45
พ่ายแพ้
เวลาผ่านไป
เราสองคนมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ ทันทีโดยไม่สนใจเลยว่าจะต้องสวมเสื้อผ้าเปียกๆ นั่งรถเป็นชั่วโมงๆ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ บรรยากาศในรถเงียบงันอย่างน่าอึดอัดแต่ก็ไม่มีใครคิดจะเปิดเพลงเพื่อคลายบรรยากาศ ในหัวผมมีคำพูดมากมายที่เตรียมเอาไว้ แต่ก็รู้แก่ใจว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำให้พ่อยอมฟัง ผมไร้หนทางจนเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวว่าถ้าพ่อยังดื้ออยู่แบบนี้ ก็ไม่ให้พวกท่านกลับไปทั้งคู่เลยอาจจะดีกว่า
แต่นั่นก็เท่ากับว่าผมเป็นลูกเนรคุณที่ทำลายครอบครัวเพื่อความสุขของตัวเอง
ฝนที่ตกไม่หยุด ทำให้เชนขับรถเร็วมากไม่ได้ เราจึงกลับถึงบ้านช้ากว่าที่ควรเป็นชั่วโมง มันดีตรงที่ผมมีเวลาทำใจได้นานขึ้น... แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะทันทีที่มาถึงและเห็นไฟในบ้านยังสว่างโร่ สมองของผมก็กลับมาขาวโพลนราวกับคนโง่อีกครั้ง
“นาย... กลับไปก่อนนะ” ผมโน้มตัวเข้าไปจูบเชนเบาๆ อย่างต้องการซึมซับความมั่นใจ ก่อนจะบอกเขาแบบนั้น แล้วเปิดประตูรถวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในบ้านทันที
“คุณควรปล่อยลูกไปได้แล้ว! แบบนี้มันไม่ใช่การเป็นห่วงแล้ว คุณแค่อยากเอาชนะต่างหาก!” เสียงตะโกนของแม่ที่ดังขึ้นมาตอนที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปในตัวบ้าน ทำเอาผมชะงักมือที่กำลังจะยื่นออกไปจับลูกบิดประตูทันที
“คุณไม่เข้าใจ!” พ่อพยายามจะเถียง
“คุณนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ!” แต่แม่ก็แย้งขึ้นมาอีกครั้ง “ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คุณก็เห็นนี่ว่าเด็กสองคนมันรักกัน ถึงสุดท้ายเขาจะเลิกกันมันก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่มีสิทธิ์ไปขัดขวาง”
เหตุผลของแม่ทำให้พ่อของผมถึงกับเงียบไป แต่แววตาที่ยังคงแข็งกร้าวก็บ่งบอกว่าท่านไม่ได้กำลังยอมแพ้
พ่อผมยังไงก็เป็นพ่อผมที่หัวดื้ออยู่วันยังค่ำ
“ไอ้ตรีต้องไปกับเรา ยังไงผมก็ไม่ให้มันคบกับผู้ชายหรอก” นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีเลย
“พ่อครับ พอได้แล้ว!” สุดท้ายผมก็เปิดประตูเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นต่อไปไม่ไหว
“...” พ่อกับแม่ดูจะตกใจที่อยู่ๆ ผมก็โผล่มาในสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว ทั้งสองคนมองมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้ผมได้เอ่ยในสิ่งที่ใจคิดต่อไป
“ผมกับเชน เราแค่รักกัน ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยสักนิด เมื่อไหร่พ่อจะเลิกขัดขวางเราสักที!”
“ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเหรอ เหอะ! แล้วที่ไปเที่ยวกับมันจนดึกจนดื่นนี่ล่ะ! ถ้าแม่แกไม่โทรตามก็คงจะไม่กลับมาใช่มั้ยฮะ!”
“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับพ่อ!” ผมอดไม่ได้ที่จะตะโกนกลับไปเมื่อเริ่มรู้สึกว่าพ่อเริ่มเบี่ยงประเด็น
“เดี๋ยวนี้แกกล้าเถียงเหรอ ไอ้กุ๊ยนั่นมันสอนให้แกมาเถียงฉันแบบนี้เหรอ!” คำพูดของพ่อ สะกิดต่อมความโกรธที่พยายามกักเก็บเอาไว้มาตลอดระเบิดออกมาเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกเผา ผมกำหมัดแน่น มองหน้าพ่อตัวเองด้วยสายตาที่แข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยทำ
“พ่อไม่มีเหตุผลเลย! นี่น่ะเหรอที่บอกว่าเป็นห่วงผม?จริงอย่างที่แม่บอก... พ่อไม่ได้เป็นห่วงผมเลย พ่อก็แค่อยากเอาชนะผมเท่านั้น” จำไม่ได้เลยว่าตัวเองขึ้นเสียงกับพ่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมหมดความอดทนจนเผลอเถียงพ่อแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดมาผมอดทนและเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ในความเงียบตลอด
บรรยากาศจมลงสู่ความเงียบอันน่าอึดอัดนานนับนาที ผมเห็นใบหน้าของพ่อบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจบรรยาย ในขณะที่แม่มองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน ผมยกมือขึ้นกุมขมับอย่างจนความคิด จนคำพูดที่จะยกขึ้นมาเอ่ย สุดท้ายก็เลยได้แต่เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าอย่างขอร้องอีกครั้ง
“ผมขอโทษที่ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย” อยู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรเอ่อล้นขึ้นมาเต็มอกก็ทำเอาผมต้องเว้นวรรคเพื่อกลืนก้อนความรู้สึกนั้นกลับลงไป “ขอโทษที่เอาแต่ใจ ขอโทษที่เงียบทุกครั้งที่ทะเลาะกัน”
“...”
“ขอโทษครับที่ไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองให้พ่อเข้าใจ... แล้วก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกพ่อเลย พ่อคงจะลำบากใจมากที่มีลูกหัวดื้ออย่างผม”
“...”
“แต่พ่อครับ...ผมขอร้อง อย่าเอาความผิดทั้งหมดของผมมาลงกับเรื่องนี้ได้มั้ย ฮึก”
แต่สุดท้ายผมก็เก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นต่อไปไม่ไหว จนสุดท้ายมันก็กลั่นกรองกลายเป็นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างน่าสมเพช ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ปล่อยให้น้ำตาไหลราวกับทำนบแตก
“ตรี” แม่เข้ามากอดผมไว้อย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเลยว่าตัวผมจะเปียกแค่ไหน ในขณะที่พ่อยังคงจ้องหน้าผมนิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
“ถึงพ่อจะพูดยังไง ผมก็ยังยืนยันอีกครั้งว่าผมกับเชนรักกัน... เรารักกันมากจริงๆ” ผมพล่ามทั้งที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมแค่ต้องพูดออกไป พูดทุกสิ่งที่ใจคิดเพื่อให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าใจจิตใจของผมบ้าง
“...”
“และต่อให้ไม่มีเรื่องเชน ผมก็จะไม่ไปไหน... ความฝันผมอยู่ที่นี่ ได้ยินมั้ยครับพ่อ” พูดได้เท่านั้นผมก็ไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก ผมมองใบหน้าที่ขมวดคิ้วเกร็งของพ่อผ่านม่านน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ตัวของผมสั่นไปหมด ไม่ใช่เพราะความหนาวเหน็บที่เล่นงานจนร่างกายเย็นเฉียบ แต่เป็นเพราะความรู้สึกมากมายมันถูกปลดปล่อยออกมาจนไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีก ผมไม่รู้ว่าพ่อกำลังคิดอะไร และไม่สนใจอีกแล้ว
ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องนั่งเล่น ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองเพราะไม่ต้องการเห็นหน้าใครอีก
ผมอยากปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาให้หมด ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นมานานผ่านน้ำตาพวกนี้ เผื่อว่ามันจะทำให้หัวใจที่กำลังหนักอึ้งผ่อนคลายลงบ้าง ผมปิดประตูห้องใส่กลอนเพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงพิงประตูและร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กๆ ในหัวมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรต่อไป ควรหันหน้าไปทางไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ มันทั้งสับสน และเจ็บปวดจนเหมือนหัวใจกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทั้งที่คิดว่าจะต้องผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้... แต่ทำไมมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ก็ไม่รู้
กริ๊งง
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงร้องออกมาเพราะมีคนโทรเข้า ผมไม่อยากรับสายใครตอนนี้ แต่เบอร์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอก็ทำให้ผมลังเลจนได้แต่ปล่อยให้โทรศัพท์ส่งเสียงอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังร้องไห้... แต่ผมก็อยากได้ยินเสียงเขาเหลือเกิน
“...” ในที่สุดผมก็รับสาย แต่ไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอดออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน
ต้องขอบคุณเสียงฝน ที่ช่วยให้ผมเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้ง่ายขึ้น
[ ร้องไห้อยู่เหรอ ]
แต่ก็ไม่มีทางที่จะปิดบังผู้ชายที่อ่านความรู้สึกผมออกมาเสมอคนนี้ได้เลย
“ฮึก... ” พอถูกจับได้ เสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตามากมายมันก็พรั่งพรูออกมาจนเกินจะกลั้นได้อีก
ไม่น่าเลย ผมไม่ควรให้เขามารับรู้ความรู้สึกอันน่าสมเพชของผมเลย
[ พ่อไม่ยอมเหรอ ]
“ขอโทษ” คำถามของเขาทำให้ผมซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองด้วยความรู้สึกผิด พยายามจะเช็ดน้ำตา แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ยอมหยุดไหลสักที
[ ถ้าไม่เลิกกัน พ่อจะบังคับให้นายไปอิตาลีด้วย... จริงหรือเปล่า ]
“ฮึก...” ผมไม่ตอบ ได้แต่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นกลับไป เพราะไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้เลยเกี่ยวกับอนาคต ต่อให้ผมอ้อนวอน ก็ยังไม่รู้เลยว่าพ่อจะยอมรับการตัดสินใจของผมหรือเปล่า เรื่องราวมันเหมือนยิ่งดิ่งลงเหวซะจนผมมืดแปดด้านไปหมดแล้ว
[ ออกมาที่ระเบียงหน่อยสิ ] เขาบอก
นั่นทำให้ผมรู้ว่าเขายังไม่ไปไหน
“ไม่เอา” ผมส่ายหน้า น้ำเสียงขาดห้วง ผมไม่อยากให้เขาเห็นผมในสภาพนี้ ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังเจ็บปวดและท้อใจแค่ไหน ผมกำหมัดแน่นสั่นไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งคิดว่าเชนต้องกำลังกังวลใจแค่ไหน มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกทุกข์จนแทบจะทนไม่ไหว เขาไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้เลย
ถ้าคนที่เขารักเป็นคนอื่น... เรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้
[ เหนื่อยมากสินะ ] เขาเงียบไปนาน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แม้จะเรียบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
ผมยิ่งสะอื้นหนักขึ้นจนต้องยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากที่เม้มแน่นของตัวเองเอาไว้ อยากจะปฏิเสธออกไปแต่ก็ยากที่จะโกหกความรู้สึกตัวเอง
[ ท้อแล้วใช่หรือเปล่า ]
“อย่าพูดแบบนั้นสิ” คำพูดที่ทวีความสิ้นหวังของเชน ยิ่งทำให้ผมสะอื้นหนักกว่าเดิมจนแทบจะเค้นเสียงพูดออกจากลำคอออกมาไม่ไหว เชนเงียบไปอีกครั้ง ความเงียบที่ผมหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เราต่างอยู่ในสภาวะที่หนักหนาเสียจนอยากจะปล่อยมือ แต่ถ้าทำแบบนั้น ความสุขที่เราฝ่าฟันกันมา มันก็จะกลายเป็นแค่ความฝัน
[ ขอโทษนะ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย... ทำให้นายต้องแบกรับภาระอยู่คนเดียว ] ยิ่งเขาพูดแบบนั้น ผมก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ผมส่ายหน้าไปมาแม้จะรู้ว่าเขามองไม่เห็น ผมอยากบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ลำคอที่ตีบตันก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
[ ขอโทษ...ที่ก่อนหน้านี้พูดว่าจะไม่มีวันปล่อยมือ ]
“...”
[ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ายื้อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ]
“เชน” ผมเอ่ยชื่อเขาออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวในคำพูดนั้น
แต่เขาไม่ยอมฟังผมเลย
[ ขอโทษจริงๆ ที่วันนี้ต้องผิดสัญญา ]
“เชน!” ผมพยายามเรียกเขา แต่สายก็ถูกตัดไปทันทีที่เขาพูดประโยคก่อนหน้าจบ
ผมนั่งนิ่งด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกไม้เบสบอลตีลงมาที่กลางหัว มันตกใจและมึนงงไปหมด โสตประสาทของผมถูกตัดออกจากเสียงฝน สมองของผมขาวโพลน และดวงตาก็ยังคงพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำตาที่ยังคลออยู่แม้จะไม่สามารถไหลออกมา จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเตือนสติผมให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ผมจึงผุดลุกขึ้นวิ่งไปที่ระเบียงทันที รถสปอร์ตสีดำสนิทของเชนยังคงจอดอยู่ข้างรั้ว แต่ในรถกลับว่างเปล่าไร้เงาของร่างสูงที่ผมคิดว่าน่าจะหลบฝนคุยโทรศัพท์กับผมอยู่ในนั้น
อยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นรัวขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองไม่รู้สาเหตุว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่... อะไรบางอย่างก็บอกผมว่าผมรู้อยู่แก่ใจ
ผมรู้แล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร
ผมกลับไปที่ประตูอีกครั้งโดยอัตโนมัติ วิ่งสุดชีวิตลงบันไดไปยังห้องนั่งเล่นที่เพิ่งจากมา ภาวนาให้ตัวเองไปถึงก่อนที่ร่างสูงจะไปถึงและทำเรื่องโง่ๆ ออกไป
แต่มันก็สายเกินไป
เชนอยู่ตรงนั้น ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ตรงหน้าพ่อกับแม่ของผมที่ยืนมองร่างเปียกปอนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เชนเงยหน้าขึ้นสบตาพวกท่านด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว และเอ่ยคำพูดที่เหมือนจะปลิดลมหายใจของผมอย่างโหดร้ายออกมา
“ผมจะเลิกกับตรี”
“...”
“เพราะฉะนั้น ได้โปรด... ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยเถอะครับ”
“เชน!” ผมตะโกนเรียกเขา แต่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลย มีแม่คนเดียวที่หันกลับมามองผมอย่างลำบากใจ ในขณะที่พ่อเบือนหน้ากลับมาสบตาผมเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองเชนอีกครั้งพร้อมกับยื่นข้อเสนออันแสนโหดร้าย
“ถ้าแกสัญญาว่าจะเลิกยุ่งกับลูกชายฉัน”
“พ่อครับ!” ผมตะโกนเรียก อยากทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่ขาของผมมันก็อ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไป น้ำตาของผมหลั่งไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ผมอยากจะโกนบอกเชนว่าอย่า บอกให้เขาปฏิเสธไปซะ แต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้กระทั่งคำสัญญาที่ถูกเอ่ยออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวจากปากของคนที่ผมรัก
“ครับ ผมสัญญา”
คำสัญญา... ที่บ่งบอกว่าเขาพร้อมแล้ว ที่จะปล่อยมือที่จับแน่นของเรา
พ่อของผมเองก็ดูจะอึ้งไปที่อยู่ๆ เชนก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย ท่านเงียบไปพักใหญ่แต่สุดท้ายก็ไล่เขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง
“งั้นก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว” เชนไม่ตอบอะไร ร่างสูงเพียงลุกขึ้นยืน และเดินออกไปตามคำสั่ง... เขาไม่หันกลับมามองหน้าผมที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงนี้อย่างน่าสมเพชแม้แต่น้อย
“เชน!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาอีกครั้งอย่างคนโง่ น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาอย่างหนักที่ขาอันอ่อนแรงพยายามวิ่งตามร่างสูงที่เดินออกจากบ้านไปอย่างเย็นชา ผมเห็นแผ่นหลังของเขาเดินห่างออกท่ามกลางสายฝน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้ผมจะตะโกนเรียกจนสุดเสียงก็ตาม
“พี่เชน หยุดเดี๋ยวนี้!” คราวนี้ผมเร่งฝีเท้าตัวเองจนทัน รั้งร่างสูงให้หันกลับมาเผชิญหน้าเพื่อคุยกับผมก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปในรถได้ทันท่วงที
“ทำแบบนี้ทำไม! พูดกับพ่อไปแบบนั้นทำไม! ไหนบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยมือไง” ผมตะโกนใส่หน้าเขาทั้งน้ำตานองหน้า แต่คนตรงหน้ากลับยืนนิ่ง มองกลับมาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
“นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” ผมเว้าวอน
“...”
“บอกแล้วไง ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี บอกแล้วไงว่าฉันจะจัดการทุกอย่างเอง ฮึก...แล้วทำแบบนี้ทำไม” ผมพยายามประคองร่างกายตัวเองไม่ให้ทรุดลงไปร้องไห้อย่างที่ใจอยาก
เรายังคงยืนท่ามกลางสายฝนที่ดูเหมือนจะตกหนักขึ้นอีกระรอกโดยไม่กลัวเลยว่าจะไม่สบาย ผมยังคงร้องไห้ไม่หยุด แต่น้ำตามากมายก็ถูกสายฝนชะล้างจนคงจะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา เชนยังคงยืนจ้องหน้าผมนิ่ง มือหนากำหมัดแน่นจนสั่นระริก แล้วในที่สุดเจ้าของใบหน้าคมก็เอ่ยคำถามแสนยากเย็นออกมา
“เมื่อไหร่?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าที่เคย “ต้องรออีกนานแค่ไหนมันถึงจะผ่านไป” คำถามของเขามันยากเสียจนผมไม่กล้าตอบอะไร ได้แต่มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสายตาเย็นชาที่ทำให้หัวใจผมหนาวเหน็บซะยิ่งกว่าความเย็นของฝนที่ตกกระทบกับร่างกาย
“รู้มั้ยว่ามันน่ารำคาญแค่ไหนที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” มือหนายกขึ้นเสยผมลวกๆ พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกสมเพช
“เชน...” ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงกลายเป็นแบบนี้ ตั้งตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของแววตานั้นที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของผมอย่างจัง
“ฉันไม่น่าหลงเชื่อคำพูดของนายตั้งแต่แรกเลย... ว่ามันจะผ่านไปด้วยดี” เขายังคงเอ่ยคำพูดที่ราวกับจะเฉือนหัวใจผมเป็นชิ้นๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบตึง “อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้นี่ ว่าฉันไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น”
“เชน” ผมได้แต่เรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาอย่างคนโง่ มองแววตาที่ไร้ความรู้สึกของคนตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว
เขากำลังทำร้ายจิตใจผม... ทำร้ายจิตใจผมอย่างจงใจ
“ขอโทษนะที่เพิ่งมาพูดเอาตอนนี้” ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ และสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “แต่ฉันคงทนเจอเรื่องงี่เง่านี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“...”
“ฉันไม่ได้รักนายขนาดนั้น”
“โกหก” ผมเค้นประโยคนั้นออกมาจากลำคอได้ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา คำพูดที่จงใจทำให้ผมเจ็บ ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่จงใจประดิษฐ์ให้มันดูเย็นชาและโหดร้าย
แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ ไม่มีกระแสดงออกไหนของคนตรงหน้าตอนนี้ที่บ่งบอกว่ามันออกมาจากใจจริงของเขาเลย
เขากำลังโกหกผม
หลักฐานก็คือพอผมพูดแบบนั้น แทนที่เขาจะตอบโต้หรือปฏิเสธ คิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน มองหน้าผมด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ความเจ็บปวดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ฉายชัดขึ้นในแววตาอีกครั้งจนเจ้าของใบหน้าคมต้องเบือนหน้าหนีพลางยกฝ่ามือหนาขึ้นมากุมใบหน้าของตัวเองไว้ ปิดซ่อนความเจ็บปวดนั้นให้พ้นสายตาของผม
“โกหกทำไม” ผมเอ่ยถาม ขมวดคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ริมฝีปากกบางแสยะยิ้มราวกับกำลังสมเพชตัวเอง ก่อนที่เขาจะลดมือลงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง
“ถ้าไม่โกหก แล้วจะให้ทำยังไง” ดวงตาคู่สวยที่มักจะฉายแววเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมใคร กลับมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง
“ถ้าไม่ทำแบบนี้...แล้วจะกล้าปล่อยมือได้ยังไง” เขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทามาเช็ดน้ำตาออกจากหน้าผม แต่คงไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาของตัวเอง ก็กำลังไหลออกมาเหมือนกัน
มันเป็นครั้งแรก ที่ผมได้เห็นเขาร้องไห้
“ขอโทษที่ผิดสัญญา” เขายังคงเอ่ยคำนั้นซ้ำๆ ทั้งที่ผมไม่ต้องการ
“...”
“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้หนักขนาดนี้”
“พี่เชน” คำขอโทษของเขา มันยิ่งทำให้ผมได้แต่สะอึกสะอื้นไม่หยุดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธการตัดสินใจของเขา
แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่เมื่อคนตรงหน้าตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาก็ไม่คิดจะฟังใครทั้งนั้น ต่อให้เป็นผมที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าเขาราวกับคนโง่ก็ตาม
“ขอโทษที่ทำอะไรเห็นแก่ตัว”
“...”
“แต่ฉันคงทนไม่ได้จริงๆ... ถ้าไม่สามารถเจอหน้านายได้อีก”
“...”
“ขอโทษ” พูดจบ ฝ่ามือหนาก็แกะมือผมออกจากแขนของเขา และหมุนตัวกลับเข้าไปในรถโดยไม่หันกลับมามองผมอีก
“เชน เดี๋ยวก่อนสิ... ฮึก พี่เชน” ผมอยากจะตะโกนเรียกเขาออกไป แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็แผ่วเบาเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะได้ยิน ผมทรุดตัวนั่งลงร้องไห้อย่างหมดเรี่ยวแรง และไร้ซึ่งหนทางจะเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้
หัวใจของผมมันทวีความเจ็บปวดขึ้นมาทันที เมื่อรถสปอร์ตคันหรูสตาร์ทเครื่องและแล่นจากไปจนลับตา พร้อมกับความจริงที่ว่า
ความสัมพันธ์ของเรามันกำลังจบลง...ด้วยการตัดสินใจยอมรับความพ่ายแพ้อันแสนเจ็บปวด
------------------------------------------------------
เพิ่งรู้ตัวว่าหายไปนานมากเลย ฮืออ ขอโทษค่ะ
ไม่มีข้อแก่ตัวเลยเพราะเราอู้จริงๆ
แต่ข่าวดีคือตอนนี้เราเขียนเรื่องนี้จบแล้วนะคะ
คิดว่าหลังจากนี้จะอัพแบบรัวๆ เลย อาจจะวันละหลายๆ ตอน อย่าตกใจนะ 555
หวังว่าจะยังมีคนรออ่านอยู่นะคะ
เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า
ขอบคุณค่า
-- makok_num --