Chapter 58
น้องอุ้มนอนพังพาบอยู่ตรงพื้นไม้ระแนงข้างบ่อปลา เด็กชายยืมโทรศัพท์มือถือของพี่มาบันทึกชีวิตสัตว์โลก ตั้งชื่อคลิปวีดีโอว่า การเดินทางต้วมเตี้ยมของเต่าญี่ปุ่น ในขณะที่พี่อ้นกำลังตั้งใจวาดรูปต้นกกอียิปต์ที่พี่กุนต์เพิ่งซื้อมาลงเมื่อวาน
“ถ้าหนูเอานิ้วแหย่ คุณเต่าจะงับนิ้วหนูไหมพี่อ้น” อุ้มถาม
“งับไม่ปล่อยจนกว่าฟ้าจะร้องเลยแหละ” อ้นขู่ “ห้ามรังแกเต่านะ”
ไอ้ตัวเล็กทำปากยู่ พี่อ้นไม่ให้เอานิ้วแหย่ อุ้มเอาต้นกกเขี่ยหลังเต่าก็ได้
กนธียืนอยู่ที่ซุ้มด้านข้าง เขากำลังคุยกับไผท ส่วนตาก็เหลือบมองเด็กๆตลอดเวลา เล่นใกล้น้ำต้องระวัง พลัดตกลื่นล้มขึ้นมาจะได้ช่วยทัน
‘ผมจะไม่อยู่สักอาทิตย์ คงไม่ได้ไปร้าน แต่ไม่ต้องห่วง ให้ผู้จัดการดูแลแทนได้’ พออะไรอยู่ตัว พวกเขาก็จ้างคนที่เคยมีประสบการณ์มาช่วยบริหาร แค่กิจการร้านเล็กๆ หากต้องมาลงมือเองหมดก็ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นกัน
“อ้อ..ได้สิครับ คุณไทจะไปไหนล่ะ” กนธีนั่งลงข้างน้องอ้น ชูนิ้วโป้งชมที่น้องวาดรูปได้สวยมาก ท่าทางจะมีพรสวรรค์ เด็กชายเลยหันมาฉีกยิ้มแฉ่ง
‘หมู่บ้านมูเซอ ที่ตาก’ ทางนั้นตอบ ‘ผมสนใจเพาะพันธุ์อะโวคาโด เลยจะไปศึกษาที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรของที่นั่น’
“ต้องไปถึงตากเลยหรือครับ แว่วว่าปากช่องก็มีสถานีวิจัย”
‘เขาเป็นแหล่งปลูกแหล่งใหญ่ ผมเลยอยากไปดูสักหน่อย’ ไผทบอก ‘อนาคตจะได้ขยายธุรกิจเกษตรของผม รู้สึกว่าจับงานนี้แล้วมีความสุขดี’
กนธีหัวเราะเบาๆ คุณไผทนี่เป็นหนุ่มชาวไร่ของแท้
“โอเคครับ เดินทางปลอดภัย”
‘อยากไปกับผมไหม..’ ทางนั้นเลียบเคียง
เขายิ้มบาง “ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณไทจะคิดไปไกล”
‘เบรกผมหน้าทิ่มเลยนะคุณกุนต์’ อีกฝ่ายหัวเราะเฝื่อน
“ผมคิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้นแหละครับ คุณอยากเข้าหาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การที่เปิดโอกาส ผมก็มีจุดยืนของผมเองเหมือนกัน” กนธีพูดยิ้มๆ
‘โอเคๆ’ ไผทหัวเราะ ‘ผมว่าจะขึ้นตากพรุ่งนี้ คงไปแต่เช้าเลย นี่ว่าจะเอาขนมไปให้ พอดีเพื่อนผมเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น วันนี้คุณได้เข้ามาที่ร้านไหม’
“ไม่ได้เข้าน่ะครับ ถ้ายังไงฝากแบ่งให้เด็กที่ร้านแทนได้ไหม”
‘แบ่งไปบ้างแล้ว แต่มีช็อกโกแลต Royce หลายถุงกับกระเป๋า Anello สองใบ’ ไผทพูดเสียงนุ่ม ‘ถ้าคุณเจอน้องอ้นกับน้องอุ้ม ผมอยากวานเอาให้เด็กๆด้วยน่ะครับ บอกว่าคุณอาไทตั้งใจซื้อมาฝาก’
กนธีครางในลำคอ รู้สึกเสียมารยาทที่พูดไปแบบนั้น “ขอบคุณมากๆนะครับที่คิดถึงน้อง เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะแวะเข้าไปวันนี้เลยแล้วกัน”
‘ไม่เป็นไร ผมขับรถเอาไปให้ที่บ้านดีกว่า คุณสะดวกหรือเปล่า’
ชายหนุ่มนิ่งไปนิด เขาไม่นิยมพาคนอื่นเข้าบ้านหลังนี้ มันเป็นที่สำหรับคนในครอบครัว แต่จะพูดไปตรงๆก็เสียน้ำใจของอีกฝ่าย เลยแบ่งรับแบ่งสู้
“เจอกันครึ่งทางก็ได้คุณ บ่ายโมงที่สตาร์บั๊คส์พารากอนนะครับ”
‘เข้าใจเลือก’ ทางนั้นพูดขำๆ ‘ร้านแรกที่เรานัดเจอกัน’
“ว่าไปนั่น” กนธีไม่ถือสา “ก่อนนัดคุณ ผมก็นัดโอ๊ตเหมือนกัน”
ไผทหัวเราะในลำคอ เดี๋ยวนี้กนธีปฏิเสธทุกประโยคเลย
‘โอเคครับ เจอกันบ่ายโมง แต่งตัวหล่อๆนะ’
“ก็เท่าที่ตาแก่คนหนึ่งจะหล่อได้นั่นแหละครับ” กนธียิ้มระอา กดวางสายไปพร้อมกับรับรู้ได้ว่ามีลูกตาสี่ดวงจ้องมาที่เขาแป๋วแหวว “มีอะไรครับลูก”
“พี่กุนต์จะไปเที่ยวไหนฮะ” น้องอุ้มถาม เจ้าหนูประคองคุณเต่ากลับลงบ่อ “คุณเขียวขจีกลับไปนอนกับคุณปลาก่อนนะ เดี๋ยวหนูจะมาเกาหลังให้ใหม่”
กนธีหัวเราะพรืด “อ๋อ..น้องเต่าชื่อเขียวขจีหรือ”
“แต่ยังไม่มีนามสกุลฮะ” อุ้มยิ้มตาเป็นขีด
“ให้ใช้นามสกุลพี่ก็ได้ ไม่คิดกะตังค์” เขาขบขัน “เขียวขจี สิงหนาท”
อ้นกับอุ้มหัวเราะชอบใจ อะไรในบ้านนี้เป็นสิงหนาทหมด แกงส้มกับสี่ถั่วก็ด้วย ถ้าคุณปลาคาร์ฟมีชื่อ ก็จะได้ใช้นามสกุลของพี่กุนต์เหมือนกัน
“พี่กุนต์จะไปไหนฮะ” อุ้มยังไม่ลืมคำถาม
“พี่จะแวะไปหาคุณอาไทครับ คุณอาฝากของมาให้พวกหนู”
อ้นเอียงคอมอง รู้สึกว่า คุณอาไท ก็คือ ‘คนที่หล่อน้อยกว่าพี่โอ๊ต’ อย่างที่พี่ชายกำชับมา นี่ก็ไม่รู้ว่าต้องตะโกนอย่างที่พี่สอนด้วยหรือเปล่า
“อ้นไปด้วย~” น้องขอ “อ้นกับน้องอุ้มจะไปเป็นอัศวินดูแลพี่กุนต์”
“โธ่..เด็กน้อย” กนธียิ้มขัน ดึงตัวน้องมากอดรัดแล้วจุ๊บหัวเหม่ง กอดน้องอุ้มที่ดูตื่นเต้นอีกคน “พี่ตั้งใจจะพาหนูไปเที่ยวห้างด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
“หนูจะไม่ดื้อๆ” อุ้มหน้าบาน รีบดึงเสื้อพี่อ้นไปอาบน้ำ
“ไปลูกไป เล่นจนเหงื่อตกเหงื่อแตกหมดเจ้าตัวซน” เขาเช็ดเหงื่อให้ ตีก้นกลมเบาๆ “พี่รอตรงนี้นะ อย่าเล่นกันในห้องน้ำ เดี๋ยวจะลื่นเอานะครับ”
น้องๆรับคำ จูงมือกันเข้าบ้านตามที่พี่กุนต์บอก พอคล้อยหลัง พี่อ้นก็หันมาคุยกับน้องน้อยที่เดินแคะเล็บดำปี๋เพราะไปขูดโดนตะไคร่ในบ่อ
“นี่..น้องอุ้มจำได้ไหมว่าพี่โอ๊ตบอกให้ดูแลพี่กุนต์”
“หนูจำได้ๆ” อุ้มพยักหน้าหงึก ล้วงมือเข้าไปเกาสะดือของตัวเอง
“พี่โอ๊ตบอกว่าคนที่ต้องระวังมากๆคือคุณอาไทใช่ป่ะ”
“จริงอ่ะ? หนูจำไม่เห็นได้เลย”
พี่อ้นทำคิ้วผูกโบว์ “น่าจะใช่น้า..”
“ไม่ใช่คุณอาไผ่หรือฮะ” อาไท อาไผ่ ชื่อคล้ายกันจัง
“ไม่ใช่สิ คุณอาไผ่เอาของมาให้เราตั้งเยอะ” พี่อ้นสังเกต
“แต่คุณอาไทก็ซื้อของมาให้ด้วยนะ พี่กุนต์บอกเองเลย”
“คุณอาไผ่ใจดีจะตาย ไม่ใช่หรอก ต้องเป็นคุณอาไทแน่ๆ”
“เรื่องนี้หนูจะไม่ยุ่ง” น้องอุ้มส่ายหัว “แล้วต้องทำไงฮะ”
อ้นทำเสียงฟึดขึ้นจมูก “พี่โอ๊ตบอกว่าอย่าให้ใครมาดึงมือพี่กุนต์ไปได้”
“งั้นหนูก็จับมือพี่กุนต์ข้างนึง พี่อ้นจับอีกข้าง ก็ดึงไปไม่ได้แล้วนี่”
พี่อ้นชูนิ้วโป้งเห็นด้วย “โอเค..พี่เอาข้างขวา”
“หนูเอาข้างซ้ายนะ” อุ้มตกลงกับพี่คนกลาง
“ได้เลย” อ้นพยักหน้า พาน้องไปอาบน้ำ “เลิกแคะสะดือซะที”
......
ไผทเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจที่เห็นกนธีเดินมากับน้องๆ มือขวาจูงน้องอ้น มือซ้ายจูงน้องอุ้ม ตามกันมาติดๆเหมือนคุณพ่อลูกอ่อนอย่างไรอย่างนั้น
“น้องมาอยู่กับคุณหรือครับ”
“ใช่แล้วครับ” กนธียิ้ม มองเด็กๆที่ละมือไปสวัสดีคุณอาไท แล้วกลับมาจับเขาใหม่ ตลกดีเหมือนกัน ตั้งแต่เข้าห้างนี่ไม่ยอมปล่อยเลย คงกลัวหลงกัน
“น่ารักเชียวนะ” ไผทหัวเราะ ย่อตัวลงให้ความสูงเท่าเด็ก “หวงพี่กุนต์หรือครับอ้น อุ้ม จูงไม่ยอมถอยกันเลย” เขาขยี้หัวเบาๆด้วยความเอ็นดู
อุ้มหัวเราะคิกคักเพราะชอบให้ผู้ใหญ่ยีหัว
“คุณอาเอาของมาฝาก” ไผทยื่นถุงช็อกโกแลตกับกระเป๋าเป้ให้ “สีน้ำเงินสวยดี เหมือนกันทั้งคู่จะได้ไม่งอนกัน ชอบไหมครับ”
พอเห็นของขวัญ ท่าทางเก๊กแบบอัศวินของอ้นกับอุ้มก็หายวับ
“ว้าว~” น้องอุ้มปล่อยมือพี่กุนต์ ขอช็อกโกแลตก่อนเพื่อน
พี่อ้นเองก็ตาวิบวับ ยกมือไหว้คุณไผทที่ยื่นกระเป๋าให้
“ขอบคุณครับคุณอาไท” อ้นกอด Anello แน่น “ดีใจจังเลย”
“ขอบคุณฮะ~” อุ้มเองก็โผเข้ากอดขาคุณอาที่หัวเราะถูกใจ
ร่างสูงยิ้ม “ชอบก็ใช้ด้วยนะครับ”
น้องๆตะเบ๊ะรับ ชื่นชมเสร็จแล้วถึงนึกหน้าที่ตัวเองออก ต้องหันกลับมาจูงมือพี่กุนต์ใหม่ เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ที่ยืนมอง
“ผมมาแค่นี้แหละ” ไผทบอก “ไว้กลับจากตากค่อยเจอกัน”
“เดินทางดีๆนะครับ” กนธียิ้มให้ “อย่าขับเร็วนัก”
“ถ้าเปลี่ยนคำอวยพรเป็นจูบข้างแก้มจะดีใจมาก”
“อยากจูบน้องหรือครับ ได้เลย” กนธีส่งตัวเด็กให้
น้องอุ้มเงยหน้ามองคุณอาที่หัวเราะร่า แก้มกลมยุ้ยถูกนวดเล่นจนขึ้นสีเรื่อเหมือนมะเขือเทศ คุณไผทนั่งยองๆ ขอค่าช็อกโกแลตเป็นการฟัดแก้ม
“ได้ฮะได้” อุ้มไม่คิดกะตังค์หรอก ได้กินช็อกโก้ก็ดีใจแล้ว
ไผทขบขัน หอมแก้มเด็กน้อยไปฟอด จากนั้นก็แอบกระซิบบางอย่าง น้องอุ้มพยักหน้าหงึก เดินกลับไปยกสองแขนชูหาพี่กุนต์ที่ยืนงง
กนธีก้มลงมา น้องเลยเอาปากนุ่มนิ่มไปชนแก้ม เล่นเอามึนไปครู่
“คุณอาบอกว่า ฝากส่งต่อให้พี่กุนต์ด้วยฮะ”
อีกคนชะงัก ท้วงไม่ออกเพราะน้องดูดีใจที่ทำภารกิจของบุรุษไปรษณีย์เตี้ยป้อม ส่งต่อรอยจูบได้สำเร็จ เขาเลยได้แต่หัวเราะระอา “ให้ได้อย่างนี้สิ”
ไผทพอใจแล้ว แค่ได้แหย่นิดๆหน่อยๆ “ระหว่างนี้ก็ฝันถึงผมบ้างนะ”
“คงจะยากนะครับ” กนธีพูดยิ้มๆ “เพราะมีคนจองที่ไว้ก่อนแล้ว”
คนฟังหัวเราะแผ่ว ยิ่งปฏิเสธจริงจังมากขึ้นเท่าไร กนธียิ่งตรงไปตรงมาจนทำเอาเขาเจ็บจี๊ดเข้าไปทั้งใจเลย “ไปแล้วนะครับ ไว้เจอกัน”
น้องอุ้มโบกมือบ๊ายบาย พี่อ้นไหว้สวัสดีคุณอาแล้วถึงจะหันมาหาน้อง
“ไปรับจูบคุณอามาทำไมน้องอุ้ม”
“ก็คุณอาฝากมานี่นา” อุ้มพูดอย่างซื่อๆ
“ถ้าพี่โอ๊ตรู้ พี่โอ๊ตต้องโกรธแหง” อ้นกลุ้มใจม้ากมาก
“งั้นหนูต้องถอนจูบแบบเรื่องเจ้าชายกบ” อุ้มเคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูด
“พี่กุนต์ไม่ใช่กบนะ” พี่อ้นแย้ง “ไม่ได้ถูกสาปด้วย”
“แต่พี่กุนต์เป็นเต่า” อุ้มเถียง “จูบเต่าได้ ไม่ได้ถูกสาปก็ไม่เป็นไร”
ยิ่งพูดยิ่งคนละเรื่อง กนธีก้มมองเด็กๆคุยกันท่าทางซีเรียส
“มีอะไรกันลูก..หิวหรือยัง กินอะไรดีครับ”
“พี่กุนต์ๆ หนูขอจูบแก้ม” อุ้มทำปากจู๋
“โตขึ้นจะเจ้าชู้ไหมนี่เรา” กนธีหัวเราะ ก้มหน้าให้น้องหอมแก้ม น้องอุ้มจูบที่เดิมเป๊ะๆ จากนั้นก็เอามือแตะปากแล้วขว้างออกไป “อะไรครับเด็กชาย”
“พี่อ้นกลัวว่าพี่โอ๊ตจะโกรธที่หนูเอาจูบจากคุณอาไทมาส่งให้พี่กุนต์”
“ว้าว..” ผู้ใหญ่ตรงหน้าพึมพำในลำคอ “หนูเลยเอาจูบคืนสินะ”
“ช่ายๆ” อุ้มพยักหน้าหงึก “ถอนจูบให้เจ้าชายเต่า”
กนธีหัวเราะพรืด น้องอ้นเห็นน้องอุ้มทำพิธีถอนจูบแล้วก็ยิ้มหน้าบาน
“น้องอุ้มเก่งมาก..พี่กุนต์จะได้ไม่ใจเต้นเวลาถูกคนอื่นจูบ”
“แสบกันจริง” เขาลูบผมเด็ก “ที่จริงถึงหนูไม่มาถอน จูบจากอาไทก็ไม่ทำให้พี่ใจเต้นหรอกครับ” เขาแตะที่อกของน้อง “เพราะหัวใจพี่ฝากไว้ตรงนี้แล้ว”
อ้นกับอุ้มปรบมือกันเกรียวกราว พี่กุนต์พูดอะไรก็เท่ระเบิดไปหมด
“ไปลูก..กินข้าวกัน” กนธีหัวเราะ จูงมือสองหน่อคนละข้างแบบเดิม
หลังจากพาเด็กน้อยไปหาอะไรถ่วงท้องแล้ว กนธีก็ชวนน้องมาเดินเล่นที่ร้านหนังสือ เพราะอยากปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้ตั้งแต่ยังเล็ก กำลังตัดสินใจอยู่ดีๆก็มีมือหนึ่งมาสะกิดหลัง เขาเลยหันไปมอง
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เพราะคนที่ยืนยิ้มให้ก็คือผู้หญิงที่เคยคบหาแบบผิวเผินเมื่อสมัยเรียน เขาเจอเธอครั้งล่าสุดที่งานวันเกิดเพื่อน
“ว่าไงคุณชายกนธี” เธอยิ้มสดใส
เจ้าของชื่อหลุบตาลงมองชุดคลุมท้องที่เธอใส่อยู่ เขาเซอร์ไพรส์ไม่น้อย
“ตั้งแต่คุยกับกุนต์ เราก็กลับไปคืนดีกับแฟนน่ะ” เธอบอก “เดือนถัดไปก็แต่งงานกันเลย นี่ก็เร่งมีน้องภายในปีนี้ เดี๋ยวแก่ขึ้นมาจะไม่ทันใช้”
อ้นกับอุ้มจ้องหน้าท้องกลมๆของพี่ผู้หญิงด้วยความสนใจ น้องอุ้มก้มดูพุงตัวเอง ป่องออกเหมือนกัน แต่ไม่รู้ข้างในเป็นขนมหรืออึอึ๊ที่ค้างไว้มาสองวัน
“ดีใจด้วยนะ” กนธีตื่นเต้นแทน ครอบครัวจะสมบูรณ์ขึ้นอีกก็ตอนที่มีโซ่ทองมาคล้องใจนี่แหละ “คลอดเมื่อไรส่งข่าวด้วย จะหาของรับขวัญหลาน”
“ทองห้าบาทขาดตัวย่ะ” เธอหัวเราะชอบใจเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหรอหรา “แล้วนี่มากับหนุ่มๆที่ไหนเนี่ย ควงคู่เชียวนะ แก้มกลมป่องน่าหยิกจัง”
น้องอุ้มยิ้มอวดรอยบุ๋มตรงแก้ม น้องรู้ว่าเสน่ห์พิชิตใจผู้ใหญ่คือเนื้อยุ้ยๆสองข้างใบหน้ากับลักยิ้มจิ๋วๆเลยมักจะยิ้มโชว์อยู่เรื่อย
“ลูกชายเราเอง คนนี้ชื่ออ้น คนนี้ชื่ออุ้ม” กนธีแนะนำ
เด็กๆไหว้สวัสดีท่าทางเรียบร้อย ไม่ต้องบอกกล่าวกันเลย
“แหม..ทำเป็นพูด” เธอขบขัน “แอบไปแต่งงานเมื่อไร”
“เป็นปีแล้ว” กนธียิ้ม
คนฟังตีไหล่ผู้ชายด้านหน้า “อีตานี่..เล่นมุกหน้าตาย แต่งปีเดียว ลูกวัยประถมขนาดนี้ เจ้าตัวเล็กอีกคน ไปเสกข้ามเวลามาจากไหนคะคุณ”
“เอ้า..” พูดความจริงก็ไม่มีใครเชื่ออีก “ไม่ใช่มุก เป็นลูกชายจริงๆ”
“จ้ะๆ” เธอหัวเราะ พอดีเพื่อนสนิทที่มาเดินห้างด้วยกันตามมาสมทบ เธอเลยเรียก ยกมือขึ้นโบก “ทางนี้ๆ” พอหญิงสาวอีกคนเดินเข้าใกล้ เธอก็รีบดึงแขนให้มารู้จักกับกนธี “ขอแนะนำให้รู้จักผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก..กนธี สิงหนาท”
ชายหนุ่มยิ้มรับ ก้มหัวทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ”
“คุณกุนต์นี่เอง..” อีกสาวยิ้มน้อยๆ “ยัยนี่เล่าถึงคุณบ่อยเชียวค่ะ”
“เอ๊ะ..ที่เล่านี่ไม่ได้พิศวาส เดี๋ยวสามีฉันก็เล่นงานหรอก” เธอแยกเขี้ยว
กนธีหัวเราะฮ่ะๆ หันไปถาม “เผาอะไรเราให้เพื่อนฟังไปบ้าง หือ..”
บุคคลที่สามยิ้มละไม “ไม่มีหรอกค่ะ แค่บอกว่าเป็นผู้ชายนิสัยดี สุภาพ ช่างเอาใจ เป็นหนุ่มโสดที่ทั้งหล่อ และมีน้ำใจมากๆ เพอร์เฟ็กต์ทุกอย่าง”
“รวยด้วย” อดีตกิ๊กกระซิบ “สิงหนาทนี่อย่าให้บรรยาย”
กนธีหัวเราะ “พูดเกินไป ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ อย่าไปเชื่อเขา”
“ถ่อมตัวเข้าไป จะเชื่อไม่เชื่อก็คิดเอาเอง แต่เรื่องโสดนี่ของจริงนะ”
อีกหนึ่งสาวมองกนธีตาวิบวับ ดูก็รู้ว่ากิ๊กเก่าไปโฆษณาชวนเชื่อเอาไว้เสียเยอะด้วยความอยากจะแสดงตัวเป็นแม่สื่อ ของดีมีน้อย ต้องรีบแย่งชิง
อ้นกับอุ้มยืนฟังเป็นตัวแถมอยู่นาน พี่คนกลางเกิดระลึกถึงภารกิจจากพี่โอ๊ตขึ้นมาได้เลยยกมือขึ้น ขออนุญาตรายงานกับสาวที่เข้ามาจีบพี่กุนต์
“พี่กุนต์ไม่โสดครับ พี่กุนต์มีคุณแม่ของอ้นรออยู่ที่บ้าน”
สองสาวอ้าปากค้าง คนมาทีหลังเพิ่งสังเกตว่ามีเด็กเล็กอยู่ด้วยสองคน
“เอ๊ะ..นี่ลูกชายหรือคะ” เธอหันไปทางเพื่อน “ไหนบอกว่าโสดไง”
“บ้า..ก็โสดน่ะสิ สิงหนาทแต่งทั้งที ไม่มีเงียบกริบหรอก จริงไหมกุนต์”
กนธีหัวเราะ โอบไหล่อ้นกับอุ้มที่ทำหน้าที่ปกป้องเขาได้ดีเยี่ยม
“ก็พูดไปแล้วไม่เชื่อ” เขาตอบ “เรามีภรรยาแล้ว ขี้โมโหมากด้วย”
คนที่อยากเป็นแม่สื่อถึงกับหน้าแตกเพล้ง “จริงอ่ะ..ไปแต่งมาตอนไหน”
“ไม่ได้แต่งเป็นพิธี คุยๆกันแล้วก็รับเข้าบ้านเลย” กนธีสร้างเรื่อง
“ไม่นะ!” เธออยากกรีดร้อง “บอกมา! สาวที่ไหนชนะใจกุนต์ได้!”
“พี่โอ๊ตสั่งว่า ถ้าใครถาม ให้บอกว่าเมียพี่กุนต์ชื่อโอ๊ตฮะ~” น้องอุ้มยกมือหรา “ตัวสูงหยั่งงี้” ชูมือสูงๆขึ้นไป “ก้ามหยั่งงี้” น้องทำเสียงฮึด ทำท่าเบ่งแขน
“กล้ามลูกกล้าม มี ล.ลิง ด้วยครับ” กนธีกระซิบ..แต่ไม่ใช่ประเด็นนี่หว่า
“ห๊ะ?” ผู้หญิงสองคนมองหน้า “แฟนเป็นทอม? แล้วน้องลูกใคร?”
กนธีหัวเราะ โบกมือปัดๆก่อนที่เรื่องจะเกินเลย
“เอาเป็นว่าเราขอแนะนำอีกทีนะ” เขาลูบหัวน้องอ้น “นี่..เด็กชายอัครา สิงหนาท” แล้วลูบหัวน้องอุ้ม “เด็กชายอาศิร สิงหนาท..ยินดีที่ได้รู้จักพี่ๆครับ”
พวกเธอตะลึง อะไรยังไงไม่รู้ รู้แค่ว่าบุคคลปริศนารายนั้นกับเด็กๆที่อยู่ตรงนี้..เป็นคนของสิงหนาทแน่นอน
อ้นกับอุ้มอ้าปากค้าง เงยมองพี่กุนต์หน้าตื่น
“หนูได้ใช้นามสกุลของพี่กุนต์ด้วย~”
“อ้นเป็นลูกพี่กุนต์จริงๆหรือครับ” น้องอ้นทำตาโต
กนธียิ้ม ก้มกอดอ้นกับอุ้มและหอมแก้มท่ามกลางสายตาเพื่อน เป็นการบอกให้รู้ ไม่ว่าน้องจะเป็นใครมาจากไหน เด็กสองคนคือหัวใจทั้งดวงของเขา
“เอาไว้หลวงพี่สึกออกมา พี่กุนต์จะถามนะครับ” เขาคลึงปลายนิ้วเล็ก “ว่าหากพี่กุนต์จะขอรับอ้นกับอุ้มเป็นลูกบุญธรรม..หลวงพี่จะยอมไหม”
อ้นน้ำตาร่วงเผาะ โผเข้ากอดพี่กุนต์แน่น อุ้มก็กระโดดเข้าเกาะตาม
“อา..รู้สึกเป็นส่วนเกินซะแล้ว” หญิงสาวหัวเราะแผ่ว หันมาทางเพื่อนสนิท “ไว้เดี๋ยวฉันไถ่โทษ หาผู้ชายคนใหม่ให้นะเธอ แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา”
กนธีหัวเราะเบาๆ ยกมือบ๊ายบายสองสาวที่เดินจากไป
..อีกหน่อยต้องทำป้ายแขวนคอ ‘ภรรยาผมดุ’ กันไว้เสียแล้วสิ..
อ้นเอาหน้าซุกขาพี่กุนต์ กอดรัดไม่ปล่อย “อ้นอยากเป็นลูกพี่กุนต์ครับ”
“หนูด้วยๆ” น้องอุ้มกอดหมับอีกข้าง “คุณพ่อหนูหล่อที่สุดเลย~”
“พี่ก็อยากมีพวกหนูเป็นลูกชายเหมือนกัน” เขายิ้ม ลูบหัวเหม่งแล้วเช็ดน้ำตาให้เด็กๆ “ไปครับคนดี..กินไอศกรีมกันดีกว่า ร้องไห้มาก ขี้มูกโป่งน้า~”
น้องๆพยักหน้ารับ จูงมือ ‘คุณพ่อสุดหล่อ’ กันคนละข้าง
ระหว่างนั้น อ้นก็แอบครุ่นคิด นี่ไม่กี่วัน พี่กุนต์ก็มีคนมารอแย่งหลายคนแล้ว ถ้านานๆไป พี่กุนต์จะไม่ยิ่งมีคนมาต่อคิวยาวเป็นกิโลหรือ
..พาไปซ่อนไว้ที่ไหนสักที่ รอพี่โอ๊ตกลับมาดีไหม..
“พี่กุนต์ครับๆ” ไวเท่าความคิด อ้นเสนอทันที “ไปบ้านยายกันไหม”
“หนูอยากกลับบ้านหรือลูก”
“อ้นอยากพาพี่กุนต์ไปเที่ยวเฉยๆ อ้นอยู่ที่ไหนก็ได้ถ้ามีพี่กุนต์”
“คารมดี” เขายิ้มขัน “เอางี้..ปิดเทอมเราไปอยู่บ้านอาไผ่ที่ปากช่องกัน”
น้องอุ้มพยักหน้ารัว “ชวนคุณอาไผ่ไปด้วยนะฮะ ไปกันๆ”
เขายิ้มรับ เอามือถือมาวีดีโอคอลหาน้อง ไม่นานนักมันก็กดรับ
“รอเดี๋ยวนะไผ่ลู่ลม มีหนุ่มหล่ออยากคุยด้วย”
พสิษฐ์เลิกคิ้ว พอพี่กุนต์ยื่นโทรศัพท์ให้ เขาก็เห็นแต่กลุ่มผมกระจุกใหญ่ จากนั้นก็เห็นหน้าผากเหม่งๆลอยไปลอยมา ‘ใครเอ่ย..หนูอุ้มหรือเปล่า’
น้องอุ้มเพิ่งจะหาท่าจับมือถือได้ถนัด เด็กชายจ้องตาโต พอเห็นคุณอาอยู่อีกฝั่งก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “คุณอาๆ ไปเที่ยวบ้านคุณอากันนะฮะ”
‘บ้านที่ไหนครับ’ พสิษฐ์มึนงง ‘ปากช่องน่ะหรือ..’
“ใช่ฮะใช่” อุ้มทำปากจู๋ใส่กล้อง “คุณอาเห็นลักยิ้มหนูไหม”
พสิษฐ์หัวเราะ ‘เห็นครับ ว่าแต่..จะไปกันวันไหนล่ะ’
“พรุ่งนี้เลย~”
‘โห..ยังไม่ทันเก็บของ’ คุณอานึกขำ ‘บอกลุงกุนต์ให้เตรียมตัวนะครับ’
“ขอเอาคุณเขียวขจีไปด้วยได้ไหมฮะ”
พสิษฐ์ร้องห๋า พอดีพี่กุนต์โผล่เข้ามา กระซิบบอกว่าเป็นเต่าญี่ปุ่น
‘ฮ่ะๆๆ คุณเขียวขจีต้องอยู่กับน้ำครับ ถ้าเอาไปเดี๋ยวจะเป็นลม เอาเป็นว่าเจอกันพรุ่งนี้ หยิบกางเกงว่ายน้ำไปด้วย คุณอามีสระว่ายน้ำอยู่หลังบ้าน’
อ้นกับอุ้มร้องไชโย แผนการลักพาตัวพี่กุนต์เริ่มขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม น้องไม่ทันฉุกคิดว่าการไปอยู่ที่บ้านปากช่องหลังนั้น มันคือการเปิดทางให้คุณอาไผทเข้ามาหาพี่กุนต์ได้อย่างเต็มที่ต่างหาก
......
พระบวชใหม่สองสามรูปกำลังยืนกวาดลานวัดที่มีใบต้นก้ามปูร่วงเกลื่อนกลาด ดอกสีชมพูคล้ายร่มของมันแตกเป็นเศษเสี้ยว กระจายอยู่บนอิฐตัวหนอน
“กวาดเท่าไรๆก็ไม่หมดสักที..” มีเสียงบ่นพึมพำตามด้วยเสียงไม้กวาดทางมะพร้าวครูดกับพื้น “ทำความสะอาดน่าจะเป็นกิจของเณรมากกว่า”
อินทัชได้ยินท่านหันมาคุยด้วยแต่ไม่ได้ร่วมโต้ตอบ ท่านเป็นลูกชายของร้านยาจีน พ่อแม่ขอให้มาบวช ไม่ได้อุปสมบทด้วยความเต็มใจนัก
หลวงตาที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเดินมา “ที่นี่ต้นไม้เยอะ เหนื่อยหน่อยนะ”
พระรูปเดิมถอนหายใจ ก้มกวาดพื้นต่อ อินทัชพยักหน้ารับคำหลวงตา งานแค่นี้ไม่ได้สร้างความเหนื่อยยาก ถ้าใจร้อนอยากเร่งทำให้เสร็จ เวลาลมพัดใบไม้ปลิวก็จะยิ่งหงุดหงิด แต่ถ้าควบคุมสติ มีสมาธิกับสิ่งที่ทำ ให้เวลาปัจจุบันไหลไปเรื่อย คิดว่าการกวาดลานวัดแบบนี้ก็มีประโยชน์เช่นกัน
“พวกท่านทราบไหมว่าเรามาเสียเวลากวาดพื้นกันทำไม” หลวงตาถาม
พระทุกรูปหยุดมือ หันมามอง ส่วนอินทัชยังคงกวาดต่อไป
“ทำความสะอาดไม่ให้ลานวัดสกปรกครับ”
หลวงตาพยักหน้า “ใจมนุษย์เราก็เหมือนกัน ต้องปัดกวาดเสียบ้าง”
พระหนุ่มฟังไว้แล้วพิจารณา หลวงตาพูดถูก การดำเนินชีวิตของเรา เต็มไปด้วยกิเลส การมาบวชเรียน เท่ากับเป็นการถือโอกาสชำระล้างจิตใจ
อินทัชรับผิดชอบบริเวณทำความสะอาดที่แบ่งสรรปันส่วนกับพระรูปอื่นเสร็จสิ้นแล้ว ท่านโกยใบไม้ไปสุมไว้ตรงโคนต้นก้ามปูและกลับเข้ามาช่วยพระรุ่นน้องที่ยังบ่นอยู่เนืองๆ ฝ่ายนั้นหันมาขอบคุณ ท่านก็ทำเพียงแต่ยิ้มรับ
หลวงตาไปพักเหนื่อยที่ลานเอนกประสงค์ ท่านจิบน้ำชาอยู่ตรงม้านั่งหินตอนที่มีหญิงวัยสาวเข้ามาขอพบ สีกาผู้นั้นเดินมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“โยมลูกสาวคนเล็กของหลวงตา ออกเรือนไปแล้ว เห็นว่าช่วงนี้มีปัญหากับครอบครัว” หลวงพี่ที่บวชพรรษานานกว่าอธิบาย ภิกษุใหม่จะได้ไม่แคลงใจ
“หลวงพ่อคะ” เธอพนมมือระหว่างพูด “ดิฉันมีเรื่องกลุ้มใจ ไม่เคยคิดว่าแต่งงานแล้วจะมีเหตุสารพัด นิดไม่เข้าใจ หน่อยก็ทะเลาะ ทำใจเย็นไม่ได้เลย”
หลวงตาพยักหน้า ไม่ได้โต้ตอบอะไรนอกจากให้โยมเล่าเรื่องจนจบ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือความไม่เข้าใจกันของบุคคลสองคนที่มาอยู่ร่วมกัน มีปัญหาการปรับตัว ใช้อารมณ์ ยึดตัวตน ยึดทิฐิเป็นหลักด้วยถือว่าตัวเองมีดีจึงไม่ฟังใคร
“โยม..ครองเรือนให้ถือฆราวาสธรรม และหัดรักด้วยพรหมวิหาร”
อินทัชได้ยินบทสนทนานั้น เลยขอรับฟังด้วยความสนใจ
“ฆราวาสธรรม เป็นหลักธรรมสำหรับฆราวาส ไม่ใช่แค่ชีวิตครอบครัว คนทั่วไปก็ยึดหลักนี้ได้” หลวงตาสอน “ข้อแรก..สัจจะ แปลว่าความจริง ทำอะไรต้องทำแต่เรื่องจริง รักจริง..ไม่หลอกลวง พูดจริง..ไม่โกหก ทำจริง..ไม่บิดพลิ้ว และสิ่งสำคัญคือมีความจริงใจต่อคู่ชีวิต ซื่อสัตย์ ไม่ทรยศหักหลังอีกฝ่าย”
“ทมะ..แปลว่าการฝึกฝน มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่ฝึกตนได้..หัดฝึกจิตใจ นิสัย ปัญญา พัฒนาตัวเองไปในทางที่ดี ฝึกปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ปรับตัวเข้าหากัน เพราะไม่มีใครที่อยู่ร่วมกันแล้วจะเกิดการคล้อยตามกันหมดทุกอย่าง”
“ข้อที่สาม..ขันติคือความอดทน ต้องหัดมีความเข้มแข็งทางใจ อดทนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ฝ่าฝันไปด้วยกัน อดทนต่อสิ่งที่มากระทบใจ อดทนต่ออารมณ์ด้านลบที่เกิด และอดทนต่อกิเลสภายนอกที่เข้ามายั่วยุแต่ละฝ่าย”
หญิงสาวพนมมือฟังคำสอน แม้จะไม่เข้าใจนักแต่ก็พยายามคิดตาม
“ข้อสุดท้าย..จาคะ คือเสียสละได้เพื่ออีกฝ่าย เมื่อรักอย่างจริงใจ ย่อมมีความปรารถนาดีต่อกัน เราจะเสียสละให้คนของเราได้ เช่น เวลาเจ็บป่วย สละความสบายมาดูแล เวลาทุกข์ สละการหนีเอาตัวรอด เวลาอับจน สละความสุขส่วนตัวมาช่วยเหลือ สละตัวตนที่เรายึดมั่น สละตัวกูของกู เพื่อปรับเข้าหากัน”
อินทัชทำความเข้าใจกับเรื่องที่ได้ยิน หลักธรรมในศาสนานั้นคงอยู่และมีจริง ขึ้นกับคนจะตีความและน้อมรับมาปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องงมงายเหลวไหลถ้าหัดที่จะฟังและคิดวิเคราะห์ตามหลักกาลามสูตร เมื่อทำแล้วได้ผลค่อยเชื่อก็ไม่สาย
“หลวงพ่อ..ดิฉันจะพยายาม” เธอเช็ดน้ำตาของตัวเอง
หลวงตายิ้มรับ “ยึดฆราวาสธรรมแล้ว อย่าลืมรักด้วยพรหมวิหารสี่”
“เมตตา ปรารถนาให้เขาได้รับความสุข ไม่ว่าความสุขนั้นจะมีเราอยู่ด้วยหรือไม่ ก็ต้องหัดวางใจเอาไว้ หากวันใดวันหนึ่งเขาต้องการจะมีความสุขกับผู้อื่น ถ้าเรามีเมตตาแล้ว เราก็จะเข้าใจเขา”
“กรุณา..ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ซ้ำเติม คอยอยู่ข้างๆ มีใจหวังดีให้เขาคลายจากทุกข์ และหากว่าเขาอยู่กับเราแล้วเป็นทุกข์ การยินยอม ปล่อยมือไปจากการครอบครองเขาเอาไว้ก็คือทางที่ดี”
“มุทิตา..ยินดีเมื่อเขาได้ดี ไม่ชิงชัง อิจฉาริษยา คิดสนับสนุน รู้สึกร่วมไปกับความสุขที่เขาได้รับ วันหน้า หากคนของเรากลายไปเป็นของคนอื่น เมื่อเขาได้ดีมีสุขในแบบที่เขาพอใจ เราก็จะไม่ทุรนทุรายเพราะสูญเสียสิ่งที่รักไป”
“สุดท้าย..อุเบกขา รู้จักที่จะวางเฉย สร้างความสงบให้จิตใจ ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ขอให้มีใจที่เป็นกลาง ทั้งต่อความสุขและความทุกข์ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นกับเราหรือกับคู่ของเรา” ท่านสอนไว้เท่านี้ “พิจารณาเอานะโยม”
หลวงตาให้แง่คิดถึงการเป็นสามีภรรยา ไม่เพียงแต่หลักธรรมในการใช้ชีวิตร่วมกัน แต่รวมถึงการฝึกจิตฝึกใจเมื่อมีปัญหาบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง กิเลสรอบด้านมีมาก ไม่มีอะไรยืนยันว่าจะได้เป็นคู่ผัวตัวเมียกันตลอดไป
..ทำให้ดีที่สุดเมื่ออยู่ร่วมกัน..
..แต่เมื่อถึงเวลาจากกัน ต้องรู้จักปล่อยวาง..
“ขอบพระคุณท่านมากๆค่ะ” เธอกระพุ่มมือไหว้ “ถึงแม้ว่าจะยาก แต่ดิฉันจะลองพยายามดู ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือไม่ อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำแล้ว”
อินทัชกวาดลานวัดเสร็จพอดีเมื่อหลวงตาปลีกตัวออกมา ตั้งใจจะไปจำวัด พระหนุ่มค้อมตัวลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเคารพ
สายลมเย็นรื่นพัดผ่าน กลิ่นอายบริสุทธิ์ของอากาศที่ไร้สิ่งเจือปนทำให้ใจสงบ รู้สึกราวกับตะกอนขุ่นข้นในใจกำลังถูกชะล้าง
ยังมีเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติ หากตั้งใจเปลี่ยนแปลงตนไปในทางที่ดี มนุษย์เราย่อมทำได้เสมอ
..................................................................