ตอนที่12
“.. โอ... โอเชียน”
“หือ อะไรนะ” ผมเงยหน้าสบตากับฟรานส์ที่มองหน้าผมด้วยแววตาเป็นห่วง
หลังจากได้ยินเรื่องที่ว่าหัวผมก็หยุดการทำงาน เรียกว่าแทบไม่รับรู้สภาพรอบตัว ไม่รู้กระทั่งว่าฟรานส์จูงผมกลับออกมาจากที่พักของราชินีตั้งแต่เมื่อไหร่ และตอนนี้เราสองคนก็กลับมาอยู่ที่ห้องของตัวเองได้ยังไง
“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
จะบอกว่าไม่เป็นไรก็คงจะโกหก ผมบอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ควรรู้สึกยังไง คำถามมากมายเต็มหัวไปหมด แต่หนึ่งในนั้นสิ่งที่แซงหน้าคำถามมากมายคือ
พ่อรู้เรื่องนี้หรือเปล่า
พ่อในความทรงจำของผมเป็นผู้ชายที่โคตรวัยรุ่น ทำตัวเหมือนเด็กอายุสิบแปด เป็นคนที่เหมือนจะฉลาดแต่สอนการบ้านผมไม่เคยถูกสักข้อ แต่ดันสามารถกระโจนลงมานั่งเล่น DOTA กับผมได้ทุกครั้งที่เจ้าตัวได้วันหยุดกลับมาอยู่บ้าน คนที่ออกไปเที่ยวกลางคืนพร้อมกับแย่งกันจีบสาวแข่งกับผม แม้แต่วิ่งหลบบาทาของผัวผู้หญิงที่เราแข่งกันหลี
คนที่เหมือนเพื่อนมากว่าพ่อ
พ่อรู้ไหมว่าแม่ไม่ใช่มนุษย์ เรื่องท้องได้คงจะรู้ตอนที่ตั้งท้องผมแน่
แล้วพ่อรู้ไหมว่าถ้าผมเกิดแม่จะต้องตาย...
เพราะพ่อไม่รู้เลยไม่รู้สึกอะไรหรือเปล่า คิดว่าแม่แค่ป่วยตายเฉยๆ
แล้วถ้ารู้แล้ว พ่อจะยังมองผมแบบเดิมอยู่หรือเปล่า
พ่อจะทำใจยอมรับลูกที่ทำให้แม่ตายได้ไหม
พ่อจะยินดีอยู่กับผมอีกหรือเปล่า
“โอเชียน!” ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่เรียกผมอยู่ตอนนี้
“ฟรานส์.. ฉันอยากกลับบ้าน” ผมเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย “ฉันอยากกลับไปหาไอ้พ่อบ้านั่น อยากรู้ว่าเจ้าตัวรู้เรื่องทั้งหมดแต่แรกหรือเปล่า”
“รอก่อนนะ ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่...” ยังไม่ทันพูดจบเจ้าตัวก็คว้าผมเข้าไปกอดซะแล้ว
“ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้กลับไปถามพ่อแน่ๆ ...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
แม้ผมจะอึ้งเล็กๆและไม่เข้าใจว่าทำไมฟรานส์ถึงได้พูดแบบนั้นแต่ก็พยักหน้าตอบรับไป เพราะผมก็พึ่งนึกออกเหมือนกันว่าไอ้พ่อตัวดีของผมพึ่งกลับบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว ตามปกติเจ้าตัวจะได้กลับบ้านประมาณทุกครึ่งปี
เพราะอย่างนั้นถึงผมกลับไปตอนนี้ก็คงจะยังไม่ได้เจอใครอยู่ดี
++++++++++++++++++++++++++
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ว่าที่ภรรยาผมดูจะเพิ่มเลเวลความเป็นห่วงว่าที่สามีอย่างผมมากมาย เพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะไปไหน ก็จะลากผมไปด้วยเสมอ จนแม้แต่ฟิลันเองยังบ่นอุบอิบ แหมก็เข้าใจนะ คนมันหน้าตาดีก็มีสาวๆ(?)ติดใจเป็นธรรมดา
แต่2-3วันนี้ดูฟรานส์จะยิ่งยุ่งมากกว่าปกติ เจ้าตัวต้องเรียกประชุมเงือกบ่อยครั้งและในบางวันต้องออกไปภายนอกปราสาทด้วย คือไอ้ออกข้างนอกก็ดีอยู่หรอกเพราะผมได้เที่ยว ถึงจะต้องผจญกับสายตาของเงือกหลายๆตัวที่ยังแอบมองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือทำอะไรผมอีก แต่ไอ้ตอนประชุมนี่สิ...
หลับสนิทเลยล่ะ
โถ่ ก็พวกเงือกพูดเรื่องอะไรไม่รู้ แรกๆผมก็พยายามจับใจความหรอกนะ เห็นว่าเหมือนจะมีงานสำคัญอะไรบางอย่างประจำปี
อย่างวันนี้ก็เช่นกัน
“.. โอ... โอเชียน!!”
“ห๊ะ!!” ผมสะดุ้งตื่นพร้อมกวาดตาไปมองรอบๆด้วยความตกใจ ปรากฏว่าเงือกทั้งห้องจ้องผมกันเป็นตาเดียวรวมถึงฟรานส์ที่นั่งอยู่ข้างๆด้วย
“นี่เจ้าไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม?”
“ฟังสิ” แถครับวินาทีนี้ต้องแถ เพราะสายตารอบๆที่ปกติแล้วดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ตอนนี้ยิ่งทวีมากขึ้นกว่าเดิม
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าควรจะเลือกแบบไหนดี แยกจัดงานคนละวันหรือรวมทั้งสองงานจัดในวันเดียวเลย?”
ชิบแล้วสิ แล้วไอ้สองงานนั่นมันมีอะไรบ้างฟระ
“เอ่อ....แยกออกเป็นสองงานดีกว่ามั้ง ดูคึกคักดี”
“ข้าก็คิดว่าแบบนั้น งานสถาปนาเจ้าชายทั้งทีเอาไปรวมกับพิธีก้าวสู้ความเป็นผู้ใหญ่ก็กะไรอยู่ จะได้รอบรรดาเงือกที่เข้าร่วมพิธีด้วย” ฟรานส์พยักหน้าให้ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องต่อ
ว่าแต่พิธีอะไร? งานสถาปนาเจ้าชายที่ไหนวะ? หรือว่าฟิลัน?แต่ช่างมันเถอะ ไม่เกี่ยวกับผมนี่นา
คิดแบบนั้นแล้วก็ได้เวลาเข้าพระอินทร์ต่อ
คร่อก..
จนช่วงเย็นการประชุมทั้งหลายแหล่ก็จบลง ฟรานส์ที่กลับมายังห้องพักแผ่หลาลงไปบนที่นอน เล่นเอาหมดมาดเจ้าชายรัชทายาทไปเลยแฮะ
ผมที่ว่ายเข้าไปนั่งข้างๆและกำลังนึกสนุกคิดจะหาไม้เขี่ยศพอีกฝ่าย ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะอยู่ดีๆเจ้าตัวก็ย้ายหัวมานอนซบตักผมซะอย่างนั้น
“งานยุ่งชะมัด ไม่มีเวลาพาเจ้าไปเที่ยวเลย” ฟรานส์พึมพำเสียงเบา แต่เล่นเอาผมยิ้มแก้มปริ ว่าที่ภรรยาผมนี่ใส่ใจสามีสุดๆเลยวุ้ย
“ไม่เป็นไรหรอก วันงานใกล้เข้ามาแล้วนี่นา”ผมพูดอย่างเข้าใจ พลางลูบผมอีกฝ่ายไปด้วย
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันพิธีก้าวสู้ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร มีพิธีการแบบไหน แต่จากที่ได้ยินมันคงจะสำคัญไม่น้อย ผมเดาว่าน่าจะเป็นคล้ายๆของญี่ปุ่นที่เหมือนกับยอมรับว่าอีกฝ่ายโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองหรือเปล่า แต่เพราะเมืองไทยไม่มีประเพณีแบบนี้ผมก็เลยเดาไม่ค่อยถูก จะถามเจ้าตัวก็เกรงใจเพราะเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำทั้งเข้าประชุมและจัดเตรียมทุกอย่าง แค่นี้ก็วุ่นวายจะแย่อยู่แล้ว
แถมผมนั่งอยู่ข้างเจ้าตัวมาตลอด ขืนถามก็รู้หมดสิว่าไม่ได้ฟังเลยสักนิด...
คิดไปพอก้มลงมองอีกฝ่ายแล้วผมก็ต้องหลุดยิ้มบาง
เผลอแผลบเดียวลมหายใจของฟรานส์ก็สม่ำเสมอไปแล้ว เจ้าตัวดูจะหลับสบายทั้งที่มือทั้งสองยังแปะอยู่ตรงก้นผมเนี่ย
เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวพี่โออดใจไม่อยู่แล้วจะหนาว
....ว่าแต่เรายังไม่ได้หาวิธีโซเดมาคอมของเงือกเลยนี่หว่า
ถามฟิลันคงไม่ได้ ส่วนซินนี่ถามไปอาจจะโดนเอาสามง่ามจิ้มเสียก่อน เจ้าเด็กคาไลท์นั่นจะรู้ไหมนี่ สงสัยต้องแอบเลียบๆเคียงๆถามสักหน่อยแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่นานก็มาถึงวันงาน บรรยากาศดูคึกคักมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ผมซึ่งตอนนี้กำลังนั่งรอฟรานส์แต่งตัวอย่างเป็นทางการอยู่ ได้แต่สอดส่ายสายตามองเงือกที่ว่ายวุ่นผ่านหน้าไปตัวแล้วตัวเล่า แต่ละตัวดูจะจัดเต็มกันมากในวันนี้เครื่องประดับสารพัดถูกประโคมลงบนตัวเท่าที่จะมีที่ให้ใส่เลยเชียวล่ะ
“พี่โอ!!” เสียงใสที่คุ้นเคยมาพร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าชายฟิลัน เจ้าชายน้อยแห่งแฟริเซียร์ ซึ่งวันนี้เจ้าตัวถูกประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับจนดูน่ารักยิ่งกว่าเดิม ผมยาวสีทองเป็นลอนถูกพันเก็บเรียบร้อย ประดับด้วยเครื่องประดับอันที่ผมใช้หินประจำเมืองทำให้ กลางหน้าผากมีจี้สีฟ้าใสห้อยอยู่ สร้อยคอและกำไลขยับไปตามการเคลื่อนไหว “วันนี้แต่งตัวน่ารักเชียวฟิลัน”
“จริงหรือเปล่า” เด็กน้อยหน้าแดงก่อนจะว่ายวนหมุนตัวไปมา ทำท่าเขินจนผมต้องหัวเราะ “ข้าตื่นเต้นมาเลยล่ะพี่โอ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหรือเปล่า”
หมายความว่ายังไงหว่า?
แต่ยังไม่ทันจะถาม ใครบางคนที่ผมนั่งรออยู่ตั้งแต่เช้าก็ว่ายออกมา นั่นทำให้ผมอ้าปากค้าง
ฟรานส์วันนี้สง่างามมากกว่าทุกวัน ผมสีทองยาวถูกรวบขึ้นเป็นหางม้า ที่ผากมีจี้สีฟ้าใสห้อยอยู่เช่นเดียวกับฟิลัน ด้านหลังประดับประดาไปด้วยสร้อยเป็นชั้นๆ จนกระทั่งผมเหลือบไปมองอะไรบางอย่างที่คอและนิ้วของอีกฝ่าย
สร้อยกับแหวนที่ผมให้ดูจะด้อยค่าไปเลยเมื่อเทียบกับเครื่องประดับของเงือกตัวอื่น
“ทำไมไม่เปลี่ยนเครื่องประดับให้ดูสมฐานะหน่อย” ผมกระซิบถามอีกฝ่ายเสียงเบาเมื่อมีโอกาส คืออย่างน้อยฟรานส์ก็เป็นถึงรัชทายาทควรจะแต่งให้ดูดีมากกว่านี้ ไม่ใช้สร้อยกับแหวนกะโหลกกะลาของผม
“ข้าจะต้องการเครื่องประดับอื่นไปทำไมในเมื่อข้ามีของที่ดีที่สุดอยู่แล้ว” เสียงกระซิบที่อีกฝ่ายตอบมาแผ่วเบานั่นเมื่อรวมกับหน้าที่แดงจางๆทำให้ผมนึกอยากจะคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวข้อหาทำตัวน่ารักชะมัด
ให้ตายเถอะ ขอลากเข้าห้องเลยได้ไหมเนี่ย!!
แต่ลงท้ายผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดหรอก เพราะว่าผมเป็นสุภาพบุรุษ(หรออ) เอาจริงคือถ้าประธานในพิธีหายแล้วงานมันจะเริ่มได้ยังไงเล่า
พิธีถูกจัดขึ้นที่ลานกลางมือ ตรงจุดนั้นจะมีกองหินรูปร่างคล้ายตึกทำจากก้อนหินสีขาวสว่างสูงขึ้นไปจนเกือบพ้นน้ำฟรานส์ยืนอยู่ตรงกลางก่อนจะกล่าวกับประชาชนเสียงดัง ซึ่งรายละเอียดนั่นผ่านๆไปเถอะ ผมจำได้ไม่หมด แต่ที่สะดุดคือประโยคหนึ่ง
“เพราะฉะนั้นขอให้เงือกที่มีอายุครบ 15 ปี ก้าวออกมาด้านหน้า”
เงือกตัวน้อยหลายตัวพากันกอดคนในครอบครัวแล้วว่ายออกมารวมอยู่ด้านหน้า นับดูแล้วราวๆ 25 ตัว ซึ่งถือว่าเยอะพอควร จะกระทั่งโดนใครบางคนสะกิด
“พี่โอๆ” ฟิลันนั่นเอง ผมเลยย่อตัวให้ระดับสายตาของเราเท่ากัน
“ฟิลันมีอะไรหรือเปล่า?”
เจ้าตัวไม่พูดพร่ำอะไรก็กระโจนเข้ามากอดผม “รอข้านะ ข้าจะต้องเงือกที่สง่างามให้ได้เลย” พูดจบเจ้าตัวก็ผละและว่ายเข้าไปรวมกับเงือกน้อยตัวอื่นๆ
หือ ฟิลันก็เข้าร่วมงานนี้ด้วยหรือ
ผมมองเงือกน้อยที่ว่ายเข้าไปรวมกับเงือกเด็กตัวอื่น ท่าทางดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้ผมหันไปหาคาไลท์ที่ยืนมองฟิลันตาละห้อย
“นี่ ไอ้หนู งานนี้มันยังไงกันแน่”
“อย่ามาเรียกข้าว่าไอ้หนูนะ!!” แน่นอนว่าอีกฝ่ายยังคงญาติดีกับผมเช่นเคยดูได้จากการพูด เจ้าตัวพ่นลมพรืดอย่างรำคาญ “เงือกอายุ15ปีจะถูกส่งเข้าไปในสถานที่พิเศษ ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าไปอยู่ในฟองด้วยสภาพจำศีล จนกระทั่งร่างกายเปลี่ยนแปลงจึงจะตื่นขึ้นมา”
“เปลี่ยนแปลง?” ยังไงหว่า หรือมามีเงี่ยงมีเดือยเพิ่ม
“ลักษณะเด่นด้อยจะฉายชัดในช่วงเวลาที่อยู่ในฟอง รวมถึงลักษณะเด่นของเพศด้วย”
“หมายความว่านายเคยผ่านมาแล้ว?”
“สองปี...” เจ้าตัวพูดเรียบๆ “ข้าเข้าพิธีเมื่อสองปีก่อน และวันนั้นเป็นวันแรกที่ข้าได้เจอเจ้าชายฟิลัน”
นัยน์ตาของอีกฝ่ายดูเป็นประกายยามนึกถึงอดีตทำให้ผมลอบยิ้ม หมายความว่าไอ้เด็กนี่แอบรักฟิลันมาสองปีแล้วสินะ
“โอเชี่ยน...”
ฟรานส์ว่ายตรงเข้ามาหาผมก่อนจะคว้ามือ “ไปข้างในกัน”
หา!
“ในนี้นี่นะ” อีกฝ่ายพยักหน้าให้ผมที่เอานิ้วชี้เข้าไปที่ตัวตึกที่เงือกตัวน้อยทั้งหลายว่ายเข้าไป “แต่เฮ้ย ฉันอายุ20แล้วนะ”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าเข้าไปจำศีลกับพวกนั้นด้วยนี้” ฟรานส์ยิ้มขำ “ที่เข้าไปคือตรวจความเรียบร้อยก่อนที่จะปิดเป็นพื้นที่พิเศษต่างหาก เงือกที่อยู่ในสภาพจำศีลน่ะเปราะบางพอสมควร หลังจากนี้จะไม่อนุญาตให้ใครเข้าอีกจนกว่าเงือกทั้งหมดจะตื่นจากการหลับใหล”
ฟรานส์อธิบายพร้อมกับลากผมตามหลังกลุ่มเงือกเด็กที่มีฟิลันว่ายนำหน้า
“ข้าคิดว่าฟิลันคงอยากให้เจ้าเป็นผู้ส่งเข้าสู่การจำศีล”ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มกว้างว่ายตามอีกฝ่ายเข้าไปแต่โดยดี
ข้างในเป็นห้องกว้างขนาดใหญ่ ตรงกลางมีต้นไม้น้ำขนาดยักษ์ที่มีฟองผุดพรายอยู่เรื่อยๆ รวมถึงรอบห้อง เงือกแต่ละตัวตรงเข้าจับจองพื้นที่ของตัวเอง
ผมว่ายตรงเข้าไปฟิลันที่มีท่าทางตื่นเต้น เจ้าตัวหมุนไปมาด้วยความไม่มั่นใจ “พี่โอ..”
“พี่มาส่งเราเข้านอน” คำพูดของผมเรียกรอยยิ้มกว้างน่ารักของอีกฝ่าย เจ้าตัวโผกอดผมแน่ไม่ยอมปล่อย ก่อนที่จะตกใจนัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้าง
เงือกน้อยที่ตอนแรกอยู่รอบๆห้องเริ่มมีฟองขนาดใหญ่เข้าคลุมตัว หลายคนดูกระสับกระส่ายแบบคนทำอะไรไม่ถูก ส่วนพวกที่เข้าไปอยู่ในฟองแล้ว แรกๆก็ดูท่าทางตกใจไม่น้อย แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็เริ่มขดตัวลงไปหลับ
“พี่โอ ข้ากลัว” เสียงฟิลันสั่นสะท้าน เจ้าตัวมองตามฟรานส์ที่ตรงเข้าตรวจความเรียบร้อยและเคลื่อนย้ายฟองแต่ละฟองให้ไม่อัดทับกัน
“ไม่ต้องกลัวนะ ดูสิเพื่อนๆเรายังไม่เป็นอะไรเลย” ผมได้แต่ปลอบเงือกน้อยในอ้อมกอด แม้จะไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะต้องเจออะไร แต่ดูจากท่าทางของฟรานส์แล้ว มันคงเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีอะไรร้ายแรง
ตอนนี้ทั้งเงือกเด็กทั้งห้องพากันอยู่ในฟองหมดแล้วยกเว้นฟิลัน นั่นทำให้ผมต้องคลายอ้อมกอดตัวเอง แต่ทันทีที่ตัวผมออกห่างจากฟิลัน
ฟองใสไร้สีขนาดใหญ่ตรงเข้าครอบตัวอีกฝ่ายไว้ เจ้าตัวสะดุ้งตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองไปทั่ว จนสุดท้ายก็พาตัวเองที่ยังไม่หลับมาแปะอยู่ริมฟองฝั่งเดียวกับผม
ผมเอามือทาบทับมือของอีกฝ่ายผ่านฟอง ฝ่ามือของผมบังฝ่ามือเล็กๆเสียมิด ดูเหมือนฟิลันจะอุ่นใจที่ผมนั่งอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่ดูเหมือนรอยยิ้มของเจ้าตัวเริ่มจะกลับมาเหมืนเดิม
ไม่นานนักความง่วงดูจะเข้ามาเยือนเจ้าชายน้อยเช่นเดียวกับเงือกตัวอื่น แม้เจ้าตัวจะพยายามถ่างตาสู้
“ฟิลัน ยอมแพ้เถอะน่า” เพราะพูดพร้อมกับต้องกลั้นยิ้มไปด้วย สีหน้าของเจ้าตัวน้อยในตอนนี้ดูตลกมาก ตาที่ปรือลงเบิ่งขึ้นมาใหม่และก็กลับไปปรืออีก
“วางใจและหลับลงเถิด พี่กับพี่โอจะรอเราอยู่ข้างนอก” ฟรานส์ที่ว่ายมาอยู่ด้านหลังพูดอย่างอ่อนโยนทำให้เจ้าชายน้อยเริ่มยอมแพ้ นัยน์ตาสีฟ้าใสปิดลง ลมหายใจสม่ำเสมอ
เงือกน้อยทั้งห้องเข้าสู้สภาวะจำศีลแล้ว
หลังจากเจ้าชายเงือกเช็คความเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวก็ตรงเข้ามาจูงผมที่ยังคงนั่งแปะอยู่ที่เดิมมองหน้าฟิลันที่กำลังหลับอยู่ “เราออกไปกันเถอะ”
“ฟราน์อีกนานไหมกว่าฟิลันจะออกมา”
“ข้าเองก็ระบุแน่ชัดไม่ได้ ระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่เท่าที่เห็น ไวสุดจะอยู่ที่ประมาณสามอาทิตย์และมากสุดเท่าที่เคยพบคือสามเดือน”
“นานขนาดนั้นเชียว...” พูดแล้วก็ได้แต่เหลียวหลังกลับไปมองบรรดาไข่เงือก(ผมเรียกเอาเอง)ที่กองอยู่เต็มห้อง แอบนึกใจหายเหมือนกันที่จะไม่ได้ยินเสียงใสๆของฟิลันอีกนานพอดู
เมื่อผมออกมาด้านนอก พบว่าเงือกส่วนใหญ่พากันแยกย้ายแล้ว ยกเว้นก็แต่เงือกทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าสถานที่แห่งนี้
“แล้วระหว่างนี้เจ้าหนูนั่นจะทำอะไร” ผมพยักพเยิดไปที่เจ้าเงือกซึนเดเระ เจ้าตัวยืนสงบนิ่งใกล้กับตัวตึก
“ทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ..” ฟรานส์พูดพร้อมกับจูงผมว่ายไปเรื่อยๆ “คอยเฝ้าจนกว่าฟิลันจะออกมา ตอนข้า ซินก็มายืนเฝ้าแบบนี้เช่นกัน ถ้าจะไม่ผิดน่าจะประมาณเดือนครึ่ง”
เดือนครึ่ง!! นานโคตรเลยนะนั่น
หวังว่าเจ้าเด็กนั่นคงไม่เป็นลมล้มตึงไปก่อนล่ะ