ตอนที่ 6 สั่งสอน
สิ้นเสียงเห็นจ้าวเฟยหลงก้าวออกมาเผชิญหน้ากับจ้าวหย่งฉี สายตาจ้องฝ่ายตรงข้ามเขม็ง คิดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นมีศักดิ์เป็นถึงบุตรชายเจ้าเมือง หากแต่ประพฤติตนเป็นอันธพาลร้านถิ่นเที่ยวเกาะแกะระรานสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้คน และนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องเช่นนี้ ดูได้จากผู้คนในเมืองจันทร์กระจ่างที่เห็นเรื่องราวเกิดขึ้นบนถนนถนนใจกลางเมืองกลางวันแสกๆ ยังทำได้แต่เพียงหลีกเลี่ยงไม่กล้ายุ่งเกี่ยว คาดว่าฝ่ายตรงข้ามคงใช้อิทธิพลของผู้เป็นบิดาเที่ยวกดขี่ข่มเหงผู้คนเสียจนหวั่นเกรง คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงก็ตั้งใจที่จะให้บทเรียนอันสาสมแก่จ้าวหย่งฉีสักครั้ง
เห็นผู้ที่ก้าวออกมาเป็นจ้าวเฟยหลงทั้งหยางหมิงและจ้าวหย่งฉีต่างก็นึกแปลกใจ ด้วยไม่สามารถสัมผัสพลังยุทธ์จากจ้าวเฟยหลงได้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่สามารถสัมผัสถึงพลังยุทธ์ได้นั้นมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีพลังยุทธ์หรือพลังยุทธ์อ่อนด้อยจนไม่สามารถสัมผัสได้ กับอีกประเภทคือผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งจนสามารถซุกซ่อนพลังยุทธ์ไม่ให้ผู้อื่นสัมผัสได้ ซึ่งผู้ที่มีความสามารถซุกซ่อนพลังยุทธ์ได้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นสูงตั้งแต่ระดับราชันย์ขึ้นไปจึงจะสามารถทำได้
แต่เมื่อมองดูจ้าวเฟยหลงเห็นเป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบาง ผิวพรรณขาวผ่อง ดั่งไม่เคยต้องเผชิญกับความยากลำบากมาก่อน ยิ่งมีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี เกรงว่าจะเป็นประเภทแรกเสียมากกว่า ถ้าหากผู้ที่ก้าวออกมาเป็นจินอวี่ที่สัมผัสได้ว่ามีพลังยุทธ์แข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขาก็คงไม่น่าแปลกแล้ว คิดได้เช่นนั้นหยางหมิงรีบก้าวไปหาจ้าวเฟยหลง พลางเอ่ยวาจา
“น้องชาย กับอันธพาลเช่นนี้ คงไม่ต้องให้ถึงมือเจ้า ให้ข้าจัดการเองจะดีกว่า”พูดพลางจับจ้องมองจ้าวเฟยหลง
“ขอบคุณความปรารถนาดีของคุณชายท่าน หากแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องของพวกเราสองพี่น้อง คงไม่เหมาะ ถ้าหากเรื่องนี้จะทำให้พวกท่านพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพียงคุณชายท่านยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแค่นี้ พวกเราสองพี่น้องก็ซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว”
จ้าวเฟยหลงพูดพลางส่งรอยยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความสำนึกขอบคุณ หากแต่ถึงกับทำให้หยางหมิงกับนิ่งตะลึงงันไปกับรอยยิ้มนั้นรอยยิ้มที่แย้มจากปากบางเรียวสวยรอยยิ้มที่ชวนให้หัวใจชายหนุ่มเต้นรัว รอยยิ้มที่งดงามดุจดั่งรอยยิ้มของเทพเทวาบนสรวงสวรรค์ หยางหมิงนิ่งงันจับจ้องจ้าวเฟยหลงดุจดั่งสตินึกคิดได้หลุดลอยออกจากร่างไปชั่วขณะ
“โอ คนงามอยากจะเล่นสนุกกับพี่ชายคนนี้หรอกหรือ ที่จริงไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นก็ได้ พวกเรายังมีเวลาเล่นสนุกด้วยกันอีกนาน ฮ่าๆๆ” จ้าวหย่งฉีหัวร่อกล่าววาจาอย่างนึกย่ามใจ
จ้าวเฟยหลงตวัดสายตาขึ้นมองหน้าฝ่ายตรงข้ามที่ยืนห่างออกไปเกือบสองวา ใบหน้างามปรากฏแววเหยียดหยาม นึกดูถูกดูแคลนกับการกระทำของเขา มือเรียวงามโบกสะบัดวูบหนึ่งอย่างรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดทันได้มอง
เพียะ!!!
เสียงตบฉาดดังกังวานขึ้นอย่างฉับพลัน จ้าวหย่งฉีถึงกับถูกตบจนหน้าหัน พริบตาเดียวก็ปรากฏรอยปื้นสีแดงฉานบนใบหน้าหล่อเหลานั้น
ทั่วบริเวณนั้นพลันเงียบกริบลงในทันใด ทุกผู้คนล้วนอ้าปากค้างตะลึงจับจ้องมองใบหน้าจ้าวหย่งฉี ร่องรอยบนใบหน้าเป็นหลักฐานบอกว่าที่ได้ยินเป็นเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่พวกเขาหูแว่วไป หากแต่เป็นผู้ใดลงมือ นี่เป็นสิ่งที่ทุกผู้คนสงสัย
“ใคร!!!ใครกันที่กล้าลอบทำร้ายข้า!!! ปรากฏตัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!” จ้าวหย่งฉียกมือกุมหน้าตวาดก้อง หันซ้ายหันขวาสายตาจ้องมองหาผู้ที่ลงมือทำร้าย
เพียะ!!!
เสียงฉาดดังขึ้นอีกครั้ง จ้าวหย่งฉีถูกตบจนร่างซวนเซเกือบถลาล้มลง แก้มอีกข้างที่เหลือพลันปรากฏริ้วแดงขึ้น
“ใครกัน!!!แน่จริงก็ปรากฏตัวออกมา อย่าได้ซุกหัวหดหางเป็นเต่าในกระดองเช่นนี้!!!” จ้าวหย่งฉีตะโกนก้องอย่างขุ่นแค้น ร่างนั้นพลันปลดปล่อยพลังยุทธ์ออกกดดันผู้คนรอบข้างอย่างบ้าคลั่ง ผู้ที่สามารถลงมือลอบทำร้ายยอดยุทธ์ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดา
เพียะ!!!เพียะ!!!เพียะ!!!
โดยไม่ทันมีใครได้คาดคิด พลังอันไร้ที่มาพลันฝ่าพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งของจ้าวหย่งฉีเข้าไป กระทบถูกใบหน้าของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนร่างนั้นส่ายโงนเงน ทรุดลงคุกเข่ากระอักโลหิตสีแดงฉานออกมา
“คุณชาย!!!” บรรดาผู้ที่ติดตามจ้าวหย่งฉีมาเห็นเช่นนั้นพลันกระโจนเข้าโอบอุ้มร่างนั้นไว้ทันที จ้าวหย่งฉีหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตจับจ้องมองจ้าวเฟยหลงที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนดั่งไม่ได้เคลื่อนไหวมาก่อน ริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มให้เขาอย่างเย้ยหยัน คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าคนลงมือเป็นใคร แต่จ้าวหย่งฉีสัมผัสจากได้แรงตบครั้งสุดท้ายนั้นว่าเป็นจ้าวเฟยหลงเองที่ลงมือ
“จ…เจ้า!!!”
อ๊อก!!!
จ้าวหย่งฉีส่งเสียงได้เพียงแค่นั้น พลันก็ต้องกระอักโลหิตออกมาด้วยความคลั่งแค้นสลบเหมือดไป
เสียงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเรียกให้กองกำลังรักษาความสงบของเมืองจันทร์กระจ่างกลุ่มหนึ่งประมาณเกือบสามสิบคน ในมือถืออาวุธเป็นหอกยาวหน้าตาถมึงทึงดูน่าเกรงขามมุ่งตรงเข้ามาล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง ผู้นำขบวนเป็นบุรุษวัยกลางคนไว้เคราสามแฉกใบหน้าดุดัน
“พวกท่าน มีเรื่องอะไรกันหรือไม่” ชายผู้นั้นร้องถาม น้ำเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าด้านหน้ายืนไว้ด้วยหยางหมิง บุตรชายคนเล็กของเจ้าสำนักสาขาของหมู่ตึกดินแดนบูรพาอันยิ่งใหญ่
“โอ คุณชาย!!!ใครกัน!!! กล้าทำร้ายคุณชายเช่นนี้” หัวหน้าขบวนผู้นั้นพลันถลาเข้าหาจ้าวหย่งฉีทันทีที่เห็นร่างนั้นแน่นิ่งทรุดอยู่ที่พื้นในอ้อมกอดของผู้ติดตามคนหนึ่ง พอเห็นสภาพของผู้เป็นคุณชายที่ทุลักทุเล สองแก้มบวมเปล่ง กระอักโลหิตแปดเปื้อนเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นนั้น หากเขาไม่มีการแสดงออกที่เหมาะสมเกรงว่ากลับไปต้องถูกท่านเจ้าเมืองตำหนิเป็นแน่ คิดได้เช่นนั้นหัวหน้าขบวนพลันร้องถามเสียงดังก้อง
“ใครกันที่บังอาจทำร้ายคุณชายของจวนเจ้าเมืองเช่นนี้ จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!!!”เสียงนั้นฟังดูขึงขัง น่าเกรงขามยิ่งนัก สายตากวาดมองหยางหมิงและพวกทั้งห้า เห็นพวกเขายังนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา สายตาพลันกวาดมองไปยังผู้ติดตามของจ้าวหย่งฉีแทน
“เป็นพวกเขาที่ทำร้ายคุณชาย!!!” หนึ่งในผู้ติดตามลุกขึ้นชี้มือไปยังพวกจ้าวเฟยหลงอย่างกล่าวโทษ
“เป็นพวกเจ้านั่นเองที่ทำร้ายคุณชาย พวกเราจับกุมให้หมดทุกคน!!!”
“ท่านหัวหน้าฉี เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเรามีเรื่องกันจริง แต่พวกเราไม่ได้เป็นคนทำร้ายคุณชายท่าน”หยางหมิงเดินขึ้นมาพูดจาเพื่อไกล่เกลี่ยกับผู้เป็นหัวหน้าขบวน
“พวกเจ้าทำร้ายคุณชาย!!!”เสียงพูดดังขึ้นจากฝั่งของจ้าวหย่งฉี
“เมื่อเป็นเช่นนั้น คงต้องเชิญพวกท่านไปรับการไต่สวนที่จวนเจ้าเมืองสักครั้ง” หัวหน้าฉีพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“หึ เจ้ากล้าล่วงเกินหมู่ตึกดินแดนบูรพาอย่างนั้นหรือ”หยางหมิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแค่ขอเชิญคุณชายหยางไปกล่าววาจาที่จวนเจ้าเมืองสักครั้งเท่านั้น ขอท่านได้โปรดอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ”
“หึ หากข้าไม่ไปกับท่านจะเป็นเช่นไร”
“เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องคุมตัวท่านไป พวกเราจับกุมคนไปสอบสวน!!!”
“เจ้ากล้า!!!”หยางหมิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับเดือดดาล เห็นเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามผนึกพลังเตรียมพร้อมรับมือทันที
กองกำลังรักษาความสงบของเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ที่ได้รับการฝึกฝนจากสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างเป็นหลัก มีจากสำนักยุทธ์อื่นๆ บ้างประปราย แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ที่มีพลังยุทธ์สูงส่ง หากแต่ก็ถือเป็นผู้เข้มแข็ง พวกเขาร่วมฝึกรูปแบบการรวมกำลังเพื่อต่อสู้กับผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับสูงเป็นการเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่อาจดูแคลนกองกำลังกลุ่มนี้โดยเด็ดขาด
ขณะที่หยางหมิงกำลังจะระเบิดพลังเข้าต่อต้านการบุกของกองกำลังรักษาความสงบนั้น เสียงดังกึกก้องอย่างทรงพลังเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“หยุดมือ!!!”
สิ้นเสียง เห็นร่างบุรุษสามคนแหวกฝ่าวงล้อมเข้ามา เห็นสายตาของพวกเขามองไปยังจ้าวเฟยหลงพลางผงกศีรษะให้ หากแต่ไม่ได้หยุดชะงักลง หนึ่งในนั้นสาวเท้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหัวหน้าขบวนแซ่ฉีผู้นั้นทันทีส่วนอีกสองคนแยกย้ายกันยืนหยัดอยู่ในบริเวณนั้นเป็นรูปสามเส้า โอบล้อมจ้าวเฟยหลงและพวกไว้ตรงกลาง แผ่พลังกดดันกองกำลังรักษาความสงบจนไม่กล้าเคลื่อนไหว
ผู้มาทั้งสามคนกลับเป็นหานเฟิง หานลู่และหานตง ที่ติดตามจ้าวเฟยหลงมาตั้งแต่ต้นนั่นเองตั้งแต่ที่เทพโอสถอวิ้นหยาง รับรู้ถึงการคงอยู่นั้น พวกเขาก็ไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป หากแต่แสดงตัวอารักขาดูแลจ้าวเฟยหลงนายน้อยของพวกเขาอย่างเปิดเผยและการเดินทางลงจากยอดเขาเทียมเมฆาของจ้าวเฟยหลงและจินอวี่ในครั้งนี้ ด้วยมีพวกเขาทั้งสามคนติดตามมาด้วย เทพโอสถอวิ้นหยางจึงวางใจปล่อยให้จ้าวเฟยหลงและจินอวี่เดินทางลงเขามา
ไม่มีใครรู้ว่าหานเฟิงพูดจากับหัวหน้ากองแซ่ฉีนั้นเช่นไร หากแต่ผ่านไปชั่วครู่ก็เห็นฝ่ายนั้นเปลี่ยนท่าทีจากแข็งกร้าวเป็นนอบน้อม ค้อมตัวก้มศีรษะให้หานเฟิงอย่างเคารพนบนอบ พร้อมกับสั่งให้กองกำลังรักษาความสงบคลายวงล้อมจัดตั้งขบวนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
“นายน้อย เชิญพวกท่านไปจากที่นี่ก่อน” หานเฟิงผละจากหัวหน้ากองแซ่ฉีเพื่อบอกกล่าวกับจ้าวเฟยหลง ด้านหลังของเขาเห็นหัวหน้ากองกำลังรักษาความสงบผู้นั้นมองมาด้วยใบหน้าจืดเจื่อน ราวกับว่าจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ พอเห็นจ้าวเฟยหลงปรายตามองมาถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ รีบประสานมือคารวะพลางก้มศีรษะประหลกๆ พร้อมกับร่างที่สั่นสะท้านอย่างกับคนทรงเจ้า
“ขอบคุณท่านอา เช่นนั้นพวกข้าขอปลีกตัวไปก่อน ฝากท่านอาช่วยสั่งสอนอันธพาลผู้นั้นให้ได้รู้สำนึกด้วย”จ้าวเฟยหลงกล่าวขอบคุณ แต่ยังไม่วายฝากฝังหานเฟิงให้จัดการกับจ้าวหย่งฉี พลางแบะปากไปยังร่างที่ยังคงไม่ได้สตินั้นอย่างนึกรังเกียจ
เมื่อจ้าวเฟยหลงเดินนำจินอวี่หยางหมิงและพวก ออกห่างจากจุดเกิดเหตุพอสมควร เป็นหยางหมิงที่อดทนรอไม่ไหวรีบสาวเท้าขึ้นดักหน้าจ้าวเฟยหลงไว้
“พวกท่านทั้งสองโปรดชะงักเท้าก่อน ขอบังอาจสอบถาม พวกท่านเป็นใครกัน?”หยางหมิงเอ่ยถาม หน้าตาคมเข้มนั้นฉายแววเคร่งเครียด
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป ข้าจ้าวเฟยหลง ส่วนศิษย์พี่ของข้าจินอวี่ พวกเรามาจากเมืองหลวงดินแดนฟ้าไพศาล” จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่คลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“ข้าหยางหมิงแห่งสำนักสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา เมืองจันทร์กระจ่าง ส่วนสองท่านนี้เป็นผู้พิทักษ์หมู่ตึกของเรา เกรงว่าพวกท่านจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบอกกล่าวได้แล้ว”
“มิได้ ขอคุณชายหยางท่านอย่าได้เข้าใจผิด พวกเราเป็นศิษย์สำนักแพทย์โอสถหลวง สาขาเมืองหลวงดินแดนฟ้าไพศาลกำลังเดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถหลวงสาขาใหญ่ที่ดินแดนเทวะอัคคีเท่านั้น” จ้าวเฟยหลงพูด แม้จะไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้โกหกหลวงลวงเขาหรอกนะ จ้าวเฟยแอบคิดอยู่ในใจ
“ใช่แล้วคุณชายวันนี้มีวาสนาได้ยลฝ่ามือป่นศิลาผ่าพิภพของหมู่ตึกดินแดนบูรพา นับว่าห้าวหาญดุดันสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง”จินอวี่เอ่ยปากชม
“ฝีมืออย่างข้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก ไม่ควรคู่ที่จะให้พี่ชายท่านเอ่ยชม ขอพวกท่านอย่าได้เรียกหาข้าเป็นคุณชายแล้วฟังดูเหินห่างกันเกินไป แต่ว่าเพราะเหตุใดหัวหน้ากองแซ่ฉีถึงได้ดูเกรงอกเกรงใจคนของท่านเช่นนั้น”หยางหมิงเอ่ยถามขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้
“ฮ่าๆๆ ไม่มีอันใดหรอกพี่ชาย เพียงแต่ท่านอาของข้าเป็นสหายเก่าแก่กับท่านเจ้าเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ก็เท่านั้น”จ้าวเฟยหลงบอก
“เช่นนั้นหรอกหรือ เอ่อ…ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปไหนต่อ หากไม่รังเกียจขอเชิญไปรับประทานอาหารกับข้าได้หรือไม่”หยางหมิงรีบเอ่ยชวนเมื่อเห็นว่าจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่มีทีท่าว่าจะเดินทางจากไป จึงได้ออกปากเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้
“โอ เช่นนั้นก็นับว่าดียิ่งนัก ข้าอยากจะเลี้ยงอาหารตอบแทนที่ท่านยื่นมือให้ความช่วยเหลืออยู่เหมือนกัน”
“พวกท่านไม่ต้องตอบแทนข้า ขออย่าได้เกรงใจ ช่วยเหลือผู้ที่เดือนร้อนถือเป็นหน้าที่ของวิญญูชนที่พึงกระทำ หากแต่พวกท่านมาเยือนเมืองจันทร์กระจ่างนับเป็นแขก ให้ผู้เหย้าอย่างข้าได้เลี้ยงอาหารต้อนรับพวกท่านจะดีกว่า”
“ไม่ได้ๆ นับว่าไม่ถูกต้อง ครั้งนี้ให้พวกเราได้เลี้ยงขอบคุณท่าน แล้วหากมีโอกาสครั้งต่อไปที่พวกเรามายังเมืองจันทร์กระจ่างอีก ท่านค่อยจัดเลี้ยงต้อนรับพวกเราดีกว่า” จ้าวเฟยหลงรีบเอ่ยปากแย้งขึ้นทักที
“ตกลงตามนี้เถอะ ข้าหิวจนจะทนไม่ไหวแล้ว” จินอวี่รีบตัดบทสรุป เมื่อเห็นหยางหมิงอ้าปากจะเอ่ยวาจา
หยางหมิงในฐานะเจ้าถิ่นพาจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่มายังโรงเตี๊ยมจันทราลอยล่อง ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่างนอกจากที่พักชั้นเลิศแล้วที่นี่ยังมีเหลาอาหารเลิศรสอันเลื่องชื่อซึ่งเป็นที่นิยมของผู้เดินทางที่บอกกล่าวกันปากต่อปากทำให้ผู้คนมานั่งรับประทานอาหารกันไม่ขาดสาย และที่ประจวบเหมาะยิ่งกว่านั้นคือที่นี่เป็นสถานที่พักที่จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ได้จับจองไว้ด้วย
หยางหมิงพาจ้าวเฟยหลงและจินอวี่ขึ้นมาที่ชั้นสองของเหลาอาหารที่ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมือนชั้นล่าง อีกทั้งยังพอมีที่ว่างอยู่อีกหลายที่ ส่วนผู้พิทักษ์หมู่ตึกดินแดนบูรพาทั้งสองคนนั้นเลือกที่จะนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ชั้นล่าง พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะที่ติดหน้าต่างเพื่อจะได้มองผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่บนท้องถนนระหว่างรออาหารไปด้วย ผ่านไปชั่วก้านธูปหมดไปหนึ่งดอกอาหารที่สั่งอาหารก็ทยอยนำมาจัดวางที่โต๊ะ อาหารหน้าตาน่ากินชวนให้น้ำลายสอ ยิ่งเมื่อได้ลิ้มชิมรสก็นับว่าสมชื่อเหลาอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่างโดยแท้
เมื่อรับประทานอาหารและพูดคุยกันไปได้สักพัก สายตาของจ้าวเฟยหลงก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มในชุดสีขาวขลิบเงิน พร้อมผู้ติดตามที่เคยพบเจอกันที่ร้านค้าสาขาของสหพันธ์วาณิชมังกรทองเดินเข้าไปยังส่วนที่พักของโรงเตี๊ยม นับว่าคู่อริหนทางคับแคบ โรงเตี๊ยมมีตั้งหลายแห่งท่านกลับเลือกพักที่นี่ ดูท่าคืนนี้จะมีเรื่องสนุกให้ทำแล้ว จ้าวเฟยหลงครุ่นคิด ตาเป็นประกาย มุมปากจุดรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“มีอะไรหรือเฟยหลง?” จินอวี่ถามขึ้นเมื่อเห็นศิษย์น้องทำหน้าตาประหลาดอย่างมีเลศนัย พลางหันมองตามสายตาของจ้าวเฟยหลง แต่ก็เห็นเพียงผู้คนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมสองสามคนเท่านั้น
“ไม่มีอะไรศิษย์พี่ ข้าแค่นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย” จ้าวเฟยหลงส่งยิ้มแห้งๆ ให้จินอวี่ที่ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
“เฟยหลงกับพี่อวี่จะเดินทางออกจากเมืองจันทร์กระจ่างเมื่อใดหรือ”หยางหมิงถามขึ้น
“พรุ่งนี้เช้า พวกเราก็ต้องออกเดินทางแล้ว” เป็นจินอวี่ที่ตอบแทน เมื่อเห็นศิษย์น้องยังตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ เหมือนจะไม่ได้ยินคำถามของหยางหมิง
“โอ ช่างรวดเร็วเสียจริง พวกท่านจะไม่อยู่เที่ยวชมเมืองจันทร์กระจ่างอีกสักวันสองวันหรือ เรื่องที่พักหากไม่รังเกียจแวะพักที่สาขาหมู่ตึกดินแดนบูรพาของข้าก็ได้ พวกเราเพิ่งได้รู้จักกัน ข้ารู้สึกถูกชะตากับพวกท่านยิ่งนัก ไม่อยากให้พวกเราด่วนแยกจากกันเช่นนี้เลย”
ปากพูดหากแต่ส่งสายตาเว้าวอนไปยังจ้าวเฟยหลง ผู้ที่ทำให้เขารู้สึกสับสนในหัวใจเป็นครั้งแรก เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่นิยมชมชอบหญิงสาวผู้งดงามไม่ต่างกับชายหนุ่มคนอื่นๆ มาโดยตลอดด้วยความที่เป็นคุณชายมีชื่อในเมืองจันทร์กระจ่าง ชีวิตของเขาที่ผ่านมาก็มีหญิงสาวงดงามติดตามพัวพันไม่น้อย แต่เขายังไม่เคยมีใครที่จะทำให้เขารู้สึกดีเวลาอยู่ด้วย หัวใจเต้นรัวเพียงเห็นรอยยิ้ม รู้สึกอยากอยู่ใกล้ชิดไม่ยอมห่าง หากแต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นเมื่อเขาได้พบเจอกับจ้าวเฟยหลง จ้าวเฟยหลงที่เป็นผู้ชายเหมือนกันกับเขา
สายตาที่จ้องมองของหยางหมิงเรียกให้จ้าวเฟยหลงได้สติ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อสบตากับหยางหมิง เห็นสายตานั้นมองมาด้วยความอ่อนโยน หากแต่ในแววตากลับแฝงด้วยความปรารถนาชื่นชมที่จ้าวเฟยหลงไม่แน่ใจว่าเป็นความปรารถนาสิ่งใด แต่สายตานั้นกลับทำให้เขาถึงกับขนกายลุกชูชันขึ้นมาอย่างไม่อาจเข้าใจ
“พี่หมิง…”จ้าวเฟยหลงร้องเรียกหยางหมิงแผ่วเบา พลางสะบัดศีรษะทีหนึ่ง
“โอ ข…ขออภัยที่เสียมารยาท” หยางหมิงละล่ำละลักพูดออกมา
“มีอันใดต้องขออภัย พี่หมิงจากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเราถึงจะมีโอกาสพบเจอกันอีก หากท่านมีเรื่องอันใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ โปรดส่งคนไปแจ้งข้าที่สำนักแพทย์โอสถหลวงที่ดินแดนเทวะอัคคีเถอะ คาดว่าข้าจะอยู่ที่นั่นสักพัก” จ้าวเฟยหลงส่งยิ้มกระชากวิญญาณให้กับหยางหมิงอีกครั้ง
“เช่นกันหากพวกท่านผ่านมาที่เมืองจันทร์กระจ่างอีก ได้โปรดแวะไปหาข้าที่สำนักสาขาหมู่ตึกดินแดนบูรพาด้วย ข้าจะนับวันรอพบเจอพวกท่านอีกครั้ง”
หลังจากล่ำลากับหยางหมิงแล้ว จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ก็เดินเข้าสู่ส่วนของห้องพักห้องพักที่ทั้งสองคนจับจองไว้เป็นเป็นห้องพักสองห้องที่อยู่ติดกัน ภายในห้องดูโอ่โถงหรูหราสมกับเป็นห้องพักชั้นเลิศ
--------------------------------------------------------------------------------
ราตรีกาลอันมืดมิดโรยตัวลงปกคลุมผืนปฐพีเฉกเช่นเดิม ผ่านไปครึ่งค่อนคืนทุกที่ภายในโรงเตี๊ยมจันทราลอยล่องตกล้วนอยู่ในความเงียบสงัด ผู้คนล้วนแต่หลับใหล ภายในโรงเตี๊ยมเห็นแสงสลัวๆ จากโคมที่ติดไว้ตามแนวทางเดินเท่านั้น
ในความเงียบงันนั้นพลันปรากฏเงาร่างเล็กในชุดสีดำทึบมีผ้าสีดำปิดคลุมใบหน้าเอาไว้ ในมือถือกล่องไม้ใบหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักพุ่งทะยานออกมาจากห้องพักหลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นพุ่งปราดออกไปราวกับเหินบินกระโดดข้ามกำแพงโรงเตี๊ยมไป
ปัง!!!
เสียงประตูห้องพักถูกเปิดกระแทกออกเสียงดัง
“มีขโมย!!!มีขโมย!!!”
เสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดดังก้องสะท้อนทั่วบริเวณ พลันปรากฏร่างผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับสูงขึ้นสามคน ร่างนั้นแผ่พุ่งพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งพลางไล่กวดติดตามหัวขโมยไปอย่างกระชั้นชิด ทิ้งไว้เพียงเสียงวุ่นวายตะโกนร้องถามเรื่องราวของแขกที่เข้าพักภายในโรงเตี๊ยมเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------