4.2การเรียนวิชาช่วงบ่ายนั้นยังคงสนุกสนานเหมือนเดิมทุกครั้งตั้งแต่เปิดเทอมมา อาจเพราะว่าอาจารย์ที่สอนเป็นคนเฮฮาไม่ซีเรียสและเข้าใจเด็ก เลยทำให้ทุกอย่างค่อนข้างผ่อนคลาย มีอิสระในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
แต่ที่ต่างไปจากทุกวันก็คือ..
..ครั้งนี้มีนายเหล้ารัมมาเรียนด้วยจ้า!
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเซอร์ไพรส์ตั้งแต่ตอนที่เห็นเขาสวมชุดนักศึกษาเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับยกธงขาวยอมแพ้แล้ว (ธงขาวในที่นี้คือธงขาวจริงๆ นะครับ เป็นธงกระดาษเล็กๆ ที่เขาเสกขึ้นมา) ถึงขนาดที่ผมต้องถามว่า...
"นี่คุณแต่งชุดนักศึกษาทำไม?"
"เอ้า ก็ไปเรียนน่ะสิ"
"เรียน?"
"ใช่ครับ ถ้าคุณไม่ทันสังเกต ผมใส่ชุดนักศึกษามาตั้งแต่ตอนเจอคุณครั้งแรกแล้วนะ"
"กะ..ก็ใช่ แต่ผมคิดว่าคุณแค่มาเนียนอยู่กับพวกมนุษย์เฉยๆ"
"อ๋อ เปล่าหรอกครับ จริงๆ ผมอยากมาหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์อยู่แล้ว ก็เลยลองมาใช้ชีวิตเป็นเด็กสถาปัตย์ดู แต่ตอนแรกก็คิดนะครับว่าถ้าไม่เวิร์คก็จะย้ายคณะเลย จน.."
"จน?"
"จนผมได้มาเจอกับคุณ ก็เลยไม่เปลี่ยนใจไปไหนแล้ว : )"
"..."
และนั่นล่ะฮะท่านผู้ชมครับ เหล้ารัมก็เลยกลายเป็นเด็กสาขานิเทศศิลป์รุ่นเดียวกับผมไปโดยปริยาย โดยที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในเวทมนตร์การเข้าสังคมไม่ต่างจากไอ้เอกเมื่อวานนี้ ทำให้การที่นายพ่อมดหน้าหล่อลูกครึ่งมานั่งเรียนด้วยไม่ได้สร้างความแตกตื่นเท่าไหร่นัก
ไม่สิ จะว่าไม่แตกตื่นเลยก็ไม่ได้ เพราะถึงจะเนียนเป็นคนในไปแล้ว แต่ความหล่อของเหล้ารัมก็ยังดึงดูดสายตาสาวๆ ในคณะอยู่ดี ถึงขนาดที่ว่าแค่เขาลุกไปเข้าห้องน้ำ ก็ถูกสายตาเกินกว่าสิบคู่จ้องมองจนเหลียวหลังแบบไม่มีการคงแคร์อาจารย์เลยแม้แต่นิดเดียว
พวกนี้นี่ บ้าผู้ชายชะมัด
"เฮ้ยวาฬ รีบกลับเปล่า
หลิวกับ
บอยชวนไปทำงานที่
Today I Learned ถ้ามึงจะไปเดี๋ยวกูโทรขอพ่อกับแม่มึงให้"
ซึ่งพอเผลอแป๊บเดียว การเรียนในวันนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว และผมดีใจมากที่ไม่มีงานเพิ่ม แต่ถึงยังไงงานที่หาข้อมูลไว้เมื่อเช้าก็ยังไม่ได้ลงมือทำเลย เพราะฉะนั้นที่เอกชวนก็น่าสนไม่น้อย ยิ่งมีหลิวกับบอยไปด้วยก็คือครบทีมพอดี
"เอาดิ ก็ว่าจะหาที่ทำงานอยู่เหมือนกัน แต่มึงไม่ต้องโทรบอกแม่กูหรอก ท่านโอเค"
"โอเค?" เอกถามสวนกลับมาทันทีราวกับไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
ในขณะที่หลิว..เพื่อนสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มก็หันใบหน้าสวยกับผมดัดลอนยาวถึงกลางหลังมาหาผมเช่นกัน
"แน่ใจหรอวาฬว่าแม่โอเค ปกติถ้าเอกไม่เป็นคนโทรขอ วาฬก็ห้ามไปไหนนี่"
"เออ นั่นดิ ขนาดคราวก่อนมึงไปกับกูสองคนไม่มีไอ้เอก แม่มึงนี่ให้คนรถมาตามมึงกลับเลยนะ ส่วนกูก็โดนพ่อมึงโทรมาดุอีก กูนี่เข็ดแบบไม่กล้าไปไหนกับมึงโดยไม่มีเอกอีกเลย" ก่อนจะสมทบด้วยบอยที่เพิ่งจะเก็บของเสร็จ
เอ่อ.. ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ผมนี่จะเป็นตัวร้ายในสายตาพวกเพื่อนๆ แฮะ
แต่ทำไงได้ ในเมื่อพ่อแม่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ในแง่ของความที่ห่วงผมเหมือนไข่ในหินน่ะนะ เพราะพวกท่านตั้งกฎว่าถ้าเลิกเรียน ผมจะต้องกลับบ้านทันที และหากต้องการจะไปที่อื่น ต้องมีเอกซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมานานกว่าบอยและหลิวไปด้วยเท่านั้น หากฝ่าฝืน ตามมารับกลับทันที
ซึ่งตอนปีหนึ่ง เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็ได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพ่อกับแม่ผมกันมาแล้วทั้งสิ้น จำได้ว่าตอนนั้นมีค่ายอาสาที่เชียงใหม่ แล้วไอ้เอกดันเบี้ยวเพราะว่าเมาจนตื่นสาย ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ยอมโกหกว่าเอกยังคงไปด้วย แต่พอดีโชคชะตาดันเล่นตลกกับผม ให้พ่อกับแม่ไปเจอเอกที่ห้างดังแห่งหนึ่ง เท่านั้นแหละครับ ผมถูกพวกท่านนั่งเครื่องตามไปถึงโรงเรียนที่ไปออกค่าย จากนั้นก็ลากตัวกลับกรุงเทพฯ ทันที
ชีวิตแฮปปี้สุดๆ!
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีกฎของพ่อและแม่ เพราะว่าพวกท่านได้ทำการส่งมอบผมให้อยู่ในความดูแลของเหล้ารัมเรียบร้อยแล้ว ทำให้กฎเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ..ไม่มีกฎยังไงล่ะครับ : )
"รับรองว่าคราวนี้โอเคจริงๆ ไม่ต้องห่วง" ผมเลยย้ำอีกครั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจ "เดี๋ยวกูชวนเหล้ารัมไปด้วยอีกคน" ก่อนจะหันเหความสนใจไปทางนายพ่อมดเหล้าที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าอยู่ แต่ก็คอยแอบชำเลืองมาที่ผมอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนว่าพอเห็นผมลุกขึ้นเดินไปชวนเหล้ารัมซึ่งนั่งอยู่เยื้องไปทางด้านขวามือ เพื่อนในกลุ่มทั้งสามคนรวมถึงคนอื่นๆ ในห้องต่างก็พากันมองมาที่เราทั้งสองคนเป็นสายตาเดียว ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก พวกเขาก็คงจะสงสัยน่ะ ว่าทำไมเมื่อเช้านี้ผมที่ปกติจะมีคนขับรถส่วนตัวถึงได้ลงรถแลมโบกินี่มาพร้อมกับเหล้ารัม ทั้งที่ภาพความทรงจำจากเวทมนตร์ของนายพ่อมดมีเพียงแค่ว่าเขาเป็นนักศึกษาที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกับผมมากไปกว่าเพื่อนร่วมรุ่น ทำให้ตอนนี้เราสองคนน่าจะกลายเป็นประเด็นที่ใครหลายคนอยากจะตั้งคำถามให้ตอบ แต่คงยังหาจังหวะกันไม่ได้
"สังเกตมั้ยว่าทุกคนกำลังมองมาที่เรา" เหล้ารัมทักขึ้นทันทีด้วยระดับเสียงแบบที่ให้ได้ยินกันสองคน ผมก็เลยพยักหน้ารับกับสิ่งที่เห็นอยู่กับตา
"ก็คงสงสัยว่าเป็นอะไรกัน ทำไมถึงมาเรียนพร้อมกัน แถมยังเดินมาคุยกันอีก ล่ะมั้ง"
"งั้นหรอ อืม... แล้วเราสองคนจะเป็นอะไรกันล่ะ ผมจะได้ใช้เวทมนต์ให้พวกเขาจดจำเอาไว้แบบนั้น : )"
"ไม่ต้องใช้เวทมนต์อะไรทั้งนั้นแหละ" ผมทำเสียงดุ แกล้งทำเป็นไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย "เป็นอย่างที่เราเป็นเนี่ยแหละ"
แต่ก็ไม่รู้นะว่าเป็นอะไร ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน
"เฮ้ยวาฬ ถ้าตกลงกับไอ้เหล้าเสร็จแล้ว ไปเจอกันข้างล้างนะ หลิวมันจะไปเปลี่ยนผ้าอนามัย มันบอกห้องน้ำชั้นบนไม่ค่อยสะอาด
"เอก!"
แล้วจู่ๆ เอกก็ตะโกนมาหาผมด้วยสีหน้าที่เหมือนว่าจะไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น มีแต่หลิวที่โดนเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดนั่นแหละที่ถึงกับต้องเอาวิตตองฟาดแขนแข็งแรงของไอ้เอกทันที ส่วนบอยก็ทำเพียงแค่หัวเราะก๊าก ก่อนที่พวกมันทั้งสามคนจะพากันเดินออกจากห้องไป
ปล่อยให้ผมได้แต่ส่ายหน้ากับ 'ความเป็นไอ้เอก' ไล่หลังพวกมันไป แล้วหันกลับมาหานายพ่อมดเหล้าที่ดูจะอึ้งๆ กับคำพูดของเพื่อนผม
"เอกนี่..ดิบดีเนอะ"
"มันก็แบบเนี้ยแหละ ว่าแต่คุณเถอะ เย็นนี้ว่างหรือเปล่า"
"ไม่ว่างครับ"
"อ้าว ไปไหนล่ะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะในใจคิดว่าเขาจะว่างและกลับพร้อมกัน (ในกรณีที่เพื่อนไม่ได้ชวนไปไหน) ซะอีก
"คือเย็นนี้ผมมีแข่งโปโลกับเจ้าชายที่โลกเวทมนตร์น่ะครับ ว่าจะชวนคุณไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าคุณจะมีแพลนไปกับเพื่อนๆ แล้ว"
คำว่า 'โลกเวทมนตร์' ทำเอาหัวใจของผมพองโตขึ้นมาเลย เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ไปก็คือตอนที่..เอียนยังทำพันธะสัญญากับผมอยู่ ซึ่งก็นานมากแล้ว ไหนจะกีฬาโปโลและเจ้าชายที่นายพ่อมดเหล้าพูดถึงอีก มันน่าสนใจไปหมดทุกอย่างเลยอะ
"ใช่ครับ ตอนแรกว่าจะมาชวนคุณไปทำงานวิชาอาจารย์กบด้วยกันที่ร้าน Today I Learned ตรงหลังมอ"
"อ๋อ ถ้างานวิชาอาจารย์กบนั่นผมเสกเตรียมเอาไว้แล้วแหละ ตอนแรกก็ว่าจะทำเองนะ แต่พอดีติดแข่งโปโล ก็เลยขอแอบโกงนิดนึง" เหล้ารัมหัวเราะ ผมเลยยิ้มตามในสิ่งที่เขาพูดไปด้วย ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่ต้องเรียนให้จบอย่างจริงจังอยู่แล้ว การที่เขาจะเสกงานให้มีส่งหรืออะไรมันก็ไม่ผิดทั้งนั้นแหละ "ว่าแต่คุณเถอะ ให้ผมช่วยเสกงานให้เอามั้ย จะได้ไปดูผมแข่งโปโลได้ สนุกนะ เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักกับเจ้าชายรัชทายาทคนปัจจุบันด้วย เพื่อนซี้ผมเอง" ..ต่างจากผมที่ไม่สามารถใช้วิธีโกงแบบเขาได้ ถ้าจะทำก็ต้องทำเอง
ตอนนี้ก็เลยทำให้เกิดการช่างใจขึ้น เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าสิ่งที่เหล้ารัมเสนอมามันน่าสนใจมาก
แต่ในขณะเดียวกัน..ผมก็รับปากกับเพื่อนๆ ไปแล้ว เลยรู้สึกว่าไม่โอเคเท่าไหร่ที่จะต้องผิดคำพูด
เพราะฉะนั้น.. "ผมอยากดูคุณแข่งนะเหล้ารัม แต่ผมรับปากเพื่อนๆ ไปแล้วว่าจะไปทำงานด้วย อีกอย่างนะ ผมให้คุณเสกงานให้ผมไม่ได้หรอก เกิดในอนาคตผมให้คุณทำอีกจนติดเป็นนิสัย พอเรียนจบไปทำงานผมก็แย่ดิ" ผมจึงอธิบายเหตุผลที่ตัวเองไม่สามารถไปโลกเวทมนตร์กับเขาได้ด้วยน้ำเสียงติดตลกเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าไม่ได้ซีเรียสอะไร
จริงๆ คืออยากไปนะ แต่ก็ติดอย่างอื่น เพราะฉะนั้นก็เลยไปไม่ได้ มันก็คือแค่นั้น
แต่พอพูดเหตุผลไปแล้ว ผมถึงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า..สิ่งที่พูดออกไปมันค่อนข้างจะ
ตลกร้ายอยู่ไม่น้อย ในเมื่อผมเองมีเวลาต่อจากนี้อีกแค่สี่เดือนเท่านั้น มันคงไม่มากพอจนถึงขนาดที่จะได้เรียนจบและทำงานหรอก
ดังนั้น ถ้าจะว่ากันตามตรง มันก็เป็นเหตุผลในการปฏิเสธที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
"งั้นไม่เป็นไร ยังมีการแข่งขันอีกตั้งหลายครั้ง คุณต้องได้ดูสักครั้งล่ะผมว่า : )" แต่เหล้ารัมก็ดูจะเข้าใจนะ เพราะเขาส่งยิ้มบางๆ มาให้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วถือวิสาสะวางมือลงบนหัวผมอย่างอ่อนโยนโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต ชวนให้นึกถึงเมื่อคืนตอนที่เขาบอกฝันดีกับผมเลย... "แล้วอีกอย่าง ช่วยยิ้มเยอะๆ ด้วย เพราะไม่ว่ายังไง คุณจะต้องได้มีอนาคตที่เรียนจบแล้วทำงานเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ แน่"
"..."
ผมเงียบ.. จริงๆ แล้ววินาทีหลังจากที่เหล้ารัมพูดจบ ผมก็รู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรตอบกลับไปนะ เปิดปากแล้วด้วย แต่สุดท้ายผมก็พูดอะไรไม่ออก... ในขณะที่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กับสิ่งที่เหล้ารัมพูดออกมา
ตึกตัก ตึกตักทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้บอกว่าคิดอะไร แต่เขากลับล่วงรู้มันราวกับอ่านใจของผมได้.. ถ้าสีหน้าผมมันไม่แสดงออกชัดเจน ก็แสดงว่าเขาคงสังเกตผมอย่างมากเลยแหละ ถึงได้รู้ใจกันขนาดนี้
"นี่ ยิ้มหน่อยสิครับ" ก่อนที่นายพ่อมดเหล้าจะเริ่มเรียกร้อง ซึ่งคราวนี้ผมยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะรู้สึกอยากตอบแทนความรู้สึกดีๆ ที่รับรู้ได้จากคำพูดของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าเหล้ารัมคิดแบบนั้นจริงๆ หรือแค่ต้องการจะปลอบโยนเพื่อคลายความรู้สึกผม แต่ไม่ว่าจะทางไหน เขาก็สมควรได้รับรอยยิ้มจากผมทั้งนั้น
ซึ่งพออีกฝ่ายเห็นว่าผมยิ้มให้ เขาก็คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ดูท่าว่าคงพร้อมที่จะกลับแล้ว
"แล้วผมก็ไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจคุณด้วย แต่มันจะต้องเป็นไปตามนั้นจริงๆ เพราะว่าคืนนี้เราจะทำพันธะสัญญากัน : )"
"คืนนี้?" แต่สิ่งที่เขาพูดต่อจากนั้นทำให้ผมประหลาดใจ เพราะนอกจากจะเป็นอีกครั้งที่เขาพูดเหมือนรู้ใจผมแล้ว เหล้ารัมยังปิดประโยคสุดท้ายด้วยเรื่องของการทำพันธะสัญญาซึ่งเป็นหัวใจหลักของการที่เราสองคนมาอยู่ร่วมกัน เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นในคืนนี้แล้วเท่านั้นเอง
แอบรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันแฮะ
"ใช่ครับ คืนนี้หนึ่งทุ่มเจอกันที่คอนโด เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่ที่นึงเพื่อทำพันธะสัญญา รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ : )"
"โอเค" ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยที่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ไม่ใช่ไม่อยากรู้ว่าเขาจะพาผมไปไหน ไม่ใช่ไม่อยากรู้ว่าการทำพันธะสัญญามันจะต้องทำอย่างไร เพียงแต่ความสงสัยของผมมันแทบจะเบาบางไปเลยเมื่อเทียบกับบางสิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในใจตอนนี้
มันเป็นสิ่งที่ผมเคยมี แต่ทำหล่นหายไปเนิ่นนานเสียจนคิดว่าชีวิตนี้คงไม่สามารถหามันเจอได้อีกแล้ว
และสิ่งนั้นก็คือ..
ความหวัง"งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนคุณจะรอนาน : )"
..หวังว่าตัวเองจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้ ได้มีอนาคตที่อยากมี ได้อยู่กับทุกคนที่ผมรักไปอีกนานๆ
ถึงผมจะดูไม่ยี่หระกับความตาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมพร้อมที่จะหยุดลมหายใจลงนะ เพียงแต่พอมันไม่เห็นหนทางอื่นแล้ว หรือก็คือสิ้นหวังนั่นแหละ ก็เลยเหลือทางเดียวที่ทำได้คืออยู่กับมันให้ชิน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันเกิดปีที่สิบสอง) ผมดูจะตายด้านกับความตายไปเสียแล้ว การมีชีวิตอยู่คืออะไร? ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ในใจผมเหมือนมีแต่ความเงียบ... และก็คงจะเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเกิดว่าไม่ได้มาเจอกับเขา
เลยทำให้ได้รู้ว่า ในโชคร้าย..ก็ยังมีโชคดีที่ชื่อว่าเหล้ารัมอยู่ : )
และเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ผมถึงได้คว้ามือของนายพ่อมดหน้าหล่อมาจับไว้ ก่อนจะเดินจูงมือของเขาออกมาจากห้อง โดยไม่สนสายตาใคร...
...พอลงมาถึงชั้นล่าง ผมกับเหล้ารัมต่างก็แยกย้ายกันไป เขาดูมีความสุขนะที่ผมเป็นฝ่ายจับมือเขา ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ในขณะที่เพื่อนในกลุ่มที่นั่งรอกันอยู่ชั้นล่างยิ้มแซวใหญ่ เพราะว่าตำแหน่งโต๊ะอยู่ตรงจุดที่เห็นตอนเหล้ารัมกับผมเดินจับมือกันลงมาจากบันไดพอดี
"รีบไปที่ร้านกันเถอะ เดี๋ยวงานไม่เสร็จนะ" ผมเลยแกล้งตีหน้าซื่อทำเป็นมองข้ามรอยยิ้มเหล่านั้น ทั้งที่ตัวเองก็อยากยิ้มให้แก้มปริออกมาเลยด้วยความอาย แต่ถ้าแสดงออกมากก็จะโดนตั้งคำถามมากเช่นกัน เลยขอปกปิดความรู้สึกเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
ซึ่งบอยกับหลิวก็ช่วยทำทีพยักหน้ายอมปล่อยผ่านแล้ว เหลือแต่ไอ้เอกเนี่ยแหละที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมจบง่ายๆ "แล้วไอ้เหล้าล่ะ" เพราะมันถามถึงอีกคนที่แยกกันไปแล้ว แม้จะหน้านิ่งไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก แต่ด้วยความที่คบกันมานาน ผมเลยดูออกว่ามันอยากจะต้อนผมให้จนมุมใจจะขาด
คนอย่างเอกน่ะ ถ้าไม่เป็นมิตรด้วย ก็ถือว่าคุณได้ศัตรูตัวร้ายเลยน่ะนะ
"เหล้ารัมไม่ว่าง เขามีธุระน่ะ"
"แล้วทำไมมึงถึงต้อง..."
"เอก บอย กูไปคันหลิวนะ ไว้เจอกันที่ร้าน มาๆ หลิว เดี๋ยวเราช่วยถือของ"
พอเห็นว่าไอ้เอกยังจะต่อ ผมเลยตัดสินใจพูดแทรกตัดบทมันซะเลย ก่อนจะช่วยหลิวถือของเดินนำไปที่ลานจอดรถ เพราะยังไม่พร้อมที่จะตอบอะไรตอนนี้ทั้งนั้น
แล้วก็เป็นโชคดีของผมจริงๆ ที่เลือกรถถูกคัน เพราะหลิวไม่ถามถึงเรื่องเหล้ารัมเลย มีแค่โยนไอเดียเรื่องงานมาคุยกับผมเท่านั้น นี่ถ้าไปรถไอ้เอกกับไอ้บอยนะ มันคงวนๆ ถามผมจนกว่าจะได้คำตอบนั่นแหละ
อยากรู้อยากเห็นเหลือเกินไอ้พวกเพื่อน!
* * * *
Today I learned เป็นร้านกาแฟที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากเด็กมหา'ลัยผมและผู้ใหญ่วัยทำงานในละแวกใกล้เคียง เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้ (อยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าออกหลังมอ) และมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่โคตรอร่อยแล้ว ที่ร้านยังเปิดให้บริการลูกค้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย เหมาะสำหรับช่วงสอบหรือช่วงที่ต้องปั่นงานส่งแบบหามรุ่งหามค่ำ เรียกว่าตอบโจทย์ยุคเด็กรุ่นใหม่ไฟลนก้นได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่เจ้าของร้านอย่าง
'พี่ไอด้า' ก็เป็นที่รักของเด็กมอผมแทบจะทุกคนเช่นกัน ก็นะ พี่เขาทั้งใจดีแถมยังเป็นคนที่เก่งมากๆ เลยนี่หน่า ทำให้มักจะมีประสบการณ์ในเรื่องของการเรียนการทำงานหรือแม้แต่กระทั่งการใช้ชีวิตทั่วไปมาแชร์ให้เด็กๆ ฟังอยู่เสมอ ทั้งที่ก็จบด้านวิศวะแค่ใบเดียว แต่กลับให้คำปรึกษาเด็กได้ทุกคณะ จนบางทีคุยๆ กัน ผมยังคิดเลยว่าทำไมพี่เขาถึงได้เทพขนาดนี้?
ลองคิดดูสิ ผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่คนเดียว เอ๊ะ? ไม่สิ เลี้ยงแมวด้วยอีกหนึ่งตัวชื่อ
เจ้าอิ๋ว (พันธุ์เปอร์เซีย) แต่กลับพาร้านให้ใหญ่โตได้ภายในปีเดียวหลังจากที่เปิดทำการมา มีทั้งโซนนั่งกิน โซนห้องทำงาน โซนห้องอ่านห้องติวหนังสือ และโซนห้องพักที่สามารถนอนได้ด้วย ซึ่งไม่ใช่ว่าทำไปได้เพราะเงินถึงอย่างเดียว แต่ยังทำออกมาได้ดีสมกับเงินที่ลงทุนไป โดยเฉพาะความปลอดภัยของเด็กที่พี่ไอด้านั้นจะเน้นหนักมากเป็นพิเศษ ทำให้ใครหลายคนที่มาใช้บริการบอกว่าที่นี่เหมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขาเลยทีเดียว
ซึ่งวันนี้กลุ่มของผมเลือกซื้อบริการห้องทำงานใหญ่ของทางร้านหนึ่งห้องแบบวีไอพี คือจ่ายทีเดียวแล้วยิงยาวยี่สิบสี่ชั่วโมง เหมาะสำหรับการทำงานเป็นกลุ่ม โดยสิ่งที่ได้คือโต๊ะขนาดใหญ่กลางห้อง อุปกรณ์เครื่องเขียน อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โปรเจ็คเตอร์ ไวท์บอร์ดและจอสำหรับฉายภาพ นอกจากนี้ยังสามารถยืมแล็ปท็อปใช้ได้ในกรณีที่ไม่ได้พกมาเอง รวมถึงมีอาหารและเครื่องดื่มชุดใหญ่ให้ฟรีคนละหนึ่งชุดตามจำนวนของคนที่มา เพราะฉะนั้นราคาที่ต้องจ่ายก็จะสัมพันธ์กับผู้ใช้ด้วย เรียกว่าพวกผมทั้งสี่คนสามารถทำงานยิงยาวอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายๆ แถมห้องน้ำในตัวก็ยังมีฝักบัวให้อาบด้วยนะ (ของใช้สำหรับอาบสามารถซื้อได้ที่ไอด้าหรือไม่ก็ซื้อกับพนักงานของร้าน) บอกแล้วไงล่ะว่าที่นี่น่ะมันบ้านหลังที่สองจริงๆ
"โอ๊ยยยยย~ คิดงานไม่ออกโว้ย!"
แต่ถึงจะสะดวกครบครันเพียงใด ร้าน Today I Learned ก็ไม่สามารถทำให้คนที่คิดงานไม่ออกมันคิดออกได้หรอกนะ ยกตัวอย่างเช่นบอยนี่ไง
"ใจเย็นเพื่อน เดี๋ยวก็นึกออก" เอกที่นั่งข้างผมรีบปลอบใจเพื่อนทันที ก่อนจะสไลด์ถุงขนมใกล้มือไปให้บอยที่รับไปงับไว้นิ่งๆ โชว์เล็กดัดฟันสีขาวราวกับหมาหงอยงับถุงขนมก็ไม่ปาน
"พูดแบบนี้แสดงว่าเอกคิดงานออกแล้วสินะ" หลิวก็เลยตั้งคำถามกับเอกบ้าง
ซึ่งความเป็นจริงก็คือ...
"ยังหรอก ตันเหมือนกัน"
"โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าเสร็จแล้ว มึงเอาขนมมึงคืนไปเลยไป" บอยได้ทีเลยสไลด์ถุงขนมกลับคืนมาให้อีกฝ่าย
ส่งผลให้พวกเราทั้งสี่คนหัวเราะออกมาพร้อมกันกับบทสนทนาที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
"ต้องนี่สิครับคนเก่งของจริง ไม่ได้กำลังหาข้อมูลอยู่นะ แต่ลงมือทำไปได้เยอะแล้วด้วย เทพชิบหาย" ก่อนที่ไอ้เอกจะเอาแขนมาโอบไหล่ผมไว้ พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ อย่างกวนตีน จนได้กลิ่นบุหรี่ Benson & Hedges ที่มันชอบสูบอยู่ประจำ
"ก็วันนี้มีเรียนบ่าย ถ้าตื่นมาหาข้อมูลต่อยอดไอเดียกันตั้งแต่เช้า ป่านนี้ก็คงได้เริ่มทำกันไปแล้วแหละ"
"แต่หลิวลองนั่งหาไอเดียตั้งแต่เช้าแล้วนะวาฬ แต่มันคิดไม่ออกจริงๆ" หลิวทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้
ผมเลยต้องรีบพูดต่อให้ชัดเจนขึ้น "เรารู้ว่าหลิวหาแล้ว ที่พูดนี่คือหมายถึงเอกกับบอยแค่สองคน เพราะพวกนี้น่ะมีเรียนบ่ายก็ตื่นเที่ยงนั่นแหละ" แล้วก็ไม่ได้พูดเปล่าด้วยนะ ผมมีการหันไปหรี่ตามองทั้งสองคนแบบให้รู้สำนึกด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะมีแค่บอยเท่านั้นที่หดหัวลงนิดหน่อย ในขณะที่คนข้างๆ ผมอย่างไอ้เอกกลับส่งรังสีอำมหิตมาให้
"จะบอกว่าตัวเองขยันตื่นเช้ามาทำงานงั้นสินะ"
"ก็ใช่น่ะสิ"
"แล้วไปตื่นเช้าเอาห้องใครเขาล่ะ ถึงได้มาเรียนพร้อมกับไอ้เหล้าน่ะ"
"..."
นั่นไงล่ะ.. ผมบอกแล้วว่าคนอย่างไอ้เอกน่ะมันร้าย!
ไม่คิดเลยว่าจากเรื่องงานจะสามารถพาวกเข้าเรื่องผมกับเหล้ารัมได้
เก่งจริง!
"นั่นดิ ทีแรกกูก็ไม่คิดอะไรมากนะ คิดแค่ว่าบังเอิญติดรถกันมา แต่พอเห็นตอนเดินจับมือกันลงมาจากตึกเรียน กูชักสงสัยละว่ามึงกับมันนี่ยังไงกันแน่" แล้วพอเอกเปิดประเด็น บอยก็เริ่มตาม โดยมีหลิวที่ตีไหล่บอยเหมือนเป็นเชิงห้าม ทั้งที่ก็คงจะสงสัยไม่แพ้กันนั่นแหละ
โอเค ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคิดว่าผมควรพูดอะไรให้พวกเพื่อนๆ ได้รับรู้บ้าง แม้ว่าจะบอกออกไปได้ไม่หมดก็ตามที
"ก็ไม่ยังไงหรอก คือตอนนี้กูกับเหล้ารัมอยู่ด้วยกันแล้ว"
"หา!?" ทั้งสามเสียงร้องตกใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ไอ้เอกที่ไม่ค่อยสะทกสะท้านกับอะไรก็ยังเบิกตาโตกว่าใครเพื่อน
"อยู่ด้วยกันเนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่าวาฬ!?" หลิวที่ดูจะตั้งสติได้เป็นคนแรก รีบถามผมกลับมา
"เปล่า ไม่ได้ล้อเล่น"
"ละ..แล้วไปอยู่ด้วยกันได้ยังไงฟะ!?" คราวนี้เป็นบอยที่ถามบ้าง
"คือ..เหล้ารัมมาจูบกู แล้วก็ขอพ่อกับแม่ให้กูไปอยู่ด้วย"
"แล้วพ่อแม่มึงก็ยอมเนี่ยนะ!?" ก่อนจะปิดท้ายด้วยเอกที่ไม่ได้แค่ถามเฉยๆ แต่จับไหล่ผมให้หันไปมองหน้ามันตรงๆ
ตาเหยี่ยวของมันจับจ้องเข้ามา ราวกับอยากได้ความจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
"ใช่"
"ทำไมวะ ทำไมแค่จีบถึงต้องให้มึงไปอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมพ่อแม่มึงถึงยอมง่ายๆ กูไม่เข้าใจ"
"ต้องยอมสิ ในเมื่อเหล้ารัมจะเป็นคนที่ช่วยกูให้มีชีวิตอยู่ต่อนี่"
"ยังไง? แล้วทำไมมึงพูดเหมือนว่ามึงกำลังจะตาย บอกกูมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"
"..."
"วาฬ ตอบกูมา"
"..."
"วาฬ!"
เสียงดุๆ ของเอกทำให้บอยกับหลิวแสดงสีหน้าลำบากใจ ในขณะที่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น เพราะคนอย่างผม บทจะกลัวก็คือกลัว แต่ถ้าถึงคราวที่ดื้อเงียบไม่อยากต่อความ ต่อให้ต่อยจนล้มลงกับพื้นก็ง้างปากผมไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังหยักยิ้มบางส่งให้เอกด้วย ก่อนจะจับมือมันที่ยึดไหล่ผมอยู่ออกซะ แล้วส่งผ่านข้อความทางสายตาในแบบที่ให้รู้ว่า..
มันควรจะพอแค่นี้ไอ้เอกก็เลยสบถออกมาคำนึง ก่อนจะทิ้งตัวลงกอดอกพิงเก้าอี้อย่างยอมแพ้ เพราะมันน่าจะรู้นิสัยผมดี แต่ก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นักหรอกนะ ในขณะที่อีกสองหน่อก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา แล้วแยกย้ายกันทำงาน
คงมีแต่ผมเท่านั้นที่ยังยิ้มได้ และก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปในความเงียบ ทั้งที่ในใจคือ..
ขอโทษนะพวกมึงไม่ใช่ว่าผมเกิดอยากจะกวนตีนตัดบทเพื่อนขึ้นมาดื้อๆ นะ แล้วก็รู้ด้วยว่าบอกไปแค่นั้นไม่ต้องบอกซะดีกว่า แต่ทำไงได้ พวกคุณต้องทำความเข้าใจก่อนนะว่าผมไม่อยากหาเรื่องโกหกมาเล่า ผมขี้เกียจมานั่งจำเรื่องที่ตัวเองแต่งขึ้น เลยทำให้สามารถบอกได้แค่เท่าที่บอกได้เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงก็อยากจะเล่าออกไปเป็นฉากๆ เลยเหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่า..
หนึ่ง..กลัวโดนจับส่งโรงพยาบาลบ้า เพราะเรื่องที่เล่ามันแฟนตาซีมากเกินไป
และสอง..ต่อให้ไม่กลัวโดนด่าว่าบ้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการช่วยมันจะออกมาในรูปแบบไหน
คงต้องได้แต่รอให้ถึงเวลานัดคืนนี้นั่นแหละ ถึงจะรู้
ฝากคอมเม้นติชมกันด้วยนะครับ : )
ป.ล. หากใครอยากพูดคุยอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใน twitter ฝาก #พ่อมดเหล้า เพื่อง่ายต่อการตามอ่านของคนเขียนนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ
my page :
https://www.facebook.com/hamsterisanauthor/ 