Chapter 55
สอบปฏิบัติวันสุดท้าย อินทัชกลับมาด้วยใบหน้าบวมช้ำ วันนี้กนธีไม่ได้ออกไปหาลูกค้า พอเห็นน้องเข้ามาในสภาพนั้นก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น” เขาเดินไปหา จับหน้าน้องให้เงย
อินทัชหันหลบ ซีกหน้าข้างหนึ่งบวมร้อนเหมือนจะปริแตกได้ เขาถอดรองเท้าออก สวัสดี ‘พี่ชายร่วมห้อง’ “แค่หลบลูกบาสไม่ทันเท่านั้นแหละครับ”
ปกติแล้วเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างมาก อินทัชเป็นคนว่องไว และไม่ว่าจะกีฬาประเภทไหนก็เก่งจนเพื่อนๆยอมให้ ยิ่งกับการสอบ ไม่น่าจะพลาด
“ผมเหม่อไปหน่อย” เขาหัวเราะหึ “เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเลย”
เพราะประโยคนั้น ‘ให้พวกเรา..หยุดกันไว้แค่นี้’
กนธีเป็นกังวล เขาให้น้องไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาทำแผล
“ผมทำเองได้ครับ ไม่เป็นไร” เขาเซื่องซึม “ของแค่นี้..ไกลหัวใจเยอะ”
“โอ๊ตครับ..อย่าดื้อได้ไหม” คนอายุมากกว่าขอร้อง
“ผมไม่ได้ดื้อ..ก็แค่ตอนนี้รู้สึกเจ็บมากเท่านั้น” อินทัชตัดพ้อ “ผมไม่รู้ว่าพี่จะเข้าใจผมได้ไหม ในเมื่อตอนนี้สิ่งที่พวกเราคิดมันสวนทางกันไปหมด”
“โอ๊ต..พี่ขอโทษ” เขาละอายใจ “ที่จริงพี่ไม่ควรพูดในช่วงที่เราจะสอบ”
“ไม่ว่าตอนไหนมันก็เหมือนกันอยู่ดี..เพราะพี่อยากจะเลิกกับผม”
กนธีเดินตามไปที่ห้องนอนของพวกเขา อ้นกับอุ้มกำลังนอนกลางวัน เขาไม่อยากส่งเสียงให้เด็กๆตื่นขึ้นมา เมื่อคืนที่คุยไม่มีการทะเลาะ แต่ก็ไม่ได้ขยายความนอกเหนือไปจากประโยคสั้นๆที่เขาบอก เพราะอินทัชหุนหันออกไป ไม่รับฟัง ปิดการรับรู้ทุกอย่าง เขาเลยให้น้องใจเย็นลงก่อน
อินทัชนั่งลงปลายเตียง ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตรงที่บวมแดง
“ให้พี่ทำให้เถอะนะ” กนธีขอ ดึงผ้าไปจากมืออีกฝ่าย
เด็กหนุ่มยอมปล่อย ดวงตาทั้งคู่จับจ้องใบหน้าได้รูปด้วยความเศร้าซึม เขาไม่รู้ว่าอะไรเจ็บปวดกว่ากัน ระหว่างเลิกร้างแล้วทำเหมือนคนแปลกหน้า กับยังใกล้ชิดกัน แต่มีกำแพงกั้นความสัมพันธ์ให้กลายเป็นอย่างอื่นแทน
..แต่ไม่ว่าจะแบบไหน เขาก็สงบนิ่งเหมือนที่พี่กุนต์ทำไม่ได้..
“พี่คิดอะไรอยู่กันแน่” เขาถามอย่างหมดแรง “ในใจพี่ตอนนี้คิดอะไร”
กนธีเงียบกริบ ค่อยๆเช็ดหน้าให้แล้วผละไปเอาแผ่นเจลมาประคบ
“พี่ไม่รู้สึกอะไรจริงๆหรือ..ทั้งที่ใกล้กันขนาดนี้”
เขามองน้อง เกลี่ยเส้นผมที่ตกระหน้าผากออกให้
“รู้สึกสิ” กนธีวางผ้าลงบนโต๊ะ “รู้สึกชัดเจน..ทั้งความสุข ความทุกข์ ความกลัว ความระแวง ความผิดหวัง ความน้อยใจ เสียใจ ทุกอย่างที่ผ่านมา..”
อินทัชนั่งเงียบ เขาเข้าใจว่าพี่กุนต์รอเขามานาน และถ้าไม่เกิดเรื่องพวกนั้น พี่กุนต์ก็คงจะยังรอต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ใจคนรอท้อถอยได้อยู่แล้ว เมื่อถูกทำร้ายความรู้สึกก็คิดหยุดขึ้นมา
“พี่มันขี้ขลาด..โอ๊ต” เขามองน้อง “พี่อาจจะรักและรอเราได้ แต่พี่ก็มีขีดจำกัดของพี่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าพี่ไม่ไหว..พี่จะพอ”
“โดยไม่บอกให้ผมรู้ตัว ไม่ยอมให้ผมแก้ตัวสักนิดเลยหรือ” เขาเสียใจ “สุดท้าย..ที่พี่เตือนผมไว้ก็เกิดขึ้นจริง ความรักของพี่มันคงจะเริ่มต้นที่ร้อยแล้วติดลบลงมา แต่กับผม..ถึงมันจะเริ่มจากศูนย์ แต่รู้ไหมว่ามันกำลังมากขึ้นทุกวัน”
กนธีหลบสายตา “ถ้าเรากลับมาเป็นเหมือนก่อนหน้า เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องที่ไม่คาดหวังอะไรจากกัน พี่ว่ามันคงมีความสุขกว่า โอ๊ตเองก็ไม่จำเป็นต้องดูแลพี่อีกแล้ว” เขาพึมพำ “ขอโทษที่พี่เป็นคนเริ่ม ทั้งสัญญา ทั้งกฎงี่เง่านั่น..”
อินทัชหัวเราะ แต่ดวงตาของเขากลับมีหยดน้ำไหลลง
“โอ๊ต..” เขาดึงตัวน้องมากอดปลอบ เด็กหนุ่มยอมโอนอ่อนตามคล้ายคนหมดแรงใจ “ถึงเราจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแบบนั้น แต่พี่ก็ยังอยู่กับพวกเรานะ”
อินทัชขบกรามแน่น น้ำตาไหลเงียบเชียบจนชุ่มเสื้ออีกฝ่าย
เขาอยากถามว่าพี่กุนต์ใจแข็งขนาดนี้ได้อย่างไรกัน แต่เขาก็ต้องถามตัวเองด้วย ว่าก่อนหน้านี้ เขาใจแข็งกับอีกฝ่ายมานานแค่ไหนแล้ว
“ไม่ต้องห่วงคนดี” เขาลูบผมน้อง “พี่สัญญา..พี่ยังดูแล ยังรับผิดชอบพวกเราทุกคนอย่างเดิม ทุกคนเป็นน้องชายที่พี่รัก เรายังเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ผมไม่ห่วงหรอกว่าพี่จะยังดูแลพวกผมไหม ผมไม่ต้องการอะไรจากพี่สักอย่าง เงินสักบาทก็ไม่อยากได้” อินทัชผละออกห่าง “ผมต้องการแค่ความรักของพี่..ความรักในแบบคู่ชีวิต พี่ให้ผมได้ไหมครับ”
กนธีไม่ตอบ มีเพียงแววตาที่ไหวสั่น
อินทัชหัวเราะหึ “อะไรที่ทำให้พี่เอาคำว่ารักของพี่คืน..คุณไผทใช่ไหม”
“ไม่เกี่ยวกับเขา” ชายหนุ่มตอบทันที “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีโอ๊ต พี่ก็ไม่คิดจะคบหากับคุณไท เขาเป็นแค่เพื่อน เป็นหุ้นส่วน คนบางคนเกิดมา ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน และถ้าพี่ไม่ได้รัก ก็ไม่มีทางเกินเลยไปมากกว่านี้”
“ถ้าไม่เกี่ยวกับคนนอก แล้วทำไมพี่จะให้โอกาสผมไม่ได้ หรือว่าพี่กลัว”
กนธีหลบหน้า ใช่..ลึกๆแล้ว เขากำลังกลัว “ถ้าเราไปกันต่อ มันอาจจะยิ่งแย่ลง แต่ถ้าหยุดในตอนที่ยังรู้สึกดีต่อกัน เราก็ยังเป็นพี่น้องกันได้”
“พี่น้องที่ไหนมีอะไรกันได้เป็นปี” อินทัชไม่อยากรับคำอ้างที่ว่า “พี่บอกผมเลยดีกว่าว่าพี่รับตัวตนผมไม่ได้ รับข้อเสียผมไม่ได้และไม่คิดจะทน”
“ถ้าเราต้องฝืนกันทั้งคู่..” กนธีถาม “แล้วเราจะดำเนินต่อทำไม”
“มันต้องฝืนทนเลยหรือ” เด็กหนุ่มถามอย่างเสียใจ “เรามาคุยกัน ปรับความเข้าใจกัน มาช่วยกันทำให้ความสัมพันธ์นี้ไปรอดไม่ได้หรือไง ของเสียหาย พี่จะไม่ยอมซ่อมมันหรือครับ คิดจะโยนทิ้งอย่างเดียวเลยใช่ไหม”
กนธีไม่ตอบคำถามของน้อง ทำได้เพียงนั่งนิ่งเฉย
“พี่จะเอายังไงกับผม” อินทัชถาม “จะเลิกกันไปเลย เก็บข้าวของออกไปจากชีวิตพี่ หรือจะให้ห่างออกมา รอเวลาให้คิดได้แล้วค่อยกลับมาเริ่มกันใหม่”
“พี่ไม่ได้อยากให้โอ๊ตออกไปจากชีวิตพี่” เขาตอบ “ก็แค่..ถอยออกจากความสัมพันธ์ที่มันเกินเลยต่อกัน ต่างคน..ต่างใช้ชีวิตกันไป”
“แล้วอนุญาตให้ผมมีคนใหม่ได้ไหม” เขาถามประชด
กนธีเงยหน้ามอง จากนั้นถึงได้หลบสายตาลง “พี่..คืนอิสระให้โอ๊ต ถ้าเราจะมีคนรักคนใหม่..พี่ก็เข้าใจ ถือว่าพี่ถอยออกมาจากที่ของพี่แล้ว”
อินทัชส่งเสียงหึในลำคอ เขาไม่เข้าใจกนธี อย่างไรก็ไม่เข้าใจ
“หากว่าวันไหนมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ได้เจอคนที่รัก เจอคนที่เหมาะสมกว่า โอ๊ตก็ไปได้เลย ไม่ต้องห่วงพี่ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
เขาน้อยใจจนเจ็บหน่วงในอก กนธีตัดใจจากเขาได้ง่ายดายเหลือเกิน
“ใครกันล่ะที่พี่คิดว่าเหมาะสมกับผม? แขกที่มาซื้อตัวผมหรือ”
“โอ๊ต..” กนธีมองอย่างขอร้อง “พี่ไม่อยากทะเลาะด้วยนะ เรานั่งคุยกันด้วยเหตุผลได้ไหม ในเมื่อโอ๊ตถาม พี่ก็ตอบ วางอารมณ์ลงก่อนได้หรือเปล่า”
อินทัชยอมรับว่าเขาใช้อารมณ์ประชดประชัน แต่จะให้เขานั่งเปิดใจคุยกัน ตัดความรู้สึกทิ้งแล้วพูดมาด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนพี่กุนต์ เขาทำไม่ได้
..ความรักของเรามันสวนทางกัน..คนเจ็บ..คือคนที่รักมากกว่า..
“พี่ไม่ได้ตั้งใจทำให้เราคิดเรื่องแขกพวกนั้น” กนธีอธิบาย “พี่แค่อยากจะพูดถึง..คนที่อยู่ในใจเรามาตลอด..” เขาเงยหน้ามอง “ปาลิน”
อินทัชนิ่งอึ้ง ตกใจยิ่งกว่าอะไร “พี่รู้?”
“คนที่เป็นเหมือนเงา..คนที่จะรักแม้ว่าเขาจะไม่ให้อะไร” กนธีจำได้
“พี่กุนต์..”
“ลืมไปแล้วหรือไง..เขาคนนั้นที่ให้ห้าร้อย ส่วนพี่ก็ให้ได้ห้าพัน..แม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งใจเปรียบเทียบ” กนธียิ้ม “ความรักที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ จะบกพร่อง คลอนแคลนก็ไม่เป็นไร เพราะเราจะเว้าแหว่งไปด้วยกัน แค่ไม่ปล่อยมือกันก็พอ”
อินทัชพูดไม่ออก คำทั้งหมดย้อนกลับมากรีดหัวใจ “พี่รู้ตั้งแต่เมื่อไร..”
“สำคัญด้วยหรือ” เขายกมือขึ้นปัดผ่าน “ตั้งแต่ที่ไปปากช่องนั่นแหละ แต่พี่ไม่ได้จะต่อว่า ถึงก่อนหน้าจะเจ็บในอกเหมือนถูกบีบแค่ไหนก็เถอะ”
“ผม..” เขาอ้ำอึ้ง
“พี่พูดถูกใช่ไหม” กนธีถาม “เรา..รักปาลิน”
อินทัชเงียบกริบ อับจนคำตอบ แต่ในเมื่อถามกันตรงๆ เขาก็กล้าบอก
“ใช่..คนที่ผมชอบมาตลอดคือสน” เขาพูด “แต่มันจบไปแล้ว ผมเลิกรู้สึกกับเขาตั้งแต่รู้ตัวว่ารักพี่ แล้วทำไมสนถึงมาเกี่ยวกับเรื่องของเราสองคนได้”
“เพราะว่าพี่รู้สึก..ว่าปาลินสำคัญกับเราจริงๆ และสำคัญมากกว่าพี่”
อินทัชชะงัก “พี่เอาอะไรมาพูด”
“เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าทุกครั้งเราเลือกที่จะทำดีกับเขาทุกอย่าง ในขณะที่กับพี่..โอ๊ตมีทางเลือกที่จะแสดงออกให้ดีเหมือนกันก็ได้ แต่เรากลับไม่ทำ”
เขานิ่งไป ถึงจะอยากแย้งแค่ไหน แต่มันคือความจริง
“พี่เข้าใจว่าโอ๊ตไม่พอใจนิสัยพี่หลายอย่าง พี่เข้าใจว่าในช่วงที่คุณยายไม่สบาย โอ๊ตหงุดหงิด ทำอะไรไม่ถูก พี่ไม่ได้บอกว่าโกรธไม่ได้ แต่พี่ไม่รู้ว่าทำไมโอ๊ตถึงเอาอารมณ์นั้นมาลงที่พี่..เพราะว่าพี่เป็นคนใกล้ตัวกว่าอย่างนั้นหรือ”
“ผม..” เขาพูดไม่ออกจริงๆ
“กับน้องสน..โอ๊ตเข้าใจเขาทุกอย่าง รู้ว่าเขาคิดยังไง แต่กับพี่..โอ๊ตกลับไม่มองความในใจที่พี่มีให้ ไม่มองความหวังดี ไม่มองความรู้สึก ความทุ่มเทของพี่ที่มีให้เรา พี่เองเป็นแค่คนคนหนึ่ง..รัก โลภ โกรธ หลง เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับอีกคนได้ ถ้าคนของเราแสดงท่าทีออกมาให้เราคิด”
กนธีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่ได้ต่อว่า ก็แค่เล่าให้ฟัง
“รู้ไหมว่าทุกครั้งที่มีเรื่องแบบนี้..พี่เกลียดตัวเองที่คิดมาก ไม่ชอบที่ใจคับแคบ และพี่ก็ไม่อยากรู้สึกแย่กับตัวเองไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
อินทัชรู้สึกหัวใจถูกถ่วงจนหนักอึ้ง เขายอมรับผิดทุกอย่าง
“ผมขอโทษที่หงุดหงิดใส่ ผมยอมรับ หลายครั้งผมคาดหวังกับพี่มากไป หลายครั้งผมเอาแต่ใจ ทำอะไรด้วยอารมณ์ เพราะคิดว่าพี่เป็นคนใกล้ตัว เป็นคนในครอบครัวผม” เขาถึงเผลอมั่นใจ ว่าต่อให้ทำตัวแย่แค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่ทิ้งเรา
“พี่เข้าใจ” กนธีไม่ถือโทษ “แต่ก็ยอมรับว่าเสียใจ เพราะถ้าเราวางพี่ไว้เป็นคนในอย่างที่พูดจริงๆ วันนั้นเราคงเปิดใจให้พี่มากกว่านี้ใช่ไหม”
“ผม..” ใช่..เขามองข้ามความรู้สึกกนธีอย่างไม่น่าให้อภัย
“พี่ไม่ได้จะรื้อฟื้นขึ้นมาตำหนิ เพียงแต่เล่าในส่วนของพี่ แล้วก็แค่อยากให้โอ๊ตลองคิดดูอีกสักเรื่อง..” เขาพูด “กับคนในครอบครัว พอโกรธขึ้นมา จะต่อว่า พูดให้เจ็บช้ำใจยังไงก็ได้อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าคนในครอบครัว ควรเป็นคนที่เราจะรัก ถนอมน้ำใจ และให้เกียรติที่สุดหรือ..หรือเห็นว่าเป็นคนกันเอง จะพูดยังไงก็ได้ คงไม่ถอดใจ ไม่หายไปไหนอย่างนั้นหรือ”
อินทัชร้องไห้ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าพี่กุนต์ “ผมขอโทษ..”
“พี่ไม่ได้โกรธโอ๊ตเลย” กนธีก้มลงกอดน้อง “พี่แค่ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว”
เขาเงยหน้ามอง พี่กุนต์เช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา
“พี่ขอเวลาสำหรับรักตัวเองบ้างได้ไหม” กนธีถาม “พี่คนนี้..ก็เสียใจเป็น เหนื่อยและท้อเป็น การหมดแรงใจมันมากกว่าหมดแรงกาย..เรารู้บ้างไหม”
“พี่กุนต์..” เขามองอย่างเจ็บปวด
“พี่อยากอยู่กับความรู้สึกดีๆทั้งกับตัวเองและกับโอ๊ต ไม่อยากเต็มไปด้วยอารมณ์ทางลบมากไปกว่านี้” กนธีรู้สึกว่าเขามาถึงเส้นที่ขีดไว้แล้ว “พี่ไม่อยากมองโอ๊ตในแง่ลบแม้แต่การเริ่มต้น ถ้าไม่เข้าใจกัน หยุดทุกอย่างตอนนี้ก็เป็นทางที่ดีกว่า..มันไม่มีอะไรรับรองได้ว่าพวกเราจะไม่ทำร้ายความรู้สึกกันซ้ำๆ”
เขาเห็นแก่ตัว หนีปัญหา รักตัวเอง ส่วนน้องยังเด็ก ยังไม่พร้อมกับการรับรู้ว่าความรักจะต้องประกอบไปด้วยอะไร และเพราะว่าเขาไม่คาดหวัง เขาถึงได้ไม่บอกให้อินทัชปฏิบัติตัวอย่างไร ของแบบนี้เมื่อถึงเวลา น้องจะรู้ได้เอง
“หยุดตอนที่ยังรัก ดีกว่าหยุดตอนที่รักน้อยลงไม่ใช่หรือ”
อินทัชหันหนี ซ่อนน้ำตาที่ไหล “คำว่ารักของผมมันไม่มากพอให้เราไปด้วยกันต่อเลยหรือครับ” เขามองอย่างขอร้อง “ผมไม่ได้ชอบ ไม่ได้รักสนอีกแล้ว ผมมีแต่พี่คนเดียว หลังจากนี้ก็จะรักพี่คนเดียว..พี่ให้โอกาสผมอีกครั้งได้ไหม”
“คำว่ารัก..มันไม่พอหรอกโอ๊ต ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงใช่ พี่ยอมได้ทุกอย่างเพื่อให้โอ๊ตพูดคำนี้” กนธีมองคนตรงหน้า ดวงตาพร่าเลือน “แต่ตอนนี้ ทุกอย่างที่เกิดมันทำให้พี่ได้คิด..ว่าพี่โลภเกินกว่าจะพอใจกับแค่คำๆเดียวแล้ว”
“พี่อยากได้อะไร ผมจะพยายาม” เขาไม่เคยมีความรักที่จริงจัง ไม่เคยคบหากับใคร ไม่มีแม้แต่ตัวแบบให้จดจำ ไม่มีความศรัทธาในรักมาก่อน
..แต่พี่กุนต์เป็นคนแรกที่สอนเขาในทุกๆเรื่อง..
..พี่จะไม่ให้อภัยคนโง่เขลาคนนี้ของพี่เลยหรือ..
“ไว้วางใจ ให้เกียรติ เคารพอีกฝ่าย เชื่อมั่นกันและกัน มั่นคง หนักแน่น จริงใจ ซื่อสัตย์ ยอมลงให้กัน” กนธีตอบ “เข้าใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดถึงใจกัน รักษาน้ำใจ ให้ความสำคัญต่อกัน เพราะคำว่า ‘ครอบครัว’ เป็นคำศักดิ์สิทธิ์สำหรับพี่ ไม่ใช่คำอนุญาตให้มองข้ามความรู้สึกกันทั้งที่หลีกเลี่ยงมันได้”
เขามองหน้าอีกฝ่าย “พี่เรียกร้องขนาดนี้..เราสองคนจะให้กันได้ไหม”
..คำตอบก็คือ..ไม่แน่ใจเลย..
“มันเกินขอบเขตของวัยเราที่จะให้พี่ได้ และตัวพี่เองก็ยังนิ่งไม่พอ ยังมั่นคงไม่มากพอที่จะให้โอ๊ตได้ทุกเรื่องเหมือนกัน พี่ถึงคิดว่า..เราควรถอยออกมา หยุดยืนอยู่ในจุดที่ไม่คาดหวังต่อกันจะดีกว่า”
อินทัชเสียใจยิ่งกว่าอะไร “แล้วถ้าผมโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้มากกว่านี้..ถ้าผมจะขอกลับมาหา พี่จะยังยินดีต้อนรับผมหรือเปล่า”
“อย่าพูดอะไรที่จะผูกมัดตัวเองดีไหม” กนธีตอบ “อนาคตเป็นเรื่องของอนาคต รู้ไว้แค่ว่า..พี่ไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้เกลียดหรือปิดทางของโอ๊ต”
“หมายความว่าพี่ยอม..”
“ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกัน”
อินทัชหลับตานิ่ง ที่จริงแล้ว เขาคิดว่าเขายังดิ้นรนต่อได้ ยังพอบีบคั้น ขอร้อง กดดัน อ้างเหตุผลต่างๆนานา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร
..ถ้าพี่กุนต์จะตัดใจ ให้เขารั้งอย่างไรหรือ..
“แล้วหลังจากนี้จะทำยังไง” เด็กหนุ่มถามเสียงพร่า “เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้ใช่ไหม ที่นี่เป็นที่ของพี่..สำหรับคนสำคัญของพี่ แต่ผม..ไม่ใช่”
“เรายังอยู่ด้วยกันได้ ดูแลกันได้เหมือนพี่น้อง พี่ไม่ได้จะให้โอ๊ตออกไป”
“ขอร้องเถอะครับ” เขาลุกขึ้นยืนหันหลัง เรียกความเข้มแข็งของตัวเองกลับมา “พี่ทำได้ แต่ผมทำไม่ได้หรอก ให้เห็นหน้าพี่ทุกวัน เห็นเมียผมทุกวัน แต่จะบังคับไม่ให้รู้สึกอะไรเลย..มันเป็นไปได้หรือไง”
กนธีนิ่งเงียบ เขารู้ว่าเขาเรียกร้องมากไปที่จะตัดความสัมพันธ์แต่ก็ยังจะดึงรั้งให้ทุกคนอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม
“แล้วผมก็ไม่รับปาก ว่าถ้าเห็นผู้ชายคนใหม่ของพี่ ผมจะแสร้งทำตัวเป็นน้องชายที่แสนดีของพี่ได้” เขาพูดอย่างเจ็บปวด “ผมขอออกไปเองแล้วกัน”
“โอ๊ต..” กนธีไม่ได้หวังให้ออกมาในรูปแบบนี้ “ออกไปข้างนอกแล้วเราจะอยู่กันยังไง อ้นกับอุ้มล่ะ น้องจะอยู่ได้ยังไง..พี่ยอมไม่ได้”
“ก่อนหน้าที่จะเจอพี่กุนต์ พวกเราก็อยู่กันได้ ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่ได้..พี่ให้เรื่องนี้ไม่ได้” เขากังวลขึ้นมาทันที
“ถ้าพี่จะเลือกตัดอะไรบางอย่างออกไป มันก็ต้องมีเรื่องอื่นตามมา พี่ควบคุมทุกอย่างไม่ได้หรอกครับ และผมก็คงให้อ้นกับอุ้มแยกจากผมไม่ได้ด้วย”
“โอ๊ตกับน้องๆอยู่กันที่นี่ได้” กนธีเสนอ “พี่ยกห้องให้ คอนโดที่ชิดลมกับรถคันนั้น พี่ตั้งใจจะให้พวกเราอยู่แล้ว..ขอแค่อยู่ในสายตาพี่ก็พอ”
อินทัชส่ายหัว ยิ้มระอา “คอนโด รถ เงินสด มีอะไรจะให้อีกไหมครับ”
“ที่จริง..พี่คิดไว้ในใจเรื่องหุ้นส่วนร้านอาหารที่ทำกับคุณไท” เขาบอก “พี่อยากให้เราไว้เป็นทุนส่วนตัว อย่างน้อยก็เป็นการขอบคุณที่ดูแลพี่อย่างดี”
เด็กหนุ่มหัวเราะด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ผมเข้าใจว่าการให้ในครั้งนี้ เป็นเพราะพี่หวังดีกับพวกผม พี่เป็นห่วงและรักพวกเรามาตลอด แต่ผมจะบอกอะไรให้..” อินทัชมองอีกฝ่าย “ผมอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคำว่ารักสำหรับพี่มันต้องมีอะไรมากมาย แต่สำหรับผมแล้ว..การแลกเปลี่ยนความรักกัน เงินและทรัพย์สิน มันไม่ใช่คำตอบสุดท้าย”
กนธีนิ่งเงียบ ทุกคำของน้องกรีดใจเขาจนปวดแปลบ
“ที่ผมเจ็บในวันนี้ ก็เพราะผมพยายามยื่นความจริงใจไป แต่หลายครั้งพี่ก็ไม่ได้รับฟัง พี่บอกว่าพี่เป็นผู้ใหญ่ พร้อมจะให้มากกว่า แต่ในเมื่อพี่ไม่เลิกให้สักที แล้ววันไหนล่ะครับ..พี่ถึงจะรู้ได้ชัดเจนว่าใครรักพี่จากหัวใจ”
น้ำตาของคนฟังร่วงหล่นโดยไร้เสียง
“ผมขอโทษที่พูดไม่ดี แต่รับรองว่าผมรู้ว่าพี่ทำไปเพื่อพวกเรา” อินทัชบอก “และเพราะว่าผมรักพี่ทั้งหัวใจ ผมถึงกล้าที่จะปฏิเสธของที่พี่ให้”
“โอ๊ต..”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงผมไม่รับปากว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ผมยังไม่พาน้องไปไหนเร็วๆนี้แน่ คงต้องรบกวนพี่อีกสักพัก”
อาทิตย์หน้า เขาได้ฤกษ์บวชมาจากหลวงพ่อที่วัด ที่จริงพอจะสงบใจได้บ้างแล้ว แต่เรื่องนี้ทำให้เขาอยู่ไม่นิ่ง จำเป็นต้องห่างกันเพื่อตั้งสมาธิใหม่
“บางที..ถ้ากลับมา ผมว่าเราคงคิดอะไรได้ดีขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอให้เป็นครั้งนี้ได้ไหม” กนธีรั้งเอาไว้ “พี่ขอเป็นฝ่ายไป แล้วถ้าโอ๊ตกลับมา โอ๊ตยังยืนยันที่จะไปอยู่ด้วยตัวเอง พี่ก็จะยอม”
อินทัชรับฟังเมื่อพี่กุนต์มองเขาอย่างขอร้อง
..คำว่ารัก ก็คือการยอมลงให้อีกฝ่ายไม่ใช่หรือ..
..พบกันคนละครึ่งทาง..เขาคิดว่าพอจะเข้าใจอะไรได้เลาๆ..
“ขอบคุณนะ” กนธียิ้มให้ด้วยความหม่นหมอง เขาลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าหา
เพียงชั่วระยะเวลาเกือบปีที่อยู่ด้วยกัน อินทัชเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาแทบไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าแผ่นหลังที่เขากำลังจะถอยห่างออกไปนั้น ดูสูงตระหง่าน กว้างใหญ่ และแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แต่ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ช่วงไหล่ที่มั่นคงกลับห่อลู่ลงคล้ายกับคนสิ้นหวัง หากเพียงแค่กะพริบตา ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
กนธีชะงักฝ่ามือที่เอื้อมไปหาเมื่อน้องเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงหนีไป อึดใจนั้นในอกของเขาวูบโหวง ไออุ่นร้อนที่แผ่กระจายโอบล้อมกันเวลาที่ฝ่ายนั้นคอยอยู่เคียงข้างพลันห่างหาย มันคือความหนาวเยือกของการอยู่ตามลำพัง
..แต่เขาเป็นคนเลือกเอง..เขาถึงต้องยอมรับในการตัดสินใจของตน..
ชายหนุ่มถอนหายใจ ไม่ได้พูดคุยอะไรอีกเมื่อออกมาข้างนอก อินทัชไม่ได้หันมอง เขาเลยเดินเงียบๆไปที่ห้องนอนของอ้นกับอุ้ม
เด็กๆนอนหลับไม่รู้เรื่อง แต่น้องอ้นเป็นฝ่ายปรือตามองขึ้นก่อนตอนที่เขาก้มลงจูบหน้าผาก น้องยิ้มให้ตาปิด ยกสองมือขึ้นจับแก้มเขา
“พี่กุนต์~” อ้นดึงหลังมือของพี่ชายที่แสนดีมาแนบแก้ม
“ว่าไงสุดหล่อ” กนธียิ้มให้ ลูบผมน้องอย่างรักใคร่เอ็นดู เขาค่อยๆนั่งลงข้างเตียง หอมแก้มซ้ายขวาของอ้น “ลูกชายครับ..ฟังพี่นะ”
อ้นเอียงคอมองด้วยความสงสัย นิ้วเล็กเอื้อมแตะเปลือกตาอีกฝ่าย
“พี่กุนต์ร้องไห้หรือครับ ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่าลูก พี่สบายดี” กนธีลูบผมน้องแผ่วเบา “พี่แค่จะมาบอกอ้นว่า อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ พี่จะไปทำงานต่างจังหวัด คงไม่ได้อยู่ด้วยนะครับ”
อ้นมีสีหน้าหงอยเหงา “อ้นไปด้วยไม่ได้หรือครับ”
“อ้นอยู่กับน้องอุ้มกับพี่โอ๊ตก่อนนะครับ พอพี่กลับมา พี่สัญญาว่าจะพาพวกหนูไปเที่ยว อยากไปไหนจะพาไปหมดเลย ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ”
“เย้~ สัญญากับอ้นแล้วนะ” เด็กชายชูนิ้วก้อยมาเกี่ยว
กนธียิ้มรับ มีเสียงกรนเบาๆจากน้องอุ้มที่นอนพุงป่อง น้องละเมอเสียงงึมงำในคอ จากนั้นก็พลิกตัวหาพี่ชาย คว้าแขนมานอนก่ายไว้เหมือนหมอนข้าง
เขาก้มลงหอมแก้มน้องอุ้ม “ฝากบอกหมูอ้วนให้พี่ด้วยนะครับ”
“อ้นกับน้องอุ้มจะเป็นเด็กดีรอพี่กุนต์กลับมา” น้องพูดอย่างหนักแน่น
กนธีพยักหน้า เขารักทุกคนเหลือเกิน อยากอยู่ด้วยกันทั้งสี่คนเหมือนที่คิดหวัง แต่เขาเรียกร้องมากเกินไป เป็นอย่างที่อินทัชบอก ถ้าเลือกจะตัดอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาจะต้องเสียสิ่งอื่นตามมา ไม่มีอะไรที่ควบคุมได้ดั่งใจ
“พี่ไปแล้วนะ” เขาบอก “อย่าดื้ออย่าซนนะลูก เดี๋ยวพี่ก็มา”
“พี่กุนต์ครับ..อ้นให้นี่” อ้นลุกขึ้นนั่ง ทำมือกลมๆแถวหัวใจแล้วส่งก้อนอากาศไปให้ผู้ใหญ่ตรงหน้า “ความรักของอ้น..พี่กุนต์จะได้เดินทางปลอดภัย”
กนธีกลั้นน้ำตาขณะกอดน้องไว้แนบอก ห่วงหาและหวงแหนคนทุกคน
ถ้าอยากได้อะไรไว้สักอย่าง เขาก็ต้องกล้าเสี่ยงกับอนาคต เพราะหากเดินต่อ ไม่มีใครบอกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์มากกว่า มันคือความไม่แน่นอน
แต่ถ้าคิดอยากจะห่อหุ้มหัวใจเอาไว้ในเปลือกไข่ หวาดกลัวกับการปริแตกแม้เพียงน้อยนิด เขาก็คงจะต้องซุกซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในนั้นตลอดไป
เรื่องดีมีเพียงอย่างเดียว คือไม่มีใครจะมาทำร้ายจิตใจเขาได้ทั้งนั้น
สุดท้าย ทุกคนมีสิทธิ์เลือกหนทางของตัวเอง เลือกตามความรู้สึกและจิตใจของตนเอง แต่ที่สำคัญ..ต้องกล้าที่จะยอมรับผลที่ตามมา
..แล้วเขา..เลือกทางที่ถูกต้องหรือยัง..
………………………...........................…………………………….
[ต่อด้านล่าง]