❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17  (อ่าน 31019 ครั้ง)

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ
ชอบทั้งคู่เลย
จะมีเนื้อหาของคู่โคคิกับซาโตรุมาลงด้วยเปล่าคะ
อยากอ่านคู่นี้มากเลย

ออฟไลน์ bojaemyboo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
จิ้งจอกน้อยน่ารักมาก ท่านเทพมังกรก็หยอดเก่งจริงๆ :-[

ออฟไลน์ Siran

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบบบบบบ  :katai3:

ออฟไลน์ Siran

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากกก ทีแรกเข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง แต่พอได้อ่านแล้วรู้เลยว่าดีกว่าที่คิดไว้มากก 555  :L1: :pighaun:

ออฟไลน์ cinpetals

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนพิเศษ
ทานาบาตะ



   วันที่ 7 เดือน 7 วันเดียวในรอบปีที่สาวทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัวจะมีโอกาสได้พบหน้า พวกเขาเป็นคู่รักที่ถูกพรากจากกัน ขวางกั้นไว้โดยแม่น้ำแห่งสวรรค์ ในปีแรกของการพลัดพราก พวกเขาไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านแม่น้ำไปได้อย่างไร สาวทอผ้าร่ำไห้แทบขาดใจ โชคดีที่ฝูงนกกางเขนอาสาใช้ปีกเป็นสะพาน เพื่อให้คู่รักได้พบกันอีกครา แม้จะเป็นความรักที่ยากจะได้พบหน้า แต่พวกเขาก็ยังคงเฝ้ารอช่วงเวลาที่จะได้พบกันตลอดมา


   “ช่างเป็นความรักที่มั่นคงมากเลยใช่ไหม” สองมือคนถามยกขึ้นกุมแก้มพลางทำหน้าเคลิ้มฝัน แต่หนึ่งนาทีผ่านไปก็ยังไม่มีใครตอบรับกลับมา สีหน้าของคนถามจึงเปลี่ยนจากเปี่ยมสุขเป็นเหนื่อยหน่ายทันควัน


   “นี่เจ้าฟังอยู่ไหมอาคาเนะ” สึซึรันยื่นขาเขี่ยเท้าคนที่เอาแต่นั่งถือกิ่งไม้แห้งเขี่ยดินไปมาเหมือนเด็กสมาธิสั้น


   “ฟังอยู่ เจ้าลากข้ามาฟังเทศนาขนาดนี้จะไม่ฟังได้อย่างไร” ดวงตาสีเพลิงเหลือบขึ้นมองคนถาม พร้อมกับพยายามจะใช้ไม้ในมือตีขาสึซึรันคืนไปด้วย แต่มีหรือที่นางจะยอมถูกตี สึซึรันถอยเท้าหนีอย่างว่องไว


   “แล้วเล่านิทานให้ข้าฟังทำไม” ยอมรับตามตรงเลยว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เพราะตื่นมาคนที่ควรจะอยู่ด้วยดันหายไป คนเดียวที่น่าจะรู้อะไรบ้างก็ดันลากเขามานั่งฟังนิทานเพ้อฟันอยู่ตลอดเช้า


   พักนี้โทชิฮิโระชอบหายตัวไปบ่อยๆ ครึ่งวันบ้าง ค่อนวันบ้าง พอถามก็ได้คำตอบแค่ว่าออกไปตรวจตราเขตแดน และยิ่งน่าเจ็บใจตรงที่เขาไม่สามารถคาดคั้นโทชิฮิโระได้สำเร็จสักครั้ง


   เคยแพ้ทางอย่างไร จนป่านนี้ก็ยังแพ้อยู่เรื่อยมา


   “รู้หรือเปล่าวันนี้วันอะไร”


   “วันเกิดเจ้า” เป็นการตอบที่สึซึรันมั่นใจว่ามันไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ จากสมองของอาคาเนะทั้งสิ้น หญิงสาวทั้งถอนหายใจทั้งกลอกตามองฟ้า คุยกับคนใจไม่อยู่กับตัวนี่ยากเสียจริง


   “วันที่ 7 เดือน 7 ต่างหาก ถ้าเจ้าคิดมากเรื่องท่านโทชิฮิโระทำไมไม่บอกไปตรงๆ ออเซาะเสียหน่อย บอกว่าเหงา แค่นั้นก็กอดเจ้าไม่ปล่อย”


   “ถ้าไม่มีธุระ ข้าไปล่ะ” อาคาเนะลุกขึ้นหันหลังเดินหนี ออเซาะหรือ ทำไมเขาจะต้องไปอ้อนคนที่เป็นฝ่ายไม่สนใจกันก่อนด้วย


   อาการแบบนี้เขาเรียกว่ากำลัง ‘งอน’ อย่างที่สุด สึซึรันถึงกับต้องเม้มปากเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดขำ แล้วรีบวิ่งตามอาคาเนะไป


   “เดี๋ยว! เดี๋ยวๆๆ ใจเย็น ก็ได้ ไม่พูดถึงท่านโทชิฮิโระก็ได้” มือเรียวเกี่ยวรั้งศอกของอาคาเนะเอาไว้ ฝ่ายนั้นยอมหยุดเดิน แต่ความขุ่นเคืองในใจยังคงสื่อออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน สึซึรันแอบทดไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะต้องเล่าให้โทชิฮิโระฟังให้ได้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อย งอนคนรักได้น่ารักขนาดไหน


   ส่วนวันนี้มีอย่างอื่นน่าสนุกกว่ารออยู่


   “คือปีนี้เป็นปีแรกที่ชาวเมืองตกลงกันว่าจะจัดงานเทศกาลกัน ยังไม่ได้วางแผนอะไรมาก แต่คิดว่าอยากให้มีการแสดงของสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว”


   “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” คิ้วของอาคาเนะเลิกขึ้นข้างหนึ่ง คำว่างานเทศกาลพอจะช่วยลดทอนความคับข้องใจของอาคาเนะลงได้บ้าง ในเมื่อโทชิฮิโระไม่อยู่ เขาจะได้ถือโอกาสเล่นสนุกให้เต็มที่เสียเลย


   “แค่คิดว่าคงดีถ้าได้เจ้ามาแสดงเป็นสาวทอผ้า”


   “ไม่” อาคาเนะตอบเสียงแข็งก่อนที่สึซึรันจะทันได้หุบปากเสียอีก


   “ตอบเร็วไปหรือเปล่า”


   “ทำไมข้าจะต้องแสดงด้วย ผู้หญิงในเมืองที่ตั้งมากมาย แล้วยังต้องแสดงคืนนี้ใช่ไหม” อาคาเนะกล้าพนันเลยว่าต่อให้เป็นนักแสดงจากคณะละครอันดับหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถเปิดการแสดงโดยมีเวลาซ้อมไม่ถึงหนึ่งวันได้เลย


   “คนเล่าเรื่องจะบรรยายให้เอง ที่เจ้าต้องทำแค่ยืนเฉยๆ”


   “ถ้าอย่างนั้นยิ่งไม่ต้องเป็นข้าเข้าไปใหญ่” ทำไมเขาจะต้องเล่นบทสาวงามอาภัพรัก ผู้เฝ้ารอเจอคนรักที่อยู่อีกฟากฟ้าด้วย


   “แต่ตัวเอกอีกคนคือท่านโทชิฮิโระนะ” หากตอนนี้สามารถมองเห็นหูจิ้งจอกของอาคาเนะได้ สึซึรันมั่นใจว่ามันต้องกำลังกางออกเพื่อคอยฟังอยู่


   “ถ้าเจ้าไม่อยากทำ ข้าหาสาวๆ คนอื่นมาทำก็ได้ พวกนางคงอยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดท่านเทพมังกรสักครั้งในชีวิตมากอยู่แล้ว” หางคิ้วคนฟังกระตุก กำมือแล้วปล่อยอยู่สองสามครั้งเหมือนกำลังลังเล


   “ข้า...ไปหาคนก่อนนะ” เพียงแค่เห็นสึซึรันทำเหมือนจะเดินไป อาคาเนะก็รีบคว้าแขนของนางเอาไว้ ริมฝีปากของจิ้งจอกน้อยเม้มตรงอย่างขัดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเอ่ยตกลงเสียงเบา


   “ตกลงแล้วห้ามคืนคำนะ” สึซึรันถามย้ำ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าอาคาเนะไม่มีทางปฏิเสธ





   เมื่อม่านแห่งรัตติกาลโรยตัวลงมา โคมไฟหลากสีสันก็ได้ถูกจุดขึ้น พร้อมด้วยเสียงครื้นเครงของผู้คนที่พร้อมใจกันออกมาช่วยกันจัดงานเทศกาลเล็กๆ ขึ้น


   ถึงจะเรียกว่างานเทศกาล แต่เพราะเพิ่งจัดขึ้นปีแรก บรรยากาศเลยเหมือนการออกมาล้อมวงสังสรรค์กันเองในหมู่ชาวเมืองเสียมากกว่า ที่ออกจะโดดเด่นขึ้นหน่อย เห็นจะเป็นการแสดงเพื่อบอกเล่าเรื่องราวอันเป็นที่มาของงานในวันนี้


   สาวทอผ้าผู้ตกหลุมรักชายเลี้ยงวัวกำลังยืนอยู่ไม่สุข ขณะที่นักเล่าเรื่องยังคงท่องบทกลอนด้วยน้ำเสียงทรงพลังต่อหน้าทุกคน อาคาเนะขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเพราะเขาถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแปลกประหลาด ถึงจะสวมผ้าหลายชั้นคล้ายกิโมโน แต่เนื้อผ้าแพรทั้งเบาและลื่นกว่า ทำเอาแขนเสื้อและชายชุดด้านล่างพลิ้วสไวทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน


   ยังไม่นับรวมใบหน้าที่ถูกแต่งเติมเสียจนกลายเป็นหญิงสาวแทบไม่เหลือคราบอาคาเนะคนเก่า ที่สำคัญคือจนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้เงาโทชิฮิโระ


   เหมือนนักเล่าจงใจเล่าเรื่องในส่วนของชายเลี้ยงวัวแบบข้ามๆ ไม่ทันไรก็มาถึงตอนที่ฝูงนกกางเขนใช้ปีกเป็นสะพานให้หญิงสาวข้ามผ่าน บทนี้แสดงโดยเหล่าเด็กๆ ตัวน้อยที่ดูจะถูกอกถูกใจเป็นการใหญ่ เสียงหัวเราะถึงได้สดใสถึงเพียงนั้น


   อาคาเนะถูกสึซึรันสั่งทางสายตาให้ก้าวขาข้ามสะพานไปเสียที สาวทอผ้าคนงามชักจะรักษารอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ถึงได้เดินลงส้นเท้าตึงตังไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ แต่ทันทีที่เขาไปถึงโคมไฟทุกดวงก็พลันดับ ทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความมืด


   “เกิด...” เสียงถามหยุดลงเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นอันคุ้นเคยอยู่ด้านหลัง เพียงเสี้ยวนาทีที่อาคาเนะหมุนตัวกลับ วงแขนแกร่งก็ตวัดรั้งเอวเขาเข้าไปแนบชิด ดวงตาสีครามลึกล้ำปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่นานโคมไฟโดยรอบก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา


   “ท่านหายไปไหนมา” น้ำเสียงคนถามแฝงไว้ด้วยความเคืองขุ่น เพราะวันนี้โทชิฮิโระหายหน้าไปนานกว่าทุกวัน


   “ขอโทษที่ปล่อยให้รอ” ปากบอกขอโทษแต่ใบหน้ากลับยิ้มกริ่ม อาคาเนะเลยพยายามจะดันตัวถอยห่างจากโทชิฮิโระด้วยความไม่พอใจที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีคำอธิบาย


   “ใครรอ ปล่อยข้า”


   “ไม่ปล่อย เห็นเจ้าสวยขนาดนี้คิดหรือว่าข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าหนีไปไหน” คนสูงกว่าก้มลงกดจมูกตรงข้างขมับคนในอ้อมกอด สูดกลิ่นหอมจางๆ จากผิวกายที่มีเพียงเขาเป็นเจ้าของ


   “เดี๋ยวเถอะ! นี่เราอยู่ต่อหน้าคนอื่นนะ” อาคาเนะตีแขนโทชิฮิโระไปเต็มแรงพลางกระซิบดุ สายตาหลายสิบคู่กำลังมองพวกเขาอยู่ เพราะการแสดงยังไม่จบ


   “ข้าก็กำลังเล่นบทคนรักที่ไม่ได้พบกันนานอยู่ หรือว่าจิ้งจอกน้อยไม่คิดถึงข้า” น้ำเสียงอ่อนโยนและอ้อมกอดอุ่นๆ คือสิ่งที่ทำให้อาคาเนะไม่เคยโกรธโทชิฮิโระได้นานเสียที


   แต่ใช่ว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้ต่อหน้าคนอื่นง่ายๆ


   “ไม่”


   “ปากไม่ตรงกับใจ ไม่น่ารักเลย”


   “ก็ข้าไม่ได้อยากน่ารัก”


   “ก็จริง” สายตาที่จ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าให้อาคาเนะหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียเฉยๆ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะเดือดร้อน
ในไม่ช้า


   “เพิ่งรู้ว่าอาคาเนะของข้าสวยมากกว่าน่ารัก” สองแก้มคนฟังร้อนผ่าวด้วยความเขิน นานแล้วที่เขาไม่ได้ถูกชมตรงๆ อย่างนี้


   “ข้าว่าเราควรจบการแสดงได้แล้ว” โทชิฮิโระก้มตัวลงช้อนตัวอาคาเนะขึ้นมาอุ้มไว้ทันทีที่พูดจบ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นจากบรรดาคนดูโดยรอบ ในขณะที่คนถูกอุ้มมัวแต่ตกตะลึงนึกคำพูดไม่ออก


   “เวลาที่เหลือของเจ้าต่อจากนี้เป็นของข้าแล้ว ที่รัก” โทชิฮิโระพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง ราวกับกำลังสวมบทชายเลี้ยงวัวอยู่ แต่ในหัวใจของอาคาเนะกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของโทชิฮิโระไม่ได้มีคนดูอื่นใด ภายในนั้นมีภาพของเขาเพียงผู้เดียว


   “รีบๆ กลับเลย มังกรเฒ่า” อาคาเนะยกแขนขึ้นโอบรอบคอของโทชิฮิโระแล้วซุกหน้าลงกับอกอุ่น จะถูกใครมองอย่างไรก็ช่างแล้ว ถือเสียว่าเขาเล่นบทสาวทอผ้าที่คิดถึงคนรักเสียเหลือเกินก็แล้วกัน



[อยากมีต่อถ้ามีโอกาส]

ขออนุญาตจบลงตรงนี้เพราะกลัวไม่ทันเลยวันทานาบาตะซะก่อนนะคะ แฮร่



*8/7/17 แก้ไขคำผิดกับจัดหน้าใหม่ค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 21:05:17 โดย Magdaren »

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คิดถึงงงงงง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สวัสดีค่า ไรท์เองนะคะ เมื่อคืนหมดพลังก่อนจะได้พิมพ์

ตั้งแต่ลงเรื่องนี้จบ เพิ่งจะได้มาลงตอนพิเศษกับเค้าบ้าง  :impress2: เดี๋ยวจะมีมาต่อค่ะ เพราะเราก็คิดถึงจิ้งจอกน้อยกับพ่อมังกรเหมือนกัน แต่ขอเวลาหน่อย ปั่นปุบปับไม่ไหว  :hao5:

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและมาเม้นต์คุยกันนะคะ ดีใจมากที่มีคนเอ็นดูหนุ่มๆ ในเรื่อง เป็นกลุ่มก๊วนที่ป่วนพอสมควรเลยค่ะ

สำหรับเนื้อเรื่องของคู่รอง โคคิ-ซาโตรุ มาซาโนริ-คาสึกิ ถูกจัดทำเป็นมินิโนเวลสำหรับแถมในรอบจองกับทางสำนักพิมพ์ไปนะคะ ไม่สามารถนำมาลงให้อ่านในนี้ได้ ต้องขอโทษด้วยค่า :sad4:

ขออนุญาตแจ้งไว้ตรงนี้อีกที นิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์กับ สำนักพิมพ์หนึ่งเดียว นะคะ

แล้วก็หากมีข้อสงสัย หรืออยากคุยกัน เข้าไปได้ที่ Facebook page: Magdaren/Nanami ได้เลยค่ะ นิยายเรื่องใหม่ก็กำลังเขียนอยู่ (ด้วยสปีดต่ำมากๆ  :katai5:)

แล้วพบกันใหม่ค่า  :bye2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนพิเศษ
หลังจากนั้น




        ทันทีที่ปลายเท้าได้แตะลงพื้นอีกครั้ง อาคาเนะก็รีบก้าวหนีจากโทชิฮิโระแบบไม่คิดจะหันกลับไปมอง ถึงจะเผลอใจอ่อนไปนิดหน่อย แต่ใช่ว่าจะลืมความขุ่นเคืองไปหมดเสียที่ไหน


        คนที่ถูกทิ้งไว้ส่ายหน้าแล้วยิ้มกับตัวเอง รู้หรอกว่าอาคาเนะไม่พอใจ แต่ยิ่งอาคาเนะหัวเสียมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าได้รับความคิดถึงและเป็นที่ต้องการมากเท่าขึ้นนั้น


        แต่ขืนบอกไป มีหวังถูกโกรธหนักกว่าเดิม


        “อาคาเนะ”


        “...” จิ้งจอกน้อยไม่ยอมตอบ ซ้ำยังก้าวขาให้เร็วขึ้น


        “จะไม่พูดกับข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะต่อว่าข้าหรอกหรือจิ้งจอกน้อย” คราวนี้เหมือนจะได้ผล เพราะอาคาเนะยอมหยุดก้าวขาแล้วหันหลังกลับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


        “ใครกันแน่ที่ไม่พูด ข้าไม่ใช่คนที่ชอบหายตัวไปบ่อยๆ แล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ทุกถ้อยคำอัดแน่นด้วยความไม่พอใจแทบล้นอก ปกติโทชิฮิโระเล่าทุกอย่างให้เขาฟังตลอด อาจเป็นเพราะพวกเขาเคยเริ่มต้นด้วยการปิดบังและหลอกลวงกันมาก่อน พอผ่านวันคืนเหล่านั้นมาได้จึงไม่อยากมีเรื่องใดให้ต้องปิดบังกันอีก


        แต่มาวันนี้โทชิฮิโระกลับปิดเรื่องบางอย่างจากเขา ถึงจะไม่ได้โกหก แต่การไม่บอกอะไรก็สร้างช่องโหว่ให้กับความเชื่อใจได้เหมือนกัน และนานวันมันก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น


        โทชิฮิโระถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือหมายจะสัมผัสคนขี้งอน แต่อาคาเนะกลับชักเท้าหนี แล้วหันหลังเดินตรงกลับไปยังห้องพักของพวกเขาทั้งสองคน


ประตูห้องอยู่ห่างไปเพียงเอื้อมมือ อาคาเนะกำลังจะเปิดมันออก ตอนนั้นเองที่มือใหญ่เอื้อมข้ามไหล่เขาไปจับกรอบประตูเอาไว้ ทำให้อาคาเนะไม่สามารถเปิดประตูได้


        “ขอโทษ” น้ำเสียงทุ้มต่ำทอดยาวแสนอ่อนโยน จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษง่ายๆ เสียแต่ครั้งนี้แค่คำสั้นๆ คำนั้น ไม่ใช่สิ่งที่อาคาเนะอยากฟัง


        “ถ้าไม่ได้รู้สึกผิดก็อย่าขอโทษ แต่ถ้ารู้สึกผิดทำไมถึงไม่ยอมพูดอะไร” ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาคาเนะคงโวยวายเสียงลั่น แต่เวลาที่ผ่านไปสอนให้เขารู้จักควบคุมตัวเองมากขึ้น


        มือที่ยึดประตูไว้ยอมปล่อยออกคล้ายยอมจำนน อาคาเนะก้าวเข้าไปยังห้องนอน โดยมีร่างสูงก้าวตามมาเงียบๆ พวกเขาไม่ใช่เด็กๆ ที่จะสามารถทะเลากันต่อหน้าใครๆ หากมีเรื่องต้องปรับความเข้าใจ ให้เข้ามาคุยกันตามลำพังในที่ส่วนตัวนับว่าดีที่สุด


        อาคาเนะเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็กที่วันนี้สึซึรันใช้ให้เขายกมาตั้งไว้เมื่อตอนก่อนถูกจับแต่งตัว เครื่องประดับผมสีเงินแวววาวถูกถอดออกทีละชิ้น สึซึรันบอกว่าเครื่องต่างกายที่อาคาเนะสวม เป็นเสื้อผ้าของสตรีชั้นสูงจากแผ่นดินใหญ่ นางเป็นคนมาช่วยแต่งตัวให้ ปักปิ่นไปเอ่ยชมไปเหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่พอถึงเวลาต้องมาแกะออกด้วยตัวเองมันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด


        ปลายนิ้วอุ่น สัมผัมโดนมือของอาคาเนะอย่างแผ่วเบา โทชิฮิโระย่อตัวลงช่วยถอดส่วนที่เหลือ อาคาเนะจึงลดมือลงแล้วยืนนิ่ง ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการบริการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทำให้เขาชินกับการมีโทชิฮิโระอยู่ใกล้ๆ จนเสียนิสัย


        “ถ้าบอกแล้ว สัญญาได้หรือเปล่าว่าจะไม่โกรธ” ถึงจะถอดเครื่องประดับออกจนหมดแล้ว แต่โทชิฮิโระยังคงใช้มือสางเบาๆ ไปตามเส้นผมนุ่ม


        “ทำไมต้องสัญญาด้วย แอบไปทำเรื่องไม่ดีมาหรือท่านเทพมังกร” ถึงปากจะยังเย้าแหย่ได้ แต่ในใจกลับเริ่มกระวนกระวายแบบแปลกๆ คนอย่างโทชิฮิโระที่แกล้งเขาเป็นกิจวัตร เคยกลัวถูกเขาโกรธเสียที่ไหน


        “คงไม่ได้ไปฆ่าใครตายมาใช่ไหม”


        “เปล่า”


        “ไม่ตาย หรือแค่บาดเจ็บ?”


        “เปล่า เห็นข้าชอบทำร้ายคนอื่นหรือ” โทชิฮิโระอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนนี้จิ้งจอกน้อยยอมหันหน้ากลับมาคุยกับเขาแล้ว แต่ดูความคิดที่พูดออกมาแต่ละอย่าง


        “หรือไปเจอใครมา”


        “ใครที่ว่าหมายถึงใคร”


        “ข้าจะรู้ได้อย่างไร นี่แสดงว่าไปเจอมาจริงๆ ใช่ไหม” ไม่รู้ว่าอาคาเนะรู้ตัวหรือเปล่า ว่าน้ำเสียงชักจะเริ่มดุ ซ้ำยังไม่ยอมรับปากเรื่องจะไม่โกรธอีกด้วย


        “ออกไปข้างนอกมันก็ต้องเจอ ‘ใคร’ บ้าง” โทชิฮิโระแกล้งตอบแบบกำกวม อยากรู้เหมือนกันว่าอาคาเนะคิดว่าเขาไปไหนมา


        “นี่ท่านไม่ได้แอบไปมีเมีย ซุกลูกไว้ที่ไหนใช่ไหม” คำถามนี้ทำเอาหางคิ้วคนฟังกระตุก ใครเอาหนังสือนิยายรักคาวโลกีมาให้อาคาเนะอ่านหรืออย่างไร ถึงได้จินตนาการได้ล้ำลึกขนาดนี้


        “แล้วเจ้าคิดว่าข้ามีสักกี่เมียกัน” น้ำเสียงของโทชิฮิโระเริ่มจะเย็นขึ้นทีละน้อย แค่เขาปล่อยอาคาเนะไว้คนเดียวไม่กี่วัน ไม่นึกว่าจะกล้ามองเขาด้วยสายตาแบบนั้น


        เดี๋ยวได้เห็นดีกันจิ้งจอกน้อย


        “กะ...ก็ท่านมีเรื่องปิดบังข้า” อาคาเนะมีท่าทีอึกอัก สองมือบีบกันแน่นอยู่บนตัก สายตาหลุกหลิกไปมาเบือนหนีไปทางอื่น ไม่ยอมสบตากับโทชิฮิโระที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ทำไมชักจะรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมาแล้ว


        “เจ้านี่นะ ใครสอนให้คิดเรื่องพวกนี้กัน”


        “ท่านอายุมากกว่าข้าตั้งเท่าไร เคยอยู่กับใครมาบ้างข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” เกินวันดีคืนดีมีใครที่ไหนไม่รู้โผล่มาแสดงตัวว่าเป็นเมียเก่า หรือลูกคนแรก จะให้อาคาเนะทำหน้าอย่างไร ขนาดลุงโฮทากะที่เพิ่งได้เมียคนที่สอง ยังมีเรื่องต้องรบรากับเมียเก่าอยู่ทุกสามสี่วัน แค่บังเอิญผ่านไปเห็นยังขยาด ขืนต้องใช้ชีวิตอย่างนั้นบ้างอาคาเนะคงได้บ้าตาย


        “เมียข้าคือใครเจ้าไม่รู้จริงหรือ” เสียงทุ้มกดต่ำลงแสดงถึงความไม่พอใจ อาคาเนะอ้าปากจะค้านแต่เขากลับถูกโทชิฮิโระโถมตัวเข้าใส่จนหงายหลังลงไปนอนกับพื้นเสียก่อน


        “เดี๋ยว! ทำไมท่านถึงเป็นฝ่ายโกรธเล่า!” จำได้ว่าตอนแรกอาคาเนะต่างหากที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ คุยไปคุยมาทำไมเขาถึงได้เป็นฝ่ายถูกกดไว้กับพื้นไปได้


        “คนที่ข้ามอบสิทธิ์ในการครอบครอง เป็นเจ้าของตัวข้าให้ ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ” สองมือโทชิฮิโระจัดการรวบมือของอาคาเนะไปไว้เหนือหัว สายตาคมกล้าจ้องมองร่างบางที่ตอนนี้กำลังมองเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ


        “นั่นมันคนละเรื่อง” ทำไมอาคาเนะจะไม่รู้ว่าตัวเองได้รับความรักมากมายขนาดไหน เขารับรู้และมีความสุขมาก แต่ใช่ว่ามันจะหมายความว่าโทชิฮิโระไม่เคยมีอดีตนี่


        “ผิดแล้วจิ้งจอกน้อย สำหรับข้ามันเป็นเรื่องเดี่ยวกัน” โทชิฮิโระเปลี่ยนมารวบมืออาคาเนะไว้ด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างที่ว่างได้เลื่อนลงมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนที่นอนบิดกายอยู่ใต้ร่าง แล้วจงใจลูบไล้เนื้อนวลใต้ร่มผ้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ


        “หากไม่ใช่คนที่ข้ามีใจเสน่หา ต่อให้เอาตัวมาถวายตรงหน้าข้าก็ไม่รับ กลับกันหากเป็นคนที่ข้าต้องการนานเท่าไรก็ไม่มีวันปล่อยให้หลุดรอดไปได้” ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบจูบลงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งเร่งเร้าและดุดันราวกับอยากจะย้ำให้ถ้อยคำเหล่านี้ฝังลึกลงในทุกสัมผัสที่มอบให้


        “เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าลุ่มหลง ชีวิตก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยอยากได้ใครมาอยู่ข้างกาย มีเพียงจิ้งจอกตัวน้อยจอมหยิ่งที่ดึงความสนใจจากข้าได้”


        “ข้าไม่ได้หยิ่ง” อาคาเนะแก้ตัวเสียงค่อย ต้องพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปตามการชักนำของโทชิฮิโระก่อนจะคุยกันได้จบ


        “หืม แล้วใครกันที่ดื้อดึงไม่ยอมแม้แต่จะเรียกชื่อข้า” ความรุ่มร้อนของความปรารถนาเริ่มคุกรุ่นขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยไออุ่นจากร่างกายที่สัมผัสถูกกันผะแผ่วครั้งแล้วครั้งเล่า รวมไปถึงลมหายใจยามเสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู


        “ปล่อยมือข้า” จิ้งจอกน้อยอ้อนวอนเสียงหวาน การถูกรุกเร้าทั้งคำพูดและการกระทำจากคนรัก มันกดดันจนเกินจะต้านทานไหว


        “บอกมาก่อนว่าเมียข้าคือใคร” มือใหญ่เริ่มลากไล้ลงไปวนแถวหน้าท้องแบนราบแล้วลากผ่านหน้าขาลงไปบีบหนักๆ แถวต้นขาด้านใน เพื่อแหย่ให้ใครบางคนได้ผวาเล่น อาคาเนะเม้มปากครางฮือในคออย่างขัดใจ ดวงตาสีเพลิงจ้องคนแกล้งตาวาว


        โทชิฮิโระจอมขี้แกล้งกลับมาแล้ว


        “ข้ามีเวลาเยอะนะอาคาเนะ” เข่าของคนพูดแทรกเข้ามาตรงระหว่างขาของอาคาเนะ และจงใจเลื่อนสูงขึ้นมาจนกระทบเข้ากับบางสิ่งที่กำลังถูกปลุกให้ตื่น จิ้งจอกน้อยสะดุ้งเฮือกก่อนจะตอบออกมาเสียงเบาหวิว


        “ข้าเอง” ดวงตาสีเพลิงเสมองไปทางอื่นเพื่อข่มความอาย แต่กลับยิ่งทำให้คนด้านบนมองเห็นผิวแก้มสีชมพูเข้มได้ถนัดยิ่งขึ้น


        “คนเดียวใช่ไหม” โทชิฮิโระโน้มตัวลงฝังจมูกลงกับซอกคอขาว พร้อมทั้งขบกัดเบาๆ กระตุ้นให้อาคาเนะต้องออกเสียง


        “คนเดียว..อื้อ...ปล่อยนะ” ยามจิ้งจอกน้อยยอมเป็นฝ่ายร้องขอ จะได้ยินน้ำเสียงแว่วหวานจับใจ โทชิฮิโระคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะคลายแรงบีบที่มือลง ส่งผลให้มือของอาคาเนะได้รับอิสระอีกครั้ง


        สิ่งแรกที่มือคู่นั้นทำคือการโอบกอดร่างสูงใหญ่ของคนรักเอาไว้แล้วรั้งให้ทิ้งกายลงมาหาราวกับว่าไม่สามารถทนขาดไออุ่นจากร่างกายนี้ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะกี่ครั้งรสรักที่โทชิฮิโระป้อนให้ก็ทำให้เขาหลงใหลและเต็มอิ่มกับมันจนแทบสำลักความความสุขได้เสมอ


        หลังจากนั้นไม่นานอาคาเนะก็หลงลืมเรื่องที่สงสัยไปจนหมดสิ้น ปล่อยให้อารมณ์หวามไหวทรงพลังเหนือเหตุและผล ปล่อยให้มังกรขี้หวงได้เชยชมจนสมใจ





....


        ส่วนสาเหตุที่เทพมังกรหายหน้าไปน่ะหรือ ก็แค่อยากเห็นว่าจิ้งจอกน้อยจะงดงามเพียงใด หากได้แต่งกายดังเช่นภาพวาดที่สึซึรันนำมาอวด นางอาสาจะตัดเย็บให้หากอาคาเนะจะยอมใส่ เรื่องวางตัวให้อาคาเนะต้องเล่นบทสาวทอผ้าถูกกำหนดมานานแล้ว เพียงแต่ผู้สมรู้ร่วมคิดสองต่างรู้ดี หากบอกล่วงหน้าจิ้งจอกน้อยคงไม่มีทางยอมเล่นด้วย กระบวนการต่างๆ จึงต้องเก็บเป็นความลับทั้งหมด ที่สำคัญคือ ผ้าทุกผืน เครื่องประดับทุกชิ้น โทชิฮิโระล้วนเป็นคนเลือกสรรมาเอง


        และแน่นอนว่าเป็นคนถอดออกเองกับมือด้วย


✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


        และแล้วตอนแถมในตอนพิเศษอีกทีก็จบลงเรียบร้อย พระเอกของเรายังไงก็ยังหากำไรเก่งเหมือนเดิม *ปรบมือ* เมื่อไหร่จิ้งจอกน้อยจะทันเหลี่ยมพ่อมังกรบ้างก็ไม่รู้ค่ะ  :hao3:
        ได้เห็นคอมเม้นต์คิดถึงแล้วชื่นใจจัง คิดถึงมากๆ เหมือนกันค่ะ ทั้งตัวละครแล้วก็คนอ่านด้วย เอาไว้พร้อมจะแกล้งจิ้งจอกน้อยเมื่อไหร่จะกลับมาหาอีกนะคะ
        (นี่ลัดคิวปั่นแซงเรื่องใหม่มากๆ ควรจะกลับได้แล้ว ฮ่าๆ)



ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
พักนี้เหมือนทำบุญมาน้อยคนเขียนถึงได้ตัดฉากดอกไม้บานแบบนี้เรื่อยเลย

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เป็นตอนพิเศษที่น่ารักมากๆเลย
ชอบจิ้งจอกน้อยมากกกกก
หึงได้น่ารักที่สุด

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนพิเศษ
หากขาดไป





        ฤดูกาลผันผ่านอากาศเย็นลง ใบไม้สีเขียวค่อยๆ เหี่ยวแห้งแล้วทยอยหลุดออกจากกิ่งก้าน เป็นสัญญาณบอกว่าเหมันต์ฤดูกำลังมาเยือน


        หลังงานเทศกาลผ่านไปโดยไม่ได้รับคำอธิบายที่ชัดแจ้ง โทชิฮิโระยังคงหายหน้าไปในบางวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้าก่อนอาคาเนะจะตื่น มิหนำซ้ำบางวันยังกลับมาพร้อมกลิ่นคาวเลือด


        เลือดของโทชิฮิโระเอง


        นับแต่รู้จักกัน อาคาเนะคุ้นเคยกับกลิ่นเลือดของโทชิฮิโระยิ่งกว่าใคร ต่อให้น้อยนิดแค่ไหน อาคาเนะก็สามารถรับรู้ได้ แต่ทุกครั้งที่ถาม เทพมังกรจะเฉไฉชวนคุยเรื่องอื่น อาคาเนะเคยลองหาบาดแผลตามตัวอยู่หลายครั้ง ทั้งแบบที่เจ้าตัวให้ความร่วมมือและเขาต้องขู่บังคับเอา แต่ไม่เคยเจอแม้สักรอยข่วน สุดท้ายจึงเหมือนมีแค่ตัวเขาที่เป็นห่วงจนจะบ้า


        วันนี้โทชิฮิโระก็หายหน้าไปแต่รุ่งสางอีกเช่นกัน ส่วนสึซึรันได้ติดตามจิตรกรผู้นั้นเข้าเมืองไปหลายวันแล้ว ปราสาทกว้างใหญ่แต่ไม่มีใครอยู่ให้พูดคุยสักคน อาคาเนะเบื่อแสนเบื่อจึงออกไปเดินเล่นข้างนอก


        ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงกลายเป็นขวัญใจของพวกเด็กๆ ตั้งแต่ผ่านการแสดงด้วยกันมา พวกเด็กในหมู่บ้านต่างชอบวิ่งกรูเข้ามาหาทุกครั้งที่อาคาเนะเข้าไปในเมือง แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่เหมาะจะเล่นกับเด็ก อาคาเนะเลยมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าแทน ป่าในยามต้นไม้ผลัดใบกลายเป็นสีเขียวแซมน้ำตาล เหลือง และแดง ดูแล้วก็สดชื่นดี


        อาคาเนะกระโจนขึ้นยอดไม้เพื่อดูทิวทัศน์ให้ไกลขึ้น อยู่นอกเมืองมาหลายปี บางทียังแอบคิดถึงการปีนขึ้นหลังคาหอสูงในเมืองเหมือนกัน อยู่นั่นเขาสามารถปล่อยใจให้ล่องลอย มองดูชาวเมืองใช้ชีวิตกันอย่างคึกคักตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ที่ไหนก็มีข้อดีข้อดำของตัวเองทั้งนั้น เสียแต่เวลานี้คนที่เขาติดตามมาดันหายหน้าไปไหนไม่รู้


        อยู่ๆ สายลมแรงเกิดพัดกรรโชกมาวูบหนึ่ง จนอาคาเนะต้องย่อตัวลงยกแขนขึ้นบังใบหน้า ทว่ายังรับรู้ถึงความเจ็บแปลบที่แล่นเฉียดใบหน้า


        ดวงตาสีเพลิงเบิกกว้างขึ้น รับรู้ได้ถึงหยดเลือดอุ่นๆ ที่ไหลลงตรงข้างแก้ม ก่อนจะหมุนตัวหันกลับไปมองสิ่งที่เพิ่งผ่านไป
ท้องฟ้าสีครามมีจุดสีขาวเล็กๆ ปรากฏอยู่ ยังไม่ทันเพ่งดูเจ้าสิ่งนั้นก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง คราวนี้อาคาเนะตวัดกรงเล็บเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ผลคือสิ่งนั้นขาดสะบั้นกลางอากาศ อาคาเนะจึงคว้าเอามาดู


        สิ่งที่เห็นเป็นกระดาษขาวตัดเป็นรูปคล้ายนกกางเขนถูกตัดขาดครึ่งด้วยฝีมือเขา สัญชาตญาณร้องเตือนอย่างรุนแรงถึงอันตราย กระดาษที่เคลื่อนไหวได้รกับมีชีวิต สิ่งนี้เป็นวิชาของนักปราบปีศาจอย่างแน่นอน


        เสียงใบไม้ถูกตัดขาด และอากาศถูกเฉือนออกแว่วเข้าหู อาคาเนะจึงรีบทิ้งตัวลงจากยอดไม้ทันที หากมีแค่นกกระดาษ แค่ใช้ไฟจิ้งจอกก็สามารถเผาได้โดยง่าย แต่เกรงว่ายิ่งรั้งรอเสียเวลาอยู่นาน ตัวปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่าจะเข้ามาใกล้


        กับปีศาจอาคาเนะไม่เคยหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้า แต่พอศัตรูอาจเป็นมนุษย์ทุกอย่างกลับต่างออกไป เขาใช้ชีวิตในโลกของมนุษย์มาตลอด จนป่านนี้ยังไม่เคยเข่นฆ่ามนุษย์แม้สักคน และคงทำไม่ได้ด้วย


        อาคาเนะตั้งใจจะสลัดให้หลุด จึงเร่งความเร็วสุดฝีเท้า แต่เลือกเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตามรอยกลับไปถึงปราสาทได้


        แต่นั่นกลับเป็นการตัดสินใจผิดพลาดครั้งร้ายแรง


        อาคาเนะวิ่งลัดเลาะผ่านต้นไม้ กระโดดข้ามแนวหิน พยายามออกห่างจากเส้นทางสัญจรให้มากที่สุด แต่แล้วเมื่อเขาก้าวขาผ่านกองหินที่วางซ้อนกันกองหนึ่งไป ร่างกายพลันหยุดนิ่งในฉับพลัน


        บนพื้นที่ก้าวเหยียบมีรอยขีดเขียนลงบนดินเป็นวงกลมล้อมรอบจุดที่อาคาเนะยืนอยู่ ลายเส้นพร้อมอักษรโบราณเปล่งแสงสว่างวาบขึ้น พร้อมกับที่อาคาเนะเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก


        ติดกับเข้าแล้ว!!







        เสียงระเบิดดังลั่นป่า แรงสะเทือนทำให้ฝูงนกแตกฮือบินขึ้นฟ้าฝูงใหญ่ ควันสีดำลอยคลุ้งดึงดูดสายตาทุกคนในเมือง ใครสักคนตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานผู้คนก็เริ่มหันไปคุยกัน เสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ จนกระทั่งมีคนบอกว่าควรจะไปดู เวลานี้เทพมังกรไม่อยู่ ถึงคราวมนุษย์ต้องช่วยเหลือตัวเองบ้าง


        พวกผู้ชายในหมู่บ้าน รวมตัวกันได้หกคนก็พากันมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น เดินกันมาได้สักพัก จึงมาถึงบริเวณที่เกิดระเบิดขึ้น


        พื้นดินตรงหน้ากลายเป็นหลุม ในขณะที่ต้นไม้ใบหญ้ากลับไม่มีรอยไหม้แม้สักนิด แต่สิ่งทำให้ทุกคนในที่นั้นตัวชาเมื่อได้เห็น กลับเป็นกิโมโนเปื้อนเลือดและขาดวิ่นที่กองอยู่ตรงก้นหลุมนั้น ด้วยต่างก็จำได้ว่าเจ้าของคือใคร


        หลายคนสะกิดไหล่กัน ต่างฝ่ายต่างไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนั้นเองที่เงาดำทะมึนทาบทับอยู่เหนือหัวพวกเขา ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงลงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง


        เทพมังกรมาถึงแล้ว


        หลายปีมานี้โทชิฮิโระให้ความสำคัญกับอาคาเนะแค่ไหน ทุกคนต่างรู้ดี เวลานี้จึงไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว มังกรขาวขดตัวบนอากาศ สายตาก้มมองไปในหลุมด้วยแววตาเรียบนิ่ง ทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิด เขาก็รีบเร่งทะยานกลับมา หัวใจกรีดร้องว่าต้องเกิดเรื่อง แต่พอมาเห็นกับตา ทุกอย่างรอบกายกลับเงียบงัน


        มังกรขาวหายไป เหลือเพียงชายคนหนึ่งที่ก้าวขาได้อย่างแสนยากเย็น โทชิฮิโระคุกเข่าลง ยื่นมือออกไปหากิโมโนเปรอะเปื้อนด้วยปลายนิ้วอันเย็นเฉียบ หัวใจร่ำไห้ แต่สมองยังทำงานไม่หยุด


        แรงทำลายระดับนี้ อาคาเนะจะหนีไปได้หรือไม่ หากโชคร้ายพ่ายต่อนักปราบปีศาจจริงจะไม่มีสิ่งใดหลงเหลือเชียวหรือ แต่ถ้าหากหนีรอดอย่างจวนเจียน เวลานี้จิ้งจอกน้อยไปอยู่ที่ใด เหตุใดถึงไม่มีสัมผัสของพลังปีศาจใดๆ ใกล้กับบริเวณนี้เลยสักนิด


        "หาเขา" ถ้อยคำแรกบางเบาเสียจนพวกชาวบ้านต่างฟังไม่ถนัด ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จนกระทั่งโทชิฮิโระลุกขึ้นพร้อมกำกิโมโนของอาคาเนะไว้ในมือ


        "ตามหาอาคาเนะให้ข้า! ส่วนข้า..." มือที่ถือชุดของคนรักไว้กำแน่นจนสั่น ของบางสิ่ง คนบางคน ไม่ว่าใครก็อย่าได้บังอาจมาแตะต้อง!


        "จะตามล่าคนที่ทำมัน" ราวกับถูกขโมยลมหายใจไปวูบหนึ่ง ที่ผ่านมาชาวเมืองต่างไม่เคยเห็นร่างของเทพมังกรฉายเงาอำมหิตเท่านี้ โทชิฮิโระเคยเป็นเทพผู้ปกป้องในสายตาทุกคนเสมอ แต่วันนี้ได้มีผู้ย้อนเกล็ดมังกรของเขาเข้าแล้ว ตอนนั้นเองที่ทุกคนในที่นั้นได้ตระหนัก ว่ามังกรเป็นได้ทั้งเทพและอสูรในร่างเดียว







        เจ็บ


        ทรมาน


        ปวดไปทั้งตัว


        ในความมืดมิดและสติอันเลือนราง ยังรับรู้ได้ว่าขาข้างหนึ่งเจ็บจนขยับไม่ได้ ไม่แน่ใจว่ามันยังอยู่ดีไหมด้วยซ้ำ หลายครั้งที่สั่งตัวเองให้เปิดตา แต่แค่เห็นแสงสลัวได้ไม่นาน สติก็จมหายไปในความมืดอีกครั้ง บางคราวรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนสัมผัส บางคราวรู้สึกเหมือนมีเสียงพูดคุยอยู่ใกล้ๆ


        เสียงที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย

       
        สัมผัสอุ่นวางทาบลงบนหัว เป็นความอุ่นของฝ่ามือไม่ผิดแน่ ครั้งนี้อาคาเนะบอกตัวเองว่าต้องลืมตาให้ได้ อย่างน้อยเขาก็เริ่มได้ยินสิ่งที่คนพวกนั้นคุยกันอย่างชัดเจน


        "ท่านนี่แปลกคน เข้าป่าแทนที่จะล่าสัตว์ กลับอุ้มสัตว์กลับมา" มือที่ลูบอยู่ชะงัก คนพูดเองก็เช่นกัน


        "ฟื้นแล้ว!" เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อาคาเนะเปิดตาขึ้นมองได้สำเร็จ แม้จะพร่ามัว แต่พอจะมองเห็นว่ามีคนสองคนนั่งอยู่ในห้อง สิ่งที่ผิดปกติไปคือทุกคนดูตัวโตแปลกๆ


        สมองยังสับสน เหตุการณ์ก่อนหน้าฉายภาพเข้ามาสลับกับภาพในปัจจุบัน ตอนนั้นเองที่มีเงาดำทาบทับลงมา ทำให้อาคาเนะตกใจกลัวจนฝืนลุกหนี แต่ความเจ็บแล่นริ้วจนต้องทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง สายตาพลันมองเห็นว่าแขนตัวเองไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คุ้นตา ทำให้อาคาเนะยิ่งแตกตื่นลนลาน ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจนล้มลุกคลุกคลานอยู่รอบ


        "ใจเย็น ไม่เป็นไร เราไม่ได้จะทำอะไรเจ้า" เสียงห้ามปราม มาพร้อมมือที่ช้อนตัวจิ้งจอกตื่นกลัวขึ้นมาอุ้มไว้ เพราะเกรงว่าขาหลังที่บาดเจ็บจะเตะฟาดถูกอะไรเข้าอีก


        "อันตรายขอรับ ให้ข้าอุ้มดีกว่า" ชายอีกคนทำท่าจะเข้ามาคว้าตัวเขา อาคาเนะจึงยิ่งพยายามตะกายหนี


        "อย่า ยิ่งทำให้มันกลัวมากกว่าเดิม" อาคาเนะในร่างจิ้งจอกถูกชายคนหนึ่งอุ้มไว้แนบอก ไออุ่นและเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ช่วยให้คลายกังวลได้ทีละน้อย ในที่สุดอาคาเนะก็ยอมสงบอยู่ในวงแขนนั้น


        "ไปหาอะไรให้มันกิน" ชายอีกคนมองเขาอย่างลังเลแต่ก็รับคำ ดูท่าแล้วคงเป็นนายบ่าวกันถึงได้ยอมทำตามอย่างว่าง่าย


        "ข้าจะวางเจ้าลง แต่ต้องอยู่นิ่งๆ เข้าใจไหม" ดวงตาคนพูดก้มมองมา เป็นครั้งแรกที่อาคาเนะได้มองชายคนนี้อย่างเต็มตา คงต้องบอกว่าชายคนนี้เป็นคนประเภทเดียวกับซาโตรุ สง่างามแต่ไม่ดุดัน และยังดูมีอำนาจบารมียิ่งกว่าเสียอีก


        อาคาเนะถูกวางลงบนผ้าที่ทั้งนุ่มและอุ่น พอเหลียวมองขาหลังตัวเองก็เห็นว่ามีผ้าพันเอาไว้อยู่ จากนั้นจึงไล่สายตาไปสำรวจร่างกายส่วนอื่น เวลานี้เขาอยู่ในร่างสุนัขจิ้งจอกอย่างสมบูรณ์ คงไม่ได้ดูคล้ายปีศาจเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกมนุษย์ช่วยเอาไว้แบบนี้


        "พูดรู้เรื่องด้วยหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ง่าย ข้าจะพักอยู่ที่นี่อีกสองวัน แต่ขาเจ้าดูแล้วคงไม่หายง่ายๆ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ดื้อจะพากลับไปด้วยแล้วกัน"


        อาคาเนะรับฟังเงียบๆ ในใจคิดแต่ว่าทำอย่างไรจะกลับไปหาโทชิฮิโระได้ พอนึกถึงเทพมังกรขึ้นมา เพียงเท่านั้นความรู้สึกก็ดำดิ่ง เวลานี้โทชิฮิโระจะเป็นอย่างไร จะรู้บ้างไหมว่าเขาไม่อยู่ จะตามหาเขาหรือเปล่า หรือ...ยังไม่กลับมาเลยด้วยซ้ำ


        จะถามว่าหมดสติไปกี่วันก็คงไม่ได้ ขืนเปิดปากพูดภาษามนุษย์ออกไปคงเกิดเรื่องขึ้นแน่ ถึงคนในหมู่บ้านจะเข้าใจ แต่คนนอกไม่ว่าอย่างไรก็ยังยอมรับปีศาจไม่ได้ อาคาเนะเลยเลือกจะสวมบทจิ้งจอกธรรมดาที่ค่อนข้างสงบเสงี่ยมมากหน่อยเท่านั้น


        จะว่าไปยังไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรด้วยซ้ำ ต่างจากคราวก่อนที่มาซาโนริกระตุ้นพลังปีศาจในกายเขา เวลานี้อาคาเนะแทบไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ต่างอะไรจากสุนัขจิ้งจอกบาดเจ็บตัวหนึ่ง


        "ไม่นานก็หาย" ถ้อยคำปลอบประโลมถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เห็นจิ้งจอกตัวจ้อยทำหูลู่หางตกแล้วอดยื่นมาไปลูบหัวไม่ได้ จนตอนนี้เขายังแปลกใจกับตัวเองว่าทำไมถึงได้ตัดสินใจที่จะอุ้มจิ้งจอกตัวนี้กลับมา








        ท้องทะเลที่คลื่นลมสงบ มักเป็นสัญญาณว่าจะพายุใหญ่พัดผ่านเข้ามา ยามนี้รอบกายของเทพมังกรราวกับมีลมพายุพัดวนอยู่ เหมือนน้ำที่ใกล้เดือดเต็มทน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าสบตา แม้แต่สึซึรันยังแทบเข้าหน้าไม่ติด


        ทันทีที่กลับมาก็มีคนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกเล่าเรื่องราวกับสึซึรัน ตอนได้ยินนางเองก็หูอื้อไปพักหนึ่ง พอจับใจความได้ว่าอาคาเนะหายไปไม่รู้เป็นตายร้ายดี ส่วนโทชิฮิโระ แม้ภายนอกจะดูเหมือนสงบ แต่สึซึรันกลับรู้สึกว่าภายในหัวใจของเทพมังกรต้องกำลังคลุ้มคลั่งอยู่เป็นแน่


        สองวันแล้วที่อาคาเนะหายไป ไม่ใช่ว่าโทชิฮิโระไม่อยากออกไปตามหาอาคาเนะ แต่ครั้งก่อนที่ออกไปเทพมังกรกลับมาด้วยสภาพเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบเลือดหลายแห่งจนทุกคนที่เห็นต่างหวาดกลัวแทบลืมหายใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านักปราบปีศาจที่วางกับดักไว้ คงไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว


        สึซึรันเคยเห็นเทพมังกรอาละวาดเมื่อครั้งถูกวางยาหนก่อน แต่โทชิฮิโระในสภาพเจ็บปวดจากภายในจนแทบสิ้นหวัง เหม่อลอยและเก็บกดถึงเพียงนี้นางเพิ่งเคยได้เห็นกับตา สึซึรันจึงอ้อนวอนให้เทพมังกรให้อดทนรอฟังข่าวเฉยๆ ก่อน เพราะเกรงว่าหากปล่อยโทชิฮิโระออกไปลำพังอีกครา อาจมีคนตายมากกว่าหนึ่งคน


        แผ่นหลังที่เคยยิ่งใหญ่และสง่างาม ยามนี้ห่อตัวลงเพราะความโศกเศร้า สึซึรันไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาปลอบ นอกจากรับปากว่าจะพยายามตามหาอาคาเนะอย่างเต็มที่ แต่การหาโดยไม่มีร่องรอย ทำให้ต้องใช้เวลาและวงค้นหาที่กว้างมาก น่าแปลกที่หากอาคาเนะหนีรอดไปได้ อย่างน้อยก็น่าจะเห็นรอยเลือดให้เห็นบ้าง เพราะจากเสื้อผ้าที่เหลือไว้ อาคาเนะน่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย


        นอกเสียจากถูกใครพาไป


        หรือไม่อาจเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด

       
        สึซึรันสะบัดหัวแรงๆ เพื่อลบความคิดร้ายๆ ออกไปจากหัว เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรจะถอดใจ  บอกกับตัวเองว่าอาคาเนะไม่มีทางเป็นอะไรไปง่ายๆ สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินไปยืนข้างๆ โทชิฮิโระ


        "พรุ่งนี้จะลองไปสืบข่าวเมืองข้างๆ ส่วนในพื้นที่ของเราข้าจะฝากคนคอยตรวจตราเอาไว้ เผื่อว่าอาคาเนะกลับมาจะได้รีบพามาหาท่าน"


        ดวงตาสีครามว่างเปล่าเหลือบมองเพียงชั่วครู่ก่อนเบือนกลับไปหลุบลงมองพื้นตามเดิม หลังจากกลับมาโทชิฮิโระก็เอาแต่เงียบมาตลอด ยืนจ้องมองบางสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า


        "ข้าควรอยู่กับเขา" นับเป็นประโยคแรกที่ได้ยินในรอบวัน เป็นน้ำเสียงที่อ่อนระโหยไร้เรี่ยวจนรู้สึกได้


        "อย่าโทษตัวเอง"


        "ไม่โทษไม่ได้" มือของโทชิฮิโระกำแน่นเสียจนปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว มันผิดที่เขาเองที่ปล่อยให้อาคาเนะต้องอยู่ตามลำพัง เพียงเพราะคิดว่านั่นเท่ากับปกป้องอาคาเนะแล้ว


        เรื่องนักปราบปีศาจโทชิฮิโระรับรู้มาได้สักพักแล้ว ไม่แคล้วเป็นพวกได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับเมืองนี้ แล้วเดินทางมาเพื่อลองวิชา กับดักที่ใช้เพื่อกำจัดปีศาจถูกลอบวางอยู่เรื่อยๆ แต่คาถาอาคมเหล่านั้นทำอะไรโทชิฮิโระไม่ได้ อย่างมากก็แค่สร้างบาดแผลเล็กน้อยให้ โทชิฮิโระจึงเพียงแค่ก้าวลงไปในกับดักเหล่านั้นแล้วปล่อยให้มันทำงานจนสูญสลายไปเอง คิดไปเองว่าสักวันนักปราบปีศาจผู้นั้นจะยอมถอนตัวกลับไป นึกไม่ถึงว่าจะวางอาคมรุนแรงเอาไว้ ทำให้อาคาเนะต้องมาพลาดท่าติดกับไปด้วย


        หากไม่ใช่เพราะความสะเพร่าของเขาแล้วเป็นเพราะใคร


        เมื่อสิ่งทำลงไปเพราะคิดว่าเพื่อคนสำคัญ กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แล้วย้อนมาทำร้ายอาคาเนะ นอกจากโทสะที่มีต่อนักปราบปีศาจที่มากล้น ความเกลียดชังต่อตัวเองก็มีมากไม่แพ้กัน และมันกำลังกัดกินหัวใจของเทพมังกรจนอ่อนล้าเต็มที


        กลับมาเถิดอาคาเนะ


        ให้ข้าได้ขอโทษเจ้าด้วยตัวเอง




(ต่อด้านล่างค่า)





       

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0






        กินอิ่มนอนอุ่น หากเขาเป็นเพียงจิ้งจอกธรรมดาคงไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีก แต่สำหรับเขาไม่มีที่ใดจะชวนให้โหยหายิ่งไปกว่า 'บ้าน' ที่มีใครอีกคนอยู่อีกแล้ว


        นึกแล้วก็ฉุนหน่อยๆ จนป่านนี้ทำไมโทชิฮิโระยังไม่มารับเขาอีก ถึงจะตามกลิ่นไม่ได้อย่างเขา อีกฝ่ายก็เก่งเรื่องตามตัวเขาอยู่ดีนั่นแหละ


        คงไม่ใช่ว่าออกไปข้างนอกจนลืมเขาหรอกใช่ไหม


        โอ๊ย คิดแล้วอยากกระโดดกัดเสียเดี๋ยวนี้เลย!


        จิ้งจอกน้อยสะบัดหางฟาดผ้าปูนอนอย่างหัวเสีย พอดีกับที่มีคนเปิดประตูห้องเข้ามา เป็นคนติดตามของชายที่คุยกับเขา ไม่พูดไม่จาก็เดินมาสอดมือเข้าใต้สองขาหน้า ช้อนตัวอาคาเนะขึ้นในสภาพช่วงตัวและขาหลังห้อยย้วยแทบหลุดมือ


        นุ่มนวลผิดกับเจ้านายลิบลับ


        "วางมันลง" เมื่ออีกคนตามเข้ามาก็สั่งทันที แต่กลับถูกส่ายหน้าปฏิเสธ


        "ข้าจะย้ายมันไปนอนตรงมุมห้อง"


        "เมื่อครู่ฟังไม่เหมือนคำสั่งตรงไหน"


        "ท่านยาสุนาริ" ผู้ชายตัวโตส่งเสียงโอดครวญให้ความรู้สึกขนลุกพิลึก อาคาเนะมองสำรวจอย่างไม่เกรงใจ บ่าวคนนี้ตัวสูงใหญ่กว่าเจ้านายเสียอีก


        "คาซึมะ" เมื่อถูกเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เจ้าตัวถึงยอมทำตามแต่ยังแอบทำสีหน้าไม่พอใจนัก ทำเอาคนนอกอย่างอาคาเนะได้แต่พับใบหูลงข้างหนึ่งพลางเอียงคอมองไปด้วย


        ตกลงว่าสองคนนี้เป็นนายบ่าวกันจริงหรือเปล่า บางคราวถึงได้ดูสนิทสนมจนแสดงอาการไม่พอใจต่อหน้ากันได้ชัดเพียงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่อาคาเนะรู้สึกว่าระหว่างสองคนนี้มีบางสิ่งชวนสะกิดใจ








        เมื่อถึงเวลาเข้านอน กลายเป็นว่าอาคาเนะถูกจัดให้นอนอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าของห้องทั้งสอง ยาสุนาริหันหน้าหาผนัง ในขณะที่คาซึมะนอนหันหน้ามามองแผ่นหลังเจ้านายของตน แววตาคู่นั้นลึกซึ้งสื่อความหมาย จ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอมหลับตาลง


        เป็นสายตาที่ทำให้อาคาเนะคิดถึงโทชิฮิโระสุดหัวใจ








        หลังผ่านไปครึ่งคืนอาคาเนะก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขานอนไม่หลับ ถึงตาจะปิดแต่หูยังกระดิกอยู่เรื่อย สมองคิดทบทวนเรื่องราวว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้


        กับดักของนักปราบปีศาจ คงมีผลกับปีศาจโดยเฉพาะ นั่นหมายความหน้าที่ของมัน คือการมุ่งหมายสลายพลังปีศาจ อาจเป็นไปได้ที่ผลของมันทำให้พลังปีศาจของอาคาเนะจะสูญหายไปชั่วคราว จนกลายร่างเป็นจิ้งจอกธรรมดาเช่นนี้


        ตอนนั้นเองที่มีเสียงบางอย่าง ดึงอาคาเนะออกจากห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกน้อยลืมตาขึ้น กางใบหูเพื่อรับฟัง ด้านนอกมีเสียงคล้ายฝีเท้าแต่ดังมาจากกระเบื้องหลังคา


        "เจ้าก็ได้ยินหรือ" คาซึมะตื่นแล้ว เขาเอื้อมมือข้ามหัวอาคาเนะไปสะกิดเจ้านายให้รู้สึกตัว ทั้งคู่สบตากัน ยาสุนาริดูจะเข้าใจความหมายโดยไม่จำเป็นต้องพูด


        ดาบยาวสองเล่มถูกหยิบออกมาจากใต้กองผ้าสีขมุกขมัว ก่อนหน้านี้อาคาเนะไม่ได้สังเกตถึงมันเลยด้วยซ้ำ


        "คิดว่ามีกี่คน" ยาสุนาริกระซิบถาม คาซึมะจึงหลับตาแล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ


        "สี่ ไม่ ห้าคน" คนถามกระตุกยิ้มถูกใจ แล้วถามต่อ


        "ยกให้เจ้าสาม ไหวหรือไม่"


        "จะนั่งดูเฉยๆ ก็ได้ขอรับ นายท่าน" คาซึมะยกยิ้มอย่างกวนๆ ช่างเป็นมนุษย์ที่ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับอันตรายที่ย่างกรายเข้ามาหาเอาเสียเลย


        มีเงาคนปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง คาซึมะและยาสุนาริต่างพยักหน้าให้กันในความมืด ดาบคู่กายถูกชักออกจากฝักอย่างเงียบกริบ แล้วแทงออกไปพร้อมกัน


        เสียงร้องเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวในจังหวะที่พวกเขาชักดาบกลับ เลือดสีแดงฉานสาดกระจายบนหน้าต่างที่ปูด้วยกระดาษ เสียงสั่งฆ่าดังระงมจากด้านนอก ก่อนนักฆ่าที่เหลือจะพุ่งตัวเข้ามา


        ถึงจะมีจำนวนมากกว่า แต่ด้วยพื้นที่คับแคบจึงตวัดดาบไม่ได้อย่างใจคิด เป็นฝ่ายตั้งรับเสียอีกที่เคลื่อนตัวได้คล่องกว่า คาซึมะตวัดดาบเฉือนคอหอย และสะบั้นช่วงอกจนนักฆ่าล้มตายไปอีกสองคน ส่วนคนสุดท้ายอาศัยช่วงที่เพื่อนรับดาบปีนหน้าต่างหนีกลับออกไป


        "เก็บของ" ยาสุนาริสั่งคำเดียวโดยไม่แยแสศพที่นอนจมกองเลือดอยู่สักนิด กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้งเสียจนอาคาเนะหน้ามืดไปพักหนึ่ง สัญชาตญาณชักนำให้เขาเดินไปสูดกลิ่นคาวนั้น ปีศาจถึงอย่างไรก็ชื่นชอบเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ในจิตใต้สำนึก


        ราวกับเลือดปีศาจในตัวถูกกระตุ้น บางทีถ้าหากเขากินมนุษย์ พลังที่หายไปอาจกลับคืนมาก็ได้ เพียงแต่อาคาเนะว่างเว้นจากการดื่มเลือดมนุษย์มานานจนลังเล ถ้าต้องการก็แค่ขอเลือดไม่กี่หยดจากโทชิฮิโระเท่านั้น


        "ต้องไปกันแล้ว" ยังไม่ทันได้แตะเลือดสักหยด อาคาเนะก็ถูกยาสุนาริอุ้มขึ้นเสียก่อน


        "ห่วงมันเกินไปแล้ว" คาซึมะบ่นเสียงขุ่น เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะห่วงจิ้งจอกที่เก็บมาอยู่อีก


        "อิจฉาหรือ" ยาสุนาริถามยิ้มๆ แต่ทำให้ใบหน้าของคาซึมะบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม


        "อิจฉาแล้วผิดตรงไหน ในเมื่อท่านเป็นคนเก็บข้ามา สุนัขอย่างข้าก็ต้องหวงเจ้าของไม่ถูกหรือ" คำตอบนั้นทำให้ยาสุนาริถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เขายกมือขึ้นลูบหัวคาซึมะราวกับอีกเป็นเพียงเด็กชายที่ออกจะตัวโตเกินไปหน่อยเท่านั้น


        "ที่ของเจ้า ไม่มีใครมาแย่งได้ วางใจแล้วออกไปกันได้แล้ว" คาซึมะคว้ามือที่ลูบหัวตนลงมาจับไว้ก่อนก้มหน้าเอาหน้าผากจรดมือนั้นพลางหลับตา


        "จะปกป้องไม่ว่าจากสิ่งใด" นั่นคือส่วนหนึ่งของคำสาบานที่คาซึมะปฏิญาณต่อยาสุนาริไว้เมื่อครั้งถูกช่วยชีวิตในวัยเด็ก


        "ไปกัน"








        เกิดเรื่องขนาดนี้แต่ด้านนอกกลับเงียบสนิท แปลว่าได้มีการวางแผนและจัดการกับคนในที่พักทั้งหมดไว้ล่วงหน้า อาจถูกฆ่าหรือร่วมมือกัน แต่ยาสุนาริไม่คิดรั้งรอเพื่อสืบสาวอีกแล้ว


        "ไปที่ว่าการเมือง" ทั้งสองถีบตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ยาสุนาริบังคับม้าด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างอุ้มอาคาเนะเอาไว้ ทว่าควบม้ามาได้ไม่เท่าไรก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธและคบไฟในมือกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาขวางทาง


        ม้าตกใจส่งเสียงร้องพร้อมยกขาหน้าทั้งสองขึ้น ยาสุนาริและคาซึมะยังสามารถควบคุมมันให้ยอมสงบลงได้ แต่เป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรูตีวงล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง คะเนจากสายตาคร่าวๆ คราวนี้ศัตรูมีมากเกินสิบคน


        เสียงฟ้าร้องครืนเรียกให้อาคาเนะเงยหน้าขึ้นมอง สายลมราตรีหอบเอากลิ่นเคยคุ้นมาจากทิศทางของเสียงคำรามนั้น และนั่นไม่ใช่กลิ่นของฝน


        "บุตรชายของไดเมียวไทระ คงต้องขอให้เจ้าทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่" หนึ่งในคนที่ล้อมพวกเขาไว้ประกาศออกมา ชื่อตระกูลไทระอาคาเนะพอจะเคยได้ยิน เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่ปกครองแคว้นในเวลานี้


        "คิดว่าชีวิตข้าสำคัญกับท่านผู้นั้นหรือ พวกท่านคาดผิดแล้ว" ยาสุนาริตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร เขาดูคุ้นชินกับเหตุการณ์นี้เกินไปเสียด้วยซ้ำ


        "ไว้รอดูตอนเราส่งหัวเจ้ากลับไปที่ปราสาท"


        "รักษาหัวเจ้าก่อนเถอะ!" คาซึมะตวัดดาบชี้หน้าคนพูด แต่ด้วยจำนวนคนที่ผิดกันมากขนาดนี้ ต่อให้ฝ่าไปได้ก็คงต้องบาดเจ็บกันบ้าง


        อาคาเนะเงยหน้าหลับตา สูดกลิ่นที่แสนโหยหาก่อนตัดสินใจงับลงบนแขนของยาสุนาริเบาๆ เพื่อให้เขาตกใจจนคลายแรงที่จับตัวอาคาเนะไว้ลง จนสามารถกระโดดลงไปบนพื้นด้านหน้าได้ แต่ขาหลังด้านซ้ายยังเจ็บจนต้องยกเอาไว้


        จิ้งจอกตัวจ้อย เดินได้ด้วยสามขา พอก้าวออกไปข้างหน้า ทุกคนต่างหัวเราะครืน


        "ไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของนายน้อยจะทำอะไรพวกหรือ" ยาสุนาริเองก็คิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองอาคาเนะด้วยสายตาไม่เข้าใจ คาซึมะเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร เวลานี้หากพวกเขาลงจากม้าก็เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ


        แต่แล้วกลับมีเสียงใครบางคนถอนหายใจดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงที่ไม่มีใครเคยได้ยิน ทุกคนจึงเงียบลงในที่สุด สายลมพัดแรงขึ้นทีละน้อย จิ้งจอกตัวจ้อยดูราวกับแสยะยิ้มอยู่


        "มนุษย์เอ๋ยมนุษย์" คราวนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคาซึมะและยาสุนาริ เพราะเจ้าของเสียงนั้น คือจิ้งจอกที่พวกเขาพามาเอง


        "ข้าขอเตือน หากยังเสียดายชีวิต จงทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีไปเสีย" ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างลนลาน สุนัขจิ้งจอกตัวนี้พูดได้ แต่มองอย่างไรมันก็เป็นเพียงจิ้งจอกตัวเล็กจิ๋ว


        "มองข้าทำไม ผู้ที่เจ้าควรกลัว อยู่บนท้องฟ้าโน่น" เมื่อสิ้นเสียงอาคาเนะ เสียงคำรามก็ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงฟ้าร้องอย่างแน่นอน ร่างสีขาวขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า เกล็ดสีขาวแวววาวสะท้อนแสงจันทร์ เหล่ามนุษย์ที่เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงในพริบตาต่างร้องโวยวายและวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น


        "ปีศาจ! ปีศาจ!"


        "หนี! เร็วๆ!"


        ดวงตาคู่โตตวัดมองมนุษย์เหล่านั้นอย่างเกรี้ยวกราด เทพมังกรบินโฉบใกล้จนพวกมนุษย์หวาดกลัว วิ่งหนีกันจนล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะหันหน้ามาหายาสุนาริกับคาซึมะ


        "อย่า! พวกเขาช่วยข้าไว้" โชคดีที่อาคาเนะกระโดดมาขวางไว้ได้ทัน ยาสุนาริจึงเพียงแค่รู้สึกเหมือนลมหายใจขาดหายไปชั่วครู่ ส่วนคาซึมะถูกม้าสะบัดจนหล่นลงมานั่งคลุกฝุ่นเป็นที่เรียบร้อย


        โทชิฮิโระไม่ได้สนใจใครอื่น เขารีบแปลงเป็นมนุษย์แล้วอ้าแขนรับตัวจิ้งจอกน้อยที่กระโจนเข้ามาหา อาคาเนะเบียดตัวซุกหาไออุ่นที่คิดถึงแทบขาดใจ ในขณะที่โทชิฮิโระกอดเขาเอาไว้ด้วยอ้อมแขนที่สั่นไม่หยุด


        "ขอโทษ ข้าผิดเอง ขอโทษจริงๆ" ถึงจะเคยนึกโกรธแต่พอได้เจอหน้าอีกครั้ง อาคาเนะก็พบว่าในหัวใจมีแต่ความรักและคิดถึงจนล้นไปหมด ไม่มีคำต่อว่าใดๆ หลุดออกจากปากแม้สักครึ่งคำ


        “ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย” หยดน้ำอุ่นหยดหนึ่งไหลลงกระทบใบหูอาคาเนะ ชายที่เข้มแข็งเสมอมา เวลานี้กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ แม้เพียงหยดเดียวแต่สื่อความหมายได้มากมายนับร้อยประโยค จิ้งจอกน้อยพับหูใบด้านหลังแล้วฝังจมูกลงกับแผ่นอกอันเป็นสถานที่อันแสนปลอดภัยที่สุดของตัวเอง


        “ข้ารู้ท่านต้องมา”


        "ขอบคุณที่ช่วยเหลือ" เพราะมัวแต่สนใจกันและกัน อาคาเนะจึงลืมอีกสองคนไปเสียสนิท เจ้าของคำขอบคุณได้ลงจากหลังม้า ทั้งยาสุนาริและคาซึมะต่างค้อมตัวลงเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจริง


        "ไม่ได้ตั้งใจจะช่วย"


        "โทชิ" อาคาเนะปรามเบาๆ แล้วหันไปมองยาสุนาริ


        "ท่านช่วยชีวิตข้า ถือว่าข้าตอบแทนท่าน" ถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่คนผู้นี้ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี น้ำใจนี้อาคาเนะย่อมจดจำไว้


        "กลับบ้านกัน" โทชิฮิโระเร่งเร้า เขาอยากพาอาคาเนะกลับบ้านเสียที คราวนี้จิ้งจอกน้อยอยู่ห่างจากเขานานเกินไปแล้ว ซ้ำยังมาผูกมิตรกับใครก็ไม่รู้อีก


        "ขอทราบชื่อเจ้าได้หรือไม่" คนถามกลับกลายเป็นคาซึมะที่ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าอาคาเนะสักเท่าไร แต่อาคาเนะพอจะเข้าใจ สายตาที่คาซึมะมองยาสุนาริเป็นสายตาเดียวกับที่เขามองโทชิฮิโระมาตลอด พอเห็นว่าเขามีคนของตัวเองอยู่แล้วก็วางใจ และเปิดใจยอมรับกันได้


        "อาคาเนะ คงต้องลาแล้ว" อาคาเนะแนะนำตัวสั้นๆ พร้อมเอ่ยลา


        "ลาก่อน" ยาสุนาริพยักหน้าพร้อมยิ้มออกมา อาคาเนะมองใบหน้านั้นพลางคิดว่ายาสุนาริช่างเป็นผู้ชายที่สง่าและงดงามมากจริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้สวยดังเช่นสตรี แต่มีความสง่างามในแบบบุรุษจากตระกูลขุนนาง สมกับที่เป็นบุตรชายของไดเมียว


        จากนั้นเทพมังกรก็ทะยานกลับขึ้นฟ้า ทิ้งเมืองที่แตกตื่นวุ่นวายเพราะการปรากฏตัวของตนไว้เบื้องหลังแล้วมุ่งกลับสู่ปราสาทของตน








        จากกันสามวัน แต่เนิ่นนานเหมือนเวลานับสิบปีเลยผ่าน เพียงช่วงเวลาเดียวที่คิดว่าความตายได้พรากอาคาเนะจากไปแล้ว หัวใจก็แหลกสลายไม่มีชิ้นดี เวลานี้ได้จิ้งจอกน้อยคืนมาอีกครั้งโทชิฮิโระจึงวนเวียนกกกอดและบอกรักซ้ำๆ ทั้งปลอบขวัญตัวเองและอาคาเนะไปพร้อมกัน


        ส่วนที่เหลือเป็นไปตามที่อาคาเนะคิดไว้ พลังของเขาถูกสลายไปช่วยคราวด้วยผลของอาคมกำจัดปีศาจ พอได้เลือดจากโทชิฮิโระเขาก็สามารถแปลงร่างและฟื้นคืนพลังได้ตามเดิม ส่งผลให้บาดแผลที่ขาอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นอาคาเนะก็ถูกอุ้มเข้าห้องนอน ปล่อยให้ความคิดถึงคนึงหาทั้งหมดสื่อสารกันผ่านภาษากายแทนถ้อยคำอื่น


        การร่วมรักครั้งนี้ยาวนานและอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ แต่ในความเนิบช้ากลับแฝงไว้ด้วยความโหยหาอันอัดแน่น ยิ่งจุดไฟสเน่หาให้เผาผลาญอาคาเนะจนแทบมอดไหม้ ร่างกายพวกเขาสอดประสานแทบไม่แยกห่าง ริมฝีปากอุ่นร้อนคลอเคลียอยู่ข้างใบหูก่อนวกมาดูดกลืนเสียงครวญครางแหบพร่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความร้อนที่เคลื่อนเข้าและออกเป็นจังหวะ กดย้ำราวกับกำลังพยายามยืนยัน ว่าร่างกายที่แนบชิดอยู่นี้เป็นตัวจริงไม่ใช่เพียงภาพฝัน


        แววตาของโทชิฮิโระหม่นหมอง ถึงจะอยากต่อว่า แต่อาคาเนะรู้ดีว่าเทพมังกรคงตำหนิตัวเองหนักยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากพูดเสียงอีก สองมือจึงเลือกจะโอบกอดรั้งคอของโทชิฮิโระให้โน้มลงมาหา ให้ใบหน้าแสนเศร้าได้ซบลงตรงอกเขา


        "ต่อจากนี้มีอะไรต้องบอกกัน ขอแค่นั้นได้ไหม" โทชิฮิโระต้องการปกป้องเขาด้วยความรู้สึกเช่นไร อาคาเนะก็ไม่อยากเห็นโทชิฮิโระบาดเจ็บแม้จะเล็กน้อยเพียงใดกลับมาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน


        "สัญญา สาบาน ขอแค่เจ้าอย่าหายไปจากข้าอีกก็พอ" ดวงตาคมกล้าเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาต่างฝากหัวใจไว้กับอีกฝ่ายด้วยความรักที่มีให้ หากใครคนหนึ่งเป็นอะไรไป หัวใจอีกคนก็คงตายไปพร้อมกัน


        “ขอโทษ”


        “อืม”


        “ขอโทษนะอาคาเนะ”


        “อื้ม”


        “ข้า...” ถ้อยคำที่เหลือถูกอาคาเนะดูดกลืนโดยการทาบริมฝีปากลงไปทับ เวลานี้เขาไม่ต้องการคำขอโทษเสียหน่อย จิ้งจอกน้อยจงใจบดเบียดสะโพกเข้าหาจนเกือบจะเผลอร้องครางออกมาเมื่อสิ่งที่อยู่ด้านในกดโดนจุดอ่อนไหวเข้า


        “ข้าขอเปลี่ยนคำขอโทษเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่” รอยยิ้มค่อยๆ กลับมาสู่ใบหน้าของโทชิฮิโระอีกครั้ง เขากดจูบลงบนปลายจมูกของอาคาเนะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมอบบรรณาการให้ตามคำบัญชา



✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


        สวัสดีค่าาาาา มาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันด้วยตอนพิเศษล่ะ :mew1:
       
        สารภาพว่าความจริงตั้งใจจะลงตั้งแต่กลางเดือนเนื่องจากไรท์มีภารกิจเข้าอบรม 4 เดือน แต่อัพไม่ทัน สิ้นปีมีโอกาสได้กลับบ้านเลยเอามาลงให้อ่านกันน้าาา

        ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายของเรา ไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆ อย่างในตอนพิเศษตอนนี้ก็มีแขกรับเชิญเป็นตัวหลักจากเรื่อง  "สัญญาในสายลม"
 ที่ตีพิมพ์ไปกับสำนักพิมพ์หนึ่งเดียวมาแจมด้วย

        ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนล่วงหน้านะคะ ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในปีหน้า ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้สมหวัง ที่สำคัญคือให้มีสุขภาพแข็งแรงเป็นพื้นฐานสำคัญ


        แล้วพบกันค่า :L2:




ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ สนุกมากกกกก เห้ยทำไมเราเพิ่งเจอ สนุกมากๆค่ะ เรื่องน่ารักมีทุกอารมณ์ ชอบที่มันดราม่าแต่ก็ไม่ทำให้จิตตกอ่ะ คือทุกคนดีหมด ถึงปมมันจะเริ่มต้นจสกความไม่เข้าใจ.แต่จบดีทุกคู่คือดี 5555556 รักทุกคู่. ชอบการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาร่างโน้นร่างนี้ โอ้โหหหห เราอินมากอ่ะ เหมือนตอนแรกมาซาโนริเป็นเคะรักนักรบ พอเวลาเปลี่ยนนักรบเป็นปีศาจผู้หญิงงงงง คือเราอินมากกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด