CHAPTER 25: Young and Beautiful มีเพียงความเงียบงันภายหลังสองร่างเดินออกจากห้องพยาบาลไป..พจน์ ประดิษฐาพงศ์ยืนนิ่ง..
นี่มัน..
อะไร..
จู่ๆสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ..ไม่มีสัญญาณ ..ไม่มีอะไรบอกล่วงหน้า
หรือเขาโง่พอที่จะไม่เคยมองออก ..ละเลยไม่รับอะไรมาใส่ใจ
เด็กหนุ่มซึ่งเคยพบในฐานะรูมเมทของลูกชายยืนอยู่เบื้องหน้า ..นายพจน์เห็นจากด้านหลัง แต่ก็รู้ว่าสายตาจับอยู่ที่ประตู
'พชร เพชรหละปูน'
“ไม่.. รู้จักครับ”
“แม่ผมชื่อนิภา..”นายพจน์เพ่งมองเด็กหนุ่ม
เพชรลดาเปลี่ยนชื่อ.. หรือพชรตั้งใจโกหก..
..ทำไม.. ในวันที่ยืนตรงข้ามกันหน้าหอสามชาย.. เด็กหนุ่มรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นพ่อตัว
..รู้..นายพจน์ตระหนัก
“มาแล้วหรือ ได้บอกเขาหรือยัง..”
“ผมไม่.. คุณอย่า..”ด้วยเหตุผลบางอย่าง..
พชรเคยเจอกับระมิงค์มาก่อนหน้านี้แล้ว
ในแววตา.. ในคำพูด.. ในการปฏิเสธ..
“ไม่เป็นไร”
..
“ไม่เป็นไรทั้งนั้น ผมกำลังจะไป”
“พชร ประดิษฐาพงศ์ มีความจำเป็นอะไรต้องไป?” เพชรลดาตั้งครรภ์อยู่แล้วในตอนที่เธอลาออกจากบริษัท ..ไม่มีแม้แต่คำบอกลา
แล้วสิบเก้าปีที่ผ่านมา ..เธอเลี้ยงดูลูกชาย ..ลูกชายของเขามาเพียงลำพัง
โดยที่เขาไม่รู้สักนิด ..ขนาดลูกชายยืนอยู่ตรงหน้า ..เขาก็ยังไม่รู้
เรื่องทั้งหมดนี้..
โทษระมิงค์ได้ไหม? ..ก็คงได้
ทว่า นายพจน์รู้ดี ..มันไม่ใช่ระมิงค์หรอก
ถ้าเพียงแต่เขากล้าหาญกว่านั้น เข้มแข็งกว่านั้น เขาคงไปหาเพชรลดา
ถ้าเขาไม่ปล่อยเลยตามเลย แม้เธอลาออก เขาก็คงเข้าไปพบเธอที่บ้าน
เขาคงจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอตั้งครรภ์ รู้ว่าระมิงค์พูดอะไรกับเธอและแก้ไขความเข้าใจผิดให้เธอได้
เธอจะไม่โดดเดี่ยว ..และลูกชายก็คงไม่ต้องโตมาอย่างไร้พ่อ
แต่เขาไม่ไป..
วันนั้นเขาเลือกดำรงไว้ซึ่งสถานะลูก ซึ่งธุรกิจครอบครัว ..ไม่ได้เลือกเธอ
แม้เขาจะรัก ..แม้เขาจะไม่ตัดใจ แต่มันก็เป็นเพียงความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเขาไม่ได้รับรู้ความทุกข์ยาก ไม่ได้ร่วมแบ่งปันความลำบากมาจากเธอเลย
นายพจน์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นบุรุษที่แย่และไร้คุณค่ามากเท่านี้มาก่อน
สายตาคมมองประตูซึ่งแผ่นหลังของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาและลูกชายมาตลอดสิบเก้าปีเพิ่งจะคล้อยผ่านไป
เขาไม่ได้รู้สึกโกรธระมิงค์มากเท่าที่รู้สึกโกรธตัวเอง ..และน่าแปลกนัก ณ วันที่ได้รู้ว่าม่อนแจ่มไม่ใช่ลูกชาย เขากลับพบว่าตัวเองเพิ่งได้เห็นเด็กหนุ่มชัดเจนมากที่สุดก็วันนี้เอง
เพราะ..
“พชร..” ลูกชายที่ยืนนิ่งงัน มองไปทางประตู
มองราวกับอยากแทบขาดใจที่จะก้าวตามออกไปทำให้เพชรลดาอยากจะบอกให้เขา..
“พชร.. ไป.. ไปหา..”
ทว่า.. เธอเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ..หยาดน้ำปริ่มขอบตาบางๆ
เธอไม่น่ามาอยู่ตรงนี้ ..ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้เลย
สิบเก้าปีที่ผัน ..ผ่านวันคล้ายวันเกิดนายพจน์มาทุกๆปี เธอไม่เคยคิดว่าจะมาที่นี่
เพราะคิดว่าเขาทรยศต่อเธอตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เลิกรากัน ..ระมิงค์บอกว่าตั้งครรภ์ เธอจึงจากไป
แต่ในปีนี้ เธอรับรู้ว่ามันไม่จริง.. ระมิงค์โกหกเธอ.. แสงระวียืนยันว่าม่อนแจ่มเป็นลูกชายเขา.. คุณพจน์ไม่เคยมีอะไรกับคุณระมิงค์ตลอดระยะเวลาที่เพชรลดาเป็นคนรัก..
เธอจึงไม่ห้ามพชรเมื่อจะมาพบพ่อ ..มาเปิดเผยความจริง
เธออยากให้นายพจน์รู้ว่าเขามีลูก ..มีพชร
แต่..
“ผมไปหาคุณระมิงค์แล้ว ผมอยากเลือกให้เธอสารภาพด้วยตัวเธอ แต่เธอทำไม่ได้ ..เธอให้ผมไปบอกคุณพจน์เอง”
..
“ซึ่งผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
..
“ผมพูดไม่ได้ว่าม่อนแจ่มไม่ใช่ลูกชายเขา..”ทำไมถึงจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ล่ะ..
ความรู้สึกอยากให้คนบางคนซึ่งมีชีวิตที่ดี ..ได้มีชีวิตที่ดีต่อไป แม้จะแลกด้วยความสูญเสียของเราเองก็ตาม
เพชรลดาจึงเลือกที่จะยอมรับชีวิตเช่นที่มันเป็นต่อไป เลือก.. รักษาความรู้สึกของพชรเอาไว้ ไม่ใช่รักษาความรู้สึกตัวเอง
แต่ความคิดถึงไม่เคยปราณีใคร..
เธอเพียงอยากมาบอกลานายพจน์.. อยากบอกสุขสันต์วันเกิด.. ในสถานที่ที่เคยคุ้น.. ในวันที่เคยรักกัน..
เพียงอยากจะยืนนอกกำแพง.. อยากมองเข้าไป.. เพื่อจบความรู้สึกที่มีต่อคนข้างใน ..ไม่ว่าในทางดีหรือทางร้าย
เธอไม่ได้ตั้งใจจะมาเพื่อเป็นต้นเหตุความพังพินาศในชีวิตใคร..
“คุณน้านิภา!” เสียงเรียกร่าเริงกระทบห้วงคำนึง
เสียงที่แม้ไม่ได้เรียกชื่อเธอ แต่ก็เรียกเธอ ..ในแววตา ..ในท่าที ..ในน้ำเสียง ..มีแต่ความบริสุทธิ์และจริงใจ
“ผมม่อนครับ นี่ไอดิล”
..
“เดี๋ยวผมโทรหาพชรให้นะครับ!”ผมม่อนครับ..
เพชรลดาปล่อยให้น้ำตาไหล ..เอ็นดู ..เห็นใจ ..สงสาร ..และเธอทรมานใจ
“อร่อย อร่อยครับ ฉ่ำมาก เนื้อเยอะด้วย ต้องได้ราคาดีแน่เลยใช่ไหมครับ”ในถ้อยคำที่ดูเว่อร์วังนั้น คนพูดไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี หมือนกำลังกินลำไยที่อร่อยที่สุดจริงๆ ..ท่าทางมีความสุขในการกินที่ทำให้เจ้าของสวนปลื้มใจยิ่งนัก
“ขอบคุณคุณน้านิภามากนะครับที่อุตส่าห์หิ้วมาฝาก ผมจะขอบคุณคุณน้ายังไงดี..” และแม้เธอจะปฏิสธว่าไม่ต้อง..
“สองนาทีครับ!”
..
“ผมขอสองนาที..” ภายหลังสองนาที ..ช่วงเวลาแสนสั้นที่เหลือเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมา
ม่อนแจ่มทำได้..
“นี่ครับ”
..
“ผมให้คุณน้านิภา เป็นอย่างเดียวที่ผมทำเป็น”แม้จะมอบให้แสงระวีไปแล้ว.. แต่เพชรลดาก็ไม่เคยลืม
ภาพผู้หญิงผูกผมหางม้า ใส่เสื้อเชิ้ตและกระโปรงทรงบานปลายคลุมเข่า มือหิ้วตะกร้าลำไย
วาดด้วยดินสอ.. เขียนความรู้สึก.. และลงชื่อกำกับ..
‘ขอบคุณครับ เป็นลำไยที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยทาน’
‘Mon Cham of Mechanical Engineering’
ตอนนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นจะรู้สึกอย่างไร..
เจ็บปวดใจแค่ไหนกัน..
แล้วความรู้สึกของเด็กหนุ่มคนนั้นก็สัมพันธ์กับของเด็กหนุ่มอีกคนที่ยังยืนอยู่ในห้องนี้ด้วย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไม่เป็นไร..”
..
“ไม่เป็นไรเลยจริงๆ”ถ้อยคำที่ก้องอยู่ในหูคือสิ่งเดียวที่ทำให้พชรไม่บ้าไปเสียก่อนในภาวะแบบนี้
มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ.. เป็นเหมือนการปลอบโยน.. เป็นการยืนยันว่าคนพูดรับรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรแม้ว่าพชรเองไม่อาจเอ่ยคำใดออกจากปาก..
ขาแข็งแรงทำท่าจะขยับก้าวพอๆกับที่หยุดนิ่ง ..เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่รู้จะทำอะไรและทำอะไรไม่ถูก..
เขาอยากวิ่งตามไป.. อยากรั้งไว้.. อยากพูดอะไรดีๆ..
“พชร แม่ไม่เป็นไร ลูกไป.. ไปหา..”
มารดาพยายามเอ่ยบอก พชรรู้ว่าเธอเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ตาม เธอบาดเจ็บ เขาทิ้งเธอไปในสภาวะเช่นนี้ไม่ได้..
“ผม.. จะพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนครับ” แม้น้ำเสียงคนพูดจะแห้งผาก แต่ก็พยายามให้ชัดเจน
“ให้คุณหมอตรวจให้แน่ใจสักนิดว่าข้อเท้า.. เดี๋ยว.. ผมไปเอารถ ..แป๊ปเดียวครับ”
พชรพูดเพียงแค่นั้น..
แค่นั้นแล้วก็ขยับตัวเดิน..
ขาแข็งแรงก้าวออกมาจากห้อง ปากเม้มเข้าหากัน
‘ HAP PY 50th BIRTH DAY TO MY RES PEC TED FA THER ’
ห่อกระดาษที่เคยเห็นเรียบร้อยอยู่ข้างเตียงล่างในหอสามชาย ห้องสามสามแปด บัดนี้หล่นอยู่บนพื้นกระเบื้อง
คำที่เคยอยู่ด้วยกันเป็นประโยคถูกแยกจนอ่านลำบากเมื่อกระดาษฉีกขาดจากการที่กระจกภายในแตกออก
พชรย่อเข่าลง ..มือขวาที่ข้อมือผูกสายสิญจน์สีขาวหยิบห่อนั้นขึ้นมา ..ประคองไว้ในอ้อมแขน
เขาปล่อยมันไว้ตรงนี้ไม่ได้..
ร่างสูงลุกขึ้นยืน ..ขายาวก้าวเร็วๆไปตามทางเดิน ออกผ่านประตูบริษัท และวิ่งออกจากประตูใหญ่ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ หยาดเหงื่อเม็ดโป้งผุดทั่วใบหน้า กระทั่งแทบจะเปียกโทรมกาย แต่เขาไม่สนใจ เขาอยากออกเหงื่อมากกว่าช่วงเวลาใดๆในชีวิต ..ยิ่งออกมามากเท่าไรยิ่งดี
สองมือโอบกรอบภาพที่แตกไว้ในอก ..ราวกับว่าการกระทำเช่นนั้นจะช่วยปลอบโยนจิตใจผู้เป็นเจ้าของได้
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
Mazda CX5 สีเทาแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูใหญ่ ต่อท้าย Volvo ขาวในเวลาไม่นานนัก
พชรลงจากรถ กลับเข้าไปในห้องพยาบาล และทันทีที่เห็นเขาเข้ามา นายพจน์ก็ประคองเพชรลดาลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ.. เดี๋ยวให้พชร..”
พชรกลืนน้ำลาย..
ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรกันแน่ที่จะไปแทรกตรงกลาง ทั้งที่รู้ซึ้งว่าคนทั้งสองรู้สึกอย่างไรต่อกัน ..คนซึ่งเป็นพ่อแม่..
มารดาสมควรได้รับการดูแลจากชายที่เธอภักดี ..ใช่
ทว่า มันก็กระอักกระอ่วนใจเกินกว่าจะยินดีปรีดา ในเมื่อไม่กี่นาทีก่อน คนคนนั้นยังเป็นสามีของผู้หญิงอีกคนและบิดาของเด็กอีกคนอยู่แท้ๆ..
ดวงตาคมเบือนหนีไป ..ไม่รู้จะวางตัวเองไว้ที่สถานะไหน
“พชร..”
เป็นเสียงเข้มที่เรียก พยักหน้าให้เขาเข้าไป ละแขนใหญ่ออกจากบ่าเล็กที่พยายามประคองก่อนหน้า
ร่างกำยำขยับยืนถัดจากเตียงพยาบาล ..ไม่ต้องการสร้างความลำบากใจ
พชรไม่ได้มองหน้าชายคนนั้น แต่กลับช่วยไม่ได้ที่ดันรับรู้ความเสียใจอย่างมากที่สุดที่ส่งผ่านมา
มีเพียงความเงียบภายในรถ SUV..สองแม่ลูกไม่ได้พูดอะไรกัน กระนั้น พชรก็มองเห็น Volvo สีขาวแล่นตามมาผ่านกระจกหลัง
และเห็นชายผู้เป็นเจ้าของรถตลอดเวลาที่มารดารอตรวจอยู่ที่โรงพยาบาล
พชรถอนหายใจ..
กระดูกเพชรลดาไม่ได้หัก แต่เอ็นข้อเท้าขวาด้านนอกของเธออักเสบจากการหกล้ม
เธอได้รับคำแนะนำห้ามขับรถอย่างเด็ดขาด ต้องพักอย่างน้อยสองอาทิตย์
นั่งยกขาสูง นอนโดยใช้หมอนรองขาและใช้ ankle support ฟิคข้อเท้าให้ได้เกือบตลอดเวลา
พชรเดินไปรับยาที่ช่องจ่ายยา..
ยาแก้ปวด ยาป้องกันกระเพาะอาหาร ยาลดอาการอักเสบ ยาลดบวม ยานวดและ ankle support
“คืนนี้ แม่อย่าเพิ่งกลับลำพูนเลยครับ”
พชรเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ “เดี๋ยวหาโรงแรมพักสักคืนก่อน นั่งรถไปเป็นชั่วโมงกว่าท่าจะไม่ดี”
เพชรลดาพยักหน้าบางๆ เงยมองลูกชาย
“แค่ส่งแม่ที่โรงแรมก็พอแล้ว..” มือกร้านวางบนมือใหญ่กว่าของลูกชาย บีบเบาๆ..
พชรไม่ได้ตอบอะไร เพียงลุกขึ้นยืนและเข็นรถพามารดาไปรอใกล้ทางลาด
ชายที่เขาหน้าตาละม้ายคล้ายมองมาด้วยสายตาห่วงใยจากบริเวณที่ไม่ไกลนัก ความรู้สึกหนักอึ้งในใจคงไม่ได้แตกต่างกัน
เรื่องราวปะทะและเปิดเผยรวดเร็ว เกินจะรับความรู้สึกต่างๆเหล่านั้นเอาไว้ได้ทัน และยิ่งไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี
“ขอโทษนะ..”
สองแม่ลูกสะดุ้ง เมื่อจู่ๆเสียงเข้มดังขึ้นใกล้ตัว
“ผมอยาก.. ถามว่าข้อเท้าลดาเป็นยังบ้าง..”
พชรนิ่ง.. มองหน้ามารดา และคิดว่าไม่ใช่เขาที่ต้องตอบ
“ผมไปเอารถนะครับ”
มารดามองกลับมา ..และถ้ามีสัญญาณแม้เพียงนิดว่าเพชรลดาไม่ต้องการอยู่ลำพังกับนายพจน์ ..พชรจะยังไม่ไป
แต่ไม่มี..
ร่างใหญ่คุกเข่าลง พิจารณาข้อเท้าที่บวมเป่งของคนบนรถเข็น
ดวงตาคมของเขาไม่ได้สบกับเธอ ..ได้แต่มองข้อเท้าแทน
นายพจน์ไม่เก่งในเรื่องการใช้คำพูดดีๆ ..เขาพูด ก็แต่สิ่งที่เขารู้สึก สิ่งที่เป็นจริงๆ
และสิ่งที่รู้สึกก็ไม่ควรสักนิดที่จะพูดออกไปในเวลานี้ ในเมื่อมันไม่เคยสัมพันธ์กับการกระทำ ..พูดไปก็มีแต่คนฟังจะเบ้หน้าอย่างสิ้นศรัทธา
“ในตอนนั้น คุณทำสิ่งที่ต้องทำ..”
จู่ๆเสียงเนิบก็เอ่ยออกมา.. “ไม่ว่าจะในฐานะลูกชาย ทายาทหรือนักธุรกิจ ..ฉันก็เข้าใจ”
นัยน์ตาคมพร่ามัว..
ผู้หญิงตรงหน้ายังคงเหมือนเดิม ..ไม่ต้องการเห็นใครเป็นทุกข์ ..ใจดี ..มีเมตตา
“..ลดา”
“คุณมีเหตุผลของคุณ ..คุณระมิงค์ก็คงมีเหตุผลของคุณระมิงค์”
เพชรลดาไม่อาจตัดสินใคร..
นักธุรกิจใหญ่แห่งภาคเหนือที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า คนที่โหยหามาตลอด ..ตอนนี้เธอกลับไม่อยากได้มาไว้ข้างตัว
ไม่ใช่ไม่รัก.. แต่ชีวิตมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพาให้มันดำเนินไปในแบบที่เราอาจไม่ได้ต้องการเสียทั้งหมด ..ในแบบที่เราไม่ขอครอบครองทุกอย่างที่เราต้องการ
“ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไร”
พูดออกมาพร้อมๆกัน ..นายพจน์เงยหน้าขึ้นและเพชรลดาก็ก้มลง
ดวงประสาน ..บอกความรู้สึก
สำหรับคนบางคน ..สำหรับบางความรัก ..สำหรับวันเวลาที่ได้ผ่านไป การใช้ชีวิตร่วมกันอาจไม่ใช่จุดหมาย การรับรู้ว่ายังคง ‘ถูกรัก’ เท่านั้นเองที่สำคัญ..
“ฉันแค่อยากให้คุณรู้ว่าพชรเป็น ..ลูก”
หยาดน้ำอุ่นรินลงเมื่อเอ่ยคำสุดท้ายและนิ้วโป้งใหญ่ของคนบนพื้นก็ยกขึ้นปาดมันออก
“ผมรู้แล้วว่าพชรเป็น ..ลูก”
เพชรลดายิ้ม..
และเพชรลดาก็ร้องไห้..
Mazda CX5 จอดเทียบ.. พชรลงจากรถพร้อมๆกับที่ร่างใหญ่บนพื้นค่อยๆลุกขึ้นยืน
"พ.. ขออนุญาตนะ”
นายพจน์มองคนที่ทำหน้าที่เข็นรถคันนี้ก่อนหน้า ไม่กล้าที่จะแทนตัวเองว่า 'พ่อ' เมื่อไม่เคยทำหน้าที่นั้นเลย
มือที่ใหญ่เหมือนๆกัน แต่ของคนที่หนุ่มกว่ากลับหยาบกร้านกว่ามากนัก วางลงบนมือจับรถเข็น
พชรมองสบตาชั่ววินาที..
เด็กหนุ่มไม่ตอบรับ ..ไม่ปฏิเสธ ..ไม่แสดงอาการเห็นด้วย ..และไม่มีท่าทีคัดค้าน เพียงเปิดประตูรอ
รถ SUV ค่อนข้างสูง นายพจน์จึงอุ้มร่างเพชรลดาขึ้นและพาเธอไปนั่งบนเบาะ
เป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมายากเหลือเกินสำหรับคนทั้งคู่ที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน
ใกล้ชิดพอๆกับที่เหินห่าง..
ดีใจพอๆกับที่เสียใจ..
“ไปที่บ้านไหม..”
น้ำเสียงแห้งผากเอ่ยขึ้น และเพชรลดาก็ตวัดสายตามอง
“บ้านอะไรคะ..”
“ผม..”
“คุณหมายความว่ายังไง
บ้าน”
“ผมหมายความว่า บ้าน ..ประดิษฐาพงศ์”
นายพจน์เอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างละอาย และเพชรลดาก็ส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณพจน์จะหมายความว่ายังไง ..ให้ฉันเข้าไปที่บ้านประดิษฐาพงศ์”
“หมายความว่าอะไรก็ได้..” นายพจน์ถอนหายใจ “หมายความว่าคุณเป็นภรรยา เป็นแม่ของลูก”
“คุณพจน์!” เพชรลดาไม่ชอบใช้ความรุนแรง แต่รู้สึกอยากจะตบเขาสักฉาดใหญ่ๆ
“คุณคิดว่าในสถานะของคุณ จู่ๆจะเปลี่ยนลูกเปลี่ยนภรรยานั้นเป็นเรื่องปกติอย่างนั้นหรือคะ”
นายพจน์เป็นคนดังในวงการของเขา เป็นข่าวบ่อยๆในความสำเร็จเรื่องงาน แล้วครอบครัวที่สมฐานะไม่ด่างพร้อยก็มีส่วนเกื้อหนุนในเรื่องนี้ การที่จะเกิดเรื่องเช่นที่ว่าขึ้นส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อถือศรัทธา และนายพจน์ต้องรู้เรื่องนี้ดี
“ฟังดูไม่ใช่คุณเลย..”
“ถ้ามันจะพอชดเชยให้คุณกับลูกได้บ้าง ผมยอมทั้งนั้น”
“แล้วคุณไม่นึกถึง..”
“ผมนึก” เสียงเข้มขัด
“ระมิงค์เป็นภรรยาที่บ้านและเป็นรองประธานที่เบริษัท แต่ความจริงคือเราเป็นเพื่อนกัน”
“ม่อนแจ่ม-”
ถ้อยคำที่เหลือชะงักเพียงริมฝีปาก
เพชรลดาไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำนี้ ..ชื่อนี้
ดวงตาดำขลับของผู้เป็นแม่ตวัดไปมองพชรโดยอัตโนมัติ ..และสายตาของผู้เป็นพ่อก็มองตามไป
พชรยืนนิ่ง..
ใบหน้าคมก้มลงมองพื้น มือข้างหนึ่งแนบลำตัว อีกข้างจับมือจับประตูรถ
ไม่เข้าร่วมบทสนทนา ไม่สนับสนุนให้พูดต่อ ไม่ห้ามปรามให้หยุด ปล่อยให้ผู้ใหญ่คุยกันไป
เขาเพียงมองพื้น ..รอคอยให้มันสิ้นสุดลง
อะไรที่บิดเป็นเกลียวในช่องท้อง อะไรที่หนักอึ้งในหัวใจ ..ให้มันสิ้นสุดไปเอง
“ออกจากโรงพยาบาลไปไม่เท่าไร จะถึงโรงแรมที่ดีที่สุดและใกล้ที่สุดในละแวกนี้ ผมจะจองห้องไว้ในชื่อคุณ”
นายพจน์หยุดพูดเรื่องอื่น สายตาว่างเปล่าแต่แฝงความทรมานใจของลูกชายทำให้เขาเห็นใจเกินกว่าจะถกประเด็นอะไรในตอนนี้
“พชร แม่มียาก่อนอาหารไหม”
..
พชรพยักหน้า มือแกร่งเอื้อมหยิบถุงยาในรถส่งให้
“มีน้ำไหม”
..
พชรพยักหน้า เดินไปหยิบมายื่นให้จากเบาะหลัง
นายพจน์แกะยาก่อนอาหารส่งให้เพชรลดา เธองุนงงเล็กน้อย ตั้งท่าจะขัด แต่เมื่อมองเห็นท่าทีลูกชายก็รีบรับไปทาน
“ผมจะสั่งอาหารไว้ให้ ถึงโรงแรม คุณจะได้ทานอาหารเลยและทานยาหลังอาหารด้วย”
นายพจน์หยุดความรู้สึกทั้งหมดที่เหลือ ..จบบทสนทนา
พชรปิดประตูเมื่อนายพจน์ผละตัวออกมา กลับขึ้นประจำที่คนขับ
ขับรถมุ่งไปตามที่นายพจน์บอก ..ไม่รู้ทำไมต้องทำตาม แต่ก็รู้ว่าควรทำตาม มารดาต้องพักผ่อนแล้ว
เธอได้รับการอำนวยความสะดวกด้วยรถเข็นที่มารอรับเมื่อถึงโรงแรม ราวกับพนักงานทราบก่อนแล้วว่าจะมีผู้บาดเจ็บที่ข้อเท้าเข้ามาพัก
นายพจน์จัดการอะไรรวดเร็วและเพชรลดาก็นึกดีใจที่มันเป็นเช่นนั้น
แค่เข้าห้องไม่กี่นาที อาหารก็มาเสิร์ฟ..
“พชร”
เพชรลดาจับช้อน มองดวงตาแห้งผากที่บ่งบอกความปวดร้าวและเป็นกังวลใจของลูกชาย
“แม่ทานข้าวแล้วจะรีบทานยา เห็นไหม ไม่มีอะไรต้องห่วงทั้งนั้น ลูกทำหน้าที่ของลูกดีที่สุดแล้ว ไป..”
พชรมองตามารดา และเธอก็ย้ำคำ
“ไปเถอะ..”
มือใหญ่ของพชรประนมขึ้นไหว้ลา ขาแข็งแรงก้าวยาวๆแทบจะวิ่งออกจากห้องและออกจากโรงแรม..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“พชร?”เป็นเวลาดึกมากแล้ว ขณะไอดิลนั่งคุยถกประเด็นอยู่กับคนรักที่ม้านั่งริมทางเดินหอ และเอ่ยเรียกทันทีเมื่อเห็นรูมเมทร่างสูงของตนเองเดินมา
ทว่า.. ไม่มีคำตอบ พชรเดินตรงแน่วไปตามทาง หมุนลูกบิด ผลักประตูห้องสามสามแปดเปิดออก
และสิ่งที่เห็น.. ทำให้ขาชะงักนิ่ง
เครื่องนอนยังอยู่เรียบร้อย ทว่า ตำราเรียนวิศวฯไม่มีอยู่บนโต๊ะเลย
พชรละสายตา ..ภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิด
มือแกร่งดึงตู้เสื้อผ้าที่ติดสติ๊กเกอร์หมีพูห์ไว้บนบานประตูให้เปิดออก
ไม่ว่างเปล่า.. แต่ก็ไม่มีชุดนักศึกษา เขาเคยเปิดตู้นี้มาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าเสื้อผ้าลำลองบางส่วนหายไป
ขายาวถอยหลัง หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะหันไปทางไหนดี
ดวงตาสีเข้มหยุดมองแผ่นกระดาษรูปการ์ตูนที่แปะไว้บนฝาผนัง..จงใจให้เขาเห็นมากกว่าใครอื่น
‘กูคือม่อนแจ่มแห่งวิศวฯเครื่องกล’
ไอดิลและไอหมอกค่อยๆเดินเข้ามาภายในห้อง มองร่างสูงปรัชญาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“พชร ..โอเคหรือเปล่า”
พชรไม่ตอบ
แต่กลับถาม..
“ม่อนไปไหน”
ไอดิลหันไปมองหน้าคนรัก ถอนหายใจเบาๆ ไม่แน่ใจว่าควรบอกสิ่งที่ม่อนแจ่มฝากเอาไว้เมื่อไหร่
และเมื่อไอหมอกพยักหน้าให้บางๆ ไอดิลจึงหันกลับมามองรูมเมทตัวเอง
“คือ.. ม่อนมันว่าจะไปอยู่กับแม่ แล้ว.. มันฝากให้กูบอกมึง บอก..”
หนุ่มสิ่งแวดล้อมพยายามนึกว่าจะเริ่มต้นด้วยอะไรดี..
..
“มึงไม่ต้องกังวล ไม่ต้องรู้สึกแย่ มึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
นั่นแหละ.. คู่ซี๊เขาบอกแบบนั้น
“ไอ้ม่อนบอกว่า.. มันกับ เอ่อ.. กับแม่ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็..”
ไอดิลพยายามนึก..
ก็ว่าเขาท่องดิบดีแล้วนะ เจอท่าทางพชรทำให้ลืมเสียได้ บวกกับเขาเองก็ไม่ใคร่เข้าใจถ้อยคำนั้นนักเสียด้วย
“ม่อนบอกว่าขอบคุณ พชรเป็นคนมีน้ำใจมาก” เป็นไอหมอกที่ช่วยเสริม
“อื้ม..”
ใช่ ไอ้ม่อนพูดแบบนั้น..
ไอดิลพยักหน้า ก่อนค่อยๆเอ่ย เมื่อจำประโยคสุดท้ายได้
“ม่อนบอกว่ามันดีใจนะ ..ที่เป็นรูมเมทของพชร”
รูมเมทใช่.. เขากับม่อนแจ่มเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน
มันควรจะเป็นแค่นั้น ..สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นมีแต่จะยิ่งทำให้ร่างเล็กรู้สึกแย่
เพราะในตอนนี้ พชรคงเป็นคนที่ม่อนแจ่มไม่อยากพบเจอที่สุด ..คนที่ทำให้เจ้าตัวสูญเสียแทบจะทุกอย่าง
ความรู้สึกมากมายที่ทั้งทับถมและถาโถมทำให้รู้สึกรับไม่ไหว
วันนี้..
ตอนนี้..
หลังจากที่หยัดยืนมาตลอด พชรปล่อยให้ขาแข็งแรงทรุดลง
นัยน์ตาพร่ามัวมองไปทางเตียงล่างฝั่งตรงข้าม..
ไม่มีเสียงสะอื้น..
ไม่มีคำพูดใดๆ..
รู้เพียงเป็นครั้งแรก.. นับแต่จำความได้.. ที่ผู้ชายพชร.. ร้องไห้..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .