บทที่ 12 เค้าลางแห่งความวุ่นวาย เมื่อจ้าวเฟยหลงและเหวินเจี้ยนออกจากหมู่ตึกพยัคฆ์ลำพอง เสียงเล่าลือเกี่ยวกับเหตุการณ์การประลองระหว่างจ้าวเฟยหลงกับไป่ลู่เหวินก็กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง จนทำให้ศักดิ์ฐานะของจ้าวเฟยหลงได้รับการเปิดเผยออกมา ช่วงบ่ายของวันนั้นหัวข้อที่เหล่าศิษย์ในหอพยัคฆ์อัคคีจับกลุ่มพูดคุยกันก็ไม่พ้นเป็นเรื่องราวของจ้าวเฟยหลง
“นี่…เจ้ารู้เรื่องที่ศิษย์น้องเฟยหลงประลองกับไป่ลู่เหวินหรือไม่ น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นศิษย์น้องเฟยหลงอัดไป่ลู่เหวินกับตาตัวเอง คงจะสะใจน่าดู”
“จุ๊! จุ๊! เจ้าอย่าได้พูดเสียงดังไป เดี๋ยวมีคนอื่นมาได้ยิน หึ…คนที่ชอบดูถูกเหยียบย่ำผู้อื่นเช่นนั้นได้รับบทเรียนแค่นี้ยังถือว่าน้อยเกินไป ข้าอยากให้เจ้าเห็นสีหน้าไป่ลู่เหวินตอนที่ถูกคนที่มันเรียกหาเป็นศิษย์สาขานอกจัดการยิ่งนัก น่าตาช่างดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าอะไร ฮ่าๆ ช่างสมใจข้าเป็นที่สุด”
“ข้าอยากจะรู้ยิ่งนัก หากไป่ลู่เหวินรู้ว่าคนที่มันเรียกหาเป็นศิษย์สาขานอกแท้จริงแล้วเป็นถึงศิษย์คนเล็กของท่านเจ้าสำนักมันจะทำหน้าเช่นไร ฮ่าๆ”
------------------------------------------------------------
ห้องพักอันมืดมิดภายในหอพยัคฆ์อัคคีห้องหนึ่ง
จากแสงจันทราที่สาดส่องลอดหน้าต่างเข้ามา เห็นเงาร่างอันเปลือยเปล่าสองร่างกอดกระหวัดรัดพันกันอยู่บนเตียงนอนอย่างเร่าร้อน กายทั้งสองแนบสนิทชิดกันจนไร้ซึ่งช่องว่าง ริมฝีปากทั้งคู่บดจูบอย่างโหยหา สองมือพัวพันลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของกันและกัน
“อ…อื้อ”
เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยหนักสอดแทรกกับลมหายใจอันร้อนผ่าว เร่งเร้าให้จังหวะการเคลื่อนไหวร้อนแรงยิ่งขึ้น
“อ…อา”
เสียงครวญครางปานจะขาดใจยังคงหลุดลอดออกมาให้ได้ยินเรื่อยๆ เสี้ยวนาทีที่แสงจันทร์ต้องกระทบเห็นเป็นดวงหน้างดงามราวกับอิสตรีวงหนึ่งกับใบหน้าอันหล่อเหลาราวหยกสลักของบุรุษอีกผู้หนึ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของบุรุษผู้นั้นยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นร่างบางที่ถูกทาบทับบิดกายไปมาอย่างทรมานในรสรักที่ร่วมกันสร้างขึ้น
“อ…อ๊ะ…ม…ไม่ไหว…อ๊า…” ร่างบางบิดตัวเกร็งกระตุกจนหน้าท้องไหวยวบปลดปล่อยใจกายจนบรรลุจุดหมาย ร่างกำยำเห็นเช่นนั้นพลันเร่งเร้าจังหวะเป็นหนักหน่วงรุนแรง เพียงไม่นานก็ส่งเสียงคำรามต่ำ เกร็งตัวกระตุกปลดปล่อยตามพลางแนบตัวทาบทับลงบนร่างบอบบางนั้นอย่างหมดแรง
“อ๊ะ…ศิษย์พี่ท่านถอนตัวออกไปก่อน” ร่างบางพยายามพลิกตัวกลับหมายจะผลักร่างหนานั้นให้ถอยออกไป
“ขอข้าอยู่อย่างนี้อีกสักครู่ได้หรือไม่”
“หึ…หากท่านรับปากจะช่วยข้าเอาคืนจ้าวเฟยหลงจนสาแก่ใจข้าแล้วล่ะก็ คืนนี้ให้ข้าอยู่กับท่านทั้งคืนก็ยังได้”
“เฮอะ…เรื่องนั้นย่อมแน่นอน ต่อให้ไม่มีเรื่องของเจ้า ข้าก็ต้องหาทางกำจัดพวกมันให้พ้นทางของข้าอยู่แล้ว”
“เช่นนั้น…ข้าจะช่วยศิษย์พี่อีกแรง”
“ตอนนี้ข้าว่าเจ้าช่วยข้าเรื่องนี้ก่อนดีกว่า…มาต่อกันเถอะ” พูดจบพลางพลิกร่างบางขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อ๊า…ศิษย์พี่หยุดก่อน ให้ข้าได้พักให้หายเหนื่อยก่อน อย่าเพิ่ง…อ๊ะ…”
ค่ำคืนนั้นภายในห้องอันมืดมิดห้องนั้นถูกปลุกปั้นเต็มไปด้วยเพลิงราคะกันเร่าร้อน เสียงกระเส่าครวญคราง เสียงผิวเนื้อต้องกระทบถูกกันทำให้ทั้งคู่ทะยานถึงจุดสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไฟแห่งความปรารถนาอันร้อนแรงลุกโชติช่วงยาวนานไม่มีวี่แววที่จะสิ้นสุดลง
------------------------------------------------------------
อากาศยามเช้าในวันนี้แจ่มใสเป็นพิเศษ เป็นเพราะจ้าวเฟยหลงมีนัดกับจินอวี่ที่จะพาเขาออกไปเที่ยวเดินเล่นภายในเมือง ชดเชยที่เมื่อวานทิ้งเขาไปเที่ยวกับศิษย์พี่ใหญ่เพียงสองคน
เสียนหยางและจินอวี่เมื่อทราบเรื่องราวที่จ้าวเฟยหลงประลองกับไป่ลู่เหวิน ก็เอ่ยปากบ่นเขาเสียยกใหญ่ที่ไม่รู้จักอดกลั้นและสั่งห้ามไม่ให้เขาประลองประมือกับศิษย์ของหอพยัคฆ์อัคคีอีก ยังดีที่จ้าวเฟยหลงไม่ได้ก่อเรื่องราวจนเกินเลยไปจึงไม่ถูกศิษย์พี่ทั้งสองสั่งลงโทษ
ระหว่างทางที่เดินไปยังที่พักของจินอวี่ จ้าวเฟยหลงก็พบกับหลินซินอี้น้องเล็กของสามพี่น้องตระกูลหลินนั่งอยู่ที่โต๊ะหินหน้าเรือนพักหลังหนึ่งอย่างหงอยเหงาแต่เพียงลำพัง ในมือยังมีตำราอยู่เล่มหนึ่ง หากแต่เท่าที่มองดูเด็กน้อยเหมือนจะไม่กะจิตกะใจจะสนใจมันสักเท่าไหร่
“ซินอี้ทำไมนั่งอยู่ที่นี่คนเดียว พี่ชายทั้งสองของเจ้าล่ะ ไปที่ใดแล้ว”
“อา…พี่ใหญ่เฟยหลง” หลินซินอี้ที่เห็นว่าเป็นจ้าวเฟย ก็ทิ้งตำราในมือพลางวิ่งเข้ามาโอบกอดจ้าวเฟยหลงด้วยความดีใจ
“ว่าอย่างไร…ซินอี้ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว” จ้าวเฟยก้มลงถาม
“เอ่อ…”
“หืม…”
“พี่ใหญ่กับพี่รองเข้ารับการฝึกจากท่านอาจารย์แล้ว แต่อาจารย์บอกว่าข้ายังอ่อนแอเกินไป จึงให้ข้าฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงกับศึกษาตำราพวกนั้นก่อน ข้าก็เลยต้องนั่งอ่านตำราที่นี่คนเดียว แต่ว่ามันน่าเบื่อมากเลยนะ” พูดพลางทำทำปากยื่นปากยาวซึ่งช่างน่ารักยิ่งนักใจสายตาของจ้าวเฟยหลง จนอดที่จะดึงแก้มทั้งสองของน้องเล็กผู้นี้ไม่ได้
“โอ๊ย…ย ข้าเจ็บนะพี่ใหญ่”
“ฮ่าๆ ก็ใครใช้ให้เจ้าน่ารักอย่างนี้เล่า” จ้าวเฟยหลงหัวร่อเสียงดัง พลางลูบศีรษะหลินซินอี้ด้วยความเอ็นดู
“เอ…พี่ใหญ่จะออกไปเดินเล่นในเมือง จะพาเจ้าไปด้วยดีไหมนะ…”
“อา…ไปด้วย พาข้าไปด้วยนะพี่ใหญ่ พาข้าไปด้วย” ได้ยินเช่นนั้นหลินซินอี้รีบกระโดดเกาะแขนจ้าวเฟยหลงไว้พลางออดอ้อนขอติดตามไปด้วย ท่าทางเช่นนี้ทำให้จ้าวเฟยหลงอดที่จะนึกถึงตนเองเมื่อยังเล็กไม่ได้ เขาเองก็มักจะออดอ้อนจินอวี่ด้วยท่าทางเช่นนี้เสมอ
“อืม…พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปด้วยก็ได้แต่เจ้าต้องสัญญาว่าเมื่อกลับมาจะตั้งใจฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและหมั่นอ่านตำราพื้นฐานพวกนั้นด้วย”
“ข้าสัญญาพี่ใหญ่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” หลินซินอี้รีบรับปากด้วยท่าทางขึงขังจริงจังยิ่งนัก
“ฮ่าๆ อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเลย”
“เย้!!!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินซินอี้ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เกาะแขนเกาะขาจ้าวเฟยหลงไปตลอดทาง ดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าเมื่อตอนนั่งอ่านตำราเป็นไหนๆ
------------------------------------------------------------
เมืองหลวงของดินแดนเทวะอัคคียังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเสมอ สองฟากข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยมากมาย สามพี่น้องพากันแวะเข้าร้านนั้นออกจากร้านนี้อย่างไม่รีบร้อน
จุดมุ่งหมายหลักที่จ้าวเฟยหลงออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อสรรหาผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรล้ำค่าที่จะใช้เป็นตัวยาสำคัญในการปรุงกลั่นเป็นโอสถเพื่อช่วยยกระดับพลังยุทธ์ให้กับสามพี่น้องตระกูลหลินนั่นเอง ถึงอย่างไรสามพี่น้องในขณะนี้ถือว่าอ่อนด้อยยิ่งนักเมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ในหอพยัคฆ์อัคคีด้วยกัน จำเป็นต้องเร่งฝึกฝนและยกระดับพลังยุทธ์ให้สูงที่สุดเพื่อที่จะดูแลกันและกันได้
อันที่จริงหมู่ตึกทิพยโอสถภายในหอพยัคฆ์อัคคีเองก็มีผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมาก หากแต่โดยส่วนใหญ่เป็นผลึกธาตุของสัตว์อสูรธาตุไฟ ส่วนผลึกธาตุสัตว์อสูรธาตุอื่นๆ ก็เป็นผลึกธาตุชั้นต่ำที่เมื่อนำมาปรุงกลั่นเป็นโอสถแล้วก็มีประสิทธิภาพไม่สูงนัก จ้าวเฟยหลงจึงเห็นว่ามิสู้ออกมาหาซื้อผลึกธาตุจากร้านค้าภายในเมืองน่าจะได้ผลึกธาตุสัตว์อสูรระดับสูงตามที่ต้องการมากกว่า
ด้วยเมืองหลวงแห่งนี้เป็นตลาดกลางสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนผลึกธาตุสัตว์อสูรอยู่แล้วจึงเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ใช้เวลาไม่นานจ้าวเฟยหลงก็รวบรวมวัตถุดิบในการปรุงกลั่นยาสำหรับสามพี่น้องตระกูลหลินได้ครบ อีกทั้งยังได้ผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรหายากอีกจำนวนหนึ่งแต่มูลค่าของมันก็ถือว่ามหาศาลเช่นกัน ยิ่งช่วงนี้ใกล้ถึงงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถ ทำให้มีเหล่าแพทย์โอสถมาหาซื้อวัตถุธาตุและสมุนไพรเป็นจำนวนมาก ร้านค้าต่างๆ จึงฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าจนแพงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จนเงินที่จ้าวเฟยหลงพกมาแทบจะหมดลง แต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา กลับไปให้ศิษย์พี่จินอวี่ไปออดอ้อนขอจากศิษย์พี่ใหญ่เงินในกระเป๋าของพวกเขาก็จะเต็มเปี่ยมดังเดิมแล้ว คิดได้เช่นนั้นจ้าวเฟยหลงก็อดที่หัวร่ออย่างอารมณ์ดีไม่ได้
“ท่าทางเจ้าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะเฟยหลง คิดวางแผนทำอะไรแผลงๆ ไว้อีกละสิ” จินอวี่เหล่มองจ้าวเฟยหลงอย่างไม่ไว้ใจนัก
“อะไรเล่าศิษย์พี่รอง ไม่มีอะไรสักหน่อย ข้าแค่ดีใจที่เราหาวัตถุดิบได้ครบแล้วต่างหากเล่า จากนี้พวกเราก็จะมีเวลาเดินเล่นได้เต็มที่แล้ว” จ้าวเฟยหลงอดจะมองค้อนศิษย์ไม่ได้
“ซินอี้อยากกินพุทราเชื่อมหรือไม่” จ้าวเฟยหลงก้มลงถามหลินซินอวี้ เมื่อเห็นน้องเล็กผงกศีรษะรัวๆ ก็รีบจูงมือวิ่งไปทันที จนจินอวี่อดที่จะส่ายหน้ากับนิสัยของศิษย์น้องไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วแต่จ้าวเฟยหลงก็ยังเป็นศิษย์น้องที่ซุกซนของเขาเสมอ
พวกเขาสามพี่น้องพากันเดินชมร้านรวงต่างๆ ด้วยความเพลิดเพลิน ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมักจะมีสายตาทั้งชายหญิงจับจ้องมองเสมอ หากแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก แม้จ้าวเฟยหลงจะรู้สึกหงุดหงิดบ้างแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ จะไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไรเล่า ก็พวกที่จ้องมองเขาโดยมากเป็นบุรุษ จ้าวเฟยหลงไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมบุรุษพวกนั้นต้องทำเหมือนสนใจเขาด้วย เขาก็ไม่ใช่สตรีนะ…หึยย
“เอ๊ะ!!!” จ้าวเฟยหลงหยุดชะงัก พลางมองเข้าไปในตรอกซอยเบื้องหน้าด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเฟยหลง” จินอวี่เอ่ยถาม พลางหันไปมองตามสายตาของศิษย์น้อง
“อืม…ไม่มีอะไรศิษย์พี่ พวกเรากลับกันเถอะ” จ้าวเฟยหลงหันไปตอบคำจินอวี่ พลางเดินนำผ่านตรอกซอยนั้นไป หากแต่ในใจกลับกำลังครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจในตนเองนัก
เมื่อครู่ขณะกำลังจะเดินผ่านตรอกซอยนั้น หางตาเขาเหลือบเห็นเหมือนมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังเดินหายลับเข้าตรอกซอยนั้นไป แต่ในเสี้ยวนาทีที่ร่างนั้นกำลังจะลับสายตา จ้าวเฟยหลงกลับสัมผัสได้ถึง ลมปราณพิษ หากแต่สัมผัสนั้นช่างบางเบานัก จนทำให้จ้าวเฟยหลงเกิดความไม่แน่ใจ
เหรียญมีสองด้านฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนปฐพีนี้ก็เช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งกลุ่มแพทย์โอสถอันได้ชื่อว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูงก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกเป็นเหล่าผู้สรรค์สร้างทำหน้าที่ในการปรุงกลั่นโอสถเพื่อช่วยเหลือผู้คนเรียกหาเป็น
แพทย์โอสถ อันมีปรมาจารย์ทั้งสามของสำนักแพทย์โอสถหลวงเป็นผู้นำ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับทำตัวเป็นผู้ทำลายล้างคอยเสกสรรโอสถพิษมาทำลายชีวิตผู้คนเรียกหาตนเองเป็น
จอมพิษ อันมีเจ้าแห่งพิษ หยุนเสียนจง สองสามีภรรยาเป็นผู้นำ
จ้าวเฟยหลงก็ได้แต่หวังว่าสัมผัสของเขาจะผิดพลาดไป…
คล้อยหลังจากที่จ้าวเฟยหลงพาจินอวี่และหลินซินอี้จากไปไม่นาน อวี้เหวินหลางพร้อมด้วยหย่งสือและเหยียนจวิ้นก็ปรากฏตัวขึ้น เห็นอวี้เหวินหลางหยุดยั้งลงส่งสายตามองตามเงาร่างของจ้าวเฟยหลงไปจนลับสายตา แม้อยากจะเข้าไปทักทายหากแต่เขาก็มีเรื่องให้ต้องจัดการ สายตาของเขามองเข้าไปในตรอกซอยนั้นพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
“แม้จะสัมผัสถึงลมปราณพิษได้เพียงแผ่วเบา แต่ข้ามั่นใจว่าเป็นของพวกจอมพิษอย่างแน่นอน” อวี้เหวินหลางพูดด้วยความมั่นใจ
“องค์ชายท่านว่าพวกมันมาเพราะพวกเราหรือไม่” หย่งสืออดที่จะถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลไม่ได้
“อาจจะไม่ได้มาเพราะพวกเรา ดูท่าพวกจอมพิษน่าจะมาเพราะงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถเสียแปดส่วน แต่พวกเราก็อย่าได้ประมาท เหยียนจวิ้นท่านส่งคนของเราไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกมันไว้อย่างใกล้ชิด แต่ต้องระวังตัวให้มาก”
“รับคำสั่งองค์ชาย” เหยียนจวิ้นรับคำ พลางเอ่ยพูดอย่างเป็นกังวล
“องค์ชายตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เห็นทีพวกเราต้องรีบเร่งเดินทางกลับดินแดนวายุอัสนีแล้ว”
“อืม…อีกเพียงห้าวันก็จะถึงงานชุมนุมหมื่นแพทย์โอสถแล้ว ถึงตอนนั้นหากสามารถเชื้อเชิญแพทย์โอสถชั้นสูงของสำนักแพทย์โอสถหลวงได้ พวกเราก็รีบเร่งออกเดินทางได้ทันที ตอนนี้วัตถุดิบ ผลึกธาตุสัตว์อสูรและสมุนไพรที่จะใช้ปรุงกลั่นโอสถเตรียมไว้ครบแล้วหรือไม่” อวี้เหวินหลางหันไปถามเหยียนจวิ้น
“จัดเตรียมไว้ครบแล้วขอรับ ส่วนหนึ่งได้ว่าจ้างสำนักวาณิชมังกรทองนำส่งไปยังดินแดนวายุอัสนีแล้ว หากแต่ที่น่ากังวลเป็นข่าวที่องค์ชายห้าส่งมาแจ้งว่ามีคนว่าจ้าง กองกำลังอสูรรัตติกาล หมายมาดว่าจะขัดขวางไม่ให้พวกเราเดินทางกลับไปยังดินแดนวายุอัสนีได้”
“เรื่องนี้คงต้องกลับไปวางแผนให้ดี ขอแค่เดินทางเข้าสู่เขตแดนของดินแดนวายุอัสนีได้ก็ไม่น่าเป็นกังวลแล้ว เพราะองค์ชายห้าจะส่งกองกำลังมารับพวกเรา ถึงตอนนั้นกองกำลังอสูรรัตติกาลก็คงไม่อาจทำอย่างไรพวกเราได้อีก”
กองกำลังอสูรรัตติกาลเป็นกองกำลังทหารรับจ้างที่รวบรวมคนเดนตายนับพันนับหมื่นเข้าด้วยกัน จัดเป็นกองกำลังทหารรับจ้างที่ใหญ่ที่สุด มีอิทธิพลที่สุด แบ่งออกเป็นเจ็ดกองพันออกเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายอยู่ตามชายแดนของดินแดนทั้งเจ็ด แม้องค์จักรพรรดิแต่ละดินแดนจะส่งคนออกปราบปรามแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างไรพวกมันได้ เนื่องจากกองกำลังกลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวตามแนวชายแดน เมื่อถูกดินแดนนั้นออกปราบปรามก็จะหลบหนีเข้าไปอีกดินแดนหนึ่ง ตราบใดที่ดินแดนทั้งเจ็ดไม่ร่วมมือกัน เกรงว่ากองกำลังอสูรรัตติกาลก็ยังจะออกมาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ควรทราบว่าความน่ากลัวของกองกำลังทหารรับจ้างไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์ อย่างเช่นกองกำลังอสูรรัตติกาลเองหัวหน้าใหญ่ของพวกมันที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดยังอยู่ในระดับจ้าวยุทธ์ หัวหน้ารองทั้งสองมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับยอดยุทธ์ ส่วนหัวหน้ากองทั้งเจ็ดก็มีระดับพลังยุทธ์ตั้งแต่ระดับยอดยุทธ์จนถึงจอมยุทธ์เท่านั้น
หากแต่ความน่ากลัวของพวกมันอยู่ที่ความดุดันอำมหิต ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย การต่อสู้ก็ไร้ซึ่งแบบแผนอาศัยการเอาชีวิตเข้าแลกกับคู่ต่อสู้ นอกจากนั้นพวกมันรู้สึกการใช้ค่ายกลกลุ้มรุมสังหาร อีกทั้งยังรู้จักการใช้พิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้กองกำลังอสูรรัตติกาลเป็นที่หวั่นเกรงของผู้ฝึกยุทธ์ กลับเป็นเรื่องที่หัวหน้าใหญ่ของพวกมันถึงกับเป็นผู้สืบทอด ค่ายกลกักลมปราณ อันเป็นค่ายกลที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ตกอยู่ในค่ายกลนั้นไม่สามารถเรียกใช้พลังยุทธ์ได้ นับเป็นค่ายกลที่เป็นปรปักษ์กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ทุกคน
------------------------------------------------------------
ท้องฟ้าในยามราตรีถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดราวกับถูกแต้มเต็มไปด้วยหมึกสีดำ แม้แต่ดวงดาวก็หลบเร้นไม่ปรากฏแม้แต่ดวงเดียว ด้านนอกห้องพักหลังหนึ่งภายในหอพยัคฆ์อัคคีพลันเห็นเงาร่างในชุดสีดำสนิทกลมกลืนกับความมืดมีผ้าสีดำเช่นเดียวกันปิดคลุมใบหน้าไว้ปรากฏตัวขึ้นสามคน คนชุดดำเหล่านั้นพลิ้วร่างอย่างแผ่วเบาเคลื่อนตัวเข้าประชิดห้องพักหลังนั้นโดยไร้ซุ่มเสียง ทั้งสามดูไปมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่จากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแผ่วเบาเช่นนั้น หากไม่ใช่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลม ก็คงได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ
หนึ่งในสามล้วงหยิบวัตถุรูปร่างแปลกตาออกมาสอดผ่านหน้าต่างเข้าไป แล้วใช้ปากเป่าพ่นควันบางเบากรุ่นกลิ่นหอมคล้ายดอกกุ้ยฮัวเข้าไปในห้องพักหลังนั้น เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นคนชุดดำที่พ่นควันพิษนั้นให้สัญญาณ คนชุดดำอีกคนพลันเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเปิดหน้าต่างออกแล้วทะยานร่างเข้าไปในห้องอย่างแผ่วเบา
ภายในห้องที่มืดมิดนั้นเห็นมีร่างบางหน้าตางดงามร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งหลับสนิทลมหายใจสม่ำเสมอ คนชุดดำผู้นั้นไม่รีรอลังเลเดินเข้าหาพลางโอบอุ้มร่างนั้นขึ้นมาแล้วทะยานร่างผ่านหน้าต่างห้องออกไป แล้วกระโจนขึ้นหลังคาอาคารหลังหนึ่งโดยไร้ซุ่มเสียง โดยมีพวกพ้องชุดดำอีกสองคนตามมาอย่างกระชั้นชิด ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเป็นมืออาชีพที่ผ่านการซักซ้อมวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี ใช้เวลาเพียงไม่นานคนชุดดำเหล่านั้นก็พากันลัดเลาะมาจนถึงเชิงกำแพงด้านหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครพบเห็นการเคลื่อนไหว เหล่าคนชุดดำก็ทะยานร่างข้ามกำแพงหายลับไปกับความมืด
น่าแปลก!!!
หอพยัคฆ์อัคคีที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักอันยิ่งใหญ่ กลับปล่อยให้มีโจรปลายแถวมาเคลื่อนไหวกระตุกหนวดเสือโดยไม่รู้สึกตัว หากเรื่องราวหลุดรอดออกไปเกรงว่าคงเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนแล้ว
คล้อยหลังจากที่คนชุดดำทั้งสามจากไป ที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากกำแพงด้านในหอพยัคฆ์อัคคีมากนักพลันปรากฏเงาร่างของผู้คนขึ้นสองร่าง สายตาสองคู่นั้นจ้องมองตามคนชุดดำที่ทะยานร่างไปจนลับสายตา มุมปากแสยะยิ้มด้วยความสาแก่ใจ
------------------------------------------------------------
หมดสต็อกแล้วจ้า....
หลังจากนี้ขอเป็นทุกวันอาทิตย์นะทุกคน
ขอบคุณที่ติดตามจ้า