31.บิ๊กมาอาศัยอยู่ที่บ้านผมตลอดช่วงปิดเทอมเป็นหนที่สอง แต่คราวนี้มันต้องช่วยผมเลี้ยงเด็กเป็นการตอบแทน บิ๊กมันเข้ากับน้องบัวได้ไวมาก เรียนรู้การแสดงออกของน้องบัวได้อย่างรวดเร็วเสียจนคนที่มาฝึกเลี้ยงล่วงหน้าน้องมันมาอย่างผมยังต้องอาย ที่จนป่านนี้ยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเสียงร้องแบบไหนคือแสดงออกว่าน้องต้องการอะไร
“ไม่ได้เรื่องจริง ๆ นะเรา” ผมหันไปมองแม่เมื่อได้ยินอย่างนั้น “ดูบิ๊กสิ ทำอะไรให้น้องได้ตั้งหลายอย่างแล้ว”
“ก็เพราะมันมาแย่งผมทำไง ผมเลยทำอะไรไม่คล่องอย่างนี้”
“ไม่เกี่ยวเลย..” แม่ว่าแล้วส่ายหน้าไปมาเบา ๆ “ดูอย่างมีนสิ นาน ๆ มาทีก็ยังทำอะไรให้น้องได้คล่องกว่าเรา”
“ก็มีนเรียนหมอ”
“แน่ใจเหรอว่านั่นคือเหตุผล”
พอเถียงไม่ได้ ผมเลยเดินหนีกลับมานอนอ่านหนังสือเล่นที่ห้อง ปล่อยให้บิ๊กมันช่วยแม่เลี้ยงน้องต่อไปคนเดียวอย่างนั้น ก่อนจะโผล่หน้าออกไปมองนอกหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงดังโหวกเหวก ผมเพ่งมองรถตู้สีขาวที่จอดอยู่ตรงหน้าบ้านของมีน มองดูเพื่อนผู้หญิงผู้ชายสี่ห้าคนที่ยืนคุยทักทายกับเขาอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน แล้วสายตาก็ไปสะดุดอยู่กับผู้ชายหน้าหวานตัวเล็ก ๆ คนนั้น
คิว..
ดูจากไกล ๆ ผมก็รู้ว่ามีนมีท่าทางอึดอัดที่เห็นว่าผู้ชายคนนี้เดินทางมาด้วย เพราะบรรยากาศรอบตัวเขาดูหม่นลงไปทันที และท่าทีนั้นคงจนชัดเจนมากเสียจนพอจะทำให้คน ๆ นั้นมีท่าทีหงอยเหงาลงตามไปด้วย ผมวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ ทรุดตัวลงนั่งได้ก็ฟุบหน้าลงบนแขนของตัวเองแล้วหลับตาลงนิ่ง ๆ
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างนี้ก็ไม่รู้
“เราไม่ชอบให้มีนไปคุยกับเปิ้ลเลย”
“ทำไมทุกคนต้องล้อว่ามีนกับเปิ้ลเป็นแฟนกันด้วย”
“มีนอย่าคุยกับเปิ้ลอีกได้ไหม”ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นตัวเองรู้สึกแบบไหน หนักกว่านั้นคือจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนชื่อเปิ้ลหน้าตาเป็นยังไง ผมรู้แค่ว่าเปิ้ลคือเพื่อนคนแรกในห้องที่มีนคุยด้วยนอกจากผม เด็กผู้หญิงที่ดูเลือนลางมากในความทรงจำคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับดินน้ำมันสองก้อนในมือ เธอยื่นก้อนดินน้ำมันสีเขียวมาให้ผม ก่อนจะยื่นก้อนสีแดงให้กับมีนพร้อมกับเอ่ยถามชื่อ ตอนนั้นผมจำได้ว่าตัวเองยกมือขึ้นปัดก้อนดินน้ำมันพวกนั้นทิ้งทันทีที่ได้ยินเสียงเขาตอบชื่อตัวเองไป ก่อนจะดึงมือขึ้นให้เดินตามผมออกมานอกห้องเรียนทันทีเพื่อให้พ้นจากตัวเธอ
มีนไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยตอนผมทำอย่างนั้น เขาก็แค่เดินตามแรงดึงของผมออกมาเงียบ ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างผมตรงหลุมทรายใกล้เสาธง ใช้มือเกลี่ยดินทรายไปมา แล้วก่อมันขึ้นมาเป็นปราสาทแบบง่าย ๆ เท่าที่เด็กวัยอนุบาลอย่างเราจะทำได้ ไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเธอผุดขึ้นมาจากความทรงจำของผมอีกนอกเหนือจากนั้น เช่นเดียวกับที่มีนไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะทำความรู้จักกับใครอีกเลย อย่างน้อย ๆ ก็ต่อหน้าผม
แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงได้มีเพื่อนมากมายอย่างนั้นได้ล่ะ ?
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสำนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหน ที่เอาแต่กักขังเขาไว้แต่กับตัวเองอย่างนั้น มีนไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะห้ามไม่ให้ผมคบหรือคุยกับใครเลย ตรงกันข้ามกับผมที่จะแสดงท่าทีก้าวร้าวทุกครั้งที่มีนหันไปคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง
นี่เขาทนอยู่กับคนเห็นแก่ตัวอย่างผมมานานขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?
“นึกว่าหลับอยู่ซะอีก” ผมเหลือบตามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ก่อนจะฟุบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้ง “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“...”
“พี่เบลล์”
“อยากนอน”
ได้ยินเสียงน้องมันหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเดินมาจูงแขนผมไปนอนที่เตียง ผมปล่อยให้น้องมันจัดแจงท่านอนให้ ก่อนจะพยักหน้าสองสามครั้งเมื่อน้องมันบอกว่าจะกลับไปช่วยแม่ดูน้องบัวต่อ ผมนอนลืมตามองเพดานเงียบ ๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในใจไป ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วลงมาเดินเล่นในสวน เดินวนไปมาได้สองสามรอบก็ตัดสินใจเดินข้ามประตูเข้าไปในเขตบ้านของเขา ดูดอกไม้ในสวนเขาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแม่มลเรียกให้เข้าไปข้างในเมื่อมองเห็นผม
ผมไม่ได้พูดอะไรเลยตอนที่พวกเพื่อน ๆ ของเขาหันมามอง ไม่แม้แต่จะยิ้มทักทายอะไรเลยด้วยซ้ำ แม่มลเองก็แค่ส่งยิ้มให้ทุกคนเหมือนจะบอกให้ทำตัวตามสบาย ก่อนจะจูงมือผมเดินต่อเข้ามาในครัว แล้วจัดแจงแบ่งกับข้าวที่ทำไว้เพื่อให้ผมเอากลับมาให้แม่ที่บ้าน ปากก็พร่ำบ่นไปเรื่องที่ผมไม่แบ่งเวลามานั่งคุยกับท่านเหมือนเมื่อก่อน ผมเลยรีบขอโทษขอโพย ก่อนจะกอดอ้อนเหมือนอย่างทุกครั้ง แล้วสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นคนที่ยืนจ้องมาอยู่ตรงทางเดินไปห้องน้ำ
คิวจ้องหน้าผมนิ่ง..ไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดหรือไม่ชอบหน้าอะไร แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนว่ามันยังมีอะไร พอเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักเพยิดหน้าไปทางประตูหลังบ้าน ผมเลยอ้างกับแม่มลว่าอยากเข้าห้องน้ำ แล้วเดินตามคิวออกมาด้านนอก
“มีอะไร” ผมถามเมื่อเขาเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมพูดอะไรทั้งที่ผมก็ยืนรอมานานเกือบนาทีแล้ว “คิว..”
“เรามีเรื่องอยากขอร้อง” ผมเลิกคิ้วอีกครั้งเมื่อได้ยินอย่างนั้น “เรื่องมีน..”
“...”
“เรารู้มาว่ามีนกับเบลล์ไม่ได้กลับมาคบกัน”
“แล้วยังไง”
“เราอยากจะขอร้องให้เบลล์เลิกติดต่อกับมีนซะ” เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เหมือนกำลังเรียกความกล้า “เราคิดว่าถ้าเบลล์ไม่สนใจ มีนอาจจะตัดใจแล้วหันมามองเราบ้าง”
ผมแค่นยิ้ม รู้สึกหงุดหงิดกับการกระทำของคนตรงหน้า “อีกอย่างตอนนี้เบลล์กับบิ๊ก..”
“เราไม่ได้มีอะไรกับน้องมัน” ผมพูดแทรกขึ้นมา “พอ ๆ กับที่ไม่ได้มีอะไรกับมีนแล้ว”
“...”
“เพราะงั้นอยากจะทำอะไรก็ทำ..” ว่าแล้วก็เตรียมจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน “พยายามด้วยตัวเองต่อไป และอย่ามาขอร้องอะไรไร้สาระแบบนี้กับเราอีก”
“...”
“มันน่ารำคาญ”
น้ำตาคิวร่วงลงมาทันทีที่ผมพูดประโยคนั้นจบ ผมไม่ได้คิดจะแยแสอะไร ทั้งไม่นึกสงสารเลยด้วยซ้ำ กระทั่งพอหันกลับมาแล้วเจอว่ามีเพื่อนของเขายืนเกาะประตูมองพวกเราอยู่สองคน คิววิ่งปิดหน้าร้องไห้ผ่านตัวผมไป ก่อนที่ผมจะถูกพวกเพื่อนของเขามองด้วยสายตาตำหนิอย่างรุนแรง
ผมจ้องมองกลับไปเมื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พวกเขาก็ยังคงมองผมด้วยสายตาไม่ชอบใจ สุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายละสายตาลงมาก่อนที่จะเดินกลับเข้ามาบอกลาแม่มล แล้วยกหม้อกับข้าวเดินกลับมาที่บ้านของตัวเอง ในหัวก็นึกหาเหตุผลของการกระทำของคิวไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบอะไรเลย
ตลอดสองสามวันที่พวกเพื่อน ๆ ของเขามาค้างนั้นผมไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในเขตรั้วบ้านของเขาเลย มีบ้างที่จะบังเอิญสบตากับเพื่อนสองคนของเขาที่ถูกจัดให้อยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไรระหว่างผมกับคิวที่ริมรั้ว แต่ต่างฝ่ายก็แค่มองผ่านกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนวันสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะกลับกัน
วันนั้นแม่มลใช้ให้ผมกลับมาเอาข้าวของที่ซื้อมาให้น้องบัวที่บ้าน เพราะมัวแต่ง่วนช่วยแม่ผมทำขนมอยู่ในครัว ผมเดินลัดประตูเล็กมาเพียงคนเดียวเมื่อบิ๊กมันติดอุ้มน้องกล่อมน้องนอนเมื่อพี่เลี้ยงขอลากลับไปบ้านครึ่งวัน เดินเลาะมาทางประตูด้านหลังเมื่อคิดว่าไม่อยากจะเจอกับพวกเพื่อน ๆ ของมีน แต่แล้วก็ดันเจอคิวกับเพื่อนอีกสามคนกำลังจัดน้ำจัดขนมอยู่ในครัว ผมแสร้งทำมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านเข้ามาข้างใน แต่ก็ถูกคิวเรียกเอาไว้
“เรากำลังจะดูหนังกัน อยู่ดูด้วยกันก่อนสิเบลล์”
ผมหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดิน แล้วหันไปบอกปฏิเสธ “ไม่รบกวนล่ะ เราแค่แวะมาเอาของให้แม่มล”
“งั้นเหรอ..” คิวตีหน้าผิดหวัง “ขอโทษจริง ๆ นะ เราลืมไปว่าเบลล์อาจจะรำคาญ..”
“อะไร” ผมถาม..ไม่เข้าใจว่าทำไมคิวจะต้องทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ “ต้องการอะไรจากเราเหรอ”
“เรา..เรา..”
ผมเลิกคิ้วขึ้น งงหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสายตาของพวกเพื่อนเขาที่มองมา “”เขาไม่อยากดูก็ช่างเขาเถอะคิว”
“...”
“อย่าร้องไห้เพราะคนประเภทนี้เลย”
ผมไล่สายตามองพวกเขาไปทีละคน ในหัวก็นึกหาเหตุผลของการกระทำเหล่านี้ แต่ก็หาเหตุผลดี ๆ ไม่ได้เลยสักข้อ สุดท้ายเลยทำได้แค่เก็บความรู้สึกอึดอัดพวกนั้นเอาไว้ในใจ แล้วเดินกลับออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ขึ้นไปหยิบของที่แม่มลสั่งให้มาเอา
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครหนึ่ง ในนิยายน้ำเน่าสักเรื่องเลย..
ผมทนเก็บความอึดอัดใจเอาไว้อย่างนั้นจนกระทั่งเย็น ขนาดกำลังเดินเล่นย่อยอาหารอยู่กับบิ๊กก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลย ผมปล่อยให้น้องมันจูงมือเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสระบัว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเอาเท้าแช่น้ำอยู่ที่ท่าน้ำรอเวลาให้ฟ้าค่อย ๆ มืดลงไป
ไม่มีบทสนทนาอะไรเลย มีเพียงแค่เสียงลม เสียงธรรมชาติรอบ ๆ ตัวดังอยู่..
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหันไปมองคนถาม “ดูท่าทางพี่แปลก ๆ ตั้งแต่เที่ยงแล้ว”
“แค่เรื่องไร้สาระ” ผมบอกปฏิเสธไป “ไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้ามันไร้สาระจริง พี่จะเก็บเอามาคิดทำไมจริงไหม”
ผมหัวเราะให้กับคำถามนั้น ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น “กลับเถอะ”
“ไม่อยากบอกก็ตามใจ” น้องมันยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็ยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ “กลับกันนะครับ”
เราเดินจูงมือกันมาเรื่อย ๆ ขณะที่ฟ้าก็กำลังมืดลงไป ผมปล่อยสติตัวเองให้ลอยไปตามความคิดฟุ้งซ่านในหัว ไม่นึกห่วงว่าจะเผลอล้ม หรือเดินไปชนอะไร เพราะมั่นใจว่าน้องมันจะคอยดูแลอยู่ กระทั่งมาเจอใครอีกคนเข้าที่ริมรั้วใกล้ประตูเชื่อม
“มีน..” เขาไม่พูดอะไร ทำแค่ยืนมองฝ่ามือที่จับกันของผมกับบิ๊ก “มีอะไรหรือเปล่า”
“...”
“กลับเข้าบ้านไปก่อนไป..” ผมบอกแล้วจะดึงมือออก แต่น้องมันกลับจับแน่นขึ้นไม่ยอมปล่อย “บิ๊ก..”
“ปล่อยเบลล์”
ผมเหลือบตามองมือที่ยืนมารั้งข้อศอกผมเอาไว้ “มีน..”
“พี่นั่นแหละปล่อย” เสียงน้องมันพูดลอดไรฟัน
“จะทำอะไรกัน” ผมว่าแล้วพยายามยื้อตัวเองออกให้ห่างจากทั้งมีนและบิ๊ก “ปล่อย”
“...”
“เป็นบ้าอะไรกัน !” ผมหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกแย่ที่ต้องมาอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ “บอกให้ปล่อยไง !”
ไม่มีใครใส่ใจคำพูดของผม แถมยังพยายามยื้อแขนผมไปมาไม่ยอมหยุด “มีน ! บิ๊ก !”
“มีนปล่อย !”
สาบานว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะเลือกใครเลย แต่เพราะเพียงแค่ว่าผมเลือกจะเรียกชื่อของเขาออกมาก่อน ก็ทำให้เขาทึกทักเอาเองว่าผมเลือกแล้ว จนหันมาระบายความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจใส่ผมทันที “ทำไม ! หรือเพราะคบกับมันแล้ว”
“เออ !” ผมหันกลับมามองน้องมันที่จู่ ๆ พูดเอาเอง “รู้แล้วพี่ก็ปล่อยพี่เบลล์คืนมาให้ผมสักที”
“ไอ้บิ๊ก..”
“อย่างนี้เองเหรอ..” เขาพึมพำขึ้นมา ก่อนจะคลายแรงมีบีบแขนผม “ง่าย ๆ อย่างนี้เองเหรอ”
ผมหันไปจ้องเขา นึกโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ง่ายเหมือนที่มีนเคยทำไหมล่ะ”
“เบลล์ !”
“หรือจะเถียงว่ามันไม่จริง” ผมส่งยิ้มเยาะ ๆ ไปให้ ก่อนจะพูดต่อ “ขอบคุณที่ช่วยให้มันง่าย”
ผมหันไปมองหน้าบิ๊ก “เป็นแฟนกันไหม”
“พี่เบลล์..”
“หรือมึงไม่ชอบกูแล้ว” เห็นน้องมันส่ายหน้า ผมเลยพูดต่อ “งั้นก็คบกัน..”
“...”
“จากนี้ไปกูจะค่อย ๆ รักมึง”
ถึงผมไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ประชด แต่ก็คิดว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่หรอก..
Ma-NuD_LaW
หายไปหลายวันเพราะป่วยนิดหน่อย (เผื่อบางคนไม่ได้ตามเพจ ขอแก้ตัวซักหน่อย)
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะครับ 