไปด้วยเหงื่อเช่นกัน

“ได้กอดเสือไว้แบบนี้เหมือนฝันเลย”

“เจ็บจะตาย ฝันอะไรกันล่ะ”

“ถ้าเจ็บเสือก็ต้องร้องไห้แล้วสิ เมื่อกี้ได้ยินแต่เรียกชื่อเอิ้น เอิ้น เอิ้น เสียงหวานเชียว”

“หยุดพูดเลยนะ แล้วก็ลุกออกไปซักทีหนักจะแย่แล้ว” ผมดันใบหน้าคนพูดมากออกจากอกแต่ก็อย่างที่บอกว่าเอิ้นแม่งโคตรดื้อ ยิ่งผมผลักไสก็ยิ่งซุกหน้าลงบนอกแล้วจูบย้ำๆ

“ตรงนี้รู้สึกดีใช่มั้ย”

“อื้อ อย่าจับ”

“ไม่ได้จับซักหน่อย” เออแม่งไม่ได้จับแต่จูบและเลียเลยล่ะ นั่นหน้าอกโว้ยไม่ใช่อมยิ้มจะเลียอะไรนักหนา

“ไม่ไหวแล้วเอิ้น” พอถูกรุกเร้าไอ้ลูกเสือของผมก็เหมือนจะลุก แต่ผมโคตรเพลีย อยากนอนมากๆ ด้วย

“ไม่สงสารเอิ้นเหรอ”

ก่อนหน้านี้ก็พูดแบบนี้ทีนึงแล้วก็เสร็จไปทีนึง ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะ แต่คงไม่เหนื่อยหรอกเพราะไอ้ที่ค้างคาอยู่ในตัวผมเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว

คิดว่าคืนนี้ผมจะได้นอนมั้ย ไม่รู้อะ ไม่รู้แล้วโว้ย


[- T B C -]



หายไปนานเลยเนอะ
สารภาพว่าเขียนซีนเสือกับเอิ้นบนเตียงนี่ก็แอบขำเจ้าเสือ
งอแงเป็นเด็กเลยอะ 555

ขอบคุณทุกการติดตามนะ ทั้งที่ตามมาแต่ต้นและเพิ่งมา
ยังไม่สายที่จะรักกันค่ะ :)
แจ๊ส
 :ruready
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-01-2017 14:42:57
เสือน่ารักมากเลยอ่ะ อ้อนมากเลย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 29-01-2017 14:44:57
เสือเอ๊ยยยย
ก็ไปยั่วเขาก่อน...เข้าทางเขาเลย สมใจเอิ้นไปสิ

ลางานสักวันสองวันก็ไม่มีใครว่าหรอกน้าาาา นอกจากเจ๊ศรี 555

เอิ้นจะขอลูกเจ๊ไปค้างบ้านทุกวันได้ยังไงน้า...อยากรู้แฮะ ^^
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-01-2017 10:15:23
เจ๊ศรีหายงอนแล้ว เสือก็โดนกดไป
อะไรจะดีอย่างนี้
 :katai1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-01-2017 13:00:36
แม่กับเสือน่ารักมาก ซึ้งเลย

และ...เสือโคตรงอแงอะ ร้องเป็นลูกแมวโดนแกล้งเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

ไม่ได้ 3 เราไม่นอนเนอะเอิ้นเนอะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-01-2017 01:02:13
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-02-2017 21:28:42
งอแงแรงมากกก น่ารักกกก  :hao6:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 22 {เพราะรัก} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 04-02-2017 14:52:38
 :haun4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 12-02-2017 17:36:36

ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น}



เวลาผ่านไป 2 เดือนหลังจากผมลาออกจากงานเพื่อมาล่องลอยให้เอิ้นและเจ๊ศรีเลี้ยง ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เจอเอิ้นอีกครั้ง เพราะในยามที่เจ๊ไม่ยอมให้กินข้าวผมก็ไปกินข้าวที่ร้านเขาได้

ความสัมพันธ์ของเราก็เช่นเดิมครับ สถานะเป็นอะไรกันของเรายังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ที่ร้านเชิญนั่งค่อยๆ ดีขึ้น อาจจะไม่ดีในวันสองวันแต่ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโต

ลูกค้าอาหารกลางวันเพิ่มขึ้นจากวันแรกที่มีเพียง 5 คนจนตอนนี้เกือบร้อย ทำอาหารกันจนมือหงิกครับแต่ทั้งเจ๊และเอิ้นก็มีความสุขมาก นอกจากสองคนนี้และพนักงานที่ร้านแล้ว คนอีกกลุ่มนึงที่มีความสุข
เหมือนกันก็คือพวกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ครับ กลางวันไม่ค่อยมีลูกค้าก็อาศัยหารายได้พิเศษจากการส่งอาหารกลางวันนี่แหละ

เรียกได้ว่าเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนโดยแท้จริง

ส่วนร้านมินิมาร์ทของเจ๊ ตอนนี้เหลือพนักงานกะดึกแค่ 2 คน เพราะตอนกลางวันเจ๊ให้ผมเป็นคนดูแลจัดการแต่ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ๊เขาแหละครับ

“เสือได้รับอีเมล์เชิญไปงานโรงเรียนมั้ย”

“ได้เหมือนกันเหรอ” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เอิ้นไม่เคยโผล่หน้าไปที่งานเลยซักครั้ง  พวกเราก็เลยคิดกันเอาเองว่าเขาคงไม่ได้รับบัตรเชิญ

“เอิ้นได้ทุกปีนะแต่ไม่เคยไปเลย” เป็นอย่างนี้เองสินะ

“เสือไปทุกปีแล้วก็โดนด่าทุกปีเลย ปีนี้เอิ้นก็ไปด้วยกันสิ ทุกคนคงอยากเจอ”

“ทุกคน? ใครเหรอ”

“เถอะน่า ไปด้วยกันนะ”

ถึงแม้จะปฏิเสธโดยยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างแต่สุดท้ายมีเหรอที่คนอย่างเอิ้นจะขัดใจเสือได้ นี่เสือนะโว้ย พี่เสือที่เอิ้นรักสุดหัวใจนะครับ

ปีนี้ก็เหมือนทุกๆ ปีที่งานระดมทุนจากศิษย์เก่าถูกจัดขึ้นตรงสนามฟุตบอล เวทีก็คือหน้าเสาธง อารมณ์คล้ายๆ ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ เพียงแต่เปลี่ยนจากยืนเข้าแถวตามระดับไหล่มานั่งเก้าอี้พลาสติกหุ้มผ้าเท่านั้นเอง

“มือชื้นเชียวตื่นเต้นเหรอ” ผมหันไปถามคนที่แต่งตัวอย่างเท่แบบที่ลืมภาพเชฟไปเลย

เอิ้นพยักหน้าขณะกวาดสายตาไปทั่วเหมือนกำลังมองหาใครบางคน

“เชี่ยเสือทางนี้” เสียงคนคุ้นเคยทำให้ผมละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของคนข้างกาย พอสบตากับเจ้าของเสียงผมก็กระตุกมือเอิ้นให้เดินตามไป

คนถูกผมกระตุกมือนิ่งงัน เขาฝืนเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตัวตามมา เมื่อมองหน้าก็เห็นว่าดวงตาของเอิ้นกำลังสั่นไหวคล้ายกำลังกลัว

“ไม่เป็นไรน่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”

“กูเรียกทำไมไม่มาวะ หยิ่งเหรอมึง” พอผมไม่เดินไปหาไอ้พี่เอ้กก็เป็นฝ่ายก้าวขายาวๆ เข้ามาหาเอง รุ่นพี่ตัวใหญ่หัวเกรียนที่เคยเป็นหัวโจกของแก๊งม.ต้นเมื่อสมัยอดีตมองหน้าผมสลับกับคนไม่คุ้นหน้าแล้วถามต่อ “มากับใครวะ คุ้นๆ หน้า”

“เอิ้นไง”

“เอิ้นไหน” ทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเบิกตากว้างตกใจ “ไอ้หมูอะนะ”

“อือ” ผมพยักหน้าสำทับ คราวนี้ไอ้พี่เอ้กร้องลั่น ขาแม่งสั่นพั่บๆ ก่อนจะกระโดดโลดเต้นราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1

“เชี่ยพวกมึงไอ้เอิ้นมา”

ชายหนุ่มร่างกายกำยำที่นั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะหลังสุดหันขวับมามองก่อนจะวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมพวกเรา

“สัสเอ้ย กว่าจะหาตัวเจอ”

“แม่งใช่มึงจริงเหรอวะ”

“ห่า ดูดีขึ้นจนกูจำไม่ได้”

“เออสัส เปลี่ยนไปขนาดนี้พลิกแผ่นดินหาคงไม่เจอ”

“พวกเขาพลิกแผ่นดินหาเอิ้นทำไมอะ” น้ำเสียงคนที่ถูกตามหาสั่นๆ มือที่กอบกุมอยู่กับมือของผมชื้นขึ้นอีกราวกับเพิ่งล้างมือมาแล้วไม่ได้เช็ด

ยังไม่ทันได้ตอบคำถามพวกเราก็ถูกลากให้ไปนั่งร่วมโต๊ะ ผมก็ขืนไว้นะส่วนเอิ้นนี่ขืนตัวหนักกว่าอีก ที่จริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจมานั่งกับพวกพี่เอ้กสักหน่อย โน่น โต๊ะของพวกผมอยู่หน้าเวทีนู่น

“ดื่มมั้ยวะ” งานยังไม่ทันเริ่มก็นั่งแดกเหล้ากันจริงจังซะแล้ว

คนถูกชวนดื่มส่ายหน้าเบาๆ รู้เลยว่ายังเกร็งๆ อยู่ ก็จะไม่ให้เกร็งได้ยังไง ถูกเขาทำร้ายจนร่างกายและจิตใจบอบช้ำขนาดนั้นคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำใจได้

“ดื่มหน่อยน่า” พี่เอ้กยังไม่ละความพยายาม เขายัดแก้วใส่มือเอิ้น มองตาปรอยๆ เป็นการออดอ้อนที่อุจาดตาฉิบหาย

“ดื่มเถอะ พวกพี่มันอยากขอโทษเอิ้นน่ะ”

“ขอโทษ?”

“อื้อ เรื่องตอนมัธยมไง สงสัยอะดิ รีบดื่มแล้วย้ายที่นั่งกันเดี๋ยวเสือเล่าให้ฟัง”

ถึงแม้คิ้วเข้มจะยังขมวดมุ่นแต่ก็ยอมยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดในรวดเดียวทำให้เห็นว่าพลังความอยากรู้อยากเห็นช่างมีอานุภาพรุนแรงเหลือเกิน

เหล้าในแก้วหมดแล้วและเราก็เตรียมตัวจะย้ายที่นั่งทว่าก็ถูกรั้งเอาไว้

“อีกแก้วสิวะ” ผมว่าต้องมีใครสักคนเมาแอ๋นอนตายอยู่ที่นี่แน่ๆ และคนๆ นั้นต้องไม่ใช่ผม

แก้วใบเดิมถูกเติมน้ำสีอำพันที่มีฤทธิ์ร้ายแรงอีกครั้ง เอิ้นหันมาปรึกษาผม ก็ไม่รู้จะทำยังไงว่ะจึงได้แต่พยักหน้าให้ดื่มไปเถอะ และเจ้าตัวก็ทำตาม

หลังจากนั้นเหล้าก็ถูกเติมมาเรื่อยๆ จนเริ่มเมา คนรินเหล้าน่ะเมา ส่วนพื้นข้างเก้าอี้พวกเราแฉะมาก หญ้าบริเวณคงเมาแอ๋กันไปแล้ว

“กรึ่มพอยังวะพี่เอ้กจะพูดอะไรก็พูดมาเพื่อนผมรอแล้ว”

“กูไม่มีอะไรจะพูดนี่ กูแค่อยากกินเหล้ากับเพื่อนมึง จะไปไหนก็ไปสิวะ” เอ้า! ไอ้พี่นี่ เมื่อกี้ก็รั้งไว้พอจะอยากไล่ก็ไล่กันแบบนี้เลยเหรอ

“ที่พวกพี่ตามหาเพื่อนผมก็เพื่ออยากกินเหล้ากับมันเนี่ยนะ”

“เออแค่นี้แหละ”

“เรื่องตอนม.ต้นยังคงเป็นปมในใจของผมจนถึงทุกวันนี้” คำพูดที่ทำให้ทุกคนบนโต๊ะหยุดทุกการกระทำแล้วมองคนพูดเป็นตาเดียว “ตลอดหลายปีที่ผมได้รับบัตรเชิญให้มางานโรงเรียนและผมไม่กล้ามาก็เพราะผมกลัวการเผชิญหน้ากับพวกพี่”

ดวงตาคมกวาดมองรุ่นพี่ทั้ง 5-6 คนก่อนจะหยุดที่พี่เอ้ก

“ถ้าผมกล้ากว่านี้ซักหน่อย พวกเราก็คงไม่ต้องแบกรับความทุกข์จากในอดีตไว้บนบ่านานขนาดนี้”

“ถ้าพวกกูไม่เกเร เรื่องทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้ พวกกูขอโทษนะเอิ้น”

“เพราะตอนนั้นเรายังเด็กครับ ขอบคุณพวกพี่นะที่ช่วยลบแผลนั้นให้ผม”

“พวกกูเป็นคนดีแล้วนะ เพื่อนมึงก็เหมือนกัน ไอ้เสือน่ะ ตอนมึงไม่อยู่...”

“ไอ้พี่เอ้กมึงหุบปาก!”

ผมชี้หน้าไอ้พี่เอ้กบังคับให้มันหยุดพูด หากแต่ไอ้คนที่ไม่รู้ว่าไปติดความขี้เสือกมาจากใครกลับเร้าหรือให้พี่มันพูด ถ้าแหกปากเขาได้คงทำ

“ถ้าพี่เอ้กไม่เล่าผมจะไม่ให้อภัยพี่แล้วนะ”

“กูควรเชื่อใคร กูไม่รู้ด้วยแล้วโว้ยกูเมา” มองหน้าผมกับอีกคนสลับกันอยู่ครู่หนึ่งพี่มันก็ชิงตาย

“เสือ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนที่เอิ้นหันมาตั้งท่าเหมือนจะซักไซ้เรื่องที่พี่เอ้กพูดค้างเอาไว้แล้วล้วงเอานามบัตรที่พกติดกระเป๋ามาด้วยยื่นให้พี่สองที่ดูเมาน้อยกว่าคนอื่น

“พี่ว่างๆ ก็แวะไปอุดหนุนที่ร้านนะ อาหารอร่อย บรรยากาศดี”

“พ่อครัวหล่อด้วยครับ”

อือ ไม่ค่อยจะอวยตัวเองเท่าไหร่เลย

“งั้นพวกผมไปแล้วเดี๋ยวไอ้แชมป์แม่งเหงา”

“เจอกันมึง”

ตลอดระยะทางสั้นๆ จากโต๊ะพวกพี่เอ้กไปที่โต๊ะของพวกเราเอิ้นแม่งก็ซักผมอยู่นั่นแหละ นี่คนไม่ใช่ผ้าซักจังเลย

“นึกว่ามึงจะไม่มา อ้าว คุณเชฟมาด้วยเหรอครับ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมา” ไอ้แชมป์แซวทันทีเมื่อเรามาถึง

“นี่พี่เสือ อยู่ใกล้พี่เสือแล้วรู้สึกปลอดภัยไงก็เลยมา”

“ขี้โม้นะมึงอะ”

“ก็ไม่ใช่ไม่จริงนะ” เอิ้นพูดแทรกให้ผมรู้สึกหล่อขึ้นมาอีกเท่าตัว “เรื่องตอนม.ต้นทำให้เรารู้สึกกลัวการกลับมาที่นี่ตลอดเลย แต่เพราะวันนี้มีเสืออยู่ข้างๆ เราก็เลยไม่กลัว”

“หวานตลอด อยู่ใกล้พวกมึงมากๆ กูแม่งโคตรกลัวจะเป็นเบาหวาน เออ มึงมาก็ดีแล้ว ทุกคนเป็นห่วงมึงนะ”

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”

“ตอนที่มึงย้ายโรงเรียนอะไอ้เสือแม่งเหมือนผีบ้าเลยรู้ป่ะ” ไอ้แชมป์!! ผมล่ะอยากลุกขึ้นยันปากมันเสียจริง อุตส่าห์ปิดปากพี่เอ้กได้แล้วยังมาเจอเพื่อนปากสว่างอีก

“ยังไง เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“ถ้ามึงรู้นะ จากที่ชอบไอ้เสืออยู่แล้วมึงจะโคตรชอบมันเลยล่ะ ขนาดกูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกูยังปลื้มปริ่มเลย”

“พอน่าแชมป์ไม่ต้องอวยกู”

“กูไม่ได้อวย กูอยากเล่า”

ไอ้สันขวาน เตะขาแม่งก็แล้ว เหยียบเท้าก็แล้วมันก็ยังจ้อไม่หยุด เล่าหมดครับตั้งแต่ตอนที่ผมเข้าแก๊งม.ปลายเพื่อดึงไอ้เอิ้นออกมาจากแก๊งพี่เอ้ก บอกว่าผมเสียสละตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ จนถึงตอนที่ผมดูเศร้าๆ หลังจากที่เอิ้นย้ายโรงเรียนไป เล่าแม่งทุกช็อตอย่างกับฉายหนังชีวิตของผม และยิ่งเล่าไอ้คนฟังก็ยิ่งตาเป็นประกาย ตกหลุมรักผมอีกแล้วล่ะสิ

เป็นเสือนี่ก็ลำบากไม่เบานะครับ เสน่ห์แรงเกินไป สงสารเอิ้นที่ต้องตกหลุมรักผมซ้ำแล้วซ้ำอีก

คืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเกินความคาดหมาย เอิ้นค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะ และความเจ็บปวดทุกอย่างที่แบกไว้บนไหล่ก็ถูกวางลงเมื่อแก๊งมัจจุราชหน้าหยกที่ทำให้ผมมีชีวิตมัธยมที่โหดเหี้ยเดินเข้ามาทักก่อนงานจะเลิก

เวลาเปลี่ยน พวกเราเติบโตขึ้น ประสบการณ์ทำให้ความคิดความอ่านของพวกเราเปลี่ยนไป เรื่องในอดีตถูกเก็บเอาไว้ในกล่องความทรงจำ ถึงแม้จะกลับไปแก้ไขมันไม่ได้แต่เราก็เลือกได้ว่าจะแบกมันเอาไว้หรือวางมันลง

วันนี้พวกเราเลือกที่จะวางมันลงแล้วปิดผลึกมันเอาไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ

“ก็คิดอยู่แล้วว่าเอิ้นต้องทำให้เสือลำบากใจ เอิ้นขอโทษนะ”

“ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษหรอก ถ้าตอนนั้น...”

“เสือพยายามปกป้องเอิ้นเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าการเอาตัวเข้าไปอยู่แก๊งมัจจุราชหน้าหยกจะเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยถูกต้องนักแต่เสือก็ทำเพื่อเอิ้น เสือเสียสละเพื่อเอิ้นมากพอแล้ว”

ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยความคิดที่ตื้นเขิน ตอนนั้นผมก็คิดเพียงว่าต้องหาคนที่แกร่งกว่า มีพลังกว่าเข้ามาช่วยเหลือ

“เสียสละอะไรกัน ทุกอย่างที่พวกเราทำมันมีเหตุและผลทั้งนั้นแหละ ลองคิดดูสิ เรื่องมันเริ่มจาก เอิ้นปกป้องเสือจนตัวเองถูกทำร้าย เสือก็เลยต้องหาทางช่วยเอิ้นแต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เอิ้นลำบากกว่าเก่า เจ็บปวดกว่าเดิมจนต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย เรื่องมันเริ่มต้นเพราะเสือ เสือก็อยากให้มันจบเพราะเสือ”

“...”

“ตอนที่เอิ้นย้ายไป เสือโทษตัวเองตลอดเลย ความผิดนั้นมันวนซ้ำอยู่ในหัวจนรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าเอิ้นจะเป็นยังไงบ้างวะ พยายามจะติดต่อแต่ก็ไม่รู้ต้องทำยังไง แม่งโคตรเด็ก แล้วพออยากจะออกจากแก๊งมัจจุราชหน้าหยก พี่แมนหัวหน้าแก๊งตอนนั้นแม่งก็ไม่ยอมให้ออก อยากจะแก้แค้นมันก็ทำไม่ได้ จนเวลาผ่านไปหลายปีจนได้เป็นหัวหน้าแก๊ง...”

“ก็เลยพังแก๊งแม่งเลย”

“โรงเรียนเป็นสถานศึกษา ไม่ใช่ซ่องโจร มันไม่ควรที่จะมีพวกแก๊งอะไรแบบนี้ตั้งแต่ต้นเลยด้วยซ้ำ”

“เสือทำดีแล้ว”

“แต่กว่าจะผ่านมันมาได้เราก็ต้องเจ็บปวดกับมามากเหมือนกัน”

“เอิ้นสงสัยว่าทำไมเสือกับพี่เอ้กแล้วก็พี่แมนถึงดีกันได้ล่ะ ในเมื่อเสือเป็นต้นเหตุทำให้แก๊งพวกพี่เขาล่ม”

“เพราะเราโตแล้วไง เรามีความคิดที่แตกต่างจากตอนเด็ก ตอนเจอไอ้พี่เอ้กที่ร้านเหล้ายังนั่งขำกับมันอยู่เลยว่าตอนนั้นพวกเราทำอะไรกัน แล้วพอเจอมันทีไรมันก็ถามหาเอิ้นตลอดนะ มันบอกว่าอยากรู้ว่าไอ้เด็กอ้วนคนนั้นจะเติบโตมาแล้วเป็นยังไง เราเองก็ให้คำตอบไม่ได้เพราะก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”

“แล้วพี่แมนล่ะ”

“พี่แมนเป็นลูกค้า เคยให้เราหาพนักงานขายให้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เจอหน้ากันเกือบโดนต่อยแน่ะ ปิดห้องทะเลาะเรื่องที่เสือพังแก๊งเป็นชั่วโมง แต่ก็ขำๆ นะ เราไม่ได้ยึดติดกับมัน พี่มันยังบอกเลยว่าดีแล้วที่ตัดสินใจจบ พี่แมนถามถึงเอิ้นเหมือนกัน เพราะไม่มีใครได้ข่าวเอิ้นก็เลยพากันสงสัยว่าเอิ้นจะเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทุกคนยังนึกถึง ถ้าเอิ้นโยนความกลัวทิ้งได้เรื่องมันคงจบเร็วกว่านี้เนอะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เอิ้น...” ผมเอื้อมมือไปกุมมือคนข้างๆ ไว้ “ขอบคุณที่มีชีวิตที่ดี ขอบคุณที่กลับมา ขอบคุณที่ความรู้สึกที่มีให้กันยังเหมือนเดิม ขอบคุณนะ”

“ดีจังเลยที่ตัดสินใจมางานโรงเรียนวันนี้”

“มากับพี่เสือก็ต้องเจอแต่เรื่องดีๆ สิ”

“เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้นคือการมีเสืออยู่ข้างๆ” มือของเราประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ดวงตาคมจ้องมองผมด้วยแววจริงจังแล้วจึงว่าต่อ “เสือ เราจบเรื่องอดีตแค่นี้แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้มั้ย”

“ไปสิ เดินไปไกลแค่ไหนล่ะ”

ผมรับคำแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า

“ตรงนู้นเลย ไกลๆ นู่นเลย” นิ้วแกร่งชี้ไปข้างหน้า

“เดินไปกับเสือเหนื่อยหน่อยนะ จะทนได้เหรอ”

“ถ้าเหนื่อยก็พักด้วยกันแล้วค่อยเดินต่อสิ”



▼▲ ▼▲ ▼



หลังจากงานโรงเรียนคืนนั้น เพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง รวมทั้งครูบาอาจารย์ก็แวะมาอุดหนุนร้านเชิญนั่งไม่ขาดสาย

กิจการร้านอาหารกำลังไปได้สวยจนไอ้แชมป์อยากจะเลิกวิ่งวินมาทำงานส่งอาหารจริงจัง เกลี้ยกล่อมกันอยู่นานเลยครับกว่ามันจะล้มเลิกความคิด

ส่วนร้านเจ๊ศรีก็เรื่อยๆ สไตล์เสือครับ แม่ให้อำนาจผมดูแลร้านแต่เพียงผู้เดียวแล้วไปเป็นแม่ครัวที่ร้านเอิ้นจริงจัง

ตอนแรกผมค้านหัวชนฝาเลยล่ะ กลัวแม่จะเหนื่อยเกินไปไงแต่เมื่อพ่อบอกว่าถ้าแม่เขามีความสุขที่จะทำก็ปล่อยๆ ไปเถอะ ผมก็เลยยอมทั้งกำชับเอิ้นไม่ให้แม่ทำงานหนัก เจ๊ศรีก็ห้าสิบกว่าแล้วอะ อยากให้อยู่เฉยๆ มากกว่าอีก

พี่สิงห์ตอนนี้เป็นคุณพ่อแล้ว เห่อลูกหนักมาก ส่วนเจ๊ศรีเห่อหลานกว่าพ่อมันอีก วิดีโอคอลหากันวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

กวินได้เลื่อนตำแหน่งเป็นโปรเจ็คเมเนเจอร์หลังจากที่ผมลาออกแล้ว 2 เดือน น้องดูมีความสุขกับการทำงานดีครับ คงเพราะมีทีมงานที่ดี แต่กว่าจะหาคนที่ทำงานเข้าขากันได้ก็เหนื่อยอยู่ ส่วนตำแหน่งผู้จัดการที่ว่างลงหลังจากเอิ้นลาออกก็ได้คนนอกมาทำ เห็นว่าเป็นรุ่นพี่เรียนจบจากที่เดียวกับกวินแต่คงห่างกันหลายสิบรุ่นอยู่

นพชัย เรายังติดต่อกันอยู่บ้าง ความสัมพันธ์ของเราอาจจะเรียกว่าเพื่อนได้ไม่เต็มปากแต่ก็เป็นคนรู้จักที่เมื่อเจอกันก็คุยกันได้อย่างสบายใจ

ช่วงหลังมานี้ผมมีโอกาสไปเดินห้างเพื่อสำรวจราคาสินค้าอยู่บ้าง อบอุ่นดีครับเมื่อแวะเข้าไปแล้วเจอน้องๆ ที่เคยดูแล ทุกคนยังคงทำหน้าที่ของตัวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้ว่าการเป็นพนักงานขายจะไม่ใช่อาชีพที่เคยวาดฝันเอาไว้เมื่อตอนที่ครูให้เขียนอาชีพในฝัน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฝัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำอาชีพในฝัน แต่เราทุกคนมีสิทธิที่จะมีความสุขกับงานที่ตัวเองทำเมื่อมันทำให้เรามีอยู่ มีกิน มีชีวิตที่ดี ทำให้ครอบครัวมีความสุข เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการได้ทำตามความฝันแต่เกิดจากการได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักเรา คนที่พร้อมจะมีความสุขและทุกข์ไปกับเรา

ผมเป็นคนนึงที่ไม่มีความฝัน แต่ผมก็ยังมีความสุขด้วยการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข

“เสือ คืนนี้ไปกินขนมบ้านเอิ้นมั้ย” เมื่อนึกถึงคนที่เรารัก คนที่รักเราก็โผล่มา

“ขนมอะไร”

“ไม่บอก ถ้าอยากรู้คืนนี้ก็ไปหาเอิ้นสิ”

“ไม่อยากรู้เลย”

“อยากรู้หน่อยน่า แม่จะสอนทำ เอิ้นอยากให้เสือไปชิม”

“เจ๊ศรีอะนะ โดนหลอกรึเปล่า เจ๊ไม่เคยทำขนม นี่เป็นลูกเจ๊มา 28 ปียังไม่เคยกินขนมฝีมือเจ๊เลย”

“เตรียมของกันแล้ว เสือไปช่วยทำก็ได้นะ”

“ปิดร้านแล้วเหรอ”

“ยังสิ ยังไม่ถึงเวลาร้านปิดเลย”

“ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนกะเหมือนกัน เดี๋ยวรอเด็กมาเปลี่ยนก่อนแล้วจะตามไป ถ้าไม่อร่อยโดนต่อยนะ”

“ถ้าอร่อยโดนจูบนะ”

“จูบตอนนี้เลยก็ได้” ผมว่าพร้อมยักคิ้วให้อย่างท้าทาย

“อย่ามายั่วนะเสือ คิดว่าเอิ้นไม่กล้าเหรอ”

“ไม่ได้ยั่วครับ อยากจูบก็จูบดิ” คนถูกท้าถึงกับถอยกรูดเมื่อผมก้าวเข้าไปหาจริงๆ ท่าทางเอิ้นตอนนี้โคตรตลกจนผมหลุดขำ

“ถ้าอยากให้จูบคืนนี้ก็ไปนอนกับเอิ้นสิ จะจูบทั้งตัวเลย” สายตาที่มองผมนี่รู้เลยว่าคืนนี้ระหว่างเราไม่จบแค่จูบแน่นอน แล้วคิดว่าอย่างเสือจะกลัวเหรอครับ

“โอ้โห ขู่เหรอ”

“ไม่ได้ขู่ กล้ามั้ยล่ะ”

“ไม่กล้าได้มั้ยล่ะ”

“กล้าเหอะ อยากกอด” ว่าแล้วก็อ้าแขนออกทำท่าเหมือนจะเข้ามากอดกันจริงๆ แต่ผมก็ยกมือขึ้นผลักอกแกร่งเพื่อห้ามไว้

“คืนนี้เจอกัน รีบกลับร้านเถอะ จริงๆ แค่ชวนไปกินขนมโทรมาก็ได้นะ”

“ไม่ได้สิ คิดถึงเสือ”

“คร้าบบบ~ คิดถึงก็คิดถึง แล้วหายคิดถึงรึยัง”

“ยังคิดถึงอยู่เลยอะ” ทำหน้าอ้อนใส่กันเข้าไปสิ

ยิ่งเปิดใจให้กันมากเท่าไหร่ ความขี้อ้อนของเอิ้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ก็มีความสุขดีนะ คำที่พ่อกับแม่เคยบอกว่าการเห็นคนที่เรารักมีความสุขทำให้เรามีความสุขที่สุดแล้ว วันนี้ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นแล้วล่ะ



▼▲ ▼▲ ▼



คนบ้าอะไรยิ้มสว่างกว่าไฟถนนอีก คนบ้าที่ชื่อเอิ้นอย่างไรล่ะ

เมื่อผมเดินออกมาที่หน้าร้านหลังจากเปลี่ยนกะกับพนักงานกะกลางคืนแล้วก็พบว่าคนขี้ประจบเดินพยุงเจ๊ศรีมาตามทางเดินมุ่งหน้ามาทางนี้

เห็นแล้วก็เบะปากอย่างนึกหมั่นไส้

“พาแม่มาส่งแล้วก็มารับเสือไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”

ขี้ประจบกว่านี้มีอีกมั้ย

เอิ้นปล่อยมือแม่แล้วยื่นมือมาตรงหน้าผม เพราะเจ๊ศรีอยู่ด้วยผมจึงเขินอายเกินกว่าจะจับมือข้างนั้นเอาไว้

เจ๊มองหน้าเราทั้งคู่สลับกันไปมา ยิ้มแล้วก็เดินเข้าบ้านไป การกระทำแบบนี้หมายความว่าตามสบายเลย จะไม่กลับมานอนบ้านก็ไม่ว่าหรอก

คล้อยหลังเจ๊มือผมก็ถูกกุมเอาไว้

“ค้างบ้านเอิ้นนะ”

“ทำขนมเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว อร่อยโคตร”

“ขี้โม้รึเปล่า”

“ระดับเอิ้นครับไม่มีโม้อยู่แล้ว”

“ถ้าไม่อร่อยต่อยนะ”

“ได้ แต่ถ้าอร่อยคืนนี้เสือต้องตามใจเอิ้นนะ” ท้ายประโยคถูกกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“หมกมุ่นนะเราอะ”

“เอิ้นยังไม่ได้บอกเลยว่าให้ตามใจเรื่องอะไร เสือนั่นแหละหมกมุ่นไปรึเปล่าครับ ตอนที่เอิ้นกอดรู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ”

“หิวๆ ไปกินข้าวกัน”

ภาพที่เราสองคนเดินเคียงข้างกันกลายเป็นภาพที่ถูกเห็นจนชินตา แรกๆ ก็ขลาดเขินครับเวลาที่ต้องบอกใครต่อใครถึงความสัมพันธ์ของเรา แต่ตอนนี้ชิลมาก ถามมาเถอะพร้อมจะตอบมากเลย

อาหารเย็นวันนี้ก็ธรรมดาเหมือนทุกๆ วันจะพิเศษหน่อยก็ตรงที่มีของหวานเพิ่มขึ้นมาอีก 1 อย่าง

ขนมในแก้วใบเล็กที่ผมไม่รู้จักชื่อ

“มันคืออะไรอะ” ลองจิ้มๆ ที่วิปครีมแล้วเอามาแตะที่ลิ้น รสชาติจืดชืดฉิบหายครับ

“ไม่อร่อยเหรอ” คงเพราะเห็นผมทำหน้าแหยๆ อีกฝ่ายจึงถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก

“ไม่ค่อยชอบวิปครีม แล้วไอ้นี่มันชื่ออะไร”

“บานอฟฟี่” คุ้นๆ ชื่ออยู่แต่ไม่เคยกินสักทีกระทั้งวันนี้

“แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงอยากทำขนม”

“กลัวเสือเบื่อ”

“เบื่ออะไร ไม่เบื่อหรอก อย่าคิดมากสิ” ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วดันไหล่ให้เอิ้นนั่งลง เป็นฝ่ายบริการตักข้าวและรินน้ำซึ่งเป็นไม่กี่อย่างที่ผมช่วยแบ่งเบาภาระได้

อาหารมื้อเย็นผ่านไปอย่างเชื่องช้า เราคุยกัน เล่าเรื่องราวของวันนี้สู่กันฟัง ปรึกษากัน ช่วยกันแก้ปัญหาอย่างที่ทำเป็นประจำ

“วันนี้มีคุณป้าคนนึงเข้ามาที่ร้าน สั่งอาหารทุกเมนูเลย”

“ทำไมสั่งเยอะจังอะ เค้าจะเอาไปทำบุญเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ป้าชมด้วยนะว่าอาหารร้านเราอร่อย รสชาติกลมกล่อม ได้รับคำชมทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ทุกทีเลย”

“วันนี้มีคุณป้าคนนึงเข้ามาซื้อของที่ร้านเสือ” เห็นอีกฝ่ายเล่าผมเองก็ไม่อยากน้อยหน้า

“แล้วไงต่อ”

“แล้วเค้าก็จ่ายตังค์ พอได้ตังค์ทอนก็ออกจากร้านไป”

“เสือ!!”

“ขำๆ น่า ไหนเอาขนมมาชิมหน่อย” แทนที่จะยกมาให้ผมทั้งถ้วยแต่กลับตักบานอฟฟี่มาจ่อที่ปากผมซะงั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงแย่งช้อนมาถือเองแต่ตอนนี้ผมอ้าปากรับขนมเข้ามาคำโต

ขณะที่ผมเคี้ยวอย่างอ้อยอิ่งเพื่อพิจารณารสชาติอย่างถี่ถ้วนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมก็ลุ้นตัวเกร็งอย่างกับลุ้นหวย เห็นแล้วก็อยากแกล้งครับ

ผมแกล้งเคี้ยวไปเรื่อยๆ จนบิสกิสละลายไปจนหมดแล้วทำหน้ายุ่งให้อีกคนยู่หน้า

“ไม่อร่อยเหรอ”

“อือ” ผมเกาคางทำเหมือนครุ่นคิด มองเอิ้นที่กัดปากลุ้นแล้วก็ขำครับ อยากแกล้งต่ออีกหน่อย

“เสือ ไม่อร่อยเหรอ รสชาติแย่มากเลยเหรอ”

ผมส่ายหน้าแล้วยิ้มกว่า “อร่อยมากต่างหากล่ะ เพิ่มเป็นเมนูของหวานของที่ร้านยังได้เลย”

“จริงเหรอ เสือพูดจริงๆ ใช่มั้ย”

“อื้อ” ผมพยักหน้าสำทับ

“ยังจำคำที่เราคุยกันเมื่อชั่วโมงก่อนได้มั้ย”

โห คุยกันหลายเรื่องมาก พอผมมุ่นคิ้วอีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “คืนนี้อย่าลืมตามใจเอิ้นนะ”

ไอ้หื่นเอ้ย~



▼▲ ▼▲ ▼



ให้ตายเถอะ ทำงานมาทั้งวันกลางคืนยังมีแรงเหลือมากอดรัดฟัดเหวี่ยงผมอีก รอบเดียวไม่พอ ขอสอง ขอสามไม่ถามสุขภาพไอ้เสือสักคำ

ผมทิ้งตัวลงบนอกคนใต้ร่างหลังจากปลดปล่อยความกำหนัดครั้งล่าสุด

ที่ใช้คำว่าล่าสุดเพราะของที่ค้างคาอยู่ในตัวผมมันเริ่มขยับดุ๊กดิ๊กอีกแล้ว

“เอิ้นพอเถอะ เสือเหนื่อย” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเมื่อช้อนตามอง

“เราทำกันล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว”

“แล้วไง”

“เอิ้นไม่ได้กอดเสือตั้งเดือนนึงแล้วนะ”

“เอิ้น อือ” ของร้อนเริ่มขยับขยายจนคับแน่นในตัวของผม อีกแล้วสินะ

“ถ้าเหนื่อยก็นอนเฉยๆ เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือมีความสุขเอง”

เอาแต่ใจมากครับและร่างกายผมแม่งก็พร้อมจะตามใจอีกฝ่ายเสมอเลย แค่ถูกลูบไล้ป้อนจูบนิดๆ หน่อยๆ ก็เคลิ้มแล้ว ไม่ว่าจะถูกพลิกหน้า พลิกหลัง นอนตะแคงกี่ตลบก็ยอมเขาหมด

ร้องขอ ร้องห้ามจนคอแหบแห้ง เตียงนอนนี่ถ้าไม่ใช่ของมีคุณภาพคงหักไปแล้ว ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตกว่าผมมากทำไมแรงเยอะแบบนี้วะ

กว่าจะสมใจอยากคุณเอิ้นเขาเสือก็หมดแรงนอนตายบนเตียงไปแล้วครับ

“เสือ” เสียงเรียกดังอยู่เหนือศีรษะ ผมพยายามเอี้ยวตัวมองคนที่นอนซ้อนหลังแล้วโอบกอดผมแน่นแต่ก็หมดแรงก่อนจะได้เห็นหน้าจึงได้แต่ครางเบาๆ ตอบรับ

“หือ”

“หลังปีใหม่เราไปญี่ปุ่นด้วยกันมั้ย”

“อือ ไปสิ”

“พูดจริงนะ ไม่กลับคำนะ”

“อือ” อยากพูดมากกว่านี้อยู่หรอกแต่คอแห้งมาก ดื่มน้ำไปแก้วนึงแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลย ต้องโทษไอ้คนหื่นกามเลยครับ หักโหมอะไรขนาดนี้ ทำอย่างกับชาตินี้จะไม่ได้กอดผมอีกแล้วอย่างนั้นแหละ

ถ้ารู้ว่าจะโดนแทงยับแบบนี้ ผมยอมให้กอดค่อยๆ แต่บ่อยๆ ซะก็ดี

ผิดเป็นครูครับ แต่คิดว่าพรุ่งนี้กูไม่น่าจะเดินไหวครับพี่น้อง



  [- THE END -]

จบแล้วจ้า... จบแล้วแต่ยังเหลือตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ
นี่เราอยู่กับเสือของเอิ้นมากี่เดือนแล้ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมป่ะ
จำได้ว่าตอนเขียนนี่ เขียนด้วยความอยากอย่างเดียวเลย
ต้องขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นต์ ทุกการติดตามที่มีส่วนทำให้เสือของเอิ้นเดินทางมาถึงปลายทางนะ
แจ๊ส
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-02-2017 20:02:59
 :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-02-2017 03:04:06
เอิ้นจะพาเสือไปเปิดตัวกับครอบครัวที่ญี่ปุ่นแน่เลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-02-2017 08:44:45
เอิ้นน่ารักมาก บุคลิกน่าเป็นรับ แต่ดันรุกคนเสือเปลี้ย

พี่เสือคนแมนแดนรับ

 :laugh:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: natt teng ที่ 14-02-2017 23:04:28
คือเพิ่งมาอ่านบทแรก อ่านประโยคนำ นึกว่าเสือเมะ เอิ้นเคะ อ้าวไม่ใช่
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-02-2017 23:43:13
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-02-2017 22:13:19
จบซะแล้ว เสื้อเอิ้นน่ารักมากเลย จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 04-03-2017 15:25:15

SPECIAL  {เอิ้นเสืออินเจแปน}



หลังจากฉลองปีใหม่กับครอบครัวผมในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราก็เดินทางข้ามทะเลมาญี่ปุ่นในช่วงเย็นวันที่ 1 มกราคม

งานนี้เสือเที่ยวฟรีครับ ลาภปากแท้ๆ

ยังจำคุณป้าที่เอิ้นเล่าให้ฟังได้ไหมครับ เธอเป็นเจ้าของโรงแรมที่มีการจัดสัมมนาบ่อยๆ หลังจากที่ได้ชิมอาหารฝีมือแฟนผมวันนั้นเธอก็ติดใจครับ กลับมาดีลให้ร้านทำอาหารให้ในวันที่มีสัมมนา

เงินดีครับแต่งานก็หนักขึ้นเช่นกัน แต่ผมไม่เคยเห็นคุณเชฟเขาบ่นเลยนะ บอกแต่ว่ามีความสุข

นั่นแหละ งานดีเงินดีผมก็เลยได้เที่ยวฟรียังไงล่ะ

พี่อิง พี่สาวคนรองของเอิ้นมารับเราที่สนามบิน ในภาพจำของผมเธอเป็นพี่สาวที่ดูใจดีมากแต่ความเป็นจริงเธอทั้งสวยและใจดีมากๆ เลยล่ะ

“เสือหล่อนะ”

“ขอบคุณครับ” ขณะที่รถกำลังวิ่งไปตามถนนอยู่ๆ พี่อิงก็ชม ตัวผมที่ยังงงจึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“เอิ้นถ่ายรูปคนหล่อยังไงให้ดูน่ารัก”

“ก็ในสายตาเอิ้นเสือน่ารักนี่นา”

“อวยแฟนหนักมากค่ะ” พี่อิงเบ้ปากเมื่อได้ฟังคำตอบ ผมเองก็เบ้ปากตามๆ เธอไป เห็นมั้ย ใครๆ ก็บอกว่าผมหล่อมีแต่เอิ้นอะที่มองว่าผมน่ารัก

“ก็คนนี้เอิ้นรอมาตั้งนานก็ต้องรักมากเป็นธรรมดาสิ”

โอ้โห เบาหวานขึ้นตาเลยครับ ถึงจะรู้ว่าเอิ้นรักผมมาก รู้มาตลอดว่าทุกการกระทำของเราอยู่ในการรับรู้ของครอบครัวเขาแต่เมื่อได้มาเจอกันจริงๆ ผมก็อดเขินไม่ได้

ครอบครัวเอิ้นน่ารักมาก ทุกคนดูแลผมเป็นอย่างดี จากที่เกร็งๆ ในตอนแรกเมื่อทุกคนทำเหมือนเราสนิทกันมาแสนนานผมที่เข้ากับคนอื่นง่ายอยู่แล้วจึงรู้สึกผ่อนคลายและทำตัวกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับทุกคนไม่ยาก


▼▲ ▼▲ ▼



บ้านเอิ้นอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ คุณแม่กับคุณพ่อยังคงทำงานกันอยู่ โดยมีพี่สาวกับพี่เขยช่วยงาน ส่วนพี่ชายคนโตทำงานอยู่สถานทูตในประเทศอะไรผมก็จำไม่ค่อยได้ เห็นคุณพ่อเปรยๆ ว่าในเมื่อเอิ้นได้ทำสิ่งที่รักและได้อยู่กับคนที่รักแล้ว บริษัทนี้ที่มีผลประกอบการปีละหลายร้อยล้านนี้คงต้องยกให้พี่อิง

ผมถามเอิ้นตอนที่เราเอาของขึ้นมาเก็บบนห้องว่าไม่เสียดายเหรอ ก็ได้คำตอบเท่ๆ ว่าถ้าไม่ได้อยู่กับผมคงเสียดายกว่า ถูกหยอดเข้าไปไอ้เสือก็ละลายสิครับ

“เอิ้น นี่มันหุ่นยนต์”

ผมจำไอ้หุ่นยนต์แขนหายที่วางอยู่หัวเตียงนี้ได้

“ตัวที่เราช่วยกันต่อไง”

“อือ จำได้แต่ไม่คิดว่ายังเก็บไว้”

“มันทำให้เอิ้นระลึกอยู่เสมอว่าเคยมีช่วงเวลาดีๆ กับเสือ” ตอนนั้นเราช่วยกันต่อทั้งวันทั้งคืน ข้าวปลาไม่กิน ผมอะไม่ยอมกลับบ้านเลยจนเกือบถูกเจ๊ศรีสมรไล่ออกจากบ้านแล้ว

“ไอ้เด็กนี่ใครเนี่ย” รูปถ่ายที่วางอยู่ข้างรูปครอบครัวสะดุดตาเสียจนอดไม่ได้ที่จะหยิบมาดูใกล้ๆ

“นั่นสิ ใครนะหน้าตาโคตรหาเรื่อง”

“พูดอะไรอยากมีเรื่องรึไง” ผมแยกเขี้ยวใส่แต่เอิ้นหาได้กลัวมั้ยซ้ำยังบีบบจมูกผมอีก เจ็บนะ

“ขี้โมโหนะเราอะ”

“นั่นอะไรอะ” ผมเบี่ยงตัวหลบเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าเข้ามากอด ภาพในกรอบรูปที่ถูกแขวนไว้บนกำแพงดึงดูดให้ก้าวขายาวๆ เข้าไปดูใกล้ๆ

กรอบรูปถูกแบ่งเป็น 2 แถว แถวละ 5 ช่อง

ช่องแรกแถวบนเป็นภาพของผมตอนเด็ก ดูจากชุดที่สวมใส่น่าจะเป็นช่วงประถม ส่วนแถวล่างเป็นรูปไอ้หมูเอิ้นที่อ้วนฉุจนเนื้อแทบแตกแก้มยุ้ยน่าหยิก

ช่องที่ 2 เป็นรูปถ่ายตอนมัธยมต้น ออร่าความหล่อของผมเริ่มกลบความน่ารักแล้วแต่เอิ้นยังอ้วนเหมือนเดิม

ช่องที่ 3 เป็นรูปถ่ายช่วงมัธยมปลาย ผมดูเป็นหนุ่มวัยละอ่อน ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ตัดผมทรงสกินเฮดแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหล่อไม่บันยะบันยัง ส่วนเอิ้นภาพนี้เขาไม่อ้วนแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หุ่นเฟิร์มเหมือนตอนนี้

“นี่เพิ่งเริ่มลดน้ำหนักใช่มั้ย” ผมชี้รูปนั้น อีกฝ่ายพยักหน้า

“อื้อ เห็นเสือแล้วก็นึกสมเพชตัวเอง”

“ทำไมคิดอย่างนั้น”

“เอิ้นไม่อยากทำให้เสืออายใครเมื่อเอิ้นยืนอยู่ข้างๆ เสือ”

“ต้องให้บอกอีกซักกี่ครั้งว่าเสือไม่เคยอาย”

“ถึงไม่อายแต่เอิ้นก็อยากดูดีบ้าง”

“ตอนนี้ก็ดูดีแล้ว”

คนถูกชมพยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้าง

“หล่อมากด้วยใช่มั้ยล่ะ” ผมว่าอย่างรู้ทัน

“แน่นอน”

“หลงตัวเองเหมือนกันนะเราอะ” ผมขำแล้วไล่นิ้วไปยังช่องที่ 4 ตอนนี้พวกเราเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ออร่าความหล่อกินกันไม่ลงจริงๆ “ตอนนั้นสาวติดตรึมเลยล่ะสิ”

“เสือก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่คบใครซักคน”

“ถ้าเสือรู้ว่าเอิ้นมีแฟนเสือก็คงจะมีด้วย เสียดายว่ะ”

“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ยอมมีแฟน”

“ใครจะไปรู้ว่าเอิ้นจะดูดีขึ้นขนาดนี้ เราก็นึกว่าจะตัวอ้วนๆ แล้วอยู่โดดเดี่ยว แค่คิดว่าเอิ้นทุกข์เสือก็ไม่กล้ามีความสุขแล้ว”

ไม่ต้องมามองด้วยสายตาปิ๊งๆ ซึ้งใจเลยล่ะสิ เรื่องนี้ตอนแรกว่าจะไม่บอกหรอกนะ แต่พอรู้ว่าขณะที่ผมนั่งหัวใจห่อเหี่ยวเอิ้นกลับมีแฟนดี๊ด๊ามันก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ถ้ารู้อย่างนี้ตอนนั้นจะรับรักสาวๆ ให้หมดทุกคน ใช้ชีวิตให้คุ้มสุดๆ ไปเลย

“เลิกมองได้แล้ว นี่มีรูปตอนรับปริญญาด้วยเหรอ เหมือนสตอร์คเกอร์เหมือนกันนะเราน่ะ”

“ก็ตามเสือคนเดียวแหละ” มันน่าภูมิใจเหรอถูกด่าว่าเป็นสตอร์คเกอร์เนี่ย

“แล้วรูปหลังจากนี้ไม่มีแล้วเหรอ”

“หลังจากนี้เอิ้นอยากเก็บรูปคู่ของเรา”

เราสบตากันและเป็นผมเองที่เบือนหน้าหนีก่อนเพราะทนสายตาหวานๆ และรอยยิ้มก่อกวนหัวใจไม่ได้

“มองอะไรนักหนาวะ” หน้าร้อนไปหมด

“อยากมอง มองไม่ได้เหรอ” เอ้า! ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก ใกล้ขนาดนี้กินหัวไอ้เสือเลยมั้ยล่ะ

“ไม่ให้มอง” ผมยกมือขึ้นปิดหน้า ท่าทางผมตอนนี้คงโคตรจะเหมือนสาวน้อยแต่ให้ทำไงได้วะ ไม่อยากให้มองนี่หว่า เสือเขินเข้าใจป่ะ

“แต่เอิ้นอยากมองนี่นา ขอมองหน่อยน๊า” น้ำเสียงออดอ้อนดังใกล้ๆ หูก่อนอีกฝ่ายจะเทน้ำหนักตัวลงมาจนผมล้มตัวนอนลงบนเตียง แขนทั้งสองข้างถูกกดเอาไว้เหนือศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาแฝงความร้ายกาจอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของผมเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ลงไปข้างล่างเถอะ”

“ไม่อะ นั่งเครื่องมาตั้งนาน นอนเถอะเดี๋ยวพอถึงเวลาอาหารเย็นพี่อิงก็ขึ้นมาตามเองแหละ”

“จะดีเหรอ แบบ เกรงใจครอบครัวเอิ้นอะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเองทั้งนั้น นอนนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากการบอกฝันดี เอิ้นทิ้งตัวลงข้างๆ ผม และอีกครั้งที่ผมหลับไปในอ้อมกอดอบอุ่นนี้ อ้อมกอดที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยในทุกๆ ครั้งที่ได้รับ



▼▲ ▼▲ ▼



เพราะไม่มีแผนเที่ยว หลังจากตื่นนอนในเช้าวันถัดมาเราทั้งคู่จึงต้องมานั่งแกร่วอยู่หน้าทีวีที่กำลังฉายเกมโชว์ที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง

“เสืออยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”

“ไม่มี เอิ้นเป็นเจ้าบ้านเอิ้นก็พาเสือเที่ยวสิ” ผมตอบขณะที่ไถอินสตราแกรมไปเรื่อยเปื่อย

ผมไม่ใช่มนุษย์โซเชียลหรอก อินสตราแกรมนี่ไอ้แชมป์ก็บอกให้สมัครไว้ส่องน้องเมอิ ในเมื่อเปิดมาเพื่อจุดประสงค์นั้นคนที่ผมติดตามส่วนใหญ่จึงเป็นนางเอกสาวชาวญี่ปุ่นทั้งนั้น

มองแล้วก็เพลิดเพลินไปกับความอะร้าอร่ามดีครับ

“เอิ้น...” ผมเรียกแล้วยื่นมือถือไปตรงหน้าอีกฝ่าย “ที่นี่ที่ไหน”

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” เจ้าบ้านมุ่นคิ้วมองผม หึงอีกแล้วว่ะ

“น้องเมอิไง ไม่รู้จักน้องเมอิเหรอวะ อ๋อ ลืมไปว่าเอิ้นไม่เคยดูเอวี”

“นางเอกเอวีเหรอ”

“อือ ที่หนึ่งในดวงใจ พาไปเจอตัวจริงน้องเมอิหน่อยได้มั้ย”

“ไม่ได้” เป็นคำตอบที่เด็ดขาดและดุดันที่สุดที่ผมเคยได้รับจากเอิ้น แต่อย่าคิดว่าผมจะถอดใจ นี่เสือครับ อยากได้อะไรก็ต้องได้

“เอิ้น” ผมเกาะแขนแล้วกระพริบตาปริบๆ “พาเสือไปหาน้องเมอิหน่อยนะ นะ น๊า”

“แลกกับอะไร”

“เอิ้นอยากได้อะไร”

“พรุ่งนี้ไปออนเซ็นกัน”

ผมพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด แค่ได้เจอน้องเมอิสักครั้งต่อให้ต้องแลกกับอะไรเสือก็ยอม

เราออกจากบ้านทันทีหลังจากผมตกปากรับคำ หวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นจะได้เจอเธอ แค่คิดก็ตื่นเต้นจนใจสั่นแล้ว

นั่นไงๆ น้องเมอิของผมเธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่เช็คอินในอินสตราแกรมเมื่อ 30 นาทีก่อนจริงๆ ด้วย ฮือ เพียงเห็นหน้าเธอผมก็แทบจะละลายแล้ว เหมือนฝันเลยอะ ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงเลย ต้องขอบคุณแฟนผมครับที่พามาเที่ยว

ตอนนี้อยากอวดไอ้แชมป์มากแต่ถ้าไม่มีหลักฐานมันต้องไม่เชื่อแน่ๆ

“เหี้ยแชมป์ มึงต้องอึ้งถ้ารู้ว่ากูเจอใคร”

ผมวิดีโอคอลหาไอ้แชมป์ โต๊ะของเราอยู่ในมุมที่พอเหมาะพอดีสำหรับมองน้องเมอิราวกับที่ตรงนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

‘อะไรของมึงถ้าไม่เจ๋งจริงกูต่อยมึงหน้าหงายแน่ห่าเสือ’

“ถ้าไม่เจ๋งจริงกูไม่คอลหามึงหรอกโว้ย เบื่อหน้าจะแย่”

‘พูดมากสัส ว่ามา กูต้องทำมาหากิน’

“มึงห้ามกรี้ดนะแชมป์” ผมว่าแล้วเบี่ยงตัวหลบให้กล้องจับไปยังน้องเมอิที่นั่งอะร้าอร่ามอยู่ตรงโน้น

‘ไอ้สัสเสือ นั่นมันๆ’ ไอ้แชมป์อ้าปากค้างดิ้นเร่าๆ จนโทรศัพท์ในมือสั่น ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น

“น้องเมอิโว้ย แจ่มสัสๆ ตัวจริงน่ารักกว่าในหนังจมเลยว่ะ”

‘เชี่ยเสือกูอยากไปญี่ปุ่น ฮื้อ’

“ไลฟ์สดจบแล้วครับ เจอกันมึง” ผมหัวเราะส่งท้ายและภาพสุดท้ายก่อนตัดสายคือไอ้แชมป์ที่กรีดร้องดังลั่น คนที่วินคงคิดว่ามันผีเข้า ที่จริงผมก็อยากทำอย่างมัน แต่สถานที่ไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่จึงได้แต่นั่งมองน้องตาเคลิ้มๆ

มีความสุขจังเลย

“เสือ” เสียงเรียกไม่ได้ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าคนที่กำลังจับจ้อง

น้องเมอิโคตรน่ารักอะครับ ดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากเล็กๆ ที่ร้องอิคึอิคึ หน้าอกเธอคัพเอฟที่แบบโอ้โหโดดเด่นจนละสายตาไม่ได้เชียวล่ะ

“รู้มั้ยว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าแบบไหน”

“แบบไหนอ่า” กูเคลิ้มครับ น้องเมอิแม่ง แม่ง แม่ง โคตรแจ่ม

“หน้าเสือโคตรหื่น”

“อื้อ” หื่นก็หื่น เสือยอมรับ

“เอิ้นก็อยากให้เสือมองเอิ้นด้วยสายตาแบบนั้นบ้าง”

สายตาหื่นน่ะเหรอ จะมองแบบนั้นได้ไง มีนมคัพเอฟแบบน้องเมอิเหรอก็ไม่มีซักหน่อย

“เสือ มองเอิ้น”

คนเรียกเขย่าต้นแขนผม เริ่มต้นด้วยความแผ่วเบาแต่พอผมไม่สนใจก็เขย่าแรงๆ เหมือนเขย่าขวดซอสมะเขือเทศ

“ถ้าไม่มองเอิ้นจะโกรธแล้วนะ”

“อือ แล้วแต่”

เอิ้นก็เอิ้นเถอะ นาทีนี้ไม่มีใครน่าสนใจไปกว่าน้องเมอินางเอกคนสวยในดวงใจผมอีกแล้ว คิดดูสิ ติดตามงานเขามาตั้งแต่มัธยม ตอนนั้นก็ 16 เองมั้ง ผ่านมา 10 กว่าปี หน้า เนื้อ นมยังเปล่งปลั่งเหมือนเดิม จะไม่ให้ผมคลั่งไคล้ได้ไงวะ

ที่จริงแล้วน้องเมอิเนี่ยอายุมากกว่าผมอีกนะแต่ดูใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นสิ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเคยสวยใสอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนเลย

“เสือคงไม่อยากรู้หรอกว่าเวลาเอิ้นโกรธเป็นยังไง”

“อยากรู้สิ โกรธเลยเดี๋ยวง้อ” ผมบอกไม่ละสายตาจากนางเอกในดวงใจสักวินาที

“เอิ้นจะหึงแล้วนะเสือ”

“จะโกรธหรือจะหึงเลือกซักอย่างสิ”

“เสืออะ” น้ำเสียงแสนงอนเรียกความสนใจให้ผมเหลือบมองแค่แว้บหนึ่งแล้วกลับมาเท้าคางมองไปยังโต๊ะสาวสวยอีกครั้ง

น่ารักอะ ยิ่งมองความโลภก็ยิ่งเข้าครอบงำจิตใจ ถ้าได้ถ่ายรูปคู่ด้วยคงฟินไปถึงโลกหน้า

“เอิ้นสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตรงไหน ไหนบอกซิ”

พอผมเอาแต่สนใจน้องเมอิ มือแกร่งของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะก็ยื่นมากุมใบหน้าแล้วบังคับให้หันไปสบตา

“กล้าถาม น้องเมอิเขานางเอกแถวหน้าของวงการหนังญี่ปุ่นนะครับ แล้วคุณเป็นใคร เป็นเชฟใช่มั้ย ถึงจะเคยถูกแนะนำในฐานะเชฟหล่อบอกต่อลงนิตยสารด้วยก็เถอะ แต่ความดังก็ไม่ได้เสี้ยวของน้องเมอิหรอกคร้าบ”

“เสือนี่แฟนนะ”

“ก็แฟนไง”

“ชมคนอื่นต่อหน้าแฟนตัวเองก็ได้เหรอ” หน้างอกว่านี้อีกหน่อยก็เป็นพี่น้องกับปลาทูแม่กลองได้แล้วนะ

“ทำไมจะชมไม่ได้ล่ะ”

“ไม่กลัวแฟนงอนเหรอ ง้อเหนื่อยนะ”

“ก็ไม่ได้กลัวนี่”

“ระวังตัวไว้ให้ดีๆ เถอะ” ว่าแล้วก็ชี้หน้าคาดโทษ

“ไม่เคยกลัวอยู่แล้วแต่ตอนนี้ปล่อยก่อนได้มั้ยจะมองน้องเมอิอะ”

“เอิ้นอยากให้เสือมองแค่เอิ้นนี่นา”

“เสืออยู่กับเอิ้นทุกวันจะมองเมื่อไหร่ก็ได้นี่ แต่น้องเมอิไม่ได้เจอง่ายๆ ซักหน่อย”

“คนเราก็แบบนี้ ไม่ค่อยสนใจคนใกล้ตัวหรอก”

“นี่” ใบหน้าของผมถูกปล่อยให้เป็นอิสระก่อนคนตรงหน้าจะเบือนหน้าหนีให้ผมเป็นฝ่ายยื่นมือไปประคองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังง้ำงอให้หันมามองกัน “เดี๋ยวคืนนี้เสือจะนอนมองหน้าเอิ้นทั้งคืนเลย พอใจยัง”

ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าขนาดนี้มากกว่าพอใจอีกมั้ง

หลังจากนั่งมองน้องเมอิจนพอใจ เราก็เดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในย่านช้อปปิ้งนั้น ทุกอย่างรอบตัวดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด

ถึงผมจะชอบดูหนังญี่ปุ่นแต่ผมก็ไม่ได้ชอบญี่ปุ่นเป็นพิเศษ รู้คร่าวๆ เท่าที่คนอื่นเขารู้กัน ทว่าวันนี้เจ้าบ้านที่พาผมเดินเที่ยวจนขาเปลี้ยกลับทำให้ผมหลงรักญี่ปุ่นเข้าอย่างจัง

เรามีแพลนอยู่เที่ยว 7 วันแต่ผมอยากจะอยู่ซัก 7 เดือนไปเลย

ถามว่าชอบอะไรเป็นพิเศษเหรอ ชอบความเป็นระเบียบ ความสะอาด เทคโนโลยี ผมชอบกินซูชิมากๆ เลยด้วย

เรากลับมาถึงบ้านหลังโตของครอบครัวเอิ้นในตอนใกล้เวลาอาหารค่ำพอดี

“เป็นไงบ้างจ้ะหนูเสือ ชอบญี่ปุ่นมั้ย” คุณแม่ถามกลางโต๊ะอาหารมื้อค่ำมื้อใหญ่

ผมยิ้มแหย ไม่ใช่อะไรนะ คำว่า ‘หนูเสือ’ ที่คุณแม่เรียกฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้พิลึก

“เอ่อ ก็ดีครับ”

“แค่...ก็ดีเองเหรอ น่าจะตอบว่าชอบมากๆ แม่จะได้ชวนมาอยู่ด้วยกัน แต่คุณศรีสมรต้องไม่ยอมแน่ๆ เลยเนอะ มีลูกน่ารักทั้งหล่อขนาดนี้เป็นใครเขาก็หวงทั้งนั้น”

“แล้วแม่ไม่หวงเอิ้นเหรอ” คนข้างผมถามให้แม่เบ้ปากใส่

“หวงไปก็เท่านั้นในเมื่อเธอเลือกที่จะไปจากฉันแล้ว”

“แม่อะ เดี๋ยวเอิ้นพาเสือมาเยี่ยมบ่อยๆ”

“เฮอะ บ่อยๆ ของเธอนี่ปีละครั้งใช่มั้ยล่ะ ไม่คิดว่าฉันจะคิดถึงบ้างหรือไง”

“โอ๋ๆ ไม่งอนสิครับแม่”

ระหว่างที่ลูกชายกับคุณแม่กำลังงอนง้อกัน คุณพ่อของเอิ้นก็เริ่มถามไถ่ถึงคุณพ่อของผม ทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกันครับ แต่เพราะงานยุ่งด้วยกันทั้งสองฝ่ายจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่ คุณพ่อเอิ้นฝากบอกคุณพ่อผมด้วยว่าวันหลังจะสไกฟ์ไปคุย ผมคงต้องสอนพ่อเล่นซะแล้วสิ

ส่วนพี่อิงที่ในอดีตเคยคบหาดูใจกับพี่ชายผมก็เอาแต่บ่นทั้งก่นด่าพี่สิงห์เรื่องที่ชอบอวดลูก หลานชายผมน่ารักจริงๆ ครับ พี่อิงคงอิจฉาเพราะได้ข่าวว่าเธอก็กำลังพยายามมีทายาทตัวน้อยๆ อยู่เหมือนกัน

พอมาคิดๆ ดู ผมกับเอิ้นโชคดีมากจริงๆ ครับที่ครอบครัวของเราทั้งคู่เข้าใจและยอมรับความสัมพันธ์นี้ ไม่สิ ต้องบอกว่าทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราต่างก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา



▼▲ ▼▲ ▼



เช้าวันต่อมา

“เมื่อคืนเสือเบี้ยวนะ” ประตูรถถูกปิดลง เอิ้นเอี้ยวตัวมาคาดเข็มขัดแล้วจ้องหน้าผมเขม็ง

“เบี้ยวอะไร” ผมขยับตัวแล้วมองหน้า

“เสือบอกว่าจะนอนมองเอิ้นทั้งคืนแต่ตัวเองดันหลับไปก่อน”

“ก็มันง่วงนี่” ว่าแล้วก็หาว เพราะเมื่อวานเดินเที่ยวจนล้าพอมื้อเย็นจบลง อาบน้ำเสร็จหัวถึงหมอนผมก็หลับไปเลย

วันนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปออนเซ็นอีก ง่วงมากอะ

“ง่วงมากเหรอ”

ผมพยักหน้าตาปรือๆ

“ขี้เซานะเราอะ นอนเถอะ ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวเอิ้นปลุก” เบาะรถอีโค่คาร์ถูกปรับเอนให้ผมนอนได้สบาย

เอิ้นน่ะดีกับผมขนาดนี้จะให้หยุดรักเขาได้ยังไงกันล่ะ

เรามาถึงโรงแรมกันตอนสายๆ พนักงานนำเราขึ้นไปยังห้องพักหลังจากเอิ้นจัดการเช็คอินแล้ว ผมก็เด๋อๆ ครับ ฟังเขาก็ไม่รู้เรื่องได้แต่เดินตามอย่างเดียว

“ห้องสวยโคตร”

“ชอบมั้ย” เสียงทุ้มดังข้างหูเมื่อผมถูสวมกอดจากด้านหลัง

“โห โคตรหรูอะ ต้องแพงมากแน่ๆ เลยใช่มั้ย”

“ก็นิดนึง”

“ไม่นิดแล้วมั้งเอิ้น”

“อย่าคิดมากสิ มาเที่ยวทั้งที ดูนี่สิ” ผมถูกจูงไปที่ระเบียง “เราแช่ออนเซ็นด้วยกันตรงนี้มองออกไปเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วย โรแมนติกมากๆ เลยเนอะ”

ฮือออ ภูเขาไฟฟูจิเคยเห็นแต่ในรูปแต่พอมาเห็นของจริงบอกเลยว่าโคตรอลังการ

 “เสือยังง่วงอยู่มั้ย ถ้าง่วงก็นอนพักได้เลยนะ เพราะคืนนี้อาจจะไม่ได้นอน”

ไอ้ฉัตร!

ว่าแล้วเชียว พามาที่หรูหราแบบนี้ต้องมีความคิดหื่นกามแอบแฝงแน่ๆ

ไหนๆ คืนนี้ก็อาจจะไม่ได้นอนอย่างเจ้าของทริปเขาว่า ด่าไปก็เสียเวลา ขอนอนเลยแล้วกัน

ตื่นมาอีกทีก็ถึงเวลาอาหารแล้ว พอกินข้าวเสร็จเอิ้นก็พาผมออกไปเดินเล่น จะว่าอย่างไรดีล่ะ ถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่คนไม่พลุกพล่านจนน่ารำคาญ พวกเราถ่ายรูปกันจนเมื่อย เมื่อลองคิดๆ ดูวันนี้อาจจะเป็นวันที่ผมยิ้มมากที่สุดแล้ว เมื่อยกรามชิบเป๋ง

“เหนื่อยมั้ย” พระอาทิตย์คล้อยต่ำบอกเวลาอาหารเย็น

ผมหันไปยิ้มให้คนถามแล้วคลายมือที่จับกันแน่นทั้งวัน

“หิวแล้ว”

“งั้นกลับไปกินข้าวที่โรงแรมกัน แล้วค่อยแช่ออนเซ็น” ท้ายประโยคน้ำเสียงหยอกเย้าดังชิดใบหู

หมกมุ่นจริงอะไรจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าเรื่องบนเตียงเป็นเสน่ห์ของเอิ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของเราไม่น่าเบื่อและน่ารักมุ้งมิ้งจนเกินไป






ต่อด้านล่าง...
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 04-03-2017 15:25:48

28 ปีที่ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไม่มีสักครั้งที่ผมอยากจะแช่น้ำจนตัวเปื่อย

“สบายจัง” ผมว่าเมื่อพิงร่างกับอกแกร่งของคนที่นั่งพิงขอบบ่อด้านหลัง

“ดีมากเลยเนอะ ยิ่งได้กอดเสือแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกดี” มือหนาลูบผ่านแผ่นท้องของผมที่ใต้ผิวน้ำเป็นจังหวะเดียวกับริมฝีปากซึ่งประทับลงมาที่ไหล่เปลือย

“เอิ้น!” ผมเรียกเมื่อคว้ามือข้างนั้นเอาไว้เพื่อปรามไม่ให้ซน

ผมน่ะอยากแช่น้ำต่ออีกสักหน่อย แต่ถ้ายังถูกลูบๆ คลำๆ แบบนี้ก็กลัวจะมีอารมณ์อยู่เหมือนกัน

“ไม่ให้เหรอ”

“ไม่ใช่ไม่ให้แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“แต่เอิ้นอยากทำตอนนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”

“หา !?” ผมเอี้ยวตัวแล้วมุ่นคิ้วมองคนที่บอกความต้องการชัดเจนจนใจหายใจคว่ำ

“ทำนะ”

กำลังอ้าปากปฏิเสธแต่กลับถูกประกบจูบเสียก่อน

ผมดิ้นขลุกขลักตีขาจนเกิดระรอกคลื่นในบ่อออนเซ็นแต่คนที่กอดรัดผมแน่นก็ไม่ปล่อยให้ทำอย่างนั้นนาน เอิ้นใช้ขาแข็งแกร่งล็อกขาผมเอาไว้ มือไม้ที่อยู่ข้างใต้น้ำก็ลูบไล้ร่างกายของผมสะเปะสะปะ

ถามว่าผมรู้สึกอย่างไร

มีอารมณ์น่ะสิครับ จะเหลือเรอะ

ไม่รู้ว่าไอ้คนที่กอดผมอยู่นี้เลียนแบบหมาหรือไงเมื่อเขาถอนจูบออกแล้วเปลี่ยนมาใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากผมซ้ำๆ ครั้นเปิดปากให้ก็ไม่ยอมสอดลิ้นเข้ามาแต่กลับงับริมฝีปากผมทั้งบนและล่างเล่นซะงั้น

“อื้อ เจ็บ”

“เสือไม่เจ็บหรอก” เอ้า! ดันรู้ดีกว่าร่างกายผมอีก บอกว่าเจ็บก็เจ็บสิวะ เดี๋ยวก็ไม่ให้จูบซะนี่

ได้แต่ขู่ในใจเท่านั้นครับ เมื่อลิ้นร้อนถูกสอดเข้ามาในปากไอ้ลิ้นไม่รักดีก็ตอบรับเขาอย่างใจง่ายซะงั้น

จุมพิตดูดดื่มเพิ่มระดับความร้อนแรงขึ้นจนผมหูอื้อตาลาย ทั้งที่แช่อยู่ในน้ำอุ่นแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายกำลังล่องลอยอยู่บนฟ้าแข่งกับนกตัวน้อยๆ

“ตรงนั้น อย่า เอิ้น”

“รู้สึกดีออก”

“เอิ้น อื้อ” ในสมองวูบโหวงกลายเป็นสีขาวโพลนเมื่อมือที่ปัดป่ายไปตามร่างกายหยุดที่แผ่นอก จงใจใช้นิ้วลูบที่ยอดอกซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตรงนั้นทำให้ผมรู้สึกดีแค่ไหน

“ชอบให้เอิ้นทำแบบนี้หรือเปล่า”

ใครจะตอบได้เล่า สมองผมตอนนี้ประมวลผลออกมาเป็นเสียงครางเท่านั้นแหละ

“อ๊ะ เอิ้น อื้อ”

ผมเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อเกาะไหล่อีกฝ่าย จิกเล็บสั้นกุดลงไประบายความซ่านสยิวที่ได้รับ

“อยากได้อะไรหืม” น้ำเสียงหยอกเย้าดังชิดหูก่อนลิ้นร้อนชื้นจะเล็มเลียตรงนั้นคล้ายกับจะกลืนกินลงไป

ให้ตายเถอะ ไอ้เสือเสียวจะตายแล้ว

“จะ จูบ จูบหน่อย”

“อะไรนะ” อย่ามาทำเป็นใส กูรู้ว่ามึงได้ยิน แต่ถึงกระนั้น...

“จูบ เอิ้นจูบเสือหน่อย”

หลังรอยยิ้มชั่วร้าย ใบหน้าหล่อเหลาก็ก้มลงมาประกบจูบ เขาดูดริมฝีปากของผมทั้งบนและล่างทำแบบนี้ซ้ำๆ จนปากผมต้องบวมแน่ๆ ถามว่ากลัวไหม ไม่หรอกผมชอบ ผมเลื่อนมือขึ้นไปลูบไล้ที่ท้ายทอยของเอิ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายผละออกเสี้ยววินาทีก่อนจะส่งลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของผม สร้างความเสียวซ่านที่มากเสียจนร่างกายส่วนล่างของผมสั่นระริก

“เอิ้น” ภาพของเจ้าของชื่อพร่าเบลอเพราะผมไม่สามารถมองเขาได้เต็มตา

“ว่าไงครับ อื้อ”

ผมกดท้ายทอยให้เขาโน้มลงมาใกล้อีกแล้วเป็นฝ่ายดูดลิ้นของเขาเสียเอง

“แฟนใครเนี่ย โคตรขี้ยั่วเลย” นาทีนี้ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว รู้เพียงว่าอยากได้จูบ อยากถูกสัมผัส เสืออยากไปสวรรค์แล้วอะ

จูบของเอิ้นจรดลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้ง เขาใช้ปลายลิ้นดันเรียวลิ้นของผมเข้ามาที่ด้านใน แต่ผมก็ไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกต้อนแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจูบครั้งนี้จึงร้อนแรงกว่าครั้งไหนๆ เสียงน่าอายดังสะท้อนในหู ความเปียกชื้นไหลเลอะที่ขอบปากแต่ผมก็ไม่คิดจะสนใจมัน

ยอดอกที่เคยถูกสัมผัสอย่างทะนุถนอมบัดนี้กลับถูกบีบเสียจนรู้สึกเจ็บ ไม่สิ มันเสียวมากต่างหาก

ผมบิดตัวด้วยความซ่านสยิว ทั้งพยายามหนีบขาทั้งสองข้างซ่อนความตื่นเต้นที่ตั้งตรงเอาไว้แต่เอิ้นไม่คิดอย่างนั้น เขาไล้มือไปตามสีข้าง ทุกสัมผัสทำให้ร่างกายของผมร้อนรุ่ม มือหนาหยุดที่ต้นขาก่อนจะสัมผัสที่เจ้าเสือใหญ่ของผม

“มันตั้งแล้วอะ”

“ของเอิ้นก็เหมือนกันแหละ” มันทิ่มสะโพกของผมตั้งแต่ลงบ่อออนเซ็นแล้วด้วยซ้ำ

“เข้าไปตรงนี้เลยได้มั้ย”

“อ๊ะ มะ ไม่นะ” นิ้วที่ยาวที่สุดเลื่อนไปสัมผัสที่ด้านหลัง ที่ซึ่งผมไม่คิดว่าจะทำให้สุขสมได้แต่เอิ้นก็ทำให้รู้ว่ามัน... อื้อ นั่นแหละ

“ทำไมล่ะหืม เสือไม่ต้องการเอิ้นเหรอครับ”

“ไปที่เตียงได้มั้ย”

“ไม่ชอบตรงนี้เหรอ วิวสวยนะ”

ผมไม่เคยปฏิเสธความสวยของภูเขาไฟฟูจิแต่ประเด็นคือกูไม่อยากเอ้าท์ดอร์โว้ย เสืออาย

“ไม่ อื้อ เอิ้น บอกว่าไม่ไง” ผมจับข้อมือแกร่งเอาไว้เมื่อคนดื้อด้านดึงดันสอดนิ้วเข้าไป เพียงข้อนิ้วเดียวแต่ร่างกายของผมก็กระตุกเกร็ง

“บีบนิ้วเอิ้นใหญ่เลย ตื่นเต้นเหรอครับ”

ผมไม่ตอบแต่พยายามดิ้นหนี แต่ก็แปลกครับที่คนซึ่งพร่ำบอกว่าต้องการอย่างนู้นอย่างนี้ปล่อยผมอย่างง่ายดาย ดังนั้นผมจึงลุกขึ้นยืน ทว่ายังไม่ทันทรงตัวได้ก็ถูกดันแผ่นหลังให้เซไปข้างหน้า โชคดีหน่อยที่คว้าขอบบ่อเอาไว้ได้ทัน

“ไหนบอกไม่ได้ไง แต่ท่านี้มันโคตรยั่วเลยรู้ป่ะ”

กูไม่ได้ยั่วโว้ย แต่กูล้ม มึงเลย มึงผลักกูอะ

ตั้งใจจะหันกลับไปด่าแต่ก็ช้ากว่าคนที่ขยับมาซ้อนหลังผม

“เอิ้น อื้อ...”

คำด่าถูกกลบด้วยเสียงครางเมื่อมือหนาลูบไล้ที่เจ้าเสือใหญ่ จงใจลูบไล้ส่วนปลายที่เป็นศูนย์รวมความซ่านสยิว อีกทั้งยังย้ำให้ร่างกายของผมคล้อยตามด้วยนิ้วมือที่ลูบไล้ยอดอกบวมเป่งของผมไม่แผ่วเบาแต่ก็ไม่รุนแรง เรียกได้ว่าสร้างความซ่านเสียวแต่พอดี

“เอิ้นขอตรงนี้นะครับ”

เจ้าของเสียงกระซิบที่ข้างหูก่อนจะพรมจูบที่ท้ายทอยของผม ไล้ลงไปยังแผ่นหลังและหยุดจูบซ้ำๆ ที่สะโพกกลมกลึง

“ขอเอิ้นนะเสือ”

“อื้อ” ถ้าจะสอดลิ้นเข้ามาทันทีที่พูดจบแบบนี้ก็ไม่ต้องขอแล้วมั้ง

ตอนนี้ผมแม่งแฉะไปหมด บรรยากาศที่ลมเย็นๆ พัดผ่านให้รู้ว่าเรากำลังทำกันข้างนอกทำให้ผมโคตรอายแต่ก็ไม่เท่าความร้อนรุ่มที่ได้รับการปรนเปรอ

“เสือ...”

เสียงพร่ากระซิบที่ข้างหู เมื่อเอี้ยวตัวมองก็พบว่าอีกฝ่ายยืนซ้อนหลังของผม มือหนาลูบไล้ที่หน้าท้องระเรื่อยมายังซอกขา

“เข้าไปนะครับ”

“อ๊ะ เอิ้น อื้อ”

ความแข็งขืนที่ร้อนผ่าวซึ่งเคยคลอเคลียตรงสะโพกถูกสอดเข้ามาในตัวผมจนหมดในคราเดียว

“เอิ้น อึดอัด”

“ไม่เป็นไรคนดี ไม่เป็นไรนะครับ” ร่างกายของผมเห่อร้อนเมื่อเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนกดจูบที่ท้ายทอยก่อนจะส่งเรียวลิ้นออกมาเลียซ้ำๆ

สะโพกแกร่งค่อยๆ ขยับเนิบช้าให้ผมปรับตัวเข้ากับความใหญ่โตที่คับแน่นอยู่ภายใน มือหนาเอื้อมมาบีบแผ่นอกของผมอีกครั้ง ส่วนอีกข้างก็สัมผัสตัวตนของผม รูดรั้งเสียจนต้องเปล่งเสียงครางพร่า

แน่นไปหมด รู้สึกดีจนตัวจะลอยอยู่แล้ว

ผมเกาะขอบบ่อออนเซ็นแน่น เอี้ยวใบหน้าไปหาคนที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากร่างกายผมสักวินาที

“เอิ้น ไม่ไหวแล้ว ทำเถอะ นะ”

ผมอ้อนด้วยเสียงหวานเกินจะจินตนาการ

“เอิ้นทำเสือแรงๆ ได้ใช่มั้ย”

“อื้อ” ผมพยักหน้ารับพร้อมขยับสะโพกเบาๆ

ผมไม่รู้ว่าเอิ้นทำหน้าแบบไหน เสียงทุ้มที่ครางพร่าทำให้ผมอายเกินกว่าจะกล้ามองใบหน้าเขา ของที่กำลังสั่นอยู่ในร่างกายของผมถูกถอนออกและโดยไม่ทันตั้งตัวเขาก็ดันมันเข้ามาทีเดียวจนลึกสุดใจ

ผมสะบัดหน้ารัว จิกมือกับขอบบ่อออนเซ็นแน่นเมื่อไม่อาจต้านทานความเร่าร้อนรุนแรงที่ตอกย้ำลงมาในร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าได้ ยิ่งช่องท้างด้านหลังของผมบีบรัดเอิ้นแน่นเท่าไหร่เสียงแหบพร่าทรงสเน่ห์ก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินทำให้หัวใจของผมสั่นรัว

“เสือ ขอจูบได้มั้ย”

ใช่คำขอเสียเมื่อไหร่เมื่อใบหน้าของผมถูกรั้งให้หันไปรับจุมพิตอย่างเร่าร้อน ลิ้นของเราพันเกี่ยวกันทั้งด้านในและด้านนอก ปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลเลอะขอบปากอย่างที่ไม่มีใครคิดจะสนใจ มือหนาชักรูดเจ้าเสือใหญ่ของผมรุนแรง เช่นเดียวกับสะโพกสอบที่ขยับถี่รัว

เราสบตากัน สายตาของเอิ้นตอนนี้ไม่ใช่หนูเอิ้นแล้ว เขาเหมือนปีศาจที่แสนร้ายกาจ

“เอิ้น เสือ เสือ อ๊า...”

แรงรูดรั้งของฝ่ามือแกร่งทำให้ร่างกายของผมบิดเกร็งและปลดปล่อยท่ามกลางลมหนาวที่ลูบไล้ผิวกาย
แต่ความหนาวเหน็บก็ไม่เท่ากับความเร่าร้อนของคนที่กำลังกระแทกกระทั้นเข้ามาในร่างกายของผมในตอนนี้

“เสือ อืม...”

ความอุ่นร้อนถูกปลดปล่อยเข้ามาในร่างกาย เรายังคงอยู่ในท่าเดิมแม้ต่างฝ่ายจะปลดปล่อยไปแล้วก็ตาม

“เสือ...”

“หือ”

“ไปต่อที่เตียงกันนะ”

ร่างกายของผมถูกเล้าโลมอีกครั้ง

ถ้าจะทำกันแบบนี้ทีหลังก็ไม่ต้องขอหรอก อยากทำอะไรก็ทำเลย เอาที่เอิ้นสบายใจเลยครับผม



[- จบจริงๆ -]

จบแล้วจริงๆ ค่ะ
ที่จริงก็ขอบคุณไปแล้วในตอนที่แล้วเนอะ แต่ก็อยากขอบคุณอีกอยู่ดี
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ กลับมาอ่านคอมเม้นท์ทีไรก็คิดถึงเสือกับเอิ้นทุกที

แม้ว่าเสือของเอิ้นจะไม่ใช่นิยายเรื่องแรกที่เราลงเล้า แต่เป็นเรื่องแรกที่เขียนจบค่ะ 555
ภูมิใจมากเลยนะเนี่ย
คงต้องบอกลากันตรงนี้ แล้วพบกันใหม่กับนิยายเรื่องใหม่ เร็วๆ นี้นะคะ
รัก
แจ๊ส

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 04-03-2017 19:17:12
จบจริงแล้วววว นี่รออยู่ว่าน่าจะมีตอนพิเศษ ^^

เอิ้นหลงเสือยิ่งกว่าอะไร
กะจะงอน พอโดนอ้อนนิดหน่อยก็ยอมปล่อยไปแระ
แค่ทำให้ตายใจ ไปคิดทบดอกคืนทุนใช่มั้ยล่ะ ^^

โชคดีที่กลับมาเจอกันน้า...เอิ้นเสือ ^^
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-03-2017 23:37:13
 :3123: :3123:
ขอบคุณนะ จะรอเรื่องใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-03-2017 11:50:20
เอิ้นน่ารักมากจริง ๆ
เสือก็น่ารัก น่าแกล้งด้วย
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-03-2017 15:10:15
เอิ้นน่ารัก  อิจฉาเสือได้รับความรักอะไรขนาดนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-03-2017 19:36:41
 :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-03-2017 10:44:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-03-2017 10:57:14
 :3123: :3123: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 19-03-2017 17:50:19
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 19-03-2017 20:35:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-03-2017 21:47:29
เสือเป็นคนดี แต่ปากแข็ง แก้ปัญหาผิดวิธีนิดนึง แต่ก็ไม่แปลกนะ วัยรุ่นอะเนาะ
พอโตมา เสือก็รู้ว่าอะไรดีไม่ดี แถมรู้สึกผิดมาตลอดด้วย เอิ้นรู้แล้วปลื้มหนักมาก

เอิ้นหลงเสือหนักมาก มั่นคงเวอร์ ขนาดหนีไปมีแฟนแล้ว ยังกลับมาหาเสืออีก สำคัญมากจริงๆ

เอิ้นน่ารัก มีความกวน ขี้อ้อน ช่างตื๊อ เปลี่ยนคนปากแข็ง ให้เป็นคนปากหวานได้ ดีงาม ยอมใจ

ครอบครัวดีมากเลยค่ะ ดูแล เข้าใจ ใส่ใจ น่ารักมาก

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องดราม่านิดหน่อย แต่หวานเยอะกว่า น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-03-2017 00:55:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 25-03-2017 00:28:35
ชอบปมเรื่องที่ทำงาน, กลโกง, การป้ายสีทางธุรกิจ และการสับขาหลอกมากๆ เขียนได้ดี ชวนติดตาม

แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบพระเอกที่มีบุคลิก และการแสดงออกแบบเอิ้นซักเท่าไหร่ (ซอฟท์อ้อนขี้เล่นมุ้งมิ้งยอมคน)
เลยไม่อินกับความรักระหว่างพระนายมากนัก ...คือนี่ดันไพล่ไปชอบสไตล์ "นพ" งี้ คงจับเสือกดรัวๆ โฮะๆๆ #ผิด
 
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 27-03-2017 10:36:34
สนุกมากๆค่ะ ชอบ เอิ้น ผู้ชายอะไรมั่นคงมากกก เสือก็เป็นคนตรงๆค่ะ เลยชอบบุคลิกเสือ แถมมีแอบอ่อย 555 จะติดตามเรื่องต่อไปค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 29-03-2017 05:02:12
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 24-04-2017 10:03:58
ฟินกับนิยายเรื่องนี้จริงๆ น่ารักอ่า
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 20-06-2017 17:57:39
แปะไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄ || SPECIAL {เอิ้นเสืออินเจแปน} P.6 [-THE END-]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 21-06-2017 18:59:45
ชอบบบ เนื้อเรื่องสนุก
ชอบความเสมอต้นเสมอปลายของเอิ้นมากเลย
ทั้งความรักและความหื่น 55555555
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆค่าาา
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: earthhhs ที่ 19-02-2018 03:32:22
แอบขัดใจเรื่องอดีตที่เอ้นมีแฟนอะ ไหนบอกรักนักรักหนารอมานาน แต่มีคนอื่นก่อนจะกลับมาเจอ คือไม่ได้รักพวกเขาเลยหรอหรือยังไง งงมากเหมือนทำตัวไม่จริงใจอะ แต่ปัจจุบันก็ดีละเนอะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 04-03-2018 19:11:03


ตอนพิเศษ (1) คุณอาเสือ


“อาเฉือๆ อันนี้เขาเรียกว่าอารายอ่า” เจ้าเด็กตัวน้อยที่อิมพอร์ตมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อนถามพลางชูหุ่นไดโนเสาร์ขึ้นสุดแขน และคนเป็นคุณอาก็ยิ้มรับ เป็นยิ้มที่อ่อนโยนเกินจะบรรยาย ยิ้มอ่อนโยนที่นานๆ ทีผมคนที่อยู่ในสถานะคนรักจะได้รับ

“ไดโนเสาร์ไงครับ ตัวนี้เรียกว่าไดโนเสาร์”

“กินพืชหรือกินเนื้ออ่าฮะ”

“อ่อ กินอะไรวะเอิ้น” เสือหันมาถามให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยเขาก็รับรู้ถึงการมีตัวตนของผมในบ้านหลังนี้

“แป๊บนะ ขอถามกูเกิ้ลก่อน” ถึงอย่างนั้นผมก็ตอบไม่ได้หรอก ถ้าให้ชัวร์ก็ต้องหาข้อมูลใช่มั้ยล่ะ และเมื่อลองถามกูเกิ้ลก็ได้คำตอบว่าเจ้าไดโนเสาร์ที่อยู่ในมือเสือคือสเตโกซอรัส อามาทัส ไดโนเสาร์ที่มีสมองเท่าเม็ดถั่ว

“นี่มึงหาข้อมูลจากกูเกิ้ลหรือมึงไปขุดหาซากไดโนเสาร์ โคตรนาน”

คนปากร้ายไม่ว่าจะผ่านไปสี่ห้าปีก็ยังร้ายอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนและไม่คิดจะเปลี่ยน

พอเสือหงุดหงิดผมจึงยื่นมือถือไปตรงหน้าเขาให้ดูคำตอบที่หน้าจอเอาเอง

กวาดสายตาดูอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบคำถามหลานชายตัวเล็กไป

“ทำไมสมองเท่าเม็ดถั่วล่ะฮะ” และเจ้าหนูจำไมก็สงสัยไปซะทุกสิ่งอย่าง

“เพราะไดโนเสาร์ไม่อ่านหนังสือไงฮะ” คนเป็นอาก็ช่างสรรหาคำตอบ

“ไดโนเสาร์อ่านหนังสือไม่ออกซะหน่อย อ่านหนังสือไม่ได้หรอก” ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะฉลาดกว่า พอเห็นว่าเสือโต้ตอบไม่ได้ผมจึงหลุดขำออกมาให้อีกฝ่ายส่งสายตาพิฆาตมาให้

หงุดหงิดอะไรกับเรื่องแค่นี้ ผมสิที่ต้องหงุดหงิด กว่า 1 สัปดาห์แล้วที่หลานชายตัวเล็กๆ ของเสือถูกพี่สิงห์พามาฝากเลี้ยง เจ้าหนูติดเสือมาก กลางคืนก็นอนด้วยกัน กลางวันก็งอแงจะไปทำงานด้วย แน่นอนว่าช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ แค่จับมือกันเรายังทำไม่ได้เลย

เสื่อมสมรรถภาพหมดแล้วมั้งเอิ้นใหญ่

นั่งเล่นกับเลโออยู่ซักพักขณะที่คนเป็นอาแท้ๆ ทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วหลับเฉย

ที่จริงช่วงนี้เสือทำงานหนักมาก พบลูกค้าไม่เว้นแต่ละวัน เอาจริงๆ ผมก็แอบหวั่นใจอยู่นะบางที เฟรนลี่ขนาดนี้ไม่หว่านเสน่ห์ก็คงมีคนมาตกหลุมรักบ้างแหละ

“เสือครับ เอิ้นลงไปข้างล่างแล้วนะ” ปล่อยให้เลโอนั่งดูหนังสือภาพไดโนเสาร์ ส่วนผมลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงข้างเสือบนเตียงแล้วสะกิดเขาเบาๆ

เสือเป็นคนตื่นยาก สะกิดหลายทีไม่ยอมตื่น แถมยังปัดมือผมทิ้งอีก มันน่าจับกด แต่เสียดายที่ทำไม่ได้เพราะมีเด็กอยู่ในห้องด้วย

ขัดใจชะมัด

“เสือ ถ้าเสือไม่ตื่นเอิ้นจะ...” ผมเหลือบมองเจ้าตัวเล็ก เห็นว่าเจ้าหนูเอาแต่จดจ้องหนังสือในมือผมจึงก้มหน้าลงไปใกล้ ใช้ปลายจมูกไล้แก้มนิ่มของเสือแผ่วเบา

ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้ ผมจูบคุณอาโชว์หลานชายแน่ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ลองหลับต่อดูสิ

แน่นอนว่าเสือไม่ตื่นทันที

เอาล่ะ อย่าคิดว่าเอิ้นแค่คิดเล่นๆ คิดเพื่อขู่

ผมเหลือบมองเลโออีกครั้ง น้องยังคงจมจ่อมอยู่ในโลกของตน ผมเองก็ชักอยากสร้างโลกส่วนตัวของตัวเองกับเสือซะแล้วสิ

แต่ยังไม่ทันได้ขยับ ท้ายทอยของผมก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือเรียวอันคุ้นเคย และชั่ววินาทีนั้นเอง เสือก็โน้มใบหน้าของผมลงไปหา ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน เท่านั้นความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ตลอดสัปดาห์ก็ระเบิดออกมา

จุมพิตในชั่วโมงอันตรายเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ครุกรุ่นด้วยอารมณ์ที่ทำให้ผมอยากดึงทึ้งเสื้อผ้าแล้วจับเสือกดให้จมเตียง แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำได้เพียงแค่ในจินตนาการ

เรียวลิ้นของเรากระหวัดเกี่ยวกันอย่างเร่งรีบ ยามผละห่างก็ไม่มีเวลาให้อ้อยอิ่งแทะเล็มริมฝีปากกันเล่นเหมือนแต่ก่อน

ชาติที่แล้วผมไปทำบาปทำกรรมอะไรกับเด็กไว้กันวะเนี่ย

“ลงไปทำงานได้แล้ว”

“ไม่อยากลงไปเลย” ผมว่าเสียงอ่อยปนดื้อรั้นพลางลูบไล้ต้นขาเสืออย่างอ้อยอิ่ง

“เดี๋ยวของก็มาส่งแล้ว รีบลงไปเลย” คราวนี้เสือลุกขึ้นนั่งบนเตียง เอื้อมมือมาจับมือแล้วดึงให้ลุกขึ้นด้วยกัน

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เสือก็ยังเป็นเสือที่ภายนอกแข็งกร้าว หากเมื่อได้มองลึกลงไปก็จะเจอความอ่อนหวานนุ่มนิ่ม แถมยังอร่อยอีกต่างหาก

“เกลียดคนได้หยุดงานเสาร์อาทิตย์จังเลย”

เสือหัวเราะแล้วตีไหล่เบาๆ เพื่อไล่กัน







ร้านอาหารที่เปิดมา 5 เกือบ 6 ปี ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว พนักงานอาจจะมีสับเปลี่ยนหมุนเวียนบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็มีบางคนที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เริ่ม

“บีมพี่ฝากปิดร้านด้วยนะ”

“ได้ครับท่าน” บีม เด็กหนุ่มอายุ 20 ต้นๆ เริ่มทำงานกับผมตั้งแต่อายุ 17 ได้ล่ะมั้ง บีมเป็นเด็กขยันแต่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก ไม่มีเงินเรียนหนังสือต้องกระเสือกกระสนหางานทำ ถึงกระนั้นก็มีความใฝ่รู้และรักเรียนมากทีเดียว

บีมมุ่งมั่นเรียนจนจบม.ปลายจากการศึกษานอกโรงเรียน ตอนนี้กำลังตั้งใจเรียนให้จบมหาวิทยาลัยด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

คนที่ชีวิตนี้ไม่เคยพบความยากลำบากอย่างผม พอเห็นคนอย่างบีมแล้วก็อยากสนับสนุน ครั้นเสนอทุนการศึกษาให้แล้วให้มันตั้งใจเรียนอย่างเดียว ฝ่ายนั้นก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว ดังนั้นเรื่องจึงลงเอยที่บีมทำงานกับผมจนถึงปัจจุบันนี้

นอกจากตัวผมแล้ว เสือเองก็ค่อนข้างเอ็นดูเด็กคนนี้ เจ๊ศรีเองก็เช่นกัน ดูเหมือนจะเอ็นดูกว่าใครเพื่อนเลยล่ะ ผมที่เคยได้รับความเอ็นดูเป็นอันดับต้นๆ ตกกระป๋องไปแล้วตามกาลเวลา

แม้จะรู้สึกเอ็นดูเด็กนั่นมากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่เห็นว่าเด็กมันคุยกับแฟนผมอย่างสนุกสนานก็ไม่ค่อยพอใจนักหรอก รู้ว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดี หึงไม่เข้าเรื่องอะไรแบบนี้ แรกๆ ก็ไม่อะไรหรอก แต่พอบ่อยๆ เข้าก็อดรู้สึกไม่ได้นี่นา

ยอมรับว่างี่เง่า แต่จะให้ทำไงได้ก็คนมันรักมากนี่นา

"ร้านปิดแล้วเหรอ" ประตูร้านเปิดออก ผู้เข้ามาใหม่ไม่ใช่ใครอื่น เสือในเสื้อผ้าชุดอยู่บ้านเต็มขั้นนั่นเอง

"ปิดแล้วครับ" เป็นบีมที่ละมือที่กำลังเช็ดโต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามพลางแจกยิ้มสดใส

"หิวอะ มีอะไรกินบ้าง" เสือเองก็ยิ้มตอบ และแทนที่จะเดินมาหาแฟนแต่กลับก้าวเข้าไปหาเด็กในร้านซะงั้น

"กินมื้อดึกเดี๋ยวก็อ้วนหรอก"

"อะไรเล่า อย่างกไปหน่อยเลยเอิ้น"

"บีมกลับไปเถอะ" ผมเลือกไล่บีมกลับบ้านแทนที่จะต่อความกับเสือที่อยู่ๆ ก็ดื้อแพ่งอยากกินมื้อดึกขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งจัดมื้อเย็นชุดใหญ่ไปแท้ๆ

“ยังเก็บร้านไม่เสร็จเลยครับ”

“ไม่เป็นไร ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

"แต่ว่า เดี๋ยวบีมทำมื้อดึกให้พี่เสือก่อนก็ได้นะครับ พี่เสืออยากกินอะไร เดี๋ยวบีมทำให้ก็ได้นะ" พูดไม่รู้จักฟัง สงสัยที่ผ่านมาเอิ้นคนนี้คงใจดีเกินไป ลูกน้องถึงได้กล้าเมินกันแบบนี้

"พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ" ผมว่าเสียงเรียบกว่าครั้งไหนๆ บีมคงสัมผัสได้จึงยิ้มเจื่อน

"จริงแฮะ งั้นผมลาเลยนะครับ ฝันดีนะครับพี่เสือ"

ดูมัน เจ้านายยืนหัวโด่อยู่นี่ทั้งคนดันบอกลาแค่แฟนเจ้านายเนี่ยนะ

เสือนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังไม่ได้เก็บ มองมายังผมที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คเครื่องปรุง

"กินไรดี"

"เอิ้น"

"กินเอิ้นเหรอ"

"ก็คิดแต่เรื่องแบบนี้" ไม่เชื่อหรอกว่าเสือไม่คิด ปากก็บ่น ขณะก้าวเข้ามาหาผมหลังเคาน์เตอร์

"มีอะไร หน้าเครียดเชียว" เมื่อละมือจะงานตรงหน้า หันมามองหน้าเสือตรงๆ ก็พบว่าเขาดูเครียดมากทีเดียว คิ้วแทบจะจรดกันอยู่แล้ว

"เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองบ้างมั้ย"

"ทำไม"

"หน้าเอิ้นเครียดกว่าเสืออีก"

"จริงดิ" ผมถามพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมที่สะท้อนใบหน้าตน

"เครียดเรื่องอะไร ที่ร้านมีปัญหาเหรอ"

"เปล่า"

"แล้วมีเรื่องอะไร"

"ก็..." จะบอกว่ายังไงดีล่ะ ถึงแม้จะใช้ชีวิตด้วยกันมานานแล้วแต่ถ้าจะให้พูดออกไปตรงๆ มันก็ค่อนข้างกระดากอายอยู่นิดหน่อย

"แอบนอกใจรึเปล่า" แล้วดูคุณเขาสันนิษฐาน

วันๆ ผมก็ยุ่งอยู่กับเรื่องในร้าน ไม่ได้ออกไปพบปะใคร จะเอาเวลาที่ไหนไปนอกใจ

"จะบ้าเหรอ"

"แล้วทำไมหมู่นี้ชอบมุ่นคิ้วล่ะ" เสือยื่นมือมาคลึงที่หว่างคิ้วของผมให้ต้องหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัส

"เสือ" ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว จับมือที่กำลังคลึงหว่างคิ้วของผมเอาไว้แล้วลืมตาขึ้นเพื่อสบตากันตรงๆ

เสือเองก็ไม่ละสายตาจากผมเลย

"ตั้งแต่เลโอมาอยู่ด้วย พวกเราก็..."

ผมหยุดคำพูดเอาไว้ และแทนทุกสิ่งในใจด้วยการเบียดร่างเข้าหาในระหว่างกายของเราแนบกัน ด้วยความที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนแล้ว

"ขอโทษนะ"

"ไม่รับคำขอโทษได้รึเปล่า"

"คิดเรื่องทะลึ่งๆ อยู่ล่ะสิ"

"เสือก็คิดอยู่เหมือนกันล่ะสิ"

เสือยกยิ้มเจ้าเล่ห์แทนคำตอบ เขาวางมือลงบนไหล่ของผม เช่นเดียวกัน มือของผมก็วางลงบนเอวของเขาอย่างรู้งาน ออกแรงเบาๆ ให้เสือขยับไปด้านหลังจนสะโพกแนบไปกับของเคาน์เตอร์

ริมฝีปากอิ่มที่ไม่มีอะไรต่างไปจากยามปกติแต่ตอนนี้กลับดึงดูดให้ต้องแนบริมฝีปากลงไปดูดดึง

เราทั้งคู่ยังคงสบตากัน ขณะริมฝีปากเบียดชิด เรียวลิ้นหยอกล้อแลกเปลี่ยนความชุ่มฉ่ำภายในโพรงปากด้วยความปรารถนาซึ่งกันและกัน

ตอนนี้รู้สึกเลยว่าเสือแสดงออกถึงความต้องการมากกว่าทุกที ที่บอกว่าหิว คงหมายถึงหิวเอิ้นนี่แหละ ไม่ใช่หิวข้าวหรอก

ลิ้นของผมถูกดูดดึงอย่างตะกละตะกลาม ริมฝีปากถูกขบเม้ม ไม่แน่ใจว่าโหยหาหรือเกลียดกัน

จูบของเราหยุดชะงักไปชั่ววินาทีเมื่อกลิ่นคาวเลือดคละคลุงบางเบาอยู่ในปาก

ช่างแม่ง!

เสือเองก็คงคิดเหมือนกัน

มือเรียวที่เคยวางอยู่บนไหล่ของผมก่อนหน้านี้ เลื่อนขึ้นมาลูบไล้เส้นผมบนศีรษะ

แม่งเอ้ย! เอื้นจะไม่ทน

"ขอโทษครับ โอ๊ะ!!"

ผมไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูหรือแม้กระทั่งเสียงฝีเท้า หูได้ยินเพียงแค่เสียงร้องอย่างตกใจของเจ้าบีม

ดวงตาของเสือฉ่ำปรอยเมื่อผมผละริมฝีปากออก เราสบตากันชั่ววินาทีก่อนเสือจะเดินไปยังชั้นวางของด้านหลังผมแล้วทำเป็นจัดนั่นจัดนี่แก้เขิน ท่าทางที่มองแล้วก็นึกขำ

"ขอโทษครับคุณเอื้น ผม เอ่อ..."

"มีอะไร"

"ผมลืมของครับ"

"ก็ไปเอาสิ" บีมวิ่งเข้าไปในห้องพักพนักงานด้วยอาการลนลาน ก็ไม่แปลกหรอก ถ้าทำตัวเป็นปกติได้สิถึงจะเรียกว่าแปลก

ครู่เดียวบีมก็เดินกลับมา ตอนที่เดินผ่านเจ้าเด็กนั่นไม่มองพวกเราด้วยซ้ำ มีก็แต่ผมที่มองมันจนลับตา

ขัดใจชะมัด

“ทำอะไรอะ” ผมถามชิดหูเมื่อก้าวไปยืนซ้อนหลังพลางกุมมือที่กำลังจับนั่นจับนี่สะเปะสะปะไปหมด “บีมไปแล้ว”

“พวกเราก็ควรจะไปนอนแล้วเหมือนกัน”

“แน่ใจเหรอว่าอยากไปนอน”

“อือ”

“เสือไม่อยากไปนอนตอนนี้หรอก” ผมหยอกเย้าที่ใบหูของเขา จงใจริดรนด้วยลมหายใจอุ่นๆ กอดเอวเขาไว้พลางเบียดส่วนที่พร้อมใช้งานตรงระหว่างกายกับสะโพกของเขา

“รู้ดี” เสือตัดพ้อแต่ก็ไม่ได้ห้ามมือที่กำลังซุกซนของผมเลยแม้แต่น้อย

ท่าทางของเสือทำให้ผมเผลอหัวเราะอย่างนึกเอ็นดู

"หัวเราะอะไร"

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ตอบคำถามให้เขาหมุนตัวมาเผชิญหน้ากัน

“ที่นี่ก็ไม่เลวนะ ยังไม่เคยลองทำกันตรงนี้เลย”

“จะบ้าเหรอเอิ้น” เหมือนจะดุผมนะแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามมือไม้ที่สอดผ่านเสื้อเข้าไปสัมผัสลูบไล้ผิวกายเลยแม้แต่น้อย แถมเมื่อถูกสัมผัส เจ้าตัวยังเผลอทำหน้าเคลิบเคลิ้มไปด้วยอีกต่างหาก

"ปากตรงกับใจหน่อย"

"ปากตรงกับใจก็พิการแล้วป่ะ"

"แล้วถ้าปากตรงกับปากล่ะ"

"ก็..."

ผมแนบริมฝีปากลงไปอีกครั้งโดยไม่รอให้เสือเอ่ยจบประโยค ปากเจ่อๆ นี่มันน่าจูบจริงๆ

ไม่แน่ใจว่าเราแลกจูบกันอยู่นานแค่ไหน นานจนร่างกายที่แนบชิดเริ่มร้อนเป็นไฟด้วยแรงปรารถนา และถ้าไม่ทำตรงนี้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้อีกครั้งเมื่อไหร่







มันบ้ามาก

ถ้าให้เปรียบเทียบเซ็กส์ครั้งนี้กับทุกครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้มันร้อนแรงติดท๊อปเท็นได้เลยนะ คงเพราะว่าเราไม่ได้ทำกันนานแล้ว และไม่รู้ว่าเสือคิดอย่างเดียวกับผมหรือเปล่า

ครั้งเดียวระหว่างเรามันน่าจะยังไม่พอ

“หยุดเลย” ว้า แย่จัง เสือไม่ได้คิดอย่างเดียวกับผมหรอกเหรอ

เพียงแค่ผมกวาดสายตามองเขา เสือที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์พลางหอบเหนื่อยก็ร้องห้ามขึ้นมา ช่างรู้ใจสมเป็นคนรักกันจริงๆ

“แต่ว่าเอิ้น...”

“เหนื่อยแล้ว” เสือว่าพลางดึงกางเกงขึ้นมาสวมด้วยมืออันสั่นเท่า จนผมต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ

“อาบน้ำพร้อมกันนะ” เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ล้วนๆ ทำให้ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย  เรามีเซ็กส์กันโดยปราศจากการป้องกัน และผมก็เผลอปลดปล่อยเข้าไปข้างในตัวเสือเต็มๆ เลย

แน่นอนว่าผมควรจะรับผิดชอบ

“ไม่ต้องเลย”

“ให้เอิ้นช่วย”

“ทำเองได้น่า ไม่ใช่เด็กๆ ซักหน่อย”

แต่ผมอยากรับผิดชอบนี่นา

“ทำความสะอาดตรงนี้ซะแล้วค่อยขึ้นไปนอน เข้าใจมั้ย” ออกคำสั่งแล้วก็เดินออกจากร้านไปเลย

ถ้ายังเดินคล่องแบบนั้นก็คงไม่น่าเป็นห่วงหรอกมั้ง

แต่ว่า...ผมนี่สิที่น่าเป็นห่วง เหตุการณ์เมื่อครู่มันยังตราตรึงและผมน่ะยังอยากกอดเสืออยู่เลย ทำไงดี



[- T B C -]

เซอร์ไพร์ส!!!!
เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนมาถามถึงเสือของเอิ้นค่ะ ก็เลยคิดถึงเขาขึ้นมา
นั่นแหละค่ะ พอคิดถึงแล้วก็อยากเขียน
ตอนพิเศษนี้เป็นเรื่องราวหลังจากคุณเอิ้นกับพี่เสือคบกันมา 5-6 ปีแล้ว
มีน้องเลโอลูกชายตัวน้อยของพี่สิงห์มาคอยเป็นก้างให้คุณเอิ้นเขาหงุดหงิดหัวใจนิดหน่อย
ถ้าคิดถึงกันเหมือนกันก็...รู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง

ยังไงก็รักแหละ :)

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 07-03-2018 19:44:43
 :mew1:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 11-03-2018 16:47:14
เพิ่งได้มาอ่านค่า สนุกมากเลย เอิ้นป็นพระเอกที่น่ารักมากกกกกกก หยอดเก่งมากกกกก
ถ้านี้เป็นเสือไม่หลงรักนี่บ้าแล้ว ทั้งดีแล้วก็พูดเพราะ แง น้องเสื้อโชคดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-05-2018 21:10:38

ตอนที่ 2 ความเคยชินของเอิ้น


 
ถ้าให้นิยามความเป็นครอบครัวของเรา

แน่นอนว่าผมเป็นช้างเท้าหน้าอยู่แล้ว ส่วนเสือน่ะเป็นควาญช้าง ควาญช้างที่ต้องให้ช้างตื่นขึ้นมาส่งไปทำงานทุกเช้าโดยไม่เคยสนใจว่าเมื่อคืนช้างปิดร้านและหลับไปตอนกี่โมง

เช้านี้ก็เช่นกัน

ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเสือกำลังผูกเนคไทอย่างคล่องแคล่วอยู่ที่หน้ากระจกบานเท่าตัวเขา ข้างกายผมน้องเลโอนอนกอดหมอนนอนหลับพริ้มไม่สนใจความสว่างในห้องเลยแม้แต่น้อย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พอผมกับเสือเดินออกจากห้อง เจ้าเด็กที่เคยนอนหลับอุตุก็จะลุกขึ้นวิ่งตามเราออกมา เป็นเช่นนี้ทุกเช้าจนกลายเป็นความเคยชิน

“ทำให้ตื่นเหรอ”

“ไม่ตื่นได้ด้วยเหรอ”

“จะไม่ตื่นก็ได้นะ”

“โธ่เสือ” เดินไม่กี่ก้าวก็เข้าไปถึงตัวเสือแล้ว ผมช่วยจัดเนคไทและปกเสื้อให้ก่อนจะเดินนำออกไปข้างนอก จัดการชงกาแฟและปิ้งขนมปัง ขณะคนที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านนั่งดูข่าวบนโซฟารออาหารเช้าอย่างสบายใจ

สบายเหลือเกิน

“ช้าจัง วันนี้วันจันทร์นะ รถติดด้วย” หันมาเร่งกันยิกๆ

ถ้ารีบนักทำไมไม่ออกมาเสียบกาน้ำร้อนเอาไว้ก่อนแล้วค่อยเข้าไปอาบน้ำล่ะ ถ้ามีความกล้าซักนิดผมคงตะโกนบอกเสือไปแบบนี้ แต่ติดตรงที่ไม่กล้าไง

“ใกล้เสร็จแล้วแป๊บนึง”

“ไม่อยากนั่งวินนะ อุตส่าห์เซ็ทผม”

“เสร็จแล้วเนี่ย” ผมรีบกดน้ำลงในแก้วกาแฟ ใช้เวลาระหว่างเดินคนมันด้วยช้อนเบาๆ พอมาถึงตรงหน้าเสือก็พร้อมเสิร์ฟพอดี

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”

“เอิ้นพูดอะไร”

“เมื่อกี้ พูดเหมือนรำคาญเลย”

“ไม่ได้รำคาญ ใครจะกล้ารำคาญเสือล่ะครับ”

“วันนี้ไม่ได้ออกไปพบลูกค้า  เข้าไปกินข้าวกลางวันด้วยกันสิ พาเลโอไปด้วย”

“ได้เหรอ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หรือว่าไม่อยากไป”

“อยากไปสิ แต่จะไม่เป็นไรแน่เหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เสือค่อยๆ จิบกาแฟจนหมดแก้ว ก่อนมองนาฬิกาที่ข้อมือ “ถ้าออกช้ากว่านี้อีกนิดนึงรถติดแน่ ไปแล้วนะ”

เสือหอมแก้มผมเบาๆ ก่อนหยิบเสื้อสูทกับกระเป๋าขึ้นมาถือ

ให้ตายเถอะ หงุดหงิดใส่กันแต่เช้าเพื่อหวานใส่กันก่อนออกจากบ้านเนี่ยนะ

น่ารักเป็นบ้าเลยเว้ย

“อาเฉือ เลโอไปด้วย” เจ้าหลานตัวน้อยเดินออกจากห้องมาด้วยอาการสะลึมสะลือ เอ่ยคำที่ได้ยินเป็นประจำทุกเช้าให้คนเป็นอาต้องนั่งยองลงตรงหน้า

“เอาไว้เจอกันตอนกลางวันนะครับ”

“ไม่เอา เลโอจะไปกับอาเฉือ จะอยู่กับอาเฉือ”

“อยู่กับอาเอิ้นกับคุณย่านะ เดี๋ยวเย็นๆ อาเสือก็กลับ”

“ไปด้วยก็ไม่ได้” เด็กน้อยงอแงแต่ก็ยอมกลับเข้าห้องนอนไปโดยดี

ผมกับเสือหันมามองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างยิ้มให้กับคำตัดพ้อน่ารักๆ ของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ตอนนี้หลับอยู่บนเตียง

ก็ไม่ปฏิเสธว่าเลโอน่ารัก แต่คงน่ารักได้กว่านี้อีกถ้าเขาไม่ติดเสือแจขนาดนี้

“ตอนกลางวันอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า” ผมถามขณะลงบันไดไปยังโรงจอดรถ

“อะไรก็ได้ที่อร่อยๆ”

“เอิ้นทำอาหารอร่อยทุกอย่างแหละ”

“ขี้โม้จริง” ไม่ได้โม้ซักหน่อย ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามลูกค้าประจำได้เลย ถามว่าทำไมเขาถึงสั่งอาหารที่ร้านบ่อยๆ แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็คือรสชาติอาหาร ส่วนเหตุผลรองคงเป็นความหล่อของเชฟ

ทุกคนก็คิดอย่างนั้นหมด ยกเว้นก็แต่คนรักของผมที่ไม่เคยชื่นชมความหล่อของเอิ้นคนนี้เลยซักครั้ง

ผมเดินมาส่งเสือที่รถ แอบหอมแก้มบอกลาก็ถูกคนมือหนักตีไหล่มาทีนึง เป็นอย่างนี้ประจำจนกลายเป็นความเคยชิน

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เสือเปลี่ยนงานมาหลายครั้งแล้ว ปัจจุบันคุณสรัลดำรงตำแหน่งโปรเจ็คเมเนเจอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนตึกสูงใจกลางเมือง

เสือชื่นชอบการพบปะพูดคุยกับผู้คนและเขาก็ดูมีความสุขกับงานที่ทำมากทีเดียว

ส่วนผมยังคงทำงานอย่างเดิม กิจวัตรประจำวันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมา 5-6 ปีแล้ว ถามว่าเบื่อมั้ย ถ้าตอบว่าไม่มีเลยก็ดูจะเสแสร้งมากไปหน่อย แต่ผมมีวิธีจัดการกับความเบื่อหน่ายนะ

อย่างเช่นการปิดร้านไปเที่ยว แม้ว่าการปิดร้านเสาร์ อาทิตย์เพื่อไปเที่ยวกับเสือจะทำให้ขาดรายได้จำนวนมากแต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเทียบกับกำลังใจและพลังที่ได้รับมา สำหรับผมแล้วมันคุ้มแสนคุ้มเลยล่ะ

เพราะว่าลุกจากเตียงแล้ว ให้กลับไปนอนต่อก็คงไม่สามารถหลับได้อีก

ผมกลับมานั่งหน้าบนโซฟาหน้าทีวี ดูรายการข่าวเหตุบ้านการเมืองไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งเลโอตื่นจึงช่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สายๆ หน่อยคุณย่าก็มารับไปบ้าน

มินิมาร์ทของเจ๊ศรียังคงเปิดกิจการตามปกติ มีพนักงานหนุ่มหล่อที่ถูกคัดสรรมาโดยเจ้าของร้านผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเรียกลูกค้า

คำว่าหล่อในสายตาเจ๊ศรีเนี่ยค่อนข้างแปลกหน่อย หล่อแบบเจ๊ศรีไม่ใช่หล่อที่หน้าตาแต่เป็นความหล่อที่ออกมาจากภายใน ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ในฐานะลูกเขยที่ดีก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นเข้าใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

กะว่านั่งอ่านหนังสืออีกซักหน่อยแล้วค่อยลงไปเตรียมอาหารกลางวันให้เสือ แต่ในตอนที่กำลังพลิกหน้าหนังสือนั้น โฆษณาเกี่ยวกับรายการอาหารก็ดึงความสนใจของผมไป

ในจอปรากฏชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เขาคือเชฟหนุ่มที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบันนี้

ไม่รู้ว่าเป็นไงมาไง แต่บีมเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าเขาดังมาจากแท๊กเชฟหล่อขอห่อกลับบ้านในโซเชียลมีเดียร์

ถามว่าหล่อมั้ย ก็นิดนึงมั้ง แต่อย่างไรก็สู้ผมไม่ได้หรอก
 
 
 
 
 
 
 
ถนนในเมืองถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันก็โคตรวุ่นวาย

ผมกับเลโอมาถึงออฟฟิศเสือหลังเที่ยงนิดหน่อย แต่ก็ถูกคนโมโหหิวด่ายับเลย ผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำด่าไป ส่วนน้องเลโอน่ะเหรอ หัวเราะอะไรครับไม่เคยเห็นคนโดนเมียด่าเรอะ

บนชั้น 21 ของตึกถูกจัดเอาไว้เป็นฟู๊ดคอร์ด มีทั้งแบบแอร์และโอเพ่นแอร์ ที่จริงอากาศร้อนขนาดนี้คนฉลาดๆ เขาคงเลือกนั่งในห้องแอร์ แต่คนฉลาดที่มาถึงฟู๊ดคอร์ดช้าก็ต้องรับกรรมจำใจนั่งหลบใต้ร่มเงาต้นไม้เอา

นอกจากแดดแล้ว ลมยังแรงด้วย เส้นผมของผมที่ไม่ได้ถูกเซ็ทมาปลิวจนหมดสภาพ

“อาเฉือดูข้าวกล่องของเลโอสิ น่ากินมากๆ เลย”

ผมเลือกทำอาการกลางวันเป็นเบนโตะแบบญี่ปุ่น น่ารักไม่สมวัยเราเท่าไหร่ แต่ถูกใจเด็กน้อยข้างกายเสือมากๆ

“ของอาเสือก็น่ารักเหมือนกันนะ” โล่งใจที่เสือถูกใจเบนโตะที่ผมทำมาให้ “แต่ไม่รู้จะอร่อยรึเปล่า”

“ก็ต้องอร่อยอยู่แล้วสิ” ผมใช้ตะเกียบในมือตนคีบอาหารชินนึงป้อนเสือ และเขาก็รับมันเข้าปากแต่โดยดี

เสือเคี้ยวอาหารช้าๆ ซึมซับรสชาติ ทำเช่นเดียวกับยามที่ผมขอให้เขาช่วยชิมอาหารเมนูใหม่

“อร่อยมากเลย” เสือชมรสชาติอาหารของผมจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้สิ หัวใจผมเนี่ยมันมักจะพองโตทุกครั้งที่ถูกชมเลยล่ะ ไม่รู้ทำไมถึงไม่ชินซักที

“ของเลโอก็อะหย่อยนะ” พอเห็นว่าผมป้อนอาเสือ เจ้าเด็กขี้เลียนแบบก็ทำตามบ้าง

สองอาหลานผลัดกันป้อนอาหารอย่างสนุกสนาน สาบานสิว่าไม่ได้ลืมผมน่ะ

งอนก็ไม่ได้ด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรเสือก็ไม่ยอมง้อผมแน่ๆ ถ้าเหตุผลที่งอนมันงี่เง่าขนาดนี้

มื้อกลางวันจบลงตอนเกือบบ่ายแล้ว

พวกเราดื่มน้ำลำไยที่เจ๊ศรีฝากมาจนหมดขวดก็ถึงเวลาต้องแยกย้าย

“เลโออยากอยู่กับอาเฉือ” หากเด็กน้อยไม่ยอมให้ความร่วมมือ งอแงจะอยู่กับอาเสือท่าเดียวเลย

“ไม่งอแงสิครับ” คนเป็นอานั่งยองๆ ลงตรงหน้า ใช้มือเรียวจับบ่าเล็กเอาไว้พลางว่าเสียงอ่อนโยน

“แต่เลโออยากอยู่กับอาเฉือนี่นา”

“อาเสือไม่ชอบเด็กงอแง”

“แต่ว่า...”

“กลับบ้านไปเล่นไดโนเสาร์กับอาเอิ้นนะ”

“เลโอเบื่อแล้วอะ” อยู่ๆ ก็รู้สึกห่อเหี่ยวหัวใจเมื่อได้ยินว่าเลโอเบื่อผมแล้ว

ถ้าเบื่อก็โทรเรียกพ่อมารับกลับต่างประเทศไปเลยสิครับหลานรัก

“พูดแบบนี้อาเอิ้นก็เสียใจสิครับ” เสือว่าพลางช้อนสายตามองผม ขอบคุณนะที่ยังรับรู้ถึงการมีตัวตนของแฟน

“ไม่ใช่นะ เลโอไม่ได้เบื่อลุงเอิ้นแต่เลโอเบื่อไดโนเสาร์ต่างหาก เบื่อลุงเอิ้นได้ไงล่ะ ไม่เบื่อหรอก” ที่จริงเด็กมันก็น่ารักแหละ ยิ่งในยามที่ขยับเข้ามากอดขาแล้วแนบแก้มลงมา พลางช้อนสายตามองอย่างอ้อนๆ นี่แม่งเอ้ย ตายไปเถอะไอ้เอิ้น ทั้งอาทั้งหลานเลย จะทำให้ผมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นกันเลยใช่มั้ย

“งั้นก็กลับไปรออาเสือที่บ้านนะครับ”

“หอมแจ้มก่อน” ได้ยินอย่างนั้นผมก็ฉวยโอกาสอุ้มเลโอขึ้นมา ให้เสือลุกตาม

เสือมองผมตาขวาง คนมันเป็นแฟนกันมานานไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้กันไปจนถึงไส้ถึงพุงแล้ว

เสือมองแก้มป่องๆ ของหลานชายก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาหอมเบาๆ และผมก็ฉวยโอกาสจุ๊บแก้มเขาเบาๆ ด้วยเช่นกัน

รู้ว่าประเจิดประเจ้อแต่พออยู่ใกล้เสือทีไรผมก็อยากกอดอยากหอมเขาทุกที ก็เสือน่ะน่ารักขนาดนี้นี่นา

 
 
 
 
 
“บีมทำไมวันนี้ฝั่งตรงข้ามรถเยอะจัง”

“เจ้าของตึกเข้ามาตรวจงานน่ะครับ”

“ตรวจงานอะไร” ด้วยความที่ผมไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และวันๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับงานของตัวเองจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบตัวมากนัก รู้เรื่องอีกทีก็ตอนที่ตึกเก่าๆ ฝั่งตรงข้ามรีโนเวทเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เห็นว่าจะเปิดร้านอาหารนะครับ”

“แบบเราเนี่ยเหรอ”

“ใช่ครับ”

ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรซักเท่าไหร่ เพราะย่านนี้มีร้านอาหารเยอะอยู่แล้ว อ่อนแอก็แพ้ไป ขายไหวก็อยู่ต่อ ผมอยู่ในร้านจำพวกที่อยู่ไหวก็ขายต่อกันไป ถึงแม้จะได้กำไรไม่มากเท่าเมื่อก่อนก็ตาม

“ได้ยินว่าเจ้าของร้านคือคุณโทมัสนะครับ”

“โทมัสเหรอ ชื่อคุ้นๆ”

“เชฟที่กำลังดังมากๆ ไงครับ” บีมพูดแค่นั้นผมก็รู้เลยว่าเขาคือใคร จากที่ไม่หวั่นก็เริ่มรู้สึกขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะสิ

“ไอ้หมอนั่นใครวะไม่คุ้นหน้าเลย” ประตูร้านถูกเปิดออก แชมป์ในชุดวินอันคุ้นตาก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยถามโดยไม่สนใจซักนิดว่าลูกค้ากำลังนั่งรัประทานอาหารกันอยู่เต็มร้าน

“เชฟโทมัสไงพี่” และเป็นบีมที่ตอบ

“ใครวะ ชื่อฝรั่งแต่หน้าแม่งไม่ได้ว่ะ แล้วอาหารได้ยังวะ” แชมป์ยังคงช่วยส่งอาหารให้ผมเหมือนเดิม คนที่วินก็ยังคงมารับจ๊อบกันเป็นระยะ

ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา

แต่ความรู้สึกของผมกำลังบอกว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป

คล้อยหลังแชมป์ เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นในร้านให้ผมที่ทำอาหารเสร็จพอดีต้องชะโงกหน้าออกไปดู และก็ต้องสะดุดตากับต้นเหตุของเสียงอื้ออึงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใจกลางร้านราวกับจงใจให้ตนเป็นจุดเด่น

โทมัส เชฟคนดังคนนั้นอย่างไรล่ะ

“โต๊ะคุณโทมัสครับเชฟ” รายการอาหารถูกส่งมา ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก็พบว่าเขาสั่งแต่อาหารแนะนำทั้งนั้นเลย เมื่อกี้ถ้านับไม่ผิด คนพวกนั้นมากันแค่ 3 คนเอง แต่สั่งอาหารอย่างกับมากันนับสิบ

อย่าหาว่าผมมองโลกในแง่ร้าย แต่เชื่อไม่เชื่อโปรดใช้วิจารณญาณ โทมัสคนนั้นน่ะต้องมาเพื่อเจาะข้อมูลคู่แข่งอย่างผมแน่ๆ และอย่าหาว่าโม้เลย ร้านอาหารทั้งย่านนี้ อันดับหนึ่งก็คือ SHIT HERE นี่แหละ

“เจ้านาย พี่ไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ”

อาหารจานสุดท้ายถูกยกไปเสิร์ฟแล้ว บีมที่คงไม่ว่างแต่ทำตัวเหมือนว่างเข้ามากระซิบถาม เห็นมั้ย ไม่ได้มีแค่ผมที่คิดว่ามันแปลก

“แปลกยังไง”

“ก็คุณโทมัสมาเปิดร้านตรงข้ามร้านเรา แบบนี้มันคู่แข่งชัดๆ นะพี่ มีอย่างที่ไหนคู่แข่งมาอุดหนุนกัน”

“คิดดีๆ นะบีม” บีมครุ่นคิด “จริงด้วย เจ้านายแบบนี้เราก็แย่สิ ทางโน้นรู้รสชาติอาหารเรา มันต้องเลียนแบบเพื่อแย่งลูกค้าเราแน่ๆ”

“กลัวเหรอ”

“บีมเป็นห่วงเจ้านาย”

“ขอบใจ” ผมรู้สึกซึ้งใจกับความห่วงใยนั้นจากใจจริง แต่ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ถึงแม้โทมัสจะมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของชาวโซเชียล แต่ผมเองก็เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของคนย่านนี้เหมือนกัน

ถ้าพวกเขาจะเลิกอุดหนุนผมแล้วไปลองของใหม่ก็ไม่ว่ากันหรอก สิทธิ์เป็นของผู้บริโภคอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือพัฒนาตัวเองและรักษามาตรฐานเอาไว้

“เจ้านาย” บีมเรียกผมแผ่วเบาคล้ายกระซิบ

“ว่า...” และผมก็ขานรับพร้อมกับยื่นมือไปขอเครื่องปรุง บีมก็ส่งมาอย่างถูกต้อง

“เจ้านายรู้ใช่มั้ยว่าคุณโทมัสดังมาก เคยออกรายการเตยเที่ยวไทยช่วงพ่อค้าแซ่บด้วย”

“รู้ว่าดัง  แต่ไม่รู้ว่ามาก และไม่เคยดูรายการที่ว่าด้วย ดังมากเหรอ”

“มากเวอร์ สาวๆ ที่มหา’ลัยพูดถึงกันตลอด แปลกจังเลยนะ ทำไมอยู่ๆ ถึงเลือกมาทำร้านอาหารแถวนี้”

“แปลกตรงไหน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแกก็เห็นว่ามีร้านรวงเกิดขึ้นในย่านนี้มากมาย” เหตุเพราะมีสำนักงาน บริษัทห้างร้านต่างๆ ผุดขึ้น ผู้คนก็มากตาม แน่นอนว่าพวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ย่อมตามมา

“พี่เสือรู้เรื่องรึยัง”

“กว้างขวางแถมยังเป็นคนพื้นที่ ไม่มีทางไม่รู้หรอก”

“นั่นสิครับ พี่เสือน่ะทั้งหล่อ ทั้งอัธยาศัยดี พูดคุยกับคนอื่นไปทั่ว ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้หรอก” ชมกันออกนอกหน้าไม่เกรงใจคนรักเขาเลยนะไอ้บีม

“คิดจะอู้อีกนานมั้ย ออกไปทำงานได้แล้ว”

บีมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะออกจากครัวไป ทิ้งให้ผมกับผู้ช่วยพ่อครัวทำงานกันตามลำพัง

ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่นี้ไป ร้านเราจะเป็นอย่างไร แต่การมีคู่แข่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวซักหน่อย ดีซะอีก เราจะได้กระตือรือร้นรักษามาตรฐานและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

 
 
 
 
 
อาหารที่โต๊ะคุณโทมัสสั่งถูกนำไปเสิร์ฟเมื่อ 30 นาทีก่อน

ขณะตักอาหารใส่จานเพื่อนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้า บีมก็โผล่หน้าเข้ามาในครัวอีก

“คุณโทมัสอยากเจอเจ้านายครับ”

“อยากเจอฉันทำไม”

“ไม่ทราบครับ” เข้าใจบีมอยู่หรอกว่ามันก็คงทำตามหน้าที่ เขาบอกให้มาเรียกก็คงมา

ผมถอดผ้ากันเปื้อนกับหมวกออก จัดผมนิดหน่อยก่อนเดินนำบีมออกไปหาคุณโทมัสคนดัง เมื่อผมหยุดที่ข้างโต๊ะเขาก็ลุกขึ้นทักทายอย่างมีมารยาท

เห็นเช่นนั้นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าหากต่างคนต่างทำธุรกิจของตนก็คงไม่มีปัญหาอะไร

“คุณอัคคี ผมโทมัส ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายื่นมือมา ผมเองก็เลี่ยงไม่ได้จึงส่งมือไปสัมผัสกัน

“ได้ข่าวว่าคุณโทมัสจะเปิดร้านเร็วๆ นี้”

“ใช่ครับ ร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่โตเท่าร้านคุณอัคคีหรอก”

“พอทุกอย่างเข้าที่ค่อยขยายร้านก็ไม่สายหรอกครับ ผมเองก็เริ่มจากร้านเล็กๆ เหมือนกัน”

“นั่งก่อนมั้ยครับ” เขาผายมือเชิญให้จำต้องนั่งลงตรงหัวโต๊ะอย่างไม่มีทางเลี่ยง “คุณอัคคีเปิดร้านมานานแล้วเหรอครับ ลูกค้าเยอะเชียว”

ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ ก็แค่ไม่มีโต๊ะว่างเลยก็แค่นั้น

“5 ปีได้แล้วมั้งครับ”

“5  ปีโดยปราศจากคู่แข่งเหรอครับ”

“ครับ?” ที่จริงแล้วผมได้ยินเต็ม 2 หู แต่ถ้าตอบโต้ไปคิดว่าสถานการณ์ในร้านอาจจะครุกรุ่นได้ เพราะงั้นทำเป็นหูทวนลมไปก่อนน่าจะดี

“อาหารทั้งโต๊ะนี้คุณอัคคีทำเองหมดเลยเหรอครับ”

“ไม่หรอกครับ มีพ่อครัวผู้ช่วยอยู่”

“คุณอัคคีเป็นเชฟหลัก?”

“ใช่ครับ”

“ถ้าขาดคุณอัคคีไปซักครั้ง ร้านก็แย่สิครับ”

“ไม่หรอกครับ ผู้ช่วยพ่อครัวเก่งกว่าผมอีก แต่เพราะผมเป็นเจ้าของร้านก็เลยอยากลงมือทำอาหารเอง คุณโทมัสเองก็เป็นเชฟเหมือนกัน ก็น่าจะเข้าใจนะครับ”

“นั่นสิครับ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังอยากทำอาหารด้วยตัวเองอยู่ดี” คุณโทมัสกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมน่าฟัง หากในความน่าฟังนั้นกลับแฝงด้วยเล่ห์กล ช่างเป็นคนที่ไม่ควรอยู่ใกล้เอาซะเลย

“ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว ถ้าขาดเหลืออะไรแจ้งได้เลยนะครับ” ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งเพื่อบอกลาก่อนลุกขึ้นยืน ทว่าในตอนที่กำลังก้าวออกมา ข้อศอกก็ถูกสัมผัสแทนการเรียกให้หยุด จนต้องหันไปมองหน้าคุณโทมัสอีกครั้ง

“คุณอัคคีทำอาหารอร่อยถูกปากผมมากเลยครับ สัปดาห์หน้าถ้าไม่ติดอะไร ผมอยากให้คุณอัคคีไปเป็นเกียรติในงานเปิดร้านใหม่ของผมด้วยนะครับ”

เป็นเกลียดหรือเปล่า

แม้ไม่อยากรับแต่ก็ปฏิเสธการ์ดเชิญที่ถูกยื่นมาตรงหน้าไม่ได้เลย

คุณโทมัสทิ้งรอยยิ้มเอาไว้ก่อนสั่งให้คนของตนเคลียร์เงินค่าอาหาร ส่วนเจ้าตัวเดินออกจากร้านไปก่อน

ผมมองการ์ดเชิญในมือ ไล่สายตาดูวันเวลา สัปดาห์หน้างั้นเหรอ ส่งเสือไปดีมั้ยนะ ท่าทางคงจะสนุกพิลึก



 
 
 
 
 
“กล้าดียังไงมาเปิดร้านอาหารตรงข้ามร้านเรา” เสือโยนกระเป๋าลงบนโซฟาพลางโวยวายเสียงดังให้ผมต้องยกมือขึ้นปิดหูเลโอเอาไว้

“ใจเย็นน่า มันก็สิทธิ์ของเขามั้ย”

“ก็รู้ว่าเขามีสิทธิ์แต่ทำแบบนี้มันจงใจจะแข่งกับเราชัดๆ”

“ถ้าเขาอยากแข่งแล้วไงอะ เสือกลัวเอิ้นแพ้เหรอ”

“เปล่า แค่คิดว่าถ้ามีคู่แข่งเราก็จะเหนื่อยขึ้นไง”

“ดีซะอีก”

“มองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อยมั้ง” เสือยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ถ้าไม่ติดว่าเลโอนั่งอยู่บนตักล่ะก็ จะดึงเข้ามาจูบให้ปากเจ่อเลย

“ที่ญี่ปุ่นน่ะ มีห้างๆ นึงที่มีร้านอาหารแบบเดียวกันตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กันหลายร้านเลย และในทุกๆ เดือนเค้าก็มีการประเมิณ ถ้าใครแพ้ก็ต้องเก็บของออกไป เพราะเป็นแบบนั้น ทุกร้านจึงต้องรักษามาตรฐานของตัวเอง แล้วก็พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”

“ก็นั่นมันญี่ปุ่น” ดูเหมือนเสือจะยังไม่ค่อยเข้าใจผมเท่าไหร่แฮะ

“การทำแบบนั้นมันส่งผมดีทั้งต่อลูกค้าที่ได้กินอาหารที่มีคุณภาพและรสชาติดี ตัวร้านเองก็อย่างที่บอกเสือไปไง”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับเคสนี้ล่ะ”

“เอิ้นตื่นเต้นมากเลยนะ”

“ตื่นเต้นเรื่องอะไร แล้วทำไมอยู่ๆ เปลี่ยนเรื่อง”

“ไม่ได้เปลี่ยน เอิ้นแค่จะบอกว่า เอิ้นไม่กลัวการที่มีร้านอาหารมาเปิดแข่ง แต่เอิ้นตื่นเต้นที่ร้านเราจะมีการเปรียบเทียบ ถ้าลองมองอีกมุมนึง การที่มีร้านอาหารอยู่ฝั่งตรงข้าม และหากลูกค้ายังอยู่กับเรา นั่นก็หมายความว่ารสขาติอาหารของเราเยี่ยมที่สุดยังไงล่ะ”

“มองโลกในแง่ดีมาก” เสือลากเสียงยาว ชักสีหน้าล้อเลียนผมก่อนจะถอดเสื้อเชิ้ตออกต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย

นี่ก็ช่างยั่วเหลือเกิน ถ้าวันไหนเอิ้นทนไม่ได้ล่ะก็ จะมาร้องบอกให้หยุดก็แล้วกัน

 
 
[T B C]
 
คิดถึงคุณเสือกับคุณเอิ้นอีกแล้วค่ะ :)

หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 09-07-2018 18:05:08
 o18 มารอเอิ้น เสือค่า
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 11-07-2018 09:01:40
เอิ้นไปแข่งรายการ  MasterChef Thailand เลยค่ะ จะได้ดังบ้าง เสือกับเอิ้นสู้ นะค่ะ คนแต่งด้วยค่ะ สู้ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 13-07-2018 02:38:06
โห้ย เอิ้นเอ๊ย หล่อตลอดจริงๆเลยลูกชาย น้องเสือก็น่ารักนะเนี่ย รอดูคู่แข่งเอิ้นต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 29-09-2018 21:10:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-12-2018 20:40:55
SPECIAL || เสือตาครอส





ใครจะไปนึกว่าอายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้วต้องมาทำอะไรแบบนี้







บ่ายวันที่ 22 ธันวาคม

ผมวางกล่องพัสดุลงบนตักหลังจากเข้ามานั่งในรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่ในลานซึ่งเป็นที่ประจำ

กล่องค่อยๆ ถูกแง้มออก วัตถุสีแดงข้างในทำให้ผมใจสั่นระรัว

บางทีผมก็คิดว่าตัวเองอาจจะบ้าไปแล้วแน่ๆ

ตอนกดสั่งสินค้าชิ้นนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่วะ

อยากเอาใจเอิ้นอย่างนั้นเหรอ เอาใจเสร็จถูกมันจับแดกชัวร์

แต่ถึงแม้จะรู้สึกเขินอายมากแค่ไหนแต่ผมก็เปิดกล่องออก แล้วหยิบชุดซานตาคลอสขึ้นมาคลี่ดู กวาดสายตาเช็คสภาพของเรียบร้อยแล้วค่อยเก็บเข้ากล่องแล้วโยนไว้หลังรถ

พอมาลองคิดๆ ดูแล้วผมต้องไม่กล้าใส่แน่ๆ เลยว่ะ









เย็นวันที่ 24

กล่องพัสดุยังคงถูกทิ้งไว้หลังรถเหมือนวันแรก ผมแทบจะไม่ชายตาแลมันด้วยซ้ำ

ในร้านซิทเฮียยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน และดูเหมือนว่าวันนี้ลูกค้าจะเยอะกว่าปกติด้วยซ้ำ

หน้าร้านที่ถูกตกแต่งในธีมคริสมาสต์เป็นที่นิยมเอามากๆ

หลายๆ คนกำลังถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน

ถึงแม้ว่าความสุขจะไม่มีกลิ่นแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างหอมหวาน

ผมละสายตาจากความสุขตรงหน้า เดินเลี้ยวเข้าไปด้านข้างร้านเพื่อเข้าไปทักทายคุณเชฟ

เอิ้นกำลังทำอาหารมือเป็นระวิง ผมยืนมองภาพที่คุ้นตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตะโกนทักทายเขา

"กลับมาแล้วครับ" คนถูกทักหันมามองกันแล้วยิ้มกว้างอย่างเคย

"ทำไมวันนี้กลับเร็ว"

"งานเสร็จ"

"เหนื่อยมั้ย"

"นิดหน่อย มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า"

"เอ่อ..." อึกอักแบบนี้ บอกเลยว่ามีแน่ๆ

"ขอนอนซักงีบก่อนแล้วกัน"

"ขอโทษที่ต้องรบกวนเสือนะ"

"ทำอย่างกับไม่เคย" ผมแยกเขี้ยวใส่คนขี้เกรงใจไม่รู้เวล่ำเวลาไปทีก่อนจะเดินขึ้นบ้านมาพร้อมกับปลดเนคไทออก

เมื่อเห็นเตียงอยู่ตรงหน้าผมก็ทิ้งตัวลงทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า อาจจะเพราะงานยุ่งเอามากๆ เมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับไปเลย

รู้ตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่ามีบางคนกำลังยุ่มย่ามอยู่กับเท้าของผม

ลืมตามองก็พบว่าเป็นเอิ้น

ก็แน่ล่ะ ถ้าไม่ใช่เอิ้นก็คงผีมั้ง ข้างบนนี้ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า

"เอิ้นกวนเสือรึเปล่า"

"เปล่า ทำอะไรน่ะ"

"โทรขึ้นมาไม่มีคนรับก็เลยขึ้นมาดู" ถุงเท้าถูกถอดออกด้วยความใส่ใจ

"ลืมไว้ในรถมั้ง"

"เอ้า ขี้ลืมจัง เดี๋ยวเอิ้นลงไปเอาให้นะ"

ผมพยักหน้ารับ

"ถ้าตื่นแล้วก็อาบน้ำซะ ไม่ต้องลงไปช่วยแล้ว"

"ทำไมล่ะ ลูกค้าเยอะไม่ใช่เหรอ"

"ก็เยอะ แต่เสือดูเพลีย อาบน้ำแล้วก็พักผ่อนซะ"

"ช่วยได้ นี่เสือไง"

"เสือก็คนครับ ถ้ามีแรงเหลือเฟือขนาดนั้นก็เก็บไว้ใช้กับเอิ้นคืนนี้ก็แล้วกัน"

ไอ้...เหี้ยเอ้ย เขินเฉยเลย

เอิ้นทิ้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ก่อนจะเดินควงกุญแจรถออกจากห้องไป

ขณะมองตามแผ่นหลังกว้าง ผมรู้สึกตะหงิดๆ อย่างไรก็ไม่รู้ คล้ายกับว่ามีบางอย่างค้างอยู่ในใจแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

ช่างแม่ง!!!

ผมทิ้งความสงสัยไปก่อนจะจัดการกับตัวเอง

พักผ่อนเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก ถ้าขืนพักตอนนี้ คืนนี้มีหวังไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันพอดี

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก เมื่อเปิดประตูออกมาในสภาพผ้าขนหนูพันกายก็พบว่าเอิ้นนั่งรออยู่

"ไม่ไปทำงานรึเปล่า"

"เอามือถือมาให้เสือ" เอิ้นตอบพลางเหลือบมองไปยังมือถือที่วางอยู่บนเตียงก่อนจะหันมามองกันอีกครั้ง

ให้ตายเถอะว่ะ ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองมั้ย แต่สายตาที่ไอ้เอิ้นใช้มองผมนี่มีมันเหมือนกับเสือจ้องจะงาบเหยื่อไม่มีผิด

"เดี๋ยวลงไปช่วยนะ"

"บอกให้พักไง" เอิ้นย้ำด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับก่อนก้าวเข้ามาจนประชิดตัว

"ก็อยากช่วย"

สิ้นประโยคคางของผมก็ถูกจับก่อนเอิ้นจะโน้มใบหน้าเข้ามาหาจนลมหายใจอุ่นๆ รินรดเหนือริมฝีปาก

ผมหลับตาลงอย่างคาดหวัง

แต่ผิดคาดแฮะ แทนที่จะจูบแต่กลับทำเพียงแค่กระซิบ

"ดื้อไม่เปลี่ยนเลยว่ะ"

"เอ้า" ผมลืมตาขึ้น อ้าปากตั้งท่าจะเถียง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ริมฝีปากบนก็ถูกงับและขบเบาๆ ชวนให้เจ็บจี๊ด

ผมเกือบจะร้องออกมาแล้วถ้าหากว่าเอิ้นไม่จูบผมเสียก่อน

ถึงแม้ว่าจะเป็นจูบที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวแต่ก็ยอมแพ้ไม่ได้

จูบมาจูบกลับไม่โกงแน่นอน

เรียวลิ้นของเรากวัดเกี่ยวอย่างกับคนที่กำลังตกอยู่ในความกระหาย

เสียงหอบดังสะท้อนอยู่ในห้องแต่ก็ไม่มีใครสนใจ

เอิ้นใช้นิ้วลากไล้ไปตามชายโครงของผมขณะผละริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย

เรามองกันด้วยสายตาปรือปรอย

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนมืออุ่นๆ นั้นจะผละออกไป

"ไม่ไหวว่ะเสือ"

"อะไร"

"ยั่วเกินไปเอิ้นห้ามใจไม่ไหว" เอิ้นว่าพลางใช้นิ้วเกลี่ยแก้มผม

อะไรวะ โทษผมคนเดียวได้ที่ไหน มันนั่นแหละที่อยู่ๆ ก็เข้ามารุกกัน

"เสือผิดเหรอ"

"เต็มๆ"

"เหี้ยละ กูก็อยู่ของกูดีๆ อ่ะเอิ้น มึงแหละ"

"เสือแหละ รอให้ถึงคริสมาสก่อนเดี๋ยวเอิ้นแขวนถุงเท้ารอเลย"

เดี๋ยวนะ อะไรวะ

ผมงงไปหมด กระทั่งประตูห้องปิดลงผมก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมอยู่ๆ เอิ้นถึงพูดเรื่องวันคริสมาสขึ้นมา











วันที่ 25

วันคริสมาสเป็นวันหยุดของร้านซิทเฮีย

ขณะที่ผมนั่งทำงานงกๆ ป่านนี้คุณเชฟคงนอนหลับพักผ่อนสบายใจเฉิบ

อิจฉาว่ะ

ที่จริงผมน่ะชอบบรรยากาศของเดือนธันวาคมนะ แต่ไม่ค่อยชอบงานเลย มันเดือดเกินไป บางทีก็ทำไม่ทัน

อย่างเช่นวันนี้ พระอาทิตย์ตกดินแล้ว หลายๆ คนคงเดินเล่นดูไฟกันชิลแต่ผมยังนั่งดูงานตัวเองอย่างเดือด

เอิ้นโทรมาหาตอนสองทุ่มบอกว่าจะมารับไปกินข้าว แต่ผมก็ต้องปฏิเสธเพราะ...งานเดือดเกิน

กว่าจะเคลียร์จบก็ปาเข้าไปเกือบ 5 ทุ่มแล้ว

ผมเดินขึ้นบ้านอย่างระมัดระวังเมื่อพบว่านอกจากไฟต้นคริสมาสกับหน้าร้านแล้ว ทั้งบ้านไม่เปิดไฟเลย

เอิ้นคงหลับไปแล้วแน่ๆ

ผมก้าวขึ้นบันไดพลางคลายเนคไท กว่าจะถึงห้องนอนกระดุมก็ถูกปลดไปหลายเม็ดแล้ว

ในห้องนอนเงียบสงัด เอิ้นหลับสนิทอยู่บนเตียง แต่โคมไฟยังถูกเปิดไว้เพื่อให้แสงสว่าง

ผมเดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าคนที่กำลังพักผ่อนจะตื่นขึ้นมาแต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อเราเผลอสบตากันในความสลัวเข้าจนได้

"กลับมาแล้วเหรอ"

"อือ เอิ้นนอนเถอะ"

"นอนมาทั้งวันแล้ว" เอิ้นลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ "ซานตา ผมแขวนถุงเท้านะ คุณเห็นมั้ย"

"หืม" เมื่อมองตามดวงตาคมไปก็พบว่าถุงเท้าถูกแขวนไว้จริงๆ

เดี๋ยวนะ ซานต้าเหรอ ผมลืมอะไรไปรึเปล่าวะ

ชุดคอสเพลย์ซานตาไง ผมลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ

"ระ รู้ รู้ได้ไง" ผมชี้หน้าคนรักพลางละล่ำละลักถาม

"ซื้อมาแล้วก็ใส่ให้ดูหน่อย"

มือของผมถูกคว้าจับก่อนเอิ้นจะดึงผมให้นั่งลงบนตักเขาบนเตียง

"ไม่เอาหรอก น่าอายจะตาย"

"ตอนไม่ใส่อะไรเลยก็เห็นมาแล้วยังต้องอายอะไรอีก"

ตัวเองไม่ได้ใส่ก็พูดได้สิ แต่ผมจะไม่พูดคำนี้ออกไปหรอก เพราะถ้าขืนเอิ้นมันบ้าแต่งชุดซานตาขึ้นมาจริงๆ คนรับของขวัญอย่างผมคงได้รับแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบแน่ๆ

"ทิ้งไปแล้ว" ผมโกหก

"ทิ้งเมื่อไหร่"

"เมื่อเช้า"

"หรอ เอิ้นเก็บมาไว้บนห้องตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ"

เหี้ยมาก ผมเนี่ยเหี้ยเลย ไม่น่าใช้อารมณ์ชั่ววูบสั่งซื้อมา

"น่านะ เสือใส่ให้เอิ้นดูหน่อย" พอผมปฏิเสธหนักๆ เอิ้นก็เริ่มอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานพลางวางมือลงบนกลางกายที่หลับไหลของผม

เอิ้นรู้จุดอ่อนทั้งหมดในร่างกายนี้ รู้ด้วยว่าทำอย่างไรผมถึงจะยอม

บีบๆ คลึงๆ ไม่นานไอ้เสือร้ายก็ตื่นจากหลับไหล

ให้ตายเถอะว่ะ พอตื่นแล้วถ้าไม่ทำให้หลับผมเนี่ยจะไม่ได้หลับ

ผมแหงนหน้าขึ้นหวังจะอ้อนวอนเมื่ออยู่ๆ เอิ้นก็หยุดมือแต่เมื่อพบกับรอยยิ้มร้ายกาจผมจึงหยุด

“ยอมใส่ชุดซานตาก่อนแล้วเดี๋ยวเอิ้นทำให้”

“ทำเองก็ได้วะ” ผมเถียงแล้วลุกออกมา

“ทำได้ครับแต่ไม่ดีทำเอิ้นทำหรอก”

ไอ้ฉิบหายเอ้ย เถียงไม่ได้ซะด้วยเพราะนั่นน่ะมันความจริงทั้งหมดเลย









เพราะเป็นเช่นนั้นผมจึงจำต้องแต่งเป็นซานตาคลอสอย่างที่เอิ้นต้องการ

มองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกแล้วโคตรอยากจะร้องไห้ ถ้ารู้อย่างนี้แต่งเองโดยไม่ต้องให้มันบังคับซะก็ดี

ที่จริง ชุดซานตาคลอสที่ผมสั่งมามันธรรมดามาก มีเสื้อ กางเกง เคราและหมวก แต่ตอนนี้ของหายไปสองชิ้นนั่นคือก็กางเกงกับเครา

เข้าใจแหละว่าไอ้เอิ้นคงไม่อยากให้ใบหน้าหล่อๆ ของผมถูกเคราบดบังแต่กางเกงเนี่ยเอาไปทำไมวะ

เสื้อซานตาก็แค่คลุมก้นอ่ะ โคตรหวิว

“เสือ นานจัง”

“รู้แล้วน่า” ผมตะโกนออกไปอย่างหัวเสีย

“ออกมาซักทีเถอะน่าเอิ้นอยากเห็นแล้ว”

“ของดีก็ต้องรอหน่อยสิวะ”

“คุณซานตาพูดไม่เพราะเลยครับ”

“ไอ้เหี้ย” ผมด่ามันไปทีก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกกำลังใจ

เอาวะ ตอนไม่ใส่อะไรเลยก็เคยเห็นมาแล้วนี่ ตอนนี้มีทั้งเสื้อทั้งหมวกจะกลัวอะไร

ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปบิดลูกบิด ไม่เคยรู้เลยว่ะว่าการเปิดประตูมันยากเย็นได้ขนาดนี้เชียว แต่ถึงจะประวิงเวลาไปก็เท่านั้นเมื่อไม่ช่วยอะไรหรอก อย่างไรเอิ้นก็ต้องเห็นผมในสภาพนี้อยู่ดี

วี๊ดวิ๊ว

ตอนเด็กพ่อมึงให้แดกนกหวีดแทนข้าวเหรอ

ผมด่าไอ้คนที่นั่งกอดอกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาโลม

พอช่วงขาไม่มีอะไรปกปิดเลยมันก็จะหวิวๆ หน่อย และยิ่งถูกมองขนในกายก็ยิ่งร่วมใจกันลุกเกรียว

“มานี่สิคุณซานตา” เอิ้นกระดิกนิ้วเรียก ผมอิดออดอยู่ชั่ววินาทีแต่ก็ยอมเดินเข้าไปหา

ตอนนี้การก้าวขาก็ยากพอๆ กับการเปิดประตูเมื่อกี้นี่แหละ

“มานั่งนี่สิ” คราวนี้เอิ้นตบที่ตักมันเบาๆ อย่างเชิญชวน

ไม่หรอก มันไม่ได้เชิญแต่ผมกำลังถูกบังคับต่างหาก

กระนั้นก็ขัดไม่ได้อยู่ดีใช่มั้ยล่ะ ในเมื่อไอ้เสือมันอยากจะร้องไห้เต็มทีแล้ว

ผมนั่งคร่อมลงบนตักแกร่ง หันหน้าเข้าหาคนเจ้าเล่ห์คล้องลำคอมันไว้แล้วกัดปากยั่วยวน

เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้ ยั่วมันให้มันไปไหนไม่รอดเลยก็ดี

แขนแกร่งโอบกอดเอวของผมเอาไว้ จัดท่านั่งให้สบายแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้สบายหรอก ก็ตรงก้นของผมมีบางอย่างทิ่มอยู่นี่หว่า

คงอยากจะร้องไห้เหมือนกันมั้ง

“ขอของขวัญเลยได้มั้ยครับคุณซานตา”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบพร้อมกับกอบกุมใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ เอิ้นไม่ขอออกมาเป็นคำพูดแต่มันหลับตาพริ้มแค่นั้นก็รู้ได้ทันทีว่าต้องการอะไร

ในฐานะซานตาที่ไม่มีกางเกงใส่ผมจะปรนนิบัติให้ถึงใจก็แล้วกัน

ผมบรรจงจุมพิตลงบนใบหน้าหล่อเหลา ทั้งหน้าผาก ระเรื่อยมาที่แก้มนิ่ม งับเบาๆ ที่ปลายจมูก อ้อยอิ่งเป่าลมหายใจอุ่นๆ ยั่วยวนอีกฝ่ายเหนือริมฝีปากแต่ยังก่อน ยังไม่จูบตอนนี้

ปลายคางของเอิ้นถูกผมงับเบาๆ แล้วเลียด้วยลิ้นชื้น

ดูเหมือนว่าคนที่กำลังลูบขาอ่อนของผมอยู่จะทนไม่ไหวแล้วมั้ง อยู่ๆ ก็เลื่อนมือขึ้นมารั้งท้ายทอยแล้วบังคับให้ก้มลงมาจุมพิต

ก็ไม่แย่หรอกการถูกรุกรานอย่างร้อนแรงน่ะ ก็แค่ปากแตกนิดหน่อยเอง

เสื้อซานต้าที่ผมใส่อยู่ถูกแหวกออก

หน้าที่รุกเร้าไม่ใช่ของผมอีกต่อไป

ลมหายใจอันร้อนรุ่มของเอิ้นดังอยู่แถวๆ แผ่นอกชวนให้สยิว ยิ่งยามที่ปลายลิ้นชื้นลิ้มลองผิวเนื้อเปลือยเปล่าตรงนั้นอย่างกระหายไอ้เสือก็ยิ่งน้ำตาเล็ด

ซักทีเถอะว่ะ

“เอิ้น” ผมกระซิบเรียกอีกฝ่ายข้างหูก่อนจะหยอกเย้าภายในด้วยลิ้นชื้นๆ

ได้ยินเสียงอีกฝ่ายครางอืออาหัวใจของผมก็เต้นระส่ำ

“ซักทีเถอะว่ะ”

“ซานตาอยู่บนซานตาก็ทำสิ” เอิ้นเงยหน้าขึ้นมาบอกขณะที่ลิ้นยังไม่หยุดทำงาน

เอางั้นเรอะ

เอางั้นก็ได้มั้ง

ผมหยุดใช้สมองแล้วทำตามอารมณ์ที่กำลังพาไป

เอิ้นยกสะโพกขึ้นในตอนที่ผมพยายามดึงกางเกงนอนของเขาลงมา ไอ้เอิ้นที่ผมคุ้นเคยขยายจนคับแน่น เช่นเดียวกับไอ้เสือนั่นแหละ

ประสบการณ์สอนให้ผมเก่งเรื่องแบบนี้ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว

เอิ้นขบไหล่ผมแรงๆ ในยามที่ซานตาคลอสมอบของขวัญที่เขาต้องการให้จนหมดสิ้น

เพลงสำหรับคืนวันคริสมาสเริ่มบรรเลงด้วยทำนองอันเชื่องช้าเนิบนาบก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจังหวะเสียจนกลายเป็นฮาร์ดคอร์

เสื้อของซานตาคลอสถูกดึงลงมาเสียจนหลุดลุ่ย เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ยอมสละแล้วซึ่งเสื้อผ้าทั้งหมด

หนทางยังอีกยาวไกล ไม่แน่ใจว่าคืนนี้เพลงที่กำลังบรรเลงจะจบลงเมื่อไหร่

บางทีเสือตาครอสอาจจะต้องร้องไห้...หนักมาก



[FIN]



จบแบบ.... 555
เราน่ะรักเสือของเอิ้นมากจริงๆ พอถึงเวลาพิเศษก็อยากกลับมาเขียน
อยากให้เขาได้ฉลองช่วงเวลาพิเศษไปด้วยกัน
แต่ก็มาสั้นๆ เนอะ ช่วงนี้งานเดือดมากเลย

เมอรี่คริสมาสนะคะ
มีความสุขมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบอินฟินิตี้เลยนะ
รักแหลละ

#เสือของเอิ้น






หัวข้อ: Re: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:11:32
 :pig4: