จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5  (อ่าน 37342 ครั้ง)

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ RELAXED

  • ทำไงได้ก็ Y มันเรียกร้อง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนที่ 11 สำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคี

             จ้าวเฟยหลงพร้อมด้วยสามพี่น้องตระกูลหลินเดินตามผู้นำทางไปยังสำนักใหญ่หอพยัคฆ์อัคคีซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวงเมื่อก้าวผ่านประตูใหญ่ที่มีรูปปั้นพยัคฆ์ขนาดมหึมาน่าเกรงขามสองตัวตั้งตระหง่านเฝ้าประตูอยู่เข้าไป ก็พบกับหมู่ตึกพยัคฆ์คำรณอันเป็นตึกใหญ่สำหรับชุมนุมศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีในวาระพิเศษต่างๆ และเป็นที่พำนักของเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์คนสำคัญของหอพยัคฆ์อัคคี รอบๆ หมู่ตึกพยัคฆ์คำรณเป็นหมู่ตึกพยัคฆ์หมอบ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเหล่าศิษย์ระดับต่างๆ ตั้งเรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ

               ถัดไปด้านหลังเล็กน้อยเป็นหมู่ตึกทิพยโอสถเป็นสถานที่ซึ่งทำหน้าที่ในการดูแลรักษาเหล่าศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกฝนและทำหน้าที่ในการแจกโอสถสำหรับสนับสนุนการฝึกฝนพลังยุทธ์ ถัดจากนั้นลึกเข้าในไปด้านในติดกับภูเขาสูงลูกหนึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่ตึกอัคคีศักดิ์สิทธ์ ซึ่งถือเป็นเขตหวงห้ามมีเพียงประมุขและเหล่าผู้อาวุโส รวมทั้งเหล่าศิษย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานของดอกบัวเพลิงโลกันตร์สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ประจำหอพยัคฆ์อัคคีนั่นเอง

             เมื่อจ้าวเฟยหลงก้าวพ้นประตูของหมู่ตึกพยัคฆ์คำรณเข้ามาก็เห็นจินอวี่ที่รออยู่อย่างกระวนกระวายใจ หากแต่เมื่อเหลือบสายตามาเห็นเป็นจ้าวเฟยหลง ก็พลันหันหน้าหนีไปอีกทาง พลางทำท่าจะเดินจากไป เดือดร้อนจ้าวเฟยหลงต้องรีบวิ่งเข้าไปหาพลางกอดแขนไว้แน่น ไม่ว่าจินอวี่จะสะบัดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ส่งสายตาออดอ้อนพลางออกปากพูดเสียงอ่อย

       “ศิษย์พี่รองข้ากลับมาแล้ว ข้าทราบความผิดแล้ว ท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ อย่าได้โกรธข้าเลยนะ” พลางทำตาปริบๆ อย่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก แล้วใครเขาจะใจแข็งโกรธเคืองได้ลงคอ

        “โอ๊ย!!!ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้ายอมรับผิดแล้ว ศิษย์พี่รองยกโทษให้ข้าด้วย” จ้าวเฟยหลงร้องโอดโอย ราวกับเจ็บปวดนักหนาเมื่อถูกจินอวี่บิดเข้าที่พุงน้อยๆ นั้น เรียกเสียงหัวเราะจากผู้อาวุโสสองคนรวมทั้งหานเฟิง หานลู่และหานตงที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง จนจินอวี่จึงจำต้องหยุดชะงักปล่อยมือออก เมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับศิษย์น้อง เงยหน้าขึ้นพลางสิ่งยิ้มแหยอย่างละอายส่งให้ผู้คนรอบข้างเมื่อนึกได้ว่าพวกตนเสียมารยาทต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส

         “เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า ตามข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสองก่อน” ประโยคแรกกัดฟันกระซิบบอกศิษย์น้อง พวกเดินนำไปยังผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนคอยอยู่

         “เฟยหลง รีบมาคำนับผู้อาวุโสอันดับหนึ่งผู้อาวุโสเหอเชียนและผู้อาวุโสอันดับห้าผู้อาวุโสซือหม่าอัน” จินอวี่แนะนำผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนยิ้มมองมายังจ้าวเฟยหลงอย่างชื่นชม

          “ผู้เยาว์จ้าวเฟยหลงคำนับผู้อาวุโสอันดับหนึ่งและผู้อาวุโสอันดับห้า” จ้าวเฟยหลงประสานมือค้อมตัวคำนับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม จนเรียกสายตาเอ็นดูจากทั้งสองได้เป็นอย่างดี

           หอพยัคฆ์อัคคีแม้จะมีเทพโอสถอวิ้นหยางทำหน้าที่เป็นประมุข หากแต่ในความเป็นจริงแล้วตัวอวิ้นหยางนั้นให้ความสนใจและหลงใหลเกี่ยวกับการหลอมโอสถมากกว่า จึงมอบหมายให้ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดทำหน้าที่ในการดูแลหอพยัคฆ์อัคคี โดยมีเสียนหยางศิษย์คนโตของเขาเป็นผู้ช่วย ส่วนตนเองก็ปลีกตัวไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการหลอมโอสถอยู่บนยอดเขาเทียมเมฆา บนดินแดนฟ้าไพศาล ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดจึงถือเป็นบุคคลสำคัญอย่างแท้จริงของหอพยัคฆ์อัคคี ที่ทำหน้าที่ดูแลเหล่าผู้ฝึกสอนและเหล่าศิษย์นับพันคน

           “ฮ่าๆๆ ผู้เยาว์อันยอดเยี่ยม ผู้เยาว์อันยอดเยี่ยม หอพยัคฆ์อัคคีคงถึงคราวที่จะได้ผงาดขึ้นมาอยู่เหนือสำนักอื่นแล้ว” ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งหัวร่อฮาๆ กล่าววาจาจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่จากน้ำเสียงกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีอย่างปิดไม่มิด

           “ฮ่าๆๆ ศิษย์ของท่านประมุขช่างยอดเยี่ยมนัก ด้วยวัยเพียงเท่านี้แต่กลับมีพลังยุทธ์ระดับราชันย์ขั้นสูง อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับมหาราชันย์แล้ว นับว่าท่านประมุขมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก” ผู้อาวุโสอันดับหน้าเอ่ยขึ้นบ้าง

             “อา…นายน้อยท่านมีพลังยุทธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ยินดีด้วยนายน้อย ยินดีกับท่านด้วย”หานเฟิง หานลู่และหานตงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบสาวเท้าเข้ามาหาจ้าวเฟยหลง สายตาจับจ้องมองนายน้อยของตนด้วยความซาบซึ้งยินดี

              “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย ผู้เยาว์ไม่กล้ารับ” จ้าวเฟยหลงน้อมกายรับคำชมจากผู้อาวุโสทั้งสองแล้วจึงหันมากล่าววาจากับผู้ติดตามทั้งสาม

              “ท่านอาทั้งสาม ขออภัยที่ทำให้พวกท่านเป็นห่วง”

              “เพียงได้เห็นนายน้อยกลับมาอย่างปลอดภัยก็นับว่าเพียงพอแล้ว” หานเฟิงรีบเอ่ยขึ้น

              “อา…ข้าพาน้องชายทั้งสามคนมาด้วย พวกเจ้าเข้ามาเร็ว” เมื่อหลินซี หลินซูและหลินซินอี้เข้ามาคำนับเหล่าผู้อาวุโสแล้วเสร็จ จ้าวเฟยหลงก็บอกเล่าชะตากรรมของทั้งสามให้ทุกคนรับรู้ พร้อมกับขอร้องให้ผู้อาวุโสอันดับหนึ่งและผู้อาวุโสอันดับห้าช่วยชี้แนะแนวทางการฝึกฝนพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้อง

                   แม้หอพยัคฆ์อัคคีจะมุ่งเน้นศึกษาพลังยุทธ์ธาตุไฟ แต่ใช่ว่าจะไม่มีตำรับตำรายุทธ์ระดับสูงธาตุอื่นมิเช่นนั้นจะมีแนวทางในการหักหาญเอาชัยผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุอื่นได้อย่างไร อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งสองเป็นผู้มีประสบการณ์ในการฝึกฝนพลังยุทธ์จึงไม่ยากที่จะให้คำแนะนำแก่สามพี่น้องตระกูลหลิน นับว่าช่วยแก้ปัญหาให้กับจ้าวเฟยหลงไปหนึ่งอย่าง เรื่องต่อไปที่จ้าวเฟยหลงวางแผนไว้ว่าจะต้องดำเนินการคือการเสาะหาผลึกธาตุสัตว์อสูรธาตุลม ธาตุดินและธาตุน้ำ เพื่อปรุงกลั่นเป็นโอสถเพื่อช่วยยกระดับพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้อง

                จากนั้นไม่นานทุกคนที่เห็นว่าจ้าวเฟยหลงและสามพี่น้องตระกูลหลินเพิ่งเดินทางมาถึงอาจจะเหน็ดเหนื่อย ก็ปล่อยให้พวกเขาแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ไม่วายที่จินอวี่จะเดินตามจ้าวเฟยหลงมาพลางบ่นกระปอดกระแปดจนจ้าวเฟยหลงผล็อยหลับไปจึงหยุดยั้งลงได้

------------------------------------------------------------

              ช่างเป็นเช้าที่ไม่แจ่มใสเอาเสียเลย เพราะจ้าวเฟยหลงกำลังหงุดหงิด แต่ก็ทำได้แค่เพียงรีบเร่งเดินหนีมาหลบอยู่ที่ศาลากลางน้ำแห่งนี้เท่านั้น เพราะเหตุใดนะหรือ? หึ ก็เพราะคนกลุ่มนั้นอย่างไรเล่า

               “ศิษย์น้องเฟยหลง!!!ศิษย์น้องเฟยหลง!!! ศิษย์น้องเฟยหลงหายไปไหนแล้ว เพราะพวกเจ้านั่นแหละ เป็นเพราะพวกเจ้าทำให้ศิษย์น้องรำคาญจนต้องหนีไป ข้ายังไม่ได้ทำความรู้จักกับศิษย์น้องเลย น่าเสียดายจริงๆ”

              “เป็นเพราะพวกท่านต่างหากเล่า หากพวกท่านไม่รุมล้อมเข้ามา ข้าคงมีโอกาสพูดคุยกับศิษย์น้องบ้างแล้ว”

              “พวกเราก็อยากทำความรู้จักศิษย์น้องเหมือนกันนะ จะปล่อยให้ท่านคุยกับศิษย์น้องคนเดียวได้อย่างไรเล่า”

              เห็นเหล่าศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีกลุ่มหนึ่งเกือบสิบคนเดินไปพลางเถียงกันไป ผ่านศาลาหลังนั้นไป คล้อยหลังไม่นาน จ้าวเฟยหลงก็พลิ้วร่างลงมาจากขื่อคานของศาลา สองเท้าแตะพื้นอย่างแผ่วเบาพลางทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความจริงเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นสักนิด เพียงแต่เป็นความรู้สึกไม่คุ้นชินที่จะต้องถูกล้อมรอบด้วยผู้คนเสียมากกว่า อีกทั้งยังไม่ใช่คนสนิท เขาก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรก็เท่านั้น

              ส่วนอีกเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดก็คงจะเป็นศิษย์พี่จินอวี่ของเขานั่นแหละ พอศิษย์พี่ใหญ่มาก็ถึงกับลืมเลือนศิษย์น้องคนนี้ ปล่อยให้เขาต้องรับมือกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นแต่เพียงลำพัง ส่วนตนเองออกไปเที่ยวในเมืองกับศิษย์พี่ใหญ่สองคน ไม่แม้แต่จะชักชวนเขาสักคำ คิดแล้วมันน่าน้อยใจนัก

               “ฮึ…กลับมาข้าจะไม่ยอมคุยกับท่านเลย คอยดูเถอะ” จ้าวเฟยหลงกอดอก ทำปากยื่นบ่นพึมพำราวกับว่ามีจินอวี่อยู่แถวนั้นด้วย

              “ฮ่าๆ ใครช่างกล้าทำให้ศิษย์น้องเฟยหลงอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า”สิ้นเสียงเห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีในชุดสีแดงเพลิงด้านหลังเสียบไว้ด้วยกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง รูปร่างสมส่วน บ่าไหล่กว้างดูงามสง่า ใบหน้างดงามหล่อเหลาจนไม่อาจมองข้ามได้ รอยยิ้มแต้มเต็มใบหน้านั้นมองดูสดใส จังหวะการก้าวเดินเข้ามาดูมีราศี โดยรวมแล้วนับว่าเป็นบุรุษรูปงามอย่างน่าริษยาคนหนึ่ง

         จ้าวเฟยหลงเหลือบมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ จากพลังยุทธ์ที่เขาสัมผัสได้เป็นพลังยุทธ์ของหอพยัคฆ์อัคคีในระดับจ้าวยุทธ์ขั้นกลางคาดว่าจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่ง ไม่ปล่อยให้จ้าวเฟยหลงได้สงสัยนานไปกว่านั้น ชายหนุ่มก็เอ่ยปากกล่าววาจา

         “ฮ่าๆ ดูเหมือนศิษย์น้องจะอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าให้ศิษย์พี่คนนี้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ โอ๊ะ…ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเหวินเจี้ยนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอันดับสอง ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์น้องจ้าวเฟยหลง” ปากกล่าววาจาหากแต่สายตาพราวระยับคู่นั้นกลับกวาดมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง

        “ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่เหวินเจี้ยน” แม้จะข้องใจกับสายตาที่อีกฝ่ายมองมา แต่แค่เพียงไม่นานจ้าวเฟยหลงก็สลัดความรู้สึกแปลกๆ นั้นไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คาดว่าเป็นเขาที่คิดมากเกินไป

        “ว่าแต่ศิษย์น้องเฟยหลงยืนทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียว”   

         “เอ่อ…ข้าเพิ่งเดินทางมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนก็เลยมาเดินเล่นแถวนี้”

          “เช่นนั้นหรือ หากไม่รังเกียจให้ศิษย์พี่คนนี้พาเจ้าเดินชมรอบๆ หอพยัคฆ์อัคคีดีหรือไม่” เหวินเจี้ยนเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มชวนมอง

          “ข้าไม่อยากรบกวนท่าน”

          “โอ้…หาได้รบกวนไม่ศิษย์น้อง ศิษย์พี่คนนี้เต็มใจอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเจ้าคงจะต้องพักอยู่ที่นี่อีกสักระยะ การได้รู้จักที่ทางเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร” จ้าวเฟยหลงยังคงลังเล หากแต่เมื่อคิดได้ว่าก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด การได้เดินชมรอบๆ ก็คงดีกว่ายืนอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงจึงขอให้เหวินเจี้ยนนำพาชมหอพยัคฆ์อัคคี

           เหวินเจี้ยนนับว่าเป็นชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยไมตรีสังเกตได้จากการที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่พบเจอต่างก็แวะทักทายเขา รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสดใส สายตาพราวระยับคู่นั้นชวนให้ใครๆ ต่างก็หลงใหล น้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นน่าฟัง บอกเล่าชี้ชวนให้จ้าวเฟยหลงได้รู้จักทุกซอกทุกมุมของหอพยัคฆ์อัคคีด้วยความเพลิดเพลิน
 
          เหวินเจี้ยนพาจ้าวเฟยหลงมาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง จากป้ายที่พาดขวางไว้เหนือประตูทำให้ทำให้ทราบว่าที่นี่คือหมู่ตึกพยัคฆ์ผยอง จากคำบอกเล่าของเหวินเจี้ยน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับฝึกยุทธ์ของเหล่าศิษย์หอพยัคฆ์อัคคี ในหมู่ตึกขนาดใหญ่แห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดเป็นที่จัดเก็บตำรายุทธ์ขั้นต้นจนถึงขั้นกลาง ซึ่งมีทั้งตำราการฝึกฝนพลังยุทธ์ ตำราทักษะยุทธ์ และตำราการใช้อาวุธหลายหมื่นเล่ม นับว่าเป็นศูนย์รวมความรู้ที่สั่งสมมาหลายร้อยปีของหอพยัคฆ์อัคคีแห่งนี้

               ส่วนการฝึกฝนพลังยุทธ์ขั้นสูงนั้นเหล่าผู้ฝึกสอนและเหล่าผู้อาวุโสจะทำการคัดเลือกศิษย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในแต่ละทักษะยุทธ์แล้วเป็นผู้ถ่ายทอดให้ด้วยตนเอง ชั้นที่สองของหมู่ตึกพยัคฆ์ผยองเป็นห้องสำหรับให้เหล่าศิษย์ฝึกฝนพลังยุทธ์ สั่งสมลมปราณ โดยแบ่งกั้นเป็นห้องส่วนตัวเล็กๆ หลายร้อยห้อง ส่วนชั้นล่างสุดที่ทั้งสองกำลังเกินเข้าไปนั้นเป็นลานประลองขนาดใหญ่ที่มีไว้สำหรับให้เหล่าศิษย์ใช้เป็นสถานที่ประลองเพื่อทดสอบความก้าวหน้าของพลังยุทธ์และเพื่อจัดลำดับของเหล่าศิษย์ซึ่งการประลองนั้นจะจัดขึ้นปีละครั้งในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของชีวิต หากแต่ในวาระอื่นลานประลองแห่งนี้ก็เปิดให้เหล่าศิษย์ได้ใช้ประมือกันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องได้เสมอ

          เมื่อเหวินเจี้ยนและจ้าวเฟยหลงปรากฏตัวขึ้น เหล่าศิษย์หลายสิบคนที่กำลังประมือกันอยู่ต่างก็หยุดยั้งลง ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังทั้งคู่

         “ศิษย์พี่เหวินเจี้ยน!” เสียงร้องเรียกเหวินเจี้ยนด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิดดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างในชุดสีขาวไหววูบ ในชั่วพริบตาก็เห็นชายหนุ่มในชุดยาวสีขาวผู้หนึ่งก้าวมายืนอยู่เคียงข้างเหวินเจี้ยนชายหนุ่มผู้นั้นดูไปอายุราวสิบแปดปี รูปร่างบอบบางท่วงท่าสง่างาม ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้างดงามดุจดั่งอิสตรี หากแต่สายตาคู่สวยนั้นกลับจับจ้องมองเพียงเหวินเจี้ยนไม่วางตาราวกับว่าผู้อื่นเป็นเพียงก้อนหินที่วางประดับอยู่อย่างไร้ความหมาย

              “ศิษย์น้องลู่เหวิน พวกเจ้ากำลังฝึกฝนกันอยู่อย่างนั้นหรือ”เหวินเจี้ยนหันไปถามอีกด้วยร้อยยิ้ม

              “ใช่แล้วศิษย์พี่ ท่านมาได้เวลาพอดี ข้าอยากจะขอคำแนะนำจากท่านบ้าง… แล้วท่านพาผู้ใดมาด้วย” พูดพลางยกสองมือจับแขวนเหวินเจี้ยนเอาไว้ราวกับจะออดอ้อน เมื่อพูดจบก็ตวัดสายตาเขม่นมองจ้าวเฟยหลงอย่างไม่เป็นมิตร

             จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย สักพักก็จุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากด้วยความเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังดื่มน้ำล้มสายชูอยู่เป็นแน่ (ดื่มน้ำส้มสายชู แผลงเป็น หึงหวง) เหอะ…ช่างคิดได้ว่าเขาจะยื้อแย่งบุรุษด้วย แม้จะไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งยังไม่คิดจะชมชอบบุรุษด้วยกันสักนิด

             “อา…ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าขอแนะนำให้รู้จักศิษย์น้องจ้าวเฟยหลง ซึ่งเดินทางมาจากดินแดนฟ้าไพศาล” เหวินเจี้ยนเอ่ยแนะนำ

             “ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน”

              “ศิษย์น้องเฟยหลง ข้าขอแนะนำให้รู้จักกับศิษย์น้องไป่ลู่เหวิน ศิษย์คนรองของผู้อาวุโสที่เจ็ด”

               “ข้าจ้าวเฟยหลง ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่ไป่ลู่เหวิน” จ้าวเฟยหลงแย้มยิ้มทักทายอีกฝ่าย

               “เหอะ…ที่แท้ก็ศิษย์จากสาขานอก ไม่เห็นมีความจำเป็นสักนิดที่ศิษย์พี่เหวินเจี้ยนจะต้องพามาแนะนำด้วยตนเองเช่นนี้” ไป่ลู่เหวินแค่นเสียงกล่าววาจา สายตามองจ้าวเฟยหลงอย่างนึกดูแคลน

                “เอ่อ…ไม่ใช่เช่นนั้น”

                 “ไม่เป็นไรศิษย์พี่เหวินเจี้ยน…”เหวินเจี้ยนไม่ทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย จ้าวเฟยหลงก็กล่าวตัดบทในทันที กับคนที่สายตาแคบสั้นรู้จักแต่ประเมินผู้อื่นจากภายนอกเช่นนี้ เขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

                 “ศิษย์น้องเฟยหลงมาพอดีเลย พวกมาประลองแลกเปลี่ยนพลังยุทธ์ระหว่างศิษย์สำนักใหญ่กับศิษย์สาขานอกกันดีหรือไม่” ศิษย์คนผู้หนึ่งเอ่ยปากเสนอความคิดเห็นขึ้นมา

                 “ฮ่าๆ เป็นความคิดที่ดี ให้ศิษย์พี่คนนี้ได้ขอคำแนะนำจากศิษย์น้องเป็นคนแรกเป็นอย่างไร”เสียงอื้ออึงด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากเหล่าศิษย์ เมื่อไป่ลู่เหวินเสนอตัวเป็นคนแรก หากสังเกตจะพบสายตาที่ฉายแววมุ่งร้ายออกมาแวบหนึ่ง

                  “อ่า...ศิษย์พี่ลู่เหวิน ให้พวกเราคนใดคนหนึ่งประลองทดสอบพลังยุทธ์ของศิษย์น้องเฟยหลงก็น่าจะเพียงพอแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาประลองด้วยตนเองเลย” ศิษย์ผู้หนึ่งเสนอความเห็นอย่างประจบประแจง

                 “ศิษย์น้องลู่เหวิน ข้าว่าคงไม่ดี…”

                  “ศิษย์พี่เหวินเจี้ยนในเมื่อศิษย์พี่ลู่เหวินให้เกียรติข้าเช่นนี้ แม้ข้าจะอ่อนด้อยก็คงทำได้แค่ฝืนใจรับการทดสอบนี้ หากแต่ข้ามุ่งฝึกฝนในสายแพทย์โอสถ พลังยุทธ์จึงไม่แข็งแกร่งนัก หวังว่าศิษย์พี่จะเมตตาออมมือให้ด้วย” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบพลางจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก


------------------------------------------------------------

จบไปอีกตอนจ้า
 :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
จ้าวเฟยหลงนี่เสน่ห์แรงจริงจัง ไปไหนคนก็เข้ามาเต๊าะ

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ลู่เหวินหึงไม่เข้าเรื่องเดี๋ยวได้รู้สึก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miya_pp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ RELAXED

  • ทำไงได้ก็ Y มันเรียกร้อง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ออฟไลน์ zeroj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หนูเฟยหลง  จัดเต็มไปเลย    :z6:       ให้รู้ซะบ้างว่า  ใครเป็นใคร   :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ ♥Täsinä→l3€LL♥

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
หยู๊ยยย
ตื่นเต้น
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ qilarsy39

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ค้างงงงงงงงงงงงงง  มันค้างอย่างแรง :katai1: :katai1:

เฟยหลงจัดหนักๆเลยลูก  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ KoTo_Nat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
อ่านแล้ว พอถึงท้ายๆนึกว่าจะมีต่อรีล่างอีก

โถ่ๆๆๆ ค้างอ่าาาา

ขอบคุณครับ รีบมาต่อนะ รออยู่ครับ

ออฟไลน์ pare_140

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-6

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เล่นมันเลยค่ะหนู เอาให้หนักๆเลย จะได้เลิกดูถูกคนอื่นสักที :fire:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เสน่ห์แรงจริงๆเลยน้าเฟยหลงเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ April❤

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ตัดฉึบบ
นึกว่าจะมีต่ออีกโพสฮือออ
มาเร้วๆนะก้ะ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

ออฟไลน์ Midorima

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หนูเฟยหลง หนูต้องเป็นนางพญานะลูก อย่ายอม

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
 :hao5: โธ่ รอลุ้นจ้าว่าเฟยหลงจะทำอะไรต่อไป

ออฟไลน์ momoku

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
เฟยหลง ของข้าาา สนุกมาก พลาดไปได้ไง

มาต่อบ่อยๆนะ

ออฟไลน์ RELAXED

  • ทำไงได้ก็ Y มันเรียกร้อง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
มาส่องทุกวันอ่ะ รอไรท์อัพ

ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากกก รอตอนต่อไปจ้าาา

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนที่ 11 ประมือ

               จ้าวเฟยหลงกับไป่ลู่เหวินก้าวออกไปยืนเผชิญหน้ากันกลางลานประลองขนาดใหญ่นั้น ท่ามกลางเหล่าศิษย์หลายร้อยคนที่ทราบข่าวต่างพากันมาหวังจะชมความสนุกครึกครื้นที่กำลังจะเกิดขึ้น

              ภายในหอพยัคฆ์อัคคีมีเพียงเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ทราบความเป็นมาของจ้าวเฟยหลงและจินอวี่ ฉะนั้นในสายตาของเหล่าศิษย์ที่มุงดูอยู่ต่างคาดเดาไว้แล้วว่าผลการประลองจะออกมาเช่นไร หวังไว้แค่ว่าความพ่ายแพ้ของจ้าวเฟยหลงจะไม่เกิดขึ้นเร็วเกินไปจนหมดสนุกและไม่อเนจอนาถเกินไปจนทำให้ใบอันงามสง่านั้นพลอยต้องได้รับความบอบช้ำ
ไป่ลู่เหวินมองดูจ้าวเฟยหลงด้วยสายตาดูแคลน

             ด้วยพลังยุทธ์ระดับยอดยุทธ์ขั้นต้นของเขา นับว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์อย่างไม่ต้องสงสัย ถือได้ว่ามีความสามารถพอที่จะอวดโอ่ถือดีต่อหน้าเหล่าศิษย์ทั้งหลาย เพียงแค่ศิษย์สาขานอกที่พลังยุทธ์อ่อนด้อยจนไม่สามารถตรวจจับได้นั้น เขาจะออมมือไม่ให้อีกฝ่ายต้องแสดงความทุเรศออกมามากนักก็แล้วกัน ถือว่าเขาปราณีอีกฝ่ายมากแล้ว เขาแค่จะหยอกล้ออีกฝ่ายเล่นเพื่อคลายความหงุดหงิดในใจบ้างก็เท่านั้น

              จ้าวเฟยหลงยังคงยืนหยัดเผชิญหน้ากับไป่ลู่เหวินด้วยสายตาแน่วแน่มั่นคง ไม่ได้มีความหวั่นไหวหวาดกลัวปรากฏออกมาให้เห็นสักนิด ยังความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับเหล่าผู้ชมดูอยู่รอบข้าง ด้วยบุคลิกที่แสดงออกราวกับผู้ฝึกยุทธ์อันแข็งแกร่ง ยืนหยัดเผชิญกับโลกหล้าโดยไม่หวาดหวั่น เพียงภาพลักษณ์ที่ฉายออกมาก็เพียงพอให้เหล่าศิษย์ส่วนหนึ่งอดที่จะทอดถอดใจชมเชยไม่ได้ พร้อมกับลอบเอาใจช่วยให้จ้าวเฟยหลงได้รับชัยชนะ

                 “ศิษย์น้องเฟยหลง เจ้าสามารถเริ่มต้นการประลองได้ทุกเมื่อที่เจ้าพร้อม” ไป่ลู่เหวินอดที่จะออกปากเอ่ยวาจาไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มลงมือ

                “ศิษย์พี่ลู่เหวินท่านสามารถจู่โจมเข้ามาได้ทุกเมื่อ แม้พลังยุทธ์ของข้าจะอ่อนด้อย แต่ทักษะการหลบหลีกของข้านั้นนับได้ว่าล้ำเลิศ จัดอยู่ในระดับแนวหน้าอย่างแน่นอน” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มอันสดใด เรียกเสียงหัวร่อจากผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดจากการยืนหยัดเผชิญหน้าของทั้งคู่ลงมาได้บ้าง

               “เหอะ...ในเมื่อเจ้าไม่รับความปรารถนาดีของข้า เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องเกรงใจแล้ว” ท่าทางรวมไปถึงวาจาที่แสดงออกด้วยความถือดีเช่นนั้นกลับสะกิดให้ไป่ลู่เหวินมีโทสะ

                 พูดจบพลันทะยานร่างเข้าหาจ้าวเฟยด้วยความรวดเร็ว มือขวาควงเป็นหมัดผนึกพลังซัดเข้าใส่จ้าวเฟยหลงด้วยพลังเพียงสามส่วน ถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์พี่ กระบวนท่าแรกหากจู่โจมอย่างหักโหมไม่ออมรั้งยั้งมือไว้ละก็ คงเป็นที่ครหานินทากันอย่างสนุกปากเป็นแน่ เช่นนั้นกระบวนท่านี้ถือว่าต่อให้ศิษย์น้องร่วมสำนักก็แล้วกัน

                แม้จะเป็นการใช้พลังเพียงสามส่วน แต่อานุภาพของหมัดนั้นก็ถือว่าไม่ธรรมดา เหล่าศิษย์ที่ชมดูอยู่ด้านข้างต่างได้ยินเสียงพลังหมัดนั้นแหวกฝ่าอากาศดังหวีดหวิวเสียดเข้าโสตประสาทอย่างชัดเจน หากจ้าวเฟยหลงโดนหมัดนั้นเข้าไปหากกระดูกไม่แตกหักเสียหาย ก็คงต้องรับบาดเจ็บบอบช้ำภายในจนลุกไม่ขึ้นเป็นแน่

              หากแต่เมื่อหมัดเคลื่อนเข้ามาอยู่ห่างจากตัวไม่ถึงหนึ่งศอก จ้าวเฟยหลงก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว สายตาจับจ้องมองหมัดนั้นอย่างเย็นชา เสี้ยววินาทีที่หมัดจะกระทบถูกตัว ร่างของจ้าวเฟยหลงพลันอันตรธานหายไปคล้ายดั่งสลายกลายเป็นหมอกควัน หมัดนั้นจึงซัดต้องความว่างเปล่า

                ไป่ลู่เหวินถึงกับตะลึงลาน ร่างนั้นยังพุ่งมุ่งหน้าไปตามสภาวะของพลังหมัดราววาเศษจึงหยุดยั้งลง  พลางหมุนตัวกลับหลังอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะพบกับจ้าวเฟยหลงที่ยืนส่งยิ้มอยู่ห่างไปเกือบสองช่วงตัว

               เหล่าศิษย์รอบข้างถึงกับหันมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนั้นเป็นทักษะอย่างไรกัน

              “ท่านมองเห็นการเคลื่อนไหวของศิษย์น้องเฟยหลงชัดหรือไม่” เสียงเอ่ยถามกันแผ่วเบาดังขึ้น

               “โอ…ข้ามองไม่เห็นแม้แต่น้อย ในหอพยัคฆ์อัคคีเกรงว่าไม่มีใครเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้อีกแล้ว”

                ไป่ลู่เหวินเหม่อมองไปยังจ้าวเฟยหลง พลางยกหมัดขวาของตนขึ้น สายตาจับจ้องมองหมัดนั้นอย่างเหลือเชื่อ เวลาผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้างดงามนั้นก็กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวไป โทสะพลันปะทุขึ้นมาในอก ฟันในปากแทบถูกขบกัดจนแหลกละเอียด ความรู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้สติและสำนึกผิดชอบชั่วดีของไป่ลู่เหวินถูกลืมเลือนไป

               “หึ...นับว่าทักษะการหลบหลีกของเจ้ายอดเยี่ยมสมกับที่ได้อวดโอ่ไว้ เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องออมมือแล้ว”

                สิ้นสุดคำพูดประโยคนั้นไป่ลู่เหวินพลันผนึกลมปราณ ปล่อยพลังยุทธ์อันเกรี้ยวกราดออกมา โคจรพลังหมุนวนรอบตัวรอบแล้วรอบเล่า สายธารแห่งพลังนั้นโอบล้อมรอบกายของเขาอย่างหนาแน่น บรรยากาศรอบด้านราวกับถูกปกคลุมด้วยม่านพายุขนาดย่อม ก่อให้เกิดระลอกริ้วพลังแผ่กระจายกดดันไปรอบด้าน เวลายิ่งเนิ่นนานพลังกดดันนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

               เมื่อเร่งเร้าพลังจนถึงขีดสุด พลันพลังลมปราณในร่างไป่ลู่เหวินก็ถูกผลักดันออกมาอย่างทะลักทะลายม้วนกวาดไปเบื้องหน้าราวกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำจุดหมายปลายทางของมวลพลังนั้นอยู่ที่จ้าวเฟยหลง พลังความร้อนแผ่กระจายออกจากสองมือของไป่ลู่เหวิน ก่อเกิดเป็นม่านพลังอันร้อนแรงเข้าบีบรัดจ้าวเฟยหลงไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหว

         “ฝ่ามือเพลิงเมฆา!!!”

              เหวินเจี้ยนโพล่งออกมา ก่อให้เกิดเสียงอุทานอื้ออึงดังขึ้นตามมาจากเหล่าศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ ควรทราบว่าฝ่ามือเพลิงเมฆานั้นถือเป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงของหอพยัคฆ์อัคคีที่เหล่าผู้อาวุโสจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับศิษย์ระดับสูงโดยตรง ศิษย์ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเรียนรู้ได้ ที่ผู้คนคาดคิดไม่ถึงคือการที่ไป่ลู่เหวินถึงกับใช้ฝ่ามือชุดนี้ออกมา

                 นั่นหมายความว่าไป่ลู่เหวินตั้งใจจะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับจ้าวเฟยหลงอย่างอเนจอนาถและหวังจะจบการประลองนี้ภายในกระบวนท่าเดียว การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเอากระทะต้มวัวไปต้มไก่เลยสักนิด (สำนวนจีนมีความหมายเดียวกับขี่ช้างจับตั๊กแตน) เป็นสิ่งที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แต่ครุ่นคิดภายในใจไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดออกมา

           เหวินเจี้ยนผนึกพลังยุทธ์ตระเตรียมโถมตัวเข้าไปต้านรับฝ่ามือนั้น ด้วยเกรงว่าจ้าวเฟยหลงจะได้รับบาดเจ็บบอบซ้ำ ในใจกำลังสำนึกเสียใจ หากเขาไม่พาศิษย์น้องเฟยหลงเข้ามาและหากเขาเอ่ยปากห้ามปรามอย่างจริงจัง การประลองนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น แต่ทั้งหมดที่เป็นเช่นนี้ด้วยเขาเองก็ไม่คาดคิดว่า จากการประลองไป่ลู่เหวินจะทำให้มันเลยเถิดกลายเป็นการต่อสู้หักหาญที่หมายให้อีกฝ่ายบาดเจ็บล้มลง หากแต่ในขณะที่เหวินเจี้ยนกำลังจะโถมตัวออกไปนั้นกลับมีพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งบีบรัดเขาไว้จนไม่อาจขยับตัว
 
           ในเสี้ยวนาทีที่ฝ่ามือของไป่ลู่เหวินจะกระทบถูกตัว จ้าวเฟยหลงก็ยกฝ่ามือขึ้นต้านรับ ขณะที่ผู้คนรอบข้างต่างเบิกตากว้างเตรียมจ้องมองดูร่างของจ้าวเฟยหลงถูกพลังอันเกรี้ยวกราดนั้นซัดกระเด็นกระดอน

           ฟึบ!

           เสียงฝ่ามือของทั้งคู่กระทบถูกกันดังขึ้นเพียงแผ่วเบา ร่างของจ้าวเฟยหลงยังยืนหยัดอยู่ที่เดิม ไม่ได้กระเด็นไปอย่างที่ทุกคนคาดคิด
 
           ดวงตาของไป่ลู่เหวินถึงกับเบิกค้าง ยังไม่ทันที่จะได้ครุ่นคิดอันใด เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังลมปราณอันเกรี้ยวกราดที่ซัดเข้าใส่จ้าวเฟยหลงนั้น พลันสูญสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย รอบตัวพลันถูกพลังสายหนึ่งโอบรัดไว้จนไม่อาจปรับเปลี่ยนกระบวนท่า เมื่อเป็นเช่นนั้นไป่ลู่เหวินจึงถอนดึงฝ่ามือเคลื่อนตัวทะยานร่างถอยกลับไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก

           แต่ในขณะที่ไป่ลู่เหวินยังคงลอยตัวอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังลมปราณอันร้อนแรงของเขาเองที่กลับถูกผลักดันถาโถมตามมาอย่างเร่งร้อน แม้จะตื่นตระหนกแต่ไป่ลู่เหวินก็ยังพอมีสติ พลันหงายหลังตีลังกากลับหลังไปสามตลบจึงสามารถตั้งหลักได้ ยกสองมือผนึกพลังซัดเข้าปะทะก้อนพลังนั้นอย่างหักโหม


           ตูม!!!!

            เสียงพลังสองสายของไป่ลู่เหวินปะทะกันเองดังสนั่น ร่างของไป่ลู่เหวินถึงกับเซถลาถอยหลังไปห้าก้าวจึงหยุดยั้งลง โลหิตสีแดงไหลซึมจากมุมปาก

                ทุกความเคลื่อนไหวพลันหยุดชะงักลง…อีกครั้ง

           บรรยากาศภายในหมู่ตึกพยัคฆ์ผยองในเวลานี้พลันเงียบกริบ เหล่าศิษย์หลายร้อยคนต่างนิ่งตะลึงงันปากอ้าตาค้าง ลืมแม้กระทั่งหายใจ

           “ฝ่ามือเพลิงเมฆา!”

                เป็นไป่ลู่เหวินที่อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ทำลายความเงียบงันนั้น ส่วนผู้ชมรอบข้างถึงตะลึงลานไปอีกรอบ มีหลายคนที่เริ่มนึกสงสัยถึงศักดิ์ฐานะของจ้าวเฟยหลง

           “เจ้…า เจ้ากลับรู้จักฝ่ามือเพลิงเมฆา”

           “ในฐานะศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคี มีอันใดน่าแปลกหากข้าจะรู้จัก” จ้าวเฟยหลงเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ

           “เจ้าเป็นใครกันแน่!!!” ไป่ลู่เหวินตะโกนก้องอย่างนึกคับข้องในใจ

           เหล่าศิษย์รอบข้างหันไปมองหน้ากัน ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างนึกสงสัยไม่ต่างกัน

           “เหอะ…ข้าเป็นศิษย์สาขานอกคนหนึ่ง เป็นท่านกล่าวเองไม่ใช่หรอกหรือ” จ้าวเฟยหลงแค่นเสียงตอบกลับไป ตอนนี้อารมณ์ของเขากำลังครุกรุ่นด้วยความโมโห คนที่อาศัยความแข็งแกร่งของตนเหยียบย่ำผู้อื่นจนด้อยค่าเป็นคนประเภทที่จ้าวเฟยหลงเกลียดชังที่สุด หากเป็นคนอื่นจ้าวเฟยหลงคงไม่รีรอลังเลที่จะให้บทเรียนกลับคืนไปอย่างสาสม หากแต่นี่เป็นการประลองแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก เขาจึงจำต้องฝืนทน

           “เจ้…า” ไป่ลู่เหวินกำหมัดแน่น ร่างถึงกับสั่นสะท้าน

           “อา…ศิษย์น้องทั้งสองต่างมีฝีมือยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง” เหวินเจี้ยนที่เรียกสติคืนกลับมาได้รีบเอ่ยปากเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อันตึงเครียดนั้น

            “ศิษย์น้องลู่เหวินอาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินเจี้ยนเอ่ยถาม พลางเดินเข้าไปหา ผนึกพลังยุทธ์ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของไป่ลู่เหวินทันที

            “บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขอบคุณศิษย์พี่เป็นห่วง” ไป่ลู่เหวินคลี่ยิ้มตอบวาจา อารมณ์ครุกรุ่นภายในจิตใจพลันสูญสลายหายไป กลายเป็นความปลื้มปริ่มที่ได้รับความห่วงใยอาทรจากศิษย์พี่ที่ตนชื่นชอบ อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแค่นี้ ทำให้ได้รับการเหลียวแลจากศิษย์พี่เหวินเจี้ยนนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก

             “แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้ ข้าว่าเจ้าไปที่หอโอสถให้ผู้อาวุโสหยางตรวจดูอีกสักหน่อยจะดีกว่า” พูดจบไม่รอให้ไป่ลู่เหวินได้ปฏิเสธ ก็เรียกศิษย์น้องสองคนให้พาไป่ลู่เหวินไปยังหอทิพยโอสถ

             “ศิษย์น้องเฟยหลง เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เหวินเจี้ยนเดินกลับมา พลางเอ่ยถาม

             “ข้าไม่เป็นไร”

             “เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ ให้ข้าตรวจดูสักหน่อย”

             “ไม่จำเป็นต้องตรวจ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”

                  น้ำเสียงและท่าทางที่แสดงความห่วงใยของเหวินเจี้ยนที่มีต่อจ้าวเฟยหลง ทำให้ไป่ลู่เหวินต้องหยุดมอง ดวงตาคู่สวยมีประกายแห่งความริษยาฉายชัด อารมณ์ครุกรุ่นในจิตใจโหมพัดอีกครั้ง สองมือบีบกำแน่นจนเล็บจิกกัดเข้าไปในเนื้ออย่างไม่รู้สึกตัว ครู่หนึ่งจึงสะบัดหน้าสาวเท้าจากไป


-----------------------------------------------------------------


ตอนนี้เขียนยากมาก เพราะหาทางลงให้จ้าวเฟยหลงไม่ได้ อิอิอิ

ก็เลยตัดจบไปด้วยประการฉะนี้

ชอบไม่ชอบยังไงบอกหน่อยน้าาาาา


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ถ้ายังไม่เลิกนิสัยเสียสักวันลู่เหวินคงได้เจ็บหนักเพราะน้องจ้าว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
เฟยหลงได้ศัตรูมาแบบไม่ตั้งใจอีกแย้ว  :hao4:
คนแต่งสู้ๆนะคะ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด