11. Don’t let me down
“ถ้ามึงเป็นนก มึงอยากบินไปที่ไหน” เตชัสถามผมขึ้นมาในวันหนึ่ง ตอนที่มันกำลังเหม่อมองนกคุยกันในสวนหน้าบ้าน
“นึกไม่ออกว่ะ”
“นึกหน่อยดิ”
“แล้วมึงล่ะ”
“กูเหรอ” พอโดนวกเข้าตัวเอง มันก็ถามย้ำซ้ำ ทำท่าเหมือนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไปไหนก็ได้ ไปให้ไกล แล้วไม่กลับมาอีกเลย”
ตอนที่เตชัสตอบมาตามสายว่ากำลังจะบิน อดีตที่มันเคยคิดอยากเป็นนกแล้วบินหนีหายไปก็พร่างพรูเข้ามาในสมอง ซ้อนทับกับภาพที่มันโดดลงมาจากตึกสูงที่ไหนสักแห่ง และเพราะมันไม่มีปีกเหมือนนก ร่างจึงร่วงหล่น กระแทกพื้นคอนกรีต กระดูกแหลกร้าว เลือดไหลเจิ่งนอง ความฝันและความรักทั้งหมดสูญสลาย
คิดขึ้นมาอีกครั้งก็สั่นสะท้านอยู่ในใจ แม้ว่าตอนนี้ผมจะได้ยืนอยู่เคียงข้างเตชัส ที่ระเบียงห้องซึ่งลมพัดสะบัดม่านสีกรมท่าหลังบานประตูเบื้องหลังจนน่ารำคาญ แต่เจ้าของห้องก็ไม่ได้แยแสอะไร ทำเพียงอัดบุหรี่เข้าปอด ปล่อยควันซึ่งรู้ดีว่าจะโดนลมพัดจางรวดเร็วออกมา
บทสนทนาของเราติดขัดคล้ายว่าเสียงโดนลมกรีดกระจายไม่ต่างจากควันบุหรี่ แม้รู้ดีว่าเวลามีไม่มาก เพราะหลังจากนี้หนึ่งชั่วโมง เตจะไปงานแถลงข่าวที่ตึกต้นสังกัด นักข่าวแทบทุกสำนักจึงไปแสตนด์บายรออยู่ที่นั่นไม่มารบเร้าหน้าคอนโด ทุกคนรอให้มันไปเคลียร์ทุกอย่างให้สังคมเข้าใจราวกับตกเป็นจำเลย ทั้งที่สิ่งที่มันทำก็ไม่ได้หนักหนา เป็นเรื่องส่วนตัวด้วยซ้ำ ต่อให้มันจะบิดพลิ้วตัวตนของเตในความทรงจำผมไปอีกอย่างก็ตาม
เพราะข่าวนั้นคือคลิปภาพการมีเซ็กส์ของมัน และคงไม่มีค่าราคาของความลับมากนักถ้าคนที่มันมีอะไรด้วยไม่ใช่เพศเดียวกัน ทั้งในคลิปมันยังดูรุนแรง ผรุสวาท ทำราวกับข่มขืน และทำราวกับระบายอารมณ์เท่านั้น ไม่ได้มีความใคร่มาข้องเกี่ยวนัก
ไม่แปลกที่จะทำให้ตัวตนของมันดูบิดพลิ้วในความทรงจำ แต่เมื่อได้กลับมายืนอยู่ข้างๆ มันก็กลับยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิม ยังเป็นเตชัสคนเดิมที่ผมรู้จัก ต่อให้จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
ผมทอดมองลงไปเบื้องล่างตามสายตาของมัน มองอย่างสงสัยว่ามีอะไรให้เหม่อมองนักหนา แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้อีกว่าถ้าสักตำแหน่งในภาพที่ผมเห็นมีร่างของเตทอดกายจมกองเลือดอยู่ ผมคงไม่มีอะไรให้สงสัยอีกต่อไป
“เต” ผมตัดสินใจเรียกมันขึ้นมาหลังความเงียบดำเนินยาวนาน ทั้งที่มันเป็นคนเรียกผมมาคุยกันที่นี่เอง “ที่กูทำลงไปน่ะ อยากให้รู้ไว้ว่าใจจริงไม่ได้อยากทำหรอก”
“เรื่องอะไร” มันกลับถามเสียงเรียบ ไม่มีอะไรดึงความสนใจสายตามันจากภาพเบื้องล่าง
“ก็เรื่องคลิป”
“อ้อ...” ลากเสียงแค่นั้น ดูไม่ยี่หระอะไร “จริงๆ ก็คิดว่าอาจโดนอะไรแบบนี้อยู่แล้ว”
“หมายความว่าไง”
“ไม่ได้หมายถึงมึงนะ หมายถึงไอ้เด็กขายคนนั้น มันคงร้อนเงิน”
“รู้จักกันเหรอ”
“อือ”
“แล้วที่ทำรุนแรงในคลิป...”
“เป็นอารมณ์ของกูเอง” พลันมันก็เฉลยคำตอบที่ฟังดูน่ากลัว “แค่อยากหาที่ลง”
ผมเงียบ ไม่โต้ตอบอะไร บางทีความทรงจำก็ควรเป็นแค่ความทรงจำ เพราะความจริงมันแปรเปลี่ยนเสมอ และไม่เคยสวยงาม
แต่ถึงยังไง...ความรู้สึกที่ผมมีให้มันกลับไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเลย
“แล้วทำไม...ถึงอยากฆ่าตัวตาย”
สัมผัสจากหัวใจที่เคลื่อนไหวในจังหวะที่รวดร้าวกลัวคำตอบเมื่อตัวเองถามออกไป
กลัว...ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย
“มึงไม่เข้าใจ”
และคำตอบของมันก็ทำให้ผมเจ็บแปลบเข้าจริงๆ
“ก็ไม่พูดจะไปเข้าใจได้ไงวะ” ผมเถียงมัน เสียงเริ่มดังขึ้น “ตั้งแต่ตอนที่มึงหนีหายไปจากกูแล้ว อยู่ๆ มึงก็หายไป ไม่บอกอะไรสักคำ และไม่เคยติดต่อมาเลย มึงทิ้งกูไว้ มึง...มึงทำได้ไงวะ”
รู้สึกว่าเสียงตัวเองเริ่มสั่นเครือสะอื้น แต่ผมก็สะกดกลั้นไว้ พยายามทำใจแข็งและออกคำสั่งกับมันที่เอาแต่มองภาพเบื้องล่าง “เต มองหน้ากู อย่าหนีอีก”
สิ้นคำสั่ง บุหรี่ที่หมดมวนในมือของเตก็ถูกขยี้ลงกับราวระเบียง ก่อนจะดีดทิ้งลงในถังขยะ ทั้งยังคงอยู่ในอิริยาบถโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อวางแขนทั้งสองข้างบนราวระเบียง เห็นแล้วก็ชวนให้เผลอคิดว่ามันจะนิ่งงันเช่นนั้นชั่วนิรันดร์ แต่ชั่วขณะหนึ่งที่จับจ้อง เตชัสก็หันมา ดวงตาสีดำไม่ฉายแววอารมณ์ยอมหันมาสบตาผมในที่สุด
“มึงไปเหอะ” แต่เมื่อรู้ว่ามันหันมาสบตาเพื่อพูดคำนี้ หัวใจผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกบีบ “กูไม่อยากฆ่าตัวตายแล้ว”
“แต่...”
“ก็มึงทำให้กูไม่ใช่แบบจอห์น เลนนอนแล้วไม่ใช่หรือไง ที่ต่อให้จะมีใครตายก่อนหน้านั้น หรือต่อจากวันนั้นอีกวันก็ไม่มีทางกลบข่าวได้”
มันอธิบายเพิ่มเติมเพื่อยืนกราน ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผมห่วงไม่ใช่เรื่องนี้
“แล้วถ้ามึงกลับไปยืนจุดนั้นได้อีก มึงจะอยากฆ่าตัวตายอีกมั้ย”
“มึงเคยเห็นความรู้สึกของตัวเองมั้ย” หากมันไม่ตอบคำถามผม ดวงตาสีดำนั่นละจากการสบตาไปมองสิ่งอื่น ทั้งที่มองตามไปก็เห็นแต่ความว่างเปล่า “กูเห็นนะ ดูเป็นเงาสีดำ หม่นเศร้า ทุกข์ทรมาน ทำยังไงก็ไม่หายไป ตอนนี้ก็ยังอยู่ตรงนี้...อยู่ข้างๆ กู พร้อมจะฉุดกูให้หล่นลงไปข้างล่างนี่ได้ทุกเมื่อ”
ไม่รู้ทำไม มันอาจดูเป็นเรื่องหลอกเด็กถ้ามาจากปากของคนอื่น แต่เมื่อมาจากปากของเตชัส คนที่ดวงตาสีดำสนิทกลับฉายแววหม่นเศร้าขึ้นมาในตอนนี้ ผมก็เชื่ออย่างหมดใจว่ามันเห็นแบบนั้นจริงๆ และความเจ็บปวดที่ทำอะไรให้มันไม่ได้เลยตลอดมาก็เริ่มกัดกินจิตใจ
“แล้วก็...ตัวมันเริ่มใหญ่ขึ้นทุกที จากที่ตัวเล็กๆ ก็เริ่มแผ่ขยายไปถึงหลังม่านแล้ว” พลันเตยกมือชี้ไปยังหลังม่าน ทำให้ผมทนไม่ไหวที่จะเห็นมันเป็นแบบนี้ จับมือข้างนั้นของมันลดลงมา
“พอแล้วเต...” ผมเอ่ย พลางกุมมือของมันไว้ “ให้กูช่วยทำมันให้หายไปได้มั้ย”
“ทำไม่ได้หรอก” เตปฏิเสธแบบไม่คิดสักนิด แต่ผมก็ไม่คิดยอมแพ้เช่นกัน
“แล้วถ้ามีคนรักมึงจริง มันจะหายไปได้มั้ย” มันเงียบ ดวงตาสีดำสนิทกลับมาเป็นแววตาอ่านยากเหมือนที่เคย “กูยังเป็น...ที่หนึ่งของมึงอยู่หรือเปล่า”
สิ้นคำถามนั้น เหมือนว่าทุกสิ่งนิ่งงัน ผมไม่ได้ยินเสียงลมที่พัดสัมผัสใบหน้า ไม่ได้ยินเสียงม่านที่ยังสะบัดตัวอย่างน่ารำคาญ ราวกับโลกใบนี้กำลังเงียบและรอฟังคำตอบจากคนคนเดียว ผมจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทนั้น ดวงตาที่อยากจะอ่านทุกความรู้สึกที่เก็บซ่อน หวัง...หวังเหลือเกินให้มันยอมเผยอะไรออกมาบ้าง
“เป็นสิ เป็นมาตลอด”
และเมื่อคำตอบพร่างพรูจากปาก น้ำตาของผมก็รินล้นออกมา
“ถ้างั้น...กูก็อยากจะบอกมึง มึงก็เป็นที่หนึ่งของกูเหมือนกันนะเต เป็นมาตั้งแต่แรก และตลอดไป”
ผมบอกมันในคำที่อยากจะพูดมาตลอดชีวิต คำที่เก็บกลั้นไว้ในใจมาตลอดและแทบจะล้นทะลักออกมาเมื่อมันหายไป จนกระทั่งวันนี้ที่มันกลับมาอยู่ตรงหน้าผม ผมได้บอกออกไปแล้ว และภาพของคนที่ผมรักก็เริ่มพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาของตัวเอง
“กูขอโทษ”
พลันเตชัสพูดคำนี้ออกมา น้ำเสียงฟังดูสั่นเครือไม่แพ้กัน
“ขอโทษ”
มันพูดซ้ำอีกครั้ง
“ขอโทษ”
และอีกครั้ง พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยากจะเก็บกลืน ตอนนั้นที่ผมปล่อยมือของมันและกอดมันเอาไว้ สัมผัสถึงความอบอุ่นที่เคยโหยหาอย่างลึกซึ้ง มันโน้มตัวที่สูงกว่าเล็กน้อยซบหน้าลงร้องไห้บนบ่าของผม ได้ยินเสียงสะอื้นจนตัวสั่นเทาจากมัน ขณะที่น้ำตาของผมก็รินไหลไม่แพ้กัน
มันไหลรินลงมาจากความดีใจที่ไม่คิดว่าเตจะยอมทิ้งความรู้สึกของมันให้ผม
ดีใจที่มันยอมร้องไห้ออกมาให้เห็นต่อหน้า
และดีใจที่ยอมให้ผมกอดเอาไว้
มันเป็นการร้องไห้ที่ดูยาวนาน แต่นาฬิกาในตัวผมก็ไม่ได้นึกเสียดายเวลาแม้แต่น้อย กระทั่งรู้สึกได้ว่ามันเหนื่อยกับการปลดปล่อยความรู้สึกและผละใบหน้าออก ผมจึงเอ่ยคำพูดที่อยากพูดออกไป
“มึงไม่ฆ่าตัวตายแล้วนะ” ผมปาดน้ำตาตัวเองเพื่อมองเตให้ชัดๆ “ไม่ทิ้งกูไปอีกนะ”
และก็ได้เห็นว่ามุมปากของมันกำลังยกยิ้ม
“กูไม่เป็นไรแล้ว” มันพูดคำนั้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างอู้อี้ “ขอบคุณนะ”
“อือ ไม่เป็นไร”
“ดีแล้ว”
“...มาดีแล้วอะไรวะ”
ผมถามอย่างสงสัยกับคำพูดของเตชัสที่ไม่เข้ากับบริบทรอบข้าง กระนั้นมันก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้ม ยิ้มกว้าง ยิ้มจนตาหยี
รู้สึกเหมือนหัวใจที่ถูกบีบรัดมาตลอดกลับผ่อนคลายเมื่อได้เห็นแบบนั้น
เตไม่เป็นอะไรแล้ว
“เออ...นี่กี่โมงแล้ว” พลันมันถามขึ้นมา ทำให้ผมนึกได้ว่ามันต้องไปงานแถลงข่าว หยิบมือถือขึ้นมากดดูเวลาก็เห็นได้ว่าแทบไม่เหลือเวลา
“เฮ้ย รีบไปเหอะ ไปสายเดี๋ยวยิ่งดูแย่อีก” ผมบอกเต
“อือ แต่มึงออกไปก่อนนะ”
“ไม่ไปด้วยกันเหรอวะ”
“เผื่อคนเห็น ให้กูเคลียร์ข่าวทีละอย่างเถอะ” มันบอกเหตุผล ก่อนเดินเข้าห้องไปให้ผมเดินตาม “เอาคีย์การ์ดสำรองไปใช้เลยละกัน”
ว่าพร้อมกับยื่นคีย์การ์ดมาให้ผม “จากนี้อยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้นะ”
“แน่ใจนะ?”
“เออดิ” คำตอบของมันทำให้ผมยิ้ม ซึ่งเมื่อมันเห็นก็กลับเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันดูขัดเขินพิกล
แต่ก็ดี น่ารักดี ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
“ก่อนออกไปล้างหน้าล้างตาด้วย” มันบอกผม เสียงอู้อี้เริ่มกลับมาเป็นปกติ ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดอะไร รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองได้แต่ยิ้มมีความสุข ต่อให้ล้างหน้าล้างตาแล้วเงยหน้ามองตัวเองในกระจกจะดูไม่จืดหลังผ่านการร้องไห้มาก็ตาม
ล้างหน้าเสร็จ เตก็ส่งผมที่หน้าประตูห้อง แม้ในใจอยากจะอยู่คุยเรื่องราวต่างๆ กับมันต่อ อยากจะถามว่าที่หายไปเพราะอะไร และไปทำอะไรมาบ้าง ที่สำคัญที่สุดคือมันมีชีวิตอยู่มาด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน
ทำไมมันถึงได้มองเห็นความรู้สึกหม่นเศร้าของตัวเองชัดขนาดนั้น
“เออเต... ถ้ายังไง ปัญหาของมึงลองปรึกษาจิตแพทย์ดูมั้ย” ผมถามมันตอนที่ตัวเองอยู่นอกห้องแล้ว “ที่พูดแบบนี้เพราะกูเชื่อสิ่งที่มึงพูดนะ...”
“ไม่เป็นไรกูรู้” แต่เตก็เอ่ยมาก่อนผมอธิบายจบ “กูก็คิดอยู่เหมือนกันว่าต้องไป”
“อ่า...งั้นเหรอ” ผมตอบรับ รู้สึกดีที่ได้ยินแบบนั้น ส่วนเตก็ยกยิ้มมุมปากให้ เป็นยิ้มแบบที่เป็นมัน “ถ้างั้น...ไว้ค่อยคุยกันนะ”
“อือ”
เสียงของเตดังอยู่ในลำคอ ยกมุมปากกว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่อย่างเดิมไม่ไปไหน มันก็ออกปาก “ไปได้แล้ว”
“เออรู้แล้ว” ผมสวนกลับ ซึ่งนั่นก็ทำให้เตหัวเราะ ยิ้มตาหยี
“ไว้เจอกัน”
มันพูดแบบนั้นก่อนจะปิดประตูไป
ทั้งที่ไม่เห็นหน้าแล้ว แต่กลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
ผมเดินออกจากหน้าห้องของมันด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังลอยได้ เหมือนสิ่งที่หนักอึ้งอยู่มานานถูกชำระล้าง จนเมื่อพาตัวเองเข้ามาในลิฟต์และแตะคีย์การ์ดเพื่อจะกดปุ่มชั้นที่จะไป ก็ยิ้มออกมาอีกครั้งเหมือนว่ามุมปากของตัวเองนั้นอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก ล่องลอยอยู่ในคำพูดที่ว่าอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้
เป็นคำพูดประโยคเดียวที่มีความหมายมากมายบรรจุอยู่
หลังจากนี้ ผมก็จะได้อยู่เคียงข้างมันอย่างที่ไม่ต้องไปคอยไล่ตาม หรือดึงดันไขว่คว้าเอาไว้อีกแล้ว
จะได้คุยเรื่องในอดีตด้วยกัน อยากจะนั่งเถียงกันมานานแล้วว่าความทรงจำของใครแม่นยำกว่ากัน
จะได้ฟังเสียงกีตาร์ของมัน ฟังเพลง The Beatles ที่ทำให้รู้สึกอยากท่องไปในยุค 60
จะได้กลับไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ร้านป้าแววด้วยกันอีก
จะได้เห็นมันยิ้มให้ผม...แบบที่ไม่ใช่แค่ในทีวีอีกแล้ว
รักรอยยิ้มของมันเหลือเกิน และก็อยากจะเห็นมันไปตลอด
ผมคิดนู่นนี่เสียมากมาย เรียกได้ว่าแทบจะมองข้ามงานแถลงข่าวของมันไปแล้ว แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในเมื่อเตชัสอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว และเป้าหมายของเตชัสก็ไม่ใช่ความตายอีกต่อไป
ผมพยายามเก็บสีหน้ามีความสุขเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เดินออกมาหน้าประตูทางออกและแตะคีย์การ์ดอีกครั้ง เมื่อก้าวเข้ามาในเขตของล็อบบี้ด้านหน้า ก็รู้สึกได้ถึงเสียงของความวุ่นวายแว่วมาจากด้านนอก จากกำแพงที่กรุด้วยกระจกรอบด้านทำให้เห็นได้ว่าเยื้องไปไม่ไกลทางด้านขวานั้นมีคนไปมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่ภายในนั้นไม่มีใครอยู่เลย
ด้วยความผิดปกติที่ชัดเจน และสัญชาตญาณความเป็นนักข่าว ผมอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงเดินออกไปดู ผ่านล็อบบี้ของคอนโดไปยังความวุ่นวายนั้น มันอยู่บนทางเดินเชื่อมไปยังร้านค้าของอีกอาคารหนึ่ง และพื้นฟุตปาธก็ดูคุ้นตา
เหมือนที่ผมมองลงมาจากห้องของเตชัส
แวบหนึ่งผมสังหรณ์ใจไม่ดี แต่รอยยิ้มตาหยีของมันก็กลบเกลื่อนเรื่องเลวร้ายที่คิดขึ้นมาไปจนหมด ผมเดินเข้าไปใกล้อีก เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนหลายคนตรงนั้น เสียงคุยโทรศัพท์แจ้งไปยังที่ต่างๆ เสียงพูดคุย เสียงเอ่ยไล่คนไม่ให้มามุงดู และเสียงเสียงหนึ่งก็พาใจความของเรื่องมาให้ผมได้ยิน
“ใจกล้านะ กระโดดตึกตายแบบนี้”แล้วอะไรบางอย่างดลใจให้ผมมองไปยังด้านบน ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเตชัสกำลังจะออกมางานแถลงข่าวแต่ผมก็ยังมองเหมือนอยากเห็นว่ามันยืนสูบบุหรี่อยู่ริมระเบียง ชวนให้รู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ความสงสัยกลับไม่สร่างซา จนในที่สุดผมก็ต้องแหวกวงล้อมของผู้คนที่กำลังมุงดูเข้าไปให้เห็นกับตาว่าร่างที่ร่วงหล่นลงมานั่นไม่ใช่เตชัส
ไม่ใช่
ไม่ใช่อย่างที่คิด
ต่อให้ดวงตาสีดำสนิทของร่างที่แหลกร้าวจมกอดเลือดนั่นจะกำลังเบิกค้าง และไร้ซึ่งแววอารมณ์ความรู้สึกอีกต่อไป
“ไปไหนก็ได้ ไปให้ไกล แล้วไม่กลับมาอีกเลย”
“งั้นเหรอ” คำตอบของมันทำให้นึกอะไรออก “กูไปด้วยแล้วกัน”
“มึงห้ามตามมา”
“อ้าวไรวะ”
“เดี๋ยวลำบากกู”
“ไอ้เต”
พลันมันหัวเราะเมื่อผมทำเสียงเขียวใส่
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วทำไมวะ”
“ไม่รู้ว่ะ” มันทำสีหน้าคิดไม่ตก “แต่กูพูดจริงๆ นะ”
ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่ามันจริงจังมากแค่ไหนในประโยคถัดมา
“อย่าตามกูมาเลย”
ผมไม่เคยรู้จริงๆ
****************************************************************
ไม่รู้จะพูดยังไงดีนอกจากบอกว่ายังไม่จบนะคะ
