Until You
ตอนที่ 11 (2/2) หลังจากกินข้าวกลางวันด้วยความทุกข์และได้สวมชุดใหม่ด้วยความหนักใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่มาร์ทก็พาผมเดินทางทางไปยังบ้านของเขา ซึ่งผมคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าลักษณะบ้านที่ผมกำลังจะไปเยือนนี้ต้องสวยหรูและดูเลิศเลอกว่าทุกแบบบ้านที่จินตนาการอยู่ในหัวของผมตอนนี้แน่ๆ นั่นก็เพราะพี่มาร์ทได้บอกผมกับผมว่า คุณแม่ของเขานั้นท่านมีศักดิ์เป็นหม่อมหลวงหรือหม่องราชวงศ์สักอย่าง แค่ได้ฟังก็ยิ่งทำให้ผมตระหนกเครียดกับการเผชิญหน้าครั้งนี้เข้าไปใหญ่ แต่ถึงยังไงผมก็คงจะเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าต่อแต่นี้ ผมจะเรียกคุณแม่ของพี่ชายคนนี้ของผมว่า คุณหญิงแม่ละกันครับ
"เป็นไรเปล่า ดูเงียบๆ" พี่มาร์ทเอ่ยถามขึ้น ขณะขับรถ
"บอกตามตรงเลย ผมรู้สึกกลัวยังไงก็ไม่รู้ครับ"
"พี่ก็เกร็งอยู่เหมือนกันว่า คราวนี้แม่จะมาไม้ไหนอีก" ฟังพูดเข้า นี่กะจะแกล้งให้ผมกลัวเพิ่มใช่ไหม?
เมื่อรั้วอัลลอยบานใหญ่เปิดออกเพื่อให้รถเคลื่อนตัวเข้าไป ผมถึงกับต้องอ้าปากค้างในความใหญ่โตอลังการเกินกว่าที่จินตนาการไว้สามเท่า แม้พี่มาร์ทจะบอกล่วงหน้าก่อนมาแล้วว่าเปลี่ยนสถานที่นัดพบมาเป็นบ้านแถบชานเมืองหลังเล็ก เพื่อให้ผมรู้สึกเกร็งน้อยลง แต่คำว่า เล็ก ของพี่มาร์ทนี่ใช้อะไรเป็นมาตราฐานการวัดขนาดครับ ผมละอยากจะถามเสียจริง เพราะดูจากพื้นที่ตัวบ้านขนาดสองชั้นครึ่งกับสนามหญ้านี่ก็มีขนาดไม่ต่ำกว่า 400 ตารางวา มองแล้วก็อยากได้แบบนี้สักหลังเหมือนกัน แต่คงสู้ราคาเลขศูนย์ต่อท้ายไม่ไหว ดูนั่น! มีโรงรถไว้เก็บรถด้วยครับ
“เชิญครับคุณผู้ชาย” คุณพระ!! ผมได้เลื่อนขั้นเป็นคุณชายแล้วเหรอครับนี่
“อ่าครับ...” ถึงกับนิ่งค้างไปสักเล็กน้อย ก่อนจะรีบบอกขอบคุณและก้าวออกจากรถอย่างรีบเร่ง เมื่อประตูรถด้านข้างถูกเปิดออกรอผมลงอยู่ครู่ใหญ่
"กลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอครับ” ประโยคนี้ชายวัยใกล้หกสิบไม่ได้ถามผมหรอกครับ เขาถามบุคคลที่ยืนเลยผมไปโน่น
"เปล่า แค่จำเป็นต้องแวะมา" นี่ก็ตอบตีหน้านิ่งจนผมยังอดแปลกใจไม่ได้เลย "คุณแม่อยู่ข้างในใช่ไหม"
"ครับ" น้ำเสียงแผ่วลงผิดกับคำทักทายแต่แรกเมื่อได้ยินคำตอบของคนข้างกายผมเข้า "ท่านให้เรียนว่า ถ้าคุณมาร์ทมาแล้ว ให้ไปรอที่ห้องรับแขกด้านริมสวนครับ"
"อืม" รับคำในลำคอเสร็จสรรพก็จับข้อศอกผมพาลากเดินไปเฉยเลย ไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน ผมยังสอดส่ายสายตาหามุมสวยของบ้านหลังนี้ไม่ทั่วถึงเลย ว่าจะจำไปวาดแปลนบ้านในอนาคตสักหน่อย
ห้องรับแขกริมสวนเป็นห้องขนาดกลางตกแต่งสไตล์ยุโรปตะวันตกกึ่งโมเดิร์นโทนสีชมพูอ่อนดูต่างออกไปจากตัวบ้านที่เห็นผ่านตาเมื่อครู่ โซฟาหลุยส์กึ่งนอนขอบทองปักลายนูนบุลายกุหลาบกึ่งร่วมสมัยในเนื้อผ้าถูกตั้งวางตรงกลางห้องขนาบข้างด้วยเก้าอี้หลุยส์เข้าเซตฝั่งละสองตัวเยื้องกันหันด้านข้างออกคงตั้งใจให้แขกผู้มาเยี่ยมเยียนได้ชมสวนสวยติดสระว่ายน้ำทางด้านนอก เหนือขึ้นไปบนผนังเป็นภาพเขียนสีน้ำมันแสดงถึงทิวทัศน์อันสวยงามของยุโรปตะวันออกที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและฝูงแกะรับกับโคมระย้าชินเนอเรียลายดอกกุหลาบซ้อนเป็นพุ่มเรียงขึ้นไปสูงถึงสามชั้นไล่สีแดงสลับชมพูอ่อน ดูสวยงามและหรูหราราวสมกับเป็นคฤหาสน์หลังโตเสียจริง
"แมค?" เสียงเรียกเบาราวกระซิบทำให้ผมละสายตาหันไปมองร่างสูงกว่าที่กำลังชักชวนผมให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ราคาแพงตรงหน้าข้างกายเขา แต่ผมกลับยิ้มรับแล้วค่อยๆก้าวเท้าย่ำลงบนพรมปูพื้นสีขาวประดุจไข่มุกขนยาวนุ่มด้วยอาการเก้กังๆกลัวจะเปื้อน ซึ่งดูท่าจะช้าเกินจนร่างสูงกว่าต้องเอื้อมแขนมาดึงให้นั่งลง ทว่า...ร่างของผมกลับเซเล็กน้อยจนชนเข้ากับตู้ไม้ลายสลักที่ตั้งวางโคมไฟขนาดเล็กข้างเก้าอี้เบาะนั่ง ผมรีบสะบัดตัวออกจากฝ่ามือหนาตรงเข้าตะครุบโคมไฟหลังคาผ้าสีชมพูอ่อนตัดลายสีหวานด้วยโครงเหล็กยึดกลางสีชมพูเข้มคล้ายโดมเครื่องเล่นม้าหมุนในสวนสนุกก่อนมันจะเอนล้มลงแตกเป็นเสี่ยงๆ
"เกือบไปแล้ว" ผมถึงกับพ่นลมออกมาจากปากอย่างโล่งอก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกันส่งรอยยิ้มให้กับแม่บ้านที่ยกย้ำดื่มเย็นมาบริการ
"น...น้ำค่ะ คุณ...คุณมาร์ท" แม่บ้านเอ่ยเสียงสั่นเครือ เมื่อเจ้าของชื่อตวัดสายตามามอง จนผมอดไม่ได้ที่จะแอบถองศอกไปทีนึง ก็ดูสิครับใครๆต่างก็อยากพูดดีทักทายด้วยความคิดถึงดันทำนิสัยเสียใส่ซะได้
"คุณแม่มาถึงนานแล้วใช่ไหม ไปเร่งให้ที ผมไม่ว่างมานั่งคอยทั้งวัน"
"เอ่อ...คือ..." ฟังแล้วอยากตบมือกลางหน้าผาก คิดได้ไงให้ลูกจ้างเร่งนายจ้าง? ตกงานกันพอดี "คือว่า...คือ... เอ่อ...."
"ผมรอได้ครับพี่มาร์ท บ่ายนี้ผมไม่มีธุระที่ไหน?"
"แต่พี่..."
"อยู่ๆจะมารีบร้อน ไม่ดูตื่นตูมไปหน่อยเหรอมาร์ท" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมทางเข้าห้องเอ่ยทำลายความอึดอัด ซึ่งผมคิดว่า น่าจะเรียกชวนอึดอัดขึ้นซะมากกว่าดูจากการเปลี่ยนท่านั่งของพี่มาร์ทจากสบายๆมาเป็นวางขาลงตามปกติ ส่วนผมก็ยกมือไหว้ตามมารยาทพร้อมเอ่ยสวัสดี แต่ได้รับการตอบกลับเพียงการพยักหน้ารับคำเท่านั้น
"การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง?"
"ดีครับ รถไม่ติด" พี่มาร์ทตอบ
"ชื่อแมคใช่ไหมเรานะ"
"ครับ" ผมตอบรับพลางหยักหน้าสำทับอีกรอบ รู้สึกอยากจะนั่งพับเพียบตอบให้สมฐานะของตัวเองมากเลยครับยามนี้ แต่ดูท่าว่าหากทำลงไปจริงๆ ผมคงได้โดนตะเพลิดไล่กลับบ้านก่อนได้พูดคุยอะไรแน่ๆ เพราะดูแล้วคุณหญิงแม่น่าจะเป็นคนเจ้าระเบียบใช่เล่น สังเกตเอาจากทรงผมรวบเกล้าซ้อนขึ้นถักเปียรวบเก็บซ่อนปลายเรียบร้อยชนิดไม่มีผมหลุดลงมาสักเส้น โครงหน้าเรียวงดงามได้รูปถูกแต่งแต้มเครื่องสำอางค์โทนสีอ่อนทำให้ดูเด่นขึ้น ผิวพรรณนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ขาวเนียนใสมีออร่ามากเลยครับ ยิ่งมาปรากฏกายในชุดเดรสยาวครึ่งเข่าแขนกุด คลุมไหล่ด้วยผ้าสีเทาดำมีพู่ห้อยประดับชายทั้งผืน ยิ่งทำให้ดูงามขึ้นไปอีก
"เป็นรุ่นน้องมาร์ทสมัยเรียนที่ Berkeley Munich ..." ถึงกับอึ้ง? ผมรู้จักเมืองเหล่านี้เพราะชอบดูสารคดีกับข่าว แต่ไม่มีวาสนาได้ไปเหยียบให้เป็นบุญเท้าหรอกครับ ค่าเครื่องบินมันแพงกว่าเงินพาร์ทไทม์ของผมมากโขและอีกประการคือ พี่มาร์ทจบมากี่สถาบันครับนี่
"ไม่ใช่ครับ"
"หืม แล้วรู้จักกันได้ไงละ? มาร์ทบอกว่าเป็นรุ่นน้อง...หรือว่าไม่ใช่?" คำว่าไม่ใช่ ทำไมต้องหรี่ตามองกันด้วยละครับ ตอบยากเลยงานนี้
"รุ่นน้องไม่จำเป็นต้องจบที่เดียวกันนี่ครับ แมคเป็นเพื่อนน้องชายเพื่อนผม" คำตอบนี้เล่นเอาสายตาของคุณหญิงแม่ละจากผมไปจับจ้องใบหน้าของลูกชายแทนละครับ
"คนไหน?"
"คุณแม่ไม่จำชื่อเพื่อนผม แล้วจะทราบไปทำไมละครับ" ฟังแล้วอยากจะกลับขึ้นมาก่อนสงครามจะเกิดเลยครับ แม้ยามนี้จะไม่มีฝ่ายใดเอ่ยปากแต่ผมก็รู้สึกเหมือนว่า บรรยากาศรอบตัวร้อนขึ้นมาหลายองศาทีเดียว ยิ่งเห็นอาการกระตุกยิ้มบนใบหน้างามของคุณหญิงแม่ ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังแทนพี่มาร์ทขึ้นมาชอบกล แต่ดูท่าพี่ชายของผมคนนี้จะไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ทั้งยังคงเอ่ยคำถามออกไปอีกว่า "คุณแม่จะเริ่มเวลา Tea Time ยังครับ"
"อีกกว่าครึ่งชัวโมง แม่ยังทักทายรุ่นน้องไม่เรียบร้อยเลย" แล้วจะย้ำทำไมละครับ คำว่า รุ่นน้อง นี่
"บ้านนี้สวยดีนะครับ เอ่อ...ออกแบบเองเหรอครับ"
"จ๊ะ พวกของประดับในห้องรับแขกนี่ซื้อมาจากเวนิชบางชิ้นเป็นของเก่าแก่มากสมัยช่วงสงครามที่เหลือรอดมาได้"
"..." หมดคำถามในบัดดล ไม่รู้ จะชวนคุยอะไรต่อดีเลยครับ เลยต้องส่งยิ้มให้ทุกท่านๆแทน
"เรียนอยู่หรือว่าทำงานแล้ว"
"เรียนอยู่ปี1ที่มหาวิทยาลัยMครับผม" เรื่องนี้ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจเลย เพราะสอบตรงเข้ามาได้
"เก่งนะ"
"คุณแม่เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ" พี่มาร์ทพูดขัดอีกครั้ง แต่ดูท่าคราวนี้คุณหญิงแม่จะไม่ถือสาหาความอะไร กลับเปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็นเอ่ยคำถามที่ผมเองยังมองไม่เห็นคำตอบเลยว่า
"คิดว่ามาร์ทเป็นยังไง" เป็นผู้ชาย? ยัง...ยังไม่ได้ตอบออกไปครับ ถ้าตอบไปนี่ดูท่าคงจะโดนไล่ตะเพิดออกจากคฤหาสน์หลังงามนี้แน่ๆ ครั้นพอหันไปหาตัวช่วยเพียงหนึ่งเดียวกลับกดมือถืออยู่ไม่เงยหน้าหันมาสบตาเลย แล้วผมจะพูดอะไรออกไปดีหว่า? เป็นคนดี อันนี้ก็ตอบหลอกลวงเกินไป เป็นคนหล่อ อันนี้ก็ตอบเข้าข้างไปนิ๊ด เป็นคนไทย อันนี้ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะดูจากหน้าตาแล้วมีเค้าต่างชาติหน่อยๆ เป็นคนรวย อันนี้คงรู้ๆกันอยู่ เป็นคนอะไรดีน้า? คิดๆๆ
"เออ...คงเป็นคนแปลกมั้งครับ อุ๊ย" จ้องทำไมกันละนี่ หันมามองพร้อมกันอีกตั้งหาก "คือผมหมายถึงว่าพี่มาร์ทเป็นคนโดดเด่นมากครับ แล้วก็ไม่ค่อยจะเหมือนใคร" แล้วนี่จะแอบอมยิ้มทำไม ไม่ได้คิดจะชมจากใจสักหน่อย
"งั้นรึ?"
"ครับ"
"ตอนอยู่คอนโดด้วยกันเป็นไงบ้าง" นี่แค่คำถามธรรมดาหรือจะลองเชิงผมกันแน่?
"ผมไมได้ไปบ่อยขนาดนั้นครับ นานๆจะแวะไปที ไปไม่นานก็กลับละครับ"
"เห็นว่า ช่วยทำอะไรหลายอย่างเลยนี่ อะไรบ้าง?"
"ก็มีจัดของที่ไม่เป็นระเบียบ ปัดกวาดอะไรเล็กน้อยๆนะครับ" นอกเหนือกว่านั่น ผมยังไม่อยากเอ่ยถึงในสถานการณ์ตอนนี้ ซึ่งผมชักไม่แน่ใจประเด็นที่โดนเรียกมาแล้วละครับ? ตอบอะไรกลางๆไว้จะดีกว่า
"นั่นมันงานแม่บ้านไม่ใช่เหรอ" พูดงี้มีขึ้นเลย!
"จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรแบ่งแยกหรอกครับ ว่างานนั้นงานนี้ควรอยู่ในงานรับผิดชอบของใคร ผมคิดเสมอว่า บ้านเราเราเป็นคนอาศัย เราเป็นคนอยู่ เราก็ควรจะทำเอง การหวังพึ่งพาคนอื่น ไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆ เหมือนกับเราเอาชีวิตเราไปผูกกับเขามันก็เสียเวลาเปล่า อย่างพระท่านว่า มนุษย์เราเกิดมาก็ตัวคนเดียวจะตายก็ตายคนเดียว" ถามอีกดิ ถามมาเลย จะตอบให้ฟังทุกข้อสงสัย แล้วนี่จะทำหน้าอึ้งกันทำไม?
"ทำอาหารเก่งเหรอ"
"พอทำได้ครับ คุณแม่ผมสอนทำ"
"ปกติอยู่บ้านทำอะไร"
"ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานทั่วๆไป ถ้าว่างแล้วก็ชอบอ่านหนังสือหรือไม่ก็ดูหนังครับ"
"หนังประเภทไหน"
"ซีรีย์ต่างประเทศ และก็มีหนังพวกสืบสวนสอบสวนและไซไฟครับ"
"อ้าว เห็นกระแสหนังไทยมาแรง ไม่สนใจบ้างเลยเหรอ"
"ก็ต้องขึ้นอยู่กับเนื้อหาและสาระด้วยครับ อะไรดี ผมก็ดู อะไรไม่ดี(เสื่อม)ผมก็ไม่แลครับ" เรื่องนี้ถูกต้องที่สุดครับ ถ้าของไม่ดี จะเสียเงินแพงไปดูทำไม ใช่ว่าราคาตั๋วหนังจะห้าบาทสิบบาทสักหน่อย
"คุณแม่ครับ ผมว่า..."
"มาร์ท แม่ยังไม่คุยไม่เสร็จดี อย่าเพิ่งแทรก" / "ใช่ครับพี่มาร์ท"
"รู้เรื่องการแต่งสวนบ้างไหม"
"ไม่ได้เรียนมาโดยตรง แต่เคยอ่านจากนิตยสารมาบ้างครับ"
"ต้น..."
"ขออนุญาตครับ" พี่มาร์ทพูดเสียงดัง พร้อมกับยื่นมือถือให้ "สายจากคุณพ่อครับ"
"อะ ทำไมไม่บอกแม่ละ" เจอคำพูดนี้เข้าไป พี่มาร์ทถึงกับเผลอหลุดสีหน้าเพลียออกมา แต่เพียงครู่ก็กลับเป็นหน้านิ่งสงวนท่าทีตามสไตล์ "ขอตัวไปคุยธุระสักครู่นะจ๊ะ"
"อะครับ" โล่งอกขึ้นมาราวกับยกเทือกเขาออกจากอก ผมรอจนคุณหญิงแม่เดินลับตาไปจึงได้หันไปบอกพี่มาร์ทว่า “ขอน้ำอีกแก้วได้ไหมอะ คอแห้ง”
“หึๆ” เรียกแม่บ้านมาเติมน้ำให้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มออฟชั่นหัวเราะลำคอใส่ผมหรอก ขำอะไรก็ไม่รู้แปลกคน ใช้เสียงมากก็หิวน้ำเป็นธรรมดานี่ “ดื่มน้ำเสร็จแล้วไปทานของว่างกันเลยไหม พี่จะได้ให้แม่บ้านตั้งโต๊ะรอ”
“มีขนมด้วยเหรอครับ ไปครับไป”
ชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นสำหรับสี่คนนั่งในสวนสวยที่ตอนแรกมีเพียงกระถางต้นเฟิร์นประดับบนโต๊ะ บัดนี้เต็มไปด้วยขนมมากมายหลายชนิดและเซดน้ำชาสีขาวสะอาดดูหรูหราเกินกว่าที่ผมจะเคยพบเห็นในชีวิต Afternoon Tea Set ประกอบไปด้วยขนมหวานน่ารับประทานเต็มไปหมด ประกอบไปด้วยมาการองต์ชาเขียวสอดไส้ด้วยครีมช็อกโกแลต สโคนลูกเกดเสิร์ฟพร้อมแยมสตอเบอรี่สีสัดสดใส แซนวิชแซลมอนรมควันพันเบคอนราดซอสเพรสโต้ บัตเตอร์เค๊กวัลนิลลาผสมช็อกโกแลตชิพในเนื้อหั่นชิ้นเล็กพอดีคำ มาพร้อมกับคุ๊กกี้อัลมอนโรยหน้าด้วยเลมอนครีม และปิดท้ายด้วยพุดดิ้งผลไม้รวมในแก้วใบเล็กจัดวางเรียงมาในจานสองชั้นคล้ายเชิงเทียน ที่เห็นแล้วอดน้ำลายไหลไม่ได้ ข้างกันมีชุดน้ำชาสไตล์วินเทจรอยัลสลักลายขอบทองวิจิตรสวยงามสำหรับสองคนดื่มวางตั้งไว้คู่กัน
"ขอบคุณครับ" แต่ช่วยรินไวกว่านี้ได้ไหมครับคุณแม่บ้าน ผมละอยากจิบชามะลิเต็มแก่ละ รู้ได้ไงว่าชาชนิดนี้เหรอครับ ก็กลิ่นลอยมากระทบจมูกนั้นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ไม่ใช่ชาอื่นใดแน่นอน
"ขอไซรัปกับนมด้วย" พี่มาร์ทที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น ช่างรู้ใจผมเป็นที่สุด
“ขอบคุณครับ” รอจนแม่บ้านถอยห่างออกไป ผมจึงหันไปยิ้มให้พี่ชายข้างกายที่พยักหน้าให้ผมลองลิ้มชิมรสชาติชาอุ่นๆจากแก้วชาในมือได้ กลิ่นหอมชวนจิบจากใบชาลอยอบอวลขึ้นแตะจมูกตอกย้ำว่า ผมเดาไม่ผิด ยิ่งเมื่อยามแนบริมฝีปากเข้ากับถ้วยชาขอบบางสลักลายสีทองมุก ผมบอกได้คำเดียวครับว่า มัน...อืม...รสชาติมัน...อ่า...
“เป็นไงบ้าง พี่ว่าแมคน่าจะชอบชารสอ่อนมากกว่าชา....”
“ร้อน!!” จนอยากจะบ้วนทิ้ง แต่บ้วนไม่ได้เลยต้องกลืนลงคอ ก่อนจะลิ้นจะพอง “โอย คอผมๆ เอ้า พี่มาร์ทขอน้ำหน่อยครับ มัวแต่ขำผมอยู่นี่ละ แค่กๆ”
“เอาน้ำเปล่ามาแก้ว ไป” กว่าจะพูดได้ผมปากพองห้อยยันคางแล้วมั้ง
“น...น้ำค่ะ คุณผู้ชาย" แม่บ้านสาวยื่นแก้วน้ำให้ออกอาการมื่อสั่นอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าจะตกใจไม่น้อย เห็นรีบลนลานเติมน้ำส่งมาให้
“ไม่ต้องละครับ ค่อยยังชั่วละ” ผมบอก หยิบแก้วชามาเป่าก่อนจิบอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าเป็นชากลิ่นหอมที่รสชาติดีทีเดียว
“ชอบไหม?” ผมพยักหน้าหยิบขนมปังมากัดไปคำสลับกับดื่มน้ำชาเงียบๆ ด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พี่มาร์ทเองก็ทำไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่เขามีมาดคุณชายมากกว่าผมตรงที่ สองมือยกแก้วชาพร้อมจานรองขึ้นมาประคองไว้ขณะขานั่งไขว้ห้าง รอจนอุ่นได้ที่จึงจรดปากลงจิบด้วยอาการสุภาพนุ่มนวล จนผมอดที่จะจิกกัดทางสายตาด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรหล่อดูดีทุกระเบียดนิ้วซะจริง
"ออกไปก่อนไป มีอะไรแล้วจะเรียก"
"ครับ / ค่ะ"
"เป็นไง สบายใจขึ้นยัง"
"ผมนะเหรอ ทำไม? ก็ปกตินี่"
"แน่ใจ?" พี่มาร์ทกระตุกยิ้มมุมปากวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ "นั่งเกร็งซะขนาดนั้น"
"เมื่อกี้พี่มาร์ทก็เงียบนะครับตอนเจอคุณแม่นะ" พูดจบต้องยิ้มหวานส่งให้ปิดท้ายด้วย
"ยอกย้อนนัก นี่แนะ"
"โอ๊ย ดีดปากเค้าทำไมอะ เจ็บนะ"
"มีคนมา"
พี่มาร์ทเอ่ยขึ้นเบาๆพลางกระทุ้งศอกเตือนผม ให้นั่งเรียบร้อยตามมารยาท ผมพยักหน้ารับพลางหันมองตรงประตูทางเข้าที่เปิดออกพร้อมร่างสูงระหงส์เดินนวยนาดเข้ามา คุณหญิงแม่โบกมือให้สัญญาณกับแม่บ้านสาวคนนึงที่ยืนห่างออกไปช่วงตัว เธอโค้งรับพร้อมสั่งให้คนยกเซตน้ำชาส่วนตัวเข้ามา
"เมื่อครู่คุยกันถึงเรื่องสวนใช่ไหมจ๊ะ"
"ค...ครับ" ผมเอ่ยรับ ไม่คิดว่าคุณหญิงแม่จะมีความจำดีขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงลืมไปก็ได้นะครับ เพราะอันที่จริงแล้วผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย
"ต้นไม้...."
"คือ...ขอโทษนะครับ" ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ทำเอาหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องชะงักคงตกใจที่ผมไหว้ พี่มาร์ทเองก็แสดงอาการไม่ต่างกันเท่าไหร่ "คือผมขออนุญาตเปลี่ยนเรื่องคุยได้ไหมครับ คือผมไม่ถนัดเรื่องสวนเลยจริงๆครับ"
"ได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้" คุณหญิงแม่ยิ้มขำถึงขั้นต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก "ขอโทษที่เสียมารยาทนะจ๊ะ แต่อดไม่ได้จริงๆ มาร์ทไปเจอเราได้ยังไง คำพูดคำจาทั้งกริยามารยาทช่างน่ารักจริงๆ ผิดกับมีทเลยนะ ทั้งที่เป็นสาวแต่แก่นแก้วน่าดูน้องสาวมาร์ทนะจ๊ะ ตอนนี้เรียนอยู่ที่ England” ผมยิ้มรับ คุณหญิงแม่จึงพูดต่อว่า "มีอะไรขอให้พูดออกมาตรงๆเลยนะจ๊ะ ดูจริงใจดี... ชอบชาไหม ชิมหรือยัง?"
"อร่อยและหอมมากเลยครับ ซื้อมาจากไหนหรือครับ"
"ไม่ได้ซื้อหรอก ชามะลิที่ให้ชิม มาจากสวนทางเหนือของน้าเอง ถ้าชอบเติมได้นะ"
"ชามะลิกับชาใบหม่อนต่างกันยังไงครับ?"
เสร็จจากการพูดคุยยามบ่าย ทำให้ผมรู้สึกว่าแท้จริงแล้ว คุณหญิงแม่ท่านไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมหรือน่ากลัวเจ้าเล่ห์อย่างที่พี่มาร์ทเล่าแม้แต่น้อย ผมกลับคิดว่าการที่ท่านดูเหมือนจะดุหรือเคร่งมารยาทเป็นเพราะการวางตัวของท่านมากกว่า
"เสียดาย คุณพ่อมาไม่ได้นะมาร์ท ไม่งั้นคงสนุกกว่านี้" พี่มาร์ทยิ้มรับ แต่เป็นยิ้มไม่สดใสเท่าไหร่ "วันหลังมาทานข้าวนะจ๊ะ แมค"
"ครับ" กลับเป็นผมเองที่ยิ้มได้ร่าเริงมากกว่าเสียอีก
"ขับรถกลับคอนโดดีๆละลูก"
"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ แต่คุณแม่ท่านกอดผมไว้หลวมๆ
"มาร์ท ส่งน้องถึงบ้านดีๆละ... อย่าให้ผิดหวัง"
TBC
-----------------------------------------------------------------------------------------