Until You [อัพเดท ตอนที่ 19] 17-07-2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Until You [อัพเดท ตอนที่ 19] 17-07-2016  (อ่าน 16374 ครั้ง)

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Until You [อัพเดท ตอนที่ 19] 17-07-2016
« เมื่อ24-03-2016 23:48:46 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Until You

เรื่องย่อ : นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยเข้าใจความรักแต่ก็ดันต้องมาเจอกับสิ่งที่อาจจะเรียกว่ารัก เด็กหนุ่มคนนี้จะทำยังไงกับสิ่งที่ตัวเองพบเจอ จะตอบรับ? จะต่อต้าน? หรือจะปล่อยผ่าน? ลองค้นหาและติดตามไปด้วยกันนะครับ...

ตัวละครหลัก : ผม(แมค) - เด็กหนุ่มวัยละอ่อนหน้าใสๆหัวใจสีม่วง
                     พี่มาร์ท    - ชายหนุ่มลูกครึ่งฐานะดีมีอันจะกิน

สุดท้ายนี้ก็ขอฝากผลงานเรื่องแรกในไทยบอยเลิฟด้วยนะครับทุกท่าน ขอบคุณครับ

#####################################

Until You Content
(เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน คลิกลิงค์ตรงชื่อตอนได้เลยครับ)

Until You (ตอนที่ 1 - ตอนที่ 8 ) หน้าที่ 1
Until You (ตอนที่ 9 - ตอนที่ 12 ) หน้าที่ 2
#####################################
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2016 11:03:23 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Until You - ตอนที่ 1 (1) - 24-03-2016
«ตอบ #1 เมื่อ25-03-2016 00:11:33 »


Until You


ตอนที่ 1 (1/2)

                "เข้ามาดูข้างในก็ได้นะค่ะ เชิญเลยค่ะ" พนักงานสาวหน้าตาดีแอบซ่อนลีลาพริตตี้เอ่ยทักทายเสียงใสส่งรอยยิ้มหวานพิฆาตใจชายมาให้ แต่โชคดีเหลือเกินที่ผมมีภูมิต้านทานสูงเลยรอดพ้นจากการโจมตีในระยะประชิดได้อย่างปลอดภัย “เข้ามาชมก่อน ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่ะ เชิญค่ะ เชิญ”
                “เอ่อ...ยังไม่ดีกว่าครับ” ปากบอกปฏิเสธ แต่สายตาของผมกลับจับจ้องดวงตาโฉบเฉี่ยวของบางสิ่งผ่านกระจกหนาตรงหน้า ยิ่งมองยิ่งเคลิ้ม ยิ่งจ้องยิ่งใจเต้น ไม่ได้ๆผมต้องควบคุมจิตใจให้หนักแน่นเข้าไว้ ใช่ครับ มันต้องหนักแน่น ท่องไว้ลูก ท่องไว้ กระเป๋าตังค์มีแค่สองร้อยเอง เข้าไปนี่อาจหน้าแหกได้ไม่รู้ตัว
                “ทำไมละค่ะ หืม?” แหมสาวมีลูกอ้อน แถมโปรยเสน่ห์เรียกลูกค้าขนาดนี้ เป็นคนอื่นคงใจอ่อนยวบยามกันหมดละครับ แต่น่าเสียดายที่...ที่...ที่... ที่ผมแพ้ทรวดทรงองค์เอวของเธอ...น้องบีเอ็มแทนพี่พริตตี้วะ
                “อ่า...เข้าไปข้างในก็ได้ครับ” ผมบอกเสียงอ่อยเดินตามเธอต้อยๆพลางให้กำลังใจให้ตัวเองว่า ผมอาจจะตายลายมองเงินปอนด์ในกระเป๋าเป็นเงินบาทก็ได้ ว่าแต่ผมเคยแลกเงินปอนด์ซะที่ไหน?
                “งั้นเชิญที่ห้องรับรองเลยค่ะ ป้าๆเอาของว่างมารับลูกค้าหน่อยค่ะ เชิญเลยค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
                “ครับๆ” แอร์เย็นฉ่ำปะทะเข้ากับใบหน้าและชุดนักเรียนมัธยมปลายแทบจะในทันทีที่ผมก้าวเท้าผ่านประตูกระจกเข้าไปชมโฉมงามภายในซึ่งมีโชว์ตัวถึงห้าคันด้วยกัน เห็นแล้วอยากจะเอามือไปลูบไล้ชะมัดยาก แต่คงต้องสงบจิตสงบใจเดินไปรับการบริการพร้อมไมตรีจากเหล่าพนักงานของโชว์รูมแห่งนี้เสียก่อน
                “รับกาแฟ โอวันตินหรือน้ำพันซ์ดีค่ะ” แม่บ้านย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้าข้างโซฟาที่นั่ง ประคองจานคุ๊กกี้วางลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าผม
                “น้ำพันซ์ก็ได้ครับ” ผมบอกออกไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ความจริงอยากชูสามนิ้ว ขออย่างละแก้วเลยด้วยซ้ำ
                “สนใจรุ่นไหนอยู่ค่ะ”
                “ตอนนี้คงเป็นซีรีย์ 3 นะครับ เอาไว้ขับเอง แต่ถ้าซื้อใช้ในครอบครัวอยากเป็นซีรีย์ x นะครับ พ่อผมน่าจะเหมาะกับรถแบบนี้ อยากให้พ่อมาดูเองมากเลยครับ แต่ไม่ว่างสักที” พูดไปก็เสียงอ่อยไปประกอบท่าทางเสียดายอย่างสุดซึ้งจากความไม่จริงใจของผม ก็คิดดูสิครับกระเป๋าเงินผมมีสองร้อย แล้วพ่อผมจะมีสักเท่าไหร่?
                “ค่ะ จริงๆแล้วซีดานสำหรับครอบครัว พี่ว่าเป็นซีรีย์ 5 จะเหมาะกว่านะค่ะ แต่ถ้าเป็นซีรีย์ 3 รุ่นใหม่นี้ออกแบบห้องโดยสารกว้างขึ้น แล้วก็มีออฟชั่นพิเศษเพิ่มมาจากรุ่นก่อนอยู่หลายอย่าง ราคาอยู่ที่ 3 ล้านต้นๆนะค่ะ”
                “ครับๆ ราคาผมพอเห็นมาบางแล้ว”
                “เดี่ยวพี่คำนวณให้ดีกว่า สะดวกเป็นดาวน์สักกี่เปอร์เซ็นต์ดีค่ะหรือสนใจเป็นแบบบอลลูน”
                “ไม่เอาบอลลูนครับ เอาแบบปกติดาวน์สัก 30% - 40% เลยครับ ฝากคำนวณให้หน่อยได้ไหมครับ เดี่ยวผมขอไปดูรถตรงที่โชว์หน่อย”
                “อ๋อได้สิค่ะ เชิญเลยค่ะ” เธอยิ้มหวานส่งผม ก่อนจะหันกลับมาคำนวณค่างวดรถยนต์ให้ผมต่อ

             วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดีที่ผมกล้าหาญชาญชัยเดินบุกเดี่ยวเข้ามายังโชวร์รูมใกล้บ้านเป็นครั้งแรก หลังจากต้องทนความอยากมานานถึงหนึ่งปีเต็มผ่านกระจกรถเมล์ปรับอากาศตอนแล่นผ่านขากลับบ้านทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมวันนี้ผมถึงมาที่นี่ตัวคนเดียวทั้งที่มีเงินไม่พอซื้อสักคัน แต่ไหนๆก็สุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาละ ขอยลโฉมของชอบใกล้ชิดติดตาหน่อยละกัน จำได้ว่าตอนมองมุมไกลจากด้านนอกดูสวยสะดุดตาแล้ว พอมาเห็นใกล้ๆนี่ดูสง่ากว่าสวยซะอีก อย่างไฟหน้าตาคู่รุ่นใหม่ตัดขอบมนเล่นลายโค้งนี่ก็ดูเข้ากันกับตัวรถดี ตรงกระจังหน้ามีการขยายช่องว่างรังผึ้งให้กว้างขึ้นแล้วก็มีช่องระบายอากาศด้านล่างเพิ่ม สงสัยเครื่องจะแรงเลยต้องทำให้อากาศถ่ายเทละมั้ง ตัวรถเหล็กหนากว่ารถญี่ปุ่นหลายเท่าเสียงไม่ก็องแก๊งลองดันแล้วไม่บุบด้วย ใช้ได้ๆ ประตูเปิดปิดได้หนึบมากพอควร ไฟท้ายทรงเหลี่ยมโค้งเล็กน้อยรับกับการออกแบบภายนอกลงตัวอยู่ ท่อไอเสียเป็นปลายเปิดท่อคู่ ภายในใช้หนังสีเทาทำเบาะตัดด้ายขาวดูเด่นกว่าใช้หนังดำรุ่นก่อนเยอะ มีที่วางแก้วเพิ่มขึ้นมาอีกสองจุด ส่วนเครื่องยนต์นี่คงต้องขอดูก่อน ว่าแต่เปิดฝากระโปรงหน้าตรงไหนหว่า หาไม่เจอ หันมองซ้ายขวาก็ไม่มีพนักงานยืนรอให้ผมถามเลยสักคน มีแต่หนุ่มลูกครึ่งหัวตั้งคนนึงมองผมอยู่นั่นละ คงเป็นลูกค้าอีกคนของที่นี่ละมั้ง แต่ไม่รู้จะมองทำไมบ่อยๆ เงยหน้าจากรถกี่ทีก็ต้องหันไปเจอ เอ๋...จะว่าไปหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนหว่า?

             คิดออกแล้ว! ผมจำเขาได้แม่นมากทั้งที่ไม่ได้คุยกัน แต่จะว่าไป อย่าใช้คำว่าจำได้เลย เรียกว่าคู่อริจะดีกว่า นึกถึงเรื่องไปมอเตอร์โชว์คราวก่อนแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ทุกครั้งที่ผมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องรถกับผู้จัดการโชว์รูมที่มาออกบูทอย่างออกรสทีไร พอเขาคนนี้เดินมา เหล่ากูรูทั้งหลายก็จะขอตัวไปจากผม เพื่อไปต้อนรับเขากับสาวที่มาข้างกายตลอด คิดแล้วยังแค้นไม่หายกับพวกคนรวยหน้าตาดีมีเงินล้นฟ้าซะจริง ได้นั่งรถยุโรปหรูโอบกอดสาวสวยข้างกาย นี่มันความฝันในอีกร้อยปีของผมชัดๆ แต่ถ้าอายุร้อยปีได้จริง ผมขอหน้าตาแบบสิบห้าหยกๆสิบหกหย่อนๆแบบนี้นะ ไม่เอาเหี่ยวเหนียงยานเด็ดขาด

             แต่เหมือนชีวิตผมจะอาภัพ เพราะคนที่ผมแสนจะไม่ชอบขี้หน้า กลับผละออกจากวงสนทนากับคนในเสื้อสูทเดินตรงรี่มาทางผมด้วยเสียด้วย ทำไงดี?หันซ้ายขวาก็ไม่มีใครอยู่รอบข้างเลยสักคน ผมไม่อยากรู้จักเขาเลยตอนนี้เลยครับ      “สนใจเรื่องรถเหรอครับ ชอบมานานยัง” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยทักผมขึ้นก่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเพียงเล็กน้อย จะว่าไป ทำนองการพูดก็ดูไม่หยิ่งเท่ากับท่าทางที่เห็นนี่หว่าหรือจะเป็นพวกนักสร้างภาพตัวยง

                “ตั้งแต่ ม.ต้นได้มั้งครับ” ผมเองเลยต้องตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติเช่นกัน
                “ชอบรถแบบไหนละ”
                “รถสปอร์ตครับ!” กระตุกยิ้มมุมปากแบบนี้ กวนกันปะ?
                “มาคนเดียวเหรอ?”
                “ครับ ทางผ่านบ้านผม เห็นมาตั้งนานแล้ว ก็เลยอยากมาดูครับ”
                “ท่าจะชอบมากนะ” เขาพูดเสียงเบาเหมือนจะบ่นกับตัวเองมากกว่า ส่วนผมก็ทำได้แต่ขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา “คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งต้องรู้ไปทุกเรื่อง แค่เรามีความมุ่นมั่นตั้งใจเริ่มต้นค้นคว้าจากสิ่งใกล้ตัวหรือสิ่งที่ชอบก็นับเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในอนาคตได้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีน่าชื่นชมแล้ว”
                “ครับ” ผมพยักหน้าน้อยๆตามสไตล์ แปลกใจกับคำพูดเป็นหลักการของคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก เพราะผมไม่คิดว่าหนุ่มสไตล์เพลบอยอายุน้อยเช่นเขาจะมีความคิดแบบนี้ในหัว
                “แต่อย่างน้อง ท่าจะมีความรู้มากอยู่แล้วละ พี่เห็นคุยกับพวกผจก.สนุกเลย”
                “เอ๋!?” เขาเห็นผมด้วย?
                “คงจำไม่ได้ละสิ พี่เคยเจอน้องอยู่ 2-3 ครั้งที่งานมอเตอร์โชว์ ช่วงประมาณปลายปี....”
                “ครับ ผมจำพี่ได้” ผมตอบไปตรงๆ แต่ดูท่าคำตอบผมจะทำเอาคนฟังตรงหน้าอึ้งไปเหมือนกัน เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในหยิบนามบัตรออกมาจดอะไรลงไปบางอย่างก่อนส่งให้ผม
                “มีอะไรสงสัยเรื่องรถ ก็โทรมานะ จะได้แชร์ประสบการณ์กัน พิ่จะยินดีมากเลยครับ ถ้าน้องโทรมา” เขาย้ำกับประโยคหลังสุด แต่ผมไม่ได้เอ๊ะใจอะไรมากมาย รับมาใส่กระเป๋ากางเกงไว้
                “อ่าครับ ขอบคุณครับ”
                “ถ้าสนใจรถที่นี่ก็บอกได้นะ โชวร์รูมเพื่อนพี่เองครับ มีส่วนลดให้ด้วย”
                “ขอฟรีเลยได้ไหมครับ” ผมฉีกยิ้มแก้มบุ๋มแกล้งปล่อยมุขไปเผื่อจะฟลุ๊คขึ้นมาบ้าง
                “เห็นที่จะไม่ได้” คนตรงหน้าว่ายิ้มๆเหล่มองนาฬิกาหรูบนข้อมือ ก่อนจะพูดขึ้นว่า  “พี่ไปก่อนนะ อย่าลืมโทรมานะครับ บายๆ”


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2016 08:17:53 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 1 (2)] - 26-03-2016
«ตอบ #2 เมื่อ26-03-2016 22:18:27 »


Until You


ตอนที่ 1 (2/2)

            นี่ก็ผ่านมาร่วมจะสองเดือนแล้ว ผมยังคงนั่งมองนามบัตรในมือสลับกับมือถือด้วยความรู้สึกลังเลสับสนปนหวาดหวั่นในจิตใจอยู่ตลอดทุกครั้งที่หยิบการ์ดแข็งขึ้นมามองตัวเลข บอกตามตรงว่าผมอยากกดเบอร์โทรตามที่เห็นใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าพอจะกดโทรออก ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าของนามบัตรนี้อยากจะคุยกับผมจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่เคยได้ยินมา เขาว่ากันว่าพวกคนวัยทำงานมักแจกนามบัตรกันเป็นว่าเล่นเหมือนให้ตามมารยาทมากกว่า
               “พี่แมค!” เสียงน้องชายวัยห่างกับผมสี่ปีเอ่ยทักทายเรียกสติให้กลับมายังปัจจุบัน
               “อ้าวมาแล้วเหรอ เลิกเรียนนานยัง?”
               “เพิ่งเลิกไง วันนี้มีเรื่องในคลาสเรียนพิเศษจะเล่าให้ฟังด้วย แต่ไว้ถึงบ้านก่อน ไมซ์ขี้เกียจเล่าหลายรอบ” แล้วจะบอกให้อยากก่อนทำไมก็ไม่รู้?
               “เออๆ กลับเลยปะ”
               “แวะบีทูเอสก่อนกลับได้ไหม ไส้ดินสอหมด?" ผมพยักหน้ารับคำลุกขึ้นเดินตามน้องชายออกจากโรงเรียนกวดวิชาเพื่อข้ามถนนไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ “เดี่ยวแวะยามะด้วยได้ปะ อยากกิน”
               “อยากกิน? เงินใครวะ?”
               “ไม่น่าถาม อิอิ” หัวเราะคิกขุเสร็จ ก็เอาหูฟังเสียบหูฟังเพลงต่อไม่สนใจโลกอีกตามเคย จนผมต้องดึงหูฟังออกบอกต่อว่า
               “จดมาละกันอยากกินอะไรขี้เกียจจำ เดี่ยวแยกกันไปจะได้ไม่เสียเวลา”
               “เหมือนเดิม ซื้อมาฝากพ่อกับแม่ด้วยน้า”
               “เออๆ”

            ร้านขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นแห่งนี้เป็นร้านที่ครอบครัวของผมมักจะแวะเวียนมาทุกครั้งที่มาห้างสรรพสินค้า เพราะชื่นชอบในรสชาติและโปรโมชั่นของทางร้านเป็นพิเศษ แต่สำหรับผม ผมว่าผมเฉยๆออกจะแพงเสียด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับขนมปังที่มีขายทั่วไป ดีกว่าหน่อยตรงที่นิ่มและหอมมากกว่าคนเลยนิยม
               “210 บาทค่ะ”
               “แป็บนะครับ” ผมเปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้ไปสองใบ ก่อนจะล้วงหาเศษย่อยในกระเป๋าเสื้อจำได้ว่าเมื่อเช้านั่งรถเมล์ได้รับเงินทอนมายี่สิบบาทกับเหรียญสิบเหรียญนึงนี่ “เจอละ เอ๊ะ...ไม่ใช่ นี่ครับ” เจ้ากรรมดันหยิบนามบัตรส่งให้แทนธนบัตรไปซะได้
               “รับมาพอดีนะค่ะ ขอบคุณค่ะ”
               “ครับ” ผมรับถุงขนมปังมาถือไว้พลางเดินออกจากร้านตรงไปยังบันไดเลื่อน เพื่อขึ้นไปหาไมซ์ที่ร้านหนังสือชั้นบนสุดของห้าง คิดไปคิดมาผมว่า ผมตัดใจโทรออกดีกว่าครับ อยู่แบบนี้ก็ไม่จบไม่สิ้นสักที ใจอยากโทรแต่ยังไม่มีประโยคใดแล่นเข้ามาในหัวเลยตอนนี้ ไว้ค่อยด้นสดละกัน "สวัสดีครับ คุณภิมุข ใช่ไหมครับ"
               (ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันชื่อชาลิสา เป็นเลขาของคุณภิมุขค่ะ ไม่ทราบว่าจะเรียนสายด้วยเรื่องอะไรค่ะ)
               "เอ่อ..." ทำอะไรไม่ถูกเลยครับทีนี้ มีเลขาด้วย! วางสายเลยดีไหมวะ? สมองตายชั่วขณะ
               (ชื่อคุณอะไรค่ะ นัดไว้หรือเปล่าค่ะ)
               "ขอโทษครับ ผมคงโทรผิด" ความจริงโทรไม่ผิด แต่ทำไงได้ละครับ ใครจะกล้าต่อปากต่อคำกับเลขาของ'ท่านกรรมการบริหารบริษัท'ใหญ่โตกันละ ผมน่าจะเจียมตัวแต่แรก ไม่น่าพลาดเลย ผมว่าผมฉีกนามบัตรนี่ทิ้งขยะเลยดีกว่า จะได้จบๆไป แต่เอ๊ะ! ทำไมมีเบอร์มือถือข้างหลังด้วย หรือตอนนั้นเขาเขียนเอาไว้ให้? ลองอีกครั้งคงไม่หน้าแตกละมั้ง
               (สวัสดีครับ)
               "เออ สวัสดีครับ" เสียงทุ้มนุ่มฟังแปร่งๆทำเอาหน้าร้อนผ่าว ไม่เคยโทรหาคนแปลกหน้าแล้วรู้สึกตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลย ครั้นจะวางสายหนีแบบเมื่อกี้คงโดนด่าแน่ๆ
               (ครับ?)
               "ครับ"
               (ครับ?)
               "อะครับ" ผมก็ไม่ได้อยากจะพวกกวนพูดวกไปวนมานะ แต่มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ
               (ใครครับนั่น บอกชื่อด้วยครับไม่งั้นผมวางสาย)
               "อ่า..." คิดไม่ออกแค่นี้ต้องดุกันด้วย
               (ผมให้เวลาคุณถึงแค่นับสามเท่านั้น)
               "ผมชื่อ กรณ์ เคยเจอกับคุณที่ศูนย์บีเอ็มแถวฝั่งธนจำได้ไหมครับ"
               (อืมๆๆ น้องคนที่ใส่ชุดนักเรียนใช่ไหม?)
               "อ่าครับ จำไม่ได้ไม่เป็นไรนะครับ ขอโทษที่ผม...เอ๋ พี่จำผมได้เหรอ?"
               (จำได้สิ มีอะไรด่วนไหมครับ คือพี่ติดคุยกับลูกค้าอยู่นะ)
               "เออ งั้นผมไม่รบกวนพี่ดีกว่าครับ"
               (ไม่เป็นไร ไม่ถือว่ารบกวนอะไรหรอก เดี๋ยวพี่เสร็จงานแล้ว จะรีบโทรกลับนะครับ)
               "อะครับ แต่ถ้าไม่ว่างไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ ผมเกรงใจพี่"
               (ครับ แล้วเจอกัน)

           วางสายไปซะละ มาไวไปไวจริงเชียว แล้วนี่ผมอยู่ชั่นไหนแล้วเนี๊ยะ? เดินเข้าไปโซนพลาซ่าดีกว่าจะได้ไม่หลง วันเสาร์อาทิตย์คนมาเที่ยวห้างเยอะจนผมชักตาลายละหรือเมื่อคืนนอกดึกกันแน่หว่า? โอย...ง่วงบวกมึน เจอไมซ์แล้วชวนกลับเลยละกัน เดี่ยวหลับคารถเมล์อันตรายเกิน ว่าแต่ใครโทรมาอีกเนี๊ยะ?
"ฮ้าว...โหลครับ"
               (สวัสดีครับ พี่คนที่น้องโทรหาจำได้ไหม)
               "จ..จะ..จำได้ครับ พี่มีอะไรกับผมเหรอครับ!" ตาสว่างเด้งขึ้นมาทันใด
               (อ้าว ก็น้องโทรหาพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่านะ)
               "ไม่มีครับ ลืมไปแล้ว แฮะๆๆ" ผมตอบไปพลางเอาท้ายทอยแก้อาการขวยเขิน "พี่คุยงานเสร็จเร็วจังครับ"
               (น้องวางสาย พี่ก็เสร็จธุระพอดี นึกเรื่องจะถามออกยัง?)
               "ไม่ออกครับ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าครับ" ผมว่า "พี่ชื่อไรครับ ผมชื่อ กรณ์ ชื่อเล่นแมค นะครับ"
               (อ้าว คุยมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะถามชื่อพี่อะนะ เรียกพี่ว่า พี่มาร์ทก็ได้ครับ) เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะร่วนแว่วมาตามสายชอบกล
               "โอเค พี่มาร์ทสินะครับ ผมจะได้เรียกชื่อถูกซะที"
               (ครับ)
               “อ่า...ครับ”
               (น้องเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว)
               "ชั้น 4 อยู่ม. 5 ครับ"
               (ชั้นอาคารเรียนไม่ต้องบอกก็ได้ครับน้อง นี่ถ้าน้องบอกเลขห้องด้วย พี่คงว่าเรากวนพี่แน่ๆ)
               "เหรอครับ? แฮะๆ" รู้สึกขายหน้าชอบกล "งานหนักไหมครับ"
               (ก็อย่างนี้ละครับ แต่น้องนี่เปลี่ยนเรื่องเร็วจัง)
               "ครับ ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ... ผมไม่กวนพี่ดีกว่า ไว้พี่ว่างค่อยคุยกันใหม่ก็ได้ครับ"
               (เอางั้นก็ได้ครับ แล้วถ้าพี่โทรคุยเวลาไหนสะดวก?)
               "ตอนไหนก็ได้ครับ ผมเรียนเสร็จก็ 4 โมงเย็น ทำการบ้าน กว่าจะนอนประมาณเที่ยงคืนเกือบทุกวัน"
               (นอนดึกจังเลย ทำอะไรอยู่ครับ)
               "เรื่อยๆครับ เกมส์บ้างการ์ตูนบ้างแล้วแต่วัน"
               (อืมๆ)
               "พี่คุยเอ็มก็ได้ครับ ผมออนเอ็มคุยกับเพื่อนบ่อยๆ"
               (เอางั้นเหรอ แต่พี่ไม่มีเมล์น้องเลย)
               "เดี่ยวผมส่ง SMS ไปให้ครับ" ผมว่าเริ่มต้นด้วยการคุยผ่านเมล์กันก่อนน่าจะดีว่าคุยสายเลยนะ รู้สึกตัวเองข้ามขั้นไงชอบกล
               (ครับ แล้วพี่จะแอดไปนะ พี่มีสายเข้าพอดี บายๆ)
               "บายๆ หวัดดีครับ"

           ตั้งแต่บ่ายวันนั้นเป็นต้นมา ผมกับพี่มาร์ทก็โทรคุยกันตลอดเกือบทุกคืนช่วงก่อนผมจะล้มตัวลงนอนบนเตียงราวกับเป็นกิจวัตรที่ต้องคุยกันก่อนจะหลับตา หากวันไหนติดธุระโทรมาหาไม่ได้ เขาจะส่งข้อความมาบอกก่อนล่วงหน้าเสมอๆ แต่ถึงจะบอกแล้ว ผมก็ยังต้องคว้ามือถือมาตรวจดูทุกครั้งเพื่อความสบายใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ติดนิสัยห่วงมือถือมากกว่าห่วงเวลานอนเช่นนี้ ส่วนเมล์ที่ใช้คุย MSN Messenger ที่ได้แลกกันไว้นั้น เป็นอันต้องยกเลิกกันไป เพราะไลฟ์สไตล์ของพี่มาร์ทใช้มือถือบ่อยกว่าคอมพิวเตอร์ซึ่งตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง สำหรับเนื้อหาสาระที่สนทนากันก็จะเป็นเรื่องทั่วไปชนิดเล่าสู่กันฟังแบ่งปันสารทุกข์สุขดิบกับกิจวัตรหรือเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอกัน เรื่องดีๆก็ฟังไปยิ้มไป เรื่องไม่ดีก็มีโมโหแทนกันบ้าง เรื่องปกติก็เล่าไปแสดงความคิดเห็นถ่ายทอดจินตนาการเพี้ยนๆกันไป จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงใกล้ๆปลายภาค ผมกับพี่มารทก็พักช่วงติดต่อกันสักสองสัปดาห์ เพราะต่างฝ่ายต่างมีภาระส่วนตัวที่ต้องสะสาง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2016 23:14:07 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (1)] 29-03-2016
«ตอบ #3 เมื่อ29-03-2016 19:56:19 »


Until You


ตอนที่ 2 (1/3)
          เป็นธรรมดาของเด็กวัยเรียน เมื่อสอบปลายภาคเสร็จก็มักจะหาเรื่องไปเที่ยวพักผ่อน ผมก็เป็นคนนึงที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของวัยรุ่นเฉกเช่นคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงยินดีมากที่มีคนชวนไปเดินเล่นกินข้าวเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในวันเสาร์ที่กำลังจะมาถึง นับเป็นครั้งแรกเลยครับที่พี่มาร์ทนัดชวนผมออกมาเจอกันแบบสบายๆ ทั้งที่คุยโทรศัพท์กันมานานเกือบครึ่งปี
          เที่ยงตรงคือเวลานัดหมาย แต่ผมกลับไปถึงตอนพนักงานไขกุญแจเปิดประตูห้างให้ลูกค้าเข้าพอดิบพอดี อันที่จริงผมตั้งใจไว้ว่าอยากมาก่อนเวลาไม่นาน แต่ไม่รู้ทำไมการจราจรบนถนนถึงเป็นใจขนาดนี้ แม้จะนั่งรถโดยสารประจำทางมาต่อรถสองทอดยังถึงเร็วพอๆกับนั่งแท็กซี่เลยครับ เมื่อคนนัดยังมาไม่ถึง ผมจึงเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปร้านโปรดชั้นบนสุดรอเวลา ผมเป็นคนชอบเดินร้านหนังสือครับ เพราะมันเงียบสงบดีไม่วุ่นวายเหมือนที่ไหนๆในห้าง หยิบหนังสือเตรียมสอบพลิกอ่านทำโจทย์ไปบ้าง หันกลับไปมุมขายแผ่นซีดีบ้าง วกกลับไปโซนหนังสือต่างประเทศเปิดดูรูปภาพวิวสวยๆบ้าง จนกระทั่งมือถือดังขึ้นในตอน 11 โมงครึ่งพอดิบพอดี

                    “พี่มาร์ทมาถึงแล้วเหรอครับ พี่อยู่ตรงไหนอะครับ” ผมกดรับสายขณะที่วางหนังสือบนชั้นวางตามเดิม
                    (Starbucks ครับ พี่แวะมาซื้อกาแฟดื่ม)
                    “เอ่อ... ร้านอยู่ตรงไหนอะครับ” ถามแบบนี้จะโดนขำไหมวะ คนไม่ค่อยได้มานี่หว่า
                    (อยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์ชั้นล่าง)
                    “เอ่อ...ครับ” แล้วธนาคารอยู่ไหนละนั่น? บอกไม่รู้จะโดนว่าไหมนี่?
                    (มาถูกไหม? แมคอยู่ตรงไหนครับ)
                    “เดี่ยวผมมั่วหาเองดีกว่า ผมอยู่ชั้นบนครับ ยังไงก็ต้องไปร้านอาหารชั้นล่างอยู่ดี”
                    (เมื่อกี้พี่เดินผ่านร้านแมคโดนัลล์ตรงประตูทางเข้า เคยเห็นร้านนี้ไหม?)
                    “อ้อ...เคยครับเคย นึกออกแล้ว”
                    (งั้นเจอกันตรงนั้นแล้วกัน ไม่ต้องรีบนะ พี่รอได้ไม่ได้รีบไปไหน)
                    “ครับๆ ผมกำลังลงบันไดเลื่อนแล้วครับ ขอโทษจริงๆนะครับ ผมไม่ค่อยได้มาห้างนี้นะ มันไกลบ้านผม”


          นั่นไงร้านแมคโดนัลที่ว่าผมเห็นละ เดี่ยวลงบันไดเลื่อนไปเลี้ยวซ้ายไปทางนั้นก็ใช่เลย ทว่า...ผมกำลังภาวนาในใจไม่อยากให้หนุ่มเซตผมตั้งหน่อยๆภายใต้แว่นกันแดดเรย์แบรนด์สีชาในชุดเสื้อคอวีสีเทาขาวสวมทับด้วยแจ๊กเกตเชิ้ตสีดำเข้มคนนั้นเป็นพี่มาร์ทเลยครับ โดดเด่นเกินตาเกินตาผมมากมาย ใจอยากจะโทรไปยกเลิกนัดซะตอนนี้แต่ดูท่าจะคิดช้าเกินไปเสียละ เห็นมีโบกมือน้อยให้ผมด้วย มือข้างขวาเลยจำต้องโบกมือตอบพลางก้มมามองชุดตัวเองที่เป็นเพียงเสื้อยืดลายทางตัวละห้าสิบบาทคลุมด้วยเสื้อฮูทสีเนื้อแขนยาวตัวละสองร้อยห้าสิบบาทกับกางเกงยีนส์ตัวโคร่งที่เป็นมรดกตกทอดของน้าและผ้าใบขาวฉบับนักเรียนด้วยอาการปลงจิต เห็นแล้วอยากวกเข้าร้านเสื้อผ้าตรงนั้นก่อนไปเจอเลยครับ อนาจสุดใจขาดดิ้น

                    "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ตามมารยาทในขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงส่งยิ้มให้ ถอดแว่นตาเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อด้านใน ดูเท่ห์จนผมอิจฉาในใจตลอด
                    "มาถึงนานยัง"
                    "ก็ตั้งแต่ 11 โมงนะครับ พอดีว่ากลัวหลงทางเลยเผื่อเวลาไว้นะครับ"
                    "ใกล้เที่ยงละ แมคอยากทานไรละครับ"
                    "อะไรก็ได้ครับ ผมทานได้หมด"
                    "พี่ก็ไม่มีไอเดียเหมือนกันปกติก็ไม่ค่อยได้มาเดินห้างเท่าไหร่ งั้นไปทานร้านนี้ไหม" พี่มาร์ทส่งโปรชัวร์ในมือที่ได้รับมาส่งให้ ผมเองก็ได้มาเหมือนกันตอนลงเดินผ่านมา พิจารณาราคาและความคุ้มค่าแล้วจึงพยักหน้าตอบไป กินปุบเฟต์สุกี้ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะผมกินจุและยังไม่เคยกินร้านนี้เลย
                    "เอ่อ...ไปกันเลยไหมครับ"
                    "อืม ร้านอยู่ตรงไหนละ"
                    "มันเขียนว่าชั้นนี้ครับ แต่ตรงไหนคงต้องเดินหาก่อนครับ" ทางซ้ายหรือขวาดีหว่า มั่วทางไหนดีหนอ
                    "หิวยัง? ปกติเห็นทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน 11 โมงครึ่งนี่พี่จำได้"
                    "พี่มาร์ทความจำดีจังเลยครับ" ผมยิ้มกว้าง "ผมจำได้ว่าเคยบอกด้วย แต่จำวันไม่ได้ละ ผมบอกพี่มาร์ทตอนไหนอะครับ"
                    "พี่ว่าเราเดินไปคุยไปดีไหม ทานช้าเดี่ยวแมคจะปวดท้องเอา"
                    "ครับ จำได้ด้วยว่าผมเป็นโรคกระเพาะ พี่มารทจำทุกคำที่ผมเล่าได้เลยปะนี่ ฮ่าๆ เก่งเวอร์"
                    "ถ้าสนใจใครเป็นพิเศษ จะจำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนนั้นได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ จริงไหมครับ"
                    "ไม่รู้สิครับ อ๊ะ...โน่นไง ผมเห็นร้านแล้ว รีบเดินเถอะครับ ช้าเดี่ยวคนเยอะ"
                    "อืม"
                    "พี่มาร์ทเดินช้าอะ ขออนุญาตครับ" ผมยกมือไหว้คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายพาลากเดินไป แต่เหมือนลากแขนแล้วไม่ไป "อุ๊ย ขอโทษครับพี่ ผมลืมตัว" ผมบอกพลางเอามือปัดแขนเสื้ออีกฝ่ายทำความสะอาดให้ด้วยความเกรงใจ จนอีกฝ่ายถึงกับขำ
                    "ไม่เป็นไรๆ แค่ตกใจเล็กน้อย ไปกันเถอะครับ มีคนแซงหน้าเราแล้วนั่น หึๆ"
                    "จริงดิ ยอมไม่ได้ ผมไปจองที่ก่อนนะครับ พี่มาร์ทตามมานะ"


          หลังจากทานใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่ากับการกินชั่วโมงครึ่งจบลง ผมก็แบกพุงอันกลมเล็กน้อยแต่ยังไม่ล้ำหน้าเดินอาดๆก้าวออกจากร้านสุกี้ไปตามทางเรื่อยๆ มีแวะร้านหนังสือบ้าง ร้านเสื้อผ้าบ้าง ร้านอุปกรณ์กีฬาบ้าง จนพุงเริ่มยุบ ผมจึงออกปากชวนพี่มาร์ทที่เอาแต่เดินเรื่อยๆขนาบข้างผมพูดจาน้อยคำเข้าร้านไอศครีมสเว่นเซน

                    “เอาอันนี้ 1 ที่ครับ เอาไอศครีมช็อกโกแลตบราวนี่ 3 มะนาวเชอร์เบต 3 ครับ”
                    “ไอศครีม 6 ลูก ไม่น้อยเลยนะนั่น ตัวแค่นี้ทานเก่งไม่เบา?” พี่มาร์ทยิ้มขำน้อยๆ
                    “ร่างกายผมย่อยเร็วนะครับ อีกอย่างผมชอบไอศครีมม๊ากมาก พี่มาร์ทเอาอะไรไหม” เห็นอีกฝ่ายพลิกหน้ารายการอาหารแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ผมก็เลยพูดขึ้นว่า “งั้นเอาเท่านี้ละครับ”
                    “ไอศครีมพร้อมเสิร์ฟใน 5 นาทีนะค่ะ ขออนุญาตเก็บเมนูค่ะ”
                    “ครับ” ผมพยักหน้าน้อยๆส่งเมนูคืนให้ รอจนพนักงานสาวเดินห่างออกไปจึงพูดขึ้นว่า “พี่มาร์ทจะไปเดินเล่นตรงไหนเป็นพิเศษไหมครับ ผมเดินเป็นเพื่อนได้นะ”
                    “ตามใจแมคเถอะ พี่ไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษหรอก”
                    “จริงๆพี่มาร์ทบ่นบ้างก็ได้นะครับ ถ้าผมทำพี่เบื่อนะ” ผมบอกออกไป เพราะตลอดทางที่เดินออกจากร้านสุกี้ พี่มาร์ทก็เดินตามผมต้อยๆชวนไปไหน ทำอะไรก็ไป ไม่มีบ่นสักคำ เรียกว่าตามใจผมตลอด
                    “ถ้าพี่ไม่พอใจอะไร พี่จะบอกละกัน”
                    “อืมครับ”
                    “ทานเสร็จแล้ว จะทำอะไรต่อไหม”
                    “ไม่มีเพลนแล้วครับ เดี่ยวสัก 5 โมงเย็นผมจะกลับเลย เย็นมากๆรถตู้แน่น รถติดอะ” ผมว่าจะกลับรถตู้โดยสารสาธารณะแทนนั่งรถประจำทาง เพราะน่าจะถึงเร็วกว่าและก็ไม่ต้องต่อหลายสายด้วยอะครับ
                    “จะกลับก็บอกพี่ละกัน เดี่ยวเดินไปส่ง”
                    “ครับๆ ว้าว ไอติมมาพอดี เอาสักหน่อยไหมครับ เขาให้ช้อนมาสองคันด้วย”
                    “ก็ดี พี่ไม่กินมานานแล้วเหมือนกัน” พี่มาร์ทรับช้อนไปจากมือของผมตักชิมเพียงสองคำก็วางช้อนลง หยิบน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นมาดื่มหมดแก้ว
                    “ชิมมะนาวไหมครับ ออกรสเปรี้ยวหน่อย จะได้ไม่เลี่ยน”
                    “แมคทานเถอะครับ พี่ไม่ชอบของหวานเท่าไหร่”
                    “งั้นผมทานละนะ” ใช้เวลาไม่นานไอศครีมทั้ง 6 ลูกลบสองช้อนชาก็หายวับลงไปในท้องของผมไม่เหลือแม้แต่น้ำก้นถ้วย
                    “น้ำเปล่าไหม พี่เรียกให้”
                    “เอาครับ แต่ครึ่งแก้วพอนะครับ ผมกลัวกินไม่หมด อิ่มมากมาย” ผมบอกหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเลือกหาธนบัตรที่สภาพเน่าสุดออกมาจ่ายใช้ก่อน เพราะว่าผมไม่ค่อยได้ใช้เงินซื้อของเท่าไหร่เก็บธนบัตรเก่าไว้นานๆเกิดฉีกขาดเปื่อยไปเสียราคาแย่ “ขอบคุณครับ” มีน้ำกลัวคอดีขึ้นมาหน่อย
                    “จะไปกินร้านไหนอีกไหม” พี่มาร์ทพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
                    “โอย ไม่ไหวแล้วครับ พุงจะแตกแล้ว” ถึงกับร้องโอดโอย “กลับกันเถอะครับ จะเย็นละ” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบสลิปเมนูเดินไปยังแคชเชียร์
                    “พี่เลี้ยงเอง” พี่มาร์ทพูดขึ้นรั้งมือของผมที่กำลังยื่นเงินไปให้พนักงานสาว ก่อนวางแบงค์ห้าร้อยลงแทนที่
                    “แต่พี่มาร์ทไม่ได้กินไอติมสักลูกเลยนะ”
                    “เมื่อกี้แมคก็แชร์ค่าสุกี้คนละครึ่งกับพี่แล้วไงครับ ออกแค่นั้นก็พอแล้วละ” แม้จะถูกขัดใจบ้าง แต่ผมก็ยอมเก็บเงินเข้ากระเป๋าด้วยความเต็มใจ เอ๊ะ...ยังไง? แหมมีคนใจดีเลี้ยงทั้งที คนงบน้อยอย่างผมจะปฏิเสธไปทำไมละครับ
                    “ขอบคุณครับ” สโลแกนอิ่มจังตังค์หายแค่สองร้อยนี่มันดีจริงๆ
                    “จะไปไหนต่อไหม?”
                    “ไม่ไปละครับ จะเย็นละผมกลับดีกว่า อ้อ...พี่มาร์ทไม่ต้องไปส่งหรอกครับ เดียวผมเดินไปท่ารถเอง”
                    “จะดีเหรอ?”
                    “ดีสิครับ พี่มาร์ทขับรถมาใช่ไหมละ” ผมบอก “ลานจอดรถกับวินรถตู้ คนละทิศเลย ไม่ต้องไปหรอกครับ เดินไปเดินมาเสียเวลาแย่”
                    “เอางั้นเหรอ?”
                    “อืม งั้นผมกลับก่อนนะครับ เดี่ยวไม่ทันวิน 5 โมง”
                    “ก็ได้ครับ กลับดีๆนะแมค ถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วย”
                    “รับทราบ” ยกมือตะเบะรับคำเสร็จสรรพ ผมก็รีบเดินไปยังทางประตูข้างของห้างสรรพสินค้าเพื่อเดินลัดเลาะไปยังท่ารถตู้ที่จอดคอยอยู่ โอย...สงสัยเดินเร็วไปเลยจุก ไอติมจะทะลักออกทางปากไหมนี่?


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2016 21:43:00 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (2/3)] 01-04-2016
«ตอบ #4 เมื่อ01-04-2016 18:45:07 »


Until You


ตอนที่ 2 (2/3)

          วันนี้ผมพาฝรั่งลูกครึ่งมาไหว้พระที่พระอารามหลวงติดแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง เนื่องด้วยพี่มาร์ทอยากจะพักผ่อน จึงเสนอให้ผมจัดโปรแกรมพาทัวร์หนึ่งวัน แต่ผมค่อนข้างเบื่อที่จะไปทำกิจกรรมประเภทเดินเล่น ดูหนังฟังเพลง ช็อปปิ้งหรือไปเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุก ดังนั้นสิ่งที่คิดออกสำหรับการไปเที่ยวสถานที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา ก็คงจะเป็นชวนพี่มาร์ทตะลอนทัวร์เที่ยวรอบกรุง ซึ่งแน่นอนว่าโปรแกรมแรกช่วงเช้าต้องเริ่มด้วยการไปนมัสการหรือไหว้พระ สร้างเสริมบุญกุศลขอพรพระรับอรุณ เพื่อความเป็นสิริมงคลกันเสียก่อน

                    “พี่มาร์ทต้องจุดธูปสามดอกกับเทียนหนึ่งเล่ม พอจุดเทียนแล้วก็เอาเทียนปัก ถือธูปกลับมานั่งสวดมนต์ พอเสร็จก็เอาธูปในมือนี่ไปปักในกระถางตรงโน้นนะครับ”
                    “สวดมนต์?”
                    “เอาเป็นว่าจุดธูปเทียนให้เสร็จก่อน พอถึงตอนสวดมนต์ พี่มารท์ค่อยว่าตามผมนะครับหรือจะอ่านตรงแผ่นหินที่เขียนนั่นก็ได้ครับ”
                    “โอเค”
                    “เสร็จแล้วก็กราบพระสามครั้ง วิธีการกราบพระ ก่อนอื่นก็ต้องนั่งท่าเทพบุตรครับ ปลายเท้าตั้งนั่งทับส้น เอาปลายนิ้วจรดหน้าผาก...ก้มลงกราบแบมือด้วย เอาหน้าผากชนหลังมือครับ ทำแบบนี้สามครั้งเป็นอันเสร็จพิธี สาธุ”
                    “สาธุ...โอเค เสร็จแล้วทำอะไรต่อ แค่กๆ”
                    “สำลักควันธูปอะสิ” ผมยิ้มขำเปิดกระเป๋าสะพายข้างหยิบขวดน้ำเปล่าส่งให้ดื่ม เห็นอีกฝ่ายทำหน้าตกใจตอนมองนิ้วมือเป็นสีแดงแล้วอดกลั้นขำไม่ได้ “ไม่เป็นไร เดี่ยวล้างมือสักพักสีก็จางแล้ว พี่มาร์ทไปเติมน้ำมันเทียนต่ออายุไหมครับ เคยทำยัง?”
                    “ก็ได้นะ แป็บนะแมค สายเข้านะ”
                    “งั้นผมเดินไปซื้อน้ำมันให้ก่อนละกัน พี่มาร์ทเกิดวันไหนครับ”
                    “วันเสาร์...Hi Smith, it’s great to hear you again. I…” ผมเดินเลี่ยงออกมา เพราะไม่ใช่ธุระอะไรของผมที่จะรับรู้เรื่องส่วนตัวของพี่มาร์ท แต่ถึงยังงั้น ผมก็ยังลอบมองอยู่ห่างๆ ขณะที่มือก็หยอดเงินทำบุญลงในตู้ไม้พร้อมหยิบน้ำมันมาสองขวดเดินกลับมายังที่เดิม “เสร็จแล้วมีไปไหนต่อไหม” พี่มาร์ทเอ่อยถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นเรียบตึงผิดกับเมื่อครู่
                    “เอ๋?...เอ่อ...ก็มีนั่งเรือข้ามฟากไปวัดอีกวัดนึง ทานข้าวกลางวันแถวนั้น เสร็จแล้วก็เดินตลาดนัด นั่งรถเมล์เอาพี่มาร์ทไปส่งที่ไหนสักที่มั้งครับแล้วก็กลับบ้าน นอกนั้นยังคิดไม่ออกครับ”
                    “คือพี่มีธุระด่วนต้องไปทำนะครับ เอาเป็นว่าพี่ขอยกยอดไปเที่ยววันหลังละกันนะ”
                    “อืมครับ แล้วพี่มาร์ทจะกลับยังไงอะ” ผมเอ่ยถามพลางดึงแขนอีกฝ่ายให้ตามมา ไหนๆก็ซื้อน้ำมันมาละ ต้องใช้สักหน่อย
                    “เดี่ยวพี่ให้คนที่บ้านมารับครับ” คนที่บ้าน? คำนี้ทำผมนิ่งไปเลยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรถามอย่าไปสนใจรู้เลย
                    “ขออนุญาตถามได้ไหมครับ คือว่าพี่มาร์ทจะไปแถวไหนอะครับ ผมจะได้ช่วยบอกเส้นทางที่ใกล้ๆให้หรือไม่ก็นั่งรถเมล์ไปกันสักครึ่งทางก่อนก็น่าจะดี เพราะแถวนี้รถติดมาก กว่ารถบ้านพี่จะมาถึงนี่ คงใช้เวลาตั้งนาน”
                    “พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ?” พี่มาร์ทว่าเปลี่ยนประเด็นกระทันหัน ทำเอาผมขมวดคิ้วน้อยๆ “อยู่กับพี่อึดอัดมากไหมครับ?”
                    “เอ๋? ก็เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอ?”
                    “พี่ทำเราไม่สบายใจไหมเรื่องอะไรบ้างไหม?”
                    “ไม่นี่ครับ พี่มาร์ทกันเองกว่าที่ผมคิดตั้งเยอะ” ใช่ครับ ใครจะคิดว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่โตจะคุยกับผมแบบไม่ถือตัวเช่นนี้
                    “แล้วทำไมต้องขออนุญาติพี่ทุกครั้งด้วยละครับ หืม?”
                    “ก็พี่มาร์ทอายุมากกว่าผม ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ อีกอย่างพี่ก็ทำงานแล้วด้วยอะ ผมก็ให้เกียรติพี่สิครับ”
                    “ให้เกียรติ? พี่กลัวว่าคำนี้ จะทำให้เราห่างเหินกันมากกว่านะ” พี่มาร์ทพูดยิ้มๆ ยื่นมือมายีหัวผม“ไม่ต้องคิดมาก อยู่กับพี่ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง มีอะไรก็บอกพี่มาตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจอะไรมากมาย เอาเหมือนตอนคุยมือถือกับพี่สิครับ แมคทำตัวห่างเหินตอนเจอกันแบบนี้ มันทำให้เราดูไม่สนิทกันซะเลย พี่อยากสนิทกับเรามากกว่านี้นะ เลยชวนมาเที่ยว”
                    “อ่าครับ จะดีเหรอครับ?”
                    “แล้วอะไรไม่ดีละ” พี่มาร์ทยิ้มรับ “ต่อไปไม่ต้องขออนุญาติพี่ไปซะทุกเรื่องก็ได้นะ อยากทำอะไร อยากจะพูดอะไร ก็บอกมาตรงๆเลย พี่ให้สิทธิ์แมคทุกอย่าง”
                    “อ่าครับ จะพยายามนะครับ งัมๆ”
                    “งัมๆ? คืออะไร?”
                    “เอ่อ...คำอุทานครับ อย่าใส่ใจเลย ตกลงพี่มาร์ทจะไปไหนอะ”
                    “ไปแถวๆพระราม 3 นะ แมครู้จักไหม”
                    “พระราม 3? วัดอยู่ฝั่งธนคนละทางเลย เจริญเถอะ ไปครับ ไปตะลุยรถเมล์กัน” พี่มาร์ทหน้าเหวอ เมื่อผมกระตุกชายเสื้อให้คนตัวโตกว่า วิ่งตามไปทางออกด้านหน้าวัด
                    “รอพี่ด้วย”
                    “เฮ้ย! รถเมล์มาพอดี เร็วเข้าพี่มาร์ท จอดด้วยครับ จอดด้วย”
                    “หืม?” จะยืนอึ้งทำไมละนั่น รถเมล์ไทยไม่เคยรอใครนะครับ ชักช้ารอคันหลังอีกเป็นชาติ
                    “ทางนี้ครับทางนี้ วิ่งเร็ว เดี่ยวไม่ทัน” หอบเล็กน้อยแต่ก็ขึ้นทันพอดี โชคดีที่มีเบาะว่าง ผมจึงชวนพี่มาร์ทเดินไปนั่ง พักยังไม่ทันหายเหนื่อย พนักงานเก็บเงินก็เดินมายืนคอย พี่มาร์ทรีบเปิดกระเป๋าเงินส่งธนบัตรให้ไป แต่ผมปัดมือที่กำลังจ่ายเงินให้พ้นทางและส่งแบงค์สีฟ้าให้กระเป๋ารถเมล์แทน พร้อมรอรับเงินทอน
                    “พี่จ่ายให้ไงครับ ตกลงกันแล้วนี่?” พี่มาร์ททักท้วงขึ้น เมื่อพนักงานเสื้อน้ำเงินเดินจากไป
                    “ไว้โอกาสหน้าละกันครับพี่มาร์ท ผมยังไม่อยากโดนตื๊บ” ตอบไปพลางส่งยิ้มแหย่ๆ ให้พี่มาร์ททีนึง แต่พี่มาร์ทกลับขมวดคิ้วมองหน้าผม
                    “ตื๊บ คืออะไร?” จะบ้าตาย!! จ่ายค่ารถเมล์ร่วมสาธารณะด้วยแบงค์พัน พี่ไปตายคนเดียวเถอะครับ ผมยังไม่อยากอายุสั้นตอนนี้นะเออ “ตกลงแปลว่าอะไร?”
                    “ก็คงถูกรุมกระทืบนะครับ เอิ่ม...ไม่เข้าใจใช่ไหมละ งั้นแปลง่ายๆก็คือ มีเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนเตะหรือกระแทกเข้าใส่ร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บบอบช้ำไปทั้งตัว แบบนี้พอเข้าใจไหมครับ”
                    “อืม เข้าใจครับ แต่แค่จ่ายเงินกับทอนเงิน ถึงขั้นต้องโมโหขนาดต้องตื๊บเลยเหรอ? พี่ไม่ได้เบี้ยวค่าโดยสารนะครับ ถ้าเป็นกรณีโกงเงินหรือไม่ชำระหนี้ก็ว่าไปอย่าง” พูดมาอย่างนี้ผมไปต่อไม่ถูกเลยครับ เงียบปากดีกว่า “แมค?”
                    “เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของคนอารมณ์ร้อนในสังคมแรงงานละกันครับ”
                    “โอเคๆ” พี่มาร์ทว่าสั้นๆไม่คิดจะถามอะไรผมอีก “รถเมล์คันนี้จะไปถึงพระราม 3 เลยไหม?”
                    “ไม่ถึงหรอกครับ เอางี้ดีกว่า พี่มาร์ทโทรถามคนที่จะมารับละกันครับว่า มาถึงถนนรัชดาภิเษกแถวๆเดอะมอลล์ท่าพระกี่โมง ผมเข้าใจว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดต่อรถที่เหมาะสุดละ”
                    “อืม” พี่มาร์ทพยักหน้ารับคำของผม ก่อนจะกดสายโทรออก

          ผมมองหน้าคนข้างกายพลางสลับกับมองวิวนอกหน้าต่างไปพลางแล้วก็รู้สึกน่าเสียดายขึ้นมาตะหงิดๆ ได้มาทำบุญด้วยกันทั้งทีทีดันมีอุปสรรคมาขวางซะได้ ทำเอาทริปที่ผมวางไว้ทั้งวันเป็นอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย แอบเซ็งเหมือนกันแต่ทำไงได้ในเมื่อพี่มาร์ทมีงานเข้ากระทันหัน เป็นคนวัยทำงานนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ ขนาดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ทั้งทียังจะมีงานเข้ามาแทรกอีก แต่เอาเถอะครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียวสักหน่อย ไว้โอกาสหน้าก็ยังไม่สาย
   
                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (3/3)] 02-04-2016
«ตอบ #5 เมื่อ02-04-2016 23:23:42 »


Until You


ตอนที่ 2 (3/3)


          ชีวิตผมเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความกังวลของครอบครัวอีกครั้ง เมื่อย่างเข้าสู่วัยเรียนชั้นปีที่สุดท้ายของมัธยมปลาย แน่นอนว่าโรงเรียนจัดการเรียนการสอนเน้นเนื้อหาหนักไปที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยและยังมีการจ้างอาจารย์สอนพิเศษชื่อดังมาติวให้อย่างเข้มข้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกสอบเอนทรานส์ติดร้อยเปอร์เซ็นต์ตามเป้าหมาย ฟังเหมือนเป็นนโยบายดีเด่นที่ออกมาสนับสนุนการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาอย่างเต็มที่ แต่ความเป็นจริงก็เพื่อสร้างชื่อให้ติดอันดับท็อปสิบของผลการจัดอันดับสถานศึกษายอดเยี่ยมในกรุงเทพก็เท่านั้นเอง แต่เอาเถอะครับ นโยบายว่าอย่างไรผมก็ว่าตามนั้น ดีซะอีกได้แนวข้อสอบแบบไม่ต้องไปเสียเงินค่าสมัครเรียนกวดวิชาตามที่ต่างๆให้เปลืองค่าใช้จ่ายภายในบ้าน แต่แม้จะมีการติวเพิ่มให้ ก็ใช่ว่าจะได้รับความรู้ครบถ้วน ยังมีบางประเด็นที่แม้ผมอ่านเอง ทำข้อสอบเอง ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงมีแนวทางค้นหาติวเตอร์ส่วนตัวมาไขความกระจ่างในจุดนี้ หันซ้ายหันขวามองหาคนใจดีไม่นานก็เจอแล้วครับ พูดแล้วจะหาว่าคุย ติวเตอร์ส่วนตัวของผมนี่มีดีกรีจบปริญญามาด้วยนะครับ สอนได้หมดแทบทุกวิชาจนผมแอบยังแปลกใจว่าเป็นยอดมนุษย์แปลงกายมาหรือเปล่า แค่อ่านหนังสือของผมไม่กี่แผ่นก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองละ เก่งจนผมยังแอบอิจฉาในใจ
                    “วันนี้เอาวิชาไรดีครับ”
                    “ตามแต่คนสอนเลยครับ ผมยังไงก็ได้” ผมตอบรับคว้ากระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมากระดก สอดสายตาหาของกินอย่างอื่นบนโต๊ะต่อ
                    “แล้วจะเอาคะแนนยังไงก็ได้ไหม แมค” แซวแค่นี้ทำหน้าจริงใจใส่เลย
                    “อ่า... พี่มาร์ทดุจัง เอาอังกฤษก็ได้ครับ ผมยังไม่แม่นเท่าไหร่” นี่ละครับครูส่วนตัวผม รับสอนฟรีทุกวิชาเฉพาะวันเสาร์ตั้งแต่บ่ายโมงยันห้าโมงเย็น
                    “พี่ขอดูเนื้อหาหน่อย จะตั้งคำถามให้”
                    “ได้ครับ” ผมยิ้มแป้นเปิดกระเป๋าเป้หยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ อังกฤษ สังคม เศรษฐศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ขึ้นมาตั้งกองบนโต๊ะ
                    “เยอะขนาดนี้ พี่เก็บเงินเรากี่บาทถึงจะคุ้ม หึๆ”
                    “คำนวณหลายอย่างเกิน ผมว่าปัดๆฟรีไปละกันครับเนอะ” เรื่องมั่วได้ของฟรีขอให้บอก
                    “งั้นพี่ก็ขาดทุนสิครับ แต่... พี่ไม่เคยขาดทุนสักเรื่องเลยนะ ทำอะไรก็คิดถึงผลกำไรตลอด แมคจะไม่ตอบแทนอะไรพี่สักหน่อยเหรอครับ”
                    “อ่า...งั้นพี่มาร์ทจะเอาอะไรละครับ ผมบ่จี้ เงินน้อยอะ”
                    “นั่นสิ พี่จะขออะไรจากเราดีถึงจะคุ้มค่าแรงครั้งนี้” ผมตาฝาดปะวะ เห็นรอยยิ้มกริ่มกรุ่มนั่นบนใบหน้าของพี่มาร์ท ไม่น่านะ พี่มาร์ทออกจะเป็นคนดี ไม่น่าจะมีรอยยิ้มเช่นนั้นได้
                    “ไม่รู้อะ พี่มาร์ทคิดมาละกันครับ อะไรที่ผมทำได้ผมก็จะทำให้ อย่าโก่งค่าตัวเป็นพอ”
                    “ค่าตัวพี่ แมคจ่ายไม่ไหวหรอกครับ เชื่อเถอะ มาๆเรียนกัน” อะไรของเขา พูดแปลกๆหลายเรื่องละ สมองตามไม่ทันเลย ไม่รู้พี่มาร์ทพลิกหน้ากระดาษอ่านเข้าไปได้ไงนานๆ ผมนี่แค่เห็นตัวหนังสือหน้าปกก็เริ่มออกอาการหาวละ
                    “พี่มาร์ทว่างทุกวันเสาร์เลยไหมครับ”
                    “ช่วงนี้ก็ว่างนะ พอเคลียร์งานได้อยู่ แต่อีกสามเดือนพี่ต้องไปต่างประเทศ บอกแมคไว้ก็ดีเหมือนกัน ช่วงแมคสอบ พี่คงไม่ได้อยู่คุยเป็นเพื่อนเรานะ คราวนี้พี่ไปนานเลยอาจจะสักครึ่งปี”
                    “อืมครับ ไม่เป็นไร ยังไงผมก็คงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับพี่มาร์ทนานๆเหมือนกัน” ถึงตอนนั้นคงเป็นเวลาเทอมสองของมัธยมศึกษาปีที่หกพอดี ผมคงยุ่งกับการสอบน่าดู
                    “แต่ช่วงที่พี่ไม่อยู่ แมคมีคำถามอะไร ส่งเมล์หาพี่ได้ตลอดเวลานะครับ”
                    “รับทราบ” ผมยิ้มแป้นตอบรับ พลางหยิบขนมปังฟาร์มเฮ้าส์มาแกะกิน
                    “เมื่อเช้าทานข้าวมาแล้วนี่ ยังจะกินอีกเหรอ?”
                    “สิบโมงเวลาของว่างนะครับ กินเยอะๆจะได้โตไวๆไง”
                    “กินเยอะๆ ไม่กลัวอ้วนเหรอ?” ส่ายหน้าเป็นคำตอบเสร็จก็หยิบนมมาเจาะกินต่ออีกกล่อง “มัวแต่กินอยู่นั่นละ พร้อมเรียนยังครับ น้องแมค”
                    “โอเค พุงพร้อม ใจพร้อม แมคทำได้” เล่นมุขแค่นี้หัวเราะใส่ผมอีกละ “ขำอะไรผมอีกละ”
                    “งั้นเริ่มด้วยภาษาอังกฤษก่อนละกัน” สิ้นคำหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ก็มากองอยู่ตรงหน้าเล่นเอาผมรู้สึกเหมือนโดนสตั๊นหน้าเต็มๆ “พี่ซื้อมาอ่านฆ่าเวลาเมื่อเช้า เพิ่งอ่านจบก่อนแมคมานี่ละ เอาคอลัมภ์นี้ละกันครับ พี่ให้เวลาอ่าน 1 นาทีแล้วเดี่ยวพี่จะตั้งคำถามให้แมคตอบ”
                    “ห๊ะ! เอาจริงดิ” 
                    “ไม่ยากหรอกน่า ไม่ต้องกลัว” พูดมาได้แค่ศัพท์คำแรก ผมก็แปลไม่ออกละ อยากร้องไห้ชะมัด
                    “ไม่ยากน้อยแต่ยากมาอะดิ” ผมเบะปากทำเอาคนตรงหน้ากระตุกยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยชอบกล “อะไรเล่า ก็ศํพท์มันยากจริงนี่”
                    “ยากก็เปิดดิกสิครับ อันไหนไม่รู้ก็จดไว้แล้วก็ท่อง เดี่ยวก็จำได้เองแหละ” พี่มาร์ทดันพจนานุกรมเล่มหนามาให้ตรงหน้าทำเอาค้างไปหลายวิ “ท่องวันละ 10 20 คำ จำขึ้นใจ ไม่นานแมคก็จะเก่งขึ้นเองละ เชื่อพี่”
                    “ครับ ผมจะพยายามละกัน”
                    “ดีมาก” พี่มาร์ทว่ายิ้มๆเอื้อมมือมายีหัวผมตามสไตล์

          จะว่าไปมันก็จริงนะครับ เขาว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น ถ้าผมพยายามสู้ทำเต็มที่แล้ว เกิดพลาดหรือไม่ได้ขึ้นมา ผมคงไม่เสียใจเท่ากับตอนที่ท้อแท้ก่อนจะได้ลงมือสู้สุดกำลัง เอาวะ...แค่สอบเข้ามันจะไปยากอะไร สอบหมื่นคนเอาร้อยคน ผมก็ต้องเป็นหนึ่งในร้อยนั้นให้ได้ แต่ก่อนอื่น ขอดูดเป็นซี่สักอึกก่อนละกัน พูดมากแล้วคอแห้ง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 2 (3/3)] 02-04-2016
«ตอบ #6 เมื่อ03-04-2016 09:47:50 »

เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน ต้องห่างกันแล้วเหรอครับ

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
«ตอบ #7 เมื่อ03-04-2016 20:04:16 »


Until You


ตอนที่ 3


          และแล้วผมก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง ได้สมความปรารถนาของตัวเองและครอบครัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ทว่า...ตอนสอบเข้าว่ายากละ ตอนเรียนนี่ยากกว่า เพราะผมสอบตรงเข้าเรียนในคณะทางด้านสายคอมพิวเตอร์ก็จริง แต่กลับไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อย ขนาด Microsoft Office ยังเพิ่งมารู้จักตอนเรียนมัธยมปลาย แล้วนี่มาเจออาจารย์สอนเขียนภาษา C++ เป็นอาจารย์ชาวอินเดียอีก คิดว่าผมจะไปรอดสักกี่คาบกัน นี่กว่าจะเรียนจบผมคงหัวหงอกทั้งหัวพอดี

                    "We've a quiz tomorrow. That's all for today. Good luck, guys" เสียงอาจารย์บอกเลิกคลาส ทำให้ผมรีบเก็บของลงกระเป๋า บอกลาเพื่อนฝูงและตรงดิ่งไปยังหน้ามหาวิทยาลัย เพื่อขึ้นรถเมล์ไปธุระในเมืองทันที   


          สืบเนื่องจากสมัยเรียนมัธยมปลาย ผมได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่โรงเรียนค่อนข้างเยอะ ทั้งด้านดนตรี กีฬา และวิชาการ ทำให้พอมีชื่อเสียงรู้จักในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนผู้ให้การสนับสนุนของรางวัลต่างๆในการแข่งขันอยู่พอสมควร จึงมักได้รับเชิญไปฟังสัมมนาในสถานที่ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง อย่างในวันนี้ผมก็ได้รับเชิญไปงานสัมมนาวิชาการเกี่ยวกับโครงการต่อต้านยาเสพติดที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวย่านรัชดาภิเษก งานเริ่มช่วงบ่ายโมงแต่กว่าผมจะไปถึงก็ปาเข้าไปบ่ายสองกว่าๆจดบรรยายอยู่สองชั่วโมงพร้อมทานของว่างกล่าวจบปิดงานก็ห้าโมงเย็นพอดี ถนนคงกำลังรถติดได้ที่แน่ๆ
 
          Trmmm….

                    “หวัดดีครับพี่มาร์ท”
                    (ครับ สวัสดี แมคอยู่ที่มหาลัยใช่ไหมวันนี้)
                    “เปล่าครับ วันนี้ผมมาฟังบรรยายอยู่ที่โรงแรมดิเอ็ม ตรงถนนรัชดาครับ” ผมกล่าวตอบรับไปพลางเก็บเอกสารที่ได้รับแจกมาเข้าแฟ้มยัดใส่ลงในกระเป๋าไปพลาง ได้ดินสอไม้มีตราโรงแรมตั้งสองแท่ง
                    (ดีเลยครับ รีบกลับไหม พี่ซื้อของมาฝากนะ แวะมาหาพี่ที่คอนโดได้ไหมครับอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่แมคไปพอดีเลย คอนโดสีขาวตึกสูงๆ เดินถัดจากโรงแรมมาทางทิศเหนือสัก 4-5 ตึกก็ถึงแล้วนะครับ)
                    “ครับๆ เดี่ยวผมแวะเข้าไปครับ”

          หลังจากรับขนมกับน้ำดื่มจากร้านที่มาออกบูทร่วมกับคณะผู้จัดงานและแวะทักทายพวกรุ่นพี่ที่รู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงจากบันไดชั้นสองของโรงแรมผ่านเคาน์เตอร์ต้อนรับออกไปยังด้านนอกมุ่งเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนตัวของรถบนท้องถนน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารหลังดังกล่าว จ้องมอง รปภ.ที่กำลังยืนโบกรถเข้าออกสลับกับชะเง้อคอมองไปด้านในพร้อมกับกดมือถือโทรออกไปด้วย เพราะไม่กล้าเดินเข้าไป พี่มาร์ทเองก็ดันตัดสายโทรเข้าของผมทิ้งซะอย่างนั้น บ่นอยู่สองสามประโยคก็เห็นพี่มาร์ทกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้าอาคาร ผมส่ายหน้าปฏิเสธไม่กล้าเดินเข้าไปในทันทีด้วยยังลังเลไม่แน่ใจว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยจะขอตรวจบัตรอะไรหรือเปล่า รออยู่สักพักก็ไม่เห็นเขาจะหันมาสนใจ ผมจึงเดินเนียนๆเข้าไปด้านในราวกับเป็นผู้พักอาศัย

          พี่มาร์ทยิ้มรับทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไปใกล้ ผมยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วจึงตามเข้าไปในลิฟท์อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นคนยืนข้างอยู่ในชุดวันสบายไม่ใช่ชุดทำงานทั้งที่เป็นวันพุธกลางสัปดาห์ แต่ผมก็ยังไม่คิดถามออกไปแต่อย่างใด มองเลขชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งลิฟท์หยุดลง เขาเดินนำผมไปยังห้องพักพร้อมกับไขกุญแจและเสียบคีย์การ์ดลงในช่องประตู ภายในห้องพักที่เห็นตรงหน้านั้น มีขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่ก็ถือว่ากำลังพอดีสำหรับการพักอยู่อาศัยเพียงไม่เกินสองคน เพราะมีเพียงห้องรับแขกที่ผมยืนอยู่ แยกออกไปทางซ้ายเป็นห้องนอน ซึ่งคาดว่าจะมีห้องน้ำอยู่ภายในกับเคาน์เตอร์บาร์ห้องครัวทางด้านขวามือเท่านั้น

                    "นิ่งเชียว เป็นอะไร?" พี่มาร์ทถามยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ดื่ม
                    "เรียบง่ายกว่าที่ผมคิดอะครับ เลยงงหน่อยๆ" ผมตอบรับกวาดตามองไปเรื่อย รู้สึกพอใจกับเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้นและโทนสีขาวสะอาดตาโดยรอบ ทั้งที่ก่อนมาผมคิดว่าห้องพี่มาร์ทจะดูหรูหรากว่านี้เสียอีก
                    "แล้วคิดว่าพี่อยู่คอนโดแบบไหนกันละ"
                    "ก็ไม่รู้อะครับ ผมนึกว่าจะเจอเฟอร์หลุยส์ แล้วก็พวกพรมปูพื้นห้องกับทีวีใหญ่ๆแบบในหนังละมั้ง เอ้า...ขำอะไรอะไรอะครับ ก็แบบพี่มาร์ทขับรถยุโรป ก็ต้องรวยไง ห้องนอนก็ต้องหรูๆไรงี้"
                    "อะนะ หึๆ" พี่มาร์ทยิ้มรับและพูดต่อว่า "พี่ตัวคนเดียว อยู่ห้องแบบนี้สบายใจกว่า ส่วนอันนี้ขนมครับพี่ซื้อฝากจากเยอรมัน ..." หืม? นั่นมัน... หนังสือที่ผมอยากอ่านมานาน ป๋าสตีฟคิงส์ของผมนี่?
                    "พี่มาร์ทๆ ขอยืมนะ นะครับ น้า" ผมบอกยื่นหนังสือนวนิยายชื่อดังที่คว้าจากชั้นติดมือมาส่งให้
                    "อืม อยากอ่านอะไรหยิบไปเลย"
                    "ขอบคุณครับ" ผมยิ้มแก้มปริ นั่งลงกับพื้นรื้อค้นชั้นหนังสือข้างทีวีอย่างชอบใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีหนังสือให้อ่านมากมายหลายเล่มเลยหลายประเภทขนาดนี้
                    "ตกลงเอาของฝากจากพี่มีค่าน้อยว่าสตีเฟ่น คิงส์ไหมใช่ไหมครับแมค แล้วขนมนี่ก็ไม่เอา?"
                    "แหมๆ เอาครับสิครับ ขอบคุณครับ" ผมพยักหน้ายกมือไหว้หันไปคว้าถุงมากอดไว้แนบอกด้วยมือซ้ายและลงมือค้นชั้นหนังสือต่อด้วยมือขวา
                    “หึๆ”
                    “หัวเราะอะไรเล่าพี่มาร์ทก็”
                    “ขำคนงก หึๆ”

          หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ส่งท้ายอีกครั้ง ก่อนจะวางขนมลงข้างกายพลางจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่า พี่มาร์ทจะไม่แกล้งหยิบขนมของผมคืนไป แล้วจึงหยิบหนังสือบนชั้นออกมาพลิกอ่านดูทั้งที่มือก็โอบถุงขนมไว้ด้วย ช่างเป็นวันที่คุ้มค่าอีกวันหนึ่งในชีวิตผมเลยครับ เพราะได้กินทั้งขนมต่างประเทศแล้วยังได้หนังสือนักเขียนในดวงใจกลับบ้านไปนอนกอดอีก คุ้มค่ากับการมาจริงๆ


++++++++++++++


          โดยปกติแล้วงานอบรมสัมมนาที่ผมมักได้รับเชิญจะใช้สถานที่ของโรงแรมย่านเจริญกรุงสลับกับรัชดาภิเษกเป็นส่วนมาก แต่มักจะเป็นย่านรัชดาภิเษกบ่อยกว่าเพราะการเดินทางสัญจรด้วยขนส่งมวลชนของภาครัฐเข้าถึงได้หลายช่องทางจึงสะดวกในแง่ของการเตรียมงานต่างๆ ทำให้ผมได้แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนพี่มาร์ทได้บ่อยขึ้นและทุกครั้งที่ผมไปก็จะมีขนมติดไม้ติดมือไปฝากด้วยเสมอๆ ทว่า...วันนี้กลับเป็นวันพิเศษกว่าทุกวัน ผมไม่มีนัดสัมมนาที่ไหน แต่ก็ยังอยากจะมารัชดาภิเษก เพราะนี่เป็นวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ของพี่มาร์ทพอดิบพอดี หวังว่าของขวัญที่ผมอุตส่าห์โทรสั่งร้านทำให้ชิ้นนี้คนรับจะชอบนะครับ แต่ตอนนี้บ่ายสามโมงเข้าไปละ ผมเพิ่งจะได้นั่งรถไฟใต้ดิน อาจารย์ก็ดันปล่อยช้าแถมยังต้องไปแวะเอาของขวัญที่ร้านหน้ามหาวิทยาลัย รีบจนข้าวกลางวันยังไม่ได้ตกถึงท้อง รู้สึกเหมือนจะเป็นลมให้ได้เลย

                    "พบคุณภิมุขครับ พี่เขาบอกว่าโทรเข้ามาแล้วครับ" ผมเอ่ยเสียงแหบแห้งบอกพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ไปเช่นนั้น ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้า
                    "ชื่อคุณอะไรค่ะ"
                    "กรณ์ ครับ" เธอตรวจสอบรายชื่ออยู่สักพักจึงส่งกระดาษแผ่นเล็กให้ผมพร้อมกับบอกว่า
                    "นี่กุญแจห้องนะคะ ส่วนนี่โน๊ตค่ะ"
                    "ขอบคุณครับ"   


พี่ติดธุระด่วน อาจถึงช้าเล็กน้อย
ถ้าแมครีบกลับฝากของไว้ที่เคาน์เตอร์ได้เลย
                              มาร์ท


          ผ่านไปชั่วโมงนึงก็แล้ว ชั่วโมงครึ่งก็แล้ว ผมว่า ผมเริ่มเข้าใจคำว่า ถึงช้าเล็กน้อย ขึ้นมาบ้างแล้วสิครับ ทำไมห้องใหญ่โตขนาดนี้ถึงไม่มีขนมอะไรให้ผมกินแก้หิวได้บ้างเลย เหลือแค่ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ไส้ถั่วแดงในกระเป๋าแค่ก้อนเดียว กินรองท้องแล้วหลับรอ คงประทังความหิวไปได้ถึงเย็นละนะ งับ...


          แกร๊กๆ เสียงไขประตูทำให้ผมลืมตาเด้งตัวขึ้นนั่งในทันทีเล่นเอาเกือบหน้ามืด พอตั้งสติได้จึงยกนาฬิกาข้อมือดิจิตอลขึ้นกดส่องไฟตรงหน้าจอดูแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะไม่นึกว่าเวลาจะล่วงเลยไปถึงทุ่มกว่าแล้ว ทำเอาสองมือสองขาพันกันให้วุ่นโชคดีที่ไม่ล้มสะดุดขาโต๊ะกระแทกพื้นเสียก่อน

                    "แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู มี เฮ้ย! แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู สุขสันต์วันเกิดครับผม"
                    “ม...แมค?”
                    “เป่าเค้กสักทีสิครับ ผมอายแล้วนะ” สบตามองจ้องผมอยู่ได้ เดี่ยวก็ไม่ให้ซะเลย
                    "เอ่อ....อืมๆ ฟู่ว์" พี่มาร์ทวางกระเป๋าถือลงกับพื้นก้มลงเป่าเทียนจนดับครบทุกเล่ม แล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่มบอกออกมาว่า "ขอบคุณครับ"
                    "ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ" ผมยิ้มออกในทันที เห็นทำหน้านิ่งตอนแรกเลยไปต่อไม่ถูก
                    "รอนานไหม? พี่ขอโทษนะครับ” อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะรับเค้กในมือของผมไปวางไว้บนโต๊ะใกล้ตัว “พี่เองก็ลืมโทรหาเราด้วยสิ คราวหลังถ้าดึกมากฝากโน๊ตทิ้งไว้แล้วกลับไปก่อนก็ได้ กลับค่ำมืดมันอันตราย"
                    "ไม่เป็นไรครับ ผมก็รอเอาเค้กให้พี่นี่แหละ"
                    "รอพี่? รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดพี่"
                    "เอาเป็นว่ารู้ละกัน" ผมยิ้มตอบพลางนึกย้อนถึงวันก่อนๆที่มาเยี่ยมเยียน เห็นกรอบรูปตั้งโชว์ในตู้ระบุวันเวลาพร้อมข้อความยินดีของเพื่อนฝูงทำไมคิดว่าจะลอดสายตาผมไปได้ “ดึกแล้วอะ งั้นผมกลับก่อนนะครับ” รีบเก็บของกลับตอนนี้รถไฟฟ้าใต้ดินคงยังไม่ปิด แต่คนน่าจะเยอะอยู่ ถ้ากลับรถเมล์ก็คงไม่ต่างกันแถมถนนยังแน่นอีกต่างหาก งั้นนั่งรถไฟฟ้าไปลงครึ่งทางแล้วต่อรถเมล์น่าจะเหมาะกว่าละมั้ง แต่เดี่ยวแวะหาก๋วยเตี๊ยวกินข้างทางก่อนกลับดีกว่า หิวจะแย่ละ
                    "จะกลับแล้วเหรอ พี่ยัง..."
                    "มีอะไรปะครับ" ผมถามทั้งที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นสะพาย แต่พี่มาร์ทกลับเงียบไม่พูดอะไรต่อ สายตาคมจับอยู่ที่ใบหน้าผมด้วยอาการครุ่นคิดไม่ละไปไหน สีหน้าดูอิดโรยกว่าวันก่อนๆจนสังเกตได้ชัด ผมจึงขยับสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ถามด้วยความเป็นห่วงว่า "มีเรื่องที่ทำงานปะครับ เล่าให้ผมฟังก็ได้นะ"
                    "ไม่ใช่หรอกครับ" ตอบรับแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง คราวนี้สายตากลับผลุบลงต่ำเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตา พาลเอาผมรู้สึกกังวลตามไปด้วยจนกลัวจะพูดอะไรที่ทำลายบรรยากาศอันตรึงเครียดจนน่าวังเวงนี้เข้า มือข้างที่ว่างจึงยื่นออกไปตบเข้าที่ต้นแขนอีกฝ่ายเชิงให้กำลังใจเบาๆ แต่กลับทำให้ร่างสูงกว่าสะดุ้งพูดโพล่งขึ้นมาว่า "พี่ขอกอดแมคได้ไหม?"
                    "ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ละ เรื่องแค่นี้เอง อุ๊บส์..." แรงโถมกอดจากคนตัวโตกว่าทำเอาร่างของผมเซถอยหลังไปเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวถูกรัดแน่นแต่ไม่ถึงกับอึดอัดจนขยับไม่ได้ แม้ผมจะรู้สึกเฉยๆไม่คิดมากกับการกอดครั้งนี้แต่ครั้นจะไม่เฉลียวใจกับอารมณ์ของอีกฝ่ายก็คงจะดูแปลกเกินไป สองแขนจึงยกขึ้นโอบแผ่นหลังของคนตรงหน้าไว้พลางลูบไปมาให้คลายทุกข์ พอจะเดาออกว่า อาการเช่นนี้คงไม่พ้นมีเรื่องหนักใจสักอย่างแต่ไม่พร้อมจะเล่าแน่ๆ "ถ้าผมทำอะไรให้พี่มาร์ทลำบากใจอะไร ผมขอโทษนะครับ" ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดออกไปเช่นนั้นเหมือนกัน พี่มาร์ทเลยคลายอ้อมกอดออกมองใบหน้าของผมแทน
                    "เอ๋? ทำไมคิดงั้นละ"
                    "คือผมก็รบกวนพี่บ่อยๆ ไหนจะโทรศัพท์ ไหนจะเวลาพี่ทำงาน ไหนจะรบกวนเวลาพี่พักผ่อน... อย่างวันนี้พี่ควรจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ต้องรีบกลับ"
                    "คิดมากน่า พี่โทรเลื่อนนัดหมดแล้ว อยากกลับมาคอนโดนี่แหละ"
                    "ก็นั่นแหละครับ ผมว่าผมกลับบ้านเลยดีกว่าพี่มาร์ทจะได้พักผ่อน วันนี้ไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ ถ้าผมถึงบ้านแล้วจะโทรบอก" บางทีตัวถ่วงที่ว่าอาจจะเป็นผมเอง สงสัยต้องลดความเอาแต่ใจของตัวเองลงหน่อยซะแล้วมั้ง ผมคงล้ำเส้นความสัมพันธ์มากเกินไป พี่มาร์ทเองก็คงคิดแต่คงไม่กล้าพูด เพราะเกรงใจผมอยู่แน่ๆ “งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
                    "เดี๋ยว!!! อย่าเพิ่งไป" มือหนาคว้าเข้าที่ข้อแขนก่อนที่ผมจะเดินไปยังประตู "พี่เลื่อนนัด เพราะกลัวจะกลับมาเจอแมคที่คอนโดไม่ทัน"
                    "ผมเหรอ? งง?" หรือผมทำอะไรผิดจริงๆ เริ่มเครียดจนคิ้วขมวดเป็นปมขึ้นมาละ
                    "ขอพี่พูดอะไรตรงๆได้ไหมครับ"
                    "ซีเรียสไหม ถ้าใช่เอาวันอื่นได้ไหมอ่า" ผมแสร้งหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เพื่อลดความเครียดในจิตใจแต่ดูท่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่
                    "พี่ชอบแมคนะครับ"
                    "ครับ ผมก็ชอบพี่มากๆเหมือนกัน" ผมยิ้มรับตอบกลับไปทั้งที่ในใจก็สงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกัน
                    "ไม่ใช่ชอบอย่างที่แมคคิด พี่ชอบแมคแบบที่แฟนเขาชอบกันนะ"
                    "ห๊ะ! ฟะ...แฟนชอบกัน" ถึงกับอ้าปากค้างพร้อมกระพริบตาปริบติดกันสามครั้งติด หูฟาดครั้งนี้ทำเอาร้อนจากแผ่นอกขึ้นหน้าเลย สงสัยคงต้องถามย้ำอีกครั้งมั้งครับเผื่อคำตอบจะเป็นอย่างอื่น "จริงเหรอ?"
                    "ครับ"
                    "ไม่จริงสินะ เอ๋...พูดว่าครับงั้นก็จริง งั้นก็...อ่า....เออ...เอ่อ...คือ....ร้อนอะ" เริ่มไปต่อไปไม่ถูกซะละ หันซ้ายขวาหาอะไรทำดีวะ
                    “ร้อน?”
                    “ไม่รู้สิครับ มันเพิ่งจะร้อน พี่มาร์ทไม่ร้อนเหรอครับ ไม่มีเหงื่อคงไม่ร้อนสินะ ผมคงร้อนคนเดียวเร่งแอร์หน่อยดีกว่าเนอะ อ๋อ...นั่นไงรีโมทแอร์ เอ่อ...รีโมททีวีนี่หว่า เอ่อ...ทำไงดีวะ?” ทำอะไรไม่ถูกเลยครับตอนนี้ อยากบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาบอกชอบผม แต่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายมาบอกชอบผม แล้วทำให้ผมหายใจติดขัดหน้าร้อนผ่าว มือเท้ากลับชาและเย็นเฉียบ พอเงยหน้าขึ้นมองสายตาที่ก้มลงมาแล้วมันพาลใจสั่นชอบกล สงสัยต้องกลับไปกินยาแก้ไข้ซะละ วูบวาบๆแบบนี้ไม่สบายชัวร์เลย เขาว่าเดี่ยวนี้หวัดเป็นกันง่ายๆแค่ชั่วพริบตา “ขอยาไทลินอลเม็ดสิครับ”
                    “หึๆ น่ารักกว่าที่คิด”
                    “อะไรนะครับ?” แว่วๆว่าน่ารักๆอะไรสักอย่างๆนี่แหละ
                    "เปล่าๆ พี่ไม่มียาแก้ไข้หรอก” พี่มาร์ทพูดขึ้น เอื้อมมือจะมาสัมผัสหน้าผาก แต่ผมกลับเอี้ยวตัวหลบกลัวอะไรก็ไม่รู้ “เซเว่นซอยข้างๆคอนโคน่าจะมี ให้พี่ไปซื้อไหมหรือแมคจะกลับเลย”
                    “อ่าใช่ครับ ขอบคุณที่เตือน งั้นกลับบ้านกัน เฮ้ย...ไม่ใช่ ผมกลับบ้านคนเดียว บ้านพี่มาร์ทอยู่นี่” เอาละชักอยากกุมขมับ สงสัยผมจะเพ้อพิษไข้ซะละ
                    “ดึกแล้ว พี่ไปส่งแมคดีกว่า"
                    “ไม่เอาๆ เดี่ยวพี่มาร์ทติดหวัดผมแย่เลย นอนพักเถอะครับ ทำงานหนักๆมาต้องนอนพักเยอะๆ”
                    “หึๆ ยังคิดว่าเป็นหวัดอยู่อีกเหรอ? พี่แข็งแรงจะตายไม่เป็นหรอกครับ แต่ตามใจเราละกัน พี่เดินไปส่งขึ้นแท็กซี่ละกันครับ ส่วนนี่ค่ารถ พี่ไม่รับคืนครับ เอาไป ถือว่าตอบแทนที่อุตส่าห์รอพี่ตั้งนาน"
                    “อืมครับ พี่มาร์ทอย่าลืมทานเค้กนะ เค้กส้มร้านนี้เปรี้ยวหวานอร่อยมากขอบอก” ผมหันมองเค้กอีกครั้งก่อนจะกระชับกระเป๋าเข้าที่รีบก้าวเดินนำไปก่อน ไม่อยากหันมองใครเลย แต่พี่มาร์ทโผเข้าโอบกอดผมจากทางด้านหลังอีกครั้งก่อนจะพูดว่า
                    “สัญญาครับว่าพี่จะกินไม่ให้เหลือเลย”
                    “อะครับ” ผมยิ้มรับตาหยีฉีกยิ้มกว้างทั้งที่หัวใจเต้นรัว ยามนี้แค่หันไปมองหน้าผมยังไม่กล้านับประสาอะไรกับจะขยับหนี ว่าแต่ว่ากินอะไร? “ห๊ะ...ว่าอะไรนะครับ”
                    “พี่ชอบแมค” ถึงกับชะงักค้าง ประโยคนี้มาไงกันละนี่ “จริงๆนะ” ขอร้องเถอะครับหยุดพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังได้แล้ว ก่อนผมจะทนปั้นหน้านิ่งไปกว่านี้ไม่ไหว
                    “อืม งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ” ผละออกจากอ้อมกอดได้ ผมก็รีบยกมือไหว้ปรกๆท่วมหัววิ่งปราดเดียวไปยังประตูเบื้องหน้า ก่อนจะกระชากออกแล้วปิดกลับอย่างรวดเร็ว

          ให้ตายเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่มาร์ทต้องพูดคำนั้นออกมาด้วย? ทำไมผมไม่กล้ามองหน้า? ทำไมผมไม่ตอบโต้อะไรออกไปสักอย่างเอาแต่สั่นงันงก? ทำไม? ทำไม? ทำไม? ทำไมผมถึงรู้สึกอบอุ่นแปลกๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้? ใครก็ได้บอกผมที...ผมควรจัดการกับสภาพตัวเองต่อยังไงดี? ไม่รู้เว้ย เอาเป็นว่า กลับบ้านก่อนละกัน

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
«ตอบ #8 เมื่อ03-04-2016 23:40:45 »

น้องแมคน่าร้าาาากกกกกกกก พี่มาร์ทดูเป็นผู้ใหญ่อบอุ่นมากๆเลย

ออฟไลน์ mi22

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
«ตอบ #9 เมื่อ03-04-2016 23:46:52 »

อ่านรวด แมคน่ารักมาก โดนบอกชอบถึงกับไปไม่เป็นเลย 5555

ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 3] 03-04-2016
« ตอบ #9 เมื่อ: 03-04-2016 23:46:52 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 4 (1/2)] 04-04-2016
«ตอบ #10 เมื่อ04-04-2016 20:20:42 »


Until You


ตอนที่ 4 (1/2)

          ผ่านวันนั้นมาก็หลายเดือนแล้ว ทำไมผมยังไม่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น? ทำไมผมถึงควบคุมใจให้สงบอย่างทุกครั้งที่เห็นเบอร์โทรคุ้นตานี้ไม่ได้? ทำไมแค่คิดจะกดรับกลับต้องทำใจตั้งสติมากกว่าสายอื่นๆที่โทรเข้ามา? ทำไมมือผมถึงสั่น หน้าร้อนผ่าว และพูดตะกุกตะกักทุกครั้งที่รับสายพี่มาร์ทด้วยก็ไม่รู้? ทำไมคำง่ายๆอย่าง ‘สวัสดีครับ’ ถึงเปล่งออกมาได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน?

                    (เงียบเชียว ไม่สบายหรือเปล่า)
                    “ครับ เฮ้ย! ไม่ใช่ ผมสบายดี”
                    (พี่จะชวนไปดูหนังเสาร์นี้ว่างไหม)
                    “อ่า...คือ....”
                    (ไปไหมครับ เลือกโรงหนังแถวบ้านแมคก็ได้ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล)
                    “เอ่อ...ผม...”
                    (เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบๆไม่ค่อยพูดเลยนะเรา ให้พี่ไปหาที่บ้านเย็นนี้ไหม)
                    “เฮ้ย! ไม่ต้องมา แมคตกลงไปดูหนังเสาร์นี้ เจอกัน 10 โมงหน้าทางเข้า ดูแฮร์รี่ พ๊อตเตอร์ ซาวน์แทรก ไปเร็วๆจะได้ที่นั่งแถวบนๆ เอาที่ไม่นั่งติดใคร พี่มาร์ทออกเงินค่าตั๋วไปก่อน เดี่ยวแมคจ่ายคืนเอง ขอบคุณครับ ฝันดีครับ”
            ติ๊ด กดวางสายไปได้ ชักโล่งอกขึ้นมาหน่อย โอย เหนื่อยเลยพูดแทบไม่ได้หายใจ
                    “จ๊าก!! โทรเข้ามาทำไมอีกเนี๊ยะ”
                    (นี่เพิ่งบ่ายโมงเองนะครับ จะให้พี่รีบนอนไปไหน? หึๆ)
                    “อ้าว จริงด้วย ก็คนมันเบลอไม่ได้เหรอครับ” ผมถึงกับเบ้หน้าที่เผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร้อ “เรื่องดูหนังก็ตามนั้นอะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว วางนะครับ”
                    (ทำไมถึงตัดสายพี่ละ)
                    “เอ่อ...คือ...ผมปวดห้องน้ำนะครับ”
                    (อืม งั้นก็ไปเถอะ เดี่ยวค่อยคุยกันใหม่)
                    “อ่าครับ...งั้นผมไปนะ งั้นผมวางละนะ” ทำไมถึงรู้สึกไม่อยากขึ้นมาซะแล้วละครับ ถอนหายใจ
                    (พี่ชอบที่แมคแทนตัวเองด้วยชื่อมากกว่าใช้ผมนะ)
                    “ทำไมละครับ”
                    (นั่นสินะ ทำไมกันนะ... ไม่ไปเข้าห้องน้ำแล้วเหรอ?)
                    “อ่า...ไปครับไป เดี่ยวผมรอฟังคำตอบวันเสาร์ก็ได้”




                    “แมค!”
                    “ครับ”
                    “เป็นอะไร กำมือถือแน่นเชียว”
                    “เอ๋? อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ จะถึงหน้าเคาน์เตอร์ขายบัตรแล้วนี่?” ผมเงยหน้าขึ้นมองซ้ายขวาพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ว่าผมอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ สงสัยผมคิดเรื่องอดีตมากจนเบลอ “เอาที่นั่งบนๆดีไหมครับ เห็นจอชัด มุมกว้างด้วย”
                    “แต่พี่ซื้อบัตรแล้วนะ แมคให้พี่ซื้อก่อนมาถึงไงครับ ลืมแล้วเหรอ”
                    “อ่า...เออ...” โอเค ผมกำลังหน้าแตกในสถานการณ์สุดเบลอยืนเอ๋ออยู่กับที่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนข้อมือถูกดึงไปจับไว้หลวมๆ ปลายนิ้วของอีกฝ่ายค่อยๆกางมือของผมออกทีละนิ้วบรรจุวางตั๋วหนังลงกลางฝ่ามือ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาสลับกับมองสิ่งของในมือแล้วรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จนต้องรีบยัดของในมือคืนไปถอยหลังห่างออกมา
                    “เป็นอะไร?
                    “เปล่าครับ ผมว่าจะไปซื้อป็อบคอร์น”
                    “พี่ไปด้วย” ถึงกับสะดุ้งตัวโยนจนต้องรีบเอามืออีกข้างลูบต้นแขนส่วนที่โดนพี่มาร์ทแตะเมื่อครู่ กระแสไฟช็อตแปล่บๆตอนโดนตัวกัน นี่มันคืออะไร! “แมค...แมครู้สึกเหมือนพี่...”
                     “เราไปกันดีกว่าเนอะ”

          ผมพูดตัดบทด้วยไม่อยากได้ยินอะไรต่อจากนี้ สองขาจ้ำอ้าวเดินมุ่งหน้ามาแต่เพียงผู้เดียว ผมไม่เข้าใจ เมื่อกี้มันอะไรกัน? เขาเรียกไฟฟ้าสถิตย์สปาร์กบึ้มใช่ไหม? โดนตัวไปนิ๊ดเดียวทำเอาหน้าจะไหม้ หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก อากาศโดยรอบสูงขึ้นสามองศา ครั้นจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ พี่มาร์ทกลับโผล่มาเดินแนบข้างกายส่งยิ้มให้ซะอีก แล้วแบบนี้ผมจะกล้าเงยหน้าขึ้นมองสบตาได้อย่างไร ผมทำหน้าทำตาไม่ถูกละครับตอนนี้? ถ้าผมยังไม่กล้าพอเอาแต่หลบสายตาอยู่แบบนี้ งั้นแบบนี้ความสัมพันธ์ผมกับพี่มาร์ทคงจะไม่เหมือนเดิม? แล้วความสัมพันธ์ต่อไปละจะเป็นยังไง? ทั้งที่... พี่มาร์ทออกจะเป็นคนที่ผมรู้สึกเป็นกันเองเวลาอยู่ด้วยกันที่สุด

                    "พี่ชอบแมคนะครับ...พี่ชอบแมคแบบที่แฟนเขาชอบกันนะ"
                    “อ่า...เอ่อ....ผม”
                    “แมคคิดยังไงกับพี่ครับ คิดตรงกับพี่ไหมครับ”
                    "ผมก็ชอบพี่มาร์ทครับ เอ๊ะ ยังไง? ไม่ใช่! ผมไม่ได้โมเอะขนาดนั้น ลบๆถือว่าไม่ได้พูด"


          นับวันผมชักจะแย่ คำว่า ชอบ ซะแล้วสิครับ มันดังก้องอยู่ในหัวผมตลอดจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ใครจะนึกว่าพี่มาร์ทจะกล้าบอกความรู้สึกตรงๆแบบนั้น ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกบอกว่าชอบ ยิ่งพอได้ยินคำว่าชอบ สัมผัสในอ้อมกอดอุ่นกลับชัดเจนติดแน่นตราตรึงยิ่งกว่าเดิม จะว่าไปผมก็ชอบอ้อมแขนนี่อยู่นะ ถ้าได้กอดบ่อยๆคงจะดีไม่น้อย เอ๋? ผมยิ้มอะไรนี่ ไม่ได้ๆ คิดไปก็ขมวดคิ้วสลับกับยิ้มอยู่คนเดียว อย่างกับคนบ้านะครับ

                    "พี่ชอบแมคนะครับ"



                    "แมค...แมคครับ"
                    "เฮ้ย ครับ ว่าไง?"
                    "เอาข้าวโพดคั่วรสอะไรครับ"
                    "หวานเค็มผสมกันครับ" ผมตอบรับด้วยความเขินเล็กน้อย คิดมากจนเพี้ยนจริงๆ ไปล้างหน้าล้างตาท่าจะดีขึ้น "เดี่ยวเจอกันหน้าโรงหนังเลยนะครับ ผมไปห้องน้ำแป็บ"
                    "รอไปพร้อมกันเลย ฝากถือแก้วน้ำหน่อยสิครับ"
                    “โอเค” เลิกคิดฟุ้งซ่านได้ละ ต้องมีสติๆ


          นี่ก็เป็นอีกวันในช่วงวันเสาร์ที่ผมกับพี่มาร์ทตกลงใจจะมาดูหนังร่วมกัน หลังจากเกิดเหตุสารภาพ 'ชอบ' แบบไม่ทันตั้งตัวสำหรับผมแต่ดูจะตั้งใจสำหรับคนพูดเหลือเกิน เพราะผมรู้สึกว่าถูกรุกหนักกว่าเดิมชอบกล เอ๋...หรือผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไป พอๆต้องเลิกคิดได้ละนี่มาดูหนังคลายเครียด ต้องไม่ให้เครียดสิ จ้วงป๊อบคอร์นมายัดปากกินของฟรีให้อิ่มพุงดีกว่า อ่า...อร่อยปานกลางแต่แก้หิวได้ชะงัดนะ ของฟรีนี่รสชาติดีอย่างนี้เอง ผมละชอบก็ตรงนี้ละ แต่มันจะเป็นการเสียมารทยาทกับคนซื้อไหมครับ ถ้าผมไม่แบ่งให้เจ้าของที่แท้จริงหม่ำเลย

          ว่าแล้วจึงเลื่อนมือที่กำลังจ่อตรงริมฝีปากยื่นไปตรงหน้าของคนข้างกายแทนด้วยท่าทีกล้ากลัวๆ พี่มาร์ทเหลือบสายตามามองผมเพียงแว่บเดียว แล้วก็เบนสายตากลับไปมองหน้าจอต่อ แบบนี้แสดงว่าไม่รับประทานความเค็มจากมือผมสินะ งั้นเสร็จผมละ
         
                    "อ้าม...เฮ้ย!!!" ผมมองตาค้างดูข้าวโพดคั่วในมือผลุบหายเข้าไปในปากของอีกฝ่าย รู้สึกถึงความนุ่มที่โดนริมฝีปากคู่นั้นเลย
                    "หึๆ อึ้งขนาดนั้นเชียว พี่ขอโทษครับ" เกิดมาไม่เคยให้ปากใครโดนนิ้ว วันนี้กลับเสียไปจนได้ คิดว่าผมจะทำหน้าระรื่นดูหนังต่อไปได้เหรอครับ ไม่กินมันแล้วป๊อบคอร์น ส่งให้เจ้าของมันถือไปกินเองเลย ผมจะไม่กินละ จะตั้งใจดูหนังดับความร้อนบนใบหน้าระงับอาการใจเต้นตุ๊บๆนี่ให้ได้เลย "เป็นอะไรครับแมค?"
                    "เปล่าครับ" ผมตอบรับเสียงห้วน
                    "ไม่สบายรึเปล่ามือเย็นเฉียบแต่ทำไมมีเหงื่อ" ไม่พูดเปล่ากลับคว้ามือผมไปกุม ความอุ่นที่แผ่ซ่านทั่วฝ่ามือกลับส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายผมยิ่งสูงเข้าไปอีก แบบนี้ไม่ดีละ? ผมต้องเคลียร์ความรู้สึกตัวเองให้รู้เรื่องให้ได้เลย
                    "กลับกันเลยได้ไหมครับ" ผมหันไปถามด้วยสีหน้าจริงจัง พี่มาร์ทเองก็หรี่ตามองตอบกลับมาด้วยสายตาแน่วแน่เช่นกัน "ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่มาร์ทอะครับ"
                    “อืม พี่ก็เหมือนกัน”



                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2016 20:59:22 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 4 (1/2)] 04-04-2016
«ตอบ #11 เมื่อ04-04-2016 20:52:24 »

น้องแมคอาการหนักมาก น่าร้าาากกกย :mew1:

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 4 (2/2)] 05-04-2016
«ตอบ #12 เมื่อ05-04-2016 21:21:58 »


Until You


ตอนที่ 4 (2/2)

          หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่มาร์ทก็เดินทางกลับมายังคอนโดมิเนียมย่านรัชดาภิเษก ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจว่าจะหาที่สงบนั่งคุยกันอย่างร้านกาแฟ แต่พอเดินเข้าไปกลับสัมผัสถึงความไม่เป็นส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำธุระที่ผมอยากจะพูดก็ดูไม่ควรเปิดเผยในที่สาธารณะเท่าไหร่ สุดท้ายจึงต้องกลับมายังคอนโด แม้จะเดินทางไกลหน่อยแต่ก็เหมาะสมลงตัวที่สุดแล้ว
          เมื่อมาถึงผมก็จัดแจงเปิดแอร์และยื่นมือไปรับแก้วน้ำผลไม้จากพี่มาร์ทมาดื่มหมดไปครึ่งแก้วแล้วจึงนั่งลงกวาดสายตามองสำรวจสภาพสิ่งของโดยรอบภายในห้องคอนโดมิเนียม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เว้นแต่เจ้าของจะมีท่าทีเปลี่ยนไป พี่มาร์ทเอาแต่นั่งกุมมือมองพื้นสลับกับมองนาฬิกาแขวนผนังเหมือนกำลังครุ่นคิดตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่จนผมเองชักเริ่มกังวลตามไปด้วย ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไปเหมือนกันด้วยกลัวจะเป็นการรบกวน จนในที่สุดพี่มาร์ทก็เงยหน้าขึ้นมองสบตากับผมแล้วพูดขึ้นมาว่า

                    "เออ... แมคถามก่อนดีกว่า"
                    "อ้าว?" สงสัยผมจะอุทานในใจดังไปหน่อย คนตรงหน้าเลยทำหน้าตึงใส่
         
          ผมเองก็อึกอักไม่รู้จะเริ่มถามอะไรก่อนเหมือนกันจึงได้แต่เงียบมองหน้ากันสลับไปมาอีกเป็นเวลานานพอสมควร ใจจริงอยากจะถามออกไปตรงๆแต่ก็ชั่งใจเลือกไม่ได้ระหว่างคำถามสองข้อ ทำไมพี่ถึงชอบผม กับ ทำไมช่วงนี้ผมถึงชอบพี่ คิดไปคิดมานี่มันคำถามแบบคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่า? งั้นถ้าเรียบเรียงคำถามใหม่ควรจะถามว่าอะไรดี คิดไม่ออก เครียด! บรรยากาศตึงเครียดอึมครึมนี่ทำเอาเส้นประสาทของผมชักเต้นตุบขึ้นมาละ เออ...บางทีฟังเพลงอาจจะดีขึ้นก็ได้ โฮมเธียเตอร์ตรงโน้นแล้วแผ่นซีดีเพลงเก็บอยู่ตรงไหนหว่า คงต้องเดินไปรื้อซะละ

                    "โธ่โว๊ย!!!" เสียงสบถทำเอาผมสะดุ้งเฮือกไม่กล้าขยับลุกขึ้นยืนเลย มองแล้วก็ไม่พูดสักที เดี่ยวพูดก่อนซะเลย
                    "แมค/พี่"
                    "พี่พูดก่อนดีกว่าครับ"
                    "แมคแหละ"
                    "อ่า...” สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งแล้วถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่า อยู่แบบนี้ผมคงเครียดตาย ”ผมกลับละกันครับพี่มาร์ท จะสี่โมงแล้ว"


          ในที่สุดผมก็ไม่กล้าพอจะถามอะไรสักอย่าง ถึงปากจะบอกว่าอยากกลับบ้าน แต่ใจกลับคิดตรงกันข้าม สองแขนที่ควรจะหยิบกระเป๋ามาสะพายแข็งเกร็งไม่ขยับไปทำหน้าที่ ทั้งสองขาที่ควรจะเดินหนีก็ถูกตรึงไว้กับที่ไม่ได้ขยับไปทางประตูอย่างใจคิด ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกับคำพูดของคนตรงหน้าแต่กลับไม่ได้ยินแม้เสียงห้ามไม่ให้ผมกลับ แล้วแบบนี้ผมควรทำอย่างไรต่อดี? บางทีผมควรจะถามไปตรงๆแบบไม่ต้องคิดมากอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

                    "คบกับพี่ได้.../ พี่ชอบผมจริง..."
                    "จริงครับ"
                    "อะไรจริง ผมงง" ผมถามออกไปทั้งที่สมองกำลังประมวลผลแบบสติไม่เต็มร้อย
                    "ก็ที่แมคถามไง"
                    "อ้าว ผมถามพี่ว่าไรครับ" ดันเป็นอัลไซเมอร์แบบกระทันหันซะงั้นเลย
                    "หึๆ....ฮ่าๆๆ" แทนที่จะได้คำตอบกลับเป็นเสียงหัวเราะปิดปากแบบคนสงวนท่าทีมาแทน มองแล้วมันน่าแกล้งโมโหกลับไปมาก ไม่ช่วยคิดแล้วยังจะมาขำผมอีก
                    "อย่าหัวเราะผมสิ"
                    “โอเคๆ หึๆ” พี่มาร์ทเมินหน้าหนีปรับสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง แววตาหยอกล้อแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังแน่วแน่ รอยยิ้มมุมปากคลายออกจนใบหน้าเปื้อนยิ้มกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉย ผมมองด้วยความอึ้งอยู่พักก่อนเสียงนุ่มจากริมฝีปากนุ่มจะขยับเอ่ยวาจาที่ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทันว่า "คบกับพี่ได้ไหมครับ?"
                    "เอ่อ ... ก็...” ถึงกับอึกอักไม่คิดว่าจะโดนคำพูดแสกเข้ากลางหน้าเล่นเอามึนไปหลายวินาที แต่พอทวนคำถามในหัว ผมกลับมีคำตอบตายตัวอยู่ก่อนแล้วจึงพูดออกไปว่า “ไว้อีกสักพักดีไหมครับ" ผมตอบรับพลางถอนหายใจ
                    "แมคไม่ชอบพี่เหรอ?"
                    "ไม่ใช่ๆ เอ่อ...ผมไม่รู้ ไม่รู้อะ ผมยังไม่รู้จักพี่ดีพอมั้ง? ก็เลยไม่อยากตอบรับ" มองแววตาเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าแล้ว ผมไม่อยากสบตาอีกฝ่ายเลยครับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
                    "ตกลงไม่ใช่หรือว่าไม่รู้!!"
                    "ผมไม่รู้ว่า ตัวเองชอบพี่แบบชอบแบบ แบบ..ชอบอะ" พูดเองยังสับสนในตัวเองเลย ทั้งที่อยากจะสื่อว่า ชอบแบบชอบไหมคืออะไร เอ๊ะ...งง แล้วมันแปลว่าไร นี่ผมจะพูดอะไรวะ ลืม
                    "เอ๋...?" คาดว่าคนฟังเองก็คงงงไม่ต่างกันกับผมเท่าไหร่ เล่นเบิกตากว้างจ้องมองแบบไม่เชื่อสายตามาที่ผมซะขนาดนั้น
                    "ช่างมันเถอะ เข้าใจว่า ผมไม่รู้ว่า ชอบมันเป็นยังไงละกัน" ผมตัดบทบอกไปไม่อยากใส่ใจอะไรมากละ คิดมากปวดหัวซะเปล่าๆ พี่มาร์ทเองก็นิ่งเงียบไปเช่นกันคงรอฟังผมพูดต่อ แต่ขอบอกเลยว่า ผมไม่มีไรจะพูด จะรัก จะชอบ จะเป็นแฟน ผมยังไม่อยากเข้าใจอะไรตอนนี้ ขอไปนอนสักตื่น คิดออกแล้วจะมาบอกละกัน
                    "เอ่อ...งั้นผมก...กลับ"
                    "แมคไม่เคยมีแฟนใช่ไหม?" เป็นคำถามที่ฟังแล้วเจ็บจึกอย่างกับโดนธนูอาบพิษพุ่งปักอก ใช่ครับผมยังไม่มีแฟน คนมันไม่คิดจะอยากมีภาระสนใจเพศตรงข้ามหรือเรื่องรักๆใคร่ๆนี่มันแปลกนักหรือไง ผ่านวัยประถมมัธยมมาแบบไร้ราคีดีจะตาย แต่ถามแบบนี้จะให้ผมเสียเชิงหนุ่มหรือไงกัน? คิดแล้วเริ่มมีเคือง
                    "ก็ใช่ แล้วทำไมเล่า"  ผมบอกปัดคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
                    "โอเค" แต่ผมไม่โอเค "งั้นถามต่อ เคยชอบใครจริงๆจังไหม"
                    "ก็คงมีหรือไม่ก็ไม่มี ผมไม่ได้ใส่ใจอะครับ" กิจกรรมของโรงเรียนมีมากมายเยอะแยะจนเวลาเรียนแทบไม่พออยู่แล้ว จะหาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องพรรค์นี้
                    "ต้องเคยมีบ้างแหละ สมัยเรียนมัธยมนะ ไม่ชอบใครเลยเหรอ"
                    "ขอคิดก่อนนะครับ...อืม... อ๋อ... มีๆๆแต่คงแค่มากกว่าเพื่อนธรรมดา" เธอเป็นเพื่อนสาวคนหนึ่งในแก็งค์เด็กมัธยมปลายของผม เป็นสาวผมเปีย หน้าตาดีออกแนวหมวย บุคคลิกดูห้าวแต่ไม่ถึงขั้นทอม ผิวขาว สูงกว่ามาตราฐานหญิงสาววัยเดียวกันเล็กน้อย ถามว่าอะไรที่ทำให้ผมเคยชอบนะเหรอครับ ตอบเลยว่าไม่มี ก็แค่อารมณ์วัยรุ่นชอบของสวยงาม   
                    "ชอบขนาดอยากเป็นแฟนกับเขาเลยเปล่า?"
                    "โอย ไม่ขนาดนั้น ผมแค่เห็นแล้วสบายใจ" เหมือนกับว่าได้มองคนสวยแล้วสบายตาสบายใจ
                    "ถ้าไม่เห็น จะนอนไม่หลับ หงุดหงิดไปทั้งวัน?"
                    "ไม่เห็นก็ไม่เป็นไรเลย" ตัวไม่ได้ติดกันสักหน่อย จะไปทำอะไรมันก็เรื่องส่วนตัวของแต่ละคนนี่
                    "แล้วถ้าเกิดว่า คนๆนั้นเกิดมีแฟนละ?"
                    "อ้าว ก็เรื่องของเขาสิ มีแฟนก็เรื่องของเขา ผมไม่ได้เกี่ยวสักหน่อย" ผมชอบเธอ ไม่ได้แปลว่าผมจะอยากครอบครองเธอสักหน่อย จริงไหมครับ?
                    "ไม่หึงเหรอ? คนที่ชอบมีแฟน"
                    "ไม่ครับ มันการตัดสินใจของเขา" หลายคนคงคิดว่า ถ้าอยากให้คนที่ชอบมีความสุขก็คงต้องปล่อยไป หรือหลายคนก็คงคิดต่างออกไปว่า ชอบแล้วก็ต้องหึงหวงอยากเก็บไว้กับตัวไม่อยากจากไปไหน แต่สำหรับผม ที่พูดออกไปเช่นนั้น ไม่ได้แปลว่า ผมเป็นคนดีอยากให้คนที่ชอบมีความสุขชู้ชื่นกับคนอื่น ผมหมายถึงว่า ตัวผมเองเป็นคนไม่ชอบผูกมัดใครไว้กับตัว ผมให้อิสระกับคนที่ผมใส่ใจเสมอ ผมกับเธอเป็นเพียงเพื่อน ยังไม่มีสถานะคนชอบกันมาค่ำคอ ดังนั้นต่างคงต่างก็มีชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว ผมยังสนุกกับวัยเรียนเฮฮาเรื่อยเปื่อยแบบคนไร้คู่มีความสุขกว่าตั้งเยอะ
                    "งั้นเปลี่ยนใหม่ เคยมีคนบอกชอบไหม"
                    "มีสิ ตั้งหลายคน" พูดแล้วภูมิใจสมัยเรียนผมเป็นทั้งสารวัตรนักเรียน ประธานชมรม นักดนตรีและนักกีฬาของโรงเรียนไปพร้อมกันๆ ความนิยมชมชอบในตัวผมเลยมีเยอะพอควร
                    "แล้วแมคทำไง เออ...ผู้หญิงหรือผู้ชาย"
                    "ทั้งสองอย่างละครับ แต่กี่คนต้องนับก่อน..5-6 คนมั้ง"
                    "แล้วเขามาบอกชอบ แมคตอบว่าไง"
                    "ก็ปฏิเสธไป เพราะผมไมได้ชอบ"
                    "ยังไง?"
                    "บอกไปตรงๆเลยครับ ผมถามว่า ทำไมชอบผม เขาก็จะตอบมา ผมก็พูดต่อว่า ผมไม่ได้ชอบ จบแค่นั้น" ตามนั้นเป๊ะเลยครับ มีคนมาสารภาพรัก ผมไม่ได้รัก ผมก็ต้องตอบปัดเยื่อใยเป็นธรรมดา คิดแล้วออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำกว่าจะพูดว่าชอบงั้นงี้ได้ ทำผมเสียเวลาฟังไปนานหลายนาที จนเกือบโดนครูดุไปซ้อมไม่ทัน
                    "หืม?"
                    "ทำไมอะครับ ผมทำอะไรผิดเหรอ"
                    "ค่อยว่าทีหลัง แล้วเขาว่าไงกันบ้าง"
                    "ก็มีร้องไห้ วิ่งหนี ยืนนิ่งๆ แต่ที่แรงสุดคือ จับผมกด แม่ง...คิดแล้วแค้นไม่หาย" คือวันนั้นผมกำลังจะไปซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงยิมพอดี เดินลงมาใต้ตึกเรียนกะว่าจะใช้ทางลัดแคบๆระหว่างกำแพงโรงเรียนตัดโรงอาหารลัดเลาะไป จะได้ถึงไว เพราะคุณครูปล่อยช้ากว่าปกติตั้งสิบนาที แต่ดันเจอโจทย์เก่าดักรอ เพื่อนผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ออกไปทางท้วมแต่ไม่มากนัก ผิวคล้ำแต่ไม่ถึงกับดำ นิสัยเคยดี แต่พอเจอผมปฏิเสธไป แล้วตามตื้อเลยเริ่มนิสัยไม่ดีในสายตาผมละ
                    "โดนทำไรไปบ้าง!" พี่มาร์ทตะคอกเสียงดัง ฝ่ามือหนาบีบแขนผมซะแรงจนน่าจะเป็นรอยฝ่ามือ ถามคาดคั้นไม่พอ ยังจะจ้องด้วยสายตาดุดัน ทำอย่างกับสอบสวนผู้ต้องหา
                    "มีเหรอจะทำไรผมได้ ถ้าผมไม่สนซะอย่าง" เห็นพี่เขาขมวดคิ้ว ผมเลยว่าต่อ "คือผมโดนไอ้บ้าตัวนึงมันจับกระแทกผนังกำแพงทางเดิน ดูท่ามันกะจะปล้ำผมแต่แรก เพราะมาดักรอผมเลย แต่แรงมันเยอะกว่า ผมหนีไม่ได้ เลยยืนนิ่งๆ"
                    "แล้วยังไง...ต่อ"
                    "ก็ไม่ยังไงครับ มันอยากทำไรผมก็ให้มันทำไป เพราะผมไม่รู้สึกอะไรด้วย" ก็ทำตัวแบบเป็นรูปปั้นยืนเฉยๆ อยากไซร้คอผมนักก็ไซร้ไป กลับไปอาบน้ำถูกสบู่ก็จบละ
                    "พี่ผิดหวังมากจริงๆ" คำพูดนี้ทำเอาผมขมวดคิ้วผูกปมหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันเลย
                    "เฮ้ย!!! พี่คิดอะไรเนี๊ยะ"
                    "อ้าว แมคไม่ได้โดนทำไปแล้วเหรอ"
                    "บ้าสิ ถ้าถึงขนาดนั้น ผมจะไปยอมเหรอ" ผมหรี่ตามองจงใจพูดเน้นทีละคำทีละประโยค ก่อนจะโดนมองเสียหายมากไปกว่านี้ "ถ้ามันเสียบผมจริง ผมตัดมันให้ด้วน ชำแหละทิ้งลงท่อ ไม่เหลือให้มันได้ใช้งานจนวันนี้หรอก แต่ถ้าแค่คลอเคลีย ผมก็จะเฉยๆ แต่แม่งคิดจะเอาผมทำตื๊ด... เลยยันเข่าแถมศอก กระทืบซ้ำเข้าให้"
                    "พี่ก็ว่าแล้ว แมคไม่น่ายอม" หัวเราะแถมท้ายพลางคลายแรงจากฝ่ามือลง ทำเอาผมมึนไปเลยกับท่าทีแปลกๆของคนตรงหน้า "โอเค พี่เข้าใจแล้วครับ"
                    "อะนะ แล้วพี่ถามผมทำไม"
                    "พี่ว่า พี่พอเข้าใจแมคแล้ว แต่เรื่องปฏิเสธนี่ พี่ว่าแมคทำแรงไปนะ"
                    "ครับ ผมก็ว่าผมปฏิเสธได้แย่มากๆ ไม่รักษาน้ำใจเลย ตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกผิดอยู่นี่ไง" พูดแล้วคอตกเป็นต้องถอนหายใจทุกที สิ่งนี้เหมือนเป็นบาปที่ติดใจผมมานาน เพราะทุกๆคนที่โดนผมไปพูดเช่นนั้น ต่างก็หลบหน้าผมกันหมด ขนาดย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนมหาลัยไปเลยก็มี เรียกว่าฐานะความเป็นเพื่อนและรุ่นน้องนี่หายไปพริบตา
                    "ยิ้มหน่อยๆ เรื่องดีๆกลายเป็นเรื่องเศร้าไปแล้ว"
                    "นั่นสิ" นึกถึงวันเก่าๆแล้วน้ำตาชักจะปริบๆซะแล้วสิครับ
                    "ฟังพี่นะครับ พี่ว่าเรานะ สร้างกำแพงให้ตัวเองสูงไปหรือเปล่า" พี่มาร์ทถามเสียงนุ่มอ่อนโยน "การที่แมคสร้างเกราะมาป้องกันตัวเอง จะเพื่อทำให้ไม่หลงเชื่อใจใครง่ายๆหรือไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าก็ตามที มันก็ดี แต่บางครั้งมันก็เป็นผลร้ายต่อตัวแมคได้นะครับ...กำแพงที่แมคสร้างขึ้น มันแข็งแกร่งจนใครก็ทำลายไม่ได้ และแมคเองก็ออกมาไม่ได้เช่นกัน พี่พูดนี่เข้าใจไหม?"
                    "ครับ" ผมพยักหน้ารับฟัง
                    "แมคอยู่บนโลกคนเดียวไม่ได้.."
                    "ผมอยู่ได้" ผมโต้กลับไปทันที แต่แค่จะเถียงกลับ พี่มาร์ทก็ยกมือขึ้นห้ามเชิงปรามผมแทน
                    "แมคแค่เชื่อว่า แมคอยู่ได้ แต่แมคอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก แมคเป็นมนุษย์พี่ก็เป็นมนุษย์ มีความคิดมีความรู้สึกเหมือนกับใครอีกหลายๆคนบนโลก..."
                    "คือพี่จะบอกผมแล้งน้ำใจ ว่างั้น"
                    "เปล่าๆ พูดยากจริงแฮะ" พี่มาร์ทว่า "พี่อยากให้แมคเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างนะครับ อย่ามองแต่มุมเดียวด้านเดียวว่า เราคิดไงก็ทำตามใจเรา แมคต้องมองในมุมอื่นด้วยว่า การที่เราทำแบบนั้นหรือพูดอะไรออกไป มันไปกระทบถึงใครหรืออะไรบ้างหรือเปล่า"
                    "ครับ ผมจะจำใส่ใจ" ผมยกมือไหว้เป็นการขอบคุณอบรมสั่งสอน แต่อีกนัยก็คือยุติบทสนทนา "งั้นผมกลับละ..."
                    "ดีมาก ที่นี้มาเข้าเรื่องกัน"
                    "ยังไม่จบอีกเหรอครับ!"
   

          พี่มาร์ทไม่ตอบรับคำใดทั้งสิ้น สาวเท้าเข้าใกล้จนผมต้องก้าวถอยไปด้านหลังด้วยความประหม่า รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด จำต้องยกสองมือขึ้นพักไว้ที่แผ่นอกคนตรงหน้าเว้นระยะห่างพอควร ดวงตาคมจับจ้องผมไม่วางตาราวกับคาดคั้นอะไรบางอย่าง และถ้าผมถอยไปมากกว่านี้หลังผมกระทบผนังแน่ เดาไม่ถูกว่าพี่เขาจะมาไม้ไหน หวั่นใจชอบกล

                    "แมคชอบพี่ไหม?"
                    "ไม่รู้" ผมตอบรับหน้าตาตื่นกับคำถามที่ได้ยิน "ค...คง...ชอบมั้ง"
                    "รู้สึกยังไงตอนนี้?"
                    "ไม่รู้" แต่ผมใกล้จะกลัวละ ถ้าหน้าพี่เข้าใกล้ผมมากกว่านี้
                    "ใกล้ขนาดนี้ คิดยังไง?"
                    "ไม่รู้" แต่ถอยไปเถอะครับ ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นอะตอนนี้ ยกแขนที่กั้นผมหนีออกไปเถอะ
                    "ตอนที่พี่จับมือในโรงหนัง รู้สึกเหมือนไฟ..."
                    "ไม่รู้ ผมไม่รู้" ส่ายหน้าผับๆปัดมือที่ยื่นเข้ามาตรงหน้าทิ้งไปทั้งที่หัวใจเต้นรัว
                    "แล้วตอนที่พี่กอดวันนั้น..."
                    "ไม่รู้ วันไหนผมก็ไม่รู้ทั้งนั้น"
                    "ถ้าพี่ทำแบบนี้ละครับ" เสียงกระซิบข้างกกหูแผ่วเบาราวกับใบไม้ไหวกับสัมผัสอ่อนนุ่มจากริมฝีปาก เล่นเอาผมสะดุ้งโหย่ง เผลอกัดริมฝีปากจนเป็นรอยฟัน
                    "ไม่...อ๊ะ..."
                    "แมค..." ขอร้อง อย่าพูดชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่านี่ หยุดสักที หยุดคลอเคลียริมฝีปากของผมด้วยการไล้ไปมา จะจูบหรือจะทำอะไรก็ทำสักอย่างสิ ร้อนจนหน้าจะไหม้แล้ว
                    "...พี่...หยุด..."
                    "อืม ..."  เสียงครางในลำคอทุ้มต่ำเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ร่างจะถูกรวบเข้าไปกอดเต็มอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจเต้นตุ๊บๆนี่เป็นของใคร ผมหรืออีกคน รู้แต่ว่ามันเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอก ยิ่งโดนสัมผัสตรงซอกคอเรื่อยไปยังไรผมยิ่งทำให้รู้สึกเคลิ้ม ไม่ได้ ผมต้องตั้งสติสิ   
                    "อ่า..." ทั้งที่ใจสั่งให้หลบ แต่ร่างกายกลับโอนอ่อนคล้อยตามเอียงรับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ซะได้
                    "ถ้าพี่สัมผัสตรงนี้..." ริมฝีปากน่าดึงดูดนั่นกำลังเผยอขึ้นโน้มเข้ามาใกล้จนเกือบจะแนบชิดตรงมุมปาก  รับรู้แต่เพียงลมหายใจอุ่นๆปะทะเข้าใบหน้าและสัมผัสร้อนระอุยามเมื่อปลายนิ้วที่ไล้ไปตามริมฝีปากของผม "ตรงริมฝีปากคู่สวยนี่ แมคจะรังเกียจพี่ไหม"
                    "ม...ไม่...อะ" ผมไม่รู้...ผมมองอะไรไม่ชัด ภาพตรงหน้าทับซ้อนกันจนเบลอราวกับมีม่านน้ำมากั้น แต่ทำไมผมกลับมองเห็นดวงตาสีเทาชัดขึ้นทุกขณะ เพิ่งรู้ว่าสีเทาอมฟ้านี่มันสวยขนาดนี้เชียว ร้อน ผมร้อน ร้อนมากจนละลายอยู่แล้ว สัมผัสผมมากกว่านี้อีกสิครับ พี่มาร์ท...
                    "แมค คงชอบพี่เข้าให้แล้วครับ"


          ตุ๊บ!!!
          แทบร่วงลงไปกองกับพื้น ดีที่ใช้เท้ายันกำแพงไว้ได้ทัน แต่พี่มาร์ทกลับถอยห่างจากผมไปก้าวนึง ยืนดูยิ้มๆ คงสะใจละสิที่แกล้งผมได้ ฮึ่ม

                    "งั้นเหรอ" ผมตอบสั้นๆหลบสายตา ปรับอารมณ์ที่ปั่นป่วนให้กลับเป็นปกติ
                    "ครับ" แต่คนตรงหน้าส่งยิ้มกว้างกลับมาให้
                    "คิดเองเออเองนะสิ ผม...ผมจะกลับแล้ว" ขืนอยู่นานกว่านี้ ผมคงอายไม่กล้ามองหน้าพี่เขาอีกแน่ นี่ขนาดทำหน้านิ่งใส่ยังจะมีหัวเราะในลำคอให้ได้ยินอีก
                    "ไปครับ พี่ไปส่ง"


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2016 21:02:02 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 5 (1/2)] 06-04-2016
«ตอบ #13 เมื่อ06-04-2016 22:43:15 »


Until You


ตอนที่ 5 (1/2)

          ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านผมกับพี่มาร์ทจะมีช่วงที่พบเจอกันราวครั้งสองครั้งต่อเดือน ซึ่งวันที่เจอนั้นก็ไม่แน่นอนเสมอไป อาจจะติดกันแล้วทิ้งช่วงไปเลยก็มี แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมรู้สึกว่าผมเจอพี่มาร์ทบ่อยมากขึ้น เรียกว่าถี่เกินด้วยซ้ำไป เป็นเดือนละสองครั้งบ้าง เรื่อยมาจนอาทิตย์ละครั้งและล่าสุดนี่ก็สองวันในหนึ่งอาทิตย์ เป็นช่วงเที่ยงทุกวันพุธกับวันศุกร์ จนผมชักสงสัยว่า ขาดงานบ่อยขนาดนี้บริษัทไม่เจ๊งไปแล้วเหรอ

                    "คราวหลังพี่ไปรอที่ร้านคอฟฟี่ช็อปตรงใกล้ๆหอสมุดก็ได้ จะได้ไม่ร้อน" ผมว่าหลังจากรับชามะนาวกระป๋องเย็นๆมาดื่มให้ชื่นใจพลางเหลือบสายตามองสำรวจการแต่งกายอีกฝ่ายไปพร้อมกันทีเดียว ดูแล้วเหมือนไอโซกับยาจกชัดๆเลยแบบนี้เพราะพี่มาร์ทมาในชุดเสื้อคอวีพื้นขาวคลุมทับด้วยเสื้อสูทเทาต่างกับผมที่อยู่ในชุดนักศึกษา ฟังเหมือนไม่ต่าง แต่ถ้าไปถึงงานแล้วผมหยิบเสื้อคอวีลายปลาการ์ตูนกับกางเกงยีนส์สีเทาซีดชนิดเก่าเก็บจากในประเป๋าเป้ขึ้นมาเปลี่ยนละก็ ได้เป็นต่างดาวแน่  "ขอบคุณครับ"
                    “อืม ไปกันเลยละกัน” พี่มาร์ทยิ้มรับพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในรถและผมเปิดประตูตามเข้าไปนั่ง
                    “ผมไม่ไปแล้วได้ไหมอะ” ผมเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเมื่อรถออกเคลื่อนตัวมาได้สักพัก ผมรู้นะครับว่าอาจจะดูผิดสัญญาแต่ทำยังไงได้ก็คนมันกลัวนี่ ตอนถูกเอ่ยชวนใจก็อยากไป แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับรู้สึกกลัวๆยังไงไม่รู้
                    “ทำไมถึงเปลี่ยนใจ” พี่มาร์ทหันมามองชะลอความเร็วรถลง “พี่อยากรู้เหตุผลนะ”
                    “ก็พี่มาร์ทดูชุดผมกับชุดพี่สิครับ”
                    “หึๆ ถ้ากังวลเรื่องนั้น พี่จัดการให้ได้”
                    "เอ๋ ยังไงอะครับ?" ผมถามแต่ไม่มีคำตอบกลับมาซะงั้น แล้วยิ้มอะไรละนั่น “เดี่ยวๆ จะไปไหนอะครับ”
                    “แมคมีปัญหาที่อะไร พี่ก็จะพาไปแก้ตรงนั้นนั่นละครับ”
                    “อะไรยังไง ผมงง”


   
          หลังจากจอดรถดับเครื่องยนต์ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย พี่มาร์ทก็ออกเดินนำผมเข้าไปภายในตัวห้าง ปกติแล้วพี่มาร์ทในสายตาของผมจะเป็นหนุ่มพูดจาฉะฉานตัดสินใจอะไรรวดเร็วฉับไว แต่ก็ไม่ใช่คนที่เคลื่อนตัวทำอะไรกระฉับกระเฉงและดูกระตือรือร้นอย่างที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ สองขาที่ยาวกว่าถึงเกือบเท่าก้าวนำพลางพยักหน้าให้ผมรีบเดินตามมาให้ทัน จนผมแทบจะวิ่งแทนเดินก็ยังตามจับชายเสื้อนั่นไม่ทันสักที

                    “รอด้วยสิครับ”
                    “ขอโทษทีนะแมค แต่พี่ค่อนข้างรีบนะ” พี่มาร์ทว่า พร้อมกับจับมือผมพาเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง “ลองโทนสีมาตราฐานก่อนละกัน อ๊ะ นี่ครับ ลองให้พี่ดูหน่อย เอาไป 3 สีเลยดีกว่า คนละลาย แมคใส่มาให้พี่ดูละกัน เอาตัวที่ชอบมากที่สุด” ผมพยักหน้ารับถือเสื้อยืดคอกลมมาเดินเข้าไปในห้องลองชุด ผมชอบเสื้อสีดำพื้นเล่นลายสีสดใสเลยใส่ตัวนี้ออกมาให้พี่มารทชม แต่กลับถูกอีกฝ่ายส่ายหน้า พร้อมกับโบกมือให้เปลี่ยนออก เมื่อผมเปลี่ยนเสร็จ ก็เห็นพี่มาร์ทยืนดักรออยู่แล้ว ก่อนจะโดนลากแขนเดินออกจากร้านไปยังร้านฝั่งตรงข้าม รีบร้อนไปไหนก็ไม่รู้
                    “ผมชอบแบบหุ่นตัวนั้นนะครับ เอาแบบนั้นได้ปะ”
                    “เลือกได้ดีนี่” พี่มาร์ทยิ้ม พลางกระตุกแขนให้ผมเดินตามเข้าไปในร้าน “ผมขอแบบที่หุ่นใส่หน้าร้าน แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อคอวีสีขาวเบอร์ M ตัวกับเบอร์ S ตัว ส่วนเสื้อคลุมตัวนอก ผมขอเบอร์ M สีดำ เข็มขัดหนังสีน้ำตาลเส้นนั้น กางเกงผ้าตัวนี้แทน แมคใส่เบอร์นี้น่าจะได้นะ พี่ว่า”
                    “ได้ครับ ได้ พี่มาร์ทเดาไซน์ผมได้ไงอะ”
                    “เดี่ยวเรื่องนี้ค่อยว่ากัน ไป รีบไป” ทั้งที่พี่มาร์ทชมผมว่าเลือกได้ดี แต่เอาเข้าจริงผมว่าพี่มาร์ทเลือกเก่งกว่าผมเยอะอะครับ ผมมองคนในกระจกตรงหน้าที่เปลี่ยนจากเด็กชายเป็นหนุ่มเต็มตัวด้วยเสื้อผ้าที่ผมไม่คิดว่าจะใส่แล้วดูขึ้นขนาดนี้ เสื้อคอวีสีขาวเนื้อผ้าฝ้ายเล่นลายในตัว คลุมทับด้วยเสื้อผ้าไนลอนตัวหนาคอปกเชิ๊ตปักลายคล้ายบั้งทหารบนบ่าทั้งสองข้าง มีสายผ้าคล้ายเข็มขัดประดับตรงข้อแขนทั้งสองข้าง พร้อมด้วยเข็มขัดหนังสีตัดกันกับกางเกงผ้าที่ปักกระเป๋ามากมาย ทำให้ลุคของผมดูสบายๆไม่เป็นทางการมากนัก   
                    “อืม เข้ากันกว่าที่คิดไว้ซะอีก” พี่มาร์ทว่ายิ้มๆ หยิบเสื้อผ้าชุดเดิมของผมไปส่งให้พนักงาน “เอาชุดนี้ใส่ถุงให้ด้วยครับ”
                    “เท่าไหร่อะครับพี่มาร์ท เดี่ยวผมจ่ายคืนนะ”
                    “พี่ซื้อให้ ไม่ต้องคิดมาก เดี่ยวไปแวะดูรองเท้ากันต่อ”
                    “รองเท้าด้วยเหรอ?” ผมกำลังยืนงง แขนก็ถูกกระชากให้เดินตามไป “แมคจะสวมชุดที่ใส่อยู่นี่กับผ้าใบนักเรียนเหรอ?” อูย...ว่าเจ็บ
                    “ก็ไม่มีรองเท้าอื่นที่บ้านแล้วอะ รองเท้ากีฬาสีเทาเปียกฝนกลิ่นหึ่งเลย” ผมพูดขึ้นอย่างคนเซ็งๆ พลางหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเปิดดู “ไม่ต้องซื้อแล้วครับพี่มาร์ท กลางคืนไม่มีใครมานั่งมองรองเท้าหรอก”
                    “ก็ไม่แน่เสมอไป ไปทั้งที่ก็ให้ดีที่สุดสิครับ”
                    “เงินผมจะไม่พอนะสิ”
                    “เดี่ยวพี่ซื้อให้ไงครับ หยุด อย่าพูดว่าเกรงใจ” เงียบปากเลยโดนรู้ทัน “ราคาเท่าไหร่อย่าไปคิดมาก ซื้อแล้วใส่ให้คุ้มก็พอ”
                    “แต่ว่า...”
                    “คิดซะว่า เป็นของขวัญชิ้นนึงให้ตัวเองละกันครับ แค่แมคไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน”
                    “ก็นั่นละ ผมว่ามัน...”
                    “คิดเยอะอีกละ เอาอย่างนี้ ถ้าหาที่ถูกใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องซื้อ โอเคไหมครับ” ผมพยักหน้ารับคำยอมทำตามที่สุด ผมเป็นคนเลือกของยากอยู่ละ คงไม่มีเรื่องให้เสียเงินง่ายๆหรอกมั้ง?
                    “พี่มาร์ทๆ บูทหนังคู่นั้นอะครับ สวยๆผมชอบ อุ๊บส์...” พลั้งปากบอกความคิดในใจไปจนได้ ก็แบบว่านานทีจะเจอของตรงใจที่นี่ครับ แถมรองเท้าที่หุ่นใส่โชว์ตรงหน้าดูเข้ากับกางเกงที่ผมซื้อมาด้วย แม้จะเป็นบูทสูงแค่หุ้มข้อ แต่ก็มีการตัดเย็บอย่างปราณีตเน้นรอยด้ายสีน้ำตาลตัดกับพื้นหนังสีดำ นอกจากนั้นก็มีการเล่นลายด้วยการใช้เข้มขัดหนังพาดเฉียงทางขวางตรงข้อเท้าด้วย เท่ห์ไม่เบา
                    “หึๆ ตกลงชอบคู่นี้?” รั้งแขนคนตัวโตกว่าไว้ไม่ทันละครับ เดินอ้าวเข้าไปในร้านละ “เบอร์ 42 สีน้ำตาลกับสีดำมีไหม ขอให้น้องคนนั้นลองหน่อย”
                    “ไม่เอาๆ มันแพงนะพี่มาร์ท”
                    “ลองก่อน ถ้าไม่เข้ากัน ก็ไม่ต้องซื้อโอเคไหมครับ”
                    “อ่า...” แม้ผมจะลังเลอยู่บ้าง แต่พอลองแล้วดันใส่พอดีซะได้ สุดท้ายแล้วก็เสียเงินซื้ออยู่ดีทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วแบบนี้ผมต้องหางานพิเศษทำกี่ที่นี่ถึงจะพอมาจ่ายคืนพี่มาร์ทกันละนี่ คิดแล้วกลุ้มใจจริงๆ   


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 5 (2/2)] 08-04-2016
«ตอบ #14 เมื่อ08-04-2016 16:48:14 »


Until You


ตอนที่ 5 (2/2)

          เบื้องหน้าคืออาคารสองชั้นใหญ่โตเต็มไปด้วยสีสันจากดวงไฟส่องสว่างและผู้คนที่แต่งตัวน่ากิน?ทั้งสาวน้อยสาวสาวใหญ่ รวมไปถึงหนุ่มๆมากหน้าหลายตาเรียงรายต่อแถวตรงหน้าบริเวณทางเข้าในเขตกั้นเชือก จำได้ว่าเคยไปผับกับเพื่อนมาก็หลายครั้ง ไม่เห็นมีครั้งไหนเลยที่ต้องรอคิวต่อแถวเช่นนี้ ผมแทบไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าข้างนอกแถวยาวขนาดนี้ ข้างในจะคนเบียดเสียดกันเยอะแค่ไหน เห็นดารา นักร้อง คนดัง คนมีเงิน เดินกันให้วุ่นขนาดนี้ ผมรู้สึกเกร็งๆขึ้นมาละ

                    “นิ่งเชียวเป็นอะไรครับ” พี่มาร์ทเอ่ยถาม
                    “ดูอาคารนะครับ สวยดี” ผมอ้างขึ้นมาลอยๆ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลกับความรู้สึกหมดสนุกของผมในตอนนี้
                    “พี่โทรให้เพื่อนมารับละ เราจะได้ไม่ต้องต่อแถว ไปครับ”
                    “เอ๋? ไม่ต้องเข้าแถวได้ด้วยเหรอ?” ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่พี่มาร์ทกลับยิ้มมุมปากกวักมือเรียกผมให้รีบเดินตามไป ซึ่งกว่าผมจะฝ่ากลุ่มคนที่เดินตัดหน้าไปได้ ก็ได้ยินชายในชุดสูทพูดประโยคเกือบจะจบแล้วว่า
                    “...รออยู่แล้วครับ เชิญครับ”
                    “อืม” พี่มาร์ทรับคำเสร็จก็ก้าวเดินตามชายหนุ่มหนึ่งในสองคนไป ส่วนอีกคนก็ก้าวมาหยุดตรงหลังผม พายมือเชื้อเชิญให้เดินนำไปก่อนเขาจะเดินปิดท้าย นี่ผมควรรู้สึกเหมือนมีคนคุ้มกันหรือโดนจับเป็นตัวประกันดี


          การตกแต่งภายในอาคารของที่นี่ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมชื่อดังที่ผมเคยไปมาเลย ทั้งลวดลายตามผนังที่ออกแบบมาให้ดูดซับเสียงและเล่นลวดลายไปในตัว ทั้งมุมของแสงไฟที่กระทบกับคริสตอลจนสะท้อนสลับกันไปมา ทั้งเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใสฉูดฉาดทำให้ดูโดดเด่นมีชีวิตชีวาสุดๆ ทั้งบันไดโค้งวนที่ผมกำลังเหยียบอยู่นี่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะเป็นแบบเปิดโล่งมองแล้วเหมือนขั้นบันไดลอยได้เลยละครับ สุดยอดไปเลย

                    "แมค" เสียงหนึ่งกระชากผมออกจากภวังค์พลางกวักมือเรียกน้อยๆ ทำให้ผมต้องรีบก้าวขึ้นบันได ทั้งที่ตั้งใจจะหยุดเดินก้มลงไปมองเหล่านักเต้นเท้าไฟสักหน่อย "มานี่ๆ"
                    "หวัดดีครับ" ผมยกมือไหว้พี่ๆหลายคนที่นั่งรายล้อมกันอยู่รอบโซฟาตัวยู มีทั้งนั่งเก้าอี้เหมือนคนปกติและกึ่งนั่งกึ่งยืนตรงพนักพิง
                    "เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ๆ รุ่นเดียวกันทั้งนั้น" พี่ท่าทางเป็นกันเองคนหนึ่งรีบวางแก้วเหล้าโบกมือปัดๆบอก
                    "ใช่ๆ พวกพี่ยังไม่อยากแก่" ทั้งยังมีหลายเสียงสนับสนุนเอ่ยตามมา
                    “ขยับไปสิวะมึงนะ ให้น้องมันนั่ง”
                    “เอ่อ...” ถ้ามันลำบากขนาดที่ว่าพี่เสื้อส้มคนนั้นต้องยกเพื่อนเสื้อสีฟ้าขึ้นมานั่งตักตัวเองขนาดนั้น ผมยืนดื่มเหล้าก็ได้ครับ
                    "เข้ามาใกล้ๆก็ได้ พี่ไม่กัดหรอกค่ะ" เสียงพี่ผู้หญิงคนนึงที่รูปหน้าทรวดทรงจัดว่าสวยส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมต้องรีบก้าวเข้าไปหาเบียดไปนั่งข้างๆอย่างเนียนๆ ผมคงไม่ได้บอกสินะครับว่า ชอบของสวยงามน่ารักขนาดไหน?
                    "เห็นเด็กหนุ่มเป็นไม่ได้เลยนะจ๊ะ แพร"
                    "เอ็นดูเฉยๆ" พี่สาวคนสวยยิ้มรับในแบบที่ดูเหมือนนายร้ายในละครมากกว่านางเอก ทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองนั่งผิดมุมอยู่หรือเปล่า ครั้นเงยหน้าส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนคุ้นเคยข้างกาย พี่มาร์ทกลับเอาแต่ยืนเคียงข้างไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเอาผมหวั่นใจก้มหน้างุดด้วยรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
                    “ไม่มีไรน่าเป็นห่วงหรอก ทำตัวตามสบายเลย” พี่มาร์ทขยับปากพูดเสียงเบาบีบไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจแทนพร้อมบอกต่อว่า “แมคจะสั่งอะไรก็เอาเลยนะ”
                    “พี่...” เสียงอินโทรเพลงขึ้นดังซะผมหูบอดเลย จะพูดสักหน่อยคงไม่ต้องฟังกันละ พี่มาร์ทเองแม้จะก้มลงมาฟังก็คงไม่ได้ยินหรอกมั้ง “คอกเทล...โอ๊ย...อะไร...อะไรก็ได้...พันซ์ก็ได้ ได้-ยิน-ไหม” ไม่ตอบแต่ส่งสัญลักษณ์โอเคให้ซะงั้น รู้เรื่องด้วยแฮะ
                    "เหมือนเดิมละกัน..." พี่ผู้ชายอีกคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามหันไปพูดกับพนักงานที่เดินมาสอบถาม ซึ่งผมไม่ค่อยได้ยินนักหรอก เสียงมันดัง


          ผมยกแก้วน้ำพันซ์ผลไม้ปราศจากแอลกอฮอล์ขึ้นจิบพลางมองพวกพี่ๆเขาคุยเฮฮากัน มีบางคู่นั่งแข่งงัดข้อโดยมีกลุ่มเพื่อนส่งเสียงเชียร์กันเซ็งแซ่ หันไปมองพี่อีกคนก็เห็นแกล้งสลับแก้วเติมน้ำสูตรพิเศษส่งให้เพื่อน คนไม่รู้ก็คว้าไปดื่มจนสำลักบ้วนเหล้าทิ้งและลุกขึ้นมาไล่เตะ บางคนมีร้องเพลงเคล้าไปกับเสียงที่ได้ยินสลับกันลุกขึ้นโยกตัวเต้นไปมาแบบไม่อายใคร และยังมีอีกกลุ่มที่แยกตัวออกมาพูดคุยกันตามประสาเพื่อนอย่างคนปกติ โดยหนึ่งในนั้นมีพี่มาร์ทรวมกลุ่มอยู่ด้วย แน่นอนว่าตลอดการสนทนานี้ไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนข้างๆผมแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่พี่มาร์ทจะโดนแซวต่างๆนาๆถึงเรื่อง ห่างหน้าไปไหนนาน ไปกุ๊กกิ๊กกับใครมาบ้าง? เยอะแยะมากมายจนผมจำไม่หมด แต่ถึงจะแซวหนักแค่ไหน พี่มาร์ทก็ไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น เอาแต่จ้องมอง ยืนนิ่งๆและเงียบๆมากกว่าตามสไตล์คนเท่ห์มาดเข้ม จะมีก็แต่กระดกแก้วบ้างและตอบคำถามเฉพาะที่อยากตอบเท่านั้น ในที่สุดพวกพี่ๆจึงเลิกถามกันไปเอง

                    "น้องชื่อไรครับ พี่ชื่อติ๊กนะ"
                    "แมคครับ" ผมหันไปตอบพี่คนหนึ่งที่เดินเข้ามาชวนคุย คุ้นหน้าว่าอาจจะเป็นดีเจของผับแห่งนี้ เขาดูเป็นหนุ่มรูปร่างผอมที่แต่งตัวได้เจ็บแสบมาก เพราะมาในชุดเสื้อสีเทาดำสวมรองเท้าผ้าใบแบรนด์ดังสีแดงแปรดแถมยังมีพวกสร้อยแหวนอะไรก็ไม่รู้ห้อยเต็มตัวไปหมดสมกับอาชีพที่ทำสุดๆ
                    “พี่ชื่อติ๊กนะ ส่วนคนที่นั่งข้างน้องนั่นแพรวา” ผมหันไปส่งไปยิ้มให้พี่ผู้หญิงข้างกายที่เธอเองก็ส่งยิ้มมาให้ผมเช่นเดียวกัน “ไอ้คู่ผัวเมียนี่ ออฟกับออย... ชื่อติดเรทไม่พอยังจะมาติดสัดในผับกูอีก” พี่ติ๊กหันไปส่ายหน้าพร้อมกับโบกหัวพี่เสื้อส้ม “ เชี่ยออย ลงมานั่งดีๆได้ละ อีกคนนั่นที่สั่งเครื่องดื่มชื่อเป้ อายุน่าจะใกล้เคียงกับน้องที่สุดละ” ผมฟังอีกฝ่ายแนะนำตัวเองและร่ายชื่อเพื่อนในกลุ่มจนครบก่อนจะพยักหน้ารับไปตามเรื่องตามราว
                    "มาแล้วๆๆ" แก้วทรงสวยรูปร่างคล้ายกรวยปลายมนถูกนำมาวางตรงหน้าผม ภายในมีน้ำใสไร้สีและมีใส่สตอเบอรรี่ใส่อยู่ด้วยลูกหนึ่ง ผมหรี่ตามองอย่างชั่งใจ ในขณะที่พี่ติ๊กพยักเพยิดให้ผมลองชิมเรียกเสียงเฮรอบโต๊ะว่า "ตอนรับน้องใหม่ เอ้า...เชียร์!!"
                    "เล่นอะไรไร้สาระ" พี่มาร์ทว่าน้ำเสียงหน่ายๆ ดึงมือผมที่กำลังเอื้อมหยิบจับ "แมคไม่ไปต้องสนใจ"   
                    "แต่ว่า..." ผมอึกอักด้วยรู้สึกขัดใจอยากจะลองชิมสักอึกก็ยังดี อีกอย่างถ้าผมไม่ดื่มบ้าง พี่สองคนที่นั่งเกยกันคงได้ดูถูกผมในใจแน่ เพราะดูจากท่าทีแอบซุบซิบหันมามองผมสลับกับพี่มาร์ทแบบนี้ คงไม่พ้นเรื่องโดนนินทาว่า อ่อน! มีหรือผมจะยอมโดนว่า
                    "ลองดื่มดู ไม่แรงหรอก" พี่สาวข้างๆกระซิบบอกผม
                    "แพร" พี่มาร์ทเสียงดุ แต่ผมคว้าแก้วตรงหน้ากระดกทีเดียวหมดแก้ว แม้รสชาติมันก็เปร่งๆ ซ่าๆขมๆ แต่ผมว่าก็อร่อยดีนะครับ
                    “แก้วแช่เย็นเหรอครับ สุดยอดไปเลย” ถึงกับต้องยกแก้วขึ้นมาพลิกดูโดยรอบ เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ถ้าเทแอลกอฮอล์ใส่แก้วแช่เย็นจนน้ำแข็งเกาะ จะทำให้รสชาติอร่อยขึ้นขนาด
                    "เฮ้ย!" พี่มาร์ทคว้าแก้วไปจากมือผมทั้งที่มันหมดไปแล้ว จ้องมองมาด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนักดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืน "ไปๆ ลุกไปห้องน้ำ ล้างหน้าซะจะได้สร่างเมา"
                    “เอ๋?”
                    "ส่วนพวกเอ็งทุกตัว กลับมาโดน" ร่างสูงกว่าข้างกายผมชี้หน้าคนรอบโต๊ะ ในขณะที่พี่ๆทุกคนหลบหน้าหลบตากันเป็นแถวราวกับกลัวอะไรบางอย่าง  แต่จะให้ผมไปห้องน้ำทั้งที่ไม่ปวดฉี่นี่ผมไม่ไปเด็ดขาดจึงขืนตัวออกห่างจากอ้อมกอดที่ผมไม่เข้าใจเลยจะมาประคองทำไม ก็ผมไม่ได้เดินเซสักหน่อย
                    "ฮึ่ย" พี่ออยถึงกับนั่งหน้าซีดจับมือแฟนเสื้อฟ้าไว้แน่นเลยแค่เพียงพี่มาร์ทเหลือบมอง ตกลงคนข้างๆผมนี่ดูน่ากลัวขนาดนั้นเลย เท่าที่ได้คลุกคลีรู้จักกันมาออกจะเป็นคนใจดีคนนึงนะนั่น
                    "โห พี่มาร์ท ผมไม่ได้เมาสักหน่อย จะให้ไปห้องน้ำทำไม?" ผมบอกแล้วจึงก้าวผละออกมา “ขออีกแก้วได้ไหมพี่ ขอเปลี่ยนผลไม้ด้วย มีอะไรบ้างอะครับ”
                    "เห็นไหม น้องเขาบอกว่า...เฮ้ย!!! ว่าไงนะ ขอชัดๆ" พี่เป้ที่นั่งเงียบอยู่นานถึงกับทำตาโตเบิกตากว้าง
                    "ผมไม่ได้เมา ไม่ได้รู้สึกมึนเลยด้วยซ้ำ" ผมบอกตรงๆ มันรู้สึกปกติที่สุด โลกยังคงหมุนตามเดิม ไม่ได้โอนเอนหรือโคลงเคลงแต่อย่างใด "แค่รู้สึกขมคอก็เท่านั้น"
                    "วอดก้าเพียวตั้ง..." ผมว่าผมเห็นนิ้วสามนิ้วตรงหน้านะครับ หรือว่าสี่จำไม่ได้?
                    "แมคเคยกินมาก่อนหรือเปล่า" พี่มาร์ทถาม ผมส่ายหน้าและพูดออกไปว่า
                    "ไม่นี่ครับ ถ้าแอลกอฮอล์แรงๆก็คงครั้งแรก แต่ถ้าเป็นพันซ์หรือไวน์ก็เคยมาบ้าง" ซึ่งผมชอบพันซ์ผลไม้หลากรสมากกว่าพวกไวน์แดง เพราะไวน์มีรสชาติขมนำ
                    "so cool"
                    "ยินดีต้อนรับเขากลุ่มครับน้องแมค" เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นรอบโต๊ะพร้อมฝ่ามือนับสิบยื่นมาจับแสดงความยินดีทำเอาผมงงได้แต่ยืนเอ๋อ "You’re Silver Knight. Cheer!!! "
                    "พวกบ้าเอ่ย ยังไม่เลิกเล่นกันอีก" พี่มาร์ทส่ายหน้าอย่างระอาเบียดตัวเข้ามานั่งข้างๆผมยกขาขึ้นนั่งไขว้ห้าง ยกแก้วในมือขึ้นจิบ
                    "น้องเขาจะเทียบเท่าแล้วนะ Death Knight ระวังไว้” พี่ผู้ชายรูปร่างผอมสูงเดินเข้าพร้อมแก้วเหล้าในมือเอ่ยขึ้นยกแขนขึ้นพาดไหล่พี่มาร์ทเหมือนจงใจแกล้ง
                    “คริส” พี่มาร์ทเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนอีกฝ่ายต้องยกมือออกชูขึ้นกลางอากาศ
                    “แหย่ หน่อยเดียวก็ไม่ได้ ไม่ได้เจอตั้งนาน กูคิดถึง” พี่คริสดัดน้ำเสียงทะเล้นจนคนข้างกายอย่างพี่ชายของผมถึงกับเอือม “เอาไรเพิ่มไหมน้อง เลือกเลยๆ"
                    "จริงอะครับ" ผมชักสนใจขึ้นมา อยากลองเครื่องดื่มแบบนี้มานานแล้วด้วย “เอาแบบเมื่อกี้นะครับ แต่ของเปลี่ยนผลไม้ได้ไหม มีอะไรบ้างครับพี่คริส”
                    “คงมีมะนาว แอปเปิ้ล ...”
                    “แอปเปิ้ลเขียวปะพี่ ผมชอบอะ”
                    “ชอบเหมือนพี่เลย” พี่ผู้ชายอีกคนลุกแหวกแทรกตัวมานั่งลงข้างๆผม พลางโอบคอกระซิบ “พี่แนะนำ ใส่โซดาผสมกับสะระแหน่ลงไปด้วย เหยาะบรั่นดีเพิ่มนิ๊ดหน่อย แหล่มเวอร์”    
                    “เอ่อ...มันมั่วไปนิ๊ดปะครับพี่...เอ่อ....” สูตรนี้กินเข้าไปคงได้ทำหน้าเหย่เกแน่
                    “พี่เอ..ครับน้องแมค” อีกฝ่ายยิ้มกว้างส่งมาให้ทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ้มไปก็ค่อยๆยกแขนอีกฝ่ายออกจากไหล่ไปด้วย แต่พอผมยกออกพี่คนนี้ก็ยกกลับมาพาดอย่างเนียนๆชวนคุยนั่นนี่ต่อจนผมชักจะไม่ไหวกับอาการนี้ละ   
                    “ครับ” รับปากแต่ใครจะอยากจำชื่อคนแบบนี้กัน ดูก็รู้ว่าเกย์ชัวร์ ผมยังไม่อยากโดนเปิดซิงในวัยนี้หรอกนะครับขอบอก ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าผมไม่อยากกระทืบคนแก่ตายจนตัวเองติดคุกหรอกนะครับ
                    “กลับกันเถอะแมค"   
 
          ผมพยักหน้ารับคำพร้มกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแทบจะติดตา เพราะแสงสลัวมองเห็นไม่ชัดเลย รู้งี้หยิบนาฬิกาดิจิตอลมีปุ่มกดส่องแสงมาใส่ดีกว่า ดูจากเวลาแล้วกลับเลยก็ดีครับ ครอบครัวผมน่าจะกลับจากไปงานศพที่ต่างจังหวัดละ
                    "อะไรวะ แค่ 4 ทุ่มเอง"
                    "ไปส่งน้องเขาก่อนแล้วค่อยมาว่ากันต่อ" เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นตัดบทสั้นๆ ดึงแขนผมให้ลุกขึ้นตาม
                    "ดูแลดีขนาดนี้ มากกว่าน้องชายละมั้ง" พี่แพรวายิ้มแป้นยกแก้วจรดริมฝีปากอมส้มพลางยักคิ้วส่งให้คนข้างกายผมที่ตวัดสายตาคมมองกลับไปในทันที
                    "มาร์ทมีน้องชายที่ไหน มั่วนิ่ม"
                    "อ้าว งั้นคนนี้ก็..." รู้สึกราวกับโดนสแกนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยอะ ทำไมต้องหันมามองผมพร้อมกันทั้งโต๊ะแบบนี้ ไหนจะมองไปกระซิบกระซาบกันไป แถมยังมีหัวเราะคิกคัก บางคนถึงกับตบเบาะโซฟาตีมือกันซะงั้นเลย ผมสะกิดคนข้างกาย พลางส่งสายตาเว้าวอนหาคำตอบไปยังพี่ชายข้างๆ แต่กลับเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแทน รู้สึกเหมือนมีไอเย็นปกคลุมอยู่รอบกายของพี่มาร์ทเลยครับตอนนี้
                    "งั้นวันหลังมาอีกนะน้องแมค"
                    "เออ ครับ" ผมว่า "หวัดดีครับ"
                    "ส่วนพวกผมจะรออยู่นี่นะครับ พี่มาร์ท ฮิ้ว..." เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบรับคำอะไรทั้งสิ้นกลับเดินลากแขนผมออกจากงานตรงกลับไปที่รถทันที ไม่แม้แต่จะสบตาเหล่าการ์ดคุมผับที่ยกมือไหว้กันเป็นแถว เมื่อปลดล็อกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ ขณะที่อีกฝ่ายบิดกุญแจสตาร์ทรถพูดขึ้นว่า
                    "พี่ไม่น่าพาแมคมาเลย" ผมหันไปมองตอบรับคำด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจในคำพูดที่ได้ยิน "เพื่อนพี่ทำเสียเรื่อง ขอโทษด้วยละกัน"
                    "ไม่นี่ครับ เพื่อนๆพี่ก็น่ารักดีออกคุยสนุกด้วย" ผมยิ้มรับ จะว่าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวแบบสนุกเฮฮากลุ่มใหญ่แบนนี้มานานละ คิดถึงวันเก่าๆดีเหมือนกัน แม้จะมีคนทำเสียอารมณ์อยู่บ้างก็เถอะ
                    "แมคไหวแน่นะ ให้พี่แวะซื้อยาแก้มึนให้ไหม" พี่มาร์ทเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ "แปลกดีนะ ร่างกายแบบนี้"
                    "หือ? พี่หมายถึงอะไรอะ"
                    "ไม่มีอะไร อย่าคิดมาก"
                    "จริงอะ" หรี่ตามองด้วยสัญชาติญาณคล้ายคนตรงหน้ามีเลศนัยชอบกล แต่แววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยยิ้มเช่นทุกทีหรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปก็ได้
                    "จริงสิครับ" พี่มาร์ทหันหน้ามาตอบ อีกมือประคองพวงมาลัย “พี่เคยหลอกเราเหรอ?”
                    "ไม่เอา อย่าเล่นหัวสิ ผมยุ่งหมด" ผมท้วงพยายามปัดมือที่ยื่นมาแกล้งผมออกไป กว่าจะพี่มาร์ทจะยอมล่าถอยป่านนี้หัวผมคงฟูเป็นรังนกละ ถ้าจะยืหัวเล่นแบบนี้จะให้เซตผมมาทำไมก็ไม่รู้ “แล้วนี่มาส่งผมแล้วจะกลับไปดื่มต่อไหมครับ?”
                    “คงไม่ละ เดี่ยวส่งแมคเสร็จพี่กลับคอนโดเลยดีกว่า” ไม่พูดเปล่าด้วยครับ หยิบมือถือตรงแท่นวางใกล้ๆเกียร์ขึ้นมากดปิดเครื่องเฉยเลย ทำเอาผมมองตาปริบๆนี่คิดจะปิดเครื่องหนีจริงเหรอนี่ “ถ้าง่วงจะนอนพักก่อนก็ได้นะ ถึงบ้านแมคแล้วเดี่ยวพี่ปลุก”                   
                    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ง่วง นั่งเป็นเพื่อนพี่มาร์ทขับรถดีกว่า”

          ใช้เวลาไม่นานพี่มาร์ทก็ขับรถมาส่งผมถึงประตูหน้าบ้าน ผมยกมือไหว้กล่าวคำอำลาแล้วยื่นมองรถคันหรูเคลื่อนตัวออกไปสักพักจึงเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอนอาบน้ำแปลงฟันแล้วผมว่าจะนอนเลยครับ ตอนแรกไม่ง่วงนะแต่พอเห็นเตียงขึ้นมาพาลให้หนังตาตกทุกที


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (1/2)] 09-04-2016
«ตอบ #15 เมื่อ09-04-2016 07:11:59 »


Until You


ตอนที่ 6 (1/2)

          มาถึงอีกแล้วครับเดือนเกิดของผม เดือนที่ไม่มีวันหยุดพิเศษประจำปี เดือนที่อาจารย์สอนอัดแน่นทุกวิชาเพราะสอนไม่ทัน เดือนที่โปรเจ็คการบ้านท่วมหัว ซ้ำยังเป็นเดือนแห่งการสอบอีกตั้งหาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผมไม่ค่อยปลื้มกับเดือนนี้สักเท่าไหร่ แถมครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆเลยครับ นั่นก็คือ วันเกิดดันตรงกับวันสอบปลายภาควันสุดท้ายพอดีครับ ยอดแย่ไปเลยใช่ไหมละ?
          แต่ตอนนี้...ตีห้าสิบห้านาที... อีกเกือบสี่ชั่วโมงถึงจะเห็นข้อสอบตัดสินอนาคต ผมต้องไม่เครียดก่อนสอบ เพราะยังไม่ถึงเวลาจะมาคิดเรื่องนั้น สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือต้องปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มตาพร้อมทำบุญวันเกิดแต่เช้าตรู่เสียก่อน เกิดหน้าบึ้งบูดเบี้ยวเมาขี้ตาพบหน้าท่านเจ้าอาวาส รับคำอวยพรจากท่านแบบสติไม่เต็มร้อย เขาว่าชาติหน้าจะหมดความหล่อ หมดออร่าเปร่งปรั่ง ทั้งสติปัญญาจะถดถ่อยลงอีก ผมไม่มีทางยอมให้เป็นแบบนั้น ดังนั้น ผมต้องสปริงตัวลืมตานั่งบิดขี้เกียจหมุนตัวไปมาให้กล้ามเนื้อคลาย แล้วกระโดดตีลังกาสักสามรอบ วิ่งรอบบ้านสองรอบครึ่ง วิดพื้นสิบครั้ง และปิดท้ายด้วยนั่งซดน้ำใบบัวบกแก้ช้ำใน เพราะหักโหมเกินไป ไม่ใช่ละ ตื่นมาใครจะฟิตขนาดนั้น ผมเริ่มต้นกิจวัตรด้วยการบิดขี้เกียจจบละ พอ
          เสร็จจากแปรงฟันล้างหน้าตามกิจวัตร พร้อมโปะผ้าขนหนูลงบนหน้าซับไปเดินไปรับถาดอาหารคาวหวานจากมือแม่และเดินไปยังท่าน้ำที่ติดคลองทางหน้าบ้าน เพื่อรอใส่บาตรท่านสมภารวัดริมคลองแถวบ้าน ซึ่งท่านจะพายเรือมารับบาตรทุกเช้าเวลาตีห้าครึ่งเป็นประจำ ซึ่งถือเป็นพระเพณีเก่าแก่ของผู้คนที่ใช้ชีวิตริมคลองมาแต่ครั้นบรรพบุรุษ แต่สำหรับวันธรรมสาวณะ(วันพระ)และวันสำคัญทางศาสนาอื่นๆ จะพิเศษกว่าวันปกตินั่นก็คือ จะมีการทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์ทั้งคณะที่ศาลาการเปรียญของวัดแทนการพายเรือมารับบาตรเฉกเช่นวันปกติ
                    “นิมนต์ครับ” ผมเอ่ยเสียงนุ่มยกมือไหว้ท่านสมภารแสดงความนอบน้อมเคารพท่าน ขณะที่มือก็เอื้อมไปช่วยท่านจับหัวเรือแจว เพื่อเทียบท่าน้ำหน้าบ้าน
                    “อ้าว วันนี้พ่อของโยมไปไหนซะละ” ท่านเอ่ยถาม
                    “อยู่ครับ แต่พ่อให้ผมมาใส่บาตรแทน วันนี้วันเกิดผมครับหลวงพ่อ”
                    “ดีแล้วละโยม”

          พอท่านพูดจบ ผมก็หยิบถ้วยข้าวสวยหอมมะลิขึ้นมาเทใส่บาตรพระ พร้อมทั้งหยิบเอาปิ่นโตบรรจงเครื่องคาวหวานและน้ำดื่มถวายท่านจนครบ ยกมือพนมรอรับศีลรับพรในเช้าเริ่มต้นของวันใหม่ เพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนจะเดินผละจากท่าน้ำริมคลองกลับเข้าบ้าน
   


          เสร็จจากทำข้อสอบแล้ว ผมตั้งใจว่าจะแวะซื้อเค้กสักสองปอนด์เลี้ยงวันเกิดตัวเองและครอบครัวในตอนเย็นเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้านนอนกลางวันสักหน่อย รู้สึกง่วงบ้างเพลียบ้างตามประสาแต่ก็ไม่ถึงกับสลบเหมือดเหมือนเพื่อนบางคน เพราะเมื่อคืนนอนตั้งแต่สามทุ่ม อ่านจบถึงแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่อยากไปซีเรียสอะไรมากมาย ห่วงสุขภาพตัวเองดีกว่า พอถึงเวลาทำข้อสอบ แน่นอนว่าก็ต้องมีบ้างที่จำเนื้อหาได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงงั้นผมก็อ่านแล้วก็เขียนคำตอบใส่ไปให้ครบทุกข้อไม่มีขาด เผื่อบางทีจะมั่วถูกได้คะแนนสักนิ๊ดหน่อยบ้างก็ยังดี ซึ่งตัวผมมันก็แปลก จะต้องทำให้เสร็จก่อนเวลาเสมอ ออกมาก่อนเพื่อนๆตลอดละครับแต่สอบเสร็จเพื่อนๆถามก็จำไม่ได้แล้วละว่าตอบอะไรไปบ้าง เรียกว่าความรู้มีมาเท่าไหร่ ผมก็จัดการโยนกองไว้ที่โต๊ะสอบซะหมด ออกมาจากห้องสอบ สมองโล่งเลย แต่ยังไงก็สอบเสร็จแล้วครับ สบายใจ

                    “พี่ค่ะ” เหมือนผมจะได้ยินเสียงแว่วๆของสาวผ่านหูมานะครับ แต่คงไม่ใช่หรอก ใครจะมาเรียกผมแบบในละครเกาหลีขนาดนั้น ผมรีบกวาดของในล็อกเกอร์ลงกระเป๋าดีกว่า ปิดเทอมจะได้ไม่ต้องแวะมาเอาอีก "พี่ๆ พี่ชื่อแมคปะค่ะ" คงต้องยอมรับว่าคงหมายถึงผมแล้วละครับ เล่นสะกิดประชิดตัวขนาดนี้
                    "อืม ใช่ครับ" แม้จะเรียกซะไพเราะแบบนี้ผมก็ไม่ยิ้มให้รุ่นน้องหรอกนะครับ คอนเซ็ปต์ผม เวลาเจอคนไม่รู้จักต้องขรึมเก็กไว้ก่อน เพราะขรึมแล้วมักจะหล่อ
                    "พี่แก้วฝากบอกว่า รออยู่หน้าคณะ นานแล้ว"
                    "เอ... อ่าครับ ขอบคุณ" นี่ผมมีนัดกับเพื่อนคนนี้ตอนไหนหว่า จำไม่เห็นได้


          รอจนน้องปริศนาเดินลับตาไปแล้ว ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่องยัดใส่กระเป๋ากางเกงและปิดล็อกกุญแจล็อกเกอร์ให้เรียบร้อย ป้องกันมือดีมาขโมยทิชชู่กับกระดาษเอสี่ใช้แล้ว ก็ช่องเก็บของผมไม่มีอะไรให้หยิบฉวยนอกจากของสองอย่างนี่ครับ แถมล็อกเกอร์อยู่ใกล้ห้องน้ำด้วย เกิดใครต้องการใช้ฉุกเฉิน ก็อาจจะเป็นไปได้ใช่ปะละ ฮ่าๆๆ ผมว่าผมรีบลงบันไดไปยังชั้นล่างคุยกับไอ้แก้วเสร็จ แล้วรีบกลับบ้านดีกว่า

                    "เซอร์ไพร์!!!"

          ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นเพื่อนๆร่วมคลาสยืนรอกันเพียบหน้าคณะ แถมยังรุมยัดของขวัญวันเกิดมาให้ผมด้วยครับ ปลื้มมาก แต่จะดีกว่านี้ถ้าจะมีคนช่วยหยิบกล่อง ขวด ถุง รวมกันเป็นอันเดียวแล้วค่อยส่งให้ผมอะ สูงจนจะท่วมหน้ากับร่วงลงพื้นอยู่แล้วนี่

                    "ขอบคุณๆๆๆๆ"
                    "แฮปปี้เบริ์ดเดย์วันเกิด ไอ้แมค" เสียงมาไม่พอ ยังมีตบหัวผมอีกนะ เดี่ยวก็งับมือขาดซะหรอก
                    "เออๆ" ผมตอบรับพยักหน้าหงึกๆ พยายามจะรวบของในมือใส่ถุงแต่ทำอะไรไม่ถนัดเอาซะเลย
                    "ส่วนนี่การ์ด เขียนๆกันครบทุกคนแล้วจ้า เอ้า..."
                    "ฝากถือไว้ก่อน ไม่มีมือหยิบแล้ว" ส่งยิ้มให้เพื่อนสาวเจ้าของไอเดียแกล้งผมไปหนึ่งที แต่เธอกลับอมยิ้มตอบกลับมาว่า
                    "ได้ไงๆ เจ้าของงานไม่ได้รับก็แย่สิ"
                    “อ๊ะ เฮ้ย!! งัม อือ...” ไอ้เพื่อนๆร่วมสถาบันมันจับการ์ดยัดปากผมอะ เถียงไม่ได้ "งืมๆ ฮึ่ยๆ ฮือๆ " กร่นด่ามันไม่ได้ครับ พวกมันเลยหัวเราะกันสนุกปาก ประจวบเหมาะกับมือถือของผมดันดังขึ้นมาตอนนี้ซะได้ เลยต้องกระแซะตัวกระทุ้งบุ๊ยใบ้ให้เพื่อนใกล้ๆตัว หยิบจากระเป๋ากางเกงออกมาให้
                    "ข้อความวะ" เออ รู้แล้ว แต่ไม่ต้องละเมิดสิทธิเพื่อน เปิดอ่านก็ได้นะเชี่ยเต้ "อะแฮ่ม...รออยู่ที่ลานจอดรถนะค่ะ รีบมานะดาร์ลิง รอนานๆหนูร้อนค่ะพี่แมค”
                    “เฮ้ย มึงมีแฟนแล้วเหรอ วู้ๆๆ"
                    “กรี๊ดดด อะค่ะ ข่าวใหญ่” ผมถึงกับเอือมในท่าสะดิ้งของเพื่อนไปสามวิ แต่มั่นใจได้ว่าไม่มีใครส่งข้อความหวานเลี่ยนขนาดนี้มาให้แน่ การ์ดในปากจึงถูกผมคายทิ้งอย่างไม่ใยดี ดีที่มันตกมาอยู่บนกองของขวัญเต็มแขนตรงหน้าแทน
                    "เฮ้ย เอามานี่" แต่ไม่มีใครฟังเลยครับ ผมเลยวางบวกกับโยนของลงกับพื้น รีบวิ่งไปคว้ามือถือ
                    "แฟนมึงน่ารักปะวะ"
                    "ไม่ใช่แฟน และก็ไม่ได้น่ารักด้วย" ผมโต้กลับไป เพราะเปิดอ่านข้อความดูมีเขียนแค่ว่า รออยู่ที่ลานจอดรถ รีบมานะ เดี่ยวไปไม่ทัน เขียนแค่นี้เองครับ ที่เหลือผมโดนใส่ไฟชัดๆ อย่าได้เชื่อเด็ดขาดเลยครับ ยังไงผมก็โสดอยู่ขอบอก แถมคนส่งข้อความประเภทนี้มาให้มีแค่คนเดียวละครับ ต้องรีบโทรกลับไปหน่อย พี่มาร์ทรอแย่แล้ว
      

                    “อยู่ไหนครับ
                    (ตอนนี้เดินออกจากร้านคอฟฟี่ช็อปแล้ว อีกแป็บคงถึงหน้าคณะแล้วละ)
                    “ไม่ต้องมา ผมเดินไปหาเอง” ขืนเดินมายุ่งแน่ๆ เอียงหูชูคอกันขนาดนี้ ส ใส่เกือก กันจริงๆ
                    (พ้นหัวมุมตึกก็ถึงแล้ว)
                    “เอ่อ...”
                    (ตรงหน้าตึกคณะมีจัดงานอะไรเหรอ คนมุงกันเต็มเลยเสียงดังมาถึงนี่ แมคอยู่ตรงไหน)      
                    “ตรงที่คนยืนกันเต็มนั่นละครับ เดินมาก็เห็นผมเอง”


          กดวางสายได้ไม่ถึงอึดใจ เสียงเพื่อนนับสิบที่แอบฟังก็ดังขึ้น ทั้งถามทั้งเขย่าแขนผมไม่พอ ยังมีแบ่งทีมช่วยกันชะเง้อหาคนปลายสายอีกครับ ไม่ไหวเลยจริงๆ

                    "ไหนๆ สาวผู้โชคร้ายคนนั้น"
                    "ไม่ใช่สาวหรอก นั่นไง คนที่เดินมาโน่นอะ" คิดแล้วก็ถอนหายใจ ไม่อยากจะให้เห็นก็เพราะแบบนี้ละ คนอะไรมาดแมนแฮนด์ซัมกว่าผมอีกอะ มองแล้วน้อยใจ
                    "เฮ้ย มึงเป็น..."
                    "ไม่ใช่โว๊ย!!" ไล่เตะเพื่อนชายทั้งหลายแหล่ที่จู่ๆก็เด้งตัวออกห่างไม่ทันครบคน ก็ต้องยกมือมาปิดหูให้กับเสียงกรี๊ดหนึ่งยกพร้อมตบหน้าผากเข้าไปฉาดนึงเต็มๆ เมื่อเพื่อนสาวอีกกลุ่มส่งเสียงอ๊ายบวกแทคมือกันเงียบๆ อะไรจะดีใจกันขนาดนั้นครับเพื่อน
                    “แกๆ มีโบกมือส่งสัญญาณกันด้วยอะ” ถ้าไม่โบกมือแล้วพี่มาร์ทจะเห็นผมไหมอะครับ ยืนบังกันขนาดนี้
                    “ส่งยิ้มให้กันด้วยอะ แก” คือผมก็ไม่ได้ว่านะครับถ้าเพื่อนจะกระซิบกันเบาๆ แต่นี่เล่นแอบคุยกันดังทะลุสองหูผมเลยนี่ ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับ ขอบอก กลุ้ม
                    "นี่...พี่มาร์ท ส่วนพวกนี้ก็เพื่อนๆ แนะนำตัวกันเองละกัน เยอะเกิน" ผมปรายตาบอกออกไปยังไม่ทันสิ้นคำ กลุ่มสาวทั้งแท้ทั้งเทียมพร้อมใจกันเด้งตัวไปยืนแทบจะซบตรงหน้ากันหมดแล้ว พร้อมร่ายสรรพคุณของตัวเองกันยาวเหยียด พี่มาร์ทยิ้มรับฟังตามสไตล์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
                    "เฮ้ย!แกมีพี่ด้วยเหรอ" แก้วกระซิบถาม "เห็นแต่น้องแก"
                    "ก็นะ" ผมยังไม่ได้ตอบ เพราะยังไม่มันใจสถานะในขณะนั้นเอาซะเลย
                    "ไม่น่าใช่ พี่ชายแกวะ ดูดีเกิน"
                    "ไอ้เวร" ผมประเคนคำชมให้ "พี่หล่อกว่าน้องมันผิดตรงไหน"
                    "แม่มึงหยิบลูกมาผิดชัวร์"
                    "เอาเข้าไป พี่มาร์ทไม่ใช่พี่ชายแท้ๆหรอก แค่รู้จักกันที่งานๆนึงเท่านั้น" ผมพูดความจริง แต่ทำไมหัวใจกลับเต้นแปลกๆหนักหน่วงเหมือนหินมาถ่วงเอาไว้ รู้สึกหดหู่ยากจะบรรยายชะมัด
                    “เฮ้ย! มึง เป็นไร นิ่งเชียว”
                    "เปล่าๆ ไปก่อนนะ ขอบใจมากๆ อุตส่าห์แบกมาให้" ผมยิ้มรับ “วันหลังจะเลี้ยงขอบคุณ”
                    “พรุ่งนี้กินฟรี?”
                    “ซูกัสสองเม็ด เอาปะละ” ร่ำลาผองเพื่อนเสร็จสรรพ ผมจึงก้มตัวลงหยิบสารพัดของขวัญที่วางกองอยู่มาถือไว้พร้อมกับจับยัดบางกล่องใส่ถุงรวมกันจะได้ถือสะดวก แต่แล้วจู่ๆพี่มาร์ทก็มาแย่งไปจากมือผมเกือบหมด เดินนำอ้าวไปทำเหมือนโกรธอะไรผมบางอย่าง ผมต้องรีบสาวเท้าวิ่งตามไปด้วยกลัวจะถูกทิ้งไว้ที่นี่แล้วต้องจ่ายค่าแท็กซี่เอง "พี่เป็นไร กินยาลืมเขย่าขวดเหรอ" ผมเอ่ยถามเสียงใสหยอกเล่นลองเชิง แต่อีกฝ่ายทำแค่เพียงตวัดสายตามามองปิดท้ายรถ แล้วจึงเดินไปเปิดประตูด้านคนขับเข้าไปนั่ง "วันนี้พ่อกับแม่ไปงานแต่งงาน คงจะกลับค่ำหน่อย เอ๋...ผมบอกพี่มาร์ทไปยังนะครับ”
                    "อืม" พี่มาร์ทพึมพำรับคำเบาๆด้วยท่าที่ไม่ใคร่จะใส่ใจเท่าไหร่ ก่อนจะเข้าเกียร์ขับออกไป
   

                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (1/2)] 09-04-2016
«ตอบ #16 เมื่อ09-04-2016 09:54:29 »

พี่มาร์ทโกรธปะเนี่ยย555555

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
«ตอบ #17 เมื่อ09-04-2016 23:51:49 »


Until You


ตอนที่ 6 (2/2)

          อีกไม่ถึงห้ากิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าบ้าน แต่ผมกับพี่มาร์ทยังไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้เพียงประโยคเดียวตั้งแต่ขึ้นรถกลับออกมาจากมหาวิทยาลัย คิดแล้วชักหวั่นใจขึ้นมาเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาผมไม่เคยเห็นพี่มาร์ทเป็นแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกอึดอัดหน่วงแปลกๆแต่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงปั้นหน้านิ่งเงียบฟังเพลงไป ทั้งที่ภายในใจกำลังร้อนรุ่มเค้นสมองอย่างหนักพยายามคิดทบทวนว่า อะไรที่ผมทำผิดพลาดไปกันแน่?
                    "พี่มาร์ท ผมขอโทษ"
                    "เรื่องอะไร?" อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองคนถาม
                    "เมื่อเย็นที่ผมพูดไม่คิด"
                    "ตอนไหน?" พี่มาร์ทสวนขึ้นมาทันควันชะลอความเร็วรถลง
                    "คงเป็นตอนที่ผมบอกว่า พี่เป็นแค่คนที่ผมรู้จัก ใช่ไหมครับ?" ก้มหน้าก้มตางุบงิบตอบกลับไป ด้วยความไม่แน่ใจ เพราะหลังจากไตร่ตรองคิดทบทวนแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีสาเหตุอื่นอีก
                    "คิดว่าใช่ไหมละ?" แม้น้ำเสียงไม่ได้เรียบเฉยตามเดิมแต่ก็ไม่เชิงทำให้ผมมีความหวัง ยิ่งได้ยินยิ่งกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบให้จนตรอกยิ่งกว่า
                    "ครับ ผมขอโทษ"
                    "แล้วพี่เป็นอะไรสำหรับแมคกันละ" เป็นอะไรดี? นั่นสิครับเป็นอะไรดี ในเมื่อผมยังหาศัพท์หรือนิยามมาบรรยายไม่ได้เลย ในใจของผมรู้สึกผูกพันกับพี่มาร์ทมากจนไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักธรรมดา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นรักชอบแบบคนอยากมีแฟนเสียด้วย เพราะผมรักความเป็นโสดที่สุด คิดว่างั้นมั้ง? หรือว่าไม่ใข่อีก?
                    "พี่อายุมากกว่าผม คงเป็นพี่ชายละมั้ง เหวอ...." ไม่ถึงกับหน้าคะมำ เพราะผมจับประตูทรงตัวไว้ได้ทัน แต่จะไม่เสียวเลยก็คงตายด้านเกินไป ในเมื่ออยู่ๆตัวรถถูกบังคับหักเลี้ยวปาดเข้าเลนซ้ายสุดกระทันหันเข้าไปจอดหน้าเซเว่นอีเลเวนในปั๊มน้ำมันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ทั้งยังเบรคตัวโก่งจนร่างกายเด้งไปด้านหน้าดีที่มีเข็มขัดนิรภัยคาดเอาไว้ ไม่งั้นคงพุ่งทะลุกระจก ผมหันขวับอ้าปากพร้อมต่อว่าในทันที “พี่ทำบ้า อะ...”
          ปัง!!!
          เสียงกระแทกประตูด้านคนขับปิดลงทันที เล่นเอาผมกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอแทบไม่ทัน กระพริบตาปริบนั่งงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คอยอยู่สักพักพี่มาร์ทก็เดินกลับมาพร้อมกาแฟกระป๋องโยนมาให้ ผมรับมาถือไว้ไม่ได้เปิดดื่มแต่อย่างใด และยังคงเป็นเช่นเดิม เพราะทั้งผมทั้งพี่มาร์ทต่างเงียบให้แก่กัน ทว่า...สิ่งที่แปลกไปจากเมื่อครู่ก็คือแววตาของพี่มาร์ทเปลี่ยนไปเหมือนคนอมทุกข์หนักใจมากกว่า สังเกตได้จากคิ้วขมวดแทบจะชนเข้าหากันบนใบหน้ายุ่ง
                    “พี่มาร์ทเป็นอะไรปะครับ” เป็นผมที่ต้องเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
                    “แมค พี่มีเรื่องที่ต้องบอก” ผมพยักหน้ารับฟังทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สีกลางสังหรณ์ตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนักเลยครับ  "งานแต่งงานจะมีขึ้นวันศุกร์หน้า" ซองสีชมพูอ่อนลายกลีบกุหลาบยื่นมาให้ผม ก่อนใบหน้าคมจะฟุบหน้ากับพวงมาลัย
                    "..." ช็อก!!! พี่มาร์ทจะแต่งงาน "จ...จริงเหรอครับ?" ไม่จริงใช่ไหม? ดูเหมือนจะเรื่องจริง งั้นผมควรพูดแสดงความยินดีกลับไปตามมารยาทสินะครับ แต่ทำไมริมฝีปากของผมถึงสั่นแบบนี้ คำพูดแสดงความดีใจที่ต้องเปร่งออกมากลับเงียบสนิทราวกับซึมเข้าไปในลำคอแห้งผาด แค่คำว่าแต่งงาน คำเดียว ทำไมถึงรู้สึกโหว่งเหวง ใจหายวาบได้ถึงขนาดนี้ เหมือนกำลังจะมีอะไรขาดหายไปและบางอย่างคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
                    "พี่ชายคนนี้ คงมาหาแมคไม่ได้ละครับ"
                    "พี่ชาย เหรอ...?" ผมอยากมีพี่ชายมาตลอด แต่ไม่ใช่พี่ชายในความหมายที่ได้ยินตอนนี้
                    “...แมค...” ผมเบนหน้าหันไปมองกระจกข้างไม่กล้าสบตาด้วยรู้สึกว่า อารมณ์ยังไม่เป็นปกติดีทำไมคำสั้นๆคำนี้ฟังดูใกล้ชิด แต่ความหมายช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน นี่ใจของผมอยากให้เป็นอย่างนี้จริงๆงั้นเหรอ? จะอยากหรือไม่อยาก คนอย่างผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อคำตอบผมยังให้ตัวเองไม่ได้เลย แล้วผมจะมั่นใจไปไขว้ขว้าอะไรได้
                    "เจ้าสาวสวยไหมครับ" อยากเปลี่ยนคำถาม แต่ปากดันไม่รักดี
                    "ก็สวย เป็นนางแบบระดับแถวหน้า แมคน่าจะรู้จักนะ"
                    "งั้นเหรอ... ครับ” ทอดเสียงยาวพาลให้จิตใจเหม่อลอยแบบนี้เขาเรียกว่าจุกอุกจนพูดอะไรไม่ออกใช่ไหม ผมไม่เคยเป็นแต่เดาว่าคงใช่”งั้นผมก็ได้เจอพี่แค่นี้สินะครับ"
                    "พี่จะมาหาบ่อยๆ ทุกครั้งที่ว่าง" เศร้าครับคงเป็นเรื่องเศร้าที่สุดในวันเกิดปีนี้ของผม ไหนใครว่าวันเกิดมักจะเจอเรื่องดีๆไงละ?
                    "อย่าเลยครับ อยู่กับครอบครัวพี่เถอะ" ผมเม้มปากตอบกลับไป ปลดเข็มขัดนิรภัยนิรภัยออกโผกอดคนข้างๆไว้แน่นราวกับกลัวคนในอ้อมแขนหายไป ผมคงทำได้ดีที่สุดแค่นี้ในตอนนี้
                    “แมค?” เสียงเรียกชื่อของผมดังแผ่วเหมือนกระซิบคล้ายต้องการเรียกสติให้ผมรู้สึกตัว พี่มาร์ทคงรู้สึกอึกอัดที่ผมกระชับแรงมากเกินไปแต่ผมอยากกอดคนตรงหน้าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ต้องการ ซึ่งนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำเช่นนั้นได้
                    "ผมจะจำทุกช่วงเวลาที่พี่มอบให้ผม...อึก...ผมจะไม่มีวันลืม... ขอให้มีความสุขนะครับ พี่ชาย... ผมไม่มีพี่ชาย แต่ก็อยากให้พี่เป็นพี่ชายของผม แม้ว่าพี่จะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ และผมเองก็ยังไม่ได้ตอบรับคำนั้น แต่ผมอยากจะบอกว่า พี่เป็นมากกว่าพี่ชายของผมนะครับ โชคดี..." ผมหยุดประโยคไว้แค่นี้ เพราะถ้าหากพูดต่อไป น้ำเสียงของผมต้องสั่นตะกรุกตะกรักจนพูดไม่รู้เรื่องแน่ๆ
                    "มากกว่าพี่ชาย แต่อนาคตก็พัฒนาใช้คำว่าแฟนได้สินะ" เสียงใสกระซิบข้างหูจนผมถึงกับสะดุ้งผละออก แต่กลับโดนสองแขนโอบรัดไว้แทน "แมค... น่ารัก"
                    "พี่มาร์ทปล่อยผมก่อน พี่พูดอะไรนะ เลิกล้อเล่นได้แล้ว ผมไม่ได้เป็นตัวแทนของใครนะ"
                    "ใครว่าแมคเป็นตัวแทน แมคเป็นตัวจริงต่างหาก"
                    "อ้าว แต่พี่มาร์ทจะแต่งงานแล้วนี่ครับ โอ้! พี่เป็นคนอย่างนี้เองเหรอ พี่คิดจะหว่านล้อมผมแกล้งผมใช่ไหม จะให้ผมเป็นตัวจริงแล้วฝ่ายหญิงเป็นตัวสำรอง โหย!! เลวมาก ชั่วสุดๆ นี่เคยคิดไหมว่าถ้าผู้หญิงเขารู้... อุ๊บ"   
                    "ชู่วร์ เงียบๆ อย่าโวยวายสิแมค"
                    "อืม อัมๆๆ" ถึงจะเอามือปิดปากผมได้ สายตาผมก็จะยังจะด่าพี่ต่อไป ทำงี้ได้ไงคิดจะเอาผมอยู่บ้านน้อย เวลาว่างเบื่อก็มาหามาเยี่ยมงี้? อย่างนี้ต้องทวงสิทธิ์ หนอย คนเจ้าชู้
                    “ถ้าพี่ปล่อยแล้ว อย่าร้องนะ โอ๊ย!!” พี่มาร์ทสะบัดมือทิ้ง “กัดพี่ทำไมนี่”
                    “ผมจะไม่ยอมเป็นภรรยาน้อยเด็ดขาด แล้วก็ไม่ยอมให้พี่มาร์ทแต่งงานแล้วทิ้งภรรยาหลวงไม่ดูแลด้วย!” 
                    “ใครภรรยาน้อย ใครภรรยาหลวง แมคเหรอ?” ยังมีหน้ามาถามอีก ดูทำหน้าเข้าแกล้งเบลอใช่ไหมเนี๊ยะ
                    “ใช่! เฮ้ย! ไม่ใช่!! ไม่รู้” ผมส่ายหน้าผับๆแบบงงงวย นี่ผมสับสนอะไรอยู่ปะหว่า “จะใครเป็นตัวจริงตัวสำรองก็ไม่ดีทั้งนั้น ยังไงพี่มาร์ทก็นิสัยแย่อยู่ดีวะ”
                    “อ้าว ทำไมมาลงที่พี่ละครับ พี่ว่าแมคเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะ”
                    “เข้าใจผิดยังไงมิทราบ ก็พี่มาร์ทบอกตัวจริงอยู่เมื่อกี้ หรือจะกลับคำ?” ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมมองคนผิดไปหรือนี่ ปกติไม่เคยพลาดนี่หว่า
                    “เพื่อนพี่แต่งงานต่างหาก ไม่ใช่พี่"
                    “เอ่อ... หยุด ห้ามยิ้มขำผมก่อนผมจะเข้าใจเด็ดขาด ขอเปิดซองดูก่อน”


          พิธีมงคลสมรสระหว่างนายภงศกร ตัน.... นิ่งเงียบไว้อาลัยตัวเองสักห้านาทีทันไหมครับ เชี่ยเอ้ย! อยากมุดหัวลงบนผ้ายางรองพื้นรถมาก หน้าแตกไม่พอยังแหกแบบประกอบไม่ติด ตกลงผมเข้าใจผิด?

                    "หลอกกันเหรอ" ถามเสียงอ่อยพลางกรอกตาไปมาด้วยความอายขายหน้า
                    "นึกดีๆสิว่า พี่พูดตอนไหนว่าพี่จะแต่งงาน" มันก็จริงอยู่นะ งานแต่งงานจะมีขึ้นวันศุกร์หน้า
                    "ถึงงั้นก็เถอะ ยังไงพี่ก็แกล้งทำให้ผมเชื่ออยู่ดี เจตนาเข้าข่ายหลอกลวงผิดกฏหมายมาตราที่ 4210 " ผมชี้หน้าแต่พี่มาร์ทกลับเอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ "ไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อนเลย รู้น่าว่าข้อนั้นไม่มี ไงผมก็ไม่ชอบอยู่ดีที่พี่ทำแบบนี้"
                    "อย่าโกรธเลยน่า ถือซะว่าพี่เอาคืนที่ทำให้พี่เกือบเสียเงินตั้งสองหมื่นกับค่าเรือสำราญ" เกือบเสียเงินแสดงว่ายังไม่ได้เสีย ดีนะนี่ที่ผมฟังอย่างตั้งใจไม่หลุดปากบอกให้ไปเอาเงินคืน ไม่งั้นเสียหน้าอีกแน่ๆ ว่าแต่มันค่าอะไรละนี่?
                    "งั้นข้อความที่เขียนมานั่น หมายถึงแบบนี้เองเหรอ"
                    "ใช่ แมคเปิดข้อความช้ามาก" พี่มาร์ทว่า “พี่จองเรือกับสั่งเซตดินเนอร์มื้อค่ำเอาไว้ ตั้งใจว่าจะทำเซอร์ไพร์พาแมคไปฉลองวันเกิดสักหน่อย”
                    "ก็ผมเพิ่งสอบเสร็จอะ มือถืออยู่ในล็อกเกอร์ด้วย” ผมบอก “งั้นเอางี้ไปกินพิซซ่าที่นารายพิซซาเรียกัน แถวๆบ้านผม ผมเลี้ยงเองก็ได้ ไม่...ไม่เลี้ยงแล้ว เพราะพี่มาร์ทแกล้งผม พี่นั่นละเลี้ยง"
                    "ยังไงก็ได้ครับ" ถึงจะไม่มีแซวเพิ่ม ผมก็ยังแอบเห็นอีกฝ่ายอ้อมแอ้มแอบขำผมอยู่เลย คิดแล้วน่าโมโห
                    “เดี่ยว อย่าเพิ่งออกรถ พี่มาร์ทต้องหยุดขำผมก่อน ห้ามขำในใจ ห้ามอมยิ้มด้วย”
                    “โอเคๆ หยุดละครับ หึๆ ไม่หัวเราะละ ไปกินพิซซ่ากันได้ยัง”
                    “ยัง เคลียร์มาก่อนเลยว่า ขำอะไรผมนักหนาอะ”
                    “แน่ใจว่าอยากฟัง?” ผมพยักหน้าทั้งที่ใจเริ่มลังเล “ถ้ารู้แล้วห้ามโกรธพี่นะ” นี่ผมต้องพยักหน้ารับคำอีกสองสามรอบไหม ลีลาเยอะจริงคนอะไร “ก็เมื่อกี้แมคให้พี่เป็นพี่ชาย สามนาทีให้หลังก็เลื่อนขั้นเป็นสามีภรรยาแล้ว ข้ามขั้นแฟนไหมครับ
          ฉ่า... แดดบ่ายนี่คงแรงนะครับ หน้าผมถึงร้อนได้ขนาดนี้ สงสัยแอร์ในรถพี่มาร์ทจะไม่เย็นพอต้องบอกให้ไปล้างไปซ่อมแอร์บ้างละ... โอเค เราเปลี่ยนเรื่องกันเถอะนะครับ อะไรที่แล้วไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเนอะ

   



          เค๊กไม่พอปักเหรอครับ?
          โอยแค่คิดหน้าตอนพี่มาร์ทโดนแซวแล้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วมันฮาจริงๆ ลองจินตนาการตามผมดูสิครับ ภาพหนุ่มพี่มาร์ทไฮโซแต่งตัวดีเดินประคองถาดพิซซ่าฮาวายเอี้ยนถาดใหญ่ มือนึงถือถาดอีกมืออังกันเทียนเกือบยี่สิบเล่มดับ ทั้งยังห่อปากสั่งเทียนอีกไม่ให้เอนอีก ทำเอาพนักงานในร้านกับลูกค้าคนอื่นแอบขำคิกคัก ผมสาบานชาตินี้จะไม่มีวันลืมภาพนี้แน่นอน
                    "อมยิ้มอะไรคนเดียวหืมเรา? ถึงบ้านแล้วไม่ลงเหรอ?"
                    "ลงครับลง" เพิ่งเข้าใจคำว่าหัวเราะทีหลังดังกว่าก็วันนี้ละครับ สุขขีจริงๆ
                    "แมค ลืมอะไรหรือเปล่า"
                    "ของขวัญเพื่อนนะเหรอ ลืมครับ พี่มาร์ทเปิดท้ายให้หน่อยสิ อ้อ...แล้วก็ขอบคุณสำหรับของฟรีแสนอร่อยครับผม" ลาภปากอิ่มทองยามเย็นแบบนี้ ต้องยกมือไหว้อย่างนอบน้อมสักหน่อยแล้วครับ “กราบขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ คุณพี่มาร์ท”
                    "จะเอาไหม ของขวัญพี่นะ" หยอกเล่นแค่นี้ถึงมาทำหน้าเพลียใส่ผมเลย งั้นเจอยิ้มหวานหน่อยเป็นไง
                    "เอาสิครับ ไหนๆ?" เห็นพี่มาร์ทพยักหน้ารับทราบแล้ว ผมจึงเปิดประตูรถออกตรงไปยังท้ายรถที่เปิดอ้า แต่ค้นจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเจอสักอย่าง จะมีก็แต่ของขวัญจากเพื่อนๆผมนะ เลยจำต้องเรียกเจ้าของรถออกมาหาให้เอง
                    "เอ้า บอกให้หยิบใส่ท้ายรถมาแล้วนี่" พี่มาร์ทบ่นอย่างหัวเสียจนผมต้องเอียงคอถามด้วยความสงสัย "พี่ให้แม่บ้านหยิบใส่ท้ายรถมาให้แล้ว สงสัยตอนเอาของไปเก็บที่คอนโด คงติดกับถุงอื่นไปด้วย"
                    "ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมหยุดแล้ว สายๆผมไปหาที่ตอนโดละกันครับ"
                    "แมคจะมา? ดีเลย พี่จะได้เก็บห้องรอ"
                    "เก็บทำไม มันก็ไม่ได้รกอะไรอยู่แล้ว"
                    "เมื่อวานพี่นัดทีมมาประชุมกัน ทำงานกันยันเช้ากระดาษกองเต็มไปหมด" พี่มาร์ทว่าพลางเดินเข้ารถไปนั่งประจำที่ปิดประตูลดกระจกลง “จะมากี่โมงละ”
                    “คงก่อนเที่ยงมั้งครับ ไปแถวนั้นช้าเดี่ยวรถติด” แถมยังร้อนอีกตั้งหาก อันนี้ผมแค่คิดไม่ได้พูดออกไป เพราะเดี่ยวถามอะไรยืดยาวอีก อยากกลับบ้านไปตากลมละนี่ หน้าฝนทำไมมันแล้งได้ขนาดนี้
                    “เข้ามาใกล้ๆมา พี่เช็ดเหงื่อให้” ผมรับคำเดินเข้าไปใกล้หวังจะได้ผึ่งแอร์เย็นๆสักชั่ววินาทีก็ยังดี แต่กลับได้ยินประโยคสั้นๆที่มาพร้อมการกระทำที่พาลให้หัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ "แฮปปี้เบริ์ดเดย์นะครับ คุณน้องชาย"

          ฟอด... แก้มผม...ก...กะ...แก้มข้างขวา... ไม่มีทาง พี่มาร์ทคงหันหน้าพลาดเอาปากมาชนผิดที่แน่ๆเลยครับ
          ...แต่ว่า...
          ฟอด... แก้มซ้าย สัมผัสนุ่มบนผิวแก้มเหมือนที่โดนเมื่อกี้นี้เลย เรื่องแบบนี้คงไม่มีพลาดกัน เว้นเสียแต่ว่า...ตั้งใจ!!
                    “พี่มาร์ท!!” แทบอยากตะโกนให้ลั่นปฐพีพร้อมกับอ้าปากกัดแขนล่ำๆนั้นอีกสักสองแผล ทำไมทำกับผมแบบนี้ หน้าร้อนจะไหม้ ผมไม่รู้ว่าทำหน้าแบบนั้นอยู่ รู้แต่ว่าอีกฝ่ายยิ้มกรุ้มกริ่มสีหน้าดีใจแบบไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นครั้งแรกที่ผมโดนประทุษร้ายแก้มนับตั้งแต่รู้จักกันมาสามปี ทำไม? ทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆสบายๆอย่างนั้น หุบยิ้มสักทีสิครับ ขอร้องละ
                    “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ น้องแมค” พี่มาร์ทโบกมือเข้าเกียร์รถ “แล้วพี่จะรอ


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------



ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
«ตอบ #18 เมื่อ10-04-2016 07:22:59 »

 o22 น่าร้ากกกก

ออฟไลน์ Ferin1A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
«ตอบ #19 เมื่อ10-04-2016 08:33:50 »

น่าร้ากกกกกกกก :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-04-2016 08:33:50 »





ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 6 (2/2)] 10-04-2016
«ตอบ #20 เมื่อ10-04-2016 08:59:09 »

ช่วง : Talk to Writer

ขอบคุณสำหรับทุกการตอบรับนะครับ (^_^) เห็นจำนวนคนแวะเข้ามาชมแล้วดีใจมากๆเลยครับ

วันนี้ผมพอมีเวลาว่างอยู่บ้างก็เลยแวะเข้ามาทักทายนะครับ อันที่จริงแล้วก็อยากมาทักตั้งแต่เห็นคอมเม้นต์แรกๆละครับ แต่ก็หมดแรงกับงานเพลียไปซะก่อน ทำงานมา 10 วัน แต่ก็เล่นเอากลับค่ำแทบทุกวัน ผมเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเป็นมินิบอส(สมัยก่อนเป็น junior น้องๆในที่ทำงาน ผ่านมา 6 ปี ถูกจ้างออกเพราะพิษเศรษฐกิจตกงานมา 6 เดือน แล้วก็เพิ่งได้งานที่ใหม่ ก็ดันเป็น supervisor ซะงั้น) ทำให้รู้ว่าชีวิตคนใหญ่คนโตนี่มันเล่นเอาเพลียสมองกับร่างกายมากจริงๆ

ผมเห็นพี่มาร์ททำงานตำแหน่งใหญ่กว่าผมยังไม่เห็นบ่นอะไรเลย แถมบางวันยังกลับบ่ายซะอีก บางทีก็ไปทำงานสาย ไม่บ่นไม่ท้อ อึดทุกสถานการณ์ซะจริง เอ๊ะ ยังไง? ฮ่าๆ

จูน...สมองก่อน.... เวิ่นเว้อมานานสงสัยจะหลุดมาดเข้า อะแฮ่มๆ
เอาเป็นว่า วันนี้ผมขอตอบเม้นต์รวมๆไปเลยละกันนะครับ ตามนี้เลย...

Q: seaz >> เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน ต้องห่างกันแล้วเหรอครับ
A : mac >> ไม่ต้องเศร้าไปครับ แมคกับพี่มาร์ทยังมีเวลาร่วมกันอีกเยอะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ
                 (จนวันนี้ก็ยังมีเวลาร่วมกัน ฮ่า)

Q: Ferin1A >> น้องแมคน่าร้าาาากกกกกกกก พี่มาร์ทดูเป็นผู้ใหญ่อบอุ่นมากๆเลย
A : mac >> o22 หน้าแมคตอนวินาทีที่ 1-6 (ยิ้มหวาน ขอบคุณครับ)
                 และหน้าแมคตอนวินาทีที่ 7 เป็นต้นไป (ไม่จริง!!!!! พี่มาร์ทนะเหรออบอุ่น?? ตัวจริงออกจะเจ้าเล่ห์ อันนี้ขอเถียง)

Q: mi22 >> อ่านรวด แมคน่ารักมาก โดนบอกชอบถึงกับไปไม่เป็นเลย 5555 ขอบคุณค่ะ
A : mac >> แหม ก็คนมันเขินนี่ครับ เย้ย ไม่ใช่ อะแฮ่มๆ เก็กขรึมก่อน อย่าชวนผมหลุดมาดดิ

Q: Ferin1A >> น้องแมคอาการหนักมาก น่าร้าาากกกย
A : mac >> ตอนนั้นวัยยังละอ่อน เลยยังไม่ชินนี่ครับ ฮ่าๆ

Q: panitanun >> พี่มาร์ทโกรธปะเนี่ยย555555
A : mac >> เขาไม่เรียกโกรธครับ เขาเรียก งอน อิอิ

Q: chaichan >>  o22 น่าร้ากกกก
A : mac >> น่ารักแต่ทำไมอีโมมีช่วงหลอนใส่ผมด้วยอะครับ ฮ่า


ตอบครบแล้วนะครับ แต่ขอเพิ่มเติมไรอย่างนึงนะครับ แบบกระซิบละกันว่า... อย่าชมผมว่า น่ารัก บ่อยๆนะครับ เดี่ยวคนข้างๆเขาจะงอนเอา คำนี้ขอสงวนไว้สำหรับคนโสดแบบมีเจ้าของละกันครับ ฮ่าาาา

สุดท้ายนี้ ถ้าผมพอมีเวลาจะแวะเข้ามาทักทายและพูดคุยให้บ่อยขึ้นนะครับ หากใครอยากคุยเล่น หรือ มีอะไรสงสัย พิมพ์ไว้ได้เลยครับ ผมจะมาเคลียร์ทุกประเด็นให้เอง

ขอบคุณมากๆเลยครับ บอร์ดนี้อบอุ่นมากๆเลย
แมค

ปล. ถึงเพือนที่ช่วยลงเรื่องแทนให้... เอ็งลงถี่ขนาดนี้ ฆ่ากูเลยดีกว่าวะ? (-*-) คนอ่านฟิน แต่คนปั่นเรื่องจะตายเอาโว้ย มีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้งจริงๆ ก็บอกอยู่ว่าถี่ได้แต่อย่าย้ำมาก???? กูหายใจหายคอไม่ทัน กร๊ากกก เห็นใจกูบ้างดิวะ ขอเวลาพักบ้างไรบ้าง แค่นี้เวลาให้พี่มาร์ทก็น้อยอยู่ละ คิกๆ (มุขนะครับ อย่าคิดลึก โมเม้นต์นี้พี่มาร์ทแอบหวง อิอิ)


ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 7] 10-04-2016
«ตอบ #21 เมื่อ10-04-2016 22:20:00 »


Until You


ตอนที่ 7

          ทั้งที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะละว่า ผมจะมาพบพี่มาร์ทที่คอนโดมิเนียมในวันถัดมาหลังจากปิดภาคการศึกษาแล้ว แต่นั่นเป็นข้อตกลงก่อนผมโดนล่วงละเมิดทางแก้มนี่ครับ เจอเข้าไปแบบนั้นเป็นใครก็ต้องลังเลเหมือนผมตอนนี้แน่ๆ เรื่องของขวัญวันเกิดมันก็อยากได้ แต่ถ้าเข้าไปอาจจะมีเรื่องอื่นให้ลุ้นยิ่งกว่า คิดแล้วใจมันหนักชอบกล

                    “คุงข้าใน”
                    “ห๊ะ?” เดินคิดอยู่ดีๆสำเนียงประหลาดจากข้างหลังทำผมชะงักเลย
                    “เลาะบี้” พม่าหรือกระเหรี่ยงวะ? ทำไงดีผมไม่เก่งภาษาเพื่อนบ้าน “ปะไป”
                    “เฮ้ย! ไรวะ” ผมถึงกับโวยวายด้วยไม่ชอบให้ใครมาแตะตัว
                    “โจ ไปที่ป้อมรับบัตรจอดรถ” ตกลงเป็นคนรู้จักของรปภ. ที่นี่งั้นเหรอ? “คุณแมคใช่ไหมครับ" ผมพยักหน้ารับ รู้สึกคุ้นหน้าตั้งแต่เห็นแกจะวิ่งตากแดดจากในตัวอาคาร
                    "ขอโทษแทนไอ้โจมันละกันครับคุณ มันเป็นคนซื่อๆสั่งอะไรมันก็ทำ ผมให้มันมาเชิญคุณแมคไปรอที่ล็อบบี้แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาลากคุณไปไหนมาไหนแบบนี้ เข้าข้างในเถอะครับ อยู่ตรงนี้นานๆโดนไปแดดจะไม่สบายเอา"
                    "ผมอยู่นานแล้วเหรอครับพี่"
                    "เกือบชั่วโมงแล้วครับ ดีที่ต้นไม้ใหญ่อยู่นะ" คงจริง ถ้าไม่ได้ร่มต้นไทรนี่ ผมคงหน้ามืดเพราะลมแดดไปแล้ว
                    "เดี่ยวผมเข้าไปละกันครับ ขอบคุณพวกพี่มากๆ พอดีผมกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่นะครับ"
                    "คุณพิมลฝากบอกว่า ถ้าลืมกุญแจห้อง มาเอาได้เลย ไม่มีชาร์จค่ากุญแจสำรองเพิ่มสำหรับห้องพักของคุณภิมุข"
                    "ทำไมละครับ พี่?" ปริ้นๆๆ เสียงแตรไม่คุ้นหูแต่บีบได้ลั่นสนั่นเมือง จนพี่ยามต้องวิ่งไปเข็นประตูกั้นออก ทำให้ผมอดที่จะหันไปมองไม่ได้ พิจารณารุ่นของรถและป้ายทะเบียนเด่นหลานั่นแล้ว บุคคลที่นั่งหลังพวงมาละคงเป็นใครอื่นไม่ได้แน่ๆ เอ่ยถึงก็มาเชียวนะเลี้ยงกุมารทองไว้กระซิบข้างหูหรือไง แล้วนั่นจะกระพริบไฟใส่ตาผมทำไมอีก เปิดกระจกกวักมือเรียกก็เห็นตั้งแต่สิบเมตรแล้ว
                    "มายืนทำไรใต้ต้นไม้"
                    "ซื้อขนมครกมั้ง" ผมตอบกวนไปที "ล้อเล่นนะครับ เพิ่งมาถึงกำลังจะเดินเข้าไปพอดี"
                    "งั้นก็ขึ้นรถมา ทานไรมายังบ่ายโมงละ" พี่มาร์ทว่า “ถ้าตอบว่าทานขนมครกมา เชิญลงจากรถแล้วขึ้นบันไดหนีไฟด้วยขาสองข้างเองเลยครับน้องแมค”
                    "แหม พี่มาร์ทก็ ผมก็มุขไปเรื่อยอะพี่ อย่าซีเรียสสิครับ"
   

          หลังจากหม่ำมาม่ารสต้มยำไปหนึ่งต่อด้วยรสหมูสับไปอีกซอง ยกน้ำอัดลมขึ้นซดหมดไปสองแก้ว ตามด้วยไอศครีมสี่ลูกแต่โดนแย่งตักกินไปลูกนึง ผมก็พร้อมสำหรับของขวัญชิ้นสำคัญแล้วละครับ
                    “ต้องหลับตาก่อนไหมครับ”
                    “ตามธรรมเนียมก็ต้องทำ” พี่มาร์ทพูดทิ้งท้าย ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องนอนและออกมาพร้อมสิ่งที่เรียกว่าของขวัญเต็มข้อแขน อย่าคิดว่าเยอะนะครับ มันมีชิ้นเดียวแต่ถูกพี่มาร์ทหิ้วมาแบบหนีบคอลากพื้นมา เห็นแล้วหมดศรัทธากับของขวัญไปเลยละครับ ดูทำเข้า    
                    "ใหญ่ไปไหมครับ" ตุ๊กตาหมีขนสีครีมตัวสูงเท่าไหล่ถูกส่งต่อมาให้ตรงหน้า ผมรับมากอดเต็มสองแขน อดใจที่จะแขวะไม่ได้ "ไม่ห่อใส่กล่องมาให้เลยละ กล่องตู้เย็นน่าจะใส่ได้"
                    “เป็นความคิดที่ดี แต่พี่ยังไม่มีเพลนจะซื้อตู้เย็นใหม่นะ” พี่มาร์ทหัวเราะ ปล่อยผมทำหน้าบูดเบี้ยวหน้าเบี้ยวอยู่สักพัก คิดเหมือนผมไหมครับว่า วันนี้พี่มาร์ทดูอารมณ์ดีกวนขึ้นเยอะเลย


          ผมก็เหมือนผู้ชายส่วนมากที่ไม่ชอบตุ๊กตา อาจเป็นเพราะค่านิยมที่ผู้ใหญ่สั่งสอนมาว่า เด็กผู้ชายต้องเล่นหุ่นยนต์ เด็กผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตาละมั้งครับ แต่จะว่าไปหมียักษ์ตัวนี้ก็หน้าตามู้ทู้ทะเล่นดีเหมือนกันน่าตบให้หายซึนสักสองที เอาแก้มซ้ายก่อนแล้วค่อยแก้มขวา โดนฝ่ามือเข้าไปแล้วยังกล้าจ้องผมด้วยแววตาใสซื่ออีกเหรอ ถ้าไม่กลัวว่าจมูกสีน้ำตาลนี่ดึงบิดแล้วมันจะพังจะ ผมจะบี้ให้แบนยุบไปเลย อ่า...ขนสีครีมสวยนี่ก็นิ่มมือเชียว ดึงกระตุกไม่หลุดด้วยแสดงว่าของมีคุณภาพ แบบนี้ค่อยกล้าเอาหน้าไปซบหน่อย โอ้ว...หอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้าซะด้วย แสดงว่าซักมาอย่างดีซุกแล้วหน้าไม่เป็นสิวแน่ๆ ว่าแล้วต้องเอาหัวโหม่งชนประเดิมก่อนสักสองจึก ต่อด้วยกอดรอบคอโอบได้เต็มแขนแถมยังอุ่นแล้วก็นุ่มนิ่มด้วยอะ ตัวใหญ่แบบนี้น่าจะเอามานอนทับได้สบายๆ คืนนี้ต้องเอาไปลองทับนอนดึ่งดั่งซักหน่อย อ่า...จะว่าไปเอามาทำเป็นเก้าอี้นั่งพิงตอนดูทีวีก็น่าจะเหมาะ แหมพอดีหลังของผมเลยครับความสูงความใหญ่ระดับนี้ คงแก้อาการเมื่อยหลังได้ดีทีเดียว ขย่มก็สบายก้นไม่เจ็บด้วยอะ เยี่ยมไปเลย ว่าแต่ว่า... มีใครจ้องผมอยู่หรือเปล่าครับ?
                    “Pretty boy”
                    “ฮัลโหลๆ พี่มาร์ท” ถามไม่ตอบดันแข็งทื่อไปซะละ ขนาดโบกมือไปตรงหน้าของอีกฝ่ายยังมองผมตาไม่กระพริบเลย คนอะไรอุทานประหลาดชะมัด “มองมือผมนะ นี่เลขอะไรเอ่ย?”
                    "เลข 3” ก็ตอบถูกแฮะ “Can I kiss you?"
                    “ห๊ะ! ว่าไรนะ!!!” สงสัยหูผมเพี้ยนรอบสอง แคะขี้หูออกหน่อยดีกว่า
                    "Can I kiss you, please?"
                    “จูบ?...ผมนะเหรอ? ผมนี่นะ?” ตอบกลับด้วยการพยักหน้าทั้งยังแอบขำที่ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองอีก “ผมว่ามัน....เอิ่ม...เร็วไปนิ๊ดนะ...เอ่อ...” พูดไปยังตะขิดตะขวงใจอยู่เลย เกิดมาผมยังไม่เคยโดนใครเอ่ยปากขอตรงไปตรงมาชนิดไม่ทันให้ตั้งตัวเช่นนี้เลย ว่ากันตามตรงเหตุการณ์ในตอนนี้ผมก็เคยคิด เคยจินตนาการ เคยเก็บไปฝัน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไวขนาดนี้
                    “แมค”
                    “เอ่อ...ครับ?”
                    “Please” เอ่ยเสียงหวานจ้องมองมาด้วยสายตาเว้าวอนเช่นนี้ เป็นใครก็ต้องใจอ่อนกันทั้งนั้น ไม่ได้ๆต้องไม่มอง ต้องไม่คิด ต้องไม่เผลอใจโอนอ่อน ต้องไม่สบนัยต์ตาคมทรงเสน่ห์แพขนตายาวระยิบ ดวงตาสีเทาฟ้าชวนเคลิ้ม สันจมูกเป็นสันได้รูปรับกับใบหน้าเนียนใสมีไรขนอ่อนตรงปลายคาง และริมฝีปากนุ่มชวนให้สัมผัสลิ้มรสชาติ... “Mac”
                    “อืม...ครับ” ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่กำลังกอดผมอยู่นี่จะมีกล้ามแขนฟิตแน่นขนาดนี้ ถ้าได้ซบก็คงจะดีไม่น้อย แต่เอ๊ะ...ผมอยู่ในอ้อมกอดงั้นเหรอ? “เฮ้ย เดี่ยว”
                    “Thank you” น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกราวกับเสียงกระซิบเอ่ยประชิดริมฝีปาก ทำให้ผมเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว “ชู่วร์...”

          ปลายนิ้วโป้งแตะเข้าตรงมุมปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยไล้คลึงลงบนกลีบปากของผมคล้ายสื่อความหมายบางอย่าง ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจพลางตวัดสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าทั้งที่ริมฝีปากกลับเม้มเข้าหากันสนิท พยายามควบคุมร่างกายให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ไม่อาจทำให้อาการหดเกร็งตรงหน้าท้องเบาลงแต่อย่างใด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดวงตาคู่นี้สะกดเอาไว้ด้วยหัวใจอันแน่วแน่และจริงจังเกินกว่าที่ผมจะต่อต้านไหว ยิ่งเมื่อใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจปะทะเข้ากับใบหน้ามากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นรัวถี่ขึ้นจนยากจะควบคุมทุกขณะ สายตาของผมผลุบลงต่ำเมินหน้าก้มลงในทันทีเพื่อหลบการจู่โจมที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวของอีกฝ่าย ยอมรับว่ากังวล ยอมรับว่าใจหาย ยอมรับว่าอยากให้อีกฝ่ายสัมผัส แต่เอาเข้าจริงมันกลับพูดไม่ออก รู้สึกสับสนปนเปไปหมด ใครก็ได้บอกผมทีว่าควรทำยังไงดี

                    “Please calm down. Don’t worry my bros” แค่เพียงสัมผัสจากฝ่ามือหนาวางแนบแก้มประคองใบหน้าของผมช้อนขึ้นเท่านั้น ความกังวลเมื่อครู่ก็พลันมลายหายไปสิ้น เหลือเพียงความต้องการที่มาจากส่วนลึกภายในใจของผมที่พร้อมรับสัมผัสบางเบาแสนนุ่มอ่อนละมุนตรงมุมปาก
                    “พี่...” ชื่อที่อยากจะเอื้อนเอ่ยออกไปถูกหยุดไว้เพียงปลายนิ้วกั้น ผมขมวดคิ้วรับแปลกใจกับท่าทีของคนตรงหน้า ทั้งที่ใจอยากจะเอ่ยถามแต่กลับเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ก่อนที่ผมจะลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคออีกครั้งเมื่อความอุ่นจากฝ่ามือหนาละจากริมฝีปากไล้ลงปลายคางมาหยุดตรงต้นคอ ไม่เคยคิดเลยว่าสัมผัสจากนิ้วอุ่นจะทำให้เกิดความรู้สึกวาบหวามปั่นป่วนระคนผ่อนคลายได้มากขนาดนี้ และเป็นอีกครั้งที่ผมยอมให้ใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้ในระยะประชิดถ่ายทอดความรู้สึกผ่านริมฝีปากที่ทาบทับลงมาข้างมุมปาก ส่งผ่านบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมเต้นรัวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันหนักอึ้งราวกับมีหินมาถ่วงให้จมมิดลงใต้ก้นมหาสมุทร ทั้งยังร้อนราวกับมีไฟมาสุ่มแผ่นอกให้มอดไหม้ จนผมไม่อาจคุมสติของตนให้มั่นคงหนักแน่นได้อีกต่อไป ผมอยากจะไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุดเท่าที่สองขาจะพาไปได้ แต่มันกลับไม่ขยับเลยสักนิ๊ด
                    “Look into my eyes!” ฝ่ามือหนาช้อนใบหน้าที่ก้มลงต่ำของผมขึ้นเกลี่ยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้า พลางเอ่ยเสียงกระซิบย้ำคำถามที่ผมยังไม่พร้อมแม้เสี้ยววินาทีที่จะคิดหาคำตอบ “Tell me what you see” ผมเห็นเงาของตัวเองสะท้อนในดวงตาคมนัยต์ตาสีเทาเป็นประกายอยู่ครู่เดียวก็ต้องละสายตาเลื่อนต่ำลงมาไล้ไปตามสันจมูกโครงหน้าเข้ารูปและหยุดตรงริมฝีปากได้รูปสีส้มสวย "It’s you – Mac. You are the light inside my eyes. I wanna kiss you. Kiss ...Love you"
                    “อ่า...” ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ารอยสัมผัสแค่ตรงมุมปากจะทำให้ใจของผมวาบวาบได้ถึงขนาดนี้เชียว "นึกว่าที่ปากซะอีก...อุ๊บส์" ปิดปากแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว หากย้อนกลับไปได้ผมจะไม่หลุดปากออกมาเช่นนั้นเด็ดขาด ไม่น่าพลาดเลย บ่นขมุบขมิบแต่ดันพลาดพลั้งปากบอกความคิดออกไปซะได้ เขินชอบกล“ไม่มีไรครับ ไม่มีจริงๆ อย่ามองผมงั้นสิพี่มาร์ท”
                    "ได้ใช้ไหม?"
                    “ห๊ะ...ไม่รู้! ไม่ได้!!” ตะโกนใส่หน้ายกมือขึ้นปิดหน้าหลับตาปี๋หนีแล้วนะ ก็บอกแล้วไงว่าอย่ามาถามแกมบังคับ ผมตอบไม่ถูก ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น
                    “น้องแมค...คร๊าบ” ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเรียกคำนำหน้าผมเลย ยังไงผมคนนี้ก็ไม่ใจอ่อนหรอกขอบอก แต่จะว่าไปผมอยากเห็นสีหน้าออดอ้อนของคนตรงหน้าเหมือนกันนะ แง้มนิ้วลอดดูดีกว่า
                    "เกะกะ!!" อะไร เกะกะ? ยังไม่ทันจะได้คิดว่าหมายความว่าอะไร น้องหมีในมือก็ถูกหยิบออกปาทิ้งลงกับพื้นห้อง พร้อมกับถูกรวบเอวเข้าไปกอดจนตัวของผมแทบแนบชิดร่างกายของอีกฝ่ายเรียกเลือดให้สูบฉีดขึ้นใบหน้ายากจนเกินควบคุม ยังดีที่ผมออกแรกดันร่างหนากว่าไว้ได้ทันก่อนเขาจะก้มลงมา
                    "เดี๋ยว! ห้ามใช้ลิ้นนะ" ไม่ใช่! ต้องพูดอย่าทำสิวะ โอย ตายห่า ไม่ทันซะละมั้ง
                    "อืม"
   

          ผมรู้ว่าสิ่งที่ประกบลงทาบทับริมฝีปากของผมจะเรียกว่าจูบ แต่ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าสิ่งนี้จะให้ความรู้สึกตราตรึงเบาหวิว นุ่มนิ่ม อุ่นจนร้อนวูบไปทั่วใบหน้าและยังแผ่ขยายลามมายังแผ่นอกข้างซ้ายที่กำลังเต้นไม่เป็นระส่ำ พี่มาร์ทถอนริมฝีปากออกไปแล้วก็จริง แต่ยังคงทิ้งรอยสัมผัสตราตรึงย้ำชัดในความรู้สึกไม่หายไปไหน แทบไม่อยากยอมเลยรับว่ายามนี้ผมละสายตาตาไปจากดวงตาสีเทาคู่สวยนี้ไม่ได้ เป็นดวงตาที่ดึงดูดอย่างประหลาดจนรู้สึกคล้ายกับว่าต้องมนต์สะกด นิ่งงันยอมรับริมฝีปากที่กดทาบทับลงมาอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนานกว่าจะถอนออกไป แล้วกดซ้ำลงมาอีกหลายรอบคล้ายจะปลุกอารมณ์ผม ก่อนปลายลิ้นจะสอดแทรกเข้ามาในปากเรียกสติสั่งให้แขนส่งแรงผลักอีกฝ่ายออกไป
                    "ไหนตกลงแล้วไง" ผมเช็ดปากเบาๆด้วยหลังมือ มองตาขวาง
                    "ก็นะ" พี่มาร์ทยิ้ม "อีกครั้งนะ"   
                    “พี่มาร์ทไม่....ด...ไ” อยากบอกว่า ไม่ได้ แต่ดูท่าว่าคงต้องได้ ในเมื่อริมฝีปากของผมถูกครอบครองทันทีที่เอวถูกแขนแกร่งดึงรั้งแนบชิดสนิทชนิดเป้าแนบเป้า แม้ว่าผมจะพยายามดีด(ดึงด้วยนิ้ว) สี(ด้วยท่อนแขน) ตี(ด้วยมือ) กัด(ด้วยฟัน) ก็ยังไม่เป็นผล ยิ่งต่อต้านกลับยิ่งถูกรุกไล่ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าร่างกายของผมผ่อนแรงต้านลงมือหนาก็ช้อนเข้าที่หลังคอออกแรงกดท้ายทอยของผมจนหน้าเงยขึ้นรับริมฝีปากที่ก้มลงมาบดขยี้สลับห่อปากดูดซะจนรู้สึกเจ็บราวกับสัตว์ป่าหื่นกระหาย ทั้งฝ่ามือหนายังเลื่อนเข้ามาในสาบเสื้อนัวเนียมั่วไปหมด ทำเอาผมหมดแรงจะต่อต้าน ได้แต่ตอบรับปลายลิ้นที่ตวัดเกาะเกี่ยวอย่างชำนาญในที่สุด ทว่า...ยิ่งผ่อนแรงขัดขืนก็เหมือนทำให้อีกฝ่ายได้ใจค่อยๆเลื่อนฝ่ามือไล้ไปตามส่วนคอดของลำตัวจนปะเข้าที่ก้น แรงบีบขยำทำเอาผมชะงักกึกเบิกตาโพลงเรี่ยวแรงที่หดหายฟื้นขึ้นต่อต้านอีกครั้ง ทำแบบนี้เอาแต่ใจเกินไปจนผมชักอยากสั่งสอนให้รู้ฤทธิ์บ้างซะแล้ว
          ว่าแล้วก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างสูงกว่าออกไปจนกระเด็น พี่มาร์ทขมวดคิ้วแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รอให้อีกคนได้ตั้งตัวรีบสาวเท้าเข้าประชิดผลักอีกฝ่ายกระแทกผนังแล้วตามประกบปากอีกระลอก อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายตกใจเปิดปากอุทานสอดลิ้นเข้าไปคั่วขบฟันลงบนปลายลิ้นเบาๆก่อนถอนริมฝีปากออกมายิ้มยียวนส่งท้าย
                    "นึกว่าครั้งแรกของแมคซะอีก" พี่มาร์ทเอ่ยเสียงราวกระซิบปนหอบเล็กน้อยออกมา
                    "ครั้งแรกครับ แต่ผมเป็นพวกเรียนรู้เร็ว" ผมยกยิ้มมุมปากรับคำชม พยายามผ่อนลมหายใจแอบซ่อนอาการเหนื่อยหอบเอาไว้ทั้งที่ใจกำลังเต้นรัว ผู้ชายนะครับใครจะไปยอมเป็นรองกับเรื่องพรรค์นี้กัน
                    "งั้นเหรอ?" รอยยิ้มชั่วร้ายผุกขึ้นพร้อมฝ่ามือที่ยื่นมาหวังจะจับ แต่คนอย่างผมไม่มีทางพลาดรอบสองแน่ จึงอาศัยความไวเบี่ยงตัวหลบดึงเนคไทของคนตัวโตกว่าให้ก้มลงมาแล้วจุ๊บปากปิดท้าย ก่อนถอยออกมายืนในระยะปลอดภัยเอ่ยเสียงใสตอบกลับไปว่า
                    "ขอบคุณครับ น้องหมีน่ารักมาก"
                    “หืม? ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะร่วนดังมาจากคนที่กำลังยืนเสยผมตรงหน้าเล่นเอาผมมึนงงไปชั่วขณะ "สมกับเป็นคนที่พี่เลิอก มีเสน่ห์น่าสนใจและยังแอบร้ายในเวลาเดียวกัน"
                    "แน่ใจนะว่า นั่นคำชม"
                    “แล้วแมคคิดว่าอย่างไรละ?” เหมือนเกิดประกายไฟเปรี้ยงปร้างอยู่สองสามวิ แต่สุดท้ายแล้วผมกับพี่มาร์ทดันหัวเราะขึ้นมาพร้อมกันซะงั้น


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

 :katai5: :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2016 22:29:30 โดย ClearHeart »

ออฟไลน์ kkmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 7] 10-04-2016
«ตอบ #22 เมื่อ11-04-2016 02:06:18 »

มาต่ออีกนะครับขอบคุณมาก

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 7] 10-04-2016
«ตอบ #23 เมื่อ11-04-2016 18:35:23 »

มาอ่านรวดเดียวเลยค่ะ ฮือออ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกก ไไม่รู้หลังจากนี้จะมีดราม่ารึเปล่า แต่ท่าที่อ่านมานี่น่ารักจนหุบยิ้มไม่ได้เลยค่ะ นี่พี่มาร์ทแอบมองน้องมาจากมอเตอร์โชว์หลายงานแล้วใข่ไหมคะ ไม่รู้ที่มาเจอที่โชว์รูมนี่บังเอิญหรือพี่แกแอบสืบแล้วตามมานะคะ แล้วแบบ ตะล่อมน้องมากอ่ะ เราว่าตอนแรกน้องแม็คหมั่นไส้ แต่ไปๆมาๆ เพราะพี่มาร์ทรู้เรื่องรถเยอะรึเปล่า น้องแม็คเลยติดกับเลย ตอนพี่มาร์ทไปต่างประเทศครึ่งปีรั่นก็เป็นแผนให้น้องคิดถึงตัเองมากๆและรักษาระยะห่างให้น้องไม่เผลอคิดไปว่าเป็นพี่ชายรึเปล่าคะ 5555555 แต่พอกลับมาก็ไม่ได้ดูห่างกันเลยนะคะ นี่คือทำให้มีช่วงที่คิดถึงแล้วก็ดีใจที่ได้เจออีกครั้งสินะคะ คืออ่านไปก็คดในใจตลอดเลยค่ะ พี่มาร์ทร้ายกาจ คนเจ้าเล่ห์ มีแผนอะไรอยู่แน่ๆ ฮืออออ แต่เราชอบนะคะ คือพี่มาร์ทมาช่วยติวหนังสือให้น้องแม็คด้วยอ่ะ เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่น่ารักค่ะ ให้อภัย ถือว่าคิดถึงอนาคตของน้อง พูดถึงตอนพี่แม็คกลับมา โอ๊ยยยยย คือชวนไปบ้าน บอกว่าชอบ ไปดูหนัง กินข้าว นี่แฟนรึเปล่าถามจริงๆ เหมือนมาก พี่มาร์ทไม่ต้องขอเป็นแฟนแล้วค่ะ นี่ก็เหมือนใช่แล้ว แต่ก็เนอะ ดูน้องไม่รู้ตัวอ่ะ เราก็ไม่รู้ว่าน้องแม็คคิดอะไร น้องคงอยากให้แน่ใจที่สุดอ่ะค่ะ ถ้าตกลงเลยน้องก็อาจจะกลัวว่าต้องเลิกกันสักวัน แต่ถ้าปฏิเสธก็กลัวพี่มาร์ทจะหายไป มันก็ตัดสินใจยากนะคะ แต่เราว่าพี่มาร์ทคงไม่ยอมเลิกหรอกค่ะน้องแม็ค น้องอย่ากังวลค่ะ เขาเอาเปรียบน้องขนาดนี้แ้วนะคะ ทั้งจับมือ หอมแก้ แล้วล่าสุดยังจูบอีกนะคะ โอ๊ยยยยย จำเป็นต้องระบุสถานะแล้วค่ะ แต่จริงๆ น้องแม็คอย่าไปจูบพี่เขามากนะคะ เดี๋ยวพี่เขาหน้ามืดจับน้องกดทำไงคะะะะ (น้องแม็คบอกก็ถีบแล้วกระทืบซ้ำไง 5555555) เรารอติดตามตอนต่อไปนะค้าาา ขอบคุณสำรับทุกตอนค่า  :กอด1:

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
«ตอบ #24 เมื่อ12-04-2016 00:48:15 »


Until You


ตอนที่ 8 (1/2)

          แม้จะได้หยุดเดือนตุลาคมทั้งเดือนในช่วงปิดภาคเรียน แต่ใช่ว่าจะได้พักยาวอยู่กับบ้านตลอดสามสิบเอ็ดวันเฉกเช่นสมัยเรียนประถมมัธยมศึกษา เท่าที่เปิดปฏิทินนับวันดูรู้สึกว่าผมจะได้พักผ่อนเต็มที่แค่ราวหนึ่งอาทิตย์ครึ่ง ต่อจากนั้นก็มีเพลนทำโปรเจ็คกับเพื่อนๆยาวเลย โดยจะต้องทำให้เสร็จภายในอาทิตย์ที่สามของเดือน เพื่อให้ทันพรีเซ็นต์หลังจากหยุดวันปิยมหาราช นั่นก็หมายความว่าผมต้องใช้พลังกายและพลังสมองค่อนข้างมากจนอาจจะถึงขั้นเครียดเลยทีเดียว ดังนั้นก่อนเวลาซีเรียสจะมาถึงจึงต้องเติมพลังให้เต็มอิ่มชดเชยความอิดโรยที่สูญเสียไปจากการสอบ พร้อมฟิตร่างกายให้พร้อมรับศึกหนักเริ่มต้นชีวิตเด็กมหาวิทยาลัย ซึ่งโปรแกรมที่ว่าก็ไม่มีอะไรมาก แค่กิจกรรมยามว่างของเด็กกรุงที่พยายามหาอะไรผ่อนคลายแต่ก็ยังไม่วายพ้นรูปแบบเดิมๆ อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง เดินห้าง เที่ยวผับ ตะเวนหาของกินอร่อยๆ ทำเต็มสามวันก็ครบหมดละครับ อีกวันก็นอนอยู่บ้าน และอีกวันก็นอนอีก อยู่กับบ้านนานๆชักขี้เกียจเหมือนกันครับ แต่ครั้นจะเอางานโปรเจ็คมานั่งออกแบบล่วงหน้าก็ไม่อยากทำสักเท่าไหร่ มองปฏิทินสลับนาฬิกาอยากเร่งเวลาใจจะขาดก็ไม่ห็นได้ผล ผมละอยากให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์มากๆเลยครับ นี่ก็รอ... ร้อ.... รอให้ถึงวันนัดหมายจะไปเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกกับพี่มาร์ทสักทีครับ ยะฮู้!! คิดแล้วมีแรงกระชุ่มกระชวยขึ้นมาเลย แม้จะไปเช้ากลับเย็น แต่ผมว่าต้องมีอะไรสนุกรออยู่แน่ หรือไม่มันก็เน่ากลายๆละนะ เพราะตั้งแต่เหตุวันเกิดคราวนั้น ผมกลับรู้สึกว่า เราทั้งสองคนมีเหตุให้ได้คุยกัน เจอกัน ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น จนผมชักสับสนสถานะความสัมพันธ์ขึ้นมายังไงชอบกล แถมบรรยากาศตอนอยู่ด้วยกันรู้สึกเหมือนโลกเป็นสีชมพูแปลกๆประเภทที่นิยายความรักบรรญัติศัพท์ชวนสยองของคนสองคนเอาไว้เลย คิดแล้วรู้สึกเลี่ยนขนลุกพิลึกชะมัด

                    “หนาวเหรอ? ยืนกอดอกนะ” น้องชายตัวดีหันมาถาม ขณะสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าอยู่ในโรงจอดรถ “ไม่สบาย?”
                    “เปล่าๆ แล้วไมซ์เป็นไรตาคล้ำเชียว”
                    “อ่านการ์ตูนดึก” พูดไม่พอยังมียักคิ้วหลิ่วตากวนบาทาผมอีก พอผมจะเบิดกระโหลกสั่งสอนมันหน่อยก็วิ่งปรู๊ดเปิดประตูขึ้นรถพ่อไปละ หนีไวอย่างกับลิง
                    “แม่จะไปละนะ จะไปไหนก็ล็อกบ้านถอดปลั๊กให้เรียบร้อยละแมค”
                    “ครับๆ”

          ผมยืนโบกมือลาให้ทุกคนก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกไปตอนเช้ามืด รอจนลับตาเรียบร้อยก็เดินไปปิดประตูโรงรถตั้งใจว่าจะกลับมาเอนนอนรอใครบางคน เพราะกว่าจะถึงเวลานัดก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง ทว่าไฟหน้าของรถใครสักคนแยงตาซะจนผมเบลอ แสงแรงไม่พอยังจะมีกระพริบใส่จนต้องเอามือขึ้นมาบังแสงเพ่งมองดวงไฟประหลาดในความมืด แสงไฟออกแนวทรงกลมคล้ายวงรีคู่แบบนี้ ผมไม่คิดว่าจะเป็นรถญี่ปุ่นหรือรถยุโรปทั่วไปตามท้องถนนหรอก ดูไม่คุ้นตาเอาซะเลย

                    “ยืนบังหน้ารถพี่ทำไมเนี๊ยะ” เสียงคุ้นหูแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นละครับ
                    “อ้าว มาไวจัง เข้ามาๆ”
                    “ทำไมเปิดประตูช้าจังละ?”
                    “ก็คนมันไม่แน่ใจ...หืม?” เดี๋ยวนะครับ ผมว่ารถที่ขับผ่านหน้าไปจอดห่างจากตัวผมสักสามวานี่ชักคุ้นตาละนะ รถรูปทรงแบบนี้ สีรถแบบนี้ มันน่าจะเป็นรถหรูที่ไม่มีขายทั่วไปนี่ สงสัยจะตาฝาดเจอแสงสะท้อนของดวงไฟนานเกินตาผมคงเพี้ยนได้ที่ ไม่น่าใช่บีเอ็มดับบริวที่พี่มาร์ทเคยขับมานี่ครับ ขยี้ตาสักหน่อยคงชัดขึ้น
                    “เป็นไรละนั่น ยืนนิ่งเชียว” แม้เสียงเครื่องยนต์จะดับลงแล้วและเสียงพี่มาร์ทจะเอ่ยถามอะไร สมองผมก็ไม่ประมวลทั้งนั้น ยามนี้ขอหูบอดปิดการรับรู้ชั่วคราว เพราะสายตามันจับจ้องอยู่เพียงสิ่งเดียวตรงหน้า
                    “ป...ปั๊บ...” ถึงกับเสียงสั่นปากพะงาบ วิ่งตรงรี่เข้าไปลูบไล้สัมผัสแนบแก้มกันเลยทีเดียว
                    “แมค?”
                    “พี่ป๊อด!!!” ใช่ครับ มันคือ Porsche 911 สีดำขัดมันวาวทั้งคัน เคาะแล้วหลังคาเปิดไม่ได้นี่มันช่างน่าเสียดายจริงๆ เพราะผมชอบแบบสปอร์ตเปิดประทุนมากกว่า นี่ถ้าได้ขับเปิดหลังคาบนถนนคงเท่ห์โคตรๆแน่เลย นั่งหลังพวงมาลัยห้อมล้อมด้วยหนุ่มสาวอย่างละคน มันสุดแสนจะสำราญใจ พี่แมคค่ะ ดูดนมเย็นๆไหมค่ะ หรือไม่ก็ พี่แมคครับ ทานขนมไหมครับ ผมอยากป้อนด้วยปาก แหม คิดแล้วมันเสียวขึ้นมาเลย แต่ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของก็ช่างมันเถอะครับ ได้ลูบผิวเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้ บุญตาบุญมือของผมมากแล้วอะ ผมละสุดแสนจะปลื่มมาก
                    "ไม่คิดจะทักกันเลยเหรอ?"
                    "อ่า พี่มาร์ท สวัสดีครับ" ถึงกับยิ้มแห้งหันไปยกมือไหว้ตามมารยาท ลืมไปซะสนิทเลยว่า รถมันต้องมีคนขับครับ ถึงจะมาถึงบ้านผมได้ "พี่จะเข้าบ้านก่อนไหมครับ"
                    "ไม่ดีกว่า เดี่ยวจะสาย" พี่มาร์มยกนาฟิกาขึ้นมาดู แต่ผมเห็นว่า มันแค่หกโมงเช้าเอง
                    "อะครับ"  แต่ไปก็ไป ผมพร้อมจะไปลุยอยู่ละ “งั้นผมไปเอากระเป๋าแป็บนะ”
                    “โอเค พี่กลับรถแล้วไปจอดรอข้างนอกละกัน แมคจะได้ปิดบ้าน”
                    “ครับผม” ยิ้มรับอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านจับของที่วางกองไว้ในห้องครัวลงในกระเป๋าเป้ที่ผมคว้าออกมาจากในห้องนอน แล้วจึงเดินออกมานอกตัวบ้านพร้อมกุญแจในมือ ปิดบ้านเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยผมก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งทันที
                    “พร้อมนะ”
                    “อืม” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง รอจนรถเคลื่อนตัวออกไปสักพักจึงเริ่มทำการสำรวจสิ่งสนใจรอบตัว “พี่มาร์ทๆ เบาะหนังสีดำตัดขอบด้ายเทาด้วยอะ เบาะข้างหน้าทรงสปอร์ตสองที่ ข้างหลังที่นั่งปกติสองมีเอาเข็มขัดนิรภัยเสียบตรงกลางด้วยอะ เท่ห์โคตรๆ”
                    “ครับ”
                    “เครื่อง 3.6 ใช่ปะพี่”
                    “ครับ”
                    “คอนโซลทำจากไรอะ ไม่น่าใช่พลาสติกนะ เคาะแล้วเสียงไม่เหมือน”
                    “อลูมิเนียมสีเงิน”
                    “สุดยอด! แล้วๆเปิดหลังคาได้ไหมครับ”
                    “เปิดทั้งหมดไม่ได้ แต่เปิดเป็นซันลูปได้”
                    “จริงสิครับ เปิดตรงไหนอะ ผมอยากลองยืนโผล่ไปนอกรถนานละ” ปุ่มอยู่ไหนน้า ไม่เห็นมีเขียนบอกเลย "อย่างตอนรถติดถ้าโผล่หัวออกไป รู้เลยถนนติดเพราะอะไร"
                    “แมค! อย่าซนสิครับ”
                    “โครงสร้างภายในนี่สีดำเหมือนข้างนอกอะปะ”
                    “ไม่เหมือนครับ สีภายนอกเป็นสีดำบะซอลล์ ซึ่ง...”
                    “หินบะซอลล์ด้วย ว้าว!! ถึงว่าเงาวับมากมาย พวงมาลัยมีปุ่มด้วยเหรอครับ ควบคุมอะไรได้บ้างอะ” ผมเอ่ยถามเสียงใส “หน้าจอนี่ใหญ่มากเลยอะ ผมไม่เคยนั่งรถคันไหนมีแบบนี้เลยอะครับ กดปุ่มนี้ปะวะ มีซีดีไรบ้างหว่า พี่มาร์ทกดปุ่มนี้ใช่ไหมครับ ใช่ปะๆ ผมกลัวกดผิดอะ”
                    "แมคครับ"
                    "สองปุ่มนี่อะปะ ปุ่มหมุนๆตรงนี้ใช้ทำอะไรอะ?"
                    "เลิกสนใจรถ แล้วหันมาสนใจคนขับบ้างได้ไหมครับ น้องแมค" พี่มาร์ทเอ่ยขัด ทำเอาผมหน้าเจือนพลิกตัวกลับมานั่งท่าปกติ ไว้จอดรถแล้วผมค่อยศึกษาอย่างละเอียดก็ได้ ก็คนมันตื่นเต้นนี่ครับ ใครจะไปคิดว่าจะได้นั่งรถราคาเป็นสิบล้านแบบไม่ทันตั้งตัว
                    "พี่มาร์ทหิวยัง"
                    "ก็ยังไม่เท่าไหร่ แมคหิวเหรอ? ให้พี่แวะซื้ออะไรรองท้องในปั๊มไหม"
                    "ไม่ต้องๆ ผมเตรียมขนมมาละ ออกนอกเขตเมืองไปก่อนดีกว่าแล้วค่อยแวะ"
                    "อืม"
                    “แต่จะว่าไปพี่มาร์ทพูด ผมก็ชักเริ่มหิว ทานด้วยกันปะ”
                    “อ้าว หิวซะละ หึๆ" นี่ก็แปลกคนชอบหัวเราะใส่ผมอะ เดี่ยวไม่แบ่งขนมให้เลย "มีอะไรมาแบ่งพี่บ้าง”
                    “ก็มีคุ๊กกี้ 2 กล่อง ขนมปังทาเนย 1 คู่ ทานม 1 คู่ มันฝรั่ง 1 กระปุก เวเฟอร์ 1 ถุง นม 2 กล่อง กับ ลูกอม 2 แพ็ก แค่นี้ อ้อๆ มีน้ำหนึ่งขวดด้วย”
                    “งั้นกินเถอะ พี่กลัวแมคไม่อิ่ม”
                    “แค่กินรองท้องไม่ต้องอิ่มหรอก กินคุ๊กกี้กันไหมครับ พี่มาร์ทแบมือมา”
                    “พี่ก็อยากทานนะ แต่ขับรถอยู่คงไม่สะดวก” ก็จริง? แต่ยิ้มมุมปากแบบนี้ชวนให้สงสัยชะมัด
                    “อ๊ะ อ้าปาก ให้แค่สองชิ้นก่อนนะ เดี่ยวหมด” อันที่จริงไม่หมดหรอกครับ กล่องนึงมีหลายชิ้น แต่ผมหวงของกินอะ ร้านนี้ทำคุ้กกี้เนื้อนิ่มผสมช็อกโกแลตชิพอร่อยมาก ผมชอบกินที่สุดแต่ซื้อเยอะไม่ได้ ราคาค่อนข้างสูงพอควร
                    “อืม รสชาติใช้ได้ ทำเองเหรอ?”
                    “ทำเป็นก็ดีสิครับ อีกอย่างบ้านผมไม่มีเตาอบด้วย” ผมเคยตั้งใจจะซื้อเตาอบถึงขนาดเดินเข้าไปในร้านขายเลยครับ แต่แค่เห็นราคาแล้วอยากหงายหลังขึ้นมาเลย
                    "มาใช้ที่คอนโดสิ พี่ไม่ค่อยได้ใช้"
                    "มีจริงอะ อยู่ตรงไหน? ผมไม่ยักกะเคยเห็น"
                    "แมคดูไม่ทั่วเองนี่ หึๆ" พูดแบบนี้ อย่ากินต่อเลย ไม่ให้กินละ
                    “พี่มาร์ทน่าจะอิ่มแล้วเนอะ ผมกินขนมปังทานมดีกว่า อ้าม...” แค่ทานมข้นหวานมาทำไมรสชาติอร่อยเป็นพิเศษก็ไม่รู้สิครับ หรือเพราะผมหิวก็ไม่รู้
                    “ตอนไหน พี่ยังไม่ได้พูดเลย”
                    “ตอน 7 โมง 16 นาที 32 วินาที 14 ฟิวินาที พี่มาร์ทแสดงเจตนาว่าอิ่ม” ยักคิ้วเสริมกันสักเล็กน้อยพร้อมกัดขนมปังอีกสองคำติด
                    “ฟิวินาที คืออะไร?”
                    “เอ้า ลิปดา ยังมีฟิลิบดาเลย วินาทีก็ต้องมีเหมือนกันสิครับ จริงปะ ฮ่าๆ”
                    “นี่แนะ!”
                    “โอ๊ย พี่มาร์ทอะ ไหนบอกมือไม่ว่าง ขับรถอยู่ไง” เจ็บนะนี่ เขกมาได้ ปูดเปล่าก็ไม่รู้
                    “พี่มือว่างละ เมื่อกี้นี้เอง”
                    “ไม่พูดด้วยละ กินขนมปังดีกว่า” แต่กินทั้งทีต้องมีนมมาควบ ว่าแต่เอาอะไรดีระหว่างนมช็อกโกแลตกับนมถั่วเหลือง ผมตั้งใจว่าจะกินแค่กล่องเดียวเหลืออีกกล่องไว้ตอนเย็นๆขากลับบ้านเผื่อหิว "พี่มาร์ทเอามือซ้ายหรือมือขวา?"
                    "ซ้าย ถามทำไม"
                    "งั้นกินนมช็อกโกแลต" นี่ละวิธีผมตอนเลือกของไม่ได้ คิดไม่ออกก็ให้คนอื่นช่วยสิครับ
                    "จะให้พี่กล่องนึง?"
                    "ไม่ให้ พี่มาร์ทตัวสูงแล้ว ไม่ต้องดื่มนมหรอก"
                    "เป็นงั้นไป" พี่มาร์ทว่า "แกะคุ้กกี้ให้พี่หน่อย พี่อยากกิน"
                    "ให้กินก็ได้ แต่ซื้อมาคืนด้วยนะ"
                    "ครับๆ"


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
«ตอบ #25 เมื่อ12-04-2016 16:49:44 »

ทำไมเราขำ น้องแม็คคคคค นี่คือทำพี่มาร์ทน้อยใจไม่รู้ตัวอ่ะ แต่เราอยากบอก น้องแม็คอย่าไปบ้านพี่เขาบ่อยนะคะ เราว่าไว้ใจไม่ค่อยได้ 5555555555 ยิ่งอยู่กันสองต่อสองด้วยอ่ะ ถ้าน้องไปทำขนมให้เขาที่บ้านเขามันก็จะดูเป็นศรีภรรยาด้วยนะคะ อันตรายมากอ่ะ แต่ตอนนี้พี่มาร์ทก็มีของมาล่อน้องแม็คเพิ่มอีก 2 อย่างนะคะ ทั้งเตาอบทั้งรถ น้องแม็คไปปไหนไม่รอดแล้วค่ะ  :mew3:

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
«ตอบ #26 เมื่อ12-04-2016 17:14:34 »

ทำไมขำ555555เเมคคือกินเยอะมากจริงๆตกใจ5555555

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (1/2)] 12-04-2016
«ตอบ #27 เมื่อ12-04-2016 22:13:39 »

น่ารักอะ ชอบหนูแมค แมนๆ //หนูแมคตกะมากค่ะ หวงของกิน :hao7:

ออฟไลน์ ClearHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (2/2)] 12-04-2016
«ตอบ #28 เมื่อ12-04-2016 22:30:50 »


Until You


ตอนที่ 8 (2/2)

          ผมเห็นทะเลข้างหน้าอยู่ไวไวแต่แทนที่จะเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางไปหาดทราย พี่มาร์ทกลับขับเลยป้ายไปอีกราวสามร้อยเมตรตีไฟซ้ายเลี้ยวเข้าไปในเขตโรงแรมแห่งหนึ่ง พร้อมกับเปิดกระจกบอกที่หมายกับพนักงานรักษาความปลอดภัยตรงป้อมยามหน้าทางเข้า อันที่จริงผมก็สงสัยอยากจะถามแต่รอจอดรถก่อนก็คงไม่สายเกินไป บางทีที่นี่เขาอาจจะมีหาดให้ลงเล่นโดยไม่ต้องเข้าพักเป็นแขกของโรงแรมก็ได้

                    "Deluxe room "
                    "ห๊ะ! เอ่อ ขอโทษครับ ไม่มีอะไร" เผลออุทานออกไปซะดังจนพนักงานต้อนรับทำหน้าตกใจตามไปด้วยเลย แต่จะไม่ให้ผมร้องได้ไง บอกเขาไปแบบนี้นี่มันแปลว่านอนโรงแรมเห็นๆ ตอนแรกชวนเดินเข้ามาก็นึกว่าจะมาถามห้องเปลี่ยนเสื้อซะอีก
                    "โอเค" พี่มาร์ทยื่นแผ่นกระดาษกรอกแบบฟอร์มส่งให้พนักงานเสร็จก็หันมามองผมแสดงสีหน้าสงสัย
                    "ผมไม่ได้เอาชุดมานะ ก็ไหนพี่บอกว่าจะไปเช้าเย็นกลับไงครับ"
                    "ใช่ แต่ตอนนี้สายแล้ว ลงทะเลคงไม่ได้ พี่เลยพามานั่งตากแอร์เย็นๆรอก่อน"
                    "เหรอครับ? แต่เรานั่งเล่นล็อบบี้รอก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องเปลืองเงินเลย"
                    "แมคจะนั่งล็อบบี้ยันเย็นเลยงั้นเหรอ?"
                    “เอ่อ...” โอเค ยกนี้ผมยอมแพ้ก็ได้


          ห้องพักที่พี่มาร์ทเลือกอยู่ตรงมุมสุดของชั้นพอดี เป็นห้องพักขนาดราว 21 ตารางเมตร มีเพียงอุปกรณ์จำเป็นสำหรับห้องประเภทนี้อย่าง ตู้เสื้อผ้า โซฟาเก้าอี้คู่ ทีวี โคมไฟและเตียงเดี่ยวสองเตียงเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าผมโยนกระเป๋าเสร็จก็เอนกายนอนพักทดสอบความนุ่มของเตียงในทันที แล้วก็ต้องถอนหายใจกับเตียงสปริงนอนไม่นุ่มสบายเหมือนเตียงที่บ้านในทันทีอีกเช่นกัน แต่ก็นะโรงแรมระดับสามดาวจะเอาอะไรมากมาย อีกอย่างผมมาเล่นน้ำไม่ได้มาค้างสักหน่อย
                    “เป็นไงเตียงนอนสบายไหม?”
                    “ไม่อะ ไปดูวิวบ้างดีกว่า” พี่มาร์ทพยักหน้ารับเดินไปเปิดผ้าม่านตรงประตูเทอเรสออกก่อนที่ผมจะเดินไปถึง ขยับผ้าปุ๊บแสงแดดก็สาดเข้ามากระทบาเล่นเอาตาเบลอไปเลย แล้วนั่นแอบยิ้มอะไร
                    “พี่แกล้งผมปะเนี๊ยะ”
                    “หึๆ” พี่มาร์ทไม่ตอบรับอีกตามเคย เดินไปเปิดม่านออกจนสุดแล้วจึงปลดล็อกประตูก้าวออกไปยืนข้างนอกพร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ตามออกไป
                    “วิวสวยจัง พี่มาร์ทเห็นตรงนั้นปะ เขากำลังปูกระเบื้องสระกันอยู่เลย มีทั้งสระเด็กสระผู้ใหญ่น่าลงไปว่ายแต่เสียดายมาก่อนเขาสร้างเสร็จ”
                    “อืม คราวก่อนที่พี่มายังไม่มีการขุดสระเตรียมพื้นที่ทำสระว่ายน้ำเลย ดูท่าว่ากิจการเขาคงดีขึ้น” พี่มาร์ทว่า “ตอนนั้นมีแค่ชายหาดทอดยาวถึงโขดหินโน่น กับห้องพักโรงแรมบนตึกนี่เท่านั้น มาวันนี้พี่เห็นมีบังกะโลกับพื้นที่ขายสำหรับปลูกบ้านเดี่ยวด้วย” พูดถึงเรื่องห้องพักแล้วผมคิดขึ้นมาได้เลย
                    "เออจริงสิ ค่าห้องเท่าไหร่อะครับ ผมช่วยออกครึ่งนึง"
                    "ไม่ต้องจ่าย ถือซะว่าพี่พามาเที่ยว”
                    “ไม่ได้ๆ มาด้วยกันก็หารครึ่งสิครับพี่มาร์ท พี่อุตส่าห์พาผมมาเที่ยวทั้งที ทั้งค่าห้องค่าน้ำมัน เอาไป 2000 ก่อนพอไหมครับ”    
                    “แมคยังไม่มีงานทำ ไว้มีก่อนแล้วค่อยมาแชร์" พูดเข้าทางความคิดคนงกอย่างผมแบบนี้เดี่ยวไม่ให้คืนซะเลย
                    “รู้ได้ไงผมไม่มีงานทำ? เห็นแบบนี้ผมก็มีหารายได้พิเศษนะครับ”
                    “เอาไว้พูดทีหลังละกันเรื่องเงินๆทองๆนะ”
                    "เอางั้นก็ได้" ผมพยักหน้ารับแบบไม่เต็มใจ ดูจากสภาพห้องราคาคงราวหลักพันไม่แพงมาก ค่ากินค่าน้ำมันรวมกันสองสามพันน่าจะเอาอยู่ นี่ถ้าพี่มาร์ทเอาห้องสมกับราคารถที่ขับมา ผมคงรู้สึกหนักใจกว่านี้แน่ แต่ว่าขับปอร์เช่งั้นเหรอ ชักน่าสงสัยละ?
                    "คิดอะไรอยู่ครับ?" พี่มาร์ทเอ่ยถาม “ชอบที่นี่ไหม?”
                    “ครับ” ผมพยักหน้ารับพอดีกับสายลมเย็นๆพัดเข้าปะทะผิวกาย ต้องยอมรับว่าการได้มองท้องทะเลที่ตัดบรรจบกับท้องฟ้าอยู่นี่ดูแล้วสบายตาชื่นใจหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทีเดียวเชียว
                    "พี่ชอบนะ มองแล้วสบายใจ" พูดไปจ้องหน้าผมไปแบบนี้ จะหมายถึงผมหรือทะเลกันแน่?
                    "อืม"
                    "ถ้ามีเวลา พี่ก็จะมานั่งมองอะไรเรื่อยๆ หยุดนิ่งๆดูสิ่งต่างๆผ่านไป ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเวลาและผู้คน..”
                    "ครับ" น่าแปลกที่ผมไม่คิดว่า จะได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากคนข้างๆได้เลย ปกติแล้วพี่มาร์ทไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องส่วนตัวให้คนไม่สนิทฟังเท่าไหร่ นี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งครับที่ผมได้ยินประโยคสื่อความจากในใจของเขา ผมหันไปมองใบหน้าคมที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองสักครู่ ก็หันกลับมาทอดสายตามองผืนน้ำทะเลตามเดิม ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปเหมือนดั่งคลื่นซัดเข้าฝั่งบ้างก็ดี
                    "แมค"
                    "ครับ"
                    "ไปเล่นน้ำกันไหม"
                    "หา! เอาจริงอะ" เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่าสายแล้วลงทะเลไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ
                    "อืม” พี่มาร์ทพยักหน้ารับคำเป็นมั่นเหมาะ “มากี่ทีพี่ก็ไม่เคยลงเลย ไป ไปกัน"
                    "ก็ได้ครับ" ผมรับคำพลางถอนหายใจ บทจะทำอะไรก็ทำในทันทีเลยครับพี่มาร์ทนี่ ดูท่าจะตื่นเต้นไม่น้อยรีบเดินแซงหน้าผมเข้าห้องไปเปิดกระเป๋ารื้อค้นเสื้อผ้าก่อนผมซะอีก
                    “เร็วสิแมค เปลี่ยนเสื้อกัน”
                    “ครับๆ เข้าไปแล้วครับ ปิดประตูก่อนดิ จะเปลี่ยนเสื้อไม่ปิดม่านเหรอไง” อันที่จริงผมก็ชอบมาเที่ยวทะเลนะครับ แต่ไม่ค่อยชอบจะลงเล่นน้ำทั้งตัวเท่าไหร่ จะลงน้ำก็แค่เข่าหรือกางเกงเท่านั้น เหตุผลนะเหรอครับ ก็น้ำทะเลมันเค็มไง ผมชอบความหวานไม่ชอบความเค็ม เว้นแต่เรื่องงก ใครเรียกผมว่าเกลือเดินได้ ผมพร้อมยิ้มรับ
                    “แมคเอากางเกงสีอะไรมาเปลี่ยน พี่จะได้เอาตัวที่สีใกล้เคียงกัน” ยังไม่ทันได้ขมวดคิ้วครบรอบกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วก็ถูกหยิบออกมาวางข้างกระเป๋าสองตัว ทำเอาผมตะลึงไปชั่วขณะ
                    "พี่มาร์ททำอะไร?" อย่าบอกเหมือนที่ผมคิดนะครับ ไม่งั้นเป็นลมแน่
                    "ก็ลงน้ำไง แมคไม่เปลี่ยนเหรอ"
                    "เปลี่ยนทำไม ผมจะลงชุดนี้" ใช่ครับ ลงทะเลใครก็ลงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ลงน้ำกันทั้งนั้นละ "โอเคๆ เปลี่ยนแค่กางเกงขาสั้นก็ลงได้แล้ว"
                    "งั้นก็ไม่ match กับพี่ละสิ ไม่เอาๆ เปลี่ยนๆ" 
                    "พี่จะบ้าเหรอ ใครเขาใส่ไอ้นั่นลงน้ำกันเล่า" ผมไม่อยากจะแตะหรอกนะครับชั้นในว่ายน้ำของผู้ชายด้วยกันเนี๊ยะ แต่มันอดไม้ได้จนต้องอานิ้วคีบมาส่องดู ตอนผมว่ายน้ำที่โรงเรียนยังไม่ใส่เว้าสูงทรงบิกินี่อย่างนี้เลย เห็นแล้วกุมขมับ
                    "ใส่กันทั้งหาดละ เพื่อนพี่ก็ใส่กัน ที่ฮาวายใส่กันทุกคน" พี่มาร์ทว่า "ไม่ใส่ก็มี"
                    "กรรม... พี่ครับ This is Thailand, not USA. Understand?" นี่ผมปล่อยมุขขำแกมประชดยังจะทำหน้างงใส่อีก "พี่มาร์ทเบิ่งสิครับพี่ เขาก็ใส่ชุดบ้านๆลงกันทั้งนั้นแหละ"
                    "บ้านๆแบบไหน"
                    "เสื้อยืด กับกางเกงขาสั้น หรือจะกางเกงยาวแค่เข่า หรือถ้าไม่ชอบจะสั้นระดับบ๊อกเซอร์ตัวเดียวก็ได้"
                    "แต่พี่ไม่มี"
                    “ห๊ะ! ไม่มี” ผมคว้าหมับรื้อค้นกระเป๋าของอีกฝ่าย ก็ไม่มีอย่างปากเขาว่าจริงด้วย จะมีก็แต่เสื้อยืดคอวี เสื้อเชิ๊ตกับกางเกงขาวล้วนม้วนพับมาอย่างดีกับชั้นในอีกชุด คงเป็นชุดใส่กลับบ้าน เห็นแล้วหน่ายใจของแท้เลย
                    "ไหนบอกมาทะเลบ่อยไงครับ"
                    "ก็มา แต่ไม่เคยลงน้ำไง เมื่อกี้พี่ก็บอกอยู่"    
                    "เดินชายหาดละ พี่ต้องเห็นบ้างแหละ"
                    "มองจากหน้าต่างโรงแรม มันจะเห็นคนได้ไง" นี่จะบอกว่าไม่เคยเดินชายหาดคนเดียวเลยงั้นเหรอครับ โอย ยาดมอยู่ไหน ผมขอสองหลอดมาอุดจมูกด่วน
                    "โอเคๆ สรุปว่าครั้งแรกอีกแล้วเหรอ" ผมถามหน่ายๆ ครั้งก่อนก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์ทีละ
                    "กับแมคนี่ก็ครั้งแรก"
                    "อะไรครั้งแรก?" ถึงกับต้องหันขวับไปถามเลยครับ อะไรครั้งแรก พูดจากำกวมชักน่าสงสัย นี่ถ้าตอบไม่เข้าหูนะ มีวางมวยก่อนลงทะเลแน่ๆ
                    "ลงน้ำ หึๆ"
                    "อ๋อเหรอ? แล้วตกลงจะไปเล่นน้ำกันไหมครับ"
                    "ไปๆ พี่ไปซื้อชุดก่อน"
                    "ซื้อทำไมครับ เปลือง" จำได้ว่าเมื่อเช้าหยิบติดมือมาสองตัว เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเอาตัวไหน โชคดีเลยนะนี่ "อะนี่ครับ มันเป็นกางเกงเล พี่ใส่ได้อยู่แล้ว"
                    "อืม น่าจะได้" พี่มาร์ทหยิบกางเกงจากมือของผมพลิกไปมาพลางขมวดคิ้วเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็หยิบกางเกงขาสั้นพอดีเข่ามาสวมใส่สบายๆ “แมค”
                    “ครับๆ ว่าไง”
                    “แล้วมันใช้ยังไง ใช้ผูกเหรอครับ ผูกไง?” คือผมต้องย่อตัวผูกเอว สายตามองเป้าเพศเดียวกันแต่งตัวให้คุณชายมาร์ทจนเสร็จใข่ไหมนี่? ทัศนยีภาพมุมนี้มองแล้วกลุ้มใจชะมัด “มันจะไม่หลุดเหรอ”
                    “ไม่รู้เหมือนกัน” แกล้งหยอกกลับไปทีเล่นเอาคนตรงหน้าเหวอไปเลย “ไม่หรอกน่า ผมมัดแน่นอยู่ ถ้าพี่มาร์ทไม่แน่ใจ ผูกเองก็ได้นะครับ”


          หลังจากเสร็จภารกิจในห้องพักกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่มาร์ทก็เดินนำผมไปยังทางเชื่อมมุ่งหน้าสู่ชายหาดทรายสีนวลโดยไม่มีท่าทีรีรอดูท่าคงอยากลงเล่นน้ำจริงๆ ผิดกับผมที่ตอนนี้ค่อยๆก้าวย่องลงบนพื้นทรายอย่างระแวดระวังด้วยกลัวเหยียบลูกสนที่ตกลงมาเกลื่อนอาณาบริเวณ พี่มาร์ทก็เอาแต่ยืนโบกมือหยอยๆเร่งผมยิกๆ พอผมตะโกนกลับไปให้รอ อีกฝ่ายก็ยืนหัวเราะร่วนซะอย่างนั้นไม่คิดจะเข้ามาช่วยแต่อย่างใด ใช่สิครับ ผมมันเดินเท้าเปล่านี่ใครจะไปรู้ละว่าต้องใส่รองเท้าแตะลงมาก่อนอะ กว่าจะเดินพ้นโซนอันตรายมาได้เล่นเอาเกือบเหนื่อย จ้องลูกสนสีน้ำจนตาลายไปหมดแล้วนี่ พี่มาร์ทหายไปไหนแล้วนี่?
                   
                    “อุ๊บส์ I’m sorry.” ผมผงกหัวให้กับหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งวัยใกล้เคียงกันที่เผอิญเดินไปชนตอนเขาก้มลงเก็บลูกวอลเลย์บอลพอดี เขาส่งยิ้มละมุนมาให้ก่อนเดินจากไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่ไม่รู้ทำไมนอกจากชอบตบลูกบอลกันแล้วยังชอบตบหัวเพื่อนเล่นกันเองก็ไม่รู้ เจ้าตัวก็ยิ้มเขินซะน่ารักเชียว นานทีจะเจอหนุ่มหน้าตาดีหุ่นโดนๆโผล่มาให้มองริมหาดสักคน เห็นเขายิ้มกว้างผงกให้ผมอีกครั้ง ผมจึงต้องยิ้มตอบกลับไป
                    “แมค”
                    “What?” บอกปัดไม่พอยังจะมีสะกิดผมอีกนะเนี๊ยะ คนกำลังมองแผ่นหลังใต้เสื้อกล้ามเพลินๆอยู่
                    “จะว่ายน้ำหรือจะเล่นบอล?” หันขวับไปมองต้นเสียง ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆให้
                    “ว่ายสิครับ แหม พี่มาร์ทก็...เหวอ....” ถึงกับขืนตัวไว้สุดกำลังเลยครับ แต่แรงผมหรือจะไปสู้แรงคนตัวโตกว่าได้ “ไม่เอาพี่มาร์ท ไม่เอาๆ ผมไม่ลงทั้งตัวนะ”
                    “หึๆ ทำไมละครับ” จ๊ากก จุ่มน้ำไปครึ่งขาแล้ว อย่าดึงผมลงน้ำไปลึกกว่านี้เลย
                    “ก็มันเค็มไงเล่า! พี่มาร์ทแค่เอวก็พอแล้ว นะน้า”
                    “ถ้าแมคกลัวยืนไม่ถึงก็เกาะพี่ไว้สิครับ” พี่มาร์ทส่งยิ้มให้ ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเป็นยิ้มปีศาจชอบกล “ว่ายน้ำเป็นกลัวอะไรเล่า
                    “กลัวความเค็มเข้าตาไง แสบตาอะ” ผมบอกพร้อมจิกเท้าลงกับพื้นทรายใต้น้ำยึดเอาไว้สุดแรง “ปล่อยแขนผมได้แล้ว รู้นะว่าแกล้งผมอะ ผมจะขึ้นฝั่งแล้ว”
                    “เพิ่งจะลงมาในน้ำเองนะ จะขึ้นแล้วเหรอ ยังไม่ได้เล่นน้ำกันเลย”
                    “จะให้ผมเล่นอะไรเล่า ทะเลก็มีแต่น้ำกับคลื่น แถมยังเค็มอีก” ผมบ่นอุบให้ตายยังไงผมก็ไม่ยอมเดินต่อไปลึกกว่านี้แน่ๆ “พี่มาร์ทจะว่ายเล่นก็เอา ผมขอขึ้นไปเล่นทรายที่หาดละกัน”
                    “โอเค” ผมบอกมองคนตัวโตกว่าเดินลึกลงไปอีกครึ่งเมตรก็เห็นเขาดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้น ผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงกวาดสายตามองไปรอบๆเดินฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งหน้าสู่หาดทราย เพิ่งรู้ว่าสายๆนี่ฝรั่งชอบลงว่ายน้ำกัน บางคนก็นอนอาบแดด บางคนก็เล่นกีฬาริมหาด ผิดกับคนไทยที่นิยมลงเล่นน้ำช่วงเย็นมากกว่า สงสัยจะกลัวแดดตัวดำ “แล้วจะก่อปราสาททรายยังไงนี่ ถ้วยไหกะละมังไม่มีให้ตักน้ำทะเลเลย” สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งขุดทรายขีดเขียนวาดตัวอักษรเล่นบนผืนทรายเท่านั้น เพราะไม่ได้พกอุปกรณ์เล่นทรายมาจากบ้าน แถมหาดทรายนี่ก็มีเจ้าหน้าที่ดูแลดีเกินจนไม่เหลือเศษขยะอะไรให้ผมเอามาประยุกต์ใช้ได้เลย
                    “Sorry” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นทางด้านหลังพร้อมกับสัมผัสของลูกบอลที่เข้ามากระแทกตรงขา ผมหันขวับกลับไปทำให้ผมมองอีกฝ่ายได้ชัดยิ่งขึ้น หนุ่มฝรั่งผมหยักศกสั้นสีน้ำตาลเข้มนัยย์ตาสีเขียวใบหน้าคมกำลังมองก้มลงมา “Are you injured?”
                    “No, I’m ok.” ผมยิ้มรับไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย เพราะลูกบอลเหมือนจะกลิ้งมามากกว่าเตะอัดใส่ หนุ่มฝรั่งพยักหน้ารับอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวกลับไป แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักหันกลับมามองผม
                    “You can join us, if you bored.” คำชวนนี้ทำเอาผมอึ้งไปเลยได้แต่อ้ำอึ้ง
                    “Thank you but I’m ok to sit here.” ใจผมก็อยากไปเล่นนะครับ แต่หันไปมองกลุ่มเพื่อนเขาแล้วผมปฏิเสธดูจะเหมาะกว่า
                    “Why not?”
                    “Height” ตอบแค่นี้ทำไมต้องแอบกลั้นขำผมด้วยก็ไม่รู้ ขนาดตัวคนเอเชียหรือจะไปสู้คนต่างชาติ
                    “I see. I’m sorry” นี่ก็ยังไม่หุบยิ้มอีกนะ “We’ve some party so you…”
                    “แมค!” นี่ก็อีกคนไม่รู้จะตะโกนเรียกผมทำไม “ทำไรอยู่”
                    “เล่นทรายรอพี่มาร์ทไง ถามแปลกๆ”
                    “งั้นเหรอ?” พูดกับผมไหงไปมองหน้าอีกคน แถมครั้งนี้ยังพูดแต่ภาษาไทยอย่างเดียวด้วยมาแปลก
                    “Ok. My friend call me. Nice to meet you”
                    “Uhm…me too. Bye Bye”
                    “Bye. See ya.” โบกมือร่ำลาเป็นที่เรียบร้อยผมก็หันกลับมามองดูคนข้างกายต่อด้วยความสงสัย ไม่พูดอังกฤษแถมยังนั่งเงียบเขียนตัวอักษรเล่นอีก ว่าแต่เขียนอะไรหว่า? ลบไปซะละ
                    “ไปหาไรกินกัน พี่หิวละ”

          ผมพยักหน้ารับส่งมือให้พี่มาร์ทจับช่วยดึงผมขึ้นยืน พลางเดินตามอีกฝ่ายมุ่งหน้าไปยังทางเข้าโรงแรม ตลอดทางผมก็ถามนั่นถามนี่ชวนคุยไปเรื่อย พี่มาร์ทเองก็ตอบชวนคุยตามปกติ แถมยังให้ผมเลือกร้านอาหารกลางวันเองอีกด้วย  แน่นอนว่าผมไม่เลือกอะไรให้มันยุ่งยากหรอกครับ เอาร้านอาหารริมหาดของโรงแรมนี่ละ กินไปชมวิวไปสุขใจดีออก กินอิ่มแล้วยังได้นอนตีพุงในห้องพักก่อนกลับเข้ากรุงเทพอีกตั้งสองชั่วโมง ช่างเป็นวันสบายๆอย่างที่ผมตั้งใจไว้ซะจริง


                TBC
                 -----------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
Re: Until You [อัพเดท ตอนที่ 8 (2/2)] 12-04-2016
«ตอบ #29 เมื่อ12-04-2016 22:45:47 »

พี่มาร์ทเขาหึงไง เห็นแววรำไร แอบบริหารสเน่ห์นะเนี่ยหนูแมค ไม่เบาๆ :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด