บทที่ 11
“แล้วยังไงต่อครับ” ชินจิถามเมื่อเห็นรุ่นพี่เงียบไป
เอย์จิหลุดจากภวังค์ เขายิ้มอ่อน ๆ ให้รุ่นน้อง ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ในภูเขา แต่บิดไปเป็นว่าเขาพารุกะไปที่ทะเลสาบบิวะแล้วเกิดหลงทาง หาทางกลับบ้านไม่ได้ ก่อนจะไปเจอหมีเข้าโดยบังเอิญ ลูกธนูของเขาพลาดไม่ถูกเป้า โชคดีที่เออิจิโร่ตามมาทันและยิงธนูเข้าเป้าที่ดวงตาของมันพอดี เจ้าหมีตัวนั้นก็เลยหนีเข้าป่าไป
“ฉันโดนเล่นงานหนักเลยล่ะที่พารุกะเข้าไปเล่นในป่า หลังจากนั้นฉันก็เลยมีแต่ความกลัวและความไม่มั่นใจ ฉันปกป้องคุ้มครองใครไม่ได้ ฉันไม่อยากเจอเหตุการณ์เหมือนในครั้งนั้นอีกแล้ว”
เอย์จิทิ้งท้ายเสียงเครือ
ชายหนุ่มไม่ได้เล่าว่า เขาไม่ได้โดนแค่ดุด่าว่ากล่าวเท่านั้นหรอก แต่โดนทำโทษอย่างรุนแรงด้วย บิดาของเขาโกรธมากที่เขาขัดคำสั่ง เอย์จิโดนเฆี่ยนจนหลังลาย ถ้ามารดาของเขาไม่วิ่งมาขวางเอาไว้ ตอนนั้นเขาอาจจะตายคาคันธนูของบิดาไปแล้วก็ได้ แต่โทษใดก็ไม่หนักเท่ากับการถูกตราหน้าว่าไร้ความสามารถ ไม่มีพลัง ไม่เหมาะสมกับที่เกิดมาเป็นสายเลือดของนักปัดรังควาน
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทุกคนตระหนักว่าผู้ที่สมควรจะเป็นผู้สืบทอดต่อจากมาซาฮารุก็คือเออิจิโร่ ฝาแฝดคนพี่
เอย์จิถูกละเลยตั้งแต่ตอนนั้น มีเพียงเออิจิโร่ที่ได้รับการประคบประหงมและอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดเพื่อการเป็นเจ้าบ้านและเจ้าอาวาสผู้ดูแลศาลเจ้าอินาริต่อไป บิดาและผู้เฒ่าโอคินะฝึกสอนพี่ชายของเขาอย่างเคร่งครัด ส่วนเขาไม่ได้รับโอกาสแบบนั้นเลย
บิดาของเขาลงความเห็นว่าคนที่ไม่มีพลังอย่างเขานั้นฝึกไปก็เสียเวลาเปล่า
ส่วนรุกะก็ผิดหวังและเสียใจที่เอย์จิปกป้องหล่อนไม่ได้ ตัวหล่อนเองยังมีพลังมากกว่าเขาเสียอีก ในตอนนั้นเด็กหญิงเมินเขา เกลียดเขา ประณามว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ สู้พี่ชายไม่ได้ และไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อยที่ผู้ใหญ่จะหมายตาหล่อนไว้ให้เป็นเจ้าสาวของเออิจิโร่
“แต่ตอนนั้นเอย์จิซังเพิ่งอายุสิบขวบเท่านั้นเองไม่ใช่หรือครับ”
เสียงของชินจิเรียกให้เขากลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
“เด็กขนาดนั้นเจอหมีในป่าแล้วยังอุตส่าห์ยิงธนูใส่ได้ ผมว่าแค่นั้นก็เก่งเหลือหลายแล้วนะ” รุ่นน้องของเขาพูดอย่างจริงจัง ชินจิวัดจากประสบการณ์ของตัวเอง ตอนเขาอายุสิบขวบน่ะหรือ แค่เดินผ่านบ้านที่เลี้ยงหมาตัวใหญ่และมันเห่าใส่เข้าหน่อย แค่นั้นเขาก็เปิดอ้าวไม่รู้ทิศทางแล้ว
“นายจะเอาเด็กในเมืองมาเทียบกับเด็กในภูเขาได้ยังไงล่ะ เด็กในภูเขาต้องแข็งแกร่งถึงจะอยู่รอด”
“แต่ผมว่ายังไงมันก็ไม่เข้าท่าอยู่ดี” รุ่นน้องของเขาทำหน้ามุ่ย ก่อนจะถามต่อว่า
“แล้วรุกะซังโกรธเอย์จิซังมากไหมครับ”
เอย์จินิ่งไปนิด ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่โกรธหรอก แต่รุกะเขาก็รู้เหมือนกับคนอื่น ๆ ว่าฉันไม่เก่ง ไม่เหมือนเออิจิโร่ เราก็เลยเริ่มห่างเหินกันตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งหลังจากที่ฉันเข้ามาเรียนในเมือง เราก็แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย ต่อมาก็อย่างที่นายรู้ รุกะหมั้นกับพี่ชายของฉัน”
“แต่รุกะซังยังรักเอย์จิซังอยู่นี่ครับ” ชินจิหลุดปากโพล่งออกมา
“ทำไมนายถึงพูดแบบนี้ล่ะ” เอย์จิถามด้วยความแปลกใจ
“ก็..เอ่อ..” ชายหนุ่มรุ่นน้องอึกอัก นึกคิดหาเหตุผลอย่างรวดเร็ว “รุกะซังดูเป็นห่วงเอย์จิซังมากเลยนี่ครับ อย่างวันที่เรากลับจากทะเลสาบบิวะก็เหมือนกัน ท่าทางรุกะซังเป็นกังวลมาก ผมคิดเอาเองว่ารุกะซังอาจจะ... เอ่อ... รักคุณ”
“ฉันไม่รู้ว่ารุกะคิดยังไง แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ตอนนี้รุกะเป็นคู่หมั้นของเออิจิโร่ เรื่องของฉันกับรุกะมันจบลงไปนานแล้ว”
ชินจิมองหน้ารุ่นพี่ของเขา นึกอยากถามเหลือเกินว่า แล้วความรู้สึกของเอย์จิซังล่ะ แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอจะถามคำถามนั้นอยู่ดี
ชายหนุ่มนั่งเงียบ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรต่อดี
สายลมยามดึกเริ่มพัดอีกครั้ง คราวนี้ไม่เพียงแต่จะพาอากาศหนาวมาเท่านั้น มันยังพาอย่างอื่นมาด้วย
“เอ๊ะ!” ชินจิอุทานด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอ”
ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง แต่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ
“ผมได้ยินเสียงดนตรี มันเหมือนกับมีใครสักคนกำลังเล่นโคโตะ”
“นายได้ยินอย่างนั้นเหรอ” ดวงตาของเอย์เป็นประกายขึ้นด้วยความสนใจ
รุ่นน้องของเขาพยักหน้า
“ครับ แต่ผมอาจหูฝาดไปก็ได้”
“นายรู้ไหมว่าคนเรียกภูเขามิคามิอีกชื่อหนึ่งว่ายังไง”
“ไม่รู้ครับ”
“ภูเขามิคากูระดะเกะ”
“ภูเขาที่ส่งเสียงดนตรี” ชินจิตาโต
“ใช่แล้วล่ะ เพราะบางครั้งบางคราวเราก็จะได้ยินเสียงคล้าย ๆ เสียงดนตรีดังมาจากในภูเขา ลอยมาตามสายลม ทั้งเสียงโคโตะ เสียงกลอง เสียงชามิเซ็ง บางครั้งก็เป็นเสียงขลุ่ยชาคุฮะจิ”
“ในภูเขามีอะไรอยู่จริง ๆ เหรอครับ”
ท่าทางหวาด ๆ ของรุ่นน้องทำให้เอย์จิอดกระเซ้าไม่ได้ว่า
“เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม”
ชินจิส่ายหน้าทันควัน
“ไม่ ผมไม่กลัว กะแค่หมีกับเสียงดนตรีแค่นี้เอง” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะลดเสียงลงเหมือนไม่แน่ใจเมื่อถามต่อว่า
“ผมยังไม่อยากกลับโตเกียว คุณคงไม่บังคับให้ผมกลับใช่ไหม”
เอย์จิยอมแพ้ สายตาของรุ่นน้องวิงวอนขอความเห็นใจ แล้วก็ทำหน้าละห้อยถึงขนาดนั้น เขาทนใจแข็งอยู่ไม่ได้อีกแล้ว
มือใหญ่ของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะของชินจิด้วยความเอ็นดู
“ไม่หรอก ถ้านายไม่อยากกลับ ฉันก็จะไม่บังคับ”
“ขอบคุณมากครับ”
ชินจิยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รอยยิ้มที่สดใสทำให้ใบหน้าเรียบ ๆ จับตาขึ้นมาทันที เอย์จิมองอีกฝ่ายไม่วางตา สายตาแบบนั้นทำให้คนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งในความมืดรู้สึกทนไม่ได้ แต่เมื่อขยับจะก้าวออกไป มือของใครอีกคนหนึ่งก็จับไหล่ห้ามเอาไว้เสียก่อน