[Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14  (อ่าน 203085 ครั้ง)

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
สงสารเชนจัง

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
44
สลาย
 
               
ช่วงนี้ผมออกจากบ้านบ่อยกว่าปกติเพราะความกดดันที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน
               
บ้านเงียบลงไปถนัดตาหลังจากวันที่เชนมา ผมกับพ่อไม่ได้มีปากเสียง หรือทำเลาะกันรุนแรงอย่างที่ควร... ซึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
               
มันคือสงครามประสาทที่เกิดขึ้นเป็นประจำมาตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มมีความคิดขัดแย้งกับพ่อ มันอาจเป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยที่เกิดขึ้นได้ในหลายๆ ครอบครัว ผมไม่รู้ว่าคนอื่นรับมือกับมันยังไง แต่สำหรับผมกับพ่อ เราต่อกรกันด้วยความเงียบ...ซึ่งดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปทุกที 

ช่วงเวลาที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ในบ้าน ก็คือตอนที่ผมตื่นเช้ามาเข้าครัวกับแม่ และก่อนมื้อเย็นที่ผมได้เจอและโทรคุยกับเชน พ่อเองก็อาจจะไม่ต่างกัน เวลาที่ท่านไม่รู้สึกหงุดหงิดใจเมื่ออยู่ในบ้าน ก็คงเป็นตอนที่ไม่ต้องเห็นหน้าผม
               
ดังนั้นระหว่างวันผมจึงเลือกที่จะออกไปข้างนอก ตระเวนไปทั่วเมืองท่ามกลางแดดร้อนๆ เพื่อสเกตภาพสถาปัตยกรรมสวยๆ และวิเคราะห์มันตามวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา การเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการลากเส้นลงไปในสมุดสเกตเป็นชั่วโมงๆ ช่วยให้ผมลืมเรื่องเครียดๆ ได้บ้าง แต่เมื่อแสงแดดหมดไป มันเหมือนกับการดูภาพยนตร์ที่ต้องมีเวลาฉายจบ และผมต้องกลับไปพบกับความจริงอันน่าเจ็บปวดอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา
               
ผมต้องกลับไปเจอสายตาทิ่มแทงของพ่อ ที่มักจะมีประเด็นใหม่ๆ ยกขึ้นมาประชดประชันผมเสมอ อันที่จริงผมควรจะชินได้แล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ไม่เลย... ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน
               
ยิ่งเราเย็นชาใส่กันเท่าไหร่ ผลร้ายมันไม่ได้เกิดกับผมคนเดียวอีกต่อไป
               
ยังมีเชน ที่ต้องรับผลกระทบจากสงครามประสาทงี่เง่านี่ด้วย... ทั้งๆ ที่เขาไม่มีความผิดอะไรเลย
               
ผมไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไป แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำยังไงให้พ่อที่เป็นผู้ใหญ่หัวดื้อยอมฟังคำพูดของผม สักนิดก็ยังดี
               
กริ๊งง~
               
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าแผดเสียงลั่นขึ้นมาขณะที่ผมกำลังนั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้สระน้ำในสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน ผมหยิบมันออกมาดูเบอร์โทรเข้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
               
[ อยู่บ้านหรือเปล่า ] ไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยทักทาย ปลายสายก็ยิงคำถามห้วนๆ มาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแสนคุ้นเคยทันที
               
“เปล่า มีอะไรเหรอ?” ผมถามกลับด้วยความแปลกใจ

ปกติเชนไม่โทรมาเวลานี้ เพราะวันปกติเขาอยู่แต่ในออฟฟิศเพื่อฝึกงาน เลยไม่ค่อยได้สนใจแตะมือถือนัก
               
[ อยู่ไหน เดี๋ยวไปหา ] คำตอบสั้นห้วนจากเขา ทำให้ผมขมวดคิ้วงุนงงมากกว่าเดิม
               
“เลิกงานแล้ว?” ผมมองนาฬิกา มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆ เองนี่นา
               
[ วันนี้ยัยแม่มดใจร้ายให้ออกมาทำงานข้างนอก ] ผมยิ้มขำออกมาทุกทีกับสรรพนามร้ายกาจที่เขาตั้งให้พี่ริบบิ้นอย่างเด็กเอาแต่ใจ
               
“แล้วนี่ทำเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามกลั้วหัวเราะ แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมา
               
[ เปล่า กำลังจะไปทำต่างหาก ] ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดนักเลยได้แต่เงียบ จนกระทั่งเชนถามขึ้นมาอีกรอบ [ ตกลงว่าอยู่ไหน ]
               
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน” ผมบอกไป แล้วใช้กระเป๋าต่างหมอนเอนหลังลงไปบนพื้นหญ้ามองท้องฟ้าลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ร่มเงาลงมา
               
[ เดี๋ยวไปหา ] เชนพูดแค่นั้น ก่อนที่สายจะตัดไป
               
ไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมาขณะที่ผมกำลังนอนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม เงาของร่างสูงที่คุ้นเคยก็มายืนค่ำหัวผมซึ่งคลี่ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อคมในมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
               
ขนาดมองมุมเสยยังหน้าตาดีขนาดนี้ได้ไง ยังเป็นคนอยู่มั้ยครับ ผู้ชายคนนี้
               
“ทำไมมาเร็วจัง” ผมอดถามไม่ได้เพราะเจ้าตัวเพิ่งวางสายได้แป๊บเดียว แถมที่น่าสงสัยกว่าคือเขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ตรงนี้ทั้งที่ยังไม่ได้บอกพิกัดเลยแท้ๆ
               
“เมื่อกี้อยู่หน้าบ้าน” เสียงทุ้มเอ่ย พลางยกมือขึ้นมาบังแดดที่ส่องหน้าผมไว้ ทำให้ผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยนั้นได้ชัดขึ้น
               
เราสบตาอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานราวกับพยายามจะอ่านความในใจของอีกฝ่าย และผมเชื่อว่าเชนคงจะอ่านผมออกจนหมดเปลือกว่าผมกำลังคิดถึงใบหน้าของเขาที่ไม่ได้เห็นในระยะใกล้ขนาดนี้มากแค่ไหน เช่นเดียวกับที่ผมเองก็เห็นความรู้สึกโหยหาจากดวงตาคู่สวยเช่นกัน
               
แต่ก็สังเกตเห็นอะไรมากกว่านั้น... ประกายความลึกลับบางอย่างที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร เหมือนกับคำพูดไร้ที่มาที่ไปของเขาที่เอ่ยออกมา
               
“เคยอ่านโรมิโอกับจูเลียตมั้ย” ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะหลุดหัวเราะกับประโยคคำถามแปลกๆ ของเขา

“ไม่เคย ทำไมเหรอ” ผมตอบ เชนจึงขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
               
“ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน” ทำไมผมไม่แปลกใจเลยนะที่เขาไม่เคยอ่านนิยายรักน้ำเน่าแบบนั้น
               
ถึงเราจะเคยเปรียบเทียบความรักของตัวเองกับวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของเชกสเปียร์ก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าเราจะรู้จักมันมากไปกว่าสิ่งที่ใครๆ ก็รู้กัน... โศกนาฏกรรมความรักที่สังเวยด้วยชีวิต อะไรทำนองนั้น
               
“แต่ก็น่าจะมีฉากประมาณนี้มั้ง”
               
“หืม? ฉากอะไร” ผมเลิกคิ้วงงๆ
               
เชนยิ้มมุมปากก่อนจะนั่งคุกเข่าลงเหนือหัวผม แล้วโน้มหน้าลงมากดริมฝีปากบนริมฝีปากผมเบาๆ ทำเอาผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ในที่สาธารณะ
               
โชคดีที่ผมเลือกนั่งในที่ที่สงบที่สุด แถวนี้ก็เลยไม่มีคน
               
“ฉากหนีตามกันไง” เขาเลื่อนริมฝีปากมากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะแสยะยิ้มเล็กๆ แล้วลุกขึ้นยื่นมือมาตรงหน้าผมที่ยังคงนอนอึ้งกับการกระทำแสนอุกอาจของเขาอยู่

“ว่าไง”

“...”

“พร้อมจะหนีไปด้วยกันหรือยัง?”




-- มีต่อ --

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
-- ต่อ --

เวลาผ่านไป

ผมไม่คิดว่าคำว่า ‘หนี’ ของเชนจะหมายความว่าเราจะหนีกันจริงๆ จนกระทั่งเขาพาผมขึ้นรถสปอร์ตคันหรูแล่น
ออกมาจากหมู่บ้านออกนอกเมืองออกนอกกรุงเทพฯ มาจนกระทั่งรอบตัวกลายเป็นทิวทัศน์จากต้นไม้เขียวขจีของเขาใหญ่ เขาบอกผมว่าห้ามติดต่อกับใคร หรือบอกว่าผมอยู่ที่ไหนเพื่อที่จะได้เป็นการหนีตามกันที่สมบูรณ์แบบ
           
ผมไม่รู้ว่าควรจะตลกหรือควรจะตกใจดีที่เขาทำเรื่องแบบนี้ด้วยใบหน้าที่แสนจะจริงจังขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่เขาบอกอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ
               
เราขับรถกินลมชมวิวที่ไม่มีให้เห็นในเมืองใหญ่อย่างสบายใจ จนกระทั่งมาถึงบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังเล็กกลางหุบเขาหลังหนึ่ง ซึ่งเชนบอกว่ามันคือบ้านพักตากอากาศของพี่ริบบิ้น
               
ครับ... เอ่ยชื่อขนาดนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วใช่มั้ยว่าเจ้าของแผนการที่แท้จริงเป็นใคร
               
ผมเหวอไปเลยตอนเชนเฉลยว่ามันคือ ‘งาน’ ที่เขาบอกว่าพี่ริบบิ้นให้ออกมาทำก่อนหน้านี้... พาผมหนีออกจากบ้าน จนกว่าพ่อตาจะยอมให้คบกัน (เขาพูดประโยคนี้จริงๆ ครับ สาบาน) และที่เหวอกว่าก็คือการที่เชนบ้าจี้ยอมทำตามคำยุยงของพี่สาวจอมขี้แกล้งของเขาจริงๆ นี่แหละ
               
“หิวหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เราสำรวจบ้านหลังกะทัดรัดนี้รอบหนึ่งเพื่อดูว่าคืนนี้เราจะนอนที่นี่กันได้หรือเปล่า
               
เพราะมากันอย่างฉุกละหุก พี่ริบบิ้นก็เลยไม่ได้ให้แม่บ้านตระเตรียมอะไรไว้ให้พร้อมนัก แต่โชคดีที่ปกติจ้างคนมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องที่นอน จะติดก็ตรงที่ในครัวแทบไม่มีของกินเลยนอกจากน้ำเปล่ากับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไม่กี่ห่อ แถมนี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าไม่ออกไปหาอะไรกินตอนนี้ มืดค่ำขึ้นมาก็คงจะลำบาก เพราะบ้านตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา
               
“เมื่อกี้เห็นตรงทางเข้ามามีตลาด ออกไปหาอะไรกินกันมั้ย จะได้เดินเล่นด้วย” ผมละสายตาจากวิวสวยๆ ตรงหน้าต่างหันไปยิ้มกว้างตอบเขาด้วยความกระตือรือร้นทันที พลางนึกขึ้นมาว่าถ้าได้ของสดมาทำอะไรกินสักหน่อย คงจะเป็นอะไรที่เข้ากับบรรยากาศดีๆ แบบนี้ไม่น้อย
               
เชนชะงักไปนิดหน่อยกับดวงตาที่คงจะฉายประกายตื่นเต้นออกนอกหน้าขึ้นมาให้เห็น เขาคลี่ยิ้มขำกับตัวเองแล้วเดินมาขยี้หัวผมอย่างมันเขี้ยวก่อนจะกดจูบที่หน้าผากผมเบาๆ
               
 “รับทราบครับ”

               
ไม่นานเชนก็พาผมมาถึงตลาดนัดตามที่ผมต้องการโดยไม่อิดออด แม้ว่าลุคของเขาจะดูไม่เข้ากับตลาดสดบ้านๆ แบบนี้เลยแม้แต่น้อย ตอนไปเดินแผนกของสดด้วยกันในห้างว่าว่าลำบากแล้ว ตอนนี้เหมือนผมเพิ่มความลำบากให้เขาไปอีกสักสิบเท่าได้ ผมเพิ่งค้นพบว่าเชนเป็นคุณชายกว่าที่คิด ไม่ได้หมายถึงคุณชายประเภทเจ้าสำอางเจอของติดดินแล้วร้องยี้ใส่อะไรทำนองนั้นหรอกครับ แต่เป็นคุณชายเย็นชาประเภทที่คงจะไม่เคยสัมผัสวิถีชีวิตพื้นบ้านแบบนี้มาก่อนเลยต่างหาก ทำให้เขาดูเงอะงะไปหมด เมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้
               
“ขอโทษครับ” ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยคำนี้ไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้วทั้งที่เรายังเดินไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของตลาดด้วยซ้ำ ผมเห็นเชนเดินชนคนนู้นคนนี้ทั่วไปหมดด้วยความไม่คุ้นชินกับทางสัญจรที่ไร้ซึ่งความตายตัว คนมากมายเดินสะเปะสะปะกวาดตามองหาสิ่งที่ต้องการ แถมด้วยความที่มีแต่คนคุ้นเคย บางคนนึกจะหยุดทักทายกันก็หยุดซะอย่างนั้น จนทำให้เดินลำบากกว่าในห้างหลายเท่าตัว จึงไม่แปลกที่ร่างสูงผิดสเกลชาวบ้านแบบเขาจะเกิดอาการเฟอะฟะขัดกับหน้าตาที่นิ่งขรึมขึ้นมา
               
ผมยิ้มขำเมื่อเห็นเชนเริ่มหน้าเสียที่เดินชนคนอื่นไม่หยุด และถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดีระดับเทพขนาดนี้ เขาอาจจะโดนด่าเละมาตั้งแต่ต้นทางแล้วก็ได้
               
“มานี่สิ” ผมว่า พลางเอื้อมมือออกไปให้เขาจับ
               
ตอนที่แม่พาผมไปจ่ายตลาดด้วยตอนเด็กๆ ก็ชอบทำแบบนี้ เพราะกลัวผมหลง ตอนนี้คงถึงคราวที่ผมจะเอาวิธีนี้มาใช้กับคนตัวโตแต่ไม่ประสีประสากับการจ่ายตลาดบ้างซะแล้ว
               
“เห็นฉันเป็นเด็กหรือไง” เขาขมวดคิ้วบ่นงุ่นง่าน แต่สุดท้ายก็ยอมเอื้อมมือมาจับมือผมไว้อยู่ดี
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะเข้าใจว่าเขาคงจะรู้สึกเฟลไม่น้อยที่ต้องเป็นฝ่ายให้ผมจูงมือ ทั้งๆ ที่ปกติมักจะเป็นฝ่ายลากผมไปไหนมาไหนอย่างเอาแต่ใจ
               
แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถิ่นนี้ผมเหนือกว่านี่นา
               
ทำอิดออดได้ไม่ถึงสิบนาที เจ้าของฝ่ามือหนาก็เริ่มจับมือผมแน่นขึ้นซะอย่างนั้น...
               
ไม่ใช่เพราะกลัวหลง หรือยอมให้ผมจูงแต่โดยดีหรอก แต่เพราะอยากแกล้งเอาคืนที่ผมทำเหมือนเขาเป็นเด็กมากกว่า เพราะการที่เขาไม่ยอมปล่อยมือผมเลยตลอดเวลาการจ่ายตลาด มันทำให้ผมลำบากไม่น้อย ไม่ว่าจะตอนเลือกหมู เลือกผัก หรือแม้กระทั่งตอนรับเงินทอน พอบอกให้เขาปล่อยคนหน้าตายก็ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้จนผมต้องรบกวนแม่ค้าให้หย่อนเงินลงในถุงผักให้
               
แน่นอนว่าต้องแลกกับประโยคเอ่ยแซวที่ดังซะจนคนแทบจะทั้งตลาดต้องหันมามอง
               
ผมอายจนอยากจะแทรกแผ่นดิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะต้องซื้อของต่อและคนเอาแต่ใจก็ไม่ยอมปล่อย ราวกับเห็นความอายเวลาโดนแซวของผมเป็นเรื่องตลก (ตัวเองก็โดน ทำไมไม่รู้จักสะทกสะท้านเลยวะ) จนกระทั่งเราซื้อของจนเสร็จเขาก็ยังคงจับมือผมแน่นอยู่
               
“เอาผลไม้มั้ย?” ผมหยุดถาม เมื่อเรามาถึงหน้าแผงขายผลไม้ใกล้กับทางออกพอดี มันทำให้ผมนึกออกว่าถ้าหากมีผลไม้กินหลังมื้อเย็นก็คงดี
               
เชนพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายจูงมือผมเดินเข้าไปหาแผงผลไม้ซึ้งป้าแม่ค้ายิ้มกว้างรอต้นรับอยู่แล้ว
               
“ชิมได้นะจ๊ะ ส้มหวานๆ จากสวนปลูกเองเลย” คุณป้าเอ่ยเมื่อเห็นผมทำท่าหยิบส้มในกระบะขึ้นมา แถมยังปอกเปลือกยื่นส้มกลีบหนึ่งมาให้ผมชิมเสร็จสรรพ
               
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับส้มมาชิม และพบว่ามันหวานฉ่ำสมคำโฆษณาจริงๆ “เอาส้มโลนึงครับ” ผมสั่ง
               
แต่พอทำท่าจะหันไปเลือกอย่างอื่นต่อ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สะกิดยิกๆ พอผมหันกลับไปก็พบว่าคนเอาแต่ใจกำลังขมวดคิ้วมองมาก่อนจะอ้าปากพร้อมส่งเสียง
               
“อ้า”
               
ท่าทางที่เหมือนเด็กรอป้อนข้าวนั่นทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร จึงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง  ก่อนจะหันไปขอส้มจากป้าแม่ค้าที่ยิ้มขำไม่แพ้กันพร้อมกับยื่นส้มกลีบหนึ่งมาให้ผมป้อนเข้าปากคนที่รออยู่
               
“ปล่อยมือแล้วหยิบกินเองง่ายกว่ามั้ยเนี่ย” ผมแกล้งตำหนิอย่างไม่จริงจัง ขณะที่เชนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เคี้ยวส้มตุ้ยๆ แล้วหันไปพูดกับแม่ค้าแทน
               
“อร่อยครับ” ป้าแม่ค้าหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางเอ่ยแซวไม่หยุดขณะหยิบส้มใส่ถุงให้เราเกินออร์เดอร์ เพราะถูกใจในความขี้อ้อนหน้าตายของเชน 
               
สุดท้ายเราเลยได้วัตถุดิบทำอาหารเย็นพร้อมสรรพ แถมผลไม้อีกเต็มถุงที่เก็บไว้กินได้อีกเป็นวันๆ ในราคาสบายกระเป๋า
               
ซ่า~!
               
แต่ความชิลในการจ่ายตลาดเป็นอันหมดลงทันทีเมื่อระหว่างทางที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถฝนดันตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว ยังไม่ทันจะมองหาที่หลบฝนก็เปียกโชกไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้
               
“ทางนี้” ผมได้ยินเสียงเชนตะโกนฝ่าฝนมา ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะลากผมวิ่งตรงไปยังเพิงเล็กๆ ที่ใกล้ที่สุดเพื่อหลบฝน
               
ผมได้ยินเสียงคนในตลาดวุ่นวายพอสมควร แต่เพราะแต่ละร้านมีร่มและดูเหมือนจะเตรียมพลาสติกมาคลุมของกันอยู่แล้ว เหตุการณ์ก็เลยไม่ได้ดูเลวร้ายนัก

“เปียกหมดเลยอ่ะ” ผมชูของที่เพิ่งซื้อมาให้เชนดู ถึงส่วนใหญ่จะเป็นผักกับเนื้อที่พอจะเปียกน้ำได้ แต่ก็มีเครื่องปรุงและของบางส่วนที่น่าเป็นห่วงอยู่ดี

“ห่วงตัวเองก่อนเหอะ” เชนบ่นกลั้วหัวเราะ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำออกจากหน้าผมแล้วเลื่อนมาขยี้หัวสลัดเอาน้ำฝนออกจากเรือนผมให้เหลือพอหมาดๆ ผมเบ้หน้าก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา และเป็นฝ่ายเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมเปียกๆ ของเขาบ้าง แน่นอนว่าฝนทำอะไรเชนไม่ได้เลย ต่อให้อยู่ในสภาพเปียกซกสะบักสะบอมแค่ไหนเขาก็ยังคงดูดีอย่างน่าอิจฉาเสมอ

“หนาวมั้ย” เขาถามพลางแย่งของในมือผมไปถือแล้วใช้มืออีกข้างโอบไหล่ผมเบาๆ แม้ว่าผมจะส่ายหน้าตอบก็ตาม
ผมหัวเราะพลางขยับเข้าไปใกล้และโอบเอวเขากลับ เพิงที่พวกเราใช้หลบฝนอยู่ไกลจากตัวตลาดพอสมควร ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะวิ่งมาหลบฝนตรงนี้ ทำให้เหลือแค่เราสองคนเท่านั้น เสียงฝนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามันยิ่งตกหนักขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมยื่นมือข้างหนึ่งออกไปนอกชายคาเพื่อสัมผัสเม็ดฝนเย็นๆ แล้วดันนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้

“นี่..." ผมเรียก "ไหนๆ ก็เปียกขนาดนี้แล้ว... เปียกกว่านี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ผมลดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งกำลังมองมาอย่างรู้ทัน

ผมยิ้มถามตัวเองในใจว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้เล่นน้ำฝนโดยไม่กลัวเปียก ผมรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะมาคิดเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ แบบนี้ ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาก็คงจะยิ่งลำบาก แต่ว่าอีกใจมันก็แย้งว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร และมันจะมีความสุขแค่ไหนถ้าได้วิ่งเล่นท่ามกลางฝนเย็นฉ่ำโดยที่ยังคงมีฝ่ามือหนาของเขาคอยเกาะกุมคุ้มครองผมอยู่

แค่คิดก็อดยิ้มกว้างไม่ได้แล้ว

“หึ” พอเห็นสีหน้าผม เชนก็ยิ้มมุมปากออกมาเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร มือที่โอบไหล่ผมอยู่เลื่อนขึ้นไปลูบหัวผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกุมมือผมแน่นพร้อมวิ่งออกไป “เป็นการหนีตามที่มีสีสันดีจริงๆ”
ผมหัวเราะกับประโยคกึ่งประชดประชันนั่น ก่อนจะยอมปล่อยให้ร่างสูงจูงมือผมออกไปจากเพิงเล็กๆ นี้เพื่อสัมผัสกับฝนเย็นฉ่ำโดยไม่สนใจอะไรอีก
 

เราวิ่งฝ่าฝนไปจนถึงรถสปอร์ตคันหรูของเชนเพื่อขับกลับบ้านพัก และเพราะร่างกายเปียกโชกยิ่งกว่าตกลงไปในบ่อน้ำขากลับเชนเลยต้องเปลี่ยนจากแอร์เย็นๆ เป็นเปิดฮีตเตอร์เพื่อให้ร่างกายไม่เย็นเกินไป ไม่นานเราก็กลับมาถึง โยนวัตถุดิบมือเย็นที่เละเทะจนไม่น่าจะทำอะไรได้ไว้ในครัวลวกๆ แล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำอย่างรวดเร็วที่สุด
ปัญหาก็คือ... เราเพิ่งตระหนักได้ว่าเราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนมาเลย... นี่สินะ ความฉิบหายของการหนีตามกันมาแบบไม่คิด

แถมนี่เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของพี่ริบบิ้น ซึ่งเป็นผู้หญิง จึงไม่มีเสื้อผ้าที่พวกเราพอจะใส่ได้เลย ผมภาวนาให้มีเสื้อผ้าของแฟนพี่ริบบิ้นโผล่มาบ้าง แต่ก็ไม่มีสักตัว สุดท้ายพออาบน้ำเสร็จผมก็เลยต้องใช้ชุดคลุมอาบน้ำปิดบังร่างกายของตัวเองไว้ ขณะที่รอเสื้อผ้าตัวเดิมแห้ง เชนเองก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีกรมซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าร่างกายภายใต้ชุดคลุมที่มัดเชือกอย่างลวกๆ นั่น ก็คงจะเปลือยเปล่าไม่แพ้ผม...

อืม ผมว่าผมไม่ควรจะคิดอะไรไปลึกขนาดนั้นนะ ว่ามั้ย

“หึ” ไม่รู้ว่าร่างสูงที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอ่านความคิดบ้าบอของผมออกหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ อยู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายประกายเจ่าเล่ห์อย่างน่ากลัว

“หัวเราะอะไรครับ” ผมพยายามทำน้ำเสียงตำหนิ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าหน้ากำลังร้อนขึ้นมาอย่างรู้สึกได้

“เปล่า” เขาลุกขึ้นมานั่ง วางหนังสือลงข้างตัว “ใส่ชุดนี้แล้วเซ็กซี่ดี” ยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจอีกรอบ

“หุบปากไปเลย” ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง ก็เลยดุเขาแล้วเบือนหน้าหนี พลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมหัวทำทีเป็นเช็ดผมที่เพิ่งสระแต่ความจริงคือกำลังใช้มันปิดบังใบหน้าร้อนๆ ที่คงจะดูตลกของตัวเองต่างหาก

“มานี่สิ เดี๋ยวเช็ดให้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่คนตัวสูงเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิแล้วตบเบาๆ ตรงเตียงว่างๆ ตรงหน้าตัวเอง
ผมเลิกคิ้วมอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะตอนอยู่หอผมก็เช็ดหัวให้เขาเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว คราวนี้จะให้เขาเป็นฝ่ายเช็ดให้บ้างก็คงไม่เป็นไร แล้วเดี๋ยวผมก็คงต้องเป็นฝ่ายเช็ดให้เขากลับ เพราะผมเชนก็ยังไม่แห้งเหมือนกัน

ผมนั่งหันหลังให้เชนและปล่อยมือจากผ้าให้ฝ่ามือหนาทำหน้าที่ขยี้เบาๆ ไปตามเส้นผมเปียกๆ ของตัวเอง

“แล้วทีนี้เราจะกินอะไรกันดี” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ว่าข้าวของที่ซื้อมามันเปียกไปหมด ไม่น่าจะใช้ทำมื้อเย็นได้แล้ว จะให้กินแต่ผลไม้ก็คงไม่พอ เพราะพวกเราก็ผู้ชายทั้งคู่ต่างคนต่างก็กินเยอะแน่นอน

“มาม่าก็ได้” เขาตอบพลางเช็ดหัวให้ผมไปเรื่อยๆ

ผมพยักหน้าเออออ เพราะดูเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ป่าที่เคยเป็นสีเขียวถูกความมืดกลืนกินจนกลายเป็นผืนป่าสีดำไปแล้ว ไฟรอบบ้านที่ติดตั้งระบบจับแสงอัตโนมัติก็สว่างขึ้นมาทำหน้าที่ของมันแม้ว่าฝนจะยังคงตกหนัก

“หิวหรือยัง” ผมถามต่อ กำลังจะหันไปมองหน้าเชน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อถูกริมฝีปากเย็นๆ ของคนที่อยู่ๆ ก็เงียบไปกดลงบนกระดูกสันหลังที่โผล่พ้นขอบคอเสื้อคลุมออกมาจนเผลอสะดุ้ง

“หิวแล้ว” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ลมหายใจร้อนๆ รินรดลงมาที่ต้นคอทำให้ผมรู้ว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้แค่ไหน “แต่อยากกินของหวานก่อนมากกว่า”
ว่าจบริมฝีปากบางก็กดลงมาที่เดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนไปที่ไหล่ และหลังใบหูของผมที่ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้ริมฝีปากเย็นเฉียบนั่นละลาบละล้วงไปบนผิวกายที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อคลุมโดยไม่ขัดขืน

ผ้าขนหนูผืนเล็กที่คลุมหัวผมไว้ตกลงไปข้างตัวแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเชนเอื้อมมือมาโอบเอวผมไว้แน่น ขณะที่ใช้ริมฝีปากพรมจูบหนักๆ ลงบนต้นคอของผมซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจะเรียกร้องให้ผมหันกลับไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่คิดที่จะปฏิเสธ ร่างกายของผมขยับเข้าไปใกล้เขาโดยอัติโนมัติ พร้อมกับเบือนหน้ากลับไปรับจูบจากริมฝีปากบางที่ดูเหมือนจะรออยู่แล้ว รสจูบร้อนแรงที่ตัดประสาทสัมผัสต่างๆ ของผมออกจากทุกสิ่งรอบกาย เสียงฝนที่ดังสนั่นอยู่ด้านนอก ไม่อาจเข้ามาในโสตประสาทของผมได้อีกต่อไป เช่นเดียวกับความเย็นของอากาศที่เทียบไม่ได้เลยกับความร้อนของร่างกายเราสองคนที่ดูเหมือนจะเพิ่มทวีขึ้นทุกที

จูบของเขามันหลอมละลายผมซะจนเผลอยกแขนขึ้นไปโอบรอบคอแข็งแกร่งเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองไหลลงไปกองกับพื้นเชนกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นในทุกวินาทีที่จูบของเราเร่งเร้าขึ้นตามความต้องการ ผมไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เชือกเส้นหนาของเสื้อคลุมอาบน้ำของผมถูกปลดออกเปิดโอกาสให้ผ่ามือเย็นเยียบของเขาลูบไล้สะเปะสะปะไปตามร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของผมได้อย่างเอาแต่ใจ

แต่ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลยเถิดไปตามอารมณ์เสียงแหลมเล็กที่ขัดจังหวะทุกการกระทำอันล่อแหลมก็ดังขึ้นมา

กริ๊งง~

ผมเผลอสะดุ้งจนเชนต้องถอนริมฝีปากออกไป แต่หน้าผากของเรายังแตะกัน จมูกโด่งก็ยังคงคลอเคลียอยู่กับจมูกของผมพร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นมาล็อกใบหน้าของผมเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ

“ช่างมัน” พูดจบริมฝีปากร้อนก็กดลงมาบนริมฝีปากผมอีกรอบ

คราวนี้เขามอบจุมพิตร้อนแรงพร้อมกับดันร่างของผมให้เอนราบลงไปบนเตียง แล้วพลิกตัวขึ้นมาคร่อมเอาไว้ราวกับจะใช้ร่างหนาของตัวเองเป็นพันธนาการไม่ให้ผมหนีไปไหน ริมฝีปากร้อนจัดเริ่มลุกลามไล้จูบหนักๆ ไปตามซอกคอและแผ่นอกเปลือยเปล่าของผมอย่างโหยหา ร่างกายของผมแทบจะบิดเป็นเกลียวกับสัมผัสวาบหวิวที่เขามอบให้ ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง และหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างไร้การควบคุม

กริ๊งงง

แต่ดูเหมือนว่าเสียงโทรศัพท์มือถือที่ทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ นั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ช่างได้อย่างปากว่าเลย หลังจากฝืนไม่สนใจมันอยู่สักพัก สุดท้ายเชนก็หมดความอดทน เขาหยุดริมฝีปากตัวเองและพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

“แม่งเอ๊ย!” น้ำเสียงไม่พอใจของเขาทำเอาผมรู้สึกผิดไม่น้อย

“โทษที” ผมบอก ก่อนจะดันแผ่นอกของคนที่คร่อมอยู่ให้หลบออก แล้วลุกขึ้นจัดแจงมัดเชือกเสื้อคลุมลวกๆ และมองหาโทรศัพท์ของตัวเองอย่างเงอะๆ เงิ่นๆ

ดูเหมือนสติของผมจะถูกจูบของเชนกระชากออกจากร่างไปแล้ว เลยทำให้ผมเบลอจนทำอะไรไม่ถูกไปหมด หัวใจมันเต้นแรงจนแทบจะระเบิด และร่างกายมันก็รู้สึกร้อนไปหมดจนไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาเลย

ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่ตอนเข้ามา ตั้งใจว่าจะกดตัดสายและปิดเครื่องซะ เพราะยังไงเจตนาแรกของเราก็คือการหนีออกมาโดยไม่บอกใครอยู่แล้ว แต่พอเห็นว่าเบอร์ที่โชว์อยู่ เป็นเบอร์โทรส่วนตัวของแม่ ผมก็ถึงกับชะงักไป

“อย่ารับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เหมือนเคย พอหันไปมองก็พบว่าคิ้วเข้มกำลังขมวดเข้าหากันสีหน้ายังคงแฝงแววหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ

“แม่โทรมา” ผมบอกอย่างลังเล เชนดูเหมือนจะไม่อยากให้ผมรับโทรศัพท์สายนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

แต่ยังไงผมก็ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงอยู่ดี

อย่างน้อยก็ควรบอกหรือเปล่าว่าผมจะไม่กลับ ท่านจะได้สบายใจ

“โทษที” ผมทำหน้าสำนึกผิดใส่เชนที่สบถพึมพำ แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ก่อนที่สายมันจะตัดไปได้ทันเวลา “ครับแม่”

[ ตรี อยู่ไหนลูก ] แม่ถามทันทีที่ผมรับสาย เสียงฝนที่ดังเล็ดลอดเข้ามาทำให้ผมเดาได้ว่าที่บ้านเองก็คงจะฝนตกเหมือนกัน

“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง หันไปมองเชนที่หันกลับมาสบตาด้วยสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านเหมือนเคย

[ อยู่กับเชนเหรอ ] แม่ถามอย่างรู้ทัน สุดท้ายผมเลยต้องตอบตามตรง

“ครับ แม่มีอะไรหรือเปล่า”

แม่เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป [ ไม่มีอะไร แม่แค่เป็นห่วง คืนนี้ไม่ต้องกลับก็ได้นะลูก ฝนตกมันอันตราย ]

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าแม่ไม่ได้โทรมาเพื่อจะพูดประโยคนี้

และคำตอบก็ชัดเจนขึ้น เมื่อมีเสียงทุ้มดุดันแทรกเข้ามาในสายอย่างน่ากลัว

[ บอกให้มันกลับมา จะได้เตรียมตัวเดินทางกันสักที ] มันคือเสียงของพ่อผมอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมได้ยินเสียงแม่ปรามขึ้นมาและทั้งสองคนก็เถียงอะไรกันสักพัก แต่แม่คงจะปิดสปีกเกอร์เอาไว้ทำให้ผมได้ยินไม่ถนัด                 แต่แค่รู้ว่าพวกท่านกำลังเถียงกัน หัวใจผมมันก็หล่นลงไปที่ตาตุ่มด้วยความรู้สึกไม่ดีแล้ว

“แม่ครับ” ผมพยายามเรียก แต่ดูเหมือนแม่จะยังไม่ได้ยิน “แม่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” เสียงผมเจือไปด้วยความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นมาในอกอย่างควบคุมไม่ได้ เชนเองก็คงจะจับความรู้สึกผมได้ จึงมองมาด้วยสีหน้าที่เริ่มเป็นห่วง

[ ตรี แม่ขอโทษ... ] หลังจากปล่อยให้ผมเรียกอยู่สักพัก แม่ก็กลับมาคุยกับผมอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่อาจอธิบาย [ น้าเพิ่งโทรมาบอกว่าที่ร้านมีปัญหา แม่คงต้องกลับไปก่อน ]

แม่พูดแค่นั้น ผมก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

“พ่อไม่ยอมกลับ ถ้าผมไม่ไปด้วยใช่มั้ยครับ” ผมพูดสิ่งที่คิดขึ้นมา ทำเอาปลายสายถึงกับเงียบไปอีกครั้ง

[ ไม่เป็นไรนะตรี แม่กลับไปคนเดียว... ]

“ไม่ครับแม่” ผมขัดขึ้น รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงตัวเองแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยใช้กับแม่มาก่อน “แม่รอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมกลับไปคุยกับพ่อเอง” ว่าจบผมก็ตัดสายด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกภูเขาลูกใหญ่ๆ หล่นลงมาทับบ่าอย่างไม่ทันตั้งตัว หันไปมองเชนก็พบว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นฉายแววว่าเขาเข้าใจทุกอย่างแล้วโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆ เหมือนต้องการเรียกสติ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงมาหาผมและดึงร่างที่ได้แต่ยืนนิ่งราวกับไร้วิญญาณเข้าไปกอดไว้แน่น เพื่อช่วยซึมซับความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาหาผมผ่านร่างกายอันอบอุ่น โดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ อีก





-- makok_num --

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
T-T พ่อที่บังคับเกินไป อย่าให้จบแบบโรมิโอกับจูเลียตจริงๆนะ สงสาร

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ Ammair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
45
พ่ายแพ้
 
เวลาผ่านไป

เราสองคนมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ ทันทีโดยไม่สนใจเลยว่าจะต้องสวมเสื้อผ้าเปียกๆ นั่งรถเป็นชั่วโมงๆ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ บรรยากาศในรถเงียบงันอย่างน่าอึดอัดแต่ก็ไม่มีใครคิดจะเปิดเพลงเพื่อคลายบรรยากาศ ในหัวผมมีคำพูดมากมายที่เตรียมเอาไว้ แต่ก็รู้แก่ใจว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำให้พ่อยอมฟัง ผมไร้หนทางจนเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวว่าถ้าพ่อยังดื้ออยู่แบบนี้ ก็ไม่ให้พวกท่านกลับไปทั้งคู่เลยอาจจะดีกว่า

แต่นั่นก็เท่ากับว่าผมเป็นลูกเนรคุณที่ทำลายครอบครัวเพื่อความสุขของตัวเอง
ฝนที่ตกไม่หยุด ทำให้เชนขับรถเร็วมากไม่ได้ เราจึงกลับถึงบ้านช้ากว่าที่ควรเป็นชั่วโมง มันดีตรงที่ผมมีเวลาทำใจได้นานขึ้น... แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะทันทีที่มาถึงและเห็นไฟในบ้านยังสว่างโร่ สมองของผมก็กลับมาขาวโพลนราวกับคนโง่อีกครั้ง

“นาย... กลับไปก่อนนะ” ผมโน้มตัวเข้าไปจูบเชนเบาๆ อย่างต้องการซึมซับความมั่นใจ ก่อนจะบอกเขาแบบนั้น แล้วเปิดประตูรถวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในบ้านทันที

“คุณควรปล่อยลูกไปได้แล้ว! แบบนี้มันไม่ใช่การเป็นห่วงแล้ว คุณแค่อยากเอาชนะต่างหาก!” เสียงตะโกนของแม่ที่ดังขึ้นมาตอนที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปในตัวบ้าน ทำเอาผมชะงักมือที่กำลังจะยื่นออกไปจับลูกบิดประตูทันที

“คุณไม่เข้าใจ!” พ่อพยายามจะเถียง

“คุณนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ!” แต่แม่ก็แย้งขึ้นมาอีกครั้ง “ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คุณก็เห็นนี่ว่าเด็กสองคนมันรักกัน ถึงสุดท้ายเขาจะเลิกกันมันก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่มีสิทธิ์ไปขัดขวาง”

เหตุผลของแม่ทำให้พ่อของผมถึงกับเงียบไป แต่แววตาที่ยังคงแข็งกร้าวก็บ่งบอกว่าท่านไม่ได้กำลังยอมแพ้
พ่อผมยังไงก็เป็นพ่อผมที่หัวดื้ออยู่วันยังค่ำ

“ไอ้ตรีต้องไปกับเรา ยังไงผมก็ไม่ให้มันคบกับผู้ชายหรอก” นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีเลย

“พ่อครับ พอได้แล้ว!” สุดท้ายผมก็เปิดประตูเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นต่อไปไม่ไหว

“...” พ่อกับแม่ดูจะตกใจที่อยู่ๆ ผมก็โผล่มาในสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว ทั้งสองคนมองมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้ผมได้เอ่ยในสิ่งที่ใจคิดต่อไป

“ผมกับเชน เราแค่รักกัน ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยสักนิด เมื่อไหร่พ่อจะเลิกขัดขวางเราสักที!”

“ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเหรอ เหอะ! แล้วที่ไปเที่ยวกับมันจนดึกจนดื่นนี่ล่ะ! ถ้าแม่แกไม่โทรตามก็คงจะไม่กลับมาใช่มั้ยฮะ!”

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับพ่อ!” ผมอดไม่ได้ที่จะตะโกนกลับไปเมื่อเริ่มรู้สึกว่าพ่อเริ่มเบี่ยงประเด็น

“เดี๋ยวนี้แกกล้าเถียงเหรอ ไอ้กุ๊ยนั่นมันสอนให้แกมาเถียงฉันแบบนี้เหรอ!” คำพูดของพ่อ สะกิดต่อมความโกรธที่พยายามกักเก็บเอาไว้มาตลอดระเบิดออกมาเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกเผา ผมกำหมัดแน่น มองหน้าพ่อตัวเองด้วยสายตาที่แข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยทำ

“พ่อไม่มีเหตุผลเลย! นี่น่ะเหรอที่บอกว่าเป็นห่วงผม?จริงอย่างที่แม่บอก... พ่อไม่ได้เป็นห่วงผมเลย พ่อก็แค่อยากเอาชนะผมเท่านั้น” จำไม่ได้เลยว่าตัวเองขึ้นเสียงกับพ่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมหมดความอดทนจนเผลอเถียงพ่อแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดมาผมอดทนและเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ในความเงียบตลอด

บรรยากาศจมลงสู่ความเงียบอันน่าอึดอัดนานนับนาที ผมเห็นใบหน้าของพ่อบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจบรรยาย ในขณะที่แม่มองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน ผมยกมือขึ้นกุมขมับอย่างจนความคิด จนคำพูดที่จะยกขึ้นมาเอ่ย สุดท้ายก็เลยได้แต่เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าอย่างขอร้องอีกครั้ง

“ผมขอโทษที่ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย” อยู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกก็ทำเอาผมต้องเว้นวรรคเพื่อกลืนก้อนความรู้สึกนั้นกลับลงไป “ขอโทษที่เอาแต่ใจ ขอโทษที่เงียบทุกครั้งที่ทะเลาะกัน”

“...”

“ขอโทษครับที่ไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองให้พ่อเข้าใจ... แล้วก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกพ่อเลย พ่อคงจะลำบากใจมากที่มีลูกหัวดื้ออย่างผม”

“...”

“แต่พ่อครับ...ผมขอร้อง อย่าเอาความผิดทั้งหมดของผมมาลงกับเรื่องนี้ได้มั้ย ฮึก”

แต่สุดท้ายผมก็เก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นต่อไปไม่ไหว จนสุดท้ายมันก็กลั่นกรองกลายเป็นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างน่าสมเพช ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลราวกับทำนบแตก

“ตรี” แม่เข้ามากอดผมไว้อย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเลยว่าตัวผมจะเปียกแค่ไหน ในขณะที่พ่อยังคงจ้องหน้าผมนิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน

“ถึงพ่อจะพูดยังไง ผมก็ยังยืนยันอีกครั้งว่าผมกับเชนรักกัน... เรารักกันมากจริงๆ” ผมพล่ามทั้งที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมแค่ต้องพูดออกไป พูดทุกสิ่งที่ใจคิดเพื่อให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าใจจิตใจของผมบ้าง

“...”

“และต่อให้ไม่มีเรื่องเชน ผมก็จะไม่ไปไหน... ความฝันผมอยู่ที่นี่ ได้ยินมั้ยครับพ่อ” พูดได้เท่านั้นผมก็ไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก ผมมองใบหน้าที่ขมวดคิ้วเกร็งของพ่อผ่านม่านน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ตัวของผมสั่นไปหมด ไม่ใช่เพราะความหนาวเหน็บที่เล่นงานจนร่างกายเย็นเฉียบ แต่เป็นเพราะความรู้สึกมากมายมันถูกปลดปล่อยออกมาจนไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีก ผมไม่รู้ว่าพ่อกำลังคิดอะไร และไม่สนใจอีกแล้ว

ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องนั่งเล่น ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองเพราะไม่ต้องการเห็นหน้าใครอีก

ผมอยากปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาให้หมด ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นมานานผ่านน้ำตาพวกนี้ เผื่อว่ามันจะทำให้หัวใจที่กำลังหนักอึ้งผ่อนคลายลงบ้าง ผมปิดประตูห้องใส่กลอนเพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงประตูและร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กๆ ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรต่อไป ควรหันหน้าไปทางไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ มันทั้งสับสน และเจ็บปวดจนเหมือนหัวใจกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทั้งที่คิดว่าจะต้องผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้... แต่ทำไมมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ก็ไม่รู้

กริ๊งง

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงร้องออกมาเพราะมีคนโทรเข้า ผมไม่อยากรับสายใครตอนนี้ แต่เบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอก็ทำให้ผมลังเลจนได้แต่ปล่อยให้โทรศัพท์ส่งเสียงอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังร้องไห้... แต่ผมก็อยากได้ยินเสียงเขาเหลือเกิน

“...” ในที่สุดผมก็รับสาย แต่ไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอดออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน
ต้องขอบคุณเสียงฝน ที่ช่วยให้ผมเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้ง่ายขึ้น

[ ร้องไห้อยู่เหรอ ]

แต่ก็ไม่มีทางที่จะปิดบังผู้ชายที่อ่านความรู้สึกผมออกมาเสมอคนนี้ได้เลย

“ฮึก... ” พอถูกจับได้ เสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตามากมายมันก็พรั่งพรูออกมาจนเกินจะกลั้นได้อีก

ไม่น่าเลย ผมไม่ควรให้เขามารับรู้ความรู้สึกอันน่าสมเพชของผมเลย

[ พ่อไม่ยอมเหรอ ]

“ขอโทษ” คำถามของเขาทำให้ผมซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองด้วยความรู้สึกผิด พยายามจะเช็ดน้ำตา แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ยอมหยุดไหลสักที

[ ถ้าไม่เลิกกัน พ่อจะบังคับให้นายไปอิตาลีด้วย... จริงหรือเปล่า ]

“ฮึก...” ผมไม่ตอบ ได้แต่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นกลับไป เพราะไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้เลยเกี่ยวกับอนาคต ต่อให้ผมอ้อนวอน ก็ยังไม่รู้เลยว่าพ่อจะยอมรับการตัดสินใจของผมหรือเปล่า เรื่องราวมันเหมือนยิ่งดิ่งลงเหวซะจนผมมืดแปดด้านไปหมดแล้ว

[ ออกมาที่ระเบียงหน่อยสิ ] เขาบอก

นั่นทำให้ผมรู้ว่าเขายังไม่ไปไหน

“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า น้ำเสียงขาดห้วง ผมไม่อยากให้เขาเห็นผมในสภาพนี้ ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังเจ็บปวดและท้อใจแค่ไหน ผมกำหมัดแน่นสั่นไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งคิดว่าเชนต้องกำลังกังวลใจแค่ไหน มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทุกข์จนแทบจะทนไม่ไหว เขาไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้เลย

ถ้าคนที่เขารักเป็นคนอื่น... เรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้

[ เหนื่อยมากสินะ ] เขาเงียบไปนาน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แม้จะเรียบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
ผมยิ่งสะอื้นหนักขึ้นจนต้องยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากที่เม้มแน่นของตัวเองเอาไว้ อยากจะปฏิเสธออกไปแต่ก็ยากที่จะโกหกความรู้สึกตัวเอง

[ ท้อแล้วใช่หรือเปล่า ]

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” คำพูดที่ทวีความสิ้นหวังของเชน ยิ่งทำให้ผมสะอื้นหนักกว่าเดิมจนแทบจะเค้นเสียงพูดออกจากลำคอออกมาไม่ไหว เชนเงียบไปอีกครั้ง ความเงียบที่ผมหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เราต่างอยู่ในสภาวะที่หนักหนาเสียจนอยากจะปล่อยมือ แต่ถ้าทำแบบนั้น ความสุขที่เราฝ่าฟันกันมา มันก็จะกลายเป็นแค่ความฝัน

[ ขอโทษนะ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย... ทำให้นายต้องแบกรับภาระอยู่คนเดียว ] ยิ่งเขาพูดแบบนั้น ผมก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ผมส่ายหน้าไปมาแม้จะรู้ว่าเขามองไม่เห็น ผมอยากบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ลำคอที่ตีบตันก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

[ ขอโทษ...ที่ก่อนหน้านี้พูดว่าจะไม่มีวันปล่อยมือ ]

“...”

[ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ายื้อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ]

“เชน” ผมเอ่ยชื่อเขาออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวในคำพูดนั้น

แต่เขาไม่ยอมฟังผมเลย

[ ขอโทษจริงๆ ที่วันนี้ต้องผิดสัญญา ]

“เชน!” ผมพยายามเรียกเขา แต่สายก็ถูกตัดไปทันทีที่เขาพูดประโยคก่อนหน้าจบ

ผมนั่งนิ่งด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกไม้เบสบอลตีลงมาที่กลางหัว มันตกใจและมึนงงไปหมด โสตประสาทของผมถูกตัดออกจากเสียงฝน สมองของผมขาวโพลน และดวงตาก็ยังคงพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำตาที่ยังคลออยู่แม้จะไม่สามารถไหลออกมา จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเตือนสติผมให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ผมจึงผุดลุกขึ้นวิ่งไปที่ระเบียงทันที รถสปอร์ตสีดำสนิทของเชนยังคงจอดอยู่ข้างรั้ว แต่ในรถกลับว่างเปล่าไร้เงาของร่างสูงที่ผมคิดว่าน่าจะหลบฝนคุยโทรศัพท์กับผมอยู่ในนั้น

อยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นรัวขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองไม่รู้สาเหตุว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่... อะไรบางอย่างก็บอกผมว่าผมรู้อยู่แก่ใจ

ผมรู้แล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร

ผมกลับไปที่ประตูอีกครั้งโดยอัตโนมัติ วิ่งสุดชีวิตลงบันไดไปยังห้องนั่งเล่นที่เพิ่งจากมา ภาวนาให้ตัวเองไปถึงก่อนที่ร่างสูงจะไปถึงและทำเรื่องโง่ๆ ออกไป

แต่มันก็สายเกินไป

เชนอยู่ตรงนั้น ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ตรงหน้าพ่อกับแม่ของผมที่ยืนมองร่างเปียกปอนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เชนเงยหน้าขึ้นสบตาพวกท่านด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว และเอ่ยคำพูดที่เหมือนจะปลิดลมหายใจของผมอย่างโหดร้ายออกมา

“ผมจะเลิกกับตรี”

“...”

“เพราะฉะนั้น ได้โปรด... ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยเถอะครับ”

“เชน!” ผมตะโกนเรียกเขา แต่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลย มีแม่คนเดียวที่หันกลับมามองผมอย่างลำบากใจ ในขณะที่พ่อเบือนหน้ากลับมาสบตาผมเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองเชนอีกครั้งพร้อมกับยื่นข้อเสนออันแสนโหดร้าย

“ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน”

“พ่อครับ!” ผมตะโกนเรียก อยากทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ขาของผมมันก็อ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไป น้ำตาของผมหลั่งไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ผมอยากจะโกนบอกเชนว่าอย่า บอกให้เขาปฏิเสธไปซะ แต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้กระทั่งคำสัญญาที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวจากปากของคนที่ผมรัก

“ครับ ผมสัญญา”

คำสัญญา... ที่บ่งบอกว่าเขาพร้อมแล้ว ที่จะปล่อยมือที่จับแน่นของเรา

พ่อของผมเองก็ดูจะอึ้งไปที่อยู่ๆ เชนก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย ท่านเงียบไปพักใหญ่แต่สุดท้ายก็ไล่เขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง

“งั้นก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว” เชนไม่ตอบอะไร ร่างสูงเพียงลุกขึ้นยืน และเดินออกไปตามคำสั่ง... เขาไม่หันกลับมามองหน้าผมที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงนี้อย่างน่าสมเพชแม้แต่น้อย

“เชน!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาอีกครั้งอย่างคนโง่ น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาอย่างหนักที่ขาอันอ่อนแรงพยายามวิ่งตามร่างสูงที่เดินออกจากบ้านไปอย่างเย็นชา ผมเห็นแผ่นหลังของเขาเดินห่างออกท่ามกลางสายฝน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้ผมจะตะโกนเรียกจนสุดเสียงก็ตาม

“พี่เชน หยุดเดี๋ยวนี้!” คราวนี้ผมเร่งฝีเท้าตัวเองจนทัน รั้งร่างสูงให้หันกลับมาเผชิญหน้าเพื่อคุยกับผมก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปในรถได้ทันท่วงที

“ทำแบบนี้ทำไม! พูดกับพ่อไปแบบนั้นทำไม! ไหนบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยมือไง” ผมตะโกนใส่หน้าเขาทั้งน้ำตานองหน้า แต่คนตรงหน้ากลับยืนนิ่ง มองกลับมาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

“นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” ผมเว้าวอน

“...”

“บอกแล้วไง ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี บอกแล้วไงว่าฉันจะจัดการทุกอย่างเอง ฮึก...แล้วทำแบบนี้ทำไม” ผมพยายามประคองร่างกายตัวเองไม่ให้ทรุดลงไปร้องไห้อย่างที่ใจอยาก

เรายังคงยืนท่ามกลางสายฝนที่ดูเหมือนจะตกหนักขึ้นอีกระรอกโดยไม่กลัวเลยว่าจะไม่สบาย ผมยังคงร้องไห้ไม่หยุด แต่น้ำตามากมายก็ถูกสายฝนชะล้างจนคงจะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา เชนยังคงยืนจ้องหน้าผมนิ่ง มือหนากำหมัดแน่นจนสั่นระริก แล้วในที่สุดเจ้าของใบหน้าคมก็เอ่ยคำถามแสนยากเย็นออกมา

“เมื่อไหร่?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าที่เคย “ต้องรออีกนานแค่ไหนมันถึงจะผ่านไป” คำถามของเขามันยากเสียจนผมไม่กล้าตอบอะไร ได้แต่มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสายตาเย็นชาที่ทำให้หัวใจผมหนาวเหน็บซะยิ่งกว่าความเย็นของฝนที่ตกกระทบกับร่างกาย

“รู้มั้ยว่ามันน่ารำคาญแค่ไหนที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” มือหนายกขึ้นเสยผมลวกๆ พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกสมเพช

“เชน...” ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงกลายเป็นแบบนี้ ตั้งตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของแววตานั้นที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของผมอย่างจัง

“ฉันไม่น่าหลงเชื่อคำพูดของนายตั้งแต่แรกเลย... ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี” เขายังคงเอ่ยคำพูดที่ราวกับจะเฉือนหัวใจผมเป็นชิ้นๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบตึง “อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้นี่ ว่าฉันไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น”

“เชน” ผมได้แต่เรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาอย่างคนโง่ มองแววตาที่ไร้ความรู้สึกของคนตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว

เขากำลังทำร้ายจิตใจผม... ทำร้ายจิตใจผมอย่างจงใจ

“ขอโทษนะที่เพิ่งมาพูดเอาตอนนี้” ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ และสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “แต่ฉันคงทนเจอเรื่องงี่เง่านี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“...”

“ฉันไม่ได้รักนายขนาดนั้น”

“โกหก” ผมเค้นประโยคนั้นออกมาจากลำคอได้ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา คำพูดที่จงใจทำให้ผมเจ็บ ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่จงใจประดิษฐ์ให้มันดูเย็นชาและโหดร้าย

แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ ไม่มีกระแสดงออกไหนของคนตรงหน้าตอนนี้ที่บ่งบอกว่ามันออกมาจากใจจริงของเขาเลย

เขากำลังโกหกผม

หลักฐานก็คือพอผมพูดแบบนั้น แทนที่เขาจะตอบโต้หรือปฏิเสธ คิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน มองหน้าผมด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ความเจ็บปวดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ฉายชัดขึ้นในแววตาอีกครั้งจนเจ้าของใบหน้าคมต้องเบือนหน้าหนีพลางยกฝ่ามือหนาขึ้นมากุมใบหน้าของตัวเองไว้ ปิดซ่อนความเจ็บปวดนั้นให้พ้นสายตาของผม

“โกหกทำไม” ผมเอ่ยถาม ขมวดคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ริมฝีปากกบางแสยะยิ้มราวกับกำลังสมเพชตัวเอง ก่อนที่เขาจะลดมือลงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง

“ถ้าไม่โกหก แล้วจะให้ทำยังไง” ดวงตาคู่สวยที่มักจะฉายแววเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมใคร กลับมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง

“ถ้าไม่ทำแบบนี้...แล้วจะกล้าปล่อยมือได้ยังไง” เขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทามาเช็ดน้ำตาออกจากหน้าผม แต่คงไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาของตัวเอง ก็กำลังไหลออกมาเหมือนกัน

มันเป็นครั้งแรก ที่ผมได้เห็นเขาร้องไห้

“ขอโทษที่ผิดสัญญา” เขายังคงเอ่ยคำนั้นซ้ำๆ ทั้งที่ผมไม่ต้องการ

“...”

“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้หนักขนาดนี้”

“พี่เชน” คำขอโทษของเขา มันยิ่งทำให้ผมได้แต่สะอึกสะอื้นไม่หยุดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธการตัดสินใจของเขา 

แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่เมื่อคนตรงหน้าตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาก็ไม่คิดจะฟังใครทั้งนั้น ต่อให้เป็นผมที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าเขาราวกับคนโง่ก็ตาม

“ขอโทษที่ทำอะไรเห็นแก่ตัว”

“...”

“แต่ฉันคงทนไม่ได้จริงๆ... ถ้าไม่สามารถเจอหน้านายได้อีก”

“...”

“ขอโทษ” พูดจบ ฝ่ามือหนาก็แกะมือผมออกจากแขนของเขา และหมุนตัวกลับเข้าไปในรถโดยไม่หันกลับมามองผมอีก

“เชน เดี๋ยวก่อนสิ... ฮึก พี่เชน” ผมอยากจะตะโกนเรียกเขาออกไป แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็แผ่วเบาเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะได้ยิน ผมทรุดตัวนั่งลงร้องไห้อย่างหมดเรี่ยวแรง และไร้ซึ่งหนทางจะเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้

หัวใจของผมมันทวีความเจ็บปวดขึ้นมาทันที เมื่อรถสปอร์ตคันหรูสตาร์ทเครื่องและแล่นจากไปจนลับตา พร้อมกับความจริงที่ว่า

ความสัมพันธ์ของเรามันกำลังจบลง...ด้วยการตัดสินใจยอมรับความพ่ายแพ้อันแสนเจ็บปวด




------------------------------------------------------
เพิ่งรู้ตัวว่าหายไปนานมากเลย ฮืออ ขอโทษค่ะ
ไม่มีข้อแก่ตัวเลยเพราะเราอู้จริงๆ  :sad4:
แต่ข่าวดีคือตอนนี้เราเขียนเรื่องนี้จบแล้วนะคะ
คิดว่าหลังจากนี้จะอัพแบบรัวๆ เลย อาจจะวันละหลายๆ ตอน อย่าตกใจนะ 555

หวังว่าจะยังมีคนรออ่านอยู่นะคะ
เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า
ขอบคุณค่า

-- makok_num --

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
46
เลือนราง
 
               
หลังจากวันนั้นผมก็ถูกฤทธิ์ของฝนเล่นงานจนป่วย นอนซมอยู่โรงบาลเกือบอาทิตย์
               
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ป่วยหนักขนาดนี้ แม่เลยเป็นห่วงมากจนต้องเลื่อนไฟล์ทกลับอิตาลีเพื่ออยู่ดูแลผมจนหายดีก่อน ผมรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของแม่ที่คอยดูแลผมอยู่ทั้งวันทั้งคืน แถมยังต้องเป็นห่วงเรื่องที่ร้านที่ต้องปล่อยให้น้าดูแล ผมไม่อยากเป็นภาระท่านนานนั จึงพยายามทำตัวเองให้หายเร็วๆ ถึงแม้ว่าจิตใจมันจะกำลังย่ำแย่มากก็ตาม
               
พ่อยังเอาแต่โทษเชนว่าทำให้ผมป่วย ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย พ่อบอกว่าเขาทำให้ผมกลายเป็นคนเหลวไหล ซึ่งนั่นทำให้ผมโกรธจนไม่อยากจะคุยกับพ่ออีกเลย ผมเอาแต่คิดว่าท่านไม่ควรปรามาสอะไรเขาแล้ว ในเมื่อเขาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่ออย่างเด็ดขาดขนาดนี้
               
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เจอหน้าเชนอีกเลย แม้สักครั้ง
               
ผมพยายามโทรหาเขา หรือติดต่อทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ถูกเมินเฉยจนหมดความพยายาม ผมคิดไปต่างๆ นานาว่าเขาจะป่วยเหมือนผมหรือเปล่า หรือเขาจะแอบร้องไห้ในทุกๆ วันเหมือนผมมั้ย แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย
               
เขาหายไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาก่อน
               
ตอนที่กลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีบางครั้งที่ผมเกิดหูแว่วได้ยินเสียงรถของเขาแล่นมาจอดข้างรั้วเหมือนทุกที เห็นเงาของร่างสูงยืนอยู่ที่เดิมในหลายๆ ครั้ง แต่เมื่อผมวิ่งออกไปมองที่ระเบียงด้วยความคาดหวัง หัวใจของผมก็ถูกทำลายซ้ำๆ ด้วยความว่างเปล่าที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องลวงตา

เขาไม่มา... และคงไม่มีวันมาให้ผมเห็นหน้าอีกแล้ว

ผมร้องไห้อย่างหนักจนน่ากลัวว่าไข้มันจะกลับมาเล่นงาน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้จริงๆ สุดท้ายเพื่อไม่ให้แม่เป็นห่วงไปมากกว่านี้ ผมเลยตัดสินใจกลับไปอยู่เชียงใหม่ตลอดปิดเทอมที่เหลือ เพราะอย่างน้อยที่นั่นผมก็มีเพื่อนไว้ชวนคุยชวนเที่ยวแก้เหงาบ้างไม่ปล่อยให้ตัวเองเศร้าจนป่วยขึ้นมา

การที่เชนทำสัญญาแบบนั้นกับพ่อ และเขาก็พิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้จริงๆ ตลอดหลายอาทิตย์ที่เราเลิกกัน พ่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาบังคับให้ผมไปอิตาลีด้วยอีก ท่านยอมปล่อยให้ผมกลับไปเรียนเหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่ผมเคยทำ ในขณะที่พ่อกับแม่บินกลับไปดูแลร้านที่อิตาลีได้อย่างสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะไม่ถูกจับตามอง พ่อให้แม่โทรมาเช็กทุกวันว่าผมเป็นยังไง กลับไปคบกับเชนลับหลังท่านหรือเปล่า

แต่พ่อคงไม่รู้ว่าเชนเป็นคนจริงใจแค่ไหน ต่อให้ผมอยากจะกลับไปหาเขาใจจะขาด แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจปล่อยมือแล้ว ก็ยากที่ฝ่ามือหนาจะยื่นกลับมาตรงหน้าผมอีกครั้ง

น่าเจ็บปวดจริงๆ ที่ความซื่อตรงของเขามันไม่มีข้อยกเว้นให้สำหรับผมเลย

“มึงไหวแน่นะไอ้ตรี” เสียงของไอ้เพื่อนตัวดีที่ถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามปลุกผมให้เงยหน้าขึ้นมาจากการฟุบลงไปกับโต๊ะเพราะรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด

“ไหว” น้ำเสียงของผมแหบแห้งซะจนต้องเอื้อมมือออกไปหยิบน้ำเปล่าที่ตั้งไว้ข้างแล็ปท็อปขึ้นมาจิบแก้กระหาย

ไอ้ซันถอนหายใจหนักๆ ออกมา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่าเอื้อมมือมาตบไหล่ปลอบใจผมเบาๆ เหมือนทุกที ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไปด้วยความขอบคุณ อันที่จริง แค่มันเรียกผมออกจากห้องมาทุกๆ วันผมก็รู้สึกขอบคุณมันมากพอแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงต้องฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าไปจริงๆ ที่ต้องอยู่ในห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างผมกับเชนในทุกๆ ตารางเมตรแบบนั้น

ไอ้ซันยังคงทำงานที่ร้านกาแฟของพี่โมโดยเปลี่ยนมาทำงานกะกลางวันแทน เพราะมันต้องเตรียมตัวปรับเวลานอนรับเปิดเทอมที่จะมาถึงในอีกไม่กี่อาทิตย์ ดังนั้นจึงทำงานทั้งคืนไม่ไหว ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงไม่ลาออกไปซะ เพราะยังไงมันก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้มากมายจนไม่จำเป็นต้องมาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ผมก็ไม่สนหรอกว่าเหตุผลของมันคืออะไร อันที่จริง ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละนอกจากเรื่องของตัวเอง
จะว่าผมงี่เง่าก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องงี่เง่าจริงๆ ที่ในหัวผมมีแต่เรื่องของเชนวนไปวนมาในทุกๆ วินาที ความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเหมือนกับจะกระตุ้มต่อมน้ำตาของผมได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง

ผมพยายามหาอะไรมาทำให้สมองเลิกฟุ้งซ่าน ตั้งแต่ตื่นลืมตาผมก็รีบออกจากห้องให้เร็วที่สุด เพื่อที่สายตาจะได้ไม่ต้องกวาดมองสิ่งที่อยู่รอบตัวให้ปวดหัวใจมากนัก ผมมาขลุกอยู่ที่ร้านกาแฟทั้งวันเพื่อหางานประกวดแบบเล็กๆ น้อยๆ ทำพอให้สมองได้คิดเรื่องที่เป็นประโยชน์กับชีวิต พอตกเย็นผมก็ไปเล่นดนตรีที่ร้านของรุ่นพี่ซึ่งรับผมเข้าทำงานอีกครั้งเพราะว่าคนขาดพอดี แม้ว่าพอเปิดเทอมผมอาจจะไม่ได้เล่นประจำเพราะงานเยอะก็ตาม ชีวิตของผมวนลูปอยู่ในความวุ่นวายตลอดทั้งวันเพื่อไม่ให้ความทรงจำที่ทำร้ายจิตใจเข้ามาแทรกแซง

แต่ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลแค่ยามลืมตาเท่านั้น เพราะเมื่อไหร่ที่ผมหลับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา ก็มักจะย้อนกลับมาหลอกหลอนผมเสมอ จนผมไม่รู้แล้วว่าควรจะต่อสู้กับมันด้วยวิธีไหน

“มึงนอนบ้างเหอะ เดี๋ยวก็ตายขึ้นมาจริงๆ หรอก” ไอ้ซันดุทันทีเมื่อผมยืดตัวขึ้นมาคลิกเม้าส์ทำงานต่อทั้งที่ร่างกายอิดโรยจนแทบจะขยับแขนไม่ไหวแล้ว

ผมหัวเราะขืนๆ ก่อนจะตอบมันอย่างดื้อดึง “มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า อดนอนมากกว่านี้กูก็เคยมาแล้ว”

พอได้ยินคำตอบแบบนั้นไอ้ซันก็ยิ่งทำสีหน้ายุ่งยากใจก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกรอบ “เออๆ แล้วแต่มึง ถ้าน็อกขึ้นมาจริงๆ กูจะสมน้ำหน้าให้”

ผมยิ้มขำกับคำประชดอย่างไม่จริงจังของไอ้เพื่อนตัวดี

“แล้วนี่มึงจะกินอะไรอีกป่าว เดี๋ยวกูให้ไอ้ตี๋ทำให้” มันถามขึ้นมา ผมเลยส่ายหน้า

“ไม่เอาว่ะ” แต่ดูเหมือนจะไปสะกิดต่อมหงุดหงิดของไอ้ซันเข้าอีก

“ไอ้สัส! วันๆ มึงจะประทังชีวิตด้วยเอสเพรสโซ่ร้อนแก้วเดียวไม่ได้นะ แล้วดู มึงแดกไปสักหยดหรือยังเนี่ย สั่งมาดมหรือไงฮะ” มันโวยวายยาวเหยียดในขณะที่ผมได้แต่ชะงักนิ่ง ไม่รู้จะเถียงอะไร

บางทีผมอาจจะสั่งมาดมเฉยๆ อย่างที่มันว่าก็ได้ เพราะผมไม่ชอบกาแฟขมๆ แบบนี้อยู่แล้ว ก็แค่สั่งมา เพราะเห็นว่า ‘เขา’ ชอบ

งี่เง่าชะมัดเลย

“มึงเอาเค้กมะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” มันพูดเองเออเองก่อนจะตะโกนบอกโชที่เฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ แต่ตามองมาที่โต๊ะเราด้วยสีหน้าเป็นห่วงที่ถูกมองข้าม “ตี๋ เอาเค้กมาก้อนนึง อะไรก็ได้ก้อนใหญ่ๆ อ่ะ” ผมอดขำไม่ได้กับความสนิทสนมที่ทวีขึ้นจากวันแรกของไอ้ซันกับโช

หลายวันที่ผ่านมาผมเห็นทั้งสองคนทำงานเข้ากันเป็นปีเป็นขลุ่ยแล้วก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมรู้ว่าที่ผ่านมาไอ้ซันไม่ได้เกลียดโชจริงจัง ที่กวนตีนเขาก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้น แต่ดูเหมือนความกวนประสาทของมันจะเป็นตัวแทนเชื่อมมิตรภาพที่ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้นทุกวันไปแล้ว

ไม่นานโชก็เอาเค้กสองก้อนมาเสิร์ฟที่โต๊ะด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ผมดูออกว่าเขายังประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าผม อาจเป็นเพราะยังรู้สึกผิดกับเรื่องในคืนนั้นหรืออะไรก็ตาม ผมไม่อาจมองออกเพราะได้สร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองจากการรับรู้ความรู้สึกผ่านแววตาของเขาไปแล้ว ไม่ใช่เพราะผมเกลียดเขา แต่เพื่อปกป้องเขาจากหัวใจที่ไม่มีวันสั่นคลอนของตัวเองต่างหาก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่คุยกับเขาอีกเลยหรอกนะผมแค่กันตัวเองออกมาในระยะปลอดภัยจากความรู้สึกที่อาจจะทำร้ายจิตใจของใครหลายๆ คนเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็เปิดประตูฝั่งมิตรภาพให้เขาเข้ามาได้เต็มหัวใจ โดยไม่คิดจะตั้งแง่ใดๆ

“เอ่อ... ผมเลี้ยงด้วยคน” โชพูดอึกอัก ขณะวางช้อนไว้ตรงหน้า ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแห้งๆ ให้เป็นการขอบคุณ
นี่สภาพผมมันแย่ขนาดที่ทุกคนต้องร่วมกันบริจาคอาหารประทังชีวิตให้เลยเหรอ

“เยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ไง” ผมทำหน้าแหย รู้นะว่าทุกคนเป็นห่วง แต่อยู่ๆ จะให้สวาปามเค้กหวานๆ สองก้อนเนี่ย มันยากเอาการอยู่นะครับ

“แดกๆ ไป พวกกูจะไม่ทำงานจนกว่ามึงจะแดกหมด จะนั่งจ้องอยู่งี้แหละ” ไอ้ตัวเผด็จการว่าก่อนจะเอื้อมมือออกไปเกี่ยวคอโชลงมานั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างถือวิสาสะ

เงื่อนไขของมันทำเอาผมต้องยืดตัวขึ้นมากินเค้กตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ยังไงซะผมก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครถูกด่าเพราะอู้งานหรอกนะ

พอเห็นผมยอมหาอะไรเข้าปากอย่างว่าง่าย ไอ้เพื่อนตัวดีก็ยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่โชเองก็ยิ้มนิดๆ อย่างให้กำลังใจผม จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางดีใจกับเรื่องเล็กน้อยไม่เข้าเรื่องของทั้งสองคน คำว่ามิตรภาพที่ฉายชัดเข้ามาในหัว ทำให้หัวใจที่เคยจมปลักอยู่ในวังวนความเสียใจของผมเหมือนได้รับแสงแดดอุ่นๆ ที่ถึงแม้จะไม่ช่วยให้ผมหาทางออกจากวังวนนี้ได้

แต่อย่างน้อย ก็ช่วยเติมเต็มหยดน้ำในหัวใจที่แห้งเฉาของผมให้กลับมาชุ่มชื้นขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

               
เวลาผ่านไป
               
คิวเล่นดนตรีของผมอยู่ที่สี่ทุ่มตรง แต่ผมออกจากร้านกาแฟมาตั้งแต่สองทุ่มเพื่อนั่งดื่มแอลกอฮอล์ขวดเดิมที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ปกติผมไม่ดื่มก่อนเล่นเท่าไหร่นัก เพราะไม่ใช่นักดนตรีประเภทที่ต้องใช้แอลกอฮอล์ย้อมใจก่อนขึ้นแสดง แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเครื่องดื่มมึนเมาเพียงไม่กี่แก้วมันช่วยให้อารมณ์ของผมฟุ้งกระจายจนเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ง่ายจริงๆ
               
ผมนั่งดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ พลางคุยกับบาร์เทนเดอร์ที่สนิทกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกเรียกขึ้นเวที ผมถึงกับเซเล็กน้อยเพราะวันนี้ดื่มไปมากพอตัว แต่ก็แนบเนียนพอที่จะไม่ทำให้ใครดูออกว่าเริ่มเมา
               
“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่อาจจะคิดเองก็ได้ว่าผมยิ้มออกไป ก่อนจะเริ่มเล่นเพลงที่ถูกขอมาจากลูกค้าโต๊ะประจำก่อนเป็นอันดับแรก โดยที่ไม่ทันรู้เลยว่ามันจะเป็นเพลงเศร้าที่เพียงแค่ไล้นิ้วไปตามสายกีตาร์จนเกิดเสียงดนตรีที่เป็นอินโทรของเพลง มันก็สะกิดรอยแผลในจิตใจของผม ให้อักเสบขึ้นมา
               
               
Well you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you're missing home
Only know you love her when you let her go
And you let her go
 
ผมแสยะยิ้ม นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาเมื่อร้องจบท่อนนี้ มันเหมือนกับถูกมีดแหลมๆ แทงเข้ามาที่กลางใจจังๆ ด้วยความจริงที่ถูกเอ่ยผ่านบทเพลงที่ตัวเองเป็นคนร้องเอง

ผมรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน... ก็ตอนที่ผมเสียเขาไป

มันไม่ใช่สิ่งที่ผมไม่เคยรู้ แต่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยตระหนักถึงความรุนแรงของมันเลยว่า เมื่อวันหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ข้างผมแล้วจริงๆ มันจะเจ็บเจียนตายขนาดนี้
 
Staring at the bottom of your glass
Hoping one day you'll make a dream last
But dreams come slow and they go so fast
You see her when you close your eyes
Maybe one day you'll understand why
Everything you touch surely dies
 
ผมยังคงร้องเพลงต่อไป ทำทีเป็นไม่สนใจว่าทุกคำร้องที่เปล่งออกมา มันล้วนกระตุ้นให้ต่อมน้ำตาที่พยายามปิดเอาไว้ดึงดันจะล้นทะลักออกมาอย่างเกินจะห้ามไหว

เสียงของผมขาดห้วงและผิดเพี้ยนไปอย่างคุมไม่อยู่ แต่โชคดีที่เวลาค่ำแบบนี้ทุกคนในร้านต่างก็เริ่มเมามาย จนไม่มีใครคิดจะทักท้วงนักดนตรีที่เล่นเพี้ยนอย่างน่าอับอายอยู่บนเวที

ผมแสยะยิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเองอีกครั้ง โทษตัวเองที่คิดผิดเลือกเล่นเพลงนี้ก่อน เพราะลองเป็นแบบนี้แล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะเล่นเพลงต่อๆ ไปได้ยังไง
 
But you only need the light when it's burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
           
Only know you've been high when you're feeling low
Only hate the road when you're missing home
Only know you love her when you let her go
               
               
แต่ในที่สุดผมก็ประคับประคองเพลงเศร้าๆ ที่ร้องอย่างกระท่อนกระแท่นนี่ไปได้จนจบอย่างน่าใจหาย อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นส่งสายตาขอโทษขอโพยไปให้พี่เจ้าของร้านที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งยิ้มบางๆ กลับมาพลางชูแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นเหนือหัวบ่งบอกว่าไม่เป็นไร
               
ผมยิ้มตอบเล็กๆ สูดหายใจเข้าลึกพยายามตั้งสติ แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน
               
“เพลงต่อไป...” ผมยื่นหน้าเข้าไปพูดกับไมค์แทนความเงียบระหว่างพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา 

แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นใครบางคน ยืนอยู่ตรงมุมที่มืดและห่างไกลที่สุดของร้าน
               
ร่างสูงในชุดสีดำสนิททั้งตัวหวังจะกลืนหายไปกับแสงสลัวภายในร้านที่ผู้คนกำลังวุ่นวาย กำลังยืนจ้องผมอยู่ตรงนั้น โดยมีควันบุหรี่สีขาวขุ่นที่คาบอยู่ในริมฝีปากบาง ช่วยอำพรางใบหน้าหล่อเหลาที่ผมเฝ้าคิดถึงตลอดมา
               
แต่เขาคงไม่รู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมันโดดเด่นเกินไป ต่อให้เหลือเพียงแต่เงา ผมก็ไม่มีทางลืมดวงตาคมกริบแสนร้ายกาจที่มองผมด้วยความรู้สึกหลากหลายตลอดมาได้แน่นอน
               
และทันทีที่สบตากับผม คนใจร้ายก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนีไปทันที
               
“เดี๋ยวก่อน!” ผมเผลอตะโกนเรียกโดยลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่หน้าเวที ไมค์ที่ช่วยขยายเสียงทำให้ทุกคนในร้านหันมามองอย่างงุนงง
               
เว้นแต่เขา ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
               
“ขะ...ขอโทษครับ” ผมพูดใส่ไมค์แค่นั้น ก่อนจะละล่ำละลักลุกขึ้นมา ทิ้งกีตาร์ลงข้างตัวทำให้มันแผดเสียงดังลั่นผ่านลำโพงจนคนส่งเสียงก่นด่าด้วยความรำคาญ แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือต้องตามแผ่นหลังกว้างนั่นให้เร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะหายไปไหนอีก
               
ผมลากร่างกายที่โซซัดโซเซด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ออกมาจนถึงนอกร้าน ตามร่างสูงแสนคุ้นเคยที่เพิ่งคลาดสายตาไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่เอ่อล้นขึ้นมา
               
“เชน!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาซ้ำๆ พร้อมกับมองไปรอบตัว
               
แต่ท่ามกลางคนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมา กลับไม่มีแม้แต่เงาของเขาเลย
               
ผมตาฝาดงั้นเหรอ? นี่ผมเมาจนเผลอสร้างภาพลวงตาขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนแบบนั้นเลยหรือยังไง?
               
นี่มัน...อะไรกัน
               
ในขณะที่ผมได้แต่สับสนอยู่กับตัวเอง หลังจากเดินวนไปวนมาเหมือนคนบ้าจนกระทั่งเหนื่อยหอบ และต้องยืนนิ่งเพื่อหยุดพัก บางอย่างที่ลอยมาตามลมก็ทำให้ผมต้องหยุดชะงักเพื่อพิจารณาว่ากลิ่นหอมฉุนนั้นเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน
               
กลิ่นของบุหรี่นอกยี่ห้อดังซึ่งเป็นเหมือนกลิ่นประจำตัวของเขาถูกทิ้งไว้อย่างเจือจางภายใต้ความเย็นสงบของช่วงเวลาค่ำคืน
               
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เพ้อเจ้อ หรือเมาจนตาฝาด... เขามาหาผมจริงๆ แต่เพราะคำสัญญาอันโหดร้ายนั่น ทำให้เขาไม่อาจเปิดเผยตัว หรือยืนนิ่งให้ผมได้กอดได้อย่างที่ใจปรารถนา
               
“ฮึก...” ความจริงที่ว่าเขากำลังหนีหน้าผม มันทำให้น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตลอดวันไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมรู้ว่าการร้องไห้ในที่สาธารณะแบบนี้มันเป็นเรื่องน่าอาย แต่จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อหัวใจมันเจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
               
เขาจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ไม่รู้เลยหรือไงว่าผมทรมานจะตายอยู่แล้ว
               
“ฮือออ”
               
ผมทรุดตัวลงนั่งขดตัวร้องไห้กับพื้นถนนเหมือนเด็กๆ โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมองผมด้วยสายตาสมเพชแค่ไหน อย่างมาก ผมก็คงจะถูกจัดอยู่ในคนเมาจำพวกหนึ่งเท่านั้น ผมไม่แคร์และเอาแต่ร้องไห้โฮปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่คิดจะห้ามอีกต่อไป
               
ใจหนึ่งหวังว่าเขาจะสงสารและเดินออกมากอดปลอบผมเหมือนที่เคยทำ
               
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง... ก็คือการที่ผมยังคงร้องไห้อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งน้ำตามันเหือดแห้งไปอย่างเดียวดาย




-- makok_num --

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ไม่ได้ร้องอยู่คนเดียวหรอกน่ะ อย่างน้อยก็มีฉันที่ร้องไห้อยู่กับเธอตรงนี้   :m15: :m15: :m15: ตี 4 แบบนี้คิดว่าจะหลับลงไหม!!!!!

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ร้องไห้ตามเลย
แต่งแบบ ฮือๆ

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Strongไว้น้องตรี เชื่อในรักของพี่เชนนะ

 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

......

.

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
น้ำตามาจากไหน ฮือออออ ทรมานแทน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :sad4: :o12: :hao5: :3123: :pig4:สงสรน้องตรีสู้ๆๆๆๆ :เฮ้อ: :katai5: :L2:รอๆๆๆอัพๆๆๆ :impress3: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
47
พร่ามัว
 
               
หลายเดือนผ่านไป
               
ต้องขอบคุณเนื้อหาการเรียนปีสาม ที่หนักหน่วงเสียจนผมแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะพักหายใจ
               
ความเศร้าของผมถูกกักเก็บเอาไว้ภายใต้ความกดดันจากการเรียนอย่างหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อน... แต่ผมยอมรับได้ ที่มันเป็นแบบนี้
               
ปวดหัว ย่อมดีกว่าปวดใจ ไม่ใช่เหรอ
               
ผมทุ่มเทให้กับโปรเจ็กต์ในเทอมแรก ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่สตูฯ เรียกได้ว่าย้ายข้าวของมากินอยู่หลับนอนที่นี่เลยก็ว่าได้ จนสุดท้ายก็ผ่านไปอย่างคุ้มค่า มันไม่ถึงกับดีที่สุด แต่งานที่ออกมาก็บรรลุเป้าหมายตามที่ผมต้องการ
               
“แดกเหล้า~!!” เสียงไอ้เวสป้าดังขึ้นทันทีที่ออกมาจากห้องส่งงาน ไม่สนใจเลยว่าอาจารย์จะยืนหัวโด่อยู่ในห้อง ผมเหยียดยิ้ม ตอนที่มันพุ่งเข้ามากอดคอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมคือเป้าหมายแรกของไอ้เพื่อนตัวดี
               
“เช็กสภาพกูด้วยเพื่อน” ผมแกล้งพูดเสียงยานคางใส่ หันหน้ากลับไปให้มันเห็นหน้าโทรมๆ ตาโบ๋ๆ ไม่ต่างจากซอมบี้ที่เกิดจากการอดหลับอดนอนมาทั้งอาทิตย์
               
ไอ้เวสจิ้มหน้าผมสองที ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ไม่เอาน่าไอ้ตรี มึงยังมีเวลาอีกตั้ง...” ว่าพลางก้มลงมองนาฬิกา “สี่ชั่วโมง ในการนอนพักเอาแรง แล้วสองทุ่ม กูจะไปรับมึงถึงหอเลยครับเพื่อนรัก” มันนัดเวลาเสร็จสรรพ ก่อนจะจ้องหน้าผม อย่างรอคอยคำตอบ
               
ซึ่ง ก็เหมือนเคย... ผมปฏิเสธมันได้สักครั้งที่ไหน
               
“เออๆ” ผมพยักหน้าอย่างขอไปที ก่อนจะหลุดขำเมื่อไอ้เวสป้าร้องเยสออกมาดังลั่น ก่อนจะวิ่งไปตื๊อเพื่อนคนอื่นต่อ
               
ผมยิ้มมองไอ้เพื่อนตัวดีที่เต้นเร่าๆ ขอให้คนอื่นๆ ไปกินเหล้าเป็นเพื่อนด้วยความรู้สึกขบขัน อยากจะแบ่งความร่าเริงของมันเข้ามาในตัวผมบ้าง เผื่อว่าทันทีที่ต้องยืนอยู่คนเดียว รอยยิ้มของผมจะได้ไม่หายไปรวดเร็วขนาดนี้
               
ผมถอนหายใจหนักๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจอย่างประหลาด
               
ดูเหมือนความรู้สึกมากมายที่ผมพยายามจะเก็บกดเอาไว้ มันจะพยายามทำลายหีบที่ล็อกอย่างแน่นหนาในใจผมออกมาอีกแล้ว
               
และก่อนที่ความรู้สึกเหล่านั้นมันจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตาเหมือนอย่างเคย ผมก็ตัดสินใจรีบเดินไปที่รถ ขับกลับหอให้เร็วที่สุดสะกดจิตตัวเองให้โหยหาแต่เตียงนอนตามที่มันควรจะเป็น และภาวนาให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ทำให้ผมหลับเป็นตาย โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอะไรอีก
               
               
8.45 P.M.
               
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นมาได้ตามเวลานัด แต่สุดท้ายก็ถูกฝันร้ายปลุกขึ้นมาก่อนเวลาอันควรจนได้
               
ไอ้เวสป้ามารับผมตามที่พูดตอนสองทุ่มตรงไม่มีขาดตกบกพร่อง ท่าทางที่ดูกระตือรือร้นเกินไปของมัน ทำเอาผมอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันได้เรียนอยู่คณะเดียวกันจริงหรือเปล่า ทำไมถึงได้ดูร่าเริงผิดวิสัยคนที่ทำงานโต้รุ่งทั้งอาทิตย์แบบนั้น
               
ผมนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของไอ้เวสป้าไปในสภาพที่เหมือนคนยังตื่นไม่เต็มตา เพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม จนกระทั่งมาถึงร้านก็ต้องชะงักไป เมื่อพบว่าร้านที่มันนัดมา คือร้านที่ The Quantum เคยเล่นดนตรีอยู่
               
“มีไรวะ” ไอ้เวสกันกลับมาเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าผมหยุดเดินไปดื้อๆ
               
“ฮะ” เหมือนสติที่หายไปโดยไม่รู้ตัวถูกกระชากให้กลับเข้าร่างอีกครั้ง ผมกลืนน้ำลายอย่างอึกอัก ก่อนจะหันไปส่ายหน้าตอบ “เปล่า ไม่มีอะไร”
               
เสียงมันเบาเกินไปจนแม้แต่ผมยังจับได้ว่าตัวเองโกหก แต่ผมจำเป็นต้องเก็บกดความคิดและความรู้สึกบางอย่างของตัวเองเอาไว้ ซ่อนมันภายใต้คำว่าไม่เป็นไร...

ไม่เป็นไร เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
               
ไม่เป็นไร...ยังไงก็คงไม่ได้เจอ
               
เมื่อผมกับไอ้เวสป้าเดินเข้ามาในร้าน ก็เจอกับเพื่อนร่วมรุ่นกลุ่มใหญ่ที่มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า สภาพทุกคนดูสดใสราวกับความเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์เป็นเพียงเรื่องโกหก พอเหล้าเข้าปาก อะไรๆ ก็ดูจะกลายเป็นเรื่องสนุกสนานไปหมด แทบทุกคนในโต๊ะผลัดกันเล่าเรื่องตลกเรียกเสียงหัวเราะปนกับเสียงตะโกนด้วยความคึกคะนองที่ถูกโปรดักชั่นวีคเก็บกดไว้ ในขณะที่ผมเพียงแค่นั่งมองเพื่อนส่งเสียงเฮฮาอยู่ในมุมเงียบๆ อย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่นัก
               
ผมพยายามหาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกสนุกอย่างที่ควร แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะลบเหตุผลอื่นๆ ออก เหลือเพียงคำตอบง่ายๆ ว่าผมเพียงกำลังง่วงมากเท่านั้น
               
“กูไปห้องน้ำแป๊บนะ” ผมเอียงตัวไปกระซิบบอกไอ้เวสป้าที่กำลังหัวเราะสนุกสนานกับเรื่องเล่าของคนอื่น มันหันมาพยักหน้ารับรู้ ผมจึงลุกเดินออกมาจากโต๊ะ ตั้งใจจะออกไปสูดอากาศสักพักก่อนกลับมา เพราะในนี้มันรู้สึกอุดอู้และอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็เคยมาบ่อยๆ แท้ๆ
               
แต่ความจริง อาจเป็นเพราะมาบ่อยเกินไปจนคุ้นเคยนี่แหละ ที่ทำให้อึดอัดจนหายใจไม่ออกแบบนี้
               
การพยายามลบทุกภาพความทรงจำที่ดึงดันพยายามจะปรากฏขึ้นมาในสมอง มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
               
กรี๊ดดดดด
               
ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไป อยู่ๆ เสียงกรีดร้องและเสียงฮือฮาก็ถึงขึ้นมา พร้อมกับผู้คนที่กรูกันไปหน้าเวทีซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางที่ผมกำลังจะเดินไปโดยไม่ได้นัดหมาย ผมเกือบจะไม่สนใจความแตกตื่นนั้นแล้ว ถ้าหากใครสักคนที่กำลังวิ่งสวนไป ไม่ชนไหล่ผมจนเซโดยไม่สนใจ พร้อมกับประโยคหนึ่งที่ดังเข้ามาในหู
               
“เชี่ย The Quantum จริงด้วยว่ะ”
               
และประโยคคล้ายคลึงกันที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
               
“กรี๊ดดด The Quantum”
               
“พี่วินกลับมาแล้ว”
               
"โอ๊ยย พี่เชนนน”
               
สมองของผม กลับกลายเป็นสีขาวโพลนทันทีที่ได้ยินประโยคเหล่านั้น ความคิดที่จะเดินออกไปสูดอากาศหยุดชะงักลงพร้อมกับเท้าทั้งสองข้างที่ไม่ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป
               
ไม่รู้ว่าผมจะต้องพูดคำนี้อีกสักกี่ครั้ง... คำว่าพระเจ้าไม่เคยเข้าข้างคนอย่างผม ไม่เคยทำให้คำขอของผมเป็นจริง แม้จะเป็นเพียงคำของ่ายๆ อย่างการขอให้ไม่ต้องเจอหน้าเขาอีก... แค่เพียงคืนนี้ก็ยังดี
                 
ผมขอแค่ให้คืนนี้ผ่านไป โดยที่หัวใจของผมไม่ต้องรู้สึกเจ็บ เพียงเท่านี้ไม่ได้เลยหรือยังไง ถึงได้แกล้งกันด้วยวิธีนี้
               
“สวัสดี พวกเรา The Quantum” คำแนะนำตัวสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์ของเตอร์ดังเข้ามาในโสตประสาท เรียกสติที่ลอยไปไกลของผม ให้กลับมาอีกครั้ง
               
และต่อให้ผมพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้หันกลับไปแค่ไหน สุดท้ายร่างกายมันก็ทรยศด้วยการหมุนตัวกลับไปอย่างเชื่องช้า เลื่อนสายตาไปยังตำแหน่งหนึ่ง ที่รู้ดีว่าเขามักจะอยู่ตรงนั้นเสมอ...
               
เพื่อพบว่า ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่แสนจะเดายากคู่นั้น กำลังมองตรงมายังที่ที่ผมยืนอยู่เช่นกัน
               
“ไม่เจอนาน ไม่รู้ว่าลืมพวกเราไปหรือยัง” เสียงของเตอร์ที่พูดคลอกับเสียงเพลงที่เริ่มบรรเลง ราวกับเป็นตัวแทนเอ่ยคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัวใจของผมที่ได้แต่ยืนนิ่งพยายามหาคำตอบบางอย่างจากดวงตาคู่สวยที่เอาแต่จ้องมา
               
แต่มองไม่เห็นอะไร นอกจากความเย็นชาอันเสแสร้ง
               
“ถ้าคิดถึงกัน ก็ส่งเสียงหน่อยเร้ว!” 

แน่นอนว่าจบคำพูดนั้น เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับจังหวะของดนตรีที่เร่งเร้าขึ้นราวกับต้องการจะปลุกปั่นผู้คนทั้งหมดในที่นี้ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็ยังไร้ที่ติ
               
แต่เสียงดนตรีอันยอดเยี่ยมนั้น กลับไร้ผลกับคนโง่อย่างผมโดยสิ้นเชิง
               
คนโง่ ที่เอาแต่ยืนอย่างไร้สติอยู่ที่เดิม จับจ้องไปที่ดวงตาคู่เดิม แม้ว่าจะสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกใดๆ
               
คนโง่ ที่ไม่อาจเปล่งเสียงออกไป แม้ว่าในใจจะกำลังร่ำร้องว่า ใช่... ผมคิดถึง

คิดถึงเขามากจนแทบขาดใจ
               
แต่สุดท้าย ผมก็เป็นได้แค่เพียงคนโง่ ที่ห้ามไม่ได้แม้กระทั่งน้ำตาของตัวเองที่ค่อยๆ ไหลลงมาในความเงียบงัน

               
เวลาผ่านไป
               
หลายเดือนที่ผ่านมา ผมเรียนรู้แล้วว่านกอย่างผม ไม่มีวันบินไปถึงดวงจันทร์

...ยิ่งผมพยายามดึงดัน ก็จะยิ่งเหนื่อย และร่วงหล่นลงมาบาดเจ็บสาหัสเสียเอง
               
ผมเรียนรู้ว่าการที่ปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้น ปรากฏและจางหายตามกาลเวลา คือหนทางที่จะเก็บรักษาดวงจันทร์ที่ผมรักเอาไว้ได้ตราบเท่าที่ผมต้องการ
               
ผู้ชายคนนั้นอ่านใจผมออกเสมอ แม้กระทั่งในวันที่เราไม่ได้อยู่ข้างกัน เขารู้แน่ว่าต่อให้ผมพยายามปฏิเสธตัวเองว่าไม่อยากเจอเขามากแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วผมรู้ใจตัวเองดี ว่าผมไม่เคยลืมเขาเลยแม้สักวินาทีเดียว และต่อให้ผมอยากลืม ...ผู้ชายที่แสนร้ายกาจคนนั้นก็ไม่มีทางให้ผมสมหวังดั่งใจ

หลักฐานก็คือทุกครั้งที่ผมคิดว่าความทรงจำของเรามันกำลังจะจางหาย เขาก็มักจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำความทรงจำที่ผมพยายามซ่อนไว้ให้เผยตัว แต่ทันทีที่ผมพยายามจะวิ่งตามไปเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ คนใจร้ายก็จะหายไปในเงามืดที่ผมไม่อาจเข้าถึงได้แม้แต่ปลายนิ้ว
               
มันเหมือนกับว่าเขากำลังแกล้งให้ผมทรมาน บนหนทางที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์เลือกเลยแม้แต่น้อย
               
“มึงไหวแน่นะไอ้ตรี” เสียงไอ้เวสป้าเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล ทั้งที่ตัวมันยังนั่งอยู่ข้างผม แถมเอียงตัวมากระซิบข้างหูด้วยซ้ำ
               
ผมคิดว่าตัวเองพยักหน้าตอบกลับไป แต่ไม่แน่ใจนักด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปแบบลืมนับปริมาณ
               
ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองเหลือเกิน ที่สุดท้ายก็เรียกสติกลับมาและตัดสินใจก้าวออกมาจากตรงนั้นได้ในที่สุด แม้จะใช้เวลานานมากก็ตาม ผมเลือกที่จะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง ในมุมที่เห็นเขาชัดที่สุด และคิดว่าเชนเอง ก็คงเห็นผมชัดที่สุดเช่นกัน ผมคิดว่าเราสบตากันอยู่อย่างนั้น นานจนกระทั่งการแสดงของเขาจบลง และผู้ชายคนนั้นก็หายไปราวกับฝันไปเช่นเคย
               
อย่างที่บอก ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกันในสถานการณ์ที่ผมภาวนาไม่ให้เจอ... แต่ก็เช่นเดียวกัน คำภาวนานั้นเป็นเพียงคำโกหกที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อกันตัวเองออกจากความเจ็บปวดแสนสาหัสเหมือนตอนนี้เท่านั้น
               
ผมอยากเจอเขา... อยากเจอเขายิ่งกว่าสิ่งใด แต่ในขณะเดียวกัน การได้เห็นหน้าเขาโดยที่ไม่อาจสัมผัส ก็ทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นผมจึงเรียนรู้ที่จะยืนอยู่ตรงนี้ ในระยะห่างที่ผมจะเห็นเขาได้ชัดเจน แต่ก็ห่างพอที่จะแน่ใจว่าเขาจะไม่หนีผมไปไหน เป็นวัคซีนกันตายให้ผมอยู่รอดได้แบบวันต่อวัน
               
“เฮ้ย ถ้ามึงไม่ไหว กลับก่อนก็ได้นะเว้ย” คราวนี้ผมได้ยินเสียงไอ้เพื่อนตัวดีชัดขึ้นกว่าเดิม อาจเป็นเพราะมันตะโกนเสียงดังแถมใกล้หูผมมากขึ้นอีกต่างหาก
               
“กูไม่เป็นไร” เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าผมตอบกลับไป แต่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า
               
ผมรับรู้ได้ว่าสมองตัวเองกำลังเบลอด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเกินขีดจำกัด แต่ถึงอย่างนั้น มือที่เริ่มสะเปะสะปะอย่างควบคุมไม่อยู่ ก็ยังคงหยิบแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นดื่มรวดเดียวและทำท่าจะเติมใหม่
               
“ไอ้เชี่ยตรี มึงกินเกินไปแล้ว เก็บกดมาจากไหนวะ” ไอ้เวสป้าโวยวาย “มึงเมาขนาดนี้กูพากลับไม่ได้นะเว้ย ให้กูไปเรียกพี่เชนให้มั้ย” ว่าจบมันก็ทำท่าจะลุก แต่โชคดีที่ผมยังมีสติพอที่จะคว้ามันไว้ได้ทัน
               
ไอ้เวสป้าไม่รู้เรื่องผมกับเชน...
               
คงเพราะตั้งแต่เปิดเทอม ผมก็เอาแต่หมกตัวอยู่ที่สตูไม่มีโอกาสได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน และการเรียนหนัก ก็ฟังดูเป็นเหตุผลที่ดีที่จะทำให้คนสองคนไม่ได้เจอหน้ากัน ที่สำคัญผมไม่เคยบอกมัน ถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีใครตั้งตัว
               
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคงเป็นเพราะ... จนถึงวันนี้ สิ่งของแทนใจสองสิ่งที่เขาเคยให้ ยังแขวนอยู่ที่คอผม อย่างไม่มีทีท่าว่าจะถูกถอดออกไป
               
“กูจะกลับ” ผมบอก เดาว่าน้ำเสียงตัวเองตอนนี้คงฟังดูแปลกไปเสียจนไอ้เพื่อนตัวดีทำสีหน้าประหลาดใจ “มึงไปส่งกูที” ผมส่งสายตาเว้าวอน
               
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมกับเชนเลิกกัน โดยเฉพาะด้วยการบอกเล่าผ่านสายตาและคำปฏิเสธอันแสนเย็นชาที่เขาจะมอบให้เมื่อมันไปขอร้องให้เขาช่วยเหลือผมอย่างที่มันว่า
               
ไอ้เวสป้าชั่งใจอยู่สักพัก แต่คงเห็นสีหน้าจริงจังของผม มันจึงยอมพยักหน้าในที่สุด “เออๆ”
               
เมื่อมันยอมตกลงตามใจผม ก็ถึงคราวต้องบอกลาคนอื่นๆ ในโต๊ะพอเป็นมารยาท ก่อนที่ผมจะเดินโซซัดโซเซฝ่าฝูงชนออกมานอกร้านโดยมีไอ้เวสป้าคอยประคองอย่างทนไม่ไหวกับความน่าสมเพช
               
“มึงเกาะดีๆ นะ” ไอ้เพื่อนตัวดีย้ำคำเดิมเป็นรอบที่สาม หลังจากผมขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรดของมันอีกครั้ง หลังจากเสียหลักไปในครั้งแรก และเวียนหัวจนต้องวิ่งลงไปอ้วกในครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาด ถึงผมจะเวียนหัวแต่ก็ไม่ถึงกับอยากอ้วก และผมคิดว่าตัวเองนั่งมั่นคงพอที่จะไม่เสียหลักแม้รถจะวิ่งไปตามถนนก็ตาม
               
“รู้งี้น่าจะเอารถมึงมา ปกติเห็นมึงไม่เมาก็คิดว่ามอไซค์คันเดียวคงไหว แล้วนี้เสือกนึกครึ้มอะไรขึ้นมาวะเนี่ยถึงได้แดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่าขนาดนี้ กูล่ะช็อกไปเลย” ไอ้เวสป้าบ่นอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ทัน และไม่คิดจะฟังอีกแล้วเพราะกำลังถูกความรู้สึกเวียนหัวเล่นงานจนแทบจะทนไม่ไหว สิ่งที่ผมต้องการก็คือให้มันหุบปาก และพาผมกลับห้องให้เร็วที่สุด ก่อนที่ผมจะ...
               
“เชี่ยๆๆ ไอ้ตรี!” ผมได้ยินได้เวสป้าตะโกนสุดเสียง พร้อมกับความรู้สึกโลกเอียงที่เกิดจากร่างกายที่อยู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรงของตัวเอง ผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะไหลลงไปกองที่พื้นเป็นรอบที่สอง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ราวกับว่าสมองไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้อีกต่อไป
               
แต่เมื่อผมเตรียมรับการกระแทกที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างหยุดนิ่งลง พร้อมกับตัวผมที่เอียงค้างอยู่กลางอากาศ
               
นี่มัน...ตลกชะมัด
               
ผมกำลังคิดว่าควรจะขำออกมา และเรียกให้ไอ้เวสป้าดูว่านี่มันเรื่องมหัศจรรย์ชัดๆ แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงทันที ที่เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นมาที่ข้างหู
               
“ระวังหน่อย” และเป็นคนคนเดียวกับที่คว้าร่างกายอันหนักอึ้งของผมเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะตกจากมอเตอร์ไซค์ลงสู่พื้นได้อย่างพอดิบพอดี
               
“...” น้ำเสียงของเขามีฤทธิ์ทำให้มึนเมาเสียยิ่งกว่าแอลกอฮอล์เสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็เรียกสติของผมให้กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ภาพทุกอย่างที่เคยถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกบางอย่าง ฉายชัดขึ้นมาในสายตา โดยเฉพาะใบหน้าเรียบนิ่งแสนเย็นชาของเขา ที่อยู่ใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
               
ผมอยากเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าของเขา แค่สักนิดให้หายคิดถึง แต่กลับต้องห้ามใจไว้สุดกำลัง เพราะกลัวเหลือเกินว่าทันทีที่ยื่นมืออกไป เขาจะหายไปอีกครั้ง เหมือนกับความฝัน
               
“พี่เชนมาพอดีเลย เอามันไปหน่อยดิพี่ ผมพามันซ้อนมอไซค์กลับไม่ไหวจริงๆ” แต่แล้วเสียงไอ้เวสป้าก็ทำลายความคิดทั้งหมดของผมให้หายไป ผมส่ายหน้าสุดกำลังพร้อมกับดีดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้ง พร้อมกับความหวาดกลัวบางอย่างที่แล่นขึ้นมาจับใจ
               
“มะ...ไม่ กูไม่เป็นไร” ผมละล่ำละลักพูดแทบฟังไม่ได้ศัพท์ พยายามตีไหล่ไอ้เวสป้าให้มันออกรถ เพราะไม่อยากรอฟังคำปฏิเสธที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมาจากเจ้าของฝ่ามือหนาที่เพิ่งจะปล่อยมือออกจากไหล่ผมไป
               
"ไอ้เตอร์ ยืมรถหน่อย” แต่เสียงทุ้มกลับเอ่ยประโยคที่ผมไม่เข้าใจ พลางหันไปมองร่างสูงอีกคนที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเขายืนอยู่ด้านหลัง วินาทีต่อมาผมก็เห็นสิ่งที่เขาต้องการลอยมาในอากาศก่อนที่เขาจะใช้มือข้างหนึ่งรับมันไว้อย่างง่ายดาย

ผมได้แต่นิ่งไปอย่างงุนงงขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะหันกลับมาสบตาผมด้วยสายตาเรียบนิ่งแสนคาดเดายากเหมือนเคย และสติของผมก็ถูกกระชากให้เข้าร่างอีกครั้ง เมื่ออยู่ๆ เจ้าของดวงตาคู่สวยก็เอื้อมมือมาจับแขนผม พร้อมกับกระชากอย่างแรงจนเซร่วงลงไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาอีกครั้ง

นะ...นี่มัน

ผมอยากจะตะโกนโวยวาย หรือทำอะไรสักอย่างให้เขาปล่อยมือ แต่คำพูดในหัวมันก็ตีกันไปหมดจนไม่อาจจะประมวลคำพูดใดออกมาได้ทัน แล้วก็เป็นเขาที่เงยหน้าขึ้นไปหาไอ้เพื่อนตัวดีของผม พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ทำให้หัวใจของผมหยุดเต้นไปชั่วขณะด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบาย

“เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

 ประโยคแสนเรียบง่ายที่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจว่าเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยทำไม... ในเมื่อเป็นคนทำร้ายผมเองกับมือ




-----------------------------
ลืมไปสนิทเลยว่าตั้งแต่วันนี้ไปจะเอาคอมไปซ่อมค่ะ
ดังนั้นขออนุญาตอัพรวดเดียวจบแบบร้อนรนนะคะ ว้ากก :katai4:
ขอโทษถ้าตอนท้ายจะไม่ได้บอกลากัน
เอาไว้จะหาโอกาสมาทอล์กยาวๆ สักครั้งนะคะ (รู้สึกไม่ค่อยได้คุยกับนักอ่านเท่าไหร่เลย u_u)

ขอบคุณที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นจนจบนะคะ
ขอบคุณทุกๆ เมนต์ทุกๆ กำลังใจเลย :)

ขอบคุณมากค่ะ
-- makok_num --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2016 12:03:37 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
48
ทลาย
 
               
ผมไม่เข้าใจว่าเชนต้องการอะไรถึงลากผมขึ้นรถมา แต่ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าก็คือ ทำไมผมถึงยอมตามเขามาโดยไม่แม้แต่จะพยายามขัดขืน
               
อาจเป็นเพราะผมกำลังเมาและมีสติน้อยเกินกว่าจะโต้แย้งอะไร อาจเป็นเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนผมไม่ทันตั้งตัว หรือความจริง มันอาจเป็นเพราะร่างกายมันซื่อตรงกับหัวใจเกินกว่าจะเชื่อสมองที่พยายามส่งเสียงโต้แย้งจอมปลอมว่าผมไม่ต้องการอยู่ใกล้เขาแม้สักวินาที
               
ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวโดยที่ผมไม่สามารถคัดกรองอะไรออกมาได้เลย ผมไม่รู้จะพูดอะไรในภาวะที่บรรยากาศในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายชัดเจนขนาดนี้ ผมไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามองเขา ได้เพียงนั่งนิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับถูกความเย็นของเครื่องปรับอากาศในรถแช่แข็งไปตลอดทาง

ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวมาจนถึงที่ซุกหัวนอนของผม แต่เราก็ยังคงนั่งนิ่งนานนับนาทีหลังจากที่รถจอดสนิท จนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าควรทำอะไรจึงเปิดประตูเดินออกมาจากรถด้วยความทุลักทุเล สติที่ถูกแอลกอฮอล์พรากไปถูกเรียกกลับมาด้วยความจำเป็น แม้จะไม่เต็มร้อย แต่วินาทีนี้ผมต้องใช้มันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ก็น่าหงุดหงิดจริงๆ ที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายมันกลับทำให้อะไรไม่เป็นไปดั่งใจ เพราะทันทีที่เท้าก้าวลงมาโลกก็หมุนคว้างจนทำให้ผมต้องเดินโซซัดโซเซอย่างหมดท่าแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

เวรเอ๊ย!

ผมสบถพึมพำกับตัวเองขณะที่ยกมือขึ้นมานวดขมับ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความรู้สึกที่เหมือนมีพายุหมุนลูกโตอยู่ในกะโหลกอย่างตอนนี้ได้ ใจจริงอยากจะกลั้นใจวิ่งสุดชีวิต ออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำอย่างนั้น ผมคงจะหกล้มหน้าแหกทั้งที่ยังวิ่งไม่ทันได้สามก้าวแน่

หมับ!

ผมสะดุ้งสุดตัวทันทีที่แขนข้างหนึ่งถูกฝ่ามือหนาคว้าเอาไว้ตอนที่กำลังจะตั้งหลักเดินให้ตรงอีกครั้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าของฝ่ามือนี้เป็นใคร ผมจึงรีบสะบัดแขนตัวเองออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

“อย่ามายุ่ง!” แต่สงสัยว่าจะสะบัดแรงเกินไป แทนที่จะหลุดแค่แขน ตัวผมกลับถูกแรงเหวี่ยงสุดกำลังของตัวเองพาให้เสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่า… คราวนี้หมดท่าจริงๆ

ทำไมอะไรๆ มันถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่างเลยวะ!

ผมทั้งรู้สึกอาย โกรธ และสมเพชตัวเองจนไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่นั่งชันเข่าซุกหน้าลงเพื่อซ่อนใบหน้าอันเต็มไปด้วยความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าได้เห็น

“ปล่อยฉันไว้ตรงนี้แหละ” ผมพูดเสียงอู้อี้ แต่รู้ว่ามันดังพอที่คนตรงหน้าจะได้ยิน

“ให้ตายสิ” แต่แทนที่เขาจะปล่อยผมไว้อย่างที่ขอ ร่างสูงกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของเขาดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถพึมพำ

“มานี่” และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นร่างของผมก็ถูกฝ่ามือหนากระชากให้ลุกขึ้นมาจากพื้นอีกครั้งอย่างไม่มีแรงต้านทาน ผมรู้ว่าอารมณ์ของเขากำลังคุกรุ่นจากแรงของฝ่ามือที่จับข้อมือผมไว้แน่น และแรงกระชากจากร่างสูงที่ลากผมไปตามทางที่ผมไม่อาจเดินไปเองได้

ผมเดินโซซัดโซเซตามเขาไปโดยไม่ปริปาก จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องของตัวเอง มือหนาล้วงกุญแจที่ผมไม่คิดว่าเขาจะยังเก็บเอาไว้กับตัวออกมาไขประตูเปิด ก่อนจะเหวี่ยงร่างผมเข้าไปในห้อง และจ้องเข้ามาในตาผมด้วยสายตาเรียบนิ่งที่เจือไปด้วยความหงุดหงิด

“เข้าไปซะ” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา น้ำเสียงรอดไรฟัน “แล้วอย่าทำแบบนี้อีก”

ผมแสยะยิ้ม เงยหน้าสบตาเขา “ทำอะไร”

“...” เขาถึงกับนิ่งไป

อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมกล้าจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาแบบนี้

“ตอบมาสิว่าฉันทำอะไร” แต่ผมอดไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกไม่ดีเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น ในเมื่อผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย

“...” เขาไม่ยอมตอบ แต่ก็ไม่ยอมละสายตาไปจากผมเช่นกัน

“นายต่างหากที่ทำ” น้ำเสียงของผมสั่นระริก แม้ว่าจะยังคงจ้องหน้าเขาอย่างพยายามอวดดี แต่ข้างในมันพ่ายแพ้ย่อยยับไปตั้งแต่สบตากับดวงตาคู่สวยตรงหน้าแล้ว “ทำให้ฉันทรมานซ้ำๆ จนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว” ผมยกมือขึ้นมาทุบหน้าอกตัวเองแรงๆ ราวกับว่ามันจะช่วยทำลายความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรจุกอยู่ตรงนั้นให้หายไปได้

แต่สุดท้ายผมก็ต้องเบือนหน้าหนี เพื่อปกปิดความอึดอัดที่ถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่กำลังไหลออกมาอย่างเกินกลั้น

“...” เชนเอาแต่เงียบ และผมไม่ชอบเลย

เวลาผ่านไปหลายวินาที โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังมีสีหน้าแบบไหนเพราะมัวแต่พยายามจัดการความรู้สึกตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของเขาดังขึ้นมา

“อย่าทำแบบนี้” เขาย้ำคำพูดเดิม แม้ว่าจะตอบไม่ได้ว่าผมไปทำอะไรให้ก็ตาม

แต่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปนั่น ก็ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้ง และก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าแทนที่จะมีแต่ความเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ มันกลับกลายเป็นว่าดวงตาจองเขากำลังฉายความรู้สึกที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น
ใบหน้าหล่อเหลายับย่นด้วยสีหน้าที่ทั้งอ่อนล้าและทรมาน คิ้วเข้มขมวดแน่น ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ฉายแววเจ็บปวดออกมาราวกับไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกต่อไป

“อย่าทำ...” น้ำเสียงของเขาบีบเค้นเสียจนเหมือนกับว่าเขาจะไม่สามารถพูดมันจนจบประโยคได้

“...”

“อย่าทำให้ฉันกลายเป็นคนที่ทำร้ายนายด้วยความโง่ของตัวเองแบบนี้” เชนยกมือขึ้นมากุมขมับ ขณะเดียวกันก็ใช้ฝ่ามือนั้นปิดบังสายตาผมจากดวงตาที่กำลังสั่นระริกด้วยความรู้สึกมากมายที่เขากำลังปลดปล่อยมันออกมา

“...”

“ทำไม...ถึงไม่ดูแลตัวเอง” เสียงทุ้มยังคงพยายามพูด แม้ว่าน้ำเสียงของเขามันจะขาดห้วงแทบไม่เป็นประโยคก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ทำท่ายอมแพ้ให้กับสมองที่ไม่อาจประมวลผลคำพูดใดออกมาแทนความรู้สึกได้อีก

ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่อธิบายทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไร

“ตรี”

สีหน้าที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ได้กำลังเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว

“ฮึก...” มันเป็นชั่ววินาทีที่ผมยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ก่อนจะก้าวไปหาร่างสูงแล้วกอดเขาไว้แน่นพร้อมกับทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากบางเพื่อบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก

แค่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง แค่รู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดแค่ไหนจากการกระทำอันโง่เง่าของตัวเอง มันก็ทำให้ผมลืมความทรมานที่ผ่านมาไปจนหมด เชนไม่ได้ผลักผมออกแต่กลับกอดร่างผมไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างรั้งใบหน้าของผมให้ชิดมากขึ้นเพื่อมอบจูบที่แสนลึกซึ้งให้ผมเช่นกัน

มันเป็นจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง โหยหา... ทว่าก็เจ็บปวดเกินบรรยาย

ร่างของเราทั้งคู่เคลื่อนเข้ามาภายในห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำด้วยการผลักดันจากความรู้สึกที่พลุกพล่านยากเกินต้านทาน จูบที่เคยเนิบนาบอ้อยอิ่งจากความคิดถึง กลับกลายเป็นสัมผัสร้อนจัดแห่งความโหยหาภายในเวลาไม่กี่วินาทีราวกับรอเวลานี้มาเนิ่นนาน

“ขอโทษ” เขากระซิบบอกหลังจากผละออกไปเพื่อให้ผมได้พักหายใจ “ขอโทษที่ทำให้เจ็บ” มือหน้ายกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ ราวกับต้องการทะนุถนอม น้ำเสียงที่แหบพร่าของเขา ทำให้รู้ว่าเขาเองก็กำลังทรมานไม่แพ้กัน
               
เพียงแต่เขาเก่งกว่าผม ตรงที่ซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าไร้ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

“...” ผมไม่ตอบอะไร แต่เขาคงมองออกจากดวงตาที่ประสานกัน ว่าผมให้อภัย ริมฝีปากบางจึงยกรอยยิ้มบางขึ้นมาพร้อมกับจรดหน้าผากลงมาบนหน้าผากของผม

“ขอโทษ...” เขาเอ่ยคำเดิมซ้ำๆ ขณะเคลื่อนริมฝีปากเข้ามาชิดกัน “ยอมแพ้แล้ว” ก่อนที่ถ้อยคำแสนอ่อนแอจะดังขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนแผ่วเบา

ผมหลับตาลงรอรับสัมผัสจากริมฝีปากบางที่ทาบทับลงมาอีกครั้งภายในเสี้ยววินาทีด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าเคย อ้อมแขนแกร่งกอดผมไว้แน่นจนร่างกายของเราแนบชิดราวกับไม่อยากให้อณูใดแทรกผ่าน ลมหายใจที่ประสานกันจนไม่อาจแยกออกถูกเร่งอุณหภูมิด้วยจูบอันวาบหวิวที่เร่งเร้าขึ้นตามแรงปราถณาในใจ

ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องทั้งหมดมันลงเอยตรงนี้ได้ยังไง มันรวดเร็วซะจนผมเชื่อว่าเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว ทุกอย่างถูกดำเนินด้วยอารมณ์มากกว่าจะถูกกักกั้นด้วยความคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำ

แต่ผมก็ไม่เสียใจเลยที่มันเกิดขึ้น...

ไม่เสียใจในการกระทำอุกอาจของร่างสูงที่ทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อบังเกิดเกล้าของผมจนหมดสิ้น และผมก็รับรู้ได้ว่าเชนเองก็ไม่เสียใจในการกระทำของตัวเองเช่นกัน เวลานี้เขาอาจไม่แคร์อะไรเลยด้วยซ้ำขณะที่มอบสัมผัสลึกซึ้งเปี่ยมความหมายให้ผมอย่างโหยหาและเอาแต่ใจ

ริมฝีปากร้อนจัดสาละวนอยู่กับการพรมจูบไปทั่วทั้งร่างที่ไม่รู้ว่าเปลือยเปล่าไปตั้งแต่ตอนไหน ร่างกายกำยำแสนละโมบค่อยๆ กลืนกินตัวผมอย่างช้าๆ ขณะที่ผมเองก็ตอบสนองสัมผัสแสนลึกซึ้งนั้นอย่างโหยหา ใช้การกระทำส่งผ่านความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นขึ้นในทุกๆ วินาทีแก่กันและกัน

เราต่างสอดประสานร่างกายเข้าด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า บรรเลงเพลงรักนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะใช้มันเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์ที่เพิ่งแตกหักให้กลับคืนมา แม้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไงต่อไป... สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการตักตวงสัมผัสของกันและกันเสมือนว่ามันเป็นวันสุดท้าย

เพราะไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่าความสุขนี้จะอยู่กับเราได้ตลอดไป


วันต่อมา

ผมคิดว่ามันคือความฝันที่ดีที่สุดในรอบหลายเดือน... จนกระทั่งลืมตาขึ้นมาและพบว่าข้างกายนั้นว่างเปล่า

ผมอยากจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาพอๆ กับอยากร้องไห้เพราะคิดว่ามันคงเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ...ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าร่องรอยและความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เป็นหลักฐานชั้นดีว่า เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“ตื่นแล้วเหรอ”

และเสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง...ก็เป็นของจริง

ผมพลิกตัวลุกขึ้นแทบจะทันที ลืมนึกถึงร่างที่ปวดระบมแถมความเวียนหัวจากการเมาค้างก็เล่นเอาแทบจะต้องทิ้งตัวลงไปอีกรอบ แต่ความเจ็บเหล่านั้นก็หายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อสายตาประสานเข้ากับดวงตาของร่างสูงในสภาพที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนบางที่ยืนอยู่ข้างผนังฟากหนึ่งของห้อง... ผนังที่เพิ่งว่างเปล่าจากการที่ผมดึงรูปถ่ายแห่งความทรงจำซึ่งคอยทิ่มแทงหัวใจเก็บไว้ในลิ้นชัก

แต่ตอนนี้ภาพต้องห้ามเหล่านั้นกลับถูกติดกลับลงไปที่เดิม ในตำแหน่งเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

 “ทำอะไร” ผมแกล้งถามยิ้มๆ เมื่อเห็นร่างสูงหันกลับไปกอดอกมองผลงานตัวเองอย่างพิจารณา

“กำลังคิดว่า แปะถูกที่หรือเปล่า” ตอบพลางยกมือขึ้นมาลูบคางอย่างใช้ความคิด

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ถูกสิ ถูกหมดเลย”

ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเชนเป็นคนใส่ใจกว่าที่คิด แม้เขาจะไม่ได้กลับมาที่นี่เลยตลอดหลายเดือน แต่การที่เขารู้ตำแหน่งของรูปภาพบนฝาผนัง ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาใส่ใจกับมันมากกว่าที่ผมเคยเห็น บางทีเขาอาจจะใช้เวลายืนมองมันในขณะที่รอผมอาบน้ำในทุกๆ วันก็ได้... เหมือนกับผม

ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขายังคงยืนนิ่งมองภาพถ่ายบนผนังอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะภาพถ่ายตรงกลางซึ่งมีเขา ผมและเจ้าเตพร้อมหน้า

“ฉันเสียใจนะที่กลับมาแล้วเห็นว่าพวกมันหายไป”

ผมยิ้มขืน “มันยากนี่ ที่จะเห็นมันตลอดเวลา” เอนหลังพิงหัวเตียง พลางมองเจ้าของแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออกระหว่างความสุข... และความกลัว

ผมมีความสุขที่เขายืนอยู่ตรงนั้น และมันไม่ใช่ความฝัน แต่ในขณะเดียวกันผมก็กลัวเหลือเกิน ว่าอีกไม่กี่วินาที เขาจะหายไป

เชนยิ่งนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดผม ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ แล้วหันกลับมาสบตาผมด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

“ฉันไม่อยากให้มันหายไปอีก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ

“งั้นนายก็อย่าหายไปสิ” ผมไม่ได้ยอกย้อน

...แต่กำลังขอร้อง

 เชนยิ้มบางๆ ก่อนจะเบือนหน้ามองลงพื้น และเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้งพร้อมกับเดินมานั่งข้างผม

“ขอโทษ” เขาพูดคำนั้นอีกครั้ง แม้ว่าผมจะได้ยินมาตลอดคืนแล้วก็ตาม มือหน้าเอื้อมมาลูบแก้มผมเบาๆ

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” ผมยิ้มและทาบมือลงบนมือของเขา พลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยบนหลังมือหนา

เราสบตากันอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานพอที่ผมจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เขาได้รู้ แต่กลับไม่เพียงพอที่ผมจะอ่านออกว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไร

มือหนาเปลี่ยนมาจับมือผมและดึงไปจูบเบาๆ ก่อนจะยื่นออกมาแตะสิ่งที่ผมสวมอยู่ที่คอแทน

“ฉันดีใจที่นายยังเก็บมันไว้” มันคือเกียร์และแหวนที่เขาเคยให้ผมไว้

“กำลังคิดจะเอาไปทิ้งอยู่พอดี” ผมพูดกลั้วหัวเราะ เชนยิ้มขำ ก่อนจะขยี้หัวผมเบาๆ

เราต่างเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงทุ้มจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ตรี” ทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อผม มันมักจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเรา “ขอโทษที่เห็นแก่ตัว”

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“แต่ถ้าฉันขอให้รออีกครั้ง... จะรอได้หรือเปล่า”

“...” ผมรู้ว่าเขากำลังจริงจัง แต่คำถามของเขายากสำหรับผมจริงๆ

“ตรี” เขาเรียกชื่อผมอีกครั้ง คาดคั้นเอาคำตอบ

“...” แต่ผมก็ยังได้แต่นิ่งงัน ในหัวมันสับสนไปหมด ผมไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าเขาจะให้ผมรออะไร ...อาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วผมรู้คำตอบดี

และคำตอบนั้นมันทำให้ผมกลัว

“ไว้ใจฉันมั้ย?” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อสบตากันใกล้ขึ้น และมันทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังตั้งคำถาม แต่กำลังขอร้อง
ซึ่งมันได้ผล ความสับสนของผมพังทลายหายไปทันทีที่เห็นแววตานั้น

“อืม” ผมรับปากในที่สุด “ฉันจะรอ” ไม่เคยต้านทานความเอาแต่ใจของคนตรงหน้าได้เสียที

เชนยิ้มออกมา ก่อนที่จะโน้มตัวลงมาปลดสายสร้อยที่ผมสวมเอาไว้ ดึงแหวนทองคำขาวออกมา สวมสร้อยเข้าที่คอผมเหมือนเดิม ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือของผมออกไป สวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอีกครั้ง
พร้อมกับคำสัญญา

“เดือนเดียว” เขาจรดริมฝีปากลงมาที่แหวนเบาๆ “ขอแค่เดือนเดียว”

“...” ผมไม่ตอบอะไร ขณะที่สบตากับดวงตาคู่สวยที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่อยากให้เขาสัญญา แต่ก็ทำได้แค่เชื่อมั่นเท่านั้น
“ถ้าไม่กลับมา อนุญาตให้โยนมันทิ้งได้เลย”

ผมหัวเราะ แม้ว่าคำพูดของเขาจะไม่ตลกก็ตาม “จะกล้าทิ้งได้ยังไง”

มันอาจทำให้ผมเจ็บเสียยิ่งกว่าการดันทุรังเก็บมันเอาไว้เสียอีก

“ฉันพูดจริงนะ” แต่ดูท่าว่าเขาจะไม่ยอมให้ผมดื้ออีกแล้ว “ถ้าไม่กลับมา ก็ทิ้งมันไปได้เลย”

“...”

เขาอ่านออกว่าผมกำลังกลัว จึงเลื่อนหน้าเข้ามาจูบหน้าผากผมเบาๆ

“แต่ไม่ได้ทิ้งแน่” ร่างสูงกลั้วหัวเราะ

ผมหัวเราะตาม ขณะที่ใบหน้าคมขัยบเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนลมหายใจของเราประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดนั้นจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

“ฉันจะกลับมา”

และกดจูบลงมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นกว่าเดิม ร่างสูงขยับเข้ามากอดผมไว้ จูบที่นำไปสู่สัมผัสแสนลึกซึ้งแทนคำยืนยันว่า เขาจะทำตามคำสัญญา





-- makok_num --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2016 11:58:47 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
บทส่งท้าย
 
               
หนึ่งเดือนผ่านไป
               
ผมไม่อยากพูดว่ามันผ่านมาแล้วเดือนนึง นับตั้งแต่เชนขอให้ผมรอในวันนั้น
               
เพราะในความเป็นจริง มันเพิ่งผ่านมาสามสิบวัน และหนึ่งเดือนสำหรับผม นับถึงวันที่สามสิบเอ็ด
               
...แม้ว่าจะเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็ตาม
               
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และพยายามไม่ก้มมองนาฬิกาให้จิตตกไปมากกว่านี้ เพราะไม่มีวี่แววของร่างสูงที่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย
               
และตามที่ตกลงกันไว้ก็คือ หากเขาผิดสัญญาคราวนี้ ผมต้องปล่อยมือ...
               
แต่มันจะทำง่ายๆ ได้ยังไงวะ ผมไม่ใช่เขานะ ไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น แค่ไม่เจอหน้ากันตลอดทั้งเดือนโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง ผมก็แทบจะคลั่งแล้ว
               
หลังจากคืนนั้นที่เขากลับมา ผมเผลอคิดเอาเองว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไป มันกำลังจะดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด เชนไม่บอกอะไรผม มากกว่าที่เขาบอกก่อนออกจากห้องไปในเย็นวันนั้น... และไม่โผล่หน้ามาอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ไปทำอะไร พยายามถามคนรอบๆ ตัวเขาก็ไม่ได้ความสักอย่าง
               
สิ่งเดียวที่บอกว่าเขาหนีหน้าเพราะต้องการทิ้งผม ก็คือคำขอร้องของเขาที่บอกให้ผมรอ
               
แต่หนึ่งเดือนมันอาจจะเร็วเกินไปหรือเปล่า เขาอาจจะกลับมาไม่ทัน... อาจจะกำลังติดพันกับอะไรสักอย่างที่ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ หรือ...
               
หรือความจริงเขาไม่คิดจะกลับมาตั้งแต่แรก
               
เห็นมั้ย เขาทำผมเป็นบ้าแล้วจริงๆ
               
“ไอ้ตรี” เสียงเรียกจากด้านหลังปลุกผมจากภวังค์ความฟุ้งซ่านก่อนหัวจะระเบิดตายได้อย่างพอดิบพอดี
               
ผมหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับไอ้ซันและโชที่เดินมาพร้อมกัน ในมือของไอ้เพื่อนตัวดีมีเหล้าราคาแพงที่บรรจงผูกโบว์สีชมพูอย่างดี
               
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์เพื่อน”
               
ใช่ วันนี้วันเกิดผม ซึ่งก็ไม่เคยต่างจากวันอื่นๆ ของปี เว้นเสียแต่ว่าปีนี้ มันอาจจะเป็นวันที่แย่ที่สุด... ถ้าใครบางคนเบี้ยวนัด
               
เหมือนผมถูกความบังเอิญกลั่นแกล้งอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวันสุดท้ายตามข้อตกลงมันดันตรงกับวันเกิดของผมพอดี เขาน่าจะเลือกให้ผมรอมากกว่านี้อีกสักหนึ่งวัน ไม่สิ ขออีกสักเดือนหนึ่งเลย อย่างน้อยมันก็จะได้ไม่จำง่ายเกินไป และผมก็จะได้ไม่ต้องปั้นหน้ายิ้มให้คำอวยพรของคนอื่นทั้งๆ ที่ความจริงข้างในมันกำลังแตกสลาย
               
“หน้ามึงหม่นหมองอมทุกข์มาก นี่วันเกิดนะ ไม่ใช่วันตาย” ไอ้ซันทำหน้าเอือมเมื่อผมดูไม่ยินดียินร้ายกับคำอวยพรของมันแม้แต่น้อย ผมเลยยิ้มขืนๆ ตอบกลับไป
               
ผมไม่ได้บอกมันว่านอกจากวันเกิดผมแล้ว วันนี้มันยังมีความสำคัญอย่างอื่น อันที่จริง ผมไม่ได้บอกใครเลยเรื่องระหว่างผมกับเชน ไอ้ซันไม่รู้ว่าเรากลับมาเจอกันด้วยซ้ำ มันยังคงคิดว่าผมยังอยู่ในระยะทำใจ เหตุผลที่ผมเก็บเอาไว้เป็นความลับ ก็เพื่อใช้มันหลอกตัวเอง
               
เมื่อคืนนี้ผ่านไป ผมจะได้แอบนับหนึ่งใหม่โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าผมกำลังโกหก
               
“บอกแล้วว่าไม่ชอบของขวัญ” โชที่เงียบดูสถานการณ์อยูนานแทรกขึ้นก่อนจะยื่นซองบางอย่างมาให้ผม “อันนี้ของขวัญผม เป็นบัตรส่วนลดครึ่งราคาเครื่องดื่มที่ร้าน” เขาว่ายิ้มๆ
               
“อื้อหือ ของมึงดีมากมั้ง ความลงทุนอยู่ไหนวะตี๋ งกขนาดนี้ขี้เป็นเกลือป่ะเนี่ย” ไอ้ซันถากถางจนโชต้องกันไปค้อนใส่หนึ่งที ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นสองคนนี้กัดกัน แม้จะเห็นจนชินตาแล้วก็ตาม
               
“จะอะไรก็ชอบทั้งนั้นแหละ ขอบใจนะ” ผมตัดบทขณะที่ทั้งสองคนกำลังแยกเขี้ยวใส่กัน “พวกมึงไปหาโต๊ะนั่งก่อนไป เดี๋ยวกูต้องขึ้นแสดงแล้ว” ผมว่าไอ้ซันเลยหันมาพยักหน้าเออออก่อนจะเดินนำโชไปหาโต๊ะนั่งไม่วายหาเรื่องทะเลาะกันไปตลอดทาง
               
ผมถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหลังร้านเพื่อหยิบกีตาร์คู่ใจออกมาทำหน้าที่ตามที่ถูกจ้าง
               
ผมพยายามทำให้ทุกวันผ่านไปอย่างปกติที่สุด แม้ว่าข้างในจะไม่ปกติสักเท่าไหร่นัก หัวใจของผมห่อเหี่ยวลงในทุกๆ วินาทีที่เวลาเดินหน้า มันเหมือนกับผมกำลังยืนอยู่ที่ปากเหวรอเวลาตัดสินใจว่าจะกระโดดลงไปดีมั้ย ทั้งสับสน และหวาดกลัวจนไม่อาจบรรยาย
               
ก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนมารั้งผมเอาไว้ ก่อนจะถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ
               
“เฮ้ยตรี ขอโทษจริงๆ นะที่ต้องให้มาเล่นทั้งที่เป็นวันเกิด แทนที่จะได้ไปฉลองกับเพื่อนๆ” พี่เจ้าของร้านทักขึ้นขณะที่เดินสวนกับผมมาจากหลังร้านพอดี
               
“ไม่เป็นไรพี่ เล่นก่อนค่อยฉลองก็ได้” ผมตอบยิ้มๆ ให้ใบหน้ารู้สึกผิดคลายความกังวล
               
“ขอบใจนะ ยังไงเดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงโต๊ะเราแล้วกัน บอกเพื่อนจะเอาอะไรก็สั่งเลยนะ ตามสบาย” ว่าพลางตบบ่าผมเบาๆ
               
ผมยิ้มขอบคุณและเดินไปเอากีตาร์ตามที่ตั้งใจ แต่ไม่วายส่งข้อความไปบอกไอ้ซันตามสารที่ได้รับมาเมื่อครู่ ซึ่งรับรองได้ว่ามันต้องลิงโลดมากแน่ๆ ที่ได้กินเหล้าฟรีไม่อั้นแบบนี้ วัดจากข้อความที่ตอบกลับมารัวๆ ก็รู้
               
ผมยิ้มขำ เมื่อไอ้เพื่อนตัวดีส่งสติกเกอร์ซาบซึ้งแบบกวนๆ กลับมา ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งและกำลังจะเก็บโทรศัพใส่กระเป๋า
               
ถ้าไม่ติดที่ว่ามีสายเข้ามาเสียก่อน
               
“ครับแม่” ผมรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์บ้านที่อิตาลี
               
[ แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้ะลูก ] แม่อวยพรด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นโดยไม่เอ่ยบทนำใดๆ
               
ผมหัวเราะและตอบกลับไป “ขอบคุณครับ” รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้
               
[ ทำอะไรอยู่ลูก จะนอนหรือยัง ] แม่เริ่มถามคำถามทั่วไปตามประสาคนเป็นห่วง
               
“ยังครับ พอดีวันนี้มีคิวเล่นดนตรีดึก” ผมตอบตามตรง
               
แม่รู้ว่าผมทำงานเป็นนักดนตรีกลางคืน แม้จะไม่สนับสนุนนักเพราะเป็นห่วงสุขภาพ แต่ก็ไม่เคยห้าม
               
[ อ๋อ แล้วนี่ใกล้แสดงหรือยัง แม่กวนหรือเปล่า ]
               
“ไม่กวนครับ ไอ้อีกสิบนาที” ผมกะเวลา และรู้สึกใจหายเมื่อก้มดูนาฬิกา
               
เพราะอีกสิบนาทีก็จะเที่ยงคืนแล้วเหมือนกัน
               
[ เอ้อ อันที่จริงแม่โทรมาเพราะพ่อเขาบอกให้โทร ตรีอยากคุยกับพ่อมั้ย ] คำถามของแม่ทำเอาผมชะงัก กลับมาโฟกัสกับบทสนทนาอีกครั้ง
               
“ไม่ครับ” ผมเว้นช่วงพักหนึ่งก่อนจะตอบ
               
มันอาจฟังดูใจร้าย แต่ผมยังไม่หายโกรธ...
               
ผมรู้ว่าพ่อไม่ผิดที่เป็นห่วง ไม่ผิดที่จะกีดกันเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบ้านเราจริงๆ แต่ท่านก็ต้องยอมรับว่าข้อเสนอของท่านมันไร้เหตุผลเกินรับไหว และไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่สามารถบังคับรสนิยมของผมได้
               
และในเมื่อพ่อเอาแต่ใจ ผมก็จะเอาแต่ใจด้วยการไม่ยอมคุยกับท่านเช่นกัน
               
ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่คุยกับท่านตลอดไป เพราะยังไงท่านก็เป็นพ่อผม แต่ก็อย่างที่เห็น... ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกของเราไม่ได้สนิทชิดเชื้อนัก เจอปัญหาหนักเข้าไปเสริมอีก มันก็คงใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะต่อติด
               
[ ตรี ลูกรู้ใช่มั้ยว่าพ่อเขาเป็นห่วง ] แม่มีน้ำเสียงจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินความดื้อดึงของผม
               
“ครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว
               
[ รู้ใช่มั้ยว่าพ่อเขารักลูกมาก ]
               
“ครับ” ผมรู้สึกว่าคราวนี้เสียงตัวเองเบากว่าเดิม
               
แน่นอนผมรู้เรื่องนั้นดี แต่เพราะทิฐิที่มีมันบังตาเสียจนผมโกหกตัวเองว่าพ่ออาจไม่ได้ไยดีผมเท่าไหร่นัก
               
ผมมันเด็กเอาแต่ใจ ผมรู้ดี
               
[ พ่อเขาอยากขอโทษนะที่ทำลูกเสียใจ ] ผมชะงักไปอีกครั้ง เมื่อได้ยินแบบนั้น ใจหนึ่งคิดว่าคงเป็นคำพูดของแม่ที่อยากให้เราปรับความเข้าใจกันมากกว่า
               
แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าพ่อจะอยากขอโทษผมจริงหรือเปล่า
               
“ผมขอคุยกับพ่อหน่อยได้มั้ยครับ” ผมถอนหายใจและพูดออกไป ไม่นานปลายสายก็เงียบไป เสียงกุกกักทำให้ผมรู้ว่าแม่กำลังส่งสายโทรศัพท์ให้ใครอีกคน
               
[ … ]
               
“...”
               
แต่ก็ไร้บทสนทนา
               
“พ่อครับ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจว่ามีคนถือสายอยู่
               
[ อืม ] เสียงแหบทุ้มตอบมาแค่นั้น ก่อนจะเงียบไปอีก
               
เราต่างก็เงียบใส่กันนานจนผมคิดว่าพ่ออาจจะวางสายไป และไร้ประโยชน์ที่ผมจะรอฟังคำที่อยากได้ยิน
               
“ถ้าพ่อไม่พูด...” ผมกำลังจะตัดบทเพื่อวางสาย แต่อีกฝ่ายก็ยอมพูดขึ้นมาพอดี
               
[ ฉันเพิ่งส่งของขวัญไปให้ ]
               
“ครับ?”
               
[ ถ้าได้รับแล้วก็โทรกลับมาด้วย ] ผมขมวดคิ้วให้กับคำพูดที่แสนจะเอาแต่ใจจากพ่อ ก่อนจะตอบกลับไปห้วนๆ
               
 “ครับ”
               
[ แล้วก็... ] ขณะที่ผมกำลังจะตัดสายอีกรอบ ปลายสายก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน [ ขอโทษที่ทำให้แกเสียใจ ]
               
“...”
               
[ สุขสันต์วันเกิด ]
               
คราวนี้ไม่ต้องรอให้ผมเป็นคนขอวางสาย เพราะสายตัดไปทันทีที่พ่อพูดคำนั้นจบ แต่ผมก็ยังถือหูนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คำขอโทษจากคนปากแข็งอย่างพ่อผม เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าจะได้ยิน
               
และคำขอโทษนั้นมันก็ติดหูผมไปจนลืมสงสัยไปสนิทเลยว่าของขวัญที่พ่อส่งให้มันคืออะไร...
 
               
สิบนาที่สุดท้ายของวัน ถูกใช้ไปกับการเล่นดนตรีตามหน้าที่ ใช้มันเป็นข้ออ้างในการเพิกเฉยต่อเวลาที่นับถอยหลัง และกำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว
               
“เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้วนะครับสำหรับค่ำนี้” ผมกรอกเสียงตัวเองใส่ไมค์ แม้ไม่มีใครสนใจนอกจากเพื่อนของผมที่นั่งรออยู่โต๊ะล่าสุดก็ตาม
               
วันนี้ผมได้เล่นแค่ไม่กี่เพลงเท่านั้น เพราะถูกจ้างมาเป็นกรณีพิเศษ แทนวงปิดที่มีธุระต่างจังหวัดและต้องกลับก่อน และตามกฎคือเที่ยงคืนบาร์จะปิด รวมถึงดนตรีทุกชนิดก็ต้องหยุดเล่นด้วย แต่ก็ยังอนุญาตให้นั่งดื่มได้ตามอัธยาศัย
               
“อาจเป็นเพลงที่ไม่คุ้นหูนัก เพราะเป็นเพลงที่ยังไม่มีการอัดเสียงใดๆ” ผมยิ้ม เพราะรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะเล่นเพลงอะไร
               
“Just Another Guy ของ The Quantum ครับ” ผมพูดชื่อเพลงและให้เครดิตสั้นๆ ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะไล้ไปตามสายกีตาร์ในท่วงทำนองที่ผมจำได้ขึ้นใจ
               
มันคือเพลงที่เขาแต่งเอาไว้ให้ ‘เรา’
               
และผมหวังว่ามันจะเรียกคำว่า ‘เรา’ ของผมมกับเชนให้กลับคืนมาอีกครั้ง
               
ทุกถ้อยคำที่ผมเปล่งท่วงทำนองเพลงรักนี้ออกไป ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ผมจะไม่นึกถึงหน้าเขา และขอให้เขากลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมจริงๆ
               
ผมหลับตา ภาวนา... และหลับตาลงอีกครั้ง
               
ทำแบบนั้นซ้ำๆ จนกว่าจะได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยแสนคิดถึงปรากฏขึ้นมา แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ 
               
รู้ว่าเวลาหมดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังราวกับคนบ้า
               
ผมแอบทดเวลาในใจ เพิ่มเวลาให้ตัวเองไปเรื่อยๆ

หนึ่งวินาที...

สองวินาที...

จนกระทั่งถึงวินาทีที่สาม...

ผมก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งผมตลอดไป...

อย่างน้อยในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จิตใต้สำนึกของผมจะสั่งให้ตัวเองหยุดทุกอย่างเอาไว้ กระชากแหวนที่อยู่กับนิ้วนางข้างซ้ายทิ้งไปแล้วบอกตัวเองให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ ท่านก็ตอบรับคำขอของผมได้ทันการณ์

ในที่สุดเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น... ตรงกับสายตาผมที่ลืมตาขึ้นมาพอดิบพอดีราวกับตั้งใจ

ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กับกางเกงขายาวตัวเก่งที่ทำให้ร่างของเขาเด่นสะดุดตากว่าคนรอบกายเช่นเคย

"..."

มันอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อแต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝัน ยังมีสติครบถ้วนทุกประการ เพราะใบหน้านั้นชัดเจนไม่มีสิ่งใดพร่าเลือน
ใบหน้าอันคุ้นเคยที่ส่งยิ้มมาอย่างสงบ ขณะที่เรียวขายาวก้าวมาข้างหน้า ย่นระยะห่างระหว่างเราจนกระทั่งเหลือเพียงหนึ่งก้าว วินาทีนั้นผมลืมไปหมดทุกอย่าง... ลืมแม้กระทั่งเสียงของตัวเอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมหยุดร้องเพลงตอนไหน หยุดไล้มือไปตามสายกีตาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทุกอย่างรอบตัวกำลังหยุดชะงักและทุกคนกำลังมองมาที่ผมด้วยความประหลาดใจ

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะขำ กับอาการตกใจจนสมองฟั่นเฟือนของผม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบาง พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยคำที่ผมรอคอยมาตลอดทั้งเดือน

“กลับมาแล้วครับ”

“...”

ใช่ เขาคือเชน...

เชนของผม...อยู่ตรงหน้าแล้วจริงๆ 
             
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองทำหน้ายังไง ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าควรทำหน้ายังไง ทุกอย่างเหมือนนิ่งสนิท มีเพียงเขาเท่านั้นที่ชัดเจนในสายตา เขาที่ยังคงส่งยิ้มร้ายๆ ขณะที่ยกมือข้างที่ล้วงกระเป๋าอยู่ขึ้นมา เพื่อโชว์ให้ดูว่านอกจากนิ้วนางที่มีแหวนแบบเดียวกับผมสวมอยู่ ยังมีริบบิ้นสีแดงผูกเป็นโบว์อยู่ที่ข้อมือ และมันคงไม่กระตุ้นให้น้ำตาของผมทะลักออกมาได้มากมาย ถ้าหากว่ามืออีกข้างไม่ได้ชูอะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาให้ผมได้เห็น
               
มันกระดาษเอสี่ยับๆ ซึ่งปรากฏข้อความสั้นๆ ที่แม้จะไม่ได้เจอกันนาน ผมก็จำได้แม่นว่ามันถูกเขียนด้วยลายมือของพ่อผม
 
               
‘สุขสันต์วันเกิด
         จากพ่อ’
               
               
 วินาทีนั้นผมปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ ไม่สนใจอะไรอีกเมื่อเข้าใจแล้วว่าของขวัญที่พ่อว่ามันคืออะไร คำถามที่ว่าเชนหายไปไหน และให้ผมรออะไรได้รับคำตอบในเวลาเดียวกัน... และมันเป็นคำตอบที่ดีเสียยิ่งกว่าความฝัน

ผมยิ้มให้เขาทั้งน้้ำตาในขณะที่ร่างสูงก็ส่งยิ้มกว้างตอบกลับมาเช่นกัน มันเหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ๆ ออกจากอกหลังจากแบกมันมานานจนแทบจะทนไม่ไหว... เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถใช้คำพูดอธิบายได้เลยได้แต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา
               
ความหวาดกลัว ความกังวลทุกอย่างถูกลบล้างและทดแทนด้วยคำขอบคุณมากมายที่เอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
               
"ขอบคุณครับ"
 
               
ขอบคุณครับพ่อ... สำหรับของขวัญมีค่าในวันเกิดที่วิเศษที่สุดของผม
               
ขอบคุณเวลาที่ให้ผมรู้ว่า การรอคอยอย่างอดทนให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากแค่ไหน
               
ขอบคุณเขา ที่กลับมายืนตรงหน้าผมอีกครั้งตามสัญญา... แม้ว่าจะช้าไปสามวินาทีก็ตาม
               
แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ขอบคุณจริงๆ
   
ขอบคุณครับ ...ที่เข้ามาในชีวิตผม




-- makok_num --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2016 11:59:25 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ตอนพิเศษ
 
[ Chain’s Part ]
 
               
เหตุผลที่ผมยอมปล่อยมือข้างนั้นอย่างง่ายดาย... เป็นเพราะคืนนั้นเขาร้องไห้
               
ยิ่งเขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ลอดมาตามสายโทรศัพท์ มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังทรมานแค่ไหน
               
ตรีของผมกำลังเจ็บปวด แต่ผมกลับทำอะไรเพื่อเขาไม่ได้เลย
               
ผมพยายามทำใจให้สบาย พยายามคิดเข้าข้างตัวเองซ้ำๆ ว่าเดี๋ยวมันจะผ่านไปด้วยดี แต่ความคิดเหล่านั้นกลับถูกทำลายยับเยินด้วยคำถามมากมายที่ผุดเข้ามาในหัว... หลายวันที่ผ่านมา เขาร้องไห้ลับหลังผมกี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งกันที่เขาต้องเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้โดยที่ผมไม่เคยรู้?
               
ผมอาจไม่เข้าใจความรู้สึกเขา แต่ผมก็พอจะรู้ว่าการต้องเลือกระหว่างครอบครัว กับความรัก และความฝัน มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหน แล้วแบบนี้ผมจะปล่อยให้เขาต่อสู้อยู่คนเดียวได้ยังไง?
                 
คืนนั้น... ผมจึงตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ลงไปโดยไม่ทันได้ใช้สมองไหร่ตรอง หวังว่ามันจะช่วยหยุดน้ำตาของเขา ช่วยยุติความเจ็บปวดนั้นให้หายไป

‘ผมจะเลิกกับตรี… เพราะฉะนั้น ได้โปรด... ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยเถอะครับ’

ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่พ่อเขาขู่จะพาเขาไปอยู่อิตาลีด้วยมันจริงเท็จแค่ไหน แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็เท่ากับว่าผมกำลังทำลายความฝันของตรีด้วยมือของผมเอง

และผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น

‘เชน!’

ผมได้ยินเสียงของเขาตะโกนเรียกชื่อผม แต่ถ้าผมหันกลับไป ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็คงทลายลงอย่างง่ายดาย

‘ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน’

ผมคงไม่อาจฝืนใจยอมรับข้อเสนออันโหดร้ายที่พ่อของตรียื่นให้ผมได้ ถ้าเพียงแค่ผมสบตากับเขาเพียงแค่แวบเดียว

‘ครับ ผมสัญญา’

ผมคงไม่อาจให้คำสัญญาโง่ๆ ที่เพิ่งรู้ตัวว่า สุดท้ายมันจะทำร้ายเราทั้งคู่ให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
 

คืนนั้นผมกลับบ้านในสภาพที่ราวกับคนไร้สติ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองขับรถฝ่าฝนกลับมาถึงบ้านได้ยังไง ในหัวมีแต่คำถามมากมายวนเวียนไปมา และไม่ได้รับคำตอบ

สิ่งที่ผมตัดสินใจทำ มันดีกับเราทั้งคู่จริงๆ น่ะเหรอ? การปล่อยมือจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปพร้อมกับตัวผมได้จริงหรือเปล่า?

ผมไม่รู้เลย

‘เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น!?’ เสียงริบบิ้นดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในบ้านในสภาพเปียกปอน

ผมไม่มีอารมณ์จะตอบคำถาม จึงไม่หันกลับไป มุ่งหน้าไปที่บันไดเพื่อไปยังห้องตัวเองที่อยู่ชั้นสอง

‘เชน เป็นอะไรไป ฉันนึกว่าแกอยู่กับ... โอ้...’ คนที่วิ่งมาดักหน้าผมชะงักไปเหมือนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะแสดงสีหน้ารู้สึกผิด ‘ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าเสนอแผนพิเรนทร์ๆ นั่นให้แกเลย’

ริบบิ้นคงคิดว่าที่ผมกลับมาในสภาพนี้เป็นความผิดพลาดของแผนหนีตามของเธอ

‘มันไม่เกี่ยวกับเธอหรอก’ ผมตอบไปแค่นั้นและกำลังจะเดินหนี แต่ยัยพี่สาวตัวดีก็ยังตามมารั้งไว้

‘เชน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย...’

‘ไม่ต้องช่วยอะไรทั้งนั้นแหละ!’ เพราะถูกเซ้าซี้มากเกินไป ผมเลยเผลอขึ้นเสียงใส่เธอ

และเพราะอยู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา มันจึงส่งผลให้ความรู้สึกที่พยายามกลั้นเอาไว้ ทะลักออกมาอย่างไม่อาจห้าม

‘นี่แก... ร้องไห้เหรอ’ ผมเองก็เพิ่งรู้ตัวตอนที่เห็นสีหน้าตกใจของคนที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ

ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับน้ำตาที่ไหลออกมายังไง เลยได้แต่แสร้งยกมือขึ้นมากุมขมับเพื่อปกปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยอย่างหมดแรง

‘มันจบแล้ว’ แต่ยิ่งพูดคำนั้น ความหมายของมันกลับทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาไม่หยุด จนต้องขอตัวเดินออกมาโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก

ผมไม่ได้ต้องการคำปลอบใจ หรือความช่วยเหลือใดๆ วินาทีนั้นผมแค่อยากใช้เวลากับตัวเองเพื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น ทบทวนการตัดสินใจของตัวเองว่ามันให้ผมดีอะไรบ้าง... แต่นอกจากสมองของผมจะพร่าเลือนจนไม่อาจหาคำตอบใดๆ ได้แล้ว ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของตรี ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หยุด ความเจ็บปวดที่ถาโถมขึ้นทุกๆ วินาทีทำให้รู้ว่าตอนนี้ผมอาการหนักแค่ไหน

คืนนั้นทั้งคืนผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา ผมเอาแต่ร้องไห้ แบบที่แม้แต่ตัวเองยังไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ผมอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้
 
               
เวลาผ่านไป
               
ตอนให้สัญญา ผมคิดว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ ผมคิดว่าตัวเองจะใจแข็งพอ ปล่อยให้เรื่องของเราจบลงเพียงเท่านั้น และหายไปจากชีวิตของเขาซะ ไม่ต้องทำให้เขาเจ็บปวดอีก
               
แต่มันก็ยากเกินไป
               
ความเห็นแก่ตัวของผม มีมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้เขาลืม... ผมเคยคิดง่ายๆ ว่ามันคงไม่เป็นไร ถ้าหากผมจะแอบมองเขาจากที่ไกลๆ ฝ่ายเดียว ในขณะที่ปล่อยให้ตัวตนของผมค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของตรี
               
แต่พอเอาเข้าจริง ยิ่งผมมองเขาอยู่ในที่มืด ผมก็ยิ่งกลัว... หวาดกลัวว่าตัวเองจะไร้ตัวตน
               
ผมไม่อยากให้เขาลืมผม ไม่อยากให้เขาทำใจได้ว่าจะไม่มีเราอีกต่อไป
               
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องปรากฏตัวขึ้นมาให้เขาเห็นเสมอ ตอกย้ำแผลที่ไม่มีวันหายของเขาซ้ำๆ อย่างคนสารเลว ผมรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด และรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเขาเจ็บปวด ผมเข้าใจความหมายของคำว่าใจสลาย ก็ตอนที่เห็นเขาร้องไห้ เข้าใจความเจ็บปวดเจียนตายก็ตอนที่เขาเริ่มชินชากับการมีตัวตนของผม

และสุดท้าย ผมก็พ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเอง

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ผมได้เห็นจากเขา มันตอกย้ำให้ผมตาสว่างว่าการตัดสินใจของผมมันช่างโง่เง่า และทำร้ายเราทั้งคู่ ผมทนเล่นเกมที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจกลับไปหาเขา ในวันที่ผมแน่ใจว่าเขายังมีแต่ผมอยู่เต็มหัวใจ
               
‘ถ้าฉันขอให้รออีกครั้ง... จะรอหรือเปล่า’

ผมเอ่ยคำถามแสนยากขึ้นมาหลังจากที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง ตักตวงความสุขที่ผมโหยหาแรมเดือนตลอดทั้งคืน และย้ำเตือนตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้ไปอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
มันฟังดูบ้ามากที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผม แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในทุกๆ วินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน มันยิ่งตอกย้ำชัดว่าผมรักเขา ผมมีความรักในแบบที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้สัมผัส... ความรักที่ก่อความสุขจนล้นหัวใจ และสามารถสร้างความทุกข์ที่เกือบจะฆ่าผมได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ

และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้ ไม่ให้อะไรมาทำลายได้อีก

‘ตรี’ ผมเรียกชื่อเขา และสบตากับดวงตาคู่สวย ‘ไว้ใจฉันมั้ย?’

และมันได้ผลเสมอเมื่อผมพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

‘อืม’ คำตอบเพียงคำเดียวสั้นๆ นั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งอย่างมีความหวัง

ผมสวมแหวนวงเดิมกลับสู่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา พร้อมกับให้คำสัญญาที่ผมมั่นใจว่าคราวนี้มันจะไม่ทำร้ายเราทั้งคู่อีกเป็นครั้งที่สอง

‘ฉันจะกลับมา’
 
           
แล้วคำสัญญานั้นพาผมมายังสถานที่ที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มา
               
มันฟังดูเสียสติมากที่อยู่ๆ ผมก็ตัดสินใจใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางมาอิตาลีทันทีที่ออกมาจากห้องของตรีในวันนั้น แน่นอนว่าตัวช่วยผมสำหรับแผนการนี้ หนีไม่พ้นยัยพี่สาวตัวแสบที่สามารถจัดการให้ผมบินข้ามน้ำข้ามประเทศมาอย่างง่ายดายราวกับเสกได้ ผมกำชับให้ยัยนั่นปิดปากไม่บอกใครเรื่องนี้ แม้กระทั่งกับพ่อ เพราะผมไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย (และพ่อต้องหัวเราะเยาะแน่ ถ้ารู้ว่าผมทำอะไรบ้าๆ แบบนี้)
               
ที่สำคัญ ผมไม่อยากให้ตรีรู้ และเป็นกังวลกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำ 

มันเป็นการตัดสินใจที่ฉุกละหุก และผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะจัดการด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ผมปล่อยให้ตรีเผชิญหน้ากับปัญหานี้โดยลำพัง และมันคงจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะเดินหน้าทำอะไรสักอย่างบ้างเพื่อเขา... เพื่อเรา 
       
โชคดีที่ก่อนมาผมแอบถ่ายรูปที่อยู่ของน้าเขาและที่อยู่ร้านมาจากกระดาษที่เขาแปะเอาไว้บนผนังเหนือโต๊ะเขียนหนังสือ จึงไม่ต้องใช้เวลางมหานานนัก ผมเจียดเงินเก็บของตัวเองที่เหลืออยู่น้อยนิดเป็นค่าแท็กซี่ไปจนถึงร้านและพบว่า ผมแทบไม่ได้เตรียมการอะไรสำหรับการมาครั้งนี้เลย
 
ถึงจะทำเป็นอวดดี แต่อันที่จริงผมไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะต้องทำยังไงพอถึงเวลาเผชิญหน้ากับพ่อของตรีอีกครั้ง ผมไม่ได้กลัวท่าน เพราะตอนนี้มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่ความรู้สึกที่ว่าถ้าหากพลาดคราวนี้ ผมจะไม่สามารถเจอตรีได้อีกมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้

“สวัสดีค่ะ กี่ท่านคะ” แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปิดประตูร้านเข้าไปจนได้ พนักงานต้อนรับยกมือไหว้และเอ่ยถามตามธรรมเนียม
               
“ผมมาหาเจ้าของร้านครับ” ผมตอบไปเป็นภาษาไทย และสำรวจไปทั่วร้านอาหารเล็กๆ อย่างต้องการเตรียมใจ พนักงานคนเดิมมองผมที่อยู่ในสภาพแบกกระเป๋าเดินทางใบโตและมือหนึ่งถือกีตาร์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะถาม

“มาสมัครงานเหรอ?” แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เธอก็พูดต่อ “เดี๋ยวไปตามเฮียให้” ว่าจบก็เดินกลับเข้าไปหลังร้าน ซึ่งเป็นส่วนครัวแบบเปิดที่สามารถมองเห็นได้จากด้านนอก

และคนที่ผมกำลังตามหาก็กำลังเตรียมวัตถุดิบอยู่ในนั้น

พนักงานหญิงคนนั้นเดินเข้าไปพูดอะไรสักอย่างกับพ่อแม่ของตรี พร้อมกับชี้มาทางผมทำให้ทั้งสองคนหันมาทางนี้อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่นัก...

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทันทีที่พ่อตรีสาวเท้าออกมาจากครัว

“แกมาทำอะไร” แต่นอกจากจะไม่รับไหว้แล้ว เสียงเข้มยังถามด้วยท่าทางน่ากลัวจนแม่ของตรีต้องเข้ามาปราม

“ใจเย็นๆ ก่อนคุณ” ท่านพยายามลูบแขนคนเป็นสามีให้ใจเย็นลง

แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ช่วยอะไร

“ฉันถามว่าแกมาทำไม” พ่อของตรียังคงถามคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะเรียกคนทั้งร้านให้หันมามอง

“ผมมาสมัครงานครับ” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น มันเป็นเหตุผลที่ผมเพิ่งคิดออกเมื่อครู่นี้ตามคำชี้แนะของพนักงานหญิงคนนั้น ซึ่งพอคิดดีๆ แล้วมันก็ดูจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ทันทีที่ได้ยิน พ่อของตรีก็ปั้นหน้ายักษ์ยิ่งกว่าเดิมก่อนจะออกปากไล่

“ฉันไม่รับ ออกไป” ว่าจบก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัวอย่างไม่คิดจะแยแสผมอีก จนแม่ตรีต้องถอนหายใจอย่างหน่ายก่อนจะเดินเข้ามารับหน้าแทน

“รอแป๊บนึงนะจ๊ะเชน เดี๋ยวแม่คุยให้” ท่านพูดอย่างใจดี ก่อนจะรีบเดินตามสามีเข้าไป

ผมมองตามทั้งสองคนที่เดินไปในครัวด้วยความรู้สึกลุ้นอย่างอดไม่ได้ ยิ่งรู้สึกกังวลเข้าไปใหญ่เมื่อท่านเลือกที่จะเดินหายออกไปหลังร้านในมุมที่ผมไม่สามารถสังเกตบทสนทนา ผมยืนเซ่ออยู่ที่เดิมเกือบห้านาทีก่อนจะมีพนักงานผู้ชายที่เป็นคนไทยเหมือนกันมาพาผมไปนั่งโต๊ะด้านในสุด

“นายทำสองคนนั้นเถียงกันบ้านแทบแตก” เขาว่าด้วยใบหน้าคล้ายจะขำมากกว่าซีเรียส ผมไม่ตอบอะไรและนั่งรอเงียบๆ พยายามทำใจให้สงบโดยการมองไปรอบร้านเล็กๆ ที่ถูกตกแต่งแบบผสมผสานด้วยไสตล์ไทยผสมอิตาเลียนอย่างลงตัว 
มันทำให้ผมอดนึกถึงลูกชายเจ้าของร้านขึ้นมาไม่ได้ และผมว่าเขาคิดผิด ที่บอกว่าพ่อไม่เคยสนับสนุนให้เขาเรียนคณะสถาปัตย์ เพราะทุกอย่างในร้านไม่ต่างจากรูปสเกตของเขาที่ถูกอัดกรอบแขวนไว้บนผนังหลังแคชเชียร์เลยแม้แต่น้อย ผมเผลอยิ้มออกมาคนเดียวเมื่อคิดถึงใบหน้าอดหลับอดนอนจากการตั้งใจทำงานของเขา สภาพซอมบี้ที่แม้แต่น้ำก็ไม่ได้อาบที่เห็นจนชินตายิ่งทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่เคยรังเกียจเขาเลย กลับยิ่งอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเสียอีก

การนึกถึงตรีในอิริยาบถต่างๆ ทำให้หัวใจของผมสงบจนลืมความกังวลที่มีอยู่จนหมดสิ้น มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นเพียงกำลังใจเดียวที่จะผลักดันให้ผมเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าจะถูกผลักไสขนาดไหนก็ตาม

ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่แม่ของตรีจะเดินออกมาจากหลังร้าน ท่านมองผม ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ท่าทางหนักใจ ผมเกือบจะทำใจแล้วว่าคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่ แต่แม่กลับนั่งลงฝั่งตรงข้าม และเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“เริ่มทำงานตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปนะจ๊ะ” ท่านเอ่ยอย่างใจดี แตกต่างจากคนที่เป็นสามีโดยสิ้นเชิง

ผมยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ” 

แม่ตรียิ้มรับ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลอีกครั้ง และตั้งคำถาม “แม่ไม่แน่ใจว่าเชนมาทำไม แต่ถ้าเป็นเรื่องตรี...”

“ใช่ครับ” ผมตอบเมื่อเห็นท่านเว้นวรรคเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง

แม่ของตรีถอนหายใจเหมือนคิดไว้แล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ ก่อนจะสบตาผมอย่างจริงจัง

“ตรีเขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

“ไม่ครับ ผมตัดสินใจมาด้วยตัวเอง” ผมตอบตามความจริง ไม่คิดปิดบัง “ผมรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดีนัก แต่ผมแค่อยากมาบอกคุณลุงว่า ผมทำตามสัญญาไม่ได้” ผมสบตาท่านกลับด้วยสายตาที่จริงจังไม่แพ้กัน

สายตาที่บอกว่าต่อให้ท่านผมไล่ผมตอนนี้ ผมก็จะไม่ไปไหน

“พ่อแม่ของเชนรู้หรือเปล่าว่าเชนมาที่นี่” ท่านเปลี่ยนคำถาม เหมือนรู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว

“แม่ผมเสียไปแล้วครับ ส่วนพ่อ... “ ผมพูดแค่นั้นและเปลี่ยนเป็นส่ายหน้า

รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่เพิ่งทำผิดขึ้นมาเมื่อต้องสารภาพออกมาแบบนี้

“เขาต้องเป็นห่วงแน่ๆ” ท่านขมวดคิ้วอย่างตำหนิ

ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดติดตลก “ไม่หรอกครับ พ่อชอบให้ผมดิ้นรนด้วยตัวเองน่ะ” ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย ถ้าพ่อผมรู้ว่าผมมาที่นี่ ก็คงทำแค่หัวเราะ และรอสมน้ำหน้าตอนที่ผมซมซานโทรไปขอเงิน

แม่ตรีมองผมอย่างอยากไม่เชื่อ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่เชนพักที่ไหน”

“เอ่อ...” ผมชะงักไปอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง แน่นอนว่าริบบิ้นจัดการเรื่องนี้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็มีเหตุผลที่ผมไม่อยากพักโรงแรมระดับห้าดาวนั่น และเลือกเสี่ยงเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้ 

แม่ตรีเบิกตากว้างทันทีที่เห็นท่าทางของผม

“ตายแล้ว อย่าบอกนะว่ายังไม่มีที่พักน่ะ” น้ำเสียงตกใจและใบหน้าเป็นกังวลนั่นทำให้ผมนึกถึงเจ้าเหมียวมึนของผมขึ้นมา แม้รู้ว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่สมควรเลย

“เชนควรบอกพ่อนะ” ท่านกำชับ ก่อนจะมองไปรอบร้านเหมือนกำลังคิดวิธี “แม่ไม่แน่ใจว่าพนักงานคนไหนอยากได้รูมเมทเพิ่มหรือเปล่า” พูดด้วยสีหน้าหนักใจ

“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไร แต่ก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย

“แต่ถ้าหาไม่ได้ ยังไงคืนนี้เชนนอนที่ร้านก็ได้นะจ๊ะ”

“ได้เหรอครับ” ผมอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ที่ได้ยินแบบนั้น

“เดี๋ยวแม่ไปคุยกับพ่อตรีเขาให้เอง ข้างนอกอากาศมันหนาว ถึงจะใจแข็งแค่ไหน แต่เขาไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้เชนนอนข้างนอกหรอก”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม พร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง

“ขอโทษนะจ๊ะที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ เรายังอาศัยบ้านน้องสาวอยู่อยู่เลย” แม่ตรีพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด จนผมต้องรีบส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว” ผมยิ้ม แม่ของตรีจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับมา ท่านมองผมเหมือนคิดอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง

“แม่ไม่คิดว่าเชนจะทำถึงขนาดนี้” ท่านว่าท่าทางเหมือนทั้งหนักใจ และแปลกใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ “ไม่เคยมีใครทำเพื่อตรีแบบนี้มาก่อน”

“...”

“แม่เอาใจช่วยนะจ๊ะ” คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่เหมือนได้รับการยอมรับ

ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เมื่อแม่ของตรีลุกขึ้น แต่ท่านกลับหันหลังกลับมาถามผมอีก

“แล้วนี่หิวหรือยัง”

ผมชะงักไป ก่อนจะตอบเสียงเบา “ผมไม่มีเงิน...” ไม่ต้องนับเงินที่อยู่ในกระเป๋าก็พอรู้ว่าควรจะสำเหนียกตัวเองว่าไม่สามารถอยู่ดีกินดีเหมือนตอนที่อยู่ไทยได้

ถ้าไม่นับบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินที่ถูกยัดเยียดมาจากยัยพี่สาวตัวแสบน่ะนะ

แม่ของตรีหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ อย่างใจดี

“ที่นี่เขาไม่เก็บเงินค่าอาหารคนในครอบครัวหรอกนะ รู้มั้ย” รอยยิ้มที่ทำให้ผมนึกถึงผู้ชายอีกคน

ที่ความใจดีของเขาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจได้เสมอ

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2016 12:00:05 โดย makok_num »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
(ต่อ)

เมื่อคืนผมนอนหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของร้านหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว
               
ผมรบกวนแม่ของตรีอีกครั้งเมื่อท่านโทรให้น้องสาวที่ต้องมารับทุกเย็นหอบผ้าห่มหนาๆ มาให้ผมใช้ซุกตัวนอนหลบความหนาวยาวค่ำคืนที่อุณหภูมิไม่ใช่เล่นๆ เลย และถึงแม้แม่จะให้ผมเลือกนอนตรงไหนก็ได้ แต่การเลือกนอนหลบมุมไม่ให้ใครเห็นคงจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้ไม่กวนสายตาของพ่อตรีที่ต้องมาเปิดร้านแต่เช้าให้โดนโมโห
               
สารภาพตามตรงเลยว่าที่ผมเลือกทำให้ตัวเองลำบาก แทนที่จะอยู่อย่างสบายๆ กับสิ่งที่พี่สาวเตรียมไว้ให้เป็นเพราะผมต้องการเรียกคะแนนความสงสาร... ผมต้องการให้พ่อตรีเห็นว่าผมทุ่มเทแค่ไหน กับการทำให้ท่านยอมรับเรื่องของเรา ซึ่งมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยสักนิดกับอีแค่ทนนอนหนาวบนพื้นแข็งๆ ซึ่งผมเองก็เคยมีประสบการณ์การนอนแบบนี้ที่ห้องของตรี
               
ผมว่าวิธีนี้คงจะช่วยได้บ้าง เพราะเวลาที่มีมันน้อยเหลือเกิน หากผมจะทำให้ได้ตามสัญญา
               
ผมหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นจึงตัดสินใจเดินออกไปสูดอากาศข้างนอก ถึงร้านจะไม่ได้อยู่ในทำเลที่ดีนัก เป็นแค่ตรอกเล็กๆ ในย่านที่ไม่ได้คึกคัก แต่ที่นี่ก็บรรยากาศดีไม่น้อย ผมยืนยืดเส้นยืดสายอยู่หน้าร้านที่แทบจะไม่มีคน ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบด้วยความเคยชิน
               
ถึงจะเคยเลิกไปแล้วตอนที่คบกับตรี แต่หลังจากที่เราห่างกัน ความเครียดและปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหวนกลับมาสูบอีกครั้ง และคราวนี้ก็ดูจะติดกว่าเดิมเสียอีก ผมยืนอัดควันเข้าปอดอยู่เงียบๆ คนเดียวพลางคิดว่าวันนี้ผมควรจะเริ่มต้นเผชิญหน้ากับพ่อตรียังไงดี แต่ยังไม่ทันจะคิดออก ก็ต้องชะงัก เมื่อรถแวนคันหนึ่งแล่นมาจอดตรงฟุตบาทหน้าร้านพอดิบพอดี

และเหมือนพระเจ้าเล่นตลกเมื่อคนที่เดินลงมาคือพ่อกับแม่ของตรี
               
ให้ตาย มาได้จังหวะชะมัด
               
ผมทิ้งก้นบุหรี่ที่คาบไว้ในปากทิ้ง และใช้เท้าบี้อย่างลวกๆ ก่อนจะยกมือไหว้ท่านทั้งสองที่เดินมาตรงที่ผมยืนอยู่
               
“สวัสดีครับ” แน่นอนว่าคนที่รับไหว้มีเพียงคนเดียวคือแม่ของตรี
               
“สวัสดีจ้ะ” ท่านยังคงยิ้มอย่างใจดีในขณะที่พ่อของตรียังคงตีหน้านิ่ง มองผมหัวจรดเท้า ก่อนที่สายตาดุๆ นั่นจะชะงักอยู่ที่เท้าของผมซึ่งเหยียบก้นบุหรี่เอาไว้
               
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมปิดความชั่วของตัวเองไม่มิด
               
ผมจึงเลื่อนเท้าออก และก้มลงหยิบก้นบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาโยนใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ด้านหลังด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ คำพูดของตรีลอยเข้ามาในหัวเหมือนเพิ่งได้ยินเมื่อวาน
           
‘ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองคบกับคนขี้เหล้าขี้ยาหรอกนะ’
               
บ้าชิบ...นี่ผมทำพลาดแล้วใช่มั้ย
               
อย่าว่าแต่คะแนนสงสารเลย ตอนนี้ดูเหมือนผมจะทำให้พ่อตรีเกลียดขี้หน้ายิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นต้นแบบของเจ้าเหมียวมึนของผมมองมานิ่งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในร้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ
               
ด่าผมยังจะรู้สึกแย่น้อยกว่านี้อีก
               
“ไม่เป็นไร แม่เข้าใจ” แต่ยังโชคดีของผมที่มีแม่ตรีเป็นเหมือนน้ำเย็นช่วยปลอบใจได้บ้าง ท่าเดินมาตบบ่าผมเบาๆ ที่ถูกเมินใส่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดีเหมือนเคย “แต่เชนรู้ใช่มั้ยว่ามีคนที่เขาเป็นห่วงเชนอยู่”
               
“...” เป็นประโยคเตือนที่นิ่มๆ แต่ก็ทำให้ผมชะงัก
               
ตั้งแต่โตมา ยังไม่เคยมีใครห้ามผมเรื่องนี้จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง มันทำให้อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าแม่ยังอยู่ แม่ก็คงเตือนผมเรื่องนี้เหมือนกัน... อย่างที่รู้ว่าพ่อเลี้ยงผมมาแบบที่ให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ไม่มาจ้ำจี้จำไชให้ผมทำอะไรหรือเลิกทำอะไร ให้ผมเรียนรู้ด้วยวิธีของตัวเอง มันเลยทำให้บางครั้งผมก็เผลอลืมไปว่าความรู้สึกของการถูกตักเตือนมันเป็นยังไง
               
คนเดียวที่ทำให้ผมเลิกบุหรี่ได้ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร คือตรี... สีหน้าที่เป็นกังวลทุกครั้งเมื่อเห็นผมทำตัวเป็นสิงห์อมควัน และสีหน้าดีใจที่เห็นผมสูบมันน้อยลงก็ตอกย้ำชัดเจนว่าเขาเป็นห่วงผมแค่ไหน  ผมรู้ว่าที่เขาไม่เคยห้ามผมไม่ให้สูบบุหรี่เป็นเพราะเขาไม่ได้ต้องการให้ผมเปลี่ยน อะไรที่ผมทำแล้วสบายใจ เขาก็ปล่อยให้ผมทำ

แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเราต้องอยู่ด้วยกันจริงๆ... แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เวลาของเราสั้นลงเพียงเพราะพิษจากนิโคตินที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งตายก่อนวัยอันควรนี่หรอก

               
"ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ แม่ของตรีจึงยิ้ม และพูดเตือนสติผมอีกครั้ง
               
“ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะนะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป” ว่าจบท่านก็เดินตามสามีเข้าไปในร้าน ในขณะที่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม เพื่อจัดการกับตัวเอง ผมควักซองบุหรี่ที่เพิ่งซื้อเมื่อไม่นานนี้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ และโยนมันลงถังขยะใบเดิม พร้อมกับบอกตัวเองว่า

ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งมันเลยสักนิด
 

เวลาผ่านไป
               
ผมยืนยันว่าตัวเองบ้าแน่ๆ ที่ตัดสินใจมาทำอะไรแบบนี้
               
ประเดิมวันแรกผมก็โดนพ่อของตรีเล่นด้วยการส่งมาทำงานล้างจาน...
               
โอเค มันเป็นความผิดผมเองที่ไม่ยอมบอกเรื่องที่ตัวเองแพ้น้ำยาล้างจาน เพราะมันโคตรจะดูอ่อน และคงทำผมเสียคะแนนต่อหน้าพ่อตรี แต่ผมคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรเพราะที่นี่มีเครื่องล้างจาน อาจมีบ้างที่ต้องใช้พลังในการขัดถูแต่ผมก็สวมถุงมือยางป้องกันไว้แล้ว
               
ที่แย่กว่าคือผมต้องยืนขาแข็งหน้าเครื่องล้างจานทั้งวัน แทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ อย่าว่าแต่พิสูจน์ตัวอะไรเลย แค่จะไปเข้าห้องน้ำยังจะไม่มีเวลาด้วยซ้ำ
               
“นี่ยังไม่สะอาด” เสียงเข้มที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังเงียบๆ ทำเอาผมสะดุ้ง ก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อพ่อของตรียกจานกองโตที่ผมเพิ่งล้างเสร็จเมื่อกี้กลับมาวางข้างซิงค์ที่ผมยืนอยู่อีกครั้ง
               
"ครับ?” ผมเลิกคิ้วงงๆ เพราะถึงจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนยกจานไปผึ่งบนชั้น ผมเช็กมันจนดีแล้วทุกใบ
               
“ล้างใหม่” แต่พ่อตรีก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร ออกคำสั่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจัดการหน้าร้านต่อ
               
เฮ้ ใครช่วยบอกทีว่าผมไม่ได้โดนแกล้งอยู่น่ะ
               
และพ่อตรีก็แวะเวียนมาอยู่อย่างนั้นอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถูกแม่จับได้ว่าจงใจแกล้งผมนั่นแหละถึงยอมหยุด ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเอาเรื่องไปแล้ว แต่นี่ดันเป็นพ่อตรีที่กำลังจะมาเป็นพ่อตา ผมที่อยู่ในโหมดว่าที่ลูกเขยแสนดีเลยได้แต่ก้มก้มตารับกรรม ผมมองในแง่ดีว่านี่อาจเป็นการกระชับความสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง ถ้าผมทำโดยไม่ปริปากบ่นพ่ออาจจะให้คะแนนความอดทนผมบ้างก็ได้
               
สุดท้ายการทำงานวันแรกก็ผ่านไปด้วยดี... อันที่จริง มันก็ไม่ได้ดีนักหรอกถ้านับเรื่องที่ผมต้องยืนจนขาแทบจะเป็นตะคริว กับเรื่องที่ผมต้องต่อสู้กับอาการเจ็ทแล็กจนแทบจะน็อกไประหว่างทำงาน แต่นอกนั้นก็ราบรื่นกว่าที่คิด

ผมล้างจานใบสุดท้ายเสร็จหลังจากที่พนักงานคนอื่นๆ กลับกันไปได้สักพัก ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไงก็ต้องนอนที่ร้าน ก็เลยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ผมล้างมือเสร็จก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อยืดเส้นยืดสายสักหน่อย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าพ่อกับแม่ของตรียังนั่งทำบัญชีอยู่ที่หน้าร้าน

“อ้าวเชน เสร็จแล้วเหรอลูก” แม่ถามอย่างใจดี และสรรพนามแทนผมว่าลูกก็ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ครับ”

“หิวหรือยัง แม่เผื่ออาหารไว้ให้ในครัว ถ้าหิวก็กินได้เลยนะ”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ ก่อนจะยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าครัวอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี สายตามองไปยังพ่อตรีที่คร่ำเคร่งกดเครื่องคิดเลขด้วยความรู้สึกประหม่าที่ยังไม่หาย

ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ผมจะชวนท่านคุย แต่ว่าเพิ่งนึกได้ว่าผมไม่ใช่คนอัธยาศัยดีขนาดนั้น ไอ้การนึกประโยคสนทนาเลยยากยิ่งกว่าล้างจานทั้งวันเสียอีก

แต่ดูเหมือนแม่ตรีจะรับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดระหว่างผมกับพ่อ จึงหันมามองหน้าเราสลับกัน ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ส่งซิกซ์ว่าเดี๋ยวท่านช่วยเอง

“แม่ว่าเชนกินข้าวเลยดีกว่า แม่ก็หิวแล้วเหมือนกัน กินพร้อมกันหมดนี่เลยดีมั้ยคุณ” ถึงตอนท้ายจะเป็นประโยคคำถาม แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมจะเอ่ยปากแย้งอะไร แม่ตรีก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวเสียก่อน เมื่อเข้าใจแล้วว่าแม่ต้องการอะไร ผมเดินตามไปยกอาหารออกมาวางยังโต๊ะที่พ่อตรีทำเป็นก้มหน้าก้มตาคิดเลขอยู่

“คุณคะ กินข้าวก่อน” แม่ว่าพลางแย่งสมุดบัญชีมาแล้ววางจานข้าวสวยลงตรงหน้าคนเป็นสามีแทน

ผมลอบยิ้มกับท่าทางอึกอักเหมือนจะแย้งแต่กลับพูดไม่ออก และยอมทำตามใจภรรยาของคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกครั้งและเริ่มทานมื้อเย็นฝีมือแม่ตรี คราวก่อนตอนไปที่บ้านผมพลาดก็เลยไม่ได้กิน แต่หลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่ร้านถึงคนเต็มทั้งวัน

ตรีก็คงได้เสน่ห์ปลายจวักนี้มาจากแม่เหมือนกัน

มันทำให้ผมอดนึกถึงชีวิตช่วงที่อยู่หอตรีไม่ได้ มันน่าแปลกใจไม่น้อยที่ผู้ชายอย่างเขาทำกับข้าวกินเองแทบทุกวัน แถมทุกเมนูยังอร่อยยิ่งกว่าร้านอาหารหลายๆ ร้านที่ผมเคยกินซะอีก สารภาพตามตรงเลยว่าช่วงที่ห่างออกมา ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือเขาอยู่ทุกวันจนมันพาลกินอาหารตามร้านไม่ลงซะอย่างนั้น

เรียกได้ว่าอาการหนักจนคนรอบข้างยังตกใจ

“เชนชอบกินแกงเขียวหวานเหรอลูก” แม่ยังเป็นคนเดียวที่สร้างบทสนทนาไม่ให้โต๊ะอาหารเงียบเกินไปนักเพราะผมกับพ่อเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จา (ผมมันอ่อนหัดเรื่องแบบนี้จริงๆ แหละ)

“ครับ” ผมตอบ แม่จึงยิ้มกว้างแล้วเลื่อนชามแกงเขียวหวานมาใกล้ผมกว่าเดิม

“เหมือนตรีเลยนะ”

“ผมชอบเพราะเขาชอบนั่นแหละครับ” ผมตอบออกไปตามตรงพร้อมกับยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงใบหน้ากระตือรือร้นของตรีตอนที่พยายามอวดว่าแกงเขียวหวานสูตรคุณยายเขาอร่อยยิ่งกว่าใคร

แต่ดูเหมือนว่าจะเผลอแสดงอาการออกนอกหน้าเกินไปโดยลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสายตาของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พ่อตรีมองผมนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาเลื่อนชามแกงเขียวหวานตรงหน้าผมไปตรงหน้าตัวเองแทน

ผมไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง เลยหุบยิ้มพร้อมกับแสร้งทำเป็นกระแอมเบาๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อแทน ให้ตาย อึดอัดชะมัด แต่บรรยากาศเงียบได้ไม่นานเสียงหวานๆ ของแม่ตรีก็ดังขึ้นมาอีก

“เชน มือเป็นอะไรน่ะลูก” คราวนี้น้ำเสียงแม่ฟังดูตกใจ ในขณะที่ผมชะงักมือที่กำลังหยิบช้อนกลางตักกับข้าวและเพิ่งสังเกตว่ามันแดงมาก แถมผิวก็ลอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันมีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ว่าน้ำผสมน้ำยาล้างจานมันไหลเข้าไปในถุงมือ แต่คิดว่านิดเดียวคงไม่เป็นไรเลยปล่อยเอาไว้ แต่ดูท่าว่าผมจะชะล่าใจไปแฮะ

อา แค่เห็นก็รู้สึกคันยิบๆ แล้ว

ผมดึงมือกลับมาและไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ถูกแม่จับได้อยู่ดี “ตายแล้ว อย่าบอกนะว่าเชนแพ้น้ำยาล้างจาน” แม่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะดึงมือผมไปพลิกๆ ดูด้วยสีหน้าเป็นห่วง และก็เป็นอีกครั้งที่สีหน้าแบบเดียวกันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นขึ้นมา
 
‘เฮ้ย! แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเล่า!’

สีหน้าแตกตื่นของตรีเมื่อได้ยินผมบอกว่าผมแพ้น้ำยาล้างจานทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ จำได้ว่าตอนนั้นเขาดูตกใจและซีเรียสกส่าคนที่แพ้อย่างผมเสียอีก

‘เวรๆๆ จะเป็นไรมั้ยเนี่ย รู้ว่าตัวเองแพ้แล้วจะสะเหล่อมาล้างจานทำไมวะ’

‘คันหรือเปล่า แสบมือมั้ย มียามั้ยเนี่ย’
 
“คุณคะ ที่ร้านมียาแก้แพ้หรือเปล่า” เสียงแม่ของตรีทำให้ผมหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งชะงักไปและกำลังมองมาที่มือของผมอยู่เหมือนกัน

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” ผมกำลังจะปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวน และไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนสำออย แต่พ่อของตรีกลับลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหลังแคชเชียร์ ก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่สักพักแล้วเดินกลับออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล

ท่านกลับมานั่งตรงหน้าผมอีกครั้งพลางเปิดกล่องหาหลอดยาทาภายนอก แล้วยื่นมาให้ผมด้วยใบหน้าคิ้วขมวดเหมือนเดิม

“แสบหรือเปล่า” น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามพร้อมกับสบตาผม

มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแววตาอื่นนอกจากความไม่พอใจจากพ่อของตรี

“นิดหน่อยครับ” ผมตอบและรับหลอดยามาทาอย่างว่าง่าย พ่อตรีเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าไม่หายก็ไปหาหมอ” เป็นคำพูดห้วนๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด

“ครับ” ผมตอบพลางอมยิ้ม พ่อตรีจึงตีหน้าเข้มกว่าเดิม ก่อนจะมองผมด้วยสายตาตำหนิ

“คราวหลังแพ้อะไรก็บอก” ว่าพลางดึงหลอดยาที่ผมทาเสร็จแล้วกลับเข้ากล่องและปิดกล่องอย่างลวกๆ “แม่เจ้าตรีเขาเป็นห่วง”
               
ผมมองตามพ่อตรีที่เดินปั้นปึ่งเอากล่องยาไปเก็บที่เดิม ก่อนจะหันกลับมามองแม่ตรีที่หัวเราะพลางยักไหล่ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้างกว่าเดิมกับความซึนโบ้ยคำว่าความเป็นห่วงให้คนอื่นของว่าที่พอตา
               
“ขอโทษครับ”
               
วินาทีนั้นผมรู้ว่าที่จริงแล้ว พ่อตรีไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พยายามแสดงออกเลยสักนิด
 
               
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
               
ถึงจะแสดงความเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ความโหดของว่าที่พ่อตาก็ไม่ได้ลดน้อยลงจากเดิมเลยแม้แต่นิด แถมดูเหมือนจะเพิ่มเลเวลหนักขึ้นอีกต่างหาก
               
หลังจากรู้ว่าผมแพ้น้ำยาล้างจาน ผมก็ถูกเปลี่ยนงานมาอย่างอื่นแทน ปกติแล้วที่ร้านแต่ละคนจะมีหน้าที่ตายตัวเช่นเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน หรือคิดเงิน แต่เพราะผมไม่ใช่พนักงานปกติ ก็เลยได้รับหน้าที่พิเศษเรียกว่าเบ๊ระดับฐานรากพีระมิด ที่ทำทุกอย่างในร้านตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบแล้วแต่พ่อตรีจะออกคำสั่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นคำสั่งที่แฝงด้วยการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาว่าที่พ่อตาใจแข็ง ผมยังคิดในแง่ดีว่ามันคือการลองใจ เพราะเอาเข้าจริง พักหลังๆ มาพ่อตรีก็ไม่ได้มีทีท่ามึนตังใส่ผมเหมือนกับช่วงแรกๆ แถมระหว่างการทำงาน เราก็มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นด้วย
               
ผมเรียนรู้ว่าการจะเข้าหาคนอย่างพ่อตรีไม่ใช่การแสร้งพูดดีหรือประจบประแจง ผมแค่ต้องแสดงความจริงใจออกไปตรงๆ ตามนิสัยที่ผมเป็น ผมถามเมื่อผมสงสัย และไม่อายที่จะขอโทษเมื่อทำอะไรผิดพลาด ถึงจะทำงานหนัก แต่ผมก็ไม่บ่นเพราะผมรู้ว่าร่างกายตัวเองรับไหว และมันไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลยถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดจะสามารถแลกได้กับความเชื่อใจที่ท่านจะฝากฝังลูกชายไว้กับผม
               
“กินข้าว” เสียงเข้มที่ดังมาจากประตูเรียกให้ผมที่กำลังเก็บของอยู่เงยหน้าขึ้นมามองพ่อตรีที่มองมานิ่งๆ พลางพูดย้ำ “กินข้าว”
               
“ครับ” ผมตอบรับแม้ร่างท้วมจะหมุนตัวเดินออกจากครัวไปก่อนแล้ว ผมลอบยิ้มออกมานิดๆ ขณะที่หันกลับมาล้างมือเพื่อเดินตามคนขี้เก๊กไปที่หน้าร้านซึ่งมีอาหารมื้อเย็นรออยู่
               
มันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ที่แม่ตรีจะเตรียมข้าวเย็นไว้รอผมทำงานเสร็จและมากินพร้อมกัน ต่างกันก็ตรงที่คนที่มาตามผมไม่ใช่แม่ กลับเป็นพ่อตรีที่ถึงแม้จะพยายามปั้นหน้าตึง แต่แค่คำว่า ‘กินข้าว’ สั้นๆ ก็ทำให้ผมดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
               
ถึงบทสนทานาในโต๊ะจะน้อยมากเหมือนเคย แต่ผมก็ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนวันแรกแล้ว เพราะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมเข้าใจนิสัยปากร้ายแต่ใจดีของพ่อตรีมากขึ้นจนทิ้งความประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าออกไปได้ อันที่จริงผมแอบรู้สึกว่าท่านนิสัยเหมือนตรีอยู่เหมือนกัน ตรงที่แอบเป็นคนรั้นๆ แต่ความจริงก็ขี้ใจอ่อน ผมเคยเห็นท่านดุลูกน้องสักคนที่มีปัญหากับลูกค้า แต่สุดท้ายก็เป็นคนแก้ปัญหาให้โดยที่ทำให้สบายใจทั้งสองฝ่ายแทนที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
               
“เชนรู้เรื่องการแสดงพรุ่งนี้หรือยังจ๊ะ” แม่ถามพลางตักกับข้าวที่อยู่ไกลใส่จานผม
               
ผมผงกหัวขอบคุณก่อนจะตอบ “ครับ”
               
ปกติวันอาทิตย์จะเป็นเหมือนวันครอบครัวของร้านที่พนักงานสามารถแต่งตัวตามสบายๆ ได้ และจะผลัดเปลี่ยนกันมาทำการแสดงอะไรก็ได้กลางร้านเพื่อสร้างสีสรรค์ มันเป็นการพักผ่อนและเรียกลูกค้าไปในตัว พนักงานคนอื่นดูจะกระตือรือร้นในการคิดการแสดงมาก ในขณะที่ผมซึ่งเป็นน้องใหม่ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่
               
“เอากับเขาด้วยหรือเปล่า” แม่ถามยิ้มๆ ผมเลยส่ายหน้า “ทำไมล่ะ แม่เห็นเชนแบกกีตาร์มา น่าจะลองเล่นสักหน่อยนะ”
               
“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง อันที่จริงผมน่ะ ยังไงก็ได้อยู่แล้วเพราะขึ้นเวทีจนชิน แต่ที่ผมไม่แน่ใจก็คือ...
               
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พ่อเขาไม่ว่าหรอก” แม่ช่วยตอบเหมือนรู้ว่าผมลังเลอะไร
               
ผมเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ ก่อนที่ท่านจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร และทำเป็นก้มหน้ากินข้าวในจานต่อ
               
“ครับ” แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมรู้ว่าท่านอนุญาต
 

วันต่อมา
               
งานวันอาทิตย์ดูจะสนุกกว่าที่ผมคิด คงเพราะไม่มีอะไรเป็นทางการและบรรยากาศก็สบายๆ เหมือนมากินอาหารกับครอบครัวหรือคนสนิทมากกว่า ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่ เป็นลูกค้าประจำที่มาเพราะรู้ดีว่ามีกิจกรรม ผมทำงานไปดูโชว์ของพนักงานคนอื่นไปเพลินๆ จนลืมงานหนักไปเลย
               
วันนี้ผมก็ยังรับหน้าที่เป็นเบ๊ระดับล่างเหมือนเคย แต่เพราะทำจนเคยชินก็เลยไม่จำเป็นต้องรอรับคำสั่ง พ่อตรีก็ดูจะพอใจที่ผมเริ่มรู้งานจนไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไช
               
เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อการแสดงรำไทยของพวกพนักงานเสิร์ฟผู้หญิงจบลง ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มวุ่นวายอีกครั้ง เพราะเริ่มมีลูกค้าสั่งออร์เดอร์เพิ่มแล้วหลังจากจดจ่อกับการแสดงอยู่นาน ผมหันกลับมาทำงานของตัวเองที่เพิ่งถูกสั่งนั่นคือการเอาขยะที่เต็มแล้วไปทิ้งที่ถังขยะรวมหลังร้าน ผมกลับเข้ามาในครัวเพื่อเปลี่ยนถุงดำใบใหม่ ก่อนจะล้างมือเพื่อรอว่าจะมีอะไรให้ทำอีก
               
“เชน ต่อไปเป็นตาเชนแล้วนะ” ขณะที่ผมกำลังจะหันไปถามแม่ที่ทำกับข้าวอยู่ว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า พนักงานผู้หญิงที่ยังอยู่ในชุดไทยก็เดินมาบอกพร้อมเสียบออร์เดอร์ไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะกลับไปรับออร์เดอร์อีกรอบ
               
ผมอึกอักก่อนจะหันกลับไปมองแม่ตรีที่หันมายิ้มให้เหมือนจะบอกว่าให้ผมไปหน้าร้านได้เลย ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกไปเพื่อเตรียมการแสดงสำหรับเบรกต่อไป ผมเดินไปหยิบกีตาร์ที่พิงไว้หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองว่าที่พ่อตาที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าที่ดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน
               
คงเพราะวันนี้บรรยากาศในร้านคึกคักกว่าปกติ พ่อตรีก็เลยดูจะผ่อนคลายกว่าเดิม ผมแอบเห็นท่านคุยเล่นกับพวกพนักงานผู้ชายสนุกสนานด้วยซ้ำ ทั้งที่ภาพที่เห็นเป็นประจำคือใบหน้าเคร่งขรึมที่ดูดุซะจนพนักงานหลายคนแอบกลัว ผมแอบขำเมื่อเห็นว่าพอสบตากันท่านก็เปลี่ยนกลับมาเก๊กหน้าเข้มเหมือนเดิม
               
ให้ตาย ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงครับ
               
ผมแบกกีตาร์และลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งลงกลางร้านซึ่งถูกเคลียร์โต๊ะออกสำหรับทำการแสดง ก่อนจะทักทายลูกค้าและเริ่มร้องเพลงที่เตรียมมา แน่นอนว่าผมเลือกเพลงไทยที่ค่อนข้างฮิตพอสมควรเพื่อให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ร้องตามได้ ไม่นานจากร้านที่มีเสียงพูดคุยและเสียงทำครัว ก็เปลี่ยนเป็นคอนเสิร์ตขนาดย่อมๆ ที่พนักงานทุกคนพร้อมในกันประสานเสียงร้องเพลงกันอย่างออกรส ผมร้องเมดเลย์ที่มีทั้งเพลงช้าและเพลงเร็วเผื่อว่าใครจะมีอารมณ์ลุกขึ้นมาเต้น และมันก็ได้ผลทีเดียวเมื่อมีลูกค้าหลายคนลุกจากโต๊ะมายืนเต้นรอบๆ เก้าอี้ที่ผมแสดงอยู่
               
ผมรู้สึกปลื้มเล็กๆ ที่เห็นแบบนั้น เพราะเมื่อเทียบกับการรำไทย หรือการแสดงแบบพื้นบ้านของคนอื่นๆ แล้ว ดนตรีโฟล์คซองของผมมันดูธรรมดาและไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แต่พอเห็นทุกคนให้ความร่วมมือและสนุกสนานไปกับมันผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ถึงจะขึ้นเวทีในผับหรือตามงานประกวดมาหลายครั้ง แต่ที่นี่บรรยากาศมันก็ต่างกันลิบลับ มันทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศปาร์ตี้เล็กๆ ภายในครอบครัวที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
               
ผมทำการแสดงอยู่ประมาณยี่สิบนาที ก่อนจะถึงเพลงสุดท้าย น่าเสียดายที่เพลงนี้ไม่น่าจะมีใครร้องได้ แต่ผมก็ยังอยากใช้มันปิดการแสดงอยู่ดี... เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงของผมออกมา
               
“เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งเอง...” ผมบอกขณะที่ปรับสายกีตาร์ด้วยความเขินเล็กๆ เพราะไม่เคยต้องพูดเอนเตอร์เทน แน่ล่ะก็นั่นมันหน้าที่ไอ้เตอร์นี่หว่า ผมชะงักไปนานเพราะคิดคำพูดไม่ออกจนถูกโห่แซว สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะไม่พูดหลายๆ คำที่อยู่ในใจออกมาและตัดประโยคจบดื้อๆ เพื่อเข้าเพลง “ครับ”
               
ผมยิ้มเขินๆ เมื่อถูกส่งเสียงแซวอีกรอบขณะที่ไล้มื้อไปตามสายกีตาร์และเปล่งเสียงร้องออกมาตามจังหวะเนิบๆ ของเพลง
               
แน่นอนว่ามันคือเพลงที่ผมแต่งให้ตรี... เพลงของเรา
               
มันจึงไม่แปลกที่ทุกคำร้องที่เอ่ยออกมาจะทำให้ผมนึกถึงเขา เจ้าของใบหน้ามึนๆ ที่ผมสามารถมองได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ผมชอบที่เขาพยายามตื่นนอนมาทำกับข้าวทุกเช้า ชอบเวลาที่เขาตั้งใจทำงานจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูเมื่อผมเข้าไปในห้อง ใบหน้าง่วงงุนจากการอดหลับอดนอนตลอดทั้งวันนั่นทำให้คนยิ้มยากอย่างผมหลุดผมหัวเราะออกมาได้อย่างน่าประหลาด

ผมชอบวิธีการพูดและน้ำเสียงที่ฟังดูเอาแต่ใจเล็กๆ ของเขา และแม้นิสัยขี้ใจอ่อนของเขามันจะน่าหงุดหงิดในบางครั้ง แต่ผมก็ชอบที่เขาเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธการขอความช่วยเหลือจากใคร

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขามันทำให้ผมตกหลุมรัก โดยไม่มีข้อแม้สักข้อเดียว

ใบหน้าในอิริยาบถต่างๆ ของตรีไหลเข้ามาในความทรงจำของผมแม้แต่ตอนที่เพลงจบลงภาพของเขาก็ยังไม่หายไป ชั่วขณะหนึ่งผมเผลอลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางคนมากมาย จนกระทั่งได้ยินเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นมา ผมยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อเอากีตาร์ไปเก็บและไปทำงานต่อ

แต่วินาทีที่ผมหมุนตัวกลับไปทางเคาน์เตอร์ผมก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมกำลังมองตรงมา แม้จะไม่ได้ยิ้มหรือแสดงสีหน้าที่แตกต่างไปจากวันอื่น แต่เพียงไม่กี่วินาทีที่ได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เป็นต้นแบบของคนที่ผมรัก ก็ทำให้ผมรู้ว่า ท่านทราบดีว่าเพลงที่ผมร้องต้องการสื่อถึงใคร
และผมหวังว่าท่านจะเริ่มเข้าใจความรักของเราสองคนในไม่ช้า


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2016 12:01:19 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
 (ต่อ)

หลายวันผ่านไป

ผมยังคงอาศัยอยู่ที่ร้านแม้ว่าค่าแรงที่ได้จะพอเช่าห้องถูกๆ ได้แล้วก็ตาม การทำงานหนักทั้งวันทำให้ผมหลับสนิทจนลืมอากาศหนาวไปเลย และเพราะแม่ตรีเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้ผมก็เลยนอนได้สบายๆ จนถึงเช้า

ข้อดีของการที่ให้ผมซุกหัวนอนที่นี่คืออย่างน้อยผมก็ช่วยทุ่นแรงในการปิดร้าน แถมยังได้คนเฝ้าร้านฟรีๆ ตลอดคืนอีกด้วย ผมเดินเช็กรอบร้านก่อนนอนเหมือนทุกคืน จนแน่ใจว่าไม่ลืมปิดประตูหรือปิดไฟตรงไหน แล้วค่อยกลับมาปูที่นอนหลังแคชเชียร์

แต่ก่อนที่จะหลับตา ยังมีกิจวัตรที่ผมต้องทำก็คือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กความเคลื่อนไหวในเฟสบุ๊กของใครบางคนที่ผมคิดถึงจับใจ มันเป็นช่องทางเดียวที่ผมจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้เพราะตอนที่เลิกกันผมตัดสินใจลบแอคเคาท์ไลน์และปิดเฟสบุ๊คของตัวเองเพื่อตัดการติดต่อ โชคดีที่ตรีเปิดเพสบุ๊คเป็นสาธารณะ ผมเลยสามารถเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของเขาได้ แต่ก็โชคร้ายที่ตรีของผม ไม่ใช่คนชอบอัพเดตชีวิตส่วนตัวในโลกโซเชียลนัก ผมเลยต้องวนดูรูปเดิมๆ ของเขาซ้ำๆ

ผมใช้เวลาเลื่อนดูไทม์ไลน์ของตรีอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงแล้วรู้สึกง่วงขึ้นมาเลยตัดสินใจจะออกจากเฟสบุ๊คเพื่อนอน แต่ยังไม่ทันจะได้กดอะไร สายตาก็ดันเลื่อนไปเห็นสถานะล่าสุดของเจ้าของแอคเคาท์ที่เพิ่งจะอัพเดตเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว หัวใจของผมมันเต้นโครมครามขึ้นมา พร้อมกับเผลอยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ได้อ่านสถานะสั้นๆ แค่เพียงคำเดียว
 

‘คิดถึง’
           
           
ให้ตาย... นี่ผมไม่ได้เพ้อเจ้อไปเองใช่มั้ย ที่คิดว่าสถานะมันหมายถึงผม
               
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ และมองหน้าจอมือถืออยู่หลายนาที กว่าจะยอมตัดใจนอนเพราะนึกได้ว่าพรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่แต่เช้า
               
ผมรู้ว่าคืนนี้ต้องฝันดีแน่ ถ้าหากว่าตอนที่กำลังเคลิ้มหลับไม่มีอะไรมาขัดจังหวะความฝันของผมเสียก่อน
               
แกรก!
               
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะเสียงนั่นไม่ใช่เบาๆ เลย มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างมากระแทกกับประตูหลังร้าน และผมคิดว่าคงมีใครหรืออะไรบังเอิญมาเดินชนถ้าหากว่าเสียงนั่นไม่ดังขึ้นมาอีกซ้ำๆ หลายครั้งพร้อมกับประโยคสนทนาที่ผมฟังไม่รู้เรื่องจากคนประมาณสองสามคน
               
ผมลุกขึ้นมาอย่างได้สติ เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผมควานหาโทรศัพท์ตั้งใจจะโทรแจ้งตำรวจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงกระแทกก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก
               
บ้าชิบ
               
ผมพิงตัวหลบหลังเคาน์เตอร์ทันที และปิดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้แสงจากหน้าจอทำให้พวกมันรู้ตัว เสียงฝีเท้าและเสียงบทสนทนาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับแสงไฟฉายที่สาดไปทั่วเพื่อสำรวจ ผมฟังไม่ออกเพราะพวกมันคุยกันเป็นภาษาอิตาลี แต่จับจากเสียงได้ว่ามีกันอยู่สามคน
               
“&*^@$!!” เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นมา พร้อมกับแสงไฟที่สาดมาทางนี้ เดาได้ว่ามันรู้แล้วว่าแคชเชียร์อยู่ตรงไหน

ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาอย่างใจเย็น เพราะไม่แน่ใจว่าพวกมันมีอาวุธหรือเปล่า เลยยังไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร ผมรอจนพวกมันมาวุ่นวายกับเครื่องคิดเงินที่ต้องใช้รหัสในการเปิด และอาศัยจังหวะนั้นย่องออกไปหลบด้านหลังโต๊ะอีกมุมหนึ่งเพื่อสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ

จากระยะนี้ผมเห็นผู้ชายที่ท่าทางน่าจะเป็นวัยรุ่นในฮู้ดสีดำสามคนกำลังช่วยกันงัดแงะเครื่องคิดเงินด้วยไม้เบสบอล มันทำให้ผมอุ่นใจว่าพวกมันคงเป็นแค่โจรกระจอกเพราะดูแล้วไม่มีการวางแผนอะไรเลย ผมตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่พวกมันจะงัดเงินออกมาได้สำเร็จจึงดึงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ฉุกเฉินอีกครั้งพร้อมกับใช้อีกมือหนึ่งคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัวสาวเท้าเข้าไปหาพวกมันใความมืด และทันทีที่ใครบางคนรู้ตัวเพราะแสงจากมือถือและเสียงฝีเท้าของผม ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมฟาดเก้าอี้ใส่มันเต็มแรง

โครม!

ตุบ!

หนึ่งในคนร้ายสลบแทบเท้าผมทันที ในขณะที่อีกสองคนเริ่มโวยวายและหวดไม้เบสบอลสะเปะสะปะใส่ผม ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจว่าพวกมันกำลังพล่ามอะไร ผมทิ้งเก้าอี้ที่พังคามือและเปลี่ยนไปคว้าไม้เบสบอลของไอ้โม่งคนหนึ่งที่เพิ่งฟาดลงมาและดึงเข้าหาตัวสุดแรงพร้อมกับใช้เท้ายันเข้าร่างซึ่งเซตามมาจนกระเด็นกลับไปกระแทกกับโต๊ะด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาจัดการอีกคนที่เหลือทันที มันเงื้ออาวุธในมือกำลังจะฟาดหัวผมพอดี แต่เพราะผมหลบได้ไม้เบสบอลจึงฟาดลงกับเคาน์เตอร์ด้านหลังเต็มแรง เปิดโอกาสให้ผมซัดหมัดเข้าที่หน้ามันจนหงายหลังไป

โครม!

“)(*@&$&!!!”

เหตุการณ์ในร้านเริ่มชุลมุนวุ่นวายขึ้นเมื่อโจรสองคนเริ่มโวยวายด้วยความโมโหและพยายามจะรุมยำผมในความมืดที่มีเพียงแสงไฟฉายสาดไปมาจนน่าเวียนหัว แต่ทักษะการป้องกันตัวที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้ผมมีสติพอที่จะหลบการโจมตีได้ ผมรับหมัดใครสักคนที่ชกมั่วๆ มาก่อนจะซัดกลับไปที่ใบหน้าเต็มแรงทันที โชคร้ายที่มันยังไม่สลบแค่เสียหลักล้มลง แถมอีกคนก็ไม่ปล่อยให้ผมได้ใจนาน รีบโจมตีเข้ามาจนผมเกือบหลบไม่ทัน แต่ผมก็ยังตั้งตัวได้และเล่นงานมันกลับเข้าที่ท้องจนร่างหนาๆ ล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่า
               
ผมคิดว่าเรื่องคงจะจบแล้วและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่กดเบอร์ฉุกเฉินทิ้งไว้หวังว่าพอได้ยินเสียงความวุ่นวายแล้วเจ้าหน้าที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สายยังไม่ตัดไป และผมตั้งใจจะกรอกเสียงลงไปเพื่อบอกพิกัด

พลั่ก!

แต่เพราะชล่าใจเกินไป เลยไม่ทันรู้ตัวว่าผู้ชายที่ผมฟาดด้วยเก้าอี้จนสลบไปตอนแรกมันฟื้นขึ้นมาอีกรอบ และเล่นงานผมจากด้านหลัง ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บแต่ก็รีบหันกลับไปหวังจะเอาคืน แต่อีกสองคนที่เหลือก็รีบกุลีกุจอเข้ามาล็อกตัวผมไว้ซะก่อน ทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้ในขณะที่เพื่อนของมันเริ่มพูดภาษาต่างดาวและซัดหมัดลงบนหน้าผมเต็มๆ

เวรเอ๊ย!

ผมเริ่มเสียสติด้วยความโมโหที่ตัวเองเสียเปรียบจนทำให้พวกมันจับตัวผมได้ แต่เพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มีอยู่ในตัว ทำให้หลังจากโดยชกไปไม่กี่หมัดผมก็ตั้งหลักใหม่ได้ด้วยการใช้เท้ายันไอ้คนที่กำลังจะพุ่งตัวเข้ามาชกผม และใช้แรงดีดตัวเองออกจากการล็อกของอีกสองคน

พลั่ก!

ผมคว้าตัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาและรัวหมัดใส่หน้าไม่ยั้ง หวังให้มันสลบก่อนจะไปจัดการคนที่เหลือ แต่ยังไม่ทันที่เสียงร้องโหยหวนของไอ้คนที่อยู่ในกำมือผมจะเงียบดี ทุกอย่างก็หยุดชะงักเพราะเสียงสัญญาณจากรถตำรวจที่ดังขึ้นมาจากนอกร้าน

“(&**$@%&&)*!!” ไอ้พวกโจรเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นรถตำรวจแล่นมาจอดหน้าร้านอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตำรวจสี่ห้าคนที่วิ่งลงมา

ผมปล่อยร่างปวกเปียกในมือซึ่งสภาพไม่น่าจะคลานไหว และหันไปคว้าตัวอีกสองคนที่กำลังจะหนี ตั้งใจจะส่งตัวพวกมันให้ตำรวจที่เริ่มพังประตูหน้าร้านเข้ามาพร้อมกับตะโกนคำที่ผมเดาเอาว่าให้ทุกคนหยุดเพราะแม้แต่โจรที่ผมพยายามจับไว้ก็หยุดดิ้นรนและยกมือขึ้นยอมจำนน ผมหยุดตามแต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร ร่างของผมก็ถูกชาร์ตจนล้มลงกับพื้นพร้อมกับถูกใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว

“เฮ้! ผมไม่ใช่คนร้ายนะ!” ผมตะโกนบอกเป็นภาษาอังกฤษแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ตำรวจยังตะโกนกดดันพร้อมกับเข้าไปใส่กุญแจมือคนที่เหลือ

ผมยังตะโกนคำเดิมขณะถูกดึงให้ลุกขึ้นและถูกลากออกจากร้าน แต่นอกจากตำรวจจะไม่ฟังแล้วยังรัวภาษาอิตาลีใส่หน้าผมไม่หยุด ผมคิดว่าตัวเองคงจะโดนลากเข้าคุกแล้วแน่ๆ ถ้าหากว่าไม่กี่วินาทีต่อมารถมินิแวนคันคุ้นตาไม่แล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านอย่างรวดเร็วตอนที่ผมกำลังจะถูกยัดเข้าไปในรถตำรวจพอดี

“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นครับคุณตำรวจ” พ่อตรีที่วิ่งลงมาจากรถเป็นคนแรกถามด้วยสีหน้าแตกตื่น

“ผู้ชายพวกนี้พยายามจะปล้นร้านคุณ” และคราวนี้ตำรวจที่ไม่ยอมฟังเสียงผมก็หันไปตอบท่านเป็นภาษาอังกฤษหน้าตาเฉย “มีคนโทรแจ้งและเราก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันก็เลยเช็กพิกัดดู พอมาถึงก็เห็นผู้ชายสี่คนนี้กำลังสู้กันอยู่”

พ่อตรีมองมาที่ผมกับโจรตัวจริงที่ถูกใส่กุญแจมือและถูกกดลงกับรถอยู่ ก่อนจะมองกลับไปในร้านที่สภาพเละเทะไปหมดอย่างประเมินสถานการณ์

“เชน!” ขณะที่ทั้งตำรวจและผมกำลังรอให้พ่อตรีพูดอะไรสักอย่าง เสียงของแม่ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับตัวท่านกับอีกสองคนที่ผมจำได้ว่าเป็นน้าของตรีกับสามีที่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน “เกิดอะไรขึ้นลูก” แม่กำลังจะเดินเข้ามาหาผม แต่ก็ถูกตำรวจกันไว้

“คุณรู้จักหมอนี่เหรอ?” ตำรวจเอ่ยถาม ในขณะที่แม่ซึ่งยังสับสนกับสถานการณ์ได้แต่พยักหน้ามึนๆ แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร เสียงเข้มของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็ช่วยยืนยันอีกแรงว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์

“ใช่ครับ” เสียงเข้มเอ่ยพร้อมกับหันมาสบตา

“...”

“เขาเป็นลูกชายผม”
 

เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีหลังจากที่สามีคุณน้าที่เป็นคนอิตาลีและเป็นเจ้าของร้านตามกฎหมายเข้าไปเจรจากับตำรวจและจัดการเรื่องดำเนินคดีต่อ ในขณะที่ผมถูกปล่อยตัวและถูกพาไปโรงพยาบาลแทน โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปากแตกกับหน้าช้ำนิดหน่อยเพราะถูกต่อย ส่วนหลังที่ถูกฟาดก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เป็นแค่แผลฟกช้ำเท่านั้น ไม่ถึงกับกระดูกหักอะไร

ผมเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยความเพลียถึงขีดสุดเพราะมันดึกมากแล้ว แต่คนที่เพลียไม่แพ้กันคงเป็นพ่อกับแม่ของตรีที่นั่งรออยู่หน้าห้องอยู่นาน พ่อตรีหันไปสะกิดแม่ที่เผลอหลับไปตอนที่เห็นผมเดินออกมา ก่อนจะลุกขึ้นมาหาผม

“เป็นไงบ้างลูก” แม่ถามขึ้นมาพร้อมกับลูบแขนผมเบาๆ

“ไม่เป็นอะไรมากครับแค่ฟกช้ำ” ผมตอบ แม่ตรีถอนหายใจออกมาเหมือนโล่งอก ในขณะที่พ่อยังคงขมวดคิ้วหน้าเครียด ก่อนจะเดินนำพวกเราออกไปเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไร

ผมคิดว่าท่านคงจะกังวลเรื่องร้าน และคงเป็นห่วงเรื่องคดี เลยไม่อยากพูดอะไรต่อ แต่ผมก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่ท่านหันมามองผมหลังจากปล่อยให้ในรถเงียบเชียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“คราวหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีก”

“...”

“พ่อเป็นห่วง”

“ครับ” ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาได้โดยลืมความเจ็บจากแผลที่มุมปากไปเสียสนิทเมื่อรู้ว่าประโยคที่ว่าผมเป็นลูกชายที่ท่านเอ่ยกับตำรวจไม่ใช่แค่คำพูดผ่านๆ เพื่อช่วยให้ผมรอดคุกเท่านั้น
 

หลายวันผ่านไป

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตรีกับผมเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่สำหรับผม มันเหมือนไม่มีอะไรคืบหน้าเลย และที่ทำให้ผมร้อนใจก็คือเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

เหลืออีกสองวันก็จะครบกำหนดหนึ่งเดือนตามสัญญา

ผมทำตัวขี้โกงด้วยการนับเวลาหนึ่งเดือนที่สามสิบเอ็ดวันและหวังว่าเวลาที่เพิ่มมาหนึ่งวันนั้นจะช่วยยืดโอกาสให้ผมได้บ้าง

แต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังยากอยู่ดี

หลังจากคืนนั้นผมก็ไม่ได้ยินสรรพนามว่าพ่อออกจากปากพ่อตรีอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ถึงจะกลับมาใช้สรรพนามฉันกับแกเหมือนเดิม แต่การที่ท่านสั่งให้ผมเก็บข้าวของย้ายไปนอนที่บ้านด้วยเพราะที่ร้านไม่ปลอดภัย ก็บ่งบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นไม่น้อย

ถึงผมจะได้นอนโซฟาในห้องนั่งเล่นเพราะห้อนนอนในบ้านถูกจับจองหมดแล้ว แต่ก็ถือว่าดีกว่าการต้องนอนหนาวบนพื้นแข็งๆ ที่ร้านมาก และอีกอย่าง การได้เข้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันก็ยังทำให้ผมมีโอกาสคุยกับพ่อตรีได้มากขึ้นด้วย
แต่มันคงเป็นความกระจอกของผมเอง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราวสักที

ถึงครอบครัวตรีจะเอ็นดูและเต็มใจดูแลผม แถมพ่อก็ดูจะเปิดใจมากขึ้น แต่ผมก็ยังไม่เคยคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเราจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ผมยื้อเอาไว้จนเกือบจะหมดเวลาจนได้ และถ้าผมยังหาโอกาสคุยไม่ได้ภายในสองวัน ผมก็คงไม่สามารถพูดมันได้อีกตลอดชีวิต

ผมนั่งมองตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกหนักใจ เวลาบินกลับคือวันมะรืนนี้ตอนเช้า นั่นยิ่งตอกย้ำว่าผมควรรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะคว้าน้ำเหลว

และผมก็ไม่อยากกลับไปเริ่มใหม่ทั้งที่เดินมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว

“เชนเสร็จหรือยังจ๊ะ” แม่ที่เดินไปเตรียมของขึ้นรถ เดินกลับมาเรียกผมที่ขอตัวกลับมาหยิบของ ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมามองตั๋วเครื่องบินอีกครั้งและได้แต่ถอนใจ

ผมพับมันลวกๆ และยัดใส่กระเป๋าสตางค์ก่อนจะลุกเดินออกไปหน้าบ้านซึ่งมีรถมินิแวนจอดรออยู่ พ่อตรีเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่คุณน้าจะขับรถไปส่งพวกเราที่ร้านเหมือนทุกเช้าก่อนไปทำงานต่อ

วันนี้ร้านเปิดแค่ครึ่งวันเพราะตอนเย็นจะมีปาร์ตี้ประจำเดือน ผมไม่รู้รายละเอียดนัก แต่แม่ตรีเล่าคร่าวๆ ว่าทุกคนจะนำวัตถุดิบที่เหลือในร้านมาทำอาหารกินกันแล้วแต่ว่าใครอยากจะครีเอตเมนูอะไร ส่วนเครื่องดื่มหรือของมึนเมาทุกคนจะช่วยกันออกเงินแต่ก็มีงบสนับสนุนจากพ่อตรีและสามีคุณน้าที่มาร่วมสังสรรค์ด้วยเหมือนกัน มีการแสดงเหมือนวันอาทิตย์ด้วยแต่ไม่ได้ซีเรียสนักเพราะไม่ได้แสดงให้ลูกค้าดู บางคนแค่มาเล่าเรื่องตลกๆ สร้างเสียงหัวเราะก็ทำให้งานสนุกได้แล้ว
แน่นอนว่าการแสดงของผมก็หนีไม่พ้นเล่นกีตาร์โปร่งที่แบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากบ้าน เพียงแต่คราวนี้ผมไม่ต้องร้องเองแล้ว เพราะมีนักร้องกิตติมศักดิ์หลายคนแวะเวียนมาร้องแทนโดยที่ผมมีหน้าที่แค่เล่นตามเพลงที่ถูกรีเควสต์เท่านั้น

“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็ไปเอาที่ครัวได้เลยนะ” แม่บอกอย่างใจดีหลังจากที่ผมเดินมาที่โต๊ะเพื่อนักพักจากการเป็นนักดนตรีจำเป็นเพราะมีคนเสนอให้เปิดคอมร้องคาราโอเกะแทน

“ครับ” ผมยิ้ม ก่อนจะรับแก้วแอลกอฮอล์ที่สามีคุณน้ารินให้มายกดื่ม

ผมไม่ชินกับการสังสรรค์แบบนี้นัก ก็เลยได้แต่นั่งจิบเหล้ามองคนอื่นๆ สนุกสานไปพลาง บรรยากาศคึกครื้นแต่เจือไปด้วยความอบอุ่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีความรู้สึกร่วม มันเหมือนเราทุกคนกำลังนั่งกินนั่งดื่มกันในบ้านของตัวเองจริงๆ ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดและขัดเขินเลย

ผมนั่งดื่มพลางคุยกับคนอื่นๆ ในโต๊ะไปได้สักพัก ก็ต้องชะงัก เมื่ออยู่พ่อตรีที่เพิ่งออกมาจากหลังร้านก็เดินมาหยุดตรงที่ผมนั่งอยู่ ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองท่านอย่างสงสัย

“ไปคุยกันหน่อย”

น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังผิดกับบรรยากาศของท่าน ทำให้ผมต้องวางแก้ว และเดินตามไปอย่างงงๆ
พ่อตรีเดินนำผมมาที่ด้านหลังร้านซึ่งตอนนี้เงียบเชียบไร้ผู้คน ก่อนจะนั่งลงที่บันไดเตี้ยๆ หน้าประตู ผมนั่งลงตาม กำลังจะถามท่านว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ก็ต้องกลืนคำถามกลับลงคอไป เมื่อพ่อตรียื่นอะไรบางอย่างมาตรงหน้า

มันคือกระเป๋าสตางค์ของผมและตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับที่ไม่ได้อยู่ในซองอีกต่อไป

วินาทีนั้นผมเดาได้ว่าท่านกำลังจะพูดเรื่องอะไร

“แกมาที่นี่ทำไม” พ่อถามหลังจากที่เราต่างคนต่างเงียบอยู่นาน

บรรยากาศอึดอัดที่ไม่ได้สัมผัสมาพักใหญ่ ทำเอาผมพูดไม่ออกเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่คือเวลาที่ผมรอคอยมาตลอด... เวลาที่ผมจะขอโอกาสกับพ่อตรีอีกครั้ง

“ผมสัญญากับตรีเอาไว้ว่าจะกลับไปหาเขา ภายในหนึ่งเดือน” ผมเอ่ยความลับที่ปกปิดเอาไว้ออกมา

ก่อนหน้านี้ผมกลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ครอบครัวก็จะตั้งแง่กับผม  คิดว่าผมมาช่วยเพื่อทำดีเอาหน้า

ซึ่งมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้

“แกสัญญากับฉันว่าจะไม่ยุ่งกับลูกชายฉันอีก” เป็นอย่างที่ผมเตรียมใจไว้เมื่อพ่อของตรีทวงถามสัญญา

ผมก้มหน้าลงอย่างรูสึกผิดแวบหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาท่านอีกครั้งเพื่อแสดงความจริงใจ “ขอโทษครับ ผมทำไม่ได้”

“...”

“ผมไม่สามารถปล่อยมือจากเขาได้ เพราะงั้นผมเลยมาที่นี่” ผมยังคงสบตากับพ่อของตรีอย่างจริงจังและขอร้อง “ผมอยากขอโอกาสอีกครั้ง”

“...” คนตรงหน้าก็ยังคงขมวดคิ้วมองมาด้วยสีหน้าที่ผมไม่สามารถเดาได้ว่าคำตอบจะเป็นหัวหรือก้อย
แต่ผมมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว

ผมรู้ว่าท่านโกรธที่ผมผิดคำพูดและกลับไปหาตรีลับหลังท่าน ผมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ สำหรับเรื่องนี้ เพราะมันคือความผิดของผมเองที่ให้คำสัญญาพล่อยๆ ที่ตัวเองไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าผมสามารถทำอะไรเพื่อทดแทนการผิดคำพูดของตัวเองได้ ผมก็พร้อมจะทำ ขอแค่ท่านไม่ผลักไสผมออกจากชีวิตตรีเหมือนที่ผ่านมาก็พอ

“ตอนที่แกให้สัญญาง่ายๆ มันทำให้ฉันคิดว่าแกไม่ได้รักลูกฉันจริงอย่างที่ฉันคิด”

“...”

“ยิ่งเจ้าตรีร้องไห้ ฉันก็ยิ่งโกรธที่แกยอมแพ้” ท่านเว้นวรรค ก่อนจะกลืนน้ำลายและเอ่ยสิ่งที่ค้างไว้ “แต่ฉันโกรธตัวเองมากกว่าที่บีบให้แกทำแบบนั้น” อยู่ๆ เสียงเข้มก็ขาดห้วงไป พร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตา
มันทำให้ผมรู้ว่าท่านกำลังรู้สึกยังไง ผมเข้าใจแล้วว่าท่านรู้สึกแย่แค่ไหนกับการกระทำของตัวเอง

“แต่อยู่ๆ แกก็โผล่มา” ท่านพูดต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตาผม น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังซ่อนอะไรอยู่ “คิดว่าทำแค่นี้แล้วมันจะช่วยอะไรได้หรือไง”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริง

เวลาหนึ่งเดือนอาจจะน้อยไปที่จะพิสูจน์อะไร

 “แกรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นห่วงเจ้าตรีแค่ไหน” อยู่ๆ ท่านก็หันกลับมาสบตาผมอีกครั้งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ผมยังคงสบตาทุกครั้งที่ตอบ “ครับ”

แม้ว่าคำพูดที่ได้ยินและความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาจะทำให้ผมล้าจนอยากจะยอมแพ้ก็ตาม ถ้าเป็นปกติผมคงอดไม่ได้ที่จะหยิบบุหรี่ออกมาสูบหวังให้มันช่วยจัดการความเครียดนี้ แต่เพราะไม่มีผมเลยแต่กำหมัดแน่น หวั่นกลัวกับอนาคตในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“ฉันมีลูกชายอยู่คนเดียวที่เป็นความหวังของตระกูล” ท่านยังคงพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนพยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ไหลออกมา

“...” แต่คำพูดนั้นก็กระตุ้นให้น้ำตาของผมเอ่อคลอขึ้นมาเหมือนกัน... ผมเข้าใจความรู้สึกของตรีก็ตอนนี้เอง

ความรู้สึกที่ไม่อยากให้พ่อแม่ของตัวเองเจ็บปวด... เขาต่อสู้กับความรู้สึกนี้มานานขนาดนั้นได้ยังไงนะ

“พูดตรงๆ ว่าฉันไม่อยากให้แกคบกับลูกชายของฉัน”

ถ้าเป็นผม ก็คงยอมแพ้ตั้งแต่เห็นแววตาสั่นระริกพร้อมกับการขัดขวางที่เกิดจากความเป็นห่วงแบบนี้แล้ว ผมก้มหน้าหลบสายตา พยายามกลืนน้ำลายลงคอเพราะหวังว่ามันจะกลืนก้อนที่จุกอยู่ตรงอกผมให้ลงไปด้วย

ผมรู้สึกปวดใจไปหมด เมื่อคิดได้ว่าถ้าคราวนี้พ่อตรีสั่งห้ามอีก ผมก็คงยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว

แต่ขณะที่ผมได้แต่นิ่งเงียบอย่างพยายามทำใจ เสียงสั่นๆ ของพ่อตรีก็เอ่ยประโยคที่ตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้ออกมา

 “แต่ถ้าแกยืนยันว่ารักลูกชายฉันจริง ฉันก็จะให้โอกาสแกสักครั้ง”

“...” ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าท่านอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

คำพูดเมื่อกี้นี้มัน...

ผมมองพ่อตรีที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ พร้อมหันมาตีหน้านิ่งขณะที่พูดยืนยันว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้แค่หูฝาด

“ฉันฝากให้แกทำให้ตรีมีความสุข...”

“...”

“แล้วก็ฝากบอกด้วยว่าฉันไม่ได้เกลียดมันอย่างที่มันคิด” แล้วสุดท้ายพ่อก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ตอนที่เอ่ยคำนั้นออกมา ผมนิ่งไปนานหลายวินาทีอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่สุดท้ายเมื่อสมองประมวลผลได้ผมก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจที่ไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว

“ครับ” ผมหัวเราะ ขณะที่พ่อตรีเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับมาโดยปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ปิดบัง

“ขอบคุณครับ... ขอบคุณมากครับพ่อ” ผมพูดย้ำๆ พร้อมกับก้มหัวลงปิดหน้าร้องไห้อย่างเสียสติ พ่อตรีขยับเขามาตบบ่าผมเบาๆ และดึงผมไปกอดไว้ด้วยร่างที่สั่นเทาไม่แพ้กัน

เชื่อเถอะว่ามันคงจะเป็นภาพที่โคตรตลกเลย ถ้าหากมีใครเผลอผ่านมาและดันเห็นผู้ชายขี้เก๊กสองคนนั่งกอดคอกันร้องไห้ไม่หยุด โดยมีเสียงร้องคาราโอเกะเพลงลูกทุ่งดังเป็นแบ็กกราวน์อยู่ด้านหลังแบบนี้
 

เช้าวันเดินทาง
คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืนและภาวนาให้เรื่องที่คุยกับพ่อตรีไม่ใช่ความฝัน หรือสิ่งที่ท่านพูดออกมาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น และผมก็ยิ้มไม่หุบเมื่อพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมกังวล

พ่อตรีเลิกมึนตึงใส่ผม แถมยังกำชับว่าเรื่องที่คุยกันเป็นเพียงความลับระหว่างเราสองคน ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ใครๆ ก็เดาได้ว่าทุกอย่างลงเอยด้วยดี ผมได้รับอนุญาตให้ลาได้หนึ่งวัน เพื่อพักผ่อนก่อนกลับบ้านในวันนี้ ผมเลยไปเดินเล่นจนหมดวันก่อนแวะไปที่ร้านตอนเย็น ทุกคนที่รู้เรื่องว่าผมกำลังจะกลับบ้านก็รีบหาของขวัญมาให้ พร้อมกับอวยพรผมยกใหญ่จนผมอดรู้สึกปลื้มไม่ได้ที่ได้รับความอบอุ่นขนาดนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักทุกคนได้เดือนเดียว

“ไปกันหรือยังลูก” แม่ถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ผมจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย แต่ผมไม่ได้พกอะไรมานอกจากกีตาร์และกระเป๋าเป้แค่ใบเดียวก็เลยไม่ต้องใช้เวลานานนัก

ผมหันไปยิ้มตอบก่อนจะยกเป้ขึ้นพาดบ่าและถือกระเป๋ากีตาร์ไปเก็บที่รถแท็กซี่ เพราะไม่อยากรบกวนในวันทำงานผมเลยไม่ยอมให้พ่อแม่ตรีขับรถไปส่ง และขอนั่งแท็กซี่ไปที่สนามบินด้วยตัวเอง อีกใจหนึ่งก็เผื่อเอาไว้ เพราะถ้าหากถึงเวลาจากกันจริงๆ ภาพที่ทั้งสองคนโบกมือลาผมที่สนามบินมันคงทำให้ผมเศร้าเกินไป

ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่เดือนเดียวจะทำให้ผมผูกพันกับที่นี่ได้ขนาดนี้ คงเพราะมันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ให้อะไรกับผมมากทีเดียว

“ไปก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ที่เดินมาส่งถึงรถ และกำลังจะเปิดประตูเข้าไป

“เดี๋ยวเชน” แต่ก็หันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินแม่เรียกเอาไว้ ผมทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นพ่อกับแม่มองหน้ากันด้วยท่าทางมีเลศนัยก่อนที่พ่อจะถอนหายใจแล้วพยักหน้า

ผมเห็นแม่หัวเราะ ขณะที่จับมือข้างหนึ่งของผมไป พร้อมกับควักริบบิ้นสีแดงออกมาผูกกับข้อมือของผมเอาไว้เป็นรูปโบว์ที่ดูท่าทางจะแน่นพอสมควร

“วันนี้วันเกิดตรีเขาน่ะ” แม่พูดพลางยิ้มขำ เมื่อเห็นผมมองริบบิ้นที่ข้อมือตัวเองมึนๆ

“ฝากเอาของขวัญไปให้ลูกชายฉันด้วย” คราวนี้เป็นพ่อที่พูดออกมาพร้อมกับยื่นกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งมาให้ ผมรับมาอย่างงงๆ แต่ก็สงสัยได้ไม่นานเมื่อได้อ่านข้อความสั้นๆ ที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือหวัดๆ ของพ่อ

ข้อความที่ทำเอาผมหลุดขำ พร้อมกับเข้าใจแล้วว่าริบบิ้นสีแดงหมายความว่ายังไง

“ครับ” ผมรับปากพลางพยายามกลั้นยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าแดงจัดแต่พยายามเก๊กขรึมของพ่อตรี

ผมบอกลาอีกครั้งและนั่งรถออกมาจากบ้านด้วยหัวใจที่เต้นรัวเมื่อจินตนาการถึงใบหน้าของใครอีกคนตอนที่เห็นว่าผมกลับไปตามสัญญา ผมยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้าไปตลอดทางเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา ความอบอุ่นใจที่ผมได้รับจากครอบครัวตรี ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด

ว่าตรีของผมน่ารักและแสนดีขนาดนั้นได้ยังไง
 
-- The end --




ขอบคุณสำหรับการตอบรับที่ดีเสมอมา
นิยายเรื่องนี้เราตั้งใจเขียนมาก
ดี ไม่ดี ถูกใจหรือไม่ยังไง ก็ติชมได้เสมอเลยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ ^^

-- makok_num --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2016 12:00:32 โดย makok_num »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :pig4:

ตรีเชนจบลงด้วยดี

ถึงแม้ตอนหลังจะหน่วงปานนั้นก็เถอะ T T

ใจนึงก็อยากคิดนะว่าถ้าตรีทิ้งแหวนแล้วจะเป็นยังไงต่อ ถ้าเชนมาช้ากว่านี้ซัก 2 ชม ตรีจะใจอ่อนคืนดีไหม?

*******

ขอบคุณคุณ makok_num มากๆนะคะ

กอดดดดดดดดดดด  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


เราไม่รู้ว่าคุณ makok_num จะโกรธเราไหมที่เราเพิ่งเห็นนิยายเรื่องนี้เอาวันนี้เอง
(กดเข้ามาเพราะเห็นล็อกอินคุ้นหน้าบางล็อกอินตามอ่านเรื่องนี้อยู่ เลยอยากรู้ว่านิยายเรื่องนี้เป็นยังไง)
สรุปว่าจากที่ตั้งใจจะทำงาน... กลายเป็นตั้งหน้าตั้งตาอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าจนเพิ่งอ่านจบเมื่อกี๊นีั้

ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าคุ้นเคยกับพล็อตทำนองนี้มาบ้าง แต่กลับวางไม่ลงเสียอย่างนั้น
เรื่องภาษาไม่ต้องชมแล้วค่ะ เพราะภาษาดีมาก ๆ ลื่นไหล อ่านแล้วสบายตาสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องความละมุนนี่ยิ่งต้องปรบมือให้เลย เพราะเวลาพี่เชนยกมือขึ้นปิดหน้าแดง ๆ ทีไร เราเป็นต้องได้อมยิ้มกับความพยายามเก็กของพ่อคุณไปเสียทุกที ส่วนตรีก็น่ารักมาก ๆ เป็นนายเอกที่ทำให้เข้าใจเลยว่า ทำไมพี่เชนถึงอยากจะปกป้อง ประคับประคองความฝันของน้องไปจนถึงที่สุด... เป็นเรา เจอแบบน้องตรีเข้าไป เราก็เทใจให้น้องง่าย ๆ เหมือนกัน (พี่เชนกระโดดขาคู่ใส่)

ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารัก ๆ เรื่องนี้นะคะ อ่านแล้วดีกับใจมาก ๆ เลย
ไม่รู้ว่าคุณ makok_num จะเขียนตอนพิเศษออกมาไหม แต่ถ้าไม่ แล้วเปลี่ยนเป็นลงเรื่องถัดไป... เราสัญญาเลยค่ะว่าเราจะมาคอยท่า เป็นอีป้าเฝ้ากระทู้ไม่ห่างสักตอน ^^

เป็นกำลังใจให้นะคะ... อย่าหยุดเขียนน้า!





ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :pig4: :L2: :3123: :impress2:มีนิยายเรื่องใหม่เร็วๆๆจะรอติดตาม

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew1:   :กอด1:     ขอบคุณนะคะคุณลีฟที่จบแฮปปี้ คุณพ่อก็ไว้ใจพี่เชนได้เลยนะคะ
ในที่สุดเชนตรีก็มีความสุข

 :L1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
พ่อโอเคแล้วววววว :mc4: :mc4: :mc4:
อยากอ่านตอนตรีแกะของขวัญวันเกิดจากพ่อจัง :mew2: :mew2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด