33.จุ๊เป็นคนแรกที่รู้เรื่องระหว่างผมกับบิ๊ก และทันทีที่ได้ยินว่าพวกเราตกลงคบกันแล้ว จุ๊ก็จัดการลงรูปหลุด ๆ ที่เคยแอบถ่ายพวกเราเอาไว้พร้อมกับพิมพ์ข้อความกำกับไว้ว่า
‘สนับสนุนให้เด็กนิติได้กันเอง’ผมไล่ดูรูปที่ลงไปทีละรูป ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นรูปตอนที่น้องมันถูกผมล็อคคอเอาไว้เพื่อให้จุ๊แกล้ง หน้าน้องมันตอนนั้นเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย แถมผมยังไม่ทันได้สังเกตด้วย โชคดีแค่ไหนแล้วที่น้องมันไม่ได้เป็นอะไร
ปล่อยให้ลุ้นมาตั้งนาน..
ดีใจด้วยนะ บิ๊กเบลล์..
น้องมันใช้วิธีไหนเอาชนะใจจอมเงียบประจำรุ่นเราได้วะ..ฯลฯ
ผมอ่านข้อความที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นเอาไว้แบบผ่าน ๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงไว้ที่โต๊ะแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ เสร็จสรรพก็ออกมานั่งจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปเรียนวันพรุ่งนี้ พอลองเปิดประมวลอ่านตัวบทที่จะต้องเรียนในวันรุ่งขึ้นแล้วก็ให้นึกสนุกขึ้นมา
BeLL : เตรียมตัวติวให้ด้วยผมกดส่งข้อความไปหาบิ๊ก ก่อนจะแนบรูปตัวบทมาตราแรกของกฎหมายครอบครัวไปให้
BiG-B : ผมยังไม่ได้เรียนเหอะ
BiG-B : พี่นั่นแหละมาติวให้ผม
แล้วน้องมันก็แนบรูปหนังสือวิชาภาษาอังกฤษมาด้วย
BeLL : มึงก็รู้ว่ากูอ่อนอิ้ง
BiG-B : 5555
BeLL : กวนตีน
BiG-B : ไม่แกล้งละ ๆ
BiG-B : เอางี้
BiG-B : ถ้าพี่อยากเข้าใจกฎหมายครอบครัว ก็ต้องลองมีครอบครัวก่อน..
BiG-B : สนใจมาเป็นครอบครัวเดียวกันไหมครับ ?ผมกดปิดโทรศัพท์ทันทีที่เริ่มรู้สึกว่ามันวกกลับมาเข้าตัว ก่อนจะลุกขึ้นปิดไฟแล้วเดินมาล้มตัวลงนอนที่เตียง หลับตาลงได้ก็บ่นพึมพำต่อว่าความเจ้าเล่ห์ของน้องมันไป กระทั่งหลับไป..
วันแรกของการมาเรียนสร้างความรู้สึกอึดอัดใจให้ผมนิดหน่อย จริงที่ว่านับตั้งแต่ใคร ๆ เริ่มสงสัยว่าน้องมันตามจีบผมก็เริ่มมีคนแสดงความสนใจพวกเราด้วยการมอง แต่ผมก็ไม่เคยนึกเลยว่าหลังจากตอบตกลงเป็นแฟนกับน้องมันแล้ว จะยิ่งถูกมองมากขึ้นกว่าเดิมอย่างนี้
ผมหงุดหงิด เมื่อเริ่มรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว ผมเกลียดการถูกจับตามอง ยิ่งเพิ่งรู้ตัวว่าคบกับคนดังของคณะมากแค่ไหนก็ยิ่งรำคาญ แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองว่าให้อดทน พยายามเตือนตัวเองให้เลิกนิสัยเสีย ๆ อย่างนี้สักที แต่สุดท้ายก็ทนมันไม่ไหว
“กลับไปนั่งกับเพื่อนมึงไป” น้องมันหันมามองผมแบบงง ๆ “ไว้กลับไปห้องค่อยคุยกัน”
บิ๊กพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปบอกกับจุ๊ว่าขอตัว ผมเลยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อบรรเทาความรำคาญ แล้วปล่อยให้สติตัวเองจมดิ่งลงไปกับเนื้อหาในหนังสือ และเมื่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลดี ผมก็เลยใช้มันกับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำไปอย่างนั้นตลอดทั้งวัน
“จะต่างคนต่างไป” ผมพยักหน้าเมื่อน้องมันพูด “ทั้งที่เรามีเรียนตรงกันตั้งสามวันเนี้ยนะ”
“ใช่”
“ทำไม” น้องมันยกมือขึ้นมากอดอกเอาไว้เหมือนพยายามกดดัน
“รถกูก็มี..พ่ออุตส่าห์ยอมให้เอามาใช้”
“ก็ใช้วันที่เรียนไม่ตรงกับผม” ว่าแล้วก็ใช้สายตาจ้องผมไปด้วย “ไม่ก็ใช้รถพี่”
“...”
“ถ้าจะอ้างว่ากลัวเปลืองน้ำมันรถผม”
“กู..”
“พี่เป็นอะไร” น้องมันขมวดคิ้ว “บอกผมมาตรง ๆ ดีกว่า”
ผมก้มหน้าลง ก่อนจะเอ่ยปากพูดสิ่งที่อัดอั้นใจมาตลอดทั้งวัน น้องมันไม่ได้พูดแทรกหรือแสดงความเห็นอะไรกระทั่งผมพูดจบ จนตอนนี้ผ่านไปหลายนาทีแล้วน้องมันก็ยังเงียบ สีหน้ามันดูวุ่นวายใจ เสียจนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับมือมันเอาไว้
“คบกับผมแล้วพี่รู้สึกอายหรือเปล่า”
“เท่าที่จำได้ กูไม่ได้พูดอะไรที่สื่อความหมายไปในทางนั้นเลยนะ” ผมว่าแล้วปล่อยมือที่จับมือน้องมันเอาไว้ “ถ้ามึงจะคิดว่ากูเป็นคนแบบนั้น..”
น้องมันหลับตาลง ก่อนจะส่งยิ้มที่ดูฝืน ๆ มาให้ “อย่าเพิ่งโมโหสิครับ”
“...”
“ผมแค่อยากให้เราคุยกันเท่านั้นเอง” ว่าแล้วน้องมันก็เป็นฝ่ายยื่นมือมาจับผมเอาไว้บ้าง “ผมอยากรู้จักพี่ เหมือน ๆ กับที่อยากให้พี่รู้จักผม”
“...”
“เราจะได้เข้าใจกัน และลองปรับตัวเข้าหากันไงครับ”
ผมพยักหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะเอ่ยปากขอร้องซ้ำในสิ่งเดิม นั่นคือให้น้องมันแสดงความใส่ใจผมให้น้อยลงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แบ่งเวลาไปอยู่กับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับตัวเองบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ขลุกอยู่กับผมอย่างนี้
น้องมันยอมรับปากหลังจากต่อรองกับผมได้สักพัก โดยหนึ่งในเงื่อนไขที่น้องมันใช้แลกเปลี่ยนกับผมก็คือการให้ผมย้ายลงไปอยู่กับน้องมันที่ห้อง ผมลังเลอยู่นานแต่ก็ยอมตอบตกลงไปในที่สุด
เพราะมันไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย ในเมื่อตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้ว..
Ma-NuD_LaW
วัยใกล้เคียงจริง ๆ แหละ
(จะ 28 คร้าบบบบ)
ขอบคุณทุกความเห็นน้าาาาา 