"ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ  (อ่าน 40681 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
********************************************************************************************************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

สวัสดีค่ะ

ขอฝากนิยายเรื่องที่ 3 ด้วยนะคะ "ภาพลวงตาของปีศาจ"
แรงบันดาลใจเรื่องนี้มาจากเสียงอีกาในสุสานเมืองยานากะกับโอเด้งของคุณจิ้งจอกจากเรื่อง xxxHolic ของ CLAMP
และเรื่องนี้คนเขียนลดความติสต์ลงมาแล้ว (แปลว่าก็ยังมีอยู่บ้าง เพราะอยากเขียนยังไงก็ยังเขียนอย่างนั้นแหละ มิได้แคร์ -_-) พล็อตก็แมสอยู่ น่าจะโอเค (แล้วมั้ง) หวังว่านะคะ พอไม่ติสต์แตกเหมือนปกติ มันก็รู้สึกแปลก ๆ แฮะ -_-

ออกตัวก่อนว่า ข้อมูลอ้างอิงมาจากเอกสารที่เป็นภาษาอังกฤษ อาจมีคลาดเคลื่อนบ้างและการออกเสียงชื่อต่าง ๆ ก็มาจากตัวโรมันจิ แต่มีการทวนซ้ำโดยการขอให้เพื่อนเอกญี่ปุ่นช่วยด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถการันตีว่าถอดเสียงได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมีข้อผิดพลาด ดิฉันขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

เรื่องนี้เป็นของ "ชินจิ" จาก "บนทางรัก"
หากผู้อ่านยังเอ็นดูตัวละครตัวนี้อยู่ก็ขอฝาก "ภาพลวงตาของปีศาจ" ด้วยนะคะ

ผลงานชิ้นก่อน ๆ
"บนทางรัก"
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43659.0

"ฆาตกรรมในออฟฟิศ"
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51028.0

ขอบพระคุณสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจนะคะ

Mettnoon
11/3/2016

   
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2019 09:08:49 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทนำ
«ตอบ #1 เมื่อ11-03-2016 11:40:40 »

ภาพลวงตาของปีศาจ

Mettnoon

บทนำ

   “เจ้าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ ถ้าหากรู้ไปถึง...”
   เสียงแหบห้าวถามร้อนรน ขณะเดียวกับที่อีกเสียงหนึ่งซึ่งแหลมสูงกว่าสอดขึ้นมาพร้อมกัน ฟังเหมือนเสียงร้องของนก
   “ข้าไม่เปลี่ยนใจ!”
   “เจ้าจะถูกตามล่า ลูกแก้ววิเศษที่เจ้าฆ่ามนุษย์ผู้นั้นเพื่อแย่งชิงมาคือเป้าหมาย เจ้าไม่มีวันหนีพ้น”
   พูดพลางมองลูกแก้วที่ส่องประกายสีแดงเรื่อเรืองอยู่ในมือที่งองุ้มเหมือนกรงเล็บของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยความหวาดหวั่น
   “ข้าจะบินไปให้ไกล จะหนีไปให้ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดลูกแก้วนี่จะต้องปลอดภัย ก่อนจะถูกส่งคืนให้มนุษย์ผู้ที่มีหน้าที่เฝ้ารักษา ข้าตัดสินใจผิดพลาดมาหนหนึ่งแล้ว ข้าจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้า...”
   ประโยคที่อยากจะพูดถูกกลืนหายลงไปในลำคอทันทีเมื่อสบสายตาที่แสดงความหวาดกลัวของผู้ที่อยู่ตรงหน้า มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าถึงจะขอให้ไปด้วยกัน แต่ความหวาดกลัวที่เกาะกุมหัวใจของอีกฝ่ายไว้แน่นหนาจะทำให้ถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน ประโยคที่พูดถัดมาจึงเป็น
   “เจ้ารีบกลับไปเถอะ ก่อนที่ผู้อื่นจะล่วงรู้ว่าเจ้ารู้เห็นเรื่องที่ข้าทำ ขอให้เรื่องนี้เป็นฝีมือของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
   “คาโตดะ...” เสียงแหบห้าวพยายามทักท้วงทั้งที่รู้ว่าไร้ผล “ข้าอาจจะถูกสั่งให้ออกตามล่าเจ้าด้วย”
   “ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ เรายืนกันคนละฝ่ายแล้วในตอนนี้”
   “เจ้าก็รู้ว่าข้าทำอย่างนั้นไม่ได้” เสียงแหบห้าวมีความเศร้าเจือปนอยู่จนผู้ฟังยังสะท้านใจ แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ตัดสินใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
   “ข้าจะต้องไปแล้ว” มือที่งองุ้มกำลูกแก้วแน่นจนประกายสีแดงหายวับไปในพริบตา สายตาสองคู่ประสานกันอีกครั้งก่อนที่สายตาหนึ่งในสองนั้นจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
   “จำไว้ เมื่อเจอกันอีกครั้ง เราจะกลายเป็นศัตรูกัน แต่สำหรับตอนนี้ ลาก่อน คุโรบะ สหายรักของข้า!”
   เมื่อพูดจบ ปีกสีดำสนิทสองข้างก็สยายออกกว้าง กระพือพั่บจนเกิดสายลมแรงและหายวับไปในทันที เหลือเพียงแค่ขนนกสีดำที่ร่วงพรูลงมาและปลิวว่อนอยู่ในอากาศ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทนำ
«ตอบ #2 เมื่อ12-03-2016 19:53:14 »

บทที่ 1

        พระอาทิตย์ตกดินเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อย ๆ ทำให้ใบไม้บนต้นที่เคยเป็นสีเขียวสดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง สีเหลือง สีน้ำตาล และร่วงหล่นลงบนพื้น เพียงไม่นานใบไม้ที่ร่วงหล่นก็มีมากเกินกว่าที่จะกวาดทิ้งไหว ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของทุกปี ทางเดินในสวนสาธารณะจึงเหมือนกับถูกฝังอยู่ใต้กองใบไม้สีน้ำตาลที่แห้งกรอบและจะส่งเสียงกรอบแกรบทุกครั้งเมื่อถูกเหยียบย่ำ
        ชินจิเดินขึ้นบันไดปูนสูงเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุงโตเกียว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิสวนนี้เป็นสถานที่ชมดอกซากุระยอดนิยม ผู้คนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาจับจองที่สำหรับชมดอกไม้สีชมพูอ่อนจางที่บานสะพรั่งไปทั้งสวน ส่วนในฤดูร้อน หลังจากดอกซากุระร่วงโรย ดอกบัวหลากหลายสายพันธุ์ในบ่อชิโนบาสึภายในสวนจะชูช่อท่ามกลางใบบัวใหญ่สีเขียวเข้มให้ผู้คนได้เข้ามาชื่นชม และในตอนนี้ ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นต้องใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆ แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายเข้ามาเดินเล่นพักผ่อนชื่นชมความสวยงามของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี
        ชายหนุ่มร่างสันทัดใส่เสื้อแจ็กเก็ตสีดำทับเสว็ตเตอร์คอวีสีขาวเข้าชุดกับผ้าพันคอสีดำก้าวยาว ๆ ไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ผ่านรูปปั้นไซโกะ ทาคาโมริ ต้นอิโจที่รายรอบเปลี่ยนสีไปแล้ว บางต้นยังคงเหลือใบสีเขียวอ่อนปะปนอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นสีเหลืองอร่าม ชินจิเดินไปตามทางเดินกว้างในสวนที่สองข้างทางปลูกต้นซากุระเป็นแนวยาว และแม้จะไม่มีดอกสวย ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังชอบมองลำต้นใหญ่ ๆ สีเข้มที่แผ่กิ่งก้านไปทุกทิศทางรวมทั้งโคมไฟเตี้ย ๆ รูปสี่เหลี่ยมที่หุ้มด้วยรูปวาดสีสันสดใสเรียงเป็นแถวไปตามแนวต้นไม้
        สวนและต้นไม้มีเสน่ห์เฉพาะตัวในแต่ละฤดูกาล
        ชายหนุ่มชอบเดินเล่นในสวนสาธารณะ ชื่นชมความงามที่แตกต่างกัน เขามาที่สวนนี้บ่อยเพราะอยู่ใกล้อพาร์ตเม้นท์ที่พักชนิดที่เดินมาได้อย่างสบาย ๆ โดยใช้เวลาไม่มากนัก วันนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้เวลาตอนบ่ายของเขาที่นี่หลังเสร็จธุระในตอนเช้า พ้นอุโมงค์ต้นซากุระ ชินจิแวะซื้อกาแฟร้อน ๆ ในร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดังที่เป็นที่นิยม คนญี่ปุ่นชอบเทศกาลคริสต์มาส ถึงจะเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงวันเฉลิมฉลอง แต่ร้านรวงต่าง ๆ ก็พากันตกแต่งต้อนรับเทศกาลอย่างพร้อมเพรียง ภายในร้านกาแฟมีต้นคริสต์มาสตกแต่งอย่างสวยงามรวมทั้งของประดับประจำเทศกาลชนิดอื่น ๆ บนผนังติดกระดาษสีสดตัดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษอ่านได้เป็นคำอวยพรวันคริสต์มาส และหน้าร้านตั้งกระดานบอกรายละเอียดโปรโมชั่นพิเศษ ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นชื่อขนมที่เขียนด้วยชอล์กสีขาว
        จากที่คิดจะสั่งแค่กาแฟร้อนแก้วเดียว ชินจิบอกชื่อขนมเป็นภาษาเยอรมันอย่างชัดเจน
        “ชตอลเลิ่นชิ้นหนึ่งด้วยครับ”
        พนักงานสาวน้อยขมวดคิ้วนิด ๆ กับสำเนียงแปลกหู แต่ก็เข้าใจเพราะชายหนุ่มพูดพลางชี้ขนมชิ้นที่เขาต้องการ หลังจากได้ของครบตามที่สั่ง เขาก็ถือถ้วยกาแฟและถุงขนมเดินออกมาข้างนอก จงใจไม่นั่งในร้านที่อบอุ่นแต่ข้ามไปนั่งลงที่ม้านั่งด้านตรงกันข้ามแทน ฝนที่ตกเมื่อวานทำให้ดินค่อนข้างนิ่ม แต่ชินจิย่ำลงไปบนพื้นดินที่มีใบไม้ร่วงหล่นทับถมจนกลายเป็นลานใบไม้สีน้ำตาลอย่างไม่ลังเล
        เขาคิดถึงเยอรมนี นั่นเป็นสาเหตุให้เขาเลือกซื้อขนมชนิดนี้ คนเยอรมันกินชตอลเลิ่นซึ่งเป็นเค้กผลไม้แห้งโรยด้านบนด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวเหมือนหิมะในเทศกาลคริสต์มาส เขาเคยเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่เยอรมนี และยังคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ขนมชนิดนี้ก็เคยได้กินตอนที่ไปฉลองคริสต์มาสที่บ้านของเพื่อนชาวเยอรมัน รสชาติแตกต่างจากชิ้นที่เขากำลังกินอยู่นิดหน่อย แต่ก็อร่อยเหมือนกัน
        เมื่อคิดถึงเยอรมนี ภาพของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาในความคิด
        เควิน...
        รักครั้งแรกของเขา แต่มันจบลงแบบไม่สวยงามนัก หลังจากที่เขากลับมาที่ญี่ปุ่น คนรักก็บอกเลิกกับเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายหนุ่มเศร้าโศกเสียใจอยู่นานจนคนรอบตัวพากันเป็นห่วง มันเพิ่งผ่านมา 6-7 เดือนนี้เอง เขายังคงคิดถึงเควินอยู่เป็นระยะ แต่เขาไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เขาทำได้ตามที่สัญญากับใครคนหนึ่งเอาไว้
        ความคิดถึงผ่านพ้นไปพร้อมกับที่ขนมหมดชิ้น ชายหนุ่มเช็ดมือและปากที่เปื้อนคราบน้ำตาลไอซิ่ง จิบกาแฟร้อน และหยิบหนังสือจากกระเป๋าสะพายออกมาเปิดอ่าน
        ในสวนไม่เงียบ เสียงคนเดิน เสียงพูดคุยกันจ้อกแจ้ก เสียงหมาเห่า แต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของชายหนุ่มได้ เขาจมดิ่งลงสู่โลกอันมหัศจรรย์ของตัวหนังสือ ตื่นเต้นกับมนตร์ดำของคนที่แปลงร่างเป็นอีกา หวาดหวั่นกับอำนาจดำมืดที่อยู่ในโรงสีปีศาจ ประทับใจกับความรักของหญิงสาวจากชวาร์สโคล์มที่นำพาหัวใจที่หลงทางของคราบัตให้พบทางออก
        ชินจิปิดหนังสือหลังจากอ่านหน้าสุดท้ายจบลง ถอนหายใจยาว
        เขามักจะลืมเวลาเสมอเมื่ออ่านหนังสือ รู้สึกตัวอีกทีก็อ่านจนจบเล่มและเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้จะค่ำแล้ว ชินจิเก็บหนังสือใส่กระเป๋า ทิ้งแก้วกาแฟกับถุงขนมในถังขยะ แล้วเดินผ่านสระน้ำพุทะลุออกไปทางพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียว ผ่านโซงะคุโดะคอนเสิร์ตฮอลล์ซึ่งเป็นอาคารเก่าแบบตะวันตกสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปะ
        อพาร์ตเม้นท์ที่เขาพักอยู่ในเขตยานากะ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่มากนัก แต่สิ่งที่เขาชอบไม่ใช่เรื่องนี้แต่เพียงอย่างเดียว ยานากะเป็นเขตที่มีกลิ่นอายของโตเกียวในสมัยก่อน ร้านค้าแบบดั้งเดิมยังมีเปิดให้บริการเหมือนในวันเก่า ๆ เป็นอดีตที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาพอใจจะเดินช้า ๆ เฝ้ามองชีวิตประจำวันของคนท้องถิ่นที่ดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่ง ต่างจากเขตใหญ่ ๆ ที่วุ่นวายอย่างชิบุยะ ชินจูกุ หรือแม้กระทั่งอุเอโนะที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ตาม
        ชายหนุ่มใช้ทางที่ต้องเดินผ่านสุสานใหญ่ตามความเคยชิน นอกจากสวนสาธารณะก็มีสุสานนี่แหละที่เขาใช้เป็นสถานที่เดินเล่นในบางเวลาที่ต้องการปลีกวิเวก แต่ก็ไม่ได้สงบไปเสียทุกครั้งหรอก สุสานแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเพราะมีหลุมศพของโตกุกาวะ โยชิโนบุ โชกุนคนสุดท้ายของสมัยเอโดะ และสุสานก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีการทำป้ายชี้ทางระบุแถวที่ตั้ง ป้ายหลุมศพได้รับการทำความสะอาดอย่างดี มีดอกไม้สดใส่แจกันตั้งเคารพหน้าหลุมศพ บางหลุมศพปลูกต้นไม้ดอกไม้คลุมทั่วทั้งบริเวณดูสวยงามและร่มเย็น ชายหนุ่มมักจะเจอพนักงานดูแลสุสานสองหรือสามคนช่วยกันปัดกวาดทางเดินปูหินภายในสุสานให้สะอาดเรียบร้อย ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมและคนในพื้นที่ที่จูงหมามาเดินเล่นทั้งตอนเช้าและตอนเย็น
        แต่วันนี้เขารู้สึกว่ามันผิดไปจากทุกวัน ในสุสานไม่มีใครเลย ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีคนจูงหมาเดินเล่น ไม่มีแม้กระทั่งคนเดินผ่านไปมา
             ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาเมื่อหมดแสงพระอาทิตย์ อากาศในตอนใกล้ค่ำหนาวเย็นลงจนเขาต้องกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้น ต้นไม้ในสุสานเปลี่ยนสี ใบไม้สีแดงและสีน้ำตาลร่วงหล่นปกคลุมพื้นดินและทางเดินกว้างปูด้วยหิน ซากุระต้นใหญ่ที่ปลูกเป็นแนวริมทางแผ่กิ่งก้านคดงอไปรอบ ๆ ลำต้นสูงสีดำบิดเป็นเกลียว ในความสลัวรางมองเห็นเหมือนเงาคนบิดตัวไปมา เสียงกาที่ร้องไม่หยุดตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ดังแหลมสูงชวนให้รู้สึกสะท้านเยือกไปทั้งหัวใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2016 19:56:33 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ภาษาที่ใช้บรรยายสวยมากๆเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนเราหลุดไปอยู่โตเกียวเลย
ท่าทางชินจิจะสโลวไลฟ์หน้าดู อยากไปนั่งชิลเหมือนนางมั่งจัง มาต่อไวๆน้า รอค่า

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          อาจจะเพราะความรู้สึกเมื่อตอนอ่านหนังสือเรื่องคราบัตกับโรงสีปีศาจยังหลงเหลืออยู่ในตัวของเขาก็ได้ที่ทำให้ชินจิอดรู้สึกหวาด ๆ ไม่ได้กับบรรยากาศในตอนนี้ กาก็ยังไม่หยุดร้องเสียที เขารู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคลายบรรยากาศเย็นยะเยือกนี้ลง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบทำอะไรแบบนี้สักเท่าไร แต่ชายหนุ่มก็ร้องเพลงออกมา

          Karasu naze nakuno
          Karasu wa yama ni
          Kawai nanatsu no ko
          Ga aru kara yo

          แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
          แม่กาเอ่ยตอบว่า
          เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
          อยู่ในภูเขา
 

          เสียงร้องเพลงของชินจิดังประสานกับเสียงร้องแหลมของกาในสุสาน แล้วเสียงหลังก็ค่อย ๆ เงียบงัน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปตามทางเดิน ปากยังร้องเพลงนานาสึโนะโกะไปเรื่อย ๆ จวบจนสายตาของเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างคล้ายกองผ้าสีดำกองใหญ่อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
          สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นกองผ้าขยับ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าทันที และเมื่อเพ่งมองดี ๆ ก็เห็นว่า กองผ้านั้นคือกาตัวใหญ่สีดำตัวหนึ่งที่คงบาดเจ็บหรือใกล้จะตาย เพราะมันทำท่าเหมือนสำลัก เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากตัวเป็นวงกว้าง
          ถึงแม้จะกลัว แต่ชินจิก็ไม่สามารถละทิ้งสัตว์บาดเจ็บที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาได้ ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทรุดตัวลงนั่งพิจารณาอีกาที่บาดเจ็บ
          ความคิดแรกของเขาคือพามันไปหาสัตวแพทย์ แต่เลือดที่ไหลไม่หยุดจากแผลที่ใหญ่น่าหวาดเสียวและท่าทีที่อ่อนแรงเต็มทนของมันทำให้เขาเปลี่ยนใจ อีกาตัวนี้ใกล้จะตายแล้ว มันส่งเสียงขลุกขลักออกมาจากลำคอ จงอยปากสีดำแข็งแรงอ้าพะงาบ
          ชินจิรู้สึกสงสารและเศร้าใจที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออีกาตัวนี้ได้ เพลงนานาสึโนะโกะที่หยุดร้องไปเมื่อครู่นี้ดังขึ้นใหม่อีกครั้ง

          Karasu naze nakuno
          Karasu wa yama ni
          Kawai nanatsu no ko
          Ga aru kara yo

          แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
          แม่กาเอ่ยตอบว่า
          เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
          อยู่ในภูเขา


          มือของชินจิเอื้อมไปลูบหัวที่ปกคลุมด้วยขนหยาบ ๆ สีดำของมันด้วยความนุ่มนวล กาใกล้ตายหยุดขยับตัว มันจ้องมองเขานิ่ง สายตาของมันดูลึกล้ำจนยากจะหยั่ง ดูไม่เหมือนตาของสัตว์เลย มันจ้องเขาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายขยอกเอาอะไรบางอย่างออกมาจากปากและสุดท้ายก็แน่นิ่งไม่ไหวติง
          มันตายแล้ว อีกาตัวใหญ่ที่น่าสงสาร
          ชินจิลูบหัวมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่มันขยอกออกมา
          “ลูกแก้วสีแดง”
          ชายหนุ่มหยิบขึ้นมามองด้วยความพิศวง ลูกแก้วลูกนี้มีขนาดเท่า ๆ กับลูกแก้วธรรมดาที่เด็ก ๆ ทอยเล่นกัน แต่มันมีแสงสีแดงเรื่อเรืองอยู่ในตัวต่างกับลูกแก้วทั่วไปและก็สวยงามยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็น
          ลูกแก้วอยู่ในท้องอีกาได้ยังไง นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ชายหนุ่มคิด แต่ก็สุดปัญญาจะหาคำตอบ เขามองอีกาตัวใหญ่ที่นอนตายอยู่ตรงหน้าและมองลูกแก้วที่ถืออยู่อีกครั้ง เอาเถอะ คิดไปก็เปล่าประโยชน์ อีกาคายลูกแก้วออกมาก่อนจะตาย เล่าให้ใครฟังใครเขาจะเชื่อ
          ชินจิตัดสินใจเก็บลูกแก้วสีแดงไว้ในถุงเครื่องรางที่เขาผูกติดกระเป๋าสะพายไหล่ไว้ตลอดเวลา เป็นเครื่องรางที่ดลบันดาลให้ชีวิตพบเจอแต่ความสุขที่เขาซื้อจากศาลเจ้าเล็ก ๆ ใกล้บ้าน จากนั้นเขาก็หันกลับมาจัดการกับศพของอีกา ชายหนุ่มไม่มีเครื่องมือจะขุดหลุมฝังศพให้เป็นกิจจะลักษณะ เขาจึงได้แต่กอบใบไม้แห้งสีน้ำตาลมาคลุมตัวให้ หันซ้ายหันขวา ก่อนจะลุกไปหยิบดอกไม้สีขาวที่หล่นอยู่บนพื้นแต่กลีบดอกยังไม่ช้ำมาวางไว้บนกองใบไม้
          “Ruhe in Frieden ขอให้ไปสู่สุคตินะ”
          ชายหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะคำนับแสดงความไว้อาลัย แม้จะเป็นสัตว์ แต่มันก็มีชีวิต มันอาจจะเป็นแม่กาที่มีลูกเจ็ดตัวรออยู่ในภูเขาเหมือนอย่างในเพลงที่เขาร้องก็ได้ ช่างน่าสงสารที่จะต้องจากคนที่ตัวเองรักไปตลอดกาล
          ชินจิยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิมอีกครู่ก่อนจะเดินจากไปตามทางเดินปูหินของสุสาน
          ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่า สูงขึ้นไปบนกิ่งซากุระไม่ไกลนัก กาสีดำตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งเกาะนิ่งอยู่ที่นั่น จับตามองการกระทำของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          “คาโตดะตายแล้ว แต่หาลูกแก้วคันจุไม่เจออย่างนั้นรึ”
          เสียงกร้าวแข็งทวนคำรายงาน ทำให้ศีรษะที่ก้มต่ำอยู่แล้วของคุโรบะยิ่งก้มต่ำลงจนจรดพื้น
          น่าสังเวชยิ่งนัก การาสุเทนงูอายุกว่าสี่ร้อยห้าสิบปีอย่างเขาหวาดกลัวอสูรที่อายุน้อยกว่ามากถึงขนาดนี้ แต่ความร้อนราวเพลิงโลกันตร์ที่แผ่ออกมาให้สัมผัสได้ทำให้เขาไม่สามารถรู้สึกเป็นอื่นไปได้ ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าดวงตาของเจ้าของเสียงนั้นลุกจ้าเป็นไฟ
          ร่างสะโอดสะองมีรอยสักสีดำเป็นลวดลายและตัวอักษรโบราณทั่วทั้งแผ่นอกและท่อนแขนของคุโรบะสั่นเทา
          “เจ้าคาโตดะโดนพลังของท่านอาคางิเข้าไปจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว หน้าที่ของเจ้าคือไปเอาตัวมันที่ยังกระเสือกกระสนหนีรอดไปได้กลับมาพร้อมกับลูกแก้วลูกเดียว แต่เจ้าก็ยังไม่มีปัญญาทำได้ คุโรบะ จะให้ข้ารายงานท่านอาคางิอย่างไรกัน หา”
          “ข้าขออภัย ข้าไปช้าเกินไป ลูกแก้วคันจุคงถูกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งก่อนที่คาโตดะจะตาย”
          “ก็ข้าบอกท่านแล้ว ไทมะซึมะรุ ว่าอสูรแก่ ๆ ไม่มีน้ำยาจะทำงานสำเร็จได้อย่างไร แต่ท่านก็ไม่เชื่อข้า นี่ถ้าเป็นข้าหรือริคิมะรุก็คงทำให้งานลุล่วงไปเสียนานแล้ว”
          เสียงอวดโอ่ที่แทรกขึ้นมากลางคันทำให้คุโรบะกัดริมฝีปากเพื่อระงับความโกรธ นี่ก็อีกตน เจ้าอสูรเกิดใหม่แต่ทะนงตัวยิ่งนัก และไม่ทันขาดคำ เสียงหัวเราะกร่าง ๆ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน คุโรบะที่ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผู้ใดได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกลงไปภายใน ริมฝีปากที่เจาะแล้วคล้องห่วงเล็ก ๆ สีดำสั่นระริก
          “พอที ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดแบบนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือลูกแก้วคันจุ”
          เสียงของอสูรตนแรกดังอยู่เหนือศีรษะของคุโรบะและพลังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นก็ราวจะกดศีรษะของการาสุเทนงูอย่างเขาให้ยิ่งต่ำติดดิน
          “ทำทุกวิถีทาง หาลูกแก้วคันจุให้เจอให้จงได้!”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 2

        ชินจิเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไปในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เขามาฝากท้องเป็นประจำ พ่อครัวสองคนหลังเคาน์เตอร์บาร์ร้องต้อนรับประสานเสียงกันท่าทางขึงขัง ชินจิก้มศีรษะรับก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างหน้าเคาน์เตอร์ ร้านนี้มีที่นั่งราวสิบที่ตรงเคาน์เตอร์บาร์เท่านั้น ไม่มีโต๊ะแยก ริมผนังทั้งสองด้านมีม้านั่งให้แขกนั่งคอย เป็นร้านที่ค่อนข้างแคบ แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด
        พนักงานหญิงซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟคนเดียวในร้านนำผ้าร้อนมาให้ พ่อครัวหนึ่งในสองคนโน้มตัวข้ามบานไม้นำถ้วยน้ำชาร้อน ๆ มาตั้งให้ตรงหน้า ชินจิไม่ต้องมองเมนูอาหารที่ติดอยู่เลยก่อนสั่งข้าวหน้าปลามากุโระ เขามากินบ่อยจนแทบจะจำรายชื่ออาหารได้ขึ้นใจ
        รอไม่นานนัก พ่อครัวก็นำถ้วยใส่น้ำซุปใสและจานใบเล็กที่มีวาซาบิก้อนหนึ่งมาวางให้ ตามมาด้วยอาหารที่เขาสั่ง ปลามากุโระเนื้อแดงหั่นเป็นชิ้นหนาเรียงอยู่บนข้าวอย่างสวยงามเคียงด้วยขิงดองและสาหร่ายหั่นเป็นเส้น ชายหนุ่มรินโชยุที่หยิบจากถาดเครื่องปรุงใส่ลงในจานใบเล็กที่มีวาซาบิ หยิบตะเกียบไม้จากกระบอก พนมมือพึมพำเบา ๆ ว่า
        “อิตาดากิมัส”
        หลังจากนั้นก็เริ่มต้นรับประทานเงียบ ๆ
        บนชั้นไม้ด้านหลังพ่อครัวที่กำลังวุ่นกับการทำอาหารตามที่ลูกค้าสั่ง มีโทรทัศน์เครื่องเล็กเปิดอยู่ ตอนแรกชินจิก็ไม่ได้สนใจจนกระทั่งมีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอ เป็นภาพของภูเขาที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งกว่าเนื้อปลาที่เขาเพิ่งกินไปเมื่อสักครู่นี้เสียอีก

        “...และนี่นับเป็นรายที่สามแล้วที่หลงหายเข้าไปในภูเขามิคามิ เจ้าหน้าที่ร่วมกับอาสาสมัครในท้องถิ่นยังไม่สามารถค้นหาได้พบ เช่นเดียวกับคนหายอีกสองรายก่อนหน้านี้...”

        ข้างตัวของเขามีเสียงพึมพำแว่วให้ได้ยินว่าน่ากลัวและสงสารครอบครัวของผู้สูญหาย ชายหนุ่มอยากจะฟังข่าวต่อ แต่ในเวลานั้นมีลูกค้าอีกสองสามรายเปิดประตูเข้ามาในร้านและกวาดตามองหาที่นั่งว่าง ชินจิจึงละความสนใจจากหน้าจอโทรทัศน์ คีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย และจ่ายค่าอาหาร เมื่อเขาเปิดประตูร้านเดินออกมาข้างนอกและคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำต่อไป ข่าวคนหายเมื่อสักครู่ก็ค่อย ๆ เลือนไปจากความทรงจำ
        จากเขตที่เขาพักมีหลายวิธีทั้งรถไฟใต้ดินและรถบัสที่จะไปถึงมหาวิทยาลัย ถ้าไม่อยากเปลี่ยนรถ เขาก็จะนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีเนะซึและเข้าทางประตูด้านข้าง ลัดเลาะไปตามทางเดินระหว่างอาคารเรียน แต่ถ้าไม่รีบและอยู่ในอารมณ์ที่เบิกบาน เขาก็จะเปลี่ยนสายรถไฟใต้ดินและลงที่สถานีด้านหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อจะได้เดินเข้าทางประตูหลักหรือทางประตูแดงที่อยู่ไม่ไกลกัน เข้าทางประตูทั้งสองนี้จะใกล้กับอาคารเรียนของคณะเขามากกว่า และระหว่างทางเดินจากสถานีรถไฟเรื่อยไปตามกำแพงอิฐสีแดงซึ่งเป็นรั้วของมหาวิทยาลัยจะมีต้นอิโจปลูกเป็นแนว กลางฤดูใบไม้ร่วง ใบอิโจพากันเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเหลืองและจะเหลืองจัดขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปก่อนจะร่วงโรยเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว
        ชินจิเดินช้า ๆ ไปพร้อมกับชื่นชมความสวยงามของใบไม้ที่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบบางส่วนร่วงหล่นอยู่บนทางเท้า เขาเดินผ่านประตูแดงไปเข้าทางประตูหลัก เมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปจะเห็นต้นอิโจปลูกเป็นแนวสองฝั่งทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงหอนาฬิกา เมื่อใบอิโจกลายเป็นสีเหลืองอร่ามพร้อมกันทุกต้น จุดนี้ก็จะกลายเป็นศูนย์รวมของบรรดาช่างภาพและนักท่องเที่ยวที่อยากมาชื่นชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี จะมีคนเข้ามาในมหาวิทยาลัยมากกว่าปกติ นอกจากมาดูใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว อาคารอิฐแบบตะวันตกสีเหลืองอมน้ำตาลและสีแดงของมหาวิทยาลัยของเขายังเป็นตัวดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้ใบอิโจยังเป็นสีเขียวอยู่ บางต้นมีสีเหลืองแซมบ้างแล้ว มันอาจจะยังไม่สวยสักเท่าไร แต่ชินจิก็ยังอดชื่นชมไม่ได้อยู่ดี
        เขาเดินไปตามอุโมงค์ต้นอิโจเพื่อไปยังตึกคณะ สถานที่ที่เขานัดกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อรับจดหมายแนะนำสำหรับการฝึกงาน เรื่องฝึกงานนี้ชายหนุ่มตัดสินใจช้าเกินไปทำให้บริษัทดี ๆ มีคนเลือกไปหมดแล้ว เขาได้รับคำแนะนำให้ไปฝึกงานในแผนกแปลภาษาของบริษัทนำเข้าส่งออกบริษัทหนึ่ง งานแปลเป็นงานที่เขาสนใจก็จริง แต่เมื่ออ่านจดหมายแนะนำแล้วเขากลับรู้สึกลังเลอย่างบอกไม่ถูก
        ไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากเป็นพนักงานบริษัทหรืออยากทำอะไรอย่างอื่นกันแน่ เขาเคยคิดจะรับทุนไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นที่ต่างประเทศ แต่ตอนนั้นเป็นเพราะความรักความหลงมันบังตา เมื่อความเป็นจริงกลับคืนมาสู่ชีวิตในตอนนี้ เขาจึงอยากจะคิดทบทวนดี ๆ ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรกันแน่ และบางทีการฝึกงานก็อาจจะช่วยให้เขาตัดสินใจได้
        ชินจิเก็บจดหมายแนะนำลงกระเป๋า ถอนหายใจนิด ๆ อย่างคนที่ตัดสินใจไม่ถูก
        เขานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกเดินไปตามทางที่มีใบไม้สีแดงสีน้ำตาลหล่นเกลื่อน มหาวิทยาลัยของเขาเหมือนป่ากลางกรุงก็น่าจะว่าได้ มีต้นไม้มากมาย รวมทั้งสวนและบ่อน้ำที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว บางครั้งเขาก็คิดถึงเทียร์การ์เท่น สวนสาธารณะที่เหมือนป่าขนาดใหญ่กลางกรุงเบอร์ลินที่เขาเคยไปเดินเล่น มีทะเลสาบเหมือนกับที่นี่มีบ่อน้ำ ชายหนุ่มเดินทอดอารมณ์ไปเรื่อย ๆ ก้าวลงไปตามบันไดหินที่เป็นทางไปสู่บ่อซันชิโร่ บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีเค้าโครงคล้ายกับรูปหัวใจ
        แนวไม้รอบบ่อเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ กันอย่างน่าตื่นตา ตั้งแต่สีน้ำตาล สีส้มจัด สีเหลือง สีแดง บางต้นใบไม้ไม่เปลี่ยนสีก็เห็นเป็นสีเขียวหลายเฉดทั้งเข้มและอ่อน บางต้นใบร่วงจนหมดเห็นกิ่งเปลือย ๆ มองไกล ๆ เป็นสีม่วงแกมเทาแปลกตา ในบ่อมีใบไม้ที่ร่วงจากต้นลอยเกลื่อนบนผิวน้ำและกองเกยกันอยู่เป็นจำนวนมากตรงรอบขอบบ่อที่มีหินกลม ๆ สีเข้มวางระเกะระกะเป็นแนวกั้นน้ำ
        ชินจิเดินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ก้าวจากหินก้อนหนึ่งไปยังก้อนถัดไปและก้าวต่อไปบนหินก้อนใหญ่รูปสี่เหลี่ยมที่เรียงต่อกันเหมือนสะพานยื่นออกไปในบ่อ น้ำในบ่อไม่ถึงกับใสแจ๋วแต่ก็ไม่ขุ่น มองลงไปจะเห็นปลาคาร์พหลากสีขนาดใหญ่แหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำที่มีใบไม้ลอยฟ่อง เขาหยุดยืนอยู่ที่หินก้อนสุดท้าย มองปลาสวย ๆ อย่างเพลิดเพลิน
        ในบ่อไม่ได้มีแค่ปลาคาร์พ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
        ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในน้ำ
        และเพื่อจะมองให้ถนัดขึ้น เขาจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ชะโงกหน้าไปดู
        ดวงตาปูดโปนคู่หนึ่งมองสบตากับเขาจากใต้ผิวน้ำ ผมดำยาวกระเซิงล้อมกรอบใบหน้าน่าเกลียด ชินจิเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะร้องเฮ้ยเสียงดังเพราะตกใจสุดขีดเมื่อสิ่งแปลกประหลาดใต้น้ำยืดแขนยาวที่มีรอยด่างเป็นดวง ๆ ขึ้นมาเหนือน้ำ เอามือที่มีเล็บยาวสกปรกมาจับข้อเท้าของเขา กลิ่นสาบสางบางอย่างโชยเข้าจมูกจนเขาผงะ
        “ปล่อย!”
        เขาร้องลั่น สะบัดขาสุดแรงโดยอัตโนมัติ เมื่อหลุดจากพันธนาการที่น่าขนลุก ชายหนุ่มตะเกียกตะกายลุกขึ้น รีบก้าวหนีอย่างรวดเร็ว แต่เพราะก้าวถอยหลังและความรีบร้อนลนลานทำให้เขาสะดุด ทำท่าจะหงายหลังอีกรอบ และชายหนุ่มคงจะตกลงไปในน้ำไปอยู่กับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้วถ้าไม่บังเอิญมีคนรับร่างของเขาไว้ได้ก่อนและกอดกระชับเอาไว้ในอ้อมแขน
        “เป็นอะไร ชินจิ ตกใจอะไร” คนที่กำลังกอดเขาอยู่ถามเสียงเรียบ
        “เอย์จิซัง!”
        ชินจิอุทานด้วยความดีใจแกมประหลาดใจที่หันไปมองแล้วเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย รุ่นพี่ที่เขารู้จักตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เบอร์ลินยิ้มให้นิด ๆ พลางถามย้ำว่า
        “ว่าไง เป็นอะไร”
        ชินจิหันกลับไปมองทางเดิมโดยอัตโนมัติ แต่เขาไม่เห็นอะไรผิดปกติเหมือนเมื่อสักครู่นี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นหายไปแล้ว หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ชายหนุ่มจึงลังเล คิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป
        “ปะ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมซุ่มซ่ามเอง” ชินจิปฏิเสธ
        รุ่นพี่ของเขาไม่ถามอะไรอีก แต่กวาดตามองขึ้นลง เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องไม่เป็นอะไรจริงอย่างที่ปากว่าแถมยังขยับตัวยุกยิกเหมือนขัดเขิน เอย์จิจึงคลายอ้อมแขนออกพร้อมกับพูดว่า
        “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
        “เอย์จิซังกลับมาจากเยอรมันเมื่อไหร่ครับ นี่เรียนจบแล้วเหรอ เร็วจัง” ชินจิถาม
        “เปล่าหรอก มีเรื่องทางบ้านนิดหน่อยก็เลยต้องกลับมา”
        ชายหนุ่มมีโอกาสพูดได้แค่นั้นก็ได้ยินเสียงผิวปากเหมือนเสียงนกร้องดังมาจากทางด้านหลังทำให้เขารู้ตัวว่ามีคนรออยู่ เอย์จิบอกรุ่นน้องว่า
        “ขึ้นไปคุยกันต่อบนฝั่งดีกว่า”
        ชินจิก้าวตาม ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่ใกล้กับบันไดหิน ข้างป้ายอธิบายประวัติของสถานที่
        “เอ๊ะ!” ชายหนุ่มหันกลับไปมองเอย์จิอีกครั้ง ท่าทางบอกว่าคาดไม่ถึงและงงงัน “เอ้อ...”
        “สวัสดี รุ่นน้องของเอย์จิ”
        คนที่ยืนรออยู่ทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง
        “สะ..สวัสดีครับ” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมก้มศีรษะลงต่ำอย่างเงอะงะ คนที่ทักเขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ตัวค่อนข้างหนา เครื่องหน้าดูบึกบึน โหนกแก้มชัด ผมตัดสั้นติดหนังศีรษะ ใส่สูทสีดำตัดเข้ารูปพอดีเชียะ ผูกไทสีดำ ยืนแยกขานิด ๆ ท่าทางสง่าและน่าเกรงขาม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจ
        ผู้ชายคนนี้หน้าตาเหมือนกับเอย์จิไม่ผิดเพี้ยน!
        ชินจิมองรุ่นพี่ของเขาก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างผู้ชายใส่สูทสีดำคนนั้น รูปร่างสูงต่ำเท่าเทียมกัน ใส่ชุดเหมือนกัน แล้วมายืนคู่กันแบบนี้ทำให้ดูเหมือนกับเอย์จิแยกร่างได้หรือไม่งั้นก็มี Doppelgänger  เหมือนอย่างในวรรณคดียุคโรมันติกของเยอรมนีอย่างไรอย่างนั้น
        “นี่เออิจิโร่ พี่ชายของฉัน” เอย์จิแนะนำ
        ชินจิกลืนน้ำลาย เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเอย์จิมีฝาแฝด ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้สักคน
        “แล้วนี่ก็คงเป็นชินจิสินะ” พี่ชายของเอย์จิพูดยิ้ม ๆ พิจารณาดูชายหนุ่มร่างสันทัดตรงหน้าที่เคยได้ยินชื่ออยู่บ้างจากน้องชาย รุ่นน้องของเอย์จิหน้าตาเรียบ ๆ ไม่โดดเด่นสะดุดตา จมูกค่อนข้างยาว ท่าทางเป็นคนสุภาพเรียบร้อย
        “ยินดีที่ได้รู้จัก ชินจิคุง” เออิจิโร่ยื่นมือออกมา   
        ตอนแรกชินจิลังเล แต่ก็ยื่นมือไปจับด้วย เขารู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อยเพราะเมื่อสักครู่เผลอแสดงความรู้สึกตกใจเกินไปหน่อย แต่เห็นพี่ชายของเอย์จิยิ้มกว้างจนตาหยี ไม่มีท่าทางจะถือสาแต่อย่างใด ชายหนุ่มก็คลายใจและยิ้มตอบอย่างสำรวม
        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
        รอยยิ้มของชินจิน่ามอง พี่ชายของเอย์จิคิด แต่กลิ่นสาบจาง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทำให้เขารู้สึกคาใจ
        “วันนี้มีเล็คเชอร์เหรอ ชินจิ” เอย์จิถาม
        “เปล่าครับ เทอมนี้ผมคิดจะฝึกงาน นี่มาเอาจดหมายแนะนำจากอาจารย์”
        “น่าสนใจนี่ จะไปฝึกงานที่ไหนล่ะ”
        ชินจิบอกชื่อบริษัทและงานที่จะต้องทำ เขามั่นใจว่าไม่ได้ใช้น้ำเสียงหรือแสดงสีหน้าอะไรออกไป แต่เอย์จิกลับทักได้ตรงใจเขาเหลือเกินว่า
        “ไม่ค่อยอยากไปทำงานที่นี่เหรอ”
        เออิจิโร่ฟังด้วยความสนใจ เขามองน้องชายที่หน้าตาจริงจังและหันไปมองหน้าเจื่อน ๆ เหมือนเด็กโดนจับได้ว่าทำผิดของชินจิ ยิ้มกริ่ม พูดแทรกขึ้นว่า
        “ไม่อยากทำงานบริษัทก็ไปช่วยงานที่เรียวกังของบ้านเราสองคนสิ กำลังขาดคนทำงานอยู่พอดี งานอาจจะหนักหน่อย แต่รับรองว่าไม่น่าเบื่อ สนใจไหมล่ะ”
        “เรียวกังของที่บ้านหรือครับ” ชินจิทวนคำ กะพริบตาปริบ ขณะที่เอย์จิหันขวับไปมองพี่ชาย คิ้วขมวดมุ่น
        “แต่ฉันว่าไม่ดีหรอก งานมันหนัก ไม่เหมาะกับชินจิ แถมบ้านเรายังไม่ได้อยู่ในเมือง เดินทางก็ลำบาก ไม่สะดวกสบายสักนิด”
        เออิจิโร่ไม่สนใจคำค้านของน้องชาย ยังพยายามชักชวนรุ่นน้องของเอย์จิต่อ
        “อะไรกัน ชินจิคุงท่าทางเป็นคนเอาการเอางานดีออก ไปทำงานกับเรานั่นแหละดีแล้ว อยากไปไหมชินจิคุง ถึงบ้านฉันกับเอย์จิจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ในภูเขา แต่ก็สวยมากเลยนะ เธอต้องชอบแน่ ๆ อยู่ในชนบท อากาศดี อาหารอร่อย ดีกว่าชีวิตที่รีบเร่งในเมืองเป็นไหน ๆ แล้วในหมู่บ้านยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะแยะเลยด้วย”
        ดวงตาของคนพูดแพรวพราวเหมือนกำลังสนุกสนานขณะที่พูดประโยคสุดท้าย ต่างกับน้องชายที่ยิ่งฟัง คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วก็ยิ่งขมวดหนักขึ้น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนผิดกับรูปลักษณ์ที่แข็งกร้าวภายนอกวาวขึ้นเหมือนกับกำลังไม่พอใจ ชินจิเห็นอย่างนั้นก็ลังเล ทั้ง ๆ ที่ฟังแล้วนึกสนใจไม่น้อย
        “คือ..ผม..” ชินจิอึกอักตอบไม่ถูก สายตาเหลือบมองรุ่นพี่ของตัวเอง เออิจิโร่จึงเข้าใจ
        “ถ้าเธออยากไปก็ไป ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอกน่ะ ที่เรียวกังขาดคนจริง ๆ ถ้าได้เธอไปช่วยงานคงจะดีไม่น้อยเลย ไม่ใช่ทุกคนที่อยากไปอยู่ไกล ๆ ในภูเขาหรอกนะ คนช่วยงานก็เลยหาค่อนข้างยาก เธอไปทำงานกับเรานะ ชินจิคุง”
        “ผมอยากไปนะครับ แต่ถ้าเอย์จิซังไม่เห็นด้วย ผมก็คง..”
        ชินจิหยุดพูด หันไปมองรุ่นพี่อีกครั้ง พอสบตากันเข้า สายตาวิงวอนเงียบ ๆ ของรุ่นน้องก็ทำให้เอย์จิถอนหายใจน้อย ๆ พูดว่า
        “ในเมื่อนายสนใจจะไป ก็ตามใจ ฉันไม่คัดค้าน”
        เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว หน้าของชินจิก็ผ่องใสขึ้นทันที ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างมีความสุข
        เออิจิโร่ที่จับตามองอยู่ตลอดเห็นสายตาของน้องชายตัวเองอ่อนโยนลงขณะที่มองรอยยิ้มของชินจิ แต่เขาไม่ได้ทักหรือกระโตกกระตากอะไรออกมา เพียงแต่พูดลอย ๆ ว่า
        “ใครมีปากกากับกระดาษบ้าง ฉันจะจดรายละเอียดการเดินทางให้ชินจิคุง”
        เอย์จิรู้สึกตัว หยิบปากกาที่เสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อนอกส่งให้ ชินจิก็ยื่นสมุดโน้ตที่มักติดตัวอยู่เสมอส่งให้เช่นเดียวกัน
        “ไปสักอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน เดี๋ยววันนั้นฉันกับเอย์จิจะไปรับที่สถานีรถไฟในตัวเมือง จากในตัวเมืองมีรถบัสไปหมู่บ้านเราวันละสองเที่ยวเท่านั้น เธอไม่เคยไป ประเดี๋ยวพลาดรถก็จะลำบาก”
        เออิจิโร่พูดพร้อมกับส่งสมุดโน้ตคืนให้ ชินจิรับมาอ่าน ชื่อภูเขามิคามิสะดุดตา ฟังคุ้น ๆ แต่เขานึกไม่ออกเสียแล้วว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน
        “เจอกันอาทิตย์หน้านะชินจิคุง”
        “ครับ ขอบคุณมากนะครับ” เสียงของเออิจิโร่ดึงความสนใจจากเขาได้ ชายหนุ่มเก็บสมุดโน้ตใส่กระเป๋าสะพาย โค้งขอบคุณอย่างนอบน้อม และหันไปโค้งให้เอย์จิด้วย
        “ขอบคุณมากครับ เอย์จิซัง”
        “แล้วเจอกัน” เอย์จิเพิ่งได้เปิดปากพูด ใบหน้ายังเคร่งอยู่ แต่ดวงตาอ่อนโยน
        ชินจิเดินจากไปแล้ว เออิจิโร่แกล้งกระแอมเมื่อเห็นน้องชายยังมองตามหลังไปอย่างไม่วางตา เอย์จิหันมาเจอรอยยิ้มแบบรู้ทันของพี่ชายฝาแฝดก็ทำหน้าเคร่งขึ้นมาอีก
        “ทำไมชวนชินจิมาทำงานด้วย นายก็รู้ว่าบ้านเราเป็นยังไง ฉันไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับชินจิ” ชายหนุ่มต่อว่าเสียงขุ่น แต่คนเป็นพี่แสดงท่าไม่ยี่หระ แถมยังยั่วเย้าให้เสียอีกด้วยว่า
        “เป็นห่วงจังเลยนะ ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้านายกังวลว่าจะปกป้องรุ่นน้องที่น่ารักไม่ได้ เดี๋ยวฉันรับหน้าที่แทนให้เองก็ได้ รับรองว่าปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
        “เลิกพูดเล่นซะที” คราวนี้ไม่เฉพาะน้ำเสียง แต่สายตาก็ขุ่นด้วย เออิจิโร่จึงเลิกแหย่น้องชาย ยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นจริงจังขึ้น บุ้ยใบ้ไปทางบ่อน้ำใหญ่
        “แล้วนั่นล่ะ”
        เอย์จิมองตาม ตอบว่า
        “น่าจะเป็นคาวาทาโร”
        “ภูตพรายชั้นต่ำ อัพเกรดจากคูน้ำมาอยู่ในบ่อปลา แต่นิสัยยังเหมือนเดิม แถมยังเหม็นสาบเป็นบ้า” เออิจิโร่ทำหน้ารังเกียจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น “แถมเล่นงานใครไม่เล่น ดันคิดจะมาเล่นงานรุ่นน้องที่น่ารักของนาย จะให้ฉันจัดการเลยไหม”
        เอย์จิทำเป็นไม่ใส่ใจคำเย้าแหย่ของพี่ชาย เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ
        “อย่าดีกว่า เราควรไปเรียนให้ท่านเจ้าอาวาสทราบ ยังไงเราก็ต้องไปที่วัด ไปเคารพศพคุณยายของรุกะอยู่แล้ว ให้ทางนั้นเขาจัดการกันเองดีกว่า”
        “ตามใจ”
        บ่อซันชิโร่ในตอนนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติอีกแล้ว ถึงแม้จะยังกังวลอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกันแล้ว เรื่องของรุ่นน้องของเขาน่ากังวลมากกว่าเป็นไหน ๆ
             เอย์จิละสายตาจากบ่อน้ำขนาดใหญ่ แล้วเดินตามหลังพี่ชายฝาแฝดขึ้นบันไดหินไปอย่างเงียบ ๆ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 3

          อพาร์ตเม้นท์ที่ชินจิอยู่เป็นอาคารสามชั้นสีแดงเข้ม แต่ละชั้นมีระเบียงทาสีขาวสะอาดตัดกับสีของตัวตึก ราคาค่าเช่าห้องไม่สูงมากนัก แต่ก็ต้องยอมแลกกับความไม่สะดวกสบายบางประการ เช่น ไม่มีห้องซักผ้า ต้องไปใช้บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ หรือมีแต่ห้องน้ำพร้อมฝักบัว ไม่มีอ่างอาบน้ำ วันไหนที่อยากแช่น้ำร้อนขึ้นมา อย่างเช่นวันนี้ เขาก็จะต้องไปใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ
          ชินจิหิ้วถุงผ้าใบย่อมบรรจุอุปกรณ์อาบน้ำและเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเดินกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ สวนกับผู้ดูแลอาคารที่เปิดประตูบานเลื่อนสีน้ำตาลด้านหน้าออกมาพอดี ผู้ดูแลเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาใจดีที่มักมีรอยยิ้มอยู่เสมอ พอเห็นลูกบ้านของตัวเอง เขาก็ทักทายพร้อมรอยยิ้มเหมือนปกติ
          “โอคะเอริ ชินจิคุง”
          “ทาดาอิมะ” ชินจิตอบรับ “กลับมาแล้วครับ”
          “เธอไปอาบน้ำมาไม่ใช่รึ ทำไมหน้าตาดูซีด ๆ ไม่สบายรึเปล่า” ผู้ดูแลทักด้วยความแปลกใจ
          “เปล่าครับ ผมสบายดี” ชินจิปฏิเสธ แต่ในใจนึกสงสัยว่าความรู้สึกของเขาแสดงออกทางสีหน้าจนเห็นได้ชัดขนาดนี้เชียวหรือ
          ผู้ดูแลไม่ติดใจอะไรอีก เปลี่ยนเรื่องไปถามว่า
          “พรุ่งนี้แล้วใช่ไหมที่เธอจะต้องไปฝึกงาน”
          “ครับ ผมเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว หนังสือกับพวกของใช้อย่างอื่นเก็บใส่กล่องขนไปไว้ที่ห้องเก็บของด้านหลังหมดแล้ว จะให้คนเช่าชั่วคราวเข้ามาวันไหนก็ได้เลยนะครับ”
          “สามเดือน นานเหมือนกันนะ” ผู้ดูแลเปรย ก่อนพูดต่อว่า “พยายามให้เต็มที่เลยนะ ชินจิคุง”
          ชายหนุ่มก้มศีรษะรับคำอวยพร แล้วถือโอกาสลาผู้ดูแลอพาร์ตเม้นท์ไปเลยในคราวเดียว
               ห้องพักของชินจิอยู่ชั้นสอง เป็นห้องสตูดิโอขนาดสิบเสื่อ ไม่จัดว่ากว้าง แต่เฟอร์นิเจอร์มีเท่าที่จำเป็น ที่เยอะหน่อยก็คือหนังสือ ทำให้พออยู่ได้อย่างไม่อึดอัดนัก
          ตอนนี้ห้องค่อนข้างโล่งตาเพราะขนของออกไปหมดแล้ว ชั้นหนังสือก็ว่างเปล่า ริมผนังห้องด้านหนึ่งวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ข้าง ๆ กันมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กเปิดอ้าอยู่ ชินจิปิดประตูห้อง วางถุงผ้าไว้หน้ากระเป๋าใบเล็ก แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง
          เขารู้สึกเหนื่อยจริง ๆ แล้วหน้าก็คงซีดอย่างที่ถูกทักนั่นแหละ
          ก็เขาดันไปเห็น ‘อะไร’ บางอย่างเข้าอีกแล้ว
               ตอนแรกเขาก็แค่แปลกใจที่เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ข้างตู้กดเครื่องดื่มหน้าอาคารที่ให้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ แต่ไม่นึกสนใจมากเท่าไร คิดว่าเด็กคงกำลังรอใครสักคนอยู่ ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง จ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ แล้วเข้าไปในห้องฝั่งของผู้ชาย เขาใช้เวลาอาบน้ำและแช่น้ำนานพอดู น้ำร้อนทำให้คลายความเมื่อยขบจากการจัดเก็บข้าวของตลอดทั้งวันได้เป็นอย่างดี เขาก็เลยแช่น้ำจนเพลิน กลับออกมาอีกที เด็กผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ศีรษะก้มลงต่ำจนคางเกือบจรดหน้าอก ชายหนุ่มรู้สึกขึ้นมาทันทีว่ามันมีอะไรบางอย่างไม่ปกติ
               วันนี้ที่ห้องอาบน้ำไม่ค่อยมีคนมากนัก ที่ห้องฝั่งผู้ชาย นอกจากเขาแล้วก็มีเด็กอายุประมาณมัธยมปลายหนึ่งคนกับคุณตาอีกหนึ่งคนเท่านั้นเอง ดูแล้วไม่น่าใช่ผู้ปกครองของเด็กคนนี้ หรือเด็กอาจจะรอผู้ปกครองที่เป็นผู้หญิงกระมัง แต่มันก็แปลก เขาใช้เวลาอาบน้ำตั้งนาน ผู้ปกครองของเด็กคนนี้ยังใช้เวลานานกว่าเขาอีกอย่างนั้นหรือ
               “หนู รอใครอยู่ครับ รอคุณแม่รึเปล่า”
               ชินจิตัดสินใจเดินเข้าไปทัก ก่อนจะรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดเสียแล้ว
               เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา แต่เขากลับไม่เห็นอะไรบนใบหน้านั้นเลยนอกจากหนังโล้น ๆ!
               ชายหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความตกใจกลัว เขาวิ่งหนีสุดแรงเกิด อุปาทานว่าได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังมาพร้อมกับเสียงเด็กหัวเราะ เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง ได้แต่วิ่งและวิ่ง ขณะที่ในใจตะโกนว่า
               ‘ไปให้พ้น! อย่าตามมา!’
               จนใกล้ถึงบ้านนั่นแหละ เขาจึงหยุดพักเหนื่อย ชินจิหอบจนตัวโยน แต่พอมองไปยังทางที่วิ่งมาแล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีเด็กผีไร้หน้า ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงหัวเราะ มีเพียงถนนว่างเปล่าที่มืดสลัว
               ชายหนุ่มกลัวจนหน้าถอดสี ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนนอกจากในหนังสือนิยายหรือเรื่องแต่งทั้งหลาย เขาไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นความจริง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอสิ่งน่ากลัวแบบนี้ ตอนก่อนโน้นเขาก็เจอผู้หญิงผมยาวห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ ไม่กี่วันมานี้ก็เจอผู้ชายเลือดท่วมตัวยืนแข็งทื่ออยู่ริมถนนที่เพิ่งมีข่าวอุบัติเหตุรถชนกัน ยังไม่รวมเสียง เงาวูบวาบ หรือกลิ่นแปลก ๆ ที่เขาสัมผัสได้ในบางสถานที่ที่เขาไป แต่ไม่มีครั้งไหนที่น่ากลัวเท่าที่บ่อซันชิโร่อีกแล้ว เขายังจำหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวและกลิ่นเหม็นสาบสางของเจ้าตัวที่อยู่ในน้ำได้ ไม่เคยลืมสัมผัสที่น่าขยะแขยงตอนที่มือเป็นด่างเป็นดวงจับข้อเท้าของเขาด้วย โชคดีที่วันนั้นเอย์จิซังช่วยรับร่างของเขาเอาไว้ทัน มิฉะนั้นเขาก็คงสะดุดตกน้ำไปอยู่เป็นเพื่อนกับเจ้าผีน้ำตาโปนนั่นไปแล้ว
               จะว่าไป เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นที่สุสาน วันที่เขาเจออีกาตัวใหญ่ใกล้จะตาย
               ชินจิสปริงตัวลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปเปิดถุงผ้าแล้วหยิบเอาถุงเครื่องรางออกมา เครื่องรางที่ดลบันดาลให้ชีวิตประสบแต่ความสุขที่ปกติแล้วเขาจะห้อยไว้ที่กระเป๋าสะพายไหล่ แต่วันนี้จู่ ๆ มันก็หลุดออกมา เขากำลังจะไปอาบน้ำพอดีก็เลยเก็บใส่ถุงผ้าติดมือไปด้วย
               ชายหนุ่มเปิดถุงเครื่องราง ข้างในมีลูกแก้วสีแดงอยู่อีกลูกหนึ่ง เป็นลูกแก้วที่อีกาคายออกมาจากปาก
จะเป็นเพราะลูกแก้วนี่รึเปล่า เขาถึงเห็นอะไรแปลก ๆ
               อีกใจคัดค้านทันที เหลวไหล เรื่องแบบนี้มันมีจริงเสียที่ไหน จะมีก็แต่ในนิยายนิทานเท่านั้นแหละ ช่วงนี้เขาคงอ่านหนังสือที่มีเรื่องผีเรื่องปีศาจมากเกินไปจนเกิดอุปาทานหรือไม่ก็จินตนาการบรรเจิดไปเอง
               ชินจิย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหล เก็บลูกแก้วใส่กลับลงไปในถุงเครื่องรางแล้วผูกห้อยไว้กับกระเป๋าสะพายไหล่ตามเดิม เขายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้คิดนี่นา
               พรุ่งนี้เขาจะเดินทางไปยังบ้านเกิดของเอย์จิเพื่อฝึกงานแล้ว
               หมู่บ้านคันโจโคเอน ภูเขามิคามิ
               ในอินเทอร์เน็ตไม่มีข้อมูลอะไรมากนักเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้ นอกจากเป็นสถานที่ที่คนนิยมมาแช่ออนเซ็นและเที่ยวชมความสวยงามของบ้านเรือนที่ก่อสร้างในแบบที่เรียกว่ากัสโชซึคุริ หรือบ้านชาวนาที่มีหลังคาลาดลงต่ำจนเกือบถึงพื้น เขาเห็นภาพของหมู่บ้านที่ถ่ายจากจุดชมวิว หมู่บ้านของเอย์จิสวยจริง ๆ มีทิวเขาล้อมรอบ แต่ชื่อภูเขามิคามิทำให้เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะจากข่าวที่ค้นเจอ ภูเขามิคามิแห่งนี้เองที่มีคนหายสาบสูญไปหลายราย ชินจิถามตัวเองว่ากลัวหรือไม่ คำตอบมาเร็วจนน่าตกใจ เขาไม่กลัวเลยสักนิด ไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย ก็เขากำลังจะไปอยู่กับรุ่นพี่ที่น่านับถืออย่างเอย์จินี่นา เอย์จิเป็นคนใจดีแถมยังพึ่งพาได้ ตอนอยู่ที่เยอรมนีเอย์จิก็ช่วยดูแลเขาเสมอ อย่างนี้แล้วจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก
               นึกถึงรุ่นพี่ ภาพของพี่ชายฝาแฝดของเอย์จิก็ผุดขึ้นตามมาในหัว เขาไม่เคยรู้เลยว่าเอย์จิมีฝาแฝด และเป็นฝาแฝดที่ดูจะแตกต่างกันไม่น้อยทั้งที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ เออิจิโร่ดูเป็นคนร่าเริงพูดเก่งในขณะที่เอย์จิเงียบขรึมกว่า
               ชินจิรู้สึกตื่นเต้น พรุ่งนี้เขาจะได้เจอทั้งสองคนแล้ว แต่อีกใจก็นึกกังวลขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นเรื่องงาน เขาจะต้องทำงานที่เรียวกัง ชายหนุ่มเคยไปพักและช่วยงานที่เกสต์เฮาส์ของคุณอาของเพื่อนที่คานาซาว่า แต่ก็ไม่กี่วันเท่านั้นเอง แถมยังแทบไม่ได้ช่วยอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรด้วย งานที่เรียวกังคงไม่ง่ายอย่างนั้นแน่ และตามประสาคนที่เตรียมพร้อมและเอาจริงเอาจัง ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานในเรียวกังและจดบันทึกทุกอย่างที่คิดว่าสำคัญลงในสมุดโน้ต หวังว่าเมื่อถึงเวลาทำงานจริง เขาจะไม่สร้างความเดือดร้อนหรือก่อปัญหาใด ๆ
               ก่อนนอนในคืนนั้น ชินจิหยิบสมุดโน้ตมาอ่านทวนอีกครั้งอย่างตั้งใจ
               กัมบัตเตะ! เขาจะพยายามให้เต็มที่เลย!

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               การเดินทางไปหมู่บ้านคันโจโคเอนในภูเขามิคามินั้นค่อนข้างลำบากจริง ๆ อย่างที่เคยได้ยินมา จากรายละเอียดที่เออิจิโร่จดให้ มีรถบัสไปหมู่บ้านเพียงสองเที่ยวต่อวันเท่านั้น ถ้าจะไปให้ทันรถเที่ยวเช้า ชินจิต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามาก นั่งรถไฟใต้ดินไปเปลี่ยนเป็นรถไฟเจอาร์ที่สถานีโตเกียว ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสถานีรถไฟปลายทาง แล้วเปลี่ยนสายเป็นรถไฟท้องถิ่น นั่งต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นต่อรถบัสจากป้ายหน้าสถานีอีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงป้ายภูเขามิคามิ หรือถ้าขึ้นรถบัสเที่ยวบ่ายก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางตอนค่ำพอดี แต่ชินจิไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เพราะถ้าไปถึงตอนกลางคืน เขาจะไม่ได้เห็นอะไรเลย โชคยังดีที่เอย์จิกับเออิจิโร่สัญญาว่าจะมารับที่สถานีรถไฟทำให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเวลารถบัสมากนัก
               ชินจิก้าวลงจากรถไฟท้องถิ่นสีเขียวคาดขาวรูปทรงยาวมนเหมือนขนมปังปอนด์ด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะต้องหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางทั้งใบใหญ่และใบเล็กพร้อมกับกระเป๋าสะพายไหล่ใบเก่ง สถานีรถไฟท้องถิ่นมีขนาดไม่ใหญ่โต อาคารชานชาลาทำจากไม้สีเข้ม ป้ายชื่อสถานีเป็นไม้เช่นเดียวกัน ตัวอักษรสีแดงบนป้ายบอกว่าเขาลงไม่ผิดที่แน่นอน และเพราะสถานีไม่ใหญ่มากนี่แหละทำให้ร่างสูง ๆ ของคนสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบเด่นสะดุดตาชนิดที่ก้าวลงจากรถไฟก้าวแรก ชินจิก็มองเห็นทันที
               ฝาแฝดเออิจิโร่และเอย์จิยืนรออยู่หน้าตู้กดเครื่องดื่มใกล้กับกระดานข่าวบนผนังที่มีโปสเตอร์สถานที่ท่องเที่ยวและข่าวสารของเมืองติดเอาไว้เต็มไปหมด แต่ถึงจะหน้าเหมือนกันแค่ไหน ชายหนุ่มก็คิดว่าตัวเองแยกออก เออิจิโร่คือคนที่กำลังโบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มทั้งตาและปาก ส่วนเอย์จิคือคนที่วางหน้าเฉยแต่ตรงดิ่งมาช่วยยกสัมภาระของเขาลงมาตั้งที่พื้นชานชาลา
               “ขอบคุณครับเอย์จิซัง” ชายหนุ่มยิ้มให้พร้อมกับโค้งขอบคุณ และเขาก็ได้รอยยิ้มอ่อน ๆ ตอบกลับมา
               “เดินทางเรียบร้อยดีไหมชินจิคุง” เออิจิโร่ถามเมื่อทั้งสองคนเดินกลับมาสมทบโดยที่เอย์จิเป็นคนลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และปล่อยใบเล็กให้เป็นหน้าที่ของรุ่นน้องของเขา
               “เรียบร้อยดีครับ ไม่มีปัญหาอะไร เอ๊ะ...” ชินจิตอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุทานเมื่อเห็นเออิจิโร่ใกล้ ๆ
              เมื่อสักครู่นี้เขาว่าเขามองไม่เห็นอะไร แต่ตอนนี้ที่คอของเออิจิโร่มีบางสิ่งบางอย่างพันอยู่หลวม ๆ เป็นตัวและหางยาวสีน้ำตาลอมแดงของสัตว์บางประเภท ขนสวยเด่นจนอดทักไม่ได้
              “เออิจิโร่ซังใช้ผ้าพันคอขนสัตว์ด้วยเหรอครับ นี่ขนจริงหรือขนสัตว์เทียมครับเนี่ย แปรงจนขึ้นเป็นเงาทีเดียว สีก็สวยมากเลย”
              เจ้าของผ้าพันคอขนสัตว์ทำหน้าพิศวง หันไปมองน้องชายก็เห็นเอย์จิขมวดคิ้วเช่นกัน
              “เธอมองเห็นผ้าพันคอของฉันด้วยเหรอ” เออิจิโร่แกล้งเน้นที่คำว่าผ้าพันคอด้วยความจงใจ
              ชินจิพยักหน้าอย่างงง ๆ
              “นี่มันชักจะน่าสนใจซะแล้วแฮะ” ดวงตาของเออิจิโร่เต้นพราวด้วยอารมณ์สนุกสนานขณะที่หันไปกระซิบกับน้องชาย จากนั้นจึงตอบชินจิว่า
              “ผ้าพันคอของฉันเป็นขนสัตว์จริง ไม่ใช่ของเทียมหรอก คนอยู่ในภูเขา พอถึงฤดูล่าสัตว์ก็ออกไปล่าพวกกวาง หมูป่า หมี เนื้อไว้กิน หนังกับขนไว้ทำเครื่องนุ่งห่ม ไม่ได้ล่าเป็นเกมกีฬา ส่วนนี่เป็นขนของพังพอน”
              “พังพอนเหรอครับ” ชินจิมองด้วยความสนใจเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นของจริง “เออิจิโร่ซังเป็นคนล่าเองเลยรึเปล่าครับ”
              “ไม่ใช่หรอก ตัวนี้มีคนให้มา ได้มาวันที่เจอเธอครั้งแรกนั่นแหละ เจ้าของเก่าเสียชีวิต ไม่มีใครดูแลต่อ ฉันกับเอย์จิไปงานศพ ทายาทของเขาก็เลยให้มา สวยใช่ไหม”
              ชินจิพยักหน้ารับทันที
              “อยากจับดูไหม ขนมันนุ่มมากเลยนะ” เออิจิโร่ชวนเชิญ และไม่เพียงแต่พูดอย่างเดียว เขายังคว้ามือชินจิขึ้นมาด้วยโดยที่เจ้าของมือไม่ทันได้ทักท้วง แต่ชินจิไม่มีโอกาสได้ลองสัมผัสขนของพังพอนจริง ๆ เพราะเอย์จิดึงมือเขารั้งเอาไว้ก่อน
              “อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ” เอย์จิดุพี่ชายและสีหน้าเคร่งเครียดของเขาก็ทำให้เออิจิโร่อมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีทำเป็นเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก แกล้งอุทานว่า
              “จริงด้วยสิ! ฉันนี่แย่จัง ลืมไปได้ยังไงว่าเจ้านี่เป็นตัวเมีย นิสัยค่อนข้างเจ้าอารมณ์ สุ่มสี่สุ่มห้าไปจับเข้ามันจะโมโหเอา” พูดจบก็หันไปแสดงความเสียใจกับชินจิ
              “ขอโทษด้วยนะชินจิคุง เอาไว้คราวหลังก็แล้วกัน ให้คุ้น ๆ กันก่อน”
              ชินจิทำหน้าเหรอหรา ไม่เข้าใจสิ่งที่เออิจิโร่พูดสักนิด แต่ไม่มีใครอธิบายอะไรให้ชัดเจน เอย์จินี่เปลี่ยนเรื่องไปเลยด้วยการตัดบท ชวนแกมสั่งว่า
              “ไปกันเถอะ ยังต้องขับรถอีกตั้งชั่วโมง เดี๋ยวจะช้า”
              “แต่ก่อนกลับ ขอฉันหาอะไรรองท้องก่อนนะ ใครก็ไม่รู้ให้รีบมาตั้งแต่หัวโห่ จะกินข้าวเที่ยงก่อนก็ไม่ได้ หิวไส้จะขาดแล้ว”
              เออิจิโร่สวนขึ้นหน้าตาเฉย เล่นเอาน้องชายกัดกรามกรอดเพราะโดนพาดพิง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอยู่ดี เขาสั่งชินจิว่า
              “เดินไปก่อนเลยชินจิคุง ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวานะ จะมีรถตู้เปิดท้ายขายขนมปัง อร่อยมากเลย มีนมสดอุ่น ๆ กับกาแฟด้วย”
              คนถูกสั่งทำตามทันทีโดยไม่อิดเอื้อน ค่อย ๆ ลากกระเป๋าใบเล็กเดินต้อย ๆ ไปตามทาง
              คล้อยหลังชินจิ เหลือสองพี่น้องฝาแฝดยืนอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในตอนนี้เองสิ่งที่ดูเหมือนผ้าพันคอขนสัตว์รอบคอของเออิจิโร่ก็เริ่มขยับเขยื้อน หัวเล็ก ๆ ของมันที่ซุกอยู่ใต้พวงขนหางผงกขึ้น ชายหนุ่มจึงล้วงเอากระบอกไม้ไผ่สีเขียวเข้มเกือบดำที่ถูกขัดจนผิวเกลี้ยงและมีรอยสลักเล็ก ๆ สีทองเป็นคำว่า ‘โอมิเนะ’ ตรงส่วนปลายออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็กเก็ตกันหนาวที่สวมอยู่ เมื่อเขาเปิดจุกออก เจ้าสัตว์ตัวยาวสีน้ำตาลอมแดงมีหางเป็นพวงที่เคยพาดอยู่บนคอของเขาก็วูบหายเข้าไปในกระบอกนั้น เออิจิโร่ปิดจุกกระบอกพลางเอียงหน้าไปกระซิบกับน้องชายว่า
               “มองเห็นคูดะกีซึเนะจากภูเขาโอมิเนะแบบนี้ รุ่นน้องของนายนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ มิน่าล่ะถึงจับความสนใจของเอย์จิผู้เคร่งขรึมได้จนอยู่หมัด”
               “พูดมาก หุบปากไปเลย”
               เอย์จิคำราม แล้วเดินหน้ามุ่ยลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามรุ่นน้องไปทันที ทิ้งให้คนเป็นพี่ชายยืนหัวเราะกึก ๆ อยู่ในลำคอคนเดียวด้วยความพอใจที่ยั่วแหย่น้องชายให้หงุดหงิดได้เป็นผลสำเร็จ

                รถตู้เปิดท้ายขายขนมปังที่เออิจิโร่พูดถึงอยู่ตรงข้ามกับสถานี แต่ดูไปแล้วน่าจะเรียกว่าร้านกาแฟกลางแจ้งขนาดย่อมมากกว่า เจ้าของใส่ผ้ากันเปื้อนสีเขียวอมฟ้ายืนอยู่ข้างรถตู้สีขาวที่ท้ายรถเปิดอ้าทำเป็นชั้นวางขนมปังหลากหลายชนิด มีป้ายบอกชื่อและราคาตั้งอยู่บนพื้นถนนข้างตัวรถ ข้างรถตู้อีกด้านหนึ่งเป็นเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม มีป้ายกระดานดำอันเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้างหน้า เขียนชื่อเครื่องดื่มพิเศษประจำวันพร้อมราคาด้วยชอล์กสีขาวและยังวาดรูปถ้วยกาแฟกำกับไว้ข้าง ๆ ด้วย ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นประเภทที่มาซื้อกลับบ้าน แต่ถ้าประสงค์จะกินเลย ทางร้านก็จัดโต๊ะเก้าอี้สองสามชุดเตรียมไว้ให้นั่ง
               เออิจิโร่กับเอย์จิเดินไปเลือกขนมปัง ส่วนชินจิที่ไม่ชอบขนมปังสักเท่าไรประกอบกับกินข้าวกล่องบนรถไฟมาเรียบร้อยแล้วเลือกสั่งลาเต้ร้อนถ้วยเดียวแล้วกลับมานั่งรอที่โต๊ะกับกระเป๋าเดินทางสองใบของตัวเอง สักพักฝาแฝดก็ตามมาสมทบ จากนั้นเจ้าของร้านก็ยกถาดใส่จานขนมปังมาเสิร์ฟให้
               “ชินจิคุงไม่กินอะไรสักหน่อยเหรอ” เออิจิโร่ทักเมื่อเห็นว่าตรงหน้าของชายหนุ่มมีแค่ลาเต้ถ้วยเดียว ส่วนเขาสั่งอันปังซึ่งเป็นขนมปังใส่ไส้ต่าง ๆ แถมด้วยเมล่อนปังอีกชิ้นสมกับที่บ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าหิวไส้จะขาด
               “ผมกินข้าวเที่ยงมาแล้วครับ” ชินจิตอบพร้อมกับที่เอย์จิเสริมขึ้นมาด้วยว่า
               “ชินจิไม่ค่อยชอบขนมปัง”
               เออิจิโร่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ชินจิจึงพยักหน้าเป็นการยืนยัน ก่อนจะหันไปมองเอย์จิที่กำลังแกะกลักเนยเพื่อนำไปทาบนขนมปังที่ตัวเองสั่ง
               “นี่ขนมปังดำนี่ครับ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีขายด้วย ขนาดร้านเบเกอรี่ในโตเกียวยังไม่ค่อยมีขายเลย”
               ชินจิพูดเมื่อเห็นขนมปังสีน้ำตาลดำในจานของรุ่นพี่ ชวาร์สโบรทพบได้ทั่วไปในเยอรมนี เป็นขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี คนเยอรมันนิยมรับประทานกับไส้กรอกและชีส เขายังเคยเห็นร้านอาหารบางร้านนำไปจี่ในกระทะเสิร์ฟคู่กับซุปและสลัดด้วย
               “ของโปรดของเอย์จิเขาล่ะ มาทุกครั้งกินทุกครั้ง ท่าจะอยากกลับไปเบอร์ลินเต็มแก่แล้ว” เออิจิโร่ยื่นหน้ามาบอกยิ้ม ๆ และชินจิสังเกตว่าผ้าพันคอขนพังพอนของชายหนุ่มหายไปแล้ว แต่เขาไม่ได้ทักเรื่องนี้เพราะในหัวยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาหมกมุ่นมากกว่า
                “บางครั้งผมก็คิดถึงที่นั่นเหมือนกัน” หลุดปากออกไปแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นฝาแฝดทั้งสองคนมองมา สายตาของแฝดคนน้องแสดงความเห็นใจชัดเจนจนชินจิอดรู้สึกสังเวชตัวเองไม่ได้ เขาเผลอตัวอีกแล้ว ทั้งที่สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะไม่เจ็บปวดกับอดีตและความรักเก่า ๆ อีก เขาตัดสินใจจะเดินไปข้างหน้าแล้วนี่นา ชินจิจึงยิ้มกว้าง พูดต่อว่า
                “อาหารที่เยอรมันอร่อยมาก โดยเฉพาะฝีมือคุณแม่ของมานูเอล ผมไม่ชอบขนมปัง แต่ก็กินได้เยอะเลยตอนที่ไปฉลองคริสต์มาสกันที่เกลเซ่นเคียเช่นครั้งนั้น จำได้ไหมครับเอย์จิซัง”
                “จำได้สิ คนที่กินเยอะกว่าใครต้องเจ้าอัตสึโตะ ทั้งขนมเค้ก คุกกี้คริสต์มาส ชตอลเลิ่น หมอนั่นฟาดเรียบ แถมยังป่วนในครัวจนมายะต้องไล่ออกมา”
                เออิจิโร่นั่งฟังรุ่นพี่รุ่นน้องคุยกันกระหนุงกระหนิงแล้วชักหมั่นไส้ติดหมัด นี่หัวของเขาคงเริ่มมีกลิ่นตุ ๆ แล้วเป็นแน่
                “ฟังดูแล้วน่าสนุกจังนะ เอย์จิไม่ค่อยเล่าเรื่องตอนอยู่ที่เยอรมันให้ใครฟังเลย แม้แต่กับพี่ชายตัวเอง”
                คนที่คิดว่าตัวเองเป็น ‘หมาหัวเน่า’ สอดขึ้นมา
                “อย่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นเลยน่ะ” เอย์จิหันไปทำหน้าเคร่งใส่คนขัดจังหวะทันที
                ชินจิมองฝาแฝดสองคนสลับกันไปมา อดคิดไม่ได้ว่ามีอะไรแปลก ๆ ระหว่างสองคนนี้หรือเปล่า แต่ชายหนุ่มก็ไม่กล้าถาม
                หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก สองพี่น้องตั้งหน้าตั้งตารับประทานส่วนของตัวเองจนหมด แล้วพาชินจิไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากสถานีมากนัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               จากตัวเมืองใช้เวลาเดินทางอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ชินจินั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทางช่วงแรกยังอยู่ในเขตเมือง อาคารบ้านเรือนปลูกติด ๆ กัน แต่ยิ่งนานไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งห่างกันโดยมีแปลงนาที่เก็บเกี่ยวแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลคั่นกลาง บางบ้านมีแปลงผักที่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่ มีโรงเพาะชำเล็ก ๆ และสวนส้มที่ออกลูกดกพราวเต็มต้น ต้นไม้เริ่มหนาตาขึ้น แล้วเมื่อเข้าสู่เขตภูเขาก็เห็นแต่ต้นไม้ทั้งสองข้างทาง ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ โดยเฉพาะสีแดงมีสัดส่วนมากที่สุด
               เออิจิโร่ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถลดความเร็วลงเมื่อเข้าเขตหมู่บ้านและชะลอให้ผู้โดยสารของเขาเห็นป้ายรถบัสที่อยู่ข้างศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นบ้านชาวนาหลังคามุงจากลาดเอียงจนเกือบจรดพื้น จุดเด่นของหมู่บ้านนี้ ข้าง ๆ กันคือร้านขายของที่ระลึก มีซอยเล็ก ๆ คั่นกลาง 
               “เวลาจะเข้าออกหมู่บ้านก็มาขึ้นรถบัสที่ป้ายตรงนี้ แล้วเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำชิมิซึเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนทางรถเข้าจะเป็นอีกทางหนึ่ง”
               ชินจิมองตามนิ้วชี้ของผู้เป็นโชเฟอร์ เห็นเนินหญ้าสูงลาดลงสู่ฝั่งแม่น้ำที่เป็นหินกรวดก้อนเล็ก ๆ สะพานข้ามเป็นสะพานเชือก พื้นเป็นไม้ แต่ดูแข็งแรงดีและตัวสะพานไม่สูงจากพื้นน้ำมากจนทำให้เกิดความรู้สึกหวาดเสียวเวลาเดินข้าม ปลายสะพานฝั่งหมู่บ้านปลูกต้นอิโจที่ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง
               “แม่น้ำชิมิซึตอนนี้ไม่ลึก เป็นแก่ง มีหินกีดขวางทางน้ำเยอะ แต่เป็นช่วงที่สวยที่สุด เลยลงไปทางปลายน้ำ น้ำถึงจะลึกขึ้นและนิ่ง กว้าง แต่จะไม่สวยเท่านี้” โชเฟอร์ที่ตอนนี้ควบตำแหน่งไกด์ไปในตัวอธิบาย ชินจิมองสายน้ำสีเทาอมน้ำเงินไหลปะทะหินจนเกิดเป็นฟองคลื่นสีขาวด้วยความประทับใจ มันสวยงามมากจริง ๆ
               “ไว้มีเวลาจะพามาเดินเล่นริมแม่น้ำนะชินจิคุง ตอนเช้า ๆ อากาศดีมาก แต่อาจจะหนาวหน่อย”
               ไกด์เสนอตัว ชินจิกำลังจะกล่าวขอบคุณ แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก คนที่หน้าเหมือนไกด์เปี๊ยบแต่นั่งเงียบมาตลอดทางก็ขัดขึ้นมาก่อน
               “ไหนว่าจะขึ้นไปที่จุดชมวิว มัวแต่พูดโน่นพูดนี่ เดี๋ยวก็ค่ำกันเท่านั้น มองไม่เห็นอะไรพอดี”
               เสียงของคนพูดค่อนข้างขุ่นทำให้ชินจิหุบปาก ไม่กล้าพูดอะไร ส่วนคนที่โดนบ่นเลิกคิ้ว พยักหน้าไปทางนาฬิกาหน้ารถที่มีตัวเลขดิจิตัลขึ้นให้เห็นว่าตอนนี้เพิ่งเลยบ่ายโมงมานิดหน่อยแค่นั้น แล้วจากตรงนี้ขับรถไปแค่ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงจุดชมวิวแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะตก แต่เขากลับถูกน้องชายฝาแฝดถลึงตาใส่อีกครั้ง
               ทางขึ้นไปจุดชมวิวเป็นทางโค้งทำให้คนขับรถต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติ ในรถจึงค่อนข้างเงียบ ชินจิรู้สึกว่าบรรยากาศในรถมันค่อนข้างอึดอัดพิกล เมื่อเออิจิโร่จอดรถที่ลานจอดของจุดชมวิวและลงจากรถกันแล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น
               ชินจิเดินตามสองพี่น้องขึ้นไปยังลานโรยกรวดที่มีรั้วไม้กั้นและมีม้านั่งตั้งอยู่ติด ๆ กันสามสี่ตัวเพื่อให้คนนั่งชมวิว เมื่อถึงจุดหมาย เออิจิโร่กับเอย์จิเดินเบี่ยงหลบไปทางด้านข้างให้ชินจิได้เห็นชัด ๆ
               ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าแทบจะทำให้ชายหนุ่มลืมหายใจ
               เขามองเห็นบ้านชาวนาหลังคาลาดหลังเล็ก ๆ เหมือนบ้านตุ๊กตารวมกันเป็นกลุ่มและเรียงเป็นแนวตามถนนสายหลักสองสายร่วมกับเรือนแถวไม้สองชั้น แปลงนาสีน้ำตาลกับแปลงผักสีเขียวกินบริเวณกว้างและแทรกอยู่ระหว่างบ้านหลายหลัง แม่น้ำชิมิซึไหลผ่านด้านข้าง หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านอยู่กลางหุบเขาล้อมรอบไปด้วยทิวเขาสูงที่ตอนนี้ ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้บนภูเขาเปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงจัดราวกับไฟ
               “คันโจโคเอน” ชินจิอุทานด้วยความลืมตัว “วงแหวนแห่งเปลวเพลิง”
               ชายหนุ่มหันไปหาสองพี่น้องฝาแฝดที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ ทางด้านข้าง เขาเห็นรอยยิ้มของเออิจิโร่และเสียงของเอย์จิก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
               “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านของเรา”

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อ่านแล้วได้ฟิลเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ญี่ปุ่นจริงๆเลย อินมาก บรรยายได้ดี
เราว่าที่ชินจิเจอผีคงเพราะไอ้ลูกแก้วจากกาตัวนั้นแน่ๆเลย มาต่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 4

        รถของเออิจิโร่แล่นไปตามถนนสายหลัก ผู้โดยสารคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างหลังรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่เขตหมู่บ้าน ชินจิมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มองผู้คนและบ้านเรือนสองข้างทาง เขาอยากมีสักสองหัวสี่ตาเสียจริง ๆ จะได้มองทั้งสองด้านได้พร้อมกัน แต่นี่เขามีแค่หัวเดียวสองตาจึงทำได้แค่หันไปทางซ้ายทีทางขวาที ท่าทางไม่ผิดอะไรกับผู้ชมที่ดูเทนนิสหรือแบดมินตันที่ผู้เล่นสองฝ่ายตีโต้กันไปมาด้วยความรวดเร็วทำให้ต้องหันไปหันมาเพื่อตามให้ทัน เออิจิโร่มองเห็นจากกระจกมองหลัง เขาเปิดยิ้มกว้างด้วยความขบขันกับท่าทางของชายหนุ่มรุ่นน้อง เอย์จิก็รู้สึกขันไม่น้อย แต่เห็นสายตาและรอยยิ้มของพี่ชายฝาแฝดแล้ว เขาก็เปลี่ยนจากยิ้มเป็นถลึงตาใส่เออิจิโร่แทนทันที
        “ด้านซ้ายนั่นเป็นศาลเจ้าอินาริที่ครอบครัวเราดูแลอยู่ ส่วนด้านขวาคือเรียวกังที่เธอจะต้องทำงาน” เออิจิโร่ชี้ให้ดู ชินจิเห็นประตูโทริอิสีแดงขนาดใหญ่และบันไดหินที่เป็นทางขึ้น ศาลเจ้าตั้งอยู่บนถนนสายหลักเช่นเดียวกับเรียวกังซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวสีเข้ม แต่ยังไม่ทันมองได้ถนัด รถก็เคลื่อนเลยไปเสียก่อน เสียงเออิจิโร่พูดต่อว่า
             “เอาไว้จะพาชมให้ทั่ว ตอนนี้ไปที่บ้านก่อน ทุกคนรออยู่”
             ชินจิหดคอที่กำลังชะเง้อชะแง้แล้วมองตรงไปข้างหน้า เขาเห็นกำแพงปูนสีเหลืองจางเกือบขาว ฐานล่างเป็นหินกลม บ้านของเออิจิโร่และเอย์จิอยู่ถัดไปจากศาลเจ้า กำแพงด้านหน้าค่อนข้างสูงทำให้มองไม่เห็นข้างใน เห็นเพียงต้นไม้ที่สูงเลยกำแพงขึ้นมาเท่านั้น ใบไม้บนต้นไม้บางต้นเปลี่ยนสีสัน แต่บางต้นก็ยังเป็นสีเขียวอยู่
             เออิจิโร่จอดรถหน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ข้างประตูด้านหนึ่งติดป้ายไม้ระบุชื่อสกุลเจ้าของบ้าน เหนือป้ายขึ้นไปเป็นตราประจำตระกูลสีทองทรงกลมโดดเด่น ระหว่างที่รอให้คนมาเปิดประตู ชินจิถือโอกาสพิจารณาดูตราประจำตระกูลของเอย์จิที่ถูกออกแบบให้ทางขวามือเป็นสุนัขจิ้งจอกกำลังกระโดด ส่วนหัวอยู่ทางด้านล่าง หางเป็นพวงชี้ขึ้นข้างบน และด้านซ้ายมือเป็นเปลวไฟที่กำลังพวยพุ่ง
             สมกับเป็นตระกูลที่ดูแลศาลเจ้าอินาริ ชินจิอดคิดไม่ได้ขณะที่มองด้วยสายตาทึ่ง ๆ
             ตราประจำตระกูลเป็นรูปคิตสึเนะซึ่งถือว่าเป็นผู้ส่งสาส์นของอินาริ เทพเจ้าแห่งการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีเปลวไฟเหมือนกับชื่อของหมู่บ้านอีกต่างหาก
             จิ้งจอกเพลิง
             สวยจริง ๆ
             ประตูหน้าเปิดออก เออิจิโร่พารถเคลื่อนเข้าไปข้างใน ชินจิเห็นสวนกว้างและบ้านไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่ที่มีหน้าจั่วรูปสามเหลี่ยม วัดจากพื้นที่และขนาดของบ้านแล้ว ชายหนุ่มอยากจะเรียกว่าคฤหาสน์เสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยคิดเลยว่าบ้านของรุ่นพี่ของเขาจะกว้างขวางขนาดนี้
             “ไม่ต้องยกกระเป๋าลงนะชินจิคุง เดี๋ยวให้แม่บ้านจัดการให้” เออิจิโร่รีบบอกทันทีที่ลงจากรถ ชินจิลังเลเมื่อเห็นแม่บ้านหญิงวัยกลางคนในชุดยูกาตะสวมทับด้วยชุดกันเปื้อนสีขาวแบบเต็มตัวเดินเข้ามาใกล้ กระเป๋าเดินทางของเขามีทั้งใบใหญ่และใบเล็ก ให้ผู้หญิงยกคนเดียวไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดี แต่เมื่อเห็นเอย์จิพยักหน้าให้อีกคน ชินจิจึงจำต้องเชื่อฟังและเดินตามสองพี่น้องฝาแฝดไปตามทางเดินสู่ตัวบ้าน
             บ้านของทั้งสองคนเป็นแบบญี่ปุ่น พื้นทางเดินเชื่อมระหว่างห้องเป็นไม้ ประตูห้องเป็นประตูบานเลื่อน ด้านล่างวาดเป็นลวดลายต่าง ๆ ทั้งรูปทิวทัศน์และสัตว์ ประตูบางบานทำเป็นช่องกรุด้วยกระดาษสีขาว เอย์จิชี้ไปที่ประตูห้องแรกทางด้านขวา บอกว่า
             “นี่ห้องของนาย”
             “ส่วนห้องที่สามเป็นห้องของฉันเอง เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” เออิจิโร่รีบบอก
             “ไปทักทายท่านพ่อก่อน ท่านอยู่ที่ห้องพักผ่อน” เอย์จิทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของพี่ชาย มือเลื่อนประตูสีเหลืองแกมขาวทางด้านซ้ายเปิดออก แล้วดันให้ชินจิเดินเข้าไปข้างใน ทิ้งให้เออิจิโร่เดินรั้งท้ายตามมาเป็นคนหลังสุด
             หลังประตูบานเลื่อนคือห้องรับแขกที่ตกแต่งแบบกึ่งสมัยใหม่ โซฟาตัวเตี้ยและโต๊ะกระจกวางอยู่มุมหนึ่งพร้อมกับเครื่องเสียงขนาดย่อมหนึ่งชุด ชิดผนังด้านตรงกันข้ามเป็นเคาน์เตอร์วางกรอบรูปและของประดับบ้านชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำพวกแก้วกับชามเซรามิก ติดกันเป็นตู้ลิ้นชักสีน้ำตาลอมแดงสูงเหนือเคาน์เตอร์ขึ้นมาพอสมควร หลังตู้ตั้งจานเขียนลวดลายเป็นทิวทัศน์และมีแจกันทรงสูงปักกิ่งไม้ประดิษฐ์ที่มีดอกสีชมพูเป็นกระจุกเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่ว หน้าเคาน์เตอร์วางโต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนพร้อมเก้าอี้จำนวนหกตัว หลังห้องมีประตูอีกหนึ่งบาน ชินจิเดินตามเจ้าของบ้านคนน้องเข้าไปข้างในประตูบานนั้น
             ห้องที่ชายหนุ่มเดินตามชินจิเข้าไปมีขนาดเล็กกว่าห้องแรก ตกแต่งแบบญี่ปุ่น พื้นปูด้วยเสื่อตาตามิ ต้องถอดสลิปเปอร์ก่อนจะเดินเข้าไป กลางห้องตั้งโต๊ะตัวเตี้ยและเบาะรองนั่ง ข้างในห้องมีคนอยู่ก่อนแล้วสามคน แต่ไปนั่งรวมกันอยู่ที่ระเบียงไม้หลังประตูเลื่อนกระดาษซึ่งสามารถนั่งชมสวนสวยของบ้านได้ สองในสามเป็นผู้ชาย กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับกระดานโชงิหรือเกมหมากรุก อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง สวมยูกาตะสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงิน ผมเกล้าขึ้นสูง กำลังรินน้ำชาเติมใส่ถ้วยให้ชายทั้งสอง เมื่อประตูเปิด ทั้งสามคนก็หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ หันไปมองพร้อมกัน
             “กลับมาแล้วครับ” เอย์จิกับเออิจิโร่พูดประสานเสียงกัน น้ำเสียงแทบไม่แตกต่างกันเลย ฝาแฝดนั่งคุกเข่าราบอยู่บนเบาะรองนั่งอย่างสำรวมทำให้ชินจิต้องนั่งตามด้วยความระมัดระวังและออกจะประหม่าไม่น้อยเนื่องจากตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมดในห้อง
             “นี่ชินจิครับ รุ่นน้องของเอย์จิที่จะมาช่วยงานที่นี่” เออิจิโร่แนะนำ ชินจิก้มศีรษะลงต่ำทันทีเป็นการทักทายและแสดงความเคารพ แล้วแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
             หนึ่งในสองคนที่กำลังเล่นโชงิเป็นผู้ชายที่เข้าวัยชราแล้ว อายุเห็นจะไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบปี ใส่ชุดยูกาตะสีเทาอ่อนคาดโอบิลายทางสีเข้มและสวมเสื้อคลุมฮาโอริสีดำทับด้านนอกเพื่อกันหนาว เขาได้รับการแนะนำว่าชื่อโอคินะซึ่งชายชราก็ยิ้มให้ด้วยความใจดี บอกว่า
             “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะชินจิคุง”
             ต่างจากอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดยูกาตะสีเขียวเข้มคาดโอบิลายทางแนวตั้งสีเทาอ่อน ชั้นนอกสวมฮาโอริสีดำเช่นกัน ผู้ชายคนนี้ไม่ยิ้ม เพียงแต่มองด้วยสายตาเข้มคม ใบหน้าคร้ามเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ริมฝีปากบาง มีไฝเล็ก ๆ ใต้ตาซ้าย เค้าหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายสองแฝด ชินจิรู้ทันทีว่านี่คือบิดาของเอย์จิกับเออิจิโร่ เจ้าบ้านคนปัจจุบัน มีชื่อว่ามาซาฮารุ
             ชินจิรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาพินิจพิจารณา แล้วก็ค่อยโล่งใจจนแทบจะเป่าลมพรูออกมาจากปากเมื่อมาซาฮารุพยักหน้ารับคำทักทายและหันไปจ้องตัวหมากบนกระดานต่อ
             คนสุดท้ายที่ได้รับการแนะนำคือหญิงสาวคนเดียวในห้อง
             “นี่รุกะ คู่หมั้นของฉันเอง” เออิจิโร่แนะนำด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ดึงความสนใจของชินจิได้ชะงัด คู่หมั้นของเออิจิโร่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งที่ชายหนุ่มเคยเห็น แม้หน้าตาจะดูเย็นชา ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย คอยาวระหง ผมสีดำรวบขึ้นสูง ชินจิมองสูงขึ้นไปอีกนิดก่อนจะเผลอหลุดปากอุทานออกมา
             “เอ๊ะ!”
             เขาเห็นผีเสื้อตัวเล็ก ๆ สีน้ำเงินกระพือปีกบินอยู่เหนือปิ่นปักผมของรุกะ
             “เป็นอะไรชินจิ” เอย์จิถามด้วยความห่วงใย
             ชินจิอึกอัก เขามองไม่เห็นเหมือนอย่างเมื่อสักครู่นี้แล้ว ปิ่นปักผมของรุกะเป็นรูปผีเสื้อสีน้ำเงิน มันเกาะนิ่งอยู่บนด้ามปิ่น ไม่ขยับเขยื้อนแม้สักนิด ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
             “เห็นอะไรเหรอชินจิคุง” เออิจิโร่ถามขึ้นมาบ้าง คำถามนี้ทำให้มาซาฮารุละสายตาจากกระดานโชงิมามองชินจิด้วยอีกคน ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้ไม่มีท่าทางใส่ใจรุ่นน้องของลูกชายเลยแม้แต่นิดเดียว
             “ไม่...ไม่มีอะไรครับ” ชินจิปฏิเสธ “ผมคงตาฝาดไปเอง”
             “เห็นอะไรก็บอกมาเถอะน่า ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” เออิจิโร่กระตุ้นต่อ
             ชินจิรู้สึกกระอักกระอ่วน สายตาสงสัยของคนทั้งห้องกำลังกดดันเขา สุดท้ายชายหนุ่มก็อ้อมแอ้มตอบว่า
             “ผม...ผมคิดว่าผมเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินบินอยู่เหนือศีรษะของรุกะซังครับ แต่...แต่มองอีกทีมันเป็นปิ่นปักผมรูปผีเสื้อ ผมขอโทษครับที่เผลอตกใจอุทานเสียงดัง ไม่ได้ดูให้ดี ๆ ก่อน” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองใครเพราะอายความเหลวไหลของตัวเอง
              รุกะจ้องชินจิเขม็ง มาซาฮารุสบตากับโอคินะ สายตาของทั้งคู่แสดงความประหลาดใจแกมสนใจ ขณะที่เออิจิโร่ยิ้มตาพราวทีเดียว ท่าทางของเขารื่นรมย์เหมือนเจอเรื่องสนุกสนาน ต่างกับแฝดน้องที่มองรุ่นน้องของตัวเองด้วยสายตาวิตกกังวล
              “ผีเสื้อสีน้ำเงินงั้นหรือ” บิดาของเออิจิโร่และเอย์จิทวนคำ ยิ่งทำให้ชินจิก้มศีรษะต่ำลงอีก
              “ผมขอโทษที่พูดจาเหลวไหลครับ”
              “ไม่ต้องขอโทษหรอก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เออิจิโร่พูด ก่อนเสนอตัวอย่างกระตือรือร้นออกนอกหน้าว่า
              “แนะนำตัวเสร็จแล้ว ฉันพาเธอไปที่ห้องดีกว่า จะได้พักผ่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปที่ศาลเจ้ากัน”
              “ให้เอย์จิเป็นคนพาไป” มาซาฮารุสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “แกไม่ได้มีหน้าที่พาคนมาฝึกงานทัวร์สถานที่นะ เออิจิโร่”
               ชินจิออกจะตกใจน้ำเสียงและคำพูดของเจ้าบ้านอยู่ไม่น้อย มันฟังออกจะเย็นชาและติดจะเหยียดนิด ๆ ชายหนุ่มมองรุ่นพี่ของตัวเอง เห็นสีหน้าของเอย์จิเคร่งขึ้นเช่นกัน รุ่นพี่ของเขาโค้งคำนับรับคำสั่งและลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ทำให้ชินจิรีบลุกตาม ไม่กล้าส่งเสียงหรือพูดอะไรทั้งนั้น
               หลังจากเอย์จิพารุ่นน้องของตัวเองออกไปแล้วและเลื่อนประตูปิดตามหลัง รุกะเอ่ยถามทันที
               “ผู้ชายคนนั้นเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินได้ยังไง”
               เออิจิโร่ยักไหล่เป็นคำตอบ
               “ท่าทางก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ เป็นคนธรรมดา” ผู้เฒ่าโอคินะเปรย
               “ที่ไม่ธรรมดาครับโอคินะซัง” เออิจิโร่ต่อประโยคอย่างรวดเร็ว “ชินจิคุงเห็นเนเน่จังของผมด้วย แต่เขานึกว่าผมใช้ผ้าพันคอขนพังพอน” 
               พูดแล้วเขาก็หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมา คูดะกีซึเนะเจ้าของชื่อน่ารักเกินตัวโผล่ออกมาจากกระบอกและพันตัวเองกับคอของเจ้าของให้ดูเหมือนต้องการจะสาธิตให้เห็นภาพ
               “แปลก” มาซาฮารุพึมพำ
               “มันผิดปกตินะคะท่านพ่อ เราไม่น่าจะให้เขาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวจะเกิดปัญหา” รุกะพูด ในฐานะคู่หมั้นของลูกชาย หญิงสาวได้รับอนุญาตให้เรียกแบบนี้ได้ในบ้านหรือเวลาที่เป็นส่วนตัว แต่หากอยู่ที่ศาลเจ้าหรือมีคนอื่นอยู่ด้วย หล่อนจะเรียกชื่อหรือตำแหน่งแทนด้วยความสุภาพและยกย่อง
               “แค่มองเห็นนี่นะ ไม่เห็นผิดปกติสักหน่อย คนบางคนก็มีสัมผัสที่หกไม่ใช่เหรอ” เออิจิโร่ค้าน
               “ฉันกลัวว่าเขาจะกลัวหรือสติแตก ถ้าต่อไปเกิดเห็นอะไรมากกว่านี้” รุกะเน้นเสียงด้วยความจงใจ แต่คู่หมั้นของหล่อนก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
               “ชินจิคุงดูไม่เหมือนคนขี้ขลาดสักหน่อย แล้วเขาก็ท่าทางไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาไม่เป็นอย่างที่เธอกังวลเกินเหตุหรอกน่ะ รุกะ”
               หญิงสาวในชุดยูกาตะสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงินทำหน้าไม่ค่อยพอใจที่โดนคู่หมั้นหนุ่มเหน็บเอา มาซาฮารุต้องตัดบทว่า
               “ช่างเถอะ ลองดูไปสักพักก็แล้วกัน”
               เมื่อเจ้าบ้านคนปัจจุบันตัดสินใจแบบนี้และหันไปเดินหมากต่อเป็นการยุติการสนทนา คู่หมั้นที่กำลังถกเถียงกันจึงจำต้องหยุด รุกะเก็บความไม่พอใจที่มีต่อเออิจิโร่เอาไว้ในใจและส่วนหนึ่งของความไม่พอใจครั้งนี้ หล่อนโยนไปให้ชินจิด้วยอีกคนหนึ่ง

                คนที่เป็นเป้าถูกเขม่นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ชินจิเดินตัวลีบตามรุ่นพี่ของตัวเองออกมา เมื่ออยู่กันตามลำพัง ชายหนุ่มก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าเคร่งเครียดของเอย์จิจึงผ่อนคลายลง
                “เกร็งมากเลยเหรอ” เขาถามรุ่นน้องยิ้ม ๆ
                “เกร็งด้วย กลัวด้วยครับ” ชินจิยอมรับแต่โดยดี ยิ้มแหย ๆ “ท่านพ่อของเอย์จิซังน่ากลัว ดูท่านเป็นคนดุและน่าเกรงขามมากเลยนะครับ”
                “เจ้าระเบียบ จริงจัง เย็นชา” เอย์จิต่อให้อีกนิด คนฟังยิ่งยิ้มแหยลงอีก
                “เอาน่ะ อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน” เอย์จิปลอบ แต่ไม่ได้ทำให้ชินจิรู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิดเดียว
                เอย์จิเดินออกมาจากห้องรับแขก แต่ไม่ได้พาแขกของเขาไปที่ห้องพักอย่างที่ได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มพารุ่นน้องเดินไปอีกทางหนึ่งและเปิดประตูเลื่อนกระดาษเข้าไปในห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง ภายในห้องปิดทึบ ไม่มีหน้าต่างและไม่มีอะไรเลยนอกจากตู้บุตสึดันทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม หน้าต่างตู้ทั้งสองด้านเปิดกว้าง ข้างในมีกรอบรูปตั้งอยู่ตรงกลาง สองข้างตั้งเทียนไขและแจกันปักดอกคาร์เนชั่นสีชมพู ด้านบนเป็นโคมไฟเล็ก ๆ ส่องแสงสว่างนวล
                “แม่ของฉันเอง”
                หญิงสาววัยกลางคนในรูปยิ้มอย่างอ่อนโยน แม่ของเอย์จิเป็นคนสวยและท่าทางอ่อนหวานเรียบร้อย ดูเป็นคุณแม่ที่ใจดี เค้าหน้าไม่คล้ายกับลูกชาย แต่ชินจิเห็นดวงตาของเอย์จิอยู่ในรูปนั้น เอย์จิได้ตาของแม่ ดวงตาที่อ่อนโยนแต่แฝงแววเศร้าเอาไว้
                เอย์จิเคาะขันทองเหลืองใบเล็กให้ส่งเสียงกังวาน ชินจิยกมือขึ้นพนมแสดงความเคารพผู้ล่วงลับ ทั้งสองคนนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เอย์จิจะเริ่มเล่าให้ฟังว่า
                “ฉันถูกเรียกตัวกลับจากเยอรมันเพราะท่านแม่เสียชีวิต เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน บ้านวุ่นวายมาก ฉันต้องกลับมาช่วย”
                “ผมเสียใจด้วยนะครับ”
                ชินจิพูด ยิ่งเห็นดวงตาเศร้าหมองของรุ่นพี่ ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกสงสาร และเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเอื้อมมือไปกุมมือของเอย์จิเอาไว้ เขาไม่อยากเห็นความเศร้าโศกของใครเลย
                 “แม่ฉันสวยมากใช่ไหม ใจดีด้วยนะ ทำอาหารอร่อยที่สุดเลย ฉันอยากให้นายเจอท่านตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ นายต้องชอบแม่ฉันแน่ ๆ”
                 “ผมก็อยากเจอท่านครับ”
                 เอย์จิยิ้มกับคำพูดนั้น มือของเขาที่อยู่ใต้มือของรุ่นน้องเลื่อนขึ้นมาเป็นฝ่ายกุมมือของชินจิแทน ชายหนุ่มกำมือข้างนั้นเอาไว้แน่นเหมือนต้องการจะเรียกกำลังใจให้กลับคืนมา ก่อนจะคลายออก แล้วบอกว่า
                 “ฉันจะพานายไปที่ห้อง จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะไปที่ศาลเจ้ากัน”
                 ชินจิลุกตามเจ้าของบ้านออกมา เขานึกดีใจที่เอย์จิไม่มีท่าทางเศร้าหมองแบบเมื่อสักครู่แล้ว ชายหนุ่มกลายเป็นคนเดิม เป็นรุ่นพี่ที่เงียบขรึมและมีดวงตาที่อ่อนโยนอย่างที่เขารู้จัก
                 “นายพักห้องนี้” เอย์จิเปิดประตูบานเลื่อนไม้กรุกระดาษให้รุ่นน้องเดินเข้าไปก่อน ตัวเองค่อยเดินตามเข้ามาและปิดประตูตามหลัง ชินจิมองสำรวจห้องด้วยความสนใจ เขาได้พักในห้องแบบญี่ปุ่น พื้นปูเสื่อตาตามิ ขนาดของห้องไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่คับแคบ ตรงกลางห้องวางโต๊ะไม้ตัวเตี้ย บนโต๊ะมีกระติกน้ำร้อนกับกล่องสังกะสีใส่ถ้วยและกาน้ำชาเล็ก ๆ พร้อมกระบอกใส่ถุงชากับขนมขบเคี้ยวในซองพลาสติก และยังมีชุดยูกาตะสีน้ำเงินพับอย่างดีวางอยู่ข้าง ๆ มุมห้องด้านหนึ่งตั้งเครื่องทำความร้อนและโคมไฟกระดาษทรงสูงสีขาวนวล มีตู้เก็บของซ่อนอยู่หลังประตูบานเลื่อน เมื่อเปิดออกดูก็เห็นกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบวางนอนอยู่แล้วอย่างเรียบร้อย
                 “พออยู่ได้รึเปล่า” เอย์จิถาม
                 “ได้สิครับ ห้องนี้กว้างกว่าอพาร์ตเม้นท์ที่ผมอยู่ตอนนี้อีกนะ” ชินจิหันมาบอกด้วยน้ำเสียงติดตลก เขาปิดประตูตู้เก็บของ แล้วเดินไปเปิดประตูกระจกที่นำออกไปสู่ระเบียงไม้และสวนสวย
                 “ห้องของผมมองไม่เห็นวิวดี ๆ อย่างนี้ด้วย บ้านคุณสวยมากเลยครับ”
                 ชินจิเอ่ยชมอย่างจริงใจ สวนที่มองเห็นจากระเบียงห้องเป็นสวนแบบสึคิยามะเหมือนกับสวนอีกด้านหนึ่งที่เห็นตอนขับรถเข้ามา สวนด้านนี้มีขนาดเล็กกว่า แต่จัดได้ลงตัวด้วยต้นสน เนินหญ้า บ่อน้ำ สะพานเล็ก ๆ ข้ามน้ำเชื่อมกับเนินหินที่มีตะเกียงหินแบบคิริชิตันโตโรตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นรูปจำลองของธรรมชาติตามแนวคิดของสวนแบบนี้
                  “ขอบใจสำหรับคำชม” เจ้าของบ้านยิ้มมุมปาก ชี้ไปที่ชุดยูกาตะบนโต๊ะ บอกว่า
                  “เดี๋ยวนายเปลี่ยนชุด แล้วก็พักสักหน่อยก็แล้วกัน ยูอิซังเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว ยูกาตะ น้ำชา ขนม ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกได้ อ้อ ยูอิซังคือแม่บ้านของเรา แต่มาแบบไปกลับ ไม่ได้พักอยู่กับเราที่นี่” เขาอธิบายเพิ่มเติม ก่อนจะตบท้ายว่า
                  “ตามสบายนะ อีกสักสิบห้านาทีเจอกัน”
                  เอย์จิออกไปแล้ว ชินจิได้อยู่ตามลำพังเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มมองไปรอบตัว นึกดีใจที่ตัดสินใจมาทำงานที่นี่ ห้องสวย สวนสวย หมู่บ้านก็สวยมาก แต่ตามประสาคนคิดมาก เขายังอดกังวลไม่ได้เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของเจ้าบ้านคนปัจจุบัน แถมยังมีสายตาเย็นชาของคู่หมั้นสาวแสนสวยของเออิจิโร่กับเรื่องแปลก ๆ อย่างเรื่องผีเสื้อสีน้ำเงินอีกล่ะ
                  เขาจะทำงานที่นี่ได้อย่างราบรื่นหรือเปล่านะ
                  ชินจิหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กะว่าจะส่งข้อความไปหาครอบครัว แต่บนหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยสักขีด
อย่างนี้ถ้ามีเรื่องด่วนจะทำอย่างไรกันล่ะ ชายหนุ่มคิด นึกอยากจะเดินออกไปหาโทรศัพท์ข้างนอก แต่คิดอีกที ไม่ดีกว่า เอาไว้ค่อยติดต่อไปวันหลังก็ได้ ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า แล้วเปลี่ยนจากชุดที่ใส่อยู่เป็นยูกาตะจากบนโต๊ะ
                  สิบห้านาทีพอดีไม่ขาดไม่เกิน ก็มีเสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้นหน้าห้อง
ชินจิเปิดประตูรับ รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เจอทั้งเอย์จิและเออิจิโร่พร้อมกันทั้งสองคน ฝาแฝดเปลี่ยนชุดเป็นยูกาตะเหมือนกับเขา แต่เลือกใส่สีดำเหมือนกันทั้งคู่ ทำให้ดูเหมือนกับมีเอย์จิสองคน แต่ชินจิไม่มีปัญหาในการแยกว่าใครเป็นใคร เพราะถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกันมากแค่ไหน แต่เอย์จิกับเออิจิโร่ก็ไม่เหมือนกันเลย
                  “ว้าว ชินจิคุงนี่เหมาะกับยูกาตะมากกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”
                  คนที่ยิ้มกว้างและชมเปาะทันทีที่เห็นหน้าเขาคือเออิจิโร่ ส่วนคนที่เพียงมองมานิ่ง ๆ แต่ในแววตามีความชื่นชมแฝงอยู่ด้วยก็คือเอย์จิ
                  “ขอบคุณที่ชมครับ” ชินจิรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ได้รับคำชมแบบซึ่งหน้า
                  “แต่มันน่าจะน่ารักได้มากกว่านี้นะเนี่ย” ฝาแฝดคนพี่ทำเสียงครุ่นคิด แล้วก็สาวเท้าเข้าหาชายหนุ่มรุ่นน้อง ดึงโอบิและสายโคชิฮิโมะที่ชินจิผูกคาดเอวไว้ด้วยปมธรรมดาออก
                  “จะทำอะไรครับเนี่ย” ชินจิอุทานด้วยความตกใจ จับสายโคชิฮิโมะกับโอบิและคอเสื้อยูกาตะของตัวเองที่กำลังจะเผยออกโดยอัตโนมัติ เอย์จิก็ถลันเข้ามาในเวลาเดียวกัน แต่ถูกพี่ชายผลักออกห่างพร้อมสำทับว่า
                  “นายอยู่เฉย ๆ เถอะ”
                  คำสั่งของเออิจิโร่มีพลังอย่างบอกไม่ถูก พลอยทำให้ชินจิหยุดชะงักไปเหมือนกับเอย์จิด้วย
                  เออิจิโร่จัดยูกาตะและผูกโอบิให้ใหม่โดยคาดต่ำลงมามากกว่าปกติแล้วผูกชายเป็นโบเบี่ยงไปไว้ทางด้านข้างแทนที่จะเป็นข้างหลัง ชายหนุ่มถอยหลังก้าวหนึ่ง มองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ
                  “แบบนี้น่ารักกว่าเดิมตั้งเยอะ”
                  “มัน...มันไม่ดูแปลก ๆ เหรอครับ” ชินจิก้มมองตัวเอง รู้สึกไม่มั่นใจเลย
                  “แปลกที่ไหน ออกจะดูดี ไม่เชื่อถามเอย์จิดูก็ได้”
                  ฝาแฝดคนน้องอยากจะชกหน้าพี่ชายตัวเองสักเปรี้ยงจริง ๆ ที่ทำอะไรห่าม ๆ แบบนี้ แต่เขาก็จำใจต้องยอมรับว่าชินจิที่ตัวค่อนข้างผอมเพรียว เมื่อใส่ยูกาตะสีน้ำเงินคาดโอบิสีเงินลายตารางสีฟ้าจาง ๆ ผูกชายเป็นโบด้านข้างแบบนี้แล้วก็ดูดีอย่างที่ว่าจริง ๆ
                  ชินจิค่อยใจชื้นเมื่อเอย์จิพยักหน้ารับรองมาอีกคนหนึ่ง
                  “งั้นก็ออกไปที่ศาลเจ้ากันได้แล้ว” เออิจิโร่พูด ทำท่าเหมือนจะไปด้วยอีกคน ถ้าไม่มีเสียงเย็น ๆ ขัดขึ้นก่อนว่า
                  “ถึงเวลาฝึกแล้วนะเออิจิโร่ ท่านพ่อกับโอคินะซังให้ฉันมาตามเธอ รีบไปเดี๋ยวนี้”
                  เจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นที่ประตู แต่ไม่ได้ก้าวเข้ามาข้างใน รุกะยังใส่ยูกาตะตัวเดิม ปักปิ่นปักผมบนศีรษะ ชินจิมองผีเสื้อตัวเล็กที่ติดอยู่ที่ด้ามปิ่นโดยอัตโนมัติ ผีเสื้อสีน้ำเงินเกาะนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าก่อนหน้านี้ตัวเองคงจะตาฝาดไปเองเป็นแน่
                  เออิจิโร่ฟังแล้วบ่นพึม
                  “รับทราบขอรับครับผม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ น่าเบื่อชะมัดเลยน้าฝึกเข้มมันทุกวันแบบนี้”
                  “ไปเถอะ ชักช้าโอ้เอ้ เดี๋ยวก็โดนระเบิดลงเท่านั้น” เอย์จิเตือนมาอีกคน ผู้เป็นพี่ชายจึงยอมขยับตัว แต่ก่อนที่จะออกจากห้องไปก็ยังมิวายทิ้งคำอวยพรเชิงล้อเลียนเอาไว้ว่า
                  “ไปเดตกันให้สนุกนะทั้งสองคน ก้างขวางคอติดธุระซะแล้ว ขออนุญาตไปก่อนละนะคร้าบ”
                  ชินจิทำหน้าไม่ถูก เหลือบมองรุ่นพี่ก็เห็นเอย์จิทำหน้าเหมือนกับกำลังอดทนอยู่เช่นกัน ทำให้เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้รุ่นพี่ต้องลำบากใจ
                  “ขอโทษครับเอย์จิซัง”
                  “ขอโทษทำไม ฉันสิต้องขอโทษนาย อย่าถือสาพี่ชายฉันเลยนะ หมอนั่นชอบพูดอะไรเหลวไหลแบบนี้เรื่อยแหละ ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องสนใจ” เอย์จิพูด แล้วตัดบทเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเขากับรุ่นน้องกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้
                  “ไปกันเถอะ ฉันจะพานายไปที่ศาลเจ้า”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 5

        จากบ้านมีทางเดินทะลุไปถึงสวนซากุระของศาลเจ้า แต่เอย์จิเลือกพารุ่นน้องของเขาเดินอ้อมไปทางด้านหน้า ผ่านประตูโทริอิสีแดงสดที่มีตราจิ้งจอกเพลิงสีทองของตระกูลผู้ดูแลศาลเจ้าติดอยู่ด้านบน ชินจิเคยเดินผ่านประตูโทริอิที่เป็นประตูกั้นเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกเหมือนกับครั้งนี้ นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างผ่านเข้าไป เขารู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของสถานที่แห่งนี้
        หลังโทริอิเป็นบันไดหิน ขั้นบนสุดเชื่อมต่อกับซันโด ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ไฮเด็ง สถานที่สำหรับขอพรและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาลเจ้า เอย์จิพาชินจิไปที่โจซุยะซึ่งเป็นอ่างหินใส่น้ำสำหรับให้ผู้ที่มาขอพรล้างมือและบ้วนปาก เพื่อเป็นการชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนการเข้าไปอธิษฐานขอพรต่อพระเจ้า
        เอย์จิหยิบกระบวยที่พาดอยู่บนขอบอ่างหินรูปสี่เหลี่ยมยื่นส่งให้ ชินจิใช้กระบวยตักน้ำที่ไหลออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ในปากของรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกสีดำมาล้างมือและบ้วนปาก จากนั้นเดินตามรุ่นพี่ของเขาผ่านตะเกียงหินที่ตั้งเรียงกันเป็นแถวสองข้างทางเดินไปสู่ประตูโทริอิที่สอง
        “เราเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้าอินาริ เราจึงใช้รูปปั้นสุนัขจิ้งจอกตั้งอยู่ที่ตำแหน่งของโคมะอินุเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์และขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากบริเวณศาลเจ้า”
        ชินจิมองรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกสีดำสองตัวที่อยู่หน้าประตูโทริอิที่สองด้วยความสนใจ ทั้งสองตัวผูกโยดาเระคาเคะซึ่งเป็นผ้ายันต์สีแดงไว้ที่คอ สุนัขจิ้งจอกตัวซ้ายคาบกุญแจหินไว้ในปาก ตัวขวาคาบรวงข้าวสีทอง หน้าตาท่าทางขึงขังสมกับหน้าที่ที่ได้รับ
        “ที่นี่มีพระฝึกหัดสองคนคอยช่วยงาน ตำแหน่งกงเนงิ นั่นคิโยชิ ส่วนอีกคนคือนาโอกิ” เอย์จิชี้ไปที่เด็กหนุ่มสองคนในสวนที่กำลังช่วยกันกวาดใบไม้ คิโยชิถือไม้กวาดด้ามยาว นาโอกิก้มเก็บใบไม้ใส่ถัง ทั้งสองคนใส่ชุดเหมือนกัน กิโมโนท่อนบนสีขาวและกางเกงฮากามะสีม่วงอมแดงเข้ม
        “ท่านเอย์จิ” ทั้งสองคนก้มศีรษะคำนับ เอย์จิจึงถือโอกาสแนะนำชินจิให้รู้จัก
         “โฮโจล่ะ ยังอยู่รึเปล่า” เอย์จิถามต่อ
              “ท่านโฮโจไปที่โรงฝึกแล้วครับ” คิโยชิเป็นคนตอบ
              เอย์จิพยักหน้ารับรู้และพาชินจิเดินต่อ ทั้งสองคนเดินผ่านประตูโทริอิที่สอง
              “โฮโจตำแหน่งเนงิ เขาเป็นผู้ช่วยเออิจิโร่อีกทีหนึ่ง อายุเท่า ๆ กับนาย ไว้ฉันค่อยแนะนำอีกที” เอย์จิอธิบาย “ส่วนเออิจิโร่ตำแหน่งกงงูจิ เป็นรองเจ้าอาวาส เขาเป็นคันนุชิที่ประกอบพิธีกรรมทั้งหมดของศาลเจ้า”
              “ผมนึกว่าคันนุชิคือท่านมาซาฮารุเสียอีก ท่านเป็นงูจิ เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ”
              “ท่านพ่อวางมือแล้ว ให้เออิจิโร่รับหน้าที่แทนเพราะเขาจะต้องดูแลศาลเจ้าและเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป”
              “แล้วโรงฝึกนี่คือยังไงเหรอครับ เอย์จิซังไม่ต้องฝึกกับคนอื่นด้วยเหรอ”
              คำถามของชินจิเรียกรอยยิ้มจากเอย์จิได้ แต่คนถามเองกลับคิดว่าเขาตั้งคำถามผิดมากกว่าเพราะรอยยิ้มของเอย์จิเหมือนจะหยัน ๆ พิกล
              “ฉันไม่ใช่พระสักหน่อย ไม่ต้องฝึกกับเขาด้วยหรอก” ชายหนุ่มตอบ “โรงฝึกอยู่ด้านหลัง ฝึกหลายอย่าง ฝึกร่างกาย ฝึกสมาธิ สวดมนต์ เรียนพิธีการต่าง ๆ โอคินะซังเป็นคนสอน รายนั้นได้ระดับโจไค เป็นระดับสูงสุดแล้วของพระ อ้อ มีฝึกยิงธนูด้วย อันนั้นเท่านั้นแหละที่ฉันจะไปฝึกด้วย”
              “เอย์จิซังเก่งจังครับ ยิงธนูเป็นด้วย” ชินจิพูดด้วยความชื่นชม รอยยิ้มหยัน ๆ ของคนฟังจึงค่อยคลายลงได้เล็กน้อย
              “คิวโดเป็นศิลปะการต่อสู้ มีทั้งฝึกเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม เป็นการฝึกสมาธิและจิตใจ และมีทั้งแบบที่ฝึกเพื่อการต่อสู้ คนอื่นเน้นฝึกแบบแรก ส่วนฉันฝึกแบบหลัง”
              “เอย์จิซังจะไปสู้กับใครครับ”
              ตอนนี้รอยยิ้มหยันของเอย์จิหายไปเลยเมื่อเห็นสีหน้างงจริงจังของคนตั้งคำถาม ชายหนุ่มหัวเราะก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า
              “เราอยู่ในภูเขานะ ฤดูล่าสัตว์ที่นี่เรานิยมใช้ธนู จะได้ไม่เอาเปรียบสัตว์จนเกินไป อีกอย่างหนึ่งกฎหมายการใช้ปืนและครอบครองปืนมันก็ค่อนข้างวุ่นวายซะด้วย ฉันเองก็ชอบยิงธนูมากกว่า”
              “แต่ผมไม่ชอบการล่าสัตว์เลย มันเท่ากับเรากำลังช่วงชิงชีวิตของคนอื่น”
              “มันมีฤดูของมัน เราไม่ได้ทำกันพร่ำเพรื่อหรือเพื่อความสนุกสนาน นอกฤดูก็อาจมีบ้างถ้าเจอจวนตัวและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องป้องกันตัว น่า ไม่ต้องทำหน้ายังงั้นหรอก ฉันก็ไม่ได้ชอบการฆ่าฟันเหมือนกัน” เอย์จิปลอบ และเขาอดไม่อยู่จริง ๆ หลังจากเห็นสีหน้าเดือดร้อนและไม่สบายใจของรุ่นน้องของเขา ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบศีรษะชินจิ น้ำเสียงที่ใช้อ่อนโยน
              “ไปที่ไฮเด็งเถอะ นายจะได้ขอพร ฉันมีอะไรจะให้นายด้วย”
              ทั้งสองคนเดินผ่านชามุโชซึ่งเป็นอาคารที่ทำการของศาลเจ้าตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ด้านตรงข้ามเป็นที่ขายเครื่องราง ด้านในมีมิโกะซึ่งเป็นสาวน้อยวัยมัธยมปลายสองคนดูแลอยู่ ด้านข้างเป็นกระดานไม้ไว้สำหรับแขวนป้ายเอมะ สวนหลังประตูโทริอิที่สองจนถึงไฮเด็งปลูกต้นซากุระ แต่ตอนนี้ต้นไม้ในสวนเหลือแค่กิ่งก้านโล้น ๆ แผ่ไปทั่วทิศทางบนลำต้นสีเข้ม บางต้นที่ใหญ่และมีอายุมากจะมีเชือกฟางชิเมนาวะกับกระดาษโกะเฮย์สีขาวที่พับคล้ายกับรูปสายฟ้าผูกล้อมอยู่เพื่อแสดงเขตแดนศักดิ์สิทธิ์อันชวนเคารพ
               ไฮเด็งของศาลเจ้าอินาริมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลังคาจั่วสามเหลี่ยมสีเทาอมน้ำเงินเข้ม เสาเป็นสีแดง ผนังสีขาว รอบตัวอาคารชั้นเดียวล้อมด้วยรั้วไม้และมีชานไม้เชื่อมต่อกับฮนเด็งซึ่งอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกอีกคู่หนึ่งทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ ไซเซ็นบาโกะหรือตู้รับบริจาคเงินตั้งอยู่ตรงกลาง เหนือขึ้นไปเป็นกระพรวนทองเหลืองผูกเชือกห้อยลงมาจากเพดานด้านบน
                ชินจิเดินตามรุ่นพี่ของเขาขึ้นบันไดหินไปหยุดยืนอยู่หน้าตู้ไม้ติดตราสีทอง ผ้าใบสีขาวห้อยลงมาเหมือนม่านบังไม่ให้เห็นด้านในไฮเด็งชัดเจนนัก ชายหนุ่มสั่นกระพรวน โยนเหรียญห้าเยนที่มีรูตรงกลางลงไปในกล่องไม้ โค้งคำนับสองครั้ง ตบมือดัง ๆ สองครั้ง แล้วโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็พนมมือ หลับตานิ่ง เอย์จิยืนรอเงียบ ๆ ให้ชายหนุ่มรุ่นน้องได้อธิษฐานขอพรตามใจปรารถนา
                เมื่อชินจิลืมตาขึ้นก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ดังอยู่ข้างตัว
                “นายรู้ไหมว่านอกจากที่นี่จะเป็นศาลเจ้าบูชาเทพเจ้าอินาริแล้ว ยังเป็นที่เก็บรักษาของสำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย” เอย์จิพยักหน้าไปทางอาคารเล็กด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดเนื่องจากเป็นที่เก็บรักษาโกชินไตหรือวัตถุซึ่งเชื่อว่าพระเจ้าหรือคะมิสถิตอยู่ภายในนั้น
                “ว่ากันว่าในฮนเด็งที่นี่เก็บรักษาลูกแก้ววิเศษเอาไว้”
                “ลูกแก้ววิเศษหรือครับ” ชินจิทวนคำด้วยความสนเท่ห์ เอย์จิพยักหน้ารับ
                “ใช่ ลูกแก้วคันจุ ลูกแก้ววิเศษที่เชื่อกันว่าสามารถควบคุมน้ำและหยุดคลื่นยักษ์ที่บ้าคลั่งไม่ให้สาดซัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินจนราบเป็นหน้ากลอง”
                ชินจิรู้จักชื่อนี้ ถึงแม้เขาจะเรียนวรรณคดีเยอรมัน คุ้นเคยกับเรื่องเล่าหรือเทพนิยายตะวันตก แต่เขาก็อ่านนิทานญี่ปุ่นเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เช่นกัน
                “มีคันจุก็ต้องมีมันจุ ลูกแก้ววิเศษที่บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์สิครับ”
                “รู้ดีนี่” เอย์จิออกปากชม เล่าต่อว่า “มนุษย์ได้รับลูกแก้วทั้งสองมาพร้อมกัน แต่ตอนนี้เหลือแค่ลูกเดียว เพราะมังกรเอาลูกแก้วมันจุกลับคืนไปแล้ว”
                “คันจุอยู่กับมนุษย์ มันจุอยู่กับมังกร” ชินจิทวน ชายหนุ่มฟังด้วยความสนุกเหมือนกับฟังนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง เขาพอรู้ว่าศาลเจ้ากว่าหนึ่งแสนแห่งทั่วญี่ปุ่นล้วนเก็บรักษาอะไรบางอย่างไว้ทั้งนั้น อะไรบางอย่างที่เชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตอยู่ ทั้งที่เป็นสิ่งของในธรรมชาติและสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างกระจกที่เป็นตัวแทนของกระจกยาตะหรือดาบที่เป็นตัวแทนของดาบคุซานางิ ดาบวิเศษที่สุซาโนะโอะได้มาจากในตัวของพญางูแปดหัว ยามาตะโนะโอโรจิ
                “ใช่ แต่ในฮนเด็งตอนนี้ไม่มีลูกแก้วคันจุอีกต่อไปแล้ว มีคนขโมยมันไป”
                “เอ๋ ลูกแก้วคันจุนี่เป็นของจริงหรือครับ”
                “จริงหรือไม่จริง ไม่มีใครยืนยัน แต่มีคนเชื่อว่าจริงจนต้องมาขโมยมันไป เป็นเหตุให้แม่ของฉันถูกฆ่าตาย”
                ชินจิฟังแล้วตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เสียงของเอย์จิเล่าต่อไป
                “ท่านแม่เป็นคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด โจรขโมยลูกแก้วจึงฆ่าแม่ของฉันแล้วหนีไป กว่าทุกคนจะรู้ตัว ก็ไม่มีใครช่วยได้แล้ว ท่านแม่นอนจมกองเลือดอยู่หน้าแท่นบูชา และลูกแก้วคันจุก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
                “พอเถอะครับ เอย์จิซัง ไม่ต้องเล่าแล้ว” ชินจิจับมือรุ่นพี่ของเขารั้งไว้ด้วยความลืมตัว สีหน้าของเขาเดือดร้อนเจ็บปวดราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
                “ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องคิดถึงเรื่องเลวร้ายแบบนี้”
                “นายนี่โทษตัวเองตลอดเลยนะ ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย ฉันอยากเล่าให้นายฟังเองต่างหาก”
                “แต่เพราะเล่าให้ผมฟัง คุณก็ต้องนึกถึงเรื่องนั้นนี่ครับ”
                เอย์จิตบมือรุ่นน้องเบา ๆ เป็นการปลอบและยืนยันว่าเขาไม่เป็นไรจริง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องในที่สุดเพื่อไม่ให้คนช่างคิดมากต้องคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปอีก ชายหนุ่มชวนว่า
                “ไปตรงที่ขายเครื่องรางเถอะ ฉันจะให้นายเขียนเอมะ”
                ป้ายเอมะของศาลเจ้าอินาริทำเป็นรูปหน้าสุนัขจิ้งจอกและใบโมมิจิหรือใบเมเปิ้ลห้าแฉก เอย์จิให้รุ่นน้องของเขาเลือกตามต้องการ ขณะเดียวกันก็แนะนำมิโกะสาวน้อยสองคนให้รู้จัก มิโกะของศาลเจ้าสวมกิโมโนสีขาว ท่อนล่างเป็นฮิบะกามะหรือกระโปรงกางเกงบานสีแดงสด
                “อาเคมิกับโทโมโกะ กำลังเรียนอยู่ไฮสกูลทั้งคู่ มาทำงานพาร์ตไทม์ที่ศาลเจ้า ส่วนนี่รุ่นน้องของฉัน ชื่อชินจิ จะมาช่วยงานที่เรียวกังสามเดือน สนิทสนมกันไว้ล่ะ”
                มิโกะสาวน้อยทั้งสองก้มศีรษะทักทายอย่างสำรวม ชินจิก็เช่นกัน เขาพยายามจำชื่อคนทั้งหมดที่ได้รับการแนะนำให้รู้จัก ตั้งใจด้วยว่ากลับไปที่ห้องเมื่อไรจะจดใส่สมุดไว้เพื่อกันลืม
                “นายเลือกอันไหน” เอย์จิถาม
                ชินจิมองป้ายไม้สองแบบตรงหน้าอีกครั้งแล้วชี้ไปที่ลายใบไม้ห้าแฉก เอย์จิหยิบส่งให้ อาเคมิที่ยืนอยู่ใกล้ทั้งสองคนที่สุดหยิบปากกาเมจิกสีดำส่งให้พร้อมกัน หลังจากเขียนอย่างตั้งใจจนเสร็จ ชายหนุ่มเอาเอมะไปแขวนรวมไว้กับของคนอื่น ๆ ที่กระดานไม้ด้านข้าง ในใจนึกขอให้สิ่งที่เขาเขียนลงไปบนแผ่นไม้กลายเป็นความจริง
                เอย์จิเห็นรุ่นน้องเขียนเอมะเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาหา
                “โอมาโมริ ให้นายเก็บติดตัวไว้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่” เอย์จิชูถุงผ้าสีแดงใบเล็กให้ดู ด้านหน้าปักเป็นรูปลูกธนูสีทอง ด้านหลังเป็นตราจิ้งจอกเพลิง “ข้างในใส่ขนนกจากศรปัดรังควาน จะช่วยปกป้องนายจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ”
                “ขอบคุณมากครับ” ชินจิจะเอื้อมมือมารับ แต่เอย์จิกลับไม่ยอมส่งให้ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าไปชิดตัวรุ่นน้อง แล้วกลัดถุงเครื่องรางให้อย่างเบามือที่ด้านในของเสื้อยูกาตะ ชินจิยืนตัวแข็งทื่อ แถมยังรู้สึกด้วยว่าหัวใจกำลังเต้นแรงแบบแปลก ๆ
นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ เหลวไหลแท้ ๆ เอย์จิเป็นรุ่นพี่ เป็นพี่ชายที่ใจดีของเขาเท่านั้นเอง
                “จำไว้นะ เก็บติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ว่านายจะทำอะไร จะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
                เสียงของเอย์จิดึงสติของเขากลับมา ชินจิยกมือขึ้นแตะตรงที่เครื่องรางถูกติดไว้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานั้นจริงจังจนน่ากลัว เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่พูดประโยคถัดมา
                “นี่เป็นกฎข้อแรกของการทำงานที่นี่ สัญญาสิว่าจะไม่ถอดมันออก”
                “ครับ” ชินจิรับปาก รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่กลัวอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
                “ผมจะไม่ถอดออก”
                “และกฎข้อที่สอง นายต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน” เอย์จิมองเข้าไปในดวงตาที่หวั่นหวาดของรุ่นน้อง ย้ำหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนว่า
                “ทุกอย่าง

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               ขากลับจากศาลเจ้า เอย์จิพาชินจิเดินข้ามถนนไปยังเรียวกังของครอบครัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ป้ายไม้ด้านหน้าเขียนชื่อว่า ‘ฮิราตะ’ เรียวกังฮิราตะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้อง ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ชินจิมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจเพราะเขาจะต้องอยู่ทำงานที่นี่เป็นเวลาถึงสามเดือน ตอนนี้เรียวกังไม่มีแขกมาพักจึงมีแต่ความเงียบเชียบ
               “อีกวันสองวันถึงจะเปิดให้แขกมาพัก เราต้องหยุดไปพักหนึ่งเพราะเรื่องวุ่นวายอย่างที่นายรู้” เอย์จิเล่าขณะที่เดินนำรุ่นน้องมาตามทางเดินปูหิน สองข้างทางตั้งม้านั่งปูผ้าสีแดงและกางร่มกระดาษสีขาว
               “ที่นี่เป็นเรียวกังแห่งเดียวในหมู่บ้าน รับแขกได้ประมาณสิบคน แต่ปกตินักท่องเที่ยวนิยมมาแบบไปกลับมากกว่า เดินชมหมู่บ้าน แวะแช่ออนเซ็น ตอนเย็นก็กลับ ไม่ค่อยมีใครอยู่นานหรอก หมู่บ้านเล็กแค่นี้ เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว นายเองก็เถอะ อยู่สักอาทิตย์อาจจะเบื่อเหมือนกัน”
               “ไม่มีทางครับ ผมชอบเมืองเล็ก ๆ แล้วที่นี่ก็สวยมาก ผมไม่เบื่อง่าย ๆ หรอก” ชินจิพูดหนักแน่น
               เอย์จิเปิดประตูบานเลื่อนไม้ด้านหน้านำเข้าไปข้างใน ชินจิหยิบสลิปเปอร์สำหรับใส่ในบ้านจากตู้ข้างประตูมาใส่และเดินตามไป พื้นไม้ที่ล็อบบี้ของเรียวกังขัดขึ้นเงาวับ มุมหนึ่งตั้งโต๊ะไม้และเบาะรองนั่งเป็นมุมพักผ่อน มีแจกันดอกไม้แบบอิเคบานะตั้งประดับอยู่ข้าง ๆ
               “อิเคบานะทั้งหมด ท่านแม่เป็นคนจัด ทั้งที่นี่และที่บ้าน” เอย์จิบอก สายตาที่มองแจกันดอกไม้หม่นลงเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป
               “ตอนนี้รุกะทำแทน แต่จัดสไตล์เดียวกับที่ท่านแม่เคยจัด รุกะเป็นคู่หมั้นของเออิจิโร่ พอแต่งงานแล้วก็จะต้องเป็นโอะคะมิซังของที่นี่แทนท่านแม่ นอกจากรุกะก็มีพนักงานอีกสองคนคือโอซามุซังกับอิซึมิจัง สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน โอซามุซังเป็นพ่อครัว อิซึมิจังทำความสะอาด”
               “แล้วงานของผมล่ะครับ”
               “งานของนายหนักหน่อยนะ ช่วยอิซึมิจังทำความสะอาดเรียวกัง ขัดออนเซ็น ทำความสะอาดสวน ดูแลอำนวยความสะดวกให้แขกที่มาพัก แล้วถ้างานที่ศาลเจ้ายุ่งมาก นายก็จะต้องไปช่วยด้วย” เอย์จินับนิ้ว
               “คิดว่าไหวไหม”
               เอย์จิถามยิ้ม ๆ เมื่อเห็นหน้าคนฟังชักเริ่มกังวล แต่ชินจิก็ฮึด ยืดอกรับรองอย่างแข็งขัน
               “ผมทำได้ครับ”
               “ต้องอย่างนี้สิ”
               ชินจิยิ้มรับคำชม แต่แล้วก็กลายเป็นยิ้มค้าง ตัวแข็งทื่อ เมื่อมือใหญ่ของเอย์จิเอื้อมมาเขย่าศีรษะของเขาเล่น
               เมื่อก่อนไม่เคยคิดอะไรเมื่อรุ่นพี่แสดงความเอ็นดูและใจดีกับเขาแบบนี้ แต่พอเผลอคิดเท่านั้นแหละ คิดเลย!
               ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ หวังว่าจะไล่ความคิดเหลวไหลออกไปจากหัวให้ได้
               “ชินจิ เป็นอะไร” เอย์จิถามด้วยความสงสัย
               “ไม่มีอะไรครับ ผมไม่เป็นไร” ชินจิรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่เขารู้ว่าเขาซ่อนหน้าแดง ๆ ของตัวเองไม่มิดแน่นอน ชายหนุ่มหวังสุดหัวใจว่าเอย์จิจะไม่สังเกตเห็น
               “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว มาเถอะ ฉันจะพานายดูให้ทั่วเรียวกัง”
               เจ้าของสถานที่พาคนช่วยงานคนใหม่ดูห้องพักของแขกที่อยู่ทางปีกขวาก่อน เอย์จิเปิดให้ดูทีละห้องพร้อมกับอธิบายไปพลาง
               “เรามีห้องเดี่ยวสองห้อง ห้องคู่สองห้อง และห้องใหญ่ที่พักได้มากที่สุดสี่คน”
               ประตูห้องพักเป็นบานเลื่อนเขียนลายดอกไม้ต่างชนิดกันไปสำหรับห้องแต่ละห้อง พื้นห้องพักปูด้วยเสื่อตาตามิ ในห้องตกแต่งแบบเรียบ ๆ ไม่หรูหรา มีแค่โต๊ะไม้กับเบาะรองนั่งตั้งอยู่กลางห้อง มุมห้องมีโคมไฟกระดาษทรงสูงและเครื่องทำความร้อน ทุกห้องมีโทโคะโนะมะหรือยกพื้นสำหรับวางของประดับห้องที่มีค่า ที่นี่ใช้ตั้งแจกันทรงเตี้ย บนผนังเหนือขึ้นไปแขวนรูปที่เขียนเป็นลายดอกไม้
               “ท่านแม่ชอบดอกไม้ ของประดับก็เลยเป็นลายดอกไม้เสียเป็นส่วนใหญ่” เอย์จิเล่าด้วยรอยยิ้ม “ที่ชอบที่สุดต้องคาร์เนชั่นสีชมพู รู้ไหม ท่านแม่น่ะแทบจะใส่แต่กิโมโนลายดอกคาร์เนชั่น ไม่สนใจลายอื่นเลย”
               “เอย์จิซังรักท่านแม่มากเลยนะครับ”
               “ถ้าไม่มีท่านแม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง” เอย์จิตอบสั้น ๆ
               จากห้องพักแขก เจ้าของบ้านพาเดินต่อไปยังห้องทางด้านปีกซ้าย เขาเปิดห้องแรกให้ดู เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของแขกที่มาพัก ในห้องมีอิโรริหรือเตาไฟรูปสี่เหลี่ยมอยู่บนพื้น ด้านบนห้อยตะขอเหล็กทำเป็นรูปปลา มีหม้อต้มน้ำใบเล็กแขวนอยู่ที่ตะขอ เตาอิโรริยังถูกใช้งานอยู่เพราะมีถ่านไม้ที่ถูกเผาไปครึ่งหนึ่งวางอยู่บนพื้นขี้เถ้าสองสามท่อน
               “บางครั้งเราก็เอาขนมมาย่างให้แขกกินกันร้อน ๆ แขกชอบมาก แต่ต้องระวังเรื่องฟืนไฟเป็นพิเศษ เพราะบ้านส่วนใหญ่ที่นี่ทำจากไม้ หลังคามุงจากหรือฟาง ติดไฟง่ายมาก ถ้าเผอเรอนิดเดียวอาจวอดทั้งหมู่บ้านเลยก็ได้” เอย์จิว่า
               ห้องถัดไปเป็นห้องครัว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าในห้องมีคนอยู่ก่อนแล้ว
               “อ้าว โอซามุซัง วันนี้มาด้วยเหรอ” เอย์จิทักด้วยความแปลกใจ
               จากชื่อที่ได้ยินทำให้ชินจิรู้ทันทีว่าผู้ชายที่ใช่ชุดสีขาวคนนี้คือพ่อครัวของเรียวกัง โอซามุเป็นผู้ชายผิวสีเข้ม ดวงตาเรียวยาว ไว้เคราแต่ขลิบสั้นอย่างเรียบร้อย เขาละมือจากสิ่งที่ทำอยู่และโค้งทักทายอย่างนอบน้อม
               “ท่านเอย์จิ”
               “ทำอะไรอยู่น่ะ”
               “คิดรายการอาหารสำหรับแขกอยู่ครับ เรามีกวางอยู่ทั้งขาที่นากามูระซังตัดแบ่งมาให้ ผมคิดว่าจะย่างกับเห็ดแทนเนื้อวัวที่เคยใช้ ท่านเอย์จิคิดว่าดีไหมครับ”
               เอย์จิมองจานบนโต๊ะ เนื้อกวางหั่นบางย่างแบบไม่สุกมากเกินไปราดด้วยซอสเห็ดสีเข้ม เอย์จิใช้ตะเกียบคีบเนื้อกับเห็ดใส่ปากชิม สีหน้าของเขาแสดงว่าพอใจ แล้วก็คีบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งส่งให้ชินจิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
               “ขอบคุณครับ” ชินจิถอยหลังก้าวหนึ่งเพราะเอย์จิยื่นส่งให้แบบแทบจะป้อนให้ถึงปาก เขารีบเอามือจับด้ามตะเกียบไว้และส่งเนื้อเข้าปากด้วยตัวเอง “อร่อยครับ เนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่นสาบเลย”
               “ฉันก็ว่าอย่างนั้น” เอย์จิเห็นพ้องด้วย ส่งตะเกียบคืนให้โอซามุที่ยิ้มกว้างเพราะได้รับคำชม
               “งั้นตกลงเอาเมนูนี้เป็นอาหารเย็นให้แขกกลุ่มแรกก็แล้วกัน” ชายหนุ่มสรุปและใช้จังหวะนี้แนะนำคนที่มาด้วยให้พ่อครัวประจำเรียวกังรู้จัก
               “นี่ชินจิ รุ่นน้องของผมเอง จะมาช่วยงานที่เรียวกังสามเดือน ชินจิทำอาหารเก่ง ถ้าหากวันไหนผมไม่ว่าง ผมจะส่งชินจิมาเป็นลูกมือโอซามุซังในครัวแทนนะ”
               “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ชินจิก้มศีรษะคำนับอย่างสุภาพ
               “ผมไม่กวนแล้วนะโอซามุซัง จะพาชินจิชมเรียวกังต่อ” เอย์จิขอตัวและพารุ่นน้องเดินออกมา ห้องถัดไปที่เอย์จิเปิดให้ดูคือห้องชงชาหรือจะชิตสึ พื้นปูเสื่อตาตามิ ตรงกลางห้องเป็นหลุมสี่เหลี่ยมสำหรับตั้งคะมะและฟุโระที่เอาไว้ต้มน้ำสำหรับชงชา อุปกรณ์อย่างอื่นวางไว้บนชั้นไม้เตี้ย ๆ ตั้งชิดผนัง
               “เราเปิดสอนชงชาด้วย ส่วนใหญ่คนที่มาเรียนจะเป็นชาวต่างชาติที่อยากสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น”
               “ใครเป็นคนสอนเหรอครับ” ชินจิถาม
               “ปกติท่านแม่จะเป็นคนสอน แต่ตอนนี้ฉันทำหน้าที่แทน”
               ด้านหลังเรียวกังมีทางเดินไปสู่ออนเซ็นซึ่งมีทั้งแบบในร่มและกลางแจ้ง เอย์จิอธิบายว่าออนเซ็นที่นี่ให้บริการทั้งแขกของเรียวกังและคนทั่วไป ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามีชั้นให้วางตะกร้าผ้า มีล็อกเกอร์หยอดเหรียญ ไดร์เป่าผมและเครื่องชั่งน้ำหนัก บ่อน้ำร้อนด้านในมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผนังด้านตรงข้ามติดฝักบัวและก๊อกน้ำสำหรับอาบน้ำชำระร่างกายก่อนลงแช่น้ำร้อน มีอุปกรณ์อาบน้ำเตรียมให้แขกอย่างพรักพร้อม หลังห้องมีประตูกระจกเปิดออกไปสู่อ่างน้ำร้อนกลางแจ้งที่มีขนาดเล็กกว่าและเห็นวิวแม่น้ำชิมิซึอย่างชัดเจน
               “สวยจังเลยครับ” ชินจิมองสายน้ำสีเทาอมน้ำเงินที่ไหลแรงผ่านแก่งหินด้วยความชอบใจ ก่อนหันมาถามอย่างคาดหวังว่า
               “พนักงานได้รับอนุญาตให้ใช้ที่นี่ได้ไหมครับ”
               “ได้สิ แต่ต้องหลังจากที่แขกใช้เสร็จแล้ว” เอย์จิตอบ “ที่บ้านก็มีออนเซ็นนะ ฉันยังไม่ได้บอกนายเหรอ อาจจะไม่เห็นวิวแม่น้ำ แต่เห็นวิวสวน รับรองว่าสวยเหมือนกัน”
               “ว้าว ตอนนี้ผมชักรู้สึกว่าตัวเองโชคดีสุด ๆ ไปเลยล่ะครับที่เลือกมาทำงานที่นี่ ต่อให้ต้องขัดห้องน้ำขัดอ่างทุกวันผมก็จะไม่บ่นเลย” ชินจิพูดเสียงใส
               ระหว่างที่เดินอยู่ในเรียวกัง ชินจิสังเกตว่าเขายังไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็นเลย ทำให้นึกได้ว่าตัวเองยังมีข้อสงสัยอยู่อีกข้อ
               “เอย์จิซังครับ ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แล้วตั้งแต่ที่ผมมาถึงผมก็ยังไม่เห็นโทรศัพท์เลยแม้แต่เครื่องเดียว ถ้าผมจะติดต่อกลับบ้าน ผมต้องทำยังไงครับ”
               “เขียนจดหมายหรือไม่ก็โปสต์การ์ด”
               ชินจิฟังแล้วนึกว่าคนพูดล้อเล่น แต่หน้าตาและท่าทางของเอย์จิดูจริงจังมากจนเขาชักไม่แน่ใจ
               “พูดจริง ๆ หรือครับ ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม”
               เอย์จิส่ายหน้า ย้ำว่า
               “พูดจริง ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์หรอก นายสังเกตไหมล่ะว่าโทรทัศน์ก็ไม่มีเหมือนกัน แถวภูเขามิคามิมีสัญญาณรบกวนมากเกินไปทำให้รับสัญญาณภาพและเสียงได้ไม่ชัดเจน คนในหมู่บ้านรับข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ ติดต่อกันด้วยจดหมายหรือเดินไปหาถึงบ้าน ถ้าเร่งด่วนก็มีวิทยุอยู่ที่ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวฝั่งโน้นซึ่งสัญญาณรบกวนน้อยกว่าหน่อย หรือไม่ก็ใช้ผู้นำสาส์น”
               “ใช้อะไรนะครับ” ชินจิถามซ้ำเพราะฟังไม่ถนัด
               “ผู้นำสาส์น เอาไว้ส่งข้อความถึงกัน เป็นวิธีแบบเฉพาะของหมู่บ้านนี้ ไว้ฉันค่อยอธิบายให้ฟังทีหลัง ถ้านายไม่เบื่อที่นี่จนหนีกลับโตเกียวไปก่อนน่ะนะ”
               “โธ่ ล้อผมเล่นอีกแล้ว” ชินจิโอดครวญ
               จบทัวร์เรียวกังและชินจิได้รู้เรื่องราวของหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้นอีกนิดก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปที่บ้าน ตอนที่ทั้งสองคนเดินออกมาข้างนอกนั้น ฟ้ามืดแล้ว ในหมู่บ้านแทบไม่มีการตามไฟทำให้ทุกอย่างดูสลัวรางเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่สีดำ ภาพความมีชีวิตชีวาและผู้คนที่เคยเห็นในตอนกลางวันหายไปราวกับเป็นแค่ภาพลวงตาที่มีอะไรบางอย่างบันดาลขึ้นเท่านั้น
                คันโจโคเอนในตอนกลางคืนต่างกับตอนกลางวันลิบลับ เสียงนกกลางคืนบางชนิดร้องกรีดแหลมโหยหวนจนทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเยือกตลอดทั่วไขสันหลัง ชินจิมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกหวั่นกลัวไม่น้อย แต่ร่างสูง ๆ ของเอย์จิที่เดินเคียงข้างก็ช่วยให้อุ่นใจได้มาก
                เอย์จิหยุดเดินเมื่อถึงประตูหน้าบ้าน มือข้างหนึ่งของเขารั้งแขนชินจิให้หันมาเผชิญหน้าด้วย
                “ยังมีกฎอีกข้อหนึ่งสำหรับการอยู่ที่นี่” เอย์จิจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ห้ามออกมาข้างนอกหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน”
                “ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”
                “มันไม่ปลอดภัย รู้ไว้เท่านี้ก็พอ”
                “แต่ว่า...”
                “นี่เป็นคำสั่งของฉัน” เอย์จิตัดบท “นายสัญญาแล้วว่าจะเชื่อฟังฉันทุกอย่าง”
                เจอแบบนี้เข้าไปทำให้ชินจิต้องหุบปากฉับทั้งที่ในใจของเขาตอนนี้มีคำถามมากมาย
                หมู่บ้านนี้มันมีอะไรกันแน่นะ?

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 6

        วันที่สองที่หมู่บ้านคันโจโคเอน ชินจิยังไม่ต้องเริ่มทำงานเพราะลูกชายฝาแฝดของบ้านเห็นพ้องต้องกันว่าชายหนุ่มควรจะไปเที่ยวในหมู่บ้านเสียก่อนเพื่อให้รู้จักสถานที่และผู้คนในหมู่บ้านมากขึ้น ชินจิออกจะเกรงใจไม่น้อยเพราะเขาคิดเสมอว่ามาที่นี่เพื่อมาทำงาน แต่เมื่อบนโต๊ะอาหารเช้าไม่มีใครคัดค้าน มาซาฮารุ บิดาของสองแฝดในชุดยูกาตะสีเทาเข้มนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ อยู่ที่หัวโต๊ะ ไม่แสดงความสนใจ และรุกะที่วันนี้ใส่ยูกาตะสีฟ้าสดใสลายรูปสุนัขจิ้งจอกคาดโอบิสีขาวนวลและรัดอีกทีด้วยเชือกซันบุฮิโมะสีขาวร้อยเม็ดคริสตัลสีน้ำเงินกลม ๆ เพียงตวัดสายตาเย็นชามองมาที่เขาเท่านั้น ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับโดยไม่กล้ามีปากเสียง
        “ฉันอยากเป็นคนพาเธอไปจัง จะได้พาชมให้ทั่วหมู่บ้านเลย เธอชอบปลาเทราท์รึเปล่าชินจิคุง ของที่นี่อร่อยมากเลยนะ” เออิจิโร่พูดในลักษณะที่ถ้าเป็นเด็กก็เรียกว่ากำลังงอแงได้ แต่นี่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว กิริยาที่ทำตอนนี้จึงทำให้คนบนโต๊ะพากันหมั่นไส้ เอย์จิขมวดคิ้วพร้อมกับถลึงตาใส่ รุกะมองคู่หมั้นด้วยสายตาตำหนิและพลอยค้อนใส่ตัวต้นเหตุอย่างชินจิไปด้วย ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่ารุกะไม่ชอบหน้าเขาอย่างแน่นอน
        “เช้านี้แกต้องฝึกยิงธนูเพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมง เมื่อวานฉันได้ยินว่าแกยิงพลาดเป้าหลายครั้ง วันนี้ต้องมีสมาธิมากกว่าเดิม อย่ามัวแต่ทำตัวเป็นเล่น” มาซาฮารุดุลูกชายคนโตเป็นคนสุดท้าย มือพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านจบแล้ววางบนโต๊ะข้างสำรับอาหารเช้า
        เออิจิโร่ทำหน้าเมื่อยอย่างจงใจ แต่ไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงบิดาแต่อย่างใด
        “ตอนเช้ามีฝึกยิงธนู เอย์จิซังไม่ต้องไปด้วยเหรอครับ” ชินจิรวบรวมความกล้าหันไปกระซิบถามรุ่นพี่
        “เอย์จิไม่จำเป็นต้องฝึก ไม่มีประโยชน์อะไร” มาซาฮารุตอบแทน ชินจิเกือบสะดุ้ง ไม่คิดว่าบิดาของรุ่นพี่จะได้ยินคำถามที่พยายามให้เบาแล้วของเขา และน้ำเสียงเย็นชาของพ่อที่พูดกับลูกชายก็ทำให้ชินจิรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่ของเขาไม่น้อย เขาเห็นชัดเจนเลยว่าหน้าของเอย์จิเคร่งขึ้นทันทีและดวงตาก็หม่นแสงลง
        “อิ่มแล้วครับ อาหารฝีมือยูอิซังอร่อยจังเลย นี่ถ้าไม่อิ่มจนท้องจะแตกแล้วเนี่ยผมเป็นต้องเติมข้าวอีกชามแน่ ๆ” เออิจิโร่คลี่คลายบรรยากาศบนโต๊ะอาหารลงด้วยการหันไปยิ้มกว้างกับแม่บ้านวัยกลางคนที่เดินเข้ามาเก็บสำรับ ยูอิยิ้มตอบ หล่อนเป็นคนไม่พูดมาก เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว
        “ไปกันเถอะ ชินจิ”
        เอย์จิถือโอกาสสะกิดรุ่นน้องให้ลุกขึ้นและตามเขาออกไปจากห้องรับแขกที่ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารไปในตัวด้วย ชินจิไม่กล้าพูดอะไรกับรุ่นพี่จนกระทั่งเอย์จิส่งเสื้อคลุมฮาโอริให้เขาที่หน้าประตูบ้าน
        “ขอบคุณครับ” ชินจิรับมาสวมทับชุดยูกาตะที่ใส่อยู่ วันนี้เขาใส่ยูกาตะลายตารางเล็ก ๆ สีน้ำเงินคาดโอบิสีดำ ถุงเท้าทะบิและรองเท้าโซริที่ใส่กับยูกาตะก็เป็นสีดำเหมือนกัน และในเมื่อไม่มีใครบังคับเขาเหมือนเมื่อวาน ชินจิจึงผูกโอบิแบบไคโนะคุจิที่ผูกกันทั่วไป ตั้งแต่อยู่ที่นี่เขาก็ใส่แต่ยูกาตะตลอด ตื่นมาตอนเช้าก็เห็นยูกาตะชุดใหม่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว เสื้อผ้าเต็มกระเป๋าที่เขาเอามาไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง
             เอย์จิก็ใส่ยูกาตะตลอดเวลาเช่นกัน ยกเว้นวันที่ออกจากหมู่บ้านไปรับเขาที่สถานีรถไฟ ดูเหมือนว่าคนในหมู่บ้านจะแต่งตัวด้วยชุดยูกาตะหรือชุดพื้นถิ่นเป็นส่วนใหญ่ ผู้หญิงใส่ยูกาตะทับด้วยเสื้อกันเปื้อนสีขาวแบบคลุมทับทั้งตัว ผู้ชายใส่ชุดซามุเอะที่ท่อนล่างเป็นกางเกงซึ่งปกติเป็นชุดสำหรับใช้แรงงานในวัดหรือในศาลเจ้า บางคนอาจจะใส่เสื้อกางเกงธรรมดา แต่ก็ไม่มากนัก สามารถทำให้แยกแยะออกได้ทันทีจากการแต่งตัวว่าใครเป็นคนในหมู่บ้านและใครเป็นนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น มีคนต่างชาติบ้างประปราย
         “เอย์จิซัง ไม่ต้องฝึกยิงธนูจะไม่เป็นไรเหรอครับ” ชินจิตัดสินใจถาม
         “ไม่หรอก หยุดวันเดียวเอง เอาไว้ฝึกพรุ่งนี้ก็ได้” น้ำเสียงของคนพูดฟังไม่เดือดร้อน ชินจิจึงไม่กล้าถามอะไรมากไปกว่านั้นทั้งที่ไม่เชื่อสักนิด และรุ่นพี่ก็เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว
         “นายอยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”
         “ที่ไหนก็ได้ครับ แล้วแต่เอย์จิซังเลย” ชินจิพูดอย่างร่าเริง เมื่อรุ่นพี่ไม่อยากพูดถึง เขาก็จะไม่เซ้าซี้ เขาจะให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนบรรยากาศอย่างเต็มที่
              “แต่คุณจะว่าผมโลภมากรึเปล่าถ้าผมบอกว่าผมอยากดูทุกอย่าง อยากไปทุก ๆ ที่ในหมู่บ้านเลย”
         เอย์จิหัวเราะ ออกตัวว่า
              “ฉันอาจเป็นไกด์ที่ไม่ดีเท่าเออิจิโร่นะ ฉันพูดไม่เก่งเหมือนหมอนั่น”
              “เอย์จิซังเป็นไกด์ที่ดีที่สุดแล้วครับ ผมมั่นใจ”
              คนพูดคงไม่รู้หรอกว่าคนฟังรู้สึกดีใจแค่ไหนที่ได้ยินแบบนี้ แต่เอย์จิยังเก็บความรู้สึกไว้ ไม่ยอมแสดงออกมา เพียงแค่พยักหน้าให้รุ่นน้องเดินเคียงไปกับเขาเท่านั้น
              “เอาเครื่องรางติดตัวมารึเปล่า” เอย์จิถาม
              “แน่นอนครับ ผมไม่ลืมหรอก ผมยังไม่อยากถูกไล่ออกจากงาน” ชินจิตอบพลางแบะโอบิที่คาดเอวอยู่ให้เห็นถุงเครื่องรางสีแดงที่ถูกผูกติดไว้กับสายโคชิฮิโมะด้านใน
              “ผมเอาถุงเครื่องรางของตัวเองใส่ลงไปข้างในด้วย จะได้พกไว้ด้วยกันเลย คราวนี้ผมจะมีทั้งความสุขและความปลอดภัย”
              “ดีมาก”
              เอย์จิอดใจไม่อยู่อีกต่อไป มือของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะรุ่นน้องด้วยความเอ็นดู ชินจิไม่กล้าเบี่ยงตัวหนีทั้งที่รู้สึกเขิน เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด พยายามไม่คิดอะไรเหลวไหล แต่ในใจนั้นยอมรับไปแล้วว่าเขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่เอย์จิทำแบบนี้

              อากาศในวันนี้เป็นใจให้การทัวร์หมู่บ้านของชินจิมาก ท้องฟ้าสดใส ลมเย็นพัดมาเป็นระยะแต่ไม่หนาวขนาดที่เสื้อคลุมผ้าขนสัตว์ฮาโอริต้านไม่อยู่ ชายหนุ่มเดินช้า ๆ ไปกับเอย์จิที่ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นชี้สถานที่ต่าง ๆ ให้ดู
              “หมู่บ้านเรามีถนนสายหลักสองสาย ศาลเจ้าอินาริกับเรียวกังฮิราตะอยู่บนถนนสายที่หนึ่งใกล้แม่น้ำ บ้านส่วนใหญ่แถวนี้เป็นแบบกัสโชซึคุริ บ้านไม้หลังคามุงฟาง”
              ชินจิมองบ้านไม้สูงสามชั้นหลังคามุงฟางลาดเป็นมุมประมาณสี่สิบห้าองศา สีเข้มของไม้และฟางที่มุงหลังคาตัดกับสีสันของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงอย่างน่าดู บางบ้านมีแปลงนาที่เก็บเกี่ยวแล้วอยู่ทางด้านข้าง บางบ้านก็มีแปลงผักสีเขียวที่กำลังเติบโตเต็มที่ ตรงระเบียงบ้านขึงเชือกเส้นเล็กเพื่อแขวนพวงพริกสีแดงแปร๊ด ข้าวโพดฝักโตสีเหลืองอ่อน บนพื้นด้านล่างวางตะกร้าสานใส่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เจ้าของบ้านอยากขาย ส่วนใหญ่เป็นของตามฤดูกาล อย่างในตอนนี้ก็เป็นส้มผลกลม ๆ ฟักทอง เมล็ดพืช หรือของทำมืออย่างรองเท้าฟางเย็บกับผ้าลายสีต่าง ๆ มีป้ายบอกราคาปักกำกับไว้
              บ้านชาวนาหลายหลังเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก ชินจิกับเอย์จิเดินปะปนกับนักท่องเที่ยวดูของที่ขายในร้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขนม ทั้งคุกกี้รูปหุ่นไล่กา ขนมสอดไส้ถั่วแดงทำเป็นรูปบ้านชาวนา ใส่อยู่ในกล่องห่อด้วยกระดาษลายต่าง ๆ และยังมีของที่ระลึกพื้น ๆ พวกพวงกุญแจ ปากกา โปสต์การ์ด หน้าร้านมีตู้เย็นธรรมชาติคืออ่างไม้รองน้ำเย็นจัดจากก๊อกน้ำแช่ขวดและกระป๋องเครื่องดื่มหลากหลายยี่ห้อ
              ชินจิละมือจากการพลิกดูตุ๊กตาปลาเย็บด้วยผ้าที่แขวนเป็นพวงอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึกเมื่อรู้สึกว่าข้างตัวของเขาว่างเปล่า ชายหนุ่มมองหารุ่นพี่ ก่อนจะเห็นเอย์จิเดินกลับมาหาพร้อมขนมสองไม้ในมือ บุ้ยใบ้ให้เขาเลือกระหว่างโกะเฮย์โมจิกับมิตาราชิดังโงะ
              “เท่าไหร่ครับ” ชินจิถามด้วยความเกรงใจ แล้วก็เลยโดนตีหน้าดุใส่
              “เอาไปเถอะน่า เร็ว ๆ”
              ชินจิจึงเลือกหยิบแผ่นแป้งย่างโกะเฮย์โมจิจากมือของรุ่นพี่ ขนมร้อน ๆ ในวันที่อากาศเย็นช่วยทำให้ท้องอุ่นสบาย แป้งนุ่ม ๆ กินเพลินจนแป๊บเดียวก็หมดไม้ เอย์จิที่จับตามองอยู่ตลอดถามว่า
              “เอาอีกไม้ไหม หรือจะเอาดังโงะ นี่ก็อร่อยนะ”
              “ขอบคุณครับ แต่ไม่ดีกว่า เดี๋ยวอิ่ม กินปลาเทราท์ที่เออิจิโร่ซังเชียร์นักหนาไม่ได้”
              “อย่าเชื่อราคาคุยหมอนั่นมาก” เอย์จิพูด แต่เขาก็ส่งดังโงะที่เหลืออยู่ลูกหนึ่งให้รุ่นน้องได้ชิม ชินจิก็เลยได้กินขนมขึ้นชื่อของหมู่บ้านคันโจโคเอนทั้งสองอย่าง
              “พูดถึงร้านอาหารต้องไปถนนสายที่สอง แถบนั้นเป็นเรือนแถวไม้ ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารกับร้านน้ำชา” เอย์จิอธิบายพลางพาชินจิเดินต่อ ทั้งสองคนลัดเลาะไปตามตรอกเล็ก ๆ ผ่านบ่อน้ำที่น้ำใสจนเห็นสาหร่ายสีเขียวและปลาสีสดที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำได้ชัดเจน ทั้งสองคนเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านชายวัยกลางคนกำลังทำงานอยู่ในสวน พอเห็นทั้งคู่เข้าก็ทักเสียงใสว่า
              “ท่านเออิจิโร่”
              ชินจิกำลังจะค้านว่าทักผิดอยู่แล้ว แต่คนข้างตัวของเขากระตุกแขนเสื้อยูกาตะเป็นเชิงเตือน ชายหนุ่มจึงเงียบฟังเอย์จิทักและถามว่า
              “ทำยุกิสึริอยู่เหรอครับ ให้ผมช่วยไหม”
              “ไม่ต้องหรอกครับ เหลือต้นนี้ก็เสร็จแล้ว” ชายวัยกลางคนตอบ เขายืนอยู่บนบันไดพับ กำลังผูกเชือกฟางสีน้ำตาลยึดโยงกิ่งต้นสนไว้กับเสาไม้ที่ปักอยู่ในดิน ในสวนมีต้นที่ทำเสร็จแล้วอยู่สามสี่ต้น ดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเห็นต้นสนกางร่มรูปสามเหลี่ยมไม่มีผิด
              “พยากรณ์เขาว่าปีนี้หิมะจะเยอะ ต้องทำไว้แน่นหนาแข็งแรงหน่อย จะได้รับน้ำหนักหิมะได้ กิ่งไม่หัก”
              เจ้าของบ้านคุยต่อเรื่อย ๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ชินจิอย่างสนใจ
              “นี่รุ่นน้องผมครับ มาจากโตเกียว จะมาช่วยงานที่เรียวกังสามเดือน ฝากหน่อยนะครับ” เอย์จิแนะนำ ทำเอาคนฟังเอามือตบหน้าผากตัวเองทันที ร้องว่า
              “อ้าว นี่ท่านเอย์จิหรอกหรือเนี่ย ผมนี่แย่จริง ทักผิดทักถูกประจำ ขอประทานโทษครับ อย่าถือสาคนแก่เลยนะ”
              “ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว” เอย์จิยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะถือโอกาสลาอย่างสุภาพ “ผมขอตัวก่อนนะ จะพารุ่นน้องเดินดูหมู่บ้านต่อ”
              คล้อยหลังมาได้สักพัก ชินจิก็ทักขึ้น
              “คนทักผิดอย่างนี้บ่อยเลยนะครับ”
              นอกจากคุณลุงเจ้าของบ้านคนนี้แล้ว เขายังได้ยินชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาและที่อยู่ในร้านค้าทักเอย์จิเป็นเออิจิโร่อีกหลายคน
              “ก็หน้าเหมือนกันเปี๊ยบนี่นา” เอย์จิตอบอย่างไม่สนใจนัก
เลี้ยวออกจากซอยเล็ก ๆ ก็เจอกับทุ่งดอกไม้ขนาดย่อม ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีขาวกับสีชมพูกำลังบานสะพรั่ง สุดปลายทุ่งดอกไม้คือบ้านแบบกัสโชซึคุริหลังใหญ่
              “นั่นพิพิธภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตและสถาปัตยกรรม จะเข้าไปดูไหม”
              ได้ยินคำว่าพิพิธภัณฑ์ ชินจิก็ตาใส พยักหน้าหงึก ๆ ทันที
              ค่าบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ราคาสามร้อยเยน แต่ชินจิไม่ต้องเสียสักเยนเพราะมากับเอย์จิที่เหมือนเป็นผู้มีอิทธิพลประจำถิ่น แค่เห็นหน้าเขา คนเฝ้าประตูที่เป็นหญิงวัยกลางคนใส่ชุดยูกาตะสีเขียวอ่อนเรียบ ๆ ก็โค้งคำนับและเชื้อเชิญให้เข้าอย่างนอบน้อม แต่หล่อนก็เรียกผิดเป็นเออิจิโร่เหมือนคนอื่น ๆ
              “ครอบครัวเราสนับสนุนพิพิธภัณฑ์น่ะก็เลยได้สิทธิพิเศษนิดหน่อย” เอย์จิบอกหลังจากเห็นสีหน้าสงสัยของรุ่นน้อง
              สิ่งแรกที่เห็นสะดุดตาหลังจากเข้าไปข้างในก็คือเตาอิโรริซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของบ้าน พิพิธภัณฑ์จัดเอาไว้เหมือนจริงคือใส่ถ่านติดไฟแดง ๆ ให้ความร้อนจากไฟต้มน้ำในหม้อที่แขวนอยู่กับตะขอรูปปลา ควันไฟบาง ๆ ลอยวนอยู่ด้านบน
              ชินจิเดินดูสิ่งของที่จัดแสดงด้วยความสนใจ เขาเห็นข้าวของเครื่องใช้ของคนในสมัยก่อน ถังน้ำทำจากไม้ กาน้ำขนาดต่าง ๆ ตู้ลิ้นชัก เครื่องเหล็ก กระทั่งมีดหลายสิบชนิดทั้งเล็กและใหญ่ มีภาพประกอบพร้อมคำอธิบายว่าใช้ในงานประเภทใด รองเท้าฟางใช้เดินบนหิมะแขวนเรียงเป็นตับอยู่ที่ผนัง เดินดูชั้นแรกจนทั่วแล้วก็ปีนบันไดที่ทั้งแคบและชันขึ้นไปชั้นสองซึ่งจัดแสดงภาพและคำอธิบายเกี่ยวกับบ้านที่สร้างแบบกัสโชซึคุริ แต่ชินจิไม่ต้องยืนอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ให้ปวดตาเนื่องจากไกด์กิตติมศักดิ์ทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
              “บ้านสไตล์นี้มักจะมีสองชั้น ตัวบ้านชั้นแรกกับส่วนที่เป็นห้องใต้หลังคา ส่วนหลังนี่แบ่งเป็นสองชั้นอีกที และที่เรากำลังยืนอยู่นี่คืออามะ ห้องใต้หลังคาชั้นล่าง ชั้นบนซึ่งก็คือชั้นถัดขึ้นไปจะเรียกว่าโซระอามะ”
              เอย์จิชี้ให้ดูภาพแปลนบ้านบนผนัง และภาพถัด ๆ ไปที่เป็นภาพระหว่างการสร้างบ้าน
              “ตัวบ้านชั้นแรกสร้างไม่ยาก ช่างไม้ธรรมดาก็ทำได้ ส่วนที่ยากคือการมุงหลังคา ต้องใช้คนหลายคนมาช่วยกัน คานกับไม้ท่อนต้องใช้ที่แข็งแรงเพราะต้องค้ำยันหลังคาให้ทานน้ำหนักของหิมะได้”
              ชินจิฟังพลางมองไม้ท่อนใหญ่ ๆ สีดำที่ถูกมัดติดกันอย่างแน่นหนาสลับกับรูปบนผนัง
              “เราจะมุงหลังคาด้วยฟางที่ได้จากการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง แล้วจะมุงใหม่อีกครั้งตอนฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงถัดไป เราจะแยกฟางเก่าเป็นส่วนที่ดีกับไม่ดี ฟางเก่าส่วนที่ดีจะเอามาปนกับฟางใหม่มุงหลังคาด้านบน และส่วนที่ยากที่สุดคือฮะฟุ เห็นไหมชินจิ หน้าจั่วที่มน ๆ กลม ๆ น่ะ” เอย์จิชี้ที่ภาพภาพหนึ่งบนผนัง “ต้องช่างที่มีฝีมือมาก ๆ เท่านั้นถึงจะทำได้ ตอนนี้ก็มีไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็คือโอคินะซัง”
              “เอ๋ จริงเหรอครับ แต่โอคินะซังเป็นพระนี่”
              “เป็นพระ แต่ก็เป็นช่างด้วย โอคินะซังยังเก่งอีกหลายอย่าง เดี๋ยวนายก็จะค่อย ๆ เห็นเอง”
              ชินจิไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เอย์จิก็ไม่อธิบายมากกว่านี้ ชายหนุ่มเดินนำรุ่นน้องขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดหรือโซระอามะที่มีหน้าต่างกว้างมองเห็นวิวได้ไกลสุดสายตา
              “สวยจังเลยครับ” ชินจิอุทาน
              “ชอบที่นี่ไหม” เอย์จิเดินมาหยุดอยู่ข้างตัวรุ่นน้อง
              “ชอบครับ ชอบที่สุด” ชินจิกำลังดื่มด่ำกับความงามตรงหน้าจนไม่ทันได้คิดอะไร เขาพูดด้วยความหลงใหลเหมือนตกอยู่ในภวังค์
              “ถ้าได้อยู่ในที่สวย ๆ อย่างนี้ตลอดไปก็คงจะดีที่สุดเลยนะครับ”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               ออกจากพิพิธภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ทั้งสองคนเดินต่อไปยังถนนหลักสายที่สอง ระหว่างทางมีหลายสิ่งให้ดูจนเพลินตา แปลงดินเล็ก ๆ หน้าบ้านที่ปลูกดอกไม้หน้าหนาวออกดอกสีม่วง ๆ ฟ้า ๆ กองฟืนท่อนหนา ๆ ที่วางเรียงติดฝาบ้านจนสูงท่วมหัว และหุ่นไล่กาแต่งตัวเขียนหน้าตลก ๆ ยืนแข็งทื่ออยู่กลางแปลงนาแทบทุกแห่ง
               “เดี๋ยวเราแวะพักขาดื่มน้ำชากันสักหน่อยนะ” เอย์จิบอก
               ชินจิอยากเห็นร้านน้ำชาของหมู่บ้านอยู่แล้วจึงรีบตกลงทันที
               ถนนสายที่สองสั้นกว่าถนนสายแรก บ้านเรือนบนถนนสายนี้เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารและร้านน้ำชา หน้าร้านประดับโคมสีขาวสีแดงกับป้ายแขวนที่ทำจากเหล็กดัดให้เป็นลวดลายหรือรูปภาพต่าง ๆ
               ร้านที่เอย์จิเลือกเป็นร้านที่มีป้ายเหล็กดัดเป็นรูปกาน้ำชาสีดำ ผนังไม้ติดโปสเตอร์เป็นรูปตัวแสดงในละครโนใส่หน้ากากและกิโมโนลายวิจิตร ชายหนุ่มเลื่อนประตูไม้กรุกระดาษเปิดออกและเดินนำชินจิเข้าไปข้างใน ข้างประตูเลื่อนเป็นเคาน์เตอร์เล็ก ๆ เมื่อชายหนุ่มแจ้งความจำนงว่าจะดื่มน้ำชาและจ่ายเงินค่าบริการเรียบร้อย พนักงานหญิงวัยกลางคนในชุดยูกาตะสีชมพูหม่นก็หยิบแผ่นไม้ขนาดยาวเท่าซองจดหมายให้สองแผ่น เอย์จิยื่นแผ่นไม้แผ่นหนึ่งให้ชินจิ บนแผ่นป้ายนั้นระบุชื่อห้องและชื่อเซ็ตน้ำชาที่เลือก
               พนักงานหญิงสาววัยต้นยี่สิบใส่ชุดยูกาตะคาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดเป็นคนเดินนำทั้งคู่ไปยังห้องน้ำชาซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นช่องยาว ๆ มากกว่าจะเป็นห้อง พื้นปูด้วยเสื่อตาตามิ ผนังด้านหลังติดภาพเขียนพู่กันรูปทิวทัศน์ ด้านหน้าเป็นโต๊ะไม้ยาวไปตลอดแนวยาวของห้องกับเบาะรองนั่ง มองเห็นสวนได้ถนัดตา สวนในร้านตกแต่งอย่างสวยงามด้วยไม้พุ่ม ต้นสน กรวดหิน ตะเกียงหินอิชิโดโร และคะเคย์ซึ่งเป็นท่อไม้ไผ่ที่มีน้ำไหลลงสู่อ่างหินเบื้องล่าง
               เอย์จิกับชินจิเลือกนั่งที่สุดปลายโต๊ะห่างจากลูกค้าคนอื่นอีกสองสามคนที่นั่งดื่มชาชมสวนอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว พนักงานสาวเก็บป้ายไม้ทั้งสองแผ่นไปและไม่นานก็กลับมาพร้อมกับน้ำชาและขนมสองชุด
               “โอ้โฮ น่ากินจัง” ชินจิมองถาดไม้ตรงหน้าของตัวเอง เขาได้น้ำชาหนึ่งถ้วยและขนมคุริมุชิโยคังที่ทำมาจากถั่วแดงบดผสมแป้งตัดมาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า บนตัวขนมวางชิ้นเกาลัดสีน้ำตาลและตกแต่งจานด้วยใบโมมิจิสีแดงเข้ม
               “ฉันสั่งมาไม่เหมือนกัน นายจะได้กินหลายแบบ” เอย์จิพูด บนถาดของเขามีถ้วยน้ำชาและจานขนมใบเล็กเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ขนมโยคังของเขาทำมาจากคะคิหรือลูกพลับจึงมีสีส้มและตัดมาเป็นชิ้นรูปครึ่งวงกลม ชายหนุ่มใช้ไม้อันเล็กตัดขนมของตัวเองยื่นส่งให้ชินจิ
               “เอ้อ...ขอบคุณครับ”
               ชินจิอ้อมแอ้มตอบ เขาต้องขยับศีรษะหนีอีกหนขณะที่เอื้อมมือไปรับไม้ตักขนมอย่างระมัดระวังเพราะรุ่นพี่ยื่นมาเสียแทบจะชิดปาก
               “อร่อยไหม” เอย์จิถามด้วยความคาดหวัง แล้วเมื่อเห็นรุ่นน้องของเขาพยักหน้าหงึก ๆ ชายหนุ่มก็มีท่าทางพอใจ
               “เอย์จิซัง ลองชิมขนมของผมบ้างนะครับ แลกกัน” ชินจิไม่กล้าตักส่งให้อย่างที่รุ่นพี่ทำจึงเพียงแต่เลื่อนจานขนมไปให้ซึ่งเอย์จิก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนผลัดกันตักขนมของอีกฝ่ายมากินพลางจิบน้ำชา ชมสวนสวยและพูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ
การได้ออกมาด้วยกันแบบนี้ทำให้ชินจิรู้สึกว่าตัวเองสนิทกับรุ่นพี่เอย์จิมากขึ้นกว่าครั้งที่อยู่เยอรมนี แต่พร้อมกันนั้นความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นในจิตใจของเขาด้วย จากความอ่อนโยนใจดีและเอาใจใส่ของเอย์จิ แต่ชินจิไม่อยากคิดอะไรเพ้อเจ้อหรือปล่อยให้จิตใจเตลิดเปิดเปิงไปอีกแล้ว เขามีประสบการณ์มากเกินพอที่เบอร์ลิน และบนเส้นทางสายใหม่ที่กำลังเดินอยู่นี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปด้วยหัวใจที่หนักแน่นยิ่งกว่าเดิมและไม่หวั่นไหวไปกับแค่เพียงความใกล้ชิดหรือความหลงใหลที่หาความจริงใจไม่ได้
                “โปรแกรมต่อไปคืออะไรเหรอครับ” ชินจิถาม ดึงตัวเองออกจากความคิดไร้สาระด้วยการตักตวงความรู้และความสนุกสนานในวันนี้อย่างเต็มที่
                “ข้าวเที่ยงไง เออิจิโร่แนะนำปลาเทราท์ให้ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจะพานายไปกิน ไปกันเลยไหม หรือยังอยากจะชมสวนต่ออีกสักหน่อย”
                “ไปเลยก็ได้ครับ ผมเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ขนมเมื่อกี้เหมือนเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง” ชินจิพูด
                ทั้งสองคนออกจากร้านน้ำชาในอีกครู่ต่อมา ร้านอาหารที่ตั้งใจจะไปกินอยู่ถัดจากร้านน้ำชาไปไม่กี่หลัง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่คนแน่นตลอดเพราะเป็นร้านอาหารไม่กี่แห่งในหมู่บ้าน เอย์จิกับชินจิต้องรอคิวอยู่พักใหญ่จึงได้ที่นั่ง
                “ร้านนี้ถ้าสั่งปลาเทราท์ พ่อครัวจะไปจับมาให้สด ๆ เลย ด้านหลังถนนสายนี้มีบ่อน้ำไหลที่สร้างเพื่อเลี้ยงปลาเทราท์โดยเฉพาะ” เอย์จิอธิบายหลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว นอกจากปลา ทั้งสองคนสั่งโซบะเย็นโรยด้วยสาหร่ายคนละชุด
                ปลาเทราท์ย่างใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่อร่อยจริงอย่างที่เออิจิโร่โฆษณาชวนเชื่อไว้ หนังปลามีรสเค็มนิด ๆ เนื้อปลาสดหวาน และเลมอนหั่นซีกที่วางมาให้ด้วยในจานก็ช่วยชูรสเนื้อปลาให้ยิ่งโอชะมากขึ้น ชินจิคีบใส่ปากเพียงไม่กี่ครั้ง บนจานตรงหน้าเขาก็เหลือแค่ก้างปลาเท่านั้น ชายหนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ ด้วยความเสียดาย
                 “เอาไว้ครั้งหน้าจะพามากินอีกนะ” เอย์จิให้สัญญา

                 ถึงจะออกจากร้านอาหารมาแล้ว แต่ชินจิก็ยังไม่ได้หยุดกินง่าย ๆ เพราะเจ้าของสถานที่ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ดูจะตั้งใจทำหน้าที่มากจนแทบจะเรียกได้ว่าเกินพอดีไปหน่อย เขาถูกฉุดไปยืนหน้าร้านขายเกาลัดคั่วและซอฟท์ครีม ตอนแรกเอย์จิจะซื้อทั้งสองอย่างให้เขาได้ชิม แต่เขาต่อรองจนเหลือแค่ซอฟท์ครีมรสเกาลัดสีเนื้ออ่อน ๆ ที่หวานอร่อยสมกับเป็นของหวานหลังอาหารที่ดีเยี่ยม
                 ทั้งสองคนนั่งละเลียดซอฟท์ครีมอยู่ด้วยกันบนม้านั่งหน้าร้าน คนท้องถิ่นที่เดินผ่านไปมาทักทายเอย์จิแทบจะทุกคน และน้อยมากที่จะทักถูกตั้งแต่แรก ต้องพูดกันสักคำสองคำนั่นแหละถึงค่อยตระหนักได้ว่าผิดคน แต่เอย์จิก็ไม่มีท่าทีถือสาตามที่เคยบอกไว้ ชายหนุ่มคิดว่ารุ่นพี่ของเขาคงชินแล้วจริง ๆ
                 ชินจิจับสังเกตอยู่เงียบ ๆ และหลายครั้งที่อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขามีฝาแฝดบ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไรนะ
                 หลังจากจบของหวานหลังอาหารกลางวัน เอย์จิพารุ่นน้องของเขาลัดเลาะจากถนนสายที่สองเข้าไปยังตรอกแคบ ๆ ที่คดเคี้ยว ชินจิพยายามถามว่าจะไปไหน แต่เอย์จิปิดปากสนิท แกล้งอมพะนำไว้จนกระทั่งเดินด้วยกันมาถึงร้านที่เป็นบ้านไม้แบบกัสโชซึคุริหลังหนึ่ง สภาพภายนอกออกจะดูทรุดโทรมผิดกับความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ภายใน
ชินจิเบิกตากว้างด้วยความทึ่งสุดขีด
                  ตรงหน้าของเขา ชายหนุ่มเห็นคันธนูและลูกธนูมากมายหลายแบบเท่าที่จะจินตนาการไปได้ถึง คันธนูไม้รูปเขาสัตว์มีตั้งแต่คันเล็กไปจนถึงสูงท่วมหัวกว่าสองเมตร ไม้ที่เป็นวัสดุหลักมีหลายสีทั้งสีน้ำตาล สีแดง สีเหลือง จากเฉดที่อ่อนที่สุดไปจนถึงเฉดที่เข้มจัดเหมือนปนสีดำลงไปด้วย สีที่ใช้จะตัดกับนิงิริหรือที่จับตรงคันธนูซึ่งจะทาด้วยสีขาว คันธนูส่วนใหญ่ขึ้นสายเรียบร้อย พร้อมจะนำไปใช้ได้ทันที
                  “บ้านนากามูระเป็นช่างทำธนู ธนูที่ใช้ในพิธีของศาลเจ้าหรือธนูล่าสัตว์ได้มาจากที่นี่ทั้งหมด”
                  ชินจิละสายตากลับมาฟังคำอธิบายของเอย์จิและมองเลยไปเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผู้ชายคนนี้หนวดเคราดกหนาปิดหน้าไปเกือบครึ่ง คิ้วก็หนาด้วย เป็นปื้นดำเหมือนโดนพู่กันปาด ดวงตาดุกระด้าง แต่เขาโค้งทักทายอย่างสุภาพเมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือน
                   “นากามูระซัง ขอบคุณมากนะครับสำหรับเนื้อกวางทั้งขาที่แบ่งไปให้เมื่อวันก่อน” เอย์จิพูด แล้วเมื่อรุ่นพี่ของเขาเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อน เจ้าของบ้านจึงเรียกชื่อได้ไม่ผิดคน
                   “กวางที่ได้มาตัวใหญ่มากครับท่านเอย์จิ เนื้อแบ่งกันได้เกือบหมดทั้งหมู่บ้าน”
                   “นากามูระซังเป็นพรานด้วยนะ ใช้ได้ทั้งธนูและมีใบอนุญาตให้ใช้ปืนล่าสัตว์ เป็นพรานอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านเรา” เอย์จิหันมาบอกเพิ่มเติมและถือโอกาสแนะนำรุ่นน้องของเขาไปเลยทีเดียว ชินจิก้มศีรษะทักอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะถามด้วยความสนใจว่า
                   “ธนูทั้งหมดนี่นากามูระซังทำเองหมดเลยเหรอครับ”
                   “ไม่ใช่หรอกครับ ช่างธนูตัวจริงคือพ่อของผม ผมเป็นผู้ช่วยเท่านั้น บางคันผมก็ทำเองบ้าง แต่ฝีมือยังห่างชั้นกับพ่ออีกไกล” เจ้าของบ้านตอบด้วยความถ่อมตัว ก่อนหันไปบอกเอย์จิเมื่อนึกขึ้นได้ว่า “ธนูของท่านเอย์จิที่ส่งมาให้ช่วยซ่อมเสร็จแล้วนะครับ นี่พ่อแกกำลังลงน้ำมันชักเงาให้อยู่ เดี๋ยวก็เสร็จ จะไปดูหน่อยไหมครับ”
                   “ไปสิ จะได้ไปทักทายคุณตานากามูระด้วย” เอจิย์ตอบตกลง แล้วหันไปบอกคนที่มาด้วยกันว่า “ฉันจะเข้าไปข้างในนะ นายรออยู่ที่นี่สักพักก็แล้วกัน”
                   “ตามสบายเลยนะครับชินจิซัง จะหยิบดูคันธนูหรือลูกธนูดอกไหนก็ได้ ถ้าชอบใจ ผมจะให้เป็นของที่ระลึก” นากามูระเสนอด้วยความมีน้ำใจ แต่ชินจิรีบส่ายหน้าพลางพูดด้วยความเกรงใจว่า
                   “ขอบคุณครับ แต่แค่ได้ดูก็พอแล้วครับ แค่ได้เห็นผลงานที่สวยและประณีตขนาดนี้ก็นับว่าผมโชคดีที่สุดแล้ว”
นากามูระยิ้มด้วยความถูกใจ คนเป็นช่างจะมีสิ่งใดอีกเล่าที่สุขใจเท่ากับคำชมของผู้ที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ ไม่มีอีกแล้ว
                   “งั้นเชิญชมเลยครับ” ชายกลางคนหนวดเคราหนาพูด แล้วออกเดินนำเอย์จิเข้าไปข้างในบ้าน คล้อยหลังทั้งคู่ ชินจิก็เริ่มสำรวจต่อ เมื่อสักครู่เขาดูคันธนูไปแล้ว ตอนนี้เขาก็เลยเดินดูด้านที่ตั้งลูกธนูบ้าง วัสดุหลักของลูกธนูคือไม้เหมือนกัน ทาน้ำมันชักเงาจนมันวับ ขนาดและความยาวก็แตกต่างกันไป หัวธนูทำจากโลหะมีทั้งแบบหัวทู่ หัวแหลม หัวแฉก ตามประเภทที่ใช้งาน
                    ชินจิแตะขนนกที่ติดปลายลูกธนูอย่างเบามือ พอมีความรู้อยู่บ้างว่าสามารถใช้ขนนกได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนห่าน หงส์ ไก่งวง นกอินทรี หรือแม้แต่ขนนกยูง แต่เขามองไม่ออกว่าขนนกหลากสีสันที่ติดอยู่ที่ปลายลูกธนูแต่ละดอกนั้นเป็นขนของนกหรือสัตว์ปีกชนิดใดบ้าง
                    ชายหนุ่มมองเลยเรื่อยไปถึงกระบอกใส่ลูกธนูและอุปกรณ์ประกอบคันธนูกับลูกธนูอย่างอื่นที่วางแยกอยู่เป็นส่วน ๆ ด้วยความสนใจ เขาเคยเดินสวนกับบรรดาสมาชิกชมรมยิงธนูของมหาวิทยาลัยอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยเลยที่จะได้เห็นสิ่งของเหล่านี้ใกล้ ๆ แบบนี้
                    “เจออันที่ถูกใจบ้างรึยัง”
                    ชินจิแทบสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงถามดังขึ้นข้างหู เอย์จิมายืนอยู่ข้างเขาเมื่อไร ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลย
                    “เอ้อ มันก็สวยหมดเลยครับ” ชินจิก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ และเมื่อถอยห่างออกมาก็เห็นรุ่นพี่ของเขาถนัดตาขึ้น เอย์จิสะพายกระบอกใส่ลูกธนูประดับขนนกสองสี สีดำส่วนบนและสีขาวส่วนล่าง ในมือของเขาถือยุมิบุคุโระสีกรมท่าซึ่งเป็นผ้าที่ใช้ห่อคันธนู เจ้าของบ้าน นากามูระซังที่ไว้หนวดเคราเดินตามมาข้างหลังพร้อมกับชายสูงอายุอีกคนหนึ่ง รอยย่นบนใบหน้าและผมหงอกขาวเต็มหัวบอกว่าอายุของเขาน่าจะไม่อ่อนแก่กว่าโอคินะซังมากนัก ชายชราคนนี้คงเป็นพ่อของนากามูระซัง เป็นช่างผู้ทำคันธนูและลูกธนูเหล่านี้
                    “อยากยิงธนูไหมพ่อหนุ่ม” ชายชราถาม
                    “ผมไม่เก่งกีฬาเลยครับ แต่ผมชอบธนูกับลูกธนูที่คุณตาทำนะครับ สวยมาก ๆ” ชินจิเรียกช่างทำธนูตามที่เอย์จิเรียก
                    “ไม่ลองดูจะรู้ได้ยังไง ถ้าอยากยิงธนูก็มาหาตานะ จะเลือกอันที่เหมาะ ๆ ให้”
                    “ขอบคุณมากครับ”
                    “แล้วนี่จะไปไหนกันต่อล่ะ หือม์” ตานากามูระถาม
                    “จะพาชินจิเข้าไปในภูเขาครับ ไปที่ทะเลสาบบิวะ” เอย์จิเป็นคนตอบ และคำตอบของเขาทำให้เจ้าของบ้านนากามูระทั้งสองคนมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที คนลูกผู้เป็นนายพรานพูดว่า
                    “นี่บ่ายแล้ว ถ้าท่านเอย์จิจะไป ผมไปด้วยดีกว่า เผื่อเกิดอะไรขึ้น”
                    “วันนี้อากาศดี ไม่น่าจะมีอะไร ผมไปเองได้” เอย์จิปฏิเสธ และไม่ยอมฟังคำทัดทานหรือขอร้องใด ๆ อีก ชายหนุ่มชูธนูขึ้นให้ดู บอกอีกว่า
                    “ผมมีนี่ไปด้วยแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
                    ชายหนุ่มแตะแขนรุ่นน้องที่ยืนฟังด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นสัญญาณบอกให้ไปกันได้แล้ว ชินจิจึงโค้งลา แต่ก่อนที่เขาจะเดินตามเอย์จิออกไปข้างนอกนั้น ผู้เฒ่านากามูระรั้งแขนชายหนุ่มไว้ก่อนพลางบอกว่า
                    “มีอะไรบางอย่างสิงสู่อยู่ในภูเขา” น้ำเสียงกับหน้าตาของชายชราจริงจัง มือเหี่ยวย่นบีบแขนจนชินจิรู้สึกเจ็บ
                    “ระวัง อย่าให้ถูกหมอกกลืนเข้าไปเป็นอันขาด”

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ลึกลับจริงๆ ติดตามๆค่าาา :mew1:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 7

        หลังออกมาจากบ้านของช่างธนูประจำหมู่บ้าน ชินจิไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขาเดินตามรุ่นพี่ไปเรื่อย ๆ ตามทางออกไปนอกหมู่บ้าน ทางที่นำเข้าไปในภูเขาซึ่งอยู่คนละด้านกับแม่น้ำชิมิซึเป็นทางดินเรียบที่เดินไม่ลำบากเลยเพราะตั้งใจให้ผู้คนใช้เป็นเส้นทางเดินป่าอยู่แล้ว และเมื่อเดินตามเส้นทางนี้ไปเรื่อย ๆ จะเจอทางแยกที่ขึ้นไปสู่จุดชมวิว เอย์จิชี้ให้รุ่นน้องของเขาดูพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า
        “ทางจะปิดในฤดูหนาวเวลาที่มีหิมะตกหนัก ๆ เพราะมันเสี่ยงกับการเกิดหิมะถล่ม”
        ชินจิมองตาม เขาเห็นเส้นทางคดเคี้ยวที่สองข้างเป็นป่าโปร่ง ใบไม้สีแดงหล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นเต็มไปหมด ส่วนอีกทางหนึ่งที่เอย์จิกำลังเดินนำหน้าไปเป็นทางดินเหมือนกัน แต่ป่าสองข้างทางดูจะทึบกว่า ต้นไม้แต่ละต้นสูงใหญ่ ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มไม่ต่างจากเปลวเพลิง
        “เดินไปตามทางนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะถึงทะเลสาบที่ชื่อทะเลสาบบิวะ คนที่นี่เรียกว่าทะเลสาบในหมอก เพราะบริเวณนั้นมักจะมีหมอกลงจัด บางคนไปถึงแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะสายหมอกบังหมด แต่วันนี้อากาศดี แดดออก นายอาจจะมีโอกาสได้เห็น ทะเลสาบบิวะเป็นที่ที่สวยงามมาก”
        “ผมเคยเห็นรูปในอินเทอร์เน็ตครับ”
        “ไม่สวยเท่าของจริงหรอก” เอย์จิมองรุ่นน้อง ก่อนถามขึ้นว่า
        “นายกลัวรึเปล่าที่จะต้องเข้าไปในภูเขา แต่ตราบใดที่เราไม่ไปไกลเกินกว่าทะเลสาบบิวะมันก็ไม่มีอะไร”
        “ก็กลัวเหมือนกันครับ” ชินจิยอมรับ ความรู้สึกนึกคิดของเขาคงออกมาทางสีหน้าหมด รุ่นพี่ถึงได้ตั้งคำถามได้เหมือนกับนั่งอยู่ในใจของเขาแบบนี้
        “ผมอ่านข่าวคนหายในภูเขา แล้วเมื่อกี้คุณตานากามูระก็ยังพูด...”
        ชายหนุ่มชะงัก ไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่
        “คุณตาแกว่ายังไงล่ะ”
        “เตือนให้ระวังหมอกครับ”
        “เป็นธรรมดา ถ้าหมอกจัดมากก็เสี่ยงที่จะหลงทางได้” เอย์จิพูดเสียงเรียบ “ถ้านายกลัว ไม่อยากไป เราก็กลับ”
        ชินจิหยุดคิด แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า ปฎิเสธว่า
        “ถ้าเป็นผมคนเดียวผมคงกลัว ไม่กล้าไป แต่นี่ผมอยู่กับเอย์จิซัง ผมไม่กลัวครับ ผมอยากเห็นทะเลสาบบิวะด้วยตาของผมเอง ผมจะระวังตัว เชื่อฟังรุ่นพี่ กรุณาพาผมไปที่นั่นด้วยนะครับ”
        “งั้นก็ตามมา ฉันอยากให้นายได้เห็นทะเลสาบนั่นจริง ๆ”
        พูดจบเอย์จิก็ออกเดินนำ ชินจิเดินตามไปติด ๆ เขาเชื่อตามที่ตัวเองพูด จะเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่เพียงว่าถ้าเขาอยู่กับเอย์จิก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกลัวหรือกังวลใจใด ๆ
   
        ป่าทึบมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินลึกเข้าไปในภูเขามิคามิ แต่ทุกก้าวที่เดิน ชินจิก็รู้สึกเช่นกันว่าป่าทวีความสวยงามมากขึ้นจนน่าพิศวง ใบไม้ที่ว่าเป็นสีแดงจัดแล้วก็ยังแดงขึ้นได้อีก ทั้งใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นและใบไม้จากต้นไม้สองข้างทางที่ชูยอดสูงเบียดเสียดกันจนแทบมองทะลุขึ้นไปเห็นท้องฟ้าเบื้องบนไม่ได้ แต่ละก้าวของชายหนุ่มให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังเดินลอดใต้อุโมงค์เพลิงที่กำลังลุกไหม้โชติช่วง
        ชินจิแหงนหน้ามองฟ้า หมุนตัวมองไปรอบ ๆ ด้วยความทึ่งแกมตื่นใจ และแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินช้าลง รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนที่เดินนำหน้าทิ้งห่างไปไกลจนมองไม่เห็นตัวเสียแล้ว เอย์จิเดินลับหายไปตามทางโค้ง แต่นั่นไม่ทำให้ชินจิรู้สึกตกใจมากเท่ากับอะไรบางอย่างที่เจอเข้าอย่างกะทันหัน
        สุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นยืนอยู่ข้างต้นโมมิจิต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ขนของมันเป็นสีขาวสะอาดราวกับหิมะที่เพิ่งตกใหม่ และมันอยู่ใกล้มากชนิดที่สามารถกระโจนถึงตัวเขาได้ในคราวเดียว
        ชินจิตะลึงมอง เช่นเดียวกับสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่กำลังจ้องเขาเขม็ง
        น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวจิ้งจอกขาวตัวนี้มากเท่าที่คิด อาจจะเพราะว่ามันเป็นสัตว์ที่สวยงามเป็นอย่างยิ่งก็ได้ มันสวยยิ่งกว่าสัตว์ป่าที่เคยเห็นในสวนสัตว์ชนิดเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
        “ชินจิ!”
        เสียงของเอย์จิเรียกหาเขาดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ยังไม่โผล่มาให้เห็นตัว ชายหนุ่มสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ในทันที และเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปเลย
        ชินจิโบกมือไล่สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวนั้น บอกมันว่า
        “รีบหนีไป เร็วเข้า เอย์จิซังกำลังจะมาแล้ว ถ้าเห็นแกเข้า เอย์จิซังอาจจะยิงแกก็ได้ เขามีธนู”
        “ชินจิ!” เสียงเรียกดังใกล้เข้ามา
        “ไปเร็ว หนีไปเดี๋ยวนี้”
        สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่มองชินจินิ่งอยู่แวบหนึ่งก็หันหลัง กระโจนแผล็วหายลับไปในพริบตาพร้อม ๆ กับที่ร่างสูงใหญ่ของเอย์จิเดินแกมวิ่งมาหา สีหน้าของเขาร้อนรนด้วยความตกใจ
        “ชินจิ อยู่นี่เอง” ชายหนุ่มอุทานด้วยความโล่งอก “ฉันนึกว่านายหายไปไหนซะอีก”
        “ขอโทษครับ ผมหยุดดูใบไม้นานไปหน่อย คือมันสวยจนอดใจไม่ไหวเลยน่ะครับ” ชินจิรีบแก้ตัวเพราะเมื่อรุ่นพี่เห็นว่าเขาปลอดภัยดี ความโล่งอกก็ดูจะเปลี่ยนเป็นความโกรธ หน้าที่ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้วของเอย์จิกลายเป็นถมึงทึง
        “คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม!”
        ชินจิคอย่นเมื่อโดนเอ็ด ก้มหน้ายอมรับความผิดแต่โดยดี
        “ผมขอโทษครับ ต่อไปผมจะระวังให้มากกว่านี้”
        “ช่างเถอะ” ความโกรธของเอย์จิหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากเห็นท่าทางสำนึกผิดของอีกฝ่าย เขาคว้ามือชินจิมาจูง บอกว่า
             “ไปกันต่อได้แล้ว”
             แต่ชินจิไม่ยอมเดิน น้ำเสียงของชายหนุ่มรุ่นน้องอึกอักและท่าทางก็ดูขัดเขิน
             “เอ้อ... ปล่อยมือเถอะครับ ผม... ผมเดินเองดีกว่า”
             “ไม่ได้” เอย์สวนทันควัน หน้าตึง “ถ้านายคลาดสายตาไปอีก ฉันจะทำยังไง ถ้าไม่อยากให้จูงก็กลับ ฉันไม่เสี่ยงกับการให้นายหายไปจากฉันอีกแน่”
             ชินจิจึงปิดปากเงียบ ยอมให้รุ่นพี่จับมือจูงเดินไปแต่โดยดี ขณะเดียวกันก็ภาวนาในใจด้วยว่า อย่าให้ตัวเองหน้าแดงนักเลย
             เขาไม่น่าเริ่มคิดอะไรเหลวไหลก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ พอมาถึงตอนนี้ มันก็ชักยากเกินไปแล้วที่จะหยุดคิด เขานี่มันแย่จริง ๆ เอย์จิคือรุ่นพี่ของเขานะ
             ชายหนุ่มย้ำกับตัวเองซ้ำ ๆ
             ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาเดินโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยนับจากนั้น และนั่นช่วยชินจิได้มากเพราะทำให้เขามีเวลาระงับจิตระงับใจและสงบสติอารมณ์จนสามารถเดินเฉย ๆ ให้เอย์จิจูงมือได้โดยไม่คิดอะไรมากอีก
             ในที่สุด หลังจากเดินกันมาร่วมชั่วโมง ทั้งคู่ก็บรรลุถึงเป้าหมาย
             ชินจิอ้าปากค้างกับความงามที่เห็นตรงหน้า
             “นายโชคดี ชินจิ วันนี้ไม่มีหมอกเลยแม้แต่นิดเดียว ปกติเราจะไม่ได้เห็นชัดขนาดนี้หรอก” เสียงเอย์จิดังขึ้น แต่ชินจิแทบไม่ได้ยินอะไร เพียงแค่รู้สึกว่ามือใหญ่ที่จับมือเขาอยู่คลายออก ปล่อยให้เขาเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวด้วยท่าทางอย่างคนลืมตัว
              “ทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบในสายหมอก” ชินจิพึมพำกับตัวเองเหมือนกำลังละเมอ เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นสิ่งที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน
              ขนาดของทะเลสาบไม่ใหญ่มากนัก ดูแล้วเหมือนกับบึงน้ำขนาดใหญ่มากกว่า น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าสดแปลกตาและนิ่งสนิทราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุข ในน้ำบริเวณริมตลิ่ง มีต้นไม้ต้นเรียวสูงที่มีเพียงแค่กิ่งก้านสีเทาโล้น ๆ ยืนต้นเรียงรายล้อมรอบตลอดแนวทะเลสาบประดุจเป็นรั้วกั้นอาณาเขต สีของต้นไม้ตัดกับสีแดงเพลิงเจิดจ้าของทิวไม้เบื้องหลัง ในจำนวนต้นไม้ทั้งหมดมีต้นหนึ่งที่สูงเด่นเหนือกว่าทุกต้นและสีเป็นสีเทาเข้มแตกต่างจากต้นอื่น ๆ
              เอย์จิเดินขึ้นมายืนเคียงข้างรุ่นน้องของเขา
              “ผู้คนเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่นี่เป็นทะเลสาบของมังกร มีมังกรหลับใหลอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้” ชายหนุ่มเล่า
              “มังกรผู้มีอำนาจควบคุมน้ำ เมฆ หมอกและสายฝนได้ดั่งใจ เป็นมังกรผู้ครอบครองลูกแก้วมันจุ ลูกแก้ววิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์พัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง”
              ชินจิยืนนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เสียงของคนข้างตัวเล่าต่อว่า
              “อิทธิฤทธิ์ของลูกแก้วมันจุประกอบกับอำนาจที่มีอยู่เดิมทำให้มังกรตัวนั้นมีพลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้ใดจะเทียบเคียงได้ ยกเว้นก็แต่มังกรอีกตัวที่เป็นพี่น้องกับมังกรตัวนั้น มังกรผู้น้องเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายมีพลังอำนาจมากเกินไปและแสดงอิทธิฤทธิ์สร้างความเดือดร้อนจนทำให้เกิดพิพาทกับมนุษย์ มังกรผู้น้องจึงร่วมมือกับมนุษย์ใช้อำนาจของลูกแก้วมันจุสะกดผู้เป็นพี่ชายให้หลับใหลตลอดกาลอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ ฝ่ายมังกรสละลูกแก้ววิเศษในขณะที่ฝ่ายมนุษย์สละร่างเพื่อสร้างเขตแดนคุ้มกันไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามา และต้นไม้ในน้ำพวกนี้ก็คือผลจากการสร้างเขตแดนนั้น”
               “หมายความว่าลูกแก้วมันจุอยู่ที่นี่หรือครับ” ชินจิถาม
               “ว่ากันว่าอย่างนั้น ลูกแก้วมันจุเป็นลูกแก้วสีฟ้า เมื่อลูกแก้วอยู่ที่นี่ น้ำในทะเลสาบจึงมีสีเดียวกัน ก็คือสีฟ้าสดอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้ และจุดที่ลูกแก้วอยู่ก็คือจุดตรงที่มีต้นไม้สีเข้มที่สุดและสูงที่สุดยืนต้นเป็นสัญลักษณ์อยู่นั่นแหละ ตรงนั้นถือเป็นศูนย์กลางของอาณาเขต เขาเล่ากันด้วยว่าถ้าต้นไม้ต้นนี้ถูกทำลายลง มังกรจะตื่นขึ้น ลูกแก้วมันจุจะสำแดงพลังอีกครั้ง ฝ่ายมนุษย์จึงได้เป็นผู้เก็บรักษาลูกแก้วคันจุ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มังกรตื่นขึ้นมาก็มีเพียงแค่ลูกแก้วคันจุเท่านั้นที่จะทานอิทธิฤทธิ์ของลูกแก้วมันจุได้”
               “แต่คุณบอกว่าลูกแก้วคันจุถูกขโมยไปแล้วนี่ครับ”
               “ใช่ และทุกคนก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเลย”
               ชินจิฟังแล้วนิ่วหน้า เขาฟังเรื่องที่เอย์จิเล่าในฐานะที่เป็นนิทานหรือตำนาน แต่เรื่องมันก็ฟังดูจริงจังมากจนน่าสงสัยว่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องมังกร ลูกแก้ววิเศษ เขตแดนที่สร้างด้วยชีวิตของมนุษย์ก็ฟังดูเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องจริงไปได้
               เอย์จิที่จับสังเกตมาตลอด เห็นสีหน้าปั้นยากของชินจิแล้วก็อดใจไม่อยู่ หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้รุ่นน้องหันขวับมามองทันทีด้วยความฉงน
               “นิทานสนุกไหม ฉันคงไม่ได้เป็นนักเล่าที่น่าเบื่อหรอกนะ” เอย์จิพูดกลั้วหัวเราะ
               “อ้าว ตกลงนี่หลอกผมให้ฟังอยู่ตั้งนานหรือครับ ผมกำลังจะเชื่ออยู่แล้วด้วยนะ!” ชินจิโวยทันที
               “ก็ฟังเป็นนิทานไปก่อน เรื่องบางเรื่อง แค่คำบอกเล่า เรายังไม่สามารถปักใจเชื่อได้ทันทีไม่ใช่เหรอว่าเป็นเรื่องจริง ต้องรอให้เห็นกับตาตัวเองเสียก่อนสิ แล้วค่อยตัดสินใจ” เอย์จิสอน แต่ชินจิเคืองจนไม่สนใจแล้ว ชายหนุ่มหันหลังให้รุ่นพี่อย่างจงใจและพยายามจะเดินเข้าไปให้ใกล้ทะเลสาบที่สุดโดยมีเสียงของเอย์จิร้องไล่หลัง
               “เอ้า จะไปไหน รอกันด้วยสิชินจิ เฮ้!”
               ชินจิเมินเสียงเรียกนั้นโดยสิ้นเชิง

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               เข้าไปใกล้ไม่ได้... เข้าไปใกล้ไม่ได้
               สายหมอกจาง ๆ โรยตัวลงมาจากด้านบน มันเลื่อนลอยเข้าไปใกล้จากทุกทิศทาง พยายามกินแดนเข้าไปเรื่อย ๆ มันสามารถเคลื่อนคลุมไปทั่วทั้งบริเวณทะเลสาบ กลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไปภายในความว่างเปล่าสีขาวขุ่นที่ไร้ตัวตน แต่วันนี้มันกลับต้องหยุดชะงักเพียงแค่เขตแดนรอบนอก
               อะไรบางอย่าง... อะไรบางอย่างกางกั้นสายหมอกเอาไว้
               ผู้ชายสองคนยืนอยู่ด้วยกันที่ริมทะเลสาบ ท้องน้ำสีฟ้าสดสงบนิ่ง ทัศนวิสัยกระจ่างชัดเจน
               ทำไมนะ... ทำไมกัน
               หมอกขาวเริ่มทวีตัวหนาแน่นขึ้น เคลื่อนกระจายไปรอบทิศทางทำให้บรรยากาศหนักข้นขึ้นเรื่อย ๆ
               ชินจิสะกิดเรียกรุ่นพี่ของเขา
               “เอย์จิซัง รู้สึกเหมือนผมรึเปล่า ทำไมผมรู้สึกอึดอัดแบบแปลก ๆ หายใจไม่ค่อยสะดวก อากาศก็ดูจะหนาวขึ้นด้วยนะครับ”
               เหงื่อซึมออกมาตามไรผมของเอย์จิ เขารู้สึกอย่างเดียวกันโดยที่รุ่นน้องไม่จำเป็นต้องบอก ท่าทางของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นระแวดระวังทันที มือกระชับคันธนูแน่น สายตาสอดส่ายไปมารอบตัว
               อากาศยังดีอยู่ แต่เขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้นแล้ว
               “กลับเถอะ ชินจิ ยังต้องเดินอีกไกล เราต้องกลับถึงบ้านก่อนฟ้าจะมืด” ชายหนุ่มตัดสินใจและใช้มือข้างที่ว่างคว้ามือรุ่นน้องจูงให้เดินตาม คราวนี้ชินจิไม่มีใจจะมามัวขัดเขินหรือพยายามคัดค้านอะไรอีก เขากระชับมือรุ่นพี่แน่น รีบก้าวขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปให้พ้นจากบริเวณนี้
               หมอกขาวเคลื่อนเข้ายึดอาณาเขตทันทีที่มนุษย์สองคนก้าวพ้นเขตแดนที่มันมีพลังควบคุมอยู่ มันโรยตัวคลุมทะเลสาบสีฟ้าได้แต่ไม่มีสิทธิ์ไปไกลเกินกว่านั้นในทิศทางที่นำไปสู่คันโจโคเอน หมู่บ้านอันเป็นเสมือนปราการหน้าด่านของมนุษย์
               ฟ้ามืดลง หมอกก็ยิ่งกระจายตัวเคลื่อนคล้อยลอยละล่องไปทั่วทั้งภูเขา ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป หมอกสีขาวเหมือนผ้าห่มบางเบาสีมัว ๆ คลี่คลุมเขตแดนรอบนอกของสถานที่หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางขุนเขา จากนั้นหมอกจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีเข้มขึ้นเป็นสีของดอกไลแลค สีม่วงจาง ๆ เฉดที่ใกล้เคียงกับสีขาวที่สุด
               หมอกสีม่วงจาง ๆ ลอยวนอยู่รอบสถานที่ที่ว่าเท่านั้น มันเป็นสัญลักษณ์แสดงเขตแดนของ “ฮะคุริว”
               ฮะคุริว ปราสาทสีขาวใจกลางภูเขามิคามิ เป็นศูนย์กลางของดินแดนที่มนุษย์ไม่อาจล่วงล้ำ
               ดินแดนของมังกร อสูรและภูตพราย
               หมอกสีขาวรวมตัวกันจนเห็นเป็นรูปร่างของชายกลางคนร่างสูงผอม ผิวสีขาวซีด ผมสีดำหยิกฟูยาวถึงกึ่งกลางหลัง เปลือกตาทาสีเทาเข้ม รูปตาเรียว ไว้หนวดและเคราบาง ๆ ใบหน้าดูเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย เขาสวมเสื้อผ้าโปร่งแขนยาวสีเทาอ่อนลวดลายคล้ายใบไม้ เสื้อข้างในเป็นสีดำมันเลื่อม ๆ ใส่กางเกงหนังลายเกล็ดงูสีดำฟิตแนบขาผอมเรียวกับรองเท้าบู๊ตหนังสีดำขนาดครึ่งแข้ง
               เขาประจันหน้ากับหมอกสีม่วงจางที่ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นชายหนุ่มรูปร่างเพรียวและผอมจนแทบจะเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าเรียวยาว โหนกแก้มขึ้นชัด แก้มตอบ คิ้วกันได้รูป เขียนขอบตาสีดำทำให้เห็นดวงตาเด่นที่สุดบนใบหน้า ผมสีดำยาวประบ่าปัดให้เทไปทางด้านซ้าย ปอยผมแต่ละปอยจับให้ชี้ตั้งได้ทรง ผมด้านขวาบางปอยเป็นสีม่วงเข้มและมีขนนกลายขาวดำติดแทรกอยู่ด้วย ชายหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กระดุมด้านหน้าแบะออกเผยให้เห็นแผ่นอกแบนเรียบและอัญมณีเม็ดเดี่ยวสีม่วงที่สวมอยู่ที่คอ ท่อนล่างเป็นกางเกงหนังสีดำแนบเรียวขากับบู๊ตขนาดครึ่งแข้งสีเดียวกัน เล็บมือทาสีดำสนิท
               “ท่านมาซาคาโดะ” ชายหนุ่มผู้ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นฝ่ายคำนับและทักทายก่อนเนื่องจากอ่อนวัยกว่า แต่คิ้วขมวดมุ่น ตาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นอาการซวนเซของฝ่ายผู้อาวุโสกว่า
               “ท่านดื่มมาอีกแล้วใช่ไหม ครั้งนี้ออกจะมากไปหน่อยนะ”
               “อย่าบ่นข้านักเลยน่ะมุราซากิ สุราเลิศรสเป็นสิ่งวิเศษยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ท่านมิโคโตะยังไม่ว่ากล่าวข้าเรื่องนี้เลยสักนิด” ชายกลางคนหรือแท้จริงคืออสูรผู้ทำให้คนหลงทางในภูเขา ผู้พิทักษ์เขตแดนรอบนอกสุด โบกมือใส่อสูรสายหมอกผู้ทำหน้าที่พิทักษ์เขตแดนด้านในและรอบปราสาทฮะคุริวด้วยท่าทางรำคาญ ปกติอสูรสายหมอกเป็นผู้ที่สุภาพ ออกจะขี้อายและไม่ค่อยพูด เว้นแต่เรื่องสุราเท่านั้นที่อสูรพูดน้อยจะกลายเป็นอสูรขี้บ่นไปในทันที มาซาคาโดะแจ้งว่า
               “ข้าขอพบท่านมิโคโตะ มีเรื่องจะรายงาน เจ้าก็ควรเข้าไปกับข้าด้วย”
               มุราซากิก้มศีรษะรับและเดินนำอสูรผู้มีอายุมากกว่าเข้าไปภายในเขตแดนของตน
               ปราสาทสีขาวค่อย ๆ แลเห็นชัดเจนขึ้นภายในสายหมอกสีม่วงจาง ฮะคุริวเป็นปราสาทสองชั้นทรงยาว กำแพงสีขาว ส่วนล่างเป็นลายอิฐสี่เหลี่ยมสีเทา ฐานกำแพงส่วนล่างสุดและฐานตัวปราสาทเป็นหินกลมก้อนใหญ่สีเข้มซ้อนกันสูงเป็นเนินหินที่แข็งแกร่งแน่นหนา ล้อมรอบด้วยโซโตโบริหรือคูน้ำชั้นนอกสุดอีกทีหนึ่ง ทางเข้าเป็นหอสูงเรียกว่าประตูอาโอโซระ นำไปสู่ซันโนะมะรุหรือปีกที่สามซึ่งเป็นส่วนด้านนอกสุดและอุจิโบริหรือคูน้ำชั้นในที่ล้อมรอบนิโนะมะรุหรือปีกที่สอง กับฮมมะรุหรือปีกในซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนในสุดและสำคัญที่สุดเพราะเป็นที่อาศัยของเจ้าของปราสาท
               มิโคโตะ เจ้าของปราสาทฮะคุริว หัวใจแห่งขุนเขา เจ้าแห่งอสูรและภูตพรายทั้งมวลในภูเขามิคามิ
               มุราซากินำมาซาคาโดะผ่านประตูอาโอโซระข้ามสะพานและทางเดินเชื่อมส่วนต่าง ๆ รวมทั้งสวนของปราสาทเข้าสู่หอคอยอามาอิภายในเขตฮมมะรุ เสียงดนตรีที่ดังให้ได้ยินตั้งแต่เข้าอาณาเขตของฮะคุริวยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใกล้หอคอยซึ่งมิโคโตะครอบครองอยู่
               ราชันแห่งภูเขาหลงใหลเสียงดนตรี
               เสียงดนตรีและเสียงเพลงจากฮะคุริวขับกล่อมภูเขามิคามิทั้งทิวาและราตรี บางคราวเสียงดนตรีจะลอยไปถึงเขตแดนของมนุษย์ แทรกประสานไปกับเสียงใบไม้ไหวกระทบกันและเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่าน
               อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนทั้งสองตนหยุดนิ่งอย่างสำรวมอยู่หน้าประตูบานเลื่อนสีขาวนวลเขียนลายต้นสนและนกกระเรียนสีทอง ครู่ต่อมา ประตูก็เลื่อนเปิดออกเองอย่างช้า ๆ
               มาซาคาโดะและมุราซากิโค้งคำนับด้วยความเคารพสูงสุด
               เสียงดีดชามิเซ็งเป็นจังหวะราวกับเสียงเหยาะย่างอย่างสง่างามของกวางตัวผู้ในฤดูใบไม้ร่วงหยุดลงในเวลาเดียวกับที่อสูรทั้งสองเงยหน้าขึ้น
               ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ของหอคอยอามาอิ อสูรทั้งหลายอยู่กันพร้อมหน้า แต่สายตาของทั้งสองตนถูกดึงดูดให้จ้องจับอยู่เฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องบนยกพื้นสูงหน้าภาพวาดสูงจรดเพดาน ในภาพมีมังกรสองตัว ตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวหนึ่งสีแดง ต่างกำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มีลูกแก้วสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับลอยอยู่
               ผู้ที่อยู่บนยกพื้นสูงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนกองหมอนนุ่ม ๆ ร่างนั้นสะโอดสะองแต่ไม่แบบบาง เสื้อคลุมแขนยาวสีขาวลายลูกไม้ถักละเอียดปักแทรกด้วยไข่มุกเม็ดเล็กสีนวลเปิดให้เห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง กางเกงหนังสีดำมันวาวแนบติดกับท่อนขาเรียวยาว สวมรองเท้าบู๊ตหนังสีเดียวกันยาวเกือบถึงเข่า รูปร่างงามเช่นเดียวกับใบหน้าที่ถึงแม้ตอนนี้จะเรียบเฉย ดวงตาเรียวแต่งแต้มด้วยสีดำให้เห็นรูปตาชัด จมูกโด่ง ริมฝีปากบางทาสีแดงคล้ำ ผมหยักศกยาวสลวยเป็นสีทองและผิวขาวจัดจนเหมือนกับจะส่องแสงได้
               ผู้นี้คือมิโคโตะ มังกรขาวผู้มีความงดงามโดดเด่นเหนืออสูรและภูตพรายทั้งปวง
               “เข้ามาสิ” เจ้าแห่งขุนเขาเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล
               เมื่อได้รับอนุญาต มาซาคาโดะและมุราซากิจึงเดินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าและโค้งคำนับจนศีรษะจรดพื้นอีกครั้ง
               “เจ้าทั้งสองมาพร้อมหน้ากันเช่นนี้คงมีอะไรพิเศษมาบอกข้าใช่หรือไม่”
               “ขอรับ” มาซาคาโดะเป็นผู้รายงาน น้ำเสียงของเขาอ้อแอ้เล็กน้อยเพราะฤทธิ์สุรา แต่ก็เป็นตามที่เจ้าตัวบอก มิโคโตะไม่เคยว่ากล่าวอะไร ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ราชันของเขายังวางหน้าเฉย รอให้เขาพูดต่อ
               “เมื่อสักครู่นี้มีมนุษย์สองคนเข้ามาถึงบริเวณรอบนอกของทะเลสาบบิวะ แต่ไม่ได้ข้ามมายังเขตแดนของเรา...”
               มาซาคาโดะยังไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า
               “อะไรกัน เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องมาขัดความสำราญของท่านมิโคโตะและดนตรีของข้าทีเดียวหรือ” น้ำเสียงนั้นแสดงความรำคาญเต็มที่ มาซาคาโดะหันไปมองผู้พูดที่นั่งอยู่บนแท่นทางด้านข้างซึ่งเปรียบเสมือนเวทีภายในห้อง อสูรผู้นั้นอยู่ในร่างของชายหนุ่มร่างสูง สวมเสื้อคลุมตัวยาวถึงหน้าขา กางเกงขายาวและรองเท้าหนังหุ้มส้น เครื่องแต่งกายทั้งหมดเป็นสีดำ รวมทั้งผ้าพันคอผืนบางที่พันรอบคอทับสร้อยสีเงินสองเส้นความยาวไม่เท่ากัน สร้อยเส้นในเป็นเส้นสั้นห้อยจี้เพชรเล็ก ๆ เส้นนอกยาวกว่าห้อยจี้นิลเม็ดเดี่ยวขนาดใหญ่กว่าเพชรประมาณเท่าตัว ใบหน้าของเขาเชิดขึ้น ท่าทางเย่อหยิ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าแสกกลาง ปลายผมทั้งสองข้างถูกดัดให้งอนออกพองาม เขาเป็นหนึ่งในสองของอสูรผู้ที่เล่นชามิเซ็ง
               “อิบุกิ” มาซาคาโดะเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงและหน้าตาเฉยเมยตามนิสัย เขาไม่ขัดเคืองแม้ว่าจะถูกอสูรอสรพิษผู้เปรียบเหมือนคนสนิทของมิโคโตะเหน็บเอาเช่นนั้น เพียงแต่ตอบกลับไปเรียบ ๆ ว่า
               “ข้ายังรายงานไม่จบ”
               แม้ว่าผู้พูดไม่มีเจตนาจะกวนอารมณ์อิบุกิ แต่คำพูดของเขากลายเป็นเครื่องมือให้อสูรอีกตนภายในห้องที่นั่งอยู่ฟากตรงข้ามเวทีฉวยเอาไปใช้เป็นโอกาสให้ได้หัวเราะเยาะยั่วทันที
               “หัวเราะอะไรของเจ้า วาคานะ” อิบุกิถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ
               “ก็หัวเราะท่านมาซาคาโดะอย่างไรล่ะ  รีบร้อนพูด ไม่ดูตาม้าตาเรือ” อสูรตนนั้นลอยหน้าลอยตาตอบ วาคานะเป็นอสูรซาโตริผู้มีอำนาจในการอ่านใจผู้คน รูปร่างสูงและมีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ผิวขาวผ่อง ใส่กิโมโนลายขวางสีดำสลับขาวยาวเหนือข้อเท้าขึ้นมาเล็กน้อย ชายผ้าแหวกให้เห็นรองเท้าบู๊ตสีดำสูงถึงหัวเข่า คาดโอบิสีแดงสดทิ้งชายยาวลากพื้น ผมของเขาสีดำไว้ยาวประบ่า คิ้วกันบางโค้งได้รูป สิ่งที่เด่นที่สุดบนใบหน้าคือดวงตาเหมือนลูกแก้วสีเขียวอมฟ้า แต่ได้เห็นดวงตาแสนสวยนี้เพียงข้างเดียว อีกข้างถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าคาดตาสีดำ ใบหน้าแต้มสีชมพูบาง ๆ บนริมฝีปากและพวงแก้ม
               น้ำเสียงของวาคานะไพเราะสมกับที่เป็นผู้มีความสามารถในการขับร้อง แต่เสียงที่เขาเปล่งออกมาในตอนนี้บาดหูอิบุกิมากจนอสูรอสรพิษผู้มีใบหน้าเชิดหยิ่งแทบอยากจะขว้างเครื่องดนตรีในมือใส่หน้า แต่เขาก็ไม่อาจทำได้เพราะอสูรที่นั่งข้าง ๆ ดูจะเดาความปรารถนาของเขาออก
               คาเสะฮายะผู้ที่เล่นชามิเซ็งคู่กับเขาเป็นคาไมทะจิ อสูรผู้มีความเร็วดุจลมพัด เขาอยู่ในร่างของชายหนุ่มผมสั้นสีบลอนด์จางเกือบขาว ดวงตาสีแดงก่ำ เหนือคิ้วด้านขวาเจาะใส่ลูกปัดเล็ก ๆ สีเงิน หูข้างซ้ายเจาะใส่ลูกปัดสีเดียวกันตั้งแต่ที่ติ่งหูยาวไปตลอดแนวใบหู คาดผ้าปิดปากสีดำ รูปร่างไม่สูงมาก ใส่กิโมโนยาวสีขาวล้วน เผยให้เห็นรอยสักที่ต้นคอด้านซ้าย อสูรสายลมเอื้อมมือที่ทาเล็บสีดำสนิทมารั้งแขนเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไม่พูดอะไรตามนิสัย แต่พยักพเยิดไปยังร่างที่นั่งอยู่บนแท่นสูง
                มิโคโตะที่เคยวางหน้าเฉยขมวดคิ้วนิด ๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้อสูรทั้งหลายในห้องรับรู้แล้วว่าราชันของพวกตนกำลังรำคาญใจ
                วาคานะหุบปากเงียบและอิบุกิสะบัดแขนออก หน้าเชิดขึ้นสูง
                “พูดต่อไปซิ มาซาคาโดะ” มิโคโตะเอ่ยขึ้น
                “หนึ่งในสองเป็นบุตรชายของท่านนักปัดรังควานแห่งศาลเจ้าอินาริ ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
                “เจ้าเด็กพูดมากนั่นน่ะหรือ” คราวนี้มิโคโตะแสดงสีหน้ารำคาญให้เห็นอย่างชัดเจน
                “ไม่ใช่ขอรับ เป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งที่ถูกส่งไปอยู่แดนไกล แต่ที่น่าแปลกคือ ข้าเข้าใกล้ทั้งสองคนไม่ได้ เหมือนมีอะไรบางอย่างผลักดันข้าออกมา ไม่ให้หมอกของข้าคลี่คลุมทั่วทะเลสาบเหมือนเช่นที่เคย”
                “บุตรชายคนนั้นของท่านนักปัดรังควานไม่มีพลังเวทใด ๆ ไม่ใช่หรือถึงได้ถูกส่งตัวออกไปเพราะไร้ความสามารถและไม่ใช่ผู้สืบทอด มนุษย์ผู้นั้นจะต้านพลังของท่านได้อย่างไร แค่เครื่องรางที่ติดตัวอยู่กันได้ก็แค่พวกภูตพรายชั้นต่ำเท่านั้น” อิบุกิถามด้วยความสงสัย
                “ข้าไม่รู้” มาซาคาโดะตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นเดิม
                “น่าแปลกทีเดียวอย่างที่ว่า” มิโคโตะมีสีหน้าครุ่นคิด แต่แล้วก็ปัดความคิดอันนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ช่างเถอะ ตราบใดที่ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของเราเข้ามาก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องใส่ใจ”
                เมื่อผู้นำแห่งขุนเขาตัดสินใจเช่นนั้น อสูรทั้งหมดก็เลิกสนใจเช่นกัน อิบุกิกับคาเสะฮายะเริ่มบรรเลงชามิเซ็งต่อขณะที่อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนทั้งสองสลายตัวเป็นสายหมอกลอยหายออกไป
                แต่ดนตรีบรรเลงได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง
                ประตูบานเลื่อนสีขาวนวลถูกเลื่อนเปิดออกโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากผู้ใด สายตาของอสูรในห้องโถงใหญ่หันไปมองพร้อมกัน แล้ววาคานะก็เป็นผู้ออกปากตำหนิเป็นคนแรก
                “ไม่รู้จักมารยาทหรืออย่างไร อาคางิ”
                นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าจ้องเขม็งไปยังผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลาง เจ้าของชื่อคืออสูรร่างสูงคมสัน ผมสีแดงจ้าไถด้านข้างเกรียนเหลือด้านบนยาวปัดเทไปทางซ้าย ผิวขาวจนเป็นซีด บนใบหน้าไร้สีสันใด ๆ แต่งแต้ม รูปตาเฉียง ริมฝีปากหยักได้รูปสวยเท่านั้นที่ปรากฏสีแดงระเรื่อ ใต้ตาซ้ายมีปานสีดำเป็นรูปดาว หูขวาเจาะใส่ต่างหูยาว ตรงปลายเป็นทับทิมสีแดงน้ำดีเม็ดค่อนข้างใหญ่ อาคางิสวมเสื้อผ้าต่างกับอสูรที่อยู่ในห้องโถง เขาใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนสีดำ คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาล รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ ข้อมือสองข้างคาดผ้ายืดลายทางสีขาวสลับชมพูเข้ากับผ้าพันคอผืนใหญ่ที่พันรอบคอจนหนา
                อาคางิเพียงยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ยี่หระ แต่ผู้ที่ออกตัวให้แทนคืออสูรที่ยืนอยู่ทางด้านขวา เป็นอสูรร่างสูงทัดเทียมกัน ผมสีบลอนด์จางเกือบขาวตัดสั้นเป็นพุ่ม ผมด้านหน้าปัดไปข้างหนึ่ง ใบหน้าของเขาไร้สีสันเช่นเดียวกัน สวมแว่นตากรอบสีดำ หูทั้งสองข้างเจาะใส่อัญมณีรูปกลมสีดำ แบบเดียวกับสร้อยเส้นยาวที่สวมอยู่ที่คอ อสูรหนุ่มใส่สีดำทั้งชุด ขนสัตว์สีน้ำตาลอ่อนฟูหนาที่ติดอยู่ที่หมวกฮู้ดของเสื้อโค้ทเห็นเด่นสะดุดตา
                “ท่านมิโคโตะยังไม่พูดอะไรเลย ท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาตำหนิท่านอาคางิ” เจ้าของชื่อไทมะซึมะรุพูด ขณะที่พูดนั้น ทั้งดวงตาและท่อนแขนทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงจ้าเหมือนเปลวคบเพลิง
                “มันจะมากไปแล้วนะ เจ้าอสูรเกิดใหม่ อย่าโอหังมากนัก”
                วาคานะขยับตัวพร้อม ๆ กับอสูรอีกตนที่ยืนขนาบอยู่ทางด้านซ้ายของอาคางิก้าวออกมาขวางหน้า
                “หยุด! วาคานะ!” เสียงของมิโคโตะคือประกาศิต วาคานะหยุดทันทีและกลับสู่ที่ของตน
                “เจ้าก็ถอยไป อาราชิ” อาคางิออกคำสั่ง อสูรเจ้าของชื่อถอยกลับไปยืนทางด้านซ้ายเช่นเดิมโดยไม่พูดอะไร อาราชิเป็นอสูรหนุ่มใส่สูทสีเทาเข้มตัดพอดีตัวทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสีดำตัดเป็นรองทรงสั้น ใบหน้าไร้การแต่งแต้มสีสันเช่นเดียวกัน ตรงมุมปากทั้งสองข้างมีลักยิ้ม เขาเป็นอสูรที่หน้าตาคมสัน แต่เงียบขรึมไม่มีคำพูด
                “มาหาข้ามีธุระอะไร” มิโคโตะเอ่ยถามเสียงเรียบ
                “ข้าได้ยินว่ามีมนุษย์ล่วงล้ำเข้ามา ข้าอยากทราบว่าท่านจะจัดการอย่างไร” น้ำเสียงของอสูรหนุ่มเบา ไม่ก้าวร้าวหรืออวดดีเหมือนกับไทมะซึมะรุ นัยน์ตาเท่านั้นที่กร้าวแข็งไม่ยอมสยบต่อผู้ใด
                “ไม่ทำอะไร มนุษย์สองคนเข้ามาที่ทะเลสาบ เป็นสิทธิ์ของมนุษย์เช่นกันที่จะไปเยือนที่นั่น”
                “แต่อีกนิดเดียวก็จะล่วงล้ำเขตแดนของเราเข้ามาแล้ว ท่านควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการตักเตือนมนุษย์พวกนั้นบ้าง” อาคางิโต้
                “มิโคโตะหรืออาคางิกันแน่ที่เป็นเจ้าแห่งภูเขามิคามิ”
                อาคางิชะงัก เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างอันงดงามนั้น มันกดดันจนทำให้เขาต้องก้มศีรษะลงต่ำและไม่กล้าต่อตาด้วยอย่างที่ทำเมื่อแรกปรากฎตัว อสูรผมสีแดงพยายามระงับอารมณ์โกรธที่กำลังพลุ่งพล่านอย่างเต็มที่ ในเวลานี้เขาไม่สามารถต่อกรกับมิโคโตะได้ เขาจำเป็นต้องรอ
                 “คำสั่งของข้า ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างอสูรกับมนุษย์ไม่สู้ดี เจ้าน่าจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดไม่ใช่หรืออาคางิ” น้ำเสียงของมิโคโตะมีแววรู้เท่าทัน
                 “ในเมื่อท่านตัดสินใจอย่างนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” อาคางิพูด แสดงท่าทีเหมือนยอมรับแต่โดยดี หากดวงตาแวววับด้วยความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาหันไปพูดกับอสูรสองตนที่ยืนขนาบข้างว่า
                 “กลับเถอะ ไทมะซึมะรุ อาราชิ ข้าได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว”
                 จากนั้นก็หันกลับมา โค้งศีรษะคำนับผู้เป็นราชันแห่งภูเขาอย่างอ่อนน้อม
                 “ข้าขอตัวก่อน ขออภัยที่มารบกวนเวลาสำราญของท่าน”
                 อสูรทั้งสองตนที่มาด้วยโค้งคำนับพร้อมกัน ไทมะซึมะรุแสดงท่าทีฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็ยอมตามอาคางิกลับไปพร้อมกับอาราชิ ลับร่างทั้งสาม วาคานะก็พูดขึ้นด้วยความขัดเคืองใจ
                 “อายุไม่เกินสามสี่ร้อยปีทำวางท่าโอหัง คิดปีนเกลียวกับอสูรที่อาวุโสกว่า ช่างไม่เจียมตนเอาเสียเลย”
                 “ทำไมท่านไม่ทำอะไรสักอย่างในเมื่อท่านก็รู้ว่าอาคางิคิดมักใหญ่ใฝ่สูงแค่ไหน” อิบุกิถาม
                 “เราไม่มีหลักฐาน” มิโคโตะตอบสั้น ๆ ท่าทีของเขาไม่แสดงว่าเป็นกังวลหรือรู้สึกอะไร แตกต่างจากอสูรหลายตนในห้อง มังกรขาวตัดบทด้วยการโบกมือเป็นสัญญาณให้เริ่มบรรเลงชามิเซ็งอีกครั้ง ครู่ต่อมา เสียงดนตรีก็ดังไปทั่วทั้งปราสาทสีขาว

                 เสียงดนตรีดังไปถึงเขตซันโนะมะรุหรือปีกส่วนนอกสุดซึ่งเป็นอาณาเขตของอาคางิและพรรคพวก ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงกว้าง ภายในห้องติดกระดาษปิดผนังเป็นลวดลายเถากุหลาบสีแดงอมน้ำตาล เฟอร์นิเจอร์ในห้องเป็นไม้สีน้ำตาลเข้มรวมทั้งตู้และโต๊ะเล็กวางโคมไฟทองเหลือง ผนังด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างสูงจรดเพดานติดกระจกสีเป็นลวดลายวิจิตร ใต้หน้าต่างตั้งชุดโซฟาหนานุ่มสีเทาพร้อมหมอนอิงหลายใบ บนพื้นไม้ใต้โซฟาปูพรมสีแดงลวดลายฉวัดเฉวียนหลากสีสัน
                 อาคางินั่งอยู่บนโซฟา ข้างตัวเขาเป็นไทมะซึมะรุ ส่วนอาราชิยืนตัวตรงนิ่งอยู่ข้างตู้ไม้ นอกจากอสูรทั้งสาม ข้างในห้องยังมีอสูรอีกสามตนอยู่ด้วย ตนแรกนั่งอยู่บนโซฟาขนาบข้างอาคางิคนละด้านกับไทมะซึมะรุ ผมสั้นสีเขียวโผล่ออกมาให้เห็นเป็นไร ๆ จากใต้หมวกไหมพรมสีดำ ใบหน้าของเขาปราศจากสีสันแต่งแต้ม รูปตาเฉียงจนแทบจะเห็นเป็นเส้นเดียว สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์ไหมพรมสีเขียวเข้ม คอกว้าง กางเกงสีดำกับรองเท้าแบบสนีกเกอร์ และชื่อของอสูรตนนี้คือ คะมิกิ
                 อสูรอีกสองตนนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมเดี่ยวห่างออกไปเล็กน้อย ตนแรกคือ ริคิมะรุ อสูรร่างใหญ่หนาเต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวขาว ไม่แต่งหน้า ผมสีดำไถด้านข้างเกรียนเป็นทรงอันเดอร์คัท เขาสวมหมวกแก๊ปสีดำ เจาะหูคล้องห่วงกลม ๆ สีเงิน ไม่สวมเสื้อ มีเพียงสร้อยเส้นใหญ่ถักจากเส้นเงินเป็นลวดลายละเอียดสวมอยู่ที่คอเท่านั้น กางเกงที่สวมเป็นหนังสีดำมันวาว ใส่รองเท้าท็อปบู๊ตแบบทหารตะวันตก อีกตนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวถัดไป เป็นอสูรที่อยู่ในร่างชายหนุ่มผิวขาวซีด ผมตัดเป็นพุ่มสีฟ้าสดเหมือนเส้นไหมพรม ใบหน้าไม่แต่ง ใส่เสื้อนอกสีขาวปักเลื่อมและลูกปัดหลากสี กางเกงและรองเท้าหุ้มส้นที่สวมอยู่เป็นสีขาว ตัวของเขาไม่ใหญ่หนามากเท่าอสูรตนอื่น แต่น้ำเสียงของเขานั้นอวดโอ่และท่าทางกร่างเหมือนตัวใหญ่กว่าคนอื่นสักสิบเท่า ชื่อของเขาคือซึชิกุโมะ และเขาเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า
                  “อสูรแก่ ๆ พวกนั้นมัวแต่สำเริงสำราญอยู่กับสุราและดนตรีห่วย ๆ น่าสมเพช”
                  “อีกไม่นานหรอกก็จะหมดเวลาของพวกมัน” อาคางิซึ่งเสมือนเป็นหัวหน้าของอสูรที่รวมตัวอยู่ในห้องนั้นพูด เขาอายุมากที่สุด มากกว่าอสูรเกิดใหม่ตนใด และมีพลังแกร่งกล้าที่สุดด้วย
                  “พวกคร่ำครึ หวาดกลัวพวกมนุษย์ต่ำต้อย แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าเป็นผู้มีพลังอันยิ่งใหญ่ ข้าต้องการออกไปจากที่นี่ ไปเขย่าขวัญพวกมนุษย์และกัดกินให้สิ้นซาก อสูรจะครองโลกอีกครั้ง ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในภูเขาแคบ ๆ แบบนี้”
                  “ข้าเห็นด้วยอย่างสุดหัวใจ อยากจะออกไปฆ่าฟันพวกมนุษย์เต็มแก่แล้ว” ริคิมะรุ อสูรร่างใหญ่หนาพูดด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
                  “แต่ตอนนี้อำนาจของมิโคโตะยังยิ่งใหญ่” ไทมะซึมะรุเตือน
                  “ถ้าเพียงแต่หาคันจุพบ และข้าสามารถปลุกชีพฮิเดะซึงุ มังกรแดงผู้ครอบครองลูกแก้วมันจุได้และเอาพลังของมันมา ข้าก็จะไร้ผู้เทียมทาน” อาคางิพูด เสียงยังเบาและคงความสุภาพ แต่ดวงตาวาวโรจน์เป็นตรงกันข้าม
                  “แล้วทำไมป่านนี้ยังหาคันจุไม่พบอีก นี่เจ้าการาสุเท็นงูนั่นมัวแต่ทำอะไรของมันอยู่” อาคางิมีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
                  “ข้าขอจัดการเรื่องนี้เอง ท่านอาคางิ ข้าจะหาคันจุมาให้ท่านให้ได้” คะมิกิ อสูรผมสีเขียวอาสา สายตาของเขามองผู้เป็นหัวหน้าด้วยความหลงใหลและบูชา
                  “ผู้ใดที่หาคันจุเจอ ข้าจะให้ภูเขามิคามิไปครอบครอง!”
                  อาคางิลั่นวาจา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 8         

                เอย์จิไม่แปลกใจเท่าไรที่เห็นคนสองสามคนยืนรออยู่ที่ลานหน้าประตูบ้าน ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว หน้าบ้านมีโคมไฟรูปสี่เหลี่ยมให้แสงสว่างไม่มากนัก แต่ก็ทำให้พอจะมองเห็นว่าคนที่จับกลุ่มรออยู่นั้นเป็นใครบ้าง ทั้งสามคนใส่ชุดฝึกเคย์โกะงิ ท่อนบนเป็นกิโมโนสีขาว แขนสามส่วน ท่อนล่างเป็นกางเกงฮากามะสีกรมท่าที่เข้มจนใกล้เคียงกับสีดำ มีคนเดียวในกลุ่มที่เดินไปเดินมาด้วยท่าทางกระวนกระวายใจเป็นพิเศษ
                รุกะเดินวนเป็นเสือติดจั่น เมื่อเห็นเขากับชินจิเดินมาด้วยกัน หญิงสาวก็อุทานออกมาด้วยความโล่งใจ
                “กลับมากันแล้ว!”
                หล่อนปราดเข้าไปหาพร้อมกับเปิดฉากซักถามหน้าเครียด “นี่หายไปไหนมา ทำไมกลับมากันป่านนี้ รู้ไหมว่าใครต่อใครเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน นี่ เอย์จิ พูดอะไรสักอย่างสิ เธอไปไหนมากันแน่”
                ชินจิรู้สึกแปลกใจกับอาการตื่นตระหนกจนผิดปกติของหญิงสาว รุกะดูจะห่วงใยรุ่นพี่ของเขาเป็นพิเศษและไม่สนใจจะเก็บความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหลือบมองเออิจิโร่ที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักโดยอัตโนมัติ แต่เออิจิโร่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับการที่คู่หมั้นสาวแสดงความห่วงใยน้องชายของเขาจนออกนอกหน้า แถมยังช่วยตอบแทนน้องชายฝาแฝดที่ยืนนิ่งด้วยว่า
                 “ก็เว้นช่องให้เอย์จิตอบบ้างสิ เธอเล่นถามเป็นรถไฟด่วนขนาดนั้น ใครจะอ้าปากตอบทัน”
                 รุกะหันมาค้อนใส่คู่หมั้นหนุ่มด้วยความไม่พอใจ ส่วนเอย์จิขยับตัวถอยห่างจากหญิงสาวไปอีกสองสามก้าว ก่อนจะตอบสั้น ๆ ว่า
                 “พาชินจิไปดูทะเลสาบบิวะ”
                 “อะไรนะ! ไปกันถึงที่นั่นได้ยังไง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นสักนิด ฉันก็นึกว่าเธอแค่เดินอยู่ในหมู่บ้าน” หญิงสาวต่อว่าด้วยความไม่พอใจ และแน่นอนว่าสายตาตำหนินั้นตวัดส่งไปยังชินจิด้วยอีกคน หล่อนมองเหมือนต้องการจะโทษว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มที่ทำให้เอย์จิต้องไปที่นั่น
                  ชินจิยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
                  ตรงกันข้ามกับคู่หมั้นของตัวเอง เออิจิโร่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกสนุก เขาถามชินจิว่า
                  “แล้วได้เห็นทะเลสาบไหม”
                  “ครับ อากาศดีมากทำให้เห็นทะเลสาบชัดเจน น้ำในทะเลสาบสีฟ้าสดสวยมาก แล้วยังต้นไม้ไม่มีใบพวกนั้นอีก ผมไม่เคยเห็นทะเลสาบที่ไหนสวยขนาดนี้มาก่อนเลยครับ”
                  “โอ้โฮ เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เออิจิโร่อุทานด้วยความทึ่ง ตรงกันข้ามกับรุกะอีกเช่นกัน หญิงสาวหันขวับมาที่คนพูด กระชากเสียงถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่า
                  “เป็นไปไม่ได้ จะเห็นชัดได้ยังไง ไม่มีหมอก ไม่มีอะไรเลยงั้นเหรอ”
                  ชินจิส่ายหน้า คนถามจึงหันไปมองเอย์จิอย่างคาดคั้น
                  “จริง ไม่มีหมอก เห็นทุกอย่างชัดเจนดี” ชายหนุ่มยืนยัน
                  รุกะยังมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยอมตัดประเด็นนี้ทิ้งไป
                  “เอาเถอะ แต่ยังไงคราวหลังก็ไม่ควรไปถึงที่นั่นโดยไม่จำเป็นนะ ถ้าจะไปก็ต้องมีใครไปด้วย อย่างน้อยก็โฮโจ”
หญิงสาวพูด และชินจิก็ได้รู้จักชายหนุ่มที่ยืนอย่างสำรวมอยู่ข้างเออิจิโร่ในที่สุด ชายหนุ่มผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ หน้าตาคมคายคนนี้เป็นองครักษ์ของเออิจิโร่ เป็นพระตำแหน่งเนงิ ชื่อว่าโฮโจ
                   โฮโจทักทายรุ่นน้องของเอย์จิอย่างสุภาพ ภายใต้ท่าทางสำรวมที่เห็นภายนอก ชินจิรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่สดใสร่าเริงไม่ต่างจากผู้ที่เขาต้องเป็นองครักษ์ให้สักเท่าไร ดวงตาของโฮโจเป็นประกายแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนอารมณ์ดี จะว่าไป ดวงตาของโฮโจเป็นประกายสดใสมากกว่าเออิจิโร่เสียด้วยซ้ำ
                   ความรู้สึกนี้อยู่ในใจของชินจิ รวมถึงความรู้สึกและคำถามอีกมากมายที่ไม่กล้าเอ่ยปาก
                   เอย์จิไม่ตอบรับคำแนะนำที่คล้ายกับคำสั่งของรุกะ ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องด้วยการหันมาบอกรุ่นน้องของตัวเองว่า
                   “นายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักแช่น้ำร้อนให้สบายตัวเถอะ ยังมีเวลาอีกนานก่อนถึงอาหารเย็น”
                   “จริงด้วย ออนเซ็นบ้านเราสวยมากเลย ชินจิคุงต้องชอบแน่ ๆ แช่ได้ตามสบายเลยนะ ส่วนพวกเราต้องขอตัวไปซ้อมต่ออีกหน่อย โอคินะซังรออยู่ที่โรงฝึก” เออิจิโร่เสริมมาอีกคนและมิวายตบท้ายด้วยประโยคที่ชินจิได้ยินแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย
                   “เสียเวลาเพราะความเป็นห่วงไม่เข้าท่าของใครบางคนแท้ ๆ ไม่งั้นก็ซ้อมเย็นเสร็จ ได้แช่น้ำร้อนสบาย ๆ ไปนานแล้ว”
                   ‘ใครบางคน’ เชิดหน้าขึ้น แสดงท่าว่า ‘ฉันไม่สน’ แต่หางตาทิ้งค้อนแสดงความไม่พอใจใส่คนพูดและพลอยเหล่มาที่ชินจิด้วยอีกคน
                   “ไปพักเถอะ ชินจิ แล้วเจอกันตอนอาหารเย็น” เอย์จิตัดบท
                   ชินจิไม่รีรอ รีบเปิดประตูข้างเข้าไปในบ้าน แต่ประตูยังไม่ทันงับปิดสนิทดี เขาก็ได้ยินเสียงของรุกะลอดเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มอดใจไม่ได้ ยอมเสียมารยาท ยืนนิ่งฟังอยู่หลังประตู
                   เสียงของรุกะไม่ดัง แต่ก็ไม่เบาเหมือนกัน ทำให้ได้ยินค่อนข้างชัด และฟังจากน้ำเสียงแล้ว หญิงสาวคนนั้นไม่พอใจมากจริง ๆ
                   “ว่ายังไง เอย์จิ เธอจะไม่ทำอย่างวันนี้อีกใช่ไหม สัญญาสิว่าต่อไปจะไม่ไปไหนคนเดียว จะให้โฮโจหรือคนอื่นไปด้วย”
                   “เธอชักจะยุ่งมากเกินไปแล้วนะรุกะ”
                   เสียงที่ตอบนั้นเหมือนเสียงของรุ่นพี่ของเขาไม่มีผิด แต่ชินจิมั่นใจว่าคนพูดไม่ใช่เอย์จิแน่ ๆ
                   “ที่ฉันต้องยุ่งเพราะฉันเป็นห่วง เธอจะไม่เป็นห่วงน้องชายตัวเองบ้างก็เรื่องของเธอสิ” รุกะโต้
                   “ใครบอกว่าฉันไม่เป็นห่วง แต่เอย์จิรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบไปเถอะ เราไม่มีสิทธิ์อะไรไปกะเกณฑ์กับชีวิตเขาตั้งนานแล้ว แต่หรือว่า...” เออิจิโร่แกล้งเว้นระยะ ก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคที่เหมือนหย่อนระเบิดตูมลงกลางวง
                    “เธอยังไม่ยอมตัดใจจากเอย์จิ”
                    ชินจิกลั้นหายใจตัวแข็ง
                    นี่เองสินะคือสาเหตุ รักสามเส้าของพี่น้องฝาแฝด ทั้งสามคนถึงได้พูดกันแปลก ๆ ทำอะไรกันแปลก ๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ถึงแม้จะไม่กระจ่างแจ้งนักก็ตาม
                    เสียงรุกะดังขึ้นในที่สุดหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่
                    “เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน”
                    “แต่มันก็เกี่ยวกันอยู่ดี” เออิจิโร่เถียง “ความจริง ถ้าเธอยังรักเอย์จิอยู่ เธอจะถอนหมั้นฉันแล้วกลับไปหาเอย์จิก็ได้นะ ฉันไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้ว”
                    “พอทีทั้งสองคน!”
                    เสียงที่สามดังขึ้น คราวนี้เป็นเสียงของเอย์จิอย่างแน่นอน
                    “อย่าดึงฉันเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องของพวกเธอสองคน ส่วนเรื่องวันนี้ฉันคงให้สัญญาอะไรกับเธอไม่ได้ ขอโทษด้วยนะรุกะ แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่เธอไม่ต้องลำบากกับเรื่องของฉันหรอก ฉันอาจปกป้องใครไม่ได้ คุ้มครองตัวเองก็ไม่ได้ แต่ฉันไม่อยากเป็นภาระของใคร”
                    ชินจินึกหน้าของเอย์จิออกเลยว่าขณะที่พูดประโยคพวกนี้ รุ่นพี่ของเขาต้องมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ดวงตาหม่นและเศร้า ชายหนุ่มอยากอยู่ฟังต่อ แต่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าและต่อมาก็เสียงก๊อกแก๊กที่ประตู เขาจึงตัดสินใจหันหลังวิ่งออกไป

                    ออนเซ็นอยู่สุดปลายโถงทางเดินทางด้านในสุดของตัวบ้าน
                    ชินจิถือถุงใส่อุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองเปิดประตูเลื่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำกว้างขวาง ตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยไม้สีน้ำตาลอ่อน ด้านที่เป็นฝักบัวและก๊อกน้ำติดผนัง มีหิ้งไม้ยื่นออกมาให้วางอุปกรณ์อาบน้ำและของต่าง ๆ ด้านล่างตั้งเก้าอี้ไม้และกะละมังใบเล็กไว้พร้อม ผนังด้านตรงข้ามตั้งอ่างไม้รูปสี่เหลี่ยมใหญ่เกือบเท่าความกว้างของผนัง มีฝาไม้แบบพับได้ปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง น้ำร้อนในอ่างขึ้นควันกรุ่น
                    สวยอย่างที่เออิจิโร่บอกไว้จริง ๆ
                    ถึงแม้ชายหนุ่มจะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ตามต้องการ แต่เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนั่งแช่น้ำร้อนให้สบายอกสบายใจในตอนนี้หรอก ด้านหลังห้องมีประตูเปิดออกไปสู่บ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ออกไปดู เขาอาบน้ำขัดตัวอย่างรวดเร็วและลงแช่น้ำร้อนในอ่างไม้ให้พอแค่คลายความเมื่อยและความเหนื่อยล้าจากการเดินระยะทางไกลในวันนี้เท่านั้น แล้วก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นยูกาตะสำหรับใส่นอน
                    เมื่อเปิดประตูเลื่อนออกมาจากห้องอาบน้ำ ชินจิก็เจอพวกรุ่นพี่ของเขากำลังจะเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำพอดี พอเห็นหน้ากัน เออิจิโร่ก็ทักว่า
                    “อ้าว อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
                    “เอ้อ.. ครับ เสร็จแล้ว”
                    “ว้า น่าเสียดายจัง นึกว่าจะได้แช่น้ำร้อนกับชินจิคุงเสียอีก อดเลย”
                    ริมฝีปากของชินจิกระตุกแต่ไม่แน่ใจว่าจะยิ้มรับดีหรือไม่ เขาเห็นรุกะเชิดหน้าขึ้น เดินหน้านิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำฝั่งของผู้หญิง สีหน้าของเขาก็เลยยิ่งพิพักพิพ่วนไปกันใหญ่
                    “เป็นอะไรรึเปล่า ชินจิ” เอย์จิถาม
                    “ปะ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ คนถามยังมีสีหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก เดินนำหน้าเข้าไปในห้องอาบน้ำ ตามด้วยโฮโจที่ยิ้มให้ตอนที่เดินสวนไป รั้งท้ายคือเออิจิโร่ที่ขยิบตาให้
                    “แล้วเจอกันตอนอาหารเย็นนะ”
                    ชินจิทำหน้าไม่ถูกเอาเลยจริง ๆ เขาเพิ่งรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องฝาแฝดคู่นี้กับรุกะ แถมรายหลังก็ทำท่าไม่ชอบเขาอย่างเปิดเผย ไหนจะฝาแฝดคนพี่ที่ขยันแซวขยันล้อเขาเล่นอีก เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลยจริง ๆ
                    ชายหนุ่มไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย แต่ตอนนี้เขาสงสัยเหลือเกินว่าเขาอาจจะเลี่ยงความวุ่นวายไม่พ้น

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               งานที่เรียวกังเริ่มก่อนหน้าวันที่แขกกลุ่มแรกจะเข้าพักหนึ่งวัน ในตอนเช้ามืดเอย์จิกับรุกะจะไปฝึกยิงธนูที่โรงฝึกก่อนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นยูกาตะมาที่เรียวกังเพื่อเริ่มงานประจำวัน ตอนแรกชินจิก็ออกจะกังวลกับการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อรุกะเป็นโอะคะมิซังหรือผู้จัดการของเรียวกัง แต่เมื่อเริ่มงานก็พบว่าเขาคิดมากไปเอง หญิงสาวในชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มลายผีเสื้อและดอกไม้ ปักปิ่นปักผมด้ามเดิมที่มีผีเสื้อสีน้ำเงินเกาะนิ่งอยู่ มีความเป็นมืออาชีพมาก หล่อนประชุมพนักงานในออฟฟิศเล็ก ๆ หลังเคาน์เตอร์เช็คอิน รับฟังรายงานความเรียบร้อยและปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งแจกจ่ายงานอย่างมีประสิทธิภาพ
               ชินจิเห็นเอย์จินั่งเงียบ ทำตัวเหมือนเป็นพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ว่ารุกะจะหันมาขอความเห็นหรือถามอะไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะยกหน้าที่และการตัดสินใจทั้งหมดให้เป็นสิทธิ์ขาดของผู้ที่ทำหน้าที่โอะคะมิซังแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่เรื่องความกังวลใจที่แขกกลุ่มแรกเป็นชาวต่างประเทศไปครึ่งหนึ่งก็ตาม
               “ฮ่องกงสองคน อเมริกาสองคน ญี่ปุ่นอีกสี่คน แขกทั้งหมดแปดคน ที่น่าจะเป็นปัญหาคือแขกต่างประเทศ เราต้องพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจให้ได้” รุกะพูด
              ชินจิฟังด้วยความไม่เข้าใจ เอย์จิพูดภาษาเยอรมันกับอังกฤษได้เป็นอย่างดี ส่วนรุกะ เขาก็รู้มาว่าหญิงสาวสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเช่นกัน แล้วการที่มีแขกต่างประเทศจะเป็นปัญหาได้อย่างไร
              “ผมช่วยเรื่องภาษาได้นะครับ ผมพูดภาษาอังกฤษได้” ชินจิเสนอตัวด้วยความอยากจะช่วยเหลือ แต่ก็แทบอยากกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของรุกะตวัดมองมา เขานึกว่าจะโดนหญิงสาวเหน็บแนมเอาเสียแล้วว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่องหรืออะไร แต่โอะคะมิซังของเรียวกังฮิราตะกลับไม่ว่าอะไร แถมยังแก้ความเข้าใจผิดให้เขาด้วยว่า
              “ไม่ใช่เรื่องการสื่อสารทั่วไปหรอก เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ทุกคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีทั้งนั้น แต่ที่เราหวั่นใจกันก็คือแขกต่างประเทศอาจจะไม่เข้าใจข้อห้ามหรือคำแนะนำของเรา อย่างเช่นการไม่ให้ออกไปเดินข้างนอกในเวลากลางคืน หรือการเดินในป่าและไม่ให้ไปไกลเกินกว่าทะเลสาบบิวะ”
              “ที่เคยมีข่าวคนหายใช่ไหมครับ ผมพอจะเข้าใจแล้ว”
              ชินจิแสดงท่าทางรับรู้ อย่าว่าแต่คนต่างชาติเลย เขาเองยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรในตอนแรก ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ดี รุ่นพี่ไม่บอกอะไรเขามาก ชายหนุ่มไม่กล้าถามซอกแซกด้วย จะถามคนอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ยังไม่คุ้นกับใครสักคน เขาก็เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้และพยายามปะติดปะต่อเรื่องเอาเองจากข่าวที่เคยได้ยินมาบ้าง
              “เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลแขกของเราให้ดีที่สุด” หญิงสาวในชุดยูกาตะสรุปปิดท้าย
              หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ โอซามุกับเอย์จิเข้าไปในครัว รุกะยังนั่งอ่านรายละเอียดการจองห้องพักของแขกอยู่ในออฟฟิศและเตรียมสมุดลงทะเบียนสำหรับการเช็กอิน ส่วนชินจิเดินออกมากับอิซึมิเพื่อไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องเก็บของ ทั้งสองคนสวมชุดแบบซามุเอะสีกรมท่า ชินจิใส่เสื้อคลุมฮัปปิปักชื่อเรียวกัง อิซึมิสวมผ้ากันเปื้อนสีขาว เตรียมตัวสำหรับงานใช้แรงอย่างเต็มที่
              อิซึมิเป็นเด็กสาววัยสิบแปดปี เรียนจบมัธยมปลายแล้ว แต่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย หล่อนสมัครใจจะอยู่ในหมู่บ้านและทำงานในเรียวกังเล็ก ๆ อย่างนี้มากกว่า
              “ฉันไม่ชอบเมืองใหญ่ ๆ หรอกค่ะ” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หล่อนเป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง คุยเก่ง เพียงได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น หล่อนก็พูดจ๋อย ๆ กับชินจิได้เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน
              “ชอบอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างนี้แหละ ชินจิซังละคะ ชอบที่นี่ไหม หรือชอบโตเกียวมากกว่า”
              “ผมก็ชอบเมืองเล็ก ๆ นะครับ หมู่บ้านนี้ก็สวยมากด้วย” ชินจิยิ้มรับ เขากำลังช่วยหล่อนทำความสะอาดห้องพักแขกเป็นครั้งสุดท้าย พื้นเสื่อตาตามิเช็ดด้วยผ้าฉีดสเปรย์กันตัวเห็บไรและเชื้อราไว้แล้ว วันนี้จึงแค่ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนอิซึมิใช้ผ้าดันฝุ่นเช็ดบริเวณที่เป็นไม้และของประดับห้อง
              “แต่ว่า...”
              ชินจิลังเลในตอนแรก แต่เด็กสาวคนนี้ก็ดูเป็นมิตรมากจนเขาตัดสินใจถามว่า
              “ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่เรื่องที่รุกะซังพูดตอนประชุม ทำไมถึงไม่ควรออกนอกบ้านเวลากลางคืนล่ะครับ”
              รอยยิ้มของเด็กสาวหายวับไปในทันทีและสีหน้าก็ดูว่างเปล่าผิดไปจากตอนแรก
              “คุณรู้จักคำว่า ‘ผีลักซ่อน’ ไหมคะ”
              น้ำเสียงเย็นเยียบของหล่อนทำเอาเขารู้สึกว่าขนที่แขนกำลังลุกชัน
              แต่พอเห็นสีหน้าเหวอ ๆ ของชายหนุ่ม อิซึมิกลับหัวเราะคิกออกมา ความว่างเปล่าหายไป หล่อนกลายเป็นเด็กสาวที่ยิ้มแย้มช่างคุยคนเดิม
              ชินจิกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง ตามไม่ทัน
              “ฉันล้อเล่นค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง “ที่นี่น่ะตกเย็นคนก็เข้าบ้านปิดประตูกันหมด ตอนกลางคืนในหมู่บ้านเราก็เลยทั้งมืดทั้งเงียบ ไฟตามถนนก็ไม่สว่างเหมือนในเมือง ขนาดคนในหมู่บ้านเองนะคะถ้าเหม่อเมื่อไหร่แค่เดินในหมู่บ้านยังหลง นับประสาอะไรกับคนนอกที่ไม่รู้จักเส้นทางดีละคะ เราก็เลยกันไว้ก่อนน่ะค่ะ ดีกว่าไปแก้กันทีหลัง ที่นี่ก็ไม่มีโทรศัพท์ด้วย สัญญาณมือถือก็ไม่มี ถ้าใครสักคนหลงทางขึ้นมาทีนี่ยุ่งสุด ๆ เลยล่ะค่ะ”
              เด็กสาวเล่ายาว
              ชินจินึกภาพตาม ตอนกลางคืนหมู่บ้านนี้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทั้งมืดทั้งเงียบ ยิ่งเวลาได้ยินเสียงนกกลางคืนร้อง เขายังรู้สึกว่ามันวังเวงพิกล ชายหนุ่มฟังแล้วเลยเชื่อสนิท

               งานหนัก ๆ อย่างทำความสะอาดเสร็จไปแล้วในวันก่อนหน้า เมื่อถึงเช้าวันที่แขกเข้าพัก จึงเหลือแต่งานกระจุกกระจิกไม่กี่อย่าง ชินจิช่วยเอย์จิจัดกล่องชาที่จะเอาไปไว้ให้แขกในห้อง กล่องชาที่ใช้เป็นกล่องไม้มีสองขนาด กล่องใหญ่สำหรับห้องใหญ่และกล่องเล็กสำหรับห้องคู่และห้องเดี่ยว ภายในกล่องใส่ชาไว้ให้เลือกทั้งแบบซองผงและแบบเป็นใบ มีแผ่นกรองชา ถ้วยชา กาน้ำชาไว้ให้พร้อม รวมทั้งกระติกน้ำร้อนและยังมีขนมประเภทเซมเบ้ใส่ถุงพลาสติกใสติดชื่อและสัญลักษณ์ของเรียวกังเตรียมไว้ให้แขกกินเล่นด้วย 
               ภายในครัว โอซามุเตรียมขนมโยคังและน้ำชาใส่ถาดสำหรับเสิร์ฟแขกเวลาเช็กอินไว้เรียบร้อย รุกะกำลังวางถุงเครื่องรางคุ้มภัยของศาลเจ้าไว้ในถาด เป็นเครื่องรางถุงสีแดง หน้าถุงเป็นลูกธนูสีทองและด้านหลังเป็นตราจิ้งจอกเพลิงแบบเดียวกับที่ชินจิเคยได้ ชายหนุ่มมองการทำงานของทุกคนด้วยความสนใจ พยายามจำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด
               “ท่านรุกะ ท่านเอย์จิ แขกสองท่านแรกมาถึงแล้วค่ะ” อิซึมิโผล่หน้าเข้ามารายงานก่อนจะผลุบหายไป
               “ชินจิซัง คุณไปช่วยอิซึมิจังยกกระเป๋าแขกและนำไปที่ห้องพักนะ” หญิงสาวผู้เป็นโอะคะมิซังหันมาสั่ง ชายหนุ่มขยับตัวจะทำตาม แต่เอย์จิขัดขึ้นก่อนว่า
               “ไม่ต้องหรอก นายช่วยยกถาดน้ำชาตามรุกะไปดีกว่า จะได้เห็นว่าโอะคะมิซังทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องกระเป๋าเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
               ชินจิเหลือบมองรุกะทันที แต่หญิงสาวไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากเชิดคางขึ้นมากกว่าเดิมอีกนิดหนึ่ง เขาก็เลยทำตามคำสั่งของเอย์จิ ถือถาดน้ำชาตามว่าที่โอะคะมิซังของเรียวกังไปที่ห้องพักของแขก
               แขกสองคนแรกเป็นสามีภรรยาวัยกลางคนชาวอเมริกัน ท่าทางเป็นพวกนักท่องเที่ยวขาลุยเพราะในห้องมีเป้ผ้าใบขนาดใหญ่พิงผนังอยู่สองใบและทั้งคู่แต่งตัวใส่เสื้อกันหนาวง่าย ๆ ไม่ได้พิถีพิถันกับเสื้อผ้ามากนัก
               รุกะกล่าวทักทายแขกเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วและเสิร์ฟขนมกับน้ำชาให้ที่โต๊ะไม้ตัวเล็กกลางห้อง หญิงสาวอธิบายเกี่ยวกับเรียวกังอย่างคร่าว ๆ รวมทั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการเข้าพัก สุดท้ายหล่อนส่งถุงเครื่องรางให้ บอกว่า
               “เครื่องรางคุ้มภัยค่ะ ขอให้เก็บติดตัวไว้เสมอเวลาอยู่ที่นี่นะคะ”
               สองสามีภรรยามองถุงสีแดงในมืออย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองคนมีสีหน้าแบบนี้ตั้งแต่ได้ยินข้อห้ามและคำแนะนำต่าง ๆ ก่อนหน้านี้แล้ว ชินจิสังเกตเห็นแววตาหนักใจของรุกะ แต่หล่อนก็ยังคงสีหน้าเยือกเย็นอยู่ได้และพูดต่อว่า
               “เรามีความเชื่อว่าเครื่องรางนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองและนำโชคมาให้ผู้เป็นเจ้าของค่ะ เราจึงอยากให้คุณสองคนเก็บไว้กับตัวนะคะ เราทุกคนที่นี่ทำแบบนี้ค่ะ”
               เมื่อออกมาจากห้อง ชินจิอดถามหญิงสาวไม่ได้ว่า
               “คุณคิดว่าเขาจะเชื่อไหมครับ”
               รุกะหันมามองชายหนุ่มเต็มตา สีหน้าของหล่อนยังคงความเยือกเย็นแบบที่โอะคะมิซังพึงกระทำอยู่ ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะแยกหน้าที่และความรู้สึกส่วนตัวออกจากกันได้เด็ดขาดอย่างคาดไม่ถึง เมื่ออยู่ที่บ้าน เห็นชัดว่าหล่อนไม่ชอบเขา ปรายตามองมาทีมีแต่ความไม่พอใจแกมตำหนิติเตียน แต่เมื่ออยู่ที่เรียวกัง หล่อนไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ทั้งยังคอยสอนงานและชี้แนะเขาอย่างคนที่เป็นหัวหน้างานที่ดี ไม่มีการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยหรือจิกกัดเวลาที่เขาทำอะไรพลาดหรือตั้งคำถามที่แสดงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ออกมา
               อย่างคำถามนี้ หญิงสาวก็ตอบเรียบ ๆ ว่า
               “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะหนักไปทางไม่เชื่อมากกว่า ยังไงคุณก็ช่วยเป็นหูเป็นตาอีกแรงก็แล้วกันนะ”
               ชินจิพยักหน้ารับรองอย่างแข็งขัน รุกะมองชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนถามว่า
               “แล้วคุณล่ะ พกเครื่องรางไว้กับตัวรึเปล่า”
               ชายหนุ่มสั่นศีรษะ ตอบตามความจริงว่า
               “ผมเก็บไว้ที่ห้องน่ะครับ กลัวจะทำหล่นหายไปตอนทำงานก็เลยไม่ได้พกมาด้วย อีกอย่างก็อยู่ที่เรียวกัง ไม่ได้ออกไปไหน”
               “ต่อจากนี้ไปให้คุณพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ถ้ากลัวเกะกะหรือกลัวหายก็กลัดติดไว้กับเสื้อด้านในหรือหาเชือกมาแขวนคล้องคอไว้ก็ได้ ลองคิดดูสิว่าขนาดพนักงานเรียวกังเองยังไม่ทำ แล้วจะหวังให้แขกเชื่อและทำตามได้ยังไง”
               น้ำเสียงของรุกะเมื่อพูดประโยคนี้ก็ยังไม่มีร่องรอยการตำหนิใด ๆ แต่ชินจิรู้ตัวว่าทำผิดพลาดอีกเรื่องหนึ่งแล้วและเขาจะต้องแก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ชายหนุ่มก้มศีรษะต่ำเป็นการตอบรับและขอโทษไปด้วยในคราวเดียวกัน
               หลังจากนั้นชินจิก็ช่วยถือถาดชาและขนมเดินตามหลังรุกะไปต้อนรับแขกรายอื่น ๆ จนครบจำนวนที่มีการจองห้องพักเอาไว้ แขกส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่ในห้อง ยกเว้นสองสามีชาวอเมริกันที่ออกไปเดินเที่ยวในหมู่บ้าน หลังหมดหน้าที่ช่วงแรก ชินจิก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
               “เหนื่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
               เสียงคุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง ชินจิหันไปมอง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นรุ่นพี่ของเขาเดินตรงมาหา
               “เปล่าครับ แต่โล่งใจที่ผมไม่ได้ทำอะไรพลาดมากนัก”
               “นายนี่ จริงจังกับทุกเรื่องเหมือนเดิมเลยนะ” เอย์จิส่ายหน้า ทำท่าเหมือนอ่อนใจ แต่สายตาที่ใช้มองรุ่นน้องอ่อนโยนจนคนถูกมองทำอะไรไม่ถูก ต้องหลบสายตาไปเอง
               “เอ้อ... ตอนนี้เราต้องทำอะไรอีกครับ” ชินจิรีบเปลี่ยนเรื่อง
               “ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ของทำอาหารเย็นก็เตรียมพร้อม เหลืองานที่ออนเซ็น รุกะกับฉันแสตนด์บายอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง นายจะพักก็ได้นะ”
                “งั้นผมขอไปที่ศาลเจ้านะครับ เออิจิโร่ซังบอกผมเมื่อตอนเช้าว่าจะมีช่างมาติดตู้โอมิคุจิแบบอัตโนมัติ ผมอยากไปดูว่าเป็นแบบไหน ตอนแรกนึกว่าที่นี่จะมีแต่แบบตู้ไม้ธรรมดาเสียอีก”
                “พี่ชายฉันนี่ช่างพูดจริงนะ” เอย์จิอดประชดไม่ได้ หน้าของเขาเฉยเมยจนบางครั้งชินจิก็คิดถึงตอนอยู่ที่เยอรมนีจับใจ เอย์จิที่เขารู้จักถึงจะมีท่าทางเคร่งขรึมก็จริง แต่ก็สดใสและพูดเยอะกว่าตอนอยู่ที่นี่มาก โดยเฉพาะเวลาที่ล้อเลียนหรือกระเซ้าเพื่อนสนิทอย่างมาโกโตะซัง
                “ผม... ผมไปได้ไหมครับ” ชินจิถามด้วยความไม่แน่ใจ
                “ไปสิ” เอย์จิอนุญาตด้วยสีหน้าที่อ่อนลง หลังจากรู้ตัวว่าเผลอทำให้รุ่นน้องไม่สบายใจ
                “อย่าลืมเอาเศษเหรียญติดไปด้วยล่ะ นายจะได้ลองเสี่ยงเซียมซีดูไง ถือว่าลองเครื่องก่อนเปิดให้คนอื่นใช้”
                “ความคิดยอดเยี่ยมไปเลยครับ” ชินจิค่อยยิ้มออกในที่สุด

                ตู้โอมิคุจิอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญจะติดตั้งไว้ใกล้กับซุ้มขายเครื่องราง ชินจิเห็นคนกลุ่มเล็ก ๆ กำลังมุงดูอย่างสนอกสนใจ หนึ่งในนั้นมีรองเจ้าอาวาสผู้เป็นคันนุชิของศาลเจ้าอย่างเออิจิโร่อยู่ด้วยและดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่สนุกยิ่งกว่าใครทั้งหมด
                “ชินจิคุง ทางนี้ ๆ”
                ชายหนุ่มโบกมือเรียกเมื่อเห็นรุ่นน้องของน้องชายกำลังเดินมา
                ชินจิไม่กล้าโบกมือรับเพราะออกจะดูเป็นการไม่สมควรและไม่ถูกกาลเทศะนัก แค่ตอนนี้ทุกคนใช้คำสุภาพกับเขาและเขาไม่ต้องเรียกฝาแฝดและรุกะว่าท่านเหมือนคนอื่น ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองออกจะมีอภิสิทธิ์มากเกินไปอยู่แล้ว เขาจึงทำแค่รีบก้มศีรษะรับอย่างสุภาพและเข้าไปสมทบกับคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ
                นอกจากเออิจิโร่ ก็มีโฮโจที่ต้องคอยเป็นผู้ติดตามของชายหนุ่มและคิโยชิกับนาโอกิที่เป็นพระฝึกหัด ทั้งสองคนหลีกทางให้ชินจิได้เข้าไปดูใกล้ ๆ 
                ตู้โอมิคุจิมีขนาดไม่ใหญ่ เป็นตู้กระจกรูปสี่เหลี่ยม ข้างในมีหุ่นใส่หัวสิงห์ชิชิ-กะชิระ ด้านล่างสวมผ้าคลุมสีเขียวลายวงกลมเหมือนก้นหอยสีขาว เป็นสิงห์ที่ใช้ในการแสดงที่เรียกว่าชิชิมะอิหรือการเชิดสิงโตในเทศกาลหรืองานพิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกไป
                ตอนที่ชินจิเข้ามารวมกลุ่มด้วย ช่างติดตั้งตู้เสร็จแล้วและกำลังทดสอบการทำงานของเครื่องอยู่โดยการหยอดเหรียญลงไป เมื่อเหรียญหายเข้าไปในช่องรับเหรียญ กลไกในเครื่องจะไปทำให้หุ่นสิงห์ผ้าคลุมเขียวขยับเขยื้อนและเต้นส่ายไปมาเหมือนกับชิชิมะอิของจริง แต่เป็นแบบฉบับย่อเพียงไม่กี่วินาที แล้วหุ่นสิงห์จะยื่นหัวเข้าไปในกล่องสีขาวไปคาบกระดาษเขียนคำทำนายออกมาและนำมาหย่อนให้ในหลุมที่มุมตู้
                การทดสอบผ่านไปด้วยดี ช่างรับรองว่าการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้วและสามารถใช้เครื่องได้เลย เออิจิโร่ถูไม้ถูมือด้วยความพอใจ จากนั้นก็หันมาถามชินจิว่า
                “ช่วยเป็นหนูลองยาให้หน่อยได้ไหม”
                “เรียกว่าลูกค้าคนแรกดีกว่าไหมครับ” ชินจิค้าน แต่ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด รีบหยิบเหรียญร้อยเยนออกมาสองเหรียญตามป้ายที่ติดบอกไว้และหยอดลงไปในช่องรับเหรียญ หุ่นสิงห์ขยับไปทางโน้นทีทางนี้ทีและยื่นหัวเข้าไปคาบกระดาษเซียมซีออกมาจากกล่อง
                ชินจิก้มลงหยิบกระดาษออกมาคลี่อ่านอย่างรวดเร็ว
                “ว่ายังไงชินจิคุง โชคดีรึเปล่า” เออิจิโร่ถาม ท่าทางตื่นเต้นยิ่งกว่าเจ้าของเซียมซีเสียด้วยซ้ำ
                “โดยรวมก็ดวงดีนะครับ” ชินจิอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษจนจบ “แต่เขาเขียนว่าให้ระวังเหตุร้ายหรืออุบัติเหตุจากสิ่งที่คาดไม่ถึง”
                “ยังงั้นเหรอ” เออิจิโร่ทวนคำ ดวงตาของเขาที่มองรุ่นน้องของน้องชายวาวขึ้นเป็นประกายประหลาด ชินจิไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ก้มอ่านคำทำนายในกระดาษอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเดิม ดวงดี แต่มีสิ่งให้ต้องระวัง
                “ผมว่าผมไม่เก็บไว้ดีกว่า” ชายหนุ่มตัดสินใจเอากระดาษสีขาวไปผูกไว้ที่ราวไม้ไผ่ที่มีกระดาษสีขาวมากมายผูกไว้อยู่ก่อนแล้ว และกระดาษเซียมซีของชินจิก็เข้าไปรวมเป็นหนึ่งในนั้น
                หลังจากทำสิ่งที่ตั้งใจไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ออกจากศาลเจ้า แวะไปที่ห้องของตัวเองที่บ้าน ไปเอาถุงเครื่องรางมากลัดติดเสื้อด้านใน ดูให้แน่ใจว่ากลัดติดแน่นกับเนื้อผ้าและจะไม่หลุดง่าย ๆ
                ชินจิถอนหายใจดังเฮือก สัญญากับตัวเองว่าคราวหน้าคราวหลังจะไม่ลืมอีกอย่างแน่นอน
                ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปที่สวน ท้องฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดแรงขึ้น ใบไม้หลากสีสันแกว่งกระทบกันเพราะแรงลม ชินจิเงี่ยหูฟัง และเพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาฟังออกมาได้เป็นเสียงดนตรี มันเหมือนเสียงโคโตะประสานกับเสียงชามิเซ็งเป็นจังหวะและท่วงทำนองที่เยือกเย็น
                ชินจิรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัว
                หูของเขาเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ฟังเสียงใบไม้กลายเป็นเสียงดนตรีไปได้ยังไง มันไพเราะก็จริง แต่ก็ชวนให้รู้สึกวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
                คำพูดประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ คำเตือนของคุณตานากามูระเมื่อวันก่อนที่บอกว่า
                ‘มีอะไรบางอย่างสิงสู่อยู่ในภูเขา’
                ชินจิรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านและเพ้อเจ้อออกไป ก่อนจะปิดประตูไว้ตามเดิมและเร่งฝีเท้าออกจากห้องเพื่อไปทำงานต่อที่เรียวกัง

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
จิ้งจอกตัวนั้นคือใครหรืออะไรน้อออ เดาไม่ถูกจริงๆ :hao3: :katai1:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
รอติดตามค่ะ เรื่องน่าสนใจ ชินจิจะเจออะไรบ้างน้อ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 9

        งานช่วงเย็นที่เรียวกังของชินจิเริ่มต้นที่ในครัว เขาช่วยโอซามุ พ่อครัวหลักประจำเรียวกังจัดจานชามเล็ก ๆ ใส่อาหารวางในสำรับและลำเลียงไปวางไว้ที่ห้องรับประทานอาหาร อาหารที่จัดให้แขกเป็นไคเซกิเรียวริที่มีครบทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลักและของหวาน เพียงแต่อาจจะไม่หรูหราเท่าในภัตตาคารชั้นดีหรือเรียวกังใหญ่ ๆ แต่ก็เป็นอาหารที่ปรุงอย่างตั้งใจ ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลและหาได้ง่ายในท้องถิ่น ประกอบไปด้วยผักตามฤดูกาลชุบแป้งทอด นึ่งและต้ม เต้าหู้เย็น กุ้งแต่งรสด้วยน้ำส้มสายชู ปลาเทราท์ย่าง อาหารจานพิเศษคือเนื้อกวางย่างราดซอสเห็ด ของหวานเป็นส้มแกะเป็นกลีบวางเรียงเป็นรูปดอกไม้ นอกจากนั้นก็มีซุปมิโสะ แตงกวาดองและข้าวสวย รวมทั้งชาร้อนหนึ่งถ้วย
        แขกของเรียวกังได้รับแจ้งเวลาอาหารตั้งแต่ตอนเช็กอินแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น แขกที่เพลิดเพลินกับการแช่น้ำร้อนชมวิวแม่น้ำหรือเดินเที่ยวในหมู่บ้านต่างทยอยกันเข้ามานั่งในห้องอาหาร แขกทุกคนใส่ยูกาตะที่เรียวกังจัดเตรียมไว้ให้ เป็นชุดพื้นสีขาวลายแบบตะกร้าสานสีน้ำตาลเข้มเหมือนกันทั้งของผู้หญิงและผู้ชายกับเสื้อคลุมฮาโอริสีดำ เตาอิโรริถูกจุดสร้างบรรยากาศและช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ห้อง
        เอย์จิกับอิซึมิที่ไปช่วยอำนวยความสะดวกแก่แขกที่ออนเซ็นกลับมาสมทบที่ในครัว ออนเซ็นปิดบริการสำหรับบุคคลภายนอกแล้วและวันนี้ก็มีแขกมาใช้บริการไม่เยอะทำให้ไม่ยุ่งนัก ไม่ต้องคอยเก็บเงินค่าบริการหรือแลกเงินสำหรับหยอดล็อกเกอร์เก็บของ พอถึงเวลาปิดและไม่มีแขกเหลืออยู่ในออนเซ็นแล้ว ทั้งสองคนก็กลับมาช่วยงานอื่น ๆ ต่อ
             ระหว่างอาหารเย็นคือเวลาที่ต้องปูที่นอนและปรับเครื่องทำความร้อนในห้องพักของแขก เมื่อแขกเริ่มรับประทานอาหาร เอย์จิกับชินจิก็เริ่มต้นทำงาน
        ทั้งสองคนไม่ยอมเสียเวลาเลยแม้แต่นิดเดียว เอย์จิเอาฟูกและเครื่องนอนออกมาจากในตู้ ชินจิก็เข้ามาช่วยอย่างคล่องแคล่วไม่เงอะงะเพราะศึกษาวิธีปูที่นอนให้รวดเร็วจากวีดิโอในยูทูปมาเป็นอย่างดี แถมด้วยประสบการณ์จากการไปช่วยงานที่เกสต์เฮาส์ของเพื่อนที่คานาซาว่าอีก เขากับรุ่นพี่ยกฟูกนุ่มขนาดบางวางบนฟูกชั้นล่างที่แข็งและหนากว่า เอาผ้าปูสีขาวคลุมฟูกชั้นบน ชายผ้าเหน็บทับไว้ด้านล่างหลังจากดึงจนผ้าเรียบตึง จากนั้นเอาปลอกผ้าสีขาวสวมคลุมผ้านวม ยกด้านที่เห็นลายผ้านวมขึ้นและวางหมอนที่ใส่ปลอกเรียบร้อยแล้วลงไปบนฟูกเป็นลำดับสุดท้าย
        การปูที่นอนจบลงด้วยความรวดเร็ว เอย์จิกับชินจิเดินกลับมาที่ครัว ตอนที่ผ่านห้องอาหาร ชินจิได้ยินเสียงชามิเซ็งเล่นเพลง ‘Ue o Muite Aruko*’ ดังลอดประตูออกมา เอย์จิกระซิบอธิบายให้ฟังว่า
        “นั่นรุกะ เขาจะเล่นดนตรีให้แขกฟังสองสามเพลงในช่วงต้นของการรับประทานอาหาร จากนั้นจะปล่อยให้แขกมีเวลาส่วนตัวจนรับประทานอาหารเย็นเสร็จ”
        ใจของชินจิคิดไปถึงเสียงใบไม้ต้องลมที่เขาดันฟังเพี้ยนเป็นเสียงดนตรี เสียงเพลงของรุกะไม่ชวนให้รู้สึกวังเวงใจอย่างเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้เลย มีแต่ความไพเราะ ทำให้อดชื่นชมไม่ได้
         “รุกะซังเก่งจังนะครับ เล่นได้เพราะมากเลย”
         “ถ้ามีแขกต่างประเทศก็เล่นเพลงนี้แหละ บางครั้งก็เพลงการ์ตูนอย่างโดราเอมอน เล่นเพลงที่แขกรู้จัก เขาจะชอบ” เอย์จิพูด
         ในห้องครัวของเรียวกังกำลังวุ่นวาย สองพี่น้องโอซามุซังกับอิซึมิจังเดินไปเดินมา ท่าทางกระวนกระวาย เมื่อเห็นเอย์จิเปิดประตูครัวเข้ามาพร้อมกับชินจิ อิซึมิก็ปราดเข้ามาหา ละล่ำละลักบอกว่า
         “ท่านเอย์จิคะ แขกยังกลับมาไม่ครบเลยค่ะ”
         “กี่คน”
         “สองคนค่ะ สามีภรรยาคนอเมริกัน”
         เอย์จิขมวดคิ้ว แหงนมองเวลาจากนาฬิกาที่ติดอยู่ที่ผนัง เข็มสั้นอยู่ที่เลขเจ็ด นับว่าดึกสำหรับที่หมู่บ้านนี้เพราะพระอาทิตย์ตกดินไปตั้งแต่ราวห้าโมงเย็นแล้ว
         “ส่งใครไปดูรึยัง อาจเดินหลงทางอยู่ที่ไหนในหมู่บ้านก็ได้”
         อิซึมิส่ายหน้า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่า
         “งั้นส่งผู้นำสาส์นออกไปก่อน ถ้าเลยเวลาอาหารเย็นแล้วยังไม่ได้ข่าวอะไร ค่อยแจ้งไปที่ศาลเจ้า”
         โอซามุก้มศีรษะรับและผลุนผลันออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ชินจิมองตาม นึกสงสัยเรื่องผู้นำสาส์นที่ว่าขึ้นมาตงิด ๆ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาไม่กล้าพูดหรือซักถามอะไร ได้แต่ยืนมองคนโน้นคนนี้ที
         สักพักหนึ่งโอซามุก็กลับมา พ่อครัวประจำเรียวกังรายงานว่าได้จัดการตามคำสั่งของเอย์จิเป็นที่เรียบร้อย ไม่นาน รุกะก็เข้ามาสมทบภายในห้องอีกคนหนึ่ง ในมือยังถือชามิเซ็งอยู่ สีหน้าของหล่อนเคร่งเครียดพอ ๆ กับน้ำเสียงเมื่อถามว่า
         “แขกกลับมารึยัง”
         เอย์จิส่ายหน้า ขณะที่อิซึมิรายงานว่า
         “ส่งผู้นำสาส์นออกไปแล้วค่ะท่านรุกะ”
         หญิงสาวส่งเครื่องดนตรีในมือให้เด็กสาวนำไปเก็บในกล่อง แล้วแหงนหน้ามองนาฬิกา   
              “อีกสิบนาที” หล่อนพึมพำกับตัวเอง
         ชินจิที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินถนัด แต่ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนพูดหมายความว่าอย่างไร เขายืนนิ่งมองทุกคนเดินพล่านเหมือนเสือติดจั่น สีหน้าแสดงความวิตกกังวล ชายหนุ่มอยากช่วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะทำหรือจะพูดอะไรดี ก็พอดีกับที่เอย์จิหันมาหาเขา บอกให้รู้ว่า
         “เรากำลังรอข่าว ถ้าไม่เจอตัวในหมู่บ้าน จะต้องเกณฑ์คนออกไปหาในภูเขา”
         “ผมจะช่วยด้วยครับ มีอะไรให้ผมทำก็สั่งมาได้เลย” ชินจิเสนอตัวทันที แล้วเขาก็ได้รอยยิ้มอ่อน ๆ ของรุ่นพี่กลับมาแทนคำขอบคุณ
         สิบนาทีพอดีไม่ขาดไม่เกิน ก็เกิดเสียงดังปึ้ง!
         ชินจิสะดุ้งสุดตัว เสียงนั้นดังเหมือนอะไรแข็ง ๆ กระทบประตูอย่างแรง มันดังมาจากด้านนอก ตรงประตูหลังที่เปิดออกไปสู่ออนเซ็น ทุกคนผวาออกไปจากห้องครัวพร้อมกันเหมือนกับรอเสียงนี้อยู่แล้ว ชินจิมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็วิ่งตามคนอื่น ๆ ออกไปด้วย
         เอย์จิกระชากประตูเลื่อนด้านหลังเปิดออก บนพื้นที่ปูด้วยหินมีบางอย่างสีขาว ๆ ตกอยู่ ชินจิยืนอยู่รั้งท้าย พยายามเขย่งขึ้นมอง สิ่งที่รุ่นพี่ของเขาหยิบขึ้นมาเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกตัดเป็นรูปนก
         “ว่าไง ได้เรื่องอะไรบ้าง” รุกะเร่ง
         เอย์จิกวาดตาอ่านข้อความบนตัวนกกระดาษ ก่อนจะเงยขึ้นมองทุกคน จากสีหน้าของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าข่าวที่มาพร้อมกับนกกระดาษต้องไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน รุกะทนไม่ไหว คว้ากระดาษในมือเอย์จิมาอ่านเอง หน้าตาของหล่อนไม่ดีเลย เหนือศีรษะมีผีเสื้อสีน้ำเงินกระพือปีกอยู่ ชินจิขยี้ตาตัวเอง
              ผีเสื้อตัวนั้นหายไปแล้ว...
              เขาคงตาฝาด ไม่มีผีเสื้อสีน้ำเงิน มีเพียงผีเสื้อตัวเล็กที่เป็นเครื่องประดับปิ่นปักผมของรุกะเท่านั้น
         “หายไปในภูเขา”
              รุกะบอกทุกคน
              “เราต้องแจ้งศาลเจ้าและเกณฑ์คนเพื่อตามหาเดี๋ยวนี้”
         ไม่มีใครรอช้า ทุกคนเหมือนรู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว อิซึมิวิ่งกลับเข้าไปประจำการในครัว ขณะที่พี่ชายของหล่อน รุ่นพี่ของเขาและว่าที่โอะคะมิซังวิ่งออกไปข้างนอก ชินจิคนเดียวยืนทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะไปทางไหนดี แต่ระหว่างที่ยังยืนหันรีหันขวาง ตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น เอย์จิก็วิ่งกลับมาคว้าข้อมือของชายหนุ่มลากให้วิ่งตามไปด้วยกัน
          คนหลายคนรวมกลุ่มกันอยู่ที่สวนซากุระหน้าไฮเด็งของศาลเจ้า ไฟสลัว ๆ จากโคมไฟหน้าตัวอาคารทำให้เห็นว่าเป็นโฮโจ พระฝึกหัดทั้งสองคนและโอซามุ กำลังยืนจับกลุ่มพูดกันฟังไม่ได้ศัพท์ เอย์จิผลักรุ่นน้องของเขาไปยืนรวมกับคนพวกนั้น ส่วนตัวเองวิ่งทะลุสวนไปที่บ้าน
          ไม่นานก็มีคนมาร่วมสมทบด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เป็นคนในหมู่บ้าน บางคนใส่ชุดซามุเอะกางเกงขายาวแบบคนทำงานในศาลเจ้า บางคนก็แต่งตัวด้วยเสื้อสเว็ตเตอร์กับกางเกงธรรมดา ต่างถือตะเกียงมาด้วยคนละดวง คนที่เดินแกมวิ่งนำหน้าถือปืนไรเฟิลด้ามยาวมาด้วย ชินจิรู้จักผู้ชายคนนี้คนเดียว เขาคือนากามูระซังคนลูกที่เป็นพราน
           เสียงคุยกันจ้อกแจ้กหยุดลงทันทีเมื่อมาซาฮารุปรากฏตัว ตามหลังมาด้วยโอคินะ เออิจิโร่และรุกะ ทั้งหมดสวมชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้ม ชินจิเห็นแล้วกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ท่าทางของทุกคนเหมือนกำลังจะไปออกศึก ไม่ใช่แค่ตามหาคนหายอย่างที่เขาเข้าใจ
                โฮโจส่งคันธนูกับกระบอกใส่ลูกธนูให้โอคินะ เออิจิโร่และรุกะ หญิงสาวคนหลังสวมมุเนะอาเตะซึ่งเป็นเกราะหนังสำหรับป้องกันช่วงอก บนศีรษะของหล่อนมีผีเสื้อสีน้ำเงินกระพือปีกบินอยู่อีกแล้ว ส่วนมาซาฮารุไม่ใช้ธนู อาวุธของเจ้าบ้านคนปัจจุบันคือดาบเล่มยาว ปลอกและด้ามดาบสีดำ ถือเอาไว้ในมือข้างขวา
                 เอย์จิตามมาเป็นคนหลังสุด ชายหนุ่มเปลี่ยนจากยูกาตะที่ใส่ทำงานที่เรียวกังเป็นชุดฝึกเหมือนคนอื่น ๆ ในมือถือคันธนูและสะพายกระบอกใส่ลูกธนูที่ไหล่ มาซาฮารุเหลือบเห็นลูกชายคนเล็กเข้าพอดี ผู้เป็นบิดานิ่วหน้า ออกคำสั่งเสียงเฉียบขาดว่า
                 “แกไม่ต้องไป เอย์จิ ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์!”
                 ชินจิเห็นรุ่นพี่ของเขาชะงัก หน้าเสีย
                  “นายอยู่ที่นี่แหละ คอยดูแลแขกไว้ไม่ให้แตกตื่น” เออิจิโร่รีบยื่นมือเข้ามาช่วยคลายสถานการณ์ น้ำเสียงและคำพูดที่ใช้ฟังเข้าหูกว่าผู้เป็นบิดามาก
                  “เอานี่ไว้ด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้น เนเน่จังจะได้ช่วยได้” ชายหนุ่มล้วงเอากระบอกไม้ไผ่จากในแขนเสื้อมาส่งให้น้องชายฝาแฝด หลังจากนั้นก็หันมาทางที่ชินจิยืนอยู่ ทำมือเรียกให้เดินเข้ามาหา
                  “ชินจิคุงก็ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่คอยช่วยเอย์จิ” เออิจิโร่สั่ง
                  ชายหนุ่มรุ่นน้องทำตามอย่างรวดเร็วโดยการก้าวมายืนเคียงข้างเอย์จิ ตลอดเวลาเขาไม่สบายใจเลย ไม่ใช่เพราะความไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะสีหน้าของเอย์จิด้วย ตั้งแต่โดนบิดาตวาด รุ่นพี่ของเขาก็หน้าไม่ดี ชินจิเห็นทั้งความไม่พอใจ ความน้อยใจ ความเสียใจ รวมทั้งความหม่นหมองอยู่บนใบหน้านั้น ริมฝีปากล่างถูกกัดแน่นจนสั่นระริก
                   ชินจิมัวแต่ห่วงความรู้สึกของรุ่นพี่ของเขาจนทำให้ไม่ได้ตั้งใจฟังรายละเอียดของเส้นทางการค้นหาในภูเขาที่มาซาฮารุกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ หลังจากนั้น บิดาของฝาแฝดผู้เป็นหัวหน้าก็นำคณะค้นหาที่ประกอบด้วยคนของศาลเจ้าและชาวบ้านรวมแล้วสิบกว่าคนออกจากศาลเจ้า มุ่งหน้าไปตามทางที่นำไปสู่ภูเขามิคามิ ชินจิมองตามหลังคนทั้งหมดไปด้วยความกังวล
                    “จะเป็นยังไงก็ไม่รู้นะครับเอย์จิซัง”
                    คำพูดของชายหนุ่มไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด ทำให้เขาหันไปมองคนข้างตัวด้วยความสงสัย
                    “เอย์จิซัง!” ชินจิเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
                    เอย์จิกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออก มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ร่างสูงใหญ่สั่นเทาจากอารมณ์มากมายภายในที่ถูกสะกดกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
                    “ไม่เอาครับ! อย่าทำแบบนั้น!” ชินจิผวาไปจับท่อนแขนของชายหนุ่มเขย่าโดยแรง การกระทำกับเสียงร้องนั้นทำให้เอย์จิรู้สึกตัว เลิกกัดริมฝีปากของตัวเอง มือที่กำเป็นหมัดอยู่ทั้งสองข้างก็คลายออกด้วย
                    “ชินจิ...”
                    “ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เอย์จิซังไม่ควรทำแบบนี้นะครับ” ชินจิพูด ริมฝีปากของเอย์จิมีเลือดไหลซิบ เขาอยากจะช่วยเช็ดออกให้เหลือเกิน แต่เขาไม่มีผ้าเช็ดหน้าติดตัวมาเลยสักผืน สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้ชายแขนเสื้อด้านในที่คิดว่าน่าจะสะอาดพอซับเลือดที่ริมฝีปากให้อย่างเบามือ
                    “โธ่ นี่เจ็บมากไหมครับ”
                    สีหน้าของเอย์จิดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่มากพอจะทำให้ยิ้มออกมาได้ก็ตาม หากชายหนุ่มก็สามารถกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้งในที่สุด
                    “ไม่หรอก ไม่เป็นไร” เอย์จิปฏิเสธ จับมือรุ่นน้องเอาไว้ให้หยุด
                    “ไปทำแผลก่อนดีกว่าไหมครับ”
                    “ช่างมันเถอะ นิดหน่อยแค่นี้ ขอโทษที่ทำให้นายตกใจ”
                    “แต่ว่า...”
                    “เรายังมีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ ช่วยดูแลสถานการณ์ที่เรียวกังให้ปกติยังไงล่ะ นายก็ได้ยินที่พ่อกับพี่ชายของฉันพูดแล้วนี่ ไปกันเถอะ”
                    พูดจบ เอย์จิก็ออกเดินนำกลับไปที่เรียวกัง ชินจิรีบเดินตามไปติด ๆ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               คณะค้นหาแยกออกเป็นสองกลุ่มตามคำสั่งของมาซาฮารุ กลุ่มหนึ่งมีโอคินะกับโฮโจเป็นผู้นำออกค้นหาบริเวณป่ารอบนอก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วยตัวเขาเอง เออิจิโร่ รุกะ พระฝึกหัดสองคนคือคิโยชิกับนาโอกิ และนากามูระผู้ถือไรเฟิลติดมือมาด้วยมุ่งไปที่ทะเลสาบบิวะ
               “สรุปว่านี่คือฝีมือของพวกอสูรอีกแล้วใช่ไหม” รุกะกระซิบถามเออิจิโร่ที่เดินอยู่ข้าง ๆ ผีเสื้อสีน้ำเงินที่เคยบินอยู่เหนือศีรษะเกาะอยู่ที่ไหล่ของหญิงสาว ปีกบางกระพือเบา ๆ
               “ยังไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือของอสูรจากฮะคุริวหรือพวกภูตพรายอื่นในภูเขา แต่สองสามีภรรยานั่นหายไปแถว ๆ ทะเลสาบ”
               “นี่มันหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ ทุกวันนี้พวกภูตพรายชั้นต่ำก็ออกมาวนเวียนจนใกล้จะถึงเขตแดนชั้นในของหมู่บ้านจนเราต้องออกกฎห้ามออกจากบ้านในเวลากลางคืนโดยไม่จำเป็นอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่เขตแดนตรงนั้นจนถึงทะเลสาบบิวะควรจะเป็นของเราแท้ ๆ เรายอมพวกอสูรเกินไปรึเปล่า”
               หญิงสาวพูดด้วยความไม่พอใจ
               “ทำไงได้ เราไม่อยากให้เกิดศึกระหว่างมนุษย์กับอสูรนี่นา มีแต่เสียกับเสีย แต่ถ้าเหตุการณ์ร้ายยังเกิดขึ้นบ่อย ๆ แบบนี้ท่านพ่อก็คงไม่ยอมเหมือนกัน วันนี้ถึงตรงไปที่ทะเลสาบเลยไง” เออิจิโร่ตอบพลางเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด รุกะสาวเท้าตาม ถามต่อว่า
               “นี่หมายความว่าท่านพ่อจะไปพบกับมังกรขาวเลยยังงั้นเหรอ”
               “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คิดว่าท่านพ่อคงแค่จะส่งสาส์นเตือนมากกว่า ท่านมิโคโตะควรจะต้องควบคุมพวกอสูรกับภูตพรายในภูเขาให้ดีกว่านี้”
               “แล้วที่มีข่าวว่าพวกอสูรกำลังขัดแย้งกันเอง เธอคิดว่าจริงรึเปล่า”
               “ไม่รู้สิ เดี๋ยวถึงทะเลสาบ เธอก็ลองถามพวกอสูรดูก็แล้วกัน น่าจะได้คำตอบที่ถูกต้องมากกว่าถามฉันนะ”
               “นี่!”
               รุกะถลึงตาใส่คู่หมั้นหนุ่มด้วยความไม่พอใจที่จู่ ๆ ก็ถูกกวนอารมณ์อย่างหน้าตาเฉย แต่หล่อนไม่มีโอกาสจะได้ต่อว่าเขามากกว่านี้เพราะกำลังจะเข้าเขตทะเลสาบบิวะในไม่ช้า
               สายหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นน้ำที่สงบนิ่ง มันลอยช้า ๆ แผ่กระจายไปทั่วบริเวณทะเลสาบ จนกระทั่งปรากฏร่างมนุษย์กลุ่มหนึ่งเดินแกมวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ไม่ห่างจากริมทะเลสาบมากนัก มันก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลับเข้าสู่ฝั่ง
หมอกสีขาวลอยวน ก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นร่างของชายวัยกลางคน ผมดำหยิกฟูยาว สวมเสื้อเบลเซอร์แขนยาวสีดำทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีเขียวขี้ม้าปลายขาบานออกเล็กน้อยกับรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ ใบหน้าของเขาเฉยเมย เปลือกตาที่ระบายสีจนเข้มหรี่ลงจนเกือบจะปิด การยืนของเขาไม่มั่นคง
               ฝ่ายมนุษย์กระชับอาวุธในมือและมีท่าทีระแวดระวังทันทีที่เห็นร่างของมาซาคาโดะ อสูรผู้ทำให้หลงทางซึ่งเป็นผู้พิทักษ์เขตแดนรอบนอกของฝ่ายอสูรและภูตพราย ผีเสื้อสีน้ำเงินกระพือปีกบินขึ้นจากไหล่ของรุกะ หญิงสาวย่นจมูกนิด ๆ จากกลิ่นสุราที่โชยมาจากร่างสูงผอมของอสูรตนนี้
                “ท่านมาซาคาโดะ”
                มาซาฮารุก้าวออกไปเผชิญหน้า
                “ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาในคืนนี้”
                “มนุษย์สองคนข้ามเขตแดนเข้ามาในดินแดนของเรา” เสียงของมาซาคาโดะอ้อแอ้เล็กน้อยและนั่นทำให้รุกะย่นจมูกมากขึ้นด้วยความรังเกียจ ส่วนเออิจิโร่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ส่งเสียงโต้ตอบทันทีเมื่อฟังจบ
                “แต่ผู้นำสาส์นของเราแจ้งว่าทั้งสองคนนั่นยังไม่ได้ข้ามเขตแดน พวกเขาถูกจู่โจมและหลอกหลอนในเขตแดนของเรา”
                “มนุษย์ข้ามเขตแดนของอสูร”
                เออิจิโร่ขยับตัวจะเถียงอีก แต่ผู้เป็นบิดายกมือห้ามเอาไว้ก่อน สีหน้าและท่าทางของหัวหน้าฝ่ายมนุษย์เยือกเย็น
                “เรื่องนั้นพูดกันยังไงก็ไม่จบ ท่านมาซาคาโดะ ตอนนี้ข้าขอเพียงให้มนุษย์ทั้งสองคนนั้นกลับคืนมาในสภาพที่ปลอดภัยก่อนเท่านั้นก็พอ”
                “มุราซากิกำลังนำมาส่ง แต่อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยหรือไม่ ไม่รับรอง”
                “เอ๊ะ! พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง จะกวนกันเหรอ” เสียงรุกะดังสวนขึ้นทันที ภาระตกหนักที่มาซาฮารุ นอกจากจะต้องห้ามลูกชายตัวเองแล้ว หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ยังต้องห้ามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยอีกคน
                รุกะเงียบเสียงเมื่อมาซาฮารุหันมาทำหน้าดุใส่ แต่หล่อนยังมีท่าทางฮึดฮัดขัดใจ เมื่อสักครู่หญิงสาวโดนมนุษย์ยียวนใส่มาแล้วครั้งหนึ่ง นี่มาเจออสูรขี้เมาเข้าอีกตน อารมณ์ของหล่อนก็เลยพุ่งปรี๊ดขึ้นมา ห้ามไม่อยู่
                “ถ้าเช่นนั้น เราจะรอท่านมุราซากิ” มาซาฮารุสรุป
                หลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฏสายหมอกลอยออกมาจากป่าที่อยู่ลึกเลยเขตทะเลสาบเข้าไป สายหมอกสีม่วงจางเหมือนสีของดอกไลแลคจับตัวกันเป็นกลุ่มและกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งเหมือนหนังหุ้มกระดูก หน้าเรียว แก้มตอบ ผมสีดำยาวปรกไหล่ปัดไปด้านข้าง มีขนนกติดสลับกับปอยผมสีม่วงบนศีรษะ สวมผ้าคลุมยาวสีม่วงสดตกแต่งด้วยกระดุมและพู่สีทองกับกางเกงหนังสีดำแนบสนิทกับเรียวขา ใส่รองเท้าบู๊ตหนังสีเดียวกันยาวเกือบถึงหัวเข่า
                ในมือสองข้างของอสูรที่ปรากฏตัวขึ้นมาทีหลังตนนี้หิ้วแขนมนุษย์สองคนมาด้วย และเพียงแค่ขยับมือเบา ๆ ร่างทั้งสองนั้นก็ลอยมาทางที่มนุษย์ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ คิโยชิกับนาโอกิ พระฝึกหัดทั้งสองคน รีบวิ่งเข้าไปรับและประคองร่างทั้งคู่ให้ค่อย ๆ นอนลงที่พื้น
                 ผิวขาวอมชมพูแบบฝรั่งของสองสามีภรรยาบัดนี้ซีดจนเห็นขาวโพลนอยู่ในความมืด ดวงตาของทั้งคู่เบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวที่จู่โจมเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
                 “ผี ผี เต็มไปหมดเลย” เสียงสั่น ๆ ของชายผู้เป็นสามีพูดซ้ำไปซ้ำมา ฝ่ายภรรยาก็จิกเล็บยึดแขนเสื้อของนาโอกิที่ประคองหล่อนอยู่ไว้แน่น
                 “หัวคนลอยไปลอยมา มันจะกินพวกเรา” หล่อนพูดด้วยท่าทางของคนที่กลัวจนคุมสติไม่อยู่ พูดจบก็หวีดร้องเสียงดัง
                 รุกะกับเออิจิโร่ที่ปราดเข้ามาดูสองสามีภรรยาชาวอเมริกันมองสบตากันด้วยความวิตกกังวล
                 “นี่มันแย่ที่สุดเลย” หญิงสาวหันไปโวยใส่อสูรทั้งสองตนด้วยความโกรธ ดวงตาวาววับ ผีเสื้อสีน้ำเงินที่บินอยู่เหนือไหล่ยิ่งกระพือปีกเร็วขึ้น
                 “ท่านมิโคโตะมีบัญชาให้นำมนุษย์ทั้งสองที่ล้ำแดนมาส่งคืนพวกท่าน” อสูรสายหมอกมุราซากิพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
                 “ยังไม่ชัดเจนไม่ใช่รึว่าใครล้ำแดนใครกันแน่” เออิจิโร่โต้ พร้อม ๆ กับที่คู่หมั้นสาวของเขาโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดสีเช่นกันว่า
                 “ช่างเป็นความเมตตาของมังกรขาวจริง ๆ!”
                 สีหน้าของอสูรทั้งสองตนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
                 “อสูรไม่เคยปล่อยให้ผู้ล้ำแดนมีชีวิตรอดกลับไป” มาซาคาโดะกล่าวแถมท้าย
                 “แต่นี่มันแย่ยิ่งกว่าตายอีกนะ” รุกะตะโกนเถียง และก่อนที่ความขัดแย้งจะบานปลายมากกว่านี้ มาซาฮารุก็หันมาปรามฝ่ายของเขาให้อยู่ในความสงบ แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนทั้งคู่อีกครั้ง สีหน้าของเขายังคงความเยือกเย็น มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่วาวโรจน์ขึ้นกว่าเดิม
                 “อย่างไรก็ตาม ข้าต้องขอขอบคุณฝ่ายอสูรสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้” มาซาฮารุก้มศีรษะคำนับและก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งตัว หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ก็ล้วงเอากระดาษสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเริ่มร่ายเวท

                 จิ้งจอกเปลวอัคคี
                 จากความว่างเปล่าสู่ชีวิต
                 จงนำ สาส์นแห่งข้า


                 แผ่นกระดาษสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศและเปลี่ยนรูปจากกระดาษธรรมดาเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ที่ลุกเป็นไฟทั้งตัว มันกระโจนผ่านอสูรสองตนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า พุ่งตัวหายลับเข้าไปในป่าซึ่งเป็นทางเดียวกับที่สายหมอกสีม่วงของมุราซากิลอยออกมา
                 ทุกคนพากันตกตะลึง
                 “และข้ามีข้อความเล็ก ๆ น้อย ๆ ฝากถึงท่านมิโคโตะ หวังว่าพวกท่านจะเปิดทางให้ชิกิงามิของข้าแต่โดยดี”
                 เออิจิโร่หลุดขำกับคำที่บิดาของเขาเลือกใช้ ชิกิงามิหรือหุ่นพยนต์ที่ถูกเสกขึ้นมาด้วยเวทของนักปัดรังควานระดับบิดาของเขาสามารถฝ่าเขตแดนของฮะคุริวไปถึงมือของมิโคโตะได้โดยไม่ต้องอาศัยใครเปิดทางให้หรอก ในทางตรงกันข้าม หากใครคิดจะมาขวางล่ะก็อาจจะถูกเผามอดไหม้เป็นขี้เถ้าไปเลยก็ได้
                 นึกแล้วก็น่าสนุกแฮะ บิดาของเขานี่กระตุกหนวดมังกรได้น่าดูแท้ ๆ
                 “ท่านทำอย่างนี้ เรื่องมันไม่จบง่าย ๆ แน่!” มุราซากิที่วางหน้าเฉยมาตลอดคำรามด้วยความโกรธจัดก่อนจะสลายร่างกลายเป็นหมอกสีม่วงจางลอยตามจิ้งจอกที่ลุกเป็นไฟทั้งตัวไปอย่างรวดเร็ว
                 “น่ากลัวมาก ขู่จบก็หายตัวไปเลย” เออิจิโร่แขวะด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์
                 “อย่าเสียมารยาท” มาซาฮารุปรามลูกชาย มุราซากิไปแล้ว แต่ยังเหลือมาซาคาโดะที่ยืนจังก้าขวางหน้าอยู่อีกหนึ่งตน เขาไม่อยากให้ลูกชายของเขาได้ใจจนเกินไปนัก
                 “พวกข้าขอตัวก่อน” หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ก้มศีรษะเป็นการอำลา แล้วหันไปโบกมือเป็นสัญญาณให้ฝั่งของตนถอยกลับ พระฝึกหัดทั้งสองคนกับนากามูระช่วยกันประคองสามีภรรยาชาวอเมริกันที่ยังเพ้อและส่งเสียงกรีดร้องออกเดินนำไปก่อน รุกะจ้องมาซาคาโดะด้วยสายตาเหมือนจะท้าตีท้าต่อยส่งท้ายก่อนจะตามหลังคนกลุ่มแรกไป เหลือมาซาฮารุกับเออิจิโร่รั้งท้าย ฝ่ายหลังขยิบตาให้อสูรพิทักษ์เขตแดน ยิ้มหวานยวนยั่ว
                 “โอทสึคาเระซามะ เดชิตะ! เหนื่อยหน่อยนะครับวันนี้”
                 ริมฝีปากสีแดงคล้ำของมาซาคาโดะกระตุก แม้ว่าอสูรอย่างเขาจะเฉยเมยกับทุกเรื่องได้ขนาดไหน แต่คำพูดยียวนของเจ้าเด็กนี่ทำให้เขาชักเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมารำไร
                 เป็นโชคดีของมันที่ไปเสียก่อน
                 อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถึงแม้ว่าพวกมนุษย์จะไปกันหมดแล้วก็ตาม
                 “นี่ถ้าเป็นข้านะ เจ้าเด็กปากเสียนั้นได้โดนสั่งสอนแน่ ท่านใจดีเกินไปแล้ว ท่านมาซาคาโดะ”
                 เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง
                 ไม่จำเป็นต้องหันไปมอง มาซาคาโดะก็รู้ว่าผู้พูดเป็นใคร อสูรผู้สามารถกลายร่างเป็นหมอกสีขาวยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางไม่สบอารมณ์
                 “เท่าที่พวกเจ้าทำลงไปก็เป็นเรื่องมากพออยู่แล้ว ยังจะทำให้มันแย่ลงอีกรึไง คะมิกิ ไทมะซึมะรุ”
                 อสูรสองตนปรากฏร่างขึ้น คะมิกิใส่หมวกไหมพรมสีแดงตัดกับผมสีเขียวที่โผล่พ้นหมวกออกมา สวมเสื้อยืดสีขาวแขนยาวกับกางเกงผ้าขากว้างสีดำลายเป็นดอกดวงสีเปรอะ ๆ ใส่รองเท้าสนีกเกอร์สีขาว ข้างกายของอสูรตัวเล็กคือไทมะซึมะรุ อสูรผมสีบลอนด์จาง สวมเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีเทาอ่อนกับกางเกงยีนสีซีดที่มีรอยขาดและรองเท้าบู๊ตครึ่งแข้งสีดำ ใบหน้าที่งดงามเห็นไม่ถนัดตาเพราะถูกฮู้ดที่สวมอยู่บนศีรษะและแว่นตากรอบสีดำบดบังไว้ 
                  “พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” คะมิกิปฏิเสธ ยิ้มกว้างจนตาหยี
                  “อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า” มาซาคาโดะหันหลังกลับมามองด้วยสายตาหรี่ปรือ แต่น้ำเสียงของเขาไม่อ้อแอ้เหมือนที่พูดกับมนุษย์อีกต่อไป มันห้วนและเข้มจัด
                  “เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่รู้เมื่อมีผู้ล้ำแดน มันต้องมีใครสักคนลอบสลายเขตแดนบางส่วนของข้าแล้วหลอกล่อให้มนุษย์เข้ามา คนที่ทำอย่างนั้นได้จะเป็นผู้ใด หากไม่ใช่พวกเจ้า”
                  “ท่านกล่าวหาพวกข้าโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้มันไม่ดีนา” คะมิกิพูดเสียงเล็กเสียงน้อย มันเสียดหูคนฟังยิ่งนัก
                  “ท่านอาจจะเมาจนไม่รู้ตัวเองก็ได้”
                  สุดจะทนอีกต่อไป แขนข้างหนึ่งของมาซาคาโดะกลายเป็นสายหมอกสีขาว คะมิกิยังยิ้มตาหยี แต่มือข้างหนึ่งดึงหมวกไหมพรมที่สวมอยู่ออก เส้นผมสีเขียวเริ่มยาวขึ้น
                  “พอได้แล้ว!”
                  ไทมะซึมะรุรีบเอาตัวเข้าขวางก่อนที่อสูรทั้งสองจะปะทะกัน เขาผลักคะมิกิถอยหลัง แล้วหันมาพูดกับผู้อาวุโสกว่าว่า
                   “ข้าขออภัย ท่านมาซาคาโดะ หากคะมิกิจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ข้าขอยืนยันว่าพวกข้าไม่ได้ทำสิ่งใด แค่ออกมาดูเหตุการณ์ตามคำสั่งของท่านอาคางิเท่านั้น”
                   คะมิกิยังแสดงท่ากระฟัดกระเฟียด แต่ยอมสวมหมวกไหมพรมสีแดงกลับลงบนศีรษะ ฝ่ายอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนก็ดึงสายหมอกที่ปล่อยออกมาให้กลับมาหาตัว
                   “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมรายงานอาคางิทุกอย่างล่ะ” มาซาคาโดะแกล้งเน้นเสียง
                   “พวกข้าขอตัวก่อนดีกว่า ท่าอาคางิรออยู่”
                   ไทมะซึมะรุไม่สนใจคำพูดเสียดสี เขากล่าวคำลาพร้อมกับก้มศีรษะคำนับอย่างสุภาพ คะมิกิทำตามแม้ว่าจะมีท่าทางไม่เต็มใจสักเท่าไร
                    อสูรสองตนหายวับไปกับความมืด
                    มาซาคาโดะมองตามไปด้วยความโมโหระคนวิตกกังวล จากนั้นร่างของเขาก็สลายกลายเป็นสายหมอกสีขาวและกระจายตัวไปทั่วบริเวณ

                    แสงไฟวอมแวมจากตะเกียงหลายดวงที่เห็นมาแต่ไกลทำให้ร่างสูงใหญ่ที่ยังใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้มอยู่ไหวตัวและพลอยทำให้คนที่อาศัยไหล่ของเขาเป็นหมอนหนุนนอนพลอยรู้สึกตัวตื่นไปด้วย ชินจิขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงงุน เขาได้ยินเสียงเอย์จิบอกว่า
                    “พวกนั้นกลับมาแล้ว”
                    ชินจิรีบลุกขึ้นจากม้านั่งหน้าเรียวกังที่นั่งอยู่ด้วยกันตามเอย์จิออกไปยืนรอบนถนน ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว
                    หลังจากที่ทุกคนรู้ว่ามีคนหายไปในภูเขาอีกแล้ว บิดากับพี่ชายของเอย์จิก็นำคนของศาลเจ้าและชาวบ้านในหมู่บ้านออกค้นหา ส่วนเขากับรุ่นพี่ได้รับคำสั่งให้อยู่โยงเฝ้าเรียวกังและคอยดูแลแขกไม่ให้แตกตื่น ตัวเขาไม่มีปัญหาที่ต้องทำหน้าที่นี้ แต่ดูเหมือนว่าเอย์จิจะไม่พอใจและเสียใจอยู่ไม่น้อย รุ่นพี่ของเขาถึงกับกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออก แต่เอย์จิก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
                    แขกของเรียวกังที่เป็นคนฮ่องกงไม่ระแคะระคายเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็กลับเข้าไปพักผ่อนในห้อง แต่แขกคนญี่ปุ่นทั้งสี่คนมีท่าทีสงสัย อาจจะเพราะเคยรู้ข่าวคราวผ่านตามาบ้าง หลังเวลาอาหารเย็น ทั้งหมดจึงสมัครใจจะนั่งอยู่ที่ล็อบบี้เพื่อคอยดูสถานการณ์ เอย์จิจึงชักชวนให้แขกเข้ามานั่งล้อมวงรอบเตาอิโรริในห้องรับประทานอาหารและสั่งให้อิซึมิกับชินจินำมันหวานมาเผาให้ทุกคนได้กิน
                    ระหว่างที่แขกสนุกสนานกับการรับประทานของว่างมื้อดึก เอย์จิก็เอาชามิเซ็งของรุกะมาเล่น ชายหนุ่มไม่เก่งเท่าคู่หมั้นของพี่ชาย แต่ก็พอดีดเพลงง่าย ๆ ได้ แขกจึงเพลิดเพลินและพลอยทำให้คลายความกังวลสงสัยจนยอมกลับเข้าห้องไปในที่สุด
                    หลังจากช่วยอิซึมิทำความสะอาดและเก็บล้างในครัว ชินจิก็เดินออกมาหาเอย์จิที่นั่งอยู่บนม้านั่งหน้าเรียวกัง
                    “ยังไม่กลับกันมาอีกหรือครับ” ชายหนุ่มถาม
                    เอย์จิส่ายหน้า
                    “ผมว่าคุณไปรอข้างในดีกว่าไหมครับ ข้างนอกนี่มันหนาวนะ” ชินจิเสนอด้วยความเป็นห่วง แต่รุ่นพี่ของเขาส่ายหน้าอีกครั้ง
                    “ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้”
                    เมื่อเอย์จิยืนยันอย่างนั้น เขาก็ไม่ยอมกลับเข้าไปข้างในเรียวกังเหมือนกัน ถ้าเอย์จิรอข้างนอก เขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนเอง
                    “นั่งด้วยกันสิ อย่ายืนอยู่อย่างนั้นเลย” เอย์จิชวน
                    ชินจิหยุดคิด แล้วก็พยักหน้าในที่สุด
                    ทั้งสองคนนั่งข้าง ๆ กัน แต่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย เหมือนต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ ชินจิรู้สึกว่าหนังตาของเขาเริ่มหนักอึ้ง คงเพราะทำงานหนักมาทั้งวัน พอมานั่งนิ่ง ๆ ก็เลยรู้สึกง่วง แล้วชายหนุ่มก็เริ่มสัปหงก
                    ชินจิไม่รู้ตัวเลยว่าเอนซบไหล่รุ่นพี่ของเขาตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เอย์จิขยับตัวลุกขึ้นเมื่อครู่นี้
                    แสงตะเกียงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงพูดคุยกันพึมพำ และถ้าหูของเขาไม่ฝาด ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องด้วย
                    อึดใจต่อมา เมื่อขบวนคนเดินเข้ามาถึง เขาก็ได้เห็นสภาพของผู้หญิงคนนั้นเต็มตา
                    ชินจินิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ชินจิคงอึ้งมากเมื่อเห็นสามีภรรยาต่างชาติกลับมาแบบนั้นอ่ะนะ

ติดตามต่อไปปป :mew1:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 10

        “หัวคน! หัวคนลอยเต็มไปหมดเลย! ช่วยด้วย!”
        ผู้หญิงอเมริกันกรีดร้อง ท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปจากคนที่ชินจิเคยเห็นเมื่อตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีซีดของหล่อนเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว ผมสีอ่อนยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง เสื้อผ้ามีรอยขาดและเปื้อนฝุ่นดินรวมทั้งเศษใบไม้แห้ง เหมือนกับหล่อนเพิ่งผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไรอย่างนั้น สภาพของผู้เป็นสามีก็แทบไม่ต่างกัน ร่างกายสูงใหญ่ของเขามีเลือดซิบจากรอยขีดข่วนตามลำตัว แขน ขา และใบหน้า แถมยังเอาแต่ร้องลั่น ๆ ว่า
         “ผี! มันจะฆ่าเรา! ผี! ผี!”
         ชินจิกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
              สองคนนี้เจออะไรในป่ากันแน่ ที่ภูเขามิคามิแห่งนี้มีอะไรสิงสู่อยู่จริง ๆ หรือ เรื่องภูตผีปีศาจไม่ได้มีอยู่แต่ในนิทานนิยาย แต่มันมีอยู่จริง ๆ ใช่ไหม
              ชายหนุ่มหันหารุ่นพี่ของเขา เห็นเอย์จิเดินหน้าขาวไปคุยอะไรกับเออิจิโร่สองคน ท่าทางจริงจัง อีกด้านหนึ่ง มาซาฮารุพูดคุยปรึกษากับผู้เฒ่าโอคินะอยู่สักครู่ ฝ่ายหลังก็ผละเดินไปทางด้านหลังศาลเจ้าอย่างเงียบ ๆ ส่วนท่านเจ้าอาวาสและผู้นำศาลเจ้าก็มีคำสั่ง
              “ช่วยกันพาสองคนนี้ไปที่ไฮเด็งเถอะ คืนนี้คงต้องให้ทั้งสองคนอยู่ที่ศาลเจ้าไปก่อน”
              “ผมจะไปเตรียมอาหารร้อน ๆ กับน้ำชา ถ้าแขกสงบสติอารมณ์ได้แล้ว พวกเขาคงจะหิวแน่ ๆ” โอซามุพูดแล้วเดินกลับไปที่เรียวกัง
               ที่ประตูด้านหน้า อิซึมิมาเมียง ๆ มอง ๆ อยู่แล้ว พอเห็นพี่ชายเดินมา เด็กสาวก็รีบถลาเข้าไปหาพร้อมกับซักถามเรื่องราว ทั้งสองคนเดินคุยกันพึมพำเข้าไปในเรียวกัง
               “ฉันจะแจ้งไปที่สถานีตำรวจในตัวเมืองให้รับทราบ พรุ่งนี้พวกเขาคงมากันแต่เช้า” รุกะพูดบ้าง
โฮโจ คิโยชิและนาโอกิช่วยกันพยุงตัวนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเข้าไปในศาลเจ้าอินาริ โดยมีมาซาฮารุกับรุกะเดินตามไปติด ๆ
เออิจิโร่เป็นตัวแทนของบิดากล่าวคำขอบคุณทุกคนในหมู่บ้านที่ช่วยกันออกตามหาคนหาย เขายืนยันว่าสองสามีภรรยานักท่องเที่ยวจะปลอดภัย พวกชาวบ้านจึงสลายตัวกลับไปยังบ้านเรือนของตัวเองจนหมด เหลือเพียงฝาแฝดและชินจิเท่านั้นที่ยังยืนอยู่บนถนนบริเวณหน้าเรียวกัง
                “ลำบากหน่อยนะชินจิคุง” เออิจิโร่ยิ้มให้รุ่นน้องของน้องชายที่ยืนทำหน้างง ๆ มองไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างคนที่ไม่เข้าใจอะไรนัก
                “ทำไมทั้งสองคนกลายเป็นแบบนี้ล่ะครับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชินจิถาม
                เออิจิโร่มองสบตากับน้องชาย ฝ่ายหลังส่ายหน้าน้อย ๆ
                “คนหลงทางในป่าตอนกลางคืนก็ตาฝาดเห็นภาพหลอนไปต่าง ๆ นานานั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก”
                เออิจิโร่ตอบพลางตบไหล่รุ่นน้องของน้องชายเบา ๆ เป็นการปลุกปลอบ
                “พรุ่งนี้คงวุ่นวายนิดหน่อย งานที่เรียวกังก็ฝากเธอด้วยนะ”
                “ครับ ผมจะทำอย่างเต็มที่” ชินจิก้มศีรษะรับ แฝดคนพี่ตบไหล่เขาอีกครั้ง แล้วใช้กระบอกไม้ไผ่ที่รับคืนมาจากน้องชายโบกไหว ๆ เป็นการลา
                “ฉันต้องไปที่ไฮเด็งก่อนล่ะนะ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกเธอสองคนไปพักผ่อนเถอะ”
                ชินจิยังไม่อยากไปไหน เขายังอยากจะถามอะไรอีกเยอะแยะ แต่ตอนนี้เออิจิโร่ไม่อยู่แล้ว เหลือเขากับรุ่นพี่ยืนอยู่ด้วยกันแค่สองคน ชายหนุ่มมองรุ่นพี่อย่างคาดหวัง แต่เอย์จิปิดโอกาสของรุ่นน้องด้วยการออกคำสั่งว่า
                 “นายกลับไปพักผ่อนได้แล้วชินจิ งานคืนนี้จบแล้ว เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”
                 ชินจิจำใจพยักหน้ารับคำ ทั้ง ๆ ที่ยังมีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวไปหมด

                 ตอนเช้าวันถัดมา ชินจิกำลังใช้กระบวยไม้วักน้ำจากถังน้ำสาดล้างบริเวณหน้าเรียวกัง เขาเห็นรถตำรวจรวมทั้งรถพยาบาลแล่นตามกันเข้ามาจอดที่หน้าศาลเจ้าอินาริ หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็โกลาหลเล็กน้อย เจ้าหน้าที่นำเปลหามคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันขึ้นรถพยาบาล หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็มาที่เรียวกังเพื่อนำข้าวของของคู่สามีภรรยาไป แขกของเรียวกังพากันโผล่หน้าออกมามอง พึมพำกันแซด
                 ชายหนุ่มทราบจากอิซึมิว่าทั้งสองคนยังมีอาการหวาดกลัวและเห็นภาพหลอนอยู่ แถมร่างกายยังอ่อนเพลียจึงต้องไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะหายเป็นปกติ ส่วนเอย์จิกับรุกะไม่ปรากฏตัวที่เรียวกังตั้งแต่เช้า คาดว่าทั้งสองคนคงอยู่ที่ศาลเจ้าอินาริ ที่เรียวกังเหลือคนงานแค่สามคน งานจึงค่อนข้างล้นมือ ชินจิช่วยงานในครัว จัดอาหารเช้าที่ห้องรับประทานอาหาร จากนั้นระหว่างที่แขกรับประทานอาหารเช้า เขากับอิซึมิก็ช่วยกันเก็บที่นอนในห้องพักแขก เสร็จแล้วมาช่วยงานเก็บล้างในครัวต่อ
                  เมื่อถึงเวลาแขกของเรียวกังจะเช็กเอาท์ ชินจิถึงได้เห็นรุกะเปิดประตูเรียวกังเข้ามา หล่อนใส่ชุดยูกาตะสีกรมท่าลายใบไผ่สีขาวและสีเทา สีหน้าของหล่อนเรียบตึง แต่เมื่อต้องรับรองแขกเป็นครั้งสุดท้าย หญิงสาวก็ทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม หล่อนสนทนากับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและออกมาส่งแขกที่ประตูหน้าอย่างอ่อนน้อม ชินจิรู้สึกชื่นชมว่าที่โอะคะมิซังคนนี้เหลือเกิน หล่อนเก่ง คล่องแคล่ว เป็นมืออาชีพ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเออิจิโร่ที่ว่าหล่อนรักเอย์จิ ชายหนุ่มก็รู้สึกแปลก ๆ
                   มันคล้าย ๆ กับว่าจะเป็น... ชายหนุ่มพยายามนึกคำที่สามารถอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้
                   น่าจะพูดได้ว่าเขาอิจฉารุกะกระมัง เหมือน ๆ กับที่เขาเคยอิจฉาอัตสึโตะในตอนนั้น
                   อัตสึโตะมีหลาย ๆ อย่างที่เขาชื่นชมแกมอิจฉา หมอนั่นน่ารัก นิสัยดี แถมยังโชคดีที่มีคนรักแสนดีอย่างมานูเอล
                   ชายหนุ่มพยายามสลัดความคิดเหลวไหลออกจากหัว งานยังมีรอให้ทำอีกก่อนที่แขกกลุ่มหน้าจะมา เขาจะมัวคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไรแบบนี้ไม่ได้ ชินจิฮึดเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง ก่อนกระวีกระวาดไปทำความสะอาดห้องพักของแขกที่เช็กเอาท์ออกไปแล้ว

                    เอย์จิกลับมาช่วยที่เรียวกังอีกครั้งในตอนกลางวัน ชายหนุ่มก็เหมือนกับรุกะ คือสีหน้าออกจะเรียบตึง ท่าทางเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ในครัววันนี้จึงค่อนข้างเงียบ เพราะพ่อครัวประจำเรียวกังอย่างโอซามุปกติก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ผู้ช่วยอย่างเอย์จิยังคอยแต่จะทำหน้าขรึมตลอดเวลาอีก ก็เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่น นอกจากเสียงมีดกระทบเขียงกับเสียงน้ำเดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ
                    อิซึมิที่โผล่หน้าเข้าไปในครัวยังแขยง แอบกระซิบกับชินจิเบา ๆ ว่า
                    “บรรยากาศมาคุสุด ๆ น่ากลัวมากเลยค่ะ”
                    ชินจิโผล่หน้าเข้าไปดูบ้าง จริงของเด็กสาว ในครัวมันเงียบจนน่าอึดอัดจริง ๆ แต่ไม่แค่เฉพาะในครัวหรอก บรรยากาศอึมครึมแบบนี้แทบจะแผ่ซ่านไปทุกซอกมุมของหมู่บ้าน เมื่อเช้านี้มีคนนำไปรษณีย์และหนังสือพิมพ์มาส่ง คนส่งเป็นชายวัยกลางคนขี่จักรยานที่มีตะกร้าอันใหญ่ติดท้ายรถ หน้าตาของเขาก็บู้บี้ไม่ต่างกันเลย
                     ดูเหมือนว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องคนหายในภูเขาเมื่อคืนนี้ เพราะพอตกสาย นักข่าวก็ทยอยกันมา ขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน มาถึงก็ตามถามคนโน้นคนนี้รวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วย พวกชาวบ้านก็เลยรู้สึกเหมือนโดนรบกวนและเลยพาลอารมณ์ไม่ค่อยดีกันไปหมด
                     คนในเรียวกังถูกห้ามไม่ให้พูดหรือให้ข่าวอะไรทั้งนั้น ชินจิไม่ชอบเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว เขาเลยถือโอกาสหลบด้วยการไปทำความสะอาดและช่วยงานอยู่ที่ออนเซ็นเสียเลย ไม่นานต่อมาเอย์จิก็ตามมาสมทบด้วยอีกคน
                     “พวกนักข่าวนี่ยุ่งเป็นบ้าเลย” รุ่นพี่ของเขาบ่นอุบ
                     “แล้วตอนนี้ใครรับรองนักข่าวอยู่ล่ะครับ” ชินจิถามพลางพับผ้าขนหนูผืนเล็กที่ซักเสร็จเรียบร้อยแล้วไปด้วย ผ้าขนหนูนี้จะให้กับแขกพร้อมกับอ่างไม้ใบเล็กเพื่อใช้ในห้องอาบน้ำ เป็นบริการจากเรียวกัง
                     “รุกะ”
                     ชินจิฟังแล้วอมยิ้ม ถ้าเป็นหญิงสาวว่าที่โอะคะมิซังรายนั้นล่ะก็ เขามั่นใจเต็มร้อยเลยล่ะว่าพวกนักข่าวไม่มีวันได้ข่าวอะไรไปจากเรียวกังฮิราตะอย่างแน่นอน
                     “รุกะซังนี่สุดยอดไปเลยนะครับ” ชายหนุ่มเปรยลอย ๆ
                     เอย์จิไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา ไม่สนองตอบ ไม่ปฏิเสธ ทำเหมือนประโยคที่ชินจิพูดเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านหูไปเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไร แต่อาการไม่สนใจอย่างนั้นก็กลับทำให้ชินจิอยากจะถามรุ่นพี่ถึงเรื่องที่เขาได้ยินในคืนนั้นเหลือเกิน
                     ปากของชินจิอ้า แล้วก็หุบลงอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจไม่ถามดีกว่า เพราะจู่ ๆ ชายหนุ่มก็เกิดกลัวคำตอบที่จะได้ยินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                     ชินจิเสร็จงานของเขาหลังจากที่ออนเซ็นปิดบริการและแขกทุกคนกลับเข้าห้องพักหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ คืนนี้เหตุการณ์สงบ ไม่มีภาวะฉุกเฉินเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาก็เลยเลิกงานได้เร็ว
                     ชายหนุ่มบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ แต่นับว่าดีกว่าวันแรกเพราะร่างกายของเขาเริ่มชินกับการออกแรงแล้ว ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยและปวดกล้ามเนื้อมากจนถึงขนาดนอนร้องโอดโอยเหมือนก่อน หลังจากแช่น้ำร้อนอยู่พักใหญ่และเอาน้ำมันนวดคลายความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อที่แขนและขา เขาก็นอนแผ่ลงบนฟูกก่อนจะผล็อยหลับไป
                     ความหนาวเย็นปลุกชินจิให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเผลอหลับไปโดยที่ไม่ได้ห่มผ้าและไม่ได้ปรับเครื่องทำความร้อน ชายหนุ่มขยับตัวไปที่เครื่องทำความร้อนเป็นอันดับแรก แล้วสอดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมผืนหนา ร่างกายของเขาเริ่มอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ
                     ในตอนกลางคืน ทุกอย่างเงียบสงัด เสียงที่ดังขึ้นในเวลานี้ไม่ว่าจะพยายามให้เบาแค่ไหน แต่ก็ยังส่งเสียงให้ได้ยินอยู่ดี ยิ่งชินจิยังไม่หลับด้วยแล้ว เขาก็เลยได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินผ่านห้องของเขาไปอย่างชัดเจน ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดประตูออกไปดูด้วยความอยากรู้ เขาเห็นหลังไว ๆ ของชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งใส่กางเกงฮากามะหายลับไปจากประตูบ้าน
เออิจิโร่หรือเอย์จิกันแน่ที่ออกไปข้างนอกในเวลากลางดึกแบบนี้
                     ชินจิกำถุงเครื่องรางที่ตอนนี้เขาหาเชือกมาร้อยและห้อยคอเอาไว้ รู้สึกกลัวขึ้นมาเมื่อนึกถึงภาพของคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันที่ชวนให้รู้สึกหวาดผวาและคำพูดแปลก ๆ ของพวกเขา แต่ความอยากรู้มีมากกว่า เขาตัดสินใจเดินตามคนที่เขาเห็นออกไปข้างนอก
                     ชินจิออกมายืนเคว้งอยู่ในสวนด้านหน้า คนที่เขาตามมาหายไปแล้ว ในสวนก็มีแค่ไฟสลัว ๆ จากตะเกียงหินทำให้มองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะเดินออกไปนอกบริเวณบ้านดีหรือไม่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในความเงียบสงัดของเวลากลางคืน
                     มันเป็นเสียงเหมือนอะไรบางอย่างแล่นแหวกอากาศ จากนั้นก็มีเสียงดังสวบ เหมือนอะไรบางอย่างปักลงไปในวัสดุทึบ ๆ
                     ครั้งที่สอง สาม และสี่ดังขึ้นอีก
                     ชายหนุ่มตัดสินใจเดินตามเสียงที่ได้ยินไปในทันที
                     เสียงนั้นพาชินจิไปที่มุมสวนด้านที่เกือบติดกับรั้วบ้าน บนพื้นหินมีตะเกียงดวงหนึ่งวางอยู่ แสงจากตะเกียงทำให้เห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งได้ชัด เขาใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้ม กำลังตั้งท่ายิงธนู คันธนูที่ใช้สูงท่วมหัว ผู้ชายคนนั้นน้าวสายธนู อึดใจต่อมาก็ส่งลูกธนูไปยังมาคิวาระหรือเป้าธนูทำด้วยฟางที่ติดเอาไว้ที่ต้นไม้ ลูกธนูโดนเป้า เหมือนกับลูกธนูอื่น ๆ อีกสี่ห้าดอก แต่ไม่มีดอกไหนที่เข้าวงกลมกลางเป้าเลย
                      ชายหนุ่มในชุดฝึกลดคันธนูลง หันหน้าไปมองเมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้วย
                      “ขอโทษครับที่มารบกวน คือ..ผมได้ยินเสียงคนเดิน” ชินจิรีบบอก
                      “ฉันขอโทษที่ทำให้นายตื่น”
                      “ไม่เลยครับ ผมนอนไม่หลับอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเอย์จิซังเลยครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ สรรพนามที่เรียกเขาทำให้ยิ่งมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คือเอย์จิ ไม่ใช่เออิจิโร่
                      “คุณก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือครับถึงได้ออกมายิงธนู”
                      เอย์จิไม่ตอบ แต่หันหน้ากลับไปมองเป้ามาคิวาระ ชินจิมองตาม
                      “ฝีมือฉันนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ยิงไม่เข้าเป้าสักดอก ถ้าเป็นเออิจิโร่หรือแม้แต่รุกะ เป้าห่างแค่นี้ไม่มีพลาดแน่นอน”
                      “ผมเคยได้ยินว่าคิวโดเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมาธิ ถ้าคนยิงไม่มีสมาธิ ลูกธนูก็ไม่เข้าเป้าที่ต้องการ เอย์จิซังลองยิงดูอีกครั้งสิครับ ทำใจให้นิ่ง ผมคิดว่าครั้งนี้คุณต้องไม่พลาดแน่”
                      เอย์จิอยากจะยิ้มให้กับน้ำเสียงและท่าทางเอาจริงเอาจังของรุ่นน้องของเขาจริง ๆ ชินจิพยายามจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างเต็มที่ ให้กำลังใจเขา แถมเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่าตัวของเขาเองเสียอีก
                      “งั้นลองอีกทีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตัดสินใจ
                      ชินจิมองอย่างไม่กะพริบตา ตั้งแต่ขั้นแรกที่รุ่นพี่ของเขาทำสมาธิ แยกขาจัดท่า ยกมือที่ถือลูกธนูพาดกับสายธนูและยกคันธนูขึ้นเหนือหัว จากนั้นลดแขนลง แล้วปล่อยลูกธนูออกไป
                      สวบ!
                      ลูกธนูแล่นแหวกอากาศไปปักลงตรงกลางเป้าพอดี ปลายลูกธนูตรงส่วนที่เป็นขนนกกระดกขึ้นลง
ชินจิเกือบหลุดปากร้องเฮออกมาดัง ๆ แล้วถ้ากลั้นเอาไว้ไม่ทัน แต่เขาห้ามแขนทั้งสองข้างไม่ให้ชูสูงขึ้นเป็นท่าไชโยไม่ได้ ชายหนุ่มดูดีใจมากกว่าตัวเอย์จิที่เป็นคนยิงเองเสียอีก
                      “คุณทำได้แล้ว” ชินจิยิ้มกว้าง
                      “ขอบคุณนะ”
                      “รุ่นพี่เก่งเองต่างหากครับ” ชินจิย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเชื่อมั่น
                      เอย์จิวางคันธนูพิงไว้กับต้นไม้และปลดกระบอกลูกธนูจากบ่าไปวางไว้ใกล้ ๆ กัน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่เหมือนกับเป็นม้านั่งธรรมชาติ ถอดโยทสึงาเคะหรือถุงมือหนังกวางแบบสวมทั้งสี่นิ้วที่ใส่อยู่ที่มือขวาออก
                      “มานั่งด้วยกันสิ” ชายหนุ่มชวน ถุงมือหนังกวางถูกโยนไปรวมอยู่กับคันธนูและกระบอกลูกธนู
                      ชินจิลังเลนิดหน่อย แต่ก็เดินไปนั่งลงข้าง ๆ รุ่นพี่ของเขา รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่เอย์จิไม่ทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว สีหน้าของรุ่นพี่ของเขาดูผ่อนคลาย แต่สายตาก็ยังดูเศร้า ๆ อยู่เหมือนเดิม
                       “นอนไม่หลับหรือครับ” ชินจิถามประโยคเดิมอีกครั้ง
                       เอย์จิพยักหน้ารับ
                       “ฉันอยากให้นายกลับโตเกียว” ชายหนุ่มพูดหลังจากที่นิ่งคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่
                       “ทำไมล่ะครับ”
                       “นายก็เห็น วันสองวันมานี้ที่นี่วุ่นวายขนาดไหน ฉันคิดว่าต่อไปก็ต้องมีอีก ฉันไม่อยากให้นายพลอยยุ่งยากหรือลำบากไปด้วย”
                       “แต่ผมไม่กลัวความยุ่งยากหรือลำบากนะครับ ผมสนุกและมีความสุขดีที่ได้ทำงานที่นี่ ผมอยากช่วยเอย์จิซัง อยากช่วยทุกคนที่นี่จริง ๆ นะครับ” ชินจิยืนยัน
                       “แล้วถ้าคนต่อไปที่หลงทางในภูเขากลายเป็นนายล่ะชินจิ นายไม่กลัวเหรอ”
                       ชายหนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้าทันที
                       “ผมไม่กลัวหรอก ผมจะไม่แหกกฎของที่นี่ อีกอย่างหนึ่งที่นี่ก็มีเอย์จิซังอยู่ทั้งคน ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
                       “แต่ฉันปกป้องคุ้มครองใครไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงของเอย์จิเยาะหยัน เขากำลังเยาะตัวเอง ตัวเองที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่นี่ เหมือนกับที่บิดาของเขาพูดเอาไว้นั่นแหละ
                       “เอย์จิซังช่วยดูแลผมเป็นอย่างดีที่เยอรมัน” ชินจิค้าน
                       “มันไม่เหมือนกัน” เอย์จิพูด เขาไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก ถ้าเขามีความกล้าหาญ เขาคงดูแลชินจิได้ดีกว่านี้ ชินจิก็คงไม่ต้องเสียใจอยู่เป็นนานเพราะความรักที่ไม่สมหวังจากผู้ชายคนนั้น แต่เขาไม่กล้าพอที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไป เขากลัว เหมือนกับที่กลัวว่าเหตุการณ์มันจะซ้ำรอยเดิม
                       

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
                        “รู้ไหม เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันเคยหลงรักรุกะ”
                        หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็พูดออกมา
                        ชินจิแทบจะกลั้นใจฟังเรื่องที่รุ่นพี่เล่า ในที่สุดเขาก็จะได้รู้ความจริงเรื่องนี้แล้วใช่ไหม
                        เอย์จิเล่าต่อ
                        “เราสามคน ฉัน เออิจิโร่ รุกะ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวพูดกันมาตั้งแต่พวกเรายังแบเบาะแล้วว่ารุกะต้องแต่งเข้าบ้านเรา ไม่กับฉันก็กับเออิจิโร่ เราสามคนก็เลยถูกเลี้ยงมาด้วยกัน รุกะสนิทกับฉันมากกว่าเออิจิโร่ เราเล่นด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ฉันคิดว่าเรารักกัน อย่างน้อยตอนนั้นฉันก็รู้สึกอย่างนั้นล่ะ”
                        สายตาของคนพูดมองเหม่อไปไกล ในใจของเอย์จิยังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน ยังจำเสียงสดใสของรุกะที่ถามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นได้ดี วันนั้นหล่อนใส่ชุดยูกาตะสีชมพูเข้มลายดอกซากุระดอกเล็ก ๆ หญิงสาวในตอนนั้นอายุสิบปี
                        ‘ที่เขาว่ากันว่าในภูเขามิคามิมีอสูรกับพวกภูตพรายอยู่น่ะจริงรึเปล่า’
                        ทั้งสองคนเดินเล่นกันอยู่ที่ริมแม่น้ำชิมิซึ เป็นเวลาพักผ่อนหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เอย์จิอายุสิบปีเท่ากับหล่อน ใส่ชุดซามุเอะสีกรมท่า หัวเกรียน
                        ‘ไม่รู้สิ’ เด็กชายสั่นศีรษะ
                        ‘ฉันอยากเห็นอสูรตัวเป็น ๆ สักครั้งจัง’ รุกะพึมพำ แล้วหันมาชวนด้วยเสียงใส ๆ ว่า ‘เราไปที่ภูเขากันไหม ไปที่ทะเลสาบบิวะ เราอาจเห็นอสูรก็ได้นะ’
                        ‘มันจะดีเหรอ’ เอย์จิลังเล
                        ‘ดีสิ ตอนนี้ท่านพ่อของเธอกับโอคินะซังไม่อยู่พอดี เราไปกันนะ’
                        ‘แต่ท่านแม่ล่ะ’
                        ‘เราให้ผู้นำสาส์นไปบอกก็ได้นี่ว่าเราอยากวิ่งเล่นมากกว่าอ่านโคลงกลอนอยู่แต่ในห้อง ท่านแม่ของเอย์จิใจดีออก ท่านต้องไม่ว่าอะไรแน่ ๆ’
                        ‘แต่ถ้าจะไปที่ทะเลสาบบิวะ ท่านแม่ต้องไม่อนุญาตแน่เลย ท่านแม่ห้ามไม่ให้ไปที่นั่น ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย’
                        ‘เราก็อย่าบอกสิว่าเราจะไปไหน’ รุกะแนะ เด็กหญิงเขย่ามือเพื่อนเล่นของหล่อน ขอร้องว่า
                        ‘นะ เอย์จิ ไปด้วยกันนะ ฉันอยากไป’
                        ‘แต่ถ้าเจออสูรจริง ๆ ล่ะจะทำยังไง’ เด็กชายยังคงกังวล แต่เพื่อนเล่นของเขาก็มีทางออกสำหรับเรื่องนี้เอาไว้พร้อมแล้ว หล่อนดึงปิ่นปักผมออกมาจากแขนเสื้อ อวดให้ดูผีเสื้อสีน้ำเงินที่เกาะอยู่ที่ด้ามปิ่นพลางบอกว่า
                        ‘ถ้าเจออสูรจริง ๆ ฉันจะเสกผีเสื้อสีน้ำเงิน เดี๋ยวนี้ฉันทำได้คล่องแล้วนะ ส่วนเธอก็เอาธนูไป ใช้ธนูกับดอกศรปัดรังควาน รับรองว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้แน่ เธอยิงธนูออกจะแม่นนี่ เมื่อเช้าก็ยิงเข้าเป้ามากกว่าเออิจิโร่อีก’
                        คำชมว่าเขาเก่งกว่าพี่ชายฝาแฝดใช้ได้ผลเสมอ เขาอยากแสดงให้ใคร ๆ โดยเฉพาะรุกะเห็นอยู่แล้วว่าเขาเก่งกว่าเออิจิโร่และเขาก็มีพลังเหมือนกับที่พี่ชายของเขามีเช่นกัน ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังกังขาเพราะไม่เคยเห็นเขาแสดงพลังอะไรออกมาก็ตามเถอะ ครั้งนี้แหละเขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น เขาจะจัดการอสูรในภูเขา ถ้ามันมีอสูรอยู่จริงล่ะก็
                        ‘เอาสิ ไปด้วยกัน’ เด็กชายตกลงใจทันที
                        ทั้งสองคนจูงมือกันเดินเข้าไปในภูเขา ไปตามเส้นทางในป่าที่ทอดไปสู่ทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบที่ว่ากันว่าถูกซ่อนไว้ในสายหมอก เอย์จิกับรุกะตื่นเต้นมาก วันนั้นเป็นวันที่อากาศดีที่สุดวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดใบไม้ลงมา ดอกไม้ในภูเขาเบ่งบานโชยกลิ่นหอมสดชื่นมาเป็นระยะ เส้นทางระหว่างหมู่บ้านมาถึงทะเลสาบบิวะจึงเป็นการเดินทางที่รื่นรมย์สำหรับเด็กทั้งสองคนมาก
                         แต่ถึงแม้ว่าอากาศจะสดใส ทั้งสองคนก็ไม่ได้เห็นทะเลสาบถนัดชัดตาอย่างที่คิด เนื่องจากมีหมอกสีขาวบดบังอยู่ รุกะอุทานออกมาอย่างผิดหวังที่ได้เห็นทะเลสาบเพียงแค่เงาราง ๆ เท่านั้น
                         ‘ฉันอยากเห็นทะเลสาบให้ชัดกว่านี้จัง’ เด็กหญิงร่ำร้อง
                         เอย์จิไม่อยากให้รุกะผิดหวังจึงตัดสินใจใช้ศรปัดรังควานยิงเข้าไปในบริเวณที่มีหมอกสีขาวคลี่คลุมอยู่ อำนาจของศรปัดรังควานมีไม่มากพอจะสลายหมอกซึ่งสร้างจากพลังของอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนได้ แต่มันก็มีพลังพอจะทำให้เขตแดนที่กั้นระหว่างมนุษย์และอสูรเกิดรูโหว่เล็ก ๆ ขึ้น
                         กลิ่นของเด็กทั้งสองลอยลอดไปตามรูโหว่นี้และไปเตะจมูกของภูตพรายบางตัวเข้า มันเป็นภูตชั้นต่ำที่ไม่มีสมองจะยั้งคิดอะไร เพียงแค่ได้กลิ่นเลือดเนื้อของมนุษย์ที่มันแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน มันก็ลืมตัว มุดลอดรูโหว่ของเขตแดนออกมา
                         ‘มนุษย์ที่จะเป็นเหยื่อของข้า ฮิคิกะเอะรุ อยู่ที่ใด’ เสียงแหบ ๆ ของมันดังไปทั่วบริเวณ
                         เอย์จิกับรุกะตกใจกลัวจนตัวแข็ง เมื่อจู่ ๆ ก็เห็นร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาจากกลางหมอกสีขาวมัวตรงหน้า ตัวของมันเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนเปลือกไม้ ผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำ ดวงตาโตสีแดงก่ำสองข้างปูดโปน ปากแหลมยื่นออกมา ขาสองข้างที่รับน้ำหนักตัวงอในท่ายืนแบบนักซูโม่ มือที่เป็นพังผืดสองข้างยืดชูขึ้นฟ้า ทำท่าเหมือนจะตะปบลงมาได้ทุกเมื่อ
                          ‘อยู่นี่เอง มนุษย์ตัวจ้อย เหยื่อของข้า’
                          ตาของมันตวัดมาเจอเด็กทั้งสอง ปากแหลมของมันอ้าเห็นลิ้นแลบออกมา
                          ‘ปีศาจคางคก’ เอย์จิเสียงสั่น ไม่คิดว่าอสูรปีศาจของจริงจะน่ากลัวจนเลือดในกายแทบจับตัวเป็นก้อนแข็งได้แบบนี้ เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองกำลังสั่นระริก
                          ‘เอย์จิ ฉันกลัว’ รุกะเบียดตัวเข้ามาใกล้ด้วยความกลัว ยึดเสื้อบริเวณบั้นเอวของเด็กชายไว้แน่น
                          เอย์จิฮึดขึ้นมา เขาเป็นผู้ชาย เขามีหน้าที่ต้องคุ้มครองรุกะ แล้วเขาก็มีอาวุธ ไม่ได้มามือเปล่าเสียหน่อย เด็กชายรีบกันรุกะไว้ด้านหลังพลางดึงดอกศรออกมาจากกระบอก
                          ‘ตาย’
                          อสูรที่เรียกตัวเองว่าฮิคิกะเอะรุอ้าปากว้าง ลิ้นยาวของมันยืดออกมาหวังจะตวัดเหยื่อของมันเข้าปาก จังหวะนั้นเองที่เอย์จิยิงธนูสวนเข้าไป ลูกธนูที่เป็นดอกศรปัดรังควานพุ่งเข้าปักที่ลิ้นของมันอย่างถนัดถนี่ แต่ทำให้มันแค่ชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำลายร่างมันให้แหลกสลายไปเหมือนอย่างที่คิด
                          เอย์จิตาเหลือกโพลงเมื่อลิ้นของมันตวัดมาอีกครั้งหนึ่ง กระแทกตัวเขาจนล้มโครม เจ็บน่วมไปหมดทั้งตัว รุกะร้องกรี๊ด หล่อนกำปิ่นปักผมของตัวเองแน่น ก่อนจะตัดสินใจร่ายเวท

                          ผีเสื้อสีน้ำเงิน
                          จากสรวงสวรรค์กลางนภากาศ
                          เจ้าพร้อมจะโบยบิน


                          ผีเสื้อที่เคยเกาะนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนด้ามปิ่นพลันขยับปีกทันที มันโบยบินเข้าจิกตีใบหน้าน่าเกลียดของอสูรคางคกจนเจ้าอสูรต้องใช้มือทั้งสองปัดป้อง มันร้องเสียงแหบแห้งด้วยความฮึดฮัดขัดใจที่โดนขัดขวาง
                          เอย์จิไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย ชิกิงามิของรุกะมีพลังมากกว่าดอกศรของเขามาก อย่างน้อยก็หยุดเจ้าปีศาจนั่นไว้ได้
                          ‘เป็นยังไงบ้างเอย์จิ’ เด็กหญิงถลาเข้ามานั่งข้าง ๆ เอามือเขย่าตัวเขาด้วยความร้อนรน น้ำตาไหลพราก
เอย์จิพูดไม่ออก แต่รู้สึกว่าหน้าผากของเขาคงจะมีเลือดออกเพราะล้มไปโดนก้อนหินเข้าเต็มที่ แล้วที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย รุกะกำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ
                          เขาปกป้องรุกะไม่ได้ แค่จะเช็ดน้ำตาให้หล่อน เขายังทำไม่ได้เลย
                          อสูรคางคกปัดผีเสื้อสีน้ำเงินกระเด็นหายไป ดวงตาปูดโปนของมันยิ่งโตขึ้นด้วยความโกรธจัด ลิ้นของมันแลบยาวออกมาอีกครั้ง เอย์จิกับรุกะหลับตาปี๋ นึกในใจว่าครั้งนี้ตัวเองคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน
                          เกิดเสียงดังสวบขึ้นในจังหวะนั้น
                          เด็กทั้งสองลืมตาขึ้นมอง ลิ้นสีแดงของเจ้าอสูรคางคกตวัดกลับเหมือนโดนอะไรบางอย่างเข้าปะทะ เอย์จิเห็นขนนกติดปลายลูกธนูสั่นระริก ส่วนคมของมันปักเข้าไปที่ลิ้นอันใหญ่โต จากนั้นไฟก็ลุกพรึบ ไหม้ลามจากลิ้นไปที่ปากน่าเกลียด ปีศาจคางคกแผดเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด และก่อนที่มันจะได้ทันตั้งตัว ดอกศรอีกดอกก็พุ่งเข้าปักที่ดวงตาข้างหนึ่งของมัน ไฟลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงจนทำให้ร่างกายอันใหญ่โตเป็นตะปุ่มตะป่ำของมันถูกเผามอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า
เอย์จิหันขวับไปมองข้างหลัง เขาเห็นคนที่หน้าเหมือนตัวเองเปี๊ยบยืนอยู่ตรงนั้น กำลังลดคันธนูลง ท่าทางของเออิจิโร่ พี่ชายฝาแฝดของเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ลูกธนูทั้งสองดอกที่ยิงออกไปสามารถสลายร่างของอสูรได้
                           ผิดกับของเขาที่ยิงออกไป
                           ทั้ง ๆ ที่เป็นดอกศรปัดรังควานแบบเดียวกันแท้ ๆ
                           เด็กชายตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่า คนที่มีพลังคือเออิจิโร่ ไม่ใช่เอย์จิ
                           คนที่มาช่วยเขาและรุกะคือเออิจิโร่
                           เอย์จิปกป้องคุ้มครองรุกะไม่ได้ เออิจิโร่ต่างหากที่ทำได้!

ออฟไลน์ yaoisamasang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
    • https://www.facebook.com/pages/Yaoi-Sama/463499467036395?ref=hl
อ๊ากกก มาต่อเถอะ มาต่อไวไว ตัดตอนได้แบบ :ling1:มาก

อ่านแล้วเข้าถึงอารมณ์ เหมือได้ไปญี่ปุ่นริงๆเลยอ่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด