TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}  (อ่าน 87230 ครั้ง)

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 21 {เรื่องของพวกเรา}


“วินโทรหาพี่เอ็งดิ๊”

“พี่นพเหรอครับ”

“ไอ้เทพเจ้า 9 ชีวิตอะ บอกให้มันส่งเด็กชานเมืองมาแลกกับเด็กกลางเมืองเราหน่อย”

“น้องส้มน่ะเหรอพี่ เสียดายเนอะ ขายโคตรเก่งแต่สโตร์เราไม่ว่างเลย”

“เออ ให้พี่เอ็งยืมก่อน กำชับมันด้วยว่าฝากเฉยๆ เดี๋ยวถ้าสโตร์ว่างจะไปเอาคืน”

“ทำงานแบบนี้ก็ดีนะพี่” กวินที่กำลังกดมือถือเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่ง

“มันก็ดีแต่ไม่ค่อยถูกต้อง ยังไงมันก็เป็นคู่แข่ง”

“พี่เสือคิดมั้ยว่าถ้าพวกเรา 3 คนทำงานด้วยกันมันต้องเยี่ยมมากแน่ๆ เลยเนอะ”

“ไม่ดีหรอก พี่เคยลองทำงานกับไอ้นพแล้ว แม่งอีโก้สูงมากจนอยากจะฝากอีโต้ไว้บนหน้าผากมัน วันนี้พอแค่นี้เนอะ พรุ่งนี้วินไปประชุมกับน้องใหม่ได้ใช่มั้ย”

“พี่จะปล่อยพวกเราจริงๆ เหรอ”

“มั่นใจในตัวเองหน่อย พี่อยู่ทำงานกับเอ็งไปตลอดไม่ได้หรอกนะ” กวินเบะปากแต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ตอบรับ “อกผายไหล่ผึ่งหน่อยสิวะ”

ผมตบไหล่น้องมันให้กำลังใจก่อนจะบอกลาคนที่ยังเหลือในออฟฟิศก่อนออกมา

เกือบ 2 เดือนที่สอนงานให้กวินเพื่อเตรียมความพร้อมทำหน้าที่แทนเสือแต่ไม่ใช่สไตล์เสือ ประเมินคร่าวๆ จากการดูน้องมันทำงานผมคิดว่ามันพร้อมที่จะรับมือทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ความมั่นใจของเจ้าตัวเท่านั้น ดังนั้นผมจึงมีแผนว่าต้นเดือนมีนาคมนี้คงเหมาะที่จะยื่นใบลาออก

“กลับมาแล้วครับ คนเยอะจัง”

ผมยื่นหน้าเข้าไปในครัวเมื่อเดินผ่านลูกค้าที่นั่งกันเต็มร้านเข้ามาภายใน เจ้าของร้านที่รับหน้าที่เชฟเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ผม

“กินอะไรมารึยังครับ”

“หิวอะ”

“ขึ้นไปรอข้างบนก่อนเดี๋ยวเอิ้นทำขึ้นไปให้”

“ขอบคุณครับคุณเชฟ แล้วปิงปองกลับมารึยังอะ”

“กลับมาแล้ว เอิ้นไปรับมาเมื่อตอนกลางวัน”

“กุ๊กกิ๊กล่ะ”

“ก็กลับมาด้วยกันนั่นแหละ มาที่ร้านเนี่ยคิดถึงแค่หมากับแมวเหรอ คิดถึงเอิ้นบ้างมั้ย”

“เจอกันทุกวันต้องคิดถึงด้วยเหรอ”

ที่ร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านหน้าและชั้น 2 เป็นส่วนของร้าน ครัวและห้องเก็บของ ส่วนชั้น 3 และดาดฟ้าถูกตกแต่งเป็นบ้านพัก เกือบ 2 เดือนที่เปิดร้านมาบอกว่าขายดีมากก็คงไม่ถูกต้องนัก บางวันก็คนเยอะ บางวันก็คนน้อยแล้วแต่สถานการณ์ แต่เชื่อไหมว่าผมไม่เคยได้ยินเชฟคนใหม่บ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง

คำที่บอกว่า ‘เราจะไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหากได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ’ คงจะเป็นเรื่องจริง

คงดีถ้าสักวันผมค้นพบว่าตัวเองชอบและอยากทำอะไร

“ปิงปอง!!” เจ้าหมาพันธุ์ทางที่ผมบังเอิญเก็บได้ในถังขยะเมื่อเดือนที่แล้ววิ่งกระดิกหางดิ๊กๆ ด้วยท่าทางระริกระรี้เข้ามาหา ผมจึงอุ้มมันขึ้นมากอดไว้แนบอกก่อนนั่งลงบนแคร่ไม้ที่ตั้งอยู่บนระเบียง

ผมลูบหัวมัน คุยกับมันราวกับว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ไม่หรอก ถึงแม้เจ้าปิงปองจะมองหน้าผม บางครั้งก็เลียปากผม แต่มันก็ทำไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น มันไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิดเดียว

ขณะที่กำลังคุยกับปิงปอง เจ้ากุ๊กกิ๊กแมวที่น้องชิปเก็บได้และมาฝากเอิ้นเลี้ยงก็เดินมาคลอเคลียที่ขา ครั้นเมื่อตั้งใจจะอุ้มมันขึ้นมา เจ้าแมวก็เดินเลี่ยงผมไปซะอย่างนั้น

จำได้ว่าเคยถูกถามว่าชอบหมาหรือแมวมากกว่ากัน หากถามซ้ำผมก็ยังจะตอบว่าหมา ก็ดูแมวสิ มันทำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงของเราที่ไหน แหม คงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายแล้วเราเป็นทาสล่ะสิ

นี่เสือครับ ไม่ตกเป็นทาสแมวแน่นอน ถ้าอยากได้ทาสล่ะก็เชิญลงไปคลอเคลียเจ้าของบ้านโน่น

“ทะเลาะกับกุ๊กกิ๊กอีกแล้วเหรอ”

ขณะที่ผมกำลังคุยกันด้วยเสียงในใจกับเจ้ากุ๊กกิ๊ก คุณเชฟก็ปรากฏตัวพร้อมกับอาหารกลิ่นหอม

“มีอะไรกินบ้าง”

“ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ เอิ้นเพิ่งลองทำอะ ไม่รู้ว่าจะกินได้มั้ย”

“อ้าว ไม่รู้ว่ากินได้มั้ยแต่เอามาให้เรากินเนี่ยนะ”

“เอิ้นลองชิมแล้ว อร่อยนะแต่อยากให้เสือลองชิมแล้วบอกหน่อยว่าอร่อยจริงๆ หรือว่าเอิ้นเข้าข้างตัวเอง”

เจ้ากุ๊กกิ๊กถูกอุ้มขึ้นมาโดยทาสของมัน ส่วนปิงปองก็เดินอยู่รอบๆ สงสัยคงกินอิ่มแล้วจึงไม่สนใจถาดอาหารของผมเลย

“หน้าตาน่ากินนะ”

มองหน้าเชฟที่มองผมอย่างลุ้นๆ แล้วจึงตักเมนูแนะนำเข้าปาก ผมเคี้ยวมันอย่างละเอียดลออสัมผัสรสชาติด้วยลิ้นที่พักหลังมานี้ทำหน้าที่ชิมเมนูใหม่ๆ บ่อยเหลือเกิน

“เป็นไงบ้าง”

“ใช้ได้”

“แค่ใช้ได้เองเหรอ”

“เคยไปกินที่ร้านแถวๆ มหา’ลัยตอนที่กลับไปเจอพวกเพื่อนๆ น่ะ ร้านนั้นอร่อยมาก อร่อยแบบลืมไม่ลงอะ เสือว่าถ้าเอิ้นอยากให้ลูกค้ากลับมากินอีก เอิ้นก็ต้องทำอาหารที่มีรสชาติพิเศษ แบบที่ต้องมาที่นี่เท่านั้น”

“เป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่เอิ้นจะพยายาม” แม้ปากจะบอกว่ายากแต่ใบหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจนอดกระเซ้าไม่ได้

“ดูมีความสุขนะ”

“มีความสุขสิ ยิ่งได้ทำอาหารให้เสือกินเอิ้นก็ยิ่งมีความสุข”

“เดี๋ยวต้นเดือนว่าจะยื่นใบลาออกแล้วนะ”

“วินเก่งขึ้นแล้วเหรอ”

“มันทำได้แหละ ตอนนี้อยู่ที่ความมั่นใจของน้องมันแล้ว พรุ่งนี้เสือก็ปล่อยให้น้องมันเข้าประชุมเอง เสือไม่ไปด้วย”

“ถ้าลาออกแล้วคิดไว้หรือเปล่าว่าจะทำอะไร”

“ยังไม่ได้คิด” ผมส่ายหน้า

ที่จริงก็คิดแหละ คิดว่าจะพักสักระยะแล้วค่อยคิดแผนการหางานในอนาคต

“ไม่มีความสุขกับการทำงานเหรอ”

“ไม่ถึงกับไม่มีความสุขหรอก แค่คิดว่าใช้เวลาอยู่กับมันนานเกินไปแล้ว 5 ปีแล้วนะเอิ้นที่เสือทำงานที่นี่ อยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ งานเดิมๆ เราเดิน เราเหนื่อย แต่มันเหมือนกับเราย่ำอยู่กับที่ในขณะที่โลกหมุนอยู่ตลอดเวลา”

“ลองปรึกษาแม่ดูก่อนมั้ย”

“เอิ้นไม่อยากให้เสือลาออกเหรอ”

“เอิ้นไม่ได้ห้ามแต่เอิ้นไม่เห็นด้วยที่เสือจะออกจากงานมาโดยไร้จุดหมาย อย่างที่เสือบอกว่าโลกหมุนอยู่ตลอดเวลา เรายังคงต้องดำรงชีวิตอยู่และเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญนะ แต่ถ้าเสือตัดสินใจจะออกจริงๆ เอิ้นก็ไม่ว่าอะไร”

“พูดทำไม เริ่มลังเลแล้วเนี่ย”

“เห็นมั้ย เอิ้นพูดแค่นี้เสือยังลังเล รู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร” ผมส่ายหน้า “ใจนึงเสือก็ยังผูกพันกับที่นั่น แต่อีกใจก็อยากก้าวออกมาเพื่อตามฝันที่เสือเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ใช่มั้ยล่ะ”

โอ้โห ตรงประเด็นอย่างกับนั่งอยู่กลางใจผมอย่างนั้นแหละ

“ถ้าเราไม่มีความฝันเราไม่มีสิทธิลาออกจากการเป็นพนักงานออฟฟิศเหรอ”

“งั้นเสือตอบเอิ้นหน่อยได้มั้ยว่าเสือถนัดอะไรนอกจากงานที่เสือทำอยู่ทุกวัน”

สำหรับคนอื่นคำถามนี้อาจจะไม่ยากเลยแต่สำหรับผมเมื่อได้ฟังคำถามสมองกลับว่างเปล่า ไม่ว่าจะพยายามเค้นหาคำตอบเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หมายความว่าผมไม่ถนัดอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ

ผมทิ้งตัวนอนหนุนตักคนถามคำถามเมื่อยกถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆ อุ้มปิงปองที่นอนหลับอยู่มาวางไว้บนอก มองท้องฟ้าที่ปราศจากดวงดาวไม่ต่างอะไรจากตัวผมที่ไร้ซึ่งความฝัน

“เอิ้นจำได้ว่าเสือวาดรูปเก่ง”

“ไม่ได้วาดมานานแล้ว มือแข็งหมดแล้ววาดไม่ได้หรอก”

“เรียนจบบริหารมาใช่มั้ย”

“อื้อ”

“จบบริหารก็ต้องทำงานบริหาร ระหว่างที่ยังตามหาความฝันตัวเองไม่เจอ ลองมาเป็นผู้จัดการร้านให้เอิ้นก่อนมั้ย เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวันไง”

“ได้เหรอ”

“ได้สิ”

“เงินเดือนเท่าไหร่”

“คงไม่เยอะเท่าที่เก่านะ ร้านเพิ่งเปิด กำไรก็ไม่ค่อยมี”

“มีใครเขาทิ้งงานเงินเดือนเยอะเพื่อมาทำงานเงินเดือนน้อยกันล่ะ”

“ไม่มาเหรอ”

“ไม่อยากใช้เส้นเข้าทำงาน อ่อ นึกได้อย่างนึงแล้วว่าถนัดอะไร”

“อะไร” เจ้าของตักถามด้วยความสนอกสนใจ

“รับจ้างทวงหนี้ดีมั้ย งานใช้กำลังขอให้บอกเถอะ โคตรถนัดอะ”

“ตลกนะเรา”

“ยังไม่ลาออกก็ได้ เดี๋ยวปรึกษาเจ๊ศรีดูก่อน แต่เจ๊คงไม่อยากให้ออกหรอก ออกมาก็มาเกาะเจ๊กิน”

“ก็มาเกาะเอิ้นกินแทนสิ อยากเลี้ยงเสือจะแย่แล้วเนี่ย” พูดเฉยๆ ไม่ได้ต้องไล้มือตามกรอบหน้าแล้วมาสัมผัสที่ริมฝีปาก

“จับอะไรเดี๋ยวก็กัดซะหรอก” นี่แน่ะ! งับนิ้วเข้าให้

“กัดอะไรเดี๋ยวก็จูบซะหรอก”

ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้แล้วแนบริมฝีปากลงมาโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมปฏิเสธแม้สักนิดเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ห้ามปรามทั้งยังปล่อยให้ร่างกายตอบสนองไปตามธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีสักครั้งที่จูบของเราจะไม่ทำให้ผมรู้สึกดี จะว่าไปมันก็คล้ายยาวิเศษที่มีฤทธิ์ปัดเป่าความกังวลใจ

อาการขลาดเขินลดน้อยลงเมื่อเราสัมผัสกันบ่อยขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หายไป หัวใจของผมยังคงเต้นแรง ใบหน้ายังคงร้อนผ่าวแต่ก็กินระยะเวลาไม่นานก่อนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

“เดี๋ยวเอิ้นต้องลงข้างล่างแล้ว เสือจะนอนเล่นที่นี่ก่อนก็ได้นะ”

“ไม่อะ จะกลับบ้านแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”

“ขอบคุณสำหรับจูบนะ”

ไม่ต้องพูดก็ได้นะ ตอนทำก็ไม่เขินเท่าไหร่หรอกแต่พอพูดเท่านั้นแหละ เขินหนักมากจนต้องแก้อาการเขินนี้ด้วยการชกไหล่แกร่งแรงๆ แล้วชิงเดินลงมาก่อนเลย

เชฟมือใหม่เดินตามมาส่งผมถึงหน้าร้านเพื่อบอกฝันดีเป็นการบอกลา

ระหว่างเราเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เอิ้นย้ายมาอยู่ที่นี่



▼▲ ▼▲ ▼



เดินตรงไปอีกไม่เกิน 500 เมตรก็ถึงบ้านของผมแล้ว ผมแวะเข้าไปทักทายเจ๊ศรีในมินิมาร์ทอย่างที่ทำเป็นประจำแต่แปลกที่วันนี้เจ๊ไม่อยู่ที่ร้าน

“ทำไมวันนี้ไม่อยู่ร้านล่ะเจ๊” ผมทักเมื่อพบว่าเจ๊นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก

“กลับบ้านดึกทุกวันเลยนะพักนี้ แกมีแฟนเหรอ”

“เปล่านะเจ๊ก็ไปกินข้าวบ้านไอ้เอิ้นมา”

“แล้วนั่นไม่ใช่แฟนเหรอ”

คำพูดของเจ๊ทำผมนิ่งค้างเหมือนวิดีโอที่ถูกหยุดไว้ชั่วคราว

“แม่...”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อะไรตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่” น้ำเสียงเจ๊จริงจังกว่าครั้งไหนๆ

“ไม่ได้เป็นแฟน เป็นเพื่อนกัน”

“เพื่อนที่ไหนเขาจูบกัน” ช็อคยิ่งกว่าถูกจับได้ว่าเป็นแฟนกันคือเจ๊เห็นตอนที่ผมกับเอิ้นจูบกัน ในเมื่อหลักฐานมันชัดเจนขนาดนี้ก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาแก้ตัวแล้ว

“เราชอบกันครับแม่แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าแฟนได้รึเปล่า”

“รักสนุกแต่ไม่อยากผูกพันรึไง ทำไมเป็นคนแบบนี้ฮะตาเสือ”

“มันก็ไม่ใช่รักสนุก แต่...”

“แต่อะไร ที่ผ่านมาแกก็สนใจแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอแล้วทำไมตอนนี้ถึง...” สีหน้าเจ๊ไม่ค่อยสู้ดีนัก  ท่าทีของเจ๊ทำให้ความหวังที่ว่าท่านจะยอมรับพวกเราพังทลายลง

ผมรู้สึกผิดหวัง อยากร้องไห้แต่เพราะเป็นผู้ชายผมจึงทำเพียงถอนหายใจแล้วตั้งใจจะอธิบาย ทว่าเจ๊กลับไม่ยอมเปิดโอกาส

น้ำเสียงแข็งดังขึ้นจนผมสะดุ้ง

“ผู้หญิงมีตั้งมากมายทำไมแกถึงชอบผู้ชาย แล้วทำไมต้องเป็นตาเอิ้น แม่ไม่เข้าใจเลยเสือ”

“แม่ไม่ชอบที่เสือชอบผู้ชาย หรือไม่ชอบที่คนนั้นเป็นเอิ้น”

แม่เงียบไม่ตอบแถมยังไม่ยอมมองหน้าผมอีก

“แม่คิดว่าเสือไม่ลำบากใจเหรอ เสือก็อยากมีแฟนเป็นผู้หญิง เสืออยากมีชีวิตธรรมดาแต่เสือก็ห้ามความรู้สึกที่มีต่อเอิ้นไม่ได้ เสือผิดเหรอ แต่ถ้าเสือผิด เสือขอโทษ ขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง”

“ถ้าแกรู้สึกผิดแกก็เลิกเจอกันซะ ถ้าความใกล้ชิดมันทำให้พวกแกรู้สึกพิเศษต่อกัน การอยู่ห่างก็อาจจะทำให้ความรู้สึกพวกแกห่างกันไปด้วยก็ได้”

“แม่ แต่เสือ...”

“ฉันสั่งห้ามให้พวกแกเจอกัน บอกเพื่อนแกด้วยว่าอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

“แม่!!!”

อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้นี่นา

ผมไม่คิดว่าเรื่องจะเลวร้ายแบบนี้ ผมคิดว่าเจ๊จะเข้าใจ ผมไม่เคยคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน

ผมนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องนี้ทั้งคืน

พยายามปลอบใจตัวเองว่าแม่แค่งอน เดี๋ยวตื่นเช้ามาเจอหน้าก็ยิ้มให้กันเหมือนเดิม แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่อย่างที่คิด

แม่กำลังโกรธ โกรธมากอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ปกติถ้าแม่งอน เมื่อเข้าสู่วันใหม่ก็จะหายงอนแล้ว แต่เช้าวันนี้แม่ยังปั้นปึ่งใส่ผมอยู่เลย

เพราะแม่ไม่ยอมคุยกับผม บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตอนเช้าจึงอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก



▼▲ ▼▲ ▼



ผมเดินออกจากบ้านพร้อมกับพ่อ ไม่บ่อยหรอกที่เราจะเดินออกจากบ้านพร้อมกัน เพราะปกติพ่อจะขับรถออกจากบ้านเลย คงเพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารล่ะมั้งท่านจึงตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกันเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“ไปทำอะไรให้แม่เขาโกรธล่ะเรา” พ่อเริ่มเปิดประเด็น

“เรื่องเสือกับเอิ้นแหละพ่อ”

“แม่คงตกใจ”

“แม่โกรธต่างหาก เมื่อคืนแม่ยื่นคำขาดให้เสือเลิกเจอเอิ้นด้วย”

“แม่เขารักเสือนะ แม่รักเอิ้นเหมือนลูกชายคนนึงด้วยเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นทุกข์เพราะเห็นคนที่ตัวเองรักมากสองคนรักกันหรอก”

“แม่ไง ตอนนี้แม่กำลังเป็นทุกข์เพราะความรักของเสือ หรือว่าความรักของเสือกับเอิ้นเป็นสิ่งที่ผิดครับ”

“ความรักไม่ผิดหรอก”

“งั้นก็ผิดที่เสือกับเอิ้นเหรอครับ ผิดที่พวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่มั้ย”

พ่อส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีใครผิดทั้งนั้นเสือ”

เหมือนบทสนทนาของเราจะยืดเยื้อพ่อจึงหยุดเดินแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แม่อาจจะแค่กลัว”

“กลัว” ผมทวนคำอย่างคิดไม่ออกว่าแม่กลัวอะไร

“แม่รู้จักเสือดีกว่าใคร แม่รู้ว่าเสือเป็นคนโลเล อยู่ใกล้อะไรก็มักจะคล้อยตามไปกับสิ่งนั้นเสมอ ถ้าอยากหยุดความกลัวและความกังวลใจของแม่เสือต้องทำให้แม่เห็นว่าเราจริงจังกับเอิ้นมากแค่ไหน”

“พ่อนี่สมกับที่เป็นสามีเจ๊ศรีจริงๆ”

“ก็คนอยู่ด้วยกันทุกวันนี่นา”

“แล้วพ่อล่ะผิดหวังในตัวเสือรึเปล่าครับ”

“เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่า...แค่ลูกพ่อมีความสุขพ่อก็มีความสุขแล้ว เอาล่ะ!” พ่อก้มมองนาฬิกา “สายแล้ว รีบเถอะมีคนรออยู่ตรงโน้น”

เมื่อมองตามสายตาอบอุ่นโอบอ้อมของพ่อก็พบกับเจ้าของร้านอาหารที่ยืนมองมายังเราอยู่ก่อนแล้ว

ผมควรบอกเขาเรื่องนี้หรือเปล่านะ

พ่อเดินย้อนกลับไปที่บ้านส่วนผมก็มุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อทักทายคนที่มารอส่งผมไปทำงาน

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ ตาคล้ำเชียว” นิ้วเรียวสัมผัสที่ใต้ดวงตาของผมแผ่วเบาเมื่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

“บอกแม่เรื่องที่จะลาออกแล้วเหรอ”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ก็กังวลเรื่องแม่จริงๆ น่ะแหละ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเครียดเรื่องแม่”

เอิ้นไม่ได้ตอบแต่เหลือบมองไปยังทางเดินที่ผมเพิ่งเดินผ่านมาและเมื่อมองตามสายตาคมก็พบกับคำตอบ แม่ยืนมองเราจากหน้าร้านมินิมาร์ทแต่เมื่อเห็นว่าเรามองกลับไปก็รีบกลับเข้าร้าน

“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจเล่าให้เอิ้นฟังได้ตลอดนะ”

ความอ่อนโยนที่แสดงออกทั้งน้ำเสียงและการกระทำของคนที่ยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้ผมคงไม่ทำให้เจ๊คลางแคลงใจในความรักสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นปัญหาก็คือความรู้สึกของผม

ผมน่ะเป็นพวกแสดงความรู้สึกและแสดงออกไม่ค่อยเก่งซะด้วยสิ แต่ถ้าอยากให้เจ๊ยอมรับก็ต้องทำให้เห็นล่ะนะ



▼▲ ▼▲ ▼



ผมยื่นใบลาออกทันทีเมื่อเคลียร์งานทุกอย่างเสร็จ ยังไม่รู้หรอกว่าจะออกมาทำอะไร ผมไม่ใช่คนที่ชอบวางแผนอนาคตสักเท่าไหร่ ตอนแรกก็ลังเลหรอกแต่พอพี่สิงห์เห็นดีเห็นงามด้วยเท่านั้นแหละก็ตัดสินใจยื่นใบลาออกทันที

คงจะจริงที่พ่อบอกว่าผมเป็นคนโลเลและมักจะคล้อยตามสิ่งรอบตัวได้โดยง่าย

“ลาออกแล้วนะ”

คำทักทายใหม่ทำให้คนที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวหันมามอง

“อื้อ” และตอบแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ

“ทำไมวันนี้ปิดร้านเร็วจัง” ผมก้าวเข้าไปยืนข้างๆ ชะโงกหน้ามองอาหารในกระทะเมื่อถาม

“ยังไม่ปิด”

“อ้าว ไม่มีคนเลย”

“วันนี้มีลูกค้าเข้าร้านแค่ 2 คนเอง” ครั้งแรกตั้งแต่เปิดร้านที่ผมได้ยินเอิ้นพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

“เอาน่า อย่างน้อยก็มีลูกค้าตั้ง 2 คนแน่ะ ก็ถือซะว่าเป็นวันทำงานแบบชิวๆ ละกัน”

“ชิวมาหลายวันแล้ว เอิ้นไม่คิดเลยอะว่าการทำตามความฝันตัวเองมันจะยากขนาดนี้”

“ถามอะไรอย่างนึงสิ” อีกฝ่ายพยักหน้าผมจึงยื่นมือไปจับชายเสื้อกระตุกเบาๆ แล้วถาม “ที่เปิดร้านอาหารเนี่ยอยากทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงหรืออยากทำธุรกิจเพื่อแสวงหาผลกำไร”

“มันก็ทั้งสองอย่าง ถ้าการทำตามฝันแล้วไม่มีจะกินจะทำทำไม”

“ถ้าคิดว่าจะทำงานเพื่อให้ตัวเองมีอันจะกิน งานก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะลาออกมาทำตามความฝันตัวเองทำไม เมื่อก่อนเอิ้นดูมีความสุขมากกว่านี้ตอนที่ได้ทำอาหาร ตอนที่เห็นคนอื่นได้กินอาหารที่เอิ้นทำ ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

มือที่กำลังง่วนอยู่กับตะหลิวกับกระทะหยุดชะงักลง

“เสือไม่รู้หรอกนะเอิ้น ว่าการได้ทำตามความฝันของตัวเองมันให้ความรู้สึกดีแค่ไหน เสือรู้แค่ว่าตอนที่เสือเห็นเอิ้นทำมันด้วยความรักและความตั้งใจ เสือมีความสุขมากที่เห็นเอิ้นมีความสุขกับมัน”

ผมขยับเข้าไปใกล้คนที่เอาแต่จ้องหน้าผมอีก ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเตาแก๊ส

“ลืมเรื่องผลกำไรไปซักพักได้มั้ย ลองทำมันด้วยความรักจริงๆ ถ้าสุดท้ายความรักที่เอิ้นมีพยุงความฝันของเอิ้นไว้ไม่ไหว เราค่อยมาช่วยกัน”

ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอ่อนล้าของอีกฝ่าย อยากให้เข้ามั่นใจและไว้ใจกัน

“ไว้ใจเสือมั้ย เสือ โปรเจ็คเมเนเจอร์ที่ดันยอดขายผลิตภัณฑ์โนเนมให้สูงทัดเทียมผลิตภัณฑ์ที่ติดตลาดมาแล้วหลายต่อหลายแบรนด์เลยนะ”

บนใบหน้าของคนตรงหน้าผมเผยรอยยิ้ม แม้จะแฝงด้วยความเหนื่อยล้าแต่อย่างน้อยเขาก็ยิ้ม

ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ แบบที่ผมเคยได้รับจากเขามาหลายต่อหลายครั้ง

“เอิ้นเคยบอกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอิ้นจะอยู่ข้างเสือ แล้วเสือเคยบอกเอิ้นมั้ยว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเสือก็จะอยู่ข้างเอิ้นเหมือนกัน”

“แพ้เลยอะ”

“แพ้อะไร”

“แพ้เสือ”

“ไม่ใช่ว่าแพ้มาตั้งนานแล้วหรือไง”

“ครับ โคตรแพ้”

ร่างของผมถูกรั้งเข้าไปกอดเอาไว้แบบที่ผมเองก็ยินยอมให้โอบกอดอย่างไม่เกี่ยงงอน ถ้าหากว่าสัมผัสอุ่นๆ นี้จะช่วยปัดเป่าความเหนื่อยล้าและเยียวยาจิตใจที่ท้อแท้ได้ล่ะก็ ผมยอม

“คืนนี้นอนนี่ได้มั้ย เอิ้นอยากกอดเสือ” เสียงแผ่วกระซิบข้างหูแล้วงับ

“แม่จับตาดูอยู่จะให้ค้างที่นี่ได้ยังไง”

“ให้เอิ้นไปช่วยพูดกับแม่ดีมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก บอกแล้วไงว่าเสืออยากพิสูจน์ตัวเองให้แม่เห็นว่าเสือไม่ใช่คนโลเลอีกต่อไปแล้ว”



▼▲ ▼▲ ▼



เอิ้นพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่าความฝันอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เรามีความสุขที่สุดได้

ผลประกอบการเดือนที่ 2 หลังจากหมดโปรโมชั่นเปิดร้านใหม่แย่ถึงขั้นแม้แต่ต้นทุนก็ยังไม่ได้คืน

“ลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ”

ผมถามในตอนที่เรานั่งกินไอศครีมด้วยกันบนดาดฟ้าในช่วงกลางดึกหลังจากเก็บร้านเสร็จแล้วโดยมีเจ้าปิงปองกับเจ้ากุ๊กกิ๊กเดินพันแข้งพันขาอยู่ไม่ห่าง

“ส่วนมากจะเป็นกลุ่มผู้หญิง”

“ช่วงอายุล่ะ ประมาณเท่าไหร่”

“พนักงานออฟฟิศแถวนี้”

“ช่วงเวลาและเมนูแบบไหนที่ขายดีที่สุดล่ะ”

“กลางวันจนถึงบ่าย อาหารจานเดียวน่าจะมียอดสั่งมากที่สุด”

“แล้วทำไมไม่เพิ่มเมนูอาหารจานเดียวเข้าไปล่ะ อีกอย่าง เอิ้นคิดว่ามันจะดีไหมถ้าเราเพิ่มบริการเดลิเวอรี่ด้วย”

“เอิ้นทำอาหารไม่ได้หลากหลายขนาดนั้นและอีกอย่างเอิ้นไม่มีความรู้เรื่องการจัดส่งเลย”

“คิดว่ากำลังคุยอยู่กับใคร นี่เสือนะครับ เสือที่คลุกคลีวงการธุรกิจการขายมากว่า 5 ปีและเติบโตมาในย่านนี้ ตรอกไหนซอยไหนขอแค่ถามตอบได้หมด รู้ดียิ่งกว่ากูเกิ้ลแมพอีก”

“คร้าบ คุณเสือ”

“เรื่องทำอาหาร ลองให้แม่สอนดีมั้ย”

“แต่ว่านี่ก็เกือบ 2 สัปดาห์แล้วนะที่ท่านไม่คุยกับเรา”

“นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้พิสูจน์ตัวเองก็ได้นี่”

แผนงานของเรายังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่แต่มันก็ทำให้คนที่ไม่ร่าเริงมาหลายวันยิ้มได้บ้าง ผมเองก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยความรู้ที่มีไม่มากของตนทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ ถ้าเจ๊รู้เจ๊จะภูมิใจในตัวผมหรือเปล่านะ

เอิ้นเดินมาส่งผมที่บ้านหลังจากตกลงกันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาคุยรายละเอียดกันต่อพร้อมคุณลลิน

เราบอกลากันด้วยคำว่า ‘ฝันดี’ อย่างเช่นทุกคืน

ผมเดินเข้าบ้านและควรจะขึ้นห้องถ้าหากไม่พบว่าไฟในห้องรับแขกยังสว่างอยู่ เจ๊ศรีคนขี้งอนกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟากลางห้อง มองด้านข้างก็ยังรับรู้ได้ว่าแม่เหน็ดเหนื่อยมากเพียงใด ต้นเหตุของความเหนื่อยนี้อาจจะเป็นผม

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงบนพื้น

“แม่ยังโกรธเสืออยู่เหรอ”

แม่ยังคงเมินเฉยเฉกเช่นทุกวัน

“คุยกันหน่อยได้มั้ย เสือมีเรื่องอยากให้แม่ช่วยหน่อย”

เช่นเดิม สายตาของแม่ยังคงจับจ้องที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังฉายโฆษณาผงซักฟอก

“หลายสัปดาห์มานี้ที่เชิญนั่งยอดขายไม่ค่อยดีเลยแม่ เอิ้นก็ท้อ เสือก็เลยมีไอเดียว่าจะให้ที่ร้านทำข้าวกล่องกับพวกอาหารจานเดียวขายด้วย แต่ก็เป็นแค่ความคิดเสือกับเอิ้นนะ ส่วนคุณลลินเราจะคุยกันพรุ่งนี้ เสือไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรอก แต่ว่า เสือไม่สบายใจเลยเวลาที่เอิ้นดูไม่มีความสุข”

ผมไม่รู้ว่าแม่ฟังผมอยู่หรือเปล่าแต่ที่ดันทุรังพูดหวังเพียงว่าจะมีสักประโยคที่ท่านรับรู้

“ทั้งที่เป็นความฝันของตัวเองแท้ๆ แต่กลับทุกข์เมื่อได้ทำมัน เสือว่ามันไม่ถูกต้องเลยแม่”

โฆษณาผงซักฟองเปลี่ยนเป็นโฆษณาแชมพูขจัดรังแค

“ถ้าอาหารที่ร้านขายดีขึ้นทุกคนก็คงมีความสุข เสือว่าแม่ก็คงอยากให้เอิ้นมีความสุขเหมือนกัน แม่ครับ แม่ช่วยเอิ้นหน่อยได้มั้ย”

หน้าจอทีวีดับลงในจังหวะที่ผมพูดจบประโยคพอดี สงสัยแม่คงไม่ชอบโฆษณาแชมพูตัวนี้ถึงได้เดินออกจากห้องรับแขกแล้วขึ้นชั้น 2 ไป โดยไม่สนใจใยดีผมที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้นสักนิดเดียว

เศร้าเลย




[- T B C -]

เสือของเอิ้นเป็นนิยายไบโพลาร์ค่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ปรับอารมณ์ทันป่ะ ไม่ทันก็ต้องทันอะ บังคับ 555

ปีใหม่แล้ว...สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน
ปีนี้ก็ขอฝากตัวอีกปีนะ
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส
 :กอด1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
สู้ ๆ นะเสือ เจ้ศรี ก็เก็กไปอย่างนั้นแหละ
ข้างในใจอ่อนจะตาย อ้อนเข้าไว้เดี๋ยวดีเอง
 :กอด1:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ชอบเจ๊ศรี  ที่โกรธนี่คือกลัวลูกสับสนในตัวเองใช่ไหม
เอิ้นกับเสือ จะไปกันไหวใช่ไหม ความฝัน อะ มักจ่ายด้วยของราคาแพงเสมอ ถ้ามันไม่สำเร็จ

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
สงสารเสือกับเอิ้น...
เพราะคาดว่าเจ๊ศรีจะรับได้
พอเจ๊งอนคอนทินิวเลยทำตัวไม่ค่อยถูก

เอาน่า...อย่างน้อยก็ได้เล่า
และเรายังมีกัน...แรงฮึดยังมาแหละเนอะ
สู้ๆ นะเสือเอิ้น << เอ๊ะๆ ผิดตำแหน่ง เอิ้นเสือสิ ^^

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คือเจ้ห่วงเอิ้น กลัวเสือทำเอิ้นเสียใจ

ถถถถถถ เสือ นี่เอ็งยังเป็นลูกเขาหรือหมาหัวเน่ากันนะ

555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมาก จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 22 {เพราะรัก}



ตั้งแต่ถูกแม่งอนผมก็ไม่ได้กินข้าวเย็นฝีมือแม่อีกเลย และพักหลังมานี้ผมก็กลับบ้านดึกทุกวันเพราะเอาแต่ขลุกอยู่กับคนที่ท้อเพราะความฝันตัวเอง

หลังจากสรุปเรื่องร้านได้แล้วคุณลลินก็ขอตัวกลับทันที

ทุกวันนี้เธอไม่มองเอิ้นด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มหยดย้อยอีกต่อไป เห็นดังนั้นผมก็สบายใจ

“เสือทำงานวันสุดท้ายเมื่อไหร่”

“สิ้นเดือน”

“ก็อีกประมาณ 3 สัปดาห์ใช่มั้ย”

“อื้อ ทำไมเหรอ”

“มาทำงานกับเอิ้นมั้ย เอิ้นอยากให้เสือช่วยดูแลเรื่องการส่งเสริมการตลาดให้หน่อย นะ” ใจอ่อนก็เพราะคำว่า ‘นะ’ ที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนตรงท้ายประโยคนี่แหละ

“ก็ช่วยอยู่นี่ไง เสือว่าช่วยเพราะอยากช่วยมันมีพลังมากกว่าช่วยทำเพราะเป็นหน้าที่อีกนะ”

“ทำไมแฟนเอิ้นน่ารักขนาดนี้น๊า”

อ้อมแขนอุ่นๆ โอบกอดผมจากด้านหลัง ด้วยความเคยชินผมจึงยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายกอดเสียให้พอ แต่ดูเหมือนว่าแค่กอดจะไม่พอสำหรับไอ้คนหื่นกามที่ประทับริมฝีปากลงบนท้ายทอยของผม

“เอิ้น” ผมปราม

“หืม” อ้อมกอดถูกกระชับให้แน่นขึ้น ริมฝีปากของคนร้ายกาจไล้มาที่คอด้านซ้ายปลุกความซ่านสยิวในตัวผม

“ปัญหายังมีให้แก้อีกเป็นกระบุงยังมีอารมณ์อยากทำเรื่องอย่างว่าอีกเหรอวะ”

“เสือไม่เคยได้ยินเหรอว่าเซ็กส์ช่วยคลายเครียดได้นะ”

“แต่มึงจะได้เครียดกว่านี้แน่ถ้าเจ๊ไม่ยอมช่วย” ปลายจมูกซุกซนที่ซุกไซ้อยู่บริเวณคอของผมหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินชื่อเจ๊ศรี

“เสือคุยกับแม่แล้วเหรอ”

“อย่าเรียกว่าคุยเลย เรียกว่าพูดคนเดียวถูกกว่า”

“แม่ไม่ยอมคุยด้วยเหรอ”

“อือ” ตั้งแต่ไม่ได้คุยกับเจ๊ผมรู้สึกเหงามาก

“เอิ้นขอโทษนะ เพราะเอิ้นแท้ๆ เลย”

“เออดิ รับผิดชอบเลยนะ”

“ยังไง”

“ไปส่งบ้านหน่อย”

“อะไร ให้รับผิดชอบแค่นี้อะนะ”

“แล้วอยากรับผิดชอบแค่ไหน”

“อยากรับผิดชอบทั้งชีวิตเสือนั่นแหละ”

“พอเลยๆ หยิบมือถือกับกระเป๋าตังค์ให้หน่อย” ของที่ว่าวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าผมซึ่งมันง่ายมากถ้าหากผมจะหยิบเองแต่ผมก็เลือกที่จะทำมันให้เป็นเรื่องยากด้วยการหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ยังคงกอดผมเอาไว้หลวมๆ

“ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะเรา” จมูกของผมถูกบีบเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวก่อนร่างทั้งร่างจะถูกดันให้สะโพกชิดขอบโต๊ะ เรายังคงสบตากันขณะที่เอิ้นเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ของผมอย่างอ้อยอิ่ง

“น่ารักได้กว่านี้อีกจะบอกให้”

ผมกอดเอิ้นไปทีนึง ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก็ผละออกแล้วเปลี่ยนเป็นกอดคอ

“ไปส่งบ้านได้รึยัง อยากกลับบ้านแล้ว”

“ไม่อยากให้กลับเลย”

แม้จะบอกอย่างนั้นและบ่นว่าผมไม่ยอมใจอ่อนนอนค้างด้วยสักทีแต่ก็ยอมเดินมาส่งถึงหน้าบ้านดั่งเช่นทุกๆ คืน



▼▲ ▼▲ ▼



คืนนี้ก็เหมือนคืนก่อนที่ผมเจอเจ๊นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก อยากจะแวะเข้าไปคุยด้วยอยู่หรอกแต่ก็กลัวว่าจะถูกเมินเหมือนเมื่อคืนก่อนจึงตัดสินใจเดินผ่านมาทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าน้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงด้วยความร้ายกาจนิดๆ ที่ผมไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้นให้เอี้ยวตัวกลับไปมอง

“มานั่งนี่สิ”

เจ๊ตบที่ว่างบนโซฟาข้างท่านปุๆ เรียกให้รีบปรี่เข้าไปนั่งราวกับพื้นกระเบื้องที่วิ่งผ่านเต็มไปด้วยลาวาร้อนๆ

แม่มองหน้าผมนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือมาจับมือของผมไปกุมเอาไว้ สายตาอ่อนโยน รักใคร่และเอ็นดูแบบที่ผมไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ทำให้ผมใจชื้นขึ้นหน่อย ความห่างเหินตลอดสัปดาห์ถูกร่นให้น้อยลงจนเป็นปกติ

ถึงแม้เราไม่ค่อยแสดงออก แต่ผมก็รู้ว่าแม่รักผม เรารักกัน แต่ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เราจะแสดงมันออกมา

แม่กุมมือผม เราปล่อยให้ความเงียบโอบกอดเราทั้งคู่เอาไว้เนิ่นนานก่อนเสียงกระแอมไอจะดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าบทสนทนากำลังจะเริ่มขึ้น

หัวใจของผมเต้นแรงจนจับจังหวะไม่ได้ ลุ้นจนแทบลืมหายใจไปกับสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง

ผมมองแม่นิ่ง เฝ้ารอ

“แม่จะถามเสืออีกครั้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเอิ้นเรียกว่าอะไร”

“แฟนครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์นี้อาจจะบอกคนอื่นได้ไม่เต็มปากแต่ผมก็อยากจะบอกให้แม่รู้ความรู้สึกของผมชัดๆ

ผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้านิ่งเรียบ หมายความว่าผมมาถูกทางแล้วใช่มั้ย

“เสือ” ผมไม่รู้ว่าแม่เรียกชื่อผมทำไม มือที่กระชับขึ้นนี้ก็เช่นกัน ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรได้แต่มองหน้าแม่นิ่งๆ เพื่อรอ “เสือรู้ใช่มั้ยว่าแม่ไม่ได้มีความรู้มากมาย ที่แม่ได้เป็นครูก็เพราะร่างกายและความเชี่ยวชาญด้านกีฬาไม่กี่อย่างเท่านั้น”

ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ แม่ถึงพูดเรื่องนี้แต่ก็พยักหน้ารับ

แม่ของผมเป็นครูพละเพราะเคยเป็นนักกีฬาเทเบิลเทนนิสระดับประเทศ และดูเหมือนจะเป็นความเชี่ยวชาญอย่างเดียวที่แม่มี

“แม่เติบโตมากับการเล่นกีฬา ทั้งชีวิตแม่มีแต่กีฬา กระทั่งได้มาเจอพ่อของลูก และที่แม่มีชีวิตที่ดีในทุกวันนี้ก็เพราะพ่อของลูก เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตแม่คือครอบครัวของเรา ความสุขของคนในครอบครัวก็คือความสุขของแม่เหมือนกัน”

น้ำใสปริ่มที่ขอบตาแต่แม่ก็ยังเลี้ยงมันเอาไว้ด้วยการมองไปบนเพดาน

“แม่เอาแต่พร่ำบอกให้เสือตั้งใจเรียน ทั้งที่ตอนแม่เป็นนักเรียนแม่ก็ไม่ได้เป็นนักเรียนที่ดีนัก แม่เรียนไม่เก่ง แม่ก็เลยจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่แม่รัก”

แน่นอนว่าสิ่งที่แม่รักในตอนนั้นคือกีฬาเทเบิลเทนนิส

“แม่อยากบอกให้ลูกของแม่เป็นคนซื่อสัตย์ มีน้ำใจ เป็นลูกผู้ชายที่เป็นที่พึ่งของผู้หญิงได้ แม่อยากสอนลูกในหลายๆ เรื่อง แต่หลายๆ เรื่องนั้นเสือกลับทำได้ดีกว่าแม่ซะอีก”

ที่เป็นเสือได้ทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะแม่แล้วจะเพราะใคร

ผมยื่นมือข้างที่ว่างไปเช็ดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลอาบผิวแก้มของผู้หญิงที่ผมรักที่สุด กอบกุมใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตานั้นไว้

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่แม่ทำได้ดีกว่าเสือเลย เพราะฉะนั้นแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้ามเสือ”

“ไม่ใช่ซักหน่อย แม่มีสิทธิ์นะ เพราะแม่เป็นแม่เสืออะ ถ้าไม่มีแม่ก็ไม่มีเสือ ถ้าแม่ไม่คอยบ่น เสือก็คงเอาแต่โดดเรียนป่านนี้อาจจะเป็นกุ๊ยอยู่ข้างถนน ที่เสือเป็นคนดีก็เพราะแม่ทำให้เห็น ไม่ว่าใครจะมองแม่เสือยังไง ถึงเขาจะบอกว่าแม่เป็นมนุษย์ป้า แต่สำหรับเสือแม่คือผู้หญิงที่ประเสริฐที่สุดนะ”

ผมวางมือลงบนมือของแม่ เป็นฝ่ายกอบกุมมือบอบบางที่เริ่มจะมีรอยย่นให้พอสัมผัสได้ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เราจับมือกันมือแม่ยังนุ่มนิ่มอยู่เลย แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แม่อายุมากขึ้นอีกแล้ว

“แม่ที่ดีที่ไหนเขากีดกันความรักของลูกกันล่ะ”

“เสือเข้าใจแม่นะ” ผมบีบมือแม่แล้วว่าต่อ “ที่แม่ไม่เห็นด้วยก็เพราะตัวเสือเองไม่ใช่เหรอที่ทำให้แม่มั่นใจไม่ได้ เสือกำลังพยายามนะแม่ พยายามทำให้แม่เห็นว่าเสือจริงจัง เสือจะไม่ทำให้เด็กข้างบ้านสุดที่รักของแม่เสียใจหรอก เสือไม่ได้บอกให้แม่เชื่อใจเสือตอนนี้นะ แค่คอยมองเสือ คอยตักเตือน ได้มั้ยอะ”

“แม่ไม่เคยเห็นเสือจริงจังกับเรื่องอะไรขนาดนี้มาก่อน แม่ไม่เคยเห็นเสือยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่แม่อยากโกรธที่อยู่ๆ ลูกชายก็มีแฟนเป็นผู้ชายแต่เมื่อมองเสือกับเอิ้นแม่กลับเอาแต่ยิ้ม นั่นมันทำให้คิดได้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขหรอก จริงมั้ย”

ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

หากถามว่าช่วงเวลาใดที่ผมมีความสุขที่สุดผมคงไม่ลังเลที่จะตอบว่าช่วงที่มีเอิ้นอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอดีต ทุกความทรงจำของเราเต็มไปด้วยความสุข ยกเว้นก็แต่ตอนที่ผมทำผิดกับเขา ซึ่งตอนนี้ก็ได้รับการให้อภัยแล้ว

“แม่ก็แก่ลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะอยู่กับเสือไปได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเป็นไปได้แม่ก็อยากให้เสือเจอคนดีๆ เหมือนที่แม่ได้เจอพ่อของเรา เสือรู้มั้ยว่าความฝันของแม่คืออะไร”

ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยสนใจเรื่องความฝันของแม่สักนิด ไม่เคยรู้ด้วยว่าคนวัยแม่ยังมีความฝันเหมือนๆ กับพวกเรา

“แม่อยากเห็นเสือมีความสุข และตอนนี้เสือทำฝันของแม่ให้เป็นจริงแล้ว ถ้าเป็นไปได้แม่ก็อยากให้ความฝันของแม่อยู่กับแม่ไปนานๆ”

“...”

“ถ้าเอิ้นคือความสุขของเสือ เสือก็ใช้ชีวิตในแบบของลูกเถอะ”

“แม่...”

เหมือนกับว่าในอกของผมได้แปรสภาพเป็นทุ่งดอกไม้ที่มีเหล่าผีเสื้อบินอยู่เหนือทุ่งสักพันตัว ผมไม่รู้ว่าจะนิยามความรู้สึกตอนนี้ว่าอย่างไร รู้เพียงว่ามันมากกว่าความสุขที่เคยรู้สึกมาตลอดทั้งชีวิตนี้

ผมโอบกอดแม่ เรากอดกันกลม ความเปียกชื้นไหลอาบแก้มเมื่อความรู้สึกทั้งหมดถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลเป็นสาย แม่เองก็ไม่ต่างกัน ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังจากอกที่ใบหน้าของผมซุกซบอยู่

ผมกอดแม่แน่นขึ้นอีก ถ่ายทอดความคิดถึงที่อัดแน่นจนตัวแทบระเบิด

“เจ๊ ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ผมบอกเสียงอู้อี้แนบอก

“แบบไหน” มือบอบบางลูบเส้นผมของผมแผ่วเบา

“แบบที่ไม่คุยกันน่ะ ไม่เอาแล้ว ถ้าโกรธเสือก็ด่าเสือนะ แต่อย่าเงียบใส่กันอีก โคตรคิดถึงเสียงด่าของเจ๊เลยรู้เปล่า”

“แกนี่มัน...” ไหล่ของผมถูกฟาดแรงๆ แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย ตรงข้ามกลับรู้สึกชอบเสียด้วยซ้ำ

อยากให้เจ๊ตี อยากให้เจ๊ทุบ อยากให้เจ๊หยิก อยากให้เจ๊ด่า ผมโคตรคิดถึงความโหดเหี้ยมเหล่านี้เลยว่ะ



▼▲ ▼▲ ▼



 “รสชาติใช้ได้แล้วนะ แต่แม่ว่ามันยังขาดอะไรไปอย่าง”

“ขาดความอร่อยเหรอครับ”

ผมโผล่หน้าเข้าไปในครัวในตอนเกือบ 1 ทุ่ม คุณเชฟและคุณครูเหลือบมองครู่หนึ่งแล้วก็ละสายตาไป

เสือยังสำคัญอยู่ไหมอะ

“ขอชิมหน่อยได้มั้ยครับ” เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปถาม

“มันไม่อร่อยหรอก”

“งอนเหรอ เจ๊ดูเอิ้นสิ งอนเสือเฉยเลย”

“ถ้าคิดว่าตัวเองทำอร่อยกว่าก็ไปทำกินเองสิ”

เอ๊า! เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยอะ เสือหัวเน่าอีกแล้ว

“เสือแค่แซวเล่นเองเจ๊ ทำไมต้องรวมหัวกันงอนด้วยอะ”

“เรื่องรสชาติอาหารนี่เอามาล้อเล่นไม่ได้เลยนะ คนทำอาหารเขาจริงจังมากนะยะ ไหนๆ ก็มาแล้วรับผิดชอบอาหารพวกนี้ด้วย แม่ต้องรีบกลับบ้านแล้วเดี๋ยวพ่อคิดถึง”

ผมนี่โห่เลย ไม่จริงอะพ่อไม่เคยแสดงออกว่าคิดถึงแม่สักครั้ง เชื่อผม ผมไม่เคยเห็น

“เดี๋ยวเอิ้นเดินไปส่งนะครับแม่”

อาหารจานสุดท้ายถูกวางลงบนโต๊ะก่อนทั้งคู่จะเดินออกจากครัวไป มองอาหารบนโต๊ะแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หิวก็หิวหรอกแต่ของกินบนโต๊ะนับคร่าวๆ น่าจะซัก 7 จาน ถ้ากินหมดรับรองอิ่มไปถึงฤดูหนาวแน่ๆ

“ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืนกินนะ”

อะไรวะ หายไปตั้งเกือบ 10 นาที กลับมายังไม่หายงอนอีกเหรอ

“รสชาติก็ไม่ได้แย่นี่หว่า”

“จริงเหรอ เอาใจรึเปล่า”

“ต้องเอาใจด้วยเหรอ วันนี้ก็ไม่ค่อยมีลูกค้าเนอะ”

“มีลูกค้ากลุ่มใหญ่มาลงเมื่อตอนกลางวัน เขาชมว่าอาหารอร่อยด้วย”

“มิน่าล่ะ วันนี้ดูอารมณ์ดีเชียว” คนอารมณ์ดียิ้มรับ “แล้วเจ๊มานี่ได้ไง”

“มาหาเอิ้นเมื่อเช้า ตอนเจอแม่ก็แอบกลัวนะแต่พอท่านบอกว่าคุยกับเสือแล้วและรู้แล้วว่าเสือรักเอิ้นมากแค่ไหนท่านก็เบาใจ”

“เอาความจริง”

“ที่บอกไปน่ะจริงที่สุดแล้ว”

“อย่ามาโกหก เสือไม่เคยบอกว่ารักเอิ้นนะ บอกแค่ว่าเห็นเอิ้นมีความสุขเสือก็มีความสุขด้วย”

“จริงดิ เสือพูดแบบนั้นจริงเหรอ”

อ้าวเวร เผลอพูดอะไรออกไป

ผมเฉไฉไม่ตอบคำถามด้วยการก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปาก

“งั้นต่อจากนี้เอิ้นจะมีความสุขให้มากๆ เพราะความสุขของเสือก็คือความสุขของเอิ้นเหมือนกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คืนนี้ค้างนี่มั้ย”

ไอ้ฉิบหาย ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

"พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน"

"ลาป่วยสิ"

ดูความหื่นกระหายของมันสิครับ อยากกอดก่ายผมขนาดนั้นเชียว เชื่อไหม ยิ่งอยู่ใกล้เอิ้นผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโคตรมีเสน่ห์

"แล้วคิดเรื่องเมนูอาหารรึยัง"

"คุยกับแม่ไว้คร่าวๆ อะ เอิ้นโน๊ตไว้ด้วย" โทรศัพท์มือถือถูกยื่นมาตรงหน้า ผมรับมาแล้วกวาดสายตามองคร่าวๆ เมนูส่วนมากเป็นอาหารง่ายๆ ที่เจ๊ศรีชอบทำและผมก็ชอบกิน "แม่บอกว่าเสือกินง่ายอยู่ง่ายและเมนูพวกนี้ก็เป็นของโปรดเสือด้วย"

"เหตุผลแค่นี้อะนะ"

"อื้อ บอกแล้วไงว่าเสือเป็นคนสำคัญ"

"สร้างอนุสาวรีย์กูไว้หน้าร้านเลยมั้ยล่ะ"

"กูคือใคร"

"เสือคร้าบ"

"น่ารักที่สุดเลยคร้าบบบ" แก้มของผมถูกบีบเบาๆ

เวลาอยู่ใกล้เอิ้นนอกจากผมจะรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์โคตรๆ แล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองโคตรสำคัญ และที่สำคัญ เสือแม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ

หลังจากวันนั้นผมก็เจอแม่ที่ร้านเชิญนั่งทุกวัน เวลาทั้งคู่ทำอาหารผมรู้สึกเหมือนกับว่ามองเห็นออร่าความสุขเปล่งประกายอยู่ทั่วห้องครัวจนอดที่จะเข้าไปร่วมแจมด้วยไม่ได้เลย

"วันนี้นอนนี่นะ"

คนที่กำลังล้างจานเงยหน้ามองผม เขานิ่งค้างปล่อยให้น้ำไหลผ่านจานไปเรื่อยๆ จนผมต้องเอื้อมมือไปปิด

"เสือพูดจริงเหรอ"

"อื้อ" ผมพยักหน้าขณะช่วยเก็บจาน "ขอยืมโน้ตบุ๊กด้วยนะ"

"เสือจะทำอะไร"

"ทำเมนูอาหารไง เดี๋ยววันจันทร์เราทำอาหารไปแจกคนที่ออฟฟิศกันมั้ย แล้วก็ฝากเมนูไว้"

"เสือดูสนุกกับเรื่องนี้มากกว่าเอิ้นซะอีกนะ"

"ก็สนุกดี นี่คิดว่าจะเอาไปฝากไว้ที่ร้านพี่อลิซ สาวๆ ชั้น 5 วินมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์แล้วก็ยิมไอ้แบ็งค์ด้วย พูดถึงไอ้แบ็งค์ เราน่าจะทำอาหารคลีนขายด้วยเนอะ แต่ไม่เอาดีกว่าเรื่องอาหารคลีนเก็บไว้เป็นแผนในอนาคตน่าจะดี"

"เอิ้นให้สิทธิ์เสือเรื่องนี้เต็มที่เลย แต่ว่าเสือต้องมาทำงานกับเอิ้นนะ"

"ไม่เอาอะ ทำงานด้วยกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกันเปล่าๆ สู้ไปทะเลาะกับคนอื่นแล้วมาระบายให้กันฟังไม่ดีกว่าเหรอ"

นิ่งไปเลย ซึ้งล่ะสิ พอพูดไม่ออกทีไรก็ขยับเข้ามากอดผมแบบนี้ทุกที



▼▲ ▼▲ ▼



5 ทุ่มกว่าผมยังคงนั่งหน้าคอมพ์ในห้องนอนของเอิ้นไม่ขยับไปไหน เหลือแค่ปรับโทนสีอีกนิดหน่อยก็เสร็จสมบูรณ์รอให้เจ้าของร้านพิจารณาแล้ว

"เสือ อาบน้ำ" เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาก่อนจะหยุดลงด้านหลัง “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

“เสร็จอันนึงแล้ว”

“ต้องทำกี่อัน”

“ว่าจะทำซัก 2-3 อันให้เอิ้นกับคุณลลินลองเลือกดู”

“ขอดูอันนี้หน่อยได้ไหม เอิ้นว่ามันก็สวยดีแล้วนะ” ท่อนบนเปลือยเปล่าทาบทับลงมาบนแผ่นหลังของผม ใบหน้าหล่อเหลาที่เส้นผมยังชื้นๆ โน้มเข้ามาใกล้แล้ววางคางแหลมลงบนไหล่ มือหนายื่นมาวางลงบนมือของผม บังคับให้เมาส์ขยับไปตามทิศทางที่ต้องการ

ผมเองก็นิ่ง อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป เรื่องลวนลามผมนี่ก็ถือว่าเป็นความเสมอต้นเสมอปลายอย่างหนึ่งของคุณเอิ้นเขาล่ะ

“เอิ้นเลือกอันนี้ เสือไปอาบน้ำแล้วมานอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ”

“แน่ใจเหรอว่าจะได้นอน”

“ทำไมล่ะ หรือเสือไม่อยากนอน” ไม่ต้องมามองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เลย เพลียร่างขนาดนี้ใครๆ ก็ต้องอยากนอนพักผ่อนอยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ

“ไม่อาบน้ำได้มั้ยอะ” ลองถามดูเผื่อฟลุ๊ค

ปกติถ้าเหนื่อยมากๆ พอถึงบ้านผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนหัวถึงหมอนแล้วหลับไปเลย ตอนเหนื่อยๆ ใครเขาอาบน้ำกัน พออาบก็สดชื่น สดชื่นแล้วก็นอนไม่หลับ กลายเป็นว่าเพลียหนักกว่าเดิมอีก

“เหนื่อยเหรอ”

ผมพยักหน้าพลางทำหน้างอแงขั้นสุด

“ให้เอิ้นช่วยอาบมั้ย”

“ไม่ต้อง กูไม่เพลียแล้ว”

ห่า นึกว่าจะใจดีที่แท้ก็หาเรื่องลวนลามกันนี่หว่า ผมลุกพรวดขึ้นผลักไหล่คนที่ยืนเบียดจนแทบจะสิงร่างแล้วดึงเอาผ้าขนหนูที่พันท่อนล่างเจ้าของบ้านติดมือมาด้วย

หมั่นไส้มัน ปล่อยให้ยืนล่อนจ้อนท้าลมอยู่นั่นแหละ เฮอะ

ถึงแม้ห้องน้ำบ้านนี้จะกว้างขวางและน่าใช้กว่าห้องน้ำบ้านผมมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากจะใช้มันเป็นเวลานานๆ เพียงไม่เกิน 10 นาทีผมที่ใช้ผ้าขนหนูพันรอบเอวก็เดินออกมาให้ไอ้คนที่นั่งกดมือถืออยู่บนเตียงหันมามองตาค้าง

“ยั่วเหรอ ทำแบบนี้ระวังคืนนี้จะไม่ได้นอน”

“เหรอ” ผมถามกลับเสียงสูงก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงใกล้ๆ กันแล้วยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้ “ช่วยเช็ดผมหน่อยสิ”

“เสือจงใจยั่วเอิ้นใช่มั้ย”

“แล้วคิดว่ายั่วรึเปล่าล่ะ” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก มองคนที่มองท่อนบนอันเปลือยเปล่าของผมพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วก็นึกขำ

อย่างที่รู้ว่าเอิ้นจริงจังกับการจับผมกดลงบนเตียงนอนมากๆ พอเห็นมันจริงจังขนาดนั้นก็อดที่จะอยากแกล้งไม่ได้ไงล่ะ

“นั่งบื้ออยู่ทำไมครับ มานี่มา”

ผมเรียกซ้ำ คราวนี้คว้าแขนแล้วบังคับให้หันหน้ามาหา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ผมจึงเป็นฝ่ายย้ายตัวเองไปนั่งตรงหน้าเสียเอง

“เช็ด” ผมสั่งเมื่อก้มศีรษะเข้าไปใกล้

ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนที่สัมผัสอ่อนโยนจะเข้าครอบงำให้รู้สึกเคลิ้มๆ

ปกติผมไม่ให้ใครยุ่งกับหัวผมหรอกนะ ยกเว้นช่างตัดผม พอมีคนเล่นหัวทีไรเป็นอันต้องง่วงนอนจะหลับทุกทีเลย

“เอิ้น ง่วงอะ”

“จะหลับใส่กันอีกแล้วเหรอ”

“แล้วหลับได้มั้ย” ผมถามแล้วเลื่อนหัวลงมาซบที่ไหล่ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมอง ถามซ้ำ “ได้รึเปล่า”

“เสือกำลังทำร้ายเอิ้น” เอิ้นบ่นงึมงำแล้ววาวมือลงบนไหล่ผม “ใส่เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยนอน”

“อยากใส่ตัวนี้” เสื้อสีขาวที่อยู่บนตัวเอิ้น

“เสือไม่ได้เมาใช่มั้ย”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเลื่อนมือลงไปจับชายเสื้อพยายามที่จะดึงรั้งมันออกจากร่างหนาทว่าเจ้าตัวกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย

เจ้าของสายตาคมคายมองหน้าผมไม่วางตา เราสบตากันก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายถอดเสื้อตัวนั้นออก

“เอิ้นช่วยมั้ย” มือหนาวางลงบนไหล่ก่อนจะไล้ลงมาตามท่อนแขน

ดวงตาคมกวาดมองเรือนร่างของผมราวกับต้องการจะกลืนกิน

“ใส่เองได้” ผมบอกแล้วสวมเสื้อ “ขอกางเกงตัวนี้ด้วยได้มั้ย”

“ถ้าเอิ้นถอดเอิ้นก็โป๊สิ”

“ทำไม อายเหรอ” ผมท้าทายให้อีกฝ่ายจับมือผมไปวางไว้ที่ขอบกางเกง ส่วนมือหนาก็วางไว้ที่ปมผ้าเช็ดตัวของผม ถ้ากระตุกนี่ผ้าหลุดแน่ๆ

“ถอดพร้อมกันมั้ยล่ะ”

ผมเงียบ

“หรือว่าเสือกลัว” เอิ้นรู้ว่าผมเกลียดการท้าทายจึงจี้จุดอ่อนของผมด้วยการพูดเช่นนั้น

เอาเซ่ กลัวที่ไหนล่ะ

“นับ 1 ถึง 3 แล้วถอดพร้อมกัน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนบนเตียง มือข้างหนึ่งจับที่ปมผ้าขนหนูที่ผูกเอาไว้ คนยื่นคำท้าลุกตาม ว่ากันตามจริงผมว่าผมกำลังเสียเปรียบว่ะ ผ้าขนหนูกระตุกทีเดียวก็หลุดแต่กางเกงกว่าจะดึงลงนี่ใช้เวลานานอยู่นะ

“นับ 1” เอิ้นเป็นฝ่ายเริ่มนับ

“นับ 2” ผมนับตาม

และ “3” พวกเรานับพร้อมกันก่อนที่ต่างฝ่ายจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายท่อนล่างออก

“เสือ!!!” เอิ้นร้องลั่นเมื่อพบว่าภายใต้ผ้าขนหนูมีกางเกงอีกตัวที่ผมสวมเอาไว้ก่อนออกจากห้องน้ำ

ว้ายๆ ถูกหลอก

ผมขำกลิ้ง ขณะที่คนที่ถอดกางเกงแล้วเหวี่ยงลงพื้นทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วซุกตัวลงใต้ผ้าห่มทำเป็นเขินอาย

“เก็บกางเกงให้เอิ้นหน่อย”

“ถอดเองก็เก็บเองสิครับ” ผมตอบเมื่อนอนลงข้างๆ แล้วสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“ถ้าเสือไม่ช่วยเก็บเอิ้นก็จะนอนกอดเสือทั้งร่างเปลือยแบบนี้แหละ ยอมมั้ยล่ะ”

ยังไม่ทันได้ตอบร่างของผมก็ถูกสวมกอดจนเต็มรักให้ร่างเปลือยเปล่าแนบสนิทกับผมไปซะทุกส่วน

“ถ้าแค่กอดก็ไม่เป็นไรหรอก” ผมพลิกตัวให้เรามองหน้ากันได้ชัดขึ้น “ปิดไฟมั้ย”

“คิดว่าเอิ้นจะห้ามใจไหวเหรอ”

“ไม่รู้สิ”


[มีต่อ...]



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
[ต่อจากข้างบนค่ะ]


“ห้ามไม่ไหวหรอก” เจ้าตัวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ผมก็คิดว่าเขาไม่มีทางห้ามใจไหวแน่ก็เอิ้นน่ะหลงผมโคตรๆ เลยนี่หว่า

จูบของเอิ้นจรดลงบนริมฝีปากของผม ส่งเรียวลิ้นออกมาเลียกลีบปากให้ผมเปิดรับลิ้นที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาภายใน ทันทีที่ปลายลิ้นนุ่มเข้ามาหยอกเย้าผมก็ดูดกลับ ทั้งที่เราเพียงแค่จูบกันแต่ร่างกายกลับเหมือนจะหลอมละลายลงเดี๋ยวนั้น ท่อนล่างที่เคยหลับสนิทภายใต้กางเกงนอนเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง ความร้อนจัดที่แนบบริเวณต้นขาของผมก็เช่นกัน

“เอิ้น” ผมผละริมฝีปากออก ยกมือยันแผ่นอกเปลือยเปล่าเอาไว้ไม่ให้เขาโถมเข้าใส่ผมทั้งตัว

“ทำไมล่ะ” คนที่อารมณ์ทางเพศกำลังพุ่งสูงขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อถาม

ไม่ใช่ผมไม่ต้องการ แต่ผมกลัวเจ็บ ครั้งแรกของเราตอนที่เมาถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะได้รับการปฏิบัติอย่างทะนุถนอมแต่ก้นผมก็ระบมอยู่หลายวันเลยทีเดียว มันทรมานมากเลยนะ

“มันจะไม่เจ็บมากเหมือนครั้งแรกหรอก”

“แต่ว่า...”

“เสือไม่สงสารเอิ้นเหรอ” ปากก็ตะล่อมผมด้วยคำพูด มือหนาก็จับมือผมแล้วพาไปวางไว้ที่กึ่งกลางกายที่ขยับขยายพร้อมใช้งาน

ผมรีบชักมือออกเหมือนเพิ่งสัมผัสของร้อนแต่ก็ถูกเจ้าของมันกดฝ่ามือเอาไว้แล้วพาลูบไล้จนสุดความยาว สีหน้าของคนตรงหน้าผมเปลี่ยนไป เขากัดปาก ใบหน้าแสดงออกถึงความซ่านเสียว มือหนาปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระทว่าผมก็ยังไม่ละจากของในมือ ยังคงลูบไล้มันเหมือนตอนที่เขาสั่งสอน

เอวของผมถูกรวบกอดก่อนจะดึงรั้งให้ร่างกายของเราแนบชิดจนไร้ช่องว่าง

“มือเสือนุ่มจังเลย” เสียงพร่ากระซิบที่ข้างหูไม่ต่างจากการโยนฟืนลงบนกองไฟที่พร้อมจะประทุตลอดเวลา

ร่างกายของผมกระตุกวูบเมื่อมือหนาที่เคยลูบไล้แผ่นหลังเลื่อนมาข้างหน้า สอดเข้าไปในเสื้อเพื่อสัมผัสเนื้อแท้ ลากสูงขึ้นมาจนถึงแผ่นอก

“อื้อ...” ผมร้องเมื่อนิ้วเรียวปัดผ่านยอดอกแผ่วเบา

ตรงนี้มัน...เสียว

“รู้สึกดีเหรอ” คนถามขยับมามองหน้าผมแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือรู้สึกดีกว่านี้อีก”

เสื้อยืดถูกถลกขึ้นเหนือแผ่นอกก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะซุกซบลงบนผิวหนังเปลือยเปล่า ริมฝีปากนุ่มพรมจูบไปทั่วบริเวณ

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ

ผมละมือจากท่อนเนื้อแข็งแกร่งเพื่อย้ายมาจับข้อมือข้างที่กำลังเล่นกับยอดอกข้างซ้ายของผม ทว่าความพยายามก็ไม่เป็นผล ยิ่งห้ามเขาก็ยิ่งสะกิดมันรัวเร็วจนผมหอบหายใจถี่

“เอิ้น อย่ากัด”

ผมร้องห้ามเมื่อเขาครอบปากลงบนยอดอกเล็กๆ ที่ถูกปลุกให้ดันแผ่นอกขึ้นมา ไม่รู้ว่าหมั่นเขี้ยวหรืออะไร อยู่ๆ ถึงได้ฝังเขี้ยวแหลมๆ ลงมาให้รู้สึกเจ็บแต่ถึงกระนั้นความซ่านเสียวจากเรียวลิ้นที่ปาดเลียและนิ้วร้ายซึ่งบดขยี้ยอดอกอีกข้างก็กลบเกลื่อนความเจ็บนั้นไปจดหมด

ยอดอกของผมถูกหยอกล้ออยู่เสียนาน คนถูกปรนเปรออย่างผมแทบจะหมดแรง

ผมแทรกนิ้วเข้าไปในเส้นผมสีเข้ม พยายามดึงรั้งให้ผละออกจากยอดอกที่ตอนนี้คงบวมเป่งเพราะถูกขบกัด ทว่าคนที่กำลังเพลิดเพลินก็ทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองแต่ปากกลับยังทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

มันก็รู้สึกดีแต่ว่าถ้าบีบขยำและดูดเลียมากไปกว่านี้ผมกลัวว่าบางทีอกผมอาจจะเต่งตึงขึ้นมาเป็นสาวคัพซี

“เอิ้นพอแล้ว เจ็บ”

“แต่สีหน้าเสือไม่ได้บอกอย่างนั้น” เรายังคงสบตากัน

“เจ็บจริงๆ อื้อ อย่ากัดสิ” กัดอีกแล้วเป็นหมาเหรอวะ

“ถ้าไม่ให้กัดตรงนี้ให้เอิ้นกัดที่อื่นได้มั้ย”

“อื้อ เอิ้น” ผมยังไม่ทันตอบคำถามเขี้ยวแหลมก็ฝังลงบนแผ่นอกของผมซะแล้ว

ปาก ลิ้นและฟันทำงานประสานกันบนแผ่นอกของผมอย่างดีเยี่ยม คิดว่าแผ่นอกขาวๆ ของผมตอนนี้คงมีแต่ร่องรอยขบกัดแน่ๆ

“เอิ้นอย่าทำที่คอเดี๋ยวเป็นรอย” ผมรั้งใบหน้าของคนที่เม้มต้นคอผมเอาไว้

“ทำไมชอบห้ามจัง ถ้าห้ามอีกเอิ้นจะตามใจตัวเองแล้วนะ”

“ที่ทำอยู่เนี่ยไม่เรียกว่าตามใจตัวเองรึไงเล่า”

“เถียงเก่งนะเราอะ” ดุผมแล้วกดจูบหนักๆ ลงบนเรียวปาก “เดี๋ยวจะทำให้เถียงไม่ออกเลย”

“เอิ้น !?”

ปลายจมูกโด่งลากไล้ขึ้นมาที่ใบหู เพียงเรียวลิ้นชื้นเข้ามาทักทายร่างกายของผมก็รับรู้ถึงความซ่านสยิว รู้ด้วยการดูหนังเอวีว่าตรงนี้ก็เสียวได้แต่เมื่อได้ลองด้วยตัวเองมันยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการไว้เสียอีก

“อื้อ เอิ้น ตรงนั้น” ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการจะสื่ออะไร แค่อยากส่งเสียงเพื่อลดความเสียวซ่านที่ถูกปรนเปรอเท่านั้นเอง

“รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ”

แผ่นอกของผมถูกลูบไล้ขณะที่ลิ้นของเราพัวพันกันนอกริมฝีปาก ร่างกายของผมกระตุกเมื่อมือหนาสอดเข้าไปในบ็อกเซอร์ เขาลากนิ้วสัมผัสที่ต้นขา แม้ไม่ได้สัมผัสที่เจ้าเสือใหญ่โดยตรงแต่ตรงนั้นกลับรู้สึกตามไปด้วย

ผมรู้สึกปวดหนึบ อยากปลดปล่อย ครั้นเมื่อส่งมือลงไปเกือบจะสัมผัสที่กึ่งกลางกายของตนกลับถูกอีกฝ่ายตะครุบเอาไว้

“ไม่เอาสิ เอิ้นอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ”

เรียวลิ้นชื้นผละออกให้เห็นเส้นใยบางเบาที่เชื่อมระหว่างปลายลิ้นของเราทั้งคู่ ก่อนจะลากมันจากปลายคางเป็นทางยาวลงไปที่แผ่นท้อง

ผมผวาตัวแอ่นสะท้านเมื่อหลุมสะดือถูกหยอกเย้า

ต้นขาด้านในถูกลูบไล้ไม่หยุดหย่อน

“มันแข็งแล้วอะเสือ” กางเกงตัวบางถูกรั้งออกจากสะโพกให้เจ้าเสือใหญ่ออกมายืนตรงรับอากาศเย็นภายนอก

แผล้บ!!

“อ๊ะ!!” เพียงส่วนปลายถูกเลียเบาๆ ก็เสียวซ่านไปถึงก้านสมอง เสียงครางของผมนี่น้องเมอิยังต้องอาย “เอิ้นอย่า”

ผมร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ค่อยๆ จูบแผ่วเบาตั้งแต่โคนจรดปลายอย่างทะนุถนอม แต่คนถูกกระทำอย่างผมไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ทุกครั้งที่ถูกสัมผัสร่างกายของผมก็เหมือนจะปริแตก

ผมสอดมือเข้าไปในเส้นผมสีเข้มอีกครั้ง พยายามดึงรั้งใบหน้าหล่อเหลาออกจากบริเวณนั้นแต่เอิ้นแม่งโคตรดื้อ พอผมดึงเขาก็ครอบริมฝีปากลงมาก่อนจะผละออกเหมือนกำลังรูดไอติมโคน รูดไม่พอเสือกเลียอีก นี่ไม่ใช่ไอติมแท่งโว้ย นี่แท่งเนื้อมนุษย์ และอีกอย่างเจ้าของมันเสียวจะตายอยู่แล้ว จะทำอะไรก็รีบทำสักที

“เสือ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลูกชายผมได้รับอิสระจากโพรงปาก ทว่าโล่งใจได้ไม่เท่าไหร่ปากของผมก็ถูกรุกรานด้วยนิ้วเรียว “เลียหน่อย”

อะไรวะ

แม้สมองจะตั้งคำถามแต่ลิ้นผมกลับเลียที่นิ้วแกร่งนั้นจนมันเปียกชื้นตามที่เขาบอก

“อ๊า อึก...”

ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการเลียนิ้ว ช่องทางที่เคยถูกรุกรานมาแล้วครั้งหนึ่งก็ถูกหยอกเย้าด้วยลิ้นชื้นที่ปาดเลียวนไปวนมา ใจคอจะไม่ให้หยุดเสียวซ่านสักวินาทีเลยหรือไงวะ ถึงแม้จะก่นด่าในใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกดีไม่แพ้ข้างหน้าเลย

ผมกำผ้าปูที่นอนแน่น ไม่รู้ว่าปฏิกิริยาที่แสดงออกนี้เป็นไปตามธรรมชาติหรือเปล่าเมื่อผมขยับชันเข่าซึ่งเหมือนจะเป็นการเปิดทางให้คนที่กำลังปรนเปรอผมอยู่นั้นทำได้สะดวกขึ้น

“ฮ้า อึก อื้อ...”

ผมบิดเอวให้ถอยห่างจากเรียวลิ้นที่สอดเข้าไปในช่องทางเปียกชื้นแต่ก็ไร้ผล

การกระทำของเอิ้นทำให้ผมรู้สึกดีเกินไปจนตัดใจหยุดขัดขืนแล้วปล่อยตัวให้โอนอ่อนผ่อนตามเขาไป

มือหนาอีกข้างที่ว่างกอบกุมที่เจ้าเสือใหญ่ ขยับรูดเป็นจังหวะเดียวกับเรียวลิ้น ไม่นานเลยร่างทั้งร่างของผมก็บิดเกร็งปลดปล่อยความต้องการออกมาจนเปียกชื้นที่แผ่นท้องและมือหนา

“รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ”

นิ้วแกร่งถูกดึงออกจากโพรงปากของผม เขากดจูบลงบนหน้าผากเลื่อนลงมาที่ปลายจมูก แก้มแล้วขบเม้มที่ริมฝีปากบวมเจ่อ

เขามอบจุมพิตร้อนแรงให้ผมอีกครั้ง แน่นอนว่ามันทำให้ผมตื่นเต็มตาอีกหน

“อ๊ะ เอิ้น เสือเจ็บ อื้อ เจ็บ”

ผมร้องลั่นยกมือขึ้นกอดรอบคอคนบนร่างเมื่อนิ้วแกร่งชุ่มน้ำลายสอดเข้าไปในช่องทางเปียกชื้นด้านหลัง มันเจ็บมากเพราะนิ้วมือไม่ได้นุ่มเหมือนลิ้น

“ใจเย็นเด็กดี ค่อยๆ หายใจ”

น้ำเสียงปลอบประโลมและมือที่ลูบเส้นผมของผมป้อยๆ ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย ในเมื่อถูกรุกรานแช่ค้างอยู่แบบนี้ใครมันจะไปค่อยๆ หายใจได้วะ

ยิ่งปลอบผมก็ยิ่งหายใจแรงกว่าเดิมเสียอีก

“เอิ้นเอาออกเถอะ มันเจ็บ” ผมร้องขอปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อคลอไหลอาบแก้ม

“ร้องไห้ทำไม อดทนนิดนึงนะเดี๋ยวก็รู้สึกดี” น้ำตาบนแก้มถูกจูบซับจนเหือดแห้ง น้ำเสียงและการกระทำอ่อนโยนดั่งพ่อพระทำให้ผมชะล่าใจ กระทั่ง...

“อื้อ เจ็บ เจ็บโว้ย” ผมร้องลั่นและตีขากับเตียงดังพั่บๆ เมื่อนิ้วที่สองถูกสอดเข้ามา

“เสือ” น้ำเสียงที่ใช้เรียกผมเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “บอกให้ค่อยๆ หายใจไง ผ่อนคลายหน่อย”

“บอกให้เอาออกไปไงเล่า มันเจ็บ ไม่ได้ยินหรือไงบอกว่ามันเจ็บ ฮืออออ”

ผมโวยวาย มือที่จิกผ้าปูที่นอนแน่นคลายออกแล้วเปลี่ยนเป็นระดมทุบสะเปะสะปะไปทั่วทั้งตัวของคนข้างบน

“ไม่รู้ด้วยแล้วนะ”

ไม่รู้อะไรเล่า

“อ๊ะ อึก!”

นิ้วยาวถูกดันเข้าไปจนสุดก่อนจะขยับครูดวนมันอยู่ด้านใน กล้ามเนื้อของผมเริ่มผ่อนคลาย ความเจ็บปวดค่อยๆ ถูกแทนที่ถูกความเสียวซ่าน

“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ”

ใบหูของผมถูกขบเม้มก่อนนิ้วที่สามจะแทรกเข้ามา มันคับแน่น อึดอัด เจ็บนิดหน่อยแต่เสียวมากกว่า ยิ่งในยามที่เขาขยับเข้าออกร่างกายของผมก็คล้ายจะปริแตกอีกครั้ง

เอิ้นก้มลงมามอบจุมพิตหวานให้ เราสลับกันดูดดึงลิ้นของกันและกันราวกับว่ามันคือเยลลี่รสเลิศ ไม่สนใจความชื้นแฉะที่ไหลเลอะขอบปาก สีข้างของผมถูกลูบไล้ จังหวะด้านล่างค่อยๆ รัวเร็วขึ้นจนผมเห็นแสงสว่างของปลายทางอยู่ลิบๆ อีกแค่อึดใจเดียวก็จะถึงจุดหมายทว่า...

“เอิ้น ทะ ทำไม”

“เอิ้นเข้าไปในตัวเสือได้มั้ย”

“มันจะเจ็บมั้ย” ถึงแม้ร่างกายจะรู้สึกว่างเปล่าต้องการบางอย่างมาเติมเต็มทว่าความกลัวก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ

“เจ็บ แต่เอิ้นจะพยายามทำให้เจ็บน้อยที่สุด เสือเชื่อใจเอิ้นมั้ย”

เพียงถูกมองด้วยสายตาหวานล้ำผมก็พยักหน้าทันที และในขณะเดียวกันขาทั้งสองข้างของผมก็ถูกจับให้อ้าออกก่อนร่างหนาที่เปลือยเปล่าแต่ต้นจะแทรกเข้ามา

ท่อนล่างของเราแนบสนิทกัน มันร้อนมากจนเผลอคิดไปว่าพวกเรากำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนกองไฟ

ริมฝีปากของผมถูกครอบครองอีกครั้ง สะโพกแกร่งบดเบียดลงมาให้ท่อนเนื้อร้อนแนบสนิทไปกับด้านหลังของผม

“แป๊บนึงนะเสือ”

จูบร้อนๆ ผละออกไปพร้อมกับร่างแกร่ง ผมมองตามด้วยสายตาเชื่อมปรอยเห็นเอิ้นรื้อบางอย่างออกจากลิ้นชักที่หัวเตียง

เขากลับมานั่งที่ระหว่างขาผมเช่นเดิมก่อนจะใช้ปากกัดซองเล็กๆ สีเงินด้วยท่าทางที่เท่บาดใจ

“อย่ามองแบบนั้นสิ”

คงหมายถึงมองด้วยสายตาหวานๆ ล่ะมั้ง ผมก็ไม่อยากมองหรอกแต่มันห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ

“ช่วยใส่ให้หน่อยได้มั้ย”

ผมส่ายหน้า แค่นี้ก็เขินจะตายห่าแล้วครับ

“ถ้าเสือไม่ช่วยงั้นเอิ้นไม่ใช้นะ” ผมเบิกตากว้างก้มมองท่อนเนื้อที่ตื่นตัวอยู่ระหว่างขากับถุงยางอนามัยในมือแกร่ง อุตส่าห์ซื้อมาก็ใช้ๆ ไปเถอะ อย่าลีลามากนักเลย “เอิ้นล้อเล่นน่า”

เจ้าของห้องยกยิ้มร้ายกาจก่อนคว้ามือผมไปวางลงบนหน้าท้องแข็งแกร่ง ขณะที่เจ้าตัวสวมใส่เครื่องป้องกันเหมือนจงใจให้ผมมอง

ยิ่งมองร่างกายก็ยิ่งร้อนผ่าวเพราะการกระทำสุดแสนจะเร้าใจนั่น

“จะเข้าไปแล้วนะ”

จะทำอะไรก็ทำเถอะ มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็หมดอารมณ์หรอก

ร่างกายของผมถูกคร่อมทับอีกครั้ง ส่วนแข็งขืนถูกมือหนาพามาจดจ่อที่ช่องทางเปียกชื้นเมื่อท่อนขาของผมถูกยกขึ้นไปวางไว้บนหน้าขาแกร่ง

“อึก เอิ้น”

ผมโอบกอดแผ่นหลังของเอิ้นเอาไว้เมื่อท่อนเนื้อใหญ่โตถูกสอดแทรกเข้ามาจนสุด

มันเจ็บในคราแรกแต่เมื่อปรับตัวได้ความซ่านเสียวก็เข้ามาแทนที่

“ขยับได้รึยัง” เอิ้นกระซิบที่ข้างหู มือหนาลูบไล้สีข้างของผมอย่างปลอบประโลม

ผมพยักหน้ารับในทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกอึดอัด

จังหวะรักเริ่มต้นอย่างเชื่องช้าและเนิบนาบเพื่อให้ผมปรับตัวและผ่อนคลาย

ผมกอดเขาแน่นยกตัวขึ้นเพื่อขบเม้มใบหูของเขา

เสียงทุ้มคำรามในลำคอก่อนจังหวะรักจะหนักหน่วงขึ้นจนร่างกายของผมสั่นคลอน

“อ๊ะ เอิ้น แรง แรงไป ไม่ไหว”

“ไม่ดีเหรอ” ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่ซุกอยู่ภายในกาย “อยากให้เอิ้นทำช้าๆ เหรอ”

จังหวะรักถูกผ่อนให้ช้าลง เขาดึงกายออกจนสุดแล้วดันเข้ามาในคราเดียว มันคับแน่นแต่ก็รู้สึกดีเกินจะบรรยาย เอิ้นทำอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่ริมฝีปากของเราก็คลอเคลียกันไม่ห่าง

“เสือน่ารักมากเลยรู้มั้ย” จุมพิตประทับลงบนหน้าผากของผมก่อนปลายลิ้นชื้นจะแตะต้องที่เปลือกตา

“ฮือ เอิ้น เสือไม่ไหวแล้ว เสร็จพร้อมกันเถอะนะ”

“อื้อ แต่ต้องทำแรงๆ นะ”

เพียงผมพยักหน้ารับแรงบดอัดที่สะโพกก็แรงขึ้น หนักหน่วงขึ้น เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอฟังอย่างไรก็ไม่ได้ศัพท์

“อ๊า เสือ ดีจัง ข้างในเสือโคตรดี”

“ฮือ เอิ้น เอิ้น”

ผมเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับแก่นกายที่ถูกดันเข้าดึงออกจนสุดครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นอกของผมแอ่นโค้งขึ้นก่อนที่เรียวลิ้นร้อนจะปาดเลียที่ยอดอก ผมสะบัดหน้ารัวอย่างไม่อาจต้านทานแรงกระสันที่ถูกปรนเปรอได้

“เอิ้น เอิ้น เอิ้น อ๊ะ อื้อ”

“อืม เสือ”

หยดน้ำขาวข้นกระจายเต็มแผ่นท้อง ขณะที่คนบนร่างของผมกระทั้นกายถี่รัว ร่างกายของเราทั้งคู่กระตุกเกร็ง แผ่นอกของผมสะท้านไหว เสียงหอบหายใจดังถี่รัว

“เอิ้นรักเสือนะ”

เราสบตากันด้วยสายตาหวานซึ้งก่อนเอิ้นจะแนบริมฝีปากลงมามอบจุมพิตหวานซ้ำๆ

กระทั่งทุกอย่างสงบนิ่งเขาจึงทิ้งตัวลงกลางอกของผม เส้นผมของเขาเปียกชื้นจากการใช้กำลังอย่างหนักหน่วง ตัวผมเองก็ชื้นไปด้วยเหงื่อเช่นกัน

“ได้กอดเสือไว้แบบนี้เหมือนฝันเลย”

“เจ็บจะตาย ฝันอะไรกันล่ะ”

“ถ้าเจ็บเสือก็ต้องร้องไห้แล้วสิ เมื่อกี้ได้ยินแต่เรียกชื่อเอิ้น เอิ้น เอิ้น เสียงหวานเชียว”

“หยุดพูดเลยนะ แล้วก็ลุกออกไปซักทีหนักจะแย่แล้ว” ผมดันใบหน้าคนพูดมากออกจากอกแต่ก็อย่างที่บอกว่าเอิ้นแม่งโคตรดื้อ ยิ่งผมผลักไสก็ยิ่งซุกหน้าลงบนอกแล้วจูบย้ำๆ

“ตรงนี้รู้สึกดีใช่มั้ย”

“อื้อ อย่าจับ”

“ไม่ได้จับซักหน่อย” เออแม่งไม่ได้จับแต่จูบและเลียเลยล่ะ นั่นหน้าอกโว้ยไม่ใช่อมยิ้มจะเลียอะไรนักหนา

“ไม่ไหวแล้วเอิ้น” พอถูกรุกเร้าไอ้ลูกเสือของผมก็เหมือนจะลุก แต่ผมโคตรเพลีย อยากนอนมากๆ ด้วย

“ไม่สงสารเอิ้นเหรอ”

ก่อนหน้านี้ก็พูดแบบนี้ทีนึงแล้วก็เสร็จไปทีนึง ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะ แต่คงไม่เหนื่อยหรอกเพราะไอ้ที่ค้างคาอยู่ในตัวผมเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว

คิดว่าคืนนี้ผมจะได้นอนมั้ย ไม่รู้อะ ไม่รู้แล้วโว้ย


[- T B C -]



หายไปนานเลยเนอะ
สารภาพว่าเขียนซีนเสือกับเอิ้นบนเตียงนี่ก็แอบขำเจ้าเสือ
งอแงเป็นเด็กเลยอะ 555

ขอบคุณทุกการติดตามนะ ทั้งที่ตามมาแต่ต้นและเพิ่งมา
ยังไม่สายที่จะรักกันค่ะ :)
แจ๊ส
 :ruready

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เสือน่ารักมากเลยอ่ะ อ้อนมากเลย

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
เสือเอ๊ยยยย
ก็ไปยั่วเขาก่อน...เข้าทางเขาเลย สมใจเอิ้นไปสิ

ลางานสักวันสองวันก็ไม่มีใครว่าหรอกน้าาาา นอกจากเจ๊ศรี 555

เอิ้นจะขอลูกเจ๊ไปค้างบ้านทุกวันได้ยังไงน้า...อยากรู้แฮะ ^^

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เจ๊ศรีหายงอนแล้ว เสือก็โดนกดไป
อะไรจะดีอย่างนี้
 :katai1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
แม่กับเสือน่ารักมาก ซึ้งเลย

และ...เสือโคตรงอแงอะ ร้องเป็นลูกแมวโดนแกล้งเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

ไม่ได้ 3 เราไม่นอนเนอะเอิ้นเนอะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
งอแงแรงมากกก น่ารักกกก  :hao6:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 23 {เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้น}



เวลาผ่านไป 2 เดือนหลังจากผมลาออกจากงานเพื่อมาล่องลอยให้เอิ้นและเจ๊ศรีเลี้ยง ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เจอเอิ้นอีกครั้ง เพราะในยามที่เจ๊ไม่ยอมให้กินข้าวผมก็ไปกินข้าวที่ร้านเขาได้

ความสัมพันธ์ของเราก็เช่นเดิมครับ สถานะเป็นอะไรกันของเรายังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ที่ร้านเชิญนั่งค่อยๆ ดีขึ้น อาจจะไม่ดีในวันสองวันแต่ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโต

ลูกค้าอาหารกลางวันเพิ่มขึ้นจากวันแรกที่มีเพียง 5 คนจนตอนนี้เกือบร้อย ทำอาหารกันจนมือหงิกครับแต่ทั้งเจ๊และเอิ้นก็มีความสุขมาก นอกจากสองคนนี้และพนักงานที่ร้านแล้ว คนอีกกลุ่มนึงที่มีความสุข
เหมือนกันก็คือพวกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ครับ กลางวันไม่ค่อยมีลูกค้าก็อาศัยหารายได้พิเศษจากการส่งอาหารกลางวันนี่แหละ

เรียกได้ว่าเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนโดยแท้จริง

ส่วนร้านมินิมาร์ทของเจ๊ ตอนนี้เหลือพนักงานกะดึกแค่ 2 คน เพราะตอนกลางวันเจ๊ให้ผมเป็นคนดูแลจัดการแต่ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ๊เขาแหละครับ

“เสือได้รับอีเมล์เชิญไปงานโรงเรียนมั้ย”

“ได้เหมือนกันเหรอ” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เอิ้นไม่เคยโผล่หน้าไปที่งานเลยซักครั้ง  พวกเราก็เลยคิดกันเอาเองว่าเขาคงไม่ได้รับบัตรเชิญ

“เอิ้นได้ทุกปีนะแต่ไม่เคยไปเลย” เป็นอย่างนี้เองสินะ

“เสือไปทุกปีแล้วก็โดนด่าทุกปีเลย ปีนี้เอิ้นก็ไปด้วยกันสิ ทุกคนคงอยากเจอ”

“ทุกคน? ใครเหรอ”

“เถอะน่า ไปด้วยกันนะ”

ถึงแม้จะปฏิเสธโดยยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างแต่สุดท้ายมีเหรอที่คนอย่างเอิ้นจะขัดใจเสือได้ นี่เสือนะโว้ย พี่เสือที่เอิ้นรักสุดหัวใจนะครับ

ปีนี้ก็เหมือนทุกๆ ปีที่งานระดมทุนจากศิษย์เก่าถูกจัดขึ้นตรงสนามฟุตบอล เวทีก็คือหน้าเสาธง อารมณ์คล้ายๆ ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ เพียงแต่เปลี่ยนจากยืนเข้าแถวตามระดับไหล่มานั่งเก้าอี้พลาสติกหุ้มผ้าเท่านั้นเอง

“มือชื้นเชียวตื่นเต้นเหรอ” ผมหันไปถามคนที่แต่งตัวอย่างเท่แบบที่ลืมภาพเชฟไปเลย

เอิ้นพยักหน้าขณะกวาดสายตาไปทั่วเหมือนกำลังมองหาใครบางคน

“เชี่ยเสือทางนี้” เสียงคนคุ้นเคยทำให้ผมละสายตาจากใบหน้าหล่อเหลาของคนข้างกาย พอสบตากับเจ้าของเสียงผมก็กระตุกมือเอิ้นให้เดินตามไป

คนถูกผมกระตุกมือนิ่งงัน เขาฝืนเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตัวตามมา เมื่อมองหน้าก็เห็นว่าดวงตาของเอิ้นกำลังสั่นไหวคล้ายกำลังกลัว

“ไม่เป็นไรน่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”

“กูเรียกทำไมไม่มาวะ หยิ่งเหรอมึง” พอผมไม่เดินไปหาไอ้พี่เอ้กก็เป็นฝ่ายก้าวขายาวๆ เข้ามาหาเอง รุ่นพี่ตัวใหญ่หัวเกรียนที่เคยเป็นหัวโจกของแก๊งม.ต้นเมื่อสมัยอดีตมองหน้าผมสลับกับคนไม่คุ้นหน้าแล้วถามต่อ “มากับใครวะ คุ้นๆ หน้า”

“เอิ้นไง”

“เอิ้นไหน” ทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเบิกตากว้างตกใจ “ไอ้หมูอะนะ”

“อือ” ผมพยักหน้าสำทับ คราวนี้ไอ้พี่เอ้กร้องลั่น ขาแม่งสั่นพั่บๆ ก่อนจะกระโดดโลดเต้นราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1

“เชี่ยพวกมึงไอ้เอิ้นมา”

ชายหนุ่มร่างกายกำยำที่นั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะหลังสุดหันขวับมามองก่อนจะวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมพวกเรา

“สัสเอ้ย กว่าจะหาตัวเจอ”

“แม่งใช่มึงจริงเหรอวะ”

“ห่า ดูดีขึ้นจนกูจำไม่ได้”

“เออสัส เปลี่ยนไปขนาดนี้พลิกแผ่นดินหาคงไม่เจอ”

“พวกเขาพลิกแผ่นดินหาเอิ้นทำไมอะ” น้ำเสียงคนที่ถูกตามหาสั่นๆ มือที่กอบกุมอยู่กับมือของผมชื้นขึ้นอีกราวกับเพิ่งล้างมือมาแล้วไม่ได้เช็ด

ยังไม่ทันได้ตอบคำถามพวกเราก็ถูกลากให้ไปนั่งร่วมโต๊ะ ผมก็ขืนไว้นะส่วนเอิ้นนี่ขืนตัวหนักกว่าอีก ที่จริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจมานั่งกับพวกพี่เอ้กสักหน่อย โน่น โต๊ะของพวกผมอยู่หน้าเวทีนู่น

“ดื่มมั้ยวะ” งานยังไม่ทันเริ่มก็นั่งแดกเหล้ากันจริงจังซะแล้ว

คนถูกชวนดื่มส่ายหน้าเบาๆ รู้เลยว่ายังเกร็งๆ อยู่ ก็จะไม่ให้เกร็งได้ยังไง ถูกเขาทำร้ายจนร่างกายและจิตใจบอบช้ำขนาดนั้นคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำใจได้

“ดื่มหน่อยน่า” พี่เอ้กยังไม่ละความพยายาม เขายัดแก้วใส่มือเอิ้น มองตาปรอยๆ เป็นการออดอ้อนที่อุจาดตาฉิบหาย

“ดื่มเถอะ พวกพี่มันอยากขอโทษเอิ้นน่ะ”

“ขอโทษ?”

“อื้อ เรื่องตอนมัธยมไง สงสัยอะดิ รีบดื่มแล้วย้ายที่นั่งกันเดี๋ยวเสือเล่าให้ฟัง”

ถึงแม้คิ้วเข้มจะยังขมวดมุ่นแต่ก็ยอมยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดในรวดเดียวทำให้เห็นว่าพลังความอยากรู้อยากเห็นช่างมีอานุภาพรุนแรงเหลือเกิน

เหล้าในแก้วหมดแล้วและเราก็เตรียมตัวจะย้ายที่นั่งทว่าก็ถูกรั้งเอาไว้

“อีกแก้วสิวะ” ผมว่าต้องมีใครสักคนเมาแอ๋นอนตายอยู่ที่นี่แน่ๆ และคนๆ นั้นต้องไม่ใช่ผม

แก้วใบเดิมถูกเติมน้ำสีอำพันที่มีฤทธิ์ร้ายแรงอีกครั้ง เอิ้นหันมาปรึกษาผม ก็ไม่รู้จะทำยังไงว่ะจึงได้แต่พยักหน้าให้ดื่มไปเถอะ และเจ้าตัวก็ทำตาม

หลังจากนั้นเหล้าก็ถูกเติมมาเรื่อยๆ จนเริ่มเมา คนรินเหล้าน่ะเมา ส่วนพื้นข้างเก้าอี้พวกเราแฉะมาก หญ้าบริเวณคงเมาแอ๋กันไปแล้ว

“กรึ่มพอยังวะพี่เอ้กจะพูดอะไรก็พูดมาเพื่อนผมรอแล้ว”

“กูไม่มีอะไรจะพูดนี่ กูแค่อยากกินเหล้ากับเพื่อนมึง จะไปไหนก็ไปสิวะ” เอ้า! ไอ้พี่นี่ เมื่อกี้ก็รั้งไว้พอจะอยากไล่ก็ไล่กันแบบนี้เลยเหรอ

“ที่พวกพี่ตามหาเพื่อนผมก็เพื่ออยากกินเหล้ากับมันเนี่ยนะ”

“เออแค่นี้แหละ”

“เรื่องตอนม.ต้นยังคงเป็นปมในใจของผมจนถึงทุกวันนี้” คำพูดที่ทำให้ทุกคนบนโต๊ะหยุดทุกการกระทำแล้วมองคนพูดเป็นตาเดียว “ตลอดหลายปีที่ผมได้รับบัตรเชิญให้มางานโรงเรียนและผมไม่กล้ามาก็เพราะผมกลัวการเผชิญหน้ากับพวกพี่”

ดวงตาคมกวาดมองรุ่นพี่ทั้ง 5-6 คนก่อนจะหยุดที่พี่เอ้ก

“ถ้าผมกล้ากว่านี้ซักหน่อย พวกเราก็คงไม่ต้องแบกรับความทุกข์จากในอดีตไว้บนบ่านานขนาดนี้”

“ถ้าพวกกูไม่เกเร เรื่องทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้ พวกกูขอโทษนะเอิ้น”

“เพราะตอนนั้นเรายังเด็กครับ ขอบคุณพวกพี่นะที่ช่วยลบแผลนั้นให้ผม”

“พวกกูเป็นคนดีแล้วนะ เพื่อนมึงก็เหมือนกัน ไอ้เสือน่ะ ตอนมึงไม่อยู่...”

“ไอ้พี่เอ้กมึงหุบปาก!”

ผมชี้หน้าไอ้พี่เอ้กบังคับให้มันหยุดพูด หากแต่ไอ้คนที่ไม่รู้ว่าไปติดความขี้เสือกมาจากใครกลับเร้าหรือให้พี่มันพูด ถ้าแหกปากเขาได้คงทำ

“ถ้าพี่เอ้กไม่เล่าผมจะไม่ให้อภัยพี่แล้วนะ”

“กูควรเชื่อใคร กูไม่รู้ด้วยแล้วโว้ยกูเมา” มองหน้าผมกับอีกคนสลับกันอยู่ครู่หนึ่งพี่มันก็ชิงตาย

“เสือ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนที่เอิ้นหันมาตั้งท่าเหมือนจะซักไซ้เรื่องที่พี่เอ้กพูดค้างเอาไว้แล้วล้วงเอานามบัตรที่พกติดกระเป๋ามาด้วยยื่นให้พี่สองที่ดูเมาน้อยกว่าคนอื่น

“พี่ว่างๆ ก็แวะไปอุดหนุนที่ร้านนะ อาหารอร่อย บรรยากาศดี”

“พ่อครัวหล่อด้วยครับ”

อือ ไม่ค่อยจะอวยตัวเองเท่าไหร่เลย

“งั้นพวกผมไปแล้วเดี๋ยวไอ้แชมป์แม่งเหงา”

“เจอกันมึง”

ตลอดระยะทางสั้นๆ จากโต๊ะพวกพี่เอ้กไปที่โต๊ะของพวกเราเอิ้นแม่งก็ซักผมอยู่นั่นแหละ นี่คนไม่ใช่ผ้าซักจังเลย

“นึกว่ามึงจะไม่มา อ้าว คุณเชฟมาด้วยเหรอครับ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมา” ไอ้แชมป์แซวทันทีเมื่อเรามาถึง

“นี่พี่เสือ อยู่ใกล้พี่เสือแล้วรู้สึกปลอดภัยไงก็เลยมา”

“ขี้โม้นะมึงอะ”

“ก็ไม่ใช่ไม่จริงนะ” เอิ้นพูดแทรกให้ผมรู้สึกหล่อขึ้นมาอีกเท่าตัว “เรื่องตอนม.ต้นทำให้เรารู้สึกกลัวการกลับมาที่นี่ตลอดเลย แต่เพราะวันนี้มีเสืออยู่ข้างๆ เราก็เลยไม่กลัว”

“หวานตลอด อยู่ใกล้พวกมึงมากๆ กูแม่งโคตรกลัวจะเป็นเบาหวาน เออ มึงมาก็ดีแล้ว ทุกคนเป็นห่วงมึงนะ”

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”

“ตอนที่มึงย้ายโรงเรียนอะไอ้เสือแม่งเหมือนผีบ้าเลยรู้ป่ะ” ไอ้แชมป์!! ผมล่ะอยากลุกขึ้นยันปากมันเสียจริง อุตส่าห์ปิดปากพี่เอ้กได้แล้วยังมาเจอเพื่อนปากสว่างอีก

“ยังไง เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“ถ้ามึงรู้นะ จากที่ชอบไอ้เสืออยู่แล้วมึงจะโคตรชอบมันเลยล่ะ ขนาดกูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกูยังปลื้มปริ่มเลย”

“พอน่าแชมป์ไม่ต้องอวยกู”

“กูไม่ได้อวย กูอยากเล่า”

ไอ้สันขวาน เตะขาแม่งก็แล้ว เหยียบเท้าก็แล้วมันก็ยังจ้อไม่หยุด เล่าหมดครับตั้งแต่ตอนที่ผมเข้าแก๊งม.ปลายเพื่อดึงไอ้เอิ้นออกมาจากแก๊งพี่เอ้ก บอกว่าผมเสียสละตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ จนถึงตอนที่ผมดูเศร้าๆ หลังจากที่เอิ้นย้ายโรงเรียนไป เล่าแม่งทุกช็อตอย่างกับฉายหนังชีวิตของผม และยิ่งเล่าไอ้คนฟังก็ยิ่งตาเป็นประกาย ตกหลุมรักผมอีกแล้วล่ะสิ

เป็นเสือนี่ก็ลำบากไม่เบานะครับ เสน่ห์แรงเกินไป สงสารเอิ้นที่ต้องตกหลุมรักผมซ้ำแล้วซ้ำอีก

คืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเกินความคาดหมาย เอิ้นค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะ และความเจ็บปวดทุกอย่างที่แบกไว้บนไหล่ก็ถูกวางลงเมื่อแก๊งมัจจุราชหน้าหยกที่ทำให้ผมมีชีวิตมัธยมที่โหดเหี้ยเดินเข้ามาทักก่อนงานจะเลิก

เวลาเปลี่ยน พวกเราเติบโตขึ้น ประสบการณ์ทำให้ความคิดความอ่านของพวกเราเปลี่ยนไป เรื่องในอดีตถูกเก็บเอาไว้ในกล่องความทรงจำ ถึงแม้จะกลับไปแก้ไขมันไม่ได้แต่เราก็เลือกได้ว่าจะแบกมันเอาไว้หรือวางมันลง

วันนี้พวกเราเลือกที่จะวางมันลงแล้วปิดผลึกมันเอาไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ

“ก็คิดอยู่แล้วว่าเอิ้นต้องทำให้เสือลำบากใจ เอิ้นขอโทษนะ”

“ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษหรอก ถ้าตอนนั้น...”

“เสือพยายามปกป้องเอิ้นเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าการเอาตัวเข้าไปอยู่แก๊งมัจจุราชหน้าหยกจะเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยถูกต้องนักแต่เสือก็ทำเพื่อเอิ้น เสือเสียสละเพื่อเอิ้นมากพอแล้ว”

ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยความคิดที่ตื้นเขิน ตอนนั้นผมก็คิดเพียงว่าต้องหาคนที่แกร่งกว่า มีพลังกว่าเข้ามาช่วยเหลือ

“เสียสละอะไรกัน ทุกอย่างที่พวกเราทำมันมีเหตุและผลทั้งนั้นแหละ ลองคิดดูสิ เรื่องมันเริ่มจาก เอิ้นปกป้องเสือจนตัวเองถูกทำร้าย เสือก็เลยต้องหาทางช่วยเอิ้นแต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เอิ้นลำบากกว่าเก่า เจ็บปวดกว่าเดิมจนต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย เรื่องมันเริ่มต้นเพราะเสือ เสือก็อยากให้มันจบเพราะเสือ”

“...”

“ตอนที่เอิ้นย้ายไป เสือโทษตัวเองตลอดเลย ความผิดนั้นมันวนซ้ำอยู่ในหัวจนรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าเอิ้นจะเป็นยังไงบ้างวะ พยายามจะติดต่อแต่ก็ไม่รู้ต้องทำยังไง แม่งโคตรเด็ก แล้วพออยากจะออกจากแก๊งมัจจุราชหน้าหยก พี่แมนหัวหน้าแก๊งตอนนั้นแม่งก็ไม่ยอมให้ออก อยากจะแก้แค้นมันก็ทำไม่ได้ จนเวลาผ่านไปหลายปีจนได้เป็นหัวหน้าแก๊ง...”

“ก็เลยพังแก๊งแม่งเลย”

“โรงเรียนเป็นสถานศึกษา ไม่ใช่ซ่องโจร มันไม่ควรที่จะมีพวกแก๊งอะไรแบบนี้ตั้งแต่ต้นเลยด้วยซ้ำ”

“เสือทำดีแล้ว”

“แต่กว่าจะผ่านมันมาได้เราก็ต้องเจ็บปวดกับมามากเหมือนกัน”

“เอิ้นสงสัยว่าทำไมเสือกับพี่เอ้กแล้วก็พี่แมนถึงดีกันได้ล่ะ ในเมื่อเสือเป็นต้นเหตุทำให้แก๊งพวกพี่เขาล่ม”

“เพราะเราโตแล้วไง เรามีความคิดที่แตกต่างจากตอนเด็ก ตอนเจอไอ้พี่เอ้กที่ร้านเหล้ายังนั่งขำกับมันอยู่เลยว่าตอนนั้นพวกเราทำอะไรกัน แล้วพอเจอมันทีไรมันก็ถามหาเอิ้นตลอดนะ มันบอกว่าอยากรู้ว่าไอ้เด็กอ้วนคนนั้นจะเติบโตมาแล้วเป็นยังไง เราเองก็ให้คำตอบไม่ได้เพราะก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”

“แล้วพี่แมนล่ะ”

“พี่แมนเป็นลูกค้า เคยให้เราหาพนักงานขายให้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เจอหน้ากันเกือบโดนต่อยแน่ะ ปิดห้องทะเลาะเรื่องที่เสือพังแก๊งเป็นชั่วโมง แต่ก็ขำๆ นะ เราไม่ได้ยึดติดกับมัน พี่มันยังบอกเลยว่าดีแล้วที่ตัดสินใจจบ พี่แมนถามถึงเอิ้นเหมือนกัน เพราะไม่มีใครได้ข่าวเอิ้นก็เลยพากันสงสัยว่าเอิ้นจะเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทุกคนยังนึกถึง ถ้าเอิ้นโยนความกลัวทิ้งได้เรื่องมันคงจบเร็วกว่านี้เนอะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เอิ้น...” ผมเอื้อมมือไปกุมมือคนข้างๆ ไว้ “ขอบคุณที่มีชีวิตที่ดี ขอบคุณที่กลับมา ขอบคุณที่ความรู้สึกที่มีให้กันยังเหมือนเดิม ขอบคุณนะ”

“ดีจังเลยที่ตัดสินใจมางานโรงเรียนวันนี้”

“มากับพี่เสือก็ต้องเจอแต่เรื่องดีๆ สิ”

“เรื่องที่ดีที่สุดของเอิ้นคือการมีเสืออยู่ข้างๆ” มือของเราประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ดวงตาคมจ้องมองผมด้วยแววจริงจังแล้วจึงว่าต่อ “เสือ เราจบเรื่องอดีตแค่นี้แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้มั้ย”

“ไปสิ เดินไปไกลแค่ไหนล่ะ”

ผมรับคำแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า

“ตรงนู้นเลย ไกลๆ นู่นเลย” นิ้วแกร่งชี้ไปข้างหน้า

“เดินไปกับเสือเหนื่อยหน่อยนะ จะทนได้เหรอ”

“ถ้าเหนื่อยก็พักด้วยกันแล้วค่อยเดินต่อสิ”



▼▲ ▼▲ ▼



หลังจากงานโรงเรียนคืนนั้น เพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง รวมทั้งครูบาอาจารย์ก็แวะมาอุดหนุนร้านเชิญนั่งไม่ขาดสาย

กิจการร้านอาหารกำลังไปได้สวยจนไอ้แชมป์อยากจะเลิกวิ่งวินมาทำงานส่งอาหารจริงจัง เกลี้ยกล่อมกันอยู่นานเลยครับกว่ามันจะล้มเลิกความคิด

ส่วนร้านเจ๊ศรีก็เรื่อยๆ สไตล์เสือครับ แม่ให้อำนาจผมดูแลร้านแต่เพียงผู้เดียวแล้วไปเป็นแม่ครัวที่ร้านเอิ้นจริงจัง

ตอนแรกผมค้านหัวชนฝาเลยล่ะ กลัวแม่จะเหนื่อยเกินไปไงแต่เมื่อพ่อบอกว่าถ้าแม่เขามีความสุขที่จะทำก็ปล่อยๆ ไปเถอะ ผมก็เลยยอมทั้งกำชับเอิ้นไม่ให้แม่ทำงานหนัก เจ๊ศรีก็ห้าสิบกว่าแล้วอะ อยากให้อยู่เฉยๆ มากกว่าอีก

พี่สิงห์ตอนนี้เป็นคุณพ่อแล้ว เห่อลูกหนักมาก ส่วนเจ๊ศรีเห่อหลานกว่าพ่อมันอีก วิดีโอคอลหากันวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

กวินได้เลื่อนตำแหน่งเป็นโปรเจ็คเมเนเจอร์หลังจากที่ผมลาออกแล้ว 2 เดือน น้องดูมีความสุขกับการทำงานดีครับ คงเพราะมีทีมงานที่ดี แต่กว่าจะหาคนที่ทำงานเข้าขากันได้ก็เหนื่อยอยู่ ส่วนตำแหน่งผู้จัดการที่ว่างลงหลังจากเอิ้นลาออกก็ได้คนนอกมาทำ เห็นว่าเป็นรุ่นพี่เรียนจบจากที่เดียวกับกวินแต่คงห่างกันหลายสิบรุ่นอยู่

นพชัย เรายังติดต่อกันอยู่บ้าง ความสัมพันธ์ของเราอาจจะเรียกว่าเพื่อนได้ไม่เต็มปากแต่ก็เป็นคนรู้จักที่เมื่อเจอกันก็คุยกันได้อย่างสบายใจ

ช่วงหลังมานี้ผมมีโอกาสไปเดินห้างเพื่อสำรวจราคาสินค้าอยู่บ้าง อบอุ่นดีครับเมื่อแวะเข้าไปแล้วเจอน้องๆ ที่เคยดูแล ทุกคนยังคงทำหน้าที่ของตัวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้ว่าการเป็นพนักงานขายจะไม่ใช่อาชีพที่เคยวาดฝันเอาไว้เมื่อตอนที่ครูให้เขียนอาชีพในฝัน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฝัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำอาชีพในฝัน แต่เราทุกคนมีสิทธิที่จะมีความสุขกับงานที่ตัวเองทำเมื่อมันทำให้เรามีอยู่ มีกิน มีชีวิตที่ดี ทำให้ครอบครัวมีความสุข เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการได้ทำตามความฝันแต่เกิดจากการได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักเรา คนที่พร้อมจะมีความสุขและทุกข์ไปกับเรา

ผมเป็นคนนึงที่ไม่มีความฝัน แต่ผมก็ยังมีความสุขด้วยการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข

“เสือ คืนนี้ไปกินขนมบ้านเอิ้นมั้ย” เมื่อนึกถึงคนที่เรารัก คนที่รักเราก็โผล่มา

“ขนมอะไร”

“ไม่บอก ถ้าอยากรู้คืนนี้ก็ไปหาเอิ้นสิ”

“ไม่อยากรู้เลย”

“อยากรู้หน่อยน่า แม่จะสอนทำ เอิ้นอยากให้เสือไปชิม”

“เจ๊ศรีอะนะ โดนหลอกรึเปล่า เจ๊ไม่เคยทำขนม นี่เป็นลูกเจ๊มา 28 ปียังไม่เคยกินขนมฝีมือเจ๊เลย”

“เตรียมของกันแล้ว เสือไปช่วยทำก็ได้นะ”

“ปิดร้านแล้วเหรอ”

“ยังสิ ยังไม่ถึงเวลาร้านปิดเลย”

“ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนกะเหมือนกัน เดี๋ยวรอเด็กมาเปลี่ยนก่อนแล้วจะตามไป ถ้าไม่อร่อยโดนต่อยนะ”

“ถ้าอร่อยโดนจูบนะ”

“จูบตอนนี้เลยก็ได้” ผมว่าพร้อมยักคิ้วให้อย่างท้าทาย

“อย่ามายั่วนะเสือ คิดว่าเอิ้นไม่กล้าเหรอ”

“ไม่ได้ยั่วครับ อยากจูบก็จูบดิ” คนถูกท้าถึงกับถอยกรูดเมื่อผมก้าวเข้าไปหาจริงๆ ท่าทางเอิ้นตอนนี้โคตรตลกจนผมหลุดขำ

“ถ้าอยากให้จูบคืนนี้ก็ไปนอนกับเอิ้นสิ จะจูบทั้งตัวเลย” สายตาที่มองผมนี่รู้เลยว่าคืนนี้ระหว่างเราไม่จบแค่จูบแน่นอน แล้วคิดว่าอย่างเสือจะกลัวเหรอครับ

“โอ้โห ขู่เหรอ”

“ไม่ได้ขู่ กล้ามั้ยล่ะ”

“ไม่กล้าได้มั้ยล่ะ”

“กล้าเหอะ อยากกอด” ว่าแล้วก็อ้าแขนออกทำท่าเหมือนจะเข้ามากอดกันจริงๆ แต่ผมก็ยกมือขึ้นผลักอกแกร่งเพื่อห้ามไว้

“คืนนี้เจอกัน รีบกลับร้านเถอะ จริงๆ แค่ชวนไปกินขนมโทรมาก็ได้นะ”

“ไม่ได้สิ คิดถึงเสือ”

“คร้าบบบ~ คิดถึงก็คิดถึง แล้วหายคิดถึงรึยัง”

“ยังคิดถึงอยู่เลยอะ” ทำหน้าอ้อนใส่กันเข้าไปสิ

ยิ่งเปิดใจให้กันมากเท่าไหร่ ความขี้อ้อนของเอิ้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ก็มีความสุขดีนะ คำที่พ่อกับแม่เคยบอกว่าการเห็นคนที่เรารักมีความสุขทำให้เรามีความสุขที่สุดแล้ว วันนี้ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นแล้วล่ะ



▼▲ ▼▲ ▼



คนบ้าอะไรยิ้มสว่างกว่าไฟถนนอีก คนบ้าที่ชื่อเอิ้นอย่างไรล่ะ

เมื่อผมเดินออกมาที่หน้าร้านหลังจากเปลี่ยนกะกับพนักงานกะกลางคืนแล้วก็พบว่าคนขี้ประจบเดินพยุงเจ๊ศรีมาตามทางเดินมุ่งหน้ามาทางนี้

เห็นแล้วก็เบะปากอย่างนึกหมั่นไส้

“พาแม่มาส่งแล้วก็มารับเสือไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”

ขี้ประจบกว่านี้มีอีกมั้ย

เอิ้นปล่อยมือแม่แล้วยื่นมือมาตรงหน้าผม เพราะเจ๊ศรีอยู่ด้วยผมจึงเขินอายเกินกว่าจะจับมือข้างนั้นเอาไว้

เจ๊มองหน้าเราทั้งคู่สลับกันไปมา ยิ้มแล้วก็เดินเข้าบ้านไป การกระทำแบบนี้หมายความว่าตามสบายเลย จะไม่กลับมานอนบ้านก็ไม่ว่าหรอก

คล้อยหลังเจ๊มือผมก็ถูกกุมเอาไว้

“ค้างบ้านเอิ้นนะ”

“ทำขนมเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว อร่อยโคตร”

“ขี้โม้รึเปล่า”

“ระดับเอิ้นครับไม่มีโม้อยู่แล้ว”

“ถ้าไม่อร่อยต่อยนะ”

“ได้ แต่ถ้าอร่อยคืนนี้เสือต้องตามใจเอิ้นนะ” ท้ายประโยคถูกกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“หมกมุ่นนะเราอะ”

“เอิ้นยังไม่ได้บอกเลยว่าให้ตามใจเรื่องอะไร เสือนั่นแหละหมกมุ่นไปรึเปล่าครับ ตอนที่เอิ้นกอดรู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ”

“หิวๆ ไปกินข้าวกัน”

ภาพที่เราสองคนเดินเคียงข้างกันกลายเป็นภาพที่ถูกเห็นจนชินตา แรกๆ ก็ขลาดเขินครับเวลาที่ต้องบอกใครต่อใครถึงความสัมพันธ์ของเรา แต่ตอนนี้ชิลมาก ถามมาเถอะพร้อมจะตอบมากเลย

อาหารเย็นวันนี้ก็ธรรมดาเหมือนทุกๆ วันจะพิเศษหน่อยก็ตรงที่มีของหวานเพิ่มขึ้นมาอีก 1 อย่าง

ขนมในแก้วใบเล็กที่ผมไม่รู้จักชื่อ

“มันคืออะไรอะ” ลองจิ้มๆ ที่วิปครีมแล้วเอามาแตะที่ลิ้น รสชาติจืดชืดฉิบหายครับ

“ไม่อร่อยเหรอ” คงเพราะเห็นผมทำหน้าแหยๆ อีกฝ่ายจึงถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก

“ไม่ค่อยชอบวิปครีม แล้วไอ้นี่มันชื่ออะไร”

“บานอฟฟี่” คุ้นๆ ชื่ออยู่แต่ไม่เคยกินสักทีกระทั้งวันนี้

“แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงอยากทำขนม”

“กลัวเสือเบื่อ”

“เบื่ออะไร ไม่เบื่อหรอก อย่าคิดมากสิ” ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วดันไหล่ให้เอิ้นนั่งลง เป็นฝ่ายบริการตักข้าวและรินน้ำซึ่งเป็นไม่กี่อย่างที่ผมช่วยแบ่งเบาภาระได้

อาหารมื้อเย็นผ่านไปอย่างเชื่องช้า เราคุยกัน เล่าเรื่องราวของวันนี้สู่กันฟัง ปรึกษากัน ช่วยกันแก้ปัญหาอย่างที่ทำเป็นประจำ

“วันนี้มีคุณป้าคนนึงเข้ามาที่ร้าน สั่งอาหารทุกเมนูเลย”

“ทำไมสั่งเยอะจังอะ เค้าจะเอาไปทำบุญเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ป้าชมด้วยนะว่าอาหารร้านเราอร่อย รสชาติกลมกล่อม ได้รับคำชมทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ทุกทีเลย”

“วันนี้มีคุณป้าคนนึงเข้ามาซื้อของที่ร้านเสือ” เห็นอีกฝ่ายเล่าผมเองก็ไม่อยากน้อยหน้า

“แล้วไงต่อ”

“แล้วเค้าก็จ่ายตังค์ พอได้ตังค์ทอนก็ออกจากร้านไป”

“เสือ!!”

“ขำๆ น่า ไหนเอาขนมมาชิมหน่อย” แทนที่จะยกมาให้ผมทั้งถ้วยแต่กลับตักบานอฟฟี่มาจ่อที่ปากผมซะงั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงแย่งช้อนมาถือเองแต่ตอนนี้ผมอ้าปากรับขนมเข้ามาคำโต

ขณะที่ผมเคี้ยวอย่างอ้อยอิ่งเพื่อพิจารณารสชาติอย่างถี่ถ้วนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมก็ลุ้นตัวเกร็งอย่างกับลุ้นหวย เห็นแล้วก็อยากแกล้งครับ

ผมแกล้งเคี้ยวไปเรื่อยๆ จนบิสกิสละลายไปจนหมดแล้วทำหน้ายุ่งให้อีกคนยู่หน้า

“ไม่อร่อยเหรอ”

“อือ” ผมเกาคางทำเหมือนครุ่นคิด มองเอิ้นที่กัดปากลุ้นแล้วก็ขำครับ อยากแกล้งต่ออีกหน่อย

“เสือ ไม่อร่อยเหรอ รสชาติแย่มากเลยเหรอ”

ผมส่ายหน้าแล้วยิ้มกว่า “อร่อยมากต่างหากล่ะ เพิ่มเป็นเมนูของหวานของที่ร้านยังได้เลย”

“จริงเหรอ เสือพูดจริงๆ ใช่มั้ย”

“อื้อ” ผมพยักหน้าสำทับ

“ยังจำคำที่เราคุยกันเมื่อชั่วโมงก่อนได้มั้ย”

โห คุยกันหลายเรื่องมาก พอผมมุ่นคิ้วอีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “คืนนี้อย่าลืมตามใจเอิ้นนะ”

ไอ้หื่นเอ้ย~



▼▲ ▼▲ ▼



ให้ตายเถอะ ทำงานมาทั้งวันกลางคืนยังมีแรงเหลือมากอดรัดฟัดเหวี่ยงผมอีก รอบเดียวไม่พอ ขอสอง ขอสามไม่ถามสุขภาพไอ้เสือสักคำ

ผมทิ้งตัวลงบนอกคนใต้ร่างหลังจากปลดปล่อยความกำหนัดครั้งล่าสุด

ที่ใช้คำว่าล่าสุดเพราะของที่ค้างคาอยู่ในตัวผมมันเริ่มขยับดุ๊กดิ๊กอีกแล้ว

“เอิ้นพอเถอะ เสือเหนื่อย” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเมื่อช้อนตามอง

“เราทำกันล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว”

“แล้วไง”

“เอิ้นไม่ได้กอดเสือตั้งเดือนนึงแล้วนะ”

“เอิ้น อือ” ของร้อนเริ่มขยับขยายจนคับแน่นในตัวของผม อีกแล้วสินะ

“ถ้าเหนื่อยก็นอนเฉยๆ เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือมีความสุขเอง”

เอาแต่ใจมากครับและร่างกายผมแม่งก็พร้อมจะตามใจอีกฝ่ายเสมอเลย แค่ถูกลูบไล้ป้อนจูบนิดๆ หน่อยๆ ก็เคลิ้มแล้ว ไม่ว่าจะถูกพลิกหน้า พลิกหลัง นอนตะแคงกี่ตลบก็ยอมเขาหมด

ร้องขอ ร้องห้ามจนคอแหบแห้ง เตียงนอนนี่ถ้าไม่ใช่ของมีคุณภาพคงหักไปแล้ว ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตกว่าผมมากทำไมแรงเยอะแบบนี้วะ

กว่าจะสมใจอยากคุณเอิ้นเขาเสือก็หมดแรงนอนตายบนเตียงไปแล้วครับ

“เสือ” เสียงเรียกดังอยู่เหนือศีรษะ ผมพยายามเอี้ยวตัวมองคนที่นอนซ้อนหลังแล้วโอบกอดผมแน่นแต่ก็หมดแรงก่อนจะได้เห็นหน้าจึงได้แต่ครางเบาๆ ตอบรับ

“หือ”

“หลังปีใหม่เราไปญี่ปุ่นด้วยกันมั้ย”

“อือ ไปสิ”

“พูดจริงนะ ไม่กลับคำนะ”

“อือ” อยากพูดมากกว่านี้อยู่หรอกแต่คอแห้งมาก ดื่มน้ำไปแก้วนึงแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลย ต้องโทษไอ้คนหื่นกามเลยครับ หักโหมอะไรขนาดนี้ ทำอย่างกับชาตินี้จะไม่ได้กอดผมอีกแล้วอย่างนั้นแหละ

ถ้ารู้ว่าจะโดนแทงยับแบบนี้ ผมยอมให้กอดค่อยๆ แต่บ่อยๆ ซะก็ดี

ผิดเป็นครูครับ แต่คิดว่าพรุ่งนี้กูไม่น่าจะเดินไหวครับพี่น้อง



  [- THE END -]

จบแล้วจ้า... จบแล้วแต่ยังเหลือตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ
นี่เราอยู่กับเสือของเอิ้นมากี่เดือนแล้ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมป่ะ
จำได้ว่าตอนเขียนนี่ เขียนด้วยความอยากอย่างเดียวเลย
ต้องขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นต์ ทุกการติดตามที่มีส่วนทำให้เสือของเอิ้นเดินทางมาถึงปลายทางนะ
แจ๊ส
 :mew1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
เอิ้นจะพาเสือไปเปิดตัวกับครอบครัวที่ญี่ปุ่นแน่เลย :katai2-1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอิ้นน่ารักมาก บุคลิกน่าเป็นรับ แต่ดันรุกคนเสือเปลี้ย

พี่เสือคนแมนแดนรับ

 :laugh:

ออฟไลน์ natt teng

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-3
คือเพิ่งมาอ่านบทแรก อ่านประโยคนำ นึกว่าเสือเมะ เอิ้นเคะ อ้าวไม่ใช่

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จบซะแล้ว เสื้อเอิ้นน่ารักมากเลย จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

SPECIAL  {เอิ้นเสืออินเจแปน}



หลังจากฉลองปีใหม่กับครอบครัวผมในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราก็เดินทางข้ามทะเลมาญี่ปุ่นในช่วงเย็นวันที่ 1 มกราคม

งานนี้เสือเที่ยวฟรีครับ ลาภปากแท้ๆ

ยังจำคุณป้าที่เอิ้นเล่าให้ฟังได้ไหมครับ เธอเป็นเจ้าของโรงแรมที่มีการจัดสัมมนาบ่อยๆ หลังจากที่ได้ชิมอาหารฝีมือแฟนผมวันนั้นเธอก็ติดใจครับ กลับมาดีลให้ร้านทำอาหารให้ในวันที่มีสัมมนา

เงินดีครับแต่งานก็หนักขึ้นเช่นกัน แต่ผมไม่เคยเห็นคุณเชฟเขาบ่นเลยนะ บอกแต่ว่ามีความสุข

นั่นแหละ งานดีเงินดีผมก็เลยได้เที่ยวฟรียังไงล่ะ

พี่อิง พี่สาวคนรองของเอิ้นมารับเราที่สนามบิน ในภาพจำของผมเธอเป็นพี่สาวที่ดูใจดีมากแต่ความเป็นจริงเธอทั้งสวยและใจดีมากๆ เลยล่ะ

“เสือหล่อนะ”

“ขอบคุณครับ” ขณะที่รถกำลังวิ่งไปตามถนนอยู่ๆ พี่อิงก็ชม ตัวผมที่ยังงงจึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“เอิ้นถ่ายรูปคนหล่อยังไงให้ดูน่ารัก”

“ก็ในสายตาเอิ้นเสือน่ารักนี่นา”

“อวยแฟนหนักมากค่ะ” พี่อิงเบ้ปากเมื่อได้ฟังคำตอบ ผมเองก็เบ้ปากตามๆ เธอไป เห็นมั้ย ใครๆ ก็บอกว่าผมหล่อมีแต่เอิ้นอะที่มองว่าผมน่ารัก

“ก็คนนี้เอิ้นรอมาตั้งนานก็ต้องรักมากเป็นธรรมดาสิ”

โอ้โห เบาหวานขึ้นตาเลยครับ ถึงจะรู้ว่าเอิ้นรักผมมาก รู้มาตลอดว่าทุกการกระทำของเราอยู่ในการรับรู้ของครอบครัวเขาแต่เมื่อได้มาเจอกันจริงๆ ผมก็อดเขินไม่ได้

ครอบครัวเอิ้นน่ารักมาก ทุกคนดูแลผมเป็นอย่างดี จากที่เกร็งๆ ในตอนแรกเมื่อทุกคนทำเหมือนเราสนิทกันมาแสนนานผมที่เข้ากับคนอื่นง่ายอยู่แล้วจึงรู้สึกผ่อนคลายและทำตัวกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับทุกคนไม่ยาก


▼▲ ▼▲ ▼



บ้านเอิ้นอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ คุณแม่กับคุณพ่อยังคงทำงานกันอยู่ โดยมีพี่สาวกับพี่เขยช่วยงาน ส่วนพี่ชายคนโตทำงานอยู่สถานทูตในประเทศอะไรผมก็จำไม่ค่อยได้ เห็นคุณพ่อเปรยๆ ว่าในเมื่อเอิ้นได้ทำสิ่งที่รักและได้อยู่กับคนที่รักแล้ว บริษัทนี้ที่มีผลประกอบการปีละหลายร้อยล้านนี้คงต้องยกให้พี่อิง

ผมถามเอิ้นตอนที่เราเอาของขึ้นมาเก็บบนห้องว่าไม่เสียดายเหรอ ก็ได้คำตอบเท่ๆ ว่าถ้าไม่ได้อยู่กับผมคงเสียดายกว่า ถูกหยอดเข้าไปไอ้เสือก็ละลายสิครับ

“เอิ้น นี่มันหุ่นยนต์”

ผมจำไอ้หุ่นยนต์แขนหายที่วางอยู่หัวเตียงนี้ได้

“ตัวที่เราช่วยกันต่อไง”

“อือ จำได้แต่ไม่คิดว่ายังเก็บไว้”

“มันทำให้เอิ้นระลึกอยู่เสมอว่าเคยมีช่วงเวลาดีๆ กับเสือ” ตอนนั้นเราช่วยกันต่อทั้งวันทั้งคืน ข้าวปลาไม่กิน ผมอะไม่ยอมกลับบ้านเลยจนเกือบถูกเจ๊ศรีสมรไล่ออกจากบ้านแล้ว

“ไอ้เด็กนี่ใครเนี่ย” รูปถ่ายที่วางอยู่ข้างรูปครอบครัวสะดุดตาเสียจนอดไม่ได้ที่จะหยิบมาดูใกล้ๆ

“นั่นสิ ใครนะหน้าตาโคตรหาเรื่อง”

“พูดอะไรอยากมีเรื่องรึไง” ผมแยกเขี้ยวใส่แต่เอิ้นหาได้กลัวมั้ยซ้ำยังบีบบจมูกผมอีก เจ็บนะ

“ขี้โมโหนะเราอะ”

“นั่นอะไรอะ” ผมเบี่ยงตัวหลบเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าเข้ามากอด ภาพในกรอบรูปที่ถูกแขวนไว้บนกำแพงดึงดูดให้ก้าวขายาวๆ เข้าไปดูใกล้ๆ

กรอบรูปถูกแบ่งเป็น 2 แถว แถวละ 5 ช่อง

ช่องแรกแถวบนเป็นภาพของผมตอนเด็ก ดูจากชุดที่สวมใส่น่าจะเป็นช่วงประถม ส่วนแถวล่างเป็นรูปไอ้หมูเอิ้นที่อ้วนฉุจนเนื้อแทบแตกแก้มยุ้ยน่าหยิก

ช่องที่ 2 เป็นรูปถ่ายตอนมัธยมต้น ออร่าความหล่อของผมเริ่มกลบความน่ารักแล้วแต่เอิ้นยังอ้วนเหมือนเดิม

ช่องที่ 3 เป็นรูปถ่ายช่วงมัธยมปลาย ผมดูเป็นหนุ่มวัยละอ่อน ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ตัดผมทรงสกินเฮดแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหล่อไม่บันยะบันยัง ส่วนเอิ้นภาพนี้เขาไม่อ้วนแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หุ่นเฟิร์มเหมือนตอนนี้

“นี่เพิ่งเริ่มลดน้ำหนักใช่มั้ย” ผมชี้รูปนั้น อีกฝ่ายพยักหน้า

“อื้อ เห็นเสือแล้วก็นึกสมเพชตัวเอง”

“ทำไมคิดอย่างนั้น”

“เอิ้นไม่อยากทำให้เสืออายใครเมื่อเอิ้นยืนอยู่ข้างๆ เสือ”

“ต้องให้บอกอีกซักกี่ครั้งว่าเสือไม่เคยอาย”

“ถึงไม่อายแต่เอิ้นก็อยากดูดีบ้าง”

“ตอนนี้ก็ดูดีแล้ว”

คนถูกชมพยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้าง

“หล่อมากด้วยใช่มั้ยล่ะ” ผมว่าอย่างรู้ทัน

“แน่นอน”

“หลงตัวเองเหมือนกันนะเราอะ” ผมขำแล้วไล่นิ้วไปยังช่องที่ 4 ตอนนี้พวกเราเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ออร่าความหล่อกินกันไม่ลงจริงๆ “ตอนนั้นสาวติดตรึมเลยล่ะสิ”

“เสือก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่คบใครซักคน”

“ถ้าเสือรู้ว่าเอิ้นมีแฟนเสือก็คงจะมีด้วย เสียดายว่ะ”

“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ยอมมีแฟน”

“ใครจะไปรู้ว่าเอิ้นจะดูดีขึ้นขนาดนี้ เราก็นึกว่าจะตัวอ้วนๆ แล้วอยู่โดดเดี่ยว แค่คิดว่าเอิ้นทุกข์เสือก็ไม่กล้ามีความสุขแล้ว”

ไม่ต้องมามองด้วยสายตาปิ๊งๆ ซึ้งใจเลยล่ะสิ เรื่องนี้ตอนแรกว่าจะไม่บอกหรอกนะ แต่พอรู้ว่าขณะที่ผมนั่งหัวใจห่อเหี่ยวเอิ้นกลับมีแฟนดี๊ด๊ามันก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ถ้ารู้อย่างนี้ตอนนั้นจะรับรักสาวๆ ให้หมดทุกคน ใช้ชีวิตให้คุ้มสุดๆ ไปเลย

“เลิกมองได้แล้ว นี่มีรูปตอนรับปริญญาด้วยเหรอ เหมือนสตอร์คเกอร์เหมือนกันนะเราน่ะ”

“ก็ตามเสือคนเดียวแหละ” มันน่าภูมิใจเหรอถูกด่าว่าเป็นสตอร์คเกอร์เนี่ย

“แล้วรูปหลังจากนี้ไม่มีแล้วเหรอ”

“หลังจากนี้เอิ้นอยากเก็บรูปคู่ของเรา”

เราสบตากันและเป็นผมเองที่เบือนหน้าหนีก่อนเพราะทนสายตาหวานๆ และรอยยิ้มก่อกวนหัวใจไม่ได้

“มองอะไรนักหนาวะ” หน้าร้อนไปหมด

“อยากมอง มองไม่ได้เหรอ” เอ้า! ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก ใกล้ขนาดนี้กินหัวไอ้เสือเลยมั้ยล่ะ

“ไม่ให้มอง” ผมยกมือขึ้นปิดหน้า ท่าทางผมตอนนี้คงโคตรจะเหมือนสาวน้อยแต่ให้ทำไงได้วะ ไม่อยากให้มองนี่หว่า เสือเขินเข้าใจป่ะ

“แต่เอิ้นอยากมองนี่นา ขอมองหน่อยน๊า” น้ำเสียงออดอ้อนดังใกล้ๆ หูก่อนอีกฝ่ายจะเทน้ำหนักตัวลงมาจนผมล้มตัวนอนลงบนเตียง แขนทั้งสองข้างถูกกดเอาไว้เหนือศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาแฝงความร้ายกาจอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของผมเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ลงไปข้างล่างเถอะ”

“ไม่อะ นั่งเครื่องมาตั้งนาน นอนเถอะเดี๋ยวพอถึงเวลาอาหารเย็นพี่อิงก็ขึ้นมาตามเองแหละ”

“จะดีเหรอ แบบ เกรงใจครอบครัวเอิ้นอะ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเองทั้งนั้น นอนนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากการบอกฝันดี เอิ้นทิ้งตัวลงข้างๆ ผม และอีกครั้งที่ผมหลับไปในอ้อมกอดอบอุ่นนี้ อ้อมกอดที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยในทุกๆ ครั้งที่ได้รับ



▼▲ ▼▲ ▼



เพราะไม่มีแผนเที่ยว หลังจากตื่นนอนในเช้าวันถัดมาเราทั้งคู่จึงต้องมานั่งแกร่วอยู่หน้าทีวีที่กำลังฉายเกมโชว์ที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง

“เสืออยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”

“ไม่มี เอิ้นเป็นเจ้าบ้านเอิ้นก็พาเสือเที่ยวสิ” ผมตอบขณะที่ไถอินสตราแกรมไปเรื่อยเปื่อย

ผมไม่ใช่มนุษย์โซเชียลหรอก อินสตราแกรมนี่ไอ้แชมป์ก็บอกให้สมัครไว้ส่องน้องเมอิ ในเมื่อเปิดมาเพื่อจุดประสงค์นั้นคนที่ผมติดตามส่วนใหญ่จึงเป็นนางเอกสาวชาวญี่ปุ่นทั้งนั้น

มองแล้วก็เพลิดเพลินไปกับความอะร้าอร่ามดีครับ

“เอิ้น...” ผมเรียกแล้วยื่นมือถือไปตรงหน้าอีกฝ่าย “ที่นี่ที่ไหน”

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” เจ้าบ้านมุ่นคิ้วมองผม หึงอีกแล้วว่ะ

“น้องเมอิไง ไม่รู้จักน้องเมอิเหรอวะ อ๋อ ลืมไปว่าเอิ้นไม่เคยดูเอวี”

“นางเอกเอวีเหรอ”

“อือ ที่หนึ่งในดวงใจ พาไปเจอตัวจริงน้องเมอิหน่อยได้มั้ย”

“ไม่ได้” เป็นคำตอบที่เด็ดขาดและดุดันที่สุดที่ผมเคยได้รับจากเอิ้น แต่อย่าคิดว่าผมจะถอดใจ นี่เสือครับ อยากได้อะไรก็ต้องได้

“เอิ้น” ผมเกาะแขนแล้วกระพริบตาปริบๆ “พาเสือไปหาน้องเมอิหน่อยนะ นะ น๊า”

“แลกกับอะไร”

“เอิ้นอยากได้อะไร”

“พรุ่งนี้ไปออนเซ็นกัน”

ผมพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด แค่ได้เจอน้องเมอิสักครั้งต่อให้ต้องแลกกับอะไรเสือก็ยอม

เราออกจากบ้านทันทีหลังจากผมตกปากรับคำ หวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นจะได้เจอเธอ แค่คิดก็ตื่นเต้นจนใจสั่นแล้ว

นั่นไงๆ น้องเมอิของผมเธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่เช็คอินในอินสตราแกรมเมื่อ 30 นาทีก่อนจริงๆ ด้วย ฮือ เพียงเห็นหน้าเธอผมก็แทบจะละลายแล้ว เหมือนฝันเลยอะ ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอตัวจริงเลย ต้องขอบคุณแฟนผมครับที่พามาเที่ยว

ตอนนี้อยากอวดไอ้แชมป์มากแต่ถ้าไม่มีหลักฐานมันต้องไม่เชื่อแน่ๆ

“เหี้ยแชมป์ มึงต้องอึ้งถ้ารู้ว่ากูเจอใคร”

ผมวิดีโอคอลหาไอ้แชมป์ โต๊ะของเราอยู่ในมุมที่พอเหมาะพอดีสำหรับมองน้องเมอิราวกับที่ตรงนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

‘อะไรของมึงถ้าไม่เจ๋งจริงกูต่อยมึงหน้าหงายแน่ห่าเสือ’

“ถ้าไม่เจ๋งจริงกูไม่คอลหามึงหรอกโว้ย เบื่อหน้าจะแย่”

‘พูดมากสัส ว่ามา กูต้องทำมาหากิน’

“มึงห้ามกรี้ดนะแชมป์” ผมว่าแล้วเบี่ยงตัวหลบให้กล้องจับไปยังน้องเมอิที่นั่งอะร้าอร่ามอยู่ตรงโน้น

‘ไอ้สัสเสือ นั่นมันๆ’ ไอ้แชมป์อ้าปากค้างดิ้นเร่าๆ จนโทรศัพท์ในมือสั่น ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น

“น้องเมอิโว้ย แจ่มสัสๆ ตัวจริงน่ารักกว่าในหนังจมเลยว่ะ”

‘เชี่ยเสือกูอยากไปญี่ปุ่น ฮื้อ’

“ไลฟ์สดจบแล้วครับ เจอกันมึง” ผมหัวเราะส่งท้ายและภาพสุดท้ายก่อนตัดสายคือไอ้แชมป์ที่กรีดร้องดังลั่น คนที่วินคงคิดว่ามันผีเข้า ที่จริงผมก็อยากทำอย่างมัน แต่สถานที่ไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่จึงได้แต่นั่งมองน้องตาเคลิ้มๆ

มีความสุขจังเลย

“เสือ” เสียงเรียกไม่ได้ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าคนที่กำลังจับจ้อง

น้องเมอิโคตรน่ารักอะครับ ดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากเล็กๆ ที่ร้องอิคึอิคึ หน้าอกเธอคัพเอฟที่แบบโอ้โหโดดเด่นจนละสายตาไม่ได้เชียวล่ะ

“รู้มั้ยว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าแบบไหน”

“แบบไหนอ่า” กูเคลิ้มครับ น้องเมอิแม่ง แม่ง แม่ง โคตรแจ่ม

“หน้าเสือโคตรหื่น”

“อื้อ” หื่นก็หื่น เสือยอมรับ

“เอิ้นก็อยากให้เสือมองเอิ้นด้วยสายตาแบบนั้นบ้าง”

สายตาหื่นน่ะเหรอ จะมองแบบนั้นได้ไง มีนมคัพเอฟแบบน้องเมอิเหรอก็ไม่มีซักหน่อย

“เสือ มองเอิ้น”

คนเรียกเขย่าต้นแขนผม เริ่มต้นด้วยความแผ่วเบาแต่พอผมไม่สนใจก็เขย่าแรงๆ เหมือนเขย่าขวดซอสมะเขือเทศ

“ถ้าไม่มองเอิ้นจะโกรธแล้วนะ”

“อือ แล้วแต่”

เอิ้นก็เอิ้นเถอะ นาทีนี้ไม่มีใครน่าสนใจไปกว่าน้องเมอินางเอกคนสวยในดวงใจผมอีกแล้ว คิดดูสิ ติดตามงานเขามาตั้งแต่มัธยม ตอนนั้นก็ 16 เองมั้ง ผ่านมา 10 กว่าปี หน้า เนื้อ นมยังเปล่งปลั่งเหมือนเดิม จะไม่ให้ผมคลั่งไคล้ได้ไงวะ

ที่จริงแล้วน้องเมอิเนี่ยอายุมากกว่าผมอีกนะแต่ดูใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นสิ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเคยสวยใสอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยนเลย

“เสือคงไม่อยากรู้หรอกว่าเวลาเอิ้นโกรธเป็นยังไง”

“อยากรู้สิ โกรธเลยเดี๋ยวง้อ” ผมบอกไม่ละสายตาจากนางเอกในดวงใจสักวินาที

“เอิ้นจะหึงแล้วนะเสือ”

“จะโกรธหรือจะหึงเลือกซักอย่างสิ”

“เสืออะ” น้ำเสียงแสนงอนเรียกความสนใจให้ผมเหลือบมองแค่แว้บหนึ่งแล้วกลับมาเท้าคางมองไปยังโต๊ะสาวสวยอีกครั้ง

น่ารักอะ ยิ่งมองความโลภก็ยิ่งเข้าครอบงำจิตใจ ถ้าได้ถ่ายรูปคู่ด้วยคงฟินไปถึงโลกหน้า

“เอิ้นสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตรงไหน ไหนบอกซิ”

พอผมเอาแต่สนใจน้องเมอิ มือแกร่งของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะก็ยื่นมากุมใบหน้าแล้วบังคับให้หันไปสบตา

“กล้าถาม น้องเมอิเขานางเอกแถวหน้าของวงการหนังญี่ปุ่นนะครับ แล้วคุณเป็นใคร เป็นเชฟใช่มั้ย ถึงจะเคยถูกแนะนำในฐานะเชฟหล่อบอกต่อลงนิตยสารด้วยก็เถอะ แต่ความดังก็ไม่ได้เสี้ยวของน้องเมอิหรอกคร้าบ”

“เสือนี่แฟนนะ”

“ก็แฟนไง”

“ชมคนอื่นต่อหน้าแฟนตัวเองก็ได้เหรอ” หน้างอกว่านี้อีกหน่อยก็เป็นพี่น้องกับปลาทูแม่กลองได้แล้วนะ

“ทำไมจะชมไม่ได้ล่ะ”

“ไม่กลัวแฟนงอนเหรอ ง้อเหนื่อยนะ”

“ก็ไม่ได้กลัวนี่”

“ระวังตัวไว้ให้ดีๆ เถอะ” ว่าแล้วก็ชี้หน้าคาดโทษ

“ไม่เคยกลัวอยู่แล้วแต่ตอนนี้ปล่อยก่อนได้มั้ยจะมองน้องเมอิอะ”

“เอิ้นอยากให้เสือมองแค่เอิ้นนี่นา”

“เสืออยู่กับเอิ้นทุกวันจะมองเมื่อไหร่ก็ได้นี่ แต่น้องเมอิไม่ได้เจอง่ายๆ ซักหน่อย”

“คนเราก็แบบนี้ ไม่ค่อยสนใจคนใกล้ตัวหรอก”

“นี่” ใบหน้าของผมถูกปล่อยให้เป็นอิสระก่อนคนตรงหน้าจะเบือนหน้าหนีให้ผมเป็นฝ่ายยื่นมือไปประคองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังง้ำงอให้หันมามองกัน “เดี๋ยวคืนนี้เสือจะนอนมองหน้าเอิ้นทั้งคืนเลย พอใจยัง”

ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าขนาดนี้มากกว่าพอใจอีกมั้ง

หลังจากนั่งมองน้องเมอิจนพอใจ เราก็เดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในย่านช้อปปิ้งนั้น ทุกอย่างรอบตัวดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด

ถึงผมจะชอบดูหนังญี่ปุ่นแต่ผมก็ไม่ได้ชอบญี่ปุ่นเป็นพิเศษ รู้คร่าวๆ เท่าที่คนอื่นเขารู้กัน ทว่าวันนี้เจ้าบ้านที่พาผมเดินเที่ยวจนขาเปลี้ยกลับทำให้ผมหลงรักญี่ปุ่นเข้าอย่างจัง

เรามีแพลนอยู่เที่ยว 7 วันแต่ผมอยากจะอยู่ซัก 7 เดือนไปเลย

ถามว่าชอบอะไรเป็นพิเศษเหรอ ชอบความเป็นระเบียบ ความสะอาด เทคโนโลยี ผมชอบกินซูชิมากๆ เลยด้วย

เรากลับมาถึงบ้านหลังโตของครอบครัวเอิ้นในตอนใกล้เวลาอาหารค่ำพอดี

“เป็นไงบ้างจ้ะหนูเสือ ชอบญี่ปุ่นมั้ย” คุณแม่ถามกลางโต๊ะอาหารมื้อค่ำมื้อใหญ่

ผมยิ้มแหย ไม่ใช่อะไรนะ คำว่า ‘หนูเสือ’ ที่คุณแม่เรียกฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้พิลึก

“เอ่อ ก็ดีครับ”

“แค่...ก็ดีเองเหรอ น่าจะตอบว่าชอบมากๆ แม่จะได้ชวนมาอยู่ด้วยกัน แต่คุณศรีสมรต้องไม่ยอมแน่ๆ เลยเนอะ มีลูกน่ารักทั้งหล่อขนาดนี้เป็นใครเขาก็หวงทั้งนั้น”

“แล้วแม่ไม่หวงเอิ้นเหรอ” คนข้างผมถามให้แม่เบ้ปากใส่

“หวงไปก็เท่านั้นในเมื่อเธอเลือกที่จะไปจากฉันแล้ว”

“แม่อะ เดี๋ยวเอิ้นพาเสือมาเยี่ยมบ่อยๆ”

“เฮอะ บ่อยๆ ของเธอนี่ปีละครั้งใช่มั้ยล่ะ ไม่คิดว่าฉันจะคิดถึงบ้างหรือไง”

“โอ๋ๆ ไม่งอนสิครับแม่”

ระหว่างที่ลูกชายกับคุณแม่กำลังงอนง้อกัน คุณพ่อของเอิ้นก็เริ่มถามไถ่ถึงคุณพ่อของผม ทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกันครับ แต่เพราะงานยุ่งด้วยกันทั้งสองฝ่ายจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่ คุณพ่อเอิ้นฝากบอกคุณพ่อผมด้วยว่าวันหลังจะสไกฟ์ไปคุย ผมคงต้องสอนพ่อเล่นซะแล้วสิ

ส่วนพี่อิงที่ในอดีตเคยคบหาดูใจกับพี่ชายผมก็เอาแต่บ่นทั้งก่นด่าพี่สิงห์เรื่องที่ชอบอวดลูก หลานชายผมน่ารักจริงๆ ครับ พี่อิงคงอิจฉาเพราะได้ข่าวว่าเธอก็กำลังพยายามมีทายาทตัวน้อยๆ อยู่เหมือนกัน

พอมาคิดๆ ดู ผมกับเอิ้นโชคดีมากจริงๆ ครับที่ครอบครัวของเราทั้งคู่เข้าใจและยอมรับความสัมพันธ์นี้ ไม่สิ ต้องบอกว่าทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราต่างก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา



▼▲ ▼▲ ▼



เช้าวันต่อมา

“เมื่อคืนเสือเบี้ยวนะ” ประตูรถถูกปิดลง เอิ้นเอี้ยวตัวมาคาดเข็มขัดแล้วจ้องหน้าผมเขม็ง

“เบี้ยวอะไร” ผมขยับตัวแล้วมองหน้า

“เสือบอกว่าจะนอนมองเอิ้นทั้งคืนแต่ตัวเองดันหลับไปก่อน”

“ก็มันง่วงนี่” ว่าแล้วก็หาว เพราะเมื่อวานเดินเที่ยวจนล้าพอมื้อเย็นจบลง อาบน้ำเสร็จหัวถึงหมอนผมก็หลับไปเลย

วันนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปออนเซ็นอีก ง่วงมากอะ

“ง่วงมากเหรอ”

ผมพยักหน้าตาปรือๆ

“ขี้เซานะเราอะ นอนเถอะ ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวเอิ้นปลุก” เบาะรถอีโค่คาร์ถูกปรับเอนให้ผมนอนได้สบาย

เอิ้นน่ะดีกับผมขนาดนี้จะให้หยุดรักเขาได้ยังไงกันล่ะ

เรามาถึงโรงแรมกันตอนสายๆ พนักงานนำเราขึ้นไปยังห้องพักหลังจากเอิ้นจัดการเช็คอินแล้ว ผมก็เด๋อๆ ครับ ฟังเขาก็ไม่รู้เรื่องได้แต่เดินตามอย่างเดียว

“ห้องสวยโคตร”

“ชอบมั้ย” เสียงทุ้มดังข้างหูเมื่อผมถูสวมกอดจากด้านหลัง

“โห โคตรหรูอะ ต้องแพงมากแน่ๆ เลยใช่มั้ย”

“ก็นิดนึง”

“ไม่นิดแล้วมั้งเอิ้น”

“อย่าคิดมากสิ มาเที่ยวทั้งที ดูนี่สิ” ผมถูกจูงไปที่ระเบียง “เราแช่ออนเซ็นด้วยกันตรงนี้มองออกไปเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วย โรแมนติกมากๆ เลยเนอะ”

ฮือออ ภูเขาไฟฟูจิเคยเห็นแต่ในรูปแต่พอมาเห็นของจริงบอกเลยว่าโคตรอลังการ

 “เสือยังง่วงอยู่มั้ย ถ้าง่วงก็นอนพักได้เลยนะ เพราะคืนนี้อาจจะไม่ได้นอน”

ไอ้ฉัตร!

ว่าแล้วเชียว พามาที่หรูหราแบบนี้ต้องมีความคิดหื่นกามแอบแฝงแน่ๆ

ไหนๆ คืนนี้ก็อาจจะไม่ได้นอนอย่างเจ้าของทริปเขาว่า ด่าไปก็เสียเวลา ขอนอนเลยแล้วกัน

ตื่นมาอีกทีก็ถึงเวลาอาหารแล้ว พอกินข้าวเสร็จเอิ้นก็พาผมออกไปเดินเล่น จะว่าอย่างไรดีล่ะ ถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่คนไม่พลุกพล่านจนน่ารำคาญ พวกเราถ่ายรูปกันจนเมื่อย เมื่อลองคิดๆ ดูวันนี้อาจจะเป็นวันที่ผมยิ้มมากที่สุดแล้ว เมื่อยกรามชิบเป๋ง

“เหนื่อยมั้ย” พระอาทิตย์คล้อยต่ำบอกเวลาอาหารเย็น

ผมหันไปยิ้มให้คนถามแล้วคลายมือที่จับกันแน่นทั้งวัน

“หิวแล้ว”

“งั้นกลับไปกินข้าวที่โรงแรมกัน แล้วค่อยแช่ออนเซ็น” ท้ายประโยคน้ำเสียงหยอกเย้าดังชิดใบหู

หมกมุ่นจริงอะไรจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าเรื่องบนเตียงเป็นเสน่ห์ของเอิ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของเราไม่น่าเบื่อและน่ารักมุ้งมิ้งจนเกินไป






ต่อด้านล่าง...

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

28 ปีที่ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไม่มีสักครั้งที่ผมอยากจะแช่น้ำจนตัวเปื่อย

“สบายจัง” ผมว่าเมื่อพิงร่างกับอกแกร่งของคนที่นั่งพิงขอบบ่อด้านหลัง

“ดีมากเลยเนอะ ยิ่งได้กอดเสือแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกดี” มือหนาลูบผ่านแผ่นท้องของผมที่ใต้ผิวน้ำเป็นจังหวะเดียวกับริมฝีปากซึ่งประทับลงมาที่ไหล่เปลือย

“เอิ้น!” ผมเรียกเมื่อคว้ามือข้างนั้นเอาไว้เพื่อปรามไม่ให้ซน

ผมน่ะอยากแช่น้ำต่ออีกสักหน่อย แต่ถ้ายังถูกลูบๆ คลำๆ แบบนี้ก็กลัวจะมีอารมณ์อยู่เหมือนกัน

“ไม่ให้เหรอ”

“ไม่ใช่ไม่ให้แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“แต่เอิ้นอยากทำตอนนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”

“หา !?” ผมเอี้ยวตัวแล้วมุ่นคิ้วมองคนที่บอกความต้องการชัดเจนจนใจหายใจคว่ำ

“ทำนะ”

กำลังอ้าปากปฏิเสธแต่กลับถูกประกบจูบเสียก่อน

ผมดิ้นขลุกขลักตีขาจนเกิดระรอกคลื่นในบ่อออนเซ็นแต่คนที่กอดรัดผมแน่นก็ไม่ปล่อยให้ทำอย่างนั้นนาน เอิ้นใช้ขาแข็งแกร่งล็อกขาผมเอาไว้ มือไม้ที่อยู่ข้างใต้น้ำก็ลูบไล้ร่างกายของผมสะเปะสะปะ

ถามว่าผมรู้สึกอย่างไร

มีอารมณ์น่ะสิครับ จะเหลือเรอะ

ไม่รู้ว่าไอ้คนที่กอดผมอยู่นี้เลียนแบบหมาหรือไงเมื่อเขาถอนจูบออกแล้วเปลี่ยนมาใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากผมซ้ำๆ ครั้นเปิดปากให้ก็ไม่ยอมสอดลิ้นเข้ามาแต่กลับงับริมฝีปากผมทั้งบนและล่างเล่นซะงั้น

“อื้อ เจ็บ”

“เสือไม่เจ็บหรอก” เอ้า! ดันรู้ดีกว่าร่างกายผมอีก บอกว่าเจ็บก็เจ็บสิวะ เดี๋ยวก็ไม่ให้จูบซะนี่

ได้แต่ขู่ในใจเท่านั้นครับ เมื่อลิ้นร้อนถูกสอดเข้ามาในปากไอ้ลิ้นไม่รักดีก็ตอบรับเขาอย่างใจง่ายซะงั้น

จุมพิตดูดดื่มเพิ่มระดับความร้อนแรงขึ้นจนผมหูอื้อตาลาย ทั้งที่แช่อยู่ในน้ำอุ่นแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายกำลังล่องลอยอยู่บนฟ้าแข่งกับนกตัวน้อยๆ

“ตรงนั้น อย่า เอิ้น”

“รู้สึกดีออก”

“เอิ้น อื้อ” ในสมองวูบโหวงกลายเป็นสีขาวโพลนเมื่อมือที่ปัดป่ายไปตามร่างกายหยุดที่แผ่นอก จงใจใช้นิ้วลูบที่ยอดอกซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตรงนั้นทำให้ผมรู้สึกดีแค่ไหน

“ชอบให้เอิ้นทำแบบนี้หรือเปล่า”

ใครจะตอบได้เล่า สมองผมตอนนี้ประมวลผลออกมาเป็นเสียงครางเท่านั้นแหละ

“อ๊ะ เอิ้น อื้อ”

ผมเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อเกาะไหล่อีกฝ่าย จิกเล็บสั้นกุดลงไประบายความซ่านสยิวที่ได้รับ

“อยากได้อะไรหืม” น้ำเสียงหยอกเย้าดังชิดหูก่อนลิ้นร้อนชื้นจะเล็มเลียตรงนั้นคล้ายกับจะกลืนกินลงไป

ให้ตายเถอะ ไอ้เสือเสียวจะตายแล้ว

“จะ จูบ จูบหน่อย”

“อะไรนะ” อย่ามาทำเป็นใส กูรู้ว่ามึงได้ยิน แต่ถึงกระนั้น...

“จูบ เอิ้นจูบเสือหน่อย”

หลังรอยยิ้มชั่วร้าย ใบหน้าหล่อเหลาก็ก้มลงมาประกบจูบ เขาดูดริมฝีปากของผมทั้งบนและล่างทำแบบนี้ซ้ำๆ จนปากผมต้องบวมแน่ๆ ถามว่ากลัวไหม ไม่หรอกผมชอบ ผมเลื่อนมือขึ้นไปลูบไล้ที่ท้ายทอยของเอิ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายผละออกเสี้ยววินาทีก่อนจะส่งลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของผม สร้างความเสียวซ่านที่มากเสียจนร่างกายส่วนล่างของผมสั่นระริก

“เอิ้น” ภาพของเจ้าของชื่อพร่าเบลอเพราะผมไม่สามารถมองเขาได้เต็มตา

“ว่าไงครับ อื้อ”

ผมกดท้ายทอยให้เขาโน้มลงมาใกล้อีกแล้วเป็นฝ่ายดูดลิ้นของเขาเสียเอง

“แฟนใครเนี่ย โคตรขี้ยั่วเลย” นาทีนี้ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว รู้เพียงว่าอยากได้จูบ อยากถูกสัมผัส เสืออยากไปสวรรค์แล้วอะ

จูบของเอิ้นจรดลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้ง เขาใช้ปลายลิ้นดันเรียวลิ้นของผมเข้ามาที่ด้านใน แต่ผมก็ไม่ยอมให้เป็นฝ่ายถูกต้อนแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจูบครั้งนี้จึงร้อนแรงกว่าครั้งไหนๆ เสียงน่าอายดังสะท้อนในหู ความเปียกชื้นไหลเลอะที่ขอบปากแต่ผมก็ไม่คิดจะสนใจมัน

ยอดอกที่เคยถูกสัมผัสอย่างทะนุถนอมบัดนี้กลับถูกบีบเสียจนรู้สึกเจ็บ ไม่สิ มันเสียวมากต่างหาก

ผมบิดตัวด้วยความซ่านสยิว ทั้งพยายามหนีบขาทั้งสองข้างซ่อนความตื่นเต้นที่ตั้งตรงเอาไว้แต่เอิ้นไม่คิดอย่างนั้น เขาไล้มือไปตามสีข้าง ทุกสัมผัสทำให้ร่างกายของผมร้อนรุ่ม มือหนาหยุดที่ต้นขาก่อนจะสัมผัสที่เจ้าเสือใหญ่ของผม

“มันตั้งแล้วอะ”

“ของเอิ้นก็เหมือนกันแหละ” มันทิ่มสะโพกของผมตั้งแต่ลงบ่อออนเซ็นแล้วด้วยซ้ำ

“เข้าไปตรงนี้เลยได้มั้ย”

“อ๊ะ มะ ไม่นะ” นิ้วที่ยาวที่สุดเลื่อนไปสัมผัสที่ด้านหลัง ที่ซึ่งผมไม่คิดว่าจะทำให้สุขสมได้แต่เอิ้นก็ทำให้รู้ว่ามัน... อื้อ นั่นแหละ

“ทำไมล่ะหืม เสือไม่ต้องการเอิ้นเหรอครับ”

“ไปที่เตียงได้มั้ย”

“ไม่ชอบตรงนี้เหรอ วิวสวยนะ”

ผมไม่เคยปฏิเสธความสวยของภูเขาไฟฟูจิแต่ประเด็นคือกูไม่อยากเอ้าท์ดอร์โว้ย เสืออาย

“ไม่ อื้อ เอิ้น บอกว่าไม่ไง” ผมจับข้อมือแกร่งเอาไว้เมื่อคนดื้อด้านดึงดันสอดนิ้วเข้าไป เพียงข้อนิ้วเดียวแต่ร่างกายของผมก็กระตุกเกร็ง

“บีบนิ้วเอิ้นใหญ่เลย ตื่นเต้นเหรอครับ”

ผมไม่ตอบแต่พยายามดิ้นหนี แต่ก็แปลกครับที่คนซึ่งพร่ำบอกว่าต้องการอย่างนู้นอย่างนี้ปล่อยผมอย่างง่ายดาย ดังนั้นผมจึงลุกขึ้นยืน ทว่ายังไม่ทันทรงตัวได้ก็ถูกดันแผ่นหลังให้เซไปข้างหน้า โชคดีหน่อยที่คว้าขอบบ่อเอาไว้ได้ทัน

“ไหนบอกไม่ได้ไง แต่ท่านี้มันโคตรยั่วเลยรู้ป่ะ”

กูไม่ได้ยั่วโว้ย แต่กูล้ม มึงเลย มึงผลักกูอะ

ตั้งใจจะหันกลับไปด่าแต่ก็ช้ากว่าคนที่ขยับมาซ้อนหลังผม

“เอิ้น อื้อ...”

คำด่าถูกกลบด้วยเสียงครางเมื่อมือหนาลูบไล้ที่เจ้าเสือใหญ่ จงใจลูบไล้ส่วนปลายที่เป็นศูนย์รวมความซ่านสยิว อีกทั้งยังย้ำให้ร่างกายของผมคล้อยตามด้วยนิ้วมือที่ลูบไล้ยอดอกบวมเป่งของผมไม่แผ่วเบาแต่ก็ไม่รุนแรง เรียกได้ว่าสร้างความซ่านเสียวแต่พอดี

“เอิ้นขอตรงนี้นะครับ”

เจ้าของเสียงกระซิบที่ข้างหูก่อนจะพรมจูบที่ท้ายทอยของผม ไล้ลงไปยังแผ่นหลังและหยุดจูบซ้ำๆ ที่สะโพกกลมกลึง

“ขอเอิ้นนะเสือ”

“อื้อ” ถ้าจะสอดลิ้นเข้ามาทันทีที่พูดจบแบบนี้ก็ไม่ต้องขอแล้วมั้ง

ตอนนี้ผมแม่งแฉะไปหมด บรรยากาศที่ลมเย็นๆ พัดผ่านให้รู้ว่าเรากำลังทำกันข้างนอกทำให้ผมโคตรอายแต่ก็ไม่เท่าความร้อนรุ่มที่ได้รับการปรนเปรอ

“เสือ...”

เสียงพร่ากระซิบที่ข้างหู เมื่อเอี้ยวตัวมองก็พบว่าอีกฝ่ายยืนซ้อนหลังของผม มือหนาลูบไล้ที่หน้าท้องระเรื่อยมายังซอกขา

“เข้าไปนะครับ”

“อ๊ะ เอิ้น อื้อ”

ความแข็งขืนที่ร้อนผ่าวซึ่งเคยคลอเคลียตรงสะโพกถูกสอดเข้ามาในตัวผมจนหมดในคราเดียว

“เอิ้น อึดอัด”

“ไม่เป็นไรคนดี ไม่เป็นไรนะครับ” ร่างกายของผมเห่อร้อนเมื่อเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนกดจูบที่ท้ายทอยก่อนจะส่งเรียวลิ้นออกมาเลียซ้ำๆ

สะโพกแกร่งค่อยๆ ขยับเนิบช้าให้ผมปรับตัวเข้ากับความใหญ่โตที่คับแน่นอยู่ภายใน มือหนาเอื้อมมาบีบแผ่นอกของผมอีกครั้ง ส่วนอีกข้างก็สัมผัสตัวตนของผม รูดรั้งเสียจนต้องเปล่งเสียงครางพร่า

แน่นไปหมด รู้สึกดีจนตัวจะลอยอยู่แล้ว

ผมเกาะขอบบ่อออนเซ็นแน่น เอี้ยวใบหน้าไปหาคนที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากร่างกายผมสักวินาที

“เอิ้น ไม่ไหวแล้ว ทำเถอะ นะ”

ผมอ้อนด้วยเสียงหวานเกินจะจินตนาการ

“เอิ้นทำเสือแรงๆ ได้ใช่มั้ย”

“อื้อ” ผมพยักหน้ารับพร้อมขยับสะโพกเบาๆ

ผมไม่รู้ว่าเอิ้นทำหน้าแบบไหน เสียงทุ้มที่ครางพร่าทำให้ผมอายเกินกว่าจะกล้ามองใบหน้าเขา ของที่กำลังสั่นอยู่ในร่างกายของผมถูกถอนออกและโดยไม่ทันตั้งตัวเขาก็ดันมันเข้ามาทีเดียวจนลึกสุดใจ

ผมสะบัดหน้ารัว จิกมือกับขอบบ่อออนเซ็นแน่นเมื่อไม่อาจต้านทานความเร่าร้อนรุนแรงที่ตอกย้ำลงมาในร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าได้ ยิ่งช่องท้างด้านหลังของผมบีบรัดเอิ้นแน่นเท่าไหร่เสียงแหบพร่าทรงสเน่ห์ก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินทำให้หัวใจของผมสั่นรัว

“เสือ ขอจูบได้มั้ย”

ใช่คำขอเสียเมื่อไหร่เมื่อใบหน้าของผมถูกรั้งให้หันไปรับจุมพิตอย่างเร่าร้อน ลิ้นของเราพันเกี่ยวกันทั้งด้านในและด้านนอก ปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลเลอะขอบปากอย่างที่ไม่มีใครคิดจะสนใจ มือหนาชักรูดเจ้าเสือใหญ่ของผมรุนแรง เช่นเดียวกับสะโพกสอบที่ขยับถี่รัว

เราสบตากัน สายตาของเอิ้นตอนนี้ไม่ใช่หนูเอิ้นแล้ว เขาเหมือนปีศาจที่แสนร้ายกาจ

“เอิ้น เสือ เสือ อ๊า...”

แรงรูดรั้งของฝ่ามือแกร่งทำให้ร่างกายของผมบิดเกร็งและปลดปล่อยท่ามกลางลมหนาวที่ลูบไล้ผิวกาย
แต่ความหนาวเหน็บก็ไม่เท่ากับความเร่าร้อนของคนที่กำลังกระแทกกระทั้นเข้ามาในร่างกายของผมในตอนนี้

“เสือ อืม...”

ความอุ่นร้อนถูกปลดปล่อยเข้ามาในร่างกาย เรายังคงอยู่ในท่าเดิมแม้ต่างฝ่ายจะปลดปล่อยไปแล้วก็ตาม

“เสือ...”

“หือ”

“ไปต่อที่เตียงกันนะ”

ร่างกายของผมถูกเล้าโลมอีกครั้ง

ถ้าจะทำกันแบบนี้ทีหลังก็ไม่ต้องขอหรอก อยากทำอะไรก็ทำเลย เอาที่เอิ้นสบายใจเลยครับผม



[- จบจริงๆ -]

จบแล้วจริงๆ ค่ะ
ที่จริงก็ขอบคุณไปแล้วในตอนที่แล้วเนอะ แต่ก็อยากขอบคุณอีกอยู่ดี
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ กลับมาอ่านคอมเม้นท์ทีไรก็คิดถึงเสือกับเอิ้นทุกที

แม้ว่าเสือของเอิ้นจะไม่ใช่นิยายเรื่องแรกที่เราลงเล้า แต่เป็นเรื่องแรกที่เขียนจบค่ะ 555
ภูมิใจมากเลยนะเนี่ย
คงต้องบอกลากันตรงนี้ แล้วพบกันใหม่กับนิยายเรื่องใหม่ เร็วๆ นี้นะคะ
รัก
แจ๊ส


ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
จบจริงแล้วววว นี่รออยู่ว่าน่าจะมีตอนพิเศษ ^^

เอิ้นหลงเสือยิ่งกว่าอะไร
กะจะงอน พอโดนอ้อนนิดหน่อยก็ยอมปล่อยไปแระ
แค่ทำให้ตายใจ ไปคิดทบดอกคืนทุนใช่มั้ยล่ะ ^^

โชคดีที่กลับมาเจอกันน้า...เอิ้นเสือ ^^

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :3123: :3123:
ขอบคุณนะ จะรอเรื่องใหม่จ้า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เอิ้นน่ารักมากจริง ๆ
เสือก็น่ารัก น่าแกล้งด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด