บทที่ 2 วาสนาของอาจารย์กับศิษย์
แสงแดดยามสายกำลังสาดส่องลอดพุ่มใบไม้น้อยใหญ่ลงมากระทบร่างเล็กของจ้าวเฟยหลงที่นั่งหลับตาฝึกลมปราณผนึกฟ้าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เห็นประกายแสงสีรุ้งอ่อนๆ ระยิบระยับวนเวียนอยู่รอบตัวดูแปลกตา ที่เบื้องหน้านั้นเป็นน้ำตกใหญ่ ได้ยินสียงสายน้ำร่วงหล่นจากที่สูงกระทบโขดหินเบื้องล่างดังครื่นครั่นไม่ขาดหู
ตูม!!!!!
เสียงวัตถุกระทบผิวน้ำดังก้องกังวานสะท้านสะเทือนเรียกจ้าวเฟยหลงให้ตื่นจากภวังค์แห่งการฝึกลมปราณ ดวงตากลมโตลืมขึ้น จับจ้องมองไปยังน้ำตกเบื้องหน้า ฉับพลันนั้นปรากฏเงาร่างมีดำคล้ายปลายักษ์ขนาดมหึมาพุ่งพรวดขึ้นมาจากใต้น้ำขึ้นไปสูงหลายวา เห็นปากของมันถูกเกี่ยวด้วยวัตถุแวววาวคล้ายโลหะเนื้อดีลากเส้นเชือกต่อสายยาวออกไปหลายวา
“หวา!!!!! เจ้าบ้าอย่าดิ้นนักได้ไหม ข้าเหนื่อยแล้วนะ!!!!!” ปลายเชือกมีร่างของคนผู้หนึ่งจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ตูม!!!!! เจ้าปลายักษ์พลันมุดลงน้ำไปอีกครั้ง พร้อมทั้งลากร่างของคนผู้นั้นตามลงไปด้วย จ้าวเฟยหลงเบิกตากว้างจ้องมอง รู้สึกประหลาดใจและแอบทึ่งในความดื้อดึงของคนผู้นั้นยิ่งนัก แม้จะโดนลากลงไปในน้ำลึกแต่มือนั้นกลับไม่ยอมปล่อยเชือก ช่างเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นจริงๆ จ้าวเฟยหลงอดจะทอดถอนใจชมเชยไม่ได้ พลางขยับร่างเดินเข้าไปใกล้น้ำตก เห็นผิวน้ำกลับนิ่งเรียบเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“หรือว่าเขาจะจมน้ำตายไปแล้ว” จ้าวเฟยหลงพึมพำ
ซ่า!!!!! เสียงน้ำพุ่งกระจาย พร้อมกับร่างของคนผู้นั้นทะลึ่งพุ่งพรวดขึ้นมา สายน้ำสาดกระเด็นถูกร่างจ้าวเฟยหลงจนชุ่มโชก เปียกปอนไปทั้งตัว
แฮ่ก!!! แฮ่ก!!! แฮ่ก!!!
“โอ๊ย เหนื่อย!! เจ็บใจ น่าเจ็บใจยิ่งนัก เจ้าปลายักษ์ตัวนั้นดันหลุดไปได้ โธ่เว้ย!!” คนผู้นั้นหอบหายใจแฮ่กๆ เร่งโกยอากาศเข้าปอด หากแต่ปากกับไม่ยอมหยุดบ่น สองมือฟาดลงกับสายน้ำเบื้องหน้าอย่างนึกเจ็บใจตนเอง สายน้ำกระเด็นสาดต้องร่างจ้าวเฟยหลงที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เปียกปอนจนไม่อาจจะเปียกปอนได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“ว๊าก!!! เจ้าพรายน้ำ อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว” คนผู้นั้นร้องขึ้นดังลั่น เมื่อเหลือบเห็นร่างเปียกปอนที่ยืนถลึงตาจับจ้องมองมาที่มันอยู่ พลางขยับถอยตั้งท่าจะมุดลงน้ำไปอีกรอบ
“หยุด!!! ข้าไม่ใช่พรายน้ำ ดูให้ดีสิ” จ้าวเฟยหลงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ในใจครุ่นคิดเขาไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย ให้ตายสิ!! นั่งฝึกวิชาอยู่ดีๆ กลับต้องมาโชคร้ายเปียกปอนไปทั้งตัว ยังไม่พอยังต้องมาพบเจอกับคนสติไม่ดีอีกคนหนึ่ง
“หือ เจ้าไม่ใช่พรายน้ำ เจ้าเป็นคนหรอกหรือ ใช่ๆ เจ้าเป็นคน เจ้าเป็นคนจริงๆ ด้วย ข้าเห็นเงาเจ้าแล้ว ฮ่าๆ”
“ก็ใช่นะสิ แล้วท่านไม่คิดจะขึ้นมาจากน้ำหรือ”
“ขึ้นๆ แฮ่ๆ แต่ข้าขึ้นไม่ได้ เจ้าช่วยดึงข้าขึ้นไปหน่อยสิ” คนผู้นั้นกระพริบตาปริบๆ อย่างเว้าวอน แต่ทำไมมันน่าหมั่นไส้ก็ไม่รู้ในสายตาของจ้าวเฟยหลงได้แต่ค้อนให้วงหนึ่งแล้วก็ช่วยลากคนผู้นั้นขึ้นมาจากน้ำอย่างทุลักทุเล เมื่อขึ้นมาได้ก็นั่งแหมะลง หอบหายใจอยู่ริมน้ำตรงนั้น
หมดกัน!!! ภาพลักษณ์ของความห้าวหาญดุดันอันน่าเกรงขามที่เขาเห็นเมื่อตอนไล่จับเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นไม่มีเหลือแล้ว จ้าวเฟยหลงคิดพลางเหลือบสายตามองดูคนผู้นั้น เห็นเป็นเพียงเด็กหนุ่มเยาว์วัยอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีหน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม ดูจากเสื้อผ้าเนื้อบางที่สวมใส่ ซึ่งตอนนี้เปียกปอนแนบลู่ไปตามลำตัวของมัน เห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนงาม ดูแข็งแรง นับว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งที่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น จะต้องเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วทั้งดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้เป็นแน่
“เอ๋!!! เด็กน้อยเจ้าเป็นใครกัน มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วบิดามารดาของเจ้าล่ะ ที่นี่อันตรายมากเลยนะ มันมีสัตว์อสูรดุร้ายมากมายอาศัยอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ มันไม่ใช่ที่ๆ เด็กที่มีระดับพลังยุทธ์ก่อกำเนิดขั้นต่ำอย่างเจ้าจะมาวิ่งเล่นได้หรอกนะ” คนผู้นั้นหันขวับมาจับจ้องมองจ้าวเฟยหลงแล้วเอ่ยปากถามรัวเร็วอย่างเพิ่งนึกได้
“ช้าๆ หน่อยพี่ชาย ท่านจะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนล่ะ แต่อันที่จริงข้าสิต้องถามท่าน ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วไม่เคยพบเห็นผู้คนมาก่อน แล้วท่านล่ะโผล่พรวดมาจากที่ไหนกัน ข้าจ้าวเฟยหลง แล้วท่านล่ะ”
“ขออภัยๆ ข้าตื่นเต้นยินดีมากไปหน่อย ข้าก็ไม่พบเจอผู้คนบนเทือกเขาแถบนี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน ข้าจินอวี่ อาศัยอยู่บนเขาลูกโน้น” จินอวี่บอกพลางชี้มือไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลลิบออกไป ซึ่งจ้าวเฟยหลงก็เคยนั่งจ้องมองดูอยู่บ่อยครั้ง และเคยหมายมาดไว้ว่าหากฝึกฝนตนเองจนแข็งแกร่งกว่านี้จะลองไปที่นั่นดูสักครั้ง ด้วยสงสัยอยากจะรู้ว่ายอดเขาอันสูงลิบลิ่วเช่นนั้นจะอาศัยอยู่ด้วยสิ่งมีชีวิตแบบใดกัน อีกทั้งยังเคยคิดจินตนาการไปไกลว่า หากจะมีเทพเซียนอาศัยอยู่บนโลกนี้ สถานที่พักอาศัยก็น่าจะเป็นเช่นภูเขาสูงลูกนั้นที่เห็นเพียงปลายแหลมของยอดเขาโผล่ขึ้นมา ด้านข้างล้อมรอบด้วยเมฆขาวลอยละล่องดูงามตา
“ท่านอยู่บนนั้นหรอกหรือ แล้วท่านเป็นคนหรือว่าเป็นเซียนกัน ข้าก็เคยคิดจะเดินทางไปยังที่นั่น” สองตาจ้าวเฟยหลงเบิกกว้างถามจินอวี่ด้วยความสนใจ
“ฮ่าๆ ใช่แล้วข้าอยู่บนนั้น ที่นั่นเรียกว่ายอดเขาเทียมเมฆา แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนหรือเป็นเซียนล่ะ”
“ก็ต้องเป็นคนอยู่แล้ว แถมเป็นยังเป็นคนสติไม่ดีคนหนึ่งด้วย” ประโยคหลังจ้าวเฟยหลงพึมพำเสียงแผ่วเบา
“หืม เจ้าว่ายังไงนะ” จินอวี่หันขวับมามองจ้าวเฟยหลงในทันใด
“เปล่าๆ สักหน่อย ข้าว่าท่านจะต้องเป็นคนที่มีพลังยุทธ์ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ ถึงอาศัยอยู่ในที่อันตรายๆ แบบนั้นได้ หูดีเป็นบ้าเลยให้ตายสิ”
“ฮ่าๆ ข้าอาศัยอยู่บนนั้นกับท่านอาจารย์เพียงสองคน ว่าแต่เฟยหลงเจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“เอ่อ……” เห็นจ้าวเฟยหลงท่าทางอึกอักไม่อยากตอบคำถาม จินอวี่จึงพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว
“หากเจ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องบอกออกมาก็ได้ แล้วเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นนะพี่ชาย ข้าบอกท่านก็ได้ ข้าออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียวน่ะ”
“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าทำไมจึงออกจากบ้านมา เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ แต่ที่ข้าแปลกใจกลับเป็นเมื่อตอนที่ข้าซุ่มตัวรอคอยเจ้าปลายักษ์นั่นปรากฏตัว ข้าสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ถึงสามคน ตอนแรกข้ายังคิดว่าเป็นพลังของสัตว์อสูรขั้นสูงที่อาศัยอยู่ที่แถวนี้เสียอีก แต่เมื่อพบเห็นเจ้าข้าก็มั่นใจว่าพลังที่ข้าสัมผัสได้ในตอนนี้เป็นพลังของผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน ใช่พวกเดียวกับเจ้าหรือเปล่า”
“ไม่ใช่นะ ข้าอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นผู้คนคนอื่นเลยนอกจากท่าน จะเป็นพวกที่เข้ามาล่าสัตว์อสูรเพราะต้องการพลังธาตุของมันหรือไม่ แล้วเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นคือสิ่งใดกันหรือพี่ชาย”
“อืม อาจจะเป็นพวกนักล่าสัตว์อสูรอย่างที่เจ้าว่าก็เป็นได้ เจ้าปลายักษ์นั่นหรือมันคือ ปลามังกรนิลกาฬ สัตว์อสูรดินแดนธาตุน้ำ เจ้าตัวนี้อายุห้าร้อยปีแล้วล่ะจัดเป็นสัตว์อสูรระดับห้า ถือเป็นสัตว์อสูรหายากในหนึ่งปีมันจะปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็คือช่วงนี้ พลังธาตุของมันเหมาะสำหรับสำหรับนำไปปรุงโอสถเพิ่มพลังยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มันหลุดรอดไปได้ เจ้ารู้ไหม ข้ามาดักจับมันมาหลายปีแล้วแต่มันก็หลุดไปได้เสียทุกที น่าเจ็บใจนัก ฮึ!!!” จินอวี่เล่าออกมาด้วยท่าทางเดือดดาลในตอนท้าย ด้วยนึกเจ็บใจตัวเอง
สัตว์อสูรบนผืนแผ่นดินนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่สามารถช่วยยกระดับพลังให้กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ได้ แบ่งได้ตามพลังธาตุเป็นสัตว์อสูรธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ และธาตุพิเศษอื่นๆ นอกจากนี้ถ้าแบ่งตามระดับความแข็งแกร่งของพวกมันแล้วสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทเรียกว่า
สัตว์อสูรดินแดน จัดเป็นสัตว์อสูรที่พบเห็นได้บนแผ่นดินอาศัยอยู่ตามป่าเขาแบ่งเป็นเก้าระดับตามความแข่งแกร่งของพลังธาตุตั้งแต่ระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้า อีกประเภทเรียกว่า
สัตว์อสูรวิญญาณ ซึ่งจะมีพลังธาตุที่บริสุทธิ์กว่าสัตว์อสูรดินแดนมากนัก จัดเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่พบเห็นได้ไม่ง่ายนักบนแผ่นดินนี้ ถ้าหากเทียบระดับความแข็งแกร่งแล้วละก็สัตว์อสูรวิญญาณมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิและระดับมหาจักรพรรดิเลยทีเดียวและส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนดินแดนหมื่นอสูรอันไกลโพ้น ดินแดนหมื่นอสูรเต็มไปด้วยสัตว์อสูรนานาชนิด จึงไม่แปลกที่สมาคมนักล่าสัตว์อสูร ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของนักล่าสัตว์อสูรทั้งแผ่นดินจะตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น และด้วยความที่สมาคมนักล่าสัตว์อสูรมีทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์อันมหาศาลจึงถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลที่สุดบนดินแดนทั้งเจ็ดที่แม้แต่จอมราชันย์ผู้ปกครองดินแดนยังต้องให้ความเกรงใจ
“เฟยหลง ข้าว่าเจ้าไปอยู่บนเขาเทียมเมฆากับข้าดีไหม ข้าว่าที่นี่มันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะอยู่เพียงลำพัง ยิ่งเมื่อข้าสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ทั้งสามนั้นด้วยแล้ว เกรงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้าอีกต่อไป แม้ว่าข้าจะเพิ่งพบเจอกับเจ้า หากแต่ข้ากับรู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก เจ้าไปอยู่กับข้าเถอะ”
“จริงหรือ ท่านให้ข้าไปอยู่ที่นั่นกับท่านได้จริงๆ นะ” จ้าวเฟยหลงตากลมโตเบิกกว้าง สองมือเกาะแขน จินอวี่ กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ด้วยเฝ้ามองยอดเขาเทียมเมฆาอยู่บ่อยครั้ง และปรารถนาจะไปเยือนที่แห่งนั้นสักครั้งอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ อีกทั้งในช่วงอารมณ์ที่กำลังหงอยเหงาเมื่อจินอวี่ปรากฏตัวขึ้นกลับเติมเต็มความรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และด้วยวัยที่ห่างกันไม่มากนักจึงไม่แปลกหากจ้าวเฟยหลงจะถือจินอวี่เป็นสหายของเขา
“จริงสิ ท่านอาจารย์จะต้องชมชอบเจ้าอย่างแน่นอน แล้วข้าจะช่วยขอร้องให้อาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยอีกคน ดีหรือไม่” จินอวี่ยกมือลูบหัวจ้าวเฟยหลงด้วยความเอ็นดู เขาไม่มีพี่น้องเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรที่อาจารย์พบเจอระหว่างทางแล้วนำมาเลี้ยงดูสั่งสอนวิชาให้ด้วยความเมตตา จินอวี่รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งนัก แม้จะรู้สึกว่าจ้าวเฟยหลงต้องไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดา แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ หากจะปล่อยเด็กที่อายุเพียงสิบปีเช่นนี้อาศัยอยู่เพียงลำพังที่นี่
“ไป ไป เช่นนั้นข้าจะไปกับท่าน ข้าอยากเห็นยอดเขาเทียมเมฆายิ่งนัก แต่ว่าพวกเราจะขึ้นไปที่นั่นอย่างไรล่ะ หรือว่าพี่ชายท่านเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมที่เหาะเหินได้ แต่ว่า…ไม่น่าใช่ ท่านไม่เหมือนผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมเลยสักนิด” จ้าวเฟยหลงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ พูดพลางทำท่าครุ่นคิดพลางด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
วิ้ว!!!!! วิ้ว!!!!!
จินอวี่ยกมือขึ้นห่อปากเป่าลมก่อเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวดังยาวนานสองครั้ง ที่ปลายฟ้าไกลลิบปรากฏเงาสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในชั่วอึดใจก็เห็นรูปร่างของมันชัดเจนกลับเป็นนกเหยี่ยวสีน้ำตาลดำขนาดใหญ่บินมาหยุดลงข้างกายจินอวี่ แรงกระพือปีกพัดฝุ่นดินปลิวฟุ้งกระจาย จินอวี่ยกมือตบเบาลงที่ลำตัวให้มันย่อตัวลง
“เจ้าอิงเทียนจะพาพวกเราเดินทางไปยังยอดเขาเทียมเมฆา ไปกันเถอะเฟยหลง” เห็นจินอวี่กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลงเหยี่ยว พลางยื่นมือให้จ้าวเฟยหลงจับเพื่อจะช่วยดึงขึ้นไป
จ้าวเฟยหลงจับจ้องมองมือที่ยื่นมาคู่นั้น พลันตัดสินใจยื่นมือของตนให้จินอวี่จับ อาศัยแรงฉุดดึงของเขากระโดดขึ้นไปบนหลังเจ้าเหยี่ยวอิงเทียนได้ นับตั้งแต่นี้เขาจะไม่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังอีกแล้ว… อย่างน้อยเขาก็คาดหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น
---------------------------------------------------------------------
คล้อยหลังจากที่จ้าวเฟยหลงนั่งเหยี่ยวอิงเทียนไปกับจินอวี่ไม่นานนัก บริเวณริมน้ำตกพลันปรากฏร่างของบุรุษวัยกลางคนขึ้นสามคน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ทั้งสิ้น เห็นพวกเขาหยุดอยู่ริมฝั่งจ้องมองไปยังเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เห็นเพียงเงาสีดำอยู่ลิบๆ
“หานตงเจ้าไปส่งข่าวให้นายท่านทราบด้วย ส่วนข้ากับหานลู่จะติดตามไป ดูแล้วนายน้อยไม่น่าจะมีอันตราย แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องติดตามไปอารักขานายน้อย” บุรุษผู้หนึ่งพูดขึ้น
“ทราบแล้วพี่ใหญ่” พูดจบชายผู้นั้นพลันเคลื่อนไหวหายลับไปทางป่าด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“พวกเราก็ติดตามไปเถอะ” พูดจบทั้งคู่พลันเหินร่างไปยังทิศที่ยอดเขาเทียมเมฆาตั้งอยู่ เห็นเพียงเงาเคลื่อนไหวผ่านไปวูบหนึ่งเท่านั้น
---------------------------------------------------------------------
เหยี่ยวอิงเทียนพาจินอวี่กับจ้าวเฟยหลงร่อนลงหน้าตึกหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาเทียมเมฆา จะเรียกเป็นตึกก็ดูไม่ได้ใหญ่โตมากนัก อันที่จริงมันเป็นเพียงบ้านไม้หลังหนึ่งที่ปลูกแอบอิงแนบยาวไปตามแนวของภูเขา หน้าบ้านเป็นลานกว้างมีต้นไม้ยืนต้นเป็นแนวเสมือนรั้วบ้านคอยให้ร่มเงากับคอยบังแดดลมให้กับตัวบ้าน สองฟากข้างของแนวรั้วมีดอกไม้ปลูกประดับประดากำลังชูช่อดอกหลายสีสันดูงามตา
จินอวี่พาจ้าวเฟยหลงเดินบ้านลัดเลาะเข้าไปในตัวบ้านเพียงไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือห้องหนึ่ง เห็นทั้งสามด้านซ้ายขวาและด้านหลังเป็นชั้นเต็มไปด้วยหนังสือ แม้จะไม่ได้มีจำนวนมากมายเช่นหอหมื่นอักษรของตระกูลจ้าวที่จ้าวเฟยหลงขลุกอยู่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านแวบหนึ่งจ้าวเฟยหลงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ หนังสือในห้องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นตำราระดับสูงอันมีราคาค่างวดทั้งสิ้นแม้แต่ในหอหมื่นอักษรก็ยังมีไม่มากเท่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปรากฏอยู่ในห้องหนังสือเล็กๆ กลางป่าเขาเช่นนี้
“อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้ว” จินอวี่ร้องบอกพลางหันไปประสานมือคารวะที่มุมหนึ่งของห้อง จ้าวเฟยหลงถึงกับใจสั่นสะท้านขึ้นมา ที่นั่นถึงกับมีบุรุษวัยกลางคนในชุดสีขาวผู้หนึ่งนั่งหลับตาอยู่ หากแต่จ้าวเฟยหลงกลับไม่สามารถจับสัมผัสได้ถึงการคงอยู่นั้น
“กลับมาแล้วหรือ ข้าเดาว่าเจ้าคงจับปลามังกรนิลกาฬไม่ได้อีกตามเคยใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง พลางลืมตาขึ้นประกายตาดุจดั่งสายฟ้าจับจ้องมองไปยังจ้าวเฟยหลงในทันใด
“เจ้าพาใครมาด้วยหรือจินอวี่ หรือเจ้าจะลืมไปแล้วว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!!!” จากเสียงนุ่มทุ้มกลับกลายเป็นกระด้างเย็นชาในชั่วพริบตา
“แฮ่ๆ ท่านอาจารย์ ท่านอย่าเพิ่งดุข้าสิ ฟังข้าก่อนได้หรือไม่”
“เจ้ามีอะไรจะต้องพูดอีก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าห้ามพาคนนอกเข้ามาที่นี่โดยพลการ พามันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!!”
“อาจารย์…” ใบหน้าจินอวี่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน พยายามเอ่ยปากขอร้องผู้เป็นอาจารย์ หากแต่กลับไม่อาจออกเสียงได้ด้วยความตระหนกตกใจ ไม่เคยเห็นผู้เป็นอาจารย์แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธเคืองเช่นนี้มาก่อน อาจารย์ผู้ที่ใจดี ใบหน้ามักจะแต้มเต็มไปด้วยรอบยิ้มเมตตาในวันนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“พี่ชายท่านไม่ต้องพูดแล้ว ขออภัยผู้อาวุโสด้วยที่ข้าบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ขอท่านอย่าได้โกรธเคืองพี่จินอวี่เลย ข้าจะไปจากที่นี่เอง ขออำลา” จ้าวเฟยหลงประสานมือกล่าววาจา แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยอายุเพียงสิบปี หากแต่วาจากลับเด็ดเดี่ยวอาจหาญนัก พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้องนั้นทันที เมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ จะมีเหตุผลใดให้อยู่ที่นี่ต่อไป
“เฟยหลง!! เฟยหลง!!” แม้จะได้ยินเสียงร้องเรียกตามหลังหากแต่จ้าวเฟยหลงก็ไม่สนใจ รีบเร่งเดินออกไปไม่หันกลับไปมอง
เมื่อเดินออกมาถึงลานหน้าบ้านจ้าวเฟยหลงหันซ้ายหันขวาด้วยไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางทิศใด เห็นทางด้านขวามีทางน้อยสายหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหนทางที่ใช้เดินลงเขา จึงตัดสินใจร่ายท่าเท้าเงามายาพริ้วร่างไปตามทางนั้นทันทีโดยไม่รีรอลังเล
แม้ดูเหมือนจ้าวเฟยหลงจะเด็ดเดี่ยว หากแต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบปีผู้หนึ่ง เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็อดที่จะนึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเองไม่ได้ เดินทางไปพลางยกมือปาดเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ไหลจากสองตาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ได้ร้องไห้มาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว ตั้งแต่ท่านแม่จากไปเมื่อห้าปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้อีกเลย แม้จะถูกรุมรังแกจากบรรดาญาติพี่น้อง แต่เขาก็ไม่เคยร้องไห้ แม้จะต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเสียน้ำตา เขาจำต้องอดทนด้วยไม่อยากสร้างความกังวลใจหรือสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่คอยปกป้องตนเองเสมอมา
ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด ข้าก็เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครต้องการ ข้าเป็นเพียงตัวซวยที่สร้างแต่ความเดือดร้อนให้กับคนที่รักและหวังดีกับข้า ที่บ้านท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็ต้องพลอยเดือดร้อนเพราะการปกป้องข้า เพราะความอ่อนแอ ความไม่เอาไหนของข้า มาวันนี้ข้ายังทำให้พี่จินอวี่ต้องถูกตำหนิ ข้ามันเป็นตัวซวยจริงๆ สวรรค์!!! ท่านให้ข้าเกิดมาทำไม!!! ท่านให้ข้าเกิดมาทำไม!!!! ทำไมไม่ให้ข้าตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!!!! ฮือๆๆ
เสียงตะโกนกู่ก้องตัดพ้อในใจดังก้อง น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายอย่างน่าเวทนา
จ้าวเฟยหลงเดินทางพลางเช็ดน้ำตาพลางไม่รู้ทิศเหนือใต้ ไม่รู้เวล่ำเวลา ผ่านไปเนิ่นนานจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย จำต้องทรุดนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สองแขนกอดเข่าซบหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ร้องไห้ให้น้ำตามันไหลออกมาให้หมด ร้องเสียให้พอ หลังจากนี้ข้าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง ข้าจะต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เป็นภาระให้ใครอีกแล้ว
จ้าวเฟยหลงบอกกับตัวเอง แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง แม้จะจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ภายในจิตใจ หากแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องอดทนฟันฝ่ามุ่งหน้าต่อไป
ไม่รู้ว่าร้องไห้จนเผลอหลับไปนานเพียงใด แต่จ้าวเฟยหลงก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมา ด้วยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของการมุ่งร้ายหมายเอาชีวิตจากสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าที่ยืนจังก้าจ้องมองเขม็งมา เมื่อเห็นจ้าวเฟยหลงขยับตัว มันพลันกระโดดเข้าหาตะปบกรงเล็บแหลมคมเข้าใส่จ้าวเฟยหลงในทันที จ้าวเฟยหลงไม่มีเวลาให้ได้ครุ่นคิดอันใด อาศัยแรงส่งจากสองมือสะกิดพื้นส่งตัวเหินลอยขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียวนัก สองตามองลงมาเห็นเป็นสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับจู่โจมเข้าหา จากตำราหมื่นสัตว์อสูรที่เคยได้อ่านมา จ้าวเฟยหลงรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเป็นจิ้งจอกเพลิงโลหิต สัตว์อสูรดินแดนธาตุไฟระดับสอง
นับว่าปรากฏตัวได้ดี มาให้ข้าระบายความคับแค้นใจได้บ้าง จ้าวเฟยหลงแสยะมุมปากครุ่นคิด
ในฉับพลันนั้นจ้าวเฟยหลงก็เคลื่อนไหว ทะยานร่างเข้าหาจิ้งจอกเพลิงโลหิตในทันที ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเห็นเพียงเงาดำไหววูบผ่านไปดุจดั่งภูติพราย เท้าขวาตวัดฟาดลงตรงแสกหน้าสุนัขจิ้งจอกโชคร้ายตัวนั้นอย่างหนักหน่วง
ตุ๊บ!!!!
โอกกก!!!!!
เสียงเท้ากระทบถูกจิ้งจอกเพลิงโลหิตคราหนึ่ง ได้ยินเสียงมันร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องสะท้อนทั่วผืนป่า จิ้งจอกเพลิงโลหิตผงะถอย สะบัดหัวด้วยความมึนงง เหยื่อตัวน้อยอันโอชะที่มันคิดจะกลืนกินอย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นอสูรร้ายที่กำลังหมายเอาชีวิตของมันเสียแล้ว
จ้าวเฟยหลงไม่ปล่อยให้มันได้ตั้งตัว พลันร่ายท่าเท้าเงามายาผสานกับฝ่ามือสุริยันต์บรรจบฟ้า ฟาดเข้าใส่จิ้งจอกเพลิงโลหิต เสียงฝ่าเท้าฝ่ามือกระทบถูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นดังตุบตับ ตุบตับ ไม่ขาดหู
โอกกก!!!!! โอกกก!!!!! โอกกก!!!!!
เสียงจิ้งจอกเพลิงโลหิตกู่ก้องร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นไม่รู้ว่าเนิ่นนานเพียงใด ตอนนี้ได้ยินเสียงมันร้องคราง อิ๋งๆ นอนแนบอยู่ข้างเท้าจ้าวเฟยหลงที่กำลังยกมือชี้นิ้วสั่งสอนมันอยู่
“ยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือเจ้าเดรัจฉาน ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยนะ เป็นอย่างไรล่ะ แม้แต่เจ้าก็คิดจะห่มเหงข้าอย่างนั้นหรือ คนอย่างข้าไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้ง่ายดายเช่นนั้นอีกแล้ว ฮึ”
พูบจบพลางยกมือปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าแล้วทำท่าจะเดินจากไป แต่ไม่วายหันมาพูดสำทับจิ้งจอกเพลิงโลหิตอีกครั้ง
“อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกนะ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน หึหึหึ”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริเวณยอดเขาเทียมเมฆาก็ไม่ปรากฏสุนัขจิ้งจอกเพลิงโลหิตขึ้นอีกเลยแม้แต่ตัวเดียว ไม่รู้ว่ามันเจ็บซ้ำจนตายไปหรือพาครอบครัวอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว
จ้าวเฟยหลงเดินทางต่อ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติรับรู้ได้ว่าตัวเขาเดินกลับมายังตำแหน่งเดิมหลายครั้งหลายหน บริเวณป่าที่เมื่อครู่ยังเห็นแสงจันทร์ส่องสลัวๆ ลงมาให้เห็นทางบ้าง กลับปรากฏหมอกควันบางเบาขึ้นปกคลุม จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันนั้นมันก็สังเกตเห็นว่าแนวต้นไม้ ก้อนหิน เนินเขาบริเวณนั้นกลับแฝงไว้ด้วยพลังของค่ายกลที่ถูกสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ อาศัยหลักความสมดุลของหยินหยางจัดวางวัตถุก่อเกิดเป็นค่ายกลขึ้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จ้าวเฟยหลงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ค่ายกลนี้กลับเป็นค่ายกลพยุหะแปดทิศ ค่ายกลโบราณที่หายสาบสูญไร้การสืบทอดมานับพันปี หากไม่ใช่ว่าเขาบังเอิญพบเจอตำรับตำราโบราณเหล่านั้นในหอหมื่นอักษรแล้วละก็คงไม่รู้ว่ามีค่ายกลอันน่าอัศจรรย์อยู่บนโลกนี้
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วจ้าวเฟยหลงก็เริ่มกำหนดทิศทางเพื่อฝ่าออกไป ค่ายกลพยุหะแปดทิศจัดวางประตูไว้ทั้งแปดทิศทางเรียกเป็นประตูเปิด ประตูปิด ประตูกำเนิด ประตูมรณะ ประตูผวา ประตูบาดเจ็บ ประตูธรรมชาติ และประตูบาป เมื่อกำหนดทิศทางได้แล้วจ้าวเฟยหลงก็มุ่งหน้าฝ่าไปยังทิศตะวันออกซึ่งจัดวางประตูกำเนิดไว้ จากนั้นจึงฝ่าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นประตูบาป แล้วจึงมุ่งลงสู่ทิศใต้จึงพบประตูเปิด อันเป็นหนทางออกจากค่ายกลพยุหะแปดทิศ แม้ดูเหมือนจ้าวเฟยหลงจะฝ่าออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นผู้อื่นที่ไม่รู้จักค่ายกลพยุหะแปดทิศแล้ว คงต้องถูกกักอยู่ในค่ายกลจนหิวตายอยู่ภายในนั้นเป็นแน่
เมื่อหลุดออกจากค่ายกลได้จ้าวเฟยหลงก็พบว่าเขาใช้เวลาเดินทางเพื่อลงจากเขาทั้งคืน ด้วยตอนนี้พระอาทิตย์ดวงโตกำลังโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ทอแสงแดงจ้าอยู่ตรงปลายฟ้าที่ไกลตา นับแต่ที่ขึ้นไปบนเขาเทียมเมฆาพร้อม จินอวี่เมื่อตอนบ่ายคล้อย สะบัดหน้าลงจากเขาเมื่อตอนเกือบเย็นย่ำ หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งฝ่าออกจากค่ายกลพยุหะแปดทิศ กลับต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ลงมาได้แล้ว ถึงตอนนี้คงต้องกลับไปพักอาศัยที่เชิงเขามังกรอัคคีตามเดิม คิดได้เช่นนั้นก็ทะยานร่างมุ่งหน้าจากไปในทันที
---------------------------------------------------------------------