Until You
ตอนที่ 4 (2/2) หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่มาร์ทก็เดินทางกลับมายังคอนโดมิเนียมย่านรัชดาภิเษก ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจว่าจะหาที่สงบนั่งคุยกันอย่างร้านกาแฟ แต่พอเดินเข้าไปกลับสัมผัสถึงความไม่เป็นส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำธุระที่ผมอยากจะพูดก็ดูไม่ควรเปิดเผยในที่สาธารณะเท่าไหร่ สุดท้ายจึงต้องกลับมายังคอนโด แม้จะเดินทางไกลหน่อยแต่ก็เหมาะสมลงตัวที่สุดแล้ว
เมื่อมาถึงผมก็จัดแจงเปิดแอร์และยื่นมือไปรับแก้วน้ำผลไม้จากพี่มาร์ทมาดื่มหมดไปครึ่งแก้วแล้วจึงนั่งลงกวาดสายตามองสำรวจสภาพสิ่งของโดยรอบภายในห้องคอนโดมิเนียม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เว้นแต่เจ้าของจะมีท่าทีเปลี่ยนไป พี่มาร์ทเอาแต่นั่งกุมมือมองพื้นสลับกับมองนาฬิกาแขวนผนังเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่จนผมเองชักเริ่มกังวลตามไปด้วย ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไปเหมือนกันด้วยกลัวจะเป็นการรบกวน จนในที่สุดพี่มาร์ทก็เงยหน้าขึ้นมองสบตากับผมแล้วพูดขึ้นมาว่า
"เออ... แมคถามก่อนดีกว่า"
"อ้าว?" สงสัยผมจะอุทานในใจดังไปหน่อย คนตรงหน้าเลยทำหน้าตึงใส่
ผมเองก็อึกอักไม่รู้จะเริ่มถามอะไรก่อนเหมือนกันจึงได้แต่เงียบมองหน้ากันสลับไปมาอีกเป็นเวลานานพอสมควร ใจจริงอยากจะถามออกไปตรงๆแต่ก็ชั่งใจเลือกไม่ได้ระหว่างคำถามสองข้อ ทำไมพี่ถึงชอบผม กับ ทำไมช่วงนี้ผมถึงชอบพี่ คิดไปคิดมานี่มันคำถามแบบคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่า? งั้นถ้าเรียบเรียงคำถามใหม่ควรจะถามว่าอะไรดี คิดไม่ออก เครียด! บรรยากาศตึงเครียดอึมครึมนี่ทำเอาเส้นประสาทของผมชักเต้นตุบขึ้นมาละ เออ...บางทีฟังเพลงอาจจะดีขึ้นก็ได้ โฮมเธียเตอร์ตรงโน้นแล้วแผ่นซีดีเพลงเก็บอยู่ตรงไหนหว่า คงต้องเดินไปรื้อซะละ
"โธ่โว๊ย!!!" เสียงสบถทำเอาผมสะดุ้งเฮือกไม่กล้าขยับลุกขึ้นยืนเลย มองแล้วก็ไม่พูดสักที เดี่ยวพูดก่อนซะเลย
"แมค/พี่"
"พี่พูดก่อนดีกว่าครับ"
"แมคแหละ"
"อ่า...” สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งแล้วถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่า อยู่แบบนี้ผมคงเครียดตาย ”ผมกลับละกันครับพี่มาร์ท จะสี่โมงแล้ว"
ในที่สุดผมก็ไม่กล้าพอจะถามอะไรสักอย่าง ถึงปากจะบอกว่าอยากกลับบ้าน แต่ใจกลับคิดตรงกันข้าม สองแขนที่ควรจะหยิบกระเป๋ามาสะพายแข็งเกร็งไม่ขยับไปทำหน้าที่ ทั้งสองขาที่ควรจะเดินหนีก็ถูกตรึงไว้กับที่ไม่ได้ขยับไปทางประตูอย่างใจคิด ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับคำพูดของคนตรงหน้าแต่กลับไม่ได้ยินแม้เสียงห้ามไม่ให้ผมกลับ แล้วแบบนี้ผมควรทำอย่างไรต่อดี? บางทีผมควรจะถามไปตรงๆแบบไม่ต้องคิดมากอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
"คบกับพี่ได้.../ พี่ชอบผมจริง..."
"จริงครับ"
"อะไรจริง ผมงง" ผมถามออกไปทั้งที่สมองกำลังประมวลผลแบบสติไม่เต็มร้อย
"ก็ที่แมคถามไง"
"อ้าว ผมถามพี่ว่าไรครับ" ดันเป็นอัลไซเมอร์แบบกระทันหันซะงั้นเลย
"หึๆ....ฮ่าๆๆ" แทนที่จะได้คำตอบกลับเป็นเสียงหัวเราะปิดปากแบบคนสงวนท่าทีมาแทน มองแล้วมันน่าแกล้งโมโหกลับไปมาก ไม่ช่วยคิดแล้วยังจะมาขำผมอีก
"อย่าหัวเราะผมสิ"
“โอเคๆ หึๆ” พี่มาร์ทเมินหน้าหนีปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง แววตาหยอกล้อแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังแน่วแน่ รอยยิ้มมุมปากคลายออกจนใบหน้าเปื้อนยิ้มกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉย ผมมองด้วยความอึ้งอยู่พักก่อนเสียงนุ่มจากริมฝีปากนุ่มจะขยับเอ่ยวาจาที่ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทันว่า "คบกับพี่ได้ไหมครับ?"
"เอ่อ ... ก็...” ถึงกับอึกอักไม่คิดว่าจะโดนคำพูดแสกเข้ากลางหน้าเล่นเอามึนไปหลายวินาที แต่พอทวนคำถามในหัว ผมกลับมีคำตอบตายตัวอยู่ก่อนแล้วจึงพูดออกไปว่า “ไว้อีกสักพักดีไหมครับ" ผมตอบรับพลางถอนหายใจ
"แมคไม่ชอบพี่เหรอ?"
"ไม่ใช่ๆ เอ่อ...ผมไม่รู้ ไม่รู้อะ ผมยังไม่รู้จักพี่ดีพอมั้ง? ก็เลยไม่อยากตอบรับ" มองแววตาเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าแล้ว ผมไม่อยากสบตาอีกฝ่ายเลยครับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
"ตกลงไม่ใช่หรือว่าไม่รู้!!"
"ผมไม่รู้ว่า ตัวเองชอบพี่แบบชอบแบบ แบบ..ชอบอะ" พูดเองยังสับสนในตัวเองเลย ทั้งที่อยากจะสื่อว่า ชอบแบบชอบไหมคืออะไร เอ๊ะ...งง แล้วมันแปลว่าไร นี่ผมจะพูดอะไรวะ ลืม
"เอ๋...?" คาดว่าคนฟังเองก็คงงงไม่ต่างกันกับผมเท่าไหร่ เล่นเบิกตากว้างจ้องมองแบบไม่เชื่อสายตามาที่ผมซะขนาดนั้น
"ช่างมันเถอะ เข้าใจว่า ผมไม่รู้ว่า ชอบมันเป็นยังไงละกัน" ผมตัดบทบอกไปไม่อยากใส่ใจอะไรมากละ คิดมากปวดหัวซะเปล่าๆ พี่มาร์ทเองก็นิ่งเงียบไปเช่นกันคงรอฟังผมพูดต่อ แต่ขอบอกเลยว่า ผมไม่มีไรจะพูด จะรัก จะชอบ จะเป็นแฟน ผมยังไม่อยากเข้าใจอะไรตอนนี้ ขอไปนอนสักตื่น คิดออกแล้วจะมาบอกละกัน
"เอ่อ...งั้นผมก...กลับ"
"แมคไม่เคยมีแฟนใช่ไหม?" เป็นคำถามที่ฟังแล้วเจ็บจึกอย่างกับโดนธนูอาบพิษพุ่งปักอก ใช่ครับผมยังไม่มีแฟน คนมันไม่คิดจะอยากมีภาระสนใจเพศตรงข้ามหรือเรื่องรักๆใคร่ๆนี่มันแปลกนักหรือไง ผ่านวัยประถมมัธยมมาแบบไร้ราคีดีจะตาย แต่ถามแบบนี้จะให้ผมเสียเชิงหนุ่มหรือไงกัน? คิดแล้วเริ่มมีเคือง
"ก็ใช่ แล้วทำไมเล่า" ผมบอกปัดคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
"โอเค" แต่ผมไม่โอเค "งั้นถามต่อ เคยชอบใครจริงๆจังไหม"
"ก็คงมีหรือไม่ก็ไม่มี ผมไม่ได้ใส่ใจอะครับ" กิจกรรมของโรงเรียนมีมากมายเยอะแยะจนเวลาเรียนแทบไม่พออยู่แล้ว จะหาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องพรรค์นี้
"ต้องเคยมีบ้างแหละ สมัยเรียนมัธยมนะ ไม่ชอบใครเลยเหรอ"
"ขอคิดก่อนนะครับ...อืม... อ๋อ... มีๆๆแต่คงแค่มากกว่าเพื่อนธรรมดา" เธอเป็นเพื่อนสาวคนหนึ่งในแก็งค์เด็กมัธยมปลายของผม เป็นสาวผมเปีย หน้าตาดีออกแนวหมวย บุคคลิกดูห้าวแต่ไม่ถึงขั้นทอม ผิวขาว สูงกว่ามาตราฐานหญิงสาววัยเดียวกันเล็กน้อย ถามว่าอะไรที่ทำให้ผมเคยชอบนะเหรอครับ ตอบเลยว่าไม่มี ก็แค่อารมณ์วัยรุ่นชอบของสวยงาม
"ชอบขนาดอยากเป็นแฟนกับเขาเลยเปล่า?"
"โอย ไม่ขนาดนั้น ผมแค่เห็นแล้วสบายใจ" เหมือนกับว่าได้มองคนสวยแล้วสบายตาสบายใจ
"ถ้าไม่เห็น จะนอนไม่หลับ หงุดหงิดไปทั้งวัน?"
"ไม่เห็นก็ไม่เป็นไรเลย" ตัวไม่ได้ติดกันสักหน่อย จะไปทำอะไรมันก็เรื่องส่วนตัวของแต่ละคนนี่
"แล้วถ้าเกิดว่า คนๆนั้นเกิดมีแฟนละ?"
"อ้าว ก็เรื่องของเขาสิ มีแฟนก็เรื่องของเขา ผมไม่ได้เกี่ยวสักหน่อย" ผมชอบเธอ ไม่ได้แปลว่าผมจะอยากครอบครองเธอสักหน่อย จริงไหมครับ?
"ไม่หึงเหรอ? คนที่ชอบมีแฟน"
"ไม่ครับ มันการตัดสินใจของเขา" หลายคนคงคิดว่า ถ้าอยากให้คนที่ชอบมีความสุขก็คงต้องปล่อยไป หรือหลายคนก็คงคิดต่างออกไปว่า ชอบแล้วก็ต้องหึงหวงอยากเก็บไว้กับตัวไม่อยากจากไปไหน แต่สำหรับผม ที่พูดออกไปเช่นนั้น ไม่ได้แปลว่า ผมเป็นคนดีอยากให้คนที่ชอบมีความสุขชู้ชื่นกับคนอื่น ผมหมายถึงว่า ตัวผมเองเป็นคนไม่ชอบผูกมัดใครไว้กับตัว ผมให้อิสระกับคนที่ผมใส่ใจเสมอ ผมกับเธอเป็นเพียงเพื่อน ยังไม่มีสถานะคนชอบกันมาค่ำคอ ดังนั้นต่างคงต่างก็มีชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว ผมยังสนุกกับวัยเรียนเฮฮาเรื่อยเปื่อยแบบคนไร้คู่มีความสุขกว่าตั้งเยอะ
"งั้นเปลี่ยนใหม่ เคยมีคนบอกชอบไหม"
"มีสิ ตั้งหลายคน" พูดแล้วภูมิใจสมัยเรียนผมเป็นทั้งสารวัตรนักเรียน ประธานชมรม นักดนตรีและนักกีฬาของโรงเรียนไปพร้อมกันๆ ความนิยมชมชอบในตัวผมเลยมีเยอะพอควร
"แล้วแมคทำไง เออ...ผู้หญิงหรือผู้ชาย"
"ทั้งสองอย่างละครับ แต่กี่คนต้องนับก่อน..5-6 คนมั้ง"
"แล้วเขามาบอกชอบ แมคตอบว่าไง"
"ก็ปฏิเสธไป เพราะผมไมได้ชอบ"
"ยังไง?"
"บอกไปตรงๆเลยครับ ผมถามว่า ทำไมชอบผม เขาก็จะตอบมา ผมก็พูดต่อว่า ผมไม่ได้ชอบ จบแค่นั้น" ตามนั้นเป๊ะเลยครับ มีคนมาสารภาพรัก ผมไม่ได้รัก ผมก็ต้องตอบปัดเยื่อใยเป็นธรรมดา คิดแล้วออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำกว่าจะพูดว่าชอบงั้นงี้ได้ ทำผมเสียเวลาฟังไปนานหลายนาที จนเกือบโดนครูดุไปซ้อมไม่ทัน
"หืม?"
"ทำไมอะครับ ผมทำอะไรผิดเหรอ"
"ค่อยว่าทีหลัง แล้วเขาว่าไงกันบ้าง"
"ก็มีร้องไห้ วิ่งหนี ยืนนิ่งๆ แต่ที่แรงสุดคือ จับผมกด แม่ง...คิดแล้วแค้นไม่หาย" คือวันนั้นผมกำลังจะไปซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงยิมพอดี เดินลงมาใต้ตึกเรียนกะว่าจะใช้ทางลัดแคบๆระหว่างกำแพงโรงเรียนตัดโรงอาหารลัดเลาะไป จะได้ถึงไว เพราะคุณครูปล่อยช้ากว่าปกติตั้งสิบนาที แต่ดันเจอโจทย์เก่าดักรอ เพื่อนผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ออกไปทางท้วมแต่ไม่มากนัก ผิวคล้ำแต่ไม่ถึงกับดำ นิสัยเคยดี แต่พอเจอผมปฏิเสธไป แล้วตามตื้อเลยเริ่มนิสัยไม่ดีในสายตาผมละ
"โดนทำไรไปบ้าง!" พี่มาร์ทตะคอกเสียงดัง ฝ่ามือหนาบีบแขนผมซะแรงจนน่าจะเป็นรอยฝ่ามือ ถามคาดคั้นไม่พอ ยังจะจ้องด้วยสายตาดุดัน ทำอย่างกับสอบสวนผู้ต้องหา
"มีเหรอจะทำไรผมได้ ถ้าผมไม่สนซะอย่าง" เห็นพี่เขาขมวดคิ้ว ผมเลยว่าต่อ "คือผมโดนไอ้บ้าตัวนึงมันจับกระแทกผนังกำแพงทางเดิน ดูท่ามันกะจะปล้ำผมแต่แรก เพราะมาดักรอผมเลย แต่แรงมันเยอะกว่า ผมหนีไม่ได้ เลยยืนนิ่งๆ"
"แล้วยังไง...ต่อ"
"ก็ไม่ยังไงครับ มันอยากทำไรผมก็ให้มันทำไป เพราะผมไม่รู้สึกอะไรด้วย" ก็ทำตัวแบบเป็นรูปปั้นยืนเฉยๆ อยากไซร้คอผมนักก็ไซร้ไป กลับไปอาบน้ำถูกสบู่ก็จบละ
"พี่ผิดหวังมากจริงๆ" คำพูดนี้ทำเอาผมขมวดคิ้วผูกปมหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันเลย
"เฮ้ย!!! พี่คิดอะไรเนี๊ยะ"
"อ้าว แมคไม่ได้โดนทำไปแล้วเหรอ"
"บ้าสิ ถ้าถึงขนาดนั้น ผมจะไปยอมเหรอ" ผมหรี่ตามองจงใจพูดเน้นทีละคำทีละประโยค ก่อนจะโดนมองเสียหายมากไปกว่านี้ "ถ้ามันเสียบผมจริง ผมตัดมันให้ด้วน ชำแหละทิ้งลงท่อ ไม่เหลือให้มันได้ใช้งานจนวันนี้หรอก แต่ถ้าแค่คลอเคลีย ผมก็จะเฉยๆ แต่แม่งคิดจะเอาผมทำตื๊ด... เลยยันเข่าแถมศอก กระทืบซ้ำเข้าให้"
"พี่ก็ว่าแล้ว แมคไม่น่ายอม" หัวเราะแถมท้ายพลางคลายแรงจากฝ่ามือลง ทำเอาผมมึนไปเลยกับท่าทีแปลกๆของคนตรงหน้า "โอเค พี่เข้าใจแล้วครับ"
"อะนะ แล้วพี่ถามผมทำไม"
"พี่ว่า พี่พอเข้าใจแมคแล้ว แต่เรื่องปฏิเสธนี่ พี่ว่าแมคทำแรงไปนะ"
"ครับ ผมก็ว่าผมปฏิเสธได้แย่มากๆ ไม่รักษาน้ำใจเลย ตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกผิดอยู่นี่ไง" พูดแล้วคอตกเป็นต้องถอนหายใจทุกที สิ่งนี้เหมือนเป็นบาปที่ติดใจผมมานาน เพราะทุกๆคนที่โดนผมไปพูดเช่นนั้น ต่างก็หลบหน้าผมกันหมด ขนาดย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนมหาลัยไปเลยก็มี เรียกว่าฐานะความเป็นเพื่อนและรุ่นน้องนี่หายไปพริบตา
"ยิ้มหน่อยๆ เรื่องดีๆกลายเป็นเรื่องเศร้าไปแล้ว"
"นั่นสิ" นึกถึงวันเก่าๆแล้วน้ำตาชักจะปริบๆซะแล้วสิครับ
"ฟังพี่นะครับ พี่ว่าเรานะ สร้างกำแพงให้ตัวเองสูงไปหรือเปล่า" พี่มาร์ทถามเสียงนุ่มอ่อนโยน "การที่แมคสร้างเกราะมาป้องกันตัวเอง จะเพื่อทำให้ไม่หลงเชื่อใจใครง่ายๆหรือไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าก็ตามที มันก็ดี แต่บางครั้งมันก็เป็นผลร้ายต่อตัวแมคได้นะครับ...กำแพงที่แมคสร้างขึ้น มันแข็งแกร่งจนใครก็ทำลายไม่ได้ และแมคเองก็ออกมาไม่ได้เช่นกัน พี่พูดนี่เข้าใจไหม?"
"ครับ" ผมพยักหน้ารับฟัง
"แมคอยู่บนโลกคนเดียวไม่ได้.."
"ผมอยู่ได้" ผมโต้กลับไปทันที แต่แค่จะเถียงกลับ พี่มาร์ทก็ยกมือขึ้นห้ามเชิงปรามผมแทน
"แมคแค่เชื่อว่า แมคอยู่ได้ แต่แมคอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก แมคเป็นมนุษย์พี่ก็เป็นมนุษย์ มีความคิดมีความรู้สึกเหมือนกับใครอีกหลายๆคนบนโลก..."
"คือพี่จะบอกผมแล้งน้ำใจ ว่างั้น"
"เปล่าๆ พูดยากจริงแฮะ" พี่มาร์ทว่า "พี่อยากให้แมคเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างนะครับ อย่ามองแต่มุมเดียวด้านเดียวว่า เราคิดไงก็ทำตามใจเรา แมคต้องมองในมุมอื่นด้วยว่า การที่เราทำแบบนั้นหรือพูดอะไรออกไป มันไปกระทบถึงใครหรืออะไรบ้างหรือเปล่า"
"ครับ ผมจะจำใส่ใจ" ผมยกมือไหว้เป็นการขอบคุณอบรมสั่งสอน แต่อีกนัยก็คือยุติบทสนทนา "งั้นผมกลับละ..."
"ดีมาก ที่นี้มาเข้าเรื่องกัน"
"ยังไม่จบอีกเหรอครับ!"
พี่มาร์ทไม่ตอบรับคำใดทั้งสิ้น สาวเท้าเข้าใกล้จนผมต้องก้าวถอยไปด้านหลังด้วยความประหม่า รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด จำต้องยกสองมือขึ้นพักไว้ที่แผ่นอกคนตรงหน้าเว้นระยะห่างพอควร ดวงตาคมจับจ้องผมไม่วางตาราวกับคาดคั้นอะไรบางอย่าง และถ้าผมถอยไปมากกว่านี้หลังผมกระทบผนังแน่ เดาไม่ถูกว่าพี่เขาจะมาไม้ไหน หวั่นใจชอบกล
"แมคชอบพี่ไหม?"
"ไม่รู้" ผมตอบรับหน้าตาตื่นกับคำถามที่ได้ยิน "ค...คง...ชอบมั้ง"
"รู้สึกยังไงตอนนี้?"
"ไม่รู้" แต่ผมใกล้จะกลัวละ ถ้าหน้าพี่เข้าใกล้ผมมากกว่านี้
"ใกล้ขนาดนี้ คิดยังไง?"
"ไม่รู้" แต่ถอยไปเถอะครับ ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นอะตอนนี้ ยกแขนที่กั้นผมหนีออกไปเถอะ
"ตอนที่พี่จับมือในโรงหนัง รู้สึกเหมือนไฟ..."
"ไม่รู้ ผมไม่รู้" ส่ายหน้าผับๆปัดมือที่ยื่นเข้ามาตรงหน้าทิ้งไปทั้งที่หัวใจเต้นรัว
"แล้วตอนที่พี่กอดวันนั้น..."
"ไม่รู้ วันไหนผมก็ไม่รู้ทั้งนั้น"
"ถ้าพี่ทำแบบนี้ละครับ" เสียงกระซิบข้างกกหูแผ่วเบาราวกับใบไม้ไหวกับสัมผัสอ่อนนุ่มจากริมฝีปาก เล่นเอาผมสะดุ้งโหย่ง เผลอกัดริมฝีปากจนเป็นรอยฟัน
"ไม่...อ๊ะ..."
"แมค..." ขอร้อง อย่าพูดชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่านี่ หยุดสักที หยุดคลอเคลียริมฝีปากของผมด้วยการไล้ไปมา จะจูบหรือจะทำอะไรก็ทำสักอย่างสิ ร้อนจนหน้าจะไหม้แล้ว
"...พี่...หยุด..."
"อืม ..." เสียงครางในลำคอทุ้มต่ำเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ร่างจะถูกรวบเข้าไปกอดเต็มอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจเต้นตุ๊บๆนี่เป็นของใคร ผมหรืออีกคน รู้แต่ว่ามันเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอก ยิ่งโดนสัมผัสตรงซอกคอเรื่อยไปยังไรผมยิ่งทำให้รู้สึกเคลิ้ม ไม่ได้ ผมต้องตั้งสติสิ
"อ่า..." ทั้งที่ใจสั่งให้หลบ แต่ร่างกายกลับโอนอ่อนคล้อยตามเอียงรับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ซะได้
"ถ้าพี่สัมผัสตรงนี้..." ริมฝีปากน่าดึงดูดนั่นกำลังเผยอขึ้นโน้มเข้ามาใกล้จนเกือบจะแนบชิดตรงมุมปาก รับรู้แต่เพียงลมหายใจอุ่นๆปะทะเข้าใบหน้าและสัมผัสร้อนระอุยามเมื่อปลายนิ้วที่ไล้ไปตามริมฝีปากของผม "ตรงริมฝีปากคู่สวยนี่ แมคจะรังเกียจพี่ไหม"
"ม...ไม่...อะ" ผมไม่รู้...ผมมองอะไรไม่ชัด ภาพตรงหน้าทับซ้อนกันจนเบลอราวกับมีม่านน้ำมากั้น แต่ทำไมผมกลับมองเห็นดวงตาสีเทาชัดขึ้นทุกขณะ เพิ่งรู้ว่าสีเทาอมฟ้านี่มันสวยขนาดนี้เชียว ร้อน ผมร้อน ร้อนมากจนละลายอยู่แล้ว สัมผัสผมมากกว่านี้อีกสิครับ พี่มาร์ท...
"แมค คงชอบพี่เข้าให้แล้วครับ"
ตุ๊บ!!!
แทบร่วงลงไปกองกับพื้น ดีที่ใช้เท้ายันกำแพงไว้ได้ทัน แต่พี่มาร์ทกลับถอยห่างจากผมไปก้าวนึง ยืนดูยิ้มๆ คงสะใจละสิที่แกล้งผมได้ ฮึ่ม
"งั้นเหรอ" ผมตอบสั้นๆหลบสายตา ปรับอารมณ์ที่ปั่นป่วนให้กลับเป็นปกติ
"ครับ" แต่คนตรงหน้าส่งยิ้มกว้างกลับมาให้
"คิดเองเออเองนะสิ ผม...ผมจะกลับแล้ว" ขืนอยู่นานกว่านี้ ผมคงอายไม่กล้ามองหน้าพี่เขาอีกแน่ นี่ขนาดทำหน้านิ่งใส่ยังจะมีหัวเราะในลำคอให้ได้ยินอีก
"ไปครับ พี่ไปส่ง"
TBC
-----------------------------------------------------------------------------------------