อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ
บทที่ 3
จุดแสงเล็กๆลอยละลิ่วอยู่บนฟ้าตรงกับศีรษะของอาศิรนี่เอง มันร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็วและอาศิรก็เห็นจุดแสง
นั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นห่วงสีทองที่เหมือนจะผ่านตาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ยังไม่ทันจะคิดทบทวนอันใดทั้งสิ้นเจ้าห่วงมีก้านสีทอง
นั้นก็ตรงลิ่วลงมาหาเขา อาศิรนึกอยากจะวิ่งหนีแต่ก็เหมือนมีพลังบางอย่างหยุดเท้าทั้งสองข้างไว้ที่เดิม
มันร่วงลงมากระทบศีรษะหากแต่มันกลับผลุบหายเข้ามาตรงกระหม่อม อาศิรสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างกายของเขาพลันร้อนวูบ
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไอสว่างแผ่ออกจากร่างเป็นรัศมีนวลทั่วตัวก่อนที่มันจะค่อยๆจางลงหมดสิ้นราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเหลือทิ้งไว้แต่
ไออุ่นในร่างกายของอาศิร
หมดเรื่องตกใจไปหนึ่งเรื่องอีกเรื่องก็ติดตามมาในระยะกระชั้นชิด เมื่อเงาดำมืดเงาหนึ่งพุ่งตัววูบเข้าหาเขา อาศิรเผลอหลุด
ปากร้องลั่นและเสียหลักหงายหลังก้นจ้ำเบ้า เขาได้แต่หันหน้าหลบและหลับตาด้วยความตกใจจนไม่เห็นว่าเงามืดนั้นกระเด็นออกห่าง
จากตัวเขาก่อนจะหมอบต่ำขู่ฟอดอยู่ไม่ไกลนัก เปลือกตาเต้นยิบๆด้วยความตื่นเต้นระคนตกใจเมื่ออาศิรทำใจค่อยๆเปิดเปลือกตาช้าๆ
“เหวอ!”
คราวนี้ถึงกับอ้าปากค้างหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นเงาทะมึนของร่างกายสูงใหญ่ยืนค้ำหัวของเขาอยู่ท่ามกลางสายฝนที่
ยังเทลงมาไม่ขาดสาย อาศิรเหลียวหน้าแลหลังมองโดยรอบบนถนนในซอยเล็กที่แทบจะร้างผู้คน มีเพียงเขาที่เห็นสิ่งแปลกประหลาด
ที่สุดในชีวิตถ้าไม่นับตอนที่เขามองเห็นวิญญาณที่หลุดจากร่างคนเป็นครั้งแรก
เขารู้จัก เดี๋ยวนะ!
ร่างกายเป็นคนแต่หัวเป็นสุนัขมีอาวุธเป็นคทายาวแบบนี้
“ทะ เทพอนูบิส”
เสียงนั้นแทบจะไม่รอดริมฝีปากออกมา เขาได้แต่พึมพำด้วยความมึนงง
มันเป็นตำนานเทพเจ้าโบราณ หาใช่เรื่องจริงไม่ กับความเชื่อที่มีมาหลายพันปีแล้ว อาศิรจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อมันกลาย
เป็นสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาตัวเองในขณะนี้ และยิ่งร่างสูงที่แผงอกเต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นคำรามออกมาดังๆในภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย
“อังคคค”
อนูบิสชักหงุดหงิดเมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเจ้ามนุษย์ผู้ชายที่ยังนั่งนิ่งอึ้งอยู่กับพื้น เขาต้องการอังค์คืนโดยเร็วที่สุด อังค์
ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเครื่องประดับเท่านั้น มันคือขุมพลังของเขาและนอกเหนือจากนั้น อนูบิสต้องใช้มันเพื่อเปิดบานประตูใหญ่ของดินแดน
หลังความตายอีกด้วย มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่มนุษย์หน้าตาประหลาดจากเผ่าพันธุ์ของเขาจะเก็บซ่อนมันไว้
“ข้าบอกให้คืนอังค์ให้ข้าไงล่ะ มนุษย์”
แววตานั้นสื่อถึงความตื่นตระหนก หวาดกลัว สับสน อนูบิสเพ่งมองด้วยความสงสัย เขาเก็บความร้อนใจไว้ก่อนจะเงยหน้า
เหลียวมองโดยรอบ และตอนนี้เองที่เทพเช่นเขาจะต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจบ้าง
ที่นี่คือที่ไหน
หาใช่ทะเลทรายอันอ้างว้าง อนูบิสเพิ่งจะรู้สึกถึงความฉ่ำเย็นจากสายฝนที่เขาไม่เคยพบมาเนิ่นนานเมื่อชีวิตต้องพบเจอแต่
ความร้อนระอุของทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา และสิ่งก่อสร้างต่างๆก็ไม่เหมือนในดินแดนของเขา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนและถนนหนทาง
เกิดอะไรขึ้น?
อนูบิสคิดถึงวงแหวนประหลาดที่เกิดขึ้นระหว่างเสาโอเบลิสก์คู่ใหญ่ตอนที่เขาต่อสู้กับปีศาจเนรูและผ่านเข้ามา แต่เพราะมัว
จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ทำให้เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างจนไม่รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งของวงแหวนคืออะไร
เทพอามอน-รา
ท่านปู่ ท่านเล่นตลกอันใดกับหลานผู้ต่ำต้อยกันแน่
เทพแห่งความตายก้มหน้าขวับสบตากับบุรุษตรงหน้า เขาเห็นใบหน้านั้นยังเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่มองเห็นเขา อนูบิส
คว้าต้นแขนนั้นให้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า
เนื้อตัวนุ่มนิ่มดั่งไม่เคยออกแรงใดๆแทบจะปลิวติดมือขึ้นมา อนูบิสรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจากร่างกายนี้เมื่อเขาวางมือทั้งสอง
แนบไปกับกะโหลกแล้วเพ่งสมาธิผ่านฝ่ามือตนเอง
อาศิรตัวสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ ฝ่ามือนั้นสาก แข็งกระด้างขณะวางมือแนบศีรษะของเขา มันแน่นหนาจนไม่อาจขยับ ไม่อาจละ
สายตาไปจากใบหน้าสุนัขทะเลทรายได้ ดวงตาคู่นั้นทั้งคมทั้งดุยามที่เขาถูกบังคับให้สบตาอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงจวบจนกระทั่งเทพผู้นี้
พอใจนั่นแหละจึงยอมปล่อยมือ อาศิรแทบจะทรุดฮวบลงไปอีกครั้งถ้ามือสากใหญ่จะไม่คว้าต้นแขนของเขาไว้เสียก่อน
“อังค์อยู่ไหน”
ภาษาไทย!
ก็เมื่อครู่ยังเอ่ยด้วยภาษาที่เขาไม่รู้จักอยู่เลยนี่นา แต่ตอนนี้อาศิรกลับรู้เรื่องในสิ่งที่เทพตรงหน้าพูดออกมา นี่เขาจะต้องเจอ
กับเรื่องประหลาดๆเช่นนี้อีกกี่เรื่องในคืนนี้กันแน่
“คุณมีวุ้นแปลภาษาด้วยเหรอ”
หลุดปากถามออกไปจนใบหน้าสุนัขเอียงมองด้วยความสงสัย
“สิ่งใดคือวุ้นแปลภาษา”
เออ ช่างมันเถอะ อาศิรจะตอบว่าเป็นของเล่นของหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคตก็ใช่ที่ เขาว่าควรจะเข้าเรื่องในจบๆไปดีกว่า
“อะไรคืออังค์ ผมไม่รู้จัก”
“สิ่งที่เพิ่งจะตกลงมาเมื่อครู่”
เทพแห่งดินแดนหลังความตายยกมือบอกลักษณะวงกลมและก้านทั้งสามให้อาศิรดู นายแพทย์หนุ่มจึงเข้าใจว่ามันคือสิ่งที่เขา
สงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่แท้มันเรียกว่า “อังค์” เสียดายที่เขาไม่ได้ถามเวทิศว่ามันมีไว้เพื่ออะไร
“มันตกจากฟ้าใส่หัวผม แล้วมันก็หายไป”
“หายไป!”
อนูบิสตกใจ เขารีบดึงแขนของอาศิรเข้าใกล้เพื่อจะมองทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ดวงตาคมสื่อความหวาดหวั่นออกมาบ้าง
ใบหน้ายิ่งเคร่งขรึมครุ่นคิด อนูบิสตัดสินใจทดสอบความสงสัยด้วยการกระโจนขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งสูงเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพลัง
ของเขาลดน้อยลงจนต้องรีบกลับลงมายังพื้นด้านล่าง เมื่อเข้าใกล้บุรุษตรงหน้าพลังจึงได้กลับคืนมา
เรื่องตลกที่ไม่น่าตลก แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว อังค์ได้เข้าไปอยู่ในร่างของบุรุษผู้นี้ ในดินแดนที่อนูบิสไม่รู้จัก กับภารกิจตามหาปีศาจ
ร้ายเนรูเพื่อชิงขนนกแห่งเทพมาอัตกลับคืนมาให้ได้และที่สำคัญเขายังไม่รู้ว่าจะกลับไปดินแดนของเขาได้อย่างไรด้วยซ้ำ
“เจ้า มีนามว่าอะไร”
ในที่สุดก็ต้องเอ่ยถาม อาศิรชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อความมั่นใจว่าเทพอนูบิสถามเขา
“อาศิร อา ศิ ระ ยากไปใช่ไหม คุณเรียกผมว่าโอมก็ได้”
โอม น่าจะง่ายกว่าสำหรับเขา เทพอนูบิสคิดอยู่ในใจเพราะมันคล้ายคลึงกับการเอ่ยขึ้นต้นคำสวดบูชาต่างๆ
“ข้าคืออนูบิส”
อาศิรเริ่มจะหายตื่นเต้น ดีที่เขามีภูมิคุ้มกันกับเรื่องสัมผัสที่หกอยู่แล้วจึงควบคุมจิตใจได้เร็วกว่าคนอื่นๆ เขาพยักหน้ารับเมื่อ
เทพใบหน้าสุนัขแนะนำตัว
“ผมรู้จักคุณ เพิ่งจะถูกเพื่อนเลคเชอร์เรื่องของคุณเมื่อเย็นนี้เอง”
อนูบิสอยากจะถามว่าอะไรคือเลคเชอร์แต่ก็ไม่อยากออกนอกเรื่องให้มากความ เขารีบอธิบายให้อาศิรฟังอย่างรวบรัดที่สุด
“ฟังนะโอม ข้าสู้กับเนรู มันชิงของสำคัญมาจากดินแดนข้าและมันก็หนีไปได้ พลังของข้าหลอมอยู่ในร่างของเจ้า ข้าทำอะไร
ไม่ได้หากอยู่ห่างเจ้า”
อาศิระตั้งใจฟังและเมื่อจบประโยคสุดท้ายเขาก็อึ้งอีกแล้ว สมองของเขากำลังประมวลผลอย่างหนัก หากจะให้เข้าใจง่ายๆ
คือ ไอ้ที่ตกใส่หัวแล้วหายเข้ามาในร่างกายของเขามันคือขุมพลังของยอดมนุษย์เหมือนไอออนแมนที่มีหัวใจเทียมเป็นขุมพลังงั้นหรือ
แล้วที่เทพอนูบิสบอกว่าอยู่ห่างจากเขาไม่ได้ล่ะ
“หมายความว่าระหว่างที่ข้าตามหาตัวเนรูเจ้าจะต้องอยู่ข้างกายไม่ไกลจากข้า”
คราวนี้นายแพทย์หนุ่มชะงักงัน ทำไมเขาจะต้องถูกดึงไปยุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เขาส่ายหน้าใส่เทพอนูบิสทันที
“ไม่ได้หรอก ผมต้องทำงาน ผมจะมีเวลาที่ไหนไปช่วยคุณล่ะ หาคนอื่นสิ”
“อังค์ไม่ได้ตกใส่คนอื่น อังค์ตกใส่เจ้า”
อาศิรทอดถอนใจ เขาอยากจะถามคนที่ลิขิตทางเดินให้เขาเหลือเกินว่า เหตุใดจึงยัดไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องมาให้ชีวิตของเขา
ได้มากมายปานนี้
“โอม เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น”
ตอกย้ำเข้าไป แค่นี้อาศิรก็เซ็งจะแย่อยู่แล้วกับทางที่ไม่เคยได้เลือก
“รู้แล้วน่า ก็ได้ แค่อยู่ใกล้ๆใช่ไหม ไม่ต้องเข้าไปใส่เกราะต่อสู้ด้วยใช่ไหม”
อนูบิสมองอย่างพึงใจ อาศิรดูจะเป็นคนที่สงบสติอารมณ์และเข้าใจสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว หากเป็นคนอื่นแม้แต่ในดินแดน
ของเขาเองหากเห็นอนูบิสยังหวาดกลัวจนแทบเป็นบ้า แต่อาศิรไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ดินแดนนี้คือที่ไหน”
สายฝนขาดเม็ดไปแล้วเมื่อใกล้เที่ยงคืนเต็มที พื้นถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำขัง และความเงียบในซอยเล็ก
“กรุงเทพมหานคร ปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบเก้า”
“อะไรคือพุทธศักราช”
อนูบิสเอียงคอหูแหลมลู่อย่างใช้ความคิด อาศิรนึกคำอธิบายพักหนึ่งกว่าจะตอบออกมา
“เอาเป็นว่าที่นี่รับรู้เรื่องราวของพวกคุณว่าเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน และเชื่อกันว่ามันเป็นแค่เรื่องสมมติไม่ใช่เรื่องจริง”
“แต่เจ้าก็เห็นว่าเรามีตัวตน”
เฮ้อ ก็ไม่มีใครประหลาดเหมือนผมนี่นะ เห็นทั้งวิญญาณเห็นทั้งเทพ
อาศิรแอบตอบโต้อยู่ในใจ
“คุณบอกว่าจะต้องอยู่ใกล้ผม แล้วเราจะสื่อสารกันยังไง ถ้าผมพูดกับคุณผู้คนที่นี่เขาจะหาว่าผมบ้าหรือเปล่า”
เมื่อจำเป็นต้องยอมรับสภาพ อาศิรก็ต้องเริ่มวางแผนชีวิต เขายังไม่อยากกลายเป็นผู้ป่วยหูแว่วประสาทหลอนในสายตาคนอื่น
ถึงแม้ว่าตัวเขาเองยังคิดว่ามันก็ใกล้เคียงอยู่ไม่น้อย อนูบิสคิดตามก่อนออกความเห็น
“ข้าจะใช้ร่างมนุษย์ยามอยู่เคียงข้างเจ้า”
ร่างมนุษย์งั้นหรือ เมื่อตอนเย็นอาศิรเพิ่งจะคิดสงสัยใบหน้าภายใต้หน้ากากสุนัขอยู่เลย ไม่นึกว่าโชคชะตาจะเล่นตลกให้เขา
ได้เห็นในสิ่งที่เขาอยากรู้ได้รวดเร็วปานนี้
เทพอนูบิสขยับออกห่าง และแค่พริบตาเดียวใบหน้าสุนัขทะเลทรายนั้นก็พลันแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นใบหน้าของมนุษย์
ผู้ชายที่ทำให้อาศิรอ้าปากค้างได้อีกครั้ง
แม่เจ้าโว้ย หล่อไม่บันยะบันยัง ไม่เกรงใจกันบ้างเลย
ใบหน้านั้นเรียวยาวมองเห็นโครงหน้าชัดเจน ดวงตาคมเปลือกตาสองชั้นรับกับคิ้วเข้มสีดำสนิท จมูกโด่งเป็นสันตั้งเหนือริม
ฝีปากหยักและมีหนวดเคราที่ได้รับการตัดเล็มอย่างดี ทั้งหมดเป็นส่วนประกอบบนใบหน้าที่ทำให้อาศิรที่เป็นผู้ชายเช่นเดียวกันยังถึงกับ
ตะลึง ยิ่งมันตั้งอยู่บนร่างกายสูงเกือบร้อยเก้าสิบที่มีมัดกล้ามเป็นแผงขนาดนี้ อาศิรนึกว่าเทพอนูบิสคนนี้หลุดมาจากแคทวอร์ก
“ทำไม ใบหน้าของข้ามันอัปลักษณ์มากกระนั้นหรือ”
ยังมีหน้ามาพูด อาศิรนึกขำเมื่อเห็นเทพจากอียิปต์ยิ้มเก้อเขิน เขารีบส่ายหน้าทันที
“หล่อเกินหน้าเกินตาต่างหากล่ะท่านอนูบิส”
“เรียกเราว่าอีนพู”
ดีที่ยังจำเนื้อความที่เวทิศอธิบายยืดยาวในร้านอาหารญี่ปุ่นได้ อาศิรรีบทบทวนความจำทันที
“ชื่ออนูบิสนี่เป็นชื่อสมัยใหม่แล้วนะ เป็นภาษากรีก แต่ชื่อภาษาอียิปต์โบราณแท้ๆเรียกเทพอนูบิสว่าอันพู เอ เอ็น พี ยู อ่านว่า
อันพู พอทางกรีกเริ่มเข้าไปมีบทบาทก็เลยเปลี่ยนชื่อเทพบางองค์ให้ออกเสียงแบบกรีกน่ะ”
แต่พอฟังเจ้าของชื่อออกเสียงตัวเอง อาศิรว่ามันฟังเหมือน อีนพู มากกว่า อันพู นะ
“ท่านต้องอยู่อย่างมนุษย์และมีชื่อเรียกให้เหมือนคนแถวนี้ถ้าจะอยู่ที่นี่ล่ะก็ อืม ฟังจากชื่อของท่านแล้วถ้าผมจะเรียกท่าน
ว่าอินทร์ภูเป็นไง ชอบไหม”
อินทร์ภู งั้นหรือ อนูบิสไม่รู้ความหมายแต่เมื่อมันออกมาจากปากมนุษย์ต่างแดนตรงหน้าอนูบิสชอบชื่อนี้อย่างไม่มีเหตุผล
เขาพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด
“ฟังดูไพเราะแต่ไม่ต่างจากชื่อของข้า ดีแล้ว ข้าขอรับนามนี้ไว้ใช้”
“ดีมาก งั้นผมว่ากลับบ้านของผมเหอะ ก่อนที่ผมจะเป็นหวัดเพราะเสื้อผ้าเปียกฝนขนาดนี้ ไปเร็ว ท่านอินทร์ภู”
อาศิรวิ่งนำไปแล้ว ใบหน้ามนุษย์ของเทพอนูบิสมองตามหลังแผ่นหลังนั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างเข้ามาเกาะกุม
อยู่ในหัวใจที่มีแต่ความเย็นชาว่างเปล่า เขาเผยยิ้มอ่อนโยนที่ไม่มีใครเห็นกับตัวเองก่อนจะก้าวตามอาศิรไป
มีต่ออีกนิด...