5.“นิติรัฐ นิติธรรม..” ผมหันไปมองบิ๊กที่กำลังนั่งพึมพำอะไรสักอย่าง “มันต่างกันยังไงวะพี่”
ผมหัวเราะออกมาหลังจากเข้าใจสาเหตุของอาการบ่นงึมงำของมัน ก่อนจะหันหน้าไปนั่งอธิบายให้น้องมันฟังอย่างจริงจัง บิ๊กเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ผมไม่เคยต้องเสียเวลามาพูดซ้ำ หรือพยายามนึกหาตัวอย่างอะไรมาบอกเพื่อให้มันได้เข้าใจ เพราะอย่างนั้นผมเลยไม่รู้สึกรำคาญอะไรถ้าจะมีมันมานั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วย
“สงสัยอะไรอีกปะ”
“ไม่แล้วครับ”
“...”
“พี่เบลล์อย่าเพิ่งรำคาญความโง่ของผมน้า”
นี่คือนิสัยอีกอย่างหนึ่งของบิ๊กคือมันเป็นคนชอบอ้อน อ้อนทุกอย่างทุกเรื่องไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน และนั่นทำให้หลายครั้งที่ผมเผลอยอมอ่อนไปตามลูกอ้อนของมันอย่างไม่รู้ตัว ยังดีที่น้องมันรู้จักขอบเขตของการกระทำตัวเองอยู่บ้าง ถึงไม่เคยมีเรื่องอะไรให้เราต้องมาทะเลาะกันทีหลัง
“จบบทนี้ลงไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหมครับ หรือจะสั่งอะไรขึ้นมากินดี”
ผมนิ่งคิดไปตามคำพูดของมัน ก่อนจะตอบ “เดินไปตลาดนัดซอยตรงข้ามดีไหม เบื่อข้าวร้านใต้คอนโดแล้ว”
“ก็กินมาจะครบอาทิตย์แล้วนี่เนอะ” น้องมันว่าแล้วหัวเราะ “ไปเดินเล่นหาอะไรกินบ้างก็ดี”
“...”
“ไว้สอบเสร็จผมค่อยพาพี่ไปเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยติว”
“...”
“กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ ๆ”
ผมหัวเราะไปกับน้ำเสียงที่เหมือนกำลังหลอกล่อเด็ก ๆ ของมัน ก่อนจะปิดหนังสือลง “ลงไปเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมืด”
“...”
“แวะเอาหนังสือมึงลงไปเก็บที่ห้องก่อนด้วย จะได้ไม่ต้องวนขึ้นมาเอาอีก” ผมพูดดัก “อย่าคิดว่าจะได้ตีเนียนค้างห้องกูซ้ำสอง”
“รู้ทันตลอด” พอผมหันไปขึงตาใส่ มันก็เลิกบ่นงุบงิบ แล้วเปลี่ยนมาเป็นยิ้มประจบผมแทน “รีบไปเหอะ เดี๋ยวพี่เบลล์หิว”
ประโยคสุดท้ายนี่ไม่ใช่การอ้อน ควรเรียกประจบมากกว่า
“น้ำจิ้มอร่อยมากเลยนะครับเนี้ย”
ผมยืนมองแม่ค้าหยิบลูกชิ้นเพิ่มใส่ถุงให้น้องมันอีกสองไม้เป็นของแถมด้วยความรู้สึกเฉย ๆ หลังจากเห็นลูกอ้อนที่น้องมันงัดออกมาใช้กับสี่ห้าร้านที่เพิ่งเดินผ่านมาแล้ว
ต้องยอมรับว่ามันมีพรสวรรค์ด้านนี้จริง ๆ
“หูยแม่ ยำรวมมิตรน่ากินมากเลยครับ” ผมถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว เพื่อที่จะได้ยืนมองมันอ้อนแม่ค้าชัด ๆ “ปลาหมึกดูสดมากเลย”
“ซื้อของเป็นนี่เรา ถึงรู้ว่าปลาหมึกร้านแม่ยังสด” แม่ค้าร้านยำติดกับดักมันไปแล้วเต็ม ๆ
“ช่วยแม่ถือของเวลาไปตลาดบ่อยครับ ปลาหมึกนี่ของชอบด้วยเลยยิ่งสังเกต”
“...”
“ผมชอบกินหนวดมันอะครับ อร่อยกว่าส่วนอื่น”
แล้วป้าแม่ค้าก็บรรจงคัดเฉพาะส่วนหนวดมันมาลวกเน้น ๆ ก่อนจะใส่ลงไปคลุกกับน้ำยำให้ จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา น้องมันเลยรีบสะกิดให้ผมหยุด เหมือนกลัวแม่ค้าจะรู้ทัน
“อย่าขำดิพี่”
ผมพยักหน้าให้ พยายามกลั้นยิ้มอย่างเต็มที่ “เดี๋ยวไปอ้อนร้านไก่ทอดให้กูด้วย”
“จัดให้”
แล้วพวกเราก็ได้ของกินที่อัดแน่นไปด้วยของแถมแทบจะทุกถุงทั้งที่เดินยังไม่ทันทั่วตลาด ผมเลยชวนน้องมันมาหาที่นั่งกินเลย เพราะขืนเดินต่อของกินคงล้นมือจนกินไม่ไหว สุดท้ายก็ตกลงกันที่จะมานั่งกินตรงม้านั่งริมน้ำในสวนสาธารณะใกล้คอนโด ซึงต้องเดินเลยไปอีกสองซอย
“ขากลับกว่าจะเดินถึงห้องไม่หิวอีกเหรอพี่”
“กินขนาดนี้มึงยังจะหิวอีกเหรอ” ผมถามแล้วมองซากถุงที่น้องมันกำลังทยอยเก็บ “กระเพาะหรืออะไร”
“ผมนอนดึกนะ”
“ก็ไม่ต้องเล่นดิเกมส์ จะได้ไม่ต้องหิว”
“ยากอะ”
“แล้วแต่มึงเลยงั้น”
ผมส่ายหัวอย่างระอา แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในเมื่อที่ผ่านมาผมยังเคยติดเกมส์หนักจนอดหลับอดนอน ลืมกระทั่งว่าควรกินข้าวตอนหิวด้วยซ้ำ
“รีบกลับเหอะ มืดแล้ว”
เราพากันเดินกลับมาที่คอนโด ก่อนที่ผมจะเดินแยกกลับมาก่อนหลังจากน้องมันขอแวะร้านสะดวกซื้อหาขนมหาอะไรไปกินตอนดึก ๆ แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังยืนลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนกำลังแอบมองอะไรอยู่ พอไล่สายตามองตามไปด้วยผมก็ถึงกับรู้สึกเหมือนตัวกำลังจะชาขึ้นมา
มีนกำลังจูบกับผู้ชายคนนั้นในรถ..
ผู้ชายหน้าหวานที่เขาคบในสถานะแฟนคนนั้น..
ผมยืนนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นนานพอสมควร ก่อนจะรีบเดินหลบหลังเสาเมื่อเห็นพวกเขาพากันลงมาจากรถแล้วเดินโอบกันไปที่ลิฟต์ ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งเต้นแรงหนักขึ้นไปอีกเมื่อนึกภาพตามว่าเขาจะรีบขึ้นไปทำอะไรกันต่อที่ห้อง
“อึก..อึก..”
ผมสะอึกออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นมาทุบออกตัวเองแรง ๆ ซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการปวดหนึบที่หน้าอกมันดีขึ้น สุดท้ายก็หมดแรงจนต้องทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น
“พี่..” ผมเงยหน้าขึ้นมองบิ๊ก “พี่เบลล์..”
“...”
“เฮ้ยพี่ ทำไมหน้าซีดขนาดนี้”
ผมหัวเราะไปกับคำถามของบิ๊ก..
หัวเราะอยู่อย่างนั้นทั้งที่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมา..
“พี่เบลล์ พี่..” บิ๊กทิ้งถุงขนมในมือทั้งสองข้าง ก่อนจะวิ่งเข้ามาประคองหัวผมเอาไว้ไม่ให้ฟาดลงไปกับพื้น “พี่..”
ผมยกมือขึ้นมาโบกเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะขยับลุกขึ้นมานั่ง พยายามทรงตัวด้วยตัวเองอีกครั้ง “ไม่มีอะไร..”
“...”
“กูกลับห้องละ..”
“แต่พี่..”
“กูโอเคน่า”
เมื่อกี้มันก็แค่หมดแรง..
และที่หมดแรงก็เพราะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น..
“ให้ผมไปส่งที่ห้อง..”
ผมส่ายหัว ยกมือไม้ขึ้นปัดไปมาบนอากาศ “ไม่ต้อง..”
“พี่..”
“กูไปเองได้..เชื่อสิว่ากูไหว..”
“แต่..”
“ขอร้องละ..” ผมก้มลงไปหยิบถุงขนมของน้องมันที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะยื่นมันกลับไปให้พร้อมรอยยิ้ม “ขอบใจมาก”
ผมยืนพิงพนังมองตัวเลขที่กำลังขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเดินออกมาเมื่อประตูเปิด ตลอดทางที่เดินสายตาก็เอาแต่จับจ้องไปที่บานประตูห้องของเขาแทนที่จะเป็นของตัวเอง สุดท้ายก็เดินเลยมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องเขาจนได้
ผมจะทำอะไร..
มายืนอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร..
“งี่เง่า” ด่าตัวเองไปซ้ำ ๆ อย่างนั้น ขณะเดินกลับมาไขเปิดประตูห้องตัวเอง “อย่าล้ำเส้น..”
ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เกิดจากการตัดสินใจของผม..
ผมเป็นคนเลือกเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ..
“แต่เราไม่รู้ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้”
แล้วผมก็เลือกจะทิ้งเหตุผลทุกอย่าง ก่อนจะปิดประตูวิ่งออกจากห้องตัวเองมากระหน่ำทุบประตูห้องเขา ตะโกนเรียกเขาจนสุดเสียงของตัวเอง ใช้มือที่กำลังสั่นอย่างหนักบิดลูกบิดประตูซ้ำ ๆ อย่างนั้นจนกระทั่งมันเปิดออก
ผมยืนนิ่ง มองกระดุมเสื้อที่หลุดลุ่ยไปหลายเม็ดของเขา ก่อนจะเหลือบตามองใครอีกคนที่นั่งหอบอยู่ที่โซฟาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ผมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร หนักกว่านั้นคือไม่ได้โง่จนคิดไม่ออกว่าการที่ผมทำอย่างนี้จะยิ่งทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน
และผมก็ไม่ได้กำลังขาดสติจนยั้งตัวเองไม่ให้หยุดทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ไม่ได้ เพราะแบบนั้นทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ผมล้วนแล้วแต่ตั้งใจจะทำมันเองทั้งนั้น..
“มีอะไร”
“กูจะมาเอาแผ่นเกมส์” ผมใช้คำพูดแทนตัวเองด้วยคำหยาบคาย ทั้งที่เราเคยให้สัญญากันไว้ว่าจะพูดจากันด้วยความไพเราะ “เสร็จแล้วก็จะไป”
เห็นเขาไม่ว่าอะไร ผมเลยถือวิสาสะเดินเข้ามารื้อค้นลิ้นชักโต๊ะหนังสือของเขาที่เคยมีไว้ให้ผมใช้ แกล้งรื้อวนไปมาสองสามชั้นอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก่อนจะเดินหาไปทั่วห้อง หยิบจับข้าวของที่เคยใช้ร่วมกันทิ้งลงบนพื้นอย่างตั้งใจ
เขาไม่ปริปากพูดหรือต่อว่าอะไรผมออกมาเลยสักคำ ทั้งที่ผมกำลังทำตัวเหมือนคนบ้าทำลายข้าวของในห้องเขาต่อหน้าต่อตา
“มีน..” ที่สุดก็เป็นคนอื่นที่อดรนทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายพูดออกมา “เรากลับก่อนดีกว่า”
“โทษทีนะคิว”
หนุ่มหน้าหวานเจ้าของชื่อส่งยิ้มไปให้เขา ไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่มันมาให้ผมด้วย “ไปก่อนนะเบลล์”
“อืม..”
สิ้นเสียงตอบรับของผม คิวก็หยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
เพล้ง !ผมขว้างตุ๊กตาเซเรมิครูปแมวที่เขาเคยบอกว่าซื้อมาให้ผมลงไปที่พื้นทันทีที่ประตูห้องปิดสนิท ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทุบอกเขาแรง ๆ หลายครั้ง
“กูเกลียดมึงจริง ๆ มีน”
“...”
“ทำไมมึงถึงเลวได้ขนาดนี้”
สาดคำพูดหยาบคายและทำร้ายเขาเพื่อระบายอารมณ์ตัวเองจนพอใจก็เดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ก่อนจะปล่อยน้ำตาหยดแรกออกมาหลังจากแน่ใจว่าคงไม่มีใครได้เห็นมันแล้วออกมา
สุดท้ายเขาก็ยังเป็นเขา..
เขาที่ไม่เคยคิดจะแก้ตัวหรือทำเอาไรเพื่อเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้..
“นั่นมันแปลว่าไม่รักไม่ใช่เหรอ”
ผมถามตัวเองซ้ำ ๆ อย่างนั้น จนกระทั่งหลับไป..
Ma-NuD_LaW
หายไปเมาเป็นเพื่อนมีนมา ทำใจไม่ได้เห็นคนอ่านรักแต่น้องบิ๊ก
ตอบคุณ B52 เรื่องนี้แนวหวานแหวว น่ารักมาก ไม่หน่วงเลยเห็นไหม
สุดท้ายขอบคุณทุกความเห็นนะครับ