ครืด ครืด ยังไม่ทันได้ออกรถโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางไว้เบาะข้าง ๆ ก็สั่นขึ้นมา เขาหยิบมันขึ้นมาดู พอเห็นชื่อบนจอก็กลอกตาขึ้นฟ้า
Mr. Chubby boy “มีอะไร?” จริงใจกลอกเสียงไปอย่างเซ็ง ๆ
(“จริงใจถึงไหนแล้ว!?”)
“อย่าปัญญาอ่อนน่าจันทร์เจ้า เค้าเพิ่งแยกกับพี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน”
(“โธ่! จริงใจน่ะ! ถ้างั้นก็ขับรถดี ๆ นะ อย่าขับเร็วล่ะ”)
“รู้แล้ว”
(“งั้นพี่จะไปหาอะไรกินแล้ว จริงใจก็หาอะไรกินด้วยนะ”)
“อืม ๆ”
(“จริงใจพูดกับพี่โหน่ยยยยยยย”)
“จะให้พูดอะไร วางสักที รำคาญ”
(“อู้หูย เจ้าเด็กบ้า วางก็ได้ เชอะ อย่ามาบ่นคิดถึงพี่ก็แล้วกัน บั๊บบัยเจ้าเด็กปีศาจ~~”)
จริงใจส่ายหน้าเบา ๆ แล้ววางโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิม ยื่นมือไปเปิดเพลงเพื่อที่จะฟังระหว่างเดินทางแล้วจึงเหยียบคันเร่งออกรถไป มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องมาที่นี่เลยสักนิด ถ้าพี่ชายตัวดีไม่โทรมาหาและปล่อยโฮใส่ล่ะก็ จันทร์เจ้าน่ะ แม้จะดูบอบบางแต่จิตใจก็เข็มแข็งมาก ภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าขี้แยพร้อมจะจะร้องได้ทุกเมื่อแต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าไม่มีอะไรกระทบกระเทือนจิตใจจริง ๆ ก็ไม่ร้องออกมา ตามหลักการแล้วที่เขาถ่อจากบ้านมาถึงสถานที่รับน้องชั่วคราวนี่ก็เพราะว่าเป็นห่วง หลังจากที่ฟังสิ่งที่พี่ชายเล่าแล้วก็อยากจะตั้นหน้าคนทำให้ปากแตกหน้าช้ำกันไปข้าง มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นถ้าเช้าวันถัดมาคุณพี่ชายไม่บอกว่าคืนดีกับผู้ชายที่ชื่อทิวาอะไรนั่นแล้ว… โคตรเหมือนแฟนที่ทะเลาะกันเพราะหึงหวงเลย
ก็แย่ละ นึกแบบนี้แล้วก็คิ้วกระตุก จะว่าคิดไปเองก็ไม่น่าใช่ เพราะสายตาของผู้ชายที่(คิดว่า)ชื่อทิวาคนนั้นตอนที่มองเขากอดกับจันทร์เจ้าหน้าบ้านพักมันค่อนข้างแสดงออกไปถึงอารมณ์ไม่พอใจ ถ้ามันเป็นไปตามที่เขาคิดล่ะก็… เตรียมไว้หนวดกันได้เลย
“ไปไหนมาแต่เช้า จริงใจ”
“อ่า… สวัสดีครับน้าเจ้า” ยกมือสวัสดีน้าชายพร้อมกับยิ้มไปให้ แต่น้าเจ้าดันขมวดคิ้วและหรี่ตามอง กะเวลาให้ทุกคนออกจากบ้านแล้วแท้ ๆ ถึงกลับเข้ามาเพราะไม่อยากตอบคำถาม ใครจะคิดว่าน้าเจ้าจะอยู่บ้าน
“สวัสดีครับ ว่าแต่จะตอบน้าเมื่อไหร่เอ่ยว่าไปไหนมา?” คนเป็นน้าถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่ามันกลับดูสยองในความรู้สึกหลานชาย จริงใจกลืนน้ำลายลงคอ
“ไปหาจันทร์เจ้าครับ” ยังไงก็โกหกน้าเจ้าไม่ได้อยู่ดี และอีกอย่างการโกหกก็ไม่มีหลักการของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าจริงใจคนนี้
“ไปหาทำไมครับ?”
“เอารูบิคไปให้ครับ”
“บอกมาให้หมดเลยได้ไหมครับ?” จริงใจถอนหายใจเฮือก ก่อนจะยอมเล่าเหตุผลที่ทำไมเขาต้องถ่อไปหาพี่ชายตั้งแต่เช้าแบบนั้น เจ้าชีวันนั่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็นอะไร เมื่อหลานชายเล่าจบก็พยักหน้ารับรู้
“น้าเจ้าไม่คิดอะไรเหรอ?”
“คิดว่าเพลิงฟ้าคงต้องไว้หนวดอย่างที่จริงใจบอกแล้วล่ะ หึหึ” น้าเจ้าพูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องสนุก ไม่ได้ออกอาการไม่พอใจเลยสักนิดที่มีคนมาแกล้งหลาน ก็นะ... ลูกหมูก็โตแล้ว จัดการอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว มัวแต่มานั่งห่วง จัดการให้ทุกเรื่อง เด็กมันจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไงกัน แต่ถ้าเรื่องนี้ถึงหูเพลิงฟ้าล่ะก็... ไม่อยากจะคิดเลยจริง ๆ
“น้าเจ้า~”
“ทำไม หวงพี่เหรอ?”
“เปล่าครับ วันนี้น้าเจ้าไม่ไปทำงานเหรอครับ?”
“ไม่ล่ะ แล้วเราไม่ไปไหนเหรอ?”
“นัดเพื่อนไปซ้อมดนตรีบ่ายโมงครับ”
“อ๋อ... แล้วหิวหรือเปล่า น้าทำให้”
“ไม่ครับ ผมกินมาแล้ว อ่า... ผมขอขึ้นไปข้างบนนะครับ” จริงใจค้อมศีรษะให้ผู้เป็นน้าก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้าน
เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าใบโปรดขึ้นมาเปิดดูข้างในว่ามีอะไรหรือขาดเหลืออะไรบ้าง จากนั้นจึงเดินไปหยิบไม้กลองที่ถูกเก็บไว้อย่างดีใน Drum stick holder มาหนึ่งคู่และเอาใส่กระเป๋าสำหรับใส่ไม้กลองต่างหากจากนั้นจึงใส่กระเป๋าสะพายอีกที ยังพอมีเวลา นอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นไปอาบน้ำแต่งตัวก็คงทัน เมื่อหัวสัมผัสกับหมอนจริงใจก็ค่อย ๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราภายในเวลาไม่นอน เพราะความเพลียสะสมตั้งแต่เมื่อคืนที่นอนดึก แถมยังหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะเป็นห่วงพี่ชาย และก็ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขับรถไปหาพี่ถึงต่างจังหวัดโดยไม่ได้พัก จะหลับไปง่าย ๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก...
“ทำอะไรวะ?” ลูกหมูที่นั่งยอง ๆ แหงนหน้ามองคนที่เข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ
“ทิวาดูสิ คุณปลาตีนน่ารักมากเลย”
“มึงเรียกปลาตีนว่าคุณเหรอ?”
“ทำไมอะ?” การที่เราเรียกคุณปลาตีนว่าคุณมันแปลกตรงไหนกัน! พวกมักเกิ้ลนี่ทำไมต้องเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ ชิชิ ทิวาไหวไหล่ไม่ตอบ คนตัวสูงย่อตัวลงมานั่งในท่าเดียวกัน
“มึงปกติจริงเหรอเปล่าวะ?”
“ปกติซี่! อะไรทำให้ทิวาถามแบบนั้น ไขสันหลังเหรอ?” นี่มึงจะบอกว่ากูพูดอะไรออกมาแล้วไม่ปรึกษาสมองใช่ไหม!!!
“คนปกติที่ไหนมานั่งคุยกับปลาตีน” จากที่น้องของเด็กนี่บอกทีแรกก็แปลกใจไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่พอมาตอนนี้เขาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นเลยล่ะ คนห่าอะไรมานั่งคุยกับปลาตีนเป็นตุเป็นตะ แถมยังเรียกปลาตีนว่าคุณอีก แถมที่น่าตกใจคือน้องมันยังบอกอีกว่าเป็นเรื่องปกติ
“งั้นเราเป็นคนพิเศษก็ได้”
เอางั้นเหรอ....
“มึงสตาฟนิสัยไว้ตอนอนุบาลหรือเปล่า?” กะพริบตาปริบ ๆ มองคนถามตาแป๋ว ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย
“ทิวาจะบอกว่าเราน่ารักเหมือนเด็กอนุบาลเหรอ?” “เฮ้อ!” ร่างสูงถอนหายใจแรง ๆ อยากจะยกมือกุมขมับแต่มือก็ดันเปื้อนโคลน “ไปช่วยเพื่อนปลูกป่าไป”
“ทิวาก็ไปสิ เราปลูกไปหลายต้นแล้ว”
“มึงต้องไปกับกู ลุกขึ้น!”
“ไม่เอา เราจะเล่นกับคุณปลาตีน”
“จันทร์เจ้า!!”
“แง! คุณปลาตีนตกใจเสียงทิวาจนหนีเราไปแล้ว!”
“ช่างหัวปลาตีนได้แล้ว!!” ทิวากาลว่าด้วยความเหลืออด ไอ้เด็กเตี้ยถลึงตาใส่หน้าตาเอาเรื่อง ผุดตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินหนีทิวาไปหาเพื่อน โกรธทิวาแหล่ว!! มาทำคุณปลาตีนเราหนีได้ยังไง เจ้ามักเกิ้ลนิสัยไม่ดี เป็นมิลค์บอยที่นิสัยไม่ดีเลย ฮือ!
“เดี๋ยวสิวะ!” ทิวากาลตามไปคว้าแขนร่างเล็กเอาไว้ คนไม่ทันตั้งตัวโอเอนเพราะทรงตัวยากก่อนจะล้มไปนั่งแหมะกับพื้นโคลน จันทร์เจ้าเบะปาก มือเล็กตบดินโคลนคล้ายจะคลายอารมณ์หงุดหงิดขัดใจ
“ลุกขึ้น”
ช้อนตามองคนอายุมากกว่าพูดเสียงอ้อนและชูแขนทั้งสองขึ้น “เราลุกไม่ขึ้นง่ะ ทิวาช่วยหน่อยสิ”
ทิวากาลสั่นหัวน้อย ๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือเล็กเอาไว้และฉุดให้คนที่จมอยู่กับโคลนได้ลุกขึ้น ทว่าจู่ ๆ คนที่ร้องขอความช่วยเหลือกลับเป็นคนฉุดเขาเอง คนตัวสูงที่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้จึงไม่ทันได้ระวังตัว ร่างของเขาเอนไปด้านหน้า การที่ขาจมอยู่ใต้พื้นโคลนนั้นทำให้การขยับตัวและทรงตัวได้ลำบาก ปีศาจหมูน้อยเม้มปากกลั้นหัวเราะ มองทิวาที่อยู่ในท่าคุกเข่าและใช้มือข้างหนึ่งดันพื้นเอาไว้เพราะไม่อย่างนั้นใบหน้าหล่อเหลาคมคายต้องจมไปกับโคลนเหนียว ๆ แน่นอน! ถามว่ามืออีกข้างไปไหน… จันทร์เจ้าจับไว้เอง! เราเป็นเด็กดี ช่วยไม่ให้ทิวาไปจูจุ๊บกับโคลนนะ!
“มึงแกล้งกูเหรอ?” ทิวาถามเสียงเหี้ยม ลูกหมูส่ายหน้าดิ๊ก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ทิวาเป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาหรี่ตามองเด็กตรงหน้า จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโต แล้วจึงสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าออกจาสมอง เด็กซื่อบื้อแบบนี้คงไม่คิดแผนการแกล้งเขาหรอก…
“อ๊ะ!! ขอโทษนะทิวามือเราลื่นมากเลย” ลูกหมูร้องบอกเมื่อพยายามดึงทิวาให้ลุกขึ้นแต่ว่ามือเล็กดันลื่นหลุดจากการจับกุมจนทำให้ทิวาต้องกลับไปอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง
ว้า แย่จังเลยน้า…
“มึงถอยไปเลย”
“เราอยากช่วยนี่นา…” ลูกหมูหน้าเจื่อน ก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“กูบอกให้ถอยไป!”
“ก็ได้…” ลูกหมูรับคำเสียงค่อย ร่างเล็กพยายามขยับตัวออกห่างจากทิวา แต่แล้วโชคชะตาดันเล่นตลกโคลนพวกนี้ดูดขาเราไว้จนขยับไม่ได้ พอขยับมาเข้าร่างกายก็โอนเอนโซซัดโซเซจนสุดท้ายก็…
ตุบ!!! “หวา!!! ทิวาาาาา เราขอโทษคับบบบบ!” จันทร์เจ้าล้มตุบใส่คนที่พยายามจะลุกจากโคลนตมเช่นกัน นั่นทำให้ทิวาหงายหลังจนแทบจะนอนราบไปกับพื้นโคลน แต่ที่หนักกว่านั้นคือมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของเจ้าเด็กแก้มกลมดันวางแปะอยู่บนหน้าเขาราวกับตั้งใจเอาไว้ มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากมือทั้งสองนั้นไม่เต็มไปด้วยโคลน…
กูชักอย่างถอนคำพูดที่บอกมันไม่คิดจะแกล้งกูละ จะเอาคืนเรื่องเมื่อคืนหรือไง หือ!!!
“555555555555555 มึงทำอะไรวะไอ้เหี้ยกาล!!”
“หุบปากไอ้สัดถัง!!”
“อู้หูย หน้าทิวาเลอะไปหมดเลย เดี๋ยวเราเช็ดให้นะ” จันทร์เจ้าบอกพร้อมกับยื่นมือไปลูบเช็ดดินโคลนที่เลอะใบหน้าหล่อ ทิวากาลหลับตานิ่งก่อนจะลืมขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็อยากจะซึ้งกับสีหน้าตั้งใจช่วยเช็ดโคลนให้อยู่หรอก แต่คุณครับ มือมึงเปื้อนแบบนั้นยิ่งเช็ดก็ยิ่งเปื้อนสิวะ!!! แล้วนั่น! กูเห็นว่ามึงแอบยิ้มไอ้เด็กเวร! เล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้ แก้มกลม ด้ายยยยยยยยย!
“หึหึ หน้ามึงก็เปื้อนนะเดี๋ยวกูช่วยเช็ดด้วย” ทิวากัดฟันพูด ไม่ทันได้งง มือหนาเปื้อนโคลนก็วางแนบแก้มนุ่มแล้วขยำเบา ๆ จันทร์เจ้าเบิกตากว้างก่อนจะร้องขอความช่วยเหลือ
“อ๊าก!!!!! ทิวาอย่าแกล้งเรา ช่วยด้วยยยยยยยย!”
“ใครก็ช่วยมึงไม่ได้ทั้งนั้น มานี่ซะดี ๆ หึหึ” ลูกหมูส่ายหน้าหวือ รีบถดตัวถอยออกห่างจากทิวากาลที่กำลังจะกลายร่างเป็นซาตานโคลน โฮก ใครก็ได้ ช่วยเราด้วย!!
ตุบ!
“อุ๊บ! ฮา ฮ่าฮ่าฮ่า” คนตัวเล็กระเบิดหัวเราะเสียงดังอย่างกลั้นไม่อยู่กับภาพตรงหน้า และคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ระเบิดหัวเราะออกมาเช่นกัน คนที่กลายเป็นตัวตลกหลับตาสงบจิตใจ มันเป็นเพราะตอนที่เขากำลังจะเข้าไปล่าลูกหมูที่ถอยหนีด้วยความกลัวตายนั้น ทิวาก็สะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง บางสิ่งโง่ ๆ ที่ทำให้เขาล้มหน้าคะมำ หัวทิ่มโคลนไปเต็ม ๆ
เยี่ยม!
“อยากมาส์กโคลนก็ไม่บอก กูมีมาส์กนะเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า” ชมพู่ตะโกนมาพร้อมกับหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ แถมยังร้องบอกช่างภาพเก็บภาพไว้ไม่พลาดแม้เสี้ยววินาที ไอ้ห่าโก๋ กูจะไม่เลี้ยงเหล้ามึง!
“ทะ ทิวา… โอเคเปล่า…?”
“หึ!” ทิวากาลยิ้มเหี้ยมจนลูกหมูต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก ดวงตาคมกริบจ้องมองไปที่ลูกหมูวาววับ
อ่า… แบบนี้เราต้องตายแน่ ๆ ต้องหาทางเอาตัวรอดแล้วล่ะ
“ทิวาจ๋า… เราขอโทษนะ แต่เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยของเรา เราจำเป็นจริง ๆ”
ในขณะที่ทิวากาลยังมึนงงกับคำพูดของจันทร์เจ้าอยู่นั้น มือเล็กก็โกยโคลนมาพอประมาณ ไม่มากเกินไปแล้วแปะมันเข้ากับใบหน้าหล่อก่อนจะโกยแนบไปหาผู้ช่วยชีวิตอย่างพี่ชมพู่ พี่มิค พี่ต้น พี่รถถัง เบสท์และฟินน์
“ไอ้เด็กเหี้ย!!!!”
เสียงตะโกนของทิวากาลเอาลูกหมูสึกอยากร้องไห้และหัวเราะไปในเวลาเดียวกัน จันทร์เจ้าหลบอยู่ด้านหลังพี่รถถังกับพี่ต้น เด็กน้อยยิ้มแห้ง ๆ ให้รุ่นพี่ทั้งสี่และเพื่อนทั้งสอง เราโดนเบสท์ตบหัวด้วยแหละ แต่กับเพื่อนทิวา พวกพี่เขากลับยกนิ้วโป้งให้เป็นเชิงว่าจันทร์เจ้าเก่งมาก! Good job boy!
ถ้าจะต้องตาย เราไม่ขอตายคนเดียว ตายมันด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ!!! เราเป็นคนรักเพื่อน!
“มึงมานี่เลย!”
“ม่ายยยยยยยยยย~!”
“ปล่อยมันมาไอ้ต้น!”
“พี่ต้นอย่าไปฟัง ทิวาจะฆ่าเรา”
“ฆ่าพ่อมึงสิ!!”
“อู้หูย นอกจากจะฆ่าเราแล้วยังจะฆ่าพ่อเราด้วยอีก คนใจร้าย!!”
“ผมว่าพี่อย่ายุ่งกับมันดีกว่า ได้ประสาทเสียพอดี” เบสท์พูดขึ้นมาเสียงเรียบ ปรายตามองเพื่อนตัวกลมด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ใช่แค่พี่กาลหรอกจะประสาทเสีย เบสท์ก็เช่นกัน ถูกเลี้ยงมายังไงถึงได้กวนตีนขนาดนี้ คงต้องทำใจอย่างที่น้องจริงใจบอกไว้จริง ๆ เขาคงกลับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วล่ะว่าควรจะคบมันเป็นเพื่อนต่อไปดีหรือเปล่า
“เหวอออออออ” ลูกหมูหวีดร้องเมื่อถูกกระชากทีเผลอ เกือบจะหน้าทิ่มโคลนแล้วแต่ทันทีที่ดึงสติมาได้ก็ใช้ทักษะที่เรียนศิลปะป้องกันตัวมาใช้จึงสามารถพลิกตัวกลับมายืนในท่าปกติได้ แต่คนที่เป็นฝ่ายล้มลงไปดันเป็นทิวาเสียได้…
ลูกหมูอ้าปากค้าง กะพริบตาปริบ ๆ และยิ้มเจื่อนในขณะที่คนอื่นหัวเราะเสียงดังอย่างขำขัน
“ไอ้เตี้ย!!! อีกแล้วนะมึง!!” ทิวาแผดเสียงลั่น ชี้หน้าลูกหมูที่ยืนตัวสั่น
“เรา... ไม่ได้ตั้งใจ จริง ๆ นะ”
“ไม่ได้ตั้งใจมากี่ครั้งแล้ว!”
“อย่าดุซี่... เราเช็ดออกให้ก็ได้” จันทร์เจ้าเบะปากก่อนจะทรุดกายนั่งคุกเข่าลงข้างทิวา เช็ดมือกับกางเกงของตัวเองก่อนจะดึงชายเสื้อส่วนที่สะอาดขึ้นและเช็ดคราบโคลนบนหน้าของทิวากาล
ร่างสูงชะงักนิ่ง เขาไม่คิดว่าเจ้าเด็กแก้มกลมจะทำอะไรแบบนี้ และไม่ใช่เพียงทิวากาลคนเดียวที่ตกใจ คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนของทิวากาลเอง เป็นใครใครก็งง เมื่อวานยังแทบจะวางมวยกันอยู่เลย พอมาตอนนี้กลับทำราวกับว่าเรื่องเมื่อคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ผู้คนต่างก็หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่และจับจ้องไปที่ทิวากาลกับจันทร์เจ้าพร้อมทั้งซุบซิบนินทา
“เสร็จแล้ว!~” เจ้าตัวเล็กบอกเสียงร่าเริง คราบโคลนบนหน้าของทิวาหายออกไปพอสมควร แต่ก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง ลูกหมูยิ้มพอใจในฝีมือตัวเอง แล้วยิ้มแฉ่งส่งให้ทิวาด้วย
ร่างสูงที่ยังไม่ค่อยมีสติสักเท่าไหร่ได้แต่พยักหน้า คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากัน มองหน้าเด็กแก้มกลมแล้วภาพเมื่อสักครู่ก็ฉายขึ้นมา ทั้งรอยยิ้มและแววตาที่รู้สึกผิด และมือเล็กที่ประคองใบหน้าเขาเอาไว้ อีกทั้งยังค่อย ๆ เช็ดคราบโคลนออกจากใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา การกระทำพวกนั้นมันทำให้หัวใจของทิวากาลวูบไปราวกับตกจากที่สูง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องกลั้นหายใจนั่นก็คือการที่ได้เห็นหน้าท้องขาวเนียนในระยะประชิด แม่ง... ทั้งที่เลอะโคลนไปหมดแต่เขาก็ยังได้กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ จากเด็กนั่นอยู่เลย
ไอ้เหี้ย! มึงควรจะซาบซึ้งที่มันยอมสละเสื้อมาเช็ดโคลนโง่ ๆ บนหน้ามึง ไม่ใช่ซาบซึ้งเพราะเห็นหน้าท้องขาว ๆ ของมันไอ้กาล!!!!
TBC
ไม่ต้องตกใจกันนะคะ คนเขียนลงไม่ได้ นี่เลยอาสาลองมาลงให้แทน 555
(ขอค่าจ้างเป็นเจ้าหมูจันทร์เจ้าด้วยค่ะ 5555//แบมือ)