พิมพ์หน้านี้ - "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Mettnoon ที่ 11-03-2016 11:35:47

หัวข้อ: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-03-2016 11:35:47
********************************************************************************************************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

สวัสดีค่ะ

ขอฝากนิยายเรื่องที่ 3 ด้วยนะคะ "ภาพลวงตาของปีศาจ"
แรงบันดาลใจเรื่องนี้มาจากเสียงอีกาในสุสานเมืองยานากะกับโอเด้งของคุณจิ้งจอกจากเรื่อง xxxHolic ของ CLAMP
และเรื่องนี้คนเขียนลดความติสต์ลงมาแล้ว (แปลว่าก็ยังมีอยู่บ้าง เพราะอยากเขียนยังไงก็ยังเขียนอย่างนั้นแหละ มิได้แคร์ -_-) พล็อตก็แมสอยู่ น่าจะโอเค (แล้วมั้ง) หวังว่านะคะ พอไม่ติสต์แตกเหมือนปกติ มันก็รู้สึกแปลก ๆ แฮะ -_-

ออกตัวก่อนว่า ข้อมูลอ้างอิงมาจากเอกสารที่เป็นภาษาอังกฤษ อาจมีคลาดเคลื่อนบ้างและการออกเสียงชื่อต่าง ๆ ก็มาจากตัวโรมันจิ แต่มีการทวนซ้ำโดยการขอให้เพื่อนเอกญี่ปุ่นช่วยด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถการันตีว่าถอดเสียงได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมีข้อผิดพลาด ดิฉันขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

เรื่องนี้เป็นของ "ชินจิ" จาก "บนทางรัก"
หากผู้อ่านยังเอ็นดูตัวละครตัวนี้อยู่ก็ขอฝาก "ภาพลวงตาของปีศาจ" ด้วยนะคะ

ผลงานชิ้นก่อน ๆ
"บนทางรัก"
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43659.0

"ฆาตกรรมในออฟฟิศ"
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51028.0

ขอบพระคุณสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจนะคะ

Mettnoon
11/3/2016

   
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-03-2016 11:40:40
ภาพลวงตาของปีศาจ

Mettnoon

บทนำ

   “เจ้าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ ถ้าหากรู้ไปถึง...”
   เสียงแหบห้าวถามร้อนรน ขณะเดียวกับที่อีกเสียงหนึ่งซึ่งแหลมสูงกว่าสอดขึ้นมาพร้อมกัน ฟังเหมือนเสียงร้องของนก
   “ข้าไม่เปลี่ยนใจ!”
   “เจ้าจะถูกตามล่า ลูกแก้ววิเศษที่เจ้าฆ่ามนุษย์ผู้นั้นเพื่อแย่งชิงมาคือเป้าหมาย เจ้าไม่มีวันหนีพ้น”
   พูดพลางมองลูกแก้วที่ส่องประกายสีแดงเรื่อเรืองอยู่ในมือที่งองุ้มเหมือนกรงเล็บของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยความหวาดหวั่น
   “ข้าจะบินไปให้ไกล จะหนีไปให้ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดลูกแก้วนี่จะต้องปลอดภัย ก่อนจะถูกส่งคืนให้มนุษย์ผู้ที่มีหน้าที่เฝ้ารักษา ข้าตัดสินใจผิดพลาดมาหนหนึ่งแล้ว ข้าจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้า...”
   ประโยคที่อยากจะพูดถูกกลืนหายลงไปในลำคอทันทีเมื่อสบสายตาที่แสดงความหวาดกลัวของผู้ที่อยู่ตรงหน้า มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าถึงจะขอให้ไปด้วยกัน แต่ความหวาดกลัวที่เกาะกุมหัวใจของอีกฝ่ายไว้แน่นหนาจะทำให้ถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน ประโยคที่พูดถัดมาจึงเป็น
   “เจ้ารีบกลับไปเถอะ ก่อนที่ผู้อื่นจะล่วงรู้ว่าเจ้ารู้เห็นเรื่องที่ข้าทำ ขอให้เรื่องนี้เป็นฝีมือของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
   “คาโตดะ...” เสียงแหบห้าวพยายามทักท้วงทั้งที่รู้ว่าไร้ผล “ข้าอาจจะถูกสั่งให้ออกตามล่าเจ้าด้วย”
   “ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ เรายืนกันคนละฝ่ายแล้วในตอนนี้”
   “เจ้าก็รู้ว่าข้าทำอย่างนั้นไม่ได้” เสียงแหบห้าวมีความเศร้าเจือปนอยู่จนผู้ฟังยังสะท้านใจ แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ตัดสินใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
   “ข้าจะต้องไปแล้ว” มือที่งองุ้มกำลูกแก้วแน่นจนประกายสีแดงหายวับไปในพริบตา สายตาสองคู่ประสานกันอีกครั้งก่อนที่สายตาหนึ่งในสองนั้นจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
   “จำไว้ เมื่อเจอกันอีกครั้ง เราจะกลายเป็นศัตรูกัน แต่สำหรับตอนนี้ ลาก่อน คุโรบะ สหายรักของข้า!”
   เมื่อพูดจบ ปีกสีดำสนิทสองข้างก็สยายออกกว้าง กระพือพั่บจนเกิดสายลมแรงและหายวับไปในทันที เหลือเพียงแค่ขนนกสีดำที่ร่วงพรูลงมาและปลิวว่อนอยู่ในอากาศ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-03-2016 19:53:14
บทที่ 1

        พระอาทิตย์ตกดินเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อย ๆ ทำให้ใบไม้บนต้นที่เคยเป็นสีเขียวสดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง สีเหลือง สีน้ำตาล และร่วงหล่นลงบนพื้น เพียงไม่นานใบไม้ที่ร่วงหล่นก็มีมากเกินกว่าที่จะกวาดทิ้งไหว ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของทุกปี ทางเดินในสวนสาธารณะจึงเหมือนกับถูกฝังอยู่ใต้กองใบไม้สีน้ำตาลที่แห้งกรอบและจะส่งเสียงกรอบแกรบทุกครั้งเมื่อถูกเหยียบย่ำ
        ชินจิเดินขึ้นบันไดปูนสูงเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดใหญ่กลางกรุงโตเกียว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิสวนนี้เป็นสถานที่ชมดอกซากุระยอดนิยม ผู้คนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาจับจองที่สำหรับชมดอกไม้สีชมพูอ่อนจางที่บานสะพรั่งไปทั้งสวน ส่วนในฤดูร้อน หลังจากดอกซากุระร่วงโรย ดอกบัวหลากหลายสายพันธุ์ในบ่อชิโนบาสึภายในสวนจะชูช่อท่ามกลางใบบัวใหญ่สีเขียวเข้มให้ผู้คนได้เข้ามาชื่นชม และในตอนนี้ ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นต้องใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆ แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายเข้ามาเดินเล่นพักผ่อนชื่นชมความสวยงามของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี
        ชายหนุ่มร่างสันทัดใส่เสื้อแจ็กเก็ตสีดำทับเสว็ตเตอร์คอวีสีขาวเข้าชุดกับผ้าพันคอสีดำก้าวยาว ๆ ไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ผ่านรูปปั้นไซโกะ ทาคาโมริ ต้นอิโจที่รายรอบเปลี่ยนสีไปแล้ว บางต้นยังคงเหลือใบสีเขียวอ่อนปะปนอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นสีเหลืองอร่าม ชินจิเดินไปตามทางเดินกว้างในสวนที่สองข้างทางปลูกต้นซากุระเป็นแนวยาว และแม้จะไม่มีดอกสวย ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังชอบมองลำต้นใหญ่ ๆ สีเข้มที่แผ่กิ่งก้านไปทุกทิศทางรวมทั้งโคมไฟเตี้ย ๆ รูปสี่เหลี่ยมที่หุ้มด้วยรูปวาดสีสันสดใสเรียงเป็นแถวไปตามแนวต้นไม้
        สวนและต้นไม้มีเสน่ห์เฉพาะตัวในแต่ละฤดูกาล
        ชายหนุ่มชอบเดินเล่นในสวนสาธารณะ ชื่นชมความงามที่แตกต่างกัน เขามาที่สวนนี้บ่อยเพราะอยู่ใกล้อพาร์ตเม้นท์ที่พักชนิดที่เดินมาได้อย่างสบาย ๆ โดยใช้เวลาไม่มากนัก วันนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้เวลาตอนบ่ายของเขาที่นี่หลังเสร็จธุระในตอนเช้า พ้นอุโมงค์ต้นซากุระ ชินจิแวะซื้อกาแฟร้อน ๆ ในร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดังที่เป็นที่นิยม คนญี่ปุ่นชอบเทศกาลคริสต์มาส ถึงจะเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงวันเฉลิมฉลอง แต่ร้านรวงต่าง ๆ ก็พากันตกแต่งต้อนรับเทศกาลอย่างพร้อมเพรียง ภายในร้านกาแฟมีต้นคริสต์มาสตกแต่งอย่างสวยงามรวมทั้งของประดับประจำเทศกาลชนิดอื่น ๆ บนผนังติดกระดาษสีสดตัดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษอ่านได้เป็นคำอวยพรวันคริสต์มาส และหน้าร้านตั้งกระดานบอกรายละเอียดโปรโมชั่นพิเศษ ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นชื่อขนมที่เขียนด้วยชอล์กสีขาว
        จากที่คิดจะสั่งแค่กาแฟร้อนแก้วเดียว ชินจิบอกชื่อขนมเป็นภาษาเยอรมันอย่างชัดเจน
        “ชตอลเลิ่นชิ้นหนึ่งด้วยครับ”
        พนักงานสาวน้อยขมวดคิ้วนิด ๆ กับสำเนียงแปลกหู แต่ก็เข้าใจเพราะชายหนุ่มพูดพลางชี้ขนมชิ้นที่เขาต้องการ หลังจากได้ของครบตามที่สั่ง เขาก็ถือถ้วยกาแฟและถุงขนมเดินออกมาข้างนอก จงใจไม่นั่งในร้านที่อบอุ่นแต่ข้ามไปนั่งลงที่ม้านั่งด้านตรงกันข้ามแทน ฝนที่ตกเมื่อวานทำให้ดินค่อนข้างนิ่ม แต่ชินจิย่ำลงไปบนพื้นดินที่มีใบไม้ร่วงหล่นทับถมจนกลายเป็นลานใบไม้สีน้ำตาลอย่างไม่ลังเล
        เขาคิดถึงเยอรมนี นั่นเป็นสาเหตุให้เขาเลือกซื้อขนมชนิดนี้ คนเยอรมันกินชตอลเลิ่นซึ่งเป็นเค้กผลไม้แห้งโรยด้านบนด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวเหมือนหิมะในเทศกาลคริสต์มาส เขาเคยเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่เยอรมนี และยังคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ขนมชนิดนี้ก็เคยได้กินตอนที่ไปฉลองคริสต์มาสที่บ้านของเพื่อนชาวเยอรมัน รสชาติแตกต่างจากชิ้นที่เขากำลังกินอยู่นิดหน่อย แต่ก็อร่อยเหมือนกัน
        เมื่อคิดถึงเยอรมนี ภาพของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาในความคิด
        เควิน...
        รักครั้งแรกของเขา แต่มันจบลงแบบไม่สวยงามนัก หลังจากที่เขากลับมาที่ญี่ปุ่น คนรักก็บอกเลิกกับเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายหนุ่มเศร้าโศกเสียใจอยู่นานจนคนรอบตัวพากันเป็นห่วง มันเพิ่งผ่านมา 6-7 เดือนนี้เอง เขายังคงคิดถึงเควินอยู่เป็นระยะ แต่เขาไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เขาทำได้ตามที่สัญญากับใครคนหนึ่งเอาไว้
        ความคิดถึงผ่านพ้นไปพร้อมกับที่ขนมหมดชิ้น ชายหนุ่มเช็ดมือและปากที่เปื้อนคราบน้ำตาลไอซิ่ง จิบกาแฟร้อน และหยิบหนังสือจากกระเป๋าสะพายออกมาเปิดอ่าน
        ในสวนไม่เงียบ เสียงคนเดิน เสียงพูดคุยกันจ้อกแจ้ก เสียงหมาเห่า แต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของชายหนุ่มได้ เขาจมดิ่งลงสู่โลกอันมหัศจรรย์ของตัวหนังสือ ตื่นเต้นกับมนตร์ดำของคนที่แปลงร่างเป็นอีกา หวาดหวั่นกับอำนาจดำมืดที่อยู่ในโรงสีปีศาจ ประทับใจกับความรักของหญิงสาวจากชวาร์สโคล์มที่นำพาหัวใจที่หลงทางของคราบัตให้พบทางออก
        ชินจิปิดหนังสือหลังจากอ่านหน้าสุดท้ายจบลง ถอนหายใจยาว
        เขามักจะลืมเวลาเสมอเมื่ออ่านหนังสือ รู้สึกตัวอีกทีก็อ่านจนจบเล่มและเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้จะค่ำแล้ว ชินจิเก็บหนังสือใส่กระเป๋า ทิ้งแก้วกาแฟกับถุงขนมในถังขยะ แล้วเดินผ่านสระน้ำพุทะลุออกไปทางพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียว ผ่านโซงะคุโดะคอนเสิร์ตฮอลล์ซึ่งเป็นอาคารเก่าแบบตะวันตกสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปะ
        อพาร์ตเม้นท์ที่เขาพักอยู่ในเขตยานากะ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่มากนัก แต่สิ่งที่เขาชอบไม่ใช่เรื่องนี้แต่เพียงอย่างเดียว ยานากะเป็นเขตที่มีกลิ่นอายของโตเกียวในสมัยก่อน ร้านค้าแบบดั้งเดิมยังมีเปิดให้บริการเหมือนในวันเก่า ๆ เป็นอดีตที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาพอใจจะเดินช้า ๆ เฝ้ามองชีวิตประจำวันของคนท้องถิ่นที่ดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่ง ต่างจากเขตใหญ่ ๆ ที่วุ่นวายอย่างชิบุยะ ชินจูกุ หรือแม้กระทั่งอุเอโนะที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ตาม
        ชายหนุ่มใช้ทางที่ต้องเดินผ่านสุสานใหญ่ตามความเคยชิน นอกจากสวนสาธารณะก็มีสุสานนี่แหละที่เขาใช้เป็นสถานที่เดินเล่นในบางเวลาที่ต้องการปลีกวิเวก แต่ก็ไม่ได้สงบไปเสียทุกครั้งหรอก สุสานแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเพราะมีหลุมศพของโตกุกาวะ โยชิโนบุ โชกุนคนสุดท้ายของสมัยเอโดะ และสุสานก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีการทำป้ายชี้ทางระบุแถวที่ตั้ง ป้ายหลุมศพได้รับการทำความสะอาดอย่างดี มีดอกไม้สดใส่แจกันตั้งเคารพหน้าหลุมศพ บางหลุมศพปลูกต้นไม้ดอกไม้คลุมทั่วทั้งบริเวณดูสวยงามและร่มเย็น ชายหนุ่มมักจะเจอพนักงานดูแลสุสานสองหรือสามคนช่วยกันปัดกวาดทางเดินปูหินภายในสุสานให้สะอาดเรียบร้อย ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมและคนในพื้นที่ที่จูงหมามาเดินเล่นทั้งตอนเช้าและตอนเย็น
        แต่วันนี้เขารู้สึกว่ามันผิดไปจากทุกวัน ในสุสานไม่มีใครเลย ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีคนจูงหมาเดินเล่น ไม่มีแม้กระทั่งคนเดินผ่านไปมา
             ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาเมื่อหมดแสงพระอาทิตย์ อากาศในตอนใกล้ค่ำหนาวเย็นลงจนเขาต้องกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้น ต้นไม้ในสุสานเปลี่ยนสี ใบไม้สีแดงและสีน้ำตาลร่วงหล่นปกคลุมพื้นดินและทางเดินกว้างปูด้วยหิน ซากุระต้นใหญ่ที่ปลูกเป็นแนวริมทางแผ่กิ่งก้านคดงอไปรอบ ๆ ลำต้นสูงสีดำบิดเป็นเกลียว ในความสลัวรางมองเห็นเหมือนเงาคนบิดตัวไปมา เสียงกาที่ร้องไม่หยุดตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ดังแหลมสูงชวนให้รู้สึกสะท้านเยือกไปทั้งหัวใจ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 1 12-3-2016
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 12-03-2016 21:46:55
ภาษาที่ใช้บรรยายสวยมากๆเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนเราหลุดไปอยู่โตเกียวเลย
ท่าทางชินจิจะสโลวไลฟ์หน้าดู อยากไปนั่งชิลเหมือนนางมั่งจัง มาต่อไวๆน้า รอค่า
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 1 12-3-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 13-03-2016 14:10:46
          อาจจะเพราะความรู้สึกเมื่อตอนอ่านหนังสือเรื่องคราบัตกับโรงสีปีศาจยังหลงเหลืออยู่ในตัวของเขาก็ได้ที่ทำให้ชินจิอดรู้สึกหวาด ๆ ไม่ได้กับบรรยากาศในตอนนี้ กาก็ยังไม่หยุดร้องเสียที เขารู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคลายบรรยากาศเย็นยะเยือกนี้ลง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบทำอะไรแบบนี้สักเท่าไร แต่ชายหนุ่มก็ร้องเพลงออกมา

          Karasu naze nakuno
          Karasu wa yama ni
          Kawai nanatsu no ko
          Ga aru kara yo

          แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
          แม่กาเอ่ยตอบว่า
          เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
          อยู่ในภูเขา
 

          เสียงร้องเพลงของชินจิดังประสานกับเสียงร้องแหลมของกาในสุสาน แล้วเสียงหลังก็ค่อย ๆ เงียบงัน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปตามทางเดิน ปากยังร้องเพลงนานาสึโนะโกะไปเรื่อย ๆ จวบจนสายตาของเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างคล้ายกองผ้าสีดำกองใหญ่อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
          สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นกองผ้าขยับ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าทันที และเมื่อเพ่งมองดี ๆ ก็เห็นว่า กองผ้านั้นคือกาตัวใหญ่สีดำตัวหนึ่งที่คงบาดเจ็บหรือใกล้จะตาย เพราะมันทำท่าเหมือนสำลัก เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากตัวเป็นวงกว้าง
          ถึงแม้จะกลัว แต่ชินจิก็ไม่สามารถละทิ้งสัตว์บาดเจ็บที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาได้ ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทรุดตัวลงนั่งพิจารณาอีกาที่บาดเจ็บ
          ความคิดแรกของเขาคือพามันไปหาสัตวแพทย์ แต่เลือดที่ไหลไม่หยุดจากแผลที่ใหญ่น่าหวาดเสียวและท่าทีที่อ่อนแรงเต็มทนของมันทำให้เขาเปลี่ยนใจ อีกาตัวนี้ใกล้จะตายแล้ว มันส่งเสียงขลุกขลักออกมาจากลำคอ จงอยปากสีดำแข็งแรงอ้าพะงาบ
          ชินจิรู้สึกสงสารและเศร้าใจที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออีกาตัวนี้ได้ เพลงนานาสึโนะโกะที่หยุดร้องไปเมื่อครู่นี้ดังขึ้นใหม่อีกครั้ง

          Karasu naze nakuno
          Karasu wa yama ni
          Kawai nanatsu no ko
          Ga aru kara yo

          แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
          แม่กาเอ่ยตอบว่า
          เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
          อยู่ในภูเขา


          มือของชินจิเอื้อมไปลูบหัวที่ปกคลุมด้วยขนหยาบ ๆ สีดำของมันด้วยความนุ่มนวล กาใกล้ตายหยุดขยับตัว มันจ้องมองเขานิ่ง สายตาของมันดูลึกล้ำจนยากจะหยั่ง ดูไม่เหมือนตาของสัตว์เลย มันจ้องเขาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายขยอกเอาอะไรบางอย่างออกมาจากปากและสุดท้ายก็แน่นิ่งไม่ไหวติง
          มันตายแล้ว อีกาตัวใหญ่ที่น่าสงสาร
          ชินจิลูบหัวมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่มันขยอกออกมา
          “ลูกแก้วสีแดง”
          ชายหนุ่มหยิบขึ้นมามองด้วยความพิศวง ลูกแก้วลูกนี้มีขนาดเท่า ๆ กับลูกแก้วธรรมดาที่เด็ก ๆ ทอยเล่นกัน แต่มันมีแสงสีแดงเรื่อเรืองอยู่ในตัวต่างกับลูกแก้วทั่วไปและก็สวยงามยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็น
          ลูกแก้วอยู่ในท้องอีกาได้ยังไง นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ชายหนุ่มคิด แต่ก็สุดปัญญาจะหาคำตอบ เขามองอีกาตัวใหญ่ที่นอนตายอยู่ตรงหน้าและมองลูกแก้วที่ถืออยู่อีกครั้ง เอาเถอะ คิดไปก็เปล่าประโยชน์ อีกาคายลูกแก้วออกมาก่อนจะตาย เล่าให้ใครฟังใครเขาจะเชื่อ
          ชินจิตัดสินใจเก็บลูกแก้วสีแดงไว้ในถุงเครื่องรางที่เขาผูกติดกระเป๋าสะพายไหล่ไว้ตลอดเวลา เป็นเครื่องรางที่ดลบันดาลให้ชีวิตพบเจอแต่ความสุขที่เขาซื้อจากศาลเจ้าเล็ก ๆ ใกล้บ้าน จากนั้นเขาก็หันกลับมาจัดการกับศพของอีกา ชายหนุ่มไม่มีเครื่องมือจะขุดหลุมฝังศพให้เป็นกิจจะลักษณะ เขาจึงได้แต่กอบใบไม้แห้งสีน้ำตาลมาคลุมตัวให้ หันซ้ายหันขวา ก่อนจะลุกไปหยิบดอกไม้สีขาวที่หล่นอยู่บนพื้นแต่กลีบดอกยังไม่ช้ำมาวางไว้บนกองใบไม้
          “Ruhe in Frieden ขอให้ไปสู่สุคตินะ”
          ชายหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะคำนับแสดงความไว้อาลัย แม้จะเป็นสัตว์ แต่มันก็มีชีวิต มันอาจจะเป็นแม่กาที่มีลูกเจ็ดตัวรออยู่ในภูเขาเหมือนอย่างในเพลงที่เขาร้องก็ได้ ช่างน่าสงสารที่จะต้องจากคนที่ตัวเองรักไปตลอดกาล
          ชินจิยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิมอีกครู่ก่อนจะเดินจากไปตามทางเดินปูหินของสุสาน
          ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่า สูงขึ้นไปบนกิ่งซากุระไม่ไกลนัก กาสีดำตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งเกาะนิ่งอยู่ที่นั่น จับตามองการกระทำของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 1 - 13-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 13-03-2016 20:03:43
          “คาโตดะตายแล้ว แต่หาลูกแก้วคันจุไม่เจออย่างนั้นรึ”
          เสียงกร้าวแข็งทวนคำรายงาน ทำให้ศีรษะที่ก้มต่ำอยู่แล้วของคุโรบะยิ่งก้มต่ำลงจนจรดพื้น
          น่าสังเวชยิ่งนัก การาสุเทนงูอายุกว่าสี่ร้อยห้าสิบปีอย่างเขาหวาดกลัวอสูรที่อายุน้อยกว่ามากถึงขนาดนี้ แต่ความร้อนราวเพลิงโลกันตร์ที่แผ่ออกมาให้สัมผัสได้ทำให้เขาไม่สามารถรู้สึกเป็นอื่นไปได้ ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าดวงตาของเจ้าของเสียงนั้นลุกจ้าเป็นไฟ
          ร่างสะโอดสะองมีรอยสักสีดำเป็นลวดลายและตัวอักษรโบราณทั่วทั้งแผ่นอกและท่อนแขนของคุโรบะสั่นเทา
          “เจ้าคาโตดะโดนพลังของท่านอาคางิเข้าไปจะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว หน้าที่ของเจ้าคือไปเอาตัวมันที่ยังกระเสือกกระสนหนีรอดไปได้กลับมาพร้อมกับลูกแก้วลูกเดียว แต่เจ้าก็ยังไม่มีปัญญาทำได้ คุโรบะ จะให้ข้ารายงานท่านอาคางิอย่างไรกัน หา”
          “ข้าขออภัย ข้าไปช้าเกินไป ลูกแก้วคันจุคงถูกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งก่อนที่คาโตดะจะตาย”
          “ก็ข้าบอกท่านแล้ว ไทมะซึมะรุ ว่าอสูรแก่ ๆ ไม่มีน้ำยาจะทำงานสำเร็จได้อย่างไร แต่ท่านก็ไม่เชื่อข้า นี่ถ้าเป็นข้าหรือริคิมะรุก็คงทำให้งานลุล่วงไปเสียนานแล้ว”
          เสียงอวดโอ่ที่แทรกขึ้นมากลางคันทำให้คุโรบะกัดริมฝีปากเพื่อระงับความโกรธ นี่ก็อีกตน เจ้าอสูรเกิดใหม่แต่ทะนงตัวยิ่งนัก และไม่ทันขาดคำ เสียงหัวเราะกร่าง ๆ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน คุโรบะที่ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผู้ใดได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกลงไปภายใน ริมฝีปากที่เจาะแล้วคล้องห่วงเล็ก ๆ สีดำสั่นระริก
          “พอที ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดแบบนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือลูกแก้วคันจุ”
          เสียงของอสูรตนแรกดังอยู่เหนือศีรษะของคุโรบะและพลังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นก็ราวจะกดศีรษะของการาสุเทนงูอย่างเขาให้ยิ่งต่ำติดดิน
          “ทำทุกวิถีทาง หาลูกแก้วคันจุให้เจอให้จงได้!”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 1 - 13-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 14-03-2016 10:17:43
บทที่ 2

        ชินจิเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไปในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เขามาฝากท้องเป็นประจำ พ่อครัวสองคนหลังเคาน์เตอร์บาร์ร้องต้อนรับประสานเสียงกันท่าทางขึงขัง ชินจิก้มศีรษะรับก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างหน้าเคาน์เตอร์ ร้านนี้มีที่นั่งราวสิบที่ตรงเคาน์เตอร์บาร์เท่านั้น ไม่มีโต๊ะแยก ริมผนังทั้งสองด้านมีม้านั่งให้แขกนั่งคอย เป็นร้านที่ค่อนข้างแคบ แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด
        พนักงานหญิงซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟคนเดียวในร้านนำผ้าร้อนมาให้ พ่อครัวหนึ่งในสองคนโน้มตัวข้ามบานไม้นำถ้วยน้ำชาร้อน ๆ มาตั้งให้ตรงหน้า ชินจิไม่ต้องมองเมนูอาหารที่ติดอยู่เลยก่อนสั่งข้าวหน้าปลามากุโระ เขามากินบ่อยจนแทบจะจำรายชื่ออาหารได้ขึ้นใจ
        รอไม่นานนัก พ่อครัวก็นำถ้วยใส่น้ำซุปใสและจานใบเล็กที่มีวาซาบิก้อนหนึ่งมาวางให้ ตามมาด้วยอาหารที่เขาสั่ง ปลามากุโระเนื้อแดงหั่นเป็นชิ้นหนาเรียงอยู่บนข้าวอย่างสวยงามเคียงด้วยขิงดองและสาหร่ายหั่นเป็นเส้น ชายหนุ่มรินโชยุที่หยิบจากถาดเครื่องปรุงใส่ลงในจานใบเล็กที่มีวาซาบิ หยิบตะเกียบไม้จากกระบอก พนมมือพึมพำเบา ๆ ว่า
        “อิตาดากิมัส”
        หลังจากนั้นก็เริ่มต้นรับประทานเงียบ ๆ
        บนชั้นไม้ด้านหลังพ่อครัวที่กำลังวุ่นกับการทำอาหารตามที่ลูกค้าสั่ง มีโทรทัศน์เครื่องเล็กเปิดอยู่ ตอนแรกชินจิก็ไม่ได้สนใจจนกระทั่งมีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอ เป็นภาพของภูเขาที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งกว่าเนื้อปลาที่เขาเพิ่งกินไปเมื่อสักครู่นี้เสียอีก

        “...และนี่นับเป็นรายที่สามแล้วที่หลงหายเข้าไปในภูเขามิคามิ เจ้าหน้าที่ร่วมกับอาสาสมัครในท้องถิ่นยังไม่สามารถค้นหาได้พบ เช่นเดียวกับคนหายอีกสองรายก่อนหน้านี้...”

        ข้างตัวของเขามีเสียงพึมพำแว่วให้ได้ยินว่าน่ากลัวและสงสารครอบครัวของผู้สูญหาย ชายหนุ่มอยากจะฟังข่าวต่อ แต่ในเวลานั้นมีลูกค้าอีกสองสามรายเปิดประตูเข้ามาในร้านและกวาดตามองหาที่นั่งว่าง ชินจิจึงละความสนใจจากหน้าจอโทรทัศน์ คีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย และจ่ายค่าอาหาร เมื่อเขาเปิดประตูร้านเดินออกมาข้างนอกและคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำต่อไป ข่าวคนหายเมื่อสักครู่ก็ค่อย ๆ เลือนไปจากความทรงจำ
        จากเขตที่เขาพักมีหลายวิธีทั้งรถไฟใต้ดินและรถบัสที่จะไปถึงมหาวิทยาลัย ถ้าไม่อยากเปลี่ยนรถ เขาก็จะนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีเนะซึและเข้าทางประตูด้านข้าง ลัดเลาะไปตามทางเดินระหว่างอาคารเรียน แต่ถ้าไม่รีบและอยู่ในอารมณ์ที่เบิกบาน เขาก็จะเปลี่ยนสายรถไฟใต้ดินและลงที่สถานีด้านหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อจะได้เดินเข้าทางประตูหลักหรือทางประตูแดงที่อยู่ไม่ไกลกัน เข้าทางประตูทั้งสองนี้จะใกล้กับอาคารเรียนของคณะเขามากกว่า และระหว่างทางเดินจากสถานีรถไฟเรื่อยไปตามกำแพงอิฐสีแดงซึ่งเป็นรั้วของมหาวิทยาลัยจะมีต้นอิโจปลูกเป็นแนว กลางฤดูใบไม้ร่วง ใบอิโจพากันเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเหลืองและจะเหลืองจัดขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปก่อนจะร่วงโรยเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว
        ชินจิเดินช้า ๆ ไปพร้อมกับชื่นชมความสวยงามของใบไม้ที่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบบางส่วนร่วงหล่นอยู่บนทางเท้า เขาเดินผ่านประตูแดงไปเข้าทางประตูหลัก เมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปจะเห็นต้นอิโจปลูกเป็นแนวสองฝั่งทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงหอนาฬิกา เมื่อใบอิโจกลายเป็นสีเหลืองอร่ามพร้อมกันทุกต้น จุดนี้ก็จะกลายเป็นศูนย์รวมของบรรดาช่างภาพและนักท่องเที่ยวที่อยากมาชื่นชมความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี จะมีคนเข้ามาในมหาวิทยาลัยมากกว่าปกติ นอกจากมาดูใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว อาคารอิฐแบบตะวันตกสีเหลืองอมน้ำตาลและสีแดงของมหาวิทยาลัยของเขายังเป็นตัวดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้ใบอิโจยังเป็นสีเขียวอยู่ บางต้นมีสีเหลืองแซมบ้างแล้ว มันอาจจะยังไม่สวยสักเท่าไร แต่ชินจิก็ยังอดชื่นชมไม่ได้อยู่ดี
        เขาเดินไปตามอุโมงค์ต้นอิโจเพื่อไปยังตึกคณะ สถานที่ที่เขานัดกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อรับจดหมายแนะนำสำหรับการฝึกงาน เรื่องฝึกงานนี้ชายหนุ่มตัดสินใจช้าเกินไปทำให้บริษัทดี ๆ มีคนเลือกไปหมดแล้ว เขาได้รับคำแนะนำให้ไปฝึกงานในแผนกแปลภาษาของบริษัทนำเข้าส่งออกบริษัทหนึ่ง งานแปลเป็นงานที่เขาสนใจก็จริง แต่เมื่ออ่านจดหมายแนะนำแล้วเขากลับรู้สึกลังเลอย่างบอกไม่ถูก
        ไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากเป็นพนักงานบริษัทหรืออยากทำอะไรอย่างอื่นกันแน่ เขาเคยคิดจะรับทุนไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นที่ต่างประเทศ แต่ตอนนั้นเป็นเพราะความรักความหลงมันบังตา เมื่อความเป็นจริงกลับคืนมาสู่ชีวิตในตอนนี้ เขาจึงอยากจะคิดทบทวนดี ๆ ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรกันแน่ และบางทีการฝึกงานก็อาจจะช่วยให้เขาตัดสินใจได้
        ชินจิเก็บจดหมายแนะนำลงกระเป๋า ถอนหายใจนิด ๆ อย่างคนที่ตัดสินใจไม่ถูก
        เขานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกเดินไปตามทางที่มีใบไม้สีแดงสีน้ำตาลหล่นเกลื่อน มหาวิทยาลัยของเขาเหมือนป่ากลางกรุงก็น่าจะว่าได้ มีต้นไม้มากมาย รวมทั้งสวนและบ่อน้ำที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว บางครั้งเขาก็คิดถึงเทียร์การ์เท่น สวนสาธารณะที่เหมือนป่าขนาดใหญ่กลางกรุงเบอร์ลินที่เขาเคยไปเดินเล่น มีทะเลสาบเหมือนกับที่นี่มีบ่อน้ำ ชายหนุ่มเดินทอดอารมณ์ไปเรื่อย ๆ ก้าวลงไปตามบันไดหินที่เป็นทางไปสู่บ่อซันชิโร่ บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีเค้าโครงคล้ายกับรูปหัวใจ
        แนวไม้รอบบ่อเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ กันอย่างน่าตื่นตา ตั้งแต่สีน้ำตาล สีส้มจัด สีเหลือง สีแดง บางต้นใบไม้ไม่เปลี่ยนสีก็เห็นเป็นสีเขียวหลายเฉดทั้งเข้มและอ่อน บางต้นใบร่วงจนหมดเห็นกิ่งเปลือย ๆ มองไกล ๆ เป็นสีม่วงแกมเทาแปลกตา ในบ่อมีใบไม้ที่ร่วงจากต้นลอยเกลื่อนบนผิวน้ำและกองเกยกันอยู่เป็นจำนวนมากตรงรอบขอบบ่อที่มีหินกลม ๆ สีเข้มวางระเกะระกะเป็นแนวกั้นน้ำ
        ชินจิเดินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ก้าวจากหินก้อนหนึ่งไปยังก้อนถัดไปและก้าวต่อไปบนหินก้อนใหญ่รูปสี่เหลี่ยมที่เรียงต่อกันเหมือนสะพานยื่นออกไปในบ่อ น้ำในบ่อไม่ถึงกับใสแจ๋วแต่ก็ไม่ขุ่น มองลงไปจะเห็นปลาคาร์พหลากสีขนาดใหญ่แหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำที่มีใบไม้ลอยฟ่อง เขาหยุดยืนอยู่ที่หินก้อนสุดท้าย มองปลาสวย ๆ อย่างเพลิดเพลิน
        ในบ่อไม่ได้มีแค่ปลาคาร์พ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 2 - 14-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 14-03-2016 17:05:00
        ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในน้ำ
        และเพื่อจะมองให้ถนัดขึ้น เขาจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ชะโงกหน้าไปดู
        ดวงตาปูดโปนคู่หนึ่งมองสบตากับเขาจากใต้ผิวน้ำ ผมดำยาวกระเซิงล้อมกรอบใบหน้าน่าเกลียด ชินจิเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะร้องเฮ้ยเสียงดังเพราะตกใจสุดขีดเมื่อสิ่งแปลกประหลาดใต้น้ำยืดแขนยาวที่มีรอยด่างเป็นดวง ๆ ขึ้นมาเหนือน้ำ เอามือที่มีเล็บยาวสกปรกมาจับข้อเท้าของเขา กลิ่นสาบสางบางอย่างโชยเข้าจมูกจนเขาผงะ
        “ปล่อย!”
        เขาร้องลั่น สะบัดขาสุดแรงโดยอัตโนมัติ เมื่อหลุดจากพันธนาการที่น่าขนลุก ชายหนุ่มตะเกียกตะกายลุกขึ้น รีบก้าวหนีอย่างรวดเร็ว แต่เพราะก้าวถอยหลังและความรีบร้อนลนลานทำให้เขาสะดุด ทำท่าจะหงายหลังอีกรอบ และชายหนุ่มคงจะตกลงไปในน้ำไปอยู่กับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้วถ้าไม่บังเอิญมีคนรับร่างของเขาไว้ได้ก่อนและกอดกระชับเอาไว้ในอ้อมแขน
        “เป็นอะไร ชินจิ ตกใจอะไร” คนที่กำลังกอดเขาอยู่ถามเสียงเรียบ
        “เอย์จิซัง!”
        ชินจิอุทานด้วยความดีใจแกมประหลาดใจที่หันไปมองแล้วเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย รุ่นพี่ที่เขารู้จักตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เบอร์ลินยิ้มให้นิด ๆ พลางถามย้ำว่า
        “ว่าไง เป็นอะไร”
        ชินจิหันกลับไปมองทางเดิมโดยอัตโนมัติ แต่เขาไม่เห็นอะไรผิดปกติเหมือนเมื่อสักครู่นี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นหายไปแล้ว หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ชายหนุ่มจึงลังเล คิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป
        “ปะ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมซุ่มซ่ามเอง” ชินจิปฏิเสธ
        รุ่นพี่ของเขาไม่ถามอะไรอีก แต่กวาดตามองขึ้นลง เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องไม่เป็นอะไรจริงอย่างที่ปากว่าแถมยังขยับตัวยุกยิกเหมือนขัดเขิน เอย์จิจึงคลายอ้อมแขนออกพร้อมกับพูดว่า
        “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
        “เอย์จิซังกลับมาจากเยอรมันเมื่อไหร่ครับ นี่เรียนจบแล้วเหรอ เร็วจัง” ชินจิถาม
        “เปล่าหรอก มีเรื่องทางบ้านนิดหน่อยก็เลยต้องกลับมา”
        ชายหนุ่มมีโอกาสพูดได้แค่นั้นก็ได้ยินเสียงผิวปากเหมือนเสียงนกร้องดังมาจากทางด้านหลังทำให้เขารู้ตัวว่ามีคนรออยู่ เอย์จิบอกรุ่นน้องว่า
        “ขึ้นไปคุยกันต่อบนฝั่งดีกว่า”
        ชินจิก้าวตาม ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่ใกล้กับบันไดหิน ข้างป้ายอธิบายประวัติของสถานที่
        “เอ๊ะ!” ชายหนุ่มหันกลับไปมองเอย์จิอีกครั้ง ท่าทางบอกว่าคาดไม่ถึงและงงงัน “เอ้อ...”
        “สวัสดี รุ่นน้องของเอย์จิ”
        คนที่ยืนรออยู่ทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง
        “สะ..สวัสดีครับ” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมก้มศีรษะลงต่ำอย่างเงอะงะ คนที่ทักเขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ตัวค่อนข้างหนา เครื่องหน้าดูบึกบึน โหนกแก้มชัด ผมตัดสั้นติดหนังศีรษะ ใส่สูทสีดำตัดเข้ารูปพอดีเชียะ ผูกไทสีดำ ยืนแยกขานิด ๆ ท่าทางสง่าและน่าเกรงขาม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจ
        ผู้ชายคนนี้หน้าตาเหมือนกับเอย์จิไม่ผิดเพี้ยน!
        ชินจิมองรุ่นพี่ของเขาก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างผู้ชายใส่สูทสีดำคนนั้น รูปร่างสูงต่ำเท่าเทียมกัน ใส่ชุดเหมือนกัน แล้วมายืนคู่กันแบบนี้ทำให้ดูเหมือนกับเอย์จิแยกร่างได้หรือไม่งั้นก็มี Doppelgänger  เหมือนอย่างในวรรณคดียุคโรมันติกของเยอรมนีอย่างไรอย่างนั้น
        “นี่เออิจิโร่ พี่ชายของฉัน” เอย์จิแนะนำ
        ชินจิกลืนน้ำลาย เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเอย์จิมีฝาแฝด ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้สักคน
        “แล้วนี่ก็คงเป็นชินจิสินะ” พี่ชายของเอย์จิพูดยิ้ม ๆ พิจารณาดูชายหนุ่มร่างสันทัดตรงหน้าที่เคยได้ยินชื่ออยู่บ้างจากน้องชาย รุ่นน้องของเอย์จิหน้าตาเรียบ ๆ ไม่โดดเด่นสะดุดตา จมูกค่อนข้างยาว ท่าทางเป็นคนสุภาพเรียบร้อย
        “ยินดีที่ได้รู้จัก ชินจิคุง” เออิจิโร่ยื่นมือออกมา   
        ตอนแรกชินจิลังเล แต่ก็ยื่นมือไปจับด้วย เขารู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อยเพราะเมื่อสักครู่เผลอแสดงความรู้สึกตกใจเกินไปหน่อย แต่เห็นพี่ชายของเอย์จิยิ้มกว้างจนตาหยี ไม่มีท่าทางจะถือสาแต่อย่างใด ชายหนุ่มก็คลายใจและยิ้มตอบอย่างสำรวม
        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
        รอยยิ้มของชินจิน่ามอง พี่ชายของเอย์จิคิด แต่กลิ่นสาบจาง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทำให้เขารู้สึกคาใจ
        “วันนี้มีเล็คเชอร์เหรอ ชินจิ” เอย์จิถาม
        “เปล่าครับ เทอมนี้ผมคิดจะฝึกงาน นี่มาเอาจดหมายแนะนำจากอาจารย์”
        “น่าสนใจนี่ จะไปฝึกงานที่ไหนล่ะ”
        ชินจิบอกชื่อบริษัทและงานที่จะต้องทำ เขามั่นใจว่าไม่ได้ใช้น้ำเสียงหรือแสดงสีหน้าอะไรออกไป แต่เอย์จิกลับทักได้ตรงใจเขาเหลือเกินว่า
        “ไม่ค่อยอยากไปทำงานที่นี่เหรอ”
        เออิจิโร่ฟังด้วยความสนใจ เขามองน้องชายที่หน้าตาจริงจังและหันไปมองหน้าเจื่อน ๆ เหมือนเด็กโดนจับได้ว่าทำผิดของชินจิ ยิ้มกริ่ม พูดแทรกขึ้นว่า
        “ไม่อยากทำงานบริษัทก็ไปช่วยงานที่เรียวกังของบ้านเราสองคนสิ กำลังขาดคนทำงานอยู่พอดี งานอาจจะหนักหน่อย แต่รับรองว่าไม่น่าเบื่อ สนใจไหมล่ะ”
        “เรียวกังของที่บ้านหรือครับ” ชินจิทวนคำ กะพริบตาปริบ ขณะที่เอย์จิหันขวับไปมองพี่ชาย คิ้วขมวดมุ่น
        “แต่ฉันว่าไม่ดีหรอก งานมันหนัก ไม่เหมาะกับชินจิ แถมบ้านเรายังไม่ได้อยู่ในเมือง เดินทางก็ลำบาก ไม่สะดวกสบายสักนิด”
        เออิจิโร่ไม่สนใจคำค้านของน้องชาย ยังพยายามชักชวนรุ่นน้องของเอย์จิต่อ
        “อะไรกัน ชินจิคุงท่าทางเป็นคนเอาการเอางานดีออก ไปทำงานกับเรานั่นแหละดีแล้ว อยากไปไหมชินจิคุง ถึงบ้านฉันกับเอย์จิจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ในภูเขา แต่ก็สวยมากเลยนะ เธอต้องชอบแน่ ๆ อยู่ในชนบท อากาศดี อาหารอร่อย ดีกว่าชีวิตที่รีบเร่งในเมืองเป็นไหน ๆ แล้วในหมู่บ้านยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะแยะเลยด้วย”
        ดวงตาของคนพูดแพรวพราวเหมือนกำลังสนุกสนานขณะที่พูดประโยคสุดท้าย ต่างกับน้องชายที่ยิ่งฟัง คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วก็ยิ่งขมวดหนักขึ้น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนผิดกับรูปลักษณ์ที่แข็งกร้าวภายนอกวาวขึ้นเหมือนกับกำลังไม่พอใจ ชินจิเห็นอย่างนั้นก็ลังเล ทั้ง ๆ ที่ฟังแล้วนึกสนใจไม่น้อย
        “คือ..ผม..” ชินจิอึกอักตอบไม่ถูก สายตาเหลือบมองรุ่นพี่ของตัวเอง เออิจิโร่จึงเข้าใจ
        “ถ้าเธออยากไปก็ไป ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอกน่ะ ที่เรียวกังขาดคนจริง ๆ ถ้าได้เธอไปช่วยงานคงจะดีไม่น้อยเลย ไม่ใช่ทุกคนที่อยากไปอยู่ไกล ๆ ในภูเขาหรอกนะ คนช่วยงานก็เลยหาค่อนข้างยาก เธอไปทำงานกับเรานะ ชินจิคุง”
        “ผมอยากไปนะครับ แต่ถ้าเอย์จิซังไม่เห็นด้วย ผมก็คง..”
        ชินจิหยุดพูด หันไปมองรุ่นพี่อีกครั้ง พอสบตากันเข้า สายตาวิงวอนเงียบ ๆ ของรุ่นน้องก็ทำให้เอย์จิถอนหายใจน้อย ๆ พูดว่า
        “ในเมื่อนายสนใจจะไป ก็ตามใจ ฉันไม่คัดค้าน”
        เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว หน้าของชินจิก็ผ่องใสขึ้นทันที ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างมีความสุข
        เออิจิโร่ที่จับตามองอยู่ตลอดเห็นสายตาของน้องชายตัวเองอ่อนโยนลงขณะที่มองรอยยิ้มของชินจิ แต่เขาไม่ได้ทักหรือกระโตกกระตากอะไรออกมา เพียงแต่พูดลอย ๆ ว่า
        “ใครมีปากกากับกระดาษบ้าง ฉันจะจดรายละเอียดการเดินทางให้ชินจิคุง”
        เอย์จิรู้สึกตัว หยิบปากกาที่เสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อนอกส่งให้ ชินจิก็ยื่นสมุดโน้ตที่มักติดตัวอยู่เสมอส่งให้เช่นเดียวกัน
        “ไปสักอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน เดี๋ยววันนั้นฉันกับเอย์จิจะไปรับที่สถานีรถไฟในตัวเมือง จากในตัวเมืองมีรถบัสไปหมู่บ้านเราวันละสองเที่ยวเท่านั้น เธอไม่เคยไป ประเดี๋ยวพลาดรถก็จะลำบาก”
        เออิจิโร่พูดพร้อมกับส่งสมุดโน้ตคืนให้ ชินจิรับมาอ่าน ชื่อภูเขามิคามิสะดุดตา ฟังคุ้น ๆ แต่เขานึกไม่ออกเสียแล้วว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน
        “เจอกันอาทิตย์หน้านะชินจิคุง”
        “ครับ ขอบคุณมากนะครับ” เสียงของเออิจิโร่ดึงความสนใจจากเขาได้ ชายหนุ่มเก็บสมุดโน้ตใส่กระเป๋าสะพาย โค้งขอบคุณอย่างนอบน้อม และหันไปโค้งให้เอย์จิด้วย
        “ขอบคุณมากครับ เอย์จิซัง”
        “แล้วเจอกัน” เอย์จิเพิ่งได้เปิดปากพูด ใบหน้ายังเคร่งอยู่ แต่ดวงตาอ่อนโยน
        ชินจิเดินจากไปแล้ว เออิจิโร่แกล้งกระแอมเมื่อเห็นน้องชายยังมองตามหลังไปอย่างไม่วางตา เอย์จิหันมาเจอรอยยิ้มแบบรู้ทันของพี่ชายฝาแฝดก็ทำหน้าเคร่งขึ้นมาอีก
        “ทำไมชวนชินจิมาทำงานด้วย นายก็รู้ว่าบ้านเราเป็นยังไง ฉันไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับชินจิ” ชายหนุ่มต่อว่าเสียงขุ่น แต่คนเป็นพี่แสดงท่าไม่ยี่หระ แถมยังยั่วเย้าให้เสียอีกด้วยว่า
        “เป็นห่วงจังเลยนะ ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้านายกังวลว่าจะปกป้องรุ่นน้องที่น่ารักไม่ได้ เดี๋ยวฉันรับหน้าที่แทนให้เองก็ได้ รับรองว่าปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
        “เลิกพูดเล่นซะที” คราวนี้ไม่เฉพาะน้ำเสียง แต่สายตาก็ขุ่นด้วย เออิจิโร่จึงเลิกแหย่น้องชาย ยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นจริงจังขึ้น บุ้ยใบ้ไปทางบ่อน้ำใหญ่
        “แล้วนั่นล่ะ”
        เอย์จิมองตาม ตอบว่า
        “น่าจะเป็นคาวาทาโร”
        “ภูตพรายชั้นต่ำ อัพเกรดจากคูน้ำมาอยู่ในบ่อปลา แต่นิสัยยังเหมือนเดิม แถมยังเหม็นสาบเป็นบ้า” เออิจิโร่ทำหน้ารังเกียจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น “แถมเล่นงานใครไม่เล่น ดันคิดจะมาเล่นงานรุ่นน้องที่น่ารักของนาย จะให้ฉันจัดการเลยไหม”
        เอย์จิทำเป็นไม่ใส่ใจคำเย้าแหย่ของพี่ชาย เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ
        “อย่าดีกว่า เราควรไปเรียนให้ท่านเจ้าอาวาสทราบ ยังไงเราก็ต้องไปที่วัด ไปเคารพศพคุณยายของรุกะอยู่แล้ว ให้ทางนั้นเขาจัดการกันเองดีกว่า”
        “ตามใจ”
        บ่อซันชิโร่ในตอนนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติอีกแล้ว ถึงแม้จะยังกังวลอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกันแล้ว เรื่องของรุ่นน้องของเขาน่ากังวลมากกว่าเป็นไหน ๆ
             เอย์จิละสายตาจากบ่อน้ำขนาดใหญ่ แล้วเดินตามหลังพี่ชายฝาแฝดขึ้นบันไดหินไปอย่างเงียบ ๆ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 2 - 14-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 28-03-2016 18:38:24
บทที่ 3

          อพาร์ตเม้นท์ที่ชินจิอยู่เป็นอาคารสามชั้นสีแดงเข้ม แต่ละชั้นมีระเบียงทาสีขาวสะอาดตัดกับสีของตัวตึก ราคาค่าเช่าห้องไม่สูงมากนัก แต่ก็ต้องยอมแลกกับความไม่สะดวกสบายบางประการ เช่น ไม่มีห้องซักผ้า ต้องไปใช้บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ หรือมีแต่ห้องน้ำพร้อมฝักบัว ไม่มีอ่างอาบน้ำ วันไหนที่อยากแช่น้ำร้อนขึ้นมา อย่างเช่นวันนี้ เขาก็จะต้องไปใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ
          ชินจิหิ้วถุงผ้าใบย่อมบรรจุอุปกรณ์อาบน้ำและเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเดินกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ สวนกับผู้ดูแลอาคารที่เปิดประตูบานเลื่อนสีน้ำตาลด้านหน้าออกมาพอดี ผู้ดูแลเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาใจดีที่มักมีรอยยิ้มอยู่เสมอ พอเห็นลูกบ้านของตัวเอง เขาก็ทักทายพร้อมรอยยิ้มเหมือนปกติ
          “โอคะเอริ ชินจิคุง”
          “ทาดาอิมะ” ชินจิตอบรับ “กลับมาแล้วครับ”
          “เธอไปอาบน้ำมาไม่ใช่รึ ทำไมหน้าตาดูซีด ๆ ไม่สบายรึเปล่า” ผู้ดูแลทักด้วยความแปลกใจ
          “เปล่าครับ ผมสบายดี” ชินจิปฏิเสธ แต่ในใจนึกสงสัยว่าความรู้สึกของเขาแสดงออกทางสีหน้าจนเห็นได้ชัดขนาดนี้เชียวหรือ
          ผู้ดูแลไม่ติดใจอะไรอีก เปลี่ยนเรื่องไปถามว่า
          “พรุ่งนี้แล้วใช่ไหมที่เธอจะต้องไปฝึกงาน”
          “ครับ ผมเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว หนังสือกับพวกของใช้อย่างอื่นเก็บใส่กล่องขนไปไว้ที่ห้องเก็บของด้านหลังหมดแล้ว จะให้คนเช่าชั่วคราวเข้ามาวันไหนก็ได้เลยนะครับ”
          “สามเดือน นานเหมือนกันนะ” ผู้ดูแลเปรย ก่อนพูดต่อว่า “พยายามให้เต็มที่เลยนะ ชินจิคุง”
          ชายหนุ่มก้มศีรษะรับคำอวยพร แล้วถือโอกาสลาผู้ดูแลอพาร์ตเม้นท์ไปเลยในคราวเดียว
               ห้องพักของชินจิอยู่ชั้นสอง เป็นห้องสตูดิโอขนาดสิบเสื่อ ไม่จัดว่ากว้าง แต่เฟอร์นิเจอร์มีเท่าที่จำเป็น ที่เยอะหน่อยก็คือหนังสือ ทำให้พออยู่ได้อย่างไม่อึดอัดนัก
          ตอนนี้ห้องค่อนข้างโล่งตาเพราะขนของออกไปหมดแล้ว ชั้นหนังสือก็ว่างเปล่า ริมผนังห้องด้านหนึ่งวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ข้าง ๆ กันมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กเปิดอ้าอยู่ ชินจิปิดประตูห้อง วางถุงผ้าไว้หน้ากระเป๋าใบเล็ก แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง
          เขารู้สึกเหนื่อยจริง ๆ แล้วหน้าก็คงซีดอย่างที่ถูกทักนั่นแหละ
          ก็เขาดันไปเห็น ‘อะไร’ บางอย่างเข้าอีกแล้ว
               ตอนแรกเขาก็แค่แปลกใจที่เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ข้างตู้กดเครื่องดื่มหน้าอาคารที่ให้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ แต่ไม่นึกสนใจมากเท่าไร คิดว่าเด็กคงกำลังรอใครสักคนอยู่ ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง จ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ แล้วเข้าไปในห้องฝั่งของผู้ชาย เขาใช้เวลาอาบน้ำและแช่น้ำนานพอดู น้ำร้อนทำให้คลายความเมื่อยขบจากการจัดเก็บข้าวของตลอดทั้งวันได้เป็นอย่างดี เขาก็เลยแช่น้ำจนเพลิน กลับออกมาอีกที เด็กผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ศีรษะก้มลงต่ำจนคางเกือบจรดหน้าอก ชายหนุ่มรู้สึกขึ้นมาทันทีว่ามันมีอะไรบางอย่างไม่ปกติ
               วันนี้ที่ห้องอาบน้ำไม่ค่อยมีคนมากนัก ที่ห้องฝั่งผู้ชาย นอกจากเขาแล้วก็มีเด็กอายุประมาณมัธยมปลายหนึ่งคนกับคุณตาอีกหนึ่งคนเท่านั้นเอง ดูแล้วไม่น่าใช่ผู้ปกครองของเด็กคนนี้ หรือเด็กอาจจะรอผู้ปกครองที่เป็นผู้หญิงกระมัง แต่มันก็แปลก เขาใช้เวลาอาบน้ำตั้งนาน ผู้ปกครองของเด็กคนนี้ยังใช้เวลานานกว่าเขาอีกอย่างนั้นหรือ
               “หนู รอใครอยู่ครับ รอคุณแม่รึเปล่า”
               ชินจิตัดสินใจเดินเข้าไปทัก ก่อนจะรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดเสียแล้ว
               เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา แต่เขากลับไม่เห็นอะไรบนใบหน้านั้นเลยนอกจากหนังโล้น ๆ!
               ชายหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความตกใจกลัว เขาวิ่งหนีสุดแรงเกิด อุปาทานว่าได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังมาพร้อมกับเสียงเด็กหัวเราะ เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง ได้แต่วิ่งและวิ่ง ขณะที่ในใจตะโกนว่า
               ‘ไปให้พ้น! อย่าตามมา!’
               จนใกล้ถึงบ้านนั่นแหละ เขาจึงหยุดพักเหนื่อย ชินจิหอบจนตัวโยน แต่พอมองไปยังทางที่วิ่งมาแล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีเด็กผีไร้หน้า ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงหัวเราะ มีเพียงถนนว่างเปล่าที่มืดสลัว
               ชายหนุ่มกลัวจนหน้าถอดสี ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนนอกจากในหนังสือนิยายหรือเรื่องแต่งทั้งหลาย เขาไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นความจริง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอสิ่งน่ากลัวแบบนี้ ตอนก่อนโน้นเขาก็เจอผู้หญิงผมยาวห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ ไม่กี่วันมานี้ก็เจอผู้ชายเลือดท่วมตัวยืนแข็งทื่ออยู่ริมถนนที่เพิ่งมีข่าวอุบัติเหตุรถชนกัน ยังไม่รวมเสียง เงาวูบวาบ หรือกลิ่นแปลก ๆ ที่เขาสัมผัสได้ในบางสถานที่ที่เขาไป แต่ไม่มีครั้งไหนที่น่ากลัวเท่าที่บ่อซันชิโร่อีกแล้ว เขายังจำหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวและกลิ่นเหม็นสาบสางของเจ้าตัวที่อยู่ในน้ำได้ ไม่เคยลืมสัมผัสที่น่าขยะแขยงตอนที่มือเป็นด่างเป็นดวงจับข้อเท้าของเขาด้วย โชคดีที่วันนั้นเอย์จิซังช่วยรับร่างของเขาเอาไว้ทัน มิฉะนั้นเขาก็คงสะดุดตกน้ำไปอยู่เป็นเพื่อนกับเจ้าผีน้ำตาโปนนั่นไปแล้ว
               จะว่าไป เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นที่สุสาน วันที่เขาเจออีกาตัวใหญ่ใกล้จะตาย
               ชินจิสปริงตัวลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปเปิดถุงผ้าแล้วหยิบเอาถุงเครื่องรางออกมา เครื่องรางที่ดลบันดาลให้ชีวิตประสบแต่ความสุขที่ปกติแล้วเขาจะห้อยไว้ที่กระเป๋าสะพายไหล่ แต่วันนี้จู่ ๆ มันก็หลุดออกมา เขากำลังจะไปอาบน้ำพอดีก็เลยเก็บใส่ถุงผ้าติดมือไปด้วย
               ชายหนุ่มเปิดถุงเครื่องราง ข้างในมีลูกแก้วสีแดงอยู่อีกลูกหนึ่ง เป็นลูกแก้วที่อีกาคายออกมาจากปาก
จะเป็นเพราะลูกแก้วนี่รึเปล่า เขาถึงเห็นอะไรแปลก ๆ
               อีกใจคัดค้านทันที เหลวไหล เรื่องแบบนี้มันมีจริงเสียที่ไหน จะมีก็แต่ในนิยายนิทานเท่านั้นแหละ ช่วงนี้เขาคงอ่านหนังสือที่มีเรื่องผีเรื่องปีศาจมากเกินไปจนเกิดอุปาทานหรือไม่ก็จินตนาการบรรเจิดไปเอง
               ชินจิย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหล เก็บลูกแก้วใส่กลับลงไปในถุงเครื่องรางแล้วผูกห้อยไว้กับกระเป๋าสะพายไหล่ตามเดิม เขายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้คิดนี่นา
               พรุ่งนี้เขาจะเดินทางไปยังบ้านเกิดของเอย์จิเพื่อฝึกงานแล้ว
               หมู่บ้านคันโจโคเอน ภูเขามิคามิ
               ในอินเทอร์เน็ตไม่มีข้อมูลอะไรมากนักเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้ นอกจากเป็นสถานที่ที่คนนิยมมาแช่ออนเซ็นและเที่ยวชมความสวยงามของบ้านเรือนที่ก่อสร้างในแบบที่เรียกว่ากัสโชซึคุริ หรือบ้านชาวนาที่มีหลังคาลาดลงต่ำจนเกือบถึงพื้น เขาเห็นภาพของหมู่บ้านที่ถ่ายจากจุดชมวิว หมู่บ้านของเอย์จิสวยจริง ๆ มีทิวเขาล้อมรอบ แต่ชื่อภูเขามิคามิทำให้เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะจากข่าวที่ค้นเจอ ภูเขามิคามิแห่งนี้เองที่มีคนหายสาบสูญไปหลายราย ชินจิถามตัวเองว่ากลัวหรือไม่ คำตอบมาเร็วจนน่าตกใจ เขาไม่กลัวเลยสักนิด ไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย ก็เขากำลังจะไปอยู่กับรุ่นพี่ที่น่านับถืออย่างเอย์จินี่นา เอย์จิเป็นคนใจดีแถมยังพึ่งพาได้ ตอนอยู่ที่เยอรมนีเอย์จิก็ช่วยดูแลเขาเสมอ อย่างนี้แล้วจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก
               นึกถึงรุ่นพี่ ภาพของพี่ชายฝาแฝดของเอย์จิก็ผุดขึ้นตามมาในหัว เขาไม่เคยรู้เลยว่าเอย์จิมีฝาแฝด และเป็นฝาแฝดที่ดูจะแตกต่างกันไม่น้อยทั้งที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ เออิจิโร่ดูเป็นคนร่าเริงพูดเก่งในขณะที่เอย์จิเงียบขรึมกว่า
               ชินจิรู้สึกตื่นเต้น พรุ่งนี้เขาจะได้เจอทั้งสองคนแล้ว แต่อีกใจก็นึกกังวลขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นเรื่องงาน เขาจะต้องทำงานที่เรียวกัง ชายหนุ่มเคยไปพักและช่วยงานที่เกสต์เฮาส์ของคุณอาของเพื่อนที่คานาซาว่า แต่ก็ไม่กี่วันเท่านั้นเอง แถมยังแทบไม่ได้ช่วยอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรด้วย งานที่เรียวกังคงไม่ง่ายอย่างนั้นแน่ และตามประสาคนที่เตรียมพร้อมและเอาจริงเอาจัง ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานในเรียวกังและจดบันทึกทุกอย่างที่คิดว่าสำคัญลงในสมุดโน้ต หวังว่าเมื่อถึงเวลาทำงานจริง เขาจะไม่สร้างความเดือดร้อนหรือก่อปัญหาใด ๆ
               ก่อนนอนในคืนนั้น ชินจิหยิบสมุดโน้ตมาอ่านทวนอีกครั้งอย่างตั้งใจ
               กัมบัตเตะ! เขาจะพยายามให้เต็มที่เลย!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 2 - 14-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 28-03-2016 18:48:10
               การเดินทางไปหมู่บ้านคันโจโคเอนในภูเขามิคามินั้นค่อนข้างลำบากจริง ๆ อย่างที่เคยได้ยินมา จากรายละเอียดที่เออิจิโร่จดให้ มีรถบัสไปหมู่บ้านเพียงสองเที่ยวต่อวันเท่านั้น ถ้าจะไปให้ทันรถเที่ยวเช้า ชินจิต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามาก นั่งรถไฟใต้ดินไปเปลี่ยนเป็นรถไฟเจอาร์ที่สถานีโตเกียว ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสถานีรถไฟปลายทาง แล้วเปลี่ยนสายเป็นรถไฟท้องถิ่น นั่งต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นต่อรถบัสจากป้ายหน้าสถานีอีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงป้ายภูเขามิคามิ หรือถ้าขึ้นรถบัสเที่ยวบ่ายก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางตอนค่ำพอดี แต่ชินจิไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เพราะถ้าไปถึงตอนกลางคืน เขาจะไม่ได้เห็นอะไรเลย โชคยังดีที่เอย์จิกับเออิจิโร่สัญญาว่าจะมารับที่สถานีรถไฟทำให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเวลารถบัสมากนัก
               ชินจิก้าวลงจากรถไฟท้องถิ่นสีเขียวคาดขาวรูปทรงยาวมนเหมือนขนมปังปอนด์ด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะต้องหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางทั้งใบใหญ่และใบเล็กพร้อมกับกระเป๋าสะพายไหล่ใบเก่ง สถานีรถไฟท้องถิ่นมีขนาดไม่ใหญ่โต อาคารชานชาลาทำจากไม้สีเข้ม ป้ายชื่อสถานีเป็นไม้เช่นเดียวกัน ตัวอักษรสีแดงบนป้ายบอกว่าเขาลงไม่ผิดที่แน่นอน และเพราะสถานีไม่ใหญ่มากนี่แหละทำให้ร่างสูง ๆ ของคนสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบเด่นสะดุดตาชนิดที่ก้าวลงจากรถไฟก้าวแรก ชินจิก็มองเห็นทันที
               ฝาแฝดเออิจิโร่และเอย์จิยืนรออยู่หน้าตู้กดเครื่องดื่มใกล้กับกระดานข่าวบนผนังที่มีโปสเตอร์สถานที่ท่องเที่ยวและข่าวสารของเมืองติดเอาไว้เต็มไปหมด แต่ถึงจะหน้าเหมือนกันแค่ไหน ชายหนุ่มก็คิดว่าตัวเองแยกออก เออิจิโร่คือคนที่กำลังโบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มทั้งตาและปาก ส่วนเอย์จิคือคนที่วางหน้าเฉยแต่ตรงดิ่งมาช่วยยกสัมภาระของเขาลงมาตั้งที่พื้นชานชาลา
               “ขอบคุณครับเอย์จิซัง” ชายหนุ่มยิ้มให้พร้อมกับโค้งขอบคุณ และเขาก็ได้รอยยิ้มอ่อน ๆ ตอบกลับมา
               “เดินทางเรียบร้อยดีไหมชินจิคุง” เออิจิโร่ถามเมื่อทั้งสองคนเดินกลับมาสมทบโดยที่เอย์จิเป็นคนลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และปล่อยใบเล็กให้เป็นหน้าที่ของรุ่นน้องของเขา
               “เรียบร้อยดีครับ ไม่มีปัญหาอะไร เอ๊ะ...” ชินจิตอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุทานเมื่อเห็นเออิจิโร่ใกล้ ๆ
              เมื่อสักครู่นี้เขาว่าเขามองไม่เห็นอะไร แต่ตอนนี้ที่คอของเออิจิโร่มีบางสิ่งบางอย่างพันอยู่หลวม ๆ เป็นตัวและหางยาวสีน้ำตาลอมแดงของสัตว์บางประเภท ขนสวยเด่นจนอดทักไม่ได้
              “เออิจิโร่ซังใช้ผ้าพันคอขนสัตว์ด้วยเหรอครับ นี่ขนจริงหรือขนสัตว์เทียมครับเนี่ย แปรงจนขึ้นเป็นเงาทีเดียว สีก็สวยมากเลย”
              เจ้าของผ้าพันคอขนสัตว์ทำหน้าพิศวง หันไปมองน้องชายก็เห็นเอย์จิขมวดคิ้วเช่นกัน
              “เธอมองเห็นผ้าพันคอของฉันด้วยเหรอ” เออิจิโร่แกล้งเน้นที่คำว่าผ้าพันคอด้วยความจงใจ
              ชินจิพยักหน้าอย่างงง ๆ
              “นี่มันชักจะน่าสนใจซะแล้วแฮะ” ดวงตาของเออิจิโร่เต้นพราวด้วยอารมณ์สนุกสนานขณะที่หันไปกระซิบกับน้องชาย จากนั้นจึงตอบชินจิว่า
              “ผ้าพันคอของฉันเป็นขนสัตว์จริง ไม่ใช่ของเทียมหรอก คนอยู่ในภูเขา พอถึงฤดูล่าสัตว์ก็ออกไปล่าพวกกวาง หมูป่า หมี เนื้อไว้กิน หนังกับขนไว้ทำเครื่องนุ่งห่ม ไม่ได้ล่าเป็นเกมกีฬา ส่วนนี่เป็นขนของพังพอน”
              “พังพอนเหรอครับ” ชินจิมองด้วยความสนใจเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นของจริง “เออิจิโร่ซังเป็นคนล่าเองเลยรึเปล่าครับ”
              “ไม่ใช่หรอก ตัวนี้มีคนให้มา ได้มาวันที่เจอเธอครั้งแรกนั่นแหละ เจ้าของเก่าเสียชีวิต ไม่มีใครดูแลต่อ ฉันกับเอย์จิไปงานศพ ทายาทของเขาก็เลยให้มา สวยใช่ไหม”
              ชินจิพยักหน้ารับทันที
              “อยากจับดูไหม ขนมันนุ่มมากเลยนะ” เออิจิโร่ชวนเชิญ และไม่เพียงแต่พูดอย่างเดียว เขายังคว้ามือชินจิขึ้นมาด้วยโดยที่เจ้าของมือไม่ทันได้ทักท้วง แต่ชินจิไม่มีโอกาสได้ลองสัมผัสขนของพังพอนจริง ๆ เพราะเอย์จิดึงมือเขารั้งเอาไว้ก่อน
              “อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ” เอย์จิดุพี่ชายและสีหน้าเคร่งเครียดของเขาก็ทำให้เออิจิโร่อมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีทำเป็นเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก แกล้งอุทานว่า
              “จริงด้วยสิ! ฉันนี่แย่จัง ลืมไปได้ยังไงว่าเจ้านี่เป็นตัวเมีย นิสัยค่อนข้างเจ้าอารมณ์ สุ่มสี่สุ่มห้าไปจับเข้ามันจะโมโหเอา” พูดจบก็หันไปแสดงความเสียใจกับชินจิ
              “ขอโทษด้วยนะชินจิคุง เอาไว้คราวหลังก็แล้วกัน ให้คุ้น ๆ กันก่อน”
              ชินจิทำหน้าเหรอหรา ไม่เข้าใจสิ่งที่เออิจิโร่พูดสักนิด แต่ไม่มีใครอธิบายอะไรให้ชัดเจน เอย์จินี่เปลี่ยนเรื่องไปเลยด้วยการตัดบท ชวนแกมสั่งว่า
              “ไปกันเถอะ ยังต้องขับรถอีกตั้งชั่วโมง เดี๋ยวจะช้า”
              “แต่ก่อนกลับ ขอฉันหาอะไรรองท้องก่อนนะ ใครก็ไม่รู้ให้รีบมาตั้งแต่หัวโห่ จะกินข้าวเที่ยงก่อนก็ไม่ได้ หิวไส้จะขาดแล้ว”
              เออิจิโร่สวนขึ้นหน้าตาเฉย เล่นเอาน้องชายกัดกรามกรอดเพราะโดนพาดพิง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอยู่ดี เขาสั่งชินจิว่า
              “เดินไปก่อนเลยชินจิคุง ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวานะ จะมีรถตู้เปิดท้ายขายขนมปัง อร่อยมากเลย มีนมสดอุ่น ๆ กับกาแฟด้วย”
              คนถูกสั่งทำตามทันทีโดยไม่อิดเอื้อน ค่อย ๆ ลากกระเป๋าใบเล็กเดินต้อย ๆ ไปตามทาง
              คล้อยหลังชินจิ เหลือสองพี่น้องฝาแฝดยืนอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในตอนนี้เองสิ่งที่ดูเหมือนผ้าพันคอขนสัตว์รอบคอของเออิจิโร่ก็เริ่มขยับเขยื้อน หัวเล็ก ๆ ของมันที่ซุกอยู่ใต้พวงขนหางผงกขึ้น ชายหนุ่มจึงล้วงเอากระบอกไม้ไผ่สีเขียวเข้มเกือบดำที่ถูกขัดจนผิวเกลี้ยงและมีรอยสลักเล็ก ๆ สีทองเป็นคำว่า ‘โอมิเนะ’ ตรงส่วนปลายออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อแจ็กเก็ตกันหนาวที่สวมอยู่ เมื่อเขาเปิดจุกออก เจ้าสัตว์ตัวยาวสีน้ำตาลอมแดงมีหางเป็นพวงที่เคยพาดอยู่บนคอของเขาก็วูบหายเข้าไปในกระบอกนั้น เออิจิโร่ปิดจุกกระบอกพลางเอียงหน้าไปกระซิบกับน้องชายว่า
               “มองเห็นคูดะกีซึเนะจากภูเขาโอมิเนะแบบนี้ รุ่นน้องของนายนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ มิน่าล่ะถึงจับความสนใจของเอย์จิผู้เคร่งขรึมได้จนอยู่หมัด”
               “พูดมาก หุบปากไปเลย”
               เอย์จิคำราม แล้วเดินหน้ามุ่ยลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามรุ่นน้องไปทันที ทิ้งให้คนเป็นพี่ชายยืนหัวเราะกึก ๆ อยู่ในลำคอคนเดียวด้วยความพอใจที่ยั่วแหย่น้องชายให้หงุดหงิดได้เป็นผลสำเร็จ

                รถตู้เปิดท้ายขายขนมปังที่เออิจิโร่พูดถึงอยู่ตรงข้ามกับสถานี แต่ดูไปแล้วน่าจะเรียกว่าร้านกาแฟกลางแจ้งขนาดย่อมมากกว่า เจ้าของใส่ผ้ากันเปื้อนสีเขียวอมฟ้ายืนอยู่ข้างรถตู้สีขาวที่ท้ายรถเปิดอ้าทำเป็นชั้นวางขนมปังหลากหลายชนิด มีป้ายบอกชื่อและราคาตั้งอยู่บนพื้นถนนข้างตัวรถ ข้างรถตู้อีกด้านหนึ่งเป็นเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม มีป้ายกระดานดำอันเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้างหน้า เขียนชื่อเครื่องดื่มพิเศษประจำวันพร้อมราคาด้วยชอล์กสีขาวและยังวาดรูปถ้วยกาแฟกำกับไว้ข้าง ๆ ด้วย ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นประเภทที่มาซื้อกลับบ้าน แต่ถ้าประสงค์จะกินเลย ทางร้านก็จัดโต๊ะเก้าอี้สองสามชุดเตรียมไว้ให้นั่ง
               เออิจิโร่กับเอย์จิเดินไปเลือกขนมปัง ส่วนชินจิที่ไม่ชอบขนมปังสักเท่าไรประกอบกับกินข้าวกล่องบนรถไฟมาเรียบร้อยแล้วเลือกสั่งลาเต้ร้อนถ้วยเดียวแล้วกลับมานั่งรอที่โต๊ะกับกระเป๋าเดินทางสองใบของตัวเอง สักพักฝาแฝดก็ตามมาสมทบ จากนั้นเจ้าของร้านก็ยกถาดใส่จานขนมปังมาเสิร์ฟให้
               “ชินจิคุงไม่กินอะไรสักหน่อยเหรอ” เออิจิโร่ทักเมื่อเห็นว่าตรงหน้าของชายหนุ่มมีแค่ลาเต้ถ้วยเดียว ส่วนเขาสั่งอันปังซึ่งเป็นขนมปังใส่ไส้ต่าง ๆ แถมด้วยเมล่อนปังอีกชิ้นสมกับที่บ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าหิวไส้จะขาด
               “ผมกินข้าวเที่ยงมาแล้วครับ” ชินจิตอบพร้อมกับที่เอย์จิเสริมขึ้นมาด้วยว่า
               “ชินจิไม่ค่อยชอบขนมปัง”
               เออิจิโร่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ชินจิจึงพยักหน้าเป็นการยืนยัน ก่อนจะหันไปมองเอย์จิที่กำลังแกะกลักเนยเพื่อนำไปทาบนขนมปังที่ตัวเองสั่ง
               “นี่ขนมปังดำนี่ครับ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีขายด้วย ขนาดร้านเบเกอรี่ในโตเกียวยังไม่ค่อยมีขายเลย”
               ชินจิพูดเมื่อเห็นขนมปังสีน้ำตาลดำในจานของรุ่นพี่ ชวาร์สโบรทพบได้ทั่วไปในเยอรมนี เป็นขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี คนเยอรมันนิยมรับประทานกับไส้กรอกและชีส เขายังเคยเห็นร้านอาหารบางร้านนำไปจี่ในกระทะเสิร์ฟคู่กับซุปและสลัดด้วย
               “ของโปรดของเอย์จิเขาล่ะ มาทุกครั้งกินทุกครั้ง ท่าจะอยากกลับไปเบอร์ลินเต็มแก่แล้ว” เออิจิโร่ยื่นหน้ามาบอกยิ้ม ๆ และชินจิสังเกตว่าผ้าพันคอขนพังพอนของชายหนุ่มหายไปแล้ว แต่เขาไม่ได้ทักเรื่องนี้เพราะในหัวยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาหมกมุ่นมากกว่า
                “บางครั้งผมก็คิดถึงที่นั่นเหมือนกัน” หลุดปากออกไปแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นฝาแฝดทั้งสองคนมองมา สายตาของแฝดคนน้องแสดงความเห็นใจชัดเจนจนชินจิอดรู้สึกสังเวชตัวเองไม่ได้ เขาเผลอตัวอีกแล้ว ทั้งที่สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะไม่เจ็บปวดกับอดีตและความรักเก่า ๆ อีก เขาตัดสินใจจะเดินไปข้างหน้าแล้วนี่นา ชินจิจึงยิ้มกว้าง พูดต่อว่า
                “อาหารที่เยอรมันอร่อยมาก โดยเฉพาะฝีมือคุณแม่ของมานูเอล ผมไม่ชอบขนมปัง แต่ก็กินได้เยอะเลยตอนที่ไปฉลองคริสต์มาสกันที่เกลเซ่นเคียเช่นครั้งนั้น จำได้ไหมครับเอย์จิซัง”
                “จำได้สิ คนที่กินเยอะกว่าใครต้องเจ้าอัตสึโตะ ทั้งขนมเค้ก คุกกี้คริสต์มาส ชตอลเลิ่น หมอนั่นฟาดเรียบ แถมยังป่วนในครัวจนมายะต้องไล่ออกมา”
                เออิจิโร่นั่งฟังรุ่นพี่รุ่นน้องคุยกันกระหนุงกระหนิงแล้วชักหมั่นไส้ติดหมัด นี่หัวของเขาคงเริ่มมีกลิ่นตุ ๆ แล้วเป็นแน่
                “ฟังดูแล้วน่าสนุกจังนะ เอย์จิไม่ค่อยเล่าเรื่องตอนอยู่ที่เยอรมันให้ใครฟังเลย แม้แต่กับพี่ชายตัวเอง”
                คนที่คิดว่าตัวเองเป็น ‘หมาหัวเน่า’ สอดขึ้นมา
                “อย่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นเลยน่ะ” เอย์จิหันไปทำหน้าเคร่งใส่คนขัดจังหวะทันที
                ชินจิมองฝาแฝดสองคนสลับกันไปมา อดคิดไม่ได้ว่ามีอะไรแปลก ๆ ระหว่างสองคนนี้หรือเปล่า แต่ชายหนุ่มก็ไม่กล้าถาม
                หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก สองพี่น้องตั้งหน้าตั้งตารับประทานส่วนของตัวเองจนหมด แล้วพาชินจิไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากสถานีมากนัก
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 2 - 14-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 28-03-2016 18:52:34
               จากตัวเมืองใช้เวลาเดินทางอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ชินจินั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทางช่วงแรกยังอยู่ในเขตเมือง อาคารบ้านเรือนปลูกติด ๆ กัน แต่ยิ่งนานไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งห่างกันโดยมีแปลงนาที่เก็บเกี่ยวแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลคั่นกลาง บางบ้านมีแปลงผักที่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่ มีโรงเพาะชำเล็ก ๆ และสวนส้มที่ออกลูกดกพราวเต็มต้น ต้นไม้เริ่มหนาตาขึ้น แล้วเมื่อเข้าสู่เขตภูเขาก็เห็นแต่ต้นไม้ทั้งสองข้างทาง ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ โดยเฉพาะสีแดงมีสัดส่วนมากที่สุด
               เออิจิโร่ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถลดความเร็วลงเมื่อเข้าเขตหมู่บ้านและชะลอให้ผู้โดยสารของเขาเห็นป้ายรถบัสที่อยู่ข้างศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นบ้านชาวนาหลังคามุงจากลาดเอียงจนเกือบจรดพื้น จุดเด่นของหมู่บ้านนี้ ข้าง ๆ กันคือร้านขายของที่ระลึก มีซอยเล็ก ๆ คั่นกลาง 
               “เวลาจะเข้าออกหมู่บ้านก็มาขึ้นรถบัสที่ป้ายตรงนี้ แล้วเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำชิมิซึเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนทางรถเข้าจะเป็นอีกทางหนึ่ง”
               ชินจิมองตามนิ้วชี้ของผู้เป็นโชเฟอร์ เห็นเนินหญ้าสูงลาดลงสู่ฝั่งแม่น้ำที่เป็นหินกรวดก้อนเล็ก ๆ สะพานข้ามเป็นสะพานเชือก พื้นเป็นไม้ แต่ดูแข็งแรงดีและตัวสะพานไม่สูงจากพื้นน้ำมากจนทำให้เกิดความรู้สึกหวาดเสียวเวลาเดินข้าม ปลายสะพานฝั่งหมู่บ้านปลูกต้นอิโจที่ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง
               “แม่น้ำชิมิซึตอนนี้ไม่ลึก เป็นแก่ง มีหินกีดขวางทางน้ำเยอะ แต่เป็นช่วงที่สวยที่สุด เลยลงไปทางปลายน้ำ น้ำถึงจะลึกขึ้นและนิ่ง กว้าง แต่จะไม่สวยเท่านี้” โชเฟอร์ที่ตอนนี้ควบตำแหน่งไกด์ไปในตัวอธิบาย ชินจิมองสายน้ำสีเทาอมน้ำเงินไหลปะทะหินจนเกิดเป็นฟองคลื่นสีขาวด้วยความประทับใจ มันสวยงามมากจริง ๆ
               “ไว้มีเวลาจะพามาเดินเล่นริมแม่น้ำนะชินจิคุง ตอนเช้า ๆ อากาศดีมาก แต่อาจจะหนาวหน่อย”
               ไกด์เสนอตัว ชินจิกำลังจะกล่าวขอบคุณ แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปาก คนที่หน้าเหมือนไกด์เปี๊ยบแต่นั่งเงียบมาตลอดทางก็ขัดขึ้นมาก่อน
               “ไหนว่าจะขึ้นไปที่จุดชมวิว มัวแต่พูดโน่นพูดนี่ เดี๋ยวก็ค่ำกันเท่านั้น มองไม่เห็นอะไรพอดี”
               เสียงของคนพูดค่อนข้างขุ่นทำให้ชินจิหุบปาก ไม่กล้าพูดอะไร ส่วนคนที่โดนบ่นเลิกคิ้ว พยักหน้าไปทางนาฬิกาหน้ารถที่มีตัวเลขดิจิตัลขึ้นให้เห็นว่าตอนนี้เพิ่งเลยบ่ายโมงมานิดหน่อยแค่นั้น แล้วจากตรงนี้ขับรถไปแค่ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงจุดชมวิวแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะตก แต่เขากลับถูกน้องชายฝาแฝดถลึงตาใส่อีกครั้ง
               ทางขึ้นไปจุดชมวิวเป็นทางโค้งทำให้คนขับรถต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติ ในรถจึงค่อนข้างเงียบ ชินจิรู้สึกว่าบรรยากาศในรถมันค่อนข้างอึดอัดพิกล เมื่อเออิจิโร่จอดรถที่ลานจอดของจุดชมวิวและลงจากรถกันแล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น
               ชินจิเดินตามสองพี่น้องขึ้นไปยังลานโรยกรวดที่มีรั้วไม้กั้นและมีม้านั่งตั้งอยู่ติด ๆ กันสามสี่ตัวเพื่อให้คนนั่งชมวิว เมื่อถึงจุดหมาย เออิจิโร่กับเอย์จิเดินเบี่ยงหลบไปทางด้านข้างให้ชินจิได้เห็นชัด ๆ
               ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าแทบจะทำให้ชายหนุ่มลืมหายใจ
               เขามองเห็นบ้านชาวนาหลังคาลาดหลังเล็ก ๆ เหมือนบ้านตุ๊กตารวมกันเป็นกลุ่มและเรียงเป็นแนวตามถนนสายหลักสองสายร่วมกับเรือนแถวไม้สองชั้น แปลงนาสีน้ำตาลกับแปลงผักสีเขียวกินบริเวณกว้างและแทรกอยู่ระหว่างบ้านหลายหลัง แม่น้ำชิมิซึไหลผ่านด้านข้าง หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านอยู่กลางหุบเขาล้อมรอบไปด้วยทิวเขาสูงที่ตอนนี้ ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้บนภูเขาเปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงจัดราวกับไฟ
               “คันโจโคเอน” ชินจิอุทานด้วยความลืมตัว “วงแหวนแห่งเปลวเพลิง”
               ชายหนุ่มหันไปหาสองพี่น้องฝาแฝดที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ ทางด้านข้าง เขาเห็นรอยยิ้มของเออิจิโร่และเสียงของเอย์จิก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
               “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านของเรา”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 3 - 28-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 28-03-2016 21:20:42
อ่านแล้วได้ฟิลเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ญี่ปุ่นจริงๆเลย อินมาก บรรยายได้ดี
เราว่าที่ชินจิเจอผีคงเพราะไอ้ลูกแก้วจากกาตัวนั้นแน่ๆเลย มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 3 - 28-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-03-2016 07:35:33
บทที่ 4

        รถของเออิจิโร่แล่นไปตามถนนสายหลัก ผู้โดยสารคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างหลังรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่เขตหมู่บ้าน ชินจิมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มองผู้คนและบ้านเรือนสองข้างทาง เขาอยากมีสักสองหัวสี่ตาเสียจริง ๆ จะได้มองทั้งสองด้านได้พร้อมกัน แต่นี่เขามีแค่หัวเดียวสองตาจึงทำได้แค่หันไปทางซ้ายทีทางขวาที ท่าทางไม่ผิดอะไรกับผู้ชมที่ดูเทนนิสหรือแบดมินตันที่ผู้เล่นสองฝ่ายตีโต้กันไปมาด้วยความรวดเร็วทำให้ต้องหันไปหันมาเพื่อตามให้ทัน เออิจิโร่มองเห็นจากกระจกมองหลัง เขาเปิดยิ้มกว้างด้วยความขบขันกับท่าทางของชายหนุ่มรุ่นน้อง เอย์จิก็รู้สึกขันไม่น้อย แต่เห็นสายตาและรอยยิ้มของพี่ชายฝาแฝดแล้ว เขาก็เปลี่ยนจากยิ้มเป็นถลึงตาใส่เออิจิโร่แทนทันที
        “ด้านซ้ายนั่นเป็นศาลเจ้าอินาริที่ครอบครัวเราดูแลอยู่ ส่วนด้านขวาคือเรียวกังที่เธอจะต้องทำงาน” เออิจิโร่ชี้ให้ดู ชินจิเห็นประตูโทริอิสีแดงขนาดใหญ่และบันไดหินที่เป็นทางขึ้น ศาลเจ้าตั้งอยู่บนถนนสายหลักเช่นเดียวกับเรียวกังซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวสีเข้ม แต่ยังไม่ทันมองได้ถนัด รถก็เคลื่อนเลยไปเสียก่อน เสียงเออิจิโร่พูดต่อว่า
             “เอาไว้จะพาชมให้ทั่ว ตอนนี้ไปที่บ้านก่อน ทุกคนรออยู่”
             ชินจิหดคอที่กำลังชะเง้อชะแง้แล้วมองตรงไปข้างหน้า เขาเห็นกำแพงปูนสีเหลืองจางเกือบขาว ฐานล่างเป็นหินกลม บ้านของเออิจิโร่และเอย์จิอยู่ถัดไปจากศาลเจ้า กำแพงด้านหน้าค่อนข้างสูงทำให้มองไม่เห็นข้างใน เห็นเพียงต้นไม้ที่สูงเลยกำแพงขึ้นมาเท่านั้น ใบไม้บนต้นไม้บางต้นเปลี่ยนสีสัน แต่บางต้นก็ยังเป็นสีเขียวอยู่
             เออิจิโร่จอดรถหน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ข้างประตูด้านหนึ่งติดป้ายไม้ระบุชื่อสกุลเจ้าของบ้าน เหนือป้ายขึ้นไปเป็นตราประจำตระกูลสีทองทรงกลมโดดเด่น ระหว่างที่รอให้คนมาเปิดประตู ชินจิถือโอกาสพิจารณาดูตราประจำตระกูลของเอย์จิที่ถูกออกแบบให้ทางขวามือเป็นสุนัขจิ้งจอกกำลังกระโดด ส่วนหัวอยู่ทางด้านล่าง หางเป็นพวงชี้ขึ้นข้างบน และด้านซ้ายมือเป็นเปลวไฟที่กำลังพวยพุ่ง
             สมกับเป็นตระกูลที่ดูแลศาลเจ้าอินาริ ชินจิอดคิดไม่ได้ขณะที่มองด้วยสายตาทึ่ง ๆ
             ตราประจำตระกูลเป็นรูปคิตสึเนะซึ่งถือว่าเป็นผู้ส่งสาส์นของอินาริ เทพเจ้าแห่งการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีเปลวไฟเหมือนกับชื่อของหมู่บ้านอีกต่างหาก
             จิ้งจอกเพลิง
             สวยจริง ๆ
             ประตูหน้าเปิดออก เออิจิโร่พารถเคลื่อนเข้าไปข้างใน ชินจิเห็นสวนกว้างและบ้านไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่ที่มีหน้าจั่วรูปสามเหลี่ยม วัดจากพื้นที่และขนาดของบ้านแล้ว ชายหนุ่มอยากจะเรียกว่าคฤหาสน์เสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยคิดเลยว่าบ้านของรุ่นพี่ของเขาจะกว้างขวางขนาดนี้
             “ไม่ต้องยกกระเป๋าลงนะชินจิคุง เดี๋ยวให้แม่บ้านจัดการให้” เออิจิโร่รีบบอกทันทีที่ลงจากรถ ชินจิลังเลเมื่อเห็นแม่บ้านหญิงวัยกลางคนในชุดยูกาตะสวมทับด้วยชุดกันเปื้อนสีขาวแบบเต็มตัวเดินเข้ามาใกล้ กระเป๋าเดินทางของเขามีทั้งใบใหญ่และใบเล็ก ให้ผู้หญิงยกคนเดียวไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดี แต่เมื่อเห็นเอย์จิพยักหน้าให้อีกคน ชินจิจึงจำต้องเชื่อฟังและเดินตามสองพี่น้องฝาแฝดไปตามทางเดินสู่ตัวบ้าน
             บ้านของทั้งสองคนเป็นแบบญี่ปุ่น พื้นทางเดินเชื่อมระหว่างห้องเป็นไม้ ประตูห้องเป็นประตูบานเลื่อน ด้านล่างวาดเป็นลวดลายต่าง ๆ ทั้งรูปทิวทัศน์และสัตว์ ประตูบางบานทำเป็นช่องกรุด้วยกระดาษสีขาว เอย์จิชี้ไปที่ประตูห้องแรกทางด้านขวา บอกว่า
             “นี่ห้องของนาย”
             “ส่วนห้องที่สามเป็นห้องของฉันเอง เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” เออิจิโร่รีบบอก
             “ไปทักทายท่านพ่อก่อน ท่านอยู่ที่ห้องพักผ่อน” เอย์จิทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของพี่ชาย มือเลื่อนประตูสีเหลืองแกมขาวทางด้านซ้ายเปิดออก แล้วดันให้ชินจิเดินเข้าไปข้างใน ทิ้งให้เออิจิโร่เดินรั้งท้ายตามมาเป็นคนหลังสุด
             หลังประตูบานเลื่อนคือห้องรับแขกที่ตกแต่งแบบกึ่งสมัยใหม่ โซฟาตัวเตี้ยและโต๊ะกระจกวางอยู่มุมหนึ่งพร้อมกับเครื่องเสียงขนาดย่อมหนึ่งชุด ชิดผนังด้านตรงกันข้ามเป็นเคาน์เตอร์วางกรอบรูปและของประดับบ้านชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำพวกแก้วกับชามเซรามิก ติดกันเป็นตู้ลิ้นชักสีน้ำตาลอมแดงสูงเหนือเคาน์เตอร์ขึ้นมาพอสมควร หลังตู้ตั้งจานเขียนลวดลายเป็นทิวทัศน์และมีแจกันทรงสูงปักกิ่งไม้ประดิษฐ์ที่มีดอกสีชมพูเป็นกระจุกเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่ว หน้าเคาน์เตอร์วางโต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนพร้อมเก้าอี้จำนวนหกตัว หลังห้องมีประตูอีกหนึ่งบาน ชินจิเดินตามเจ้าของบ้านคนน้องเข้าไปข้างในประตูบานนั้น
             ห้องที่ชายหนุ่มเดินตามชินจิเข้าไปมีขนาดเล็กกว่าห้องแรก ตกแต่งแบบญี่ปุ่น พื้นปูด้วยเสื่อตาตามิ ต้องถอดสลิปเปอร์ก่อนจะเดินเข้าไป กลางห้องตั้งโต๊ะตัวเตี้ยและเบาะรองนั่ง ข้างในห้องมีคนอยู่ก่อนแล้วสามคน แต่ไปนั่งรวมกันอยู่ที่ระเบียงไม้หลังประตูเลื่อนกระดาษซึ่งสามารถนั่งชมสวนสวยของบ้านได้ สองในสามเป็นผู้ชาย กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับกระดานโชงิหรือเกมหมากรุก อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง สวมยูกาตะสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงิน ผมเกล้าขึ้นสูง กำลังรินน้ำชาเติมใส่ถ้วยให้ชายทั้งสอง เมื่อประตูเปิด ทั้งสามคนก็หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ หันไปมองพร้อมกัน
             “กลับมาแล้วครับ” เอย์จิกับเออิจิโร่พูดประสานเสียงกัน น้ำเสียงแทบไม่แตกต่างกันเลย ฝาแฝดนั่งคุกเข่าราบอยู่บนเบาะรองนั่งอย่างสำรวมทำให้ชินจิต้องนั่งตามด้วยความระมัดระวังและออกจะประหม่าไม่น้อยเนื่องจากตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมดในห้อง
             “นี่ชินจิครับ รุ่นน้องของเอย์จิที่จะมาช่วยงานที่นี่” เออิจิโร่แนะนำ ชินจิก้มศีรษะลงต่ำทันทีเป็นการทักทายและแสดงความเคารพ แล้วแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
             หนึ่งในสองคนที่กำลังเล่นโชงิเป็นผู้ชายที่เข้าวัยชราแล้ว อายุเห็นจะไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบปี ใส่ชุดยูกาตะสีเทาอ่อนคาดโอบิลายทางสีเข้มและสวมเสื้อคลุมฮาโอริสีดำทับด้านนอกเพื่อกันหนาว เขาได้รับการแนะนำว่าชื่อโอคินะซึ่งชายชราก็ยิ้มให้ด้วยความใจดี บอกว่า
             “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะชินจิคุง”
             ต่างจากอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดยูกาตะสีเขียวเข้มคาดโอบิลายทางแนวตั้งสีเทาอ่อน ชั้นนอกสวมฮาโอริสีดำเช่นกัน ผู้ชายคนนี้ไม่ยิ้ม เพียงแต่มองด้วยสายตาเข้มคม ใบหน้าคร้ามเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ริมฝีปากบาง มีไฝเล็ก ๆ ใต้ตาซ้าย เค้าหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายสองแฝด ชินจิรู้ทันทีว่านี่คือบิดาของเอย์จิกับเออิจิโร่ เจ้าบ้านคนปัจจุบัน มีชื่อว่ามาซาฮารุ
             ชินจิรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาพินิจพิจารณา แล้วก็ค่อยโล่งใจจนแทบจะเป่าลมพรูออกมาจากปากเมื่อมาซาฮารุพยักหน้ารับคำทักทายและหันไปจ้องตัวหมากบนกระดานต่อ
             คนสุดท้ายที่ได้รับการแนะนำคือหญิงสาวคนเดียวในห้อง
             “นี่รุกะ คู่หมั้นของฉันเอง” เออิจิโร่แนะนำด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ดึงความสนใจของชินจิได้ชะงัด คู่หมั้นของเออิจิโร่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งที่ชายหนุ่มเคยเห็น แม้หน้าตาจะดูเย็นชา ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย คอยาวระหง ผมสีดำรวบขึ้นสูง ชินจิมองสูงขึ้นไปอีกนิดก่อนจะเผลอหลุดปากอุทานออกมา
             “เอ๊ะ!”
             เขาเห็นผีเสื้อตัวเล็ก ๆ สีน้ำเงินกระพือปีกบินอยู่เหนือปิ่นปักผมของรุกะ
             “เป็นอะไรชินจิ” เอย์จิถามด้วยความห่วงใย
             ชินจิอึกอัก เขามองไม่เห็นเหมือนอย่างเมื่อสักครู่นี้แล้ว ปิ่นปักผมของรุกะเป็นรูปผีเสื้อสีน้ำเงิน มันเกาะนิ่งอยู่บนด้ามปิ่น ไม่ขยับเขยื้อนแม้สักนิด ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
             “เห็นอะไรเหรอชินจิคุง” เออิจิโร่ถามขึ้นมาบ้าง คำถามนี้ทำให้มาซาฮารุละสายตาจากกระดานโชงิมามองชินจิด้วยอีกคน ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้ไม่มีท่าทางใส่ใจรุ่นน้องของลูกชายเลยแม้แต่นิดเดียว
             “ไม่...ไม่มีอะไรครับ” ชินจิปฏิเสธ “ผมคงตาฝาดไปเอง”
             “เห็นอะไรก็บอกมาเถอะน่า ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” เออิจิโร่กระตุ้นต่อ
             ชินจิรู้สึกกระอักกระอ่วน สายตาสงสัยของคนทั้งห้องกำลังกดดันเขา สุดท้ายชายหนุ่มก็อ้อมแอ้มตอบว่า
             “ผม...ผมคิดว่าผมเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินบินอยู่เหนือศีรษะของรุกะซังครับ แต่...แต่มองอีกทีมันเป็นปิ่นปักผมรูปผีเสื้อ ผมขอโทษครับที่เผลอตกใจอุทานเสียงดัง ไม่ได้ดูให้ดี ๆ ก่อน” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองใครเพราะอายความเหลวไหลของตัวเอง
              รุกะจ้องชินจิเขม็ง มาซาฮารุสบตากับโอคินะ สายตาของทั้งคู่แสดงความประหลาดใจแกมสนใจ ขณะที่เออิจิโร่ยิ้มตาพราวทีเดียว ท่าทางของเขารื่นรมย์เหมือนเจอเรื่องสนุกสนาน ต่างกับแฝดน้องที่มองรุ่นน้องของตัวเองด้วยสายตาวิตกกังวล
              “ผีเสื้อสีน้ำเงินงั้นหรือ” บิดาของเออิจิโร่และเอย์จิทวนคำ ยิ่งทำให้ชินจิก้มศีรษะต่ำลงอีก
              “ผมขอโทษที่พูดจาเหลวไหลครับ”
              “ไม่ต้องขอโทษหรอก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เออิจิโร่พูด ก่อนเสนอตัวอย่างกระตือรือร้นออกนอกหน้าว่า
              “แนะนำตัวเสร็จแล้ว ฉันพาเธอไปที่ห้องดีกว่า จะได้พักผ่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปที่ศาลเจ้ากัน”
              “ให้เอย์จิเป็นคนพาไป” มาซาฮารุสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “แกไม่ได้มีหน้าที่พาคนมาฝึกงานทัวร์สถานที่นะ เออิจิโร่”
               ชินจิออกจะตกใจน้ำเสียงและคำพูดของเจ้าบ้านอยู่ไม่น้อย มันฟังออกจะเย็นชาและติดจะเหยียดนิด ๆ ชายหนุ่มมองรุ่นพี่ของตัวเอง เห็นสีหน้าของเอย์จิเคร่งขึ้นเช่นกัน รุ่นพี่ของเขาโค้งคำนับรับคำสั่งและลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ทำให้ชินจิรีบลุกตาม ไม่กล้าส่งเสียงหรือพูดอะไรทั้งนั้น
               หลังจากเอย์จิพารุ่นน้องของตัวเองออกไปแล้วและเลื่อนประตูปิดตามหลัง รุกะเอ่ยถามทันที
               “ผู้ชายคนนั้นเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินได้ยังไง”
               เออิจิโร่ยักไหล่เป็นคำตอบ
               “ท่าทางก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ เป็นคนธรรมดา” ผู้เฒ่าโอคินะเปรย
               “ที่ไม่ธรรมดาครับโอคินะซัง” เออิจิโร่ต่อประโยคอย่างรวดเร็ว “ชินจิคุงเห็นเนเน่จังของผมด้วย แต่เขานึกว่าผมใช้ผ้าพันคอขนพังพอน” 
               พูดแล้วเขาก็หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมา คูดะกีซึเนะเจ้าของชื่อน่ารักเกินตัวโผล่ออกมาจากกระบอกและพันตัวเองกับคอของเจ้าของให้ดูเหมือนต้องการจะสาธิตให้เห็นภาพ
               “แปลก” มาซาฮารุพึมพำ
               “มันผิดปกตินะคะท่านพ่อ เราไม่น่าจะให้เขาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวจะเกิดปัญหา” รุกะพูด ในฐานะคู่หมั้นของลูกชาย หญิงสาวได้รับอนุญาตให้เรียกแบบนี้ได้ในบ้านหรือเวลาที่เป็นส่วนตัว แต่หากอยู่ที่ศาลเจ้าหรือมีคนอื่นอยู่ด้วย หล่อนจะเรียกชื่อหรือตำแหน่งแทนด้วยความสุภาพและยกย่อง
               “แค่มองเห็นนี่นะ ไม่เห็นผิดปกติสักหน่อย คนบางคนก็มีสัมผัสที่หกไม่ใช่เหรอ” เออิจิโร่ค้าน
               “ฉันกลัวว่าเขาจะกลัวหรือสติแตก ถ้าต่อไปเกิดเห็นอะไรมากกว่านี้” รุกะเน้นเสียงด้วยความจงใจ แต่คู่หมั้นของหล่อนก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
               “ชินจิคุงดูไม่เหมือนคนขี้ขลาดสักหน่อย แล้วเขาก็ท่าทางไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย เขาไม่เป็นอย่างที่เธอกังวลเกินเหตุหรอกน่ะ รุกะ”
               หญิงสาวในชุดยูกาตะสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงินทำหน้าไม่ค่อยพอใจที่โดนคู่หมั้นหนุ่มเหน็บเอา มาซาฮารุต้องตัดบทว่า
               “ช่างเถอะ ลองดูไปสักพักก็แล้วกัน”
               เมื่อเจ้าบ้านคนปัจจุบันตัดสินใจแบบนี้และหันไปเดินหมากต่อเป็นการยุติการสนทนา คู่หมั้นที่กำลังถกเถียงกันจึงจำต้องหยุด รุกะเก็บความไม่พอใจที่มีต่อเออิจิโร่เอาไว้ในใจและส่วนหนึ่งของความไม่พอใจครั้งนี้ หล่อนโยนไปให้ชินจิด้วยอีกคนหนึ่ง

                คนที่เป็นเป้าถูกเขม่นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ชินจิเดินตัวลีบตามรุ่นพี่ของตัวเองออกมา เมื่ออยู่กันตามลำพัง ชายหนุ่มก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าเคร่งเครียดของเอย์จิจึงผ่อนคลายลง
                “เกร็งมากเลยเหรอ” เขาถามรุ่นน้องยิ้ม ๆ
                “เกร็งด้วย กลัวด้วยครับ” ชินจิยอมรับแต่โดยดี ยิ้มแหย ๆ “ท่านพ่อของเอย์จิซังน่ากลัว ดูท่านเป็นคนดุและน่าเกรงขามมากเลยนะครับ”
                “เจ้าระเบียบ จริงจัง เย็นชา” เอย์จิต่อให้อีกนิด คนฟังยิ่งยิ้มแหยลงอีก
                “เอาน่ะ อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน” เอย์จิปลอบ แต่ไม่ได้ทำให้ชินจิรู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิดเดียว
                เอย์จิเดินออกมาจากห้องรับแขก แต่ไม่ได้พาแขกของเขาไปที่ห้องพักอย่างที่ได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มพารุ่นน้องเดินไปอีกทางหนึ่งและเปิดประตูเลื่อนกระดาษเข้าไปในห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง ภายในห้องปิดทึบ ไม่มีหน้าต่างและไม่มีอะไรเลยนอกจากตู้บุตสึดันทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม หน้าต่างตู้ทั้งสองด้านเปิดกว้าง ข้างในมีกรอบรูปตั้งอยู่ตรงกลาง สองข้างตั้งเทียนไขและแจกันปักดอกคาร์เนชั่นสีชมพู ด้านบนเป็นโคมไฟเล็ก ๆ ส่องแสงสว่างนวล
                “แม่ของฉันเอง”
                หญิงสาววัยกลางคนในรูปยิ้มอย่างอ่อนโยน แม่ของเอย์จิเป็นคนสวยและท่าทางอ่อนหวานเรียบร้อย ดูเป็นคุณแม่ที่ใจดี เค้าหน้าไม่คล้ายกับลูกชาย แต่ชินจิเห็นดวงตาของเอย์จิอยู่ในรูปนั้น เอย์จิได้ตาของแม่ ดวงตาที่อ่อนโยนแต่แฝงแววเศร้าเอาไว้
                เอย์จิเคาะขันทองเหลืองใบเล็กให้ส่งเสียงกังวาน ชินจิยกมือขึ้นพนมแสดงความเคารพผู้ล่วงลับ ทั้งสองคนนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เอย์จิจะเริ่มเล่าให้ฟังว่า
                “ฉันถูกเรียกตัวกลับจากเยอรมันเพราะท่านแม่เสียชีวิต เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน บ้านวุ่นวายมาก ฉันต้องกลับมาช่วย”
                “ผมเสียใจด้วยนะครับ”
                ชินจิพูด ยิ่งเห็นดวงตาเศร้าหมองของรุ่นพี่ ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกสงสาร และเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเอื้อมมือไปกุมมือของเอย์จิเอาไว้ เขาไม่อยากเห็นความเศร้าโศกของใครเลย
                 “แม่ฉันสวยมากใช่ไหม ใจดีด้วยนะ ทำอาหารอร่อยที่สุดเลย ฉันอยากให้นายเจอท่านตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ นายต้องชอบแม่ฉันแน่ ๆ”
                 “ผมก็อยากเจอท่านครับ”
                 เอย์จิยิ้มกับคำพูดนั้น มือของเขาที่อยู่ใต้มือของรุ่นน้องเลื่อนขึ้นมาเป็นฝ่ายกุมมือของชินจิแทน ชายหนุ่มกำมือข้างนั้นเอาไว้แน่นเหมือนต้องการจะเรียกกำลังใจให้กลับคืนมา ก่อนจะคลายออก แล้วบอกว่า
                 “ฉันจะพานายไปที่ห้อง จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะไปที่ศาลเจ้ากัน”
                 ชินจิลุกตามเจ้าของบ้านออกมา เขานึกดีใจที่เอย์จิไม่มีท่าทางเศร้าหมองแบบเมื่อสักครู่แล้ว ชายหนุ่มกลายเป็นคนเดิม เป็นรุ่นพี่ที่เงียบขรึมและมีดวงตาที่อ่อนโยนอย่างที่เขารู้จัก
                 “นายพักห้องนี้” เอย์จิเปิดประตูบานเลื่อนไม้กรุกระดาษให้รุ่นน้องเดินเข้าไปก่อน ตัวเองค่อยเดินตามเข้ามาและปิดประตูตามหลัง ชินจิมองสำรวจห้องด้วยความสนใจ เขาได้พักในห้องแบบญี่ปุ่น พื้นปูเสื่อตาตามิ ขนาดของห้องไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่คับแคบ ตรงกลางห้องวางโต๊ะไม้ตัวเตี้ย บนโต๊ะมีกระติกน้ำร้อนกับกล่องสังกะสีใส่ถ้วยและกาน้ำชาเล็ก ๆ พร้อมกระบอกใส่ถุงชากับขนมขบเคี้ยวในซองพลาสติก และยังมีชุดยูกาตะสีน้ำเงินพับอย่างดีวางอยู่ข้าง ๆ มุมห้องด้านหนึ่งตั้งเครื่องทำความร้อนและโคมไฟกระดาษทรงสูงสีขาวนวล มีตู้เก็บของซ่อนอยู่หลังประตูบานเลื่อน เมื่อเปิดออกดูก็เห็นกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบวางนอนอยู่แล้วอย่างเรียบร้อย
                 “พออยู่ได้รึเปล่า” เอย์จิถาม
                 “ได้สิครับ ห้องนี้กว้างกว่าอพาร์ตเม้นท์ที่ผมอยู่ตอนนี้อีกนะ” ชินจิหันมาบอกด้วยน้ำเสียงติดตลก เขาปิดประตูตู้เก็บของ แล้วเดินไปเปิดประตูกระจกที่นำออกไปสู่ระเบียงไม้และสวนสวย
                 “ห้องของผมมองไม่เห็นวิวดี ๆ อย่างนี้ด้วย บ้านคุณสวยมากเลยครับ”
                 ชินจิเอ่ยชมอย่างจริงใจ สวนที่มองเห็นจากระเบียงห้องเป็นสวนแบบสึคิยามะเหมือนกับสวนอีกด้านหนึ่งที่เห็นตอนขับรถเข้ามา สวนด้านนี้มีขนาดเล็กกว่า แต่จัดได้ลงตัวด้วยต้นสน เนินหญ้า บ่อน้ำ สะพานเล็ก ๆ ข้ามน้ำเชื่อมกับเนินหินที่มีตะเกียงหินแบบคิริชิตันโตโรตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นรูปจำลองของธรรมชาติตามแนวคิดของสวนแบบนี้
                  “ขอบใจสำหรับคำชม” เจ้าของบ้านยิ้มมุมปาก ชี้ไปที่ชุดยูกาตะบนโต๊ะ บอกว่า
                  “เดี๋ยวนายเปลี่ยนชุด แล้วก็พักสักหน่อยก็แล้วกัน ยูอิซังเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว ยูกาตะ น้ำชา ขนม ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกได้ อ้อ ยูอิซังคือแม่บ้านของเรา แต่มาแบบไปกลับ ไม่ได้พักอยู่กับเราที่นี่” เขาอธิบายเพิ่มเติม ก่อนจะตบท้ายว่า
                  “ตามสบายนะ อีกสักสิบห้านาทีเจอกัน”
                  เอย์จิออกไปแล้ว ชินจิได้อยู่ตามลำพังเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มมองไปรอบตัว นึกดีใจที่ตัดสินใจมาทำงานที่นี่ ห้องสวย สวนสวย หมู่บ้านก็สวยมาก แต่ตามประสาคนคิดมาก เขายังอดกังวลไม่ได้เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของเจ้าบ้านคนปัจจุบัน แถมยังมีสายตาเย็นชาของคู่หมั้นสาวแสนสวยของเออิจิโร่กับเรื่องแปลก ๆ อย่างเรื่องผีเสื้อสีน้ำเงินอีกล่ะ
                  เขาจะทำงานที่นี่ได้อย่างราบรื่นหรือเปล่านะ
                  ชินจิหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กะว่าจะส่งข้อความไปหาครอบครัว แต่บนหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยสักขีด
อย่างนี้ถ้ามีเรื่องด่วนจะทำอย่างไรกันล่ะ ชายหนุ่มคิด นึกอยากจะเดินออกไปหาโทรศัพท์ข้างนอก แต่คิดอีกที ไม่ดีกว่า เอาไว้ค่อยติดต่อไปวันหลังก็ได้ ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า แล้วเปลี่ยนจากชุดที่ใส่อยู่เป็นยูกาตะจากบนโต๊ะ
                  สิบห้านาทีพอดีไม่ขาดไม่เกิน ก็มีเสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้นหน้าห้อง
ชินจิเปิดประตูรับ รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เจอทั้งเอย์จิและเออิจิโร่พร้อมกันทั้งสองคน ฝาแฝดเปลี่ยนชุดเป็นยูกาตะเหมือนกับเขา แต่เลือกใส่สีดำเหมือนกันทั้งคู่ ทำให้ดูเหมือนกับมีเอย์จิสองคน แต่ชินจิไม่มีปัญหาในการแยกว่าใครเป็นใคร เพราะถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกันมากแค่ไหน แต่เอย์จิกับเออิจิโร่ก็ไม่เหมือนกันเลย
                  “ว้าว ชินจิคุงนี่เหมาะกับยูกาตะมากกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”
                  คนที่ยิ้มกว้างและชมเปาะทันทีที่เห็นหน้าเขาคือเออิจิโร่ ส่วนคนที่เพียงมองมานิ่ง ๆ แต่ในแววตามีความชื่นชมแฝงอยู่ด้วยก็คือเอย์จิ
                  “ขอบคุณที่ชมครับ” ชินจิรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ได้รับคำชมแบบซึ่งหน้า
                  “แต่มันน่าจะน่ารักได้มากกว่านี้นะเนี่ย” ฝาแฝดคนพี่ทำเสียงครุ่นคิด แล้วก็สาวเท้าเข้าหาชายหนุ่มรุ่นน้อง ดึงโอบิและสายโคชิฮิโมะที่ชินจิผูกคาดเอวไว้ด้วยปมธรรมดาออก
                  “จะทำอะไรครับเนี่ย” ชินจิอุทานด้วยความตกใจ จับสายโคชิฮิโมะกับโอบิและคอเสื้อยูกาตะของตัวเองที่กำลังจะเผยออกโดยอัตโนมัติ เอย์จิก็ถลันเข้ามาในเวลาเดียวกัน แต่ถูกพี่ชายผลักออกห่างพร้อมสำทับว่า
                  “นายอยู่เฉย ๆ เถอะ”
                  คำสั่งของเออิจิโร่มีพลังอย่างบอกไม่ถูก พลอยทำให้ชินจิหยุดชะงักไปเหมือนกับเอย์จิด้วย
                  เออิจิโร่จัดยูกาตะและผูกโอบิให้ใหม่โดยคาดต่ำลงมามากกว่าปกติแล้วผูกชายเป็นโบเบี่ยงไปไว้ทางด้านข้างแทนที่จะเป็นข้างหลัง ชายหนุ่มถอยหลังก้าวหนึ่ง มองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ
                  “แบบนี้น่ารักกว่าเดิมตั้งเยอะ”
                  “มัน...มันไม่ดูแปลก ๆ เหรอครับ” ชินจิก้มมองตัวเอง รู้สึกไม่มั่นใจเลย
                  “แปลกที่ไหน ออกจะดูดี ไม่เชื่อถามเอย์จิดูก็ได้”
                  ฝาแฝดคนน้องอยากจะชกหน้าพี่ชายตัวเองสักเปรี้ยงจริง ๆ ที่ทำอะไรห่าม ๆ แบบนี้ แต่เขาก็จำใจต้องยอมรับว่าชินจิที่ตัวค่อนข้างผอมเพรียว เมื่อใส่ยูกาตะสีน้ำเงินคาดโอบิสีเงินลายตารางสีฟ้าจาง ๆ ผูกชายเป็นโบด้านข้างแบบนี้แล้วก็ดูดีอย่างที่ว่าจริง ๆ
                  ชินจิค่อยใจชื้นเมื่อเอย์จิพยักหน้ารับรองมาอีกคนหนึ่ง
                  “งั้นก็ออกไปที่ศาลเจ้ากันได้แล้ว” เออิจิโร่พูด ทำท่าเหมือนจะไปด้วยอีกคน ถ้าไม่มีเสียงเย็น ๆ ขัดขึ้นก่อนว่า
                  “ถึงเวลาฝึกแล้วนะเออิจิโร่ ท่านพ่อกับโอคินะซังให้ฉันมาตามเธอ รีบไปเดี๋ยวนี้”
                  เจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นที่ประตู แต่ไม่ได้ก้าวเข้ามาข้างใน รุกะยังใส่ยูกาตะตัวเดิม ปักปิ่นปักผมบนศีรษะ ชินจิมองผีเสื้อตัวเล็กที่ติดอยู่ที่ด้ามปิ่นโดยอัตโนมัติ ผีเสื้อสีน้ำเงินเกาะนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าก่อนหน้านี้ตัวเองคงจะตาฝาดไปเองเป็นแน่
                  เออิจิโร่ฟังแล้วบ่นพึม
                  “รับทราบขอรับครับผม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ น่าเบื่อชะมัดเลยน้าฝึกเข้มมันทุกวันแบบนี้”
                  “ไปเถอะ ชักช้าโอ้เอ้ เดี๋ยวก็โดนระเบิดลงเท่านั้น” เอย์จิเตือนมาอีกคน ผู้เป็นพี่ชายจึงยอมขยับตัว แต่ก่อนที่จะออกจากห้องไปก็ยังมิวายทิ้งคำอวยพรเชิงล้อเลียนเอาไว้ว่า
                  “ไปเดตกันให้สนุกนะทั้งสองคน ก้างขวางคอติดธุระซะแล้ว ขออนุญาตไปก่อนละนะคร้าบ”
                  ชินจิทำหน้าไม่ถูก เหลือบมองรุ่นพี่ก็เห็นเอย์จิทำหน้าเหมือนกับกำลังอดทนอยู่เช่นกัน ทำให้เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้รุ่นพี่ต้องลำบากใจ
                  “ขอโทษครับเอย์จิซัง”
                  “ขอโทษทำไม ฉันสิต้องขอโทษนาย อย่าถือสาพี่ชายฉันเลยนะ หมอนั่นชอบพูดอะไรเหลวไหลแบบนี้เรื่อยแหละ ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องสนใจ” เอย์จิพูด แล้วตัดบทเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเขากับรุ่นน้องกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้
                  “ไปกันเถอะ ฉันจะพานายไปที่ศาลเจ้า”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 3 - 28-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-03-2016 07:47:11
บทที่ 5

        จากบ้านมีทางเดินทะลุไปถึงสวนซากุระของศาลเจ้า แต่เอย์จิเลือกพารุ่นน้องของเขาเดินอ้อมไปทางด้านหน้า ผ่านประตูโทริอิสีแดงสดที่มีตราจิ้งจอกเพลิงสีทองของตระกูลผู้ดูแลศาลเจ้าติดอยู่ด้านบน ชินจิเคยเดินผ่านประตูโทริอิที่เป็นประตูกั้นเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกเหมือนกับครั้งนี้ นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างผ่านเข้าไป เขารู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของสถานที่แห่งนี้
        หลังโทริอิเป็นบันไดหิน ขั้นบนสุดเชื่อมต่อกับซันโด ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ไฮเด็ง สถานที่สำหรับขอพรและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาลเจ้า เอย์จิพาชินจิไปที่โจซุยะซึ่งเป็นอ่างหินใส่น้ำสำหรับให้ผู้ที่มาขอพรล้างมือและบ้วนปาก เพื่อเป็นการชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนการเข้าไปอธิษฐานขอพรต่อพระเจ้า
        เอย์จิหยิบกระบวยที่พาดอยู่บนขอบอ่างหินรูปสี่เหลี่ยมยื่นส่งให้ ชินจิใช้กระบวยตักน้ำที่ไหลออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ในปากของรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกสีดำมาล้างมือและบ้วนปาก จากนั้นเดินตามรุ่นพี่ของเขาผ่านตะเกียงหินที่ตั้งเรียงกันเป็นแถวสองข้างทางเดินไปสู่ประตูโทริอิที่สอง
        “เราเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้าอินาริ เราจึงใช้รูปปั้นสุนัขจิ้งจอกตั้งอยู่ที่ตำแหน่งของโคมะอินุเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์และขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากบริเวณศาลเจ้า”
        ชินจิมองรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกสีดำสองตัวที่อยู่หน้าประตูโทริอิที่สองด้วยความสนใจ ทั้งสองตัวผูกโยดาเระคาเคะซึ่งเป็นผ้ายันต์สีแดงไว้ที่คอ สุนัขจิ้งจอกตัวซ้ายคาบกุญแจหินไว้ในปาก ตัวขวาคาบรวงข้าวสีทอง หน้าตาท่าทางขึงขังสมกับหน้าที่ที่ได้รับ
        “ที่นี่มีพระฝึกหัดสองคนคอยช่วยงาน ตำแหน่งกงเนงิ นั่นคิโยชิ ส่วนอีกคนคือนาโอกิ” เอย์จิชี้ไปที่เด็กหนุ่มสองคนในสวนที่กำลังช่วยกันกวาดใบไม้ คิโยชิถือไม้กวาดด้ามยาว นาโอกิก้มเก็บใบไม้ใส่ถัง ทั้งสองคนใส่ชุดเหมือนกัน กิโมโนท่อนบนสีขาวและกางเกงฮากามะสีม่วงอมแดงเข้ม
        “ท่านเอย์จิ” ทั้งสองคนก้มศีรษะคำนับ เอย์จิจึงถือโอกาสแนะนำชินจิให้รู้จัก
         “โฮโจล่ะ ยังอยู่รึเปล่า” เอย์จิถามต่อ
              “ท่านโฮโจไปที่โรงฝึกแล้วครับ” คิโยชิเป็นคนตอบ
              เอย์จิพยักหน้ารับรู้และพาชินจิเดินต่อ ทั้งสองคนเดินผ่านประตูโทริอิที่สอง
              “โฮโจตำแหน่งเนงิ เขาเป็นผู้ช่วยเออิจิโร่อีกทีหนึ่ง อายุเท่า ๆ กับนาย ไว้ฉันค่อยแนะนำอีกที” เอย์จิอธิบาย “ส่วนเออิจิโร่ตำแหน่งกงงูจิ เป็นรองเจ้าอาวาส เขาเป็นคันนุชิที่ประกอบพิธีกรรมทั้งหมดของศาลเจ้า”
              “ผมนึกว่าคันนุชิคือท่านมาซาฮารุเสียอีก ท่านเป็นงูจิ เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ”
              “ท่านพ่อวางมือแล้ว ให้เออิจิโร่รับหน้าที่แทนเพราะเขาจะต้องดูแลศาลเจ้าและเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป”
              “แล้วโรงฝึกนี่คือยังไงเหรอครับ เอย์จิซังไม่ต้องฝึกกับคนอื่นด้วยเหรอ”
              คำถามของชินจิเรียกรอยยิ้มจากเอย์จิได้ แต่คนถามเองกลับคิดว่าเขาตั้งคำถามผิดมากกว่าเพราะรอยยิ้มของเอย์จิเหมือนจะหยัน ๆ พิกล
              “ฉันไม่ใช่พระสักหน่อย ไม่ต้องฝึกกับเขาด้วยหรอก” ชายหนุ่มตอบ “โรงฝึกอยู่ด้านหลัง ฝึกหลายอย่าง ฝึกร่างกาย ฝึกสมาธิ สวดมนต์ เรียนพิธีการต่าง ๆ โอคินะซังเป็นคนสอน รายนั้นได้ระดับโจไค เป็นระดับสูงสุดแล้วของพระ อ้อ มีฝึกยิงธนูด้วย อันนั้นเท่านั้นแหละที่ฉันจะไปฝึกด้วย”
              “เอย์จิซังเก่งจังครับ ยิงธนูเป็นด้วย” ชินจิพูดด้วยความชื่นชม รอยยิ้มหยัน ๆ ของคนฟังจึงค่อยคลายลงได้เล็กน้อย
              “คิวโดเป็นศิลปะการต่อสู้ มีทั้งฝึกเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม เป็นการฝึกสมาธิและจิตใจ และมีทั้งแบบที่ฝึกเพื่อการต่อสู้ คนอื่นเน้นฝึกแบบแรก ส่วนฉันฝึกแบบหลัง”
              “เอย์จิซังจะไปสู้กับใครครับ”
              ตอนนี้รอยยิ้มหยันของเอย์จิหายไปเลยเมื่อเห็นสีหน้างงจริงจังของคนตั้งคำถาม ชายหนุ่มหัวเราะก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า
              “เราอยู่ในภูเขานะ ฤดูล่าสัตว์ที่นี่เรานิยมใช้ธนู จะได้ไม่เอาเปรียบสัตว์จนเกินไป อีกอย่างหนึ่งกฎหมายการใช้ปืนและครอบครองปืนมันก็ค่อนข้างวุ่นวายซะด้วย ฉันเองก็ชอบยิงธนูมากกว่า”
              “แต่ผมไม่ชอบการล่าสัตว์เลย มันเท่ากับเรากำลังช่วงชิงชีวิตของคนอื่น”
              “มันมีฤดูของมัน เราไม่ได้ทำกันพร่ำเพรื่อหรือเพื่อความสนุกสนาน นอกฤดูก็อาจมีบ้างถ้าเจอจวนตัวและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องป้องกันตัว น่า ไม่ต้องทำหน้ายังงั้นหรอก ฉันก็ไม่ได้ชอบการฆ่าฟันเหมือนกัน” เอย์จิปลอบ และเขาอดไม่อยู่จริง ๆ หลังจากเห็นสีหน้าเดือดร้อนและไม่สบายใจของรุ่นน้องของเขา ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบศีรษะชินจิ น้ำเสียงที่ใช้อ่อนโยน
              “ไปที่ไฮเด็งเถอะ นายจะได้ขอพร ฉันมีอะไรจะให้นายด้วย”
              ทั้งสองคนเดินผ่านชามุโชซึ่งเป็นอาคารที่ทำการของศาลเจ้าตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ด้านตรงข้ามเป็นที่ขายเครื่องราง ด้านในมีมิโกะซึ่งเป็นสาวน้อยวัยมัธยมปลายสองคนดูแลอยู่ ด้านข้างเป็นกระดานไม้ไว้สำหรับแขวนป้ายเอมะ สวนหลังประตูโทริอิที่สองจนถึงไฮเด็งปลูกต้นซากุระ แต่ตอนนี้ต้นไม้ในสวนเหลือแค่กิ่งก้านโล้น ๆ แผ่ไปทั่วทิศทางบนลำต้นสีเข้ม บางต้นที่ใหญ่และมีอายุมากจะมีเชือกฟางชิเมนาวะกับกระดาษโกะเฮย์สีขาวที่พับคล้ายกับรูปสายฟ้าผูกล้อมอยู่เพื่อแสดงเขตแดนศักดิ์สิทธิ์อันชวนเคารพ
               ไฮเด็งของศาลเจ้าอินาริมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลังคาจั่วสามเหลี่ยมสีเทาอมน้ำเงินเข้ม เสาเป็นสีแดง ผนังสีขาว รอบตัวอาคารชั้นเดียวล้อมด้วยรั้วไม้และมีชานไม้เชื่อมต่อกับฮนเด็งซึ่งอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกอีกคู่หนึ่งทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ ไซเซ็นบาโกะหรือตู้รับบริจาคเงินตั้งอยู่ตรงกลาง เหนือขึ้นไปเป็นกระพรวนทองเหลืองผูกเชือกห้อยลงมาจากเพดานด้านบน
                ชินจิเดินตามรุ่นพี่ของเขาขึ้นบันไดหินไปหยุดยืนอยู่หน้าตู้ไม้ติดตราสีทอง ผ้าใบสีขาวห้อยลงมาเหมือนม่านบังไม่ให้เห็นด้านในไฮเด็งชัดเจนนัก ชายหนุ่มสั่นกระพรวน โยนเหรียญห้าเยนที่มีรูตรงกลางลงไปในกล่องไม้ โค้งคำนับสองครั้ง ตบมือดัง ๆ สองครั้ง แล้วโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็พนมมือ หลับตานิ่ง เอย์จิยืนรอเงียบ ๆ ให้ชายหนุ่มรุ่นน้องได้อธิษฐานขอพรตามใจปรารถนา
                เมื่อชินจิลืมตาขึ้นก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ดังอยู่ข้างตัว
                “นายรู้ไหมว่านอกจากที่นี่จะเป็นศาลเจ้าบูชาเทพเจ้าอินาริแล้ว ยังเป็นที่เก็บรักษาของสำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย” เอย์จิพยักหน้าไปทางอาคารเล็กด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดเนื่องจากเป็นที่เก็บรักษาโกชินไตหรือวัตถุซึ่งเชื่อว่าพระเจ้าหรือคะมิสถิตอยู่ภายในนั้น
                “ว่ากันว่าในฮนเด็งที่นี่เก็บรักษาลูกแก้ววิเศษเอาไว้”
                “ลูกแก้ววิเศษหรือครับ” ชินจิทวนคำด้วยความสนเท่ห์ เอย์จิพยักหน้ารับ
                “ใช่ ลูกแก้วคันจุ ลูกแก้ววิเศษที่เชื่อกันว่าสามารถควบคุมน้ำและหยุดคลื่นยักษ์ที่บ้าคลั่งไม่ให้สาดซัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นดินจนราบเป็นหน้ากลอง”
                ชินจิรู้จักชื่อนี้ ถึงแม้เขาจะเรียนวรรณคดีเยอรมัน คุ้นเคยกับเรื่องเล่าหรือเทพนิยายตะวันตก แต่เขาก็อ่านนิทานญี่ปุ่นเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เช่นกัน
                “มีคันจุก็ต้องมีมันจุ ลูกแก้ววิเศษที่บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์สิครับ”
                “รู้ดีนี่” เอย์จิออกปากชม เล่าต่อว่า “มนุษย์ได้รับลูกแก้วทั้งสองมาพร้อมกัน แต่ตอนนี้เหลือแค่ลูกเดียว เพราะมังกรเอาลูกแก้วมันจุกลับคืนไปแล้ว”
                “คันจุอยู่กับมนุษย์ มันจุอยู่กับมังกร” ชินจิทวน ชายหนุ่มฟังด้วยความสนุกเหมือนกับฟังนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง เขาพอรู้ว่าศาลเจ้ากว่าหนึ่งแสนแห่งทั่วญี่ปุ่นล้วนเก็บรักษาอะไรบางอย่างไว้ทั้งนั้น อะไรบางอย่างที่เชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตอยู่ ทั้งที่เป็นสิ่งของในธรรมชาติและสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างกระจกที่เป็นตัวแทนของกระจกยาตะหรือดาบที่เป็นตัวแทนของดาบคุซานางิ ดาบวิเศษที่สุซาโนะโอะได้มาจากในตัวของพญางูแปดหัว ยามาตะโนะโอโรจิ
                “ใช่ แต่ในฮนเด็งตอนนี้ไม่มีลูกแก้วคันจุอีกต่อไปแล้ว มีคนขโมยมันไป”
                “เอ๋ ลูกแก้วคันจุนี่เป็นของจริงหรือครับ”
                “จริงหรือไม่จริง ไม่มีใครยืนยัน แต่มีคนเชื่อว่าจริงจนต้องมาขโมยมันไป เป็นเหตุให้แม่ของฉันถูกฆ่าตาย”
                ชินจิฟังแล้วตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เสียงของเอย์จิเล่าต่อไป
                “ท่านแม่เป็นคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด โจรขโมยลูกแก้วจึงฆ่าแม่ของฉันแล้วหนีไป กว่าทุกคนจะรู้ตัว ก็ไม่มีใครช่วยได้แล้ว ท่านแม่นอนจมกองเลือดอยู่หน้าแท่นบูชา และลูกแก้วคันจุก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
                “พอเถอะครับ เอย์จิซัง ไม่ต้องเล่าแล้ว” ชินจิจับมือรุ่นพี่ของเขารั้งไว้ด้วยความลืมตัว สีหน้าของเขาเดือดร้อนเจ็บปวดราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
                “ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องคิดถึงเรื่องเลวร้ายแบบนี้”
                “นายนี่โทษตัวเองตลอดเลยนะ ไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย ฉันอยากเล่าให้นายฟังเองต่างหาก”
                “แต่เพราะเล่าให้ผมฟัง คุณก็ต้องนึกถึงเรื่องนั้นนี่ครับ”
                เอย์จิตบมือรุ่นน้องเบา ๆ เป็นการปลอบและยืนยันว่าเขาไม่เป็นไรจริง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องในที่สุดเพื่อไม่ให้คนช่างคิดมากต้องคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปอีก ชายหนุ่มชวนว่า
                “ไปตรงที่ขายเครื่องรางเถอะ ฉันจะให้นายเขียนเอมะ”
                ป้ายเอมะของศาลเจ้าอินาริทำเป็นรูปหน้าสุนัขจิ้งจอกและใบโมมิจิหรือใบเมเปิ้ลห้าแฉก เอย์จิให้รุ่นน้องของเขาเลือกตามต้องการ ขณะเดียวกันก็แนะนำมิโกะสาวน้อยสองคนให้รู้จัก มิโกะของศาลเจ้าสวมกิโมโนสีขาว ท่อนล่างเป็นฮิบะกามะหรือกระโปรงกางเกงบานสีแดงสด
                “อาเคมิกับโทโมโกะ กำลังเรียนอยู่ไฮสกูลทั้งคู่ มาทำงานพาร์ตไทม์ที่ศาลเจ้า ส่วนนี่รุ่นน้องของฉัน ชื่อชินจิ จะมาช่วยงานที่เรียวกังสามเดือน สนิทสนมกันไว้ล่ะ”
                มิโกะสาวน้อยทั้งสองก้มศีรษะทักทายอย่างสำรวม ชินจิก็เช่นกัน เขาพยายามจำชื่อคนทั้งหมดที่ได้รับการแนะนำให้รู้จัก ตั้งใจด้วยว่ากลับไปที่ห้องเมื่อไรจะจดใส่สมุดไว้เพื่อกันลืม
                “นายเลือกอันไหน” เอย์จิถาม
                ชินจิมองป้ายไม้สองแบบตรงหน้าอีกครั้งแล้วชี้ไปที่ลายใบไม้ห้าแฉก เอย์จิหยิบส่งให้ อาเคมิที่ยืนอยู่ใกล้ทั้งสองคนที่สุดหยิบปากกาเมจิกสีดำส่งให้พร้อมกัน หลังจากเขียนอย่างตั้งใจจนเสร็จ ชายหนุ่มเอาเอมะไปแขวนรวมไว้กับของคนอื่น ๆ ที่กระดานไม้ด้านข้าง ในใจนึกขอให้สิ่งที่เขาเขียนลงไปบนแผ่นไม้กลายเป็นความจริง
                เอย์จิเห็นรุ่นน้องเขียนเอมะเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาหา
                “โอมาโมริ ให้นายเก็บติดตัวไว้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่” เอย์จิชูถุงผ้าสีแดงใบเล็กให้ดู ด้านหน้าปักเป็นรูปลูกธนูสีทอง ด้านหลังเป็นตราจิ้งจอกเพลิง “ข้างในใส่ขนนกจากศรปัดรังควาน จะช่วยปกป้องนายจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ”
                “ขอบคุณมากครับ” ชินจิจะเอื้อมมือมารับ แต่เอย์จิกลับไม่ยอมส่งให้ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าไปชิดตัวรุ่นน้อง แล้วกลัดถุงเครื่องรางให้อย่างเบามือที่ด้านในของเสื้อยูกาตะ ชินจิยืนตัวแข็งทื่อ แถมยังรู้สึกด้วยว่าหัวใจกำลังเต้นแรงแบบแปลก ๆ
นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ เหลวไหลแท้ ๆ เอย์จิเป็นรุ่นพี่ เป็นพี่ชายที่ใจดีของเขาเท่านั้นเอง
                “จำไว้นะ เก็บติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ว่านายจะทำอะไร จะอยู่ที่ไหนก็ตาม”
                เสียงของเอย์จิดึงสติของเขากลับมา ชินจิยกมือขึ้นแตะตรงที่เครื่องรางถูกติดไว้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาที่ทอดมองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานั้นจริงจังจนน่ากลัว เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่พูดประโยคถัดมา
                “นี่เป็นกฎข้อแรกของการทำงานที่นี่ สัญญาสิว่าจะไม่ถอดมันออก”
                “ครับ” ชินจิรับปาก รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่กลัวอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
                “ผมจะไม่ถอดออก”
                “และกฎข้อที่สอง นายต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน” เอย์จิมองเข้าไปในดวงตาที่หวั่นหวาดของรุ่นน้อง ย้ำหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนว่า
                “ทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 3 - 28-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-03-2016 07:57:13
               ขากลับจากศาลเจ้า เอย์จิพาชินจิเดินข้ามถนนไปยังเรียวกังของครอบครัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ป้ายไม้ด้านหน้าเขียนชื่อว่า ‘ฮิราตะ’ เรียวกังฮิราตะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว หลังคามุงกระเบื้อง ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ชินจิมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจเพราะเขาจะต้องอยู่ทำงานที่นี่เป็นเวลาถึงสามเดือน ตอนนี้เรียวกังไม่มีแขกมาพักจึงมีแต่ความเงียบเชียบ
               “อีกวันสองวันถึงจะเปิดให้แขกมาพัก เราต้องหยุดไปพักหนึ่งเพราะเรื่องวุ่นวายอย่างที่นายรู้” เอย์จิเล่าขณะที่เดินนำรุ่นน้องมาตามทางเดินปูหิน สองข้างทางตั้งม้านั่งปูผ้าสีแดงและกางร่มกระดาษสีขาว
               “ที่นี่เป็นเรียวกังแห่งเดียวในหมู่บ้าน รับแขกได้ประมาณสิบคน แต่ปกตินักท่องเที่ยวนิยมมาแบบไปกลับมากกว่า เดินชมหมู่บ้าน แวะแช่ออนเซ็น ตอนเย็นก็กลับ ไม่ค่อยมีใครอยู่นานหรอก หมู่บ้านเล็กแค่นี้ เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว นายเองก็เถอะ อยู่สักอาทิตย์อาจจะเบื่อเหมือนกัน”
               “ไม่มีทางครับ ผมชอบเมืองเล็ก ๆ แล้วที่นี่ก็สวยมาก ผมไม่เบื่อง่าย ๆ หรอก” ชินจิพูดหนักแน่น
               เอย์จิเปิดประตูบานเลื่อนไม้ด้านหน้านำเข้าไปข้างใน ชินจิหยิบสลิปเปอร์สำหรับใส่ในบ้านจากตู้ข้างประตูมาใส่และเดินตามไป พื้นไม้ที่ล็อบบี้ของเรียวกังขัดขึ้นเงาวับ มุมหนึ่งตั้งโต๊ะไม้และเบาะรองนั่งเป็นมุมพักผ่อน มีแจกันดอกไม้แบบอิเคบานะตั้งประดับอยู่ข้าง ๆ
               “อิเคบานะทั้งหมด ท่านแม่เป็นคนจัด ทั้งที่นี่และที่บ้าน” เอย์จิบอก สายตาที่มองแจกันดอกไม้หม่นลงเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป
               “ตอนนี้รุกะทำแทน แต่จัดสไตล์เดียวกับที่ท่านแม่เคยจัด รุกะเป็นคู่หมั้นของเออิจิโร่ พอแต่งงานแล้วก็จะต้องเป็นโอะคะมิซังของที่นี่แทนท่านแม่ นอกจากรุกะก็มีพนักงานอีกสองคนคือโอซามุซังกับอิซึมิจัง สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน โอซามุซังเป็นพ่อครัว อิซึมิจังทำความสะอาด”
               “แล้วงานของผมล่ะครับ”
               “งานของนายหนักหน่อยนะ ช่วยอิซึมิจังทำความสะอาดเรียวกัง ขัดออนเซ็น ทำความสะอาดสวน ดูแลอำนวยความสะดวกให้แขกที่มาพัก แล้วถ้างานที่ศาลเจ้ายุ่งมาก นายก็จะต้องไปช่วยด้วย” เอย์จินับนิ้ว
               “คิดว่าไหวไหม”
               เอย์จิถามยิ้ม ๆ เมื่อเห็นหน้าคนฟังชักเริ่มกังวล แต่ชินจิก็ฮึด ยืดอกรับรองอย่างแข็งขัน
               “ผมทำได้ครับ”
               “ต้องอย่างนี้สิ”
               ชินจิยิ้มรับคำชม แต่แล้วก็กลายเป็นยิ้มค้าง ตัวแข็งทื่อ เมื่อมือใหญ่ของเอย์จิเอื้อมมาเขย่าศีรษะของเขาเล่น
               เมื่อก่อนไม่เคยคิดอะไรเมื่อรุ่นพี่แสดงความเอ็นดูและใจดีกับเขาแบบนี้ แต่พอเผลอคิดเท่านั้นแหละ คิดเลย!
               ชายหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ หวังว่าจะไล่ความคิดเหลวไหลออกไปจากหัวให้ได้
               “ชินจิ เป็นอะไร” เอย์จิถามด้วยความสงสัย
               “ไม่มีอะไรครับ ผมไม่เป็นไร” ชินจิรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่เขารู้ว่าเขาซ่อนหน้าแดง ๆ ของตัวเองไม่มิดแน่นอน ชายหนุ่มหวังสุดหัวใจว่าเอย์จิจะไม่สังเกตเห็น
               “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว มาเถอะ ฉันจะพานายดูให้ทั่วเรียวกัง”
               เจ้าของสถานที่พาคนช่วยงานคนใหม่ดูห้องพักของแขกที่อยู่ทางปีกขวาก่อน เอย์จิเปิดให้ดูทีละห้องพร้อมกับอธิบายไปพลาง
               “เรามีห้องเดี่ยวสองห้อง ห้องคู่สองห้อง และห้องใหญ่ที่พักได้มากที่สุดสี่คน”
               ประตูห้องพักเป็นบานเลื่อนเขียนลายดอกไม้ต่างชนิดกันไปสำหรับห้องแต่ละห้อง พื้นห้องพักปูด้วยเสื่อตาตามิ ในห้องตกแต่งแบบเรียบ ๆ ไม่หรูหรา มีแค่โต๊ะไม้กับเบาะรองนั่งตั้งอยู่กลางห้อง มุมห้องมีโคมไฟกระดาษทรงสูงและเครื่องทำความร้อน ทุกห้องมีโทโคะโนะมะหรือยกพื้นสำหรับวางของประดับห้องที่มีค่า ที่นี่ใช้ตั้งแจกันทรงเตี้ย บนผนังเหนือขึ้นไปแขวนรูปที่เขียนเป็นลายดอกไม้
               “ท่านแม่ชอบดอกไม้ ของประดับก็เลยเป็นลายดอกไม้เสียเป็นส่วนใหญ่” เอย์จิเล่าด้วยรอยยิ้ม “ที่ชอบที่สุดต้องคาร์เนชั่นสีชมพู รู้ไหม ท่านแม่น่ะแทบจะใส่แต่กิโมโนลายดอกคาร์เนชั่น ไม่สนใจลายอื่นเลย”
               “เอย์จิซังรักท่านแม่มากเลยนะครับ”
               “ถ้าไม่มีท่านแม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง” เอย์จิตอบสั้น ๆ
               จากห้องพักแขก เจ้าของบ้านพาเดินต่อไปยังห้องทางด้านปีกซ้าย เขาเปิดห้องแรกให้ดู เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของแขกที่มาพัก ในห้องมีอิโรริหรือเตาไฟรูปสี่เหลี่ยมอยู่บนพื้น ด้านบนห้อยตะขอเหล็กทำเป็นรูปปลา มีหม้อต้มน้ำใบเล็กแขวนอยู่ที่ตะขอ เตาอิโรริยังถูกใช้งานอยู่เพราะมีถ่านไม้ที่ถูกเผาไปครึ่งหนึ่งวางอยู่บนพื้นขี้เถ้าสองสามท่อน
               “บางครั้งเราก็เอาขนมมาย่างให้แขกกินกันร้อน ๆ แขกชอบมาก แต่ต้องระวังเรื่องฟืนไฟเป็นพิเศษ เพราะบ้านส่วนใหญ่ที่นี่ทำจากไม้ หลังคามุงจากหรือฟาง ติดไฟง่ายมาก ถ้าเผอเรอนิดเดียวอาจวอดทั้งหมู่บ้านเลยก็ได้” เอย์จิว่า
               ห้องถัดไปเป็นห้องครัว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าในห้องมีคนอยู่ก่อนแล้ว
               “อ้าว โอซามุซัง วันนี้มาด้วยเหรอ” เอย์จิทักด้วยความแปลกใจ
               จากชื่อที่ได้ยินทำให้ชินจิรู้ทันทีว่าผู้ชายที่ใช่ชุดสีขาวคนนี้คือพ่อครัวของเรียวกัง โอซามุเป็นผู้ชายผิวสีเข้ม ดวงตาเรียวยาว ไว้เคราแต่ขลิบสั้นอย่างเรียบร้อย เขาละมือจากสิ่งที่ทำอยู่และโค้งทักทายอย่างนอบน้อม
               “ท่านเอย์จิ”
               “ทำอะไรอยู่น่ะ”
               “คิดรายการอาหารสำหรับแขกอยู่ครับ เรามีกวางอยู่ทั้งขาที่นากามูระซังตัดแบ่งมาให้ ผมคิดว่าจะย่างกับเห็ดแทนเนื้อวัวที่เคยใช้ ท่านเอย์จิคิดว่าดีไหมครับ”
               เอย์จิมองจานบนโต๊ะ เนื้อกวางหั่นบางย่างแบบไม่สุกมากเกินไปราดด้วยซอสเห็ดสีเข้ม เอย์จิใช้ตะเกียบคีบเนื้อกับเห็ดใส่ปากชิม สีหน้าของเขาแสดงว่าพอใจ แล้วก็คีบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งส่งให้ชินจิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
               “ขอบคุณครับ” ชินจิถอยหลังก้าวหนึ่งเพราะเอย์จิยื่นส่งให้แบบแทบจะป้อนให้ถึงปาก เขารีบเอามือจับด้ามตะเกียบไว้และส่งเนื้อเข้าปากด้วยตัวเอง “อร่อยครับ เนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่นสาบเลย”
               “ฉันก็ว่าอย่างนั้น” เอย์จิเห็นพ้องด้วย ส่งตะเกียบคืนให้โอซามุที่ยิ้มกว้างเพราะได้รับคำชม
               “งั้นตกลงเอาเมนูนี้เป็นอาหารเย็นให้แขกกลุ่มแรกก็แล้วกัน” ชายหนุ่มสรุปและใช้จังหวะนี้แนะนำคนที่มาด้วยให้พ่อครัวประจำเรียวกังรู้จัก
               “นี่ชินจิ รุ่นน้องของผมเอง จะมาช่วยงานที่เรียวกังสามเดือน ชินจิทำอาหารเก่ง ถ้าหากวันไหนผมไม่ว่าง ผมจะส่งชินจิมาเป็นลูกมือโอซามุซังในครัวแทนนะ”
               “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ชินจิก้มศีรษะคำนับอย่างสุภาพ
               “ผมไม่กวนแล้วนะโอซามุซัง จะพาชินจิชมเรียวกังต่อ” เอย์จิขอตัวและพารุ่นน้องเดินออกมา ห้องถัดไปที่เอย์จิเปิดให้ดูคือห้องชงชาหรือจะชิตสึ พื้นปูเสื่อตาตามิ ตรงกลางห้องเป็นหลุมสี่เหลี่ยมสำหรับตั้งคะมะและฟุโระที่เอาไว้ต้มน้ำสำหรับชงชา อุปกรณ์อย่างอื่นวางไว้บนชั้นไม้เตี้ย ๆ ตั้งชิดผนัง
               “เราเปิดสอนชงชาด้วย ส่วนใหญ่คนที่มาเรียนจะเป็นชาวต่างชาติที่อยากสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น”
               “ใครเป็นคนสอนเหรอครับ” ชินจิถาม
               “ปกติท่านแม่จะเป็นคนสอน แต่ตอนนี้ฉันทำหน้าที่แทน”
               ด้านหลังเรียวกังมีทางเดินไปสู่ออนเซ็นซึ่งมีทั้งแบบในร่มและกลางแจ้ง เอย์จิอธิบายว่าออนเซ็นที่นี่ให้บริการทั้งแขกของเรียวกังและคนทั่วไป ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามีชั้นให้วางตะกร้าผ้า มีล็อกเกอร์หยอดเหรียญ ไดร์เป่าผมและเครื่องชั่งน้ำหนัก บ่อน้ำร้อนด้านในมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผนังด้านตรงข้ามติดฝักบัวและก๊อกน้ำสำหรับอาบน้ำชำระร่างกายก่อนลงแช่น้ำร้อน มีอุปกรณ์อาบน้ำเตรียมให้แขกอย่างพรักพร้อม หลังห้องมีประตูกระจกเปิดออกไปสู่อ่างน้ำร้อนกลางแจ้งที่มีขนาดเล็กกว่าและเห็นวิวแม่น้ำชิมิซึอย่างชัดเจน
               “สวยจังเลยครับ” ชินจิมองสายน้ำสีเทาอมน้ำเงินที่ไหลแรงผ่านแก่งหินด้วยความชอบใจ ก่อนหันมาถามอย่างคาดหวังว่า
               “พนักงานได้รับอนุญาตให้ใช้ที่นี่ได้ไหมครับ”
               “ได้สิ แต่ต้องหลังจากที่แขกใช้เสร็จแล้ว” เอย์จิตอบ “ที่บ้านก็มีออนเซ็นนะ ฉันยังไม่ได้บอกนายเหรอ อาจจะไม่เห็นวิวแม่น้ำ แต่เห็นวิวสวน รับรองว่าสวยเหมือนกัน”
               “ว้าว ตอนนี้ผมชักรู้สึกว่าตัวเองโชคดีสุด ๆ ไปเลยล่ะครับที่เลือกมาทำงานที่นี่ ต่อให้ต้องขัดห้องน้ำขัดอ่างทุกวันผมก็จะไม่บ่นเลย” ชินจิพูดเสียงใส
               ระหว่างที่เดินอยู่ในเรียวกัง ชินจิสังเกตว่าเขายังไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็นเลย ทำให้นึกได้ว่าตัวเองยังมีข้อสงสัยอยู่อีกข้อ
               “เอย์จิซังครับ ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แล้วตั้งแต่ที่ผมมาถึงผมก็ยังไม่เห็นโทรศัพท์เลยแม้แต่เครื่องเดียว ถ้าผมจะติดต่อกลับบ้าน ผมต้องทำยังไงครับ”
               “เขียนจดหมายหรือไม่ก็โปสต์การ์ด”
               ชินจิฟังแล้วนึกว่าคนพูดล้อเล่น แต่หน้าตาและท่าทางของเอย์จิดูจริงจังมากจนเขาชักไม่แน่ใจ
               “พูดจริง ๆ หรือครับ ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม”
               เอย์จิส่ายหน้า ย้ำว่า
               “พูดจริง ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์หรอก นายสังเกตไหมล่ะว่าโทรทัศน์ก็ไม่มีเหมือนกัน แถวภูเขามิคามิมีสัญญาณรบกวนมากเกินไปทำให้รับสัญญาณภาพและเสียงได้ไม่ชัดเจน คนในหมู่บ้านรับข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ ติดต่อกันด้วยจดหมายหรือเดินไปหาถึงบ้าน ถ้าเร่งด่วนก็มีวิทยุอยู่ที่ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวฝั่งโน้นซึ่งสัญญาณรบกวนน้อยกว่าหน่อย หรือไม่ก็ใช้ผู้นำสาส์น”
               “ใช้อะไรนะครับ” ชินจิถามซ้ำเพราะฟังไม่ถนัด
               “ผู้นำสาส์น เอาไว้ส่งข้อความถึงกัน เป็นวิธีแบบเฉพาะของหมู่บ้านนี้ ไว้ฉันค่อยอธิบายให้ฟังทีหลัง ถ้านายไม่เบื่อที่นี่จนหนีกลับโตเกียวไปก่อนน่ะนะ”
               “โธ่ ล้อผมเล่นอีกแล้ว” ชินจิโอดครวญ
               จบทัวร์เรียวกังและชินจิได้รู้เรื่องราวของหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้นอีกนิดก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปที่บ้าน ตอนที่ทั้งสองคนเดินออกมาข้างนอกนั้น ฟ้ามืดแล้ว ในหมู่บ้านแทบไม่มีการตามไฟทำให้ทุกอย่างดูสลัวรางเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่สีดำ ภาพความมีชีวิตชีวาและผู้คนที่เคยเห็นในตอนกลางวันหายไปราวกับเป็นแค่ภาพลวงตาที่มีอะไรบางอย่างบันดาลขึ้นเท่านั้น
                คันโจโคเอนในตอนกลางคืนต่างกับตอนกลางวันลิบลับ เสียงนกกลางคืนบางชนิดร้องกรีดแหลมโหยหวนจนทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเยือกตลอดทั่วไขสันหลัง ชินจิมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกหวั่นกลัวไม่น้อย แต่ร่างสูง ๆ ของเอย์จิที่เดินเคียงข้างก็ช่วยให้อุ่นใจได้มาก
                เอย์จิหยุดเดินเมื่อถึงประตูหน้าบ้าน มือข้างหนึ่งของเขารั้งแขนชินจิให้หันมาเผชิญหน้าด้วย
                “ยังมีกฎอีกข้อหนึ่งสำหรับการอยู่ที่นี่” เอย์จิจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ห้ามออกมาข้างนอกหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน”
                “ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”
                “มันไม่ปลอดภัย รู้ไว้เท่านี้ก็พอ”
                “แต่ว่า...”
                “นี่เป็นคำสั่งของฉัน” เอย์จิตัดบท “นายสัญญาแล้วว่าจะเชื่อฟังฉันทุกอย่าง”
                เจอแบบนี้เข้าไปทำให้ชินจิต้องหุบปากฉับทั้งที่ในใจของเขาตอนนี้มีคำถามมากมาย
                หมู่บ้านนี้มันมีอะไรกันแน่นะ?
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 5 - 29-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-03-2016 19:54:26
บทที่ 6

        วันที่สองที่หมู่บ้านคันโจโคเอน ชินจิยังไม่ต้องเริ่มทำงานเพราะลูกชายฝาแฝดของบ้านเห็นพ้องต้องกันว่าชายหนุ่มควรจะไปเที่ยวในหมู่บ้านเสียก่อนเพื่อให้รู้จักสถานที่และผู้คนในหมู่บ้านมากขึ้น ชินจิออกจะเกรงใจไม่น้อยเพราะเขาคิดเสมอว่ามาที่นี่เพื่อมาทำงาน แต่เมื่อบนโต๊ะอาหารเช้าไม่มีใครคัดค้าน มาซาฮารุ บิดาของสองแฝดในชุดยูกาตะสีเทาเข้มนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ อยู่ที่หัวโต๊ะ ไม่แสดงความสนใจ และรุกะที่วันนี้ใส่ยูกาตะสีฟ้าสดใสลายรูปสุนัขจิ้งจอกคาดโอบิสีขาวนวลและรัดอีกทีด้วยเชือกซันบุฮิโมะสีขาวร้อยเม็ดคริสตัลสีน้ำเงินกลม ๆ เพียงตวัดสายตาเย็นชามองมาที่เขาเท่านั้น ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับโดยไม่กล้ามีปากเสียง
        “ฉันอยากเป็นคนพาเธอไปจัง จะได้พาชมให้ทั่วหมู่บ้านเลย เธอชอบปลาเทราท์รึเปล่าชินจิคุง ของที่นี่อร่อยมากเลยนะ” เออิจิโร่พูดในลักษณะที่ถ้าเป็นเด็กก็เรียกว่ากำลังงอแงได้ แต่นี่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว กิริยาที่ทำตอนนี้จึงทำให้คนบนโต๊ะพากันหมั่นไส้ เอย์จิขมวดคิ้วพร้อมกับถลึงตาใส่ รุกะมองคู่หมั้นด้วยสายตาตำหนิและพลอยค้อนใส่ตัวต้นเหตุอย่างชินจิไปด้วย ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่ารุกะไม่ชอบหน้าเขาอย่างแน่นอน
        “เช้านี้แกต้องฝึกยิงธนูเพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมง เมื่อวานฉันได้ยินว่าแกยิงพลาดเป้าหลายครั้ง วันนี้ต้องมีสมาธิมากกว่าเดิม อย่ามัวแต่ทำตัวเป็นเล่น” มาซาฮารุดุลูกชายคนโตเป็นคนสุดท้าย มือพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านจบแล้ววางบนโต๊ะข้างสำรับอาหารเช้า
        เออิจิโร่ทำหน้าเมื่อยอย่างจงใจ แต่ไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงบิดาแต่อย่างใด
        “ตอนเช้ามีฝึกยิงธนู เอย์จิซังไม่ต้องไปด้วยเหรอครับ” ชินจิรวบรวมความกล้าหันไปกระซิบถามรุ่นพี่
        “เอย์จิไม่จำเป็นต้องฝึก ไม่มีประโยชน์อะไร” มาซาฮารุตอบแทน ชินจิเกือบสะดุ้ง ไม่คิดว่าบิดาของรุ่นพี่จะได้ยินคำถามที่พยายามให้เบาแล้วของเขา และน้ำเสียงเย็นชาของพ่อที่พูดกับลูกชายก็ทำให้ชินจิรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่ของเขาไม่น้อย เขาเห็นชัดเจนเลยว่าหน้าของเอย์จิเคร่งขึ้นทันทีและดวงตาก็หม่นแสงลง
        “อิ่มแล้วครับ อาหารฝีมือยูอิซังอร่อยจังเลย นี่ถ้าไม่อิ่มจนท้องจะแตกแล้วเนี่ยผมเป็นต้องเติมข้าวอีกชามแน่ ๆ” เออิจิโร่คลี่คลายบรรยากาศบนโต๊ะอาหารลงด้วยการหันไปยิ้มกว้างกับแม่บ้านวัยกลางคนที่เดินเข้ามาเก็บสำรับ ยูอิยิ้มตอบ หล่อนเป็นคนไม่พูดมาก เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว
        “ไปกันเถอะ ชินจิ”
        เอย์จิถือโอกาสสะกิดรุ่นน้องให้ลุกขึ้นและตามเขาออกไปจากห้องรับแขกที่ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารไปในตัวด้วย ชินจิไม่กล้าพูดอะไรกับรุ่นพี่จนกระทั่งเอย์จิส่งเสื้อคลุมฮาโอริให้เขาที่หน้าประตูบ้าน
        “ขอบคุณครับ” ชินจิรับมาสวมทับชุดยูกาตะที่ใส่อยู่ วันนี้เขาใส่ยูกาตะลายตารางเล็ก ๆ สีน้ำเงินคาดโอบิสีดำ ถุงเท้าทะบิและรองเท้าโซริที่ใส่กับยูกาตะก็เป็นสีดำเหมือนกัน และในเมื่อไม่มีใครบังคับเขาเหมือนเมื่อวาน ชินจิจึงผูกโอบิแบบไคโนะคุจิที่ผูกกันทั่วไป ตั้งแต่อยู่ที่นี่เขาก็ใส่แต่ยูกาตะตลอด ตื่นมาตอนเช้าก็เห็นยูกาตะชุดใหม่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว เสื้อผ้าเต็มกระเป๋าที่เขาเอามาไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง
             เอย์จิก็ใส่ยูกาตะตลอดเวลาเช่นกัน ยกเว้นวันที่ออกจากหมู่บ้านไปรับเขาที่สถานีรถไฟ ดูเหมือนว่าคนในหมู่บ้านจะแต่งตัวด้วยชุดยูกาตะหรือชุดพื้นถิ่นเป็นส่วนใหญ่ ผู้หญิงใส่ยูกาตะทับด้วยเสื้อกันเปื้อนสีขาวแบบคลุมทับทั้งตัว ผู้ชายใส่ชุดซามุเอะที่ท่อนล่างเป็นกางเกงซึ่งปกติเป็นชุดสำหรับใช้แรงงานในวัดหรือในศาลเจ้า บางคนอาจจะใส่เสื้อกางเกงธรรมดา แต่ก็ไม่มากนัก สามารถทำให้แยกแยะออกได้ทันทีจากการแต่งตัวว่าใครเป็นคนในหมู่บ้านและใครเป็นนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น มีคนต่างชาติบ้างประปราย
         “เอย์จิซัง ไม่ต้องฝึกยิงธนูจะไม่เป็นไรเหรอครับ” ชินจิตัดสินใจถาม
         “ไม่หรอก หยุดวันเดียวเอง เอาไว้ฝึกพรุ่งนี้ก็ได้” น้ำเสียงของคนพูดฟังไม่เดือดร้อน ชินจิจึงไม่กล้าถามอะไรมากไปกว่านั้นทั้งที่ไม่เชื่อสักนิด และรุ่นพี่ก็เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว
         “นายอยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”
         “ที่ไหนก็ได้ครับ แล้วแต่เอย์จิซังเลย” ชินจิพูดอย่างร่าเริง เมื่อรุ่นพี่ไม่อยากพูดถึง เขาก็จะไม่เซ้าซี้ เขาจะให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนบรรยากาศอย่างเต็มที่
              “แต่คุณจะว่าผมโลภมากรึเปล่าถ้าผมบอกว่าผมอยากดูทุกอย่าง อยากไปทุก ๆ ที่ในหมู่บ้านเลย”
         เอย์จิหัวเราะ ออกตัวว่า
              “ฉันอาจเป็นไกด์ที่ไม่ดีเท่าเออิจิโร่นะ ฉันพูดไม่เก่งเหมือนหมอนั่น”
              “เอย์จิซังเป็นไกด์ที่ดีที่สุดแล้วครับ ผมมั่นใจ”
              คนพูดคงไม่รู้หรอกว่าคนฟังรู้สึกดีใจแค่ไหนที่ได้ยินแบบนี้ แต่เอย์จิยังเก็บความรู้สึกไว้ ไม่ยอมแสดงออกมา เพียงแค่พยักหน้าให้รุ่นน้องเดินเคียงไปกับเขาเท่านั้น
              “เอาเครื่องรางติดตัวมารึเปล่า” เอย์จิถาม
              “แน่นอนครับ ผมไม่ลืมหรอก ผมยังไม่อยากถูกไล่ออกจากงาน” ชินจิตอบพลางแบะโอบิที่คาดเอวอยู่ให้เห็นถุงเครื่องรางสีแดงที่ถูกผูกติดไว้กับสายโคชิฮิโมะด้านใน
              “ผมเอาถุงเครื่องรางของตัวเองใส่ลงไปข้างในด้วย จะได้พกไว้ด้วยกันเลย คราวนี้ผมจะมีทั้งความสุขและความปลอดภัย”
              “ดีมาก”
              เอย์จิอดใจไม่อยู่อีกต่อไป มือของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะรุ่นน้องด้วยความเอ็นดู ชินจิไม่กล้าเบี่ยงตัวหนีทั้งที่รู้สึกเขิน เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด พยายามไม่คิดอะไรเหลวไหล แต่ในใจนั้นยอมรับไปแล้วว่าเขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่เอย์จิทำแบบนี้

              อากาศในวันนี้เป็นใจให้การทัวร์หมู่บ้านของชินจิมาก ท้องฟ้าสดใส ลมเย็นพัดมาเป็นระยะแต่ไม่หนาวขนาดที่เสื้อคลุมผ้าขนสัตว์ฮาโอริต้านไม่อยู่ ชายหนุ่มเดินช้า ๆ ไปกับเอย์จิที่ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นชี้สถานที่ต่าง ๆ ให้ดู
              “หมู่บ้านเรามีถนนสายหลักสองสาย ศาลเจ้าอินาริกับเรียวกังฮิราตะอยู่บนถนนสายที่หนึ่งใกล้แม่น้ำ บ้านส่วนใหญ่แถวนี้เป็นแบบกัสโชซึคุริ บ้านไม้หลังคามุงฟาง”
              ชินจิมองบ้านไม้สูงสามชั้นหลังคามุงฟางลาดเป็นมุมประมาณสี่สิบห้าองศา สีเข้มของไม้และฟางที่มุงหลังคาตัดกับสีสันของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงอย่างน่าดู บางบ้านมีแปลงนาที่เก็บเกี่ยวแล้วอยู่ทางด้านข้าง บางบ้านก็มีแปลงผักสีเขียวที่กำลังเติบโตเต็มที่ ตรงระเบียงบ้านขึงเชือกเส้นเล็กเพื่อแขวนพวงพริกสีแดงแปร๊ด ข้าวโพดฝักโตสีเหลืองอ่อน บนพื้นด้านล่างวางตะกร้าสานใส่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เจ้าของบ้านอยากขาย ส่วนใหญ่เป็นของตามฤดูกาล อย่างในตอนนี้ก็เป็นส้มผลกลม ๆ ฟักทอง เมล็ดพืช หรือของทำมืออย่างรองเท้าฟางเย็บกับผ้าลายสีต่าง ๆ มีป้ายบอกราคาปักกำกับไว้
              บ้านชาวนาหลายหลังเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก ชินจิกับเอย์จิเดินปะปนกับนักท่องเที่ยวดูของที่ขายในร้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขนม ทั้งคุกกี้รูปหุ่นไล่กา ขนมสอดไส้ถั่วแดงทำเป็นรูปบ้านชาวนา ใส่อยู่ในกล่องห่อด้วยกระดาษลายต่าง ๆ และยังมีของที่ระลึกพื้น ๆ พวกพวงกุญแจ ปากกา โปสต์การ์ด หน้าร้านมีตู้เย็นธรรมชาติคืออ่างไม้รองน้ำเย็นจัดจากก๊อกน้ำแช่ขวดและกระป๋องเครื่องดื่มหลากหลายยี่ห้อ
              ชินจิละมือจากการพลิกดูตุ๊กตาปลาเย็บด้วยผ้าที่แขวนเป็นพวงอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึกเมื่อรู้สึกว่าข้างตัวของเขาว่างเปล่า ชายหนุ่มมองหารุ่นพี่ ก่อนจะเห็นเอย์จิเดินกลับมาหาพร้อมขนมสองไม้ในมือ บุ้ยใบ้ให้เขาเลือกระหว่างโกะเฮย์โมจิกับมิตาราชิดังโงะ
              “เท่าไหร่ครับ” ชินจิถามด้วยความเกรงใจ แล้วก็เลยโดนตีหน้าดุใส่
              “เอาไปเถอะน่า เร็ว ๆ”
              ชินจิจึงเลือกหยิบแผ่นแป้งย่างโกะเฮย์โมจิจากมือของรุ่นพี่ ขนมร้อน ๆ ในวันที่อากาศเย็นช่วยทำให้ท้องอุ่นสบาย แป้งนุ่ม ๆ กินเพลินจนแป๊บเดียวก็หมดไม้ เอย์จิที่จับตามองอยู่ตลอดถามว่า
              “เอาอีกไม้ไหม หรือจะเอาดังโงะ นี่ก็อร่อยนะ”
              “ขอบคุณครับ แต่ไม่ดีกว่า เดี๋ยวอิ่ม กินปลาเทราท์ที่เออิจิโร่ซังเชียร์นักหนาไม่ได้”
              “อย่าเชื่อราคาคุยหมอนั่นมาก” เอย์จิพูด แต่เขาก็ส่งดังโงะที่เหลืออยู่ลูกหนึ่งให้รุ่นน้องได้ชิม ชินจิก็เลยได้กินขนมขึ้นชื่อของหมู่บ้านคันโจโคเอนทั้งสองอย่าง
              “พูดถึงร้านอาหารต้องไปถนนสายที่สอง แถบนั้นเป็นเรือนแถวไม้ ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารกับร้านน้ำชา” เอย์จิอธิบายพลางพาชินจิเดินต่อ ทั้งสองคนลัดเลาะไปตามตรอกเล็ก ๆ ผ่านบ่อน้ำที่น้ำใสจนเห็นสาหร่ายสีเขียวและปลาสีสดที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำได้ชัดเจน ทั้งสองคนเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านชายวัยกลางคนกำลังทำงานอยู่ในสวน พอเห็นทั้งคู่เข้าก็ทักเสียงใสว่า
              “ท่านเออิจิโร่”
              ชินจิกำลังจะค้านว่าทักผิดอยู่แล้ว แต่คนข้างตัวของเขากระตุกแขนเสื้อยูกาตะเป็นเชิงเตือน ชายหนุ่มจึงเงียบฟังเอย์จิทักและถามว่า
              “ทำยุกิสึริอยู่เหรอครับ ให้ผมช่วยไหม”
              “ไม่ต้องหรอกครับ เหลือต้นนี้ก็เสร็จแล้ว” ชายวัยกลางคนตอบ เขายืนอยู่บนบันไดพับ กำลังผูกเชือกฟางสีน้ำตาลยึดโยงกิ่งต้นสนไว้กับเสาไม้ที่ปักอยู่ในดิน ในสวนมีต้นที่ทำเสร็จแล้วอยู่สามสี่ต้น ดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเห็นต้นสนกางร่มรูปสามเหลี่ยมไม่มีผิด
              “พยากรณ์เขาว่าปีนี้หิมะจะเยอะ ต้องทำไว้แน่นหนาแข็งแรงหน่อย จะได้รับน้ำหนักหิมะได้ กิ่งไม่หัก”
              เจ้าของบ้านคุยต่อเรื่อย ๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ชินจิอย่างสนใจ
              “นี่รุ่นน้องผมครับ มาจากโตเกียว จะมาช่วยงานที่เรียวกังสามเดือน ฝากหน่อยนะครับ” เอย์จิแนะนำ ทำเอาคนฟังเอามือตบหน้าผากตัวเองทันที ร้องว่า
              “อ้าว นี่ท่านเอย์จิหรอกหรือเนี่ย ผมนี่แย่จริง ทักผิดทักถูกประจำ ขอประทานโทษครับ อย่าถือสาคนแก่เลยนะ”
              “ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว” เอย์จิยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะถือโอกาสลาอย่างสุภาพ “ผมขอตัวก่อนนะ จะพารุ่นน้องเดินดูหมู่บ้านต่อ”
              คล้อยหลังมาได้สักพัก ชินจิก็ทักขึ้น
              “คนทักผิดอย่างนี้บ่อยเลยนะครับ”
              นอกจากคุณลุงเจ้าของบ้านคนนี้แล้ว เขายังได้ยินชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาและที่อยู่ในร้านค้าทักเอย์จิเป็นเออิจิโร่อีกหลายคน
              “ก็หน้าเหมือนกันเปี๊ยบนี่นา” เอย์จิตอบอย่างไม่สนใจนัก
เลี้ยวออกจากซอยเล็ก ๆ ก็เจอกับทุ่งดอกไม้ขนาดย่อม ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีขาวกับสีชมพูกำลังบานสะพรั่ง สุดปลายทุ่งดอกไม้คือบ้านแบบกัสโชซึคุริหลังใหญ่
              “นั่นพิพิธภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตและสถาปัตยกรรม จะเข้าไปดูไหม”
              ได้ยินคำว่าพิพิธภัณฑ์ ชินจิก็ตาใส พยักหน้าหงึก ๆ ทันที
              ค่าบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ราคาสามร้อยเยน แต่ชินจิไม่ต้องเสียสักเยนเพราะมากับเอย์จิที่เหมือนเป็นผู้มีอิทธิพลประจำถิ่น แค่เห็นหน้าเขา คนเฝ้าประตูที่เป็นหญิงวัยกลางคนใส่ชุดยูกาตะสีเขียวอ่อนเรียบ ๆ ก็โค้งคำนับและเชื้อเชิญให้เข้าอย่างนอบน้อม แต่หล่อนก็เรียกผิดเป็นเออิจิโร่เหมือนคนอื่น ๆ
              “ครอบครัวเราสนับสนุนพิพิธภัณฑ์น่ะก็เลยได้สิทธิพิเศษนิดหน่อย” เอย์จิบอกหลังจากเห็นสีหน้าสงสัยของรุ่นน้อง
              สิ่งแรกที่เห็นสะดุดตาหลังจากเข้าไปข้างในก็คือเตาอิโรริซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของบ้าน พิพิธภัณฑ์จัดเอาไว้เหมือนจริงคือใส่ถ่านติดไฟแดง ๆ ให้ความร้อนจากไฟต้มน้ำในหม้อที่แขวนอยู่กับตะขอรูปปลา ควันไฟบาง ๆ ลอยวนอยู่ด้านบน
              ชินจิเดินดูสิ่งของที่จัดแสดงด้วยความสนใจ เขาเห็นข้าวของเครื่องใช้ของคนในสมัยก่อน ถังน้ำทำจากไม้ กาน้ำขนาดต่าง ๆ ตู้ลิ้นชัก เครื่องเหล็ก กระทั่งมีดหลายสิบชนิดทั้งเล็กและใหญ่ มีภาพประกอบพร้อมคำอธิบายว่าใช้ในงานประเภทใด รองเท้าฟางใช้เดินบนหิมะแขวนเรียงเป็นตับอยู่ที่ผนัง เดินดูชั้นแรกจนทั่วแล้วก็ปีนบันไดที่ทั้งแคบและชันขึ้นไปชั้นสองซึ่งจัดแสดงภาพและคำอธิบายเกี่ยวกับบ้านที่สร้างแบบกัสโชซึคุริ แต่ชินจิไม่ต้องยืนอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ให้ปวดตาเนื่องจากไกด์กิตติมศักดิ์ทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
              “บ้านสไตล์นี้มักจะมีสองชั้น ตัวบ้านชั้นแรกกับส่วนที่เป็นห้องใต้หลังคา ส่วนหลังนี่แบ่งเป็นสองชั้นอีกที และที่เรากำลังยืนอยู่นี่คืออามะ ห้องใต้หลังคาชั้นล่าง ชั้นบนซึ่งก็คือชั้นถัดขึ้นไปจะเรียกว่าโซระอามะ”
              เอย์จิชี้ให้ดูภาพแปลนบ้านบนผนัง และภาพถัด ๆ ไปที่เป็นภาพระหว่างการสร้างบ้าน
              “ตัวบ้านชั้นแรกสร้างไม่ยาก ช่างไม้ธรรมดาก็ทำได้ ส่วนที่ยากคือการมุงหลังคา ต้องใช้คนหลายคนมาช่วยกัน คานกับไม้ท่อนต้องใช้ที่แข็งแรงเพราะต้องค้ำยันหลังคาให้ทานน้ำหนักของหิมะได้”
              ชินจิฟังพลางมองไม้ท่อนใหญ่ ๆ สีดำที่ถูกมัดติดกันอย่างแน่นหนาสลับกับรูปบนผนัง
              “เราจะมุงหลังคาด้วยฟางที่ได้จากการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง แล้วจะมุงใหม่อีกครั้งตอนฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงถัดไป เราจะแยกฟางเก่าเป็นส่วนที่ดีกับไม่ดี ฟางเก่าส่วนที่ดีจะเอามาปนกับฟางใหม่มุงหลังคาด้านบน และส่วนที่ยากที่สุดคือฮะฟุ เห็นไหมชินจิ หน้าจั่วที่มน ๆ กลม ๆ น่ะ” เอย์จิชี้ที่ภาพภาพหนึ่งบนผนัง “ต้องช่างที่มีฝีมือมาก ๆ เท่านั้นถึงจะทำได้ ตอนนี้ก็มีไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็คือโอคินะซัง”
              “เอ๋ จริงเหรอครับ แต่โอคินะซังเป็นพระนี่”
              “เป็นพระ แต่ก็เป็นช่างด้วย โอคินะซังยังเก่งอีกหลายอย่าง เดี๋ยวนายก็จะค่อย ๆ เห็นเอง”
              ชินจิไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เอย์จิก็ไม่อธิบายมากกว่านี้ ชายหนุ่มเดินนำรุ่นน้องขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดหรือโซระอามะที่มีหน้าต่างกว้างมองเห็นวิวได้ไกลสุดสายตา
              “สวยจังเลยครับ” ชินจิอุทาน
              “ชอบที่นี่ไหม” เอย์จิเดินมาหยุดอยู่ข้างตัวรุ่นน้อง
              “ชอบครับ ชอบที่สุด” ชินจิกำลังดื่มด่ำกับความงามตรงหน้าจนไม่ทันได้คิดอะไร เขาพูดด้วยความหลงใหลเหมือนตกอยู่ในภวังค์
              “ถ้าได้อยู่ในที่สวย ๆ อย่างนี้ตลอดไปก็คงจะดีที่สุดเลยนะครับ”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 5 - 29-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-03-2016 20:02:23
               ออกจากพิพิธภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ทั้งสองคนเดินต่อไปยังถนนหลักสายที่สอง ระหว่างทางมีหลายสิ่งให้ดูจนเพลินตา แปลงดินเล็ก ๆ หน้าบ้านที่ปลูกดอกไม้หน้าหนาวออกดอกสีม่วง ๆ ฟ้า ๆ กองฟืนท่อนหนา ๆ ที่วางเรียงติดฝาบ้านจนสูงท่วมหัว และหุ่นไล่กาแต่งตัวเขียนหน้าตลก ๆ ยืนแข็งทื่ออยู่กลางแปลงนาแทบทุกแห่ง
               “เดี๋ยวเราแวะพักขาดื่มน้ำชากันสักหน่อยนะ” เอย์จิบอก
               ชินจิอยากเห็นร้านน้ำชาของหมู่บ้านอยู่แล้วจึงรีบตกลงทันที
               ถนนสายที่สองสั้นกว่าถนนสายแรก บ้านเรือนบนถนนสายนี้เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารและร้านน้ำชา หน้าร้านประดับโคมสีขาวสีแดงกับป้ายแขวนที่ทำจากเหล็กดัดให้เป็นลวดลายหรือรูปภาพต่าง ๆ
               ร้านที่เอย์จิเลือกเป็นร้านที่มีป้ายเหล็กดัดเป็นรูปกาน้ำชาสีดำ ผนังไม้ติดโปสเตอร์เป็นรูปตัวแสดงในละครโนใส่หน้ากากและกิโมโนลายวิจิตร ชายหนุ่มเลื่อนประตูไม้กรุกระดาษเปิดออกและเดินนำชินจิเข้าไปข้างใน ข้างประตูเลื่อนเป็นเคาน์เตอร์เล็ก ๆ เมื่อชายหนุ่มแจ้งความจำนงว่าจะดื่มน้ำชาและจ่ายเงินค่าบริการเรียบร้อย พนักงานหญิงวัยกลางคนในชุดยูกาตะสีชมพูหม่นก็หยิบแผ่นไม้ขนาดยาวเท่าซองจดหมายให้สองแผ่น เอย์จิยื่นแผ่นไม้แผ่นหนึ่งให้ชินจิ บนแผ่นป้ายนั้นระบุชื่อห้องและชื่อเซ็ตน้ำชาที่เลือก
               พนักงานหญิงสาววัยต้นยี่สิบใส่ชุดยูกาตะคาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดเป็นคนเดินนำทั้งคู่ไปยังห้องน้ำชาซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นช่องยาว ๆ มากกว่าจะเป็นห้อง พื้นปูด้วยเสื่อตาตามิ ผนังด้านหลังติดภาพเขียนพู่กันรูปทิวทัศน์ ด้านหน้าเป็นโต๊ะไม้ยาวไปตลอดแนวยาวของห้องกับเบาะรองนั่ง มองเห็นสวนได้ถนัดตา สวนในร้านตกแต่งอย่างสวยงามด้วยไม้พุ่ม ต้นสน กรวดหิน ตะเกียงหินอิชิโดโร และคะเคย์ซึ่งเป็นท่อไม้ไผ่ที่มีน้ำไหลลงสู่อ่างหินเบื้องล่าง
               เอย์จิกับชินจิเลือกนั่งที่สุดปลายโต๊ะห่างจากลูกค้าคนอื่นอีกสองสามคนที่นั่งดื่มชาชมสวนอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว พนักงานสาวเก็บป้ายไม้ทั้งสองแผ่นไปและไม่นานก็กลับมาพร้อมกับน้ำชาและขนมสองชุด
               “โอ้โฮ น่ากินจัง” ชินจิมองถาดไม้ตรงหน้าของตัวเอง เขาได้น้ำชาหนึ่งถ้วยและขนมคุริมุชิโยคังที่ทำมาจากถั่วแดงบดผสมแป้งตัดมาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า บนตัวขนมวางชิ้นเกาลัดสีน้ำตาลและตกแต่งจานด้วยใบโมมิจิสีแดงเข้ม
               “ฉันสั่งมาไม่เหมือนกัน นายจะได้กินหลายแบบ” เอย์จิพูด บนถาดของเขามีถ้วยน้ำชาและจานขนมใบเล็กเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ขนมโยคังของเขาทำมาจากคะคิหรือลูกพลับจึงมีสีส้มและตัดมาเป็นชิ้นรูปครึ่งวงกลม ชายหนุ่มใช้ไม้อันเล็กตัดขนมของตัวเองยื่นส่งให้ชินจิ
               “เอ้อ...ขอบคุณครับ”
               ชินจิอ้อมแอ้มตอบ เขาต้องขยับศีรษะหนีอีกหนขณะที่เอื้อมมือไปรับไม้ตักขนมอย่างระมัดระวังเพราะรุ่นพี่ยื่นมาเสียแทบจะชิดปาก
               “อร่อยไหม” เอย์จิถามด้วยความคาดหวัง แล้วเมื่อเห็นรุ่นน้องของเขาพยักหน้าหงึก ๆ ชายหนุ่มก็มีท่าทางพอใจ
               “เอย์จิซัง ลองชิมขนมของผมบ้างนะครับ แลกกัน” ชินจิไม่กล้าตักส่งให้อย่างที่รุ่นพี่ทำจึงเพียงแต่เลื่อนจานขนมไปให้ซึ่งเอย์จิก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนผลัดกันตักขนมของอีกฝ่ายมากินพลางจิบน้ำชา ชมสวนสวยและพูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ
การได้ออกมาด้วยกันแบบนี้ทำให้ชินจิรู้สึกว่าตัวเองสนิทกับรุ่นพี่เอย์จิมากขึ้นกว่าครั้งที่อยู่เยอรมนี แต่พร้อมกันนั้นความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นในจิตใจของเขาด้วย จากความอ่อนโยนใจดีและเอาใจใส่ของเอย์จิ แต่ชินจิไม่อยากคิดอะไรเพ้อเจ้อหรือปล่อยให้จิตใจเตลิดเปิดเปิงไปอีกแล้ว เขามีประสบการณ์มากเกินพอที่เบอร์ลิน และบนเส้นทางสายใหม่ที่กำลังเดินอยู่นี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปด้วยหัวใจที่หนักแน่นยิ่งกว่าเดิมและไม่หวั่นไหวไปกับแค่เพียงความใกล้ชิดหรือความหลงใหลที่หาความจริงใจไม่ได้
                “โปรแกรมต่อไปคืออะไรเหรอครับ” ชินจิถาม ดึงตัวเองออกจากความคิดไร้สาระด้วยการตักตวงความรู้และความสนุกสนานในวันนี้อย่างเต็มที่
                “ข้าวเที่ยงไง เออิจิโร่แนะนำปลาเทราท์ให้ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจะพานายไปกิน ไปกันเลยไหม หรือยังอยากจะชมสวนต่ออีกสักหน่อย”
                “ไปเลยก็ได้ครับ ผมเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ขนมเมื่อกี้เหมือนเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง” ชินจิพูด
                ทั้งสองคนออกจากร้านน้ำชาในอีกครู่ต่อมา ร้านอาหารที่ตั้งใจจะไปกินอยู่ถัดจากร้านน้ำชาไปไม่กี่หลัง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่คนแน่นตลอดเพราะเป็นร้านอาหารไม่กี่แห่งในหมู่บ้าน เอย์จิกับชินจิต้องรอคิวอยู่พักใหญ่จึงได้ที่นั่ง
                “ร้านนี้ถ้าสั่งปลาเทราท์ พ่อครัวจะไปจับมาให้สด ๆ เลย ด้านหลังถนนสายนี้มีบ่อน้ำไหลที่สร้างเพื่อเลี้ยงปลาเทราท์โดยเฉพาะ” เอย์จิอธิบายหลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว นอกจากปลา ทั้งสองคนสั่งโซบะเย็นโรยด้วยสาหร่ายคนละชุด
                ปลาเทราท์ย่างใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่อร่อยจริงอย่างที่เออิจิโร่โฆษณาชวนเชื่อไว้ หนังปลามีรสเค็มนิด ๆ เนื้อปลาสดหวาน และเลมอนหั่นซีกที่วางมาให้ด้วยในจานก็ช่วยชูรสเนื้อปลาให้ยิ่งโอชะมากขึ้น ชินจิคีบใส่ปากเพียงไม่กี่ครั้ง บนจานตรงหน้าเขาก็เหลือแค่ก้างปลาเท่านั้น ชายหนุ่มถอนหายใจน้อย ๆ ด้วยความเสียดาย
                 “เอาไว้ครั้งหน้าจะพามากินอีกนะ” เอย์จิให้สัญญา

                 ถึงจะออกจากร้านอาหารมาแล้ว แต่ชินจิก็ยังไม่ได้หยุดกินง่าย ๆ เพราะเจ้าของสถานที่ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ดูจะตั้งใจทำหน้าที่มากจนแทบจะเรียกได้ว่าเกินพอดีไปหน่อย เขาถูกฉุดไปยืนหน้าร้านขายเกาลัดคั่วและซอฟท์ครีม ตอนแรกเอย์จิจะซื้อทั้งสองอย่างให้เขาได้ชิม แต่เขาต่อรองจนเหลือแค่ซอฟท์ครีมรสเกาลัดสีเนื้ออ่อน ๆ ที่หวานอร่อยสมกับเป็นของหวานหลังอาหารที่ดีเยี่ยม
                 ทั้งสองคนนั่งละเลียดซอฟท์ครีมอยู่ด้วยกันบนม้านั่งหน้าร้าน คนท้องถิ่นที่เดินผ่านไปมาทักทายเอย์จิแทบจะทุกคน และน้อยมากที่จะทักถูกตั้งแต่แรก ต้องพูดกันสักคำสองคำนั่นแหละถึงค่อยตระหนักได้ว่าผิดคน แต่เอย์จิก็ไม่มีท่าทีถือสาตามที่เคยบอกไว้ ชายหนุ่มคิดว่ารุ่นพี่ของเขาคงชินแล้วจริง ๆ
                 ชินจิจับสังเกตอยู่เงียบ ๆ และหลายครั้งที่อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขามีฝาแฝดบ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไรนะ
                 หลังจากจบของหวานหลังอาหารกลางวัน เอย์จิพารุ่นน้องของเขาลัดเลาะจากถนนสายที่สองเข้าไปยังตรอกแคบ ๆ ที่คดเคี้ยว ชินจิพยายามถามว่าจะไปไหน แต่เอย์จิปิดปากสนิท แกล้งอมพะนำไว้จนกระทั่งเดินด้วยกันมาถึงร้านที่เป็นบ้านไม้แบบกัสโชซึคุริหลังหนึ่ง สภาพภายนอกออกจะดูทรุดโทรมผิดกับความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ภายใน
ชินจิเบิกตากว้างด้วยความทึ่งสุดขีด
                  ตรงหน้าของเขา ชายหนุ่มเห็นคันธนูและลูกธนูมากมายหลายแบบเท่าที่จะจินตนาการไปได้ถึง คันธนูไม้รูปเขาสัตว์มีตั้งแต่คันเล็กไปจนถึงสูงท่วมหัวกว่าสองเมตร ไม้ที่เป็นวัสดุหลักมีหลายสีทั้งสีน้ำตาล สีแดง สีเหลือง จากเฉดที่อ่อนที่สุดไปจนถึงเฉดที่เข้มจัดเหมือนปนสีดำลงไปด้วย สีที่ใช้จะตัดกับนิงิริหรือที่จับตรงคันธนูซึ่งจะทาด้วยสีขาว คันธนูส่วนใหญ่ขึ้นสายเรียบร้อย พร้อมจะนำไปใช้ได้ทันที
                  “บ้านนากามูระเป็นช่างทำธนู ธนูที่ใช้ในพิธีของศาลเจ้าหรือธนูล่าสัตว์ได้มาจากที่นี่ทั้งหมด”
                  ชินจิละสายตากลับมาฟังคำอธิบายของเอย์จิและมองเลยไปเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผู้ชายคนนี้หนวดเคราดกหนาปิดหน้าไปเกือบครึ่ง คิ้วก็หนาด้วย เป็นปื้นดำเหมือนโดนพู่กันปาด ดวงตาดุกระด้าง แต่เขาโค้งทักทายอย่างสุภาพเมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือน
                   “นากามูระซัง ขอบคุณมากนะครับสำหรับเนื้อกวางทั้งขาที่แบ่งไปให้เมื่อวันก่อน” เอย์จิพูด แล้วเมื่อรุ่นพี่ของเขาเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อน เจ้าของบ้านจึงเรียกชื่อได้ไม่ผิดคน
                   “กวางที่ได้มาตัวใหญ่มากครับท่านเอย์จิ เนื้อแบ่งกันได้เกือบหมดทั้งหมู่บ้าน”
                   “นากามูระซังเป็นพรานด้วยนะ ใช้ได้ทั้งธนูและมีใบอนุญาตให้ใช้ปืนล่าสัตว์ เป็นพรานอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านเรา” เอย์จิหันมาบอกเพิ่มเติมและถือโอกาสแนะนำรุ่นน้องของเขาไปเลยทีเดียว ชินจิก้มศีรษะทักอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะถามด้วยความสนใจว่า
                   “ธนูทั้งหมดนี่นากามูระซังทำเองหมดเลยเหรอครับ”
                   “ไม่ใช่หรอกครับ ช่างธนูตัวจริงคือพ่อของผม ผมเป็นผู้ช่วยเท่านั้น บางคันผมก็ทำเองบ้าง แต่ฝีมือยังห่างชั้นกับพ่ออีกไกล” เจ้าของบ้านตอบด้วยความถ่อมตัว ก่อนหันไปบอกเอย์จิเมื่อนึกขึ้นได้ว่า “ธนูของท่านเอย์จิที่ส่งมาให้ช่วยซ่อมเสร็จแล้วนะครับ นี่พ่อแกกำลังลงน้ำมันชักเงาให้อยู่ เดี๋ยวก็เสร็จ จะไปดูหน่อยไหมครับ”
                   “ไปสิ จะได้ไปทักทายคุณตานากามูระด้วย” เอจิย์ตอบตกลง แล้วหันไปบอกคนที่มาด้วยกันว่า “ฉันจะเข้าไปข้างในนะ นายรออยู่ที่นี่สักพักก็แล้วกัน”
                   “ตามสบายเลยนะครับชินจิซัง จะหยิบดูคันธนูหรือลูกธนูดอกไหนก็ได้ ถ้าชอบใจ ผมจะให้เป็นของที่ระลึก” นากามูระเสนอด้วยความมีน้ำใจ แต่ชินจิรีบส่ายหน้าพลางพูดด้วยความเกรงใจว่า
                   “ขอบคุณครับ แต่แค่ได้ดูก็พอแล้วครับ แค่ได้เห็นผลงานที่สวยและประณีตขนาดนี้ก็นับว่าผมโชคดีที่สุดแล้ว”
นากามูระยิ้มด้วยความถูกใจ คนเป็นช่างจะมีสิ่งใดอีกเล่าที่สุขใจเท่ากับคำชมของผู้ที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ ไม่มีอีกแล้ว
                   “งั้นเชิญชมเลยครับ” ชายกลางคนหนวดเคราหนาพูด แล้วออกเดินนำเอย์จิเข้าไปข้างในบ้าน คล้อยหลังทั้งคู่ ชินจิก็เริ่มสำรวจต่อ เมื่อสักครู่เขาดูคันธนูไปแล้ว ตอนนี้เขาก็เลยเดินดูด้านที่ตั้งลูกธนูบ้าง วัสดุหลักของลูกธนูคือไม้เหมือนกัน ทาน้ำมันชักเงาจนมันวับ ขนาดและความยาวก็แตกต่างกันไป หัวธนูทำจากโลหะมีทั้งแบบหัวทู่ หัวแหลม หัวแฉก ตามประเภทที่ใช้งาน
                    ชินจิแตะขนนกที่ติดปลายลูกธนูอย่างเบามือ พอมีความรู้อยู่บ้างว่าสามารถใช้ขนนกได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนห่าน หงส์ ไก่งวง นกอินทรี หรือแม้แต่ขนนกยูง แต่เขามองไม่ออกว่าขนนกหลากสีสันที่ติดอยู่ที่ปลายลูกธนูแต่ละดอกนั้นเป็นขนของนกหรือสัตว์ปีกชนิดใดบ้าง
                    ชายหนุ่มมองเลยเรื่อยไปถึงกระบอกใส่ลูกธนูและอุปกรณ์ประกอบคันธนูกับลูกธนูอย่างอื่นที่วางแยกอยู่เป็นส่วน ๆ ด้วยความสนใจ เขาเคยเดินสวนกับบรรดาสมาชิกชมรมยิงธนูของมหาวิทยาลัยอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยเลยที่จะได้เห็นสิ่งของเหล่านี้ใกล้ ๆ แบบนี้
                    “เจออันที่ถูกใจบ้างรึยัง”
                    ชินจิแทบสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงถามดังขึ้นข้างหู เอย์จิมายืนอยู่ข้างเขาเมื่อไร ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลย
                    “เอ้อ มันก็สวยหมดเลยครับ” ชินจิก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ และเมื่อถอยห่างออกมาก็เห็นรุ่นพี่ของเขาถนัดตาขึ้น เอย์จิสะพายกระบอกใส่ลูกธนูประดับขนนกสองสี สีดำส่วนบนและสีขาวส่วนล่าง ในมือของเขาถือยุมิบุคุโระสีกรมท่าซึ่งเป็นผ้าที่ใช้ห่อคันธนู เจ้าของบ้าน นากามูระซังที่ไว้หนวดเคราเดินตามมาข้างหลังพร้อมกับชายสูงอายุอีกคนหนึ่ง รอยย่นบนใบหน้าและผมหงอกขาวเต็มหัวบอกว่าอายุของเขาน่าจะไม่อ่อนแก่กว่าโอคินะซังมากนัก ชายชราคนนี้คงเป็นพ่อของนากามูระซัง เป็นช่างผู้ทำคันธนูและลูกธนูเหล่านี้
                    “อยากยิงธนูไหมพ่อหนุ่ม” ชายชราถาม
                    “ผมไม่เก่งกีฬาเลยครับ แต่ผมชอบธนูกับลูกธนูที่คุณตาทำนะครับ สวยมาก ๆ” ชินจิเรียกช่างทำธนูตามที่เอย์จิเรียก
                    “ไม่ลองดูจะรู้ได้ยังไง ถ้าอยากยิงธนูก็มาหาตานะ จะเลือกอันที่เหมาะ ๆ ให้”
                    “ขอบคุณมากครับ”
                    “แล้วนี่จะไปไหนกันต่อล่ะ หือม์” ตานากามูระถาม
                    “จะพาชินจิเข้าไปในภูเขาครับ ไปที่ทะเลสาบบิวะ” เอย์จิเป็นคนตอบ และคำตอบของเขาทำให้เจ้าของบ้านนากามูระทั้งสองคนมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที คนลูกผู้เป็นนายพรานพูดว่า
                    “นี่บ่ายแล้ว ถ้าท่านเอย์จิจะไป ผมไปด้วยดีกว่า เผื่อเกิดอะไรขึ้น”
                    “วันนี้อากาศดี ไม่น่าจะมีอะไร ผมไปเองได้” เอย์จิปฏิเสธ และไม่ยอมฟังคำทัดทานหรือขอร้องใด ๆ อีก ชายหนุ่มชูธนูขึ้นให้ดู บอกอีกว่า
                    “ผมมีนี่ไปด้วยแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
                    ชายหนุ่มแตะแขนรุ่นน้องที่ยืนฟังด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นสัญญาณบอกให้ไปกันได้แล้ว ชินจิจึงโค้งลา แต่ก่อนที่เขาจะเดินตามเอย์จิออกไปข้างนอกนั้น ผู้เฒ่านากามูระรั้งแขนชายหนุ่มไว้ก่อนพลางบอกว่า
                    “มีอะไรบางอย่างสิงสู่อยู่ในภูเขา” น้ำเสียงกับหน้าตาของชายชราจริงจัง มือเหี่ยวย่นบีบแขนจนชินจิรู้สึกเจ็บ
                    “ระวัง อย่าให้ถูกหมอกกลืนเข้าไปเป็นอันขาด”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 6 - 29-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 29-03-2016 21:16:54
ลึกลับจริงๆ ติดตามๆค่าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 6 - 29-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 00:24:31
บทที่ 7

        หลังออกมาจากบ้านของช่างธนูประจำหมู่บ้าน ชินจิไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขาเดินตามรุ่นพี่ไปเรื่อย ๆ ตามทางออกไปนอกหมู่บ้าน ทางที่นำเข้าไปในภูเขาซึ่งอยู่คนละด้านกับแม่น้ำชิมิซึเป็นทางดินเรียบที่เดินไม่ลำบากเลยเพราะตั้งใจให้ผู้คนใช้เป็นเส้นทางเดินป่าอยู่แล้ว และเมื่อเดินตามเส้นทางนี้ไปเรื่อย ๆ จะเจอทางแยกที่ขึ้นไปสู่จุดชมวิว เอย์จิชี้ให้รุ่นน้องของเขาดูพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า
        “ทางจะปิดในฤดูหนาวเวลาที่มีหิมะตกหนัก ๆ เพราะมันเสี่ยงกับการเกิดหิมะถล่ม”
        ชินจิมองตาม เขาเห็นเส้นทางคดเคี้ยวที่สองข้างเป็นป่าโปร่ง ใบไม้สีแดงหล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นเต็มไปหมด ส่วนอีกทางหนึ่งที่เอย์จิกำลังเดินนำหน้าไปเป็นทางดินเหมือนกัน แต่ป่าสองข้างทางดูจะทึบกว่า ต้นไม้แต่ละต้นสูงใหญ่ ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มไม่ต่างจากเปลวเพลิง
        “เดินไปตามทางนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะถึงทะเลสาบที่ชื่อทะเลสาบบิวะ คนที่นี่เรียกว่าทะเลสาบในหมอก เพราะบริเวณนั้นมักจะมีหมอกลงจัด บางคนไปถึงแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะสายหมอกบังหมด แต่วันนี้อากาศดี แดดออก นายอาจจะมีโอกาสได้เห็น ทะเลสาบบิวะเป็นที่ที่สวยงามมาก”
        “ผมเคยเห็นรูปในอินเทอร์เน็ตครับ”
        “ไม่สวยเท่าของจริงหรอก” เอย์จิมองรุ่นน้อง ก่อนถามขึ้นว่า
        “นายกลัวรึเปล่าที่จะต้องเข้าไปในภูเขา แต่ตราบใดที่เราไม่ไปไกลเกินกว่าทะเลสาบบิวะมันก็ไม่มีอะไร”
        “ก็กลัวเหมือนกันครับ” ชินจิยอมรับ ความรู้สึกนึกคิดของเขาคงออกมาทางสีหน้าหมด รุ่นพี่ถึงได้ตั้งคำถามได้เหมือนกับนั่งอยู่ในใจของเขาแบบนี้
        “ผมอ่านข่าวคนหายในภูเขา แล้วเมื่อกี้คุณตานากามูระก็ยังพูด...”
        ชายหนุ่มชะงัก ไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่
        “คุณตาแกว่ายังไงล่ะ”
        “เตือนให้ระวังหมอกครับ”
        “เป็นธรรมดา ถ้าหมอกจัดมากก็เสี่ยงที่จะหลงทางได้” เอย์จิพูดเสียงเรียบ “ถ้านายกลัว ไม่อยากไป เราก็กลับ”
        ชินจิหยุดคิด แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า ปฎิเสธว่า
        “ถ้าเป็นผมคนเดียวผมคงกลัว ไม่กล้าไป แต่นี่ผมอยู่กับเอย์จิซัง ผมไม่กลัวครับ ผมอยากเห็นทะเลสาบบิวะด้วยตาของผมเอง ผมจะระวังตัว เชื่อฟังรุ่นพี่ กรุณาพาผมไปที่นั่นด้วยนะครับ”
        “งั้นก็ตามมา ฉันอยากให้นายได้เห็นทะเลสาบนั่นจริง ๆ”
        พูดจบเอย์จิก็ออกเดินนำ ชินจิเดินตามไปติด ๆ เขาเชื่อตามที่ตัวเองพูด จะเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่เพียงว่าถ้าเขาอยู่กับเอย์จิก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกลัวหรือกังวลใจใด ๆ
   
        ป่าทึบมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินลึกเข้าไปในภูเขามิคามิ แต่ทุกก้าวที่เดิน ชินจิก็รู้สึกเช่นกันว่าป่าทวีความสวยงามมากขึ้นจนน่าพิศวง ใบไม้ที่ว่าเป็นสีแดงจัดแล้วก็ยังแดงขึ้นได้อีก ทั้งใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นและใบไม้จากต้นไม้สองข้างทางที่ชูยอดสูงเบียดเสียดกันจนแทบมองทะลุขึ้นไปเห็นท้องฟ้าเบื้องบนไม่ได้ แต่ละก้าวของชายหนุ่มให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังเดินลอดใต้อุโมงค์เพลิงที่กำลังลุกไหม้โชติช่วง
        ชินจิแหงนหน้ามองฟ้า หมุนตัวมองไปรอบ ๆ ด้วยความทึ่งแกมตื่นใจ และแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินช้าลง รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนที่เดินนำหน้าทิ้งห่างไปไกลจนมองไม่เห็นตัวเสียแล้ว เอย์จิเดินลับหายไปตามทางโค้ง แต่นั่นไม่ทำให้ชินจิรู้สึกตกใจมากเท่ากับอะไรบางอย่างที่เจอเข้าอย่างกะทันหัน
        สุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นยืนอยู่ข้างต้นโมมิจิต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ขนของมันเป็นสีขาวสะอาดราวกับหิมะที่เพิ่งตกใหม่ และมันอยู่ใกล้มากชนิดที่สามารถกระโจนถึงตัวเขาได้ในคราวเดียว
        ชินจิตะลึงมอง เช่นเดียวกับสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่กำลังจ้องเขาเขม็ง
        น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวจิ้งจอกขาวตัวนี้มากเท่าที่คิด อาจจะเพราะว่ามันเป็นสัตว์ที่สวยงามเป็นอย่างยิ่งก็ได้ มันสวยยิ่งกว่าสัตว์ป่าที่เคยเห็นในสวนสัตว์ชนิดเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
        “ชินจิ!”
        เสียงของเอย์จิเรียกหาเขาดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ยังไม่โผล่มาให้เห็นตัว ชายหนุ่มสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ในทันที และเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปเลย
        ชินจิโบกมือไล่สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวนั้น บอกมันว่า
        “รีบหนีไป เร็วเข้า เอย์จิซังกำลังจะมาแล้ว ถ้าเห็นแกเข้า เอย์จิซังอาจจะยิงแกก็ได้ เขามีธนู”
        “ชินจิ!” เสียงเรียกดังใกล้เข้ามา
        “ไปเร็ว หนีไปเดี๋ยวนี้”
        สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่มองชินจินิ่งอยู่แวบหนึ่งก็หันหลัง กระโจนแผล็วหายลับไปในพริบตาพร้อม ๆ กับที่ร่างสูงใหญ่ของเอย์จิเดินแกมวิ่งมาหา สีหน้าของเขาร้อนรนด้วยความตกใจ
        “ชินจิ อยู่นี่เอง” ชายหนุ่มอุทานด้วยความโล่งอก “ฉันนึกว่านายหายไปไหนซะอีก”
        “ขอโทษครับ ผมหยุดดูใบไม้นานไปหน่อย คือมันสวยจนอดใจไม่ไหวเลยน่ะครับ” ชินจิรีบแก้ตัวเพราะเมื่อรุ่นพี่เห็นว่าเขาปลอดภัยดี ความโล่งอกก็ดูจะเปลี่ยนเป็นความโกรธ หน้าที่ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้วของเอย์จิกลายเป็นถมึงทึง
        “คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม!”
        ชินจิคอย่นเมื่อโดนเอ็ด ก้มหน้ายอมรับความผิดแต่โดยดี
        “ผมขอโทษครับ ต่อไปผมจะระวังให้มากกว่านี้”
        “ช่างเถอะ” ความโกรธของเอย์จิหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากเห็นท่าทางสำนึกผิดของอีกฝ่าย เขาคว้ามือชินจิมาจูง บอกว่า
             “ไปกันต่อได้แล้ว”
             แต่ชินจิไม่ยอมเดิน น้ำเสียงของชายหนุ่มรุ่นน้องอึกอักและท่าทางก็ดูขัดเขิน
             “เอ้อ... ปล่อยมือเถอะครับ ผม... ผมเดินเองดีกว่า”
             “ไม่ได้” เอย์สวนทันควัน หน้าตึง “ถ้านายคลาดสายตาไปอีก ฉันจะทำยังไง ถ้าไม่อยากให้จูงก็กลับ ฉันไม่เสี่ยงกับการให้นายหายไปจากฉันอีกแน่”
             ชินจิจึงปิดปากเงียบ ยอมให้รุ่นพี่จับมือจูงเดินไปแต่โดยดี ขณะเดียวกันก็ภาวนาในใจด้วยว่า อย่าให้ตัวเองหน้าแดงนักเลย
             เขาไม่น่าเริ่มคิดอะไรเหลวไหลก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ พอมาถึงตอนนี้ มันก็ชักยากเกินไปแล้วที่จะหยุดคิด เขานี่มันแย่จริง ๆ เอย์จิคือรุ่นพี่ของเขานะ
             ชายหนุ่มย้ำกับตัวเองซ้ำ ๆ
             ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาเดินโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยนับจากนั้น และนั่นช่วยชินจิได้มากเพราะทำให้เขามีเวลาระงับจิตระงับใจและสงบสติอารมณ์จนสามารถเดินเฉย ๆ ให้เอย์จิจูงมือได้โดยไม่คิดอะไรมากอีก
             ในที่สุด หลังจากเดินกันมาร่วมชั่วโมง ทั้งคู่ก็บรรลุถึงเป้าหมาย
             ชินจิอ้าปากค้างกับความงามที่เห็นตรงหน้า
             “นายโชคดี ชินจิ วันนี้ไม่มีหมอกเลยแม้แต่นิดเดียว ปกติเราจะไม่ได้เห็นชัดขนาดนี้หรอก” เสียงเอย์จิดังขึ้น แต่ชินจิแทบไม่ได้ยินอะไร เพียงแค่รู้สึกว่ามือใหญ่ที่จับมือเขาอยู่คลายออก ปล่อยให้เขาเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวด้วยท่าทางอย่างคนลืมตัว
              “ทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบในสายหมอก” ชินจิพึมพำกับตัวเองเหมือนกำลังละเมอ เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นสิ่งที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน
              ขนาดของทะเลสาบไม่ใหญ่มากนัก ดูแล้วเหมือนกับบึงน้ำขนาดใหญ่มากกว่า น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าสดแปลกตาและนิ่งสนิทราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุข ในน้ำบริเวณริมตลิ่ง มีต้นไม้ต้นเรียวสูงที่มีเพียงแค่กิ่งก้านสีเทาโล้น ๆ ยืนต้นเรียงรายล้อมรอบตลอดแนวทะเลสาบประดุจเป็นรั้วกั้นอาณาเขต สีของต้นไม้ตัดกับสีแดงเพลิงเจิดจ้าของทิวไม้เบื้องหลัง ในจำนวนต้นไม้ทั้งหมดมีต้นหนึ่งที่สูงเด่นเหนือกว่าทุกต้นและสีเป็นสีเทาเข้มแตกต่างจากต้นอื่น ๆ
              เอย์จิเดินขึ้นมายืนเคียงข้างรุ่นน้องของเขา
              “ผู้คนเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่นี่เป็นทะเลสาบของมังกร มีมังกรหลับใหลอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้” ชายหนุ่มเล่า
              “มังกรผู้มีอำนาจควบคุมน้ำ เมฆ หมอกและสายฝนได้ดั่งใจ เป็นมังกรผู้ครอบครองลูกแก้วมันจุ ลูกแก้ววิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์พัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง”
              ชินจิยืนนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เสียงของคนข้างตัวเล่าต่อว่า
              “อิทธิฤทธิ์ของลูกแก้วมันจุประกอบกับอำนาจที่มีอยู่เดิมทำให้มังกรตัวนั้นมีพลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้ใดจะเทียบเคียงได้ ยกเว้นก็แต่มังกรอีกตัวที่เป็นพี่น้องกับมังกรตัวนั้น มังกรผู้น้องเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายมีพลังอำนาจมากเกินไปและแสดงอิทธิฤทธิ์สร้างความเดือดร้อนจนทำให้เกิดพิพาทกับมนุษย์ มังกรผู้น้องจึงร่วมมือกับมนุษย์ใช้อำนาจของลูกแก้วมันจุสะกดผู้เป็นพี่ชายให้หลับใหลตลอดกาลอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ ฝ่ายมังกรสละลูกแก้ววิเศษในขณะที่ฝ่ายมนุษย์สละร่างเพื่อสร้างเขตแดนคุ้มกันไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามา และต้นไม้ในน้ำพวกนี้ก็คือผลจากการสร้างเขตแดนนั้น”
               “หมายความว่าลูกแก้วมันจุอยู่ที่นี่หรือครับ” ชินจิถาม
               “ว่ากันว่าอย่างนั้น ลูกแก้วมันจุเป็นลูกแก้วสีฟ้า เมื่อลูกแก้วอยู่ที่นี่ น้ำในทะเลสาบจึงมีสีเดียวกัน ก็คือสีฟ้าสดอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้ และจุดที่ลูกแก้วอยู่ก็คือจุดตรงที่มีต้นไม้สีเข้มที่สุดและสูงที่สุดยืนต้นเป็นสัญลักษณ์อยู่นั่นแหละ ตรงนั้นถือเป็นศูนย์กลางของอาณาเขต เขาเล่ากันด้วยว่าถ้าต้นไม้ต้นนี้ถูกทำลายลง มังกรจะตื่นขึ้น ลูกแก้วมันจุจะสำแดงพลังอีกครั้ง ฝ่ายมนุษย์จึงได้เป็นผู้เก็บรักษาลูกแก้วคันจุ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มังกรตื่นขึ้นมาก็มีเพียงแค่ลูกแก้วคันจุเท่านั้นที่จะทานอิทธิฤทธิ์ของลูกแก้วมันจุได้”
               “แต่คุณบอกว่าลูกแก้วคันจุถูกขโมยไปแล้วนี่ครับ”
               “ใช่ และทุกคนก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเลย”
               ชินจิฟังแล้วนิ่วหน้า เขาฟังเรื่องที่เอย์จิเล่าในฐานะที่เป็นนิทานหรือตำนาน แต่เรื่องมันก็ฟังดูจริงจังมากจนน่าสงสัยว่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องมังกร ลูกแก้ววิเศษ เขตแดนที่สร้างด้วยชีวิตของมนุษย์ก็ฟังดูเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องจริงไปได้
               เอย์จิที่จับสังเกตมาตลอด เห็นสีหน้าปั้นยากของชินจิแล้วก็อดใจไม่อยู่ หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้รุ่นน้องหันขวับมามองทันทีด้วยความฉงน
               “นิทานสนุกไหม ฉันคงไม่ได้เป็นนักเล่าที่น่าเบื่อหรอกนะ” เอย์จิพูดกลั้วหัวเราะ
               “อ้าว ตกลงนี่หลอกผมให้ฟังอยู่ตั้งนานหรือครับ ผมกำลังจะเชื่ออยู่แล้วด้วยนะ!” ชินจิโวยทันที
               “ก็ฟังเป็นนิทานไปก่อน เรื่องบางเรื่อง แค่คำบอกเล่า เรายังไม่สามารถปักใจเชื่อได้ทันทีไม่ใช่เหรอว่าเป็นเรื่องจริง ต้องรอให้เห็นกับตาตัวเองเสียก่อนสิ แล้วค่อยตัดสินใจ” เอย์จิสอน แต่ชินจิเคืองจนไม่สนใจแล้ว ชายหนุ่มหันหลังให้รุ่นพี่อย่างจงใจและพยายามจะเดินเข้าไปให้ใกล้ทะเลสาบที่สุดโดยมีเสียงของเอย์จิร้องไล่หลัง
               “เอ้า จะไปไหน รอกันด้วยสิชินจิ เฮ้!”
               ชินจิเมินเสียงเรียกนั้นโดยสิ้นเชิง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 6 - 29-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 00:39:01
               เข้าไปใกล้ไม่ได้... เข้าไปใกล้ไม่ได้
               สายหมอกจาง ๆ โรยตัวลงมาจากด้านบน มันเลื่อนลอยเข้าไปใกล้จากทุกทิศทาง พยายามกินแดนเข้าไปเรื่อย ๆ มันสามารถเคลื่อนคลุมไปทั่วทั้งบริเวณทะเลสาบ กลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไปภายในความว่างเปล่าสีขาวขุ่นที่ไร้ตัวตน แต่วันนี้มันกลับต้องหยุดชะงักเพียงแค่เขตแดนรอบนอก
               อะไรบางอย่าง... อะไรบางอย่างกางกั้นสายหมอกเอาไว้
               ผู้ชายสองคนยืนอยู่ด้วยกันที่ริมทะเลสาบ ท้องน้ำสีฟ้าสดสงบนิ่ง ทัศนวิสัยกระจ่างชัดเจน
               ทำไมนะ... ทำไมกัน
               หมอกขาวเริ่มทวีตัวหนาแน่นขึ้น เคลื่อนกระจายไปรอบทิศทางทำให้บรรยากาศหนักข้นขึ้นเรื่อย ๆ
               ชินจิสะกิดเรียกรุ่นพี่ของเขา
               “เอย์จิซัง รู้สึกเหมือนผมรึเปล่า ทำไมผมรู้สึกอึดอัดแบบแปลก ๆ หายใจไม่ค่อยสะดวก อากาศก็ดูจะหนาวขึ้นด้วยนะครับ”
               เหงื่อซึมออกมาตามไรผมของเอย์จิ เขารู้สึกอย่างเดียวกันโดยที่รุ่นน้องไม่จำเป็นต้องบอก ท่าทางของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นระแวดระวังทันที มือกระชับคันธนูแน่น สายตาสอดส่ายไปมารอบตัว
               อากาศยังดีอยู่ แต่เขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้นแล้ว
               “กลับเถอะ ชินจิ ยังต้องเดินอีกไกล เราต้องกลับถึงบ้านก่อนฟ้าจะมืด” ชายหนุ่มตัดสินใจและใช้มือข้างที่ว่างคว้ามือรุ่นน้องจูงให้เดินตาม คราวนี้ชินจิไม่มีใจจะมามัวขัดเขินหรือพยายามคัดค้านอะไรอีก เขากระชับมือรุ่นพี่แน่น รีบก้าวขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปให้พ้นจากบริเวณนี้
               หมอกขาวเคลื่อนเข้ายึดอาณาเขตทันทีที่มนุษย์สองคนก้าวพ้นเขตแดนที่มันมีพลังควบคุมอยู่ มันโรยตัวคลุมทะเลสาบสีฟ้าได้แต่ไม่มีสิทธิ์ไปไกลเกินกว่านั้นในทิศทางที่นำไปสู่คันโจโคเอน หมู่บ้านอันเป็นเสมือนปราการหน้าด่านของมนุษย์
               ฟ้ามืดลง หมอกก็ยิ่งกระจายตัวเคลื่อนคล้อยลอยละล่องไปทั่วทั้งภูเขา ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป หมอกสีขาวเหมือนผ้าห่มบางเบาสีมัว ๆ คลี่คลุมเขตแดนรอบนอกของสถานที่หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางขุนเขา จากนั้นหมอกจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีเข้มขึ้นเป็นสีของดอกไลแลค สีม่วงจาง ๆ เฉดที่ใกล้เคียงกับสีขาวที่สุด
               หมอกสีม่วงจาง ๆ ลอยวนอยู่รอบสถานที่ที่ว่าเท่านั้น มันเป็นสัญลักษณ์แสดงเขตแดนของ “ฮะคุริว”
               ฮะคุริว ปราสาทสีขาวใจกลางภูเขามิคามิ เป็นศูนย์กลางของดินแดนที่มนุษย์ไม่อาจล่วงล้ำ
               ดินแดนของมังกร อสูรและภูตพราย
               หมอกสีขาวรวมตัวกันจนเห็นเป็นรูปร่างของชายกลางคนร่างสูงผอม ผิวสีขาวซีด ผมสีดำหยิกฟูยาวถึงกึ่งกลางหลัง เปลือกตาทาสีเทาเข้ม รูปตาเรียว ไว้หนวดและเคราบาง ๆ ใบหน้าดูเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย เขาสวมเสื้อผ้าโปร่งแขนยาวสีเทาอ่อนลวดลายคล้ายใบไม้ เสื้อข้างในเป็นสีดำมันเลื่อม ๆ ใส่กางเกงหนังลายเกล็ดงูสีดำฟิตแนบขาผอมเรียวกับรองเท้าบู๊ตหนังสีดำขนาดครึ่งแข้ง
               เขาประจันหน้ากับหมอกสีม่วงจางที่ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นชายหนุ่มรูปร่างเพรียวและผอมจนแทบจะเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าเรียวยาว โหนกแก้มขึ้นชัด แก้มตอบ คิ้วกันได้รูป เขียนขอบตาสีดำทำให้เห็นดวงตาเด่นที่สุดบนใบหน้า ผมสีดำยาวประบ่าปัดให้เทไปทางด้านซ้าย ปอยผมแต่ละปอยจับให้ชี้ตั้งได้ทรง ผมด้านขวาบางปอยเป็นสีม่วงเข้มและมีขนนกลายขาวดำติดแทรกอยู่ด้วย ชายหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กระดุมด้านหน้าแบะออกเผยให้เห็นแผ่นอกแบนเรียบและอัญมณีเม็ดเดี่ยวสีม่วงที่สวมอยู่ที่คอ ท่อนล่างเป็นกางเกงหนังสีดำแนบเรียวขากับบู๊ตขนาดครึ่งแข้งสีเดียวกัน เล็บมือทาสีดำสนิท
               “ท่านมาซาคาโดะ” ชายหนุ่มผู้ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นฝ่ายคำนับและทักทายก่อนเนื่องจากอ่อนวัยกว่า แต่คิ้วขมวดมุ่น ตาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นอาการซวนเซของฝ่ายผู้อาวุโสกว่า
               “ท่านดื่มมาอีกแล้วใช่ไหม ครั้งนี้ออกจะมากไปหน่อยนะ”
               “อย่าบ่นข้านักเลยน่ะมุราซากิ สุราเลิศรสเป็นสิ่งวิเศษยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ท่านมิโคโตะยังไม่ว่ากล่าวข้าเรื่องนี้เลยสักนิด” ชายกลางคนหรือแท้จริงคืออสูรผู้ทำให้คนหลงทางในภูเขา ผู้พิทักษ์เขตแดนรอบนอกสุด โบกมือใส่อสูรสายหมอกผู้ทำหน้าที่พิทักษ์เขตแดนด้านในและรอบปราสาทฮะคุริวด้วยท่าทางรำคาญ ปกติอสูรสายหมอกเป็นผู้ที่สุภาพ ออกจะขี้อายและไม่ค่อยพูด เว้นแต่เรื่องสุราเท่านั้นที่อสูรพูดน้อยจะกลายเป็นอสูรขี้บ่นไปในทันที มาซาคาโดะแจ้งว่า
               “ข้าขอพบท่านมิโคโตะ มีเรื่องจะรายงาน เจ้าก็ควรเข้าไปกับข้าด้วย”
               มุราซากิก้มศีรษะรับและเดินนำอสูรผู้มีอายุมากกว่าเข้าไปภายในเขตแดนของตน
               ปราสาทสีขาวค่อย ๆ แลเห็นชัดเจนขึ้นภายในสายหมอกสีม่วงจาง ฮะคุริวเป็นปราสาทสองชั้นทรงยาว กำแพงสีขาว ส่วนล่างเป็นลายอิฐสี่เหลี่ยมสีเทา ฐานกำแพงส่วนล่างสุดและฐานตัวปราสาทเป็นหินกลมก้อนใหญ่สีเข้มซ้อนกันสูงเป็นเนินหินที่แข็งแกร่งแน่นหนา ล้อมรอบด้วยโซโตโบริหรือคูน้ำชั้นนอกสุดอีกทีหนึ่ง ทางเข้าเป็นหอสูงเรียกว่าประตูอาโอโซระ นำไปสู่ซันโนะมะรุหรือปีกที่สามซึ่งเป็นส่วนด้านนอกสุดและอุจิโบริหรือคูน้ำชั้นในที่ล้อมรอบนิโนะมะรุหรือปีกที่สอง กับฮมมะรุหรือปีกในซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนในสุดและสำคัญที่สุดเพราะเป็นที่อาศัยของเจ้าของปราสาท
               มิโคโตะ เจ้าของปราสาทฮะคุริว หัวใจแห่งขุนเขา เจ้าแห่งอสูรและภูตพรายทั้งมวลในภูเขามิคามิ
               มุราซากินำมาซาคาโดะผ่านประตูอาโอโซระข้ามสะพานและทางเดินเชื่อมส่วนต่าง ๆ รวมทั้งสวนของปราสาทเข้าสู่หอคอยอามาอิภายในเขตฮมมะรุ เสียงดนตรีที่ดังให้ได้ยินตั้งแต่เข้าอาณาเขตของฮะคุริวยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใกล้หอคอยซึ่งมิโคโตะครอบครองอยู่
               ราชันแห่งภูเขาหลงใหลเสียงดนตรี
               เสียงดนตรีและเสียงเพลงจากฮะคุริวขับกล่อมภูเขามิคามิทั้งทิวาและราตรี บางคราวเสียงดนตรีจะลอยไปถึงเขตแดนของมนุษย์ แทรกประสานไปกับเสียงใบไม้ไหวกระทบกันและเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่าน
               อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนทั้งสองตนหยุดนิ่งอย่างสำรวมอยู่หน้าประตูบานเลื่อนสีขาวนวลเขียนลายต้นสนและนกกระเรียนสีทอง ครู่ต่อมา ประตูก็เลื่อนเปิดออกเองอย่างช้า ๆ
               มาซาคาโดะและมุราซากิโค้งคำนับด้วยความเคารพสูงสุด
               เสียงดีดชามิเซ็งเป็นจังหวะราวกับเสียงเหยาะย่างอย่างสง่างามของกวางตัวผู้ในฤดูใบไม้ร่วงหยุดลงในเวลาเดียวกับที่อสูรทั้งสองเงยหน้าขึ้น
               ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ของหอคอยอามาอิ อสูรทั้งหลายอยู่กันพร้อมหน้า แต่สายตาของทั้งสองตนถูกดึงดูดให้จ้องจับอยู่เฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังห้องบนยกพื้นสูงหน้าภาพวาดสูงจรดเพดาน ในภาพมีมังกรสองตัว ตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวหนึ่งสีแดง ต่างกำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มีลูกแก้วสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับลอยอยู่
               ผู้ที่อยู่บนยกพื้นสูงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนกองหมอนนุ่ม ๆ ร่างนั้นสะโอดสะองแต่ไม่แบบบาง เสื้อคลุมแขนยาวสีขาวลายลูกไม้ถักละเอียดปักแทรกด้วยไข่มุกเม็ดเล็กสีนวลเปิดให้เห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง กางเกงหนังสีดำมันวาวแนบติดกับท่อนขาเรียวยาว สวมรองเท้าบู๊ตหนังสีเดียวกันยาวเกือบถึงเข่า รูปร่างงามเช่นเดียวกับใบหน้าที่ถึงแม้ตอนนี้จะเรียบเฉย ดวงตาเรียวแต่งแต้มด้วยสีดำให้เห็นรูปตาชัด จมูกโด่ง ริมฝีปากบางทาสีแดงคล้ำ ผมหยักศกยาวสลวยเป็นสีทองและผิวขาวจัดจนเหมือนกับจะส่องแสงได้
               ผู้นี้คือมิโคโตะ มังกรขาวผู้มีความงดงามโดดเด่นเหนืออสูรและภูตพรายทั้งปวง
               “เข้ามาสิ” เจ้าแห่งขุนเขาเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล
               เมื่อได้รับอนุญาต มาซาคาโดะและมุราซากิจึงเดินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าและโค้งคำนับจนศีรษะจรดพื้นอีกครั้ง
               “เจ้าทั้งสองมาพร้อมหน้ากันเช่นนี้คงมีอะไรพิเศษมาบอกข้าใช่หรือไม่”
               “ขอรับ” มาซาคาโดะเป็นผู้รายงาน น้ำเสียงของเขาอ้อแอ้เล็กน้อยเพราะฤทธิ์สุรา แต่ก็เป็นตามที่เจ้าตัวบอก มิโคโตะไม่เคยว่ากล่าวอะไร ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ราชันของเขายังวางหน้าเฉย รอให้เขาพูดต่อ
               “เมื่อสักครู่นี้มีมนุษย์สองคนเข้ามาถึงบริเวณรอบนอกของทะเลสาบบิวะ แต่ไม่ได้ข้ามมายังเขตแดนของเรา...”
               มาซาคาโดะยังไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า
               “อะไรกัน เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องมาขัดความสำราญของท่านมิโคโตะและดนตรีของข้าทีเดียวหรือ” น้ำเสียงนั้นแสดงความรำคาญเต็มที่ มาซาคาโดะหันไปมองผู้พูดที่นั่งอยู่บนแท่นทางด้านข้างซึ่งเปรียบเสมือนเวทีภายในห้อง อสูรผู้นั้นอยู่ในร่างของชายหนุ่มร่างสูง สวมเสื้อคลุมตัวยาวถึงหน้าขา กางเกงขายาวและรองเท้าหนังหุ้มส้น เครื่องแต่งกายทั้งหมดเป็นสีดำ รวมทั้งผ้าพันคอผืนบางที่พันรอบคอทับสร้อยสีเงินสองเส้นความยาวไม่เท่ากัน สร้อยเส้นในเป็นเส้นสั้นห้อยจี้เพชรเล็ก ๆ เส้นนอกยาวกว่าห้อยจี้นิลเม็ดเดี่ยวขนาดใหญ่กว่าเพชรประมาณเท่าตัว ใบหน้าของเขาเชิดขึ้น ท่าทางเย่อหยิ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าแสกกลาง ปลายผมทั้งสองข้างถูกดัดให้งอนออกพองาม เขาเป็นหนึ่งในสองของอสูรผู้ที่เล่นชามิเซ็ง
               “อิบุกิ” มาซาคาโดะเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงและหน้าตาเฉยเมยตามนิสัย เขาไม่ขัดเคืองแม้ว่าจะถูกอสูรอสรพิษผู้เปรียบเหมือนคนสนิทของมิโคโตะเหน็บเอาเช่นนั้น เพียงแต่ตอบกลับไปเรียบ ๆ ว่า
               “ข้ายังรายงานไม่จบ”
               แม้ว่าผู้พูดไม่มีเจตนาจะกวนอารมณ์อิบุกิ แต่คำพูดของเขากลายเป็นเครื่องมือให้อสูรอีกตนภายในห้องที่นั่งอยู่ฟากตรงข้ามเวทีฉวยเอาไปใช้เป็นโอกาสให้ได้หัวเราะเยาะยั่วทันที
               “หัวเราะอะไรของเจ้า วาคานะ” อิบุกิถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ
               “ก็หัวเราะท่านมาซาคาโดะอย่างไรล่ะ  รีบร้อนพูด ไม่ดูตาม้าตาเรือ” อสูรตนนั้นลอยหน้าลอยตาตอบ วาคานะเป็นอสูรซาโตริผู้มีอำนาจในการอ่านใจผู้คน รูปร่างสูงและมีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ผิวขาวผ่อง ใส่กิโมโนลายขวางสีดำสลับขาวยาวเหนือข้อเท้าขึ้นมาเล็กน้อย ชายผ้าแหวกให้เห็นรองเท้าบู๊ตสีดำสูงถึงหัวเข่า คาดโอบิสีแดงสดทิ้งชายยาวลากพื้น ผมของเขาสีดำไว้ยาวประบ่า คิ้วกันบางโค้งได้รูป สิ่งที่เด่นที่สุดบนใบหน้าคือดวงตาเหมือนลูกแก้วสีเขียวอมฟ้า แต่ได้เห็นดวงตาแสนสวยนี้เพียงข้างเดียว อีกข้างถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าคาดตาสีดำ ใบหน้าแต้มสีชมพูบาง ๆ บนริมฝีปากและพวงแก้ม
               น้ำเสียงของวาคานะไพเราะสมกับที่เป็นผู้มีความสามารถในการขับร้อง แต่เสียงที่เขาเปล่งออกมาในตอนนี้บาดหูอิบุกิมากจนอสูรอสรพิษผู้มีใบหน้าเชิดหยิ่งแทบอยากจะขว้างเครื่องดนตรีในมือใส่หน้า แต่เขาก็ไม่อาจทำได้เพราะอสูรที่นั่งข้าง ๆ ดูจะเดาความปรารถนาของเขาออก
               คาเสะฮายะผู้ที่เล่นชามิเซ็งคู่กับเขาเป็นคาไมทะจิ อสูรผู้มีความเร็วดุจลมพัด เขาอยู่ในร่างของชายหนุ่มผมสั้นสีบลอนด์จางเกือบขาว ดวงตาสีแดงก่ำ เหนือคิ้วด้านขวาเจาะใส่ลูกปัดเล็ก ๆ สีเงิน หูข้างซ้ายเจาะใส่ลูกปัดสีเดียวกันตั้งแต่ที่ติ่งหูยาวไปตลอดแนวใบหู คาดผ้าปิดปากสีดำ รูปร่างไม่สูงมาก ใส่กิโมโนยาวสีขาวล้วน เผยให้เห็นรอยสักที่ต้นคอด้านซ้าย อสูรสายลมเอื้อมมือที่ทาเล็บสีดำสนิทมารั้งแขนเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไม่พูดอะไรตามนิสัย แต่พยักพเยิดไปยังร่างที่นั่งอยู่บนแท่นสูง
                มิโคโตะที่เคยวางหน้าเฉยขมวดคิ้วนิด ๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้อสูรทั้งหลายในห้องรับรู้แล้วว่าราชันของพวกตนกำลังรำคาญใจ
                วาคานะหุบปากเงียบและอิบุกิสะบัดแขนออก หน้าเชิดขึ้นสูง
                “พูดต่อไปซิ มาซาคาโดะ” มิโคโตะเอ่ยขึ้น
                “หนึ่งในสองเป็นบุตรชายของท่านนักปัดรังควานแห่งศาลเจ้าอินาริ ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
                “เจ้าเด็กพูดมากนั่นน่ะหรือ” คราวนี้มิโคโตะแสดงสีหน้ารำคาญให้เห็นอย่างชัดเจน
                “ไม่ใช่ขอรับ เป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งที่ถูกส่งไปอยู่แดนไกล แต่ที่น่าแปลกคือ ข้าเข้าใกล้ทั้งสองคนไม่ได้ เหมือนมีอะไรบางอย่างผลักดันข้าออกมา ไม่ให้หมอกของข้าคลี่คลุมทั่วทะเลสาบเหมือนเช่นที่เคย”
                “บุตรชายคนนั้นของท่านนักปัดรังควานไม่มีพลังเวทใด ๆ ไม่ใช่หรือถึงได้ถูกส่งตัวออกไปเพราะไร้ความสามารถและไม่ใช่ผู้สืบทอด มนุษย์ผู้นั้นจะต้านพลังของท่านได้อย่างไร แค่เครื่องรางที่ติดตัวอยู่กันได้ก็แค่พวกภูตพรายชั้นต่ำเท่านั้น” อิบุกิถามด้วยความสงสัย
                “ข้าไม่รู้” มาซาคาโดะตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นเดิม
                “น่าแปลกทีเดียวอย่างที่ว่า” มิโคโตะมีสีหน้าครุ่นคิด แต่แล้วก็ปัดความคิดอันนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ช่างเถอะ ตราบใดที่ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของเราเข้ามาก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องใส่ใจ”
                เมื่อผู้นำแห่งขุนเขาตัดสินใจเช่นนั้น อสูรทั้งหมดก็เลิกสนใจเช่นกัน อิบุกิกับคาเสะฮายะเริ่มบรรเลงชามิเซ็งต่อขณะที่อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนทั้งสองสลายตัวเป็นสายหมอกลอยหายออกไป
                แต่ดนตรีบรรเลงได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง
                ประตูบานเลื่อนสีขาวนวลถูกเลื่อนเปิดออกโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากผู้ใด สายตาของอสูรในห้องโถงใหญ่หันไปมองพร้อมกัน แล้ววาคานะก็เป็นผู้ออกปากตำหนิเป็นคนแรก
                “ไม่รู้จักมารยาทหรืออย่างไร อาคางิ”
                นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้าจ้องเขม็งไปยังผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลาง เจ้าของชื่อคืออสูรร่างสูงคมสัน ผมสีแดงจ้าไถด้านข้างเกรียนเหลือด้านบนยาวปัดเทไปทางซ้าย ผิวขาวจนเป็นซีด บนใบหน้าไร้สีสันใด ๆ แต่งแต้ม รูปตาเฉียง ริมฝีปากหยักได้รูปสวยเท่านั้นที่ปรากฏสีแดงระเรื่อ ใต้ตาซ้ายมีปานสีดำเป็นรูปดาว หูขวาเจาะใส่ต่างหูยาว ตรงปลายเป็นทับทิมสีแดงน้ำดีเม็ดค่อนข้างใหญ่ อาคางิสวมเสื้อผ้าต่างกับอสูรที่อยู่ในห้องโถง เขาใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนสีดำ คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาล รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ ข้อมือสองข้างคาดผ้ายืดลายทางสีขาวสลับชมพูเข้ากับผ้าพันคอผืนใหญ่ที่พันรอบคอจนหนา
                อาคางิเพียงยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ยี่หระ แต่ผู้ที่ออกตัวให้แทนคืออสูรที่ยืนอยู่ทางด้านขวา เป็นอสูรร่างสูงทัดเทียมกัน ผมสีบลอนด์จางเกือบขาวตัดสั้นเป็นพุ่ม ผมด้านหน้าปัดไปข้างหนึ่ง ใบหน้าของเขาไร้สีสันเช่นเดียวกัน สวมแว่นตากรอบสีดำ หูทั้งสองข้างเจาะใส่อัญมณีรูปกลมสีดำ แบบเดียวกับสร้อยเส้นยาวที่สวมอยู่ที่คอ อสูรหนุ่มใส่สีดำทั้งชุด ขนสัตว์สีน้ำตาลอ่อนฟูหนาที่ติดอยู่ที่หมวกฮู้ดของเสื้อโค้ทเห็นเด่นสะดุดตา
                “ท่านมิโคโตะยังไม่พูดอะไรเลย ท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาตำหนิท่านอาคางิ” เจ้าของชื่อไทมะซึมะรุพูด ขณะที่พูดนั้น ทั้งดวงตาและท่อนแขนทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงจ้าเหมือนเปลวคบเพลิง
                “มันจะมากไปแล้วนะ เจ้าอสูรเกิดใหม่ อย่าโอหังมากนัก”
                วาคานะขยับตัวพร้อม ๆ กับอสูรอีกตนที่ยืนขนาบอยู่ทางด้านซ้ายของอาคางิก้าวออกมาขวางหน้า
                “หยุด! วาคานะ!” เสียงของมิโคโตะคือประกาศิต วาคานะหยุดทันทีและกลับสู่ที่ของตน
                “เจ้าก็ถอยไป อาราชิ” อาคางิออกคำสั่ง อสูรเจ้าของชื่อถอยกลับไปยืนทางด้านซ้ายเช่นเดิมโดยไม่พูดอะไร อาราชิเป็นอสูรหนุ่มใส่สูทสีเทาเข้มตัดพอดีตัวทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสีดำตัดเป็นรองทรงสั้น ใบหน้าไร้การแต่งแต้มสีสันเช่นเดียวกัน ตรงมุมปากทั้งสองข้างมีลักยิ้ม เขาเป็นอสูรที่หน้าตาคมสัน แต่เงียบขรึมไม่มีคำพูด
                “มาหาข้ามีธุระอะไร” มิโคโตะเอ่ยถามเสียงเรียบ
                “ข้าได้ยินว่ามีมนุษย์ล่วงล้ำเข้ามา ข้าอยากทราบว่าท่านจะจัดการอย่างไร” น้ำเสียงของอสูรหนุ่มเบา ไม่ก้าวร้าวหรืออวดดีเหมือนกับไทมะซึมะรุ นัยน์ตาเท่านั้นที่กร้าวแข็งไม่ยอมสยบต่อผู้ใด
                “ไม่ทำอะไร มนุษย์สองคนเข้ามาที่ทะเลสาบ เป็นสิทธิ์ของมนุษย์เช่นกันที่จะไปเยือนที่นั่น”
                “แต่อีกนิดเดียวก็จะล่วงล้ำเขตแดนของเราเข้ามาแล้ว ท่านควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการตักเตือนมนุษย์พวกนั้นบ้าง” อาคางิโต้
                “มิโคโตะหรืออาคางิกันแน่ที่เป็นเจ้าแห่งภูเขามิคามิ”
                อาคางิชะงัก เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างอันงดงามนั้น มันกดดันจนทำให้เขาต้องก้มศีรษะลงต่ำและไม่กล้าต่อตาด้วยอย่างที่ทำเมื่อแรกปรากฎตัว อสูรผมสีแดงพยายามระงับอารมณ์โกรธที่กำลังพลุ่งพล่านอย่างเต็มที่ ในเวลานี้เขาไม่สามารถต่อกรกับมิโคโตะได้ เขาจำเป็นต้องรอ
                 “คำสั่งของข้า ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างอสูรกับมนุษย์ไม่สู้ดี เจ้าน่าจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดไม่ใช่หรืออาคางิ” น้ำเสียงของมิโคโตะมีแววรู้เท่าทัน
                 “ในเมื่อท่านตัดสินใจอย่างนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” อาคางิพูด แสดงท่าทีเหมือนยอมรับแต่โดยดี หากดวงตาแวววับด้วยความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาหันไปพูดกับอสูรสองตนที่ยืนขนาบข้างว่า
                 “กลับเถอะ ไทมะซึมะรุ อาราชิ ข้าได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว”
                 จากนั้นก็หันกลับมา โค้งศีรษะคำนับผู้เป็นราชันแห่งภูเขาอย่างอ่อนน้อม
                 “ข้าขอตัวก่อน ขออภัยที่มารบกวนเวลาสำราญของท่าน”
                 อสูรทั้งสองตนที่มาด้วยโค้งคำนับพร้อมกัน ไทมะซึมะรุแสดงท่าทีฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็ยอมตามอาคางิกลับไปพร้อมกับอาราชิ ลับร่างทั้งสาม วาคานะก็พูดขึ้นด้วยความขัดเคืองใจ
                 “อายุไม่เกินสามสี่ร้อยปีทำวางท่าโอหัง คิดปีนเกลียวกับอสูรที่อาวุโสกว่า ช่างไม่เจียมตนเอาเสียเลย”
                 “ทำไมท่านไม่ทำอะไรสักอย่างในเมื่อท่านก็รู้ว่าอาคางิคิดมักใหญ่ใฝ่สูงแค่ไหน” อิบุกิถาม
                 “เราไม่มีหลักฐาน” มิโคโตะตอบสั้น ๆ ท่าทีของเขาไม่แสดงว่าเป็นกังวลหรือรู้สึกอะไร แตกต่างจากอสูรหลายตนในห้อง มังกรขาวตัดบทด้วยการโบกมือเป็นสัญญาณให้เริ่มบรรเลงชามิเซ็งอีกครั้ง ครู่ต่อมา เสียงดนตรีก็ดังไปทั่วทั้งปราสาทสีขาว

                 เสียงดนตรีดังไปถึงเขตซันโนะมะรุหรือปีกส่วนนอกสุดซึ่งเป็นอาณาเขตของอาคางิและพรรคพวก ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงกว้าง ภายในห้องติดกระดาษปิดผนังเป็นลวดลายเถากุหลาบสีแดงอมน้ำตาล เฟอร์นิเจอร์ในห้องเป็นไม้สีน้ำตาลเข้มรวมทั้งตู้และโต๊ะเล็กวางโคมไฟทองเหลือง ผนังด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างสูงจรดเพดานติดกระจกสีเป็นลวดลายวิจิตร ใต้หน้าต่างตั้งชุดโซฟาหนานุ่มสีเทาพร้อมหมอนอิงหลายใบ บนพื้นไม้ใต้โซฟาปูพรมสีแดงลวดลายฉวัดเฉวียนหลากสีสัน
                 อาคางินั่งอยู่บนโซฟา ข้างตัวเขาเป็นไทมะซึมะรุ ส่วนอาราชิยืนตัวตรงนิ่งอยู่ข้างตู้ไม้ นอกจากอสูรทั้งสาม ข้างในห้องยังมีอสูรอีกสามตนอยู่ด้วย ตนแรกนั่งอยู่บนโซฟาขนาบข้างอาคางิคนละด้านกับไทมะซึมะรุ ผมสั้นสีเขียวโผล่ออกมาให้เห็นเป็นไร ๆ จากใต้หมวกไหมพรมสีดำ ใบหน้าของเขาปราศจากสีสันแต่งแต้ม รูปตาเฉียงจนแทบจะเห็นเป็นเส้นเดียว สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์ไหมพรมสีเขียวเข้ม คอกว้าง กางเกงสีดำกับรองเท้าแบบสนีกเกอร์ และชื่อของอสูรตนนี้คือ คะมิกิ
                 อสูรอีกสองตนนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมเดี่ยวห่างออกไปเล็กน้อย ตนแรกคือ ริคิมะรุ อสูรร่างใหญ่หนาเต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวขาว ไม่แต่งหน้า ผมสีดำไถด้านข้างเกรียนเป็นทรงอันเดอร์คัท เขาสวมหมวกแก๊ปสีดำ เจาะหูคล้องห่วงกลม ๆ สีเงิน ไม่สวมเสื้อ มีเพียงสร้อยเส้นใหญ่ถักจากเส้นเงินเป็นลวดลายละเอียดสวมอยู่ที่คอเท่านั้น กางเกงที่สวมเป็นหนังสีดำมันวาว ใส่รองเท้าท็อปบู๊ตแบบทหารตะวันตก อีกตนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวถัดไป เป็นอสูรที่อยู่ในร่างชายหนุ่มผิวขาวซีด ผมตัดเป็นพุ่มสีฟ้าสดเหมือนเส้นไหมพรม ใบหน้าไม่แต่ง ใส่เสื้อนอกสีขาวปักเลื่อมและลูกปัดหลากสี กางเกงและรองเท้าหุ้มส้นที่สวมอยู่เป็นสีขาว ตัวของเขาไม่ใหญ่หนามากเท่าอสูรตนอื่น แต่น้ำเสียงของเขานั้นอวดโอ่และท่าทางกร่างเหมือนตัวใหญ่กว่าคนอื่นสักสิบเท่า ชื่อของเขาคือซึชิกุโมะ และเขาเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า
                  “อสูรแก่ ๆ พวกนั้นมัวแต่สำเริงสำราญอยู่กับสุราและดนตรีห่วย ๆ น่าสมเพช”
                  “อีกไม่นานหรอกก็จะหมดเวลาของพวกมัน” อาคางิซึ่งเสมือนเป็นหัวหน้าของอสูรที่รวมตัวอยู่ในห้องนั้นพูด เขาอายุมากที่สุด มากกว่าอสูรเกิดใหม่ตนใด และมีพลังแกร่งกล้าที่สุดด้วย
                  “พวกคร่ำครึ หวาดกลัวพวกมนุษย์ต่ำต้อย แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าเป็นผู้มีพลังอันยิ่งใหญ่ ข้าต้องการออกไปจากที่นี่ ไปเขย่าขวัญพวกมนุษย์และกัดกินให้สิ้นซาก อสูรจะครองโลกอีกครั้ง ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในภูเขาแคบ ๆ แบบนี้”
                  “ข้าเห็นด้วยอย่างสุดหัวใจ อยากจะออกไปฆ่าฟันพวกมนุษย์เต็มแก่แล้ว” ริคิมะรุ อสูรร่างใหญ่หนาพูดด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
                  “แต่ตอนนี้อำนาจของมิโคโตะยังยิ่งใหญ่” ไทมะซึมะรุเตือน
                  “ถ้าเพียงแต่หาคันจุพบ และข้าสามารถปลุกชีพฮิเดะซึงุ มังกรแดงผู้ครอบครองลูกแก้วมันจุได้และเอาพลังของมันมา ข้าก็จะไร้ผู้เทียมทาน” อาคางิพูด เสียงยังเบาและคงความสุภาพ แต่ดวงตาวาวโรจน์เป็นตรงกันข้าม
                  “แล้วทำไมป่านนี้ยังหาคันจุไม่พบอีก นี่เจ้าการาสุเท็นงูนั่นมัวแต่ทำอะไรของมันอยู่” อาคางิมีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
                  “ข้าขอจัดการเรื่องนี้เอง ท่านอาคางิ ข้าจะหาคันจุมาให้ท่านให้ได้” คะมิกิ อสูรผมสีเขียวอาสา สายตาของเขามองผู้เป็นหัวหน้าด้วยความหลงใหลและบูชา
                  “ผู้ใดที่หาคันจุเจอ ข้าจะให้ภูเขามิคามิไปครอบครอง!”
                  อาคางิลั่นวาจา
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 7 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 00:48:44
บทที่ 8         

                เอย์จิไม่แปลกใจเท่าไรที่เห็นคนสองสามคนยืนรออยู่ที่ลานหน้าประตูบ้าน ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว หน้าบ้านมีโคมไฟรูปสี่เหลี่ยมให้แสงสว่างไม่มากนัก แต่ก็ทำให้พอจะมองเห็นว่าคนที่จับกลุ่มรออยู่นั้นเป็นใครบ้าง ทั้งสามคนใส่ชุดฝึกเคย์โกะงิ ท่อนบนเป็นกิโมโนสีขาว แขนสามส่วน ท่อนล่างเป็นกางเกงฮากามะสีกรมท่าที่เข้มจนใกล้เคียงกับสีดำ มีคนเดียวในกลุ่มที่เดินไปเดินมาด้วยท่าทางกระวนกระวายใจเป็นพิเศษ
                รุกะเดินวนเป็นเสือติดจั่น เมื่อเห็นเขากับชินจิเดินมาด้วยกัน หญิงสาวก็อุทานออกมาด้วยความโล่งใจ
                “กลับมากันแล้ว!”
                หล่อนปราดเข้าไปหาพร้อมกับเปิดฉากซักถามหน้าเครียด “นี่หายไปไหนมา ทำไมกลับมากันป่านนี้ รู้ไหมว่าใครต่อใครเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน นี่ เอย์จิ พูดอะไรสักอย่างสิ เธอไปไหนมากันแน่”
                ชินจิรู้สึกแปลกใจกับอาการตื่นตระหนกจนผิดปกติของหญิงสาว รุกะดูจะห่วงใยรุ่นพี่ของเขาเป็นพิเศษและไม่สนใจจะเก็บความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหลือบมองเออิจิโร่ที่ยืนอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักโดยอัตโนมัติ แต่เออิจิโร่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับการที่คู่หมั้นสาวแสดงความห่วงใยน้องชายของเขาจนออกนอกหน้า แถมยังช่วยตอบแทนน้องชายฝาแฝดที่ยืนนิ่งด้วยว่า
                 “ก็เว้นช่องให้เอย์จิตอบบ้างสิ เธอเล่นถามเป็นรถไฟด่วนขนาดนั้น ใครจะอ้าปากตอบทัน”
                 รุกะหันมาค้อนใส่คู่หมั้นหนุ่มด้วยความไม่พอใจ ส่วนเอย์จิขยับตัวถอยห่างจากหญิงสาวไปอีกสองสามก้าว ก่อนจะตอบสั้น ๆ ว่า
                 “พาชินจิไปดูทะเลสาบบิวะ”
                 “อะไรนะ! ไปกันถึงที่นั่นได้ยังไง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นสักนิด ฉันก็นึกว่าเธอแค่เดินอยู่ในหมู่บ้าน” หญิงสาวต่อว่าด้วยความไม่พอใจ และแน่นอนว่าสายตาตำหนินั้นตวัดส่งไปยังชินจิด้วยอีกคน หล่อนมองเหมือนต้องการจะโทษว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มที่ทำให้เอย์จิต้องไปที่นั่น
                  ชินจิยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
                  ตรงกันข้ามกับคู่หมั้นของตัวเอง เออิจิโร่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกสนุก เขาถามชินจิว่า
                  “แล้วได้เห็นทะเลสาบไหม”
                  “ครับ อากาศดีมากทำให้เห็นทะเลสาบชัดเจน น้ำในทะเลสาบสีฟ้าสดสวยมาก แล้วยังต้นไม้ไม่มีใบพวกนั้นอีก ผมไม่เคยเห็นทะเลสาบที่ไหนสวยขนาดนี้มาก่อนเลยครับ”
                  “โอ้โฮ เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เออิจิโร่อุทานด้วยความทึ่ง ตรงกันข้ามกับรุกะอีกเช่นกัน หญิงสาวหันขวับมาที่คนพูด กระชากเสียงถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่า
                  “เป็นไปไม่ได้ จะเห็นชัดได้ยังไง ไม่มีหมอก ไม่มีอะไรเลยงั้นเหรอ”
                  ชินจิส่ายหน้า คนถามจึงหันไปมองเอย์จิอย่างคาดคั้น
                  “จริง ไม่มีหมอก เห็นทุกอย่างชัดเจนดี” ชายหนุ่มยืนยัน
                  รุกะยังมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยอมตัดประเด็นนี้ทิ้งไป
                  “เอาเถอะ แต่ยังไงคราวหลังก็ไม่ควรไปถึงที่นั่นโดยไม่จำเป็นนะ ถ้าจะไปก็ต้องมีใครไปด้วย อย่างน้อยก็โฮโจ”
หญิงสาวพูด และชินจิก็ได้รู้จักชายหนุ่มที่ยืนอย่างสำรวมอยู่ข้างเออิจิโร่ในที่สุด ชายหนุ่มผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ หน้าตาคมคายคนนี้เป็นองครักษ์ของเออิจิโร่ เป็นพระตำแหน่งเนงิ ชื่อว่าโฮโจ
                   โฮโจทักทายรุ่นน้องของเอย์จิอย่างสุภาพ ภายใต้ท่าทางสำรวมที่เห็นภายนอก ชินจิรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่สดใสร่าเริงไม่ต่างจากผู้ที่เขาต้องเป็นองครักษ์ให้สักเท่าไร ดวงตาของโฮโจเป็นประกายแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนอารมณ์ดี จะว่าไป ดวงตาของโฮโจเป็นประกายสดใสมากกว่าเออิจิโร่เสียด้วยซ้ำ
                   ความรู้สึกนี้อยู่ในใจของชินจิ รวมถึงความรู้สึกและคำถามอีกมากมายที่ไม่กล้าเอ่ยปาก
                   เอย์จิไม่ตอบรับคำแนะนำที่คล้ายกับคำสั่งของรุกะ ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องด้วยการหันมาบอกรุ่นน้องของตัวเองว่า
                   “นายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักแช่น้ำร้อนให้สบายตัวเถอะ ยังมีเวลาอีกนานก่อนถึงอาหารเย็น”
                   “จริงด้วย ออนเซ็นบ้านเราสวยมากเลย ชินจิคุงต้องชอบแน่ ๆ แช่ได้ตามสบายเลยนะ ส่วนพวกเราต้องขอตัวไปซ้อมต่ออีกหน่อย โอคินะซังรออยู่ที่โรงฝึก” เออิจิโร่เสริมมาอีกคนและมิวายตบท้ายด้วยประโยคที่ชินจิได้ยินแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย
                   “เสียเวลาเพราะความเป็นห่วงไม่เข้าท่าของใครบางคนแท้ ๆ ไม่งั้นก็ซ้อมเย็นเสร็จ ได้แช่น้ำร้อนสบาย ๆ ไปนานแล้ว”
                   ‘ใครบางคน’ เชิดหน้าขึ้น แสดงท่าว่า ‘ฉันไม่สน’ แต่หางตาทิ้งค้อนแสดงความไม่พอใจใส่คนพูดและพลอยเหล่มาที่ชินจิด้วยอีกคน
                   “ไปพักเถอะ ชินจิ แล้วเจอกันตอนอาหารเย็น” เอย์จิตัดบท
                   ชินจิไม่รีรอ รีบเปิดประตูข้างเข้าไปในบ้าน แต่ประตูยังไม่ทันงับปิดสนิทดี เขาก็ได้ยินเสียงของรุกะลอดเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มอดใจไม่ได้ ยอมเสียมารยาท ยืนนิ่งฟังอยู่หลังประตู
                   เสียงของรุกะไม่ดัง แต่ก็ไม่เบาเหมือนกัน ทำให้ได้ยินค่อนข้างชัด และฟังจากน้ำเสียงแล้ว หญิงสาวคนนั้นไม่พอใจมากจริง ๆ
                   “ว่ายังไง เอย์จิ เธอจะไม่ทำอย่างวันนี้อีกใช่ไหม สัญญาสิว่าต่อไปจะไม่ไปไหนคนเดียว จะให้โฮโจหรือคนอื่นไปด้วย”
                   “เธอชักจะยุ่งมากเกินไปแล้วนะรุกะ”
                   เสียงที่ตอบนั้นเหมือนเสียงของรุ่นพี่ของเขาไม่มีผิด แต่ชินจิมั่นใจว่าคนพูดไม่ใช่เอย์จิแน่ ๆ
                   “ที่ฉันต้องยุ่งเพราะฉันเป็นห่วง เธอจะไม่เป็นห่วงน้องชายตัวเองบ้างก็เรื่องของเธอสิ” รุกะโต้
                   “ใครบอกว่าฉันไม่เป็นห่วง แต่เอย์จิรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบไปเถอะ เราไม่มีสิทธิ์อะไรไปกะเกณฑ์กับชีวิตเขาตั้งนานแล้ว แต่หรือว่า...” เออิจิโร่แกล้งเว้นระยะ ก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคที่เหมือนหย่อนระเบิดตูมลงกลางวง
                    “เธอยังไม่ยอมตัดใจจากเอย์จิ”
                    ชินจิกลั้นหายใจตัวแข็ง
                    นี่เองสินะคือสาเหตุ รักสามเส้าของพี่น้องฝาแฝด ทั้งสามคนถึงได้พูดกันแปลก ๆ ทำอะไรกันแปลก ๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ถึงแม้จะไม่กระจ่างแจ้งนักก็ตาม
                    เสียงรุกะดังขึ้นในที่สุดหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่
                    “เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน”
                    “แต่มันก็เกี่ยวกันอยู่ดี” เออิจิโร่เถียง “ความจริง ถ้าเธอยังรักเอย์จิอยู่ เธอจะถอนหมั้นฉันแล้วกลับไปหาเอย์จิก็ได้นะ ฉันไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้ว”
                    “พอทีทั้งสองคน!”
                    เสียงที่สามดังขึ้น คราวนี้เป็นเสียงของเอย์จิอย่างแน่นอน
                    “อย่าดึงฉันเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องของพวกเธอสองคน ส่วนเรื่องวันนี้ฉันคงให้สัญญาอะไรกับเธอไม่ได้ ขอโทษด้วยนะรุกะ แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่เธอไม่ต้องลำบากกับเรื่องของฉันหรอก ฉันอาจปกป้องใครไม่ได้ คุ้มครองตัวเองก็ไม่ได้ แต่ฉันไม่อยากเป็นภาระของใคร”
                    ชินจินึกหน้าของเอย์จิออกเลยว่าขณะที่พูดประโยคพวกนี้ รุ่นพี่ของเขาต้องมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ดวงตาหม่นและเศร้า ชายหนุ่มอยากอยู่ฟังต่อ แต่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าและต่อมาก็เสียงก๊อกแก๊กที่ประตู เขาจึงตัดสินใจหันหลังวิ่งออกไป

                    ออนเซ็นอยู่สุดปลายโถงทางเดินทางด้านในสุดของตัวบ้าน
                    ชินจิถือถุงใส่อุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองเปิดประตูเลื่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำกว้างขวาง ตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยไม้สีน้ำตาลอ่อน ด้านที่เป็นฝักบัวและก๊อกน้ำติดผนัง มีหิ้งไม้ยื่นออกมาให้วางอุปกรณ์อาบน้ำและของต่าง ๆ ด้านล่างตั้งเก้าอี้ไม้และกะละมังใบเล็กไว้พร้อม ผนังด้านตรงข้ามตั้งอ่างไม้รูปสี่เหลี่ยมใหญ่เกือบเท่าความกว้างของผนัง มีฝาไม้แบบพับได้ปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง น้ำร้อนในอ่างขึ้นควันกรุ่น
                    สวยอย่างที่เออิจิโร่บอกไว้จริง ๆ
                    ถึงแม้ชายหนุ่มจะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ตามต้องการ แต่เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนั่งแช่น้ำร้อนให้สบายอกสบายใจในตอนนี้หรอก ด้านหลังห้องมีประตูเปิดออกไปสู่บ่อน้ำร้อนกลางแจ้ง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ออกไปดู เขาอาบน้ำขัดตัวอย่างรวดเร็วและลงแช่น้ำร้อนในอ่างไม้ให้พอแค่คลายความเมื่อยและความเหนื่อยล้าจากการเดินระยะทางไกลในวันนี้เท่านั้น แล้วก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นยูกาตะสำหรับใส่นอน
                    เมื่อเปิดประตูเลื่อนออกมาจากห้องอาบน้ำ ชินจิก็เจอพวกรุ่นพี่ของเขากำลังจะเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำพอดี พอเห็นหน้ากัน เออิจิโร่ก็ทักว่า
                    “อ้าว อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
                    “เอ้อ.. ครับ เสร็จแล้ว”
                    “ว้า น่าเสียดายจัง นึกว่าจะได้แช่น้ำร้อนกับชินจิคุงเสียอีก อดเลย”
                    ริมฝีปากของชินจิกระตุกแต่ไม่แน่ใจว่าจะยิ้มรับดีหรือไม่ เขาเห็นรุกะเชิดหน้าขึ้น เดินหน้านิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำฝั่งของผู้หญิง สีหน้าของเขาก็เลยยิ่งพิพักพิพ่วนไปกันใหญ่
                    “เป็นอะไรรึเปล่า ชินจิ” เอย์จิถาม
                    “ปะ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ คนถามยังมีสีหน้าสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก เดินนำหน้าเข้าไปในห้องอาบน้ำ ตามด้วยโฮโจที่ยิ้มให้ตอนที่เดินสวนไป รั้งท้ายคือเออิจิโร่ที่ขยิบตาให้
                    “แล้วเจอกันตอนอาหารเย็นนะ”
                    ชินจิทำหน้าไม่ถูกเอาเลยจริง ๆ เขาเพิ่งรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องฝาแฝดคู่นี้กับรุกะ แถมรายหลังก็ทำท่าไม่ชอบเขาอย่างเปิดเผย ไหนจะฝาแฝดคนพี่ที่ขยันแซวขยันล้อเขาเล่นอีก เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลยจริง ๆ
                    ชายหนุ่มไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย แต่ตอนนี้เขาสงสัยเหลือเกินว่าเขาอาจจะเลี่ยงความวุ่นวายไม่พ้น
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 7 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 00:59:09
               งานที่เรียวกังเริ่มก่อนหน้าวันที่แขกกลุ่มแรกจะเข้าพักหนึ่งวัน ในตอนเช้ามืดเอย์จิกับรุกะจะไปฝึกยิงธนูที่โรงฝึกก่อนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นยูกาตะมาที่เรียวกังเพื่อเริ่มงานประจำวัน ตอนแรกชินจิก็ออกจะกังวลกับการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อรุกะเป็นโอะคะมิซังหรือผู้จัดการของเรียวกัง แต่เมื่อเริ่มงานก็พบว่าเขาคิดมากไปเอง หญิงสาวในชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มลายผีเสื้อและดอกไม้ ปักปิ่นปักผมด้ามเดิมที่มีผีเสื้อสีน้ำเงินเกาะนิ่งอยู่ มีความเป็นมืออาชีพมาก หล่อนประชุมพนักงานในออฟฟิศเล็ก ๆ หลังเคาน์เตอร์เช็คอิน รับฟังรายงานความเรียบร้อยและปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งแจกจ่ายงานอย่างมีประสิทธิภาพ
               ชินจิเห็นเอย์จินั่งเงียบ ทำตัวเหมือนเป็นพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ว่ารุกะจะหันมาขอความเห็นหรือถามอะไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะยกหน้าที่และการตัดสินใจทั้งหมดให้เป็นสิทธิ์ขาดของผู้ที่ทำหน้าที่โอะคะมิซังแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่เรื่องความกังวลใจที่แขกกลุ่มแรกเป็นชาวต่างประเทศไปครึ่งหนึ่งก็ตาม
               “ฮ่องกงสองคน อเมริกาสองคน ญี่ปุ่นอีกสี่คน แขกทั้งหมดแปดคน ที่น่าจะเป็นปัญหาคือแขกต่างประเทศ เราต้องพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจให้ได้” รุกะพูด
              ชินจิฟังด้วยความไม่เข้าใจ เอย์จิพูดภาษาเยอรมันกับอังกฤษได้เป็นอย่างดี ส่วนรุกะ เขาก็รู้มาว่าหญิงสาวสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเช่นกัน แล้วการที่มีแขกต่างประเทศจะเป็นปัญหาได้อย่างไร
              “ผมช่วยเรื่องภาษาได้นะครับ ผมพูดภาษาอังกฤษได้” ชินจิเสนอตัวด้วยความอยากจะช่วยเหลือ แต่ก็แทบอยากกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของรุกะตวัดมองมา เขานึกว่าจะโดนหญิงสาวเหน็บแนมเอาเสียแล้วว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่องหรืออะไร แต่โอะคะมิซังของเรียวกังฮิราตะกลับไม่ว่าอะไร แถมยังแก้ความเข้าใจผิดให้เขาด้วยว่า
              “ไม่ใช่เรื่องการสื่อสารทั่วไปหรอก เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ทุกคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีทั้งนั้น แต่ที่เราหวั่นใจกันก็คือแขกต่างประเทศอาจจะไม่เข้าใจข้อห้ามหรือคำแนะนำของเรา อย่างเช่นการไม่ให้ออกไปเดินข้างนอกในเวลากลางคืน หรือการเดินในป่าและไม่ให้ไปไกลเกินกว่าทะเลสาบบิวะ”
              “ที่เคยมีข่าวคนหายใช่ไหมครับ ผมพอจะเข้าใจแล้ว”
              ชินจิแสดงท่าทางรับรู้ อย่าว่าแต่คนต่างชาติเลย เขาเองยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรในตอนแรก ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ดี รุ่นพี่ไม่บอกอะไรเขามาก ชายหนุ่มไม่กล้าถามซอกแซกด้วย จะถามคนอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ยังไม่คุ้นกับใครสักคน เขาก็เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้และพยายามปะติดปะต่อเรื่องเอาเองจากข่าวที่เคยได้ยินมาบ้าง
              “เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลแขกของเราให้ดีที่สุด” หญิงสาวในชุดยูกาตะสรุปปิดท้าย
              หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ โอซามุกับเอย์จิเข้าไปในครัว รุกะยังนั่งอ่านรายละเอียดการจองห้องพักของแขกอยู่ในออฟฟิศและเตรียมสมุดลงทะเบียนสำหรับการเช็กอิน ส่วนชินจิเดินออกมากับอิซึมิเพื่อไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องเก็บของ ทั้งสองคนสวมชุดแบบซามุเอะสีกรมท่า ชินจิใส่เสื้อคลุมฮัปปิปักชื่อเรียวกัง อิซึมิสวมผ้ากันเปื้อนสีขาว เตรียมตัวสำหรับงานใช้แรงอย่างเต็มที่
              อิซึมิเป็นเด็กสาววัยสิบแปดปี เรียนจบมัธยมปลายแล้ว แต่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย หล่อนสมัครใจจะอยู่ในหมู่บ้านและทำงานในเรียวกังเล็ก ๆ อย่างนี้มากกว่า
              “ฉันไม่ชอบเมืองใหญ่ ๆ หรอกค่ะ” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หล่อนเป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง คุยเก่ง เพียงได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น หล่อนก็พูดจ๋อย ๆ กับชินจิได้เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน
              “ชอบอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างนี้แหละ ชินจิซังละคะ ชอบที่นี่ไหม หรือชอบโตเกียวมากกว่า”
              “ผมก็ชอบเมืองเล็ก ๆ นะครับ หมู่บ้านนี้ก็สวยมากด้วย” ชินจิยิ้มรับ เขากำลังช่วยหล่อนทำความสะอาดห้องพักแขกเป็นครั้งสุดท้าย พื้นเสื่อตาตามิเช็ดด้วยผ้าฉีดสเปรย์กันตัวเห็บไรและเชื้อราไว้แล้ว วันนี้จึงแค่ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนอิซึมิใช้ผ้าดันฝุ่นเช็ดบริเวณที่เป็นไม้และของประดับห้อง
              “แต่ว่า...”
              ชินจิลังเลในตอนแรก แต่เด็กสาวคนนี้ก็ดูเป็นมิตรมากจนเขาตัดสินใจถามว่า
              “ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่เรื่องที่รุกะซังพูดตอนประชุม ทำไมถึงไม่ควรออกนอกบ้านเวลากลางคืนล่ะครับ”
              รอยยิ้มของเด็กสาวหายวับไปในทันทีและสีหน้าก็ดูว่างเปล่าผิดไปจากตอนแรก
              “คุณรู้จักคำว่า ‘ผีลักซ่อน’ ไหมคะ”
              น้ำเสียงเย็นเยียบของหล่อนทำเอาเขารู้สึกว่าขนที่แขนกำลังลุกชัน
              แต่พอเห็นสีหน้าเหวอ ๆ ของชายหนุ่ม อิซึมิกลับหัวเราะคิกออกมา ความว่างเปล่าหายไป หล่อนกลายเป็นเด็กสาวที่ยิ้มแย้มช่างคุยคนเดิม
              ชินจิกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง ตามไม่ทัน
              “ฉันล้อเล่นค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง “ที่นี่น่ะตกเย็นคนก็เข้าบ้านปิดประตูกันหมด ตอนกลางคืนในหมู่บ้านเราก็เลยทั้งมืดทั้งเงียบ ไฟตามถนนก็ไม่สว่างเหมือนในเมือง ขนาดคนในหมู่บ้านเองนะคะถ้าเหม่อเมื่อไหร่แค่เดินในหมู่บ้านยังหลง นับประสาอะไรกับคนนอกที่ไม่รู้จักเส้นทางดีละคะ เราก็เลยกันไว้ก่อนน่ะค่ะ ดีกว่าไปแก้กันทีหลัง ที่นี่ก็ไม่มีโทรศัพท์ด้วย สัญญาณมือถือก็ไม่มี ถ้าใครสักคนหลงทางขึ้นมาทีนี่ยุ่งสุด ๆ เลยล่ะค่ะ”
              เด็กสาวเล่ายาว
              ชินจินึกภาพตาม ตอนกลางคืนหมู่บ้านนี้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทั้งมืดทั้งเงียบ ยิ่งเวลาได้ยินเสียงนกกลางคืนร้อง เขายังรู้สึกว่ามันวังเวงพิกล ชายหนุ่มฟังแล้วเลยเชื่อสนิท

               งานหนัก ๆ อย่างทำความสะอาดเสร็จไปแล้วในวันก่อนหน้า เมื่อถึงเช้าวันที่แขกเข้าพัก จึงเหลือแต่งานกระจุกกระจิกไม่กี่อย่าง ชินจิช่วยเอย์จิจัดกล่องชาที่จะเอาไปไว้ให้แขกในห้อง กล่องชาที่ใช้เป็นกล่องไม้มีสองขนาด กล่องใหญ่สำหรับห้องใหญ่และกล่องเล็กสำหรับห้องคู่และห้องเดี่ยว ภายในกล่องใส่ชาไว้ให้เลือกทั้งแบบซองผงและแบบเป็นใบ มีแผ่นกรองชา ถ้วยชา กาน้ำชาไว้ให้พร้อม รวมทั้งกระติกน้ำร้อนและยังมีขนมประเภทเซมเบ้ใส่ถุงพลาสติกใสติดชื่อและสัญลักษณ์ของเรียวกังเตรียมไว้ให้แขกกินเล่นด้วย 
               ภายในครัว โอซามุเตรียมขนมโยคังและน้ำชาใส่ถาดสำหรับเสิร์ฟแขกเวลาเช็กอินไว้เรียบร้อย รุกะกำลังวางถุงเครื่องรางคุ้มภัยของศาลเจ้าไว้ในถาด เป็นเครื่องรางถุงสีแดง หน้าถุงเป็นลูกธนูสีทองและด้านหลังเป็นตราจิ้งจอกเพลิงแบบเดียวกับที่ชินจิเคยได้ ชายหนุ่มมองการทำงานของทุกคนด้วยความสนใจ พยายามจำทุกอย่างให้ได้มากที่สุด
               “ท่านรุกะ ท่านเอย์จิ แขกสองท่านแรกมาถึงแล้วค่ะ” อิซึมิโผล่หน้าเข้ามารายงานก่อนจะผลุบหายไป
               “ชินจิซัง คุณไปช่วยอิซึมิจังยกกระเป๋าแขกและนำไปที่ห้องพักนะ” หญิงสาวผู้เป็นโอะคะมิซังหันมาสั่ง ชายหนุ่มขยับตัวจะทำตาม แต่เอย์จิขัดขึ้นก่อนว่า
               “ไม่ต้องหรอก นายช่วยยกถาดน้ำชาตามรุกะไปดีกว่า จะได้เห็นว่าโอะคะมิซังทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องกระเป๋าเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
               ชินจิเหลือบมองรุกะทันที แต่หญิงสาวไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากเชิดคางขึ้นมากกว่าเดิมอีกนิดหนึ่ง เขาก็เลยทำตามคำสั่งของเอย์จิ ถือถาดน้ำชาตามว่าที่โอะคะมิซังของเรียวกังไปที่ห้องพักของแขก
               แขกสองคนแรกเป็นสามีภรรยาวัยกลางคนชาวอเมริกัน ท่าทางเป็นพวกนักท่องเที่ยวขาลุยเพราะในห้องมีเป้ผ้าใบขนาดใหญ่พิงผนังอยู่สองใบและทั้งคู่แต่งตัวใส่เสื้อกันหนาวง่าย ๆ ไม่ได้พิถีพิถันกับเสื้อผ้ามากนัก
               รุกะกล่าวทักทายแขกเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วและเสิร์ฟขนมกับน้ำชาให้ที่โต๊ะไม้ตัวเล็กกลางห้อง หญิงสาวอธิบายเกี่ยวกับเรียวกังอย่างคร่าว ๆ รวมทั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการเข้าพัก สุดท้ายหล่อนส่งถุงเครื่องรางให้ บอกว่า
               “เครื่องรางคุ้มภัยค่ะ ขอให้เก็บติดตัวไว้เสมอเวลาอยู่ที่นี่นะคะ”
               สองสามีภรรยามองถุงสีแดงในมืออย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองคนมีสีหน้าแบบนี้ตั้งแต่ได้ยินข้อห้ามและคำแนะนำต่าง ๆ ก่อนหน้านี้แล้ว ชินจิสังเกตเห็นแววตาหนักใจของรุกะ แต่หล่อนก็ยังคงสีหน้าเยือกเย็นอยู่ได้และพูดต่อว่า
               “เรามีความเชื่อว่าเครื่องรางนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองและนำโชคมาให้ผู้เป็นเจ้าของค่ะ เราจึงอยากให้คุณสองคนเก็บไว้กับตัวนะคะ เราทุกคนที่นี่ทำแบบนี้ค่ะ”
               เมื่อออกมาจากห้อง ชินจิอดถามหญิงสาวไม่ได้ว่า
               “คุณคิดว่าเขาจะเชื่อไหมครับ”
               รุกะหันมามองชายหนุ่มเต็มตา สีหน้าของหล่อนยังคงความเยือกเย็นแบบที่โอะคะมิซังพึงกระทำอยู่ ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะแยกหน้าที่และความรู้สึกส่วนตัวออกจากกันได้เด็ดขาดอย่างคาดไม่ถึง เมื่ออยู่ที่บ้าน เห็นชัดว่าหล่อนไม่ชอบเขา ปรายตามองมาทีมีแต่ความไม่พอใจแกมตำหนิติเตียน แต่เมื่ออยู่ที่เรียวกัง หล่อนไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา ทั้งยังคอยสอนงานและชี้แนะเขาอย่างคนที่เป็นหัวหน้างานที่ดี ไม่มีการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยหรือจิกกัดเวลาที่เขาทำอะไรพลาดหรือตั้งคำถามที่แสดงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ออกมา
               อย่างคำถามนี้ หญิงสาวก็ตอบเรียบ ๆ ว่า
               “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะหนักไปทางไม่เชื่อมากกว่า ยังไงคุณก็ช่วยเป็นหูเป็นตาอีกแรงก็แล้วกันนะ”
               ชินจิพยักหน้ารับรองอย่างแข็งขัน รุกะมองชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนถามว่า
               “แล้วคุณล่ะ พกเครื่องรางไว้กับตัวรึเปล่า”
               ชายหนุ่มสั่นศีรษะ ตอบตามความจริงว่า
               “ผมเก็บไว้ที่ห้องน่ะครับ กลัวจะทำหล่นหายไปตอนทำงานก็เลยไม่ได้พกมาด้วย อีกอย่างก็อยู่ที่เรียวกัง ไม่ได้ออกไปไหน”
               “ต่อจากนี้ไปให้คุณพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ถ้ากลัวเกะกะหรือกลัวหายก็กลัดติดไว้กับเสื้อด้านในหรือหาเชือกมาแขวนคล้องคอไว้ก็ได้ ลองคิดดูสิว่าขนาดพนักงานเรียวกังเองยังไม่ทำ แล้วจะหวังให้แขกเชื่อและทำตามได้ยังไง”
               น้ำเสียงของรุกะเมื่อพูดประโยคนี้ก็ยังไม่มีร่องรอยการตำหนิใด ๆ แต่ชินจิรู้ตัวว่าทำผิดพลาดอีกเรื่องหนึ่งแล้วและเขาจะต้องแก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ชายหนุ่มก้มศีรษะต่ำเป็นการตอบรับและขอโทษไปด้วยในคราวเดียวกัน
               หลังจากนั้นชินจิก็ช่วยถือถาดชาและขนมเดินตามหลังรุกะไปต้อนรับแขกรายอื่น ๆ จนครบจำนวนที่มีการจองห้องพักเอาไว้ แขกส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่ในห้อง ยกเว้นสองสามีชาวอเมริกันที่ออกไปเดินเที่ยวในหมู่บ้าน หลังหมดหน้าที่ช่วงแรก ชินจิก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
               “เหนื่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
               เสียงคุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง ชินจิหันไปมอง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นรุ่นพี่ของเขาเดินตรงมาหา
               “เปล่าครับ แต่โล่งใจที่ผมไม่ได้ทำอะไรพลาดมากนัก”
               “นายนี่ จริงจังกับทุกเรื่องเหมือนเดิมเลยนะ” เอย์จิส่ายหน้า ทำท่าเหมือนอ่อนใจ แต่สายตาที่ใช้มองรุ่นน้องอ่อนโยนจนคนถูกมองทำอะไรไม่ถูก ต้องหลบสายตาไปเอง
               “เอ้อ... ตอนนี้เราต้องทำอะไรอีกครับ” ชินจิรีบเปลี่ยนเรื่อง
               “ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ของทำอาหารเย็นก็เตรียมพร้อม เหลืองานที่ออนเซ็น รุกะกับฉันแสตนด์บายอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง นายจะพักก็ได้นะ”
                “งั้นผมขอไปที่ศาลเจ้านะครับ เออิจิโร่ซังบอกผมเมื่อตอนเช้าว่าจะมีช่างมาติดตู้โอมิคุจิแบบอัตโนมัติ ผมอยากไปดูว่าเป็นแบบไหน ตอนแรกนึกว่าที่นี่จะมีแต่แบบตู้ไม้ธรรมดาเสียอีก”
                “พี่ชายฉันนี่ช่างพูดจริงนะ” เอย์จิอดประชดไม่ได้ หน้าของเขาเฉยเมยจนบางครั้งชินจิก็คิดถึงตอนอยู่ที่เยอรมนีจับใจ เอย์จิที่เขารู้จักถึงจะมีท่าทางเคร่งขรึมก็จริง แต่ก็สดใสและพูดเยอะกว่าตอนอยู่ที่นี่มาก โดยเฉพาะเวลาที่ล้อเลียนหรือกระเซ้าเพื่อนสนิทอย่างมาโกโตะซัง
                “ผม... ผมไปได้ไหมครับ” ชินจิถามด้วยความไม่แน่ใจ
                “ไปสิ” เอย์จิอนุญาตด้วยสีหน้าที่อ่อนลง หลังจากรู้ตัวว่าเผลอทำให้รุ่นน้องไม่สบายใจ
                “อย่าลืมเอาเศษเหรียญติดไปด้วยล่ะ นายจะได้ลองเสี่ยงเซียมซีดูไง ถือว่าลองเครื่องก่อนเปิดให้คนอื่นใช้”
                “ความคิดยอดเยี่ยมไปเลยครับ” ชินจิค่อยยิ้มออกในที่สุด

                ตู้โอมิคุจิอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญจะติดตั้งไว้ใกล้กับซุ้มขายเครื่องราง ชินจิเห็นคนกลุ่มเล็ก ๆ กำลังมุงดูอย่างสนอกสนใจ หนึ่งในนั้นมีรองเจ้าอาวาสผู้เป็นคันนุชิของศาลเจ้าอย่างเออิจิโร่อยู่ด้วยและดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่สนุกยิ่งกว่าใครทั้งหมด
                “ชินจิคุง ทางนี้ ๆ”
                ชายหนุ่มโบกมือเรียกเมื่อเห็นรุ่นน้องของน้องชายกำลังเดินมา
                ชินจิไม่กล้าโบกมือรับเพราะออกจะดูเป็นการไม่สมควรและไม่ถูกกาลเทศะนัก แค่ตอนนี้ทุกคนใช้คำสุภาพกับเขาและเขาไม่ต้องเรียกฝาแฝดและรุกะว่าท่านเหมือนคนอื่น ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองออกจะมีอภิสิทธิ์มากเกินไปอยู่แล้ว เขาจึงทำแค่รีบก้มศีรษะรับอย่างสุภาพและเข้าไปสมทบกับคนอื่น ๆ อย่างเงียบ ๆ
                นอกจากเออิจิโร่ ก็มีโฮโจที่ต้องคอยเป็นผู้ติดตามของชายหนุ่มและคิโยชิกับนาโอกิที่เป็นพระฝึกหัด ทั้งสองคนหลีกทางให้ชินจิได้เข้าไปดูใกล้ ๆ 
                ตู้โอมิคุจิมีขนาดไม่ใหญ่ เป็นตู้กระจกรูปสี่เหลี่ยม ข้างในมีหุ่นใส่หัวสิงห์ชิชิ-กะชิระ ด้านล่างสวมผ้าคลุมสีเขียวลายวงกลมเหมือนก้นหอยสีขาว เป็นสิงห์ที่ใช้ในการแสดงที่เรียกว่าชิชิมะอิหรือการเชิดสิงโตในเทศกาลหรืองานพิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกไป
                ตอนที่ชินจิเข้ามารวมกลุ่มด้วย ช่างติดตั้งตู้เสร็จแล้วและกำลังทดสอบการทำงานของเครื่องอยู่โดยการหยอดเหรียญลงไป เมื่อเหรียญหายเข้าไปในช่องรับเหรียญ กลไกในเครื่องจะไปทำให้หุ่นสิงห์ผ้าคลุมเขียวขยับเขยื้อนและเต้นส่ายไปมาเหมือนกับชิชิมะอิของจริง แต่เป็นแบบฉบับย่อเพียงไม่กี่วินาที แล้วหุ่นสิงห์จะยื่นหัวเข้าไปในกล่องสีขาวไปคาบกระดาษเขียนคำทำนายออกมาและนำมาหย่อนให้ในหลุมที่มุมตู้
                การทดสอบผ่านไปด้วยดี ช่างรับรองว่าการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้วและสามารถใช้เครื่องได้เลย เออิจิโร่ถูไม้ถูมือด้วยความพอใจ จากนั้นก็หันมาถามชินจิว่า
                “ช่วยเป็นหนูลองยาให้หน่อยได้ไหม”
                “เรียกว่าลูกค้าคนแรกดีกว่าไหมครับ” ชินจิค้าน แต่ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด รีบหยิบเหรียญร้อยเยนออกมาสองเหรียญตามป้ายที่ติดบอกไว้และหยอดลงไปในช่องรับเหรียญ หุ่นสิงห์ขยับไปทางโน้นทีทางนี้ทีและยื่นหัวเข้าไปคาบกระดาษเซียมซีออกมาจากกล่อง
                ชินจิก้มลงหยิบกระดาษออกมาคลี่อ่านอย่างรวดเร็ว
                “ว่ายังไงชินจิคุง โชคดีรึเปล่า” เออิจิโร่ถาม ท่าทางตื่นเต้นยิ่งกว่าเจ้าของเซียมซีเสียด้วยซ้ำ
                “โดยรวมก็ดวงดีนะครับ” ชินจิอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษจนจบ “แต่เขาเขียนว่าให้ระวังเหตุร้ายหรืออุบัติเหตุจากสิ่งที่คาดไม่ถึง”
                “ยังงั้นเหรอ” เออิจิโร่ทวนคำ ดวงตาของเขาที่มองรุ่นน้องของน้องชายวาวขึ้นเป็นประกายประหลาด ชินจิไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ก้มอ่านคำทำนายในกระดาษอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเดิม ดวงดี แต่มีสิ่งให้ต้องระวัง
                “ผมว่าผมไม่เก็บไว้ดีกว่า” ชายหนุ่มตัดสินใจเอากระดาษสีขาวไปผูกไว้ที่ราวไม้ไผ่ที่มีกระดาษสีขาวมากมายผูกไว้อยู่ก่อนแล้ว และกระดาษเซียมซีของชินจิก็เข้าไปรวมเป็นหนึ่งในนั้น
                หลังจากทำสิ่งที่ตั้งใจไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ออกจากศาลเจ้า แวะไปที่ห้องของตัวเองที่บ้าน ไปเอาถุงเครื่องรางมากลัดติดเสื้อด้านใน ดูให้แน่ใจว่ากลัดติดแน่นกับเนื้อผ้าและจะไม่หลุดง่าย ๆ
                ชินจิถอนหายใจดังเฮือก สัญญากับตัวเองว่าคราวหน้าคราวหลังจะไม่ลืมอีกอย่างแน่นอน
                ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปที่สวน ท้องฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดแรงขึ้น ใบไม้หลากสีสันแกว่งกระทบกันเพราะแรงลม ชินจิเงี่ยหูฟัง และเพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาฟังออกมาได้เป็นเสียงดนตรี มันเหมือนเสียงโคโตะประสานกับเสียงชามิเซ็งเป็นจังหวะและท่วงทำนองที่เยือกเย็น
                ชินจิรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัว
                หูของเขาเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ฟังเสียงใบไม้กลายเป็นเสียงดนตรีไปได้ยังไง มันไพเราะก็จริง แต่ก็ชวนให้รู้สึกวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
                คำพูดประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ คำเตือนของคุณตานากามูระเมื่อวันก่อนที่บอกว่า
                ‘มีอะไรบางอย่างสิงสู่อยู่ในภูเขา’
                ชินจิรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านและเพ้อเจ้อออกไป ก่อนจะปิดประตูไว้ตามเดิมและเร่งฝีเท้าออกจากห้องเพื่อไปทำงานต่อที่เรียวกัง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 8 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 30-03-2016 01:56:13
จิ้งจอกตัวนั้นคือใครหรืออะไรน้อออ เดาไม่ถูกจริงๆ :hao3: :katai1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 8 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 30-03-2016 10:26:05
รอติดตามค่ะ เรื่องน่าสนใจ ชินจิจะเจออะไรบ้างน้อ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 8 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 10:37:33
บทที่ 9

        งานช่วงเย็นที่เรียวกังของชินจิเริ่มต้นที่ในครัว เขาช่วยโอซามุ พ่อครัวหลักประจำเรียวกังจัดจานชามเล็ก ๆ ใส่อาหารวางในสำรับและลำเลียงไปวางไว้ที่ห้องรับประทานอาหาร อาหารที่จัดให้แขกเป็นไคเซกิเรียวริที่มีครบทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลักและของหวาน เพียงแต่อาจจะไม่หรูหราเท่าในภัตตาคารชั้นดีหรือเรียวกังใหญ่ ๆ แต่ก็เป็นอาหารที่ปรุงอย่างตั้งใจ ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลและหาได้ง่ายในท้องถิ่น ประกอบไปด้วยผักตามฤดูกาลชุบแป้งทอด นึ่งและต้ม เต้าหู้เย็น กุ้งแต่งรสด้วยน้ำส้มสายชู ปลาเทราท์ย่าง อาหารจานพิเศษคือเนื้อกวางย่างราดซอสเห็ด ของหวานเป็นส้มแกะเป็นกลีบวางเรียงเป็นรูปดอกไม้ นอกจากนั้นก็มีซุปมิโสะ แตงกวาดองและข้าวสวย รวมทั้งชาร้อนหนึ่งถ้วย
        แขกของเรียวกังได้รับแจ้งเวลาอาหารตั้งแต่ตอนเช็กอินแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น แขกที่เพลิดเพลินกับการแช่น้ำร้อนชมวิวแม่น้ำหรือเดินเที่ยวในหมู่บ้านต่างทยอยกันเข้ามานั่งในห้องอาหาร แขกทุกคนใส่ยูกาตะที่เรียวกังจัดเตรียมไว้ให้ เป็นชุดพื้นสีขาวลายแบบตะกร้าสานสีน้ำตาลเข้มเหมือนกันทั้งของผู้หญิงและผู้ชายกับเสื้อคลุมฮาโอริสีดำ เตาอิโรริถูกจุดสร้างบรรยากาศและช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ห้อง
        เอย์จิกับอิซึมิที่ไปช่วยอำนวยความสะดวกแก่แขกที่ออนเซ็นกลับมาสมทบที่ในครัว ออนเซ็นปิดบริการสำหรับบุคคลภายนอกแล้วและวันนี้ก็มีแขกมาใช้บริการไม่เยอะทำให้ไม่ยุ่งนัก ไม่ต้องคอยเก็บเงินค่าบริการหรือแลกเงินสำหรับหยอดล็อกเกอร์เก็บของ พอถึงเวลาปิดและไม่มีแขกเหลืออยู่ในออนเซ็นแล้ว ทั้งสองคนก็กลับมาช่วยงานอื่น ๆ ต่อ
             ระหว่างอาหารเย็นคือเวลาที่ต้องปูที่นอนและปรับเครื่องทำความร้อนในห้องพักของแขก เมื่อแขกเริ่มรับประทานอาหาร เอย์จิกับชินจิก็เริ่มต้นทำงาน
        ทั้งสองคนไม่ยอมเสียเวลาเลยแม้แต่นิดเดียว เอย์จิเอาฟูกและเครื่องนอนออกมาจากในตู้ ชินจิก็เข้ามาช่วยอย่างคล่องแคล่วไม่เงอะงะเพราะศึกษาวิธีปูที่นอนให้รวดเร็วจากวีดิโอในยูทูปมาเป็นอย่างดี แถมด้วยประสบการณ์จากการไปช่วยงานที่เกสต์เฮาส์ของเพื่อนที่คานาซาว่าอีก เขากับรุ่นพี่ยกฟูกนุ่มขนาดบางวางบนฟูกชั้นล่างที่แข็งและหนากว่า เอาผ้าปูสีขาวคลุมฟูกชั้นบน ชายผ้าเหน็บทับไว้ด้านล่างหลังจากดึงจนผ้าเรียบตึง จากนั้นเอาปลอกผ้าสีขาวสวมคลุมผ้านวม ยกด้านที่เห็นลายผ้านวมขึ้นและวางหมอนที่ใส่ปลอกเรียบร้อยแล้วลงไปบนฟูกเป็นลำดับสุดท้าย
        การปูที่นอนจบลงด้วยความรวดเร็ว เอย์จิกับชินจิเดินกลับมาที่ครัว ตอนที่ผ่านห้องอาหาร ชินจิได้ยินเสียงชามิเซ็งเล่นเพลง ‘Ue o Muite Aruko*’ ดังลอดประตูออกมา เอย์จิกระซิบอธิบายให้ฟังว่า
        “นั่นรุกะ เขาจะเล่นดนตรีให้แขกฟังสองสามเพลงในช่วงต้นของการรับประทานอาหาร จากนั้นจะปล่อยให้แขกมีเวลาส่วนตัวจนรับประทานอาหารเย็นเสร็จ”
        ใจของชินจิคิดไปถึงเสียงใบไม้ต้องลมที่เขาดันฟังเพี้ยนเป็นเสียงดนตรี เสียงเพลงของรุกะไม่ชวนให้รู้สึกวังเวงใจอย่างเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้เลย มีแต่ความไพเราะ ทำให้อดชื่นชมไม่ได้
         “รุกะซังเก่งจังนะครับ เล่นได้เพราะมากเลย”
         “ถ้ามีแขกต่างประเทศก็เล่นเพลงนี้แหละ บางครั้งก็เพลงการ์ตูนอย่างโดราเอมอน เล่นเพลงที่แขกรู้จัก เขาจะชอบ” เอย์จิพูด
         ในห้องครัวของเรียวกังกำลังวุ่นวาย สองพี่น้องโอซามุซังกับอิซึมิจังเดินไปเดินมา ท่าทางกระวนกระวาย เมื่อเห็นเอย์จิเปิดประตูครัวเข้ามาพร้อมกับชินจิ อิซึมิก็ปราดเข้ามาหา ละล่ำละลักบอกว่า
         “ท่านเอย์จิคะ แขกยังกลับมาไม่ครบเลยค่ะ”
         “กี่คน”
         “สองคนค่ะ สามีภรรยาคนอเมริกัน”
         เอย์จิขมวดคิ้ว แหงนมองเวลาจากนาฬิกาที่ติดอยู่ที่ผนัง เข็มสั้นอยู่ที่เลขเจ็ด นับว่าดึกสำหรับที่หมู่บ้านนี้เพราะพระอาทิตย์ตกดินไปตั้งแต่ราวห้าโมงเย็นแล้ว
         “ส่งใครไปดูรึยัง อาจเดินหลงทางอยู่ที่ไหนในหมู่บ้านก็ได้”
         อิซึมิส่ายหน้า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่า
         “งั้นส่งผู้นำสาส์นออกไปก่อน ถ้าเลยเวลาอาหารเย็นแล้วยังไม่ได้ข่าวอะไร ค่อยแจ้งไปที่ศาลเจ้า”
         โอซามุก้มศีรษะรับและผลุนผลันออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ชินจิมองตาม นึกสงสัยเรื่องผู้นำสาส์นที่ว่าขึ้นมาตงิด ๆ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาไม่กล้าพูดหรือซักถามอะไร ได้แต่ยืนมองคนโน้นคนนี้ที
         สักพักหนึ่งโอซามุก็กลับมา พ่อครัวประจำเรียวกังรายงานว่าได้จัดการตามคำสั่งของเอย์จิเป็นที่เรียบร้อย ไม่นาน รุกะก็เข้ามาสมทบภายในห้องอีกคนหนึ่ง ในมือยังถือชามิเซ็งอยู่ สีหน้าของหล่อนเคร่งเครียดพอ ๆ กับน้ำเสียงเมื่อถามว่า
         “แขกกลับมารึยัง”
         เอย์จิส่ายหน้า ขณะที่อิซึมิรายงานว่า
         “ส่งผู้นำสาส์นออกไปแล้วค่ะท่านรุกะ”
         หญิงสาวส่งเครื่องดนตรีในมือให้เด็กสาวนำไปเก็บในกล่อง แล้วแหงนหน้ามองนาฬิกา   
              “อีกสิบนาที” หล่อนพึมพำกับตัวเอง
         ชินจิที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินถนัด แต่ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนพูดหมายความว่าอย่างไร เขายืนนิ่งมองทุกคนเดินพล่านเหมือนเสือติดจั่น สีหน้าแสดงความวิตกกังวล ชายหนุ่มอยากช่วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะทำหรือจะพูดอะไรดี ก็พอดีกับที่เอย์จิหันมาหาเขา บอกให้รู้ว่า
         “เรากำลังรอข่าว ถ้าไม่เจอตัวในหมู่บ้าน จะต้องเกณฑ์คนออกไปหาในภูเขา”
         “ผมจะช่วยด้วยครับ มีอะไรให้ผมทำก็สั่งมาได้เลย” ชินจิเสนอตัวทันที แล้วเขาก็ได้รอยยิ้มอ่อน ๆ ของรุ่นพี่กลับมาแทนคำขอบคุณ
         สิบนาทีพอดีไม่ขาดไม่เกิน ก็เกิดเสียงดังปึ้ง!
         ชินจิสะดุ้งสุดตัว เสียงนั้นดังเหมือนอะไรแข็ง ๆ กระทบประตูอย่างแรง มันดังมาจากด้านนอก ตรงประตูหลังที่เปิดออกไปสู่ออนเซ็น ทุกคนผวาออกไปจากห้องครัวพร้อมกันเหมือนกับรอเสียงนี้อยู่แล้ว ชินจิมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็วิ่งตามคนอื่น ๆ ออกไปด้วย
         เอย์จิกระชากประตูเลื่อนด้านหลังเปิดออก บนพื้นที่ปูด้วยหินมีบางอย่างสีขาว ๆ ตกอยู่ ชินจิยืนอยู่รั้งท้าย พยายามเขย่งขึ้นมอง สิ่งที่รุ่นพี่ของเขาหยิบขึ้นมาเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกตัดเป็นรูปนก
         “ว่าไง ได้เรื่องอะไรบ้าง” รุกะเร่ง
         เอย์จิกวาดตาอ่านข้อความบนตัวนกกระดาษ ก่อนจะเงยขึ้นมองทุกคน จากสีหน้าของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าข่าวที่มาพร้อมกับนกกระดาษต้องไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน รุกะทนไม่ไหว คว้ากระดาษในมือเอย์จิมาอ่านเอง หน้าตาของหล่อนไม่ดีเลย เหนือศีรษะมีผีเสื้อสีน้ำเงินกระพือปีกอยู่ ชินจิขยี้ตาตัวเอง
              ผีเสื้อตัวนั้นหายไปแล้ว...
              เขาคงตาฝาด ไม่มีผีเสื้อสีน้ำเงิน มีเพียงผีเสื้อตัวเล็กที่เป็นเครื่องประดับปิ่นปักผมของรุกะเท่านั้น
         “หายไปในภูเขา”
              รุกะบอกทุกคน
              “เราต้องแจ้งศาลเจ้าและเกณฑ์คนเพื่อตามหาเดี๋ยวนี้”
         ไม่มีใครรอช้า ทุกคนเหมือนรู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว อิซึมิวิ่งกลับเข้าไปประจำการในครัว ขณะที่พี่ชายของหล่อน รุ่นพี่ของเขาและว่าที่โอะคะมิซังวิ่งออกไปข้างนอก ชินจิคนเดียวยืนทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะไปทางไหนดี แต่ระหว่างที่ยังยืนหันรีหันขวาง ตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น เอย์จิก็วิ่งกลับมาคว้าข้อมือของชายหนุ่มลากให้วิ่งตามไปด้วยกัน
          คนหลายคนรวมกลุ่มกันอยู่ที่สวนซากุระหน้าไฮเด็งของศาลเจ้า ไฟสลัว ๆ จากโคมไฟหน้าตัวอาคารทำให้เห็นว่าเป็นโฮโจ พระฝึกหัดทั้งสองคนและโอซามุ กำลังยืนจับกลุ่มพูดกันฟังไม่ได้ศัพท์ เอย์จิผลักรุ่นน้องของเขาไปยืนรวมกับคนพวกนั้น ส่วนตัวเองวิ่งทะลุสวนไปที่บ้าน
          ไม่นานก็มีคนมาร่วมสมทบด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เป็นคนในหมู่บ้าน บางคนใส่ชุดซามุเอะกางเกงขายาวแบบคนทำงานในศาลเจ้า บางคนก็แต่งตัวด้วยเสื้อสเว็ตเตอร์กับกางเกงธรรมดา ต่างถือตะเกียงมาด้วยคนละดวง คนที่เดินแกมวิ่งนำหน้าถือปืนไรเฟิลด้ามยาวมาด้วย ชินจิรู้จักผู้ชายคนนี้คนเดียว เขาคือนากามูระซังคนลูกที่เป็นพราน
           เสียงคุยกันจ้อกแจ้กหยุดลงทันทีเมื่อมาซาฮารุปรากฏตัว ตามหลังมาด้วยโอคินะ เออิจิโร่และรุกะ ทั้งหมดสวมชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้ม ชินจิเห็นแล้วกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ท่าทางของทุกคนเหมือนกำลังจะไปออกศึก ไม่ใช่แค่ตามหาคนหายอย่างที่เขาเข้าใจ
                โฮโจส่งคันธนูกับกระบอกใส่ลูกธนูให้โอคินะ เออิจิโร่และรุกะ หญิงสาวคนหลังสวมมุเนะอาเตะซึ่งเป็นเกราะหนังสำหรับป้องกันช่วงอก บนศีรษะของหล่อนมีผีเสื้อสีน้ำเงินกระพือปีกบินอยู่อีกแล้ว ส่วนมาซาฮารุไม่ใช้ธนู อาวุธของเจ้าบ้านคนปัจจุบันคือดาบเล่มยาว ปลอกและด้ามดาบสีดำ ถือเอาไว้ในมือข้างขวา
                 เอย์จิตามมาเป็นคนหลังสุด ชายหนุ่มเปลี่ยนจากยูกาตะที่ใส่ทำงานที่เรียวกังเป็นชุดฝึกเหมือนคนอื่น ๆ ในมือถือคันธนูและสะพายกระบอกใส่ลูกธนูที่ไหล่ มาซาฮารุเหลือบเห็นลูกชายคนเล็กเข้าพอดี ผู้เป็นบิดานิ่วหน้า ออกคำสั่งเสียงเฉียบขาดว่า
                 “แกไม่ต้องไป เอย์จิ ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์!”
                 ชินจิเห็นรุ่นพี่ของเขาชะงัก หน้าเสีย
                  “นายอยู่ที่นี่แหละ คอยดูแลแขกไว้ไม่ให้แตกตื่น” เออิจิโร่รีบยื่นมือเข้ามาช่วยคลายสถานการณ์ น้ำเสียงและคำพูดที่ใช้ฟังเข้าหูกว่าผู้เป็นบิดามาก
                  “เอานี่ไว้ด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้น เนเน่จังจะได้ช่วยได้” ชายหนุ่มล้วงเอากระบอกไม้ไผ่จากในแขนเสื้อมาส่งให้น้องชายฝาแฝด หลังจากนั้นก็หันมาทางที่ชินจิยืนอยู่ ทำมือเรียกให้เดินเข้ามาหา
                  “ชินจิคุงก็ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่คอยช่วยเอย์จิ” เออิจิโร่สั่ง
                  ชายหนุ่มรุ่นน้องทำตามอย่างรวดเร็วโดยการก้าวมายืนเคียงข้างเอย์จิ ตลอดเวลาเขาไม่สบายใจเลย ไม่ใช่เพราะความไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะสีหน้าของเอย์จิด้วย ตั้งแต่โดนบิดาตวาด รุ่นพี่ของเขาก็หน้าไม่ดี ชินจิเห็นทั้งความไม่พอใจ ความน้อยใจ ความเสียใจ รวมทั้งความหม่นหมองอยู่บนใบหน้านั้น ริมฝีปากล่างถูกกัดแน่นจนสั่นระริก
                   ชินจิมัวแต่ห่วงความรู้สึกของรุ่นพี่ของเขาจนทำให้ไม่ได้ตั้งใจฟังรายละเอียดของเส้นทางการค้นหาในภูเขาที่มาซาฮารุกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ หลังจากนั้น บิดาของฝาแฝดผู้เป็นหัวหน้าก็นำคณะค้นหาที่ประกอบด้วยคนของศาลเจ้าและชาวบ้านรวมแล้วสิบกว่าคนออกจากศาลเจ้า มุ่งหน้าไปตามทางที่นำไปสู่ภูเขามิคามิ ชินจิมองตามหลังคนทั้งหมดไปด้วยความกังวล
                    “จะเป็นยังไงก็ไม่รู้นะครับเอย์จิซัง”
                    คำพูดของชายหนุ่มไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด ทำให้เขาหันไปมองคนข้างตัวด้วยความสงสัย
                    “เอย์จิซัง!” ชินจิเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
                    เอย์จิกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออก มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ร่างสูงใหญ่สั่นเทาจากอารมณ์มากมายภายในที่ถูกสะกดกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
                    “ไม่เอาครับ! อย่าทำแบบนั้น!” ชินจิผวาไปจับท่อนแขนของชายหนุ่มเขย่าโดยแรง การกระทำกับเสียงร้องนั้นทำให้เอย์จิรู้สึกตัว เลิกกัดริมฝีปากของตัวเอง มือที่กำเป็นหมัดอยู่ทั้งสองข้างก็คลายออกด้วย
                    “ชินจิ...”
                    “ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เอย์จิซังไม่ควรทำแบบนี้นะครับ” ชินจิพูด ริมฝีปากของเอย์จิมีเลือดไหลซิบ เขาอยากจะช่วยเช็ดออกให้เหลือเกิน แต่เขาไม่มีผ้าเช็ดหน้าติดตัวมาเลยสักผืน สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้ชายแขนเสื้อด้านในที่คิดว่าน่าจะสะอาดพอซับเลือดที่ริมฝีปากให้อย่างเบามือ
                    “โธ่ นี่เจ็บมากไหมครับ”
                    สีหน้าของเอย์จิดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่มากพอจะทำให้ยิ้มออกมาได้ก็ตาม หากชายหนุ่มก็สามารถกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้งในที่สุด
                    “ไม่หรอก ไม่เป็นไร” เอย์จิปฏิเสธ จับมือรุ่นน้องเอาไว้ให้หยุด
                    “ไปทำแผลก่อนดีกว่าไหมครับ”
                    “ช่างมันเถอะ นิดหน่อยแค่นี้ ขอโทษที่ทำให้นายตกใจ”
                    “แต่ว่า...”
                    “เรายังมีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ ช่วยดูแลสถานการณ์ที่เรียวกังให้ปกติยังไงล่ะ นายก็ได้ยินที่พ่อกับพี่ชายของฉันพูดแล้วนี่ ไปกันเถอะ”
                    พูดจบ เอย์จิก็ออกเดินนำกลับไปที่เรียวกัง ชินจิรีบเดินตามไปติด ๆ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 8 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 10:48:00
               คณะค้นหาแยกออกเป็นสองกลุ่มตามคำสั่งของมาซาฮารุ กลุ่มหนึ่งมีโอคินะกับโฮโจเป็นผู้นำออกค้นหาบริเวณป่ารอบนอก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วยตัวเขาเอง เออิจิโร่ รุกะ พระฝึกหัดสองคนคือคิโยชิกับนาโอกิ และนากามูระผู้ถือไรเฟิลติดมือมาด้วยมุ่งไปที่ทะเลสาบบิวะ
               “สรุปว่านี่คือฝีมือของพวกอสูรอีกแล้วใช่ไหม” รุกะกระซิบถามเออิจิโร่ที่เดินอยู่ข้าง ๆ ผีเสื้อสีน้ำเงินที่เคยบินอยู่เหนือศีรษะเกาะอยู่ที่ไหล่ของหญิงสาว ปีกบางกระพือเบา ๆ
               “ยังไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือของอสูรจากฮะคุริวหรือพวกภูตพรายอื่นในภูเขา แต่สองสามีภรรยานั่นหายไปแถว ๆ ทะเลสาบ”
               “นี่มันหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ ทุกวันนี้พวกภูตพรายชั้นต่ำก็ออกมาวนเวียนจนใกล้จะถึงเขตแดนชั้นในของหมู่บ้านจนเราต้องออกกฎห้ามออกจากบ้านในเวลากลางคืนโดยไม่จำเป็นอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่เขตแดนตรงนั้นจนถึงทะเลสาบบิวะควรจะเป็นของเราแท้ ๆ เรายอมพวกอสูรเกินไปรึเปล่า”
               หญิงสาวพูดด้วยความไม่พอใจ
               “ทำไงได้ เราไม่อยากให้เกิดศึกระหว่างมนุษย์กับอสูรนี่นา มีแต่เสียกับเสีย แต่ถ้าเหตุการณ์ร้ายยังเกิดขึ้นบ่อย ๆ แบบนี้ท่านพ่อก็คงไม่ยอมเหมือนกัน วันนี้ถึงตรงไปที่ทะเลสาบเลยไง” เออิจิโร่ตอบพลางเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด รุกะสาวเท้าตาม ถามต่อว่า
               “นี่หมายความว่าท่านพ่อจะไปพบกับมังกรขาวเลยยังงั้นเหรอ”
               “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คิดว่าท่านพ่อคงแค่จะส่งสาส์นเตือนมากกว่า ท่านมิโคโตะควรจะต้องควบคุมพวกอสูรกับภูตพรายในภูเขาให้ดีกว่านี้”
               “แล้วที่มีข่าวว่าพวกอสูรกำลังขัดแย้งกันเอง เธอคิดว่าจริงรึเปล่า”
               “ไม่รู้สิ เดี๋ยวถึงทะเลสาบ เธอก็ลองถามพวกอสูรดูก็แล้วกัน น่าจะได้คำตอบที่ถูกต้องมากกว่าถามฉันนะ”
               “นี่!”
               รุกะถลึงตาใส่คู่หมั้นหนุ่มด้วยความไม่พอใจที่จู่ ๆ ก็ถูกกวนอารมณ์อย่างหน้าตาเฉย แต่หล่อนไม่มีโอกาสจะได้ต่อว่าเขามากกว่านี้เพราะกำลังจะเข้าเขตทะเลสาบบิวะในไม่ช้า
               สายหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นน้ำที่สงบนิ่ง มันลอยช้า ๆ แผ่กระจายไปทั่วบริเวณทะเลสาบ จนกระทั่งปรากฏร่างมนุษย์กลุ่มหนึ่งเดินแกมวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ไม่ห่างจากริมทะเลสาบมากนัก มันก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลับเข้าสู่ฝั่ง
หมอกสีขาวลอยวน ก่อนจะก่อตัวขึ้นเป็นร่างของชายวัยกลางคน ผมดำหยิกฟูยาว สวมเสื้อเบลเซอร์แขนยาวสีดำทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีเขียวขี้ม้าปลายขาบานออกเล็กน้อยกับรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ ใบหน้าของเขาเฉยเมย เปลือกตาที่ระบายสีจนเข้มหรี่ลงจนเกือบจะปิด การยืนของเขาไม่มั่นคง
               ฝ่ายมนุษย์กระชับอาวุธในมือและมีท่าทีระแวดระวังทันทีที่เห็นร่างของมาซาคาโดะ อสูรผู้ทำให้หลงทางซึ่งเป็นผู้พิทักษ์เขตแดนรอบนอกของฝ่ายอสูรและภูตพราย ผีเสื้อสีน้ำเงินกระพือปีกบินขึ้นจากไหล่ของรุกะ หญิงสาวย่นจมูกนิด ๆ จากกลิ่นสุราที่โชยมาจากร่างสูงผอมของอสูรตนนี้
                “ท่านมาซาคาโดะ”
                มาซาฮารุก้าวออกไปเผชิญหน้า
                “ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาในคืนนี้”
                “มนุษย์สองคนข้ามเขตแดนเข้ามาในดินแดนของเรา” เสียงของมาซาคาโดะอ้อแอ้เล็กน้อยและนั่นทำให้รุกะย่นจมูกมากขึ้นด้วยความรังเกียจ ส่วนเออิจิโร่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ส่งเสียงโต้ตอบทันทีเมื่อฟังจบ
                “แต่ผู้นำสาส์นของเราแจ้งว่าทั้งสองคนนั่นยังไม่ได้ข้ามเขตแดน พวกเขาถูกจู่โจมและหลอกหลอนในเขตแดนของเรา”
                “มนุษย์ข้ามเขตแดนของอสูร”
                เออิจิโร่ขยับตัวจะเถียงอีก แต่ผู้เป็นบิดายกมือห้ามเอาไว้ก่อน สีหน้าและท่าทางของหัวหน้าฝ่ายมนุษย์เยือกเย็น
                “เรื่องนั้นพูดกันยังไงก็ไม่จบ ท่านมาซาคาโดะ ตอนนี้ข้าขอเพียงให้มนุษย์ทั้งสองคนนั้นกลับคืนมาในสภาพที่ปลอดภัยก่อนเท่านั้นก็พอ”
                “มุราซากิกำลังนำมาส่ง แต่อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยหรือไม่ ไม่รับรอง”
                “เอ๊ะ! พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง จะกวนกันเหรอ” เสียงรุกะดังสวนขึ้นทันที ภาระตกหนักที่มาซาฮารุ นอกจากจะต้องห้ามลูกชายตัวเองแล้ว หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ยังต้องห้ามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยอีกคน
                รุกะเงียบเสียงเมื่อมาซาฮารุหันมาทำหน้าดุใส่ แต่หล่อนยังมีท่าทางฮึดฮัดขัดใจ เมื่อสักครู่หญิงสาวโดนมนุษย์ยียวนใส่มาแล้วครั้งหนึ่ง นี่มาเจออสูรขี้เมาเข้าอีกตน อารมณ์ของหล่อนก็เลยพุ่งปรี๊ดขึ้นมา ห้ามไม่อยู่
                “ถ้าเช่นนั้น เราจะรอท่านมุราซากิ” มาซาฮารุสรุป
                หลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฏสายหมอกลอยออกมาจากป่าที่อยู่ลึกเลยเขตทะเลสาบเข้าไป สายหมอกสีม่วงจางเหมือนสีของดอกไลแลคจับตัวกันเป็นกลุ่มและกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งเหมือนหนังหุ้มกระดูก หน้าเรียว แก้มตอบ ผมสีดำยาวปรกไหล่ปัดไปด้านข้าง มีขนนกติดสลับกับปอยผมสีม่วงบนศีรษะ สวมผ้าคลุมยาวสีม่วงสดตกแต่งด้วยกระดุมและพู่สีทองกับกางเกงหนังสีดำแนบสนิทกับเรียวขา ใส่รองเท้าบู๊ตหนังสีเดียวกันยาวเกือบถึงหัวเข่า
                ในมือสองข้างของอสูรที่ปรากฏตัวขึ้นมาทีหลังตนนี้หิ้วแขนมนุษย์สองคนมาด้วย และเพียงแค่ขยับมือเบา ๆ ร่างทั้งสองนั้นก็ลอยมาทางที่มนุษย์ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ คิโยชิกับนาโอกิ พระฝึกหัดทั้งสองคน รีบวิ่งเข้าไปรับและประคองร่างทั้งคู่ให้ค่อย ๆ นอนลงที่พื้น
                 ผิวขาวอมชมพูแบบฝรั่งของสองสามีภรรยาบัดนี้ซีดจนเห็นขาวโพลนอยู่ในความมืด ดวงตาของทั้งคู่เบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวที่จู่โจมเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
                 “ผี ผี เต็มไปหมดเลย” เสียงสั่น ๆ ของชายผู้เป็นสามีพูดซ้ำไปซ้ำมา ฝ่ายภรรยาก็จิกเล็บยึดแขนเสื้อของนาโอกิที่ประคองหล่อนอยู่ไว้แน่น
                 “หัวคนลอยไปลอยมา มันจะกินพวกเรา” หล่อนพูดด้วยท่าทางของคนที่กลัวจนคุมสติไม่อยู่ พูดจบก็หวีดร้องเสียงดัง
                 รุกะกับเออิจิโร่ที่ปราดเข้ามาดูสองสามีภรรยาชาวอเมริกันมองสบตากันด้วยความวิตกกังวล
                 “นี่มันแย่ที่สุดเลย” หญิงสาวหันไปโวยใส่อสูรทั้งสองตนด้วยความโกรธ ดวงตาวาววับ ผีเสื้อสีน้ำเงินที่บินอยู่เหนือไหล่ยิ่งกระพือปีกเร็วขึ้น
                 “ท่านมิโคโตะมีบัญชาให้นำมนุษย์ทั้งสองที่ล้ำแดนมาส่งคืนพวกท่าน” อสูรสายหมอกมุราซากิพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
                 “ยังไม่ชัดเจนไม่ใช่รึว่าใครล้ำแดนใครกันแน่” เออิจิโร่โต้ พร้อม ๆ กับที่คู่หมั้นสาวของเขาโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดสีเช่นกันว่า
                 “ช่างเป็นความเมตตาของมังกรขาวจริง ๆ!”
                 สีหน้าของอสูรทั้งสองตนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
                 “อสูรไม่เคยปล่อยให้ผู้ล้ำแดนมีชีวิตรอดกลับไป” มาซาคาโดะกล่าวแถมท้าย
                 “แต่นี่มันแย่ยิ่งกว่าตายอีกนะ” รุกะตะโกนเถียง และก่อนที่ความขัดแย้งจะบานปลายมากกว่านี้ มาซาฮารุก็หันมาปรามฝ่ายของเขาให้อยู่ในความสงบ แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนทั้งคู่อีกครั้ง สีหน้าของเขายังคงความเยือกเย็น มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่วาวโรจน์ขึ้นกว่าเดิม
                 “อย่างไรก็ตาม ข้าต้องขอขอบคุณฝ่ายอสูรสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้” มาซาฮารุก้มศีรษะคำนับและก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งตัว หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ก็ล้วงเอากระดาษสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเริ่มร่ายเวท

                 จิ้งจอกเปลวอัคคี
                 จากความว่างเปล่าสู่ชีวิต
                 จงนำ สาส์นแห่งข้า


                 แผ่นกระดาษสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศและเปลี่ยนรูปจากกระดาษธรรมดาเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ที่ลุกเป็นไฟทั้งตัว มันกระโจนผ่านอสูรสองตนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า พุ่งตัวหายลับเข้าไปในป่าซึ่งเป็นทางเดียวกับที่สายหมอกสีม่วงของมุราซากิลอยออกมา
                 ทุกคนพากันตกตะลึง
                 “และข้ามีข้อความเล็ก ๆ น้อย ๆ ฝากถึงท่านมิโคโตะ หวังว่าพวกท่านจะเปิดทางให้ชิกิงามิของข้าแต่โดยดี”
                 เออิจิโร่หลุดขำกับคำที่บิดาของเขาเลือกใช้ ชิกิงามิหรือหุ่นพยนต์ที่ถูกเสกขึ้นมาด้วยเวทของนักปัดรังควานระดับบิดาของเขาสามารถฝ่าเขตแดนของฮะคุริวไปถึงมือของมิโคโตะได้โดยไม่ต้องอาศัยใครเปิดทางให้หรอก ในทางตรงกันข้าม หากใครคิดจะมาขวางล่ะก็อาจจะถูกเผามอดไหม้เป็นขี้เถ้าไปเลยก็ได้
                 นึกแล้วก็น่าสนุกแฮะ บิดาของเขานี่กระตุกหนวดมังกรได้น่าดูแท้ ๆ
                 “ท่านทำอย่างนี้ เรื่องมันไม่จบง่าย ๆ แน่!” มุราซากิที่วางหน้าเฉยมาตลอดคำรามด้วยความโกรธจัดก่อนจะสลายร่างกลายเป็นหมอกสีม่วงจางลอยตามจิ้งจอกที่ลุกเป็นไฟทั้งตัวไปอย่างรวดเร็ว
                 “น่ากลัวมาก ขู่จบก็หายตัวไปเลย” เออิจิโร่แขวะด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์
                 “อย่าเสียมารยาท” มาซาฮารุปรามลูกชาย มุราซากิไปแล้ว แต่ยังเหลือมาซาคาโดะที่ยืนจังก้าขวางหน้าอยู่อีกหนึ่งตน เขาไม่อยากให้ลูกชายของเขาได้ใจจนเกินไปนัก
                 “พวกข้าขอตัวก่อน” หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ก้มศีรษะเป็นการอำลา แล้วหันไปโบกมือเป็นสัญญาณให้ฝั่งของตนถอยกลับ พระฝึกหัดทั้งสองคนกับนากามูระช่วยกันประคองสามีภรรยาชาวอเมริกันที่ยังเพ้อและส่งเสียงกรีดร้องออกเดินนำไปก่อน รุกะจ้องมาซาคาโดะด้วยสายตาเหมือนจะท้าตีท้าต่อยส่งท้ายก่อนจะตามหลังคนกลุ่มแรกไป เหลือมาซาฮารุกับเออิจิโร่รั้งท้าย ฝ่ายหลังขยิบตาให้อสูรพิทักษ์เขตแดน ยิ้มหวานยวนยั่ว
                 “โอทสึคาเระซามะ เดชิตะ! เหนื่อยหน่อยนะครับวันนี้”
                 ริมฝีปากสีแดงคล้ำของมาซาคาโดะกระตุก แม้ว่าอสูรอย่างเขาจะเฉยเมยกับทุกเรื่องได้ขนาดไหน แต่คำพูดยียวนของเจ้าเด็กนี่ทำให้เขาชักเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมารำไร
                 เป็นโชคดีของมันที่ไปเสียก่อน
                 อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถึงแม้ว่าพวกมนุษย์จะไปกันหมดแล้วก็ตาม
                 “นี่ถ้าเป็นข้านะ เจ้าเด็กปากเสียนั้นได้โดนสั่งสอนแน่ ท่านใจดีเกินไปแล้ว ท่านมาซาคาโดะ”
                 เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง
                 ไม่จำเป็นต้องหันไปมอง มาซาคาโดะก็รู้ว่าผู้พูดเป็นใคร อสูรผู้สามารถกลายร่างเป็นหมอกสีขาวยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางไม่สบอารมณ์
                 “เท่าที่พวกเจ้าทำลงไปก็เป็นเรื่องมากพออยู่แล้ว ยังจะทำให้มันแย่ลงอีกรึไง คะมิกิ ไทมะซึมะรุ”
                 อสูรสองตนปรากฏร่างขึ้น คะมิกิใส่หมวกไหมพรมสีแดงตัดกับผมสีเขียวที่โผล่พ้นหมวกออกมา สวมเสื้อยืดสีขาวแขนยาวกับกางเกงผ้าขากว้างสีดำลายเป็นดอกดวงสีเปรอะ ๆ ใส่รองเท้าสนีกเกอร์สีขาว ข้างกายของอสูรตัวเล็กคือไทมะซึมะรุ อสูรผมสีบลอนด์จาง สวมเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีเทาอ่อนกับกางเกงยีนสีซีดที่มีรอยขาดและรองเท้าบู๊ตครึ่งแข้งสีดำ ใบหน้าที่งดงามเห็นไม่ถนัดตาเพราะถูกฮู้ดที่สวมอยู่บนศีรษะและแว่นตากรอบสีดำบดบังไว้ 
                  “พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” คะมิกิปฏิเสธ ยิ้มกว้างจนตาหยี
                  “อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า” มาซาคาโดะหันหลังกลับมามองด้วยสายตาหรี่ปรือ แต่น้ำเสียงของเขาไม่อ้อแอ้เหมือนที่พูดกับมนุษย์อีกต่อไป มันห้วนและเข้มจัด
                  “เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่รู้เมื่อมีผู้ล้ำแดน มันต้องมีใครสักคนลอบสลายเขตแดนบางส่วนของข้าแล้วหลอกล่อให้มนุษย์เข้ามา คนที่ทำอย่างนั้นได้จะเป็นผู้ใด หากไม่ใช่พวกเจ้า”
                  “ท่านกล่าวหาพวกข้าโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้มันไม่ดีนา” คะมิกิพูดเสียงเล็กเสียงน้อย มันเสียดหูคนฟังยิ่งนัก
                  “ท่านอาจจะเมาจนไม่รู้ตัวเองก็ได้”
                  สุดจะทนอีกต่อไป แขนข้างหนึ่งของมาซาคาโดะกลายเป็นสายหมอกสีขาว คะมิกิยังยิ้มตาหยี แต่มือข้างหนึ่งดึงหมวกไหมพรมที่สวมอยู่ออก เส้นผมสีเขียวเริ่มยาวขึ้น
                  “พอได้แล้ว!”
                  ไทมะซึมะรุรีบเอาตัวเข้าขวางก่อนที่อสูรทั้งสองจะปะทะกัน เขาผลักคะมิกิถอยหลัง แล้วหันมาพูดกับผู้อาวุโสกว่าว่า
                   “ข้าขออภัย ท่านมาซาคาโดะ หากคะมิกิจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ข้าขอยืนยันว่าพวกข้าไม่ได้ทำสิ่งใด แค่ออกมาดูเหตุการณ์ตามคำสั่งของท่านอาคางิเท่านั้น”
                   คะมิกิยังแสดงท่ากระฟัดกระเฟียด แต่ยอมสวมหมวกไหมพรมสีแดงกลับลงบนศีรษะ ฝ่ายอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนก็ดึงสายหมอกที่ปล่อยออกมาให้กลับมาหาตัว
                   “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมรายงานอาคางิทุกอย่างล่ะ” มาซาคาโดะแกล้งเน้นเสียง
                   “พวกข้าขอตัวก่อนดีกว่า ท่าอาคางิรออยู่”
                   ไทมะซึมะรุไม่สนใจคำพูดเสียดสี เขากล่าวคำลาพร้อมกับก้มศีรษะคำนับอย่างสุภาพ คะมิกิทำตามแม้ว่าจะมีท่าทางไม่เต็มใจสักเท่าไร
                    อสูรสองตนหายวับไปกับความมืด
                    มาซาคาโดะมองตามไปด้วยความโมโหระคนวิตกกังวล จากนั้นร่างของเขาก็สลายกลายเป็นสายหมอกสีขาวและกระจายตัวไปทั่วบริเวณ

                    แสงไฟวอมแวมจากตะเกียงหลายดวงที่เห็นมาแต่ไกลทำให้ร่างสูงใหญ่ที่ยังใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้มอยู่ไหวตัวและพลอยทำให้คนที่อาศัยไหล่ของเขาเป็นหมอนหนุนนอนพลอยรู้สึกตัวตื่นไปด้วย ชินจิขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงงุน เขาได้ยินเสียงเอย์จิบอกว่า
                    “พวกนั้นกลับมาแล้ว”
                    ชินจิรีบลุกขึ้นจากม้านั่งหน้าเรียวกังที่นั่งอยู่ด้วยกันตามเอย์จิออกไปยืนรอบนถนน ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว
                    หลังจากที่ทุกคนรู้ว่ามีคนหายไปในภูเขาอีกแล้ว บิดากับพี่ชายของเอย์จิก็นำคนของศาลเจ้าและชาวบ้านในหมู่บ้านออกค้นหา ส่วนเขากับรุ่นพี่ได้รับคำสั่งให้อยู่โยงเฝ้าเรียวกังและคอยดูแลแขกไม่ให้แตกตื่น ตัวเขาไม่มีปัญหาที่ต้องทำหน้าที่นี้ แต่ดูเหมือนว่าเอย์จิจะไม่พอใจและเสียใจอยู่ไม่น้อย รุ่นพี่ของเขาถึงกับกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออก แต่เอย์จิก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
                    แขกของเรียวกังที่เป็นคนฮ่องกงไม่ระแคะระคายเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็กลับเข้าไปพักผ่อนในห้อง แต่แขกคนญี่ปุ่นทั้งสี่คนมีท่าทีสงสัย อาจจะเพราะเคยรู้ข่าวคราวผ่านตามาบ้าง หลังเวลาอาหารเย็น ทั้งหมดจึงสมัครใจจะนั่งอยู่ที่ล็อบบี้เพื่อคอยดูสถานการณ์ เอย์จิจึงชักชวนให้แขกเข้ามานั่งล้อมวงรอบเตาอิโรริในห้องรับประทานอาหารและสั่งให้อิซึมิกับชินจินำมันหวานมาเผาให้ทุกคนได้กิน
                    ระหว่างที่แขกสนุกสนานกับการรับประทานของว่างมื้อดึก เอย์จิก็เอาชามิเซ็งของรุกะมาเล่น ชายหนุ่มไม่เก่งเท่าคู่หมั้นของพี่ชาย แต่ก็พอดีดเพลงง่าย ๆ ได้ แขกจึงเพลิดเพลินและพลอยทำให้คลายความกังวลสงสัยจนยอมกลับเข้าห้องไปในที่สุด
                    หลังจากช่วยอิซึมิทำความสะอาดและเก็บล้างในครัว ชินจิก็เดินออกมาหาเอย์จิที่นั่งอยู่บนม้านั่งหน้าเรียวกัง
                    “ยังไม่กลับกันมาอีกหรือครับ” ชายหนุ่มถาม
                    เอย์จิส่ายหน้า
                    “ผมว่าคุณไปรอข้างในดีกว่าไหมครับ ข้างนอกนี่มันหนาวนะ” ชินจิเสนอด้วยความเป็นห่วง แต่รุ่นพี่ของเขาส่ายหน้าอีกครั้ง
                    “ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้”
                    เมื่อเอย์จิยืนยันอย่างนั้น เขาก็ไม่ยอมกลับเข้าไปข้างในเรียวกังเหมือนกัน ถ้าเอย์จิรอข้างนอก เขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนเอง
                    “นั่งด้วยกันสิ อย่ายืนอยู่อย่างนั้นเลย” เอย์จิชวน
                    ชินจิหยุดคิด แล้วก็พยักหน้าในที่สุด
                    ทั้งสองคนนั่งข้าง ๆ กัน แต่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย เหมือนต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ ชินจิรู้สึกว่าหนังตาของเขาเริ่มหนักอึ้ง คงเพราะทำงานหนักมาทั้งวัน พอมานั่งนิ่ง ๆ ก็เลยรู้สึกง่วง แล้วชายหนุ่มก็เริ่มสัปหงก
                    ชินจิไม่รู้ตัวเลยว่าเอนซบไหล่รุ่นพี่ของเขาตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เอย์จิขยับตัวลุกขึ้นเมื่อครู่นี้
                    แสงตะเกียงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงพูดคุยกันพึมพำ และถ้าหูของเขาไม่ฝาด ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องด้วย
                    อึดใจต่อมา เมื่อขบวนคนเดินเข้ามาถึง เขาก็ได้เห็นสภาพของผู้หญิงคนนั้นเต็มตา
                    ชินจินิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 9 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 30-03-2016 19:12:31
ชินจิคงอึ้งมากเมื่อเห็นสามีภรรยาต่างชาติกลับมาแบบนั้นอ่ะนะ

ติดตามต่อไปปป :mew1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 9 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 19:39:07
บทที่ 10

        “หัวคน! หัวคนลอยเต็มไปหมดเลย! ช่วยด้วย!”
        ผู้หญิงอเมริกันกรีดร้อง ท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปจากคนที่ชินจิเคยเห็นเมื่อตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีซีดของหล่อนเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว ผมสีอ่อนยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง เสื้อผ้ามีรอยขาดและเปื้อนฝุ่นดินรวมทั้งเศษใบไม้แห้ง เหมือนกับหล่อนเพิ่งผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไรอย่างนั้น สภาพของผู้เป็นสามีก็แทบไม่ต่างกัน ร่างกายสูงใหญ่ของเขามีเลือดซิบจากรอยขีดข่วนตามลำตัว แขน ขา และใบหน้า แถมยังเอาแต่ร้องลั่น ๆ ว่า
         “ผี! มันจะฆ่าเรา! ผี! ผี!”
         ชินจิกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
              สองคนนี้เจออะไรในป่ากันแน่ ที่ภูเขามิคามิแห่งนี้มีอะไรสิงสู่อยู่จริง ๆ หรือ เรื่องภูตผีปีศาจไม่ได้มีอยู่แต่ในนิทานนิยาย แต่มันมีอยู่จริง ๆ ใช่ไหม
              ชายหนุ่มหันหารุ่นพี่ของเขา เห็นเอย์จิเดินหน้าขาวไปคุยอะไรกับเออิจิโร่สองคน ท่าทางจริงจัง อีกด้านหนึ่ง มาซาฮารุพูดคุยปรึกษากับผู้เฒ่าโอคินะอยู่สักครู่ ฝ่ายหลังก็ผละเดินไปทางด้านหลังศาลเจ้าอย่างเงียบ ๆ ส่วนท่านเจ้าอาวาสและผู้นำศาลเจ้าก็มีคำสั่ง
              “ช่วยกันพาสองคนนี้ไปที่ไฮเด็งเถอะ คืนนี้คงต้องให้ทั้งสองคนอยู่ที่ศาลเจ้าไปก่อน”
              “ผมจะไปเตรียมอาหารร้อน ๆ กับน้ำชา ถ้าแขกสงบสติอารมณ์ได้แล้ว พวกเขาคงจะหิวแน่ ๆ” โอซามุพูดแล้วเดินกลับไปที่เรียวกัง
               ที่ประตูด้านหน้า อิซึมิมาเมียง ๆ มอง ๆ อยู่แล้ว พอเห็นพี่ชายเดินมา เด็กสาวก็รีบถลาเข้าไปหาพร้อมกับซักถามเรื่องราว ทั้งสองคนเดินคุยกันพึมพำเข้าไปในเรียวกัง
               “ฉันจะแจ้งไปที่สถานีตำรวจในตัวเมืองให้รับทราบ พรุ่งนี้พวกเขาคงมากันแต่เช้า” รุกะพูดบ้าง
โฮโจ คิโยชิและนาโอกิช่วยกันพยุงตัวนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเข้าไปในศาลเจ้าอินาริ โดยมีมาซาฮารุกับรุกะเดินตามไปติด ๆ
เออิจิโร่เป็นตัวแทนของบิดากล่าวคำขอบคุณทุกคนในหมู่บ้านที่ช่วยกันออกตามหาคนหาย เขายืนยันว่าสองสามีภรรยานักท่องเที่ยวจะปลอดภัย พวกชาวบ้านจึงสลายตัวกลับไปยังบ้านเรือนของตัวเองจนหมด เหลือเพียงฝาแฝดและชินจิเท่านั้นที่ยังยืนอยู่บนถนนบริเวณหน้าเรียวกัง
                “ลำบากหน่อยนะชินจิคุง” เออิจิโร่ยิ้มให้รุ่นน้องของน้องชายที่ยืนทำหน้างง ๆ มองไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างคนที่ไม่เข้าใจอะไรนัก
                “ทำไมทั้งสองคนกลายเป็นแบบนี้ล่ะครับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชินจิถาม
                เออิจิโร่มองสบตากับน้องชาย ฝ่ายหลังส่ายหน้าน้อย ๆ
                “คนหลงทางในป่าตอนกลางคืนก็ตาฝาดเห็นภาพหลอนไปต่าง ๆ นานานั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก”
                เออิจิโร่ตอบพลางตบไหล่รุ่นน้องของน้องชายเบา ๆ เป็นการปลุกปลอบ
                “พรุ่งนี้คงวุ่นวายนิดหน่อย งานที่เรียวกังก็ฝากเธอด้วยนะ”
                “ครับ ผมจะทำอย่างเต็มที่” ชินจิก้มศีรษะรับ แฝดคนพี่ตบไหล่เขาอีกครั้ง แล้วใช้กระบอกไม้ไผ่ที่รับคืนมาจากน้องชายโบกไหว ๆ เป็นการลา
                “ฉันต้องไปที่ไฮเด็งก่อนล่ะนะ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกเธอสองคนไปพักผ่อนเถอะ”
                ชินจิยังไม่อยากไปไหน เขายังอยากจะถามอะไรอีกเยอะแยะ แต่ตอนนี้เออิจิโร่ไม่อยู่แล้ว เหลือเขากับรุ่นพี่ยืนอยู่ด้วยกันแค่สองคน ชายหนุ่มมองรุ่นพี่อย่างคาดหวัง แต่เอย์จิปิดโอกาสของรุ่นน้องด้วยการออกคำสั่งว่า
                 “นายกลับไปพักผ่อนได้แล้วชินจิ งานคืนนี้จบแล้ว เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”
                 ชินจิจำใจพยักหน้ารับคำ ทั้ง ๆ ที่ยังมีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวไปหมด

                 ตอนเช้าวันถัดมา ชินจิกำลังใช้กระบวยไม้วักน้ำจากถังน้ำสาดล้างบริเวณหน้าเรียวกัง เขาเห็นรถตำรวจรวมทั้งรถพยาบาลแล่นตามกันเข้ามาจอดที่หน้าศาลเจ้าอินาริ หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็โกลาหลเล็กน้อย เจ้าหน้าที่นำเปลหามคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันขึ้นรถพยาบาล หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็มาที่เรียวกังเพื่อนำข้าวของของคู่สามีภรรยาไป แขกของเรียวกังพากันโผล่หน้าออกมามอง พึมพำกันแซด
                 ชายหนุ่มทราบจากอิซึมิว่าทั้งสองคนยังมีอาการหวาดกลัวและเห็นภาพหลอนอยู่ แถมร่างกายยังอ่อนเพลียจึงต้องไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะหายเป็นปกติ ส่วนเอย์จิกับรุกะไม่ปรากฏตัวที่เรียวกังตั้งแต่เช้า คาดว่าทั้งสองคนคงอยู่ที่ศาลเจ้าอินาริ ที่เรียวกังเหลือคนงานแค่สามคน งานจึงค่อนข้างล้นมือ ชินจิช่วยงานในครัว จัดอาหารเช้าที่ห้องรับประทานอาหาร จากนั้นระหว่างที่แขกรับประทานอาหารเช้า เขากับอิซึมิก็ช่วยกันเก็บที่นอนในห้องพักแขก เสร็จแล้วมาช่วยงานเก็บล้างในครัวต่อ
                  เมื่อถึงเวลาแขกของเรียวกังจะเช็กเอาท์ ชินจิถึงได้เห็นรุกะเปิดประตูเรียวกังเข้ามา หล่อนใส่ชุดยูกาตะสีกรมท่าลายใบไผ่สีขาวและสีเทา สีหน้าของหล่อนเรียบตึง แต่เมื่อต้องรับรองแขกเป็นครั้งสุดท้าย หญิงสาวก็ทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม หล่อนสนทนากับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและออกมาส่งแขกที่ประตูหน้าอย่างอ่อนน้อม ชินจิรู้สึกชื่นชมว่าที่โอะคะมิซังคนนี้เหลือเกิน หล่อนเก่ง คล่องแคล่ว เป็นมืออาชีพ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเออิจิโร่ที่ว่าหล่อนรักเอย์จิ ชายหนุ่มก็รู้สึกแปลก ๆ
                   มันคล้าย ๆ กับว่าจะเป็น... ชายหนุ่มพยายามนึกคำที่สามารถอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้
                   น่าจะพูดได้ว่าเขาอิจฉารุกะกระมัง เหมือน ๆ กับที่เขาเคยอิจฉาอัตสึโตะในตอนนั้น
                   อัตสึโตะมีหลาย ๆ อย่างที่เขาชื่นชมแกมอิจฉา หมอนั่นน่ารัก นิสัยดี แถมยังโชคดีที่มีคนรักแสนดีอย่างมานูเอล
                   ชายหนุ่มพยายามสลัดความคิดเหลวไหลออกจากหัว งานยังมีรอให้ทำอีกก่อนที่แขกกลุ่มหน้าจะมา เขาจะมัวคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไรแบบนี้ไม่ได้ ชินจิฮึดเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง ก่อนกระวีกระวาดไปทำความสะอาดห้องพักของแขกที่เช็กเอาท์ออกไปแล้ว

                    เอย์จิกลับมาช่วยที่เรียวกังอีกครั้งในตอนกลางวัน ชายหนุ่มก็เหมือนกับรุกะ คือสีหน้าออกจะเรียบตึง ท่าทางเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ในครัววันนี้จึงค่อนข้างเงียบ เพราะพ่อครัวประจำเรียวกังอย่างโอซามุปกติก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ผู้ช่วยอย่างเอย์จิยังคอยแต่จะทำหน้าขรึมตลอดเวลาอีก ก็เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่น นอกจากเสียงมีดกระทบเขียงกับเสียงน้ำเดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ
                    อิซึมิที่โผล่หน้าเข้าไปในครัวยังแขยง แอบกระซิบกับชินจิเบา ๆ ว่า
                    “บรรยากาศมาคุสุด ๆ น่ากลัวมากเลยค่ะ”
                    ชินจิโผล่หน้าเข้าไปดูบ้าง จริงของเด็กสาว ในครัวมันเงียบจนน่าอึดอัดจริง ๆ แต่ไม่แค่เฉพาะในครัวหรอก บรรยากาศอึมครึมแบบนี้แทบจะแผ่ซ่านไปทุกซอกมุมของหมู่บ้าน เมื่อเช้านี้มีคนนำไปรษณีย์และหนังสือพิมพ์มาส่ง คนส่งเป็นชายวัยกลางคนขี่จักรยานที่มีตะกร้าอันใหญ่ติดท้ายรถ หน้าตาของเขาก็บู้บี้ไม่ต่างกันเลย
                     ดูเหมือนว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องคนหายในภูเขาเมื่อคืนนี้ เพราะพอตกสาย นักข่าวก็ทยอยกันมา ขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน มาถึงก็ตามถามคนโน้นคนนี้รวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วย พวกชาวบ้านก็เลยรู้สึกเหมือนโดนรบกวนและเลยพาลอารมณ์ไม่ค่อยดีกันไปหมด
                     คนในเรียวกังถูกห้ามไม่ให้พูดหรือให้ข่าวอะไรทั้งนั้น ชินจิไม่ชอบเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว เขาเลยถือโอกาสหลบด้วยการไปทำความสะอาดและช่วยงานอยู่ที่ออนเซ็นเสียเลย ไม่นานต่อมาเอย์จิก็ตามมาสมทบด้วยอีกคน
                     “พวกนักข่าวนี่ยุ่งเป็นบ้าเลย” รุ่นพี่ของเขาบ่นอุบ
                     “แล้วตอนนี้ใครรับรองนักข่าวอยู่ล่ะครับ” ชินจิถามพลางพับผ้าขนหนูผืนเล็กที่ซักเสร็จเรียบร้อยแล้วไปด้วย ผ้าขนหนูนี้จะให้กับแขกพร้อมกับอ่างไม้ใบเล็กเพื่อใช้ในห้องอาบน้ำ เป็นบริการจากเรียวกัง
                     “รุกะ”
                     ชินจิฟังแล้วอมยิ้ม ถ้าเป็นหญิงสาวว่าที่โอะคะมิซังรายนั้นล่ะก็ เขามั่นใจเต็มร้อยเลยล่ะว่าพวกนักข่าวไม่มีวันได้ข่าวอะไรไปจากเรียวกังฮิราตะอย่างแน่นอน
                     “รุกะซังนี่สุดยอดไปเลยนะครับ” ชายหนุ่มเปรยลอย ๆ
                     เอย์จิไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา ไม่สนองตอบ ไม่ปฏิเสธ ทำเหมือนประโยคที่ชินจิพูดเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านหูไปเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไร แต่อาการไม่สนใจอย่างนั้นก็กลับทำให้ชินจิอยากจะถามรุ่นพี่ถึงเรื่องที่เขาได้ยินในคืนนั้นเหลือเกิน
                     ปากของชินจิอ้า แล้วก็หุบลงอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจไม่ถามดีกว่า เพราะจู่ ๆ ชายหนุ่มก็เกิดกลัวคำตอบที่จะได้ยินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                     ชินจิเสร็จงานของเขาหลังจากที่ออนเซ็นปิดบริการและแขกทุกคนกลับเข้าห้องพักหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ คืนนี้เหตุการณ์สงบ ไม่มีภาวะฉุกเฉินเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาก็เลยเลิกงานได้เร็ว
                     ชายหนุ่มบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ แต่นับว่าดีกว่าวันแรกเพราะร่างกายของเขาเริ่มชินกับการออกแรงแล้ว ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยและปวดกล้ามเนื้อมากจนถึงขนาดนอนร้องโอดโอยเหมือนก่อน หลังจากแช่น้ำร้อนอยู่พักใหญ่และเอาน้ำมันนวดคลายความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อที่แขนและขา เขาก็นอนแผ่ลงบนฟูกก่อนจะผล็อยหลับไป
                     ความหนาวเย็นปลุกชินจิให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเผลอหลับไปโดยที่ไม่ได้ห่มผ้าและไม่ได้ปรับเครื่องทำความร้อน ชายหนุ่มขยับตัวไปที่เครื่องทำความร้อนเป็นอันดับแรก แล้วสอดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมผืนหนา ร่างกายของเขาเริ่มอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ
                     ในตอนกลางคืน ทุกอย่างเงียบสงัด เสียงที่ดังขึ้นในเวลานี้ไม่ว่าจะพยายามให้เบาแค่ไหน แต่ก็ยังส่งเสียงให้ได้ยินอยู่ดี ยิ่งชินจิยังไม่หลับด้วยแล้ว เขาก็เลยได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินผ่านห้องของเขาไปอย่างชัดเจน ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดประตูออกไปดูด้วยความอยากรู้ เขาเห็นหลังไว ๆ ของชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งใส่กางเกงฮากามะหายลับไปจากประตูบ้าน
เออิจิโร่หรือเอย์จิกันแน่ที่ออกไปข้างนอกในเวลากลางดึกแบบนี้
                     ชินจิกำถุงเครื่องรางที่ตอนนี้เขาหาเชือกมาร้อยและห้อยคอเอาไว้ รู้สึกกลัวขึ้นมาเมื่อนึกถึงภาพของคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันที่ชวนให้รู้สึกหวาดผวาและคำพูดแปลก ๆ ของพวกเขา แต่ความอยากรู้มีมากกว่า เขาตัดสินใจเดินตามคนที่เขาเห็นออกไปข้างนอก
                     ชินจิออกมายืนเคว้งอยู่ในสวนด้านหน้า คนที่เขาตามมาหายไปแล้ว ในสวนก็มีแค่ไฟสลัว ๆ จากตะเกียงหินทำให้มองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะเดินออกไปนอกบริเวณบ้านดีหรือไม่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในความเงียบสงัดของเวลากลางคืน
                     มันเป็นเสียงเหมือนอะไรบางอย่างแล่นแหวกอากาศ จากนั้นก็มีเสียงดังสวบ เหมือนอะไรบางอย่างปักลงไปในวัสดุทึบ ๆ
                     ครั้งที่สอง สาม และสี่ดังขึ้นอีก
                     ชายหนุ่มตัดสินใจเดินตามเสียงที่ได้ยินไปในทันที
                     เสียงนั้นพาชินจิไปที่มุมสวนด้านที่เกือบติดกับรั้วบ้าน บนพื้นหินมีตะเกียงดวงหนึ่งวางอยู่ แสงจากตะเกียงทำให้เห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งได้ชัด เขาใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้ม กำลังตั้งท่ายิงธนู คันธนูที่ใช้สูงท่วมหัว ผู้ชายคนนั้นน้าวสายธนู อึดใจต่อมาก็ส่งลูกธนูไปยังมาคิวาระหรือเป้าธนูทำด้วยฟางที่ติดเอาไว้ที่ต้นไม้ ลูกธนูโดนเป้า เหมือนกับลูกธนูอื่น ๆ อีกสี่ห้าดอก แต่ไม่มีดอกไหนที่เข้าวงกลมกลางเป้าเลย
                      ชายหนุ่มในชุดฝึกลดคันธนูลง หันหน้าไปมองเมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้วย
                      “ขอโทษครับที่มารบกวน คือ..ผมได้ยินเสียงคนเดิน” ชินจิรีบบอก
                      “ฉันขอโทษที่ทำให้นายตื่น”
                      “ไม่เลยครับ ผมนอนไม่หลับอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเอย์จิซังเลยครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ สรรพนามที่เรียกเขาทำให้ยิ่งมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คือเอย์จิ ไม่ใช่เออิจิโร่
                      “คุณก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือครับถึงได้ออกมายิงธนู”
                      เอย์จิไม่ตอบ แต่หันหน้ากลับไปมองเป้ามาคิวาระ ชินจิมองตาม
                      “ฝีมือฉันนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ยิงไม่เข้าเป้าสักดอก ถ้าเป็นเออิจิโร่หรือแม้แต่รุกะ เป้าห่างแค่นี้ไม่มีพลาดแน่นอน”
                      “ผมเคยได้ยินว่าคิวโดเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมาธิ ถ้าคนยิงไม่มีสมาธิ ลูกธนูก็ไม่เข้าเป้าที่ต้องการ เอย์จิซังลองยิงดูอีกครั้งสิครับ ทำใจให้นิ่ง ผมคิดว่าครั้งนี้คุณต้องไม่พลาดแน่”
                      เอย์จิอยากจะยิ้มให้กับน้ำเสียงและท่าทางเอาจริงเอาจังของรุ่นน้องของเขาจริง ๆ ชินจิพยายามจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างเต็มที่ ให้กำลังใจเขา แถมเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่าตัวของเขาเองเสียอีก
                      “งั้นลองอีกทีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตัดสินใจ
                      ชินจิมองอย่างไม่กะพริบตา ตั้งแต่ขั้นแรกที่รุ่นพี่ของเขาทำสมาธิ แยกขาจัดท่า ยกมือที่ถือลูกธนูพาดกับสายธนูและยกคันธนูขึ้นเหนือหัว จากนั้นลดแขนลง แล้วปล่อยลูกธนูออกไป
                      สวบ!
                      ลูกธนูแล่นแหวกอากาศไปปักลงตรงกลางเป้าพอดี ปลายลูกธนูตรงส่วนที่เป็นขนนกกระดกขึ้นลง
ชินจิเกือบหลุดปากร้องเฮออกมาดัง ๆ แล้วถ้ากลั้นเอาไว้ไม่ทัน แต่เขาห้ามแขนทั้งสองข้างไม่ให้ชูสูงขึ้นเป็นท่าไชโยไม่ได้ ชายหนุ่มดูดีใจมากกว่าตัวเอย์จิที่เป็นคนยิงเองเสียอีก
                      “คุณทำได้แล้ว” ชินจิยิ้มกว้าง
                      “ขอบคุณนะ”
                      “รุ่นพี่เก่งเองต่างหากครับ” ชินจิย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเชื่อมั่น
                      เอย์จิวางคันธนูพิงไว้กับต้นไม้และปลดกระบอกลูกธนูจากบ่าไปวางไว้ใกล้ ๆ กัน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่เหมือนกับเป็นม้านั่งธรรมชาติ ถอดโยทสึงาเคะหรือถุงมือหนังกวางแบบสวมทั้งสี่นิ้วที่ใส่อยู่ที่มือขวาออก
                      “มานั่งด้วยกันสิ” ชายหนุ่มชวน ถุงมือหนังกวางถูกโยนไปรวมอยู่กับคันธนูและกระบอกลูกธนู
                      ชินจิลังเลนิดหน่อย แต่ก็เดินไปนั่งลงข้าง ๆ รุ่นพี่ของเขา รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่เอย์จิไม่ทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว สีหน้าของรุ่นพี่ของเขาดูผ่อนคลาย แต่สายตาก็ยังดูเศร้า ๆ อยู่เหมือนเดิม
                       “นอนไม่หลับหรือครับ” ชินจิถามประโยคเดิมอีกครั้ง
                       เอย์จิพยักหน้ารับ
                       “ฉันอยากให้นายกลับโตเกียว” ชายหนุ่มพูดหลังจากที่นิ่งคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่
                       “ทำไมล่ะครับ”
                       “นายก็เห็น วันสองวันมานี้ที่นี่วุ่นวายขนาดไหน ฉันคิดว่าต่อไปก็ต้องมีอีก ฉันไม่อยากให้นายพลอยยุ่งยากหรือลำบากไปด้วย”
                       “แต่ผมไม่กลัวความยุ่งยากหรือลำบากนะครับ ผมสนุกและมีความสุขดีที่ได้ทำงานที่นี่ ผมอยากช่วยเอย์จิซัง อยากช่วยทุกคนที่นี่จริง ๆ นะครับ” ชินจิยืนยัน
                       “แล้วถ้าคนต่อไปที่หลงทางในภูเขากลายเป็นนายล่ะชินจิ นายไม่กลัวเหรอ”
                       ชายหนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้าทันที
                       “ผมไม่กลัวหรอก ผมจะไม่แหกกฎของที่นี่ อีกอย่างหนึ่งที่นี่ก็มีเอย์จิซังอยู่ทั้งคน ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
                       “แต่ฉันปกป้องคุ้มครองใครไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงของเอย์จิเยาะหยัน เขากำลังเยาะตัวเอง ตัวเองที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่นี่ เหมือนกับที่บิดาของเขาพูดเอาไว้นั่นแหละ
                       “เอย์จิซังช่วยดูแลผมเป็นอย่างดีที่เยอรมัน” ชินจิค้าน
                       “มันไม่เหมือนกัน” เอย์จิพูด เขาไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก ถ้าเขามีความกล้าหาญ เขาคงดูแลชินจิได้ดีกว่านี้ ชินจิก็คงไม่ต้องเสียใจอยู่เป็นนานเพราะความรักที่ไม่สมหวังจากผู้ชายคนนั้น แต่เขาไม่กล้าพอที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไป เขากลัว เหมือนกับที่กลัวว่าเหตุการณ์มันจะซ้ำรอยเดิม
                       
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 9 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 19:39:45
                        “รู้ไหม เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันเคยหลงรักรุกะ”
                        หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็พูดออกมา
                        ชินจิแทบจะกลั้นใจฟังเรื่องที่รุ่นพี่เล่า ในที่สุดเขาก็จะได้รู้ความจริงเรื่องนี้แล้วใช่ไหม
                        เอย์จิเล่าต่อ
                        “เราสามคน ฉัน เออิจิโร่ รุกะ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวพูดกันมาตั้งแต่พวกเรายังแบเบาะแล้วว่ารุกะต้องแต่งเข้าบ้านเรา ไม่กับฉันก็กับเออิจิโร่ เราสามคนก็เลยถูกเลี้ยงมาด้วยกัน รุกะสนิทกับฉันมากกว่าเออิจิโร่ เราเล่นด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ฉันคิดว่าเรารักกัน อย่างน้อยตอนนั้นฉันก็รู้สึกอย่างนั้นล่ะ”
                        สายตาของคนพูดมองเหม่อไปไกล ในใจของเอย์จิยังจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน ยังจำเสียงสดใสของรุกะที่ถามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นได้ดี วันนั้นหล่อนใส่ชุดยูกาตะสีชมพูเข้มลายดอกซากุระดอกเล็ก ๆ หญิงสาวในตอนนั้นอายุสิบปี
                        ‘ที่เขาว่ากันว่าในภูเขามิคามิมีอสูรกับพวกภูตพรายอยู่น่ะจริงรึเปล่า’
                        ทั้งสองคนเดินเล่นกันอยู่ที่ริมแม่น้ำชิมิซึ เป็นเวลาพักผ่อนหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เอย์จิอายุสิบปีเท่ากับหล่อน ใส่ชุดซามุเอะสีกรมท่า หัวเกรียน
                        ‘ไม่รู้สิ’ เด็กชายสั่นศีรษะ
                        ‘ฉันอยากเห็นอสูรตัวเป็น ๆ สักครั้งจัง’ รุกะพึมพำ แล้วหันมาชวนด้วยเสียงใส ๆ ว่า ‘เราไปที่ภูเขากันไหม ไปที่ทะเลสาบบิวะ เราอาจเห็นอสูรก็ได้นะ’
                        ‘มันจะดีเหรอ’ เอย์จิลังเล
                        ‘ดีสิ ตอนนี้ท่านพ่อของเธอกับโอคินะซังไม่อยู่พอดี เราไปกันนะ’
                        ‘แต่ท่านแม่ล่ะ’
                        ‘เราให้ผู้นำสาส์นไปบอกก็ได้นี่ว่าเราอยากวิ่งเล่นมากกว่าอ่านโคลงกลอนอยู่แต่ในห้อง ท่านแม่ของเอย์จิใจดีออก ท่านต้องไม่ว่าอะไรแน่ ๆ’
                        ‘แต่ถ้าจะไปที่ทะเลสาบบิวะ ท่านแม่ต้องไม่อนุญาตแน่เลย ท่านแม่ห้ามไม่ให้ไปที่นั่น ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย’
                        ‘เราก็อย่าบอกสิว่าเราจะไปไหน’ รุกะแนะ เด็กหญิงเขย่ามือเพื่อนเล่นของหล่อน ขอร้องว่า
                        ‘นะ เอย์จิ ไปด้วยกันนะ ฉันอยากไป’
                        ‘แต่ถ้าเจออสูรจริง ๆ ล่ะจะทำยังไง’ เด็กชายยังคงกังวล แต่เพื่อนเล่นของเขาก็มีทางออกสำหรับเรื่องนี้เอาไว้พร้อมแล้ว หล่อนดึงปิ่นปักผมออกมาจากแขนเสื้อ อวดให้ดูผีเสื้อสีน้ำเงินที่เกาะอยู่ที่ด้ามปิ่นพลางบอกว่า
                        ‘ถ้าเจออสูรจริง ๆ ฉันจะเสกผีเสื้อสีน้ำเงิน เดี๋ยวนี้ฉันทำได้คล่องแล้วนะ ส่วนเธอก็เอาธนูไป ใช้ธนูกับดอกศรปัดรังควาน รับรองว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้แน่ เธอยิงธนูออกจะแม่นนี่ เมื่อเช้าก็ยิงเข้าเป้ามากกว่าเออิจิโร่อีก’
                        คำชมว่าเขาเก่งกว่าพี่ชายฝาแฝดใช้ได้ผลเสมอ เขาอยากแสดงให้ใคร ๆ โดยเฉพาะรุกะเห็นอยู่แล้วว่าเขาเก่งกว่าเออิจิโร่และเขาก็มีพลังเหมือนกับที่พี่ชายของเขามีเช่นกัน ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังกังขาเพราะไม่เคยเห็นเขาแสดงพลังอะไรออกมาก็ตามเถอะ ครั้งนี้แหละเขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น เขาจะจัดการอสูรในภูเขา ถ้ามันมีอสูรอยู่จริงล่ะก็
                        ‘เอาสิ ไปด้วยกัน’ เด็กชายตกลงใจทันที
                        ทั้งสองคนจูงมือกันเดินเข้าไปในภูเขา ไปตามเส้นทางในป่าที่ทอดไปสู่ทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบที่ว่ากันว่าถูกซ่อนไว้ในสายหมอก เอย์จิกับรุกะตื่นเต้นมาก วันนั้นเป็นวันที่อากาศดีที่สุดวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดใบไม้ลงมา ดอกไม้ในภูเขาเบ่งบานโชยกลิ่นหอมสดชื่นมาเป็นระยะ เส้นทางระหว่างหมู่บ้านมาถึงทะเลสาบบิวะจึงเป็นการเดินทางที่รื่นรมย์สำหรับเด็กทั้งสองคนมาก
                         แต่ถึงแม้ว่าอากาศจะสดใส ทั้งสองคนก็ไม่ได้เห็นทะเลสาบถนัดชัดตาอย่างที่คิด เนื่องจากมีหมอกสีขาวบดบังอยู่ รุกะอุทานออกมาอย่างผิดหวังที่ได้เห็นทะเลสาบเพียงแค่เงาราง ๆ เท่านั้น
                         ‘ฉันอยากเห็นทะเลสาบให้ชัดกว่านี้จัง’ เด็กหญิงร่ำร้อง
                         เอย์จิไม่อยากให้รุกะผิดหวังจึงตัดสินใจใช้ศรปัดรังควานยิงเข้าไปในบริเวณที่มีหมอกสีขาวคลี่คลุมอยู่ อำนาจของศรปัดรังควานมีไม่มากพอจะสลายหมอกซึ่งสร้างจากพลังของอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนได้ แต่มันก็มีพลังพอจะทำให้เขตแดนที่กั้นระหว่างมนุษย์และอสูรเกิดรูโหว่เล็ก ๆ ขึ้น
                         กลิ่นของเด็กทั้งสองลอยลอดไปตามรูโหว่นี้และไปเตะจมูกของภูตพรายบางตัวเข้า มันเป็นภูตชั้นต่ำที่ไม่มีสมองจะยั้งคิดอะไร เพียงแค่ได้กลิ่นเลือดเนื้อของมนุษย์ที่มันแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน มันก็ลืมตัว มุดลอดรูโหว่ของเขตแดนออกมา
                         ‘มนุษย์ที่จะเป็นเหยื่อของข้า ฮิคิกะเอะรุ อยู่ที่ใด’ เสียงแหบ ๆ ของมันดังไปทั่วบริเวณ
                         เอย์จิกับรุกะตกใจกลัวจนตัวแข็ง เมื่อจู่ ๆ ก็เห็นร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัวผุดขึ้นมาจากกลางหมอกสีขาวมัวตรงหน้า ตัวของมันเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนเปลือกไม้ ผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำ ดวงตาโตสีแดงก่ำสองข้างปูดโปน ปากแหลมยื่นออกมา ขาสองข้างที่รับน้ำหนักตัวงอในท่ายืนแบบนักซูโม่ มือที่เป็นพังผืดสองข้างยืดชูขึ้นฟ้า ทำท่าเหมือนจะตะปบลงมาได้ทุกเมื่อ
                          ‘อยู่นี่เอง มนุษย์ตัวจ้อย เหยื่อของข้า’
                          ตาของมันตวัดมาเจอเด็กทั้งสอง ปากแหลมของมันอ้าเห็นลิ้นแลบออกมา
                          ‘ปีศาจคางคก’ เอย์จิเสียงสั่น ไม่คิดว่าอสูรปีศาจของจริงจะน่ากลัวจนเลือดในกายแทบจับตัวเป็นก้อนแข็งได้แบบนี้ เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองกำลังสั่นระริก
                          ‘เอย์จิ ฉันกลัว’ รุกะเบียดตัวเข้ามาใกล้ด้วยความกลัว ยึดเสื้อบริเวณบั้นเอวของเด็กชายไว้แน่น
                          เอย์จิฮึดขึ้นมา เขาเป็นผู้ชาย เขามีหน้าที่ต้องคุ้มครองรุกะ แล้วเขาก็มีอาวุธ ไม่ได้มามือเปล่าเสียหน่อย เด็กชายรีบกันรุกะไว้ด้านหลังพลางดึงดอกศรออกมาจากกระบอก
                          ‘ตาย’
                          อสูรที่เรียกตัวเองว่าฮิคิกะเอะรุอ้าปากว้าง ลิ้นยาวของมันยืดออกมาหวังจะตวัดเหยื่อของมันเข้าปาก จังหวะนั้นเองที่เอย์จิยิงธนูสวนเข้าไป ลูกธนูที่เป็นดอกศรปัดรังควานพุ่งเข้าปักที่ลิ้นของมันอย่างถนัดถนี่ แต่ทำให้มันแค่ชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำลายร่างมันให้แหลกสลายไปเหมือนอย่างที่คิด
                          เอย์จิตาเหลือกโพลงเมื่อลิ้นของมันตวัดมาอีกครั้งหนึ่ง กระแทกตัวเขาจนล้มโครม เจ็บน่วมไปหมดทั้งตัว รุกะร้องกรี๊ด หล่อนกำปิ่นปักผมของตัวเองแน่น ก่อนจะตัดสินใจร่ายเวท

                          ผีเสื้อสีน้ำเงิน
                          จากสรวงสวรรค์กลางนภากาศ
                          เจ้าพร้อมจะโบยบิน


                          ผีเสื้อที่เคยเกาะนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนด้ามปิ่นพลันขยับปีกทันที มันโบยบินเข้าจิกตีใบหน้าน่าเกลียดของอสูรคางคกจนเจ้าอสูรต้องใช้มือทั้งสองปัดป้อง มันร้องเสียงแหบแห้งด้วยความฮึดฮัดขัดใจที่โดนขัดขวาง
                          เอย์จิไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย ชิกิงามิของรุกะมีพลังมากกว่าดอกศรของเขามาก อย่างน้อยก็หยุดเจ้าปีศาจนั่นไว้ได้
                          ‘เป็นยังไงบ้างเอย์จิ’ เด็กหญิงถลาเข้ามานั่งข้าง ๆ เอามือเขย่าตัวเขาด้วยความร้อนรน น้ำตาไหลพราก
เอย์จิพูดไม่ออก แต่รู้สึกว่าหน้าผากของเขาคงจะมีเลือดออกเพราะล้มไปโดนก้อนหินเข้าเต็มที่ แล้วที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย รุกะกำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ
                          เขาปกป้องรุกะไม่ได้ แค่จะเช็ดน้ำตาให้หล่อน เขายังทำไม่ได้เลย
                          อสูรคางคกปัดผีเสื้อสีน้ำเงินกระเด็นหายไป ดวงตาปูดโปนของมันยิ่งโตขึ้นด้วยความโกรธจัด ลิ้นของมันแลบยาวออกมาอีกครั้ง เอย์จิกับรุกะหลับตาปี๋ นึกในใจว่าครั้งนี้ตัวเองคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน
                          เกิดเสียงดังสวบขึ้นในจังหวะนั้น
                          เด็กทั้งสองลืมตาขึ้นมอง ลิ้นสีแดงของเจ้าอสูรคางคกตวัดกลับเหมือนโดนอะไรบางอย่างเข้าปะทะ เอย์จิเห็นขนนกติดปลายลูกธนูสั่นระริก ส่วนคมของมันปักเข้าไปที่ลิ้นอันใหญ่โต จากนั้นไฟก็ลุกพรึบ ไหม้ลามจากลิ้นไปที่ปากน่าเกลียด ปีศาจคางคกแผดเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด และก่อนที่มันจะได้ทันตั้งตัว ดอกศรอีกดอกก็พุ่งเข้าปักที่ดวงตาข้างหนึ่งของมัน ไฟลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงจนทำให้ร่างกายอันใหญ่โตเป็นตะปุ่มตะป่ำของมันถูกเผามอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า
เอย์จิหันขวับไปมองข้างหลัง เขาเห็นคนที่หน้าเหมือนตัวเองเปี๊ยบยืนอยู่ตรงนั้น กำลังลดคันธนูลง ท่าทางของเออิจิโร่ พี่ชายฝาแฝดของเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ลูกธนูทั้งสองดอกที่ยิงออกไปสามารถสลายร่างของอสูรได้
                           ผิดกับของเขาที่ยิงออกไป
                           ทั้ง ๆ ที่เป็นดอกศรปัดรังควานแบบเดียวกันแท้ ๆ
                           เด็กชายตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่า คนที่มีพลังคือเออิจิโร่ ไม่ใช่เอย์จิ
                           คนที่มาช่วยเขาและรุกะคือเออิจิโร่
                           เอย์จิปกป้องคุ้มครองรุกะไม่ได้ เออิจิโร่ต่างหากที่ทำได้!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 10 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 30-03-2016 19:44:36
อ๊ากกก มาต่อเถอะ มาต่อไวไว ตัดตอนได้แบบ :ling1:มาก

อ่านแล้วเข้าถึงอารมณ์ เหมือได้ไปญี่ปุ่นริงๆเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 10 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 19:45:38
บทที่ 11

        “แล้วยังไงต่อครับ” ชินจิถามเมื่อเห็นรุ่นพี่เงียบไป
        เอย์จิหลุดจากภวังค์ เขายิ้มอ่อน ๆ ให้รุ่นน้อง ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ในภูเขา แต่บิดไปเป็นว่าเขาพารุกะไปที่ทะเลสาบบิวะแล้วเกิดหลงทาง หาทางกลับบ้านไม่ได้ ก่อนจะไปเจอหมีเข้าโดยบังเอิญ ลูกธนูของเขาพลาดไม่ถูกเป้า โชคดีที่เออิจิโร่ตามมาทันและยิงธนูเข้าเป้าที่ดวงตาของมันพอดี เจ้าหมีตัวนั้นก็เลยหนีเข้าป่าไป
        “ฉันโดนเล่นงานหนักเลยล่ะที่พารุกะเข้าไปเล่นในป่า หลังจากนั้นฉันก็เลยมีแต่ความกลัวและความไม่มั่นใจ ฉันปกป้องคุ้มครองใครไม่ได้ ฉันไม่อยากเจอเหตุการณ์เหมือนในครั้งนั้นอีกแล้ว”
        เอย์จิทิ้งท้ายเสียงเครือ
        ชายหนุ่มไม่ได้เล่าว่า เขาไม่ได้โดนแค่ดุด่าว่ากล่าวเท่านั้นหรอก แต่โดนทำโทษอย่างรุนแรงด้วย บิดาของเขาโกรธมากที่เขาขัดคำสั่ง เอย์จิโดนเฆี่ยนจนหลังลาย ถ้ามารดาของเขาไม่วิ่งมาขวางเอาไว้ ตอนนั้นเขาอาจจะตายคาคันธนูของบิดาไปแล้วก็ได้ แต่โทษใดก็ไม่หนักเท่ากับการถูกตราหน้าว่าไร้ความสามารถ ไม่มีพลัง ไม่เหมาะสมกับที่เกิดมาเป็นสายเลือดของนักปัดรังควาน
         เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทุกคนตระหนักว่าผู้ที่สมควรจะเป็นผู้สืบทอดต่อจากมาซาฮารุก็คือเออิจิโร่ ฝาแฝดคนพี่
         เอย์จิถูกละเลยตั้งแต่ตอนนั้น มีเพียงเออิจิโร่ที่ได้รับการประคบประหงมและอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดเพื่อการเป็นเจ้าบ้านและเจ้าอาวาสผู้ดูแลศาลเจ้าอินาริต่อไป บิดาและผู้เฒ่าโอคินะฝึกสอนพี่ชายของเขาอย่างเคร่งครัด ส่วนเขาไม่ได้รับโอกาสแบบนั้นเลย
         บิดาของเขาลงความเห็นว่าคนที่ไม่มีพลังอย่างเขานั้นฝึกไปก็เสียเวลาเปล่า
         ส่วนรุกะก็ผิดหวังและเสียใจที่เอย์จิปกป้องหล่อนไม่ได้ ตัวหล่อนเองยังมีพลังมากกว่าเขาเสียอีก ในตอนนั้นเด็กหญิงเมินเขา เกลียดเขา ประณามว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ สู้พี่ชายไม่ได้ และไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อยที่ผู้ใหญ่จะหมายตาหล่อนไว้ให้เป็นเจ้าสาวของเออิจิโร่
         “แต่ตอนนั้นเอย์จิซังเพิ่งอายุสิบขวบเท่านั้นเองไม่ใช่หรือครับ”
         เสียงของชินจิเรียกให้เขากลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
         “เด็กขนาดนั้นเจอหมีในป่าแล้วยังอุตส่าห์ยิงธนูใส่ได้ ผมว่าแค่นั้นก็เก่งเหลือหลายแล้วนะ” รุ่นน้องของเขาพูดอย่างจริงจัง ชินจิวัดจากประสบการณ์ของตัวเอง ตอนเขาอายุสิบขวบน่ะหรือ แค่เดินผ่านบ้านที่เลี้ยงหมาตัวใหญ่และมันเห่าใส่เข้าหน่อย แค่นั้นเขาก็เปิดอ้าวไม่รู้ทิศทางแล้ว
         “นายจะเอาเด็กในเมืองมาเทียบกับเด็กในภูเขาได้ยังไงล่ะ เด็กในภูเขาต้องแข็งแกร่งถึงจะอยู่รอด”
         “แต่ผมว่ายังไงมันก็ไม่เข้าท่าอยู่ดี” รุ่นน้องของเขาทำหน้ามุ่ย ก่อนจะถามต่อว่า
         “แล้วรุกะซังโกรธเอย์จิซังมากไหมครับ”
         เอย์จินิ่งไปนิด ก่อนจะส่ายหน้า
         “ไม่โกรธหรอก แต่รุกะเขาก็รู้เหมือนกับคนอื่น ๆ ว่าฉันไม่เก่ง ไม่เหมือนเออิจิโร่ เราก็เลยเริ่มห่างเหินกันตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งหลังจากที่ฉันเข้ามาเรียนในเมือง เราก็แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย ต่อมาก็อย่างที่นายรู้ รุกะหมั้นกับพี่ชายของฉัน”
         “แต่รุกะซังยังรักเอย์จิซังอยู่นี่ครับ” ชินจิหลุดปากโพล่งออกมา
         “ทำไมนายถึงพูดแบบนี้ล่ะ” เอย์จิถามด้วยความแปลกใจ
         “ก็..เอ่อ..” ชายหนุ่มรุ่นน้องอึกอัก นึกคิดหาเหตุผลอย่างรวดเร็ว “รุกะซังดูเป็นห่วงเอย์จิซังมากเลยนี่ครับ อย่างวันที่เรากลับจากทะเลสาบบิวะก็เหมือนกัน ท่าทางรุกะซังเป็นกังวลมาก ผมคิดเอาเองว่ารุกะซังอาจจะ... เอ่อ... รักคุณ”
         “ฉันไม่รู้ว่ารุกะคิดยังไง แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ตอนนี้รุกะเป็นคู่หมั้นของเออิจิโร่ เรื่องของฉันกับรุกะมันจบลงไปนานแล้ว”
         ชินจิมองหน้ารุ่นพี่ของเขา นึกอยากถามเหลือเกินว่า แล้วความรู้สึกของเอย์จิซังล่ะ แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอจะถามคำถามนั้นอยู่ดี
         ชายหนุ่มนั่งเงียบ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรต่อดี   
              สายลมยามดึกเริ่มพัดอีกครั้ง คราวนี้ไม่เพียงแต่จะพาอากาศหนาวมาเท่านั้น มันยังพาอย่างอื่นมาด้วย
         “เอ๊ะ!” ชินจิอุทานด้วยความแปลกใจ
         “มีอะไรเหรอ”
         ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง แต่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ
         “ผมได้ยินเสียงดนตรี มันเหมือนกับมีใครสักคนกำลังเล่นโคโตะ”
         “นายได้ยินอย่างนั้นเหรอ” ดวงตาของเอย์เป็นประกายขึ้นด้วยความสนใจ
         รุ่นน้องของเขาพยักหน้า
         “ครับ แต่ผมอาจหูฝาดไปก็ได้”
         “นายรู้ไหมว่าคนเรียกภูเขามิคามิอีกชื่อหนึ่งว่ายังไง”
         “ไม่รู้ครับ”
         “ภูเขามิคากูระดะเกะ”
         “ภูเขาที่ส่งเสียงดนตรี” ชินจิตาโต
         “ใช่แล้วล่ะ เพราะบางครั้งบางคราวเราก็จะได้ยินเสียงคล้าย ๆ เสียงดนตรีดังมาจากในภูเขา ลอยมาตามสายลม ทั้งเสียงโคโตะ เสียงกลอง เสียงชามิเซ็ง บางครั้งก็เป็นเสียงขลุ่ยชาคุฮะจิ”
          “ในภูเขามีอะไรอยู่จริง ๆ เหรอครับ”
          ท่าทางหวาด ๆ ของรุ่นน้องทำให้เอย์จิอดกระเซ้าไม่ได้ว่า
          “เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม”
          ชินจิส่ายหน้าทันควัน
          “ไม่ ผมไม่กลัว กะแค่หมีกับเสียงดนตรีแค่นี้เอง” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะลดเสียงลงเหมือนไม่แน่ใจเมื่อถามต่อว่า
          “ผมยังไม่อยากกลับโตเกียว คุณคงไม่บังคับให้ผมกลับใช่ไหม”
          เอย์จิยอมแพ้ สายตาของรุ่นน้องวิงวอนขอความเห็นใจ แล้วก็ทำหน้าละห้อยถึงขนาดนั้น เขาทนใจแข็งอยู่ไม่ได้อีกแล้ว 
               มือใหญ่ของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะของชินจิด้วยความเอ็นดู
          “ไม่หรอก ถ้านายไม่อยากกลับ ฉันก็จะไม่บังคับ”
          “ขอบคุณมากครับ”
          ชินจิยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รอยยิ้มที่สดใสทำให้ใบหน้าเรียบ ๆ จับตาขึ้นมาทันที เอย์จิมองอีกฝ่ายไม่วางตา สายตาแบบนั้นทำให้คนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งในความมืดรู้สึกทนไม่ได้ แต่เมื่อขยับจะก้าวออกไป มือของใครอีกคนหนึ่งก็จับไหล่ห้ามเอาไว้เสียก่อน
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 10 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-03-2016 19:50:56
             รุกะหันขวับไปมอง เจ้าของมือที่รั้งไหล่หล่อนไว้ก็คือเออิจิโร่
        คู่หมั้นหนุ่มจุปากใส่หล่อนเบา ๆ
        “แอบฟังคนอื่นเขาคุยกันมันเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยนะ”
        “เธอก็แอบฟังสองคนนั้นคุยกันเหมือนกันนั่นแหละ” หญิงสาวย้อนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
        “สรุปว่าเราเสียมารยาทด้วยกันทั้งคู่ งั้นเราสองคนก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อแล้วล่ะ ไปกันดีกว่า” เออิจิโร่จงใจฉีกยิ้มกวน ๆ ใส่ ก่อนจะคว้าข้อมือของคู่หมั้นสาว ดึงให้เดินตามกลับไปที่บ้านโดยไม่สนใจว่าหล่อนจะถลึงตาใส่เขาอย่างดุเดือดไปตลอดทาง
        ก่อนถึงประตูเข้าบ้าน รุกะก็สะบัดมือจนหลุดเป็นอิสระ
        “เธอจะบ้ารึไง ลากฉันอยู่ได้ ฉันเจ็บนะ!” หญิงสาวตวัดเสียงต่อว่า ตาเขียว
        “เอ้า ฉันอุตส่าห์หวังดี กลายเป็นทำคุณบูชาโทษไปเสียได้” ชายหนุ่มโอดครวญ แต่ท่าทางและน้ำเสียงไม่ได้แสดงความเดือดร้อนเหมือนอย่างที่พูดออกมาแม้แต่น้อย และนั่นขัดตารุกะยิ่งนัก
             หญิงสาวโต้กลับ
        “ไม่ต้องพูดเอาดีเข้าตัวเลย เออิจิโร่ ฉันรู้นะว่าเธอชอบรุ่นน้องของเอย์จิ ถ้าฉันเข้าไปขัดจังหวะสองคนนั้น เธอน่าจะดีใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
        “แค่ขัดจังหวะ ไม่เห็นต้องดีใจเลย ถ้าเธอถอนหมั้นฉันแล้วกลับไปหาเอย์จิ อย่างนั้นฉันจะดีใจมากกว่า”
             เออิจิโร่ลอยหน้าลอยตาพูด ดวงตาของเขาวิบวับเป็นประกายแห่งความสนุกสนานที่ได้ยั่วโทสะของอีกฝ่ายเล่น แล้วรุกะก็ยั่วขึ้นเสียด้วย หล่อนออกจะเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อยเลยล่ะ แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีก็เถอะ
             “อย่าพูดบ้า ๆ นะ”
             นั่นไง เสียงของหล่อนเขียวปัดทันที
             “ไม่บ้า ฉันพูดจริง” ชายหนุ่มยืนยัน “ฉันยินดีให้เธอถอนหมั้นฉันแล้วกลับไปหาเอย์จิ ตอนนี้เรายังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีอะไรผูกมัดกัน เธออยากจะทำอะไรก็ได้ ตามใจเธอ ฉันก็จะได้ทำอะไรตามใจฉันเหมือนกัน อย่างเช่น...”
             ชายหนุ่มเว้นวรรค สายตาชำเลืองมองไปยังทิศทางที่เดินจากมา ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ
             “สารภาพรักและขอแต่งงานกับชินจิคุง”
             “ถ้าเธอแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น เธอจะไม่มีวันมีทายาท ท่านพ่อต้องไม่มีวันยอมแน่ ๆ”
             “ช่างมันสิ” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่อนาทร “เรื่องมีทายาทไม่เห็นลำบากอะไร รับลูกบุญธรรมเอาก็ได้ หรือฉันอาจจะขอลูกเธอกับเอย์จิมาเลี้ยง แต่ถ้าพวกเธอสองคนไม่ให้ ญาติสายอื่นก็ยังมีอีกเยอะที่อยากจะให้ทายาทของตัวเองเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป”
             “นี่.. เธอพูดจริง ๆ เหรอ” รุกะมองหน้าเขา และชายหนุ่มเห็นแววตาสับสนของหล่อนได้อย่างชัดเจน
             “จริงสิ” เออิจิโร่ย้ำอีกครั้ง
             “ไม่มีทาง ท่านพ่อไม่ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นหรอก”
             “หรือเธอต่างหากที่จะไม่มีวันยอมให้เป็นอย่างนั้น” ชายหนุ่มย้อนถาม และมันคงเป็นคำถามที่แทงใจดำอีกฝ่ายอย่างเหลือเกิน เพราะคนฟังถึงกับนิ่งงันไป พูดอะไรไม่ออก
             “เธอรักเอย์จิ แต่เธอเลือกที่จะแต่งงานกับฉัน ยอมรับเถอะรุกะว่าเธออยากเป็นโอะคะมิซังคนต่อไปมากกว่าจะอยู่อย่างไม่มีอะไรเลยกับคนที่เธอรัก เธอก็เหมือนกับฉัน ฉันอิจฉาเอย์จิ อยากได้รับความรักความเอาใจใส่จากท่านแม่เหมือนที่เอย์จิได้ อยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ ได้ออกไปจากหมู่บ้าน ไม่ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ เหมือนอย่างตอนนี้ แต่ให้ฉันเลือกใหม่ได้อีกครั้ง ฉันก็ยังเลือกจะเกิดเป็นเออิจิโร่คนนี้ คนที่มีพลังมากกว่าใคร ๆ คนที่จะเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป คนที่อยู่เหนือกว่าทุกคน และเพราะแบบนี้เราถึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากที่สุดยังไงล่ะ” 
              เออิจิโร่เหยียดยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเยาะหยันใครกันแน่ ระหว่างตัวเองหรือคู่หมั้น หรือมิฉะนั้นก็คงจะทั้งคู่นั่นแหละ เขายังยิ้มอยู่ มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่ไม่ยิ้มด้วย
              ชายหนุ่มย้ำซ้ำด้วยเสียงหนักแน่นราวกับจะให้คำพูดนั้นตอกแน่นเหมือนลิ่มลงไปในความทรงจำทั้งของเขาและของหล่อน
              “เราเป็นคนที่ไม่มีหัวใจเหมือนกัน!”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 30-03-2016 20:05:58
แฝดพี่ก็มีอีกมุมเหมือนกันแฮะ

ชินจิเสน่ห์แรงนะเนี่ยยย   :mew1:

ได้รู้เรื่องในอดีตของแฝดกับรุกะเพิ่มขึ้นด้วย

หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 30-03-2016 21:19:11
สงสารเอย์จิ เราว่าเอย์จิก็อาจจะมีพลังอยู่ก็ได้นะเพียงแต่เพราะไม่เคยได้ฝึกใช้ ก็เลยไม่รู้ว่ามีพลังรึเปล่า
เมื่อไหร่นายเอกจะได้รู้ว่าที่นี่มีภูติผีอยู่ อ่านละอึดอัดแทนทำอะไรก็ไม่ได้แล้วก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 31-03-2016 00:40:54
สนุกค่ะ น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-03-2016 08:16:54
               หลังจากเหตุการณ์คนหลงในภูเขาผ่านไป หมู่บ้านคันโจโคเอนก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ชินจิเริ่มชินกับการทำงานในเรียวกัง เขายังรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะได้ทำงานที่ต้องใช้กำลัง ได้ออกกำลังกายบ้าง แถมอากาศในภูเขาก็ดี อาหารก็อร่อย ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกมาทำงานที่นี่ ถึงแม้ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้จะมีเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่เรื่อย ๆ ก็ตาม
               อย่างเช่นเรื่องคน
               เขาเคยแปลกใจเรื่องความเย็นชาของมาซาฮารุที่มีต่อเอย์จิ ต่อมาก็ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องฝาแฝดกับหญิงสาวสวยที่ชื่อรุกะ ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของอิซึมิ
               อิซึมิอยู่ที่เรียวกังตลอดเวลา ทำงานแทบไม่ได้หยุดมือ ตั้งแต่ชินจิมาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยเห็นหล่อนหยุดงานหรือออกไปนอกเขตเรียวกังโดยไม่จำเป็นเลย อิซึมิดูเหมือนไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เรียวกังฮิราตะเป็นเหมือนโลกของหล่อน เด็กสาวไม่ปรารถนาที่จะออกจากโลกที่อยู่ไปที่ไหนอีก แม้จะแค่ภายนอกหมู่บ้านก็ตาม
               ชินจิรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ วันหนึ่งรุกะก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขาพร้อมคำสั่งว่า
               “ฉันสั่งของไว้ แต่ทางร้านไม่สะดวกมาส่งให้ วานชินจิซังช่วยเข้าเมืองไปรับให้หน่อยนะคะ”
               ชายหนุ่มไม่มีปัญหาเรื่องที่รุกะไหว้วาน แต่เขาไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นเขาต่างหาก การเข้าเมืองหมายถึงการใช้เวลาไปทั้งวันเพราะรถบัสมีแค่สองเที่ยวเท่านั้นเอง ถ้าเขาไป อิซึมิก็ต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว แต่เมื่อเขาเอ่ยปากด้วยความกังวล รุกะก็บอกว่า
               “อิซึมิไม่เป็นไรหรอกค่ะ รายนั้นน่าจะชอบใจมากกว่าที่ไม่ต้องออกไปไหน”
               ชินจิยังลังเล เขาคิดว่าเด็กวัยรุ่นสาว ๆ น่าจะอยากไปเปิดหูเปิดตาในเมืองมากกว่าเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้าน แต่รุกะพูดถูก อิซึมิไม่แสดงทีท่าว่าอยากจะไปเลย หล่อนเกี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ 
               “ฉันไม่ไปหรอกค่ะ ชินจิซังไปน่ะดีแล้ว”
               “อิซึมิจังไม่ชอบเหรอที่จะได้เข้าไปในเมือง” ชินจิถาม
               “ฉันชอบอยู่ที่นี่มากกว่าค่ะ ไม่อยากไปไหน” หล่อนตอบ “ตอนนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าที่นี่อีกแล้ว”
               “ว่ายังไงนะครับ” ชินจิถามซ้ำ ไม่แน่ใจว่าฟังผิดเพี้ยนไปหรือไม่ เพราะเสียงของเด็กสาวตอนพูดประโยคสุดท้ายนั้นเบาจนกลายเป็นกระซิบ
               “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” อิซึมิยิ้มกว้าง เสียงกลับมาดังเป็นปกติ หล่อนเตือนว่า “ชินจิซังต้องระวังอย่าตกรถนะคะ รีบกลับมาให้ถึงก่อนมืด”
               “ผมจดเวลารถไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง” ชินจิชูสมุดโน้ตของเขาให้ดู แล้วถามด้วยความเอาใจใส่ว่า “อิซึมิจังอยากได้อะไรในเมืองไหม ผมจะซื้อมาให้”
               หล่อนคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตอบด้วยความเกรงใจว่า
               “ถ้าชินจิซังไม่ลำบาก แวะซื้อขนมจากร้านเค้กมาฝากฉันสักชิ้นก็พอค่ะ” หล่อนบอกชื่อขนมที่ต้องการและบอกทางไปที่ร้านให้ ชายหนุ่มจดลงไปในสมุดของเขาพลางรับรองอย่างแข็งขันว่า
               “ขากลับผมจะซื้อมาให้นะ”
               นอกจากอิซึมิ ชายหนุ่มยังถามคนอื่น ๆ ทั้งที่เรียวกังและที่ศาลเจ้าด้วยว่ามีใครอยากได้อะไรจากที่ในเมืองบ้าง แต่ทุกคนล้วนสั่นศีรษะ และทุกคนอีกเหมือนกันที่พูดกับเขาด้วยประโยคเดียวกันว่า
               “ระวังอย่าตกรถนะ รีบกลับมาให้ถึงก่อนมืด”
               ชายหนุ่มถามเอย์จิเป็นคนสุดท้ายซึ่งรุ่นพี่ของเขาก็เตือนเหมือนคนอื่น ๆ ไม่มีผิด ต่างกันอยู่นิดตรงที่เอย์จิยังบอกด้วยว่า
               “เดี๋ยวฉันไปรับที่ป้ายรถบัสนะ”
               “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้ เดินแค่นี้เอง” ชินจิรีบปฏิเสธ จากป้ายรถบัสเดินมาอีกหน่อยเดียวแล้วข้ามสะพานก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว เขาไม่คิดว่าระยะทางแค่นี้เขาจะหลงทางหรือเดินผิดได้แน่ ๆ แต่ทุกคนก็ดูเป็นกังวลอีกทั้งยังย้ำให้รีบกลับ
                ตอนกลางคืนมีอะไรกันแน่นะ
                แล้วไหนจะคำพูดของอิซึมิอีก เขาคิดว่าเขาได้ยินไม่ผิด เด็กสาวกลัวอะไรกัน มีอะไรน่ากลัวข้างนอกเรียวกังอย่างนั้นหรือ
                หรือสัตว์ป่า อย่างหมี เหมือนที่เอย์จิเคยเจอสมัยตอนเป็นเด็ก แต่มันจะลงจากภูเขามากวนคนถึงหมู่บ้านเลยเชียวเหรอ ไม่น่าจะเป็นไปได้
                ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดไปตลอดทางจากป้ายรถหมู่บ้านคันโจโคเอนจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
                ธุระของชินจิอยู่ที่ร้านขายชาในเมือง รุกะเขียนแผนที่ให้อย่างละเอียดทำให้หาเจอได้ไม่ยาก ตัวร้านเป็นอาคารไม้สองชั้นสีน้ำตาลเข้ม หลังคาสีดำ ม่านหน้าร้านใช้สีเดียวกับหลังคา ตัวอักษรชื่อร้านสีขาวตัวใหญ่เห็นเด่นชัด ชายหนุ่มเทียบชื่อร้านกับตัวอักษรในกระดาษ เมื่อเห็นว่าไม่ผิดแน่ก็ก้าวเข้าไป
                 พนักงานสาววัยกลางคนสวมชุดยูกาตะลายดอกไม้สีอ่อนก้มศีรษะทักทายและรับกระดาษจากมือชายหนุ่มไปด้วยความสุภาพนอบน้อม ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่บรรจุกล่องและกระป๋องชาตามรายการที่ได้สั่งไว้ นำมาให้เขาตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง
                 ชินจิยังใช้เวลาอยู่ในร้านอีกนาน แม้ว่าจะได้ของตามที่สั่งแล้วก็ตาม พนักงานนำชาหลายชนิดมาให้เขาชิม ชายหนุ่มก็ชิมจนเพลินพร้อมกับพิจารณาผลิตภัณฑ์ในร้านที่วางเรียงอยู่บนเคาน์เตอร์ตรงหน้าและบนหิ้งไม้ติดผนังด้วยความสนใจ พลิก ๆ ดูก็เห็นว่ามีหลายชนิดที่น่าสนใจ รสชาติดี แบบที่พ่อกับแม่ของเขาน่าจะชอบ ชายหนุ่มจึงจดรายละเอียดลงไปในสมุดโน้ต ตั้งใจไว้ว่า ก่อนกลับโตเกียว เขาจะแวะมาที่ร้านนี้อีกครั้ง
                  ออกจากร้านชา ชินจิมีถ้วยพลาสติกสีขาวใส่ชาร้อน ๆ ถือติดมือออกมาด้วย ที่ร้านมีบริการ Take-out เขาก็เลยเลือกชาที่ชอบให้ทางร้านชงใส่ถ้วยให้ จากนั้นก็ถือโอกาสที่มีเวลาเหลือเฟือก่อนรถบัสเที่ยวบ่ายจะมา เดินจิบชาชมเมืองอย่างสบายอารมณ์
                  เมืองเล็ก ๆ ในชนบทไม่มีอะไรให้เที่ยวชมเป็นพิเศษ แต่ชินจิก็เดินจนเหนื่อย เขาเดินเข้าออกตรอกซอกซอยต่าง ๆ ตามแผนที่ที่เขาเคยโหลดเก็บไว้ตอนหาข้อมูลก่อนทำงาน สำรวจดูว่ามีร้านรวงอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เผื่อคราวหน้าถ้าต้องเข้ามาในเมืองอีก ในหัวของเขาจะได้ไม่ว่างเปล่าจนเกินไปนัก
                  หลังจากเดินอยู่ในเมืองจนถึงเวลาที่กะเอาไว้ ชินจิก็กลับมาที่สถานีรถไฟและแวะร้านขนมเค้กเพื่อซื้อขนมที่อิซึมิต้องการซึ่งเป็นพุดดิ้งเค้กทำเป็นรูปลูกไก่สีเหลืองหน้าตาน่ารัก เด็กสาวสั่งเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่ชายหนุ่มซื้อเผื่อไปให้อีกหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ข้ามถนน เดินไปที่รถตู้เปิดท้ายขายขนมปังเป็นลำดับสุดท้าย
                  รถบัสไปหมู่บ้านคันโจโคเอนออกตรงตามเวลา ชินจิมองนาฬิกา นึกพอใจว่าจะสามารถกลับไปถึงได้ทันก่อนที่จะค่ำและไม่ทำให้ใคร ๆ ต้องเป็นกังวลกับเขา แต่เอาเข้าจริง หลังจากนั่งไปได้ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็เริ่มคิดว่าเขาคงจะกลับไม่ถึงหมู่บ้านภายในหนึ่งชั่วโมงแน่ เส้นทางรถบัสไปยังภูเขามิคามิมีเส้นทางเดียว ทำให้การบริการรับส่งผู้โดยสารค่อนข้างมีความยืดหยุ่น รถบัสสามารถรับหรือจอดส่งคนได้นอกป้าย การเดินทางจึงล่าช้ากว่าที่ชายหนุ่มคิด
                  ชินจิมองออกไปนอกหน้าต่าง บ่ายมากแล้ว ฟ้าเริ่มหมดแสง ในฤดูใบไม้ร่วงพระอาทิตย์ตกเร็วและมืดเร็วด้วย แต่เขายังไม่วิตกมากนักเพราะเขาไม่ได้ตกรถสักหน่อย นี่ก็อยู่บนรถบัสเที่ยวบ่ายแล้ว ยังไงก็กลับถึงหมู่บ้านทันแน่นอน
                  คนทยอยกันลงตามทางจนในที่สุดก็เหลือแค่ชินจิคนเดียวที่เป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายอยู่บนรถ แต่เขาไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้เท่ากับอีกเรื่องหนึ่ง ชายหนุ่มชะเง้อไปด้านหน้ารถ เห็นรถยนต์สามสี่คันจอดต่อกันยาวเป็นหางว่าว เขาไม่เห็นว่ายังมีรถอยู่ข้างหน้าอีกสักกี่คนเพราะถนนเป็นทางเลี้ยว และอีกครู่ต่อมา รถบัสที่เขาโดยสารอยู่ก็ต้องจอดนิ่งหลังรถคันอื่น ๆ เช่นกัน
เสียงวิทยุบนรถดังขึ้น น่าจะเป็นการอธิบายสถานการณ์ให้คนขับรถฟัง เพราะหลังจากสนทนาอยู่ครู่ คนขับรถในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มก็หันมาแจ้งแก่ชายหนุ่มว่า
                  “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ ต้นไม้หักโค่นลงมาปิดถนน เจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์เส้นทางอยู่ รบกวนรอสักครู่นะครับ”
                  “ครับ ขอบคุณมากครับ”
                  ชินจิรับคำหน้าแห้ง ในใจชักวิตก เขาต้องกลับให้ทันก่อนค่ำ นี่มีอุบัติเหตุแบบนี้ เขาคงกลับถึงหมู่บ้านล่าช้ากว่าที่คิดไว้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะช้าไปสักเท่าไร ชายหนุ่มอยากส่งข่าวไปบอกให้คนที่รออยู่รับรู้ แต่นึกขึ้นได้ว่าที่หมู่บ้านไม่มีโทรศัพท์ ตัวเขาเองก็ลืมเอาโทรศัพท์มือถือติดมาเสียด้วย ตอนนี้ที่ทำได้ก็เหลือแค่ภาวนาขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่านั้น
                  เวลาผ่านไปนานพอสมควร รถที่ติดเป็นแพยังไม่มีท่าทีจะเคลื่อนตัว ชินจิเริ่มกระสับกระส่าย เขาชะเง้อมองหน้ารถสลับกับหันไปมองนอกหน้าต่างเป็นระยะ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ แล้ว แต่เขายังติดอยู่บนถนนอยู่เลยทั้ง ๆ ที่อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงหมู่บ้านอยู่แล้วแท้ ๆ
                  “คุณผู้โดยสารจะไปลงที่คันโจโคเอนใช่ไหมครับ”
                  ชินจิเกือบสะดุ้งที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของคนขับรถถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
                  “ใช่ครับ ผมจะไปลงที่หมู่บ้าน” ชายหนุ่มตอบ น้ำเสียงของเขาเป็นกังวล “พอจะทราบไหมครับว่าอีกนานแค่ไหนเราถึงจะไปกันต่อได้ คือผมถูกกำชับว่าให้กลับไปถึงก่อนมืดน่ะครับ”
                  “น่าจะอีกนานพอสมควรครับ” คนขับรถตอบ แววตาของเขาดูไม่สบายใจสักเท่าไรเช่นกัน “ต้นไม้หักหลายต้น ต้องใช้เวลาเคลื่อนย้าย”
                  “สาเหตุเกิดจากอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถาม นึกสงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว วันนี้อากาศดี ไม่มีฝนตกหรือพายุเข้า ลมก็ไม่ได้พัดแรงจัด แล้วทำไมจู่ ๆ ต้นไม้หักโค่นได้ มันดูไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
                  “ผมไม่ทราบครับ ทางศูนย์ไม่ได้แจ้งสาเหตุ” พนักงานขับรถตอบ
                  ชายหนุ่มมองนาฬิกาอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอย์จิเคยบอกเขาว่าที่หมู่บ้านมีวิทยุ น่าจะอยู่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ถ้าเขาส่งวิทยุได้ก็อาจจะทำให้ทางนั้นรู้สถานการณ์ของเขาและไม่เป็นห่วงกันมากนัก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พนักงานขับรถที่คุยกับเขาอยู่เมื่อสักครู่กลับหายไปเสียแล้ว
                  ชินจิลุกขึ้นจากที่นั่งทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินมาถึงหน้ารถ พนักงานขับรถก็กลับขึ้นมาประจำที่นั่งหลังพวงมาลัยเหมือนเดิม
                  “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าวิทยุของรถบัสติดต่อไปที่หมู่บ้านได้ไหม ผมอยากส่งข่าวให้คนที่หมู่บ้านทราบหน่อยน่ะครับว่าผมจะกลับช้า ผมทำงานอยู่ที่เรียวกังฮิราตะ” ชายหนุ่มถามอย่างสุภาพ
                  “ผมส่งข่าวไปเรียบร้อยแล้วครับ ทางนั้นน่าจะทราบแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น”
                  “อ้าว ไม่ได้ใช้วิทยุเหรอครับ” เขาถามด้วยความสงสัย
                  พนักงานขับรถยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แต่ไม่ได้ตอบข้อซักถามของผู้โดยสารของเขา
                  ชินจิถอยกลับไปนั่งที่เดิม เอาเถอะ อย่างน้อยที่หมู่บ้านก็ได้รับทราบข่าวแล้ว เขาก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
                  ไม่นานต่อมา วิทยุด้านหน้ารถก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นข่าวดี เพราะพนักงานขับรถรีบหันมาบอกว่า
                  “เจ้าหน้าที่เคลียร์เส้นทางได้เรียบร้อยแล้วครับ”
                  “ค่อยยังชั่วหน่อย” ชายหนุ่มอุทานด้วยความยินดี

                  ห่างออกไปไม่ไกลนัก บนกิ่งไม้ที่สูงที่สุดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ใบเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพลิงทั้งต้น ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งแกว่งขามองดูความโกลาหลชุลมุนวุ่นวายบนถนนเบื้องล่างด้วยความสนุกสนาน
                  เจ้าพวกมนุษย์วิ่งกันพล่านเหมือนมดปลวกทีเดียว
                 ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ หน้าอกเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระเพื่อมทำให้สร้อยคอสีเงินเป็นแผงที่สวมอยู่ที่ลำคอหนาขยับขึ้นลงตามไปด้วย
                 นี่ถ้าเขาโยนต้นไม้ลงไปอีกสักต้นตอนนี้มันจะเป็นยังไงนะ
                 คิดแล้วก็ขยับตัวเปลี่ยนจากนั่งเป็นยืนทันที ร่างกายของชายหนุ่มใหญ่และหนาไม่ผิดอะไรกับกิ่งไม้ที่อาศัยเป็นแท่นให้เหยียบยืนในตอนนี้เลยสักนิด ชายหนุ่มไม่ใส่เสื้อ สวมแต่กางเกงยีนสีซีดมีรอยขาดที่เข่ากับรองเท้าบู๊ตสีดำยาวครึ่งแข้ง ผิวของเขาขาวเหมือนหิมะ ใบหน้ายิ่งขาวจัดตัดกับดวงตาสีดำสนิท ผมสีเดียวกับดวงตาตัดทรงอันเดอร์คัท ข้างศีรษะไถเกรียนเหลือผมสีดำเห็นเป็นลวดลายพาดทับกัน สวมต่างหูสีเงินเป็นห่วงกลม ๆ ที่หูข้างซ้าย
                 หากแต่ชายหนุ่มไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิด เพราะในเวลานั้นเอง ปลายกิ่งไม้ที่เขายืนอยู่ก็สั่นราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาจับเขย่า ลมแรงพัดวูบ ขนนกสีดำสนิทปลิวว่อนอยู่ในอากาศ
                 “คุโรบะเท็นงู” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเมื่อเห็นผู้มาใหม่
                 อสูรเจ้าของขนนกสีดำยืนอยู่ตรงปลายกิ่งไม้ ห่างจากเขาพอสมควร คุโรบะไม่ใส่เสื้อเช่นกัน ทำให้เห็นรอยสักเป็นรูปคล้ายปีกนกที่หน้าอกด้านบนอย่างชัดเจน
                 “พอแล้ว ริคิมะรุ หยุดก่อกวนมนุษย์ ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเรา” ผู้มาใหม่ปรามเสียงแข็ง
                 “เจ้าคิดว่าจะห้ามข้าได้หรือ”
                 “ข้าเตือนเจ้า งานของเราคือการสืบหาลูกแก้วคันจุ แต่เจ้ากลับมารังควานมนุษย์เล่นเหมือนเป็นของสนุก ถ้ามนุษย์โต้ตอบเรากลับ คิดบ้างหรือไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
                 “อย่ามาสั่งสอนข้าเหมือนพวกตาแก่ในปราสาทหน่อยเลยน่ะ” ริคิมะรุกระชากเสียงด้วยความไม่พอใจ ร่างใหญ่หนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเหมือนจะขยายขนาดขึ้นอีกเมื่อเจ้าตัวกำลังโมโห เส้นเลือดที่ข้างขมับปูดโปน ดวงตาเบิกโตเหลือบกลับลงไปมองเบื้องล่าง ตอนนี้การจราจรของมนุษย์ที่เคยติดขัดเริ่มคลี่คลาย อสูรหนุ่มแสยะยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นรถบัสคันใหญ่แล่นผ่านไป 
                 “ข้าอยากทำอะไร ข้าก็จะทำ!” ริคิมะรุลั่นวาจา ก่อนจะกระโดดผลุงลงจากต้นไม้
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 31-03-2016 11:38:04
พวกปีศาจนิสัยเสีย ฮึ่ย อย่าให้ชินจิเป็นอะไรนะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 31-03-2016 13:03:50
สนุกมากค่ะพี่นอ้ง o13

เหลืออีกสองตอนก็จะอ่านทันบ่น

คนเขียนสู้ๆน้า :L1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-03-2016 20:19:16
บทที่ 12

        ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วตอนที่ชินจิก้าวลงจากรถบัสที่ป้ายหมู่บ้านคันโจโคเอน บรรยากาศในตอนกลางคืนช่างแตกต่างจากในตอนกลางวันอย่างลิบลับ ชายหนุ่มชักจะเริ่มเข้าใจขึ้นมานิด ๆ แล้วว่าทำไมทุกคนถึงย้ำนักย้ำหนาให้เขากลับก่อนค่ำ
             ชินจิมองรอบตัว ไฟถนนสีส้มดวงเล็ก ๆ เพียงดวงเดียวที่ป้ายรถบัสไม่ได้ให้แสงสว่างมากมายนัก ทุกอย่างที่เขาเห็นจึงเป็นเงาตะคุ่ม ๆ ไปหมดรวมทั้งบ้านชาวนาหลังคาลาดที่เป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายรถด้วย ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ความมืดและความเงียบทำให้บรรยากาศดูวังเวงยิ่งขึ้น เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่น
เสียงการ้องแหลมดังแหวกความเงียบขึ้นมาทำให้ชินจิสะดุ้งจนตัวลอย เขาเคยได้ยินเสียงการ้องอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกกลัวได้เท่าครั้งนี้มาก่อน เสียงของมันฟังเหมือนคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ได้ยินแล้วชวนให้ขนที่คอลุกชัน ชายหนุ่มรีบเดินหนีจากตรงนั้นทันที มุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแม่น้ำชิมิซึที่เป็นทางเข้าไปสู่หมู่บ้าน เขายังได้ยินเสียงการ้องอีกหลายครั้งทางด้านหลัง แต่ชายหนุ่มจ้ำพรวด ๆ ไปข้างหน้าอย่างเดียวโดยไม่คิดจะเหลียวกลับไปมองข้างหลัง และเมื่อก้าวไปถึงบริเวณที่มีแสงไฟจากสะพานสาดมาถึง ชินจิก็แทบจะถอนหายใจออกมาดังเฮือกด้วยความโล่งอก
              กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยมาในอากาศ ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะสังเกตเห็นรถเข็นคันเล็กจอดอยู่ตรงตีนสะพาน ควันขาว ๆ ลอยกรุ่นลอดออกมาจากม่านสีม่วงด้านหน้า บนโคมไฟกระดาษสีแดงที่ติดอยู่ข้างรถมีตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า ‘ชิโนซากิ’
               “รถเข็นขายโอเด้ง” ชินจิแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง กลิ่นหอมยั่วกระเพาะที่เตะจมูกของเขาเมื่อสักครู่คือกลิ่นโอเด้งจากรถคันนี้นั่นเอง แต่ทำไมถึงมีรถเข็นขายอาหารมาอยู่ในที่แบบนี้และในเวลาอย่างนี้ได้ ก็ไหนบอกว่าไม่มีใครออกมาจากบ้านในเวลากลางคืนไม่ใช่หรือ
               ความอยากรู้ทำให้ชายหนุ่มเดินตรงไปที่รถเข็นขายโอเด้งคันนั้นราวกับต้องมนตร์
               ชินจิเมียงมองเข้าไปข้างใน เห็นหม้อสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มีควันขึ้นฉุย ข้างในแบ่งเป็นช่องขนาดเท่า ๆ กัน แต่ละช่องอัดแน่นไปด้วยหัวไชเท้าหั่นเป็นชิ้นหนา ๆ เต้าหู้ทอด ไข่ต้ม สาหร่ายคอมบุ เส้นบุก ไส้กรอก หนวดปลาหมึกยักษ์ มันฝรั่ง และลูกชิ้นปลาหลายแบบ ทั้งที่เป็นลูกกลม ๆ เสียบไม้และแบบเป็นหลอดอ้วน ๆ ที่เรียกว่าชิกุวะ ของทั้งหมดแช่อยู่ในน้ำซุป เห็นแล้วชวนให้น้ำลายสอ
               “อิรัชชัยมะเสะ ยินดีต้อนรับครับ”    
               เสียงเยียบเย็นดังขึ้นข้างหู ชินจิสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองโดยอัตโนมัติ
               เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายใส่ชุดกางเกงขายาวสีขาว มีผ้ากันเปื้อนสีเดียวกับม่านหน้าร้านคาดที่เอว กำลังยืนเอามือไขว้หลัง หน้าชะโงกเข้ามาจนใกล้     
               “รับโอเด้งแสนอร่อยสักหน่อยไหมครับคุณลูกค้า” ชายคนนั้นพูดอีกพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาที่เฉียงชี้ขึ้นอยู่แล้วยิ่งหยีตี่ลงจนคล้ายเส้นตรง ผิวของชายหนุ่มขาวจัดตัดกับสีผมสีน้ำตาลอมแดงอย่างน่าดู
               “อะ.. เอ้อ มะ..ไม่ดีกว่าครับ” ชินจิปฏิเสธตะกุกตะกัก ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ในกระเพาะของเขาเริ่มปั่นป่วนและส่งเสียงโครกครากเพราะกลิ่นหอมหวนของสิ่งที่อยู่ในหม้อ
               “ทำไมล่ะครับ อากาศเย็น ๆ อย่างนี้น่ะไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าโอเด้งแสนอร่อยของผมหรอกนะ” ชายหนุ่มที่ดูท่าทางว่าเป็นเจ้าของร้านประท้วงทันที
               “คือ..ผมต้องรีบกลับบ้าน” ชินจิอธิบาย
               “โธ่ แวะกินโอเด้งสักสิบห้ายี่สิบนาทีไม่เสียเวลามากหรอก” เจ้าของร้านคะยั้นคะยอ “นะครับ ช่วยอุดหนุนผมหน่อย นี่คุณเป็นลูกค้าคนแรกของคืนนี้เลยนะครับเนี่ย ผมดีใจที่สุด”
                “แต่.. แต่ผมต้องรีบกลับ” ชินจิยังพยายามค้านซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผล ชายหนุ่มเจ้าของร้านไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสิ่งที่เขาพยายามจะบอกเลย
                “จะรีบไปไหนเล่าครับ อยู่กินโอเด้งก่อนดีกว่า สำหรับลูกค้าคนแรกที่น่ารักอย่างคุณ เดี๋ยวผมแถมให้อีกเยอะ ๆ เลย จะคิดราคาพิเศษด้วย เชิญครับเชิญ”
                คราวนี้ไม่ใช่แค่ชวนด้วยปากอย่างเดียวแล้ว แต่เจ้าของร้านหนุ่มตาเฉียงยังทั้งผลักทั้งรุนเขาให้ไปนั่งที่ม้านั่งไม้ยาวหน้าร้าน ชินจิจำต้องนั่งลงเพราะไม่อาจทัดทานได้ ของที่ถืออยู่ในมือทั้งหมดวางลงบนที่ว่างข้างตัว ส่วนเจ้าของร้าน เมื่อเห็นลูกค้านั่งลงสมความตั้งใจแล้วก็กระวีกระวาดเข้าไปในร้าน ตอนที่หันหลังให้ ชินจิคิดว่าตัวเองเห็นหางเป็นพวงสีขาวงอกออกมาจากบั้นท้ายของเจ้าของร้าน แต่เมื่อขยี้ตาเพื่อมองให้ชัด เขากลับไม่เห็นอะไรเลย
                เจ้าของร้านหันกลับมาพร้อมกับชามใบใหญ่แล้วใช้ทัพพีด้ามใหญ่ไม่แพ้กันประโคมตักของจากในหม้อใส่ให้จนเต็มชาม นำมาวางให้ลูกค้าของเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
                ชินจิมองชามโอเด้งที่ส่งควันฉุยตรงหน้าด้วยความไม่แน่ใจ แต่กลิ่นหอม ๆ ของมันยั่วยวนใจจนอดไม่อยู่ มือของชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบตะเกียบไม้จากในกระบอกมาฉีกแยกออก แล้วคีบของในชามใส่ปาก
                “อร่อยจังเลยครับ” ชายหนุ่มอุทานออกมาเมื่อรู้รส ลูกชิ้นปลาเหนียวหนุบหนับกำลังดี น้ำซุปหวานละมุนลิ้น ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกติดใจ มือของเขาขยับตะเกียบอีกครั้ง คีบโอเด้งเข้าปากเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หมดชามด้วยความรวดเร็ว
                “รับเพิ่มอีกนะ” เจ้าของร้านพูดโดยไม่รอฟังคำตอบรับใด ๆ จากลูกค้า กุลีกุจอตักโอเด้งในหม้อเพิ่มให้อีก ชินจิก็กินได้อีกเช่นกัน แป๊บเดียวเท่านั้นก็หมดชาม
                 “อร่อยใช่ไหมล่ะครับ” เจ้าของร้านยิ้มจนตาหยี
                 “ครับ อร่อยมากเลย” ชินจิตอบ ยังนึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่กินเข้าไปได้เยอะแบบนี้ แต่โอเด้งเจ้านี้ก็อร่อยมากจริง ๆ โดยเฉพาะเต้าหู้ทอด เขายังไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน
                 “งั้นรับเพิ่มอีกชามนะครับ”
                 “เดี๋ยวก่อน.. พอแล้วครับ ผมต้องกลับแล้ว”
                 เจ้าของร้านไม่ฟังชายหนุ่มตามเคย ตักเต้าหู้ทอด ชิกุวะ ไข่ม้วน หนวดปลาหมึกยักษ์และหัวไชเท้าเพิ่มให้อีก ชินจิหนักใจ แต่เมื่อเห็นอาหารเต็มชาม เขาก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนเดิม
                 “พอแล้วครับ พอจริง ๆ ผมอิ่มตื้อเลย” ชินจิรีบพูดเมื่อเห็นเจ้าของร้านขยับทัพพีเป็นครั้งที่สี่
                 “แหม น่าเสียดายจริง ๆ” เจ้าของร้านบ่น แต่ก็ยอมตามใจ ไม่ดึงดันจะขัดความต้องการของชายหนุ่มอีก
                 “กินมากกว่านี้กลัวจะไม่มีเงินจ่าย ผมเอาเงินติดตัวมานิดหน่อยเองครับ” ชินจิบอก มือควานหากระเป๋าสตางค์ใบเล็กมาเปิดดู แล้วก็พบว่าในช่องเก็บเหรียญมีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ร้อยเยนเท่านั้น เขาหยิบเหรียญทั้งหมดออกมานับ
                 “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ สำหรับลูกค้าคนพิเศษอย่างคุณ ผมคิดค่าโอเด้งแค่สี่ร้อยสิบเจ็ดเยน”
                 ชินจิชะงัก ในมือของเขาตอนนี้มีเหรียญหนึ่งร้อยเยนสามเหรียญ เหรียญห้าสิบเยนสองเหรียญ เหรียญสิบเยนหนึ่งเหรียญ และเหรียญหนึ่งเยนอีกเจ็ดเหรียญ เป็นเงินเท่ากับจำนวนที่เจ้าของร้านบอกพอดี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
                  “สี่ร้อยสิบเจ็ดเยนครับ ไม่แพงเลยใช่ไหม” เจ้าของร้านตาเฉียงยิ้มหวาน
                  ชินจิส่งเหรียญทั้งหมดในมือให้ เจ้าของร้านรับมาพร้อมกับโค้งขอบคุณ แล้วหายไปทางด้านหลัง กลับออกมาอีกครั้ง ในมือของเขามีห่อผ้าใบใหญ่สีม่วงเข้มมาด้วย
                  “นี่สำหรับคนที่บ้านครับ” เจ้าของร้านยื่นส่งให้แบบที่น่าจะเรียกว่ายัดใส่มือมากกว่า 
                  “แต่ผมไม่มีเงินแล้วนะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก พยายามจะยื่นห่อผ้าคืนให้
                  “ไม่ต้องจ่ายเงิน นี่เป็นของฝากจากผม รับไปเถอะครับ” เจ้าของร้านผลักมือของชายหนุ่มกลับ แล้วหันไปคว้าถุงข้าวของที่วางอยู่บนม้านั่งมาใส่มือให้อีกทอด ชิ้นสุดท้ายคือกล่องขนมเค้กกล่องเล็ก ตอนนี้ชินจิเลยมีของเต็มทั้งสองมือ ดูทุลักทุเลอยู่ไม่ใช่น้อย
                   “ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ” เจ้าของร้านตาเฉียงเดินตามมาส่งลูกค้าของเขาที่สะพานข้ามแม่น้ำพร้อมกับโค้งศีรษะลงต่ำอีกครั้ง
                   “เดินกลับบ้านอย่างระมัดระวังด้วยนะ”
                   “ขอบคุณมากครับ” ชินจิก้มศีรษะรับ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าของร้านโอเด้งในชุดกางเกงสีขาวก็ไม่อยู่เสียแล้ว เขาหายตัวไปเหมือนจู่ ๆ ก็สลายกลายเป็นอากาศธาตุ ทิ้งท้ายไว้ด้วยเสียงเยียบเย็นที่ยังดังก้องอยู่ในหูของคนฟังว่า
                   “แล้วพบกันใหม่ ชินจิคุง”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-03-2016 20:28:10
               “อย่าทำอะไรเขา อย่าทำอันตรายมนุษย์คนนั้น”
               เสียงจากปากของอสูรหนุ่มร่างเล็กกว่าดังออกมาเป็นเสียงร้องของอีกา มือทั้งสองข้างพยายามฉุดรั้งร่างกายใหญ่หนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามของอสูรหนุ่มอีกตนอย่างสุดความสามารถ
               “หลีกไปเดี๋ยวนี้ เจ้าการาสุเท็นงู”
               อสูรตัวใหญ่คำรามพลางสะบัดตัวหนี แต่ไม่หลุดจากมือของอีกฝ่ายที่เกาะแน่นเหมือนกรงเล็บของนก ริคิมะรุแยกเขี้ยวเข้าใส่ด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ ฟันแหลมคมของเขาฉีกกระชากเนื้อบริเวณไหล่ของคุโรบะหลุดออกมา เลือดสีแดงเข้มไหลทะลัก
               คุโรบะกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
               “สมน้ำหน้า กล้ามาขวางทางข้า”
               ริคิมะรุแสยะยิ้ม ใช้มือข้างเดียวเหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายจนกระเด็น แต่คุโรบะก็ทนทายาด พลิกกลับตัวได้ทันก่อนที่จะตกถึงพื้น ปีกสีดำกลางหลังกระพือพั่บส่งให้ตัวของเขาพุ่งกลับมาทางเดิมอีกครั้งและมือก็เหนี่ยวร่างของอสูรตัวใหญ่เอาไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโจนลงไปโจมตีเหยื่อที่หมายตาเอาไว้
               “ไปให้พ้น”
               “ไม่ได้ ทำร้ายเขาไม่ได้”
               อสูรหนุ่มผู้กลายร่างเป็นอีกาสีดำร้องเตือนซ้ำ ๆ
               “มนุษย์ผู้นี้เป็นคนของศาลเจ้า ถ้าเจ้าลงมือ มนุษย์ไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน”
               “เจ้ากลัวมนุษย์มากขนาดนั้นเลยเรอะ เจ้าขี้ขลาด”
               “ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นก่อนที่เราจะหาลูกแก้วเจอ ท่านอาคางิต้องไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง”
               ชื่อที่ได้ยินทำให้ริคิมะรุหยุดคิดได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ อสูรทั้งสองตนยื้อยุดกันอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่จนคุโรบะเสียท่า โดนหมัดของอีกฝ่ายต่อยใส่ท้องจนเข่าทรุดลงกับพื้นและกระทืบซ้ำด้วยเท้าใหญ่โตที่สวมรองเท้าบู๊ต คุโรบะกระอักกระไอและคายเอาเลือดออกมาจากปากด้วยความเจ็บปวด
               ริคิมะรุสลัดตัวเกะกะออกแล้ว แต่เขาไม่อาจเอื้อมถึงตัวมนุษย์ที่เขาหมายตาเอาไว้ได้เพราะเหยื่อของเขาก้าวเข้าสู่เขตแดนแห่งหนึ่งที่มีพลังมากจนเขาไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้
               ชิโนซากิคิตสึเนะ! เจ้าจิ้งจอกสีขาวนั่นช่วยมนุษย์!
               อสูรหนุ่มคำรามด้วยความหัวเสียเมื่อเห็นเหยื่อของเขาถูกลากเข้าไปนั่งบนม้านั่งหน้ารถเข็นขายโอเด้ง แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยังมีเวลาก่อนที่เจ้ามนุษย์นั่นจะข้ามสะพาน
               ริคิมะรุรอจนเห็นร่างของเหยื่อเดินออกมาจากเขตแดน แต่ให้ตายสิ เจ้าจิ้งจอกขาวมันเดินออกมากับมนุษย์ด้วย
               “พอเถอะ ริคิมะรุ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าชิโนซากิคิตสึเนะปกป้องมนุษย์ผู้นั้น เจ้าทำร้ายเขาไม่ได้”
               เสียงเตือนดังขึ้นจากข้างหลัง ริคิมะรุยิ่งหัวเสียหนักขึ้นเมื่อเห็นร่างโชกเลือดของการาสุเท็นงูเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาใกล้ อสูรหนุ่มหันรีหันขวาง แต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ มนุษย์ที่สมควรจะกลายเป็นเหยื่อของเขาถือห่อผ้าสีม่วงเข้มอยู่ในมือ บนผ้านั้นมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวและรวงข้าวสีทองประทับอยู่ซึ่งเป็นตราประจำตนของจิ้งจอกขาว ตรานั้นส่องแสงเรื่อเรืองเป็นสีทองท่ามกลางความมืด ดูราวกับเป็นโคมไฟส่องทางให้กับผู้ที่ถือมันอยู่
               ชิโนซากิคิตสึเนะเคยวางตัวเป็นกลางมาตลอด ถึงจะอยู่ในร่างของสุนัขจิ้งจอกที่คนเชื่อกันว่าเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้าอินาริ แต่ก็ถือสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอสูรหรือมนุษย์ แต่ครั้งนี้จิ้งจอกขาวกลับแสดงตัวเหมือนเลือกข้างชัดเจน
               สิ่งที่เห็นทำให้อสูรเลือดร้อนอย่างริคิมะรุจำต้องยอมรับ แต่ความหงุดหงิดของเขาก็จำต้องมีที่ระบาย อสูรหนุ่มแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้าใส่อสูรบาดเจ็บที่ยืนโงนเงนอยู่ข้างหลัง คุโรบะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อคมเขี้ยวของอีกฝ่ายงับผับลงที่โคนปีกสีดำสนิท

                ในเวลาเดียวกันนั้นที่หมู่บ้านคันโจโคเอน เอย์จิกำลังเดินพล่านเหมือนเสือติดจั่นอยู่บนถนนบริเวณด้านหน้าเรียวกัง ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นของแขกแล้ว แต่ชินจิก็ยังไม่กลับมาสักที เขาเป็นห่วงรุ่นน้องตั้งแต่ได้รับข่าวอุบัติเหตุต้นไม้หักโค่นปิดการจราจรบนถนนเมื่อตอนเย็นแล้วและถึงแม้ว่าจะได้รับข่าวจากผู้นำสาส์นอีกครั้งหลังจากนั้น ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเปิดเส้นทางได้เป็นที่เรียบร้อยและชินจิกำลังจะกลับถึงหมู่บ้าน แต่ชายหนุ่มก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่นั่นเอง
                 “ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
                 พี่ชายของเขาเดินจากศาลเจ้ามาสมทบพร้อมกับโฮโจ ทั้งสองคนยังใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้มอยู่เพราะหลังจากฝึกเย็นเสร็จและรู้ว่าชินจิยังไม่กลับมาจากในเมืองก็พากันเดินมาดู
                 เอย์จิสั่นศีรษะ สีหน้าเป็นกังวล
                 “แปลกจัง น่าจะมาถึงได้แล้วนี่นา รถบัสก็มาถึงป้ายนานแล้วด้วย”
                 คำพูดของเออิจิโร่ยิ่งทำให้น้องชายฝาแฝดรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้นไปอีก เป็นไปได้ไหมว่าชินจิจะหลงทาง แต่ระยะทางจากป้ายรถบัสมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำก็ไม่ไกลเท่าไร ถ้าเดินมาตามทางมีหรือที่จะหลงได้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ยกเว้นเสียแต่ว่า...
                 “หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชินจิซังครับ”
                 โฮโจพูดได้ตรงใจพอดี หน้าของเอย์จิซีดลงถนัดตา
                 “ไม่หรอกน่า พวกอสูรไม่น่าจะเหิมเกริมขนาดกล้าทำร้ายคนในบริเวณที่เป็นอาณาเขตของเรา” เออิจิโร่คัดค้าน แต่คิ้วเข้มกลับขมวดมุ่น แสดงว่าเขาก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่พูดไปในทางตรงกันข้าม เพื่อไม่ให้น้องชายของเขาเป็นกังวลไปมากกว่าเดิม
                  ประตูด้านหน้าเรียวกังเลื่อนเปิดออก รุกะเดินออกมา ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดที่เห็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ยืนหน้าตาเครียดเคร่งกันอยู่บนถนนด้านหน้า
                  “ชินจิซังยังไม่กลับมาใช่ไหม” หญิงสาวส่งเสียงถามพลางเดินเข้ามาสมทบ สีหน้าของหล่อนเรียบเฉย แต่ประโยคถัดมาที่พูดมีกังวานเสียงแสดงความตำหนิชัดเจน
                  “ไม่รู้ว่ามัวแต่ไปเถลไถลอยู่ที่ไหน ปล่อยให้คนอื่นเขาต้องรอแบบนี้ ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ”
                  “ชินจิไม่ได้เป็นคนเหลวไหลแบบนั้น” เอย์จินิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ
                  “ถ้ายังงั้นทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กลับมา อุบัติเหตุก็เคลียร์ได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ รถบัสก็มาถึงป้ายแล้วด้วย”
                  ชายหนุ่มไม่อยากเถียงกับรุกะ ตอนนี้เขาไม่มีใจจะทำอะไรทั้งนั้น ถ้ายังไม่เห็นรุ่นน้องของเขากลับมาอย่างปลอดภัย
                  “อีกสิบนาที ถ้าชินจิยังไม่กลับมา ฉันจะออกไปตามหา” เอย์จิประกาศ
                  แต่ชายหนุ่มไม่ต้องรอนานถึงขนาดนั้น เพราะไม่กี่อึดใจต่อมาก็ปรากฏแสงเรื่อเรืองเหมือนแสงโคมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนขยับตัวแทบจะพร้อม ๆ กัน โฮโจเขม้นมองก่อนจะร้องว่า
                  “ชินจิซังครับ!”
                  เอย์จิเป็นคนแรกที่วิ่งถลันออกไป ตามด้วยเออิจิโร่และโฮโจ ส่วนรุกะไม่รีบร้อนเหมือนกับคนอื่น ๆ สายตาของหล่อนจับอยู่ที่แหล่งกำเนิดแสงเรือง ๆ ที่เหมือนแสงโคมนั่นมากกว่า
                  “ผมกลับมาแล้วครับ ขอโทษด้วยที่กลับมาช้า” ชินจิรีบพูด เมื่อเห็นทุก ๆ คนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
                  เอย์จิถึงตัวเขาเป็นคนแรก แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้ แค่ชะงักเท้าหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจไปทั่วตัวของรุ่นน้อง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มปลอดภัยดี ไม่มีอะไรบุบสลายหรือต้องให้เป็นกังวล จากความห่วงใยก็เลยเปลี่ยนเป็นความโกรธ
                  “หายไปไหนมา ทำไมถึงกลับเอาป่านนี้ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้กลับมาก่อนค่ำ!” เอย์จิตวาดเสียงเข้ม ทำเอาคนฟังคอย่นไปตาม ๆ กัน ชินจิหน้าซีด เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เอย์จิโมโหเขาถึงขนาดนี้
                  “ผม... เอ้อ...” ชายหนุ่มรุ่นน้องพูดตะกุกตะกัก นึกอยากจะขอโทษอีกครั้ง แต่พูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น 
                  “เอาเถิดน่า อย่าดุนักเลย ชินจิคุงกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วนี่นา”
                  เออิจิโร่ยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ แต่เอย์จิก็ยังไม่ใจเย็นลง สุดท้ายชายหนุ่มก็สะบัดหน้าแล้วเดินปึงปังกลับเข้าไปในเรียวกัง
                  ชินจิหน้าสลดลงจนเออิจิโร่รู้สึกสงสาร
                  “ไปไหนมาเหรอชินจิคุง” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ดวงตาของเขาจับอยู่ที่จุดเดียวกับที่คู่หมั้นสาวของเขากำลังมองอยู่
                  “ระหว่างทางกลับบ้านมีอุบัติเหตุครับ รถบัสก็เลยมาช้า ผมอยากจะติดต่อกลับมาที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง”
                  “เรารู้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุกับเรื่องความล่าช้าของรถบัสแล้วล่ะ แต่เธอก็น่าจะกลับมาได้เร็วกว่านี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเดินหลงทาง”
                  ชินจิส่ายหน้า
                  “เปล่าครับ ผมไม่ได้หลงทาง ผมแทบจะวิ่งแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ได้ถือของเต็มมือแบบนี้ แต่พอมาถึงที่สะพาน ผมก็เจอรถเข็นขายโอเด้ง”
                  “รถเข็นขายโอเด้ง?” เออิจิโร่ทวนคำ ตาลุกวาว
                  “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่คุณคนขายโอเด้งลากผมเข้าไปนั่งในร้าน ผม...ผมปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ก็เลยต้องนั่งกินโอเด้งจนกลับมาสาย” ชินจิสารภาพเสียงเครือด้วยความรู้สึกผิด
                  คนฟังพากันนิ่งไป แล้วเออิจิโร่ก็ชี้ไปที่ห่อผ้าที่อยู่ในมือของชายหนุ่มรุ่นน้อง ถามว่า
                  “งั้นในห่อผ้านั่นก็คือโอเด้งเหรอ”
                  “ครับ คุณเจ้าของร้านให้มา บอกว่าเป็นของฝากของคนที่บ้านครับ” ชินจิอธิบายหลังจากนึกขึ้นได้
                  เออิจิโร่สบตากับรุกะ ก่อนที่ฝ่ายหลังจะทำมือเป็นสัญญาณให้โฮโจเข้าไปรับของจากมือของชินจิ ตอนแรกชายหนุ่มส่งให้แค่ห่อผ้า แต่โฮโจบุ้ยใบ้ให้ส่งมาให้ทั้งหมด เขาก็เลยยื่นของที่เหลือให้ ยกเว้นถุงพลาสติกใบเล็กใบหนึ่ง
                  “แล้วโอเด้งของชิโนซากิซังอร่อยไหม” เออิจิโร่ถามต่อ
                  “ของใครนะครับ” ชินจิตามไม่ทัน แต่แล้วก็ร้องอ๋อ ชิโนซากิคงเป็นชื่อของคุณเจ้าของร้านคนนั้น จะว่าไปที่โคมไฟหน้าร้านก็ยังติดชื่อเอาไว้เลย แต่เขาไม่ทันเฉลียวใจเองต่างหาก
                  “อร่อยมากเลยล่ะครับ โดยเฉพาะเต้าหู้ทอด” ชายหนุ่มตอบ
                  “ว้าว เต้าหู้ทอด ข้างในห่อนั้นจะมีให้กินบ้างไหมน้า” เออิจิโร่ทำเสียงตื่นเต้น
                  รุกะกลอกตาเหมือนระอากับคำถามไม่เป็นเรื่องของคู่หมั้น แล้วก่อนที่จะมีแต่เรื่องของกินอย่างเดียว หญิงสาวก็เริ่มเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง
                  “ชิโนซากิซังพูดหรือถามอะไรแปลก ๆ กับคุณบ้างรึเปล่า”
                  “อะไรแปลก ๆ เหรอครับ” ชินจินิ่วหน้า รู้สึกว่าคำถามของรุกะต่างหากที่แปลก แต่เขาก็ตอบอย่างสุภาพหลังจากนึกอยู่ครู่ว่า
                  “ไม่มีนะครับ คุณเจ้าของร้านเอาแต่ชวนผมกินโอเด้งอย่างเดียวเลย ก่อนกลับก็ให้เอาโอเด้งกลับไปให้คนที่บ้าน แล้วก็เดินมาส่งผมที่สะพาน กำชับให้เดินระวัง ๆ ก่อนจะไปก็บอกว่า แล้วพบกันใหม่”
                  “เอ๋ ชิโนซากิซังบอกว่าอยากเจออีกงั้นเหรอ ชินจิคุงนี่มีเสน่ห์จังเลยน้า”
                  รุกะพยายามทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดไร้สาระของคู่หมั้น หล่อนซักต่อว่า
                  “เขาเดินมาส่งคุณที่สะพาน เตือนให้ระวัง ถ้างั้นมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นระหว่างทางบ้างรึเปล่า ฉันหมายถึงก่อนหรือหลังเจอร้านโอเด้งน่ะ”
                  “ผมไม่รู้ว่าแปลกรึปล่า แต่ผมรู้สึกว่าอากาศหนาวกว่าปกติ แล้วก็ได้ยินเสียงการ้องบ่อยมากเลยครับ เหมือนมีคนไปทำร้ายมันอย่างนั้นแหละ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแปลกนะครับ”
                  “เสียงการ้องกับอากาศหนาวงั้นเหรอ” รุกะนิ่งคิด
                  “เอ้อ... มีอะไรรึเปล่าครับ” ชินจิถามด้วยความไม่เข้าใจ เออิจิโร่ตอบแทนคู่หมั้นสาวของเขาว่า
                  “ไม่มีอะไรหรอก ชินจิคุง พวกเราเป็นห่วงเท่านั้นแหละ เห็นเธอกลับมาค่ำ กลัวว่าจะหลงทางหรือเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะ”
                  “ผมขอโทษนะครับที่กลับมาช้า”
                  “ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องขอโทษ” เออิจิโร่โบกมือ “เจอแบบนั้นก็ต้องกลับช้าอยู่แล้ว เขาช่างตื๊อใช่ไหมล่ะชิโนซากิซังคนนั้นน่ะ แล้วถ้าเราเผลอเมื่อไหร่ล่ะก็นะ โดนจ่ายตังค์เกลี้ยงกระเป๋าแน่”
                  “ก็เกลี้ยงกระเป๋าเหมือนกันแหละครับ แต่ผมมีเงินไม่เยอะ” ชินจิตอบ แล้วสีหน้าก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก ถามเสียงอึกอักว่า
                  “แล้ว...เอย์จิซัง...เอ่อ โกรธผมมากไหมครับ”
                  “รายนั้นเป็นห่วงมากกว่า แต่ถ้าเธอเอา ‘นั่น’ ไปให้ รับรองว่าหายโกรธทันทีเลยล่ะ” เออิจิโร่ขยิบตา คำตอบของเขาทำให้ชายหนุ่มรุ่นน้องใจชื้นขึ้นได้อีกมาก
                  รุกะตวัดสายตามองมาทางทั้งคู่นิดหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หน้าของหญิงสาวเชิดสูงขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรียวกังเสียเฉย ๆ เออิจิโร่เห็นแบบนั้นก็เอ่ยขอตัวเช่นกัน แต่เขาแสดงความเป็นมิตรต่างไปจากคู่หมั้นสาวโดยสิ้นเชิงด้วยการยิ้มกว้างพลางตบไหล่ชายหนุ่มรุ่นน้องเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจก่อนที่จะแยกตัวไปทางศาลเจ้า ตอนนี้ที่ด้านหน้าเรียวกังเหลือเพียงแค่ชินจิคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 11 - 30-3-2016 (Romantic Fantasy)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-03-2016 20:32:34
                เอย์จิรู้ตัวดีว่าตัวเองทำไม่ถูกที่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนลืมคิดถึงเหตุผล ชินจิไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่ควรตวาดใส่ชินจิไปแบบนั้นเลย หน้าของชินจิสลดเหมือนต้นไม้ที่โดนรดด้วยน้ำร้อนจัด ๆ เห็นแล้วก็ใจไม่ดี อยากขอโทษ อยากบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น แต่มันพลั้งปากออกไปเอง
                ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาทำลงไปแล้ว ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น มานึกเสียใจเอาทีหลังมันก็ไม่มีประโยชน์
                “ท่านเอย์จิครับ” เสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้นด้วยความเกรงใจ
                ชายหนุ่มหันไปมอง พ่อครัวประจำเรียวกังเป็นคนเรียกเขา โอซามุยืนเบียดอยู่กับอิซึมิห่างออกไปพอสมควร ทั้งสองคนทำท่าเหมือนกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนพูด เอย์จิเห็นแล้วรำคาญตานักและอารมณ์หงุดหงิดที่ยังเหลือเชื้ออยู่ไม่น้อยทำให้ชายหนุ่มถามเสียงห้วนว่า
                “มีอะไร”
                สองพี่น้องอึกอัก สะกิดกันไปมา
                “มีอะไรก็พูดมาสิ” เอย์จิตวาดด้วยความไม่สบอารมณ์
                “เอ่อ... คือ...” โอซามุกลืนน้ำลาย ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปข้างหน้า “ถ้วยแตกจะหมดแล้วครับ”
                เอย์จิขมวดคิ้วในตอนแรก แต่เมื่อมองตามนิ้วชี้ของพ่อครัวประจำเรียวกังไป เขาก็ชะงัก ในอ่างล้างจานตรงหน้าเต็มไปด้วยเศษกระเบื้อง จากนั้นพอก้มมองดูมือตัวเองก็เห็นว่ากำลังถือถ้วยกระเบื้องใบหนึ่งที่แตกออกเป็นสองเสี่ยง สีหน้าของเขาบอกว่ากำลังงง ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
                “เรื่องล้างจานปล่อยให้พวกผมจัดการเองเถอะนะครับ ท่านเอย์จิ” โอซามุรีบพูด เขาจึงวางซากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถ้วยกระเบื้องลายดอกไม้สีชมพูลงไปในอ่างรวมกับเศษกระเบื้องอื่น ๆ แล้วถอยหลังออกมาให้โอซามุกับอิซึมิเข้าไปแทนที่ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าต่อยภาชนะใส่อาหารพวกนี้แตกไปตั้งแต่เมื่อไร ทั้ง ๆ ที่เขาก็ล้างจานเหมือนกับที่ทำอยู่ทุกวัน
                 ไม่เข้าใจเลย
                 ประตูห้องครัวเปิดออก รุกะเดินเข้ามา เมื่อเห็นเอย์จิก็บอกว่า
                 “ท่านพ่อเรียกเธอไปพบที่ห้องดอกบ๊วย”
                 “ฉันยังมีงานต้องทำ” เอย์จิตอบเสียงเรียบ
                 รุกะมองเลยไปที่โอซามุกับอิซึมิซึ่งกำลังช่วยกันเก็บเศษกระเบื้องในอ่างล้านจานอย่างขมีขมัน ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองคนที่หล่อนกำลังพูดด้วย หล่อนย้ำว่า
                 “นี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อ ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว เธอก็ต้องไปด้วย”
                 “ไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้วจะไปทำไม”
                 “ปกติเธอไม่ใช่คนช่างประชดนะเอย์จิ”
                 ชายหนุ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินคำเตือนของหญิงสาว นี่เขากำลังปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว รุกะพูดถูก เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ สิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันไม่สมกับที่เป็นเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
                 “ท่านพ่อเรียกฉันไปทำไม มีเรื่องอะไรรึเปล่า” เอย์จิถาม
                 “เรียกให้ไปกินโอเด้งของชิโนซากิคิตสึเนะไง”
                 “ไม่เห็นเข้าใจเลย”
                 รุกะมองชายหนุ่มด้วยความสมเพชระคนไม่ชอบใจ ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าเอย์จิเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ก่อนหน้านี้ก็โมโหจนฟิวส์ขาด เดินผลุนผลันเข้ามาในครัวแล้วก็ไประบายอารมณ์กับจานชาม ตอนนี้ที่พูดแบบนี้ก็อีก แสดงว่าโกรธจนหน้ามืดตามัว จนหลงลืมอะไรไปหมดทุกอย่าง
                  “จะไม่เข้าใจได้ยังไง รุ่นน้องของเธอเป็นคนเอามาเองกับมือแท้ ๆ”
                  “ชินจิน่ะเหรอ”
                  “จะใครเสียอีกล่ะ ชินจิซังเจอชิโนซากิคิตสึเนะตอนขากลับมาที่หมู่บ้าน จิ้งจอกขาวตนนั้นให้โอเด้งที่ห่อด้วยผ้าคลุมประทับตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวกลับมาด้วย ตราสีทองของจิ้งจอกขาวสว่างอย่างกับแสงโคม เธอไม่ได้สังเกตบ้างเลยรึไง”
รุกะเหน็บ
                  “เป็นไปได้ยังไง ชิโนซากิคิตสึเนะกับชินจิเนี่ยนะ” เอย์จิยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
                  “ไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยังไง แต่มันเป็นไปแล้ว และถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด จากที่ชินจิซังเล่า ดูเหมือนว่าชิโนซากิคิตสึเนะจะตั้งใจให้ตราสีทองนั่นคุ้มครองชินจิซังให้กลับมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย ท่านพ่อเรียกพบทุกคนเพราะเรื่องนี้แหละ ท่านคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกอสูรกำลังมีแผนการจะทำร้ายมนุษย์”
                  “พวกอสูรจะทำร้ายชินจิยังงั้นเหรอ” เอย์จิทวนคำ หน้าซีดเผือด
                  “ฉันพูดว่าท่านพ่อคิดว่าพวกอสูรอาจจะมีแผนการทำร้ายมนุษย์ ไม่ได้หมายถึงรุ่นน้องของเธอคนเดียว” รุกะพูดด้วยความอดทน ถ้าคนอื่นหรือกระทั่งเออิจิโร่เป็นคนถาม ไม่ใช่เอย์จิล่ะก็ หล่อนคงด่าเข้าให้แล้วด้วยความหมั่นไส้
                  แล้วพอเห็นเอย์จิขยับตัว หญิงสาวก็รีบดักคอเสียงแข็งทันที 
                  “ไปพบท่านพ่อก่อน เอย์จิ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง!”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 12 - 31-3-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 31-03-2016 22:32:14
ชิโนซากิคิตสึเนะ ท่านจิ้งจอกกก รักเลยตอนแรกนึกว่าจะมาหลอกอะไรชินจิรึเปล่า โล่งอกไปที
เอย์จิอย่าปล่อยให้อารมณ์เหนือเหตุผลสิ ชินจิกลัวนะ
เจ๊รุกะคือน่าหมั่นไส้อ่ะ เกลียดด
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 12 - 31-3-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 01:28:38
บทที่ 13

        ห้องดอกบ๊วยอยู่ติดกับห้องนอนของมาซาฮารุ ตั้งชื่อตามลายดอกบ๊วยสีชมพูเข้มบนของประดับทั้งหลายที่ใช้ตกแต่งในห้องรวมทั้งเป็นลายบนประตูบานเลื่อน ขนาดของห้องไม่ใหญ่มากนัก เจ้าบ้านคนปัจจุบันใช้ห้องนี้สำหรับรับแขกสำคัญและพูดคุยเรื่องที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน
        เอย์จิเกลียดห้องนี้ ทุกครั้งที่บิดาของเขาเรียกให้มาพบที่นี่ มันไม่เคยเป็นเรื่องดี
        นอกจากชายหนุ่มกับรุกะ คนที่นั่งอยู่ในห้องก็มีบิดาของเขา เออิจิโร่และโอคินะ ตรงหน้าทุกคนบนโต๊ะไม้ตัวเตี้ยมีถ้วยใส่โอเด้งร้อน ๆ ตรงกลางโต๊ะ ผ้าสีม่วงเข้มประทับตราสีทองรูปจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวพับวางอยู่อย่างเรียบร้อย
        เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า มาซาฮารุก็ทำสัญญาณให้ทุกคนกินอาหารในถ้วยได้
        เอย์จิใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ทอดขึ้นมากิน น้ำซุปชุ่มอยู่ในปาก รสแบบนี้ไม่ผิดไปแน่นอน คนอื่น ๆ ในห้องก็ดูจะมีความคิดเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไร ยกเว้นเออิจิโร่ที่หลังจากยกถ้วยขึ้นซดน้ำซุปก็ร้องออกมาเสียงดังฟังชัดว่า
        “อา.. อร่อย! โอเด้งของคุณจิ้งจอกอร่อยจังเลย”
             สีหน้าของพี่ชายฝาแฝดของเขาแสดงความอิ่มเอมและพอใจอย่างที่สุด
             มาซาฮารุวางตะเกียบลง เช่นเดียวกับรุกะ รายหลังเหลือบมองคู่หมั้นหนุ่มด้วยสายตาตำหนิที่ส่งเสียงเอะอะ แต่คนถูกตำหนิทางสายตาไม่สนใจตามเคย ยังคงก้มหน้าก้มตากินเอา ๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย
             “เป็นโอเด้งของชิโนซากิคิตสึเนะจริง ๆ” เจ้าบ้านคนปัจจุบันพูดขึ้นในที่สุด
             โอคินะหยิบผ้าสีม่วงเข้มขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง พยักหน้าน้อย ๆ
             “ดวงตราบนผ้าสร้างเขตแดน” ชายชราส่งต่อให้รุกะ หญิงสาวรับผ้ามาด้วยความระมัดระวัง ดูด้วยตาก็เหมือนผ้าห่อของธรรมดาทั่วไป ตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวไม่ส่องแสงสีทองอีกแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของอาณาเขตที่อาบอยู่ทั่วทั้งผืน
             “ท่านรุกะบอกว่าพ่อหนุ่มคนนั้นไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม” ชายชราถาม
             “ใช่แล้วค่ะ ชินจิซังไม่รู้ว่าของที่ได้มามีความพิเศษยังไงบ้าง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเกือบจะโดนพวกอสูรทำร้ายเอาในตอนขากลับ” หญิงสาวตอบ
             “ถ้าชิโนซากิคิตสึเนะไม่เข้ามาแทรกแซง ถ้าพ่อหนุ่มคนนั้นโดนทำร้าย ก็จะเหมือนเปิดฉากสงครามระหว่างอสูรกับมนุษย์” ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด “แต่ท่านมิโคโตะไม่น่าจะทำอย่างนั้น มันน่าจะมีอะไรอย่างอื่นอีก อย่างเช่น ฝ่ายที่สาม ฝ่ายที่สร้างสถานการณ์เพื่อหวังให้อสูรกับมนุษย์ต่อสู้กัน”
             “แต่อสูรจากฮะคุริวมีส่วนร่วมด้วยนะคะ หนูแน่ใจว่าหนึ่งในพวกที่คิดจะทำร้ายชินจิซังต้องมีการาสุเท็นงูคุโรบะรวมอยู่ด้วย ที่ลูกแก้วคันจุถูกขโมยไปก็เป็นฝีมือการาสุเท็นงูอีกเหมือนกัน ฮะคุริวต้องรู้เห็นด้วยแน่ ๆ ค่ะ” รุกะพูด
             “แล้วมังกรขาวจะได้ประโยชน์อะไรถ้าอสูรทำสงครามกับมนุษย์” เออิจิโร่ที่ตอนนี้กินโอเด้งของตัวเองหมดถ้วยแล้ว ตั้งกระทู้ถามขึ้นมา
             “อำนาจมันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ มังกรขาวอาจจะอยากได้คันจุขึ้นมาก็ได้ เธอก็รู้นี่ว่าผู้ที่ได้ครอบครองทั้งคันจุและมันจุจะมีอำนาจมากขนาดไหน”
             “แต่ลูกแก้วมันจุใช้สะกดมังกรแดงอยู่นะ อย่าลืมสิ ถ้าเกิดทะเร่อทะร่าไปคลายผนึกแล้วมังกรแดงฟื้นขึ้นมาอีกตนล่ะก็ยุ่งตายเลย มังกรขาวไม่น่าจะโง่ขนาดนั้น” 
             มาซาฮารุยกมือขึ้นปรามลูกชายคนโตและคู่หมั้นที่ทำท่าจะถกเถียงกัน สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ในดวงตาคมดุมีแววใคร่ครวญเช่นกัน และเจ้าบ้านคนปัจจุบันมีความเห็นอย่างเดียวกับเออิจิโร่และโอคินะ
             “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องพิสูจน์หาความจริงว่าอสูรกำลังแตกแยกกันจริงไหม มีใครกำลังวางแผนทำอะไรอยู่หรือไม่” ชายวัยกลางคนสรุป “ระหว่างนี้คงต้องระวังตัวกันให้มาก เพิ่มการลาดตระเวนทั้งในหมู่บ้านและเขตแดนรอบนอกในบริเวณของเรา อย่าให้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นได้”
             พูดจบ ชายกลางคนก็มองไปที่ลูกชายคนเล็ก เอย์จิไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเลย เขามีท่าทางใจลอยเสียด้วยซ้ำ ทำเหมือนกับไม่สนใจเรื่องที่ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกันอยู่
             “ให้โฮโจไปช่วยที่เรียวกังอีกคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น ลำพังรุกะคนเดียวอาจจะรับมือไม่อยู่ คนอื่นในเรียวกังก็ทำอะไรกันไม่ได้เลยสักคน” มาซาฮารุพูดเสียงห้วน และการที่เขาจงใจเน้นไปที่คำว่า ‘คนอื่น’ ก็ทำให้เอย์จิรู้สึกตัวขึ้นมา
             “ใกล้ถึงวันงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คนจะมาที่หมู่บ้านมากกว่าปกติ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอย ๆ
             “จริงด้วยสิ ลืมคิดไปเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นวันนั้นล่ะก็ ยุ่งตาย” เออิจิโร่นึกขึ้นมาได้ ตาโต แต่มาซาฮารุไม่รับความเห็นของลูกชายคนเล็ก เขาพูดเสียงห้วนเหมือนเดิมว่า
             “วันงานเทศกาลก็ต้องระวังกันเป็นพิเศษอยู่แล้ว”
            “เออนี่ เราหาโอกาสไปกินโอเด้งของคุณจิ้งจอกกันอีกดีกว่า เผื่อจะถามอะไรได้บ้าง” เออิจิโร่เปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปใช้ศอกกระทุ้งแขนน้องชาย พูดต่อว่า
            “ฉันจะชวนรุ่นน้องนายไปด้วยนะ”
            “ชินจิมาเกี่ยวอะไรด้วย” เอย์จิเสียงขุ่นทันที “อย่าเอาหมอนั่นเข้ามายุ่งด้วยได้ไหม”
            “เอ้า พลาดแล้ว นายนี่ละน้า มัวแต่โมโห ไม่ได้รู้อะไรเอาซะเล้ย” เออิจิโร่โคลงศีรษะด้วยความระอา แต่น้ำเสียงที่ใช้นั้นตั้งใจยั่วเย้าเต็มที่ และก็ได้ผล น้องชายฝาแฝดถลึงตาใส่เขาสมใจ ชายหนุ่มแหย่ต่อ
            “ชิโนซากิซังบอกชินจิคุงว่าแล้วพบกันใหม่ แสดงว่าคุณจิ้งจอกเขาชอบชินจิคุงเข้าแล้วล่ะ อย่างนี้ถ้ามีชินจิคุงไปด้วยนะ ถามอะไรไป คุณจิ้งจอกตอบหมดแน่ ๆ”
            “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่จะเอาชินจิมาเกี่ยว” เอย์จินิ่วหน้า
            “เห ปกป้องกันตลอดเวลาเลยน้า รุ่นน้องคนสำคัญคนนี้” พี่ชายฝาแฝดแหย่ไม่ยอมหยุด
            ถึงตอนนี้ รุกะกลอกตาด้วยความรำคาญ ไม่นึกอยากฟังคำกระเซ้าเย้าแหย่ที่ดูไร้สาระนั่นเลยจริง ๆ หล่อนเคยพูดกับคู่หมั้นเรื่องนิสัยแบบนี้ของเขาหลายครั้ง แต่เออิจิโร่ไม่เคยคิดจะปรับปรุง แถมยังขี้เล่นเรื่อยเปื่อยกระเซ้าเย้าแหย่ชักใบให้เรือเสียหนักขึ้นเสียอีก แม้แต่ในการประชุมเรื่องสำคัญขนาดนี้ เออิจิโร่ก็ยังทำเป็นเล่นอยู่ได้
            “พอได้แล้ว” บิดาของฝาแฝดหยุดการถกเถียงอีกหน “เรื่องนี้ฉันให้เป็นหน้าที่ของพวกเธอ ไปตกลงกันเอาเอง อย่ามาเถียงกันที่นี่ แล้วได้เรื่องยังไงก็ค่อยมารายงาน”
            มาซาฮารุโบกมือไล่
            “ออกไปให้หมด ฉันมีเรื่องจะหารือกับโอคินะซัง”
            สองพี่น้องฝาแฝดลุกขึ้นทันทีเหมือนรอเวลานี้อยู่แล้ว ส่วนรุกะหน้าตึงเล็กน้อย ไม่ชอบที่โดนไล่และยังอยากจะนั่งฟังต่อ หล่อนมั่นใจว่าท่านพ่อกับโอคินะซังต้องปรึกษากันเรื่องแผนรับมือพวกอสูรและลูกแก้วคันจุที่ยังหาไม่เจอแน่
            “เล่นจนเสียเรื่องอีกแล้วนะ เออิจิโร่” หญิงสาวต่อว่าคู่หมั้นหนุ่มทันทีที่ออกมานอกห้อง
            “ไม่ได้เล่นสักหน่อย พูดจริง ถ้าไม่มีชินจิคุง เราจะได้ข้อมูลได้ยังไง จิ้งจอกขาวแสบจะตาย ดีไม่ดีเสียตังค์หมดตัว ข้อมูลก็ไม่ได้ หรือเธอมั่นใจว่าตัวเองเสน่ห์แรงพอจะล่อจิ้งจอกขาวได้”
            “ฉันจะไปที่เรียวกัง” รุกะสะบัดเดินไปด้วยความไม่พอใจ เออิจิโร่หัวเราะตามหลังไปแบบไม่มีเสียง ก่อนจะหันกลับมาเจอหน้านิ่วคิ้วขมวดของน้องชายเข้าอีกคน
            “ทำหน้าอย่างนี้ ไม่อยากให้ชินจิคุงไปอีกคนล่ะสิ” เขาพูดยิ้ม ๆ
            “หมอนั่นเกือบโดนทำร้ายแล้วนะ” น้ำเสียงของเอย์จิเป็นเดือดเป็นร้อน
            “ถ้านายกังวลเรื่องนี้ล่ะก็ฉันสัญญาว่าจะรับผิดชอบดูแลชินจิคุงให้เอง” เออิจิโร่สบตากับน้องชาย “นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยปล่อยให้คนที่ต้องการปกป้องเป็นอันตรายไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
            คนฟังสะอึก ขณะที่เออิจิโร่อมยิ้ม เอามือตบไหล่อีกฝ่ายหนัก ๆ ก่อนจะเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
            ความสะเทือนใจยังติดตามเอย์จิไปจนกระทั่งเขาเดินมาถึงที่ห้อง ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นว่าหน้าประตูห้องของเขามีถุงพลาสติกใบหนึ่งวางอยู่ บนถุงมีกระดาษโน้ตแปะเอาไว้ด้วย
            ‘ขอโทษนะครับ’
            ข้อความบนกระดาษโน้ตมีแค่นี้ ไม่มีการลงชื่อ แต่เขาก็รู้ว่าใครเป็นคนเอามาวางเอาไว้ให้ ชายหนุ่มเปิดถุงออกดู ข้างในคือขนมปังแบบเยอรมันที่เขาชอบ
            น้ำตาลูกผู้ชายรื้นขึ้นมาโดยห้ามไม่อยู่ นอกจากท่านแม่แล้วก็ไม่มีใครใส่ใจคิดว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรหรอก ไม่มีเลย และตอนนี้ไม่มีท่านแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้อีก
            รุ่นน้องของเขาเป็นคนมีน้ำใจ เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว นี่ถ้าไม่มีเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ชินจิก็คงจะให้เขากับมือเอง แล้วเขาก็คงจะดีใจมาก ไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ เอย์จิดีใจ ตื้นตันใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็กลับไม่มั่นใจและหวั่นกลัว ชินจิเกือบจะโดนทำร้าย หมอนั่นอาจจะหายไปเหมือนกับท่านแม่โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
            เอย์จิกอดถุงพลาสติกแน่น ในใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความความรู้สึกที่หลากหลายจนแทบจะระเบิดออกมา

            ในตอนเช้าตรู่ ชินจิหิ้วถังน้ำออกมาเพื่อสาดล้างหน้าเรียวกังตามปกติ แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกกระฉับกระเฉงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ชายหนุ่มใช้กระบวยไม้วักน้ำจากถังแล้วสาดออกไป น้ำไม่กระจายออกเป็นวงกว้าง แต่มันหล่นเผละลงบนพื้นเหมือนก้อนอะไรสักอย่าง พื้นนองน้ำเป็นหย่อมเหมือนแอ่งโคลน ชินจิถอนหายใจยาว หย่อนกระบวยใส่กลับลงไปในถัง
             “ยังล้างไม่ทั่วเลย จะพอแล้วเหรอ”
             เสียงทักดังขึ้น ชินจิหันไปมอง รุ่นพี่ของเขาใส่ชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มคาดโอบิสีเทาอ่อนยืนมองพื้นหน้าเรียวกังที่เปียกโชกเป็นหย่อม คำพูดของเอย์จิไม่ใช่การตำหนิ แต่ก็ทำให้คนฟังหน้าสลดลงด้วยความรู้สึกผิด
             “ขอโทษครับ”
            มือใหญ่ของเอย์จิยื่นมาหยิบถังน้ำไปจากมือของรุ่นน้อง แล้วใช้กระบวยตักน้ำสาดไปรอบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ชินจิยืนมองนิ่งอยู่ที่เดิม ปากเม้มแน่น รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
            ทำไมเอย์จิไม่พูดอะไรเลย
            “รุ่นพี่ครับ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว “เรื่องเมื่อวานผมขอโทษ คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม”
            “ฉันไม่ได้โกรธเคืองอะไรนายสักหน่อย จะขอโทษทำไมบ่อย ๆ”
            “อ้าว...ก็...” ชินจิตอบไม่ถูก
            “การล้างหน้าบ้านตอนเช้าน่ะเราต้องตั้งใจทำ รู้ไหม นอกจากจะเป็นการรักษาความสะอาดแล้วก็ยังเป็นการไล่สิ่งไม่ดีออกไปจากบ้าน ในบ้านจะได้มีแต่สิ่งที่ดี ๆ” รุ่นพี่ของเขาพูด
            ชินจิไม่ชอบสีหน้าและน้ำเสียงแบบนี้ของเอย์จิเลย มันไม่เหมือนกับเอย์จิที่เขารู้จัก ไม่เหมือนเอย์จิก่อนหน้านี้ เมื่อคืนเขาโดนตวาด เขารับรู้ได้ว่าเอย์จิกำลังโกรธ โมโห แต่ไม่ใช่แบบนี้ วันนี้รุ่นพี่ของเขาดูเหินห่างอย่างบอกไม่ถูก
            เอย์จิส่งถังน้ำคืนให้ แล้วผละไป แต่หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว ชายหนุ่มก็หยุด หันกลับมาบอกว่า
            “ขอบใจมากสำหรับขนมปัง แต่คราวหลังไม่ต้องซื้อมาอีกหรอก ไม่จำเป็น”
            ชินจิยืนอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของเอย์จิ เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ารุ่นพี่ไม่โกรธ แล้วทำไมพูดแบบนี้กับเขา ทำไมทำท่าเย็นชาและห่างเหินขนาดนี้ ชายหนุ่มเคยถามตัวเองว่าทำไมคนเราถึงเปลี่ยนความรู้สึกได้ง่าย ๆทำไมเคยทำดีต่อกัน แล้วเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเหมือนหน้ามือเป็นหลังมือ
            คำถามนี้รบกวนจิตใจของชายหนุ่มอย่างมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป เก็บความอึดอัดคับข้องใจเอาไว้กับตัว แล้วก็เศร้าโศกเสียใจอยู่เพียงลำพัง แต่ตอนนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ชายหนุ่มนึกถึงตอนที่พักอยู่ที่เกสต์เฮาส์ของคุณอาของเพื่อนที่คานาซาว่า ตอนนั้นเพื่อนของเขากำลังสงสัยว่าทำไมคนรักไม่ติดต่อมาเลยทั้งที่สัญญาไว้แล้วว่าจะโทรศัพท์มาหาทุกวัน แล้วพอเขาเปรยด้วยความกลัวว่าเพื่อนจะถูกทิ้ง หมอนั่นก็ประกาศลั่น
            ‘ก็ลองทิ้งดูสิ พ่อจะตามไปชกหน้าถึงเบอร์ลินเลย’
            ชินจิประทับใจมาก นี่ถ้าเขาคิดได้แบบนี้ในตอนนั้นแล้วไปชกหน้าผู้ชายที่ทิ้งเขาสักที เอาให้แรงที่สุด เขาอาจจะไม่เสียศูนย์เสียความมั่นใจอยู่นานจนทำให้คนรอบข้างพลอยเป็นกังวลกันไปหมดก็ได้
            เขาจะต้องพูดกับเอย์จิ เรื่องที่เขาทำผิด เขาก็ขอโทษไปแล้ว ถ้ารุ่นพี่ยังมีเรื่องอะไรติดใจก็ควรบอกเขาตรง ๆ เขาจะได้รับรู้และปรับปรุงตัว ไม่ใช่จู่ ๆ ก็เมินใส่กันโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้
            ความตั้งใจของชินจิยังไม่เป็นผลเพราะในเรียวกังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โฮโจซึ่งเป็นผู้ช่วยของเออิจิโร่มาช่วยงานที่เรียวกังแทนการทำงานที่ศาลเจ้าอินาริ แล้วเมื่อมีคนทำงานคนใหม่ เอย์จิก็แทบจะไม่โผล่หน้ามาที่เรียวกังอีก หรือถ้าวันไหนที่มา รุ่นพี่ก็จะหลีกเลี่ยงเขาอย่างจงใจ เป็นเช่นนี้อยู่หลายวันจนชินจิชักคิดว่ารุ่นพี่ของเขาทำเกินไปแล้ว
            หลังเสร็จงานในช่วงสายก็เป็นเวลาพัก ชินจิกำลังจะเดินกลับไปที่บ้านใหญ่ เขาเห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาใส่ชุดยูกาตะสีเขียวเข้มทับด้วยเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตู เมื่อเจ้าของร่างนั้นเห็นเขาก็ทักเสียงเรียบว่า
            “อ้าว ชินจิ นายเสร็จงานแล้วเหรอ ฉันกำลังจะไปที่เรียวกังอยู่พอดี”
            ใบหน้าของคนที่เอ่ยทักเรียบเฉยเหมือนน้ำเสียง ชินจิพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มน้อย ๆ โค้งศีรษะทักทายว่า
            “เออิจิโร่ซัง จะไปที่เรียวกังทำไมหรือครับ”
            ชายหนุ่มในชุดยูกาตะสีเขียวเข้มมองมาอย่างแปลกใจ
            “ทำไมดูออกล่ะ ฉันพูดเหมือนที่เอย์จิพูดแล้วนะ เก๊กหน้าเข้มจนเมื่อยจะแย่ ใคร ๆ ก็คิดว่าฉันเป็นเอย์จิทั้งนั้น มีเธอคนเดียวที่ไม่หลงกล”
            “พวกคุณเล่นเปลี่ยนตัวกันบ่อยไหมครับ” ชินจิถามยิ้ม ๆ
            “เมื่อก่อนก็บ่อยนะ” เออิจิโร่เดินเข้ามาหาชายหนุ่มรุ่นน้อง “ไม่มีใครจับได้หรอก ยิ่งออกมานอกบ้านนะ พวกชาวบ้านไม่มีใครรู้สักคน เรียกสลับกันตลอด น่าขำจะตาย”
            “คุณสองคนหน้าตาเหมือนกันนี่ครับ”
            “แล้วทำไมเธอแยกได้ล่ะ ว่าไง บอกหน่อยสิ” เออิจิโร่ยังพยายามตื๊อถามต่อ
            “เอ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ชินจินิ่งคิด คิ้วขมวดนิด ๆ “แต่ถ้าให้พูด ผมคิดว่าที่ดวงตานะครับ ใคร ๆ ก็บอกผมว่าเอย์จิซังเงียบขรึมเหมือนท่านมาซาฮารุ ส่วนคุณร่าเริงเหมือนท่านมิซากิ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม”
            เออิจิโร่ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
            “เอย์จิซังดูเงียบ ๆ แต่ก็พูดเก่งนะครับ อ่อนโยน สุภาพ เป็นคนที่ใจดีมาก ๆ คอยดูแลคนอื่นอยู่ตลอด ผมไม่เคยเจอท่านมิซากิ เคยเห็นแต่ในรูป ผมว่าดวงตาของเอย์จิซังเหมือนท่านมิซากิ ใจดี อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรักความเข้าใจ แต่บางทีก็ดูเศร้านิด ๆ ส่วนเออิจิโร่ซัง...”
            ชินจิเงียบเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีหรือไม่ คนที่กำลังฟังต้องกระตุ้น
            “ฉันเป็นยังไง พูดมาเถอะ ฉันอยากรู้”
            “ก็...” ชายหนุ่มรุ่นน้องพยายามเรียบเรียงคำพูด “คุณพูดเก่ง ดูเป็นคนสนุกสนาน แต่ดวงตาของคุณกลับดูจริงจัง ดุ เหมือนท่านมาซาฮารุ เวลาที่ผมอยู่ต่อหน้าคุณทั้งสองคน บางทีผมก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก อือม์... คำว่ากลัวมันดูแรงไปหน่อย ผมขอใช้คำว่าเกรงดีกว่า คุณสองคนเหมือนแผ่รังสีความน่าเกรงขามออกมา ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวได้น่ะครับ” ชินจิหยุดไปนิด ก่อนสรุปว่า “ผมเลยคิดว่ามันน่าจะสลับกัน เอย์จิซังเหมือนท่านแม่ เออิจิโร่ซังเหมือนท่านพ่อมากกว่า ผมรู้สึกอย่างนั้น”
             คนฟังนิ่งไปเหมือนคาดไม่ถึง ชินจิมองแล้วคิดไปอีกทาง นึกว่าตัวเองทำตัวผิดกาลเทศะที่ไปวิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวคนอื่นแบบนั้น ชายหนุ่มใจเสีย เกรงว่าเออิจิโร่จะโกรธ
             “เอ่อ... ถ้าผมพูดอะไรผิดไป ผมขอโทษนะครับ”
             “เธอไม่ได้พูดผิดหรอก ชินจิคุง ฉันแค่นึกไม่ถึงน่ะว่าเธอจะดูออกได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ นับถือเลย”
             เออิจิโร่กลับมาใช้คำพูดเหมือนเดิม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนที่ขี้เล่นสนุกสนาน จะมีก็ดวงตาเท่านั้นที่ฉายแสงแรงกล้ายิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก เป็นดวงตาที่ชินจิไม่ค่อยกล้าสบตาด้วยเท่าไรเพราะความหวั่นเกรง
             “แล้วนี่เธอจะไปไหนล่ะ พักแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
             “ครับ ผมกำลังจะกลับไปที่บ้าน คิดว่าจะไปหาเอย์จิซังสักหน่อยน่ะครับ” ชินจิตอบตามตรง
             “เอย์จิอยู่ที่โรงฝึก หมู่นี้หมอนั่นเอาแต่ยิงธนูทุกวัน ไม่ก็เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง สั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใครรบกวน" เออิจิโร่พูด สายตาคมกล้าของเขามองดูชายหนุ่มรุ่นน้องด้วยความรู้เท่าทัน ถ้าชินจิดูเขาออก เขาก็ดูทั้งน้องชายตัวเองและชินจิออกเหมือนกันนั่นแหละ
             เห็นใบหน้าของรุ่นน้องของน้องชายสลดลงด้วยความผิดหวัง เออิจิโร่ก็ชักรู้สึกสนุกขึ้นมาเสียแล้ว
             “เธอพักแล้วนี่ใช่ไหม ออกไปกับฉันดีกว่า จะพาไปดูอะไรน่าสนใจ”
             “เออิจิโร่ซังไม่ต้องไปที่ศาลเจ้าเหรอครับ” ชินจิถาม
             “ไม่หรอก วันนี้ไม่มีอะไร ให้พวกผู้ช่วยกับมิโกะดูแลกันไปก็ได้ โอคินะซังก็อยู่ สบาย ๆ”
             “แต่ผมยังต้องกลับมาทำงาน” ชินจิลังเล
             เออิจิโร่ตัดสินใจให้ด้วยการฉวยมืออีกฝ่ายพาเดินไปด้วยกันโดยไม่สนใจเสียงค้าน เขาหันมาบอกว่า
             “เธอมากับฉัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอกน่า มาเถอะ เธอต้องชอบแน่นอน”
             ว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปรับรองหนักแน่นแบบนั้น ชินจิก็ไม่มีอะไรคัดค้านอีก ชายหนุ่มดึงมือตัวเองออกอย่างนุ่มนวลแล้วเดินเคียงข้างไปกับเออิจิโร่อย่างไม่เร่งร้อน
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 12 - 31-3-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 01:39:16
               จุดหมายปลายทางของทั้งสองคนอยู่ทางท้ายหมู่บ้าน ระหว่างทางเออิจิโร่พูดถึงงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง
               “ศาลเจ้าอินาริของเราจัดงานมัตสึริปีละสองครั้งคือในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เป็นงานใหญ่ของหมู่บ้านเลยล่ะ” เออิจิโร่เล่า “เราจะแบกเกี้ยวมิโคชิกับลากรถลากยะไตไปทั่วหมู่บ้าน มีขบวนแห่ ดนตรี การเต้นชิชิมะอิที่จะไปตามบ้านคนและเต้นรำเพื่อขับไล่ปีศาจร้าย มีการแสดงตุ๊กตากลไกคาระคุริบนรถลากยะไตด้วยนะ เธอเคยเข้าร่วมงานแบบนี้รึเปล่า”
               ชินจิสั่นศีรษะ เขาเคยแต่เที่ยวชมงานเท่านั้น ยังไม่เคยมีโอกาสเป็นฝ่ายผู้จัดงานเลย ไม่เคยแบกเกี้ยวมิโคชิหรือร่วมเดินในขบวนแห่เลยสักครั้ง ฟังแล้วก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
               “ผมจะได้แบกเกี้ยวมิโคชิหรือเดินในขบวนรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความอยากรู้
               “ไม่หรอก คนของศาลเจ้ามีงานสำคัญกว่านั้นที่จะต้องทำ”
               ชินจิมองเป็นเชิงถาม คนพูดจึงยิ้มให้ อธิบายว่า
               “เราเป็นฝ่ายอำนวยการไงล่ะ คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้งานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตั้งแต่ต้นจนจบ งานวันนั้นน่ะคนจะมากันมาก ใครเป็นใครมั่งก็ไม่รู้ เราจะต้องช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น”
               น้ำเสียงของคนพูดมีแววกังวลอยู่บ้าง แต่มันบางเบาจนคนฟังจับไม่ได้ ชินจิมัวแต่คิดภาพวันงานที่มีขบวนแห่ เกี้ยวมิโคชิและรถลากยะไตอันสวยงามจนไม่ผิดสังเกตอะไรเช่นกัน ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะช่วยงานอย่างเต็มความสามารถเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาได้ง่าย ๆ เขาจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากทีเดียว
               “ผมจะช่วยทุกอย่างเลยครับ” ชินจิเสนอตัวอย่างมุ่งมั่น เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนที่เดินข้าง ๆ ได้อีกครั้ง
ทั้งสองคนเดินมาถึงที่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นโกดังและโรงเก็บของตั้งติด ๆ กันหลายหลัง ข้างหน้าโกดังมีท่อนไม้ขนาดใหญ่วางกองอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างเงียบสงบเพราะนักท่องเที่ยวไม่เดินมาถึงที่นี่ พวกเขามุ่งไปที่จุดชมวิว ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์ ออนเซ็น หรือร้านน้ำชาเสียมากกว่า
               ชินจิชะเง้อมอง ยังไม่ทันจะถามอะไร คนที่พาเขามาก็เฉลยก่อนเลยว่า
               “ที่นี่เป็นสตูดิโอของช่างไม้ที่ทำเกี้ยวมิโคชิกับรถลากยะไตให้เรา มินามิโนะซังเป็นหัวหน้าช่าง เป็นนักแกะสลักไม้มือหนึ่ง วันนี้เขาจะประกอบเกี้ยวมิโคชิกัน ฉันเลยพาเธอมาดู” เออิจิโร่พูดพลางชี้ให้ดูป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าโกดัง
               “ผมเข้าไปดูได้จริงเหรอครับ” ชินจิถามย้ำ ตาโตด้วยควาตื่นเต้น ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปดูการทำงานของช่างไม้อย่างใกล้ชิดแบบนี้
               “ได้สิ” เออิจิโร่รับรองแล้วออกเดินนำหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปข้างใน ชินจิเดินตามมาข้างหลังและเขาไม่เห็นว่าเออิจิโร่ที่เดินอยู่ข้างหน้าเปลี่ยนกลับมาใส่หน้ากากของความเคร่งขรึมจริงจังเหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
               เสียงทักทายดังขึ้นทันทีเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปภายในโกดังที่ดัดแปลงให้เป็นสตูดิโอสร้างสรรค์งานของช่างไม้ ข้างในมีคนหลายคนชุมนุมกันอยู่ ล้วนแต่เป็นผู้ชายวัยราวสี่สิบปีขึ้นไปทั้งนั้น ต่างใส่ชุดกางเกงสีเข้มคล้าย ๆ กับชุดที่ชินจิใส่อยู่ คนหนึ่งในกลุ่มทักพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสว่า
               “วันนี้มาถึงนี่เลยนะครับท่านเอย์จิ”
               “พารุ่นน้องมาดูเกี้ยวมิโคชิครับ นี่ชินจินะ รุ่นน้องของผมจากโตเกียว” ชายหนุ่มถือโอกาสแนะนำและไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ที่ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มจุดอยู่ ท่าทางชอบใจที่ใครต่อใครพากันทักผิดคิดว่าเขาเป็นน้องชายฝาแฝด
ชินจิก้มศีรษะทักทายทุกคน แต่เขาไม่เล่นตามมุขตลกของเออิจิโร่ไปด้วย
               “วันนี้เอย์จิซังไม่ว่างครับ เออิจิโร่ซังเลยเป็นคนพาผมมาแทน”
               คำพูดของเขาทำให้ทุกคนร้องอ้าวไปตาม ๆ กัน ส่วนตัวต้นเหตุหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสนุกสนานที่แกล้งคนอื่น ๆ ได้ แล้วเมื่อกลแตก เออิจิโร่ก็เลยเลิกวางท่าเข้มเลียนแบบน้องชายไป
               มินามิโนะ ช่างไม้มือหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นชายวัยราวหกสิบปี ใส่แว่นตากรอบกลมสีทอง ตัวเล็ก แต่คล่องแคล่ว เขาสั่งการให้ช่างไม้เริ่มการประกอบเกี้ยวมิโคชิ ช่างแต่ละคนรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้วก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว
               เกี้ยวมิโคชิที่ประกอบวันนี้เป็นเกี้ยวสำหรับให้เด็กอายุระหว่าง 9-11 ปีเป็นผู้แบก มีขนาดเล็ก กว้างประมาณ 71 เซ็นติเมตร หนักราว 58 กิโลกรัม แต่ถึงจะเป็นของสำหรับเด็ก การสร้างก็พิถีพิถันไม่แพ้เกี้ยวสำหรับผู้ใหญ่ เพราะเกี้ยวมิโคชิเปรียบเหมือนกับศาลเจ้าที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ มีโครงสร้างและส่วนประกอบที่เหมือนกับศาลเจ้าทุกอย่าง ช่างไม้จะสร้างส่วนประกอบหลัก ๆ ก่อนคือส่วนที่เป็นหลังคา ส่วนที่เป็นตัวเกี้ยว และส่วนที่เป็นฐาน แล้วนำมาประกอบกันเพื่อตรวจสอบโครงสร้างโดยรวมทั้งหมด จากนั้นจึงนำส่วนต่าง ๆ ไปตกแต่ง ทั้งทาสี เคลือบเงา สลักเป็นลวดลายต่าง ๆ และประดับด้วยของตกแต่งที่เป็นโลหะ ส่วนนี้จะกินเวลานานหลายเดือน ก่อนที่จะนำส่วนต่าง ๆ ที่มีการตกแต่งประดับประดาเรียบร้อยแล้วมาประกอบเข้าเป็นเกี้ยวมิโคชิ
               ชินจิพิจารณาส่วนประกอบต่าง ๆ ด้วยความสนใจ เกี้ยวหลังนี้เน้นสีไม้เนื้อขาว ไม่มีการลงสีสด ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ จึงประดับด้วยลวดลายแกะสลักไม้ที่ไม่ลงน้ำยาเคลือบเงาและเครื่องประดับที่เป็นโลหะเคลือบสีทองทำให้ดูอร่ามเรืองไปทั้งหลัง ตั้งแต่ส่วนยอดสุดที่เป็นหุ่นนกอินทรีกางปีกสีทองเกาะอยู่บนหลังคาทาสีดำ รอบหลังคาประดับด้วยโลหะสีทองสลักเป็นลวดลายวิจิตร ตรงมุมหลังคาทั้งสี่ด้านบนวะระบิเตะสีทองที่โค้งงอนขึ้นมีหุ่นนกตัวเล็กกางปีกสีทองเกาะอยู่ ถัดลงมาจากส่วนหลังคาคือมะสุงุมิที่เป็นไม้เรียงซ้อนกันเป็นรูปพีระมิดกลับด้าน เป็นส่วนที่ช่วยรองรับน้ำหนักของหลังคาเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็นตัวเกี้ยวซึ่งเป็นการย่อส่วนฮนเด็งซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของคะมิมาไว้บนมิโคชิ ในส่วนนี้ก็จะมีทั้งประตูโทริอิและรั้วกั้นรอบฮนเด็งซึ่งเป็นไม้ประดับด้วยลวดลายสีทอง สุดท้ายเป็นส่วนของฐานไม้แบบชั้นเดียวไม่ลงน้ำยาเคลือบเงา ตรงมุมฐานทั้งสี่ติดแผ่นโลหะสีทองเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ตรงกลางฐานแต่ละด้านแกะสลักเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยายที่เชื่อกันว่าเป็นผู้พิทักษ์สวรรค์แต่ละทิศ คือ มังกรน้ำเงิน พยัคฆ์ขาว เต่าดำเก็นบุซึ่งมีงูพันรอบตัว และหงส์ไฟ
               “สวยงามอ่อนช้อย เหมือนสัตว์แต่ละตัวมีชีวิตจริง ๆ เลยครับ” ชินจิกระซิบกับเออิจิโร่ที่ยืนประกบอยู่ข้างตัวเขาแทบจะตลอดเวลา
               “ฝีมือมินามิโนะซัง” เออิจิโร่กระซิบตอบ
               ช่างไม้ทั้งหลายประกอบส่วนต่าง ๆ ของเกี้ยวมิโคชิเข้าด้วยกันโดยที่ไม่ต้องใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ขั้นตอนสุดท้ายคือการสวมหลังคาลงไป มินามิโนะซังหยิบเชือกคาซาริฮิโมะเส้นใหญ่สีน้ำตาลทองออกมาแล้วกวักมือเรียกชินจิ
               “อยากช่วยผูกไหม” ช่างไม้มือหนึ่งเอ่ยชวน ชินจิชี้ที่ตัวเองเหมือนไม่แน่ใจ ต้องให้มินามิโนะพยักหน้ารับรองมาอีกครั้งและเออิจิโร่เอามือผลักไหล่เขานั่นแหละ ชินจิจึงกล้าเดินเข้าไป
               “ผมทำได้หรือครับ” ชายหนุ่มถาม มองเกี้ยวมิโคชิหลังเล็กแสนสวยสีทองอร่ามด้วยท่าทางกลัว ๆ นี่ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดแล้วทำให้เกี้ยวหลังนี้ชำรุดเสียหาย เขาต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่
               “ไม่ต้องกลัว ๆ ทำตามที่ฉันบอกก็พอ” มินามิโนะส่งเชือกให้และเริ่มสาธิตวิธีผูกเชือกคาซาริฮิโมะให้ชินจิที่จ้องตาไม่กะพริบดู
               “ชินจิคุงผูกเชือกรอบฐานตัวนกนี่นะ”
               ชายหนุ่มทำตามด้วยความระมัดระวัง เขาพับเชือกเป็นครึ่งแล้วเอาคล้องรอบฐานตัวนก ทำอีกเส้นหนึ่งคล้องอีกด้าน ปลายเชือกทั้งสองสอดลอดใต้ห่วงของเชือกอีกเส้นหนึ่ง ทำถึงแค่นี้เขาก็รู้สึกว่าตัวเองใช้พลังงานไปแทบหมดตัวแล้ว
               พวกช่างไม้หัวเราะร่าที่เห็นท่าทางหมดแรงของชินจิ จากนั้นพวกเขาก็เข้ามารับช่วงต่อ นำปลายเชือกทั้งสี่ด้านรัดรอบวะระบิเตะกับท่อนไม้ที่ฐานเกี้ยวแล้วนำเชือกขึ้นมาพันที่วะระบิเตะอีกครั้งก่อนปล่อยชายที่เป็นพู่ให้ห้อยลงมา
               ชินจิถอยห่างออกมามองดูการผูกเชือกของช่างผู้ชำนาญด้วยความโล่งใจระคนภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วม แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม เชือกคาซาริฮิโมะสีน้ำตาลทองยิ่งขับให้เกี้ยวไม้สว่างไสวและสีของทองคำที่ประดับอยู่บนตัวเกี้ยวก็ยิ่งอร่ามงามตาขึ้นไปอีก บนเชือกจะติดกระพรวนทองคำเพิ่มเข้าไปด้วยเพื่อให้เสียงกระพรวนสร้างความสุขใจให้แก่เทพเจ้าและเสียงกระพรวนยังเป็นสิ่งขับไล่ความชั่วร้ายไม่ให้มากล้ำกรายได้อีก
               “เชือกนี่ไม่ได้ใช้แค่เป็นเครื่องประดับอย่างเดียวหรอกนะ แต่การผูกเชือกคาซาริฮิโมะจะช่วยยึดส่วนประกอบต่าง ๆ ของเกี้ยวมิโคชิให้แน่นหนาขึ้นอีก” เออิจิโร่อธิบาย แล้วพยักหน้าไปยังเชือกสีอื่น ๆ ที่ม้วนเป็นวงวางอยู่ห่างออกไป “สีของเชือกที่ใช้ก็จะเลือกให้เข้ากับสีของเกี้ยวมิโคชิ ถ้าเป็นเกี้ยวไม้แบบไม่เคลือบเงาอย่างหลังนี้ก็จะใช้โทนสีน้ำตาลทอง แต่ถ้าเป็นแบบที่ลงเคลือบเงา ทาสีสด ๆ ก็จะใช้เชือกโทนสีม่วง”
               หลังจากการประกอบเกี้ยวมิโคชิเสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย เออิจิโร่คุยกับช่างไม้ถึงการซ่อมแซมและทำความสะอาดเกี้ยวมิโคชิกับรถลากยะไตหลังอื่น ๆ ที่เก็บเอาไว้ในโกดัง ชินจิถือโอกาสแยกตัวออกมาเดินดูรอบ ๆ เขารู้สึกทึ่งที่เห็นเครื่องมือช่างวางเรียงกันเป็นแถว แค่สิ่วอย่างเดียวก็มีเป็นสิบ ๆ อัน ส่วนปลายของแต่ละอันมีขนาดและแบบของใบมีดที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย
               นายช่างมินามิโนะเดินเข้ามาหา ชินจิพูดกับเขาด้วยความชื่นชมว่า
               “เออิจิโร่ซังบอกว่าคุณแกะสลักเองทั้งหมดเลย ฝีมือของมินามิโนะซังเป็นที่หนึ่งจริง ๆ ครับ”
               “ชมกันเกินไปแล้ว ผมยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ” นายช่างใหญ่เอ่ยอย่างถ่อมตัว แต่สีหน้าก็แสดงความภูมิใจเมื่อมองไปยังที่ที่เขานั่งหลังขดหลังแข็งแกะสลักลวดลายต่าง ๆ ลงบนแผ่นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจมาเป็นเวลานานหลายเดือน
               “มินามิโนะซังแกะอะไรค้างอยู่เหรอครับ” ชินจิชี้ไปที่ไม้ที่วางอยู่บนแท่น
               “อ๋อ สุซะคุ นกหงส์ไฟยังไงล่ะ สัตว์ผู้พิทักษ์สวรรค์ด้านใต้” ชายกลางคนตอบ แล้วเอื้อมไปหยิบท่อนไม้ที่มีการร่างรูปแบบคร่าว ๆ เอาไว้แล้วมายื่นให้ดูใกล้ ๆ
               “ต้องใช้เวลาทำนานไหมครับ”
               “ขึ้นอยู่กับความละเอียดและลวดลาย จริงสิ ฉันแกะสุซะคุให้เธอเป็นที่ระลึกสักตัวก็แล้วกัน สัตว์มงคล เก็บเอาไว้จะได้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา”
               พูดจบก็กระวีกระวาดไปเลือกไม้ที่มีขนาดพอเหมาะและเริ่มแกะสลักอย่างตั้งใจโดยไม่รับฟังเสียงค้านด้วยความเกรงใจของผู้เป็นแขกเลย ชินจิมองนายช่างมือหนึ่งใช้สิ่ว ค้อน และมีดอย่างคล่องแคล่ว เห็นการทำงานกับตาตัวเองอย่างนี้นับเป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ มินามิโนะซังทำงานด้วยมือของผู้ชำนาญการอย่างแท้จริง การเคลื่อนไหวจึงไม่มีอะไรขัดตาเลย ชินจิเฝ้ามองอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาจนไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเออิจิโร่มายืนอยู่ข้างตัว
               นายช่างมินามิโนะใช้เวลานานพอสมควรในการแกะสลักนกหงส์ไฟกางปีก แต่สำหรับคนที่เฝ้าดูด้วยความเพลิดเพลินนั้นไม่รู้สึกว่านานเลย ชินจิรู้สึกว่าเวลาผ่านไปแค่แป๊บเดียวเท่านั้นเองในการทำให้ไม้ธรรมดาท่อนหนึ่งกลายเป็นนกแสนสวย  ช่างไม้วัยกลางคนส่งผลงานที่เสร็จแล้วให้ชายหนุ่ม
               “ขอบคุณมากครับ สวยมาก ๆ เลย” ชินจิพูดด้วยความปลาบปลื้ม
               “เอ๋ สุซะคุรึเนี่ย ดีใจจังเลย” เออิจิโร่ยื่นหน้าเข้ามามองบ้าง ทำเอาชินจิตกใจไม่น้อยเพราะหน้าของชายหนุ่มอยู่ห่างจากหน้าเขาแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
               “สุซะคุทำไมหรือครับ” ชินจิถามพลางก้าวถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว ใจเต้นแรง
               “ก็นกหงส์ไฟเป็นสัตว์ประจำตัวของฉัน น่าดีใจออกที่ฉันจะได้มีโอกาสปกป้องคุ้มครองเธอ”
               ชินจิทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เออิจิโร่พูดออกมาเต็มปากเต็มคำ สายตาของเขาที่มองมาก็ทำให้รู้สึกแปลก ๆ จนชินจิต้องเสเปลี่ยนเรื่องด้วยการหันไปกล่าวขอบคุณพร้อมกับอำลานายช่างมินามิโนะแล้วเดินเร็ว ๆ ออกมาจากโกดัง
เออิจิโร่ก้าวตามมาจนทัน มือใหญ่ของเขารั้งแขนชายหนุ่มรุ่นน้องไว้ให้หยุด
               “ที่พูดเมื่อกี้ฉันหมายความตามนั้นจริง ๆ นะชินจิคุง” น้ำเสียงของเออิจิโร่หนักแน่น “ฉันขอเป็นผู้ดูแลเธอ คุ้มครองเธอ ปกป้องเธอตลอดไป เธอจะว่ายังไง”
               “อย่าล้อผมเล่นแบบนี้เลยครับ” ชินจิพูดด้วยท่าทางอึดอัดลำบากใจ
               “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันชอบเธอจริง ๆ”
               “มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ชินจิพยายามปฏิเสธ อยากจะเบี่ยงตัวหนี แต่อีกฝ่ายหนึ่งจงใจใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่ามาขวางเอาไว้ทำให้เขาหลบไปไหนไม่ได้ ต้องเผชิญหน้ากับเออิจิโร่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
               “เป็นไปได้สิ”
               “คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้วนะครับ”
               “งั้นก็ลืมเรื่องรุกะไปก่อน เอาแค่ตัวฉัน เธอชอบฉันบ้างรึเปล่า”
               ชินจิประสานสายตากับชายหนุ่มโดยไม่หลบ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
               “เฮ้อ อกหักจนได้” เออิจิโร่ถอนหายใจดังเฮือก ก่อนบ่นดัง ๆ ด้วยความผิดหวังว่า “ทำไมนะ รักใครชอบใคร คนนั้นก็ไปชอบเอย์จิกันหมด ไหนว่าเกิดเป็นเออิจิโร่แล้วมันน่าอิจฉายังไงล่ะ ไม่เห็นจริงเลย”
               “คุณพูดอะไรครับเนี่ย” ชินจิร้อง
               “หรือไม่จริง เธอไม่ชอบฉัน แต่ชอบเอย์จิ ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ”
               “ผม...” ชายหนุ่มรุ่นน้องพูดไม่ถูก ใบหน้าของเขาแดงซ่านขึ้น
               “จริงไหมล่ะ เธอชอบเอย์จิ” เออิจิโร่กระทุ้งถามอีก
               “ผม...ผมไม่รู้” ในที่สุดชินจิก็หลุดคำพูดออกมาหลังจากอึกอักอยู่ครู่ใหญ่ “ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าชอบได้รึยัง แต่ผมรู้สึกดีมาก ๆ ตอนที่อยู่กับเอย์จิซัง ตอนที่คุยกัน ตอนที่เอย์จิซังดูแลเอาใจใส่และใจดีกับผม”
               “ฉันก็ใจดีกับเธอไม่ต่างจากเอย์จิสักหน่อย ทำไมไม่ชอบฉันบ้างล่ะ” เออิจิโร่ไม่ยอมแพ้
               “มันไม่เหมือนกันครับ เออิจิโร่ซังใจดี เป็นคนสนุกสนาน แต่ผมรู้สึกเคารพคุณมากกว่าจะรู้สึกเป็นอย่างอื่น...”
               “ไม่เหมือนกับเอย์จิ” เออิจิชิโร่ชิงพูดขึ้นก่อน
               “ครับ ไม่เหมือนกับเอย์จิซัง” น้ำเสียงของชินจิมีความมั่นใจขึ้นเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ “เอย์จิซังเป็นคนใจดี เวลาอยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกอบอุ่นแล้วก็...มั่นคง”
               “แม้แต่ตอนที่หมอนั่นมันทำห่างเหินกับเธอแบบนี้น่ะเหรอ”
               เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชินจิก็ทำหน้าเมื่อยขึ้นมาทันควัน แต่แล้วก็กลับฮึดขึ้นมา พูดด้วยความหมายมั่นว่า
               “ผมจะต้องคุยกับเอย์จิซังเรื่องนี้แน่ ๆ ครับ ผมไม่ปล่อยให้มันคาใจอยู่อย่างนี้เด็ดขาด”
               เออิจิโร่อยากจะยิ้มให้กับความมุ่งมั่นของชายหนุ่มรุ่นน้อง แต่เขาผิดหวังมากกว่าก็เลยคร่ำครวญออกมาแทน
               “พอเถอะ ยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นว่าเธอแคร์เจ้าหมอนั่นมากขนาดไหน ฟังแล้วเจ็บปวดจริงจริ๊ง เอย์จิไม่เห็นจะมีอะไรดี สู้ฉันก็ไม่ได้สักอย่าง ฉันยิงธนูเก่งกว่า ชกต่อยเก่งกว่า แถมหล่อกว่าอีกต่างหาก แต่ทำไมไม่รู้... แพ้มันทุกที”
               ชินจิกำลังจะอ้าปาก แต่ต้องรีบหุบเพราะเออิจิโร่ชี้หน้า
               “หยุด ฉันไม่อยากฟังแล้วว่าเจ้าเอย์จิมันดีกว่าฉันยังไง มันเจ็บปวดนะที่ต้องมาฟังคนที่หักอกฉันพูดชมเชยผู้ชายอื่นต่อหน้ายังงี้น่ะ” ชายหนุ่มบ่น แล้วก็จับบทโอดครวญด้วยความน้อยอกน้อยใจต่อไปอีกไม่ยอมหยุดจนกระทั่งทั้งสองคนเดินกลับมาถึงที่เรียวกัง
               ข้างหน้าอาคาร บริเวณที่มีม้านั่งและร่มกระดาษกางอยู่ เอย์จิยืนกอดอกนิ่ง คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝดและรุ่นน้องของเขาเดินเคียงคู่พูดคุยกันมาด้วยความสนิทสนม ทั้งสองคนหยุดสนทนากันทันทีที่สังเกตเห็นร่างสูงใหญ่ของเอย์จิ
               ชายหนุ่มไม่มองหน้าพี่ชายฝาแฝด ไม่มองชินจิ สายตาของเขาจับนิ่งอยู่ที่หุ่นนกแกะสลักตัวเล็กที่รุ่นน้องประคองไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ในใจของเขารู้สึกเจ็บแปลบ รู้สึกทนไม่ไหว
               เอย์จิสะบัดหน้า เดินหนีภาพบาดตาบาดใจไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองอีก
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 13 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 01-04-2016 01:47:55
ชิโนซากิคิตสึเนะต้องเป็นจิ้งจอกตอนนั้นแน่ๆเลย ชอบอ่ะ

ชินจิดูออกทั้งพี่ทั้งน้องเลยน้อ

เอย์จิคิดไรอยู่เนี่ยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 13 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-04-2016 06:00:11
นึกว่าเออิจิโร่คิดกับชินจิเล่นๆซะอีก
เอย์จิคือกลัวชินจิเป็นอันตรายหรอเลยคิดว่าทำตัวห่างเหินไว้ดีกว่าไม่อยากให้คนที่รักต้องเจ็บงี้เรอะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 13 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 09:02:06
บทที่ 14

        “อยู่ที่นี่เอง หาตั้งนาน”
        เอย์จินิ่วหน้าอย่างจงใจเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝดโผล่เข้ามายืนยิ้มเผล่อยู่ใกล้ ๆ เขาอุตส่าห์หลบมาที่โรงซ้อม ตั้งใจว่าจะยิงธนูสักพักเพื่อรวบรวมสติที่มันกระเจิดกระเจิงให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ดูสิ เจ้าพี่ชายของเขาก็ยังตามมากวนใจอีกจนได้
        “มีธุระอะไร” เขาถามเสียงห้วน
        “เปล๊า...” พี่ชายปฏิเสธเสียงสูง หากมิวายแกล้งหยอดว่า “ฉันแค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ ว่าวันนี้ได้ไปเดตกับชินจิคุง”
        ลูกธนูที่เอย์จิยิงออกไปกระทบกับขอบของเป้าฟางจนฉีกขาดออก ก้านธนูที่ทำจากไม้ไผ่หักออกเป็นสองท่อน เออิจิโร่มองตาม เป่าปากหวือ แววตาของเขาพราวขึ้นมาเหมือนเห็นของสนุก เอย์จิลดคันธนูลง
         “ไปไหนกันมาล่ะ” ชายหนุ่มถาม พยายามบังคับเสียงให้เรียบที่สุดขณะที่ส่งธนูดอกใหม่ขึ้นพาดสาย ไม่แสดงว่าอยากรู้ ทั้งที่ในใจกำลังร้อนรุ่ม
         เออิจิโร่ยิ้มกริ่ม
         “ฉันพาชินจิคุงไปหามินามิโนะซัง ไปดูเขาประกอบเกี้ยวมิโคชิกัน ชินจิคุงชอบมากเลย มินามิโนะซังแกะสลักนกหงส์ไฟให้ชินจิคุงด้วย ฉันก็เลยได้โอกาส สารภาพรักกับชินจิคุงไปแล้วเรียบร้อย”
         เอย์จิชะงัก แต่เขายั้งมือไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มปล่อยลูกธนูทั้งที่ยังน้าวสายได้ไม่เข้าที่ หูของเขาลั่นเปรียะและข้างแก้มก็รู้สึกเจ็บแปลบปลาบ
         สองพี่น้องฝาแฝดประสานสายตากัน
         “นายเลิกพูดจาเหลวไหลสักที” เอย์จิพูดเสียงขุ่น และตอนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถตั้งสติยิงธนูได้อีกแล้ว
         “ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันสารภาพรักกับชินจิคุงไปแล้วจริง ๆ ตอนนี้ก็รอคำตอบอยู่ แต่ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะปฏิเสธนะ ดูจากที่เขาสัญญาว่าจะดูแลรักษานกหงส์ไฟเป็นอย่างดี”
              “หมอนั่นต้องไม่รู้แน่ว่านกนั่นหมายความว่ายังไง”
              “รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ฉันบอกชินจิคุงเองว่านกหงส์ไฟสุซะคุเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของฉัน รุ่นน้องนายก็มีท่าทีเต็มใจมากที่จะรับมันไป” เออิจิโร่แกล้งเน้นเสียง และปฏิกิริยาของน้องชายก็เป็นเหมือนที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด เอย์จิจ้องเขาเหมือนอยากจะบีบคอเขาให้ตายเต็มแก่
              “ทำยังงี้ต้องการอะไร แล้วรุกะล่ะ นายคิดบ้าอะไรอยู่”
              “ฉันก็แค่ทำตามใจตัวเอง ฉันชอบชินจิคุงฉันก็พูด ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ”
              “เห็นแก่ตัว” เอย์จิกัดกรามกรอด ทิ้งคันธนูในมือลงบนพื้นอย่างไม่แยแส ถุงมือหนังก็ถูกถอดออกแล้วขว้างทิ้งไปเช่นกัน อารมณ์ของเขากำลังพลุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่แล้ว
              เออิจิโร่ตั้งการ์ด
              “เราไม่ได้ชกกันมานานแล้วนะ ได้ออกกำลังสักหน่อยคงทำให้หายเครียดได้เยอะ” พี่ชายฝาแฝดพูดขึ้นพลางกวักมือท้า “เข้ามา เอย์จิ ฉันไม่ยอมแพ้นายหรอก”
              ทั้งสองคนประจันหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ แต่แล้วก็ลดมือลงแทบจะพร้อมกัน เออิจิโร่ยิ้มหม่น
              “ไม่มีท่านแม่คอยเป็นกรรมการนี่ไม่ดีเลย หมดอารมณ์ ไม่อยากจะชกแล้ว”
              “ถ้าท่านแม่ยังอยู่ท่านต้องว่าแน่ ๆ เป็นผู้ใหญ่กันแล้วยังชอบทำตัวเหลวไหล ไม่พอใจอะไรก็ชกกัน ทำไมไม่คุยกันดี ๆ” รอยยิ้มของเอย์จิหมองไม่แพ้พี่ชาย
              ท่านแม่พูดแบบนั้นตลอดเวลานั่นแหละ แต่ท่านก็อยู่ด้วยตลอดจนพวกเขาต่อยกันจนพอใจและหันหน้ามาปรับความเข้าใจกันในท้ายที่สุด แม้ว่าสองพี่น้องจะมีเรื่องไม่เข้าใจกันมากมาย แต่เมื่อมีท่านแม่อยู่ด้วย เรื่องพวกนั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พอผ่านไปก็ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจอีก
              ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน แล้วเออิจิโร่ก็ตบไหล่น้องชายอย่างแรง สารภาพว่า
              “รุ่นน้องนายหักอกฉัน”
              “ก็คิดไว้อยู่แล้ว” เอย์จิจุดยิ้มที่มุมปาก หน้าชื่นขึ้นทันตาจนผู้เป็นพี่ชายหมั่นไส้ติดหมัดขึ้นมาทันที
              “เฮอะ ทีเมื่อกี้ล่ะก็ใครไม่รู้โกรธจนควันจะออกหู ไอ้เราก็นึกว่าจะโดนคันธนูฟาดหัวเอาซะแล้ว ให้ตายเหอะ ทำหน้าน่ากลัวชะมัด”
              “อยากพูดเล่นไม่เข้าเรื่องทำไมล่ะ”
              “เห็นนายโมโหแล้วมันสนุกดีนี่ หึงจนออกนอกหน้าขนาดนั้น น่ายั่วเล่นจะตาย”
              “พอเถอะ” เอย์จิรีบปรามเมื่อพี่ชายฝาแฝดของเขาทำท่าจะพูดเรื่อยเปื่อยออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว เออิจิโร่เปลี่ยนมามองน้องชายด้วยสายตาจริงจัง ถามว่า
              “นายชอบชินจิคุง ทำไมนายไม่พูดออกไปล่ะ กลัวอะไรนักหนา หรือว่ายังติดใจเรื่องเมื่อสมัยเด็กอยู่อีก”
              เอย์จิไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นชัดเจน คนเป็นพี่ชายได้แต่ส่ายหน้า บ่นว่า
              “ฉันคิดว่าเราสองคนโตพอที่จะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้แล้วเสียอีกนะ ฉันเลือกชีวิตของฉันแล้ว นายเองก็เหมือนกัน ทำไมยังต้องคิดมากเรื่องนั้นอยู่อีก คำพูดของท่านพ่อก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปใส่ใจก็ได้นี่”
              “ฉันอยากปกป้องชินจิได้”
              “แล้วรุ่นน้องนายต้องการแบบนั้นเหรอ”
              คำพูดของพี่ชายสะกิดใจชายหนุ่ม เอย์จินิ่งคิด
              “ชินจิคุงน่ะเห็น ๆ อยู่ว่าฉันดีกว่านายทุกอย่าง เก่งกว่า ได้รับการยอมรับมากกว่า หล่อกว่าด้วย หมอนั่นยังปฏิเสธฉันหน้าตาเฉย แถมพูดให้ช้ำใจเสียอีกว่านายน่ะใจดีอย่างโน้นอย่างนี้ อยู่ด้วยแล้วอบอุ่นมั่นคงสารพัด เฮ้อ พูดแล้วก็เซ็งจริงโว้ย ไม่อยากได้ยินใครชมนายต่อหน้าฉันเลย ให้ตาย” เออิจิโร่บ่นพึม
              “ชินจิพูดยังงั้นเหรอ”
              “ดีใจล่ะสิ คราวนี้ก็ลองใช้สมองของนายไตร่ตรองดูเองก็แล้วกันว่าชินจิคุงต้องการคนที่ปกป้องเขาได้หรือคนที่รักเขามากกว่ากันแน่”
              น้องชายฝาแฝดยังคงนิ่งเงียบ เออิจิโร่ถือโอกาสพูดต่อว่า
              “แต่ฉันยังไม่ได้พูดนะว่าจะตัดใจจากชินจิคุง ระวังให้ดีเถอะ ฉันจะทำให้ชินจิคุงเปลี่ยนใจแล้วจะแย่งมาให้ได้เลย”
              เอย์จิมองหน้าพี่ชายทันที อีกฝ่ายจึงหัวเราะเบา ๆ พอใจที่ยั่วแหย่น้องชายได้อีกครั้ง เออิจิโร่ตบไหล่น้องชายแรง ๆ ไปอีกทีก่อนจะเดินออกไปจากโรงฝึก ทิ้งให้เอย์จิได้มีเวลาคิดทบทวนสิ่งที่เขาพูด
              เออิจิโร่คิดถึงท่านแม่ของเขา
              ความจริงเขาไม่ใช่คนดีเท่าไรนักหรอก ไม่ได้เป็นพี่ชายที่ดีที่รักและเป็นห่วงความรู้สึกของน้องชายมากไปกว่าความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง ถ้าเขาเป็นคนดีกว่านี้ เขาคงจะไม่หมั้นหมายกับรุกะและทำให้น้องชายต้องเสียใจแบบนั้น เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลและลืมตัวได้ง่ายดาย แต่เพราะมีท่านแม่ทำให้เขาไม่หลงเดินทางผิด ท่านแม่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าความเป็นสายเลือดเดียวกันนั้นพิเศษและสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ
               วันนี้เขายังคงเป็นพี่ชายที่ไม่ดีนัก แต่เขายอมรับความจริงได้และเขาจะช่วยน้องชายของเขา
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 13 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 09:13:27
               ภูเขามิคามิยังคงส่งเสียงดนตรีล่องลอยมาตามสายลม เสียงขลุ่ยชาคุฮะจิผสานกับเสียงโคโตะเป็นท่วงทำนองที่กระแทกกระทั้นชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่าย
               เพลงบรรเลงอันรวดเร็วได้ยินอย่างชัดเจนภายในบริเวณซันโนะมะรุของปราสาทสีขาวฮะคุริว
               การาสุเท็นงูคุโรบะยืนตัวลีบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องกว้าง  ผนังด้านหลังตัวเขาตัดเป็นช่องรูปวงกลมขนาดใหญ่กรุด้วยกระจกสีต่าง ๆ เป็นลวดลายรูปดอกกุหลาบ เพดานของห้องนั้นสูงและโค้ง ที่เสาทุกต้นติดโคมไฟสี่เหลี่ยมสีดำตกแต่งด้วยลวดลายอ่อนช้อย
               เสียงดนตรีจากส่วนในสุดของปราสาทซอกซอนเข้ามาถึงในห้องนี้และปะทะกับเสียงกลองให้จังหวะที่ดังอยู่ก่อนแล้ว คุโรบะเหงื่อผุดซึมขึ้นมาตามไรผมขณะที่ฟังเสียงทั้งสองดังขัดกัน ดวงตาสีดำของเขากลอกกลิ้งไปมาด้วยความกระวนกระวาย ใบหน้าของเขายังมีรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นเช่นเดียวกับร่องรอยการต่อสู้บนร่างกายที่เห็นโดดออกมาจากรอยสักสีดำ
               ตรงกลางห้องอันกว้างขวาง ร่างสะโอดสะองของอาคางิกำลังเต้น อสูรผมสีแดงสวมกางเกงผ้าสีเข้มตัวเดียว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเห็นมัดกล้ามสวยงามอาบด้วยเม็ดเหงื่อ แขน หัวไหล่ เอวและขาขยับตามจังหวะเสียงกลอง เป็นภาพการเคลื่อนไหวที่แข็งแรงและมีพลัง เยื้องไปทางด้านหลังยังมีร่างของอสูรอีกสองตน ไทมะซึมะรุและริคิมะรุไม่สวมเสื้อ สวมแค่กางเกงผ้าตัวเดียว ต่างขยับร่างกายของพวกเขาเต้นไปพร้อมกับอสูรที่เป็นผู้นำอย่างคล่องแคล่ว
               ทั้งสามตนยังเต้นต่อไปแม้ว่าจะมีเสียงจากภายนอกดังเข้ามารบกวนจังหวะกลอง แต่ก็ฝืนได้ไม่นานเพราะเสียงเครื่องดนตรีทั้งสามชนิดดังตีกันจนฟังขัดหูและน่าหงุดหงิด
               อาราชิในชุดสูทสีดำหยิบถาดเงินใส่ผ้าขนหนูขยับจะเดินเข้าไปหาอสูรทั้งสามที่หยุดเต้นกลางคัน แต่ถูกตัดหน้าเสียก่อนโดยคะมิกิ อสูรผมสีเขียวใส่หมวกไหมพรมคว้าผ้าจากในถาดแล้วตรงรี่เข้าไปหาอาคางิ ยื่นผ้าขนหนูให้ด้วยท่าทีประจบประแจง รอยยิ้มเปิดกว้างจนตาหยีเป็นเส้นโค้ง อาราชิจึงหันไปบริการอสูรอีกสองตนแทน
               “ดูเจ้าจะอยู่ไม่เป็นสุขสักเท่าไหร่เลยนะคุโรบะ” อาคางิรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อ แต่ไม่ได้สนใจคนที่นำมาให้ กลับไปทักอสูรอีกตนแทน คะมิกิตวัดสายตาค้อนควักการาสุเท็นงูด้วยความริษยา
               คุโรบะไม่ดีใจเลยที่ได้รับความสนใจจากผู้นำอสูรเกิดใหม่ เพราะนั่นแสดงว่าอะไรที่เกิดขึ้นย่อมไม่พ้นสายตารับรู้ของอาคางิ คุโรบะมีความลับและเขาไม่อยากให้ใครล่วงรู้
                “ท่านมิโคโตะไม่พอใจ” อสูรหนุ่มเอ่ยเสียงเบา
                “อย่าปอดแหกไปหน่อยได้ไหม” ริคิมะรุพูดแทรกขึ้นมา ขว้างผ้าขนหนูที่ใช้แล้วกลับลงไปในถาด
                “กะอีแค่ข้าลองกำลังถอนต้นไม้เล่นไปสี่ซ้าห้าต้น เจ้าพวกมนุษย์ต่างหากที่ผิดที่สร้างเส้นทางถนนเกะกะกีดขวางอยู่ในภูเขา”
                “ยังมีเรื่องของชิโนซากิคิตสึเนะอีกเรื่องหนึ่ง” คุโรบะโต้
                “พอ เลิกเถียงกัน” อาคางิยกมือขึ้นห้าม หูข้างหนึ่งของเขากระดิก แล้วก็ยิ้มหยันออกมา “ภูตรับใช้จากมิโคโตะมารออยู่ที่ประตูด้านหน้าแน่ะ อาราชิ เจ้าไปดูซิว่าท่านมังกรขาวของเราต้องการอะไร”
                ร่างสูงในชุดสูทก้มศีรษะรับคำสั่งโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ส่วนอสูรตนอื่น ๆ เริ่มไหวตัว ไทมะซึมะรุก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยว่า
                “ท่านมิโคโตะต้องเรียกพวกเราไปไต่ถามแน่”
                “ก็ให้ถามไป” อาคางิรับเสื้อแจ็กเก็ตแขนยาวจากคะมิกิมาสวม ท่าทีมั่นใจ ไร้ความกริ่งเกรงใด ๆ
                อาราชิกลับเข้ามารายงานว่ามิโคโตะมีบัญชาให้เข้าพบดังที่มีการคาดการณ์กันไว้จริง ๆ อาคางิออกคำสั่งให้ไทมะซึมะรุ ริคิมะรุและอาราชิไปกับเขา
                มังกรขาวมิโคโตะไม่ได้อยู่ในห้องโถงกลางเหมือนครั้งที่แล้ว ภูตรับใช้นำทางอสูรทั้งสี่ไปยังห้องด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่สำหรับฝึกซ้อมประลองกำลังกันในหมู่อสูรและภูตพรายแห่งฮะคุริว ภายในห้องโล่ง ๆ ที่กว้างใหญ่นั้นไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรยกเว้นฉากกั้นห้องที่มีความยาวเท่า ๆ กับผนัง บนฉากเป็นภาพเขียนสีเรื่องราวการต่อสู้ของมังกรขาวและมังกรแดงจนนำไปสู่การถือกำเนิดทะเลสาบบิวะ บนเพดานติดโคมไฟกระดาษรูปทรงกลมสีขาวเรียงเป็นแถวไปตลอดแนวความยาวของห้อง
เบื้องหน้าฉากกั้น มิโคโตะนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง เจ้าผู้ครองขุนเขาสวมกิโมโนฟุริโซเดะสีขาวนวลมีลวดลายนูนอยู่ในเนื้อผ้าต่างเสื้อคลุมยาวทับกางเกงหนังและรองเท้าบู๊ตยาวครึ่งแข้งสีดำ กำลังบรรเลงโคโตะประสานกับขลุ่ยชาคุฮะจิที่มุราซากิเป็นผู้เป่า มือของมิโคโตะขยับไปมาอย่างรวดเร็วดีดสายโคโตะเป็นจังหวะกระแทกกระทั้น
                อาคางิกับอสูรอีกสามตนเดินเข้ามานั่งลงบนเบาะรองนั่งที่ภูตรับใช้จัดไว้ให้เบื้องหน้าผู้เป็นประมุขของปราสาทฮะคุริว
                อสูรผมสีแดงไม่ใส่ใจเสียงดนตรีชวนอึดอัด ดวงตายาวรีของเขากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ข้างกายของมังกรขาวไม่เคยขาดอิบุกิ อสูรอสรพิษหน้าเชิดที่ปรายหางตามามองด้วยท่าทางหยิ่งผยองเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในห้อง และเมื่อมีอิบุกิก็ต้องมีวาคานะ อสูรผู้มีดวงตาสีเขียวอมฟ้าเผยให้เห็นเพียงแค่ข้างเดียว แต่อสูรทั้งสองตนรวมทั้งมุราซากิที่มีผ้าพันแผลสีขาวพันแขนข้างหนึ่งไม่อยู่ในสายตาของอาคางิ สายตาคมกริบของเขาจับจ้องอยู่ที่อสูรอีกตนซึ่งอยู่ในห้องนั้นด้วย อสูรผู้นั้นมีผมหยักศกสีบลอนด์ทองตัดสั้น สวมเสื้อสีขาวติดลูกไม้แขนเสื้อกว้างจับจีบรูดที่ข้อมือ กางเกงหนังแนบเรียวขาสีเข้มและรองเท้าบู๊ตสั้น ที่เอวคาดกระบี่สีเงินเล่มยาว
                “ท่านคามินาริ เสร็จภารกิจแล้วหรือถึงได้กลับคืนสู่ฮะคุริว”
                คำถามของอาคางิที่ดังแทรกเสียงดนตรีขึ้นมาทำให้มิโคโตะและมุราซากิยุติการเล่นเครื่องดนตรีของตนลง ขณะเดียวกับที่อสูรสายฟ้าผู้มีนามว่าคามินาริคอแข็งขึ้นมาในทันทีและพื้นนิสัยที่เป็นผู้มีอารมณ์ร้อนอยู่แล้วทำให้ตวาดเสียงแข็ง
                “เจ้าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามต่อข้า เจ้าอสูรเกิดใหม่ผู้โอหัง”
                “ข้าไถ่ถามก็ด้วยความอยากรู้และเป็นห่วงว่าท่านจะหาลูกแก้วคันจุเจอหรือไม่ แต่วัดจากอารมณ์ฉุนเฉียวของท่านในตอนนี้แล้ว ภารกิจของท่านคงล้มเหลวสินะ”
                น้ำเสียงที่แฝงความเยาะหยันอยู่ลึก ๆ ภายใต้ท่าทีสุภาพยั่วอารมณ์อสูรสายฟ้าให้โกรธกรุ่นขึ้นมาทันที และถ้าท่านมิโคโตะไม่ยกมือขึ้นห้าม ป่านนี้กระบี่ในมือของเขาก็คงจะพุ่งทะลวงเข้าไปในปากช่างเจรจาของเจ้าอสูรผมแดงนั่นแล้ว
                “ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าก็จะบอกให้” มังกรขาวเอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีความขุ่นเคืองใจแม้ว่าเสียงเพลงของเขาจะถูกอสูรตรงหน้าที่กำลังยิ้มหวานทำลายลงกลางคันก็ตาม
                “ลูกแก้วคันจุยังคงสาบสูญ ทั้งมนุษย์และอสูรยังไม่มีผู้ใดค้นเจอ แล้วเจ้าล่ะ อาคางิ ได้ร่องรอยอะไรหรือไม่ว่าคาโตดะซ่อนลูกแก้วเอาไว้ที่ไหนก่อนที่จะตาย”
                “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่ได้รับคำสั่งให้ตามหาลูกแก้วคันจุเสียหน่อย” อาคางิปฏิเสธเสียงใส ใบหน้าขาวซีดของเขาประดับด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์ ท่าทางของเขาขัดนัยน์ตาอสูรผู้มีอาวุโสกว่าเหลือเกิน ใบหน้าที่เชิดอยู่แล้วของอิบุกิยิ่งเชิดขึ้น วาคานะก็จ้องเขม็งมาด้วยดวงตาข้างเดียวสีแปลกตาของเขา แต่ไม่สามารถอ่านอะไรจากอาคางิได้เลย อสูรผมสีแดงซ่อนทุกอย่างไว้มิดเม้นภายใต้ท่าทางสุภาพอ่อนน้อม
                “อย่างนั้นหรอกหรือ” มิโคโตะออกปากรับรู้ แต่ดวงตาคมกล้าของเขาฉายแววรู้เท่าทัน
                “ข้าก็นึกว่าการที่เจ้าส่งคุโรบะกับพรรคพวกออกไปนอกเขตแดนทุกวันนี้ เจ้าทำไปเพราะต้องการช่วยค้นหาลูกแก้วคันจุเสียอีก”
                “ข้าจะทำอะไรเกินเลยอย่างนั้นได้เช่นไร” อาคางิส่ายหน้าน้อย ๆ “และการที่พวกนั้นออกไปยังโลกภายนอกก็ไม่ใช่ด้วยคำสั่งของข้า แต่ข้าคิดว่าข้าพอจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใด โลกภายนอกกว้างใหญ่ เปรียบเทียบกันแล้วภูเขามิคามินั้นคับแคบยิ่งนัก อสูรพวกนั้นย่อมต้องการจะออกไปจากเขตแดนที่เหมือนกรงขัง ไปสู่อิสรภาพอันกว้างใหญ่ ข้าพูดจริงหรือไม่ ริคิมะรุ”
                 “จริงที่สุด ท่านอาคางิ” อสูรตัวใหญ่สนองตอบทันทีด้วยความกระตือรือร้นเหมือนรอคอยเวลานี้มานานแล้ว ริมฝีปากของริคิมะรุแสยะออกให้เห็นเขี้ยวขาว ก่อนจะกล่าวต่อว่า
                 “ข้าอึดอัดที่จะต้องอยู่แต่ในภูเขานี่เต็มทีแล้ว พลังของข้าต้องถูกกดเก็บเอาไว้ มันช่างน่ารำคาญใจยิ่งนัก ถ้าออกไปข้างนอก ข้าก็จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่”
                 “เพราะแบบนี้เจ้าก็เลยอาละวาดพังป่าทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั้งภูเขาเมื่อวันก่อนอย่างนั้นละสินะ”
                 “ข้าก็แค่ถอนต้นไม้ขว้างเล่นไปตามประสา” ริคิมะรุต่อปากต่อคำ “บังเอิญพลังของข้ามากเกินไปหน่อยเท่านั้น”
                 เสียงฮึ่มฮั่มฮึดฮัดดังขึ้นทันทีจากบรรดาอสูรที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายและขวา มิโคโตะต้องยกมือขึ้นห้ามอีกครั้ง เสียงเหล่านั้นจึงหายไป
                 “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะมีพลังเหลือล้นแค่ไหน สิ่งที่ข้าสนใจคือพวกเจ้าต้องควบคุมตนเอง ภูเขามิคามิไม่ได้คับแคบ ไม่ใช่กรงขัง แต่คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หากอสูรหรือภูตพรายตนใดคิดว่าไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ของฮะคุริวได้ก็บอกมา ข้า...” ดวงตาของมิโคโตะวาวจ้าขึ้น ฉากกั้นและโคมไฟบนเพดานเริ่มสั่น ห้องทั้งห้องเหมือนมีมือยักษ์จับเขย่า
                 “มิโคโตะจะเป็นผู้พิจารณาโทษของมันผู้นั้นเอง!”
                 อสูรทั้งหลายมีท่าทีครั่นคร้ามต่อแรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างกายของประมุขแห่งขุนเขา แม้แต่อสูรทั้งสามตนข้างอาคางิก็ยังนั่งไม่ติด คงมีแต่หัวหน้าของพวกเขาเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งได้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กระนั้นอสูรผมแดงก็มีเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชุ่มเพราะต้องใช้พลังเข้าต่อต้านเพื่อให้ยังสามารถนั่งตัวตรงอยู่ได้
                 อาคางิกัดฟันกรอด พลังของเขาสู้มิโคโตะไม่ได้จริง ๆ ถ้าเพียงแต่มีลูกแก้ววิเศษลูกใดลูกหนึ่งหรือสามารถทำลายเขตแดนเพื่อปลุกมังกรแดงขึ้นมาได้ล่ะก็...
                 ดวงตายาวรีมองผ่านร่างของมิโคโตะไปจับอยู่ที่ภาพเขียนสีบนฉากกั้นห้อง
                 ฮิเดะซึงุ มังกรแดงผู้มีพลังทัดเทียมกับมังกรขาว
                 แต่เขตแดนของมนุษย์ก็มีพลังยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชิกิงามินำสาส์นก็สามารถทำให้แขนของอสูรผู้พิทักษ์มุราซากิถึงกับไหม้เกรียมจนต้องใช้ผ้าพันเอาไว้ แล้วนี่คือเขตแดนที่สร้างขึ้นจากพลังทั้งหมดของนักปัดรังควานผู้เป็นบรรพบุรุษ มันต้องมีพลังมากกว่าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า
                 อาคางิสะกดกลั้นความโกรธจนกระทั่งได้กลับมาอยู่ท่ามกลางเหล่าอสูรฝ่ายของตนอีกครั้ง ความโกรธนั้นจึงระบายออกด้วยการทุบทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตา ท่าทางที่เคยอ่อนน้อม สดใส สุภาพ หายไปจนหมด
                “อยู่ร่วมกันอย่างสันติ! โธ่เอ๊ย ก็แค่กลัวพวกมนุษย์เท่านั้นหรอก คิดว่าข้าดูไม่ออกรึยังไง!” อาคางิกำหมัดชกเข้าใส่หน้าต่างกระจกสีลายกุหลาบจนกระจกร่วงกราว
                ในยามที่อสูรผมแดงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ มีเพียงแค่ไทมะซึมะรุเท่านั้นที่ไม่ระย่อต่อพลังที่เหนือกว่า อสูรผมสีบลอนด์จางถอดแว่นกรอบสีดำที่สวมอยู่ฝากอาราชิเอาไว้ สลัดฮู้ดคลุมศีรษะออก แล้วก้าวเข้าไปหา
                “อย่าโมโหไปเลยท่านอาคางิ ข้าคิดว่าเราอาจจะมีทางทำลายอาณาเขตของมนุษย์ที่ป้องกันมังกรแดงได้”
                อาคางิหันขวับมาทันที กระชากเสียงถาม
                “จะทำได้ยังไง”
                “ใช้มนุษย์ทำลายเขตแดน” ไทมะซึมะรุตอบ แล้วเมื่อเห็นสายตากราดเกรี้ยวของอีกฝ่ายอ่อนลงและมีท่าทีสนใจ เขาก็อธิบายต่อ
                “มีมนุษย์คนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะทำได้ มนุษย์คนนี้ผ่านเข้าออกเขตแดนของอสูรได้โดยไม่เป็นอันตราย พลังของริคิมะรุหรือแม้แต่หมอกของมาซาคาโดะยังไม่อาจแม้แต่จะเข้าไปแผ้วพานได้เลย มนุษย์คนนั้นชื่อชินจิ”
                คุโรบะขนลุกเกรียวขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อของมนุษย์ออกมาจากริมฝีปากของอสูรนกคบไฟ
                มนุษย์คนนั้นทำได้แน่ล่ะเพราะมีเขาเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าคาโตดะให้ลูกแก้วคันจุแก่มนุษย์คนนั้นก่อนตาย เขาพยายามปกปิดเรื่องนี้มาโดยตลอดและรู้สึกโล่งใจที่มนุษย์ผู้นั้นอยู่ในความคุ้มครองของฝ่ายนักปัดรังควานแล้ว ทว่ามนุษย์คนนั้นก็กลับกลายมาเป็นเป้าหมายของอสูรพวกนี้จนได้ ถ้าลูกแก้วคันจุถูกค้นพบ การตายของคาโตดะก็จะสูญเปล่า
                “พวกท่านอย่ายุ่งกับมนุษย์คนนั้นเลย!” การาสุเท็นงูพูดแทรกขึ้นอย่างร้อนรน
                “เจ้ามีเหตุผลอะไร” อาคางิหรี่ตา
                “ชินจิคนนี้เป็นสหายสนิทของลูกชายนักปัดรังควานแห่งศาลเจ้าอินาริ แล้วก็เป็นคนนี้แหละที่ชิโนซากิคิตสึเนะถูกใจจนปวารณาตัวเป็นผู้ปกป้อง ถ้าเราแตะต้องเขาก็เท่ากับว่าเราเปิดศึกสองด้านทั้งกับมนุษย์และจิ้งจอกขาว”
                “แต่มันก็น่าลองไม่ใช่รึ” อาคางิไม่สนใจเหตุผลของอีกฝ่าย ความทะนงตนจนไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาทำให้มองแต่สิ่งที่ตนปรารถนา
                “ถ้ามนุษย์ผู้นั้นทำลายเขตแดนให้เราได้ เราก็จะได้มันจุและพลังของฮิเดะซึงุมาครอบครอง คราวนี้ก็ไม่ต้องหวั่นไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนก็ตาม”
                “ข้าขออาสาเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาให้ท่านเอง” คะมิกิเสนอตัวทันทีเหมือนกับทุกครั้งที่พยายามจะเอาอกเอาใจอสูรผู้เป็นที่รัก
                “ข้าคิดว่าวันงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงของมนุษย์เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือ วันนั้นจะมีผู้คนมากมายพอที่จะแฝงตัวเข้าไปได้ แล้วเราก็จะสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในงาน พอสบโอกาสก็ลักพาตัวมนุษย์ที่ชื่อชินจิมา จากนั้นก็ถึงเวลาปลุกมังกรแดง” ไทมะซึมะรุวางแผน
                 อสูรนกคบไฟดีดนิ้วเป็นสัญญาณ อาราชิเดินออกไปนอกห้องอย่างเงียบ ๆ จากนั้นกลับมาพร้อมกับรถเข็นคันหนึ่งที่มีผ้าสีขาวผืนใหญ่คลุมอยู่อย่างมิดชิด
                 “ข้าได้เตรียมสิ่งนี้ไว้เพื่อทำลายงานของพวกมนุษย์” อสูรผมสีบลอนด์จางพูด หน้าสวยเหมือนผู้หญิงของเขาเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม
                 อาคางิเปิดผ้าออก สิ่งที่ได้เห็นทำให้หัวเราะออกมาด้วยความพอใจ
                 “ดะชิคาระคุริ”
                 “ตุ๊กตากลไกพวกนี้เคลื่อนไหวได้โดยใช้โลหิตของมนุษย์เป็นพลังงานขับเคลื่อน พวกมันกระหายเลือดมากและมุ่งสังหารแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานที่พวกมันต้องการ”
                 “ข้าอยากเห็นจริง ๆ ว่ามันจะน่าสยดสยองสักแค่ไหน” อาคางิยิ้มเยื้อน “ตุ๊กตากลไกที่เคยให้ความสำราญกลับกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสยองขวัญที่อสูรมอบให้แก่มนุษย์”
                 “เราต้องรอจนถึงวันงานเชียวหรือท่านอาคางิ ถ้าข้าจะลงมือชิงตัวมนุษย์คนนั้นก่อนหน้าวันงานเล่า”
                 ซึชิกุโมะถูไม้ถูมืออย่างหมายมั่น ดวงตาของอสูรผมสีฟ้าวาววับและเต็มไปด้วยความถือดี แค่ชิงตัวมนุษย์คนเดียว เขาไม่คิดว่าจะเป็นงานยากหรือต้องวางแผนวุ่นวายอะไรเลย
                 “ถ้าพวกเจ้าสบโอกาสก่อนหน้าวันงานก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้ใครรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกเรา มันจะกระทบกับแผนการปลุกชีพฮิเดะซึงุ”
                 อสูรทั้งหลายมีท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นทันทีเมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นหัวหน้า คงมีแต่อสูรผู้กลายร่างเป็นอีกาเท่านั้นที่มีท่าทีต่างออกไป และความหวาดหวั่นไม่สบายใจของคุโรบะนั้นไม่รอดสายตาคมกริบของอาคางิ
                 “เจ้าไม่เห็นด้วยกับแผนการของพวกข้าสินะคุโรบะ”
                 “ข้า... ข้า...” การาสุเท็นงูอึกอักตอบไม่ถูก ไม่กล้ามองสบตาด้วย
                 “ข้าให้เจ้าตามหาคันจุเพราะคิดว่าเจ้าน่าจะเดาใจคาโตดะออกเนื่องจากเป็นการาสุเท็นงูเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเอาแต่ป้วนเปี้ยนใกล้กับเขตแดนชั้นในของมนุษย์”
                 อาคางิขยับเข้ามาใกล้ สองมือยกขึ้นจับต้นแขนของอีกฝ่ายไว้ น้ำเสียงเยือกเย็นของเขาชอนไชเข้าไปภายในหูและแล่นเข้าสู่หัวใจจนทำให้คุโรบะรู้สึกว่าก้อนเนื้อที่หน้าอกข้างซ้ายของเขานั้นจับแข็งไปแล้วด้วยความหวาดกลัว
                 “ใช่แล้ว ข้าจับตาดูเจ้าอยู่ การาสุเท็นงูคุโรบะ ข้าไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเจ้าวางแผนจะทำอะไร แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะฉลาดพอที่จะไม่ทรยศข้า”
                 มือสองข้างของอาคางิบีบแน่น
                 “เจ้าเห็นตัวอย่างมาแล้ว ใครที่มันทรยศข้าจะต้องพบจุดจบอันน่าอนาถเช่นเดียวกับคาโตดะ!”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 13 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 09:20:57
             โครม! เคร้ง!
             โอซามุกับอิซึมิหันมามองหน้ากันทันที แล้วค่อย ๆ เหลียวมองไปยังต้นเสียง ซึ่งก็คืออ่างล้างจานภายในห้องนั่นเอง ชินจิยืนอยู่ตรงนั้น กำลังล้างจาน... กระมัง
        พนักงานคนใหม่ของเรียวกังจับถาดที่มีจานชามใส่อาหารเทโครมลงไปในอ่าง เอาฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานตั้งหน้าตั้งตาขัดถ้วยชามอย่างเอาเป็นเอาตาย ปากเม้มแน่น ล้างเสร็จก็คว่ำลงบนตะแกรงเสียงดัง
        สองพี่น้องกลืนน้ำลาย ขยับจะอ้าปากพูด แต่ก็ปิดฉับ เมื่อถ้วยอีกใบถูกวางตามลงไปดังเคร้ง แล้วก็อีกใบ.. กับอีกใบ.. อิซึมิทำคอย่นด้วยความเสียวไส้
        ชินจิกำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อเห็นรุ่นพี่ของเขาสะบัดหน้าเดินหนีไปแบบนั้น เอย์จิโกรธเขาก็พอเข้าใจ แต่เล่นคิดเองเออเอง ไม่ถามอะไรเขาสักคำ อย่างนี้มันใช้ไม่ได้เลย!
        ฮึ่ย! มันน่าโมโหสุด ๆ!
        ชายหนุ่มเทถาดถ้วยชามลงไปอีกโครม
        โอซามุกับอิซึมิยื่นมือออกมา ปากอ้าพะงาบจะห้ามปราม แต่ไม่มีเสียงออกมา ขณะนั้นเอง ประตูครัวก็เปิดออก รุกะในชุดยูกาตะสีฟ้าเดินเข้ามา หน้าตาเรียบนิ่ง
        ว่าที่โอะคะมิซังมองชินจิอย่างไม่ชอบใจ ปรามด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า 
         “พอได้แล้ว ชินจิซัง”
         ชายหนุ่มสะดุ้ง หันกลับมามองอย่างรวดเร็ว
         “ฉันไม่รู้ว่าคุณไปอารมณ์เสียอะไรมา แต่ที่นี่เราไม่ต้องการคนที่ไม่ตั้งใจทำงาน”
         ชินจิก้มหน้างุด รู้สึกผิด
         “ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก”
         “วันนี้คุณไม่ต้องทำงานแล้ว จะไปสงบสติอารมณ์ที่ไหนก็ไป พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงาน หรือถ้าไม่พร้อมจะกลับโตเกียวไปเลยก็ได้” รุกะสำทับ ยิ่งทำให้ชินจิหน้าซีดสลดมากขึ้น เขาโค้งตัวต่ำเพื่อเป็นการขออภัยอีกรอบ แล้วออกไปจากห้องครัวอย่างเงียบ ๆ
         “โดนท่านรุกะดุ หน้าจ๋อยเลยนะชินจิซัง”
         ชินจิยิ้มจืด ๆ ให้ผู้ช่วยหนุ่มของเออิจิโร่ที่ตอนนี้มาช่วยงานอยู่ในเรียวกังอีกคน โฮโจใส่ชุดซามุเอะสีเข้มคลุมทับด้วยเสื้อฮัปปิสีใกล้เคียงกัน ปักชื่อเรียวกังบนขอบสาบเสื้อทั้งสองข้าง ถือกระดาษอะไรสักอย่างแผ่นเล็กอยู่ในมือ
         “ผมทำผิดจริง ๆ นี่” ชายหนุ่มยอมรับ ไม่โกรธรุกะที่ตำหนิเขาอย่างรุนแรงขนาดนั้น แต่เขาเสียใจและโกรธตัวเองมากกว่า
         “เอาเถอะครับ ท่านรุกะเป็นคนเข้มงวด แต่จริง ๆ ก็ไม่มีอะไร ชินจิซังไม่ต้องกังวลไปหรอกนะครับ” โฮโจปลอบ แล้วส่งกระดาษที่ถือติดมือมาให้ บอกยิ้ม ๆ ว่า
         “นี่คงทำให้อารมณ์ดีขึ้นนะครับ ไปรษณีย์เขาเพิ่งเอามาส่งให้”
         ชินจิพลิกกระดาษในมือดูด้วยความสนใจ สิ่งที่โฮโจให้มาคือโปสต์การ์ดแผ่นหนึ่ง มีตัวหนังสือเล็ก ๆ ขยุกขยุยเขียนไว้เต็มพืด แล้วเมื่อเห็นชื่อสามชื่อที่เขียนไว้ตรงท้าย ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาได้
          “ขอบคุณมากนะ”
          “ไม่เป็นไรครับ”
          โฮโจตอบพลางทำท่าจะเดินจากไป แต่ชินจินึกอะไรขึ้นได้ เรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
          “เดี๋ยวก่อนครับ โฮโจซัง คุณเห็นเอย์จิซังไหม”
          “เอ ท่านเอย์จิหรือครับ” โฮโจทำท่าคิด “น่าจะอยู่ที่ริมแม่น้ำมั้งครับ ผมไม่แน่ใจ คุณลองไปดูที่นั่นดูสิ”
          ชินจิเดินไปที่แม่น้ำชิมิซึตามที่โฮโจบอก ลังเลนิดหน่อยว่าจะต้องข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามหรือไม่ แต่คิดไปคิดมา รุ่นพี่ของเขาไม่น่าจะออกไปนอกหมู่บ้าน ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เดินลงบันไดไปที่ตลิ่งและเดินเลาะริมฝั่งแม่น้ำไปเรื่อย ๆ
          เขาไม่ต้องเดินไปไกลมาก เมื่อถึงโค้งแม่น้ำ ตรงที่เป็นเวิ้งเล็ก ๆ พื้นเป็นกรวดละเอียดสีเทาปนน้ำเงินเข้ม บนหินก้อนใหญ่ที่เหมือนม้านั่งธรรมชาติ รุ่นพี่ของเขานั่งอยู่ตรงนั้น กำลังมองเหม่อออกไปไกล เสียงน้ำซัดกระทบหินดังซ่าเบา ๆ ฟองคลื่นสีขาวกระจายไปทุกทิศทาง
          เท้าของชินจิเหยียบกระทบพื้นหินกรวด ทำให้เอย์จิรู้สึกตัว หันมามอง
          “ถ้าผมมารบกวนเอย์จิซัง ผมจะไปเดี๋ยวนี้”  ชินจิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกนิด ๆ สีหน้าแววตาบ่งบอกความน้อยใจเต็มที่
          เอย์จิลุกพรวดขึ้นในวินาทีนั้น ตรงเข้ามารั้งแขนของรุ่นน้องไว้
          “เดี๋ยวสิ”
          “ผมไม่รบกวนคุณหรอกเหรอ”
          “นายไม่เคยรบกวนฉัน”
          “แล้วทำไมเอย์จิซังพูดกับผมแบบนั้น” ชินจิถามเสียงเครือ “ทำไมบอกให้ผมไม่ต้องทำอะไรให้คุณอีก แถมคุณยังโมโหผม โกรธผม ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรทั้งนั้น ทำไมครับ เอย์จิซัง ทำไม”
           เอย์จิถอนหายใจเบา ๆ รั้งตัวรุ่นน้องให้นั่งลงบนข้าง ๆ บนก้อนหิน
           “ฉันขอโทษ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน
           “คุณไม่พอใจผมเรื่องอะไร คุณบอกผมได้ไหม ผมจะได้รู้ แล้วก็จะได้ไม่ทำอีก ถ้าคุณไม่บอก แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าผมทำอะไรผิด” ชายหนุ่มร่ำร้อง แทบอยากจะจับมือรุ่นพี่เขย่า ๆ อยู่รอมร่อ แต่กลัวเอย์จิจะไม่พอใจขึ้นมาอีก
           “ฉันบอกแล้วไงว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือฉันต่างหาก ฉัน...” เอย์จิหยุดพูดไปเสียเฉย ๆ สายตาที่มองรุ่นน้องยังคงมีความวุ่นวายใจและความสับสนแฝงอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่ากับเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขายิ้มอ่อน ๆ ให้รุ่นน้อง เปลี่ยนเรื่องพูดไปเป็นการถามว่า
           “ไปเที่ยวกับเออิจิโร่มาสนุกไหม หมอนั่นบอกว่าพานายไปดูเขาประกอบเกี้ยวมิโคชิ”
           ชินจิรู้สึกขัดใจที่รุ่นพี่พูดไปเรื่องอื่นหน้าตาเฉย แต่เขาก็ยอมตอบโดยไม่โวยวายหรือต่อว่าต่อขานอะไรอีก
           “สนุกครับ เกี้ยวมิโคชิฝีมือประณีตมาก มินามิโนะซังก็ใจดีมาก แกะสลักนกหงส์ไฟให้ผมตัวหนึ่งเป็นที่ระลึกด้วย”
           “อยากไปดูอย่างอื่นนอกจากเกี้ยวมิโคชิไหมล่ะ ฉันพาไปเอง รับรองว่าสนุกกว่าที่เออิจิโร่พานายไปเยอะ”
           ชินจินิ่วหน้าเล็กน้อย เอย์จิคะยั้นคะยอมาอีก
           “เออิจิโร่ให้นกหงส์ไฟกับนาย แต่ฉันจะหาอย่างอื่นให้แทน เคลื่อนไหวได้ด้วย ไม่อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ เหมือนเจ้านกแกะสลักตัวนั้น น่าสนใจกว่าใช่ไหมล่ะ”
           ชินจิยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ รู้สึกงง ๆ ตามไม่ทัน แต่ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี เอย์จิจึงยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด แล้วล้วงเอาอะไรอย่างหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมายื่นให้
            “ซาซาดังโงะ” ชินจิมองขนมที่ห่อด้วยใบไผ่สองสามอันในมือด้วยความแปลกใจ ปกติซาซาดังโงะเป็นขนมในวันเด็กผู้ชายวันที่ห้าพฤษภาคม แต่เดี๋ยวนี้นิยมกินกันทั้งปี รสชาติอร่อย ได้กลิ่นหอมของใบไผ่รวยริน เป็นขนมของญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ชินจิชอบกิน
             “ให้ไว้ก่อนเป็นมัดจำ” เอย์จิพูด หยิบชิ้นหนึ่งมาแกะใบไผ่ที่ห่อขนมอยู่ออก ยื่นส่งให้
             ชินจิอดยิ้มไม่ได้เมื่อรับก้อนขนมสีเขียวคล้ำ ๆ มาจากมือของรุ่นพี่ อารมณ์ของชายหนุ่มดีพอที่จะฮัมเพลงออกมาเบา ๆ
             “นานาสึโนะโกะ” เอย์จิพูด “เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ฉันก็เคยร้องบ่อย ๆ”
             แล้วเสียงของทั้งสองคนก็ดังประสานกัน

                   Karasu naze nakuno
                   Karasu wa yama ni
                   Kawai nanatsu no ko
                   Ga aru kara yo

                   แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
                   แม่กาเอ่ยตอบว่า
                   เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
                   อยู่ในภูเขา


                   เสียงเพลงเด็กลอยขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดของต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่มีนกสีดำตัวใหญ่เกาะนิ่งอยู่ เนื้อหาและท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยความหวนไห้คะนึงหาเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของนกตัวนั้น มันโผบินจากกิ่งที่เกาะอยู่พร้อมกับกรีดเสียงร้องแหลม
                   เสียงนั้นฟังออกมาได้เป็นสามพยางค์
                   คา...โต...ดะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 14 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 09:38:13
บทที่ 15

        “เอย์จิซังไม่เปลี่ยนใจไปด้วยกันจริง ๆ หรือครับ”
        ชินจิถามอีกครั้ง ระหว่างรอรถบัสเที่ยวเช้าที่จะเข้าเมืองอยู่ที่ป้ายรถบัสใกล้ ๆ กับศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวของหมู่บ้าน มีรุ่นพี่ของเขามายืนรอเป็นเพื่อน
        เอย์จิส่ายหน้า อมยิ้มมุมปาก
        “แต่มานูเอลอุตส่าห์มาจากเยอรมัน อัตสึโตะกับมายะก็เลยอยากนัดกินข้าว ถ้ารุ่นพี่ไปด้วยอีกคน พวกนั้นน่าจะดีใจนะครับ” ชินจิพยายามชวนอีกครั้ง
        ชายหนุ่มได้รับโปสต์การ์ดส่งมาบอกเรื่องมานูเอลมาญี่ปุ่นจากอัตสึโตะกับมายะ สองคนนั้นเลยอยากนัดกินข้าวสังสรรค์กันเพื่อต้อนรับคนรักร่างใหญ่ของอัตสึโตะ แต่เพราะเขาอยู่ในหมู่บ้าน นอกเขตพื้นที่สัญญาณโทรศัพท์ ทำให้โทรศัพท์มือถือใช้ไม่ได้ ทั้งสองคนจึงต้องเขียนเป็นโปสต์การ์ดมาแทน
        “ฉันยังมีงานต้องทำ นายไปนั่นแหละดีแล้ว ฝากสวัสดีเจ้าพวกนั้นแทนฉันด้วย”
        “ว่าแต่ให้ผมหยุดงานไปเที่ยวแบบนี้จะดีหรือครับ” พูดถึงเรื่องงาน ชายหนุ่มก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเพิ่งโดนว่าที่โอะคะมิซังดุเรื่องไม่ตั้งใจทำงานมาหมาด ๆ วันนี้หยุดอีกแล้ว แถมเหตุผลยังแค่เรื่องไปกินข้าวกับเพื่อนเท่านั้นเอง ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่ไป แต่พอพี่น้องฝาแฝดรู้เข้าก็อนุญาตให้ไปทันที แถมยังสนับสนุนให้ค้างที่โตเกียวคืนหนึ่งด้วยซ้ำเพื่อจะได้ไม่ต้องรีบไปรีบกลับ เล่นเอารุกะค้อนชายหนุ่มรุ่นน้องของเอย์จิอยู่ขวับ ๆ แถมด้วยจิกกัดกลาย ๆ ว่า เขาไม่จำเป็นต้องกลับมาก็ได้
         “ไปเถอะ ว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปเป็นคนอนุญาตเอง ยังจะเกรงอะไรอีก”
         “พูดอย่างนี้ยิ่งเกรงใหญ่เลย ตอนนี้ใคร ๆ เขาก็ว่าผมเป็นเด็กเส้นอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบ่น หน้าง้ำนิด ๆ
         “ฉันไม่เห็นได้ยินใครพูดแบบนั้นเลย” รุ่นพี่ของเขาพูดอย่างไม่เดือดร้อน แต่เห็นหน้าง้ำ ๆ ของชินจิยังงออยู่ เขาก็เลยเอื้อมมือมาลูบศีรษะรุ่นน้องเบา ๆ เป็นการปลอบให้คลายใจ ไม่ต้องคิดมาก แล้วก็ไม่ลืมที่จะกำชับว่า
         “อย่าลืมนะ กลับมาให้ทันก่อนค่ำ แล้วเครื่องรางล่ะ เอาติดตัวไปด้วยแล้วใช่ไหม”
         ชินจิตบหน้าอกปุ ๆ ตรงที่กลัดเครื่องรางไว้ เป็นการบอกว่าเขาไม่ลืม รุ่นพี่จึงยิ้มให้อีกครั้ง อวยพรว่า
         “เดินทางปลอดภัยนะ”
         “ผมจะรีบกลับมา”
         ชินจิสัญญา ก่อนจะก้าวขึ้นรถบัสที่วิ่งเข้ามาจอดพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ต้องการจะออกจากหมู่บ้าน ชายหนุ่มหันมาโบกมือลารุ่นพี่อีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปนั่งด้านในรถบัสร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ
         เวลาที่นัดกับเพื่อน ๆ ไว้คือตอนกลางคืน ทำให้ชายหนุ่มมีเวลาเหลือพอที่จะแวะที่ยานากะ ห้องที่ชายหนุ่มอยู่ปล่อยเช่าชั่วคราวไปแล้ว แต่เขาอยากจะมาที่สุสานใหญ่อีกครั้ง
         ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นที่เขาเคยพบอีกาใกล้ตาย แต่ตอนนี้ไม่มีกองใบไม้ ไม่มีศพของอีกาตัวนั้นด้วย คนดูแลสุสานคงจัดการไปแล้ว
         “หวังว่าแกคงจะไปสู่สุคตินะ” ชินจิทรุดตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง วางดอกไม้สีขาวดอกเดี่ยวที่แวะซื้อจากร้านดอกไม้ก่อนเข้ามาที่นี่ลง แล้วเอามือแตะที่พื้นดินบริเวณที่เคยมีร่างไร้วิญญาณของอีกาตัวนั้น
              สิ้นเสียงของเขา ชินจิรู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนน้อย ๆ แต่วูบเดียวเท่านั้นก็กลับเป็นปกติจนเขาไม่แน่ใจว่า มันเกิดขึ้นจริงหรือไม่
         ดูเหมือนว่ารอบตัวเขาจะมีแต่อะไรแปลก ๆ แฮะ
         ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ แต่แล้วก็ปัดความคิดที่รู้สึกว่าเหลวไหลนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
 
         ร้านที่นัดไว้กับเพื่อน ๆ เป็นร้านอิเซกายะหรือร้านกินดื่มที่อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัย ชินจิมาหลังเวลานัดเล็กน้อย เมื่อเลื่อนประตูไม้หลังม่านสีน้ำเงินเดินเข้ามาในร้านก็เห็นเพื่อน ๆ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
         “ชินจิ ทางนี้”
         อัตสึโตะเป็นคนแรกที่หันมาเห็นเขา ยกมือโบกหยอย ๆ พร้อมกับส่งเสียงเรียก ทำให้เพื่อนอีกสองคนหันมามองไปด้วย ชินจิยกมือโบกตอบ ส่งยิ้มกว้าง ดีใจที่ได้เจอกันอีก
         เพื่อนทั้งสองคน ทั้งอัตสึโตะและมายะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไร แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน ถึงตอนนี้จะเรียนอยู่แคมปัสเดียวกันแล้ว แต่ต่างคนก็ต่างยุ่ง ทั้งเรื่องชมรม เรื่องเรียน แถมเทอมนี้เขายังทำงานอีก จึงมีแต่การติดต่อกันทางอีเมลเท่านั้น
         คนที่แปลกตาไปคือมานูเอล คนรักของอัตสึโตะ ชายหนุ่มชาวเยอรมัน ผมสีทอง ตัวสูงใหญ่ คนที่ได้รู้จักเมื่อคราวไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เบอร์ลิน ผ่านไปไม่กี่เดือนหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้าย มานูเอลสมกับฉายาไอ้หมียักษ์ที่มายะเรียกยิ่งกว่าเดิม เพราะตัวของชายหนุ่มที่สูงใหญ่อยู่แล้วขยายออกทางด้านข้างเพิ่มขึ้นอีก แถมยังมีเหนียง... เอ๊ย เนื้อใต้คางห้อยย้อยลงมาอีกนิด แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนน่ารักแสนดีคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง   
              “สวัสดีชินจิ นายดูสดใสขึ้นนะ” มานูเอลทักทาย
         “นายก็เหมือนกัน มานูเอล แต่รู้สึกว่าจะมีคนที่สดใสยิ่งกว่าฉันกับนายอยู่แถวนี้คนหนึ่งนะ” ชินจิตอบพร้อมแซวเพื่อนตัวเองไปพร้อมกัน อัตสึโตะนั่งยิ้มหน้าบานอยู่ข้าง ๆ คนรักตัวใหญ่เหมือนหมียักษ์ของตัวเอง ออร่าความสุขเปล่งประกายจนมันไปกระแทกตาคนอีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย มายะนั่งหน้าตูม พอเห็นอัตสึโตะหวานกับมานูเอลทีก็กลอกตาสลับกับค้อนปะหลับปะเหลือก บ่นงึมงำว่า
          “บากะคัปเปรุ”
          ชินจิอมยิ้ม มายะยังขวางหูขวางตาอัตสึโตะกับมานูเอลอยู่ดีและแสดงออกด้วยการบ่นกระปอดกระแปดว่าสองคนนั้นเป็น ‘คู่รักงี่เง่า’ ที่ชอบแสดงออกว่ารักกันเสียเหลือเกิ๊นในที่สาธารณะ แต่เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเพราะมันบาดตามายะต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้ว่าเพราะมานูเอลรักกับอัตสึโตะทำให้มายะอกหักดังเป๊าะ และไอ้เพื่อนเขาคนนี้มันก็ยังคร่ำครวญแกมบ่นอยู่ไม่ยอมเลิกจนถึงบัดนี้
           “ชินจิ ฉันว่านายผอมไปนิดนะ งานหนักมากรึเปล่า” อัตสึโตะทักบ้าง หลังจากสั่งอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว
           “ไม่หนักหรอก งานที่เรียวกังสนุกดี ทุก ๆ คนที่นั่นก็ใจดีและดูแลฉันดีด้วย” ชินจิตอบ
           “แล้วเอย์จิซังล่ะ ฉันนึกว่าจะมาด้วยกันซะอีก” มายะถาม
           “เอย์จิซังต้องอยู่ทำงาน แต่เขาฝากสวัสดีทุกคนนะ”
           “อัตสึโตะบอกว่านายทำงานอยู่ที่หมู่บ้านของเอย์จิ ที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ สวยไหม” มานูเอลชวนคุย และเมื่อพูดถึงเรื่องหมู่บ้านคันโจโคเอนกับรุ่นพี่ของเขา ชายหนุ่มก็มีท่าทางกระตือรือร้น ล้วงเอากล้องคอมแพ็คขนาดเล็กจากในเป้ขึ้นมาเปิดรูปให้เพื่อน ๆ ดู
           “โอ้โฮ ใบไม้สีแดงยังกับไฟเลย” อัตสึโตะอุทาน มานูเอลกับมายะก็ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยความสนใจ
           “หมู่บ้านของรุ่นพี่เอย์จินี่สวยจริง ๆ แต่รู้จักกันมาก็นาน ไม่ยักได้ยินรุ่นพี่เล่าเรื่องบ้านตัวเองให้ฟังเท่าไหร่เลยเนอะ” มายะพูด อัตสึโตะก็พยักหน้ารับหงึก ๆ
           ชินจิรู้เหตุผลดีว่าทำไม แต่เขาคิดว่าเขาไม่ควรเป็นคนพูดเรื่องนี้ จึงพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ไปแทน ชายหนุ่มเล่าเรื่องบ้านหลังคามุงฟาง อาหารอร่อย ๆ วิวสวย ๆ รอบหมู่บ้านและทะเลสาบบิวะ งานในเรียวกังและศาลเจ้าอินาริ ทุกคนก็ฟังอย่างสนใจ
           “อยากไปบ้านรุ่นพี่เอย์จิบ้างจัง ท่าทางน่าจะสนุกดีนะ” อัตสึโตะส่งกล้องถ่ายรูปคืนให้เพื่อน แล้วเมื่อเป็นคำปรารภของอัตสึโตะ มายะก็รีบสนองตอบทันที ชนิดเหยียบจมูกตัดหน้าคนรักตัวจริงกันเห็น ๆ อย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
           “ถ้านายอยากไป เราไปกันดีไหม สักสองสามวัน ค้างที่เรียวกังของรุ่นพี่ ให้ชินจิจองให้”
           “ก็ดีเหมือนกันนะ” อัตสึโตะว่า แต่แล้วก็ส่ายหน้า บอกหน้าตาเฉยว่า “คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า ฉันวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะพามานูเที่ยวโตเกียว นายไปกับชินจิก็แล้วกันนะมายะ”
           คนฟังน้ำตาแทบร่วง อะไรวะ กำลังจะดีอยู่แล้วแท้ ๆ เชียว เจ้าอัตสึโตะดันเปลี่ยนใจเอาง่าย ๆ ซะงั้น แล้วขอโทษเหอะ วางแผน! อย่างเจ้าอัตสึโตะเนี่ยนะวางแผนอะไรเป็นกับเขา
           มานูเอล สมองมายะแล่นปราด ไอ้หมียักษ์นูเทลล่าแน่ ๆ ที่เป็นคนวางแผนทั้งหมด
           ชายหนุ่มมองค้อนอีกฝ่ายตาคว่ำ หนอย... ไอ้หมียักษ์ ไอ้ตัวมารขัดความสุข แน่ะ ยังมาทำท่ายิ้มกริ่มเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่อีก
           ระหว่างที่มายะก่นด่าศัตรูหัวใจของเขาในใจอย่างเมามันนั้น อัตสึโตะ มานูเอลและชินจิ ไม่มีใครสนใจแม้แต่นิดเดียว ยังคงคุยกันต่อไปอย่างสนุกสนาน อัตสึโตะเล่าถึงคนโน้นคนนี้ที่เยอรมนีให้เพื่อนฟังซึ่งตัวเองก็ฟังมาจากมานูเอลอีกที สุดท้ายชายหนุ่มพูดถึงเพื่อนใหม่อายุมากกว่าที่รู้จักกันที่คานาซาว่า
           “นุ่นซังจะมาญี่ปุ่นช่วงคริสต์มาสนี้ล่ะ พาเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง อยากจะเจอพวกเราเลยส่งอีเมลมาถามว่าพวกเราสะดวกกันวันไหนบ้าง”
           “ฉันสะดวกนะ ยังไม่มีแพลนอะไรช่วงวันหยุดคริสต์มาส” ชินจิตอบ “ดีจังจะได้เจอนุ่นซังอีกครั้ง ยังคิดถึงเมื่อตอนไปเที่ยวคานาซาว่าอยู่เลย เกิดมาไม่เคยเจอใครซุ่มซ่ามอย่างนุ่นซังมาก่อน ทำเอาใจหายใจคว่ำตลอด”
                ชายหนุ่มคิดถึงหญิงสาวตัวเล็กทำผมสีทองสว่างจากประเทศไทยทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง เจ้าหล่อนช่างซุ่มซ่ามโก๊ะกังได้อย่างเหลือเชื่อ พื้นเรียบ ๆ ก็เดินสะดุดได้ แถมยังเอาแต่จะเดินชนโน่นชนนี่ ต้องคอยดูกันไม่ให้คลาดสายตา แต่เม็ดนุ่นหรือนุ่นซังที่เขาเรียกก็เป็นคนที่น่ารักมากและเป็นคนที่ทำให้ชายหนุ่มคิดได้ว่า ไม่ควรจะคร่ำครวญและเสียใจกับอดีตที่ผ่านมาให้มากเกินไป
           “งั้นฉันตอบเมลนุ่นซังไปเลยนะ” อัตสึโตะพูดพลางจิ้มแป้นโทรศัพท์มือถือยิก ๆ ประสาคนใจร้อน จึงเหลือแค่มานูเอลกับชินจิคุยกันต่อสองคน
           “เรื่องงานช่วยวิจัยของนายไปถึงไหนแล้ว จะได้มาอยู่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่” ชินจิถาม
           “ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ งานของฉันเริ่มตอนเดือนกุมภาพันธ์ ก็คงมาถึงก่อนหน้านั้นสักอาทิตย์”
           “โอ้โฮ จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะนี่” ชินจิอุทาน หันไปมองอัตสึโตะที่ยังก้มหน้าก้มตาจิ้มแป้นสลับกับการเปิดแอพพลิเคชันดิกชันนารีหาคำศัพท์ภาษาเยอรมันที่ต้องการในการเขียนอีเมลตอบกลับสาวหัวทองจากประเทศไทยที่สื่อสารกันได้ด้วยภาษาเยอรมันเท่านั้น
            “น่าดีใจกับอัตสึโตะ หมอนั่นคงมีความสุขน่าดูที่นายมาอยู่ด้วย” ชินจิเปรยยิ้ม ๆ
            “ฉันก็ดีใจที่จะได้อยู่ที่นี่กับอัตสึโตะ” มานูเอลพูด
            สุดจะทนฟังแล้วสำหรับผู้ชายอีกคนที่นั่งหัวโด่อยู่ที่โต๊ะแต่ไร้ใครเหลียวแล มายะร้องเสียงดัง
            “พอได้แล้ว! จะดีใจอะไรกันนักหนา!” ชายหนุ่มหน้างอ หยิบเบียร์ส่งให้แบบแทบจะเรียกว่ายัดใส่มือ เพื่อให้เลิกพูดเรื่องที่บาดหูเขาเสียที แล้วนั่น... ทั้งไอ้หมียักษ์ทั้งเจ้าชินจิยังจะมีหน้ามายิ้มอีก กวนโมโหเป็นบ้า
            “คิดถึงเสียงโวยวายของนายแบบนี้จังมายะ นึกว่าจะไม่ได้ยินซะแล้ว” ชินจิว่า แล้วหันไปค้นอะไรกุกกักในเป้ ก่อนจะหยิบถุงกระดาษใบเล็กขึ้นมา
            “ฉันมีของมาฝากพวกนายด้วยนะ ถ้านายจะไปเยี่ยมฉันถึงที่หมู่บ้านก็อย่าลืมพกไอ้นี่ติดตัวไปด้วยล่ะ”
            “เครื่องราง” มายะพลิกถุงใบเล็กสีแดงสดขึ้นดู ด้านหนึ่งปักรูปดอกศรสีทอง อีกด้านหนึ่งปักตราสีทองรูปสุนัขจิ้งจอกกับเปลวเพลิง
            “ของศาลเจ้าอินาริที่หมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต้องมีติดตัวไว้เสมอ” ชินจิอธิบาย
            “สวยจัง อันนี้น่ะเหรอที่เรียกว่าโอมาโมริ” มานูเอลมองถุงในมือตัวเองด้วยความสนใจ “ตราที่ปักอยู่นี่หมายถึงอะไรน่ะ”
            “ดอกศรเป็นเครื่องมือขับไล่ความชั่วร้ายกับสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ส่วนตราจิ้งจอกเพลิงเป็นตราประจำตระกูลของเอย์จิซัง บ้านเอย์จิซังเป็นตระกูลนักปัดรังควาน ดูแลศาลเจ้าในหมู่บ้าน”
            “โห สุดยอด” อัตสึโตะอุทาน เขาส่งอีเมลสำเร็จแล้วจึงเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน แล้วเรื่องแบบนี้ล่ะเขาชอบนัก ตระกูลนักปัดรังควานอย่างนั้นเหรอ รุ่นพี่ของเขานี่เท่สุด ๆ
            “ยังงี้เอย์จิซังต้องไล่ผีด้วยใช่ไหม” ชายหนุ่มถามตาใส
            ชินจิยิ้ม ส่ายหน้า
            “ไม่มีผีสางที่ไหนหรอก แค่เป็นตระกูลของผู้ดูแลศาลเจ้า พ่อกับพี่ชายของเอย์จิซังเป็นคันนุชิ ผู้ประกอบพิธีกรรม ส่วนเอย์จิซังช่วยงานที่เรียวกัง ไม่เกี่ยวกับศาลเจ้า”
            “ว้า เซ็งเลย” อัตสึโตะบ่น แต่ก็ทำท่าตื่นเต้นขึ้นมาอีก ถามเสียงใสว่า “นายล่ะ ชินจิ เจออะไรประหลาดลึกลับที่โน่นบ้างไหม”
            “ฉันไม่เจอหรอก แต่ก็มีเรื่องประหลาดอยู่เหมือนกัน” แล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องคนหายในภูเขากับเรื่องเสียงดนตรีที่ลอยตามลมมาจากในภูเขาให้เพื่อน ๆ ฟัง
            “สุดยอดไปเลย” อัตสึโตะอุทานอย่างทึ่งจัด แต่มายะกลับสะกิด สีหน้าบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ
            “นายอยากหลงทางในภูเขาแล้วเห็นภาพหลอนเนี่ยนะ”
            “เพ้อเจ้อ ใครจะอยากเป็นอย่างนั้นกันเล่า ฉันหมายถึงหมู่บ้านของเอย์จิซังต่างหาก ฟังดูเป็นสถานที่ที่น่าไปมาก ๆ เลย ชักอยากไปแล้วสิ มานู ถ้านายมาอยู่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่ เราไปด้วยกันนะ” ประโยคท้ายหันไปพูดกับคนรักของตัวเอง และแน่นอนว่า มีเสียงตะแง้ว ๆ ของมายะตามมาในทันที
            “อะไรจะไปกันสองคนได้ไง ให้ฉันไปด้วยนะอัตสึโตะ นะ น้า...”
            ชินจิคุยเล่นดื่มเบียร์กับเพื่อน ๆ ด้วยความเพลิดเพลินจนกระทั่งดึกก็แยกย้ายกันกลับ ชายหนุ่มค้างโตเกียวแค่คืนเดียวจึงเลือกค้างที่โฮสเทลเพื่อจะได้ไม่ต้องรบกวนไปค้างกับพวกอัตสึโตะ และเพราะเมื่อคืนดื่มเข้าไปมากพอดู ชินจิจึงตื่นสาย คำนวณดูแล้ว เขาคงไปไม่ทันรถบัสเที่ยวแรกที่จะไปที่หมู่บ้านแน่ ๆ จึงปล่อยเลยตามเลย และจะขึ้นรถบัสเที่ยวสุดท้ายแทน
             เมื่อลงรถไฟที่สถานีในเมือง ชินจิมุ่งไปยังร้านขนมปังเปิดท้ายก่อนเป็นอันดับแรก หวังว่าคราวนี้เขาจะได้ให้ขนมปังดำกับมือของรุ่นพี่เองสักที
             ผู้โดยสารที่ขึ้นรถบัสเที่ยวเดียวกับเขามีเยอะพอสมควร แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือชายหนุ่มใส่ชุดสีดำสนิท ผมของเขาย้อมเป็นสีบลอนด์จางเกือบขาว ใส่หน้ากากอนามัยสีดำปิดไปครึ่งหน้า เหลือแค่นัยน์ตาที่ทำให้เขามองแล้วต้องมองซ้ำ เขาคิดว่าเขามองไม่ผิดว่าดวงตาคู่นั้นเป็นสีแดง
             ชินจิไม่คิดว่าตัวเองตาฝาด แต่คิดว่า แฟชั่นสมัยนี้ช่างไปไกลเหลือเกิน ผู้ชายใส่คอนแท็คเลนส์สีแดง อ๊ะ ทาเล็บสีดำ เจาะคิ้ว เจาะหู มีรอยสักที่ต้นคอด้วย เอ.. หรือว่า.. ผู้ชายคนนี้เป็นนักดนตรีวงประเภทวิชวลร็อคที่สมาชิกในวงต้องแต่งตัวจัด ๆ แต่เขาใส่สูทสีดำธรรมดานี่นา
             คนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาเหมือนกับจะรู้ตัว ผู้ชายชุดสูทดำหันขวับมาทางชินจิจนชายหนุ่มตกใจ รีบก้มหน้างุด คิดตำหนิตัวเองในใจว่า ไม่น่าไปจ้องเขาเลย เสียมารยาทที่สุด ชายหนุ่มพยายามไม่มองไปทางผู้ชายใส่สูทสีดำคนนั้นอีก แต่เขารู้สึกว่า คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายถูกจ้องมองแทน
             ผู้โดยสารทยอยกันลงกลางทางไปเกือบหมดจนในรถเหลือเพียงแค่ตัวเขา คนขับรถและผู้ชายใส่สูทดำเท่านั้น ชินจิรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะเขายังจำครั้งที่แล้วที่เกิดอุบัติเหตุได้ดี ทำเอาเขากลับถึงบ้านค่ำและโดนรุ่นพี่โมโหใส่อย่างน่ากลัวที่สุด แต่เขาคงไม่โชคร้ายซ้ำสองหรอกน่า ชินจิปลอบใจตัวเอง หันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ไม่มีวี่แววว่ารถจะติดหรือจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติอะไรสักนิด วันนี้เขาคงถึงหมู่บ้านได้ตามเวลา
             แต่ชินจิคิดผิดมหันต์ เพราะวินาทีที่เขาคลายความกังวลจนเอนหลังพิงพนักอย่างสบายใจนั้น จู่ ๆ อากาศรอบตัวก็หนักข้นขึ้นอย่างกะทันหันและเกิดความมืดเหมือนกับรถบัสแล่นเข้าไปในอุโมงค์โดยไม่ทันตั้งตัว
             “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมืดอย่างนี้” ชินจิอุทานเสียงหลงพร้อม ๆ กับที่คนขับรถเหยียบเบรกจนรถหยุดกึก เหงื่อกาฬแตกพลั่กจนท่วมหน้า ร้องสั่งผู้โดยสารของเขาว่า
             “กรุณานั่งอยู่กับที่นะครับ!”
             พนักงานขับรถวัยกลางคนเปิดไฟในรถจนสว่าง แล้วลนลานคว้ากระบอกไม้จากหน้ารถขึ้นมากำแน่นไว้ในมือ ดึงจุกเปิดออก ชินจิเห็นอะไรบางอย่างหน้าตาเหมือนนกพับจากกระดาษพุ่งพรวดออกมาจากกระบอก แล้วโผบินออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็วจนดูแทบไม่ทัน
             “นั่นอะไรครับ คุณทำอะไร” ชินจิถาม แต่เขาไม่ได้คำตอบจากพนักงานขับรถ เพราะวินาทีถัดจากที่ปล่อยนกกระดาษออกไป กระจกรถบัสทั่วทั้งคันก็แตกดังเพล้ง เศษกระจกกระเด็นเข้ามาในรถ ชินจิก้มหลบโดยอัตโนมัติ เศษกระจกรถร่วงพรูเข้าใส่ตัวเขาเหมือนสายฝน หูของชายหนุ่มได้ยินเสียงคนร้องลั่น
             “อ๊าก!”
             เขาเงยหน้าขึ้นมองทันที สิ่งที่เห็นทำให้ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดสยองอย่างสุดขีด!
             พนักงานขับรถวัยกลางคนที่เขาพูดด้วยเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนตายแล้ว นอนฟุบกับพวงมาลัยรถ กลางหลังมีอะไรบางอย่างเหมือนมีดปักอยู่ เลือดไหลทะลักออกมาจากแผล หลังเปียกชุ่ม แต่ที่น่าสยดสยองก็คือ หัวของชายกลางคนกระเด็นตกอยู่บนพื้นรถ หันหน้ามาทางเขา
             ชินจิเข่าอ่อน แทบจะยืนไม่อยู่
             มันอยู่นั่น มันอยู่นั่น
             หูของชายหนุ่มได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังประสานกันเซ็งแซ่ มันเหมือนเสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดในหนังที่เคยดู แต่เสียงที่ได้ยินตอนนี้เสียดแทงประสาทหูจนเขาต้องเอามือปิดหูไว้ แต่เสียงนั้นก็ยังดังอยู่
             แล้วชายหนุ่มก็เห็นเจ้าของเสียง
             ชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่มีมีตัวอะไรแบบนี้อยู่ในสารบบของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้แน่ นี่มันอสูรกายจากนรกชัด ๆ!
             ตัวมันเล็ก น่าจะสูงเลยเข่าเขาขึ้นมาไม่เท่าไหร่ รูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์ ผิวมันสีเข้ม มีขนขึ้นรุงรัง ใบหน้าเหี่ยวย่น ปากกว้างแสยะออกเห็นเขี้ยวสกปรก หัวกระเซิง มีเขาเล็ก ๆ บนหัว สัตว์ประหลาดพวกนี้มาเป็นกองทัพ ตรงเข้ามารุมเขา บางตัวอ้าปากงับหน้าแข้งของเขาดังผับ
             “โอ๊ย” ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พยายามสลัดพวกมันออกจากตัว แต่ไร้ผล
             “ช่วยด้วย” เขาสำลักออกมา เท้าเตะถีบเป็นพัลวัน
             ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง ลมจากไหนเขาก็ไม่รู้ แต่มันทำให้ไอ้ตัวประหลาดที่กลุ้มรุมเขาอยู่กระเด็นออก ตัวขาดหัวขาดกระจาย
             ผู้ชายใส่สูทสีดำ!
             ชายหนุ่มเห็นคนที่ช่วยเขาถนัดตา ผู้ชายคนนั้นเอง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ที่มือทั้งสองของผู้ชายคนนั้นมีเคียวสีเงินยืดยาวออกมา เจ้าพวกสัตว์ประหลาดเปลี่ยนเป้าหมายจากเขาเป็นผู้ชายคนนั้น แต่ก็โดนเคียวคมกริบฟันจนตัวขาดเป็นท่อน ๆ
             เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ชินจิกระเสือกกระสนลงมาจากรถบัส วิ่งกระเจิงเข้าไปในป่าอย่างไม่รู้ทิศทาง ในใจกรีดเสียงเรียกชื่อเพียงชื่อเดียว
             เอย์จิ!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 14 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 09:49:36
             เพล้ง!
        “ท่านเอย์จิ!”
        เสียงเรียกชื่อชายหนุ่มดังประสานกันกับเสียงกระเบื้องแตก เอย์จิก้มลงมองบนพื้นโดยอัตโนมัติ ถ้วยชาที่เขาหยิบมาจากถาดที่อิซึมิยกมาให้แตกเป็นเสี่ยง
        “บาดรึเปล่าคะ น้ำชาลวกโดนท่านรึเปล่า” อิซึมิรีบเข้ามากันเขาออกห่างพลางละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ
        เอย์จิส่ายหน้า
        “ไม่หรอก ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับนึกสงสัย เขาว่าเขาจับถ้วยชามั่นคงดีแล้วแต่ทำไมจู่ ๆ ก็หลุดมือตกแตกเสียได้
        เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้วยชาแตก มันอาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่มันก็เป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย
        “อิซึมิจัง ชินจิยังไม่กลับมาอีกหรือ”
        “ยังเลยค่ะท่านเอย์จิ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลารถบัสจะมาถึงนะคะ อีกพักใหญ่เลยล่ะค่ะ”
        ชายหนุ่มตัดสินใจเดินออกจากเรียวกังตรงไปยังศาลเจ้า เข้าไปยังชามุโชหรือสำนักงานที่เป็นที่ทำการของศาลเจ้า ข้างในนั้นพี่ชายฝาแฝดของเขานั่งอ่านเอกสารอยู่อย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นมอง
         “อ้าว เอย์จิ มีอะไรรึเปล่า”
         “ชินจิยังไม่กลับมาเลย ฉันชักเป็นห่วง นี่ก็ใกล้มืดแล้ว”
         พี่ชายฝาแฝดยิ้มกริ่มเมื่อเห็นอาการกระสับกระส่ายของน้องชายผู้เงียบขรึม โยนเอกสารกลับลงกระบะทันทีทั้ง ๆ ที่โดนกำชับนักหนาว่าต้องอ่านให้จบ แต่แหม... เรื่องของน้องชายย่อมสำคัญกว่าสิ
         “ยังไม่ถึงเวลารถมาสักหน่อย ห่วงเกินไปรึเปล่า” เออิจิโร่แกล้งล้อ แต่น้องชายของเขาไม่ขำไปด้วย
         “ฉันมีลางสังหรณ์แปลก ๆ เออิจิโร่” ชายหนุ่มเรียกชื่อพี่ชายด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หน้าเคร่ง “นายก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของฉันแม่น ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชินจิ”
         เออิจิโร่นั่งตัวตรงขึ้นมาทันที สีหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแต้มอยู่เป็นนิจมีแววใคร่ครวญเช่นกัน น้องชายของเขาอาจจะไม่มีพลังในการปัดรังควาน แต่สายเลือดก็ยังแสดงออกในรูปของลางสังหรณ์ที่แม่นยำ ลงเอย์จิรู้สึกกระวนกระวาย นั่งไม่ติด ต้องลุกแล่นมาปรึกษาพี่ชายกวน ๆ อย่างเขาให้เสี่ยงโดนล้อเลียนก็น่าจะพอบอกได้ว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว
         “งั้นฉันจะสั่งให้พวกคิโยชิกับนาโอกิส่งผู้นำสาส์นไปดูสถานการณ์ แล้วให้โฮโจไปรอรับชินจิคุงที่ป้ายรถ ดีไหม หรือนายจะไปเอง”
         “ฉันไปเอง” เอย์จิตัดสินใจ
         ประตูสำนักงานเปิดออก หนึ่งในสองของพระผู้ฝึกหัดวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ในมือโบกกระดาษสีขาวไหว ๆ
         “มีอะไรนาโอกิ” เออิจิโร่ลุกขึ้นจากเก้าอี้
         “ผู้นำสาส์นครับท่าน คนขับรถส่งมาบอกว่ารถบัสโดนอสูรเข้าทำร้าย ชินจิซังอยู่ในรถคันนั้นด้วยครับ”
         เอย์จิฟังยังไม่ทันจบก็วิ่งพรวดออกไป เออิจิโร่วิ่งตามไปรั้งตัวน้องชายไว้พลางสั่งให้นาโอกิแจ้งเหตุฉุกเฉินให้พ่อของเขากับทุกคนรู้โดยด่วน
         “เดี๋ยว เอย์จิ รอท่านพ่อก่อน” ชายหนุ่มบอกน้องชาย แต่เอย์จิไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรออะไรทั้งนั้น เขากระชากตัวออกจากการเกาะกุมของพี่ชายอย่างแรง ตวาดเสียงเขียวว่า
         “ไม่รอแล้ว! จะให้รออะไรอีก! ฉันจะไปช่วยชินจิ!”
         “แล้วนายจะไปช่วยยังไง ที่ไหน คิดบ้างไหม ใจเย็น ๆ ก่อนสิ ไม่มีใครยอมปล่อยให้ชินจิเป็นอันตรายหรอกน่ะ”
         “ไม่รู้โว้ย แต่ฉันจะไป อย่ามาห้ามฉัน!”
         “นายยังไปตอนนี้ไม่ได้!”
         “ฉันจะไป!”
         เอย์จิเงื้อหมัดจะชกหน้าพี่ชายฝาแฝด แต่ก็ต้องยกกำปั้นค้าง เมื่อมีเสียงประกาศิตดังขึ้นเสียก่อน
         “หยุด!”
         เออิจิโร่ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของบิดาของเขา ตามหลังมาด้วยโอคินะและรุกะ ทั้งหมดหน้าตาเคร่งเครียด
         เอย์จิลดหมัดลง ท่าทางของเขาฮึดฮัดขัดใจ ร้อนรน ผิดไปจากเอย์จิคนเดิม
         “ผมจะออกไปตามหาชินจิ!” ชายหนุ่มประกาศ
         “แกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” มาซาฮารุพูดเสียงเข้ม แล้วหันไปสั่งลูกชายคนโต “โฮโจส่งผู้นำสาส์นออกไปแล้ว แกกับรุกะ โฮโจ และพวกกงเนงิให้แยกกันไปตามเส้นทางรถบัส ฉันกับโอคินะจะไปที่ทะเลสาบบิวะ”
         “ท่านพ่อ ผมจะไปด้วย” เป็นครั้งแรกที่เอย์จิดื้อดึง ต้องการจะฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เป็นบิดา ในใจของเขาร้อนรนเหมือนไฟเผาจนหมดสิ้นความกริ่งเกรงใด ๆ อีกต่อไป ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขากลัว เขากลัวจะเสียชินจิไป
         เขากลัวจะเสียคนที่เขารักไปอีกครั้ง
         “ผมจะไป ท่านพ่อ ผมขอร้อง” เอย์จิวิงวอน สายตาของลูกชายทำให้มาซาฮารุสะท้านใจ
         มิซากิ...
         เขาไม่อยากมองหน้าลูกชายคนเล็กก็เพราะแบบนี้ ดวงตาของเอย์จิถอดแบบมาจากดวงตาของภรรยาที่เขาแสนรัก ทุกครั้งที่เขาเห็นดวงตาของมิซากิผ่านดวงตาของเอย์จิ เจ้าบ้านคนปัจจุบันก็จะมีอาการทนไม่ได้
         “แกไม่ต้องไป”
         “ท่านพ่อ ผมขอร้องอีกคน ให้เอย์จิไปเถอะครับ ผมจะดูแลน้องเอง” เออิจิโร่เห็นใจน้องชายจึงช่วยขอร้องอีกแรง
         มาซาฮารุมองหน้าผู้อาวุโส ฝ่ายหลังพยักหน้า
         “ก็ได้ แกไปกับเออิจิโร่ แต่ห้ามแกทำอะไรทั้งนั้น” มาซาฮารุสั่งเสียงเฉียบขาด
         เอย์จิไม่สนใจอะไรอีก แค่ได้รับคำอนุญาตก็เพียงพอแล้ว เขาพุ่งตัวออกไปโดยเร็ว มีเออิจิโร่กับรุกะตามไปติด ๆ

         ชินจิวิ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่ในป่า เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยขูดขีดจนเลือดออกซิบ ทั้งรอยบาดจากกระจกรถและกิ่งไม้คม ๆ ที่วิ่งฝ่าไปอย่างเปะปะ
         ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองกำลังหลงทาง แต่เขาหยุดวิ่งไม่ได้ ในป่ามืด ๆ มีเสียงดังขึ้นรอบตัว เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังไล่ตามเขาอยู่ มันส่งเสียงร้องกี๊ซก๊าซคล้ายกับเสียงสัตว์ประหลาดที่จู่โจมรถบัส แต่น่ากลัวกว่ามาก แล้วถ้าเขาหยุด เขาต้องถูกมันทำร้ายเอาแน่ ๆ
         ขาของชายหนุ่มสะดุดกันเองจนเกือบเสียหลัก ดีว่าพยุงตัวเองเอาไว้ทันจึงไม่หกล้มลงไปกับพื้น แต่ชั่ววินาทีที่เขาเสียจังหวะหยุดวิ่งไปนั้นเอง เงาดำ ๆ สองร่างก็ปรากฏขึ้นขวางหน้า
         “แก.. แกเป็นใคร” ชินจิถามเสียงหลง ความมืดมัวรอบตัวทำให้มองเห็นไม่ชัด เห็นเป็นแค่เงาร่างดำ ๆ สวมผ้าคลุมกรุยกรายที่ปิดมิดตลอดตั้งแต่หัวลงมา
         เสียงหัวเราะกี๊ซก๊าซดังมาจากร่างสวมผ้าคลุมหนึ่งในสองร่างนั้น ทำให้ชินจิขนคอลุกชันด้วยความรู้สึกขนพองสยองเกล้า เขาผวาจะหันหลังหนีไปอีกทาง แต่ก็มีร่างของสัตว์ประหลาดผอม ๆ สูง ๆ เก้งก้างเหมือนต้นไม้ตายซากผุดขึ้นขวางทุกทิศทาง
         จับมัน
         เสียงกี๊ซก๊าซสั่งการได้ยินถนัด ทำไมเขาฟังออกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันหมายความตามนั้นแหละ เจ้าปีศาจพวกนี้กำลังจะจับตัวเขา
         “ช่วยด้วย เอย์จิซัง” ชินจิร้องลั่น มือปัดป้องไม่ให้สัตว์ประหลาดในรูปต้นไม้ตายซากเข้ามาใกล้ตัวเขาได้ เสียงกี๊ซก๊าซดังก้องอยู่ในหู
         แต่หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็จำแทบไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เขารู้แค่ว่าตัวเองกำลังจะโดนสัตว์ประหลาดทำร้าย แต่วินาทีถัดมา เสียงกี๊ซก๊าซที่เหมือนเสียงหัวเราะอย่างพอใจกลับกลายเป็นเสียงร้องด้วยความตระหนก เมื่อมีอะไรสักอย่างคล้าย ๆ นกสีขาวฝูงใหญ่ตรงเข้าจิกตีร่างที่สวมผ้าคลุม อีกฝูงหนึ่งจู่โจมอสูรกายต้นไม้ตายซาก
         ชินจิอาศัยจังหวะนั้นคลานถอยห่างออกมา เขาเห็นร่างในชุดผ้าคลุมร่างหนึ่งปัดนกสีขาวพร้อมกับพยายามจะเข้ามาจับตัวเขา แต่อีกร่างหนึ่งห้ามไว้ก่อน และพริบตาต่อมา ทั้งสองร่างนั้นก็หายวับไป
         ตอนนี้เหลือเพียงต้นไม้ตายซากกับฝูงนกสีขาวที่กำลังพันตูกันอย่างอลหม่าน ชินจิแทบจะทนไม่ไหวกับภาพน่ากลัวที่เห็น ชายหนุ่มหลับตาปี๋ กรีดร้องเรียกหาคนที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้
         “เอย์จิซัง!”
         เหมือนปาฏิหาริย์ ชินจิรู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดเขาไว้แน่น มันอบอุ่นและอ่อนโยน เป็นความรู้สึกที่เคยคุ้น
         ชายหนุ่มลืมตาโพลง
         “เอย์จิซัง!”
         เจ้าของอ้อมกอดนั้นคือรุ่นพี่ของเขาจริง ๆ ด้วย เขาคงไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม เอย์จิซังจริง ๆ ด้วย ชายหนุ่มกอดตอบรุ่นพี่แน่น มือสองข้างยึดเสื้อด้านหลังของอีกฝ่ายไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญเต็มที่
         “ไม่เป็นไรแล้ว ชินจิ ฉันอยู่นี่แล้ว นายปลอดภัยแล้ว”
         เสียงปลอบโยนของรุ่นพี่ดังอยู่เหนือศีรษะ แต่ชายหนุ่มเหมือนไม่สามารถรับรู้ได้ ชินจิซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกกว้างแข็งแกร่งของเอย์จิ เจ้าของชื่อที่เขาเรียกหาอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่ต้องเผชิญหน้ากับความลี้ลับอันชวนสยอง
         เอย์จิกอดรุ่นน้องแนบอก กรามขบกันแน่นเมื่อเห็นรอยขีดข่วนตามร่างกายของชินจิ ภายในใจของเขา เพลิงพิโรธกำลังลุกโชติช่วง
         “โฮโจ ฆ่าพวกมันให้หมด” เอย์จิสั่งเสียงเหี้ยม
         ผู้ได้รับคำสั่งเอาดอกศรขึ้นพาดสายโดยไม่ยอมเสียเวลา แล้วง้างสายปล่อยดอกศรไปสู่เป้าหมาย โฮโจไม่เสียเวลาดูผล เขารีบปล่อยดอกศรดอกที่สอง สามและสี่ต่ออย่างรวดเร็ว เป้าหมายอยู่ที่ร่างหงิกงอ และทันทีที่ดอกศรปัดรังควานกระทบถูกส่วนใดส่วนหนึ่งของมันก็เกิดเปลวเพลิงลุกวูบ ก่อนจะแผ่ลามกินแดนไปทั่วทั้งตัว แป๊บเดียวเท่านั้น อสูรต้นไม้ตายซากก็ถูกไฟเผาจนมอดไหม้เหลือแต่ซากขี้เถ้า
          “ชินจิ พวกมันตายหมดแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ” เอย์จิปลอบประโลมรุ่นน้องที่อยู่ในอ้อมแขน มือใหญ่ลูบศีรษะอย่างนุ่มนวล แรงสะอื้นของชินจิจึงเริ่มคลายลงจนกระทั่งสามารถเงยหน้าขึ้นได้
          “เอย์จิซัง” ชายหนุ่มเรียกเสียงเจือสะอื้น สายตาฉ่ำน้ำตาของชินจิแสดงความดีใจและโล่งใจอย่างเหลือล้นเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นหน้ารุ่นพี่เป็นคนแรก
          “ไม่เป็นไรแล้ว” เอย์จิยิ้มอ่อนโยน สองมือประคองใบหน้าของชินจิ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาที่เลอะให้ แล้วกดริมฝีปากตามลงไป... ที่แก้มทั้งสองข้างและที่หน้าผาก จากนั้นดึงตัวรุ่นน้องเข้ามากอดแน่น...
               เขาไม่สนใจสายตาของใครทั้งนั้น
               ไม่สนแม้แต่สายตาของคนอีกสองคนที่เพิ่งตามมาสมทบ
               รุกะกลอกตาอย่างอดทนแกมหมั่นไส้เต็มที่ เบะปากใส่ ขณะที่คู่หมั้นหนุ่มของหล่อน เออิจิโร่ยิ้มกว้าง ในที่สุดน้องชายของเขาก็เลิกปากแข็งเสียที มันต้องอย่างนี้แหละ รักก็ต้องแสดงออกว่ารัก ไม่ใช่มัวแต่เกรงนั่นเกรงนี่อยู่
               “ชินจิซัง ปลอดภัยดีใช่ไหม”
               เสียงรุกะถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทำให้เอย์จิรู้สึกตัว แต่ยังไม่คลายอ้อมแขนออกจากตัวของรุ่นน้อง
               “ชินจิไม่เป็นไร มีแค่รอยขีดข่วน ไม่บาดเจ็บมาก” ชายหนุ่มตอบ แล้วถามกลับว่า “ทางนั้นล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
               “พวกที่บุกรถบัสคือยักษ์เล็กโชกิ” เออิจิโร่ตอบ
               “พวกยักษ์เล็กเหรอ แถวนี้ไม่เคยมีพวกนี้นี่” น้องชายถามด้วยความฉงน
               “มันอาจจะข้ามแดนมา หรือไม่ก็มีใครนำพวกมันมา” เออิจิโร่คาดคะเน “เมื่อกี้ฉันกับรุกะปะทะกับอสูรผู้ใช้เคียว”
               “พวกคาไมทะจิเหรอ” เอย์จิถาม
               “มันมาตัวเดียว เคียวของมันยาวและคมกริบ” รุกะพูด ชำเลืองมองต้นแขนของตัวเองที่ถูกฟันจนแขนเสื้อขาด โชคดีที่คมเคียวของมันถากเนื้อไป บาดแผลจึงไม่ลึกและสาหัสมาก แค่เป็นรอยมีเลือดไหลซิบ ๆ เท่านั้น
               “ฉันคิดว่ามันคือคาเสะฮายะ อสูรจากฮะคุริว”
               “เป็นไปไม่ได้ ก็ไหนว่าอสูรจากฮะคุริวไม่คิดทำร้ายมนุษย์” เอย์จิอุทานด้วยความคาดไม่ถึง
               “เป็นอสูรคาเสะฮายะแน่ ๆ ผมสีบลอนด์เกือบขาว ตาแดงก่ำ ใส่ผ้าปิดปากสีดำสนิท มีเคียวเป็นอาวุธ และรวดเร็วราวกับสายลม ไม่ผิดตัวหรอก” รุกะยืนยัน
               ถึงตอนนี้ ชินจิมองคนโน้นคนนี้ทีด้วยความแปลกใจและไม่เข้าใจ แต่ซากขี้เถ้ากองใหญ่ ฝูงนกสีขาวที่ยังบินวนอยู่บนท้องฟ้า ทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝันไปแน่ ๆ แล้วเมื่อได้ยินรุกะกับเอย์จิคุยกัน เขาก็อ้าปากพูดแทรกขึ้น
               “ผู้ชายคนนั้นช่วยผมไว้ครับ”
               ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว เอย์จิถามย้ำ
               “นายว่าใครช่วยนายไว้นะ”
               “ก็..ผู้ชายใส่สูทสีดำ ผมสีบลอนด์จาง ๆ ตาแดง ใส่หน้ากากสีดำ พอรถบัสหยุด พวกสัตว์ประหลาดบุกเข้ามา มันจะทำร้ายผม ผู้ชายคนนั้นใช้เคียวฟันพวกมันตัวขาดเป็นท่อน ๆ ทำให้ผมหนีออกมาจากรถได้” ชินจิเล่าถึงวินาทีสยองขวัญที่เพิ่งประสบมา
               “ผมวิ่งเข้ามาในป่า เจอกับพวกต้นไม้ตายซากพยายามจะทำร้ายผมอีก แล้วก็มีใครไม่รู้อีกสองคน สวมผ้าคลุมทั้งตัว ผมมองไม่เห็น พวกมันพยายามจะจับตัวผม แต่จู่ ๆ พวกมันก็หายไป”
               “คนสวมผ้าคลุมสองคนงั้นเหรอ” รุกะกับเออิจิโร่มองหน้ากัน
               “พวกมันพยายามจะจับนาย นี่มันหมายจะเล่นงานนายงั้นเหรอ” เอย์จิถาม หน้าซีดเผือด
               “เอาเถอะ ตอนนี้ชินจิคุงปลอดภัยก็ดีแล้ว เรื่องอื่นกลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า” เออิจิโร่ตัดบท แล้วหันไปสั่งคู่หมั้นสาวของเขาว่า
               “รุกะ เธอส่งข่าวไปบอกท่านพ่อก่อน แล้วค่อยไปสมทบกับพวกท่านที่ทะเลสาบ”
               หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่หยิบปิ่นปักผมที่เสียบมวยผมอยู่ออกมา ขมุบขมิบท่องอะไรอยู่สักครู่ แล้วทันใดนั้นเอง ผีเสื้อสีน้ำเงินบนด้ามปิ่นก็ขยับปีกและโบยบินไปในอากาศประดุจมีชีวิต
               ชินจิมองทุกอย่างตาค้าง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 15 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 01-04-2016 11:23:15
ชินจิเอ้ย อยู่ดีๆก็ต้องโชคร้าย
 :katai1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 15 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 01-04-2016 12:00:22
เป็นกำลังใจค่ะ :L1: ไม่ได้อ่านแนวนี้ซะนาน
ชอบฉากบรรยายมากเลย รู้สึกว่าสามารถวาดภาพตามได้เลยถ้ารู้จักสิ่งของในฉากนั้น
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 15 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 01-04-2016 14:50:59
ชินจิโดนเล่นหนักเลยนะเนี่ยยย :hao4:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 15 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 16:17:45
บทที่ 16

        น้ำสีฟ้าสดในทะเลสาบบิวะที่เคยเรียบนิ่งปรากฎริ้วคลื่นเล็ก ๆ จากกลางทะเลสาบแล้วค่อย ๆ แผ่ออกเป็นวงกว้างจนถึงขอบฝั่ง พื้นดินโดยรอบทะเลสาบสั่นสะเทือน เมฆหมอกหนาทึบ
        มาซาฮารุยืนตัวตรง มือข้างหนึ่งกำดาบด้ามยาวสีดำแน่น เยื้องไปทางเบื้องหลังคือโอคินะ องครักษ์ประจำตัว ทั้งสองคนมองตรงเข้าไปในสายหมอกสีขาวขุ่นที่ค่อย ๆ คลายตัว ก่อนจะจางหายไปในที่สุด
        ร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งค่อย ๆ เยื้องย่างออกมาจากสายหมอกสีขาวนั้น ผมหยักศกสีทองยาวล้อมกรอบใบหน้าที่งดงามราวภาพวาด ดวงตาคมสีดำสนิท ร่างนั้นอยู่ในชุดคลุมสีดำลายลูกไม้วิจิตรยาวจรดพื้น สวมกางเกงสีดำแนบตัวกับรองเท้าบู๊ตหนังสีเดียวกันยาวครึ่งแข้ง
        ท้องฟ้าเบื้องบนคำรามครืนครัน เมื่อมนุษย์และอสูรเผชิญหน้ากัน
        มังกรขาวมิโคโตะประสานสายตากับนักปัดรังควานมาซาฮารุ รังสีความน่าเกรงขามแผ่ซ่านจนบรรดาอสูรที่ยืนเรียงกันอยู่เบื้องหลังพากันอึดอัดกระสับกระส่าย
        แล้วมนุษย์ก็เป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อน
        “ขอบคุณมังกรขาวที่ออกมาพบตามที่ข้าส่งสาส์นไป”
        “ท่านส่งจิ้งจอกเพลิงนำสาส์นถึงข้าเป็นครั้งที่สองแล้ว ถ้าข้าไม่ออกมาพบท่าน เห็นทีองครักษ์ของข้าคงจะต้องเสียแขนอีกข้างเป็นแน่”
        สายตาของมิโคโตะชำเลืองมองไปยังอสูรสายหมอกมุราซากิที่ยังคงพันผ้าพันแผลไว้ที่แขนข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วองครักษ์ของเขาพยายามจะหยุดชิกิงามิที่นักปัดรังควานเสกขึ้นมาจึงต้องเจ็บตัว แต่ครั้งนี้มิโคโตะลงมือเองจึงสามารถสลายพลังของชิกิงามินำสาส์นได้
        “ถ้าเช่นนั้น ท่านย่อมรู้แล้วว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
        มังกรขาวพยักศีรษะรับ มนุษย์จึงถือโอกาสนั้นสำทับด้วยความโกรธกรุ่น
        “อสูรโจมตีมนุษย์ซ้ำสองซ้ำสาม ท่านยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ แต่ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป ครั้งนี้อสูรของท่านโจมตีคนในปกครองของข้า ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร”
        มาซาฮารุขยับดาบดังแกรก เห็นคมดาบขาววาววับ ทำให้อสูรด้านหลังมิโคโตะขยับตัวเช่นกัน แต่มังกรขาวยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
        “ข้าได้ยินว่าพวกนั้นเป็นพวกยักษ์เล็ก ไม่ใช่อสูรในภูเขามิคามิที่ข้าดูแลอยู่ อสูรและภูตพรายชั้นต่ำพวกนั้นย่อมข้ามแดนไปมาและเข้าโจมตีพวกมนุษย์ได้ เพราะพวกมันไม่มีสมอง มีแต่สัญชาตญาณความหิวกระหายเท่านั้น”
        มาซาฮารุหรี่ตา ไม่พอใจอย่างรุนแรงที่มังกรขาวทำท่าจะปัดความรับผิดชอบ
        “ท่านมาซาฮารุ สาส์นจากท่านรุกะขอรับ” โอคินะกระซิบบอกมาจากเบื้องหลัง
        นักปัดรังควานสูงวัยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เช่นเดียวกับบรรดาอสูร เมื่อต่างสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ตรงเข้ามาใกล้ ครู่ต่อมา ผีเสื้อสีน้ำเงินตัวใหญ่ก็โบยบินเข้ามาเกาะที่ปลายด้ามดาบที่มาซาฮารุยื่นออกไป จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นกระดาษแผ่นยาว
        “สาส์นแจ้งว่า อสูรฝ่ายของท่านคือคาเสะฮายะร่วมอยู่ในเหตุการณ์โจมตีรถบัสด้วย มาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะปฏิเสธอีกหรือ ท่านมิโคโตะ ว่าอสูรไม่คิดทำร้ายมนุษย์”
        มาซาฮารุกระชากเสียงถาม หลังจากอ่านสาส์นจากผีเสื้อสีน้ำเงินจบ
        สีหน้าของมังกรขาวไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงก็ยังคงความนุ่มนวลสุภาพเอาไว้เหมือนเดิม เมื่อกล่าวโต้ตอบ
        “ข้าส่งคาเสะฮายะออกไปจริง แต่เพื่อดูสถานการณ์ทั่วไปเท่านั้น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีรถบัสเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าขอยืนยัน”
        “เรื่องบังเอิญ! ถ้าข้าส่งคนของข้าเข้าไปในเขตแดนของท่านแล้วโจมตีอสูรสักสองสามตน พอถูกจับได้ก็อ้างว่าเป็นเรื่องบังเอิญบ้าง ท่านก็จะยอมรับได้เหมือนกันใช่หรือไม่”
        “แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอสูรของข้า” มังกรขาวยืนกราน
        “จะอย่างไรก็ช่าง ข้าขอให้ท่านส่งตัวคาเสะฮายะมาให้ข้า ข้าจะสอบสวนมันเอง”
        “ข้าไม่ส่งคนของข้าให้ใครทั้งนั้น!”
        มังกรขาวกับมนุษย์จ้องหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ท้องฟ้าเบื้องบนคำรามลั่นอีกครั้ง ลมเริ่มพัดแรงขึ้น กวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นปลิวกระจายไปในอากาศ
        มาซาฮารุขยับดาบอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับที่โอคินะเสกชิกิงามิหลายตัวเตรียมจะเข้าโรมรันกับบรรดาอสูรพลพรรคของมังกรขาว
        มิโคโตะระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อเห็นนักปัดรังควานขยับตัว เขาก็ฉีกตัวหลบไปทางด้านข้างและให้คามินาริที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังใช้กระบี่รับดาบของมนุษย์ที่ฟาดฟันลงมาแทน คมดาบของมนุษย์แข็งแกร่งและทรงพลังกว่า กระบี่ของอสูรสายฟ้าหักออกเป็นสองท่อน
        “หยุดก่อนครับท่านพ่อ! อย่าเพิ่งสู้กัน!”
        เสียงของเออิจิโร่หยุดการปะทะกันได้อย่างฉิวเฉียด ชิกิงามิที่โอคินะปล่อยออกไปกลับกลายเป็นกระดาษร่วงลงบนพื้นก่อนที่จะได้โจมตี ส่วนมาซาฮารุก็ชะงักมือที่จับดาบอยู่ ทุกคนทั้งฝ่ายมนุษย์และอสูรหันมองไปยังผู้มาใหม่
        “ท่านพ่อ ชินจิคุงปลอดภัยดีแล้ว” เออิจิโร่ส่งเสียงบอกพลางเดินแกมวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับรุกะ
        “เอย์จิล่ะ อยู่ที่ไหน” บิดาถามทันที
        “เอย์จิกับโฮโจพาชินจิคุงกลับไปที่บ้านก่อนแล้วครับ” เออิจิโร่ตอบ ชำเลืองมองฝั่งอสูร ก่อนอธิบายว่า “ชินจิคุงบอกว่าได้ท่านคาเสะฮายะปกป้องไว้จากพวกยักษ์เล็ก”
        “ช่วยเอาไว้รึ” มาซาฮารุขมวดคิ้ว
        “ครับ ชินจิคุงว่าอย่างนั้น” ลูกชายคนโตยืนยัน
        “ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าคนของข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย” มิโคโตะกล่าวแทรก
        เออิจิโร่หันไปมองฝั่งอสูรเต็มตา อมยิ้มมุมปาก สีหน้าของเขากวนโมโหมากในสายตาของพวกอสูรที่กำลังมองอยู่
        “ก็ไม่แน่หรอกขอรับ ท่านมิโคโตะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ยียวนไม่แพ้หน้าตา “คนของเราบอกด้วยว่ายังมีใครอีกสองคนสวมผ้าคลุมตลอดทั้งตัวพยายามจะทำร้ายเขา แต่หนีไปก่อนที่นักปัดรังควานจะไปถึง มันก็ไม่แน่ใช่ไหมว่าไอ้โม่งสองคนนั้นอาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในฝ่ายของพวกท่านก็ได้”
        “เจ้าจะกล่าวหาใครก็ให้มันชัดเจนหน่อย เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” อิบุกิ อสูรอสรพิษ สวมชุดสีเทาแกมม่วงเข้มกรุยกรายถลึงตาใส่ชายหนุ่มด้วยความโมโห
         “ข้ายังไม่ได้กล่าวหาใคร อย่าเพิ่งร้อนตัวไปสิ ท่านอิบุกิ ข้าแค่บอกว่ามันไม่แน่ ถ้าไอ้โม่งไม่ใช่คนของฝ่ายท่าน ท่านก็ไม่ควรโมโหนะ”
         “เงียบ อิบุกิ” มิโคโตะปราม สีหน้าของเขามีแววครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ให้ข้อมูล ท่านเออิจิโร่ ข้าจะต้องสอบสวนหาความจริงให้ได้อย่างแน่นอน”
         มังกรขาวลั่นวาจาเป็นสัญญา
         “ฮึ ก็ขอให้ทำได้ตามนั้นเถอะ” มาซาฮารุพ่นลมออกจากจมูกเป็นเชิงไม่เชื่อถือ “ถ้ายังมีอะไรเกิดขึ้นกับคนของข้าอีก ข้าจะไม่ขอไว้หน้าพวกท่านอีกแล้ว!”
         มนุษย์ประกาศลั่นเช่นกัน
              ทั้งสองฝั่งจ้องหน้ากันอีกครั้ง ความกดดันแผ่ซ่าน ฝุ่นดินปลิวกระจายจนต้องเอามือป้องตาไว้ ริ้วคลื่นในทะเลสาบยิ่งกระเพื่อมเป็นลอนใหญ่ขึ้น เมฆหมอกครึ้มขึ้นมาอีกระลอก ท้องฟ้าลั่นครืนโครมสนั่น
              หมอกสีขาวและสีม่วงค่อย ๆ แผ่กระจายกลืนร่างของอสูรจนหายวับไปทั้งหมด เมฆหนาครึ้มกระจายออกจนเห็นท้องฟ้าเบื้องบนสีน้ำเงินเข้มแกมดำของเวลากลางคืน แผ่นดินสงบนิ่งไม่สั่นสะเทือน คลื่นน้ำในทะเลสาบหายไป เป็นสัญญาณว่า เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว
              มาซาฮารุประกาศสั้น ๆ
              “กลับ!”

              ชินจิยังคงไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แต่หูเขาไม่เฝื่อนไปแน่และตาก็ไม่ได้ฝาดอย่างแน่นอน
ก็...ก็มันเห็นอยู่ทนโท่ขนาดนี้!
              ไอ้ตัวยาว ๆ ขนฟูที่เคยนึกว่ามันเป็นขนสัตว์ แต่มันไม่ใช่ขนสัตว์แล้ว มันขยับได้ด้วย
              เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการบอกเล่าเรื่องลี้ลับของหมู่บ้านคันโจโคเอนและภูเขามิคามิ เออิจิโร่เอากระบอกไม้ไผ่สีเขียวเข้มออกมาเปิดจุกออก แล้วเจ้าตัวยืด ๆ ขนฟูสีน้ำตาลอมแดงก็โผล่หัวออกมา ก่อนจะกระโดดไปหาเจ้าของของมัน รัดตัวรอบคอของชายหนุ่มจนดูเหมือนกับผ้าพันคอขนสัตว์นุ่ม ๆ
              “คูดะกีซึเนะ พังพอนจากภูเขาโอมิเนะ ชื่อว่าเนเน่จัง สัตว์เลี้ยงของฉันเอง” เออิจิโร่พูดพลางใช้นิ้วลูบขนสีน้ำตาลอมแดงของพังพอนที่มีชื่อน่ารักเกินตัวอย่างรักใคร่
              ชินจิหน้าเหย มองพังพอน มองหน้าเออิจิโร่ แล้วเลื่อนสายตามายังโฮโจ รุกะ และจบที่เอย์จิที่นั่งติดอยู่กับเขาบนโซฟาในห้องรับแขก
              หลังจากกลับมาถึงบ้าน เอย์จิพาเขาไปเช็ดตัว ทำแผล เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ที่สะอาด แล้วนั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมกับโฮโจ ระหว่างนี้รุ่นพี่ของเขาเล่าเรื่องของหมู่บ้านและภูเขามิคามิให้เขาฟัง เรื่องที่ได้ฟังตอบข้อสงสัยของชายหนุ่มได้ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าในโลกนี้ยังมีอสูรและภูตพรายอยู่
              กระทั่งมาซาฮารุ เออิจิโร่ รุกะและโอคินะกลับกันมาจากทะเลสาบบิวะ เจ้าบ้านคนปัจจุบันกวาดสายตามองเขาและลูกชายคนเล็ก ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ โอคินะซังซักถามอะไรนิดหน่อย ก่อนจะเดินจากไปอีกคนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายจนน่าเป็นห่วง เหลือเออิจิโร่กับรุกะที่ลงนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย ทั้งสองคนยังใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะ ที่หน้าอกของรุกะก็ยังมีเกราะหนังมุเนะอาเตะสวมอยู่ พอรู้ว่าเอย์จิเล่าเรื่องให้ชินจิฟังหมดแล้ว เออิจิโร่จึงงัดเอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองออกมาโชว์ให้ดูเป็นการยืนยันเสียเลย
               “เอ่อ.. ชื่อน่ารักดีนะครับ” ชินจิพยายามจะยิ้ม
               “เนเน่จังชอบเธอแล้ว” เออิจิโร่ประกาศ หลังจากเห็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองผงกหัวขึ้นมองเมื่อได้ยินคำชม
               “แม่สาวคนนี้ชอบให้มีคนชม”
               “มันบ้ายอต่างหาก” รุกะเอ่ยลอย ๆ แล้วถ้าชินจิมองไม่ผิด เจ้าพังพอนค้อนขวับทันทีเหมือนฟังภาษาคนรู้เรื่อง ยิ่งทำให้ชินจิอึ้ง นี่เขากลายเป็นอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ไปแล้วรึเปล่าเนี่ย แม่หนูอลิซลอดโพรงกระต่ายเข้าไป ส่วนเขาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเข้ามายังหมู่บ้านที่อยู่ในวงแหวนแห่งเปลวเพลิง
                “สรุปว่า เป็นเรื่องจริงสินะครับ อสูรและภูตพรายยังมีอยู่ที่นี่ ไอ้ตัวที่ทำร้ายผมคือยักษ์เล็กโชกิ แถมยังมีมังกรขาวกับมังกรแดงที่ถูกสะกดเอาไว้ในทะเลสาบ ลูกแก้ววิเศษที่ควบคุมน้ำได้ก็มีอยู่จริงด้วย ส่วนพวกคุณก็มีพลังปัดรังควาน”
                 “ใช่ แล้วถ้าคุณกลัว คุณจะกลับไปก็ได้ ฉันจะให้โฮโจไปส่งให้ถึงโตเกียว” รุกะเอ่ยขึ้นทันที สายตาของหล่อนวาววับ คาดหวัง แต่ชินจิส่ายหน้า
                 “ผมไม่กลัว” ชินจิพูดหนักแน่น “ตอนแรกผมอาจจะกลัว แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้วครับ ขอให้ผมอยู่ที่นี่ทำงานต่อไปจนครบกำหนดเถอะนะครับ”
                 ชายหนุ่มมองรุ่นพี่ของเขาด้วยสายตาวิงวอน
                 “ถ้าคุณอยู่ที่นี่ คุณอาจจะถูกทำร้ายอีกก็ได้ ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับคนธรรมดาอย่างคุณ” รุกะพูดไม่มีเยื่อใย แต่ชินจิก็ดื้อแพ่ง
                 “ผมไม่ไป อย่าเสือกไสผมออกไปจากที่นี่เลยนะครับรุกะซัง ผมขอร้อง”
                 “เอาล่ะ เอาล่ะ จะไม่มีการไปไหนทั้งนั้นแหละ ชินจิคุงอยู่ที่นี่ได้ตามที่ต้องการ” เออิจิโร่ไกล่เกลี่ย รุกะหน้าบึ้งตึง แย้งว่า
                 “แล้วถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะ เกิดชินจิซังบาดเจ็บหรือตายไป ใครจะรับผิดชอบ”
                 “ชินจิคุงถือเป็นคนของศาลเจ้า เราย่อมต้องปกป้องคุ้มครองเขาอยู่แล้ว” เออิจิโร่ตอบ
                 “แล้วเธอดูแลเขาได้ตลอดเวลารึไง” รุกะค้อนขวับ แล้วหันมาคาดคั้นกับเอย์จิที่นั่งเงียบมาตลอด
                 “พูดอะไรบ้างสิ เอย์จิ เธอต้องเห็นด้วยกับฉัน เธอก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเธอคุ้มครองใครไม่ได้ เธอคงไม่อยากเห็นรุ่นน้องต้องบาดเจ็บเหมือนวันนี้อีกใช่ไหมล่ะ”
                 เอย์จิกำหมัดแน่น คำพูดของรุกะแทงใจดำเขา แต่จะให้ชินจิไป เขาก็ทนไม่ได้เหมือนกัน จังหวะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้นเอง มือของชินจิก็เอื้อมมากุมมือของเขา พร้อมกับพูดเสียงหนักแน่นว่า
                 “คุณไม่จำเป็นต้องคุ้มครองผม ผมจะดูแลตัวเอง ขอแค่คุณอยู่กับผม แค่นี้ก็พอแล้ว” ชินจิมองหน้ารุ่นพี่ หัวใจของเขาเต้นระรัว เอย์จิซังมีปมเรื่องไม่มีพลังปัดรังควาน เขารู้ และการที่เอย์จิซังไม่สามารถคุ้มครองคนที่ตัวเองรักได้ก็เป็นสิ่งที่ติดใจมาตลอด แต่เขาไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ เขาไม่ต้องการคนที่มีพลัง ไม่ต้องการคนเก่งกาจ แต่ต้องการคนที่อยู่เคียงข้างเขา ขอแค่ความมั่นใจว่ามีคนที่จะอยู่เคียงข้างกันไป ขอแค่นี้เท่านั้น.. เท่านั้นเอง
                  แต่เอย์จิซังจะเข้าใจเขารึเปล่า
                  “เอย์จิ!” เสียงรุกะสำทับมาอีก
                  ชินจิรู้สึกว่ามือที่กำแน่นจนแข็งของรุ่นพี่คลายลง แล้วพลิกมาเป็นฝ่ายกุมมือของเขาไว้แทน สายตาของเอย์จิอ่อนโยนจนเขารู้สึกใจชื้น
                  “ฉันจะอยู่กับนาย”
                  ชินจิยิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ส่วนรุกะตาเขียว สะบัดหน้าพรืด พูดทิ้งท้ายเสียงแข็งก่อนจะเดินลงส้นออกไปจากห้องว่า
                  “ตามใจ อยากทำอะไรก็ตามใจ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน!”
                  เออิจิโร่เป่าลมพรูออกมาจากปาก ยิ้มแฉ่ง ประกาศว่า
                  “พายุผ่านไปแล้ว สถานการณ์คลี่คลาย แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้” ชายหนุ่มเอาเนเน่จังของเขาเข้ากระบอกไม้ไผ่ ก่อนหันไปหาชินจิ เอามือลูบศีรษะชายหนุ่มพลางบอกด้วยความเอ็นดูว่า
                  “ลำบากหน่อยนะชินจิคุง เธอไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องทำงานที่เรียวกังด้วย ให้พวกโฮโจดูแลไป เธอรักษาตัวให้หายดีก็พอ”
                  “แต่ผมไม่เป็นไรนะครับ ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากด้วย แค่ตกใจ ตอนนี้ก็หายแล้ว อย่าให้ผมหยุดงานอีกเลย ผมเกรงใจ”
                  “โฮ้ย จะเกรงใจทำม้าย” เออิจิโร่แกล้งลากเสียงล้อ “คำสั่งว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไป ไม่มีใครกล้าขัดอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง นายก็เป็นคนสำคัญสุด ๆ ของน้องชายฉันด้วย ไม่ต้องเกรงใจใครทั้งนั้น”
                  ชินจิหน้าแดงก่ำ
                  “พูดมาก เออิจิโร่” เอย์จิตวาดเสียงเขียว แต่หน้าของเขาก็มีริ้วสีแดงซ่านขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน เห็นแล้วพี่ชายฝาแฝดก็นึกขำระคนอิจฉา คนที่มีหัวใจรักนี่เป็นอย่างนี้นี่เองสินะ ความสุขมันฉายออกมาทั้งที่ดวงตาและสีหน้าท่าทาง ทั้งหมดทุกอย่าง ชนิดที่คนไม่มีหัวใจอย่างเขาคงไม่มีทางแสดงอะไรอย่างนี้ออกมาได้แน่
                   “ไปดีกว่า ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอละ ไปเถอะโฮโจ ปล่อยเขาอยู่กันสองคน”
                   “เออิจิโร่!”
                   เอย์จิฮึดฮัด แต่เจ้าพี่ชายตัวดีของเขาก็ชิ่งหนีออกจากห้องไปแล้วพร้อมกับองครักษ์ประจำตัวที่ยิ้มกว้างอย่างน่าโมโห
                   “เอ่อ... ขอโทษนะชินจิ อย่าไปฟังพวกนั้นเลย ชอบพูดจาเหลวไหล”
                   รุ่นพี่ของเขาอึกอักขัดเขิน เช่นเดียวกับชินจิที่ยังหน้าแดงไม่เลิก มือไม้ชักเริ่มเกะกะ ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดี จะพูดอะไรก็พูดไม่ถูก
                    “นาย.. นายไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เอย์จิพูด แต่พอขยับจะเข้าไปจูงมืออีกฝ่ายตามความเคยชิน ชายหนุ่มก็ชะงัก ดึงมือกลับเหมือนมือของชินจิเป็นถ่านไฟร้อน ๆ หน้าของเขาแดงขึ้นอีก
                    ชินจิกลั้นยิ้มจนริมฝีปากสั่น ข่มความอายอย่างเต็มที่ แล้วยื่นมือตัวเองไปจับมือของรุ่นพี่ก่อน เขาไม่กล้าสบตากับเอย์จิ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามือของรุ่นพี่กระชับมือของเขาไว้แน่น ไม่ได้สะบัดออกอย่างที่นึกกลัว
                    ชินจิยิ้มออกมาได้ เดินตามแรงจูงของเอย์จิไปจนถึงห้องของตัวเอง

หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 15 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 16:24:21
               ไกลออกไปในภูเขา...
               ท่ามกลางสายหมอกสีม่วงอ่อน ภายในปราสาทสีขาว เสียงโคโตะดังลอยออกมาจากห้องภายในหอคอยอามาอิ สถานที่อยู่ของมังกรขาว เสียงดนตรีดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นกระชาก สายโคโตะตวัดสั่นด้วยแรงดีดเป็นท่วงทำนองที่รุนแรง รวดเร็ว
               เสียงดนตรีกรีดกระชาก อากาศสั่นสะเทือน
               ทุกผู้ที่ได้สดับไม่อาจแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น
               เสียงดนตรียังดังต่อเนื่อง ก่อนจะหยุดกึก เมื่อสายโคโตะถูกดีดจนขาดสะบั้น
               ภายหลังบานประตูกระดาษที่เขียนลวดลายดอกเบญจมาศสีขาวและทอง เกิดเสียงโครมดังก้อง จากนั้นตามมาด้วยเสียงแตกเปรื่องปร่างและเสียงดังโครมครามอีกชุดใหญ่

               ชินจินอนไม่หลับ
               ชายหนุ่มถูกส่งเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่หลังจากงีบไปนิดหน่อย เขาก็ไม่หลับอีกเลย คงเพราะเรื่องตื่นเต้นเมื่อตอนเย็นทำให้เขาตาสว่าง ไม่มีทีท่าอยากจะนอนหลับต่อ ชายหนุ่มพลิกไปพลิกมาอยู่บนฟูกอีกครู่ใหญ่ก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมานั่ง
ตามเนื้อตัวของชายหนุ่มมีรอยถูกขีดข่วน แต่พอเช็ดเลือดแห้งออกและแต้มยา มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีแผลที่ฉีกลึกจนขนาดต้องเย็บหรืออะไรทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ตื่นตูมกับบาดแผลของเขาไปกันหมด
                โดยเฉพาะเอย์จิ
                คิดมาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มเขิน ๆ กับตัวเอง
                รุ่นพี่ที่แสนใจดีกลายมาเป็นคนสำคัญไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
                แต่ที่รู้ก็คือ เขาไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากจากรุ่นพี่ไปไหน อยากจะอยู่ข้าง ๆ ไปตลอดเลย
                นาฬิกาบอกเวลาดึกเต็มที ป่านนี้คงเข้านอนกันหมดแล้ว ชายหนุ่มตวัดผ้านวมออกจากตัว ตรงไปหยิบชุดสำหรับเปลี่ยนและอุปกรณ์อาบน้ำ เขารู้สึกไม่สบายตัว เมื่อตอนเย็นแค่เช็ดตัวไปเท่านั้น ถ้าได้แช่น้ำร้อนสักหน่อยคงสบายตัวมากขึ้น
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอย่างเบามือ จรดฝีเท้าย่องกริบไปตามทางจนถึงห้องอาบน้ำ
                ข้างในไม่มีคนสมความตั้งใจ อ่างอาบน้ำไม้มีฝาปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เห็นไอร้อนขึ้นเป็นสาย แต่จุดหมายของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาอยากจะออกไปที่บ่อน้ำกลางแจ้งมากกว่า เคยแต่ชะโงกหน้าออกไปดู ยังไม่มีโอกาสได้แช่เลยสักครั้ง
                ชินจิรีบอาบน้ำล้างตัวอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดประตูเลื่อนออกไปยังบ่อด้านนอก
                “ว้าว สวยจังเลย” ชายหนุ่มอุทานเบา ๆ
                นี่มันอย่างกับยุคิมิบุโระหรือบ่อออนเซ็นชมหิมะขนาดย่อม ๆ เลย รอบขอบบ่อเป็นหินก้อนใหญ่ ๆ ด้านหนึ่งเป็นชั้นหินสูงเหมือนผาขนาดย่อม อีกด้านหนึ่งเป็นสวนที่มีดอกไม้ฤดูใบไม้ร่วงกำลังชูช่อ ทั้งดอกคาร์เนชั่นสีชมพู ดอกคิเคียวสีฟ้าอมม่วง ทั้งดอกบานเป็นแฉกห้ากลีบและดอกตูมที่มีรูปทรงเหมือนระฆัง ดอกคุซุที่เป็นสีน้ำเงินตรงยอดไล่มาเป็นสีม่วงที่ฐานดอก ดอกคอสมอสหลากสี ดอกแพนซี่ รวมทั้งดอกเดซี่สีขาว ไกลออกไปเห็นต้นไม้ที่มีแต่กิ่งก้านสีเข้ม นี่ถ้ามีหิมะอีกหน่อยให้พื้นและกิ่งไม้กลายเป็นสีขาวเพราะมีหิมะเกาะก็คงจะสวยจนแทบลืมหายใจ
                 ชินจิมัวแต่ตกตะลึงจนไม่ทันสังเกตว่า มีใครคนหนึ่งแช่น้ำร้อนในบ่ออยู่ก่อนแล้ว

                 “นอนไม่หลับเหรอ”
                 เสียงทักเอื่อย ๆ ทำให้ชินจิตื่นจากภวังค์ทันที
                 “อะ.. เอย์จิซัง” ชายหนุ่มตกใจจนลิ้นแทบพันกัน เมื่อจู่ ๆ ก็เจอรุ่นพี่อย่างไม่ทันตั้งตัว แถมยังเป็นในห้องอาบน้ำอย่างนี้ด้วย
                 ความจริง การแช่น้ำร้อนกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติมาก แต่ไม่ใช่กับรุ่นพี่เอย์จิ ยิ่งเมื่อความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วแบบนี้ด้วย เขายังไม่ได้ทำใจเลยและตอนนี้เขาก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว!
                 ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ต้องก้มมองก็พอเดาได้ว่า ตัวเขาคงจะแดงไปทั้งตัวด้วยความเขินอาย แต่จะวิ่งหนีก็ก้าวขาไม่ออกอีก เขาจึงยืนเหมือนรากงอกอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูก
                 เอย์จิพอจะเข้าใจความรู้สึกของชินจิ ในใจของเขานึกขำและเอ็นดู แต่ก็ไม่แสดงออกมา ชายหนุ่มหันหลังให้อย่างจงใจ เอาแขนพาดขอบบ่อไว้ พลางบอกว่า
                 “อยากแช่น้ำก็ลงมาสิ ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
                 เห็นรุ่นพี่เฉย ๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ชินจิก็ค่อยคลายใจ แต่เขายังลังเลว่าจะลงไปแช่น้ำบ่อเดียวกับเอย์จิดีไหมหรือจะเข้าไปแช่ในบ่อข้างในดี คิดไปคิดมาพร้อมกับชำเลืองมองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังคงเอาแขนพาดขอบอ่างนิ่ง ไม่หันกลับมา ชินจิก็ตัดสินใจได้ เขาเอาผ้าขนหนูผืนเล็กวางไว้บนหัวและค่อย ๆ ยื่นเท้าจุ่มลงไปในน้ำร้อน จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงไปแช่ทั้งตัว โดยรักษาระยะห่างจากรุ่นพี่ของเขาไว้พอสมควร
                  “สบายไหม น้ำร้อนไปรึเปล่า”
                  เอย์จิหันหลังกลับมาถาม
                  “คะ..ครับ สบายมากเลยครับ” ชินจิอึกอักเล็กน้อย หดคอลงอีกนิด หวังให้น้ำร้อนในบ่อที่เป็นสีฟ้าช่วยบดบังเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาไว้ให้พ้นสายตาที่กำลังจ้องตรงมา
                  “ดีแล้ว” เอย์จิพูดแค่นั้น แล้วหลับตาลง เอาหัวพาดกับขอบอ่าง
                  ชินจิยังรู้สึกเก้อกระดากอยู่ แต่ก็ค่อย ๆ ข่มใจ พยายามทำตัวให้เป็นปกติบ้าง แต่ก็ยังมิวายคอยชำเลืองมองเอย์จิอยู่เป็นระยะ ไม่ได้หวาดระแวง แต่เพราะความอายล้วน ๆ
                  บ่อน้ำร้อนอยู่กลางแจ้งทำให้ได้ยินเสียงลมพัดและเสียงใบไม้ต้องลมชัดเจน ตอนแรก ๆ ก็เป็นเสียงดังซู่ซ่าธรรมดา แต่ฟัง ๆ ไปก็ยิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ลมพัดแรงเหมือนช่วงก่อนเกิดพายุ และในสายลมมีเสียงดนตรีดังอยู่อีกแล้ว
                  “เอย์จิซัง” ชินจิผวาเข้าหารุ่นพี่ของเขาด้วยความลืมตัว สีหน้าตื่นตกใจ เพราะครั้งนี้เสียงดนตรีที่ได้ยินผิดแปลกไปกว่าทุกครั้ง มันเป็นเสียงโคโตะ แต่รุนแรงรวดเร็ว กระโชกกระชั้นและกราดเกรี้ยวอย่างน่าขนลุก
                  เอย์จิกางแขนโอบรุ่นน้องของเขาเข้ามากอดแนบอก ลูบหลังเบา ๆ อย่างปลอบประโลม
                  “ไม่มีอะไร ชินจิ เสียงดนตรีจากภูเขามิคามิเหมือนเดิมเท่านั้น”
                  “แต่มันแปลก มันฟังน่ากลัวพิกล” ชินจิพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
                  “ท่านมิโคโตะกำลังโกรธ” เอย์จิบอกเรียบ ๆ หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่ครู่ “ท่วงทำนองแบบนี้คือโคโตะของมังกรขาวมิโคโตะ”
                  “เขาโกรธที่ทำร้ายผมไม่ได้หรือครับ”
                  “ไม่ใช่หรอก นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอสูรคมเคียวตนนั้นช่วยนาย ท่านคาเสะฮายะเป็นอสูรจากฮะคุริว เป็นลูกน้องของมังกรขาว ถ้าท่านมิโคโตะโกรธ ก็น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า”
                  “เรื่องอะไรครับ”
                  “ฉันก็ไม่รู้” เอย์จิส่ายหน้าพลางยิ้มปลอบว่า “แต่ไม่ต้องห่วง เราจะต้องรู้ให้ได้”
                  ชินจิพยักหน้ารับ
                  แล้วหลังจากเรื่องน่ากลัวผ่านไป ชินจิก็นึกได้ทันทีว่าตัวของเขาอยู่ในอ้อมแขนของเอย์จิ ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาเบียดแน่นอยู่กับร่างกายแข็งแกร่งกำยำของรุ่นพี่ หน้าของชายหนุ่มที่แดงเพราะน้ำร้อนอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งแดงก่ำ ชักอึดอัดขัดเขินจนต้องขยับตัวยุกยิก หวังให้รุ่นพี่คลายอ้อมกอด แต่เอย์จิก็ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น
                  “นายกลัวรึเปล่า” เอย์จิถาม
                  “ไม่ครับ”
                  “ไม่กลัวที่จะอยู่กับฉันด้วยใช่ไหม”
                  ชินจิประสานสายตากับรุ่นพี่ของเขา หน้ายังคงแดงอยู่ แล้วชายหนุ่มก็สั่นศีรษะเป็นคำตอบ ก่อนจะก้มหน้างุด
                  เอย์จิอมยิ้ม บรรจงกดริมฝีปากลงไปบนกลุ่มผมสีดำสนิท แล้วเลื่อนไปที่ขมับ ข้างแก้ม ก่อนจะมาถึงที่ริมฝีปาก
                  ชินจิหลับตาแน่น ตัวของเขาเกร็งในทีแรก ก่อนจะเริ่มผ่อนคลายลง และในที่สุดก็สามารถตอบรับสัมผัสอ่อนหวานของเอย์จิได้อย่างเต็มหัวใจ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 16 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-04-2016 16:42:29
ในที่สุดชินจิก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดซะที
เหยเขาจูบกันแล้ววว
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 16 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 01-04-2016 19:10:27
ชินจิได้รู้อะไรกับเขาสักทีน้ออ
แช่น้ำร้อนกอดซบ อร๊ายยย  :mew1: :-[

มังกรขาวโมโหอะไรอ่ะ ?

หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 16 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 20:07:40
บทที่ 17

        เอย์จิลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาขยับ ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กระซิบถามที่ข้างหูว่า
        “ทำไมยังไม่นอน หรือว่าหนาว”
        ศีรษะด้านหลังของชินจิสั่นเบา ๆ แต่ไม่ยอมตอบอะไร เขาจึงพลิกตัวอีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้าด้วย ชินจิในอ้อมกอดของเขายังหน้าแดงอยู่ ยิ่งต้องมองหน้ากันแบบนี้ ชินจิก็ยิ่งหน้าแดงเหมือนมะเขือเทศสุก ๆ
        “เป็นอะไร”
        “ผมรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไปน่ะครับ เอย์จิซังกอดผมไว้แบบนี้ แต่ผมกลัวว่านี่จะเป็นแค่ภาพลวงตา พอพรุ่งนี้เช้าหรือวันต่อ ๆ ไป เอย์จิซังจะไม่กอดผมอีก”
        สายตาของชายหนุ่มหวั่นไหว ไม่แน่ใจ และเป็นกังวล
        “คุณจะคิดว่าผมงี่เง่าเหลวไหลเกินไปรึเปล่า ถ้าผมจะขอร้องให้คุณกอดผมแบบนี้อีก”
        เอย์จิจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มรุ่นน้องพร้อมกับใช้สองมือประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ บังคับให้รุ่นน้องต้องสบตาด้วย
        “ลืมเรื่องในอดีตไปให้หมด ชินจิ แล้วฟังฉัน”
        ชินจิสบตากับรุ่นพี่ของเขา ในดวงตาของเอย์จิมีความมั่นคงและจริงใจ น้ำเสียงก็เช่นกัน ทุกคำที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
        “คำขอของนายไม่เหลวไหล นายอยากจะพูดหรือขออะไรฉันก็ได้ เราจะคุยกัน เราจะเข้าใจกัน”
        ชินจิรู้สึกว่าน้ำตาของเขารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจ และนั่นไม่พ้นสายตาของเอย์จิไปได้ รุ่นพี่จูบซับน้ำตาให้อีกครั้ง แล้วกอดเขาแน่นดังเดิม
        “ฉันจะกอดนายอย่างนี้โดยที่นายไม่จำเป็นต้องขอร้องฉัน ฉันจะกอดนายตลอดไปเลย”
        หัวใจของชินจิพองฟู อ้อมกอดของเอย์จิคือของจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาที่ปีศาจตนใดสร้างขึ้นมา ทุกครั้งที่เขาลืมตาขึ้น เขาก็ยังอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นแข็งแกร่งของรุ่นพี่เสมอ
        “คืนนี้นายจะไม่นอนเลยจริง ๆ สินะ” เอย์จิพูดกลั้วหัวเราะ
        “ผมขอโทษ แต่ผมไม่ง่วงเลยจริง ๆ”
        “ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง” เอย์จิพูด เลื่อนตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงพนักหัวเตียง ก่อนจะดึงตัวชินจิเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้งพร้อมกับดึงผ้านวมให้คลี่คลุมตัวช่วงล่างของคนในอ้อมแขนไว้
         ศีรษะของชินจิเอนพิงอกกว้างของรุ่นพี่ด้วยความไว้วางใจพลางมองไปรอบ ๆ
         ห้องนอนของเอย์จิเปิดไฟสลัว แต่ก็พอมองเห็นอะไร ๆ ได้อย่างชัดเจน เขาเคยเข้าไปในห้องของเอย์จิที่หอพักถนนมอลวิทซ์หลายครั้ง ห้องที่นั่นมีของเต็มไปหมด แต่ก็เก็บเป็นระเบียบ ชั้นหนังสือมีหนังสือใส่อยู่เต็ม บนโต๊ะทำงานเท่านั้นที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงกว่าทุกที่เพราะเต็มไปด้วยกองกระดาษและหนังสือที่เปิดค้างวางสุม ๆ กันเอาไว้ แต่โดยรวมก็เป็นห้องที่มีชีวิตชีวา แตกต่างจากห้องนี้ราวฟ้ากับดิน
         ห้องของเอย์จิที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลย มีแค่เตียงเตี้ย ๆ ตัวเดียววางอยู่กลางห้อง โต๊ะเล็ก ๆ ที่หัวเตียง โคมไฟอันใหญ่วางอยู่บนพื้นเสื่อตาตามิ ริมผนังด้านหนึ่งตั้งชั้นหนังสือกับโต๊ะทำงาน แต่มันว่างเปล่า แทบจะไม่มีหนังสือหรืออะไรวางไว้เลย
         “ฉันกลับมาที่นี่นาน ๆ ครั้ง ห้องก็เลยว่างแบบนี้แหละ ส่วนใหญ่ฉันอยู่อพาร์ตเม้นท์ที่โตเกียว” เอย์จิพูดเหมือนเดาใจชายหนุ่มได้
         “ภาพนั้นเป็นภาพอะไรเหรอครับ” ชินจิชี้ไปที่ภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ใส่กรอบอย่างเรียบร้อย แต่แค่วางพิงผนังเอาไว้เฉย ๆ
         “คิตสึเนะโนะโยเมอิริ” เอย์จิตอบ “การแต่งงานของหมาจิ้งจอก”
         “ผมเคยอ่านหนังสือเจอ เขาบอกว่า ถ้าวันไหนที่ฝนตกตอนที่ยังมีแดด แสดงว่าหมาจิ้งจอกกำลังจะแต่งงานกัน”
         “โอคินะซังชอบเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้พวกเราฟังบ่อย ๆ จิ้งจอกเก้าหาง คิวบิโนะคิตสึเนะ พญางูใหญ่ยามาตะ ยามาตะโนะโอโรจิ วิญญาณในทะเลอายาคาชิ หรือ โยไคชินคิโร ภาพลวงตาของปีศาจ อย่างที่คนโบราณเขาเชื่อกันว่า ลมหายใจของหอยกาบสามารถสร้างปราสาทบนทะเลได้”
          เอย์จิเล่า
          “ฉันชอบฟังเรื่องพวกนี้ ขณะที่คนอื่นเห็นว่ามันน่าเบื่อหน่าย อาจจะเพราะพวกนั้นสามารถเห็นภูตผีวิญญาณได้ มีฉันคนเดียวแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่รู้สึกได้ว่ามันมีอยู่เท่านั้น และพอไม่เห็นด้วยตา จินตนาการก็เลยเกิดขึ้นมาแทน ฉันวาดรูปตามเรื่องที่โอคินะซังเล่า คิดเอาเองว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันหลงใหลเรื่องราวที่ฉันมองไม่เห็น จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่องในภูเขานั่นแหละ ฉันก็ทำลายภาพที่เคยวาดเอาไว้ทิ้งไปจนหมด เหลือภาพนี้อยู่ภาพเดียวที่ท่านแม่เก็บเอาไว้ทัน แล้วท่านก็เอาไปใส่กรอบเก็บไว้ให้”
           ชินจิมองภาพในกรอบอย่างพิจารณามากขึ้น ฝีมือของเอย์จิไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นฝีมือของเด็ก สามารถวาดภาพสุนัขจิ้งจอกใส่ชุดกิโมโนถือโคมไฟสีแดงเดินกันเป็นขบวน มีคนแบกเกี้ยว ผู้ติดตาม คนเดินเท้า ครบทุกตำแหน่งในขบวนแต่งงาน แสดงให้เห็นว่า เขาต้องใส่ใจและตั้งใจวาดมากจริง ๆ
           “แล้วท่านแม่ของเอย์จิซังล่ะครับ ท่านมิซากิชอบเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังรึเปล่า”
           “ท่านแม่เหรอ ตรงกันข้ามเลย ท่านเล่านิทานฝรั่ง ฉันรู้จักซานตาคลอสขี่เลื่อนเทียมกวางเรนเดียร์ รู้จักอัสลันกับนาร์เนีย มาเธอร์กู๊ซ ยานอช เมอร์ลิน เจ้าชายน้อย มูมิน ก็จากท่านทั้งนั้น” เมื่อพูดถึงตอนนี้ นัยน์ตาของเอย์จิหม่นลงเล็กน้อยแต่ก็ระคนไปด้วยความรัก
           “ท่านแม่อยากให้ฉันรู้ว่า ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในโลกกว้างภายนอกหมู่บ้าน”
           ชินจินึกถึงใบหน้าหวานสวยของมารดาของเอย์จิที่เคยเห็นในรูปที่วางอยู่ในตู้บุตสึดัน ท่านมิซากิคงต้องพยายามอย่างมากในการเลี้ยงลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเกิดปมด้อยหรือมีปัญหาในขณะที่ทั้งสองคนมีความแตกต่างกันมากถึงขนาดนี้
            “เอย์จิซังครับ”
            “หือม์”
            “เล่าเรื่องท่านมิซากิให้ผมฟังบ้างได้ไหม”
            “ท่านแม่ของฉันเป็นคนสวยมาก สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น” เอย์จิเริ่มเล่า สายตาของเขาเหม่อมองไปไกล พร้อม ๆ กับที่ภาพความทรงจำอันล้ำค่าต่าง ๆ ผุดขึ้นมา
            ชินจิหลับตาลงพลางนึกภาพตามเสียงทุ้มนุ่มนวลของรุ่นพี่ที่ดังอยู่เหนือศีรษะ

            เด็กชายอายุราวสิบขวบใส่ชุดยูกาตะสีม่วงอมแดงเข้มนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ใบหน้าของเขางอง้ำ บนพวงแก้มยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เด็กชายใช้ชายแขนเสื้อยูกาตะเช็ดหน้าตัวเองแรง ๆ พยายามแสดงความเข้มแข็งแต่ก็ทำได้ยากเต็มที น้ำตาไหลออกมาอีก เขาก็ยกแขนขึ้นเช็ดอีก ตั้งใจว่าถ้ามันยังไหลอยู่อีก เขาก็จะเช็ดต่อไปเรื่อย ๆ
             “เอย์จิ” เสียงอ่อนโยนเรียกชื่อเขาพร้อมกับที่เจ้าของเสียงทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหินกรวดข้าง ๆ
             “ท่านแม่”
             “ถูกท่านพ่อดุมาอีกแล้วใช่ไหม”
             เด็กชายพยักหน้า ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยท่าทางคับแค้นใจ
             “ท่านพ่อไม่รักผม ทุกคนสนใจแต่เออิจิโร่ เพราะเขามีพลัง ไม่อ่อนแอเหมือนผม”
             “ที่ว่าทุกคนสนใจแต่เออิจิโร่น่ะ รวมแม่ด้วยรึเปล่า”
             เด็กชายรีบส่ายหน้าแรง ๆ น้ำตาไหลเอ่อขึ้นมาอีกจนเขาต้องรีบเช็ดเพราะไม่อยากให้ท่านแม่เห็น แต่ท่านแม่ก็เห็นจนได้ เธอจับมือของเขาออกอย่างนุ่มนวลพลางบอกอย่างอ่อนโยนว่า
             “ถ้าลูกเสียใจ ลูกจะร้องไห้ก็ได้ การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ แต่เป็นการระบายอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดา การที่ลูกร้องไห้ แสดงว่าลูกมีหัวใจ หัวใจที่สามารถรู้สึกได้และเมื่อเรารู้สึก เราก็จะสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ด้วย แม่คิดว่านี่แหละคือพลังและความเข้มแข็งของลูก เมื่อลูกรักเป็น ลูกก็ย่อมจะได้รับความรักตอบแทน”
              “แม้แต่กับท่านพ่อหรือครับ”
              “จ้ะ แม้แต่กับท่านพ่อ” มิซากิยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลูบศีรษะลูกชายคนเล็กอย่างรักใคร่ “จำไว้นะ เอย์จิ ไม่ว่าใครจะแสดงท่าทางเย็นชาหรือเข้มงวดกับลูกยังไง แม่ไม่อยากให้ลูกเคียดแค้นเกลียดชังหรือรู้สึกอะไรที่จะทำให้หัวใจอันบริสุทธิ์ของลูกแม่ต้องมัวหมอง สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราคือหัวใจ เชื่อแม่นะลูก หัวใจจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้นเองโดยไม่ต้องมีพลังปัดรังควานก็ได้”
               “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
               มารดายิ้มอีก แล้วถามว่า
               “ใครฆ่าเจ้านกโรบิน?”
               เอย์จิขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมต่อเนื้อเพลงเด็กของอังกฤษซึ่งจำได้จนขึ้นใจจากการร้องกับท่านแม่บ่อย ๆ
               “นกกระจอกตอบว่าฉันเอง
               ด้วยธนูและดอกศรอันเล็ก ๆ ของฉัน
               ฉันฆ่าเจ้านกโรบิน”

               “ใครเล่าเป็นคนเห็นเขาตาย
               แมลงวันตอบว่าฉันเอง
               ด้วยนัยน์ตาคู่เล็ก ๆ ของฉัน
               ฉันเห็นเขาตาย”

               “ใครเป็นคนรองรับหยาดเลือดเอาไว้ได้เล่า
               ปลาตอบว่าฉันเอง
               ด้วยจานใบเล็ก ๆ ของฉัน
               ฉันรองเลือดของเขาเอาไว้”

               “ใครกันจะเป็นคนเย็บผ้าห่อศพให้เขา
              ตัวด้วงบอกว่าฉันเอง
              ด้วยด้ายและเข็มของฉัน
              ฉันจะเย็บผ้าห่อศพให้เขา”

              “ใครจะเป็นคนถือคบไฟล่ะ
              นกลีนเน็ตบอกว่าฉันเอง
              ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ
              ฉันจะเป็นคนถือคบไฟ”

              “แล้วใครจะเป็นแม่งานดี
              นกจาบฝนตอบว่าฉันเอง
              ถ้าหากยังไม่มืดค่ำแล้วล่ะก็
              ฉันจะเป็นแม่งานเอง”

              “ใครจะขุดหลุมฝังศพให้เขา
              นกฮูกตอบว่าฉันเอง
              ด้วยเสียมและพลั่วของฉัน
              ฉันจะขุดหลุมฝังศพของเขา”

              “ใครเป็นบาทหลวงดีล่ะ
              นกกาตอบว่าฉันเอง
              ด้วยพระคัมภีร์เล่มเล็กของฉัน
              ฉันจะเป็นบาทหลวงให้เอง”

              “แล้วใครจะนำกล่าวไว้อาลัย
              นกพิราบบอกว่าฉันเอง
              ฉันจะไว้อาลัยแด่เพื่อนรัก
              ฉันจะเป็นคนนำกล่าวให้เอง”

              “ใครจะร้องเพลงสวดรู้ไหม
              นกเดินดงร้องตอบจากในพุ่มไม้
              ว่าฉันเอง 
              ฉันจะร้องเพลงสวดให้”

              “งั้นใครจะแบกโลงศพ
              นกเหยี่ยวตอบว่าฉันเอง
              หากไม่ใช่ในยามราตรีแล้วไซร้
              ฉันจะแบกโลงศพให้เอง”

              “ใครจะสั่นระฆังให้เล่าทีนี้
              วัวกระทิงตอบว่าฉันเอง
              เพราะฉันลากไถได้ง่ายดาย
              ฉันจะเป็นคนสั่นระฆังเอง”

              “วิหคทั้งมวลพากันคร่ำครวญหวนไห้
              เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน
              แสดงการจากไปของเจ้านกโรบินผู้แสนดี”

              หลังจบบทเพลงเด็กที่ร้องด้วยกัน มิซากิก็ยิ้มให้ลูกชาย พูดว่า
              “เห็นไหมล่ะจ๊ะ นกโรบินผู้แสนดี มีแต่คนรัก เมื่อจากไปก็มีแต่คนระลึกถึงและช่วยกันจัดงานศพให้อย่างดี”
              แต่เอย์จิฟังแล้วขมวดคิ้ว
              “แล้วนกกระจอกล่ะครับ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย นกกระจอกฆ่านกโรบินแท้ ๆ”
              “เพลงไม่ได้พูดถึงเพราะเรารู้กันอยู่แล้วไงจ๊ะ ใครทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ผู้ที่ทำผิด เป็นคนไม่ดีจะไม่ได้รับการจดจำ มีแต่คนดีอย่างนกโรบินเท่านั้นล่ะจ้ะที่จะมีแต่คนพูดถึง”
              มิซากิมองลูกชายคนเล็ก ถามว่า
              “เอย์จิอยากเป็นนกโรบินหรือนกกระจอกล่ะจ๊ะ”
              “ผมอยากเป็นนกโรบิน ผมอยากให้มีคนรักผม โดยเฉพาะท่านแม่” เด็กหนุ่มตอบ
              “แม่รักลูกอยู่แล้ว พ่อนกโรบินแสนดีของแม่” มิซากิกอดลูกชายแนบอก “งั้นพ่อคนเก่ง เลิกเสียใจได้แล้วนะ มาช่วยแม่ที่เรียวกังดีกว่า แม่จะสอนลูกชงชากับทำขนม แล้วถ้าลูกทำได้ดีนะ คลาสชงชาครั้งหน้า แม่จะให้ลูกเป็นคุณครูสอนเองเลย ดีไหมจ๊ะ”
              “ครับท่านแม่” เด็กชายกอดมารดาแน่น สีหน้าของเขามีความสุขขึ้นกว่าเมื่อสักครู่นี้มาก
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 16 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-04-2016 20:15:24
             “ผมเคยได้ยินแต่เพลงมาเธอร์กู๊ซ ไม่เคยได้ยินเพลงนี้เลย” ชินจิพึมพำ
        “เพลง ‘ใครฆ่าเจ้านกโรบิน’ ก็เหมือนกับมาเธอร์กู๊ซ เป็นเพลงเด็กของอังกฤษ รวมอยู่ในหนังสือ Classic Nursery Rhymes of England เพลงอื่น ๆ ก็อย่าง three blind mice เจ้าหนูตาบอดสามตัว นายต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว”
        “นั่นก็ใช่เหรอครับ ไม่รู้มาก่อนเลย” ชินจิอุทาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชม “ท่านมิซากินี่เก่งจังนะครับ จะมีผู้หญิงที่ไหนสนใจเพลงหรือเทพนิยายตะวันตกอย่างนี้บ้าง”
        “ท่านแม่เรียนจบคณะเดียวกับนายนั่นแหละ ก่อนจะแต่งงานกับท่านพ่อแล้วมาเป็นโอะคะมิซังอยู่ที่นี่”
        “มิน่า ท่านถึงมีความรู้ดีขนาดนี้” ชินจิถึงบางอ้อ
        “ส่วนท่านพ่อน่ะเรียนมาทางด้านศาสนาอย่างเดียวเลย เพื่อเป็นพระและผู้ดูแลศาลเจ้า สืบทอดตระกูลต่อไป ท่านก็เลยค่อนข้างเคร่งครัดและเจ้าระเบียบ ไม่ค่อยยืดหยุ่น ไม่มีจิตวิทยาอย่างท่านแม่ ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ และความสามารถในการปัดรังควานถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับความคงอยู่ของตระกูลของเรา” เอย์จิเล่า
         “ฟังดูแตกต่างกันจังเลย ท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณอยู่ด้วยกันได้ยังไงเนี่ย” ชินจิอดแสดงความแปลกใจออกมาไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าอาจจะเป็นคำถามที่ไม่สมควรนักแต่เขาก็อยากรู้จริง ๆ
         “อยู่ได้สิ เพราะท่านพ่อรักท่านแม่มาก” เอย์จิตอบยิ้ม ๆ “ท่านแม่เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ช่างพูด ช่างเย้าแหย่ บางทีก็สร้างเรื่องให้ทุกคนหัวปั่น อย่างเช่นวันหนึ่ง จู่ ๆ ก็จัดบ้านให้เป็นแบบร่วมสมัยแทนแบบญี่ปุ่นที่เก่าทึบทึม คนเฒ่าคนแก่ที่นี่อ้าปากค้างกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครขัดได้ ท่านพ่อก็ขัดไม่ได้ การเลี้ยงลูกก็เหมือนกัน ท่านแม่ไม่ขัดที่ท่านพ่อจะเข้มงวดกับเออิจิโร่ แต่การเลี้ยงดูฉัน ท่านต้องมีสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว เพราะท่านคาดเอาไว้แล้วว่า ฉันจะโตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหาอย่างแน่นอน”
        “ซึ่งก็เป็นจริง ๆ”
        เอย์จิพยักหน้า
        “จะไม่เป็นได้ไงล่ะ โตมาเหมือนหมาหัวเน่าไม่มีผิด ใคร ๆ ก็พะนอแต่เออิจิโร่ ว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปทั้งนั้น มีท่านแม่คนเดียวที่เอาใจใส่ดูแลฉันอย่างใกล้ชิด ปลูกฝังให้ฉันเห็นค่าสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่มีวันมีได้ สอนให้ฉันยอมรับความจริงของโลกใบนี้ให้ได้แม้ว่าจะยากแค่ไหน แม้จะรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมยังไงก็ตาม ท่านแม่ยังคอยย้ำเตือนให้ฉันตระหนักถึงคำว่า หัวใจรักที่บริสุทธิ์”
         เอย์จิกระชับวงแขนของเขาแน่นขึ้นอีกนิด คางเกยอยู่ที่ไหล่ของชินจิ
         “อย่างเพลงใครฆ่าเจ้านกโรบินนั่นยังไง โตขึ้นถึงรู้ว่ามันมีความนัยแฝงเกินกว่าจะเป็นแค่เพลงเด็กธรรมดา ตีความกันไปหลายแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวเสียดสีสังคม คนดีต้องตาย ส่วนคนที่เป็นฆาตกรกลับลอยนวล ไม่มีใครพูดถึงความผิดของเจ้านกกระจอกสักนิด ท่านแม่ก็คงอยากให้ฉันรู้ โลกนี้มันไม่ยุติธรรมหรอก แต่เราก็ต้องอยู่ ทีนี้เราจะอยู่อย่างนกโรบินหรือนกกระจอกล่ะ”
          “คุณเลือกนกโรบิน”
          เอย์จิพยักหน้า แต่ก็เสริมด้วยว่า
          “เมื่อก่อนก็อยากเป็นนกกระจอก เคยเอาธนูยิงลูกนกตายเพราะแค่อยากจะยิงเล่น ๆ ท่านแม่ไม่ดุด่าฉันสักคำ แต่ให้ฉันเย็บผ้าห่อศพลูกนกแล้วขุดหลุมฝัง ทำป้ายสุสานให้มันด้วย ตลอดเวลาท่านแม่ร้องไห้ บอกว่าท่านสงสารมัน สงสารแม่นกด้วย ป่านนี้แม่นกคงเป็นห่วงและบินตามหาลูกมันจนเหนื่อย แม่นกคงกำลังร้องไห้เหมือนที่ท่านร้องไห้ตอนนี้ และท่านก็บอกว่าถ้ามีคนฆ่าฉันหรือเออิจิโร่บ้าง ท่านก็คงร้องไห้จนใจสลายตายตามไปอีกคน ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เลยไม่คิดอยากเป็นนกกระจอกอีก ถ้าการกระทำของฉันทำให้ท่านแม่ต้องร้องไห้อีก ก็ให้ฉันตายเสียดีกว่า”
          ชินจิหันหลังมากอดตอบเมื่อรู้สึกว่าร่างของเอย์จิที่โอบเขาอยู่สั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ ท่านมิซากิเสียชีวิตไปแล้ว สำหรับรุ่นพี่ของเขา คงเหมือนมีใครมาควักหัวใจไปทั้งดวง
          “ถ้าตอนนี้ท่านมิซากิยังอยู่ ท่านต้องภูมิใจในตัวเอย์จิซังแน่ ๆ ครับ คุณทำได้เหมือนที่ท่านแม่หวังเอาไว้ทุกอย่างเลยนี่นา”
          “ไม่ทุกอย่างหรอก ฉันยังน้อยใจและเสียใจท่านพ่ออยู่ บางครั้งก็ยังอิจฉาและโมโหเออิจิโร่”
          “มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ ในเมื่อเรามีหัวใจที่สามารถรู้สึกได้มากมายหลากหลายนี่นา คนที่ไม่รู้สึกอะไรต่างหากที่น่ากลัวและไม่ปกติแล้ว”
          เอย์จิยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำพูดที่เข้าข้างเขาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่เขาก็พอใจที่ได้ยินอย่างนั้น
          “ตอนนี้ฉันไม่มีท่านแม่แล้ว ฉันไม่มีใครเลย ชินจิ นายจะยังอยู่กับฉันใช่ไหม”
          “ผมจะอยู่กับคุณ” ชินจิสบตากับรุ่นพี่ของเขา ประโยคที่เอ่ยออกมาเป็นดั่งคำปฏิญาณจากหัวใจ 
               “ผมจะปกป้องคุณแทนท่านมิซากิเอง”

                                                               ...................

               “เอย์ ~ จิ ~ คุง ~”
               เสียงแปลก ๆ ดังอยู่หน้าประตูห้อง เป็นเสียงเรียกชื่อที่ฟังยานคางจนน่าหงุดหงิด และมันดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะหยุด
               ชินจิตื่นขึ้นเพราะเสียงประหลาดนี้เช่นกัน เขายกมือขึ้นขยี้ตา งัวเงียถามว่า
               “เสียงอะไรหรือครับ”
               เอย์จิตื่นก่อนรุ่นน้องและนั่งฟังมาครู่ใหญ่แล้ว ชายหนุ่มทำหน้าเมื่อย ตอบเซ็ง ๆ ว่า
               “โซเดฮีกิโคะโซ ล่ะมั้ง ไอ้พวกปีศาจดึงแขนเสื้อน่ะ ถ้าเราทำเป็นไม่สนใจ มันก็จะยิ่งแกล้งเรามากขึ้น เป็นพวกตัวยุ่ง ชอบก่อกวนผู้คน ทำให้รำคาญจนอยากจะบีบคอให้ตาย”
               ตอนแรกชินจิฟังแล้วงง จะเป็นปีศาจดึงแขนเสื้อไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้เอย์จิไม่ได้ใส่เสื้ออยู่สักหน่อย แต่พอหายงัวเงีย เห็นท่าทางเข่นเขี้ยวกับลมกับแล้งของเอย์จิ แล้วได้ตั้งใจฟังดี ๆ อีกครั้ง ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา
               “ถ้าไม่ยอมเปิดประตูให้ เห็นทีเขาจะไม่หยุดนะครับ”
               “สักวันเถอะ ฉันจะเอาธนูปัดรังควานยิงกรอกปากมันซะให้เข็ด ไอ้ปีศาจ” เอย์จิลุกขึ้นจากเตียง ก้มลงหยิบชุดยูกาตะที่กองอยู่บนพื้นมาใส่ลวก ๆ
               “ผมว่าผมออกไปก่อนดีกว่าครับ” ชินจิลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า ตั้งใจจะเปิดประตูระเบียงข้ามสวนกลับไปยังห้องของตัวเอง แต่เอย์จิหันขวับมามองหน้า คิ้วขมวด ดุว่า
               “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว นายทำอะไรผิดถึงต้องหลบหน้า ไอ้หมอนั่นมันมากวนประสาทแต่เช้าก็เพราะอยากเห็นนายอยู่ในห้องฉัน ฉันก็จะให้มันได้เห็น”
               “แต่คนอื่น ๆ ล่ะครับจะคิดยังไง ท่านมาซาฮารุ โอคินะซัง ทุกคน” ชินจิเป็นกังวล
               “ฉันไม่ใช่เออิจิโร่ ไม่มีใครสนใจเรื่องของฉันหรอกว่าฉันจะทำอะไร จะคบใคร จะรักใคร” เอย์จิจ้องด้วยสายตาวาววับจนคนถูกจ้องต้องหลบตาด้วยความขัดเขิน
               “แต่ถ้านายเปลี่ยนใจไปคบกับเออิจิโร่ล่ะก็ นายมีปัญหากับพ่อฉันแน่นอน”
               ประโยคท้ายของรุ่นพี่ทำเอาชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโวยทันที
               “เอย์จิซัง!”
               คนแกล้งจึงต้องขอโทษด้วยการก้มลงไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนจะเดินฉับ ๆ ผ่านชั้นหนังสือไปที่ประตูห้องนอน เสียงยานคางยังคงดังไม่หยุด และมันน่ารำคาญอย่างเหลือแสน
               เอย์จิกระชากประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมกับฟาดพัดกระดาษที่คว้าติดมือมาด้วยจากชั้นหนังสือลงไปบนหัวของคนที่ยืนอยู่หลังประตูดังป้าบ!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-04-2016 01:08:24
คนเขียนอัพไวมาก ตามอ่านไม่ทันซะที

จะบอกว่าสนุกมาก เป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราขอบอ่านตอนเด็กๆเลย

แต่อันนี้ลุ้นและตื่นเต้นกว่า :katai4:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 02-04-2016 01:22:31
อ่านตอนนี้ละสงสารเอย์จิ ถ้าไม่มีท่านแม่ก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไ่ม่มีค่าเลยสินะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 05:15:55
คนเขียนอัพไวมาก ตามอ่านไม่ทันซะที

จะบอกว่าสนุกมาก เป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราขอบอ่านตอนเด็กๆเลย

แต่อันนี้ลุ้นและตื่นเต้นกว่า :katai4:

เขียนจบแล้วค่ะก็เลยลงได้เร็วหน่อย ถ้ายังเขียนไม่จบก็จะไม่มาลงออนไลน์ค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะทยอยลงรอดูฟีดแบ็กเรื่อย ๆ แต่เห็นยอดวิวแล้วก็เอ่อ... งั้นลงไปให้จบเลยก็แล้วกัน มันคงไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ  o22

ขอบคุณนะคะที่บอกว่าสนุก
เพราะก็กังวลอยู่ว่าแฟนตาซีญี่ปุ่นกับสไตล์แบบเรามันจะโอเคไหม
หรือกลับไปติสต์แตกแบบเดิมอะดีละ  :jul3:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 09:54:53
บทที่ 18

        “โอ๊ย นายตีหัวฉันทำไมเนี่ย” เออิจิโร่ร้องลั่น เอามือลูบหัวตัวเองป้อย ๆ “เรารึอุตส่าห์หวังดีมาปลุกไปซ้อมเช้า กลั๊วกลัวว่านายจะหมดแรง ตื่นไม่ไหว”
        คนฟังกลอกตากับเหตุผลแบบฟังดูดี๊ดีเหลือเกินนั่น เห็นท่าทางกระดี๊กระด๊าขนาดนั้นก็รู้แล้ว อย่าลืมว่าเขากับหมอนั่นเป็นฝาแฝดกัน แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว
        และนั่น ผิดคำเสียที่ไหน พี่ชายตัวแสบของเขาชะเง้อชะแง้ข้ามไหล่เขามองไปที่ชินจิที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างเตียง แล้วยังแกล้งโบกไม้โบกมือทักทาย
        “อรุณสวัสดิ์ชินจิคุง เมื่อคืนนอนหลับไหม มีอะไรหรือใครกวนรึเปล่า”
        “ออกไปเลย ไอ้พี่บ้า พูดมากจริง ๆ” เอย์จิหมดความอดทน ผลักร่างใหญ่ ๆ เหมือนยักษ์ปักหลั่นให้ถอยห่างออกไป แล้วกระชากประตูเลื่อนปิดใส่หน้า
        “เจอกันที่โรงฝึกน้า~ น้องชายสุดที่ร้าก~”
        เสียงกวนประสาทยังดังทะลุประตูกระดาษเข้ามาเป็นการส่งท้าย เอย์จิกัดกรามกรอด บ่นพึม
        “ไอ้พี่บ้า”
        “คุณสองคนเป็นพี่น้องที่สนิทกันดีนะครับ” ชินจิเปรย
        แต่เอย์จิกลับยักไหล่
        “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ได้ชอบเออิจิโร่นักหรอก ทั้งอิจฉา ทั้งเกลียด เมื่อก่อนทะเลาะกันบ่อย ชกกันแทบจะทุกวัน”
        “แต่คุณไม่ได้เกลียดเขาจริง ๆ หรอก” ชินจิพูดอย่างมั่นใจ
        “ก็ท่านแม่อีกนั่นแหละ ท่านไม่เคยห้ามเวลาเราชกต่อยกัน ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งด้วย อยากต่อยกันก็ต่อย แต่ห้ามใช้ตัวช่วยอะไรทั้งนั้น ต้องใช้แค่กำลังของตัวเอง ต่อยกันให้พอใจก่อนแล้วเปิดอกเคลียร์กันให้จบลงตรงนั้น ท่านแม่จะเป็นกรรมการ จากนั้นท่านก็จะสอน ท่านไม่พูดว่าใครผิดใครถูก แต่จะชี้ให้เห็นผลที่ตามมา แล้วให้เราคิดเอาเองว่าเราอยากให้เป็นอย่างนั้นรึเปล่า”
        “ส่วนใหญ่ใครชนะครับ”
        “เออิจิโร่” เอย์จิตอบอย่างธรรมดาที่สุด “หมอนั่นเก่งทุกอย่าง เคนโด้ คิวโด คาราเต้ ศิลปะการต่อสู้ทุกอย่างแหละ ท่านพ่อกับโอคินะซังเคี่ยวหนักตั้งแต่เด็ก ฉันชกต่อยไม่เก่งเท่าหมอนั่นหรอก”
        “แหม อย่างนี้ไม่น่าจะยุติธรรมนะครับ” ชินจิอดบ่นแทนไม่ได้
        “มีบางครั้งเหมือนกันที่ฉันชนะ แต่เพราะหมอนั่นมันแกล้งแพ้ คือมันรู้ว่าเรื่องที่ทะเลาะกันน่ะมันเป็นฝ่ายผิด แต่เออิจิโร่เป็นพวกอีโก้สูงทะลุเพดาน ไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษใครง่าย ๆ มันก็เลยใช้วิธียอมแพ้ ไม่สู้ ปล่อยให้ฉันชนะ เพื่อแทนคำขอโทษ”
        “แล้วคุณโอเคหรือครับ”
        “แน่น้อน” เอย์จิตอบเสียงสูง “ฉันก็อาศัยโอกาสนั้นแหละชกหน้ามันจนหนำใจ โอ๊ย มีความสุขสุด ๆ”
        แววตาของรุ่นพี่ของเขาพราวด้วยความขบขัน ทำให้ดูคล้าย ๆ กับเอย์จิคนที่ชินจิรู้จักที่เยอรมนี ชายหนุ่มอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ฝาแฝดก็คือฝาแฝดอยู่ดีนั่นแหละ เออิจิโร่กับเอย์จิก็ไม่ได้แตกต่างกันไปเสียทั้งหมด
        “ถ้าท่านมิซากิได้เห็นพวกคุณอยู่ด้วยกันแบบนี้ ท่านคงมีความสุขมากเลยนะครับ” ชินจิปรารภด้วยรอยยิ้มสดใส

        ในโรงฝึกช่วงเช้านี้ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีชินจิอยู่ด้วย เอย์จิเป็นคนพาชายหนุ่มรุ่นน้องมาเพราะปฏิเสธคำขอร้องไม่ได้ เขานึกว่าชินจิอยากจะมาดูเฉย ๆ แต่การณ์กลับเป็นว่า เมื่อโอคินะซังกับท่านพ่อของเขาเดินเข้ามาในโรงฝึก ชินจิก็ปราดเข้าไปก้มหัวขอร้อง เสียงดังฟังชัด
        “กรุณาสอนผมยิงธนูปัดรังควานด้วยเถอะครับ!”
        เอย์จิตาเหลือก ไม่คิดว่าคนที่ท่าทางเรียบร้อยอย่างชินจิจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ แถมยังกล้าขอร้องท่านพ่อของเขาโดยตรง มันจะกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว
        “เธอไม่ใช่คนของศาลเจ้า” มาซาฮารุพูดห้วน ๆ มือทั้งสองยกขึ้นกอดอก ดวงตาที่จ้องรุ่นน้องของลูกชายทั้งคมทั้งดุ
        “ผมขอร้องล่ะครับ ผมอยากป้องกันตัวเองได้ กรุณาสอนผมเถอะนะครับ”
        ชายหนุ่มไม่หวั่นกับดวงตาและน้ำเสียงเย็นชาแบบไร้เยื่อใยของเจ้าบ้านคนปัจจุบัน แม้ว่าจะแอบกลืนน้ำลายลงคอไปเอื้อกใหญ่ตอนที่ได้ยินคำปฏิเสธก็ตาม
        “ศรปัดรังควานไม่ใช่ของเล่นที่จะให้ใครยิงซี้ซั้วได้ มิโกะหรือกงเนงิบางคนยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ แล้วเธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” เจ้าบ้านสูงวัยมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูหมิ่น “อย่าสำคัญตัวเองผิดไปนัก”
        “ผมรู้ว่าผมเป็นคนธรรมดา แต่ผมอยากฝึกจริง ๆ กรุณาด้วยเถอะครับ ให้โอกาสผมสักครั้ง”
        ชินจิไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะกล้าขนาดนี้ แต่เขากำลัง ‘ตื๊อ’ ท่านมาซาฮารุผู้น่าเกรงขามและน่ากลัวอย่างสุด ๆ แล้วในเมื่อพูดยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว ชายหนุ่มจึงคุกเข่าลงก้มหัวจรดพื้น
        “ขอความกรุณาด้วยเถอะครับ”
        เออิจิโร่เป่าปากหวือทีเดียว สายตาเต้นพราวด้วยความสนุก แต่คู่หมั้นสาวของเขาไม่สนุกไปด้วยและไม่ได้ชื่นชมความกล้าหาญของชินจิแม้แต่น้อย รุกะเชิดหน้าขึ้นด้วยความรำคาญความดื้อด้านของชายหนุ่มและหวังว่ามาซาฮารุจะไล่ตะเพิดชินจิไปให้พ้นจากโรงฝึกในวินาทีใดวินาทีหนึ่งถัดจากนี้
        เอย์จิทนไม่ไหว ตรงเข้ามาดึงแขนชินจิให้ลุกขึ้นยืน เอ็ดเบา ๆ ว่า
        “อย่าทำแบบนี้”
        “แต่ผมอยากป้องกันตัวเองจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้จริง ๆ นะครับเอย์จิซัง ผมไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนดูแลผม ผมจะดูแลตัวเองให้เต็มที่ อีกอย่างนึง...” ชายหนุ่มมองสบตากับรุ่นพี่ของเขา “ผมอยากช่วยคุณ อยากปกป้องคุณให้ได้”
        “เฮอะ นี่แกอ่อนแอขนาดต้องให้เด็กรุ่นน้องปกป้องแล้วยังงั้นรึ เอย์จิ”
        ชินจิหันขวับไปประจันหน้ากับบิดาของรุ่นพี่ของเขาทันที สีหน้าแสดงว่าไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ได้ยินอย่างเต็มที่
        “เอย์จิซังไม่ได้อ่อนแอนะครับ ตรงกันข้าม รุ่นพี่เป็นคนเข้มแข็งมากต่างหากที่อดทนกับสิ่งหนักหนาสาหัสต่าง ๆ มาได้จนถึงตอนนี้ โดยที่รุ่นพี่ยังคงเป็นคนดี จิตใจดี อบอุ่นและอ่อนโยนกับทุกคน รุ่นพี่อาจจะไม่ใช่คนเข้มแข็งในความหมายของท่าน แต่สำหรับผมและอีกหลาย ๆ คน มันใช่ครับ และมันน่าขำด้วยหรือที่ผมอยากจะปกป้องคนดีอย่างรุ่นพี่ ถูกล่ะที่ผมเป็นคนธรรมดา เป็นคนอ่อนแอด้วย แรงก็ไม่เยอะ แต่เพื่อเอย์จิซังคนที่ผมต้องการจะปกป้อง ผมจะทำอย่างเต็มที่ที่สุด”
         หลุดปากออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ใจหายวาบ นี่เขาเถียงฉอด ๆ ใส่เจ้าบ้านคนปัจจุบัน หัวหน้าตระกูลนักปัดรังควานแห่งศาลเจ้าอินาริ แถมยังเป็นบิดาของรุ่นพี่ของเขาด้วย
         ตายแน่ ชินจิเอ๋ย
         และไม่เฉพาะแต่เจ้าตัวเอง คนอื่น ๆ ในโรงฝึกก็พร้อมใจกันจับตาดูอย่างไม่กะพริบตาว่าพายุทอร์นาโดจะพัดใส่ชินจิตอนไหน เออิจิโร่ถึงขนาดยิ้มกว้างออกมาด้วยความลุ้นระทึก ส่วนน้องชายฝาแฝดของเขารีบดันตัวชินจิไปไว้ข้างหลังด้วยกิริยาปกป้อง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเชิงพร้อมลุย ถ้าบิดาของเขาโวยวายขึ้นมาก็ต้องเจอกับเขาก่อน
         แต่มาซาฮารุกลับนิ่งเฉย ไม่โวยวายหรือพูดจาเชือดเฉือนอย่างที่คาด ชายสูงวัยเพียงแต่จ้องชินจิเขม็งด้วยสายตาคมวาว ภายในดวงตาของมาซาฮารุคล้ายมีเปลวไฟลุกวาบและมันเริงโรจน์ขึ้นเรื่อย ๆ จนคนถูกจ้องตัวสั่นเทิ้ม หน้าซีดเผือด เหงื่อแตกจนเห็นเป็นเม็ด ๆ เต็มหน้า มือจิกแขนเสื้อของเอย์จิแน่น แต่ชายหนุ่มไม่ยอมหลบสายตา ในใจของเขาภาวนาขอให้จิตใจของตัวเองเข้มแข็งและหนักแน่นพอที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมรับความตั้งใจของเขาให้ได้
         ในที่สุดคำภาวนาของเขาก็สัมฤทธิ์ผล มาซาฮารุยอมพยักหน้า ไฟในดวงตาของชายสูงวัยมลายหายไป และชินจิรู้สึกว่าตัวเองหายใจคล่องขึ้น
         “โอคินะซัง เจ้าเด็กอวดดีนี่ให้เป็นหน้าที่ของท่าน จะทำอะไรกับมันก็ตามใจ”
         พระสูงวัยค้อมศีรษะรับคำสั่ง สายตาที่มองชินจิมีความเมตตา แต่เมื่อเห็นท่าทางประคับประคองรุ่นน้องตัวเองของเอย์จิแล้ว ชายชราก็อดกระแอมขัดไม่ได้ ถึงยังไงคนแก่อย่างเขาก็มองแล้วขัดตาอยู่ดีนั่นแหละ แม้ว่าจะไม่คิดคัดค้านก็ตาม ท่านเจ้าบ้านเองก็เถอะ เหล่มองมาเหมือนกัน แต่ยังตีสีหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกอยู่เหมือนปกติ
         เอย์จิก็รู้ตัวว่าโดนเขม่นจากหลายทาง แต่เขาไม่เลิกดูแลรุ่นน้อง ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อตัวเองซับเหงื่อให้พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แต่ชินจิยืนยันว่าเขาไม่เป็นอะไร
         “เอาล่ะ ชินจิคุง ถึงจะบอกว่าอยากยิงธนูปัดรังควาน แต่ก็ไม่ได้ฝึกกันได้ทันทีหรอกนะ เธอต้องฝึกพื้นฐานอีกนาน เริ่มที่คิวโดก่อน เพื่อฝึกฝนสมาธิและการควบคุมจิตใจตัวเอง” โอคินะพูด
         “ผมเข้าใจครับ ผมจะพยายามให้เต็มที่” ชินจิพูดด้วยความุ่งมั่น
         เอย์จิพาชินจิไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวด้านนอก พอคล้อยหลังทั้งสองคน รุกะก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
         “หนูไม่เห็นด้วย ชินจิซังไม่ใช่คนของเราสักหน่อยนะคะ แค่ให้ทำงานด้วย มันก็น่าจะมากพอแล้ว”
         “แหม รุกะจังที่รัก ชินจิคุงเป็นคนของเราตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าใช่ ไม่เชื่อก็ลองไปถามเอย์จิดูสิ”
         รุกะถลึงตาใส่คู่หมั้นของหล่อน พูดเสียงเขียว
         “เหลวไหล เออิจิโร่”
         “เรื่องจริง บอกแล้วไงให้ไปถามเอย์จิ แต่ระวังคำตอบหน่อยนะ ฉันไม่อยากเห็นเธอเสียใจ ยังไงเธอก็เป็นคู่หมั้นฉัน”  เออิจิโร่ยักคิ้วข้างหนึ่ง ตั้งใจกวนอารมณ์อีกฝ่ายเต็มที่ และรุกะก็ยั่วขึ้นเหมือนทุกครั้ง ลูกธนูที่ถืออยู่ในมือถูกหักเป็นสองท่อน
         “พอทีทั้งสองคน!” มาซาฮารุปรามเสียงแข็ง ก่อนตวัดสายตามองรุกะอย่างตำหนิ หญิงสาวหน้าเสีย รีบก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
         “ขอประทานโทษค่ะท่านพ่อ”
         “อดีตก็คืออดีต แต่ตอนนี้เธอสองคนเป็นคู่หมั้นกัน อนาคตก็ต้องแต่งงานกัน ควรจะปรองดองกันให้ดี เข้าใจใช่ไหม”
         เออิจิโร่และรุกะพึมพำตอบรับอย่างไม่เต็มเสียง หากฝ่ายหลังก็ยังมีข้อกังขาที่ต้องการคำตอบให้หายคาใจ หล่อนจึงถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
         “หนูยังอยากรู้อยู่ดีค่ะท่านพ่อ ทำไมท่านอนุญาตให้ชินจิซังง่าย ๆ ขนาดนั้นคะ”
         “เจ้าเด็กคนนั้นมีอะไรแปลก ๆ” มาซาฮารุพูดอย่างครุ่นคิด “เป็นคนธรรมดาแท้ ๆ แต่กลับต้านทานพลังจากความน่าเกรงขามได้ แม้แต่พลังสร้างเขตแดนที่ฉันพยายามจะใช้บีบรัดกดดันก็ยังทำอะไรไม่ได้ มันเหมือนกับมีอะไรสักอย่างหนึ่งกางกั้นเด็กคนนั้นอยู่เหมือนกับโล่”
         “เป็นอะไร ท่านพ่อพอจะเดาได้ไหมครับ” เออิจิโร่ถาม
         “ไม่รู้ เดาไม่ออก แต่มีพลังมาก” มาซาฮารุขมวดคิ้วมุ่น พยายามใคร่ครวญหาคำตอบ แต่ก็เหมือนกับทุกคน คือ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้
         “สงสัยบรรพบุรุษของชินจิซังอาจจะเป็นนักปัดรังควานหรือคนทรงอะไรทำนองนี้ก็ได้นะครับ” โฮโจอดไม่ไหว ขอเดาบ้าง แต่เออิจิโร่ส่ายหน้าทันที
         “ไม่มีทาง ฉันตรวจสอบดูแล้ว ครอบครัวชินจิคุงเป็นครอบครัวธรรมดา ทั้งครอบครัวฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนทรงหรือนักปัดรังควานหรือพวกวัดศาลเจ้าเลย คนธรรมดาแท้ ๆ”
         “งั้นก็เหลือแค่ว่าผู้ชายคนนั้นมีอะไรอยู่กับตัวรึเปล่า” รุกะเอ่ยลอย ๆ เออิจิโร่ดีดนิ้วเปาะ
         “จริงสิ ประเดี๋ยวต้องกระซิบเอย์จิให้ลองค้นตัวดูเวลานอน”
         คู่หมั้นสาวกลอกตาด้วยความระอาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่เพราะมีทั้งท่านพ่อและโอคินะซังอยู่ ทำให้หล่อนต้องข่มใจไม่แสดงอาการขวางคู่หมั้นหนุ่มของตัวเองออกมาเหมือนเมื่อสักครู่นี้ให้ต้องโดนตำหนิอีก
         “ยังไงก็ตาม ชินจิคุงอยู่ฝั่งเรา นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีอะไรต้องกังวล และเรายังสามารถใช้งานชินจิคุงได้ด้วย” โอคินะพูด
         “เรื่องชิโนซากิคิตสึเนะใช่ไหมคะ” รุกะทำหน้าเมื่อยเมื่อคิดถึงจิ้งจอกขาวจอมเจ้าเล่ห์ตนนั้น
         “เราต้องการข่าวจากฝั่งอสูร” โอคินะเน้น “ถ้าเรารู้สถานการณ์ของฝั่งอสูรในตอนนี้ เราจะได้วางแผนรับมือได้อย่างรอบคอบ”
         “ชินจิซังมาแล้วครับ” โฮโจบอก
         วงสนทนาจึงหยุดลงโดยปริยาย โอคินะกับโฮโจเดินไปหา ส่วนรุกะแยกไปยืนที่มุมซ้อมของหล่อน ไม่คิดจะเหลือบแลไปทางใครให้เสียอารมณ์ เตรียมดอกศรขึ้นพาดสาย
         เออิจิโร่ยังยืนอยู่ที่เดิมกับบิดาของเขา ทั้งสองคนมองไปที่จุดเดียวกัน
         “ฝ่ายอสูรคงวางแผนอะไรอยู่อย่างแน่นอน” มาซาฮารุเปรยขึ้นลอย ๆ พยักหน้าไปทางลูกชายคนเล็กและรุ่นน้อง “แกต้องคอยระวังให้ดี เข้าใจไหม อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเป็นอันขาด”
         “ทราบแล้วครับผม จะดูแลให้อย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม”
         มาซาฮารุเหล่มองลูกชายคนโตที่รับคำด้วยน้ำเสียงร่าเริงเกินเหตุ กระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเอามือไขว้หลังเดินหนีไป
         เออิจิโร่กลั้นหัวเราะจนปากสั่น
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 02-04-2016 10:02:40
ชินจิสุดยอดอ่ะ  o13

หรือว่าลูกแก้วนั้นอยู่กับชินจิ?
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 10:06:50
             ชินจิต้องยืมชุดฝึกของเอย์จิมาใส่ ความสูงที่ต่างกันพอสมควรทำให้ทำให้มีปัญหาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพอใส่ชุดของรุ่นพี่ได้
        นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ใส่ชุดสำหรับฝึกคิวโดจึงรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ชายหนุ่มรับเสื้อชิตะงิสีขาวที่เป็นเสื้อชั้นในมาใส่ก่อนสวมทับด้วยกิโมโนชั้นนอกที่เป็นสีขาวเหมือนกัน กางเกงฮากามะสีดำ คาดโอบิสีเดียวกับกางเกง และใส่ถุงเท้าทะบิสีขาว 
        เอย์จิให้รุ่นน้องใช้คันธนูและลูกธนูที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกหัด ไม่ใช่ไม้ไผ่แบบดั้งเดิมอย่างที่พวกเขาใช้กัน เพื่อไม่ให้แตกหักเสียหายได้ง่าย คันธนูกับลูกธนูที่เลือกใช้จะต้องสัมพันธ์กับผู้ยิง อย่างเอย์จิที่สูงราวร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร ใช้คันธนูที่ความยาวราวสองร้อยสามสิบเซ็นติเมตรและลูกธนูยาวราวหนึ่งร้อยเซ็นติเมตร ชินจิเตี้ยกว่า ความสูงของคันธนูและลูกธนูจึงน้อยลงไปตามลำดับ
        หลังจากเลือกอุปกรณ์ได้เรียบร้อย เอย์จิก็ส่งตัวรุ่นน้องของเขาให้โอคินะซังรับช่วงดูแลต่อ ตอนแรกชินจิก็ประหม่าไม่น้อย แต่ผู้เฒ่าโอคินะสามารถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลงได้และมีสมาธิมากขึ้น
         “การยิงธนูมีแปดขั้นตอน” โอคินะเริ่มสอน ชายชราสั่งให้โฮโจเป็นคนสาธิตให้ดูทีละท่าโดยที่ตัวเองอธิบายรายละเอียดไปพร้อมกัน
         “ขั้นตอนแรกคือ อะชิบุมิ วางตำแหน่งของเท้า”
         โฮโจยืนหันข้างให้เป้ายิง เท้าแยกออกห่างกันพอสมควร มือขวาถือลูกธนูสองดอกหนีบไว้ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วก้อย เอามือเท้าไว้ที่เอว มือซ้ายจับคันธนูหันด้านคันไม้เข้าหาตัว ส่วนบนที่ยาวกว่าชี้ลงข้างล่าง
          “ขั้นที่สอง โดซุคุริ วางตำแหน่งลำตัวด้านบน”
          ธนูในมือขวาของโฮโจถูกพลิกหันด้านคันไม้ออก เอาลูกธนูหนึ่งดอกในมือขวาพาดกับสายธนูโดยเลื่อนให้อยู่ค่อนไปทางปลายด้าม ใช้มือซ้ายยึดไว้ทั้งคันและด้ามของลูกธนู มือขวาเท้าเอวไว้เหมือนเดิม    
               “สาม ยูมิกามาเอะ วางตำแหน่งคันธนู”
          โฮโจใช้มือขวาที่หนีบลูกธนูอยู่อีกดอกหนึ่งจับปลายลูกธนูส่วนที่เป็นขนนกพร้อมกับสายธนู มือซ้ายของเขาจับคันธนู ด้ามลูกธนูก็จะตั้งอยู่บนมือข้างที่จับคันธนูนี้ ความสูงของมือที่จับคันธนูและลูกธนูอยู่ระดับบั้นเอว หันหน้าไปมองเป้าหมาย
           “สี่ อุจิโอะโคชิ ยกแขนขึ้น”
           โฮโจยกแขนทั้งสองขึ้น ความสูงของมือที่จับคันธนูและลูกธนูอยู่เหนือศีรษะ คันธนูและลูกธนูถูกจับอยู่ในท่าเดิม
            “ห้า ฮิคิวะเคะ ง้างธนู”
            มือขวาของโฮโจดึงลูกธนูง้างไปด้านหลัง ระดับความสูงของมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มยังอยู่เหนือศีรษะ
            “หก ไค วางตำแหน่งลูกธนู”
            โฮโจลดแขนลง มือขวาข้างที่ง้างลูกธนูอยู่ชิดกับใบหู แขนกับมือซ้ายที่จับคันธนูตั้งฉากกับลำตัว ด้ามธนูเป็นระนาบอยู่ในระดับสายตา
            “เจ็ด ฮานาเระ ยิงธนูออกไป”
            โฮโจปล่อยลูกธนูที่ง้างไว้ให้พุ่งออกไปยังเป้าหมาย
            “ขั้นสุดท้าย ขั้นที่แปด ซันชิน ยังตั้งท่าเตรียมพร้อม”
            มือของโฮโจที่ปล่อยลูกธนูออกไปยืดออกเป็นระนาบเดียวกับมือข้างที่จับคันธนู ชายหนุ่มนิ่งอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนกลับไปที่ท่าแรก มือข้างขวาเท้าเอว มือซ้ายพลิกคันธนูที่จับอยู่ลงข้างล่าง หันด้านด้ามไม้เข้าหาตัว เท้ามือข้างที่จับคันธนูนั้นเข้าที่เอว
            ชินจิมองตามตาไม่กะพริบ ลูกธนูที่โฮโจยิงออกไปเสียบเข้าที่เป้าฟางอย่างถนัดถนี่ ใบหน้าของชายหนุ่มนิ่ง สงบ มีสมาธิทุกขั้นตอน ลูกธนูที่ปล่อยออกไปจึงไม่พลาดเป้า
            คิวโดเป็นกีฬาที่งดงามจริง ๆ ทุกท่วงท่าทุกลีลามีความอ่อนช้อย แต่ก็ขึงขังหนักแน่น ผู้ยิงเองก็เปรียบได้เหมือนกับนักเต้นที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างแข็งแกร่งและสวยงาม มีศิลปะ
            “ถึงตาชินจิคุงแล้ว” โอคินะบอกยิ้ม ๆ “บอกก่อนนะว่าฉันเป็นครูที่เข้มงวด ถามเจ้าพวกนี้ดูก็ได้”
            “ผมจะพยายามให้เต็มที่ครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงดัง
            โอคินะเป็นผู้สอนและกำกับให้ด้วยตัวเอง คอยดูให้รุ่นน้องของเอย์จิทำได้ถูกต้องตามขั้นตอน จากที่เก้งก้างขัดหูขัดตาในตอนแรก ๆ ชินจิปรับท่าทางของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เขาจำขั้นตอนต่าง ๆ ได้แม่น ตั้งใจและมีสมาธิ จำนวนลูกธนูที่พลาดเป้าลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานชายหนุ่มก็ยิงเข้าเป้าแทบทุกดอก แถมยังเป็นวงกลมใน ๆ เสียทั้งนั้น ลูกธนูดอกสุดท้ายที่ยิงออกไปเข้ากลางเป้าอย่างแม่นยำ
             ชินจิเบิกตากว้างด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง หันไปมองคุณครูผู้ชราของเขา ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ายืนยัน ยิ้มละไม ดวงตาสีน้ำข้าวแสดงความชื่นชม
             “สำเร็จแล้ว เก่งจังเลย ชินจิคุง” เออิจิโร่ถลามาจากไหนไม่รู้ ตัดหน้าน้องชายฝาแฝดไปชั่วเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น ตรงเข้ามาจับมือชินจิเขย่า ๆ ด้วยความดีใจ
             “ฝีมือดีมากเลย ฝึกครั้งแรกก็ยิงเข้าเป้าเกือบทั้งหมด ยังงี้เปลี่ยนมาฝึกสายนักรบได้แล้ว ฉันว่านายเก่งยิ่งกว่าเอย์จิซะอีก”
             “หนวกหูจริง ถอยไป” เอย์จิสำทับ ใช้ท่อนแขนกวาดตัวพี่ชายฝาแฝดที่ขวางทางอยู่ให้ถอยออกไป สีหน้าของชายหนุ่มมีทั้งความภูมิใจระคนความวิตกกังวล เมื่อถึงตัวชินจิ ชายหนุ่มก็รีบสำรวจตรวจตราตามหน้าตามแขนของรุ่นน้อง นิ่วหน้านิดหนึ่ง เมื่อเห็นรอยช้ำที่แขน
              “เจ็บรึเปล่า” เอย์จิถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย รุ่นน้องของเขาส่ายหน้า
              “ไม่เจ็บครับ ผมไหว”
              ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่คัดค้าน แต่สีหน้ายังเคร่งเครียดและคอยแต่จะเหลือบตามามองทางรุ่นน้องของเขาเป็นระยะ จนกระทั่งโอคินะต้องกระแอมเตือนแล้วเตือนอีก ชายหนุ่มจึงยอมตัดใจ กลับไปมีสมาธิจดจ่อต่อการฝึกของตัวเองได้
               จบการฝึกช่วงเช้า โอคินะซังบอกว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปให้เขามาซ้อมร่วมกับทุกคนที่โรงฝึกได้ ทำให้ชินจิดีใจมากและสัญญากับตัวเองว่า เขาจะพยายามให้เต็มที่ที่สุดให้สมกับที่ได้โอกาส
               “หน้าบานเชียวนะ” เออิจิโร่ยังตามมากระเซ้าไม่เลิก แต่ชินจิก็หน้าบานจริง ๆ เพราะวันนี้ได้รับคำชมจากทั้งครูและบรรดาศิษย์รุ่นพี่เป็นกระบุง จะไม่ให้เขาปลื้มเปรมจนยิ้มไม่ยอมหุบได้อย่างไร นี่เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าตัวเองก็มีพรสวรรค์ทางกีฬากับเขาด้วย
               “มีความสุขกันเสร็จแล้วก็อย่าลืมไปทำงานที่เรียวกังล่ะ อู้งานกินแรงคนอื่นน่ะมันไม่ดีรู้ไหม”
               รุกะคนเดียวที่ไม่ปลื้มไปด้วย และหล่อนจงใจพูดกระทบกระแทกแดกดันเขา แต่ชินจิอารมณ์ดีเกินกว่าจะถือสาหาความ อีกทั้งพี่น้องฝาแฝดก็ออกหน้าโต้แทนทันควัน
               “วันนี้ชินจิได้พัก แล้วถ้าเธอห่วงว่าจะไม่มีคนทำงานละก็ ฉันทำส่วนของชินจิเอง” เอย์จิพูดเสียงขุ่น
               “ฉันช่วยด้วยอีกคนก็ยังได้ น่ารุกะ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ฉันรู้ว่าเธอกำลังอิจฉา แต่อารมณ์เสียบ่อย ๆ น่ะทำให้หน้าแก่เร็วนะ” เออิจิโร่พูดด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าน้องชาย แต่คำที่พูดออกมาแต่ละคำนี่สิ ยิ่งกว่าลูกธนูแหลม ๆ เสียบเข้ากลางใจหล่อนพอดิบพอดี รุกะตาเขียวปัด และตามเคย เออิจิโร่ยิ้มตาหยี
               “ไปกับฉันดีกว่า เดี๋ยวฉันทำให้เธออารมณ์ดีเอง” ชายหนุ่มลากตัวคู่หมั้นสาวของเขาจากไป ก่อนไปก็หันมาขยิบตาให้น้องชายฝาแฝดกับชินจิ บอกแกมสั่งว่า
               “เย็นนี้เตรียมตัวไว้นะ จะพาไปกินโอเด้งแสนอร่อยเป็นรางวัลที่ยิงธนูได้ดี”

               รุกะถูกลากตัวมาที่มุมสวน บริเวณเดียวกับที่เอย์จิชอบมายิงธนูคนเดียว เป้าฟางมาคิวาระหลายอันผูกติดอยู่ที่ต้นไม้ในระดับที่ต่างกัน แต่ละอันสภาพเก่าเยิน เพราะคนใช้ใช้มันจนนับครั้งไม่ถ้วน
               หญิงสาวสะบัดตัวหลุดจากมือของคู่หมั้น หน้าสวย ๆ ของหล่อนงอง้ำ
               “เอะอะก็ลากฉันอยู่ได้ คิดว่าฉันเป็นอะไร รถลากยะไตรึไง” หล่อนโวยเสียงดัง
               “เอ้า ถ้าไม่ลากจะยอมมาด้วยไหมล่ะ เธอเป็นได้ทู่ซี้อยู่ขัดคอสองคนนั้นน่ะสิ” เออิจิโร่โต้ “ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบชินจิคุง แต่อย่าแสดงออกนอกหน้าขนาดนั้น มันดูเป็นผู้หญิงสิ้นหวังมาก”
               ถ้าคนพูดลากเสียงยาวกว่านี้อีกนิด รุกะอาจจะกำหมัดซัดหน้าเขาให้สักหมัดไปแล้วค่าที่ช่างกวนโมโหหล่อนนัก แต่ถึงอย่างนั้น แค่นี้หญิงสาวก็โกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลืองแล้ว กระชากเสียงถามว่า
               “แล้วยังไง ไหนว่าจะทำให้ฉันอารมณ์ดี นี่ฉันรู้สึกอารมณ์โคตรดีเลย” หล่อนกระแทกเสียงคำสุดท้ายด้วยความหงุดหงิด ประชดประชัน
               เออิจิโร่เลยยิ้มกว้าง ขยับตัวเต้นฟุตเวิร์คด้วยความกระฉับกระเฉง
               “โอเค งั้นเริ่มเลย การออกกำลังจะช่วยทำให้อารมณ์ปลอดโปร่ง ฉันเลยคิดว่า เธอน่าจะยังต้องการการออกแรงเพิ่มอีก เฮ้ย!”
               คำสุดท้าย ชายหนุ่มอุทานเสียงหลง เพราะถูกกองทัพผีเสื้อสีน้ำเงินบินเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว รุกะแสยะยิ้มเหี้ยม
               “ความคิดเธอดีมาก ฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วล่ะ”
               แล้วหล่อนก็ร่ายเวทเพิ่มพลังให้ชิกิงามิรูปผีเสื้อให้ตัวมันขยายขนาดขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นและเขี้ยวคมยิ่งขึ้นอีก เออิจิโร่ร้องพลางปัดป้องเป็นพัลวัน หุ่นพยนต์พวกนี้นิสัยเหมือนนายมันไม่มีผิด จ้องแต่จะเล่นงานใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาอย่างเดียวเลย ชายหนุ่มเข่นเขี้ยว ดึงกระดาษสีขาวออกมาเสกชิกิงามิขึ้นต้าน
   
               วิหคหงส์เพลิงชาด
                    ปีกขยับพยับเมฆครืนครั่น
                    นภาพลันสั่นสะเทือน


                    กระดาษสีขาวในมือเขากลายเป็นนกตัวใหญ่สีแดงจัดเข้าต่อตีกับฝูงผีเสื้อ ปีกยาวของมันกระพือลมแรงจัดพัดให้ชิกิงามิของอีกฝ่ายแตกกระจาย
                    อ่อนมาก!
                    เออิจิโร่ทำหน้ายโสหวังจะเยาะคู่หมั้นสาวให้สาแก่ใจ แต่กลับเป็นฝ่ายตาเหลือกเสียเองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกระดาษสีน้ำเงินอีกตั้งใหญ่เหมือนภูเขาในมือของรุกะ!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 17 - 1-4-2016 (Romantic Fantasy) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 10:16:19
               ตอนเย็นวันนั้น ตามเวลาที่เออิจิโร่นัดไว้ เอย์จิก็เดินมาเรียกรุ่นน้องของเขาที่ห้อง ชายหนุ่มใส่ยูกาตะที่สวยกว่าที่ใส่อยู่ทุกวัน ผ้าเป็นไหมเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ลายทางแนวตั้งสีขาวที่ตัวเสื้อ ส่วนที่แขนเสื้อทั้งสองข้างเป็นลายทางแนวนอนสีขาวเหมือนกัน คาดโอบิสีเบจ
               ชินจิเปิดประตูรับ แต่พอเห็นหน้ามุ่ย ๆ ของรุ่นพี่ เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
               “เอย์จิซังเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
               รุ่นพี่ของเขาไม่ตอบ แต่ส่งชุดยูกาตะที่พับอย่างดีให้ ชินจิมองงง ๆ ถามว่า
               “เรากำลังจะไปกินโอเด้งกันไม่ใช่หรือครับ”
               ยูกาตะในมือของเขาเป็นผ้าไหมเนื้อดี ไม่ใช่ยูกาตะธรรมดาเหมือนที่เขาใส่อยู่ในตอนนี้ ลายดอกดาวกระจายเล็ก ๆ สีม่วงกับสีขาวเกาะกันเป็นวงกลมใหญ่ คู่กับลายดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอ่อน ๆ กระจายอยู่บนเส้นหยักเหมือนสายน้ำสีฟ้าใสที่โค้งเป็นวงกลมใหญ่เช่นเดียวกัน พื้นชุดยูกาตะเป็นสีเขียวไพลอ่อน ๆ มีโอบิสีม่วงเม็ดมะปรางม้วนวางอยู่ด้านบน ทั้งสีและลวดลายไม่ผิดกับชุดของผู้หญิง จนชายหนุ่มต้องถามด้วยความไม่แน่ใจ
               “ใช่ นายต้องแต่งชุดนี้” เอย์จิตอบเสียงเรียบ หน้าตึง
               “แต่มันไม่ดูเหมือนผู้หญิงเกินไปหรือครับ” ชินจิทำหน้าแหย ถ้าเขาใส่ชุดนี้ แล้วมีเชือกโอบิจิเมะผูกคาดโอบิอีกสักหน่อย รับรองว่าไม่ต่างจากชุดที่รุกะใส่อยู่เป็นประจำแน่ ๆ
               “คำสั่งของเออิจิโร่” เอย์จิกัดกรามกรอด เห็นชัดว่าเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการจะให้ชินจิใส่ชุดแบบนี้หรอก หน้าของเขาบูดบึ้งยิ่งขึ้น
               “ไอ้เจ้าบ้านั่น นึกว่าเป็นว่าที่เจ้าบ้านแล้วใหญ่นักรึไงวะ เที่ยวได้มาสั่งโน่นสั่งนี่ ฉันละอยากจะเอาคันธนูฟาดหัวมันสักโป๊กจริง ๆ”
               “ผมไม่ต้องใส่ได้ไหม ชุดของผมก็ดีอยู่แล้ว”
               “ฉันก็ไม่อยากให้นายใส่หรอก แต่ไอ้พี่บ้านั่นน่ะสิ มันเอาท่านพ่อมาอ้าง บอกว่ายังไงนายก็ต้องใส่”
               ชินจิยิ่งฟังยิ่งงง แต่เขาก็จำต้องใส่ชุดนี้อยู่ดี แถมโอบิที่เอย์จิผูกให้ยังผูกแบบเป็นโบเสียอีก พอเห็นตัวเองในกระจก ชินจิก็ชักไม่แน่ใจ ยิ้มแห้ง ๆ
                “ผมว่ามันตลกนะครับ เหมือนผู้หญิงเลย ผมว่าผมเปลี่ยนชุดดีกว่า”
                “ไม่ตลกหรอก” เอย์จิค้าน มองชายหนุ่มรุ่นน้องด้วยความพึงใจ ชินจิอาจจะไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไรมากมาย รูปร่างสันทัด แต่ไม่ล่ำหนา กิริยาท่าทางละมุนละม่อม ทำให้ใส่ยูกาตะได้สวย แต่สีชุดมันก็หวานไปจริง ๆ นั่นแหละ
                เขาดึงตัวรุ่นน้องเข้ามากอด
                “นายน่ารักมาก”
                ชินจิกอดตอบ หน้าแดงด้วยความเขินเพราะคำชมที่ไม่คาดคิดนั่น ซึ่งก็โชคดีที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น ตอนนี้เขาชักรู้สึกแล้วว่า ชุดยูกาตะชุดนี้มันก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ
                “ฮะแฮ่ม จะกอดกันอีกนานไหม ได้เวลาแล้วนะคร้าบ”
                เอย์จิกับชินจิผละออกจากกัน ชินจิไม่กล้ามองหน้าคนที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามากระแอมขัดจังหวะ ขณะที่เอย์จิจ้องพี่ชายฝาแฝดตาเขียว
                “จะเข้าห้องคนอื่นก็หัดให้เสียงสักหน่อยได้ไหม ไม่มีมารยาทเลย”
                เออิจิโร่ก็ใส่ชุดยูกาตะที่คัดเป็นพิเศษ ผ้าสีน้ำเงินเข้มเป็นมันเลื่อมวาว มีลายนูนอยู่ในเนื้อผ้าเป็นลายเหมือนสายน้ำและก้อนเมฆ คาดโอบิสีน้ำเงินอมม่วงเข้มลายลอนคลื่นสีแดงเข้ม
                ชายหนุ่มไม่สนใจน้องชายตัวเอง เขาหันไปยิ้มกว้างให้ชินจิแทน ชมเปาะว่า
                “ชินจิคุงน่ารักที่สุดเลย”
                คำชมของเออิจิโร่ไม่ทำให้ดีใจมากเท่ากับคำชมจากเอย์จิ แต่เขาก็ยิ้มรับด้วยความยินดี ท่าทางของชายหนุ่มยังประหม่าขัดเขินอยู่ไม่น้อย
                “ผมต้องใส่ชุดนี้จริง ๆ หรือครับ เออิจิโร่ซัง”
                “ชุดนี้แหละ เจ้าของร้านเขาต้องชอบแน่ ๆ”
                เอย์จิไม่ต้องการให้มีการซักถามต่อความยาวสาวความยืดกันอีกจึงตัดบทด้วยการเอาเสื้อคลุมฮาโอริสีดำมาคลุมให้ชินจิ เล่นเอาพี่ชายร้องห้ามเสียงหลง
                “อย่านะเอย์จิ รีบเอาผ้าคลุมออกเลย ใส่ยังงี้มันบดบังความน่ารักของชินจิคุงหมด”
                “อย่ามากเรื่องได้ไหม แค่นี้ฉันก็ยอมให้มากพอแล้วนะ ถ้านายยังไม่พอใจอีก ฉันจะไม่ให้ชินจิไป”
                เจอคำขู่เข้าไปแบบนี้ พี่ชายก็ต้องยอมถอย แต่มิวายบ่นงึมงำชนิดตั้งใจให้ได้ยินกันทุกคน
                “หวงเว้ย หวงมาก”
                เอย์จิกลอกตา แล้วรีบโอบไหล่พาชินจิที่หน้าแดงซ่านเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
                ที่หน้าประตูบ้าน รุกะกำลังยืนรออยู่และคงจะรออยู่นานแล้วด้วย เพราะใบหน้าที่ตกแต่งอย่างสวยงามของหล่อนเริ่มงอ คอก็เชิดขึ้น บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด
                หญิงสาวใส่ชุดกิโมโนสีคราม ลายดอกลิลลี่สีขาว คาดโอบิสีเหลืองอ่อนทับด้วยเชือกโอบิจิเมะสีแดงเข้ม ผมหล่อนเกล้ารวบขึ้นสูง แต่ปักปิ่นรูปดอกไม้ให้เข้ากับชุดและใช้เนตสึเกะห้อยผีเสื้อตัวเล็กติดเพชรเม็ดกลม ๆ ที่ปีกทั้งสองข้างเสียบไว้ที่โอบิแทน เวลาเดิน ผีเสื้อตัวเล็กก็จะแกว่งไปมา
                “พวกเธอมาช้า” หญิงสาวต่อว่าเมื่อเห็นคู่หมั้นกับคนอื่น ๆ ชักแถวกันมา หล่อนมองชินจิที่เดินตัวติดกับเอย์จิแวบหนึ่งแล้วเมินไป พูดลอย ๆ ว่า
                “ไปกันได้แล้ว”
                พูดจบ หญิงสาวก็ออกเดินนำหน้า ในมือของหล่อนถือโคมไฟส่องนำทาง ทุกคนจึงเดินตามไป เออิจิโร่เดินปิดท้ายขบวน ในมือของเขาถือโคมไฟดวงหนึ่งเช่นกัน
                “ร้านโอเด้งอยู่ที่ไหนเหรอครับ ผมจำได้ว่าในหมู่บ้านเราไม่มีร้านโอเด้งนี่นา” ชินจิกระซิบถามรุ่นพี่
                “อยู่นอกหมู่บ้าน แต่ไม่ไกลหรอก ตรงตีนสะพานฝั่งตรงข้าม” เอย์จิตอบสั้น ๆ
                ชินจิไม่ถามอะไรต่อ เวลากลางคืนในหมู่บ้านยังลึกลับน่ากลัวเหมือนเดิม แต่เมื่อเดินกันหลายคนแบบนี้และยังมีรุ่นพี่เดินอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป กลับมีแต่ความตื่นเต้นและความหลงใหลแบบแปลก ๆ
                ชายหนุ่มอยากจะเดินอยู่ในราตรีอันมืดมิดเช่นนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
                ทั้งหมดเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำชิมิซึไป สายหมอกขาว ๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ แม้จะมีแสงโคมถึงสองดวง แต่ก็มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจนนักในความขมุกขมัวของยามค่ำคืน
                “ถึงแล้ว” รุกะประกาศ
                ชินจิมองรอบตัว กำลังจะแย้งว่า เขามองไม่เห็นอะไรเลย แต่พริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็มองเห็นรถเข็นขายโอเด้งตรงตีนสะพาน
                รถโอเด้งดูคุ้นตา ม่านหน้าร้านเป็นสีม่วงเข้ม โคมไฟกระดาษสีแดงมีตัวอักษรเขียนว่า ‘ชิโนซากิ’
                ชายหนุ่มร้องอ๋อ ร้านของคุณเจ้าของร้านช่างตื๊อคนนั้นนั่นเอง!
                เมื่อทุกคนเดินเข้าไปใกล้ ม่านหน้าร้านก็ถูกแหวกออกพร้อมกับเจ้าของร้านโผล่หน้าออกมาทักทายเสียงดังฟังชัด
                “อิรัชชัยมะเสะ! ยินดีต้อนรับครับคุณลูกค้า”
                ชินจิเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หลังจากเห็นหน้าคุณเจ้าของถนัดชัดตา ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปข้างหน้า อุทานเสียงหลง
                “หมาจิ้งจอก!”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-04-2016 12:30:33
ฟินนะเนี่ยที่เอย์จิกับชินจิเปิดใจให้กันแล้ว ลุ้นอยู่ตั้งนาน อิอิ :mew3:

สำหรับเราน้า สำนวนการเขียนกับภาษาเรื่องนี้ดีงามมากเลย แถมดำเนินเรื่องไวไม่เยิ่นเย้อ ถือเป็นนิยายที่ดีงามเรื่องหนึ่งเลย

เท่าที่สังเกตคนไทยไม่ค่อยนิยมเรื่องแนวแฟนตาซีเท่าไร จะชอบแบบนิยายรักทั่วไปมากกว่า

เราว่าน่าเสียดาย หลายๆเรื่องเป็นชิ้นงานที่ดีมากเลย

คนเขียนอย่าเพิ่งท้อน้า สู้ๆ :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 13:04:58
ฟินนะเนี่ยที่เอย์จิกับชินจิเปิดใจให้กันแล้ว ลุ้นอยู่ตั้งนาน อิอิ :mew3:

สำหรับเราน้า สำนวนการเขียนกับภาษาเรื่องนี้ดีงามมากเลย แถมดำเนินเรื่องไวไม่เยิ่นเย้อ ถือเป็นนิยายที่ดีงามเรื่องหนึ่งเลย

เท่าที่สังเกตคนไทยไม่ค่อยนิยมเรื่องแนวแฟนตาซีเท่าไร จะชอบแบบนิยายรักทั่วไปมากกว่า

เราว่าน่าเสียดาย หลายๆเรื่องเป็นชิ้นงานที่ดีมากเลย

คนเขียนอย่าเพิ่งท้อน้า สู้ๆ :3123: :3123:

ขอบคุณสำหรับฟีดแบ็กนะคะ ดิฉันเองก็ติสต์ด้วยแหละ เขียนไปไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ แค่อยากจะเขียนแนวโน้นเเนวนี้ตามใจตัวเอง ก็ดีแหละค่ะ สนุกดี ตอนเขียนนี่สนุก และมันเรื่องต่อเนื่องก็เลยเอาลงต่อที่นี่ เหลืออีกเรื่องนึงคือเรื่องของมายะ ถ้าเขียนได้ก็คงลงที่นี่ แล้วก็จะครบสี่เรื่องตามที่ตั้งใจ หลังจากนั้นก็ค่อยคิดว่าจะยังไง จะเขียน BL ต่อไหม แต่ที่แน่ ๆ คงต้องดูเว็บอื่น เพราะดูแนวแล้วสไตล์ที่เขียนไม่ค่อยเหมาะกับที่นี่ ที่ทู้ซี้ลงตั้งสามสี่เรื่องนี่จัดว่าดิฉันหน้าด้านมากแล้ว  o22

ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่บอกว่ามันดีแล้วก็สนุก ก็จะพยายามกันต่อไปค่ะ  :pig4: 
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 16:36:22
บทที่ 19

        “ชินจิคุง สวัสดีครับ ผมดีใจจังเลยที่คุณมาอุดหนุนผมอีกครั้ง”
        คุณเจ้าของร้านที่กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกไปเสียแล้วปราดออกมาจับมือชินจิเอาไว้ทั้งสองข้าง ดวงตารียาวเฉียงขึ้นสูง จมูกยาว ยืนสองขาเหมือนมนุษย์ แต่มือและเท้าเป็นสุนัขจิ้งจอก ขนสีขาวประดุจหิมะ หางยาวฟูเป็นพวงใหญ่ ใส่ชุดกางเกงสีม่วงเข้ม คาดผ้ากันเปื้อนสีเทาอ่อนประทับตราจันทร์เสี้ยวและรวงข้าวสีทอง
        ชินจิยืนตะลึง ทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนเขาจะตกใจจนช็อกไปแล้ว
        “ทักทายเสร็จแล้วก็ปล่อยมือซะทีสิ” เอย์จิกัดกรามกรอด แล้วเมื่อจิ้งจอกขาวยังไม่มีวี่แววจะปล่อยมือชินจิของเขา  ชายหนุ่มจึงยอมเสียมารยาท ดึงตัวคนของเขากลับคืนมาเสียเลย
        “สวัสดีครับชิโนซากิซัง” เอย์จิทักทายชนิดที่เรียกได้ว่ากัดฟันทักกันเลยทีเดียว
        “อ้อ นึกว่าใคร พวกเจ้าหนูนักปัดรังควานนี่เอง มากันด้วยเหรอ” สุ้มเสียงของชิโนซากิคิตสึเนะบอกว่าเพิ่งสังเกตเห็น.. จริงจริ๊ง
        “เอ้า นั่งสิ อยากนั่งตรงไหนก็นั่ง” จิ้งจอกขาวโบกมือ แต่หันมากุลีกุจอดันหลังชินจิให้นั่งลงบนที่นั่งที่ดีที่สุด ทำเอา ‘พวกเจ้าหนูนักปัดรังควาน’ กลอกตาไปตาม ๆ กัน แล้วก็แยกย้ายกันไปนั่งที่ม้านั่งหน้าหม้อโอเด้งร้อน ๆ ควันขึ้นฉุย รุกะนั่งริมสุดติดกับเออิจิโร่ซึ่งนั่งข้างชินจิและมีเอย์จินั่งริมสุดอีกข้างประกบติดชินจิไม่ยอมห่าง
        “สำหรับชินจิคุง โอเด้งชุดใหญ่พิเศษเต้าหู้ทอดแสนอร่อย” คุณเจ้าของร้านจิ้งจอกขาวหมุนตัวนำเอาชามใหญ่ยักษ์มาวางลงตรงหน้าชายหนุ่มที่ยังมีอาการงง ๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
        “กินเลยครับ กิน รับรองว่าอร่อยที่สุดในโลก” ชิโนซากิคิตสึเนะคะยั้นคะยอ ถูไม้ถูมือ ท่าทางลุ้นจัด
        ชินจิค่อย ๆ คลายความตกใจ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ มองหน้าจิ้งจอกขาวอย่างไม่มั่นใจ
         “คุณ... เอ่อ ชิโนซากิซัง คุณเป็นสุนัขจิ้งจอกจริง ๆ หรือครับ”
         “ของจริงสิครับ หางกับหัวนี่น่ะไม่ใช่ชุดคอสเพลย์เอาไว้สวมเล่น ๆ นะ จะลองดึงดูไหมละครับ” จิ้งจอกขาวหันหลังให้เห็นพวงหางใหญ่ ๆ สีขาวบริสุทธิ์ แต่ชินจิส่ายหน้าหวือ
         “ไม่ดีกว่าครับ ผมเชื่อแล้ว”
         “คุณเจ้าของร้านคร้าบ แล้วพวกผมล่ะ นี่หิวไส้จะขาดอยู่แล้วนะคร้าบ”
         เออิจิโร่ทะลุกลางปล้องขึ้นมา ชิโนซากิคิตสึเนะจึงละความสนใจจากชินจิมายังคนอื่น ๆ ได้ในที่สุด
         “แล้วคุณลูกค้าจะรับอะไรมิทราบครับ” จิ้งจอกขาวฉีกยิ้มถาม
         “ผมเอาชุดพิเศษเต้าหู้ทอดเหมือนกันครับ” เออิจิโร่สั่ง รุกะกับเอย์จิก็เลยพลอยสั่งแบบเดียวกันตามไปด้วย แต่พออาหารมาเสิร์ฟ เออิจิโร่เห็นปริมาณอาหารในชามก็โวย
         “สั่งเหมือนกันแท้ ๆ แต่ทำไมชินจิคุงได้เต้าหู้ทอดมากกว่าแบบครึ่งต่อครึ่งเลยล่ะ”
         “คุณลูกค้าจะสั่งเพิ่มอีกก็ได้นะครับ แค่เพิ่มเงินอีกห้าร้อยเยนเท่านั้น” เจ้าของร้านพูดหน้าตาเฉย
         “โห ห้าร้อยเยน ขูดเลือดขูดเนื้อกันชัด ๆ” ลูกค้าบ่นพึม
         รุกะชักรู้สึกว่าการมาหาข่าวครั้งนี้ทำท่าจะเสียเที่ยวเพราะความปากเสียของคู่หมั้นตัวเอง หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาด้วยการชวนคุยว่า
         “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ ชิโนซากิซัง ลูกค้าเยอะไหม”
         “ก็น่าจะดีกว่านี้แหละครับถ้าหมู่บ้านแถวนี้ไม่ออกกฎห้ามออกนอกหมู่บ้านในยามวิกาล เลยมีแต่ลูกค้าขาจรมาบ้างนาน ๆ ครั้ง”
         “แต่คุณก็น่าจะรู้นะคะว่าทำไมถึงต้องมีกฎแบบนี้ออกมา” รุกะถามเข้าประเด็นทันที
         “แหม ไอ้ผมมันก็แค่พ่อค้าขายโอเด้งธรรมด๊าธรรมดา จะไปรู้อะไรได้ยังไงครับ”
         “ผมขอเต้าหู้ทอด ชิกุวะ หมึกยักษ์ แล้วก็ไชเท้าเพิ่มด้วยครับ” เอย์จิแทรกขึ้น
         เจ้าของร้านธรรมด๊าธรรมดากุลีกุจอตักอาหารเพิ่มให้ตามที่สั่ง แล้วปากก็เริ่มขยับ
         “แต่ลูกค้าของผมเขากระซิบกันนะครับว่าช่วงนี้อสูรในภูเขาชักระส่ำระส่ายหนักเพราะเริ่มมีข่าวลือหนาหูว่ามังกรแดงกำลังจะกลับมาโค่นล้มมังกรขาว ลูกแก้วคันจุถึงโดนขโมยไป”
         “ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ” รุกะถามต่อ
         “เอ อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ” จิ้งจอกขาวฉีกยิ้มแฉ่ง
         “ไข่ม้วนอร่อยจัง ผมขออีกเยอะ ๆ เลยนะ” เออิจิโร่พูดขึ้นบ้าง
         “เอาแต่ไข่ม้วนหรือครับคุณลูกค้า ไม่รับกะหล่ำปลีม้วนกับสาหร่ายคอมบุด้วยล่ะครับ ผมทำสุดฝีมือเลยเชียวนา”
         “พูดมาขนาดนี้แล้ว เอามันฝรั่งมาด้วยเลยแล้วกัน”
         “ตกลงว่าต้นตอข่าวลือมาจากไหนหรือคะ”
         “โอ๊ย พูดกันหลายปาก ข่าวมันก็ผิดมั่งเพี้ยนมั่ง แต่ที่แน่ ๆ อสูรเริ่มแยกกันเป็นกลุ่มเป็นก๊ก ฝ่ายมังกรขาว ฝ่ายมังกรแดง แต่บางพวกก็เก็บซ่อนตัวในเงามืด รอให้ถึงโอกาสของตัวเองอย่างเงียบ ๆ โอ๊ะ ไม่สิ บางทีก็ไม่เงียบนักหรอก”
         “พวกที่ทำร้ายมนุษย์” รุกะพึมพำกับตัวเอง ก่อนถามว่า “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าเป็นพวกไหน”
         จิ้งจอกขาวหลับตาปี๋ ทำท่าคิดหนัก แต่แอบหรี่ตามองลูกค้ามนุษย์ของเขา
              เอย์จิถอนใจเฮือกหนึ่ง
              “เนื้อวัว ไส้กรอก ไก่ทอด”
              “มังกรขาวโกรธจนควันออกหู พวกคุณคงสังเกตใช่ไหมครับ เสียงโคโตะนั่น” เจ้าของร้านโอเด้งเอามือป้องปาก กระซิบกระซาบ “แต่จับได้แค่พวกภูตพรายชั้นต่ำ ไม่มีวี่แววว่าจะสาวไปถึงตัวผู้บงการในเงาได้ จะมีก็แต่ความสงสัยว่าทำไมพวกอสูรเกิดใหม่มันถึงได้โอหังนัก”
              “คุณกำลังจะบอกว่าเป็นฝีมือของอสูรเกิดใหม่งั้นหรือคะ” รุกะกระชั้นถาม
              “อ๊ะ เกือบลืมเลยครับคุณลูกค้า ผมเพิ่งได้สาเกชั้นเยี่ยมฝีมือหมักของท่านมาซาคาโดะ อสูรผู้ทำให้หลงทางในป่ามาเมื่อวานนี้เอง นี่จากถังหมักถังเดียวกับที่ส่งให้มังกรขาวเลยนะครับ”
              “เอามาสามขวดเลยค่ะ”
              “รับเป็นสาเกร้อน ๆ สามขวด ขวดละสองหมื่นเยน ได้เลยครับผม”
              คนสั่งร้องกรี๊ด
              “สองหมื่น นี่มันสาเกหรือทองคำกันแน่คะ!?”
              “โธ่ คุณลูกค้า ก็นี่ฝีมือท่านมาซาคาโดะเลยนะครับ กว่าจะหลอกล่อขอแบ่งมาได้ก็ลำบากแทบแย่ ราคามันก็ย่อมสูง...นิดหน่อย” จิ้งจอกขาวกระหยิ่มยิ้มย่อง
              รุกะเหยียบเท้าเออิจิโร่ซึ่งก็ใช้ศอกกระทุ้งชินจิอีกทอดหนึ่ง แต่ชินจิกลับทำหน้าเหรอหรา จนเอย์จิต้องกระซิบบอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักว่า
               “นายถามแทนทีสิ”
               “ชิโนซากิซังครับ อสูรเกิดใหม่อะไรนี่ต้องการทำร้ายมนุษย์จริง ๆ หรือครับ”
               “ใช่แล้วครับ ชินจิคุง พวกนี้ถือตนว่ามีพลัง ไม่อยากอยู่ใต้อาณัติของใคร ไม่ต้องการเชื่อฟังคำสั่งของมังกรขาว ก็เลยคอยหาโอกาสสำแดงพลังอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งก็คงเป็นเพราะต้องการจะท้าทายมังกรขาวโดยตรงนั่นเองแหละครับ”
               ได้ยินคำตอบแบบไม่โยกโย้อย่างนี้แล้ว ฝ่ายมนุษย์ก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ หนอย เจ้าจิ้งจอกขาวจอมเจ้าเล่ห์ พอเป็นคนโปรดของตัวเองถามเข้าหน่อยล่ะก็ ตอบแบบไม่มีกั๊กเลยนะ!
                “พวกอสูรเกิดใหม่พวกนี้เป็นใครกันหรือครับ” ชินจิถามต่อ
                “ก็อสูรที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ อายุน้อย ๆ ไม่เกินสี่ห้าร้อยปี และจากสายข่าวของผม เจ้าตัวสำคัญที่มีอิทธิพลมากที่สุดตอนนี้ก็คือ อาคางิ ข่าวว่าหมอนี่ทะเยอทะยานและกำลังสะสมกำลังอสูรอยู่อย่างเงียบ ๆ เพื่อต้องการโค่นล้มมังกรขาว”
                “อาคางิ” ชินจิทวนคำ ขณะที่เอย์จิโพล่งถามทันควัน
                “พวกอาคางิใช่ไหมครับที่เป็นคนทำร้ายชินจิ”
                “โอ๊ะ คุณลูกค้า สาเกหมดแล้วนี่ครับ” จิ้งจอกขาวเจ้าของร้านหยิบขวดทกคุริสีขาวขุ่นขึ้นมาเล็งแล แล้วแกล้งเทให้เห็นว่าไม่มีเหล้าเหลืออยู่ในขวดแล้ว
                “ชิโนซากิซังครับ เป็นพวกอาคางิจริง ๆ หรือครับที่ทำร้ายผม” ชินจิต้องช่วยถามซ้ำ
                “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจครับ” จิ้งจอกขาววางขวดเปล่าลงที่เดิม ครั้งนี้น้ำเสียงและสีหน้าของเขาไม่มีความช่างเล่นเจ้าเล่ห์เหลืออยู่อีกต่อไป
                “แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ชินจิคุงกำลังตกอยู่ในอันตราย เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความจงใจของใครบางคนที่ต้องการทำร้ายคุณ เหตุผลผมไม่รู้ แต่คุณต้องระวังตัวเองให้ดีนะครับ”
                ชินจิฟังแล้วหน้าซีดลงด้วยความกลัว ภาพน่าสยองขวัญในป่ายังติดตาเขาอยู่ ตัวของชายหนุ่มขยับเข้าหารุ่นพี่ของเขาโดยอัตโนมัติและรุ่นพี่ก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่เขาไว้
                ดวงตาเฉียงแบบสุนัขจิ้งจอกจ้องเขม็ง เส้นเลือดที่ขมับชักเริ่มปูดโปน แต่ปากยังยิ้มแฉ่ง
                “ตกลงรับสาเกเพิ่มอีกขวดนะครับคุณลูกค้า” พูดจบก็หันไปหยิบขวดทกคุริที่อุ่นร้อนเอาไว้มาให้แทนที่ขวดเก่า แถมยังรินเหล้าใส่ในจอกเหล้าโจโกะให้อีกเป็นการรวบรัดซ้ำสอง
                รุกะกลอกตาอย่างเอือม ๆ ขณะที่คู่หมั้นของหล่อนแอบแง้มถุงเงินดูจำนวนเงินที่ติดตัวมา
                “แต่ผมเป็นแค่คนธรรมดา ทำไมปีศาจพวกนั้นถึงจ้องจะทำร้ายผมละครับ” ชินจิยังกังขา
                “ผมไม่สามารถตอบได้ครับ ได้แต่เพียงคาดเดาเท่านั้น แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตของมนุษย์หรืออสูรก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อชินจิคุงได้ครับ คุณสามารถเข้ามาในอาณาเขตของผมได้ สามารถมองเห็นรถเข็นขายโอเด้งคันนี้ และที่ทะเลสาบ สายหมอกของท่านมาซาคาโดะยังไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้เลย”
                “ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกหรือครับ”
                “ไม่มีเรื่องบังเอิญในโลกใบนี้ครับ จะว่าไปก็มีมังงะของมนุษย์เรื่องหนึ่งกล่าวไว้แบบนี้ด้วย ‘ไม่มีความบังเอิญในโลกนี้ จะมีก็แต่พรหมลิขิต’ ไม่ใช่หรือครับ การที่เราได้พบกันก็เป็นพรหมลิขิต ชินจิคุง”
                ชิโนซากิคิตสึเนะยิ้ม เป็นยิ้มที่ทั้งหวานและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
                ขนที่แขนของชินจิลุกชัน ขนาดว่าใส่ยูกาตะผ้าเนื้อหนาและมีเสื้อคลุมผ้าขนสัตว์คลุมทับอีกชั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวเยือก จนต้องขยับตัวชิดเอย์จิอีกนิด เอย์จิกระแอมเสียงดังทันที โอบกระชับรุ่นน้องของเขาแน่นขึ้นอีกด้วยความหวงแหน ขณะที่คุณจิ้งจอกเจ้าของร้านหรี่ตามอง
                เออิจิโร่ได้จังหวะ พูดแทรกขึ้น
                “อิ่มแล้วคร้าบ โอเด้งของคุณจิ้งจอกอร่อยสุด ๆ ไปเลย”
                รุกะก็พนมมือขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะลง กล่าวว่า
                “โกจิโซซามะเดชิตะ ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ”
                คุณจิ้งจอกเจ้าของร้านหันมาทำหน้าเสียดาย พูดอ่อย ๆ ว่า
                “อิ่มกันแล้วเหรอครับ ผมกำลังจะเสนอโมจิแสนอร่อยให้ลองชิมอยู่ทีเดียว”
                “เอาไว้ครั้งหน้าก็แล้วกันครับ พวกผมจะมาอุดหนุนใหม่” เออิจิโร่เป็นฝ่ายฉีกยิ้มบ้าง รอยยิ้มที่ฉีกกว้างเหมือนกับกระเป๋าเงินของเขาที่ฉีกเป็นริ้ว ๆ นั่นแหละ
                ชิโนซากิคิตสึเนะเดินออกมาส่งลูกค้าของเขาที่หน้าร้าน แต่มีทีท่าอาลัยอาวรณ์ชินจิเป็นพิเศษ
                “แล้วมาอุดหนุนใหม่นะครับชินจิคุง ผมจะลดราคาให้เป็นพิเศษยิ่งกว่าครั้งนี้เลย”
                “นี่ลดราคาแล้วเหรอเนี่ย” เออิจิโร่บ่นงึมงำ ใช้ศอกกระทุ้งรุกะที่เดินอยู่ข้าง ๆ กระซิบว่า
                “ให้ฉันยืมตังค์ด้วยนะ เดือนนี้ติดตัวแดงแหง ๆ”
                รุกะไม่พูดอะไร แต่เอาถุงผ้าลายดอกไม้ที่ถือติดมือมาเปิดเทให้เห็นกันจะ ๆ ว่า หล่อนหมดตัวเหมือนกัน!
                สำหรับชินจิ เมื่อเจ้าของร้านพูดแบบนั้น เขาก็โค้งขอบคุณและพูดตามมารยาทว่า
                “ขอบคุณสำหรับอาหารครับ ผมจะมาอุดหนุนใหม่แน่ ๆ ครับ”
                เสียงกระแอมกระไอของรุ่นพี่ที่ยืนเบียดอยู่ใกล้ตัวดังขึ้นทันที ในขณะที่คุณจิ้งจอกเจ้าของร้านดีใจจนหางเป็นพวงส่ายไปมาไม่หยุด
                เอย์จิชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตงิด ๆ แล้วในเมื่อกระแอมจนคอจะแตกแต่ไม่มีใครสนใจ เอย์จิจึงจับแขนคนของเขาลากมาเสียเลย
                “ไปกันได้แล้ว”
                ชินจิเดินตามแต่โดยดี แต่ก็ยังเหลียวหลังกลับไปมอง เห็นคุณเจ้าของร้านโค้งให้อีกครั้งและในหูของเขาก็ได้ยินเสียงเยียบเย็นของจิ้งจอกขาวดังก้องไปมา
                “ขอบคุณที่มาอุดหนุนและขอบคุณที่เคยช่วยผมไว้ ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ชินจิคุง”
                เอย์จิได้ยินเสียงนั้นด้วย จึงถามด้วยความสงสัยว่า
                “นายไปช่วยจิ้งจอกขาวไว้ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้”
                ชินจิก็แปลกใจเหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกออก ต้องเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่สีขาวตัวนั้นแน่ ๆ ตัวที่เขาเจอในป่าระหว่างทางไปทะเลสาบบิวะ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่เตือนให้หนีไปเท่านั้นเอง
                ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ไม่เห็นอะไรเลย ร่างของคุณจิ้งจอกเจ้าของร้านและรถเข็นขายโอเด้งหายไปเหมือนกับไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
                “ว่ายังไงล่ะ เคยไปช่วยเขาไว้ตั้งแต่ครั้งไหน”
                “วันที่คุณพาผมไปทะเลสาบบิวะครับ ผมเจอหมาจิ้งจอกตัวใหญ่สีขาวในป่า จำได้ไหมครับ ก่อนหน้านั้น เราคุยกันเรื่องล่าสัตว์ คุณก็เอาธนูติดตัวไปด้วย แล้วหมาจิ้งจอกก็โผล่ออกมา ผมกลัวว่าคุณอาจจะยิงมันเข้าก็ได้ ผมเลยไล่มันไป ไม่นึกว่าหมาจิ้งจอกตัวนั้นจะเป็นชิโนซากิซัง แล้วก็ยิ่งไม่นึกใหญ่เลยว่าหมาจิ้งจอกจะเปิดร้านขายโอเด้งกับเขาด้วย”
                “แค่นั้นเองใช่ไหม”
                ชินจิอดยิ้มไม่ได้กับน้ำเสียงเข้ม ๆ แกมคาดคั้นนั่น เขาสอดมือเข้าไปในมือใหญ่ของรุ่นพี่ กระชับแน่น
                “แค่นั้นครับ”
                เอย์จิไม่พูดอะไรอีก เดินจูงมือชินจิตามพี่ชายของเขาและคู่หมั้นของพี่ไปเงียบ ๆ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 16:44:07
               กลับมาถึงบ้าน บิดาของฝาแฝดรออยู่แล้วในห้องดอกบ๊วยกับโอคินะ ข้อมูลที่ได้จากจิ้งจอกขาวชิโนซากิทำให้ฝ่ายมนุษย์ต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง
               เอย์จิยังคงไม่ชอบห้องนี้ แต่เพราะครั้งนี้มีชินจิที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาร่วมด้วยนั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้จิตใจของเขาพอจะสงบลงได้บ้างและสามารถนิ่งฟังคนอื่น ๆ พูดคุยกันได้โดยไม่แสดงอาการกระสับกระส่ายมากนัก
               “ฝีมืออาคางิอย่างนั้นรึ” บิดาของฝาแฝดทวนคำ ท่าทางไม่บ่งบอกว่าแปลกใจหรือประหลาดใจ
               ในตอนที่ลูกแก้วคันจุถูกขโมยออกไปจากศาลเจ้าและมีหลักฐานว่าการาสุเท็นงูตนหนึ่งสมรู้ร่วมคิด เหตุผลนี้ก็ได้ถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันไปแล้ว ลูกแก้ววิเศษมีพลังมาก หากอสูรสักตนหนึ่งคิดจะใช้พลังของลูกแก้วในการโค่นอำนาจของเจ้าแห่งขุนเขาคนเก่าก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย
               แต่ข้อมูลที่ว่าอาจมีผู้คิดจะปลุกชีพมังกรแดงนี่สิที่น่าแปลกใจมากกว่า
               ถ้าฮิเดะซึงุหลุดพ้นจากการถูกสะกด ความวุ่นวายเกิดขึ้นแน่ พลังของมังกรแดงมากล้น ถึงมีลูกแก้วลูกใดลูกหนึ่งในมือก็ไม่แน่ว่าจะสามารถควบคุมมังกรแดงได้ดั่งใจ
               “อสูรตนนี้เก่งกาจ ฉลาดเฉลียว เหี้ยมโหดและทะเยอทะยาน อาจคิดทำได้จริง ๆ”
               “อาคางิเป็นปีศาจตะขาบ” เอย์จิกระซิบอธิบายให้ชินจิฟัง เพื่อให้รุ่นน้องตามทันเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่
               “อายุเกือบห้าร้อยปี มีพลังมากกว่าอสูรเกิดใหม่ตนอื่น ๆ ร่างกายแข็งแกร่ง ชอบล่อลวงคนให้เข้าไปในเขตแดน พอโดนตัวมันก็จะกลายเป็นหิน”
               “พูดถึงอาคางิก็ต้องพูดถึงมือขวาของมัน อสูรนกคบไฟ ไทมะซึมะรุ ภายนอกเยือกเย็น แต่ภายในร้อนรุ่มประดุจเปลวไฟ นิสัยโหดเหี้ยมพอกัน” โอคินะว่า
               “ถ้าเป็นอสูรสองตนนี้ หนูก็คิดเหมือนกันค่ะว่าน่าจะเป็นไปได้” รุกะแสดงความคิดเห็น “ถึงชิโนซากิซังจะบอกว่าไม่แน่ใจ แต่ถ้าไม่มีมูล จิ้งจอกขาวก็คงไม่พูดออกมา”
                “รับมือยากทั้งคู่” เออิจิโร่บ่น “ทำไมน้า ไอ้เจ้าพวกนั้นถึงได้อุตรินึกอยากจะปลุกชีพมังกรแดงขึ้นมา ถ้าต้องการคว่ำมังกรขาวก็ทำไปสิ แย่งอำนาจกันเองแท้ ๆ แต่ดันลากเราเข้าไปเกี่ยวซะงั้น ยุ่งยากชะมัด”
                “เธออย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบอย่างนั้นได้ไหมเออิจิโร่” คู่หมั้นของเขาหันมาจิกตาตำหนิ “ต่อให้เป็นแค่สงครามแย่งอำนาจ ไม่มีเรื่องมังกรแดง เราก็ต้องเกี่ยวอยู่ดี อาคางิโค่นมังกรขาวได้แล้ว เธอคิดว่ามันจะหยุดแค่นั้นเหรอ อสูรมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้นต้องหาทางเพิ่มอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด หลังจากมังกรขาว ก็ต้องเป็นตาพวกเราแน่ ๆ”
                “แหม ฉันก็แค่บ่นเฉย ๆ เธอเล่นด่าฉันชุดใหญ่ มันจะไม่มากไปหน่อยรึไง” เออิจิโร่โต้อย่างไม่ยอมแพ้
                มาซาฮารุรำคาญเต็มทน ตวัดสายตามามองเป็นเชิงปราม การต่อล้อต่อเถียงจึงหยุดลงได้
                “อาคางิฉลาดและเจ้าเล่ห์ บงการการาสุเท็นงูและใช้ความละโมบของมนุษย์ขโมยลูกแก้วคันจุ เท่ากับยิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว โค่นอำนาจท่านมิโคโตะและตัดพลังของฝ่ายมนุษย์ แต่คันจุกลับหายสาบสูญไป จึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลูกแก้วมันจุและพลังของมังกรแดงแทน” โอคินะแสดงความเห็นอย่างใจเย็น แล้วหันไปทางชินจิ
                “ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าทำไมชินจิคุงถึงถูกปองร้าย”
                “เอ่อ.. แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยเหรอครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาเฝ้าครุ่นคิดมาตลอด แต่คิดยังไงก็คิดไม่ตก เขาเป็นคนธรรมดา พลังอะไรก็ไม่มีกับใครเขาสักนิด แล้วอสูรจะทำร้ายเขาไปทำไม
                “เขตแดนที่กักมังกรแดงเอาไว้ยังไงล่ะ” เอย์จิอธิบาย สายตาของเขาแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
                “ฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วว่านักปัดรังควานบรรพบุรุษของเราใช้พลังทั้งหมดสร้างอาณาเขตขึ้นสะกดและพันธนาการมังกรแดงไว้ พลังของอาณาเขตนั้นแข็งแกร่ง ยากที่ใครจะทำลายได้ง่าย ๆ มนุษย์ธรรมดาเข้าไปใกล้ก็จะรู้สึกทนไม่ไหว ถ้าเป็นอสูรก็อาจจะสลายร่างไปเลย แต่นายกลับเดินเข้าเดินออกเขตแดนของใครก็ได้โดยไม่มีอันตรายสักนิด แม้แต่หมอกของอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนยังสลายตัว พวกอสูรคงสังเกตเห็นเรื่องนี้จึงหมายตานาย หวังยืมมือมนุษย์ทำลายอาณาเขตของมนุษย์เอง”
                 “ผมนี่นะจะทำลายอาณาเขตอะไรนั่นได้”
                 “ถ้าเข้าไปในอาณาเขตได้ก็ทำได้” เอย์จิตอบ “แค่ทำลายวัตถุที่ใช้เป็นแกนกลางเท่านั้น”
                 “ต้นไม้ที่สูงที่สุดนั่นน่ะเหรอครับ” ชินจิค่อยเริ่มระลึกได้
                 “ตาเห็นว่าเป็นต้นไม้ แต่ไม่ใช่ต้นไม้หรอก มันคือกระดาษ ท่านบรรพบุรุษใช้พัดกระดาษของท่านสร้างต้นไม้ไร้ใบขึ้นแสดงเขตแดน และเพราะเป็นกระดาษ ดังนั้นแค่ฉีกออก มันก็ขาดได้ง่าย ๆ แล้ว”
                 “อันนี้แหละที่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมท่านบรรพบุรุษถึงไม่ใช้แกนกลางอย่างอื่นให้มันรู้แล้วรู้รอด เอาให้มันแข็ง ๆ หน่อย ท่อเหล็กสักอันก็ได้ จะได้หักทิ้งไม่ได้ง่าย ๆ นี่เล่นใช้กระดาษ กลัวใครเขาจะทำลายอาณาเขตได้ยากเกินงั้นเหรอ” เออิจิโร่ส่ายหัว
                  รุกะมองหน้าคู่หมั้นของหล่อนเต็มตา
                  “ตอนแรกฉันนึกว่าเธอแกล้งโง่แกล้งทำเป็นเล่นไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าเธอโง่จริง ต่อให้เอาเพชรมาเป็นแกนกลาง แต่ถ้าขยับให้มันเคลื่อนจากจุดเดิม เขตแดนก็สลายแล้ว นี่แสดงว่าที่ผ่านมา เธอไม่เคยตั้งใจเรียนเลยใช่ไหม เรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้”
                  “ก็ใครจะวิชาการแน่นเป๊ะเหมือนเอย์จิสุดที่รักของเธอกันละคร้าบ” เออิจิโร่หน้ามุ่ย “ขอโทษนะ ที่ฉันตั้งคำถามเนี่ยก็เผื่อชินจิคุงเขานะ เพิ่งเคยรับรู้เรื่องพวกนี้ ต้องมีคำถามเยอะแยะแน่ ๆ ฉันก็แค่ถามแทน เพราะชินจิคุงเขาคงไม่กล้าถามอะไรมาก”
                   “ชินจิไม่ถามอะไรปัญญาอ่อนอย่างนั้นหรอก” เอย์จิปกป้องคนของเขา
                   “อ๋อเหรอ...” คนถูกรุมลากเสียง “ไอ้เราก็ลืมไป ชินจิมีนายอยู่ทั้งคนนี่หว่า ไปถามไปอธิบายกันสองต่อสองดีกว่า ถามลึก...ก...ก แค่ไหนก็ได้”
                   คราวนี้มาซาฮารุเลิกใช้สายตา แต่เอ็ดตะโรเสียงดังคับห้องด้วยความเหลืออด
                   “พวกแกทุกคนออกไปจากห้องให้หมด! เดี๋ยวนี้!”
                   นอกจากโอคินะ ทุกคนกระเจิดกระเจิงออกมาจากห้อง เพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของท่านเจ้าบ้าน เออิจิโร่ตัวการพึมพำขำ ๆ ว่า สักวันหนึ่ง ท่านพ่อของเขาต้องแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าเหมือนในการ์ตูนแน่ ๆ แต่คู่หมั้นสาวไม่ขำไปด้วย ขู่แหว
                    “ถ้าเธอยังไม่เลิกนิสัยชักใบให้เรือเสียอีกล่ะก็ ต่อไปเวลาท่านพ่อเรียกพบ ฉันจะเสกชิกิงามิเป็นสวิงรัดคอรัดปากเธอ จะได้ไม่ต้องพูดมากอีก”
                    หญิงสาวพูดด้วยความโมโห
                    “ดูซิ แทนที่จะได้ปรึกษาหารือกัน ถูกไล่ออกมาเลย”
                    “นี่เธอ เดาแผนคู่ต่อสู้ได้ขนาดนี้แล้วยังจะต้องปรึกษาอะไรอีก เป้าหมายพวกมันคือชินจิคุง เราก็ดูแลให้ดีอย่าให้คลาดสายตา แล้วถ้าพวกมันหาจังหวะในช่วงเวลาปกติไม่ได้ มันก็จะต้องลงมือในวันงานเทศกาล เพราะคนเยอะ วุ่นวาย สามารถแฝงตัวเข้ามาได้ง่ายกว่าปกติ แล้วก็ค่อยสร้างความปั่นป่วนและหาโอกาสชิงตัวชินจิคุง เราก็แค่ต้องตรวจตราให้ดีเท่านั้น”
                     “นึกหรือว่าจะทำได้ง่ายอย่างปากพูด เออิจิโร่!” รุกะร้องเรียก เดินแกมวิ่งตามหลังคู่หมั้นที่พอพูดจบก็เดินลอยชายไปอย่างไม่สนใจอะไรอีก
                     “เอ่อ.. มันจะไม่เป็นไรจริง ๆ เหมือนที่เออิจิโร่ซังพูดใช่ไหมครับ”
                     สีหน้าของชินจิไม่แน่ใจเลยสักนิด บางทีเขาก็คิดนะว่าเออิจิโร่ใจเย็นเกินไปหรือทุกคนรอบตัวใจร้อนเกินไปกันแน่
                     หรือตอนนี้เขาอาจจะกำลังตกอยู่ในภวังค์ลวงตา พอรู้สึกตัว ทุกอย่างก็มลายหายไป ไม่มีอสูรและภูตพราย ไม่มีลูกแก้ววิเศษ ไม่มีมนุษย์ที่มีพลังในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย...
                     “นั่นว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปเชียวนะ”
                     เสียงของเอย์จิทำให้เขาหลุดจากภวังค์และตระหนักว่าทุกสิ่งที่กำลังประสบอยู่เป็นความจริง
                     “พลังของเออิจิโร่เป็นของจริงและหมอนั่นไม่เคยประมาท ถึงมันจะนิสัยเสียชอบกวนประสาทชาวบ้านไม่เข้าเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องสำคัญแบบนี้ หมอนั่นต้องมีความคิดอะไรอยู่แล้วแน่ ๆ”
                     “แล้วคุณเดาความคิดเขาได้ไหม”
                     “เราเป็นฝาแฝดกันนะ” เอย์จิยิ้มน้อย ๆ
                     “งั้นเออิจิโร่ซังวางแผนอะไรไว้หรือครับ”
                     “หมอนั่นต้องเรียกกำลังเสริมมาเป็นอันดับแรก เขตแดนในหมู่บ้านไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบ ลำพังแค่คนในศาลเจ้าไม่พอที่จะดูแลได้ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องมีคนช่วย ที่หมอนั่นเดินหน้าตั้งไปอย่างนั้นก็คงไปเตรียมการเรื่องนี้แหละ”
                     “พวกอสูรจะเข้ามาในหมู่บ้านไม่ได้ใช่ไหมครับ” ชินจิถามอย่างมีความหวัง
                     “เข้ามาได้ เพราะเขตแดนของหมู่บ้านทำหน้าที่เหมือนสัญญาณกันขโมยของมนุษย์เท่านั้น ถ้ามีใครใช้กำลังบุกรุกเข้ามา พวกเราก็จะรู้ แต่ถ้าหากสิงร่างของมนุษย์ก็ข้ามแดนมาได้โดยที่อาจไม่มีใครเฉลียวใจ”
                     “งั้นมีอาณาเขตก็แทบไม่ต่างกับไม่มีเลยสิครับ ยังไงพวกมันก็บุกเข้ามาได้อยู่ดี”
                     “อย่างที่บอกไง บ้านที่ติดสัญญาณกันขโมยย่อมดีกว่าไม่ติด อย่างน้อยก็เตือนให้เรารู้ตัวเวลามีใครบุกรุกเข้ามา อีกอย่างหนึ่ง อสูรที่สามารถเข้าสิงร่างมนุษย์ได้มีอยู่ไม่มากนักหรอก ส่วนใหญ่อสูรใช้วิธีแปลงตัวให้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ยังไงพวกมันก็คืออสูรอยู่ดี ไม่สามารถกลบกลิ่นตัวเองได้มิดหรอก”
                      “งั้นถ้าสั่งให้อสูรเข้าสิงร่างมนุษย์ลอบเข้ามาในหมู่บ้านและทำลายแกนกลางของอาณาเขต ก็คือการเปิดประตูให้อสูรตนอื่น ๆ เข้ามาได้อย่างง่ายดายเลยใช่ไหมครับ”
                      เอย์จิพยักหน้า
                      “แกนกลางของอาณาเขตคือกระจกที่ถูกเก็บรักษาไว้ในฮนเด็ง กำลังสมทบที่จะเรียกมาช่วยก็จะดูแลส่วนนี้เป็นพิเศษ ยังไงพวกมันก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”
                      เห็นรุ่นน้องนิ่งไป ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหา เอามือจับไหล่ทั้งสองข้างของรุ่นน้องไว้
                      “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันสัญญา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็จะปกป้องนายให้ได้”
                      “ผมกลัวครับ แต่ไม่มากเท่ากับกลัวว่าคุณจะเป็นอันตรายเหมือนกัน เอย์จิซังครับ” ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเหมือนกับการวิงวอน “ให้ผมปกป้องคุณด้วยได้ไหม อย่าให้คุณต้องทำหน้าที่นี้คนเดียวเลยนะครับ”
                      เอย์จิถอนหายใจ จำนนในความเอาจริงของรุ่นน้อง แต่ก็ดีใจด้วยที่เขามีชินจิอยู่ด้วยกันในวันนี้
                      ชายหนุ่มสวมกอดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต รับปากว่า
                      “ตกลง เราจะปกป้องกันและกัน”
                      “ตลอดไปเลยนะครับ”
                      “ตลอดไป”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 16:55:57
บทที่ 20

        เวลาก่อนงานเทศกาลเป็นช่วงเวลาที่หมู่บ้านคันโจโคเอนกลับมาคึกคักอีกครั้ง
             ในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว พ้นเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีจัดที่สุด ต้นไม้เริ่มผลัดใบทิ้งไป เหลือไว้เพียงแค่ภูเขาสีหม่น ๆ การเก็บเกี่ยวก็ได้เสร็จสิ้นลง ในช่วงเวลานี้ หมู่บ้านจะจัดงานเทศกาลขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานความอุดมสมบูรณ์มาให้ในฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านพ้น งานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงจึงเป็นงานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของหมู่บ้านที่ทุก ๆ คนต่างตั้งตารอ
             คนในหมู่บ้านมีงานทำกันจนเต็มมือ ทั้งจัดเตรียมซ่อมแซมเสื้อผ้าที่จะใช้เดินขบวน ซ่อมแซมและทำความสะอาดรถลากกับเกี้ยวมิโคชิ ฝึกซ้อมการแสดงและดนตรีต่าง ๆ
             ภายในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบ บัดนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงตะโกน เสียงโห่ร้อง และเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ นักท่องเที่ยวที่มาในช่วงเวลานี้ก็จะได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม
             ชินจิก็ยุ่งเหมือนกัน ตอนนี้เรียวกังมีแขกเต็มตลอด หลังจากว่างเว้นมาช่วงหนึ่งเพราะเรื่องคนหาย แต่ถึงมีแขกมาพักตลอด ชายหนุ่มกลับไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เพราะมีคนช่วยที่เรียวกังเยอะขึ้น นอกจากโฮโจ ก็ยังมีเด็กหนุ่มและเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอิซึมิมาช่วยอีกสองคน ทั้งสองคนเป็นลูกหลานหมู่บ้านนี้ แต่ออกไปเรียนในโตเกียวและกลับมาเมื่อมีงานเทศกาล
สึบาเมะจังกับทากะคุง ดูเผิน ๆ เหมือนเด็กหนุ่มสาวธรรมดา ร่าเริงแจ่มใส ขยันขันแข็งทำงาน แต่ชินจิกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาจากเด็กสองคนนี้ และอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหนในเรียวกัง เป็นต้องเจอใครคนใดคนหนึ่งมองตามไม่วางตา ชวนให้รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย
             แต่พอเอามาปรึกษากับรุ่นพี่ เอย์จิกลับบอกให้เขาไม่ต้องสนใจ
             “นายก็ทำงานของนายไป ส่วนใครจะมองก็ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าใส่ใจ จะได้ไม่รำคาญ”
             “แต่ผมอึดอัดนี่ครับ เล่นจ้องเอา ๆ จนผมรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกออกมากลางหัวรึเปล่า ถึงได้มองกันจังเลย” ชินจิทำหน้ายุ่ง เอามือปัดมือของรุ่นพี่ที่พยายามจะจับศีรษะเขาพิสูจน์ ถ้าเอย์จิไม่ช่วยก็ไม่ต้องมายุ่งกับหัวของเขา
             “โอเค โอเค งั้นฉันจะบอกพวกนั้นให้ทำตัวเป็นนินจา ไม่จ้องให้นายรู้ตัว” เอย์จิรับปาก แต่คำพูดนั้นสะกิดใจชินจิ ก่อนจะร้องอ๋อ
             “สองคนนั้นเป็นนักปัดรังควานที่เออิจิโร่ซังเรียกมาช่วย!”
             “ทากะกับสึบาเมะเป็นกงเนงิกับมิโกะอยู่ที่ศาลเจ้าในโตเกียว เก่งทีเดียวล่ะ ใช้ชิกิงามิได้ เออิจิโร่ถึงได้เรียกกลับมา” เอย์จิอธิบาย ก่อนปลอบรุ่นน้องของเขาว่า
             “อดทนเอาหน่อยนะ”
             “ผมเข้าใจ แต่ช่วยเพลา ๆ การจ้องหน่อยก็ดีครับ ผมไม่หายตัวไปไหนหรอก” ชินจิพูดอ่อย ๆ
             เอย์จิเห็นใจรุ่นน้อง เขาเองก็ไม่ชอบนักหรอกที่จะให้ใครมาคอยจ้องชินจิของเขาตลอดเวลา แต่ก็จำต้องอดทน ในเมื่อตัวเขาเองไม่สามารถที่จะดูแลชินจิด้วยตัวคนเดียวได้ ตอนนี้ความปลอดภัยของชินจิต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องอื่น ๆ รวมทั้งอีโก้โง่ ๆ ของเขาให้ตัดทิ้งไปได้เลย
             “ออกไปเที่ยวไหนกันไหม นายจะได้อารมณ์ดีขึ้น”
             “เอ๋ ผมออกไปไหนได้ด้วยเหรอครับ”
             “นายไม่ได้เป็นนักโทษนะ ทำไมจะออกไปไหนไม่ได้ ก็แค่ออกไปในหมู่บ้านนี้แหละ ไม่ได้ไปไหนไกล ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
             ชินจิยังลังเล เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงใด ๆ ช่วงหลัง ๆ จึงอยู่ทำงานในเรียวกังเป็นส่วนใหญ่ จะได้ไม่ต้องให้ใครมาลำบากกับเขา แต่การเก็บตัวมันก็ทำให้รำคาญใจอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในเวลาที่ข้างนอกมีแต่เสียงดังลอยมาให้ได้ยินอยู่ตลอดแบบนี้
             “ยังจำได้ไหม ฉันบอกนายว่าจะพาไปดูไอ้ที่มันสนุกกว่าที่เออิจิโร่พาไปน่ะ”
             คราวนี้ความตั้งใจของชินจิหล่นหายไปในทันที
             “ไปนะ”
             เมื่อรุ่นพี่ชวนอีกครั้ง ชินจิก็พยักหน้ารับหงึก ๆ ด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น
             ได้ออกมาข้างนอก ความเครียดคลายลง แต่ชินจิก็รู้สึกว่า ยังมีคนจับตามองเขาอยู่ตลอด เท่าที่รู้ น่าจะเป็นโฮโจคนหนึ่งล่ะ เพราะเออิจิโร่ยกผู้ช่วยของตัวเองให้เรียวกังไปอย่างถาวรแล้ว แต่โฮโจยังปราณีเขาอยู่บ้างที่ไม่ได้โผล่ออกมาให้เห็นชัด ๆ หรือตามติดจนน่าอึดอัด อาจจะเพราะเห็นว่า ข้างตัวเขา ร่างสูงใหญ่ของรุ่นพี่เอย์จิตามติดไม่ยอมห่างอยู่ทั้งคนแล้วก็ได้
             เอย์จิพารุ่นน้องเดินไปตามถนนสายหลัก ชินจิตื่นตาตื่นใจบรรยากาศของหมู่บ้านที่กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง จากถนนสายหลัก ทั้งคู่เลี้ยวเข้าถนนสายรองและตรอกเล็ก ๆ ตามลำดับจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังย่อมหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้สีดำที่ดูเก่าคร่าและมืดทึม ป้ายชื่อหน้าบ้านเขียนว่า ‘ทาเคดะ’ ประตูด้านหน้าปิดสนิท ดูเหมือนไม่มีใครอยู่บ้าน
             “ที่นี่ที่ไหนครับ” ชินจิถาม มองบ้านไม้ตรงหน้าด้วยความไม่แน่ใจ ที่แบบนี้น่ะหรือที่เอย์จิบอกว่าจะมีอะไรสนุก ๆ ให้เขาดูและเขาจะต้องชอบแน่ ๆ
             เอย์จิไม่ตอบ แต่เปิดประตูเลื่อนไม้ออกอย่างถือวิสาสะ บอกเขาง่าย ๆ ว่า
             “เข้าไปสิ”
             “จะดีเหรอครับ เจ้าของบ้านเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ”
             “เข้าไปเถอะน่า”
             ชินจิเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่มั่นใจ ข้างในมืดตื๋อ ทำให้ชายหนุ่มต้องปรับสายตาอยู่ครู่จึงจะชินกับความมืดภายในบ้าน
             แต่อะไรกันที่อยู่ตรงหน้าเขานั่น
             ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต พอสายตาชินกับความมืดเท่านั้น ก็เห็นอะไรบางอย่างเป็นเค้าโครงราง ๆ จนต้องเพ่งมองให้ชัด และในพริบตานั้นเอง ก็มีแสงเรือง ๆ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ทำให้เขาเห็นอะไรบางอย่างนั้นชัดเจนขึ้น
             “เหวอ!” ชายหนุ่มส่งเสียงร้องลั่น หลบหลังรุ่นพี่ด้วยความตกใจกลัว
             “อะไรชินจิ แค่ตุ๊กตาเท่านั้นเอง” เอย์จิพูดกลั้วหัวเราะ
             “แต่มันจ้องหน้าผม คุณน่าจะเตือนผมก่อนว่าข้างในมันมีอะไร” ชินจิต่อว่าด้วยความขัดเคือง รุ่นพี่ตั้งใจแกล้งเขาแน่ ๆ ก็เล่นให้เขาเดินเข้ามาก่อน เขาก็ต้องเป็นคนแรกที่จ๊ะเอ๋กับเจ้าตุ๊กตาขนาดเท่าคนตัวนี้ในความมืด แล้วมันน่ากลัวน้อยอยู่เสียเมื่อไร ถึงมันจะเป็นตุ๊กตาหญิงสาวใส่ชุดกิโมโนสวยงาม แต่มันหน้าขาวโพลนขนาดนั้น ใครไม่ทันตั้งตัวก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ
             “ออกจะเป็นสาวน้อยแสนสวยขนาดนี้ นายกลับกลัวซะได้” เอย์จิยังแกล้งรุ่นน้องไม่หยุด
             “ก็แล้วทำไมไม่ตั้งไว้ในที่ที่มีไฟสว่างหน่อยละครับ” ชินจิโวย
             “อารมณ์ขันของช่างทำตุ๊กตาไงล่ะ” เอย์จิยิ้ม เดินเข้าไปใกล้ตุ๊กตาเด็กสาวตัวสูงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบเซ็นติเมตร ผมสีดำยาว ติดโบไว้บนศีรษะ สวมกิโมโนสีแดงสดลายดอกไม้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นค้างไว้ระดับเอว เมื่อเอย์จิยกตุ๊กตาหันกลับหลัง แล้วเอาถุงผ้าแบบปากถุงร้อยเชือกแขวนให้ที่มือ ตุ๊กตาสาวน้อยก็ขยับตัว ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสง่างาม ศีรษะหมุนไปทางซ้ายและขวา และเมื่อมันเริ่มเดิน ไฟที่ติดตามทางเดินก็สว่างขึ้นทีละดวง ๆ
             “โอ้โฮ” ชินจิอุทานด้วยความทึ่ง หายตกใจในทันที
             “ตุ๊กตากลไกคาระคุริ” เอย์จิพูดด้วยความภาคภูมิใจ
             ชินจิมองตุ๊กตากลไกเดินไปเรื่อย ๆ ตาไม่กะพริบ ท่ามกลางไฟสว่าง แม่สาวน้อยในชุดกิโมโนสีแดงดูสวยมากกว่าจะน่ากลัว เมื่อมันเดินไปจนสุดทางเดิน เสียงกระดิ่งจากไหนไม่รู้ก็ดังขึ้นกรุ๋งกริ๋ง แล้วตุ๊กตาก็หมุนตัวกลับ เดินมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่เดิม แถมยังโบกมือให้ด้วยก่อนที่จะหยุดเคลื่อนไหว
             “สุดยอดเลย” ชินจิอุทานด้วยความตื่นใจ
             สิ้นเสียงกระดิ่ง ประตูด้านในสุดก็เปิดออกดังครืด ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่หัวยุ่ง ๆ ออกมาดู เขาใส่ชุดเสื้อสเว็ตเตอร์กางเกงอยู่กับบ้านธรรมดา สวมแว่นตาหนาเตอะและต้องขยับแว่นเพื่อเพ่งมองให้ชัด
            “สวัสดีครับ ทาเคดะซัง ผมเอย์จิครับ”
            “ท่านเอย์จิ เข้ามาครับ เข้ามา” ชายคนนั้นร้องเชื้อเชิญพร้อมกับกวักมือเรียก ท่าทางของเขาดูมึน ๆ งง ๆ เบลอ ๆ เหมือนคนอดนอน ดวงตาหลังเลนส์แว่นหรี่ปรือ
           “ผมพารุ่นน้องมาด้วยครับ มาขอชมตุ๊กตา นี่ชินจิครับ”
           “สวัสดีครับชินจิซัง ได้ยินอยู่เหมือนกันว่ามีรุ่นน้องของท่านเอย์จิมาทำงานอยู่ที่เรียวกัง แต่ผมก็ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้ไปทักทายสักที”
            เจ้าของบ้านพูดเร็วปรื๋อผิดกับหน้าตาที่ดูง่วงเหงาหาวนอน เขาเดินนำแขกทั้งสองมาที่ห้องด้านในห้องหนึ่งที่กว้างขวาง ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปข้างในพลางบอกว่า
            “ตามสบายนะครับ ประเดี๋ยวผมจะเอาชามาเสิร์ฟ”
            พูดจบก็เดินหายไปราวกับลมพัด เล่นเอาชินจิอ้าปากค้าง
            “ทาเคดะซังเป็นช่างทำตุ๊กตา” เอย์จิบอก “แล้วนี่ก็ห้องเก็บตุ๊กตาของเขา”
            ถ้าบุคลิกประหลาดของทาเคดะทำให้ชินจิอ้าปากค้างได้แล้ว ห้องที่เขายืนอยู่นี่ก็ทำให้อ้าปากค้างได้ยิ่งกว่า รอบห้องเป็นตู้กระจกสูงติดเพดาน แต่ละตู้แต่ละชั้นมีตุ๊กตาแบบต่าง ๆ เก็บเอาไว้จนเต็มไปหมด
            “ทั้งหมดนี้คือตุ๊กตากลไกหรือครับ”
            “ไม่ทุกตัวหรอก ตุ๊กตาธรรมดาก็มี แต่ส่วนใหญ่เป็นหุ่นชักใย มีทั้งที่ใช้ในการแสดงบนเวทีและแสดงบนรถลากยะไตในงานเทศกาล หมู่บ้านของเราใช้ตุ๊กตาฝีมือทาเคดะซังนี่แหละ แต่นักเชิดหุ่นต้องเชิญมาจากที่อื่นมาช่วย เพราะการเชิดหุ่นในงานเทศกาลต้องใช้ฝีมือระดับอาจารย์”
            ชินจิไล่ดูไปทีละตู้ ข้างในมีตั้งแต่ตุ๊กตาฮินะซึ่งเป็นตุ๊กตาของเทศกาลเด็กผู้หญิง มีครบชุดทั้งตุ๊กตาเจ้าหญิงเจ้าชาย ตุ๊กตาเสนาบดี ตุ๊กตานักดนตรี เสื้อผ้าเป็นไหมอย่างดีปักลวดลายต่าง ๆ และมีสีสันสวยงามสะดุดตา นอกจากนั้นก็มีตุ๊กตาที่เอาไว้ใช้เล่นละคร มีทั้งตุ๊กตาผู้หญิงในชุดกิโมโน ตุ๊กตาซามูไร ตุ๊กตาปีศาจและเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งเป็นตุ๊กตาชักใย และตุ๊กตาอิจิมัตสึซึ่งเป็นตุ๊กตาเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนจริง ดวงตาทำจากแก้วและสีหน้าเคร่งขรึมไร้ความรู้สึก
             “ตู้สุดท้ายคือตุ๊กตากลไก” เอย์จิชี้ให้ดู
             ตุ๊กตาคาระคุริหรือตุ๊กตากลไกดูไม่ต่างจากตุ๊กตาแบบอื่น ๆ เป็นตุ๊กตารูปเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง ใส่ชุดกิโมโนสีต่าง ๆ ตัวเล็ก ๆ ป้อม ๆ กลม ๆ แต่หน้าตามันดูน่ารักจิ้มลิ้มอย่างบอกไม่ถูก บางตัวนั่งอยู่บนกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่วาดเป็นลายดอกไม้หรือวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ แต่ถ้าตุ๊กตาพวกนี้เป็นตุ๊กตากลไกอย่างที่ว่า พวกมันก็ต้องมีกลไกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างตัวที่เขาเห็นตรงทางเดิน
             ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง แต่คนที่เข้ามาไม่ใช่ทาเคดะผู้เป็นเจ้าของบ้าน หากแต่เป็นตุ๊กตาเด็กผู้ชายตัวเล็ก หัวโล้น มีจุกผมเล็ก ๆ อยู่ที่กลางกระหม่อม ใส่ชุดกิโมโนสีน้ำเงินสดคลุมทับด้วยเสื้อแขนกุดชั้นนอกสีน้ำตาลอมส้ม สวมกางเกงฮากามะพื้นสีฟ้ามีลวดลายเหมือนกุญแจไขลาน สวมถุงเท้าทะบิสีขาว สองมือยกถาดที่มีถ้วยน้ำชาวางอยู่ข้างบน เดินกระดุ๊กกระดิ๊กเข้ามาในห้องช้า ๆ
             “ตุ๊กตาเด็กเสิร์ฟน้ำชา” ชินจิอุทานด้วยความชอบใจ เขาเคยเห็นตุ๊กตาแบบนี้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ไม่เคยเห็นใครเอามาใช้จริง ๆ แบบนี้มาก่อนเลย
             ชินจิยกถ้วยน้ำชาขึ้นจากถาด ตุ๊กตาหยุดเดินทันที
             “สุดยอด”
             “ชอบไหมครับ”
             เจ้าของบ้านตัวจริงเดินตามมาทีหลังพร้อมกับถาดน้ำชาและขนมเซมเบ้ใส่ในซองพลาสติก นำมาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยในห้อง
             “คุณสร้างมันขึ้นมาเองหรือครับ” ชินจิถาม
             “ใช่แล้วครับ ผมเรียนกับท่านฮันยะ ช่างทำตุ๊กตากลไก แต่ก่อนผมเป็นช่างนาฬิกา หลงใหลพวกกลไกฟันเฟืองต่าง ๆ อยู่เป็นทุนเดิม ก็เลยสนใจอยากประดิษฐ์ตุ๊กตากลไกพวกนี้ พอเริ่มทำคาระคุริก็เลยกลายเป็นสนใจและสะสมตุ๊กตาอย่างอื่นไปด้วย อย่างในตู้พวกนี้ บางชิ้นก็สร้างเอง บางชิ้นก็ซื้อหามา แต่ก็ยังไม่มีตุ๊กตาชนิดไหนที่ผมชอบมากไปกว่าคาระคุริ”
             ทาเคดะออกไปจากห้องอีกครั้ง ตอนที่กลับมา เขาถืออะไรบางอย่างกลับมาด้วย เอามาวางเคียงกับตุ๊กตาเด็กเสิร์ฟน้ำชาที่ยืนนิ่งอยู่
             “ว้าว” ชินจิอุทานด้วยความทึ่งจัดอีกครั้ง
             ฝาแฝดของตุ๊กตาเด็กเสิร์ฟน้ำชาถูกนำมาวางคู่กัน แต่ตัวหลังนี้ไม่ใส่เสื้อผ้า ทำให้เห็นกลไกและฟันเฟืองต่าง ๆ ที่ทำจากไม้ได้อย่างถนัดตา รูปร่างของมันเป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนตู้ ข้างในมีเฟืองอันใหญ่กับแกนไม้และอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่าง ๆ
             “ใช้เวลาสร้างนานไหมครับ” ชินจิถาม
             “เป็นเดือน ๆ แหละครับถ้าทำเองด้วยมือทุกชิ้น” ทาเคดะพูด ก่อนจะลุกออกจากห้องไปอีก แล้วกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษใบใหญ่ใบหนึ่ง นำมายื่นส่งให้ชินจิ บอกว่า
             “แต่ถ้าเป็นเซ็ตมาแล้วยังงี้ก็ใช้เวลาราว ๆ วันหนึ่งก็ประกอบเสร็จครับ”
             ชินจิเปิดฝากล่องออก ข้างในเป็นชุดตุ๊กตากลไกพร้อมประกอบ ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ทำจากไม้ชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กแยกใส่ไว้ในถุงพลาสติกใส มีหัวตุ๊กตา ถาดกับถ้วยชาและชุดกิโมโนใส่มาให้ด้วย พร้อมกับคู่มือการประกอบ
             “ประกอบไม่ยากครับ ทำตามวิธีในคู่มือก็พอ ผมให้ชินจิซัง”
             “ผมรับไม่ได้หรอกครับ ตุ๊กตาคาระคุริราคาสูง ผมพอจะรู้ ผมเกรงใจ” ชินจิส่ายหน้า เลื่อนกล่องกระดาษคืนกลับไป
             “ราคาแค่สองแสนเยนนิดหน่อยเองครับไม่มากมายอะไร”
             ชินจิฟังแล้วตาโต สองแสนเยนนี่นะ! ทาเคดะซังยังบอกว่าไม่มาก!
             “งานของทาเคดะซังขายได้ราคามากกว่านี้หลายเท่า” เอย์จิช่วยอธิบาย
             ช่างทำตุ๊กตายิ้มแป้น แล้วก็พูดทั้งที่หน้ายังเบลอ ๆ ตายังปรือ ๆ อยู่นั่นแหละว่า
             “รับไปเถอะครับชินจิซัง แต่ถ้าไม่สบายใจเรื่องราคา เดี๋ยวผมเอาบิลไปเก็บที่ศาลเจ้า”
             “หือม์?”
             เอย์จิหันขวับไปมองทันที คนพูดเลยยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก
             ได้ยินเข้าแบบนี้ ชินจิก็ยิ่งอึกอัก พูดอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ไม่กล้าตัดสินใจ จนเอย์จิต้องตัดสินใจแทนให้ด้วยการพยักหน้าอนุญาตนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงกล้าเอื้อมมือไปรับ พร้อมกับโค้งขอบคุณอย่างสุภาพ
             “ผมจะประกอบได้ไหมก็ไม่รู้” ชายหนุ่มพึมพำ
             “ไม่เป็นไร ฉันช่วยเอง” รุ่นพี่ของเขาให้สัญญา และนั่นทำให้ชินจิยิ้มได้อย่างหมดกังวล
             “ขอบคุณครับเอย์จิซัง”
             ทาเคดะเห็นน้ำชาในถ้วยของชินจิหมดแล้ว เขาจึงบอกให้ชายหนุ่มวางถ้วยกลับคืนลงไปบนถาดที่ตุ๊กตาเด็กผู้ชายถืออยู่ ชายหนุ่มทำตาม พอถ้วยชาถูกวางกลับคืนที่ ตุ๊กตาเด็กผู้ชายก็ขยับตัวอีกครั้ง เดินดุกดิกออกไปจากห้อง เจ้าของบ้านก็อุ้มตุ๊กตาฝาแฝดของมันเดินตามหลังไป
             ชินจิมองตาม อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ว่า
             “ปกติช่างทำตุ๊กตากลไกจะต้องเป็นคนละเอียดมาก ๆ ใช่ไหมครับ”
             “ละเอียดลออ ประณีต มีสมาธิ ช้า” เอย์จิตอบยิ้ม ๆ “เวลาทำงาน ทาเคดะซังก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ก็เถอะ”
             เจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เอย์จิจึงขออนุญาตให้รุ่นน้องของเขาได้ชมตุ๊กตากลไกชนิดอื่น ๆ ซึ่งทาเคดะก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเปิดตู้ ค่อย ๆ หยิบตุ๊กตาออกมาทีละตัว เริ่มที่ตุ๊กตานักมายากลก่อนเป็นอันดับแรก ตุ๊กตาเด็กผู้ชายตัวเล็กถือกล่องใบเล็ก ๆ นั่งอยู่บนกล่องไม้ขนาดใหญ่มีขาตั้ง ทุกครั้งที่ตุ๊กตาเด็กยกกล่องใบเล็ก ๆ ในมือขึ้น ของข้างในกล่องจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็เป็นตุ๊กตาเต่า จากนั้นกลายเป็นตุ๊กตาวัว ต่อด้วยตุ๊กตาดารุมะสีแดง และจบลงด้วยลูกบอลผ้ากลม ๆ
             ชินจิตบมือเหมือนเด็ก ๆ ตาเป็นประกาย
             ตัวต่อมาเป็นตุ๊กตาตีลังกาที่ค่อย ๆ ตีลังกากลับหัวลงมาจากบันไดทีละขั้น ๆ จนถึงพื้น แล้วก็ถึงตาของตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัดผมหน้าม้าที่เป่าขลุ่ยและตีกลองได้เอง สุดท้ายเป็นกล่องไม้สีดำที่มีใบพัดติดอยู่ที่ด้านหน้าและระฆังอันเล็ก ๆ ตั้งไว้ด้านบน พอลานหมุน ใบพัดก็จะหมุนและระฆังก็จะถูกตีดังไปพร้อมกัน
             “ลองเปิดฝากล่องด้านข้างดูสิครับ” ทาเคดะซังบอก
             ชินจิทำตาม เมื่อฝากล่องเปิดออก เขาก็เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ อยู่ข้างในกล่อง กำลังตั้งหน้าตั้งตาหมุนแกนไม้เพื่อให้ใบพัดหมุนได้อย่างขยันขันแข็ง
             “น่ารักจัง” ชินจิอุทาน ยิ้มจนตาหยี
            เอย์จิยิ้มตาม ชินจิมีความสุข เขาก็มีความสุข
           
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 16:56:49
            ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับการชมตุ๊กตากลไกแบบต่าง ๆ อยู่นั้นเอง เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกมาหา ทาเคดะกล่าวขอตัว ก่อนจะกระวีกระวาดเปิดประตูออกไปดู จากนั้นอีกครู่ใหญ่ เอย์จิกับชินจิที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู
            ช่างทำตุ๊กตาเจ้าของบ้านกำลังเต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีอกดีใจยกใหญ่อยู่ที่หน้าบ้าน รอบตัวมีลังไม้ใหญ่ ๆ หลายลังตั้งกองอยู่
            “มีอะไรรึเปล่าครับ ทาเคดะซัง” เอย์จิส่งเสียงถาม
            ทาเคดะหันมา สีหน้าของเขาราวกับคนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ชินจิก็เพิ่งเห็นกับตาวันนี้เองว่าวลีที่ว่า ดีใจจนน้ำตาไหล มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ดวงตาปรือ ๆ ของทาเคดะมีน้ำตารื้น แล้วชายกลางคนก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา พึมพำว่า
            “ผมนอนตายตาหลับแล้วครับ ท่านเอย์จิ ชินจิซัง”
            ข้างในลังไม้ที่บุวัสดุกันกระแทกมาอย่างดีที่สุดคือตุ๊กตาตัวสูงประมาณ 100-120 เซ็นติเมตรจำนวนประมาณ 6-7 ตัว เป็นตุ๊กตาชักใยที่ใช้ในการแสดงละคร มีทั้งตุ๊กตานักบวช ตุ๊กตาเจ้าหญิงใส่ชุดยาวกรุยกรายสมัยเอโดะ ตุ๊กตาซามูไรถือดาบ ตุ๊กตาโชกุน ตุ๊กตาใส่หน้ากากเป็นปีศาจ เป็นยักษ์ เป็นลิง แต่ที่ทำให้ทาเคดะตื่นเต้นที่สุดก็คือตุ๊กตาผมยาวฟูสีแดง ใส่หน้ากากมังกร สวมชุดอิคันแบบที่ใส่กันในราชสำนัก โฮหรือเสื้อคลุมยาวตัวนอกเป็นสีแดงทอเป็นลวดลายด้วยเส้นไหมสีทอง ข้างในสวมซะชินุคิหรือกางเกงตัวพอง ๆ สีโอลด์โรส สวมคันมุริสีดำหรือมงกุฎรูปร่างคล้ายหมวกที่มียอดสูง ในมือถือพัด อีกตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาผู้หญิงสาว ผมดำยาวถึงพื้น สวมชุดแบบเจ้าหญิง ใส่โคอุจิกิหรือเสื้อคลุมตัวนอกปักลายละเอียดคลุมทับเสื้อคลุมตัวในยาวลากพื้น กิโมโนตัวในสีขาว ใส่กับฮิบะกามะกระโปรงบานยาวกรอมเท้าสีแดง มือถือรวงข้าวสีทอง
             “เทพเจ้ามังกรกับเทพเจ้าอินาริครับ” ช่างตุ๊กตาพูดด้วยความปลาบปลื้ม น้ำตาทำท่าจะร่วงอีกครั้ง
             “เป็นตุ๊กตากลไก อันที่จริง ผมจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับการแสดงปีนี้นะครับ แต่ไหน ๆ พวกคุณก็เห็นแล้ว ผมจะบอกก็แล้วกัน แต่ขอให้เก็บเป็นความลับด้วยนะครับ”
             ทาเคดะถูไม้ถูมือ
             “การแสดง ‘ระบำมังกร’ ของปีนี้ เราจะไม่ใช้ตุ๊กตากลไกของเดิม แต่จะใช้ตัวนี้ครับ ตุ๊กตากลไกที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ จากช่างตุ๊กตาฝีมือเยี่ยมของโชกุนโตกุกาวะ สปริงทำจากกระดูกปลาวาฬ สร้างตามแบบดั้งเดิมโดยใช้แผนผังกลไกที่ตีพิมพ์ในตำราคาระคุริซุอิทุกอย่าง ตุ๊กตาเทพเจ้าอินาริตัวนี้ก็เช่นเดียวกันครับ จากฝีมือช่างคนเดียวกัน ความพิเศษของตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่สามารถแปลงร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวได้”
             ชายกลางคนเลิกกระโปรงของตุ๊กตาให้เห็นชิ้นส่วนด้านในที่เมื่อกลไกเดินก็จะเปลี่ยนให้ตุ๊กตาหญิงสาวกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำสาส์นของเทพเจ้าอินาริ
             “คุณไปได้มาจากไหนครับ” เอย์จิถาม รู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ตุ๊กตากลไกที่มีอายุยาวนานแต่ยังอยู่ในสภาพดีเช่นนี้ไม่น่าจะหากันได้ง่าย ๆ และราคาคงสูงอย่างน่าขนลุก
             “มีคนแจ้งมาทางสตูดิโอของอาจารย์ฮันยะให้ไปตรวจสอบตุ๊กตากลไกที่ได้มาจากตลาดของเก่า ผลการตรวจสอบระบุว่าเป็นของจริงและเป็นฝีมือช่างของท่านโชกุน ทางสตูดิโอบอกผมต่อ ผมก็เลยขอร้องอาจารย์ฮันยะให้ทำหนังสือขอยืมมาแสดงในงานเทศกาลครับ โชคดีทางเจ้าของเขาอนุญาต นอกจากตุ๊กตากลไกก็ยังให้ยืมตุ๊กตาชักใยพวกนี้มาจัดแสดงด้วยครับ”
             “โชคดีจริง ๆ ผมชักอดใจรอดูการแสดงตุ๊กตาคาระคุริของปีนี้ไม่ไหวเสียแล้วสิครับ” เอย์จิออกปาก ก่อนหันมาทางชินจิที่ตลอดเวลายังไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
             “ชินจิ” เอย์จิเรียก เมื่อเห็นรุ่นน้องของเขายืนมองตุ๊กตาในลังไม้นิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่ที่น่าแปลกคือมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผากของชายหนุ่มรุ่นน้องทั้ง ๆ ที่อากาศในบ้านก็ออกจะเย็นด้วยซ้ำไป
             “ชินจิ” เอย์จิเรียกเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปจับไหล่รุ่นน้องเขย่าเบา ๆ
             ชินจิสะดุ้งเฮือกจนทำให้เอย์จิพลอยตกใจไปด้วย
             “นายเป็นอะไรไปน่ะ”
             “ผม...ผมไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มมีท่าทีงง ๆ “ผมรู้สึกว่าตัวเองลอย ๆ พิกล หัวก็หนัก ๆ มันบอกไม่ถูก”
             “ไม่สบายรึเปล่า” เอย์จิถามด้วยความเป็นห่วง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน แล้วยกหลังมือขึ้นอังหน้าผาก
             “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา” เขาพึมพำ
             “ผมดีขึ้นแล้วครับ ขอบคุณมาก” ชินจิฝืนบอก หน้ายังซีดเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่แล้วจริง ๆ
             “นั่นตุ๊กตาอะไรหรือครับ”
             “ตุ๊กตาชักใยกับตุ๊กตากลไกที่จะใช้แสดงในงานเทศกาลปีนี้” เอย์จิตอบ ยังคงมองรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วง
             “หรือครับ สวยจังเลย ทาเคดะซังสร้างเองเหรอครับ”
             “โอ๊ย ไม่ใช่ฝีมือผมหรอกครับ ตุ๊กตาชั้นสูงแบบนี้ ผมสร้างไม่ไหวหรอก” ช่างตุ๊กตาร้องปฏิเสธเสียงหลง โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน
             “ฝีมือช่างสมัยเอโดะครับ ของเก่า ดูสิครับ สปริงทำจากกระดูกปลาวาฬ เดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะกฎหมายต่อต้านการล่าปลาวาฬนั่นแหละ ตอนนี้เราก็ต้องใช้เหล็กใช้โลหะกันแทน แต่ของดั้งเดิมนี่มันสุดยอดเหลือเกิน เป็นบุญตาบุญมือของผมจริง ๆ ที่ได้สัมผัส”
             ทาเคดะทำหน้าปลื้มปริ่มราวกับได้รับขุมสมบัติทั้งหมดในโลกรวมกัน เอย์จิมองช่างตุ๊กตาของหมู่บ้านด้วยอาการเหมือนอ่อนใจกับการ ‘เล่นใหญ่’ แต่เมื่อเปลี่ยนสายตาไปมองชินจิ เขากลับรู้สึกกังวล เพราะรุ่นน้องของเขาเอาแต่จ้องตุ๊กตาเขม็งเหมือนเห็นของประหลาด เขาคิดว่าจะเห็นชินจิออกอาการดีใจ เพราะเจ้าตัวดูจะชอบของเก่าและของสวยงาม ของมีคุณค่าอะไรพวกนี้ ตอนที่เห็นตุ๊กตาในตู้ของทาเคดะซัง ชินจิยังตื่นเต้น หน้าใสตาใสเหมือนเด็กเห็นของถูกใจ แต่ตอนนี้ทำไมกลับทำหน้าเครียด
              เอย์จิชวนชินจิลาเจ้าของบ้านในอีกครู่ต่อมา เพราะทาเคดะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับแขกอีกแล้ว หลังจากได้รับตุ๊กตาที่รอคอย และเขามั่นใจว่า ชายกลางคนคงจะเอาแต่นั่งจ้องตุ๊กตาพวกนั้นด้วยความหลงใหลโดยไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีกแล้วเป็นแน่
              ขณะที่เดินกลับกันมา รุ่นน้องของเขากอดกล่องกระดาษใส่ตุ๊กตาคาระคุริพร้อมประกอบที่ได้มาเป็นของขวัญแน่น แต่สีหน้าก็ยังดูเครียดอยู่
              “ชินจิ นายเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้”
              “ผมก็ไม่รู้” ชินจิสั่นศีรษะ สีหน้าบ่งบอกความยุ่งยากใจ
              “ผมรู้สึกแปลก ๆ”
              “รู้สึกยังไง” เอย์จิซัก
              “มันแปลก ๆ หัวมันหนัก ๆ อากาศมันข้น ๆ หายใจไม่ค่อยสะดวก”
              “ตอนนี้ล่ะ”
              “ตอนนี้ดีขึ้นแล้วครับ เป็นตอนอยู่ในบ้านของทาเคดะซัง พอออกมาข้างนอกบ้านแล้ว อาการพวกนั้นมันก็หายไปหมด” ชินจิตอบ
              “น่าแปลก ตอนแรกนายก็ยังดี ๆ อยู่เลย”
              “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จะว่าไป มันเป็นตอนเห็นตุ๊กตาในลังไม้พวกนั้นน่ะครับ” ชินจินิ่งไปนิดเหมือนกำลังชั่งใจ แต่ก็พูดออกมาว่า
              “ผมรู้สึกว่าตุ๊กตาพวกนั้นมันแปลก ๆ บอกไม่ถูก ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัว”
              “น่ากลัวเหรอ” เอย์จิทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
              “ครับ มันดูน่ากลัวยังไงไม่รู้”
              “หรือเพราะหน้าตาตุ๊กตา บางตัวก็ใส่หน้ากาก มันเลยยิ่งดูน่ากลัว ตัวมันก็โตมากด้วย” เอย์จิเดา
              “ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ” ชินจิแบ่งรับแบ่งสู้
              เมื่อได้ออกมาข้างนอก เจออากาศปลอดโปร่ง หัวของชายหนุ่มไม่รู้สึกหนักอีกต่อไปและรุ่นพี่ยังจับมือเขาไว้แบบนี้ด้วย ชายหนุ่มก็เลยไม่อยากคิดอะไรให้รู้สึกเครียดเคร่งอีก ดังนั้น เมื่อรุ่นพี่ชวนคุยเรื่องอื่น ๆ ชินจิก็กลับมาสดใสเหมือนเดิมและพูดคุยด้วยอย่างกระตือรือร้น
              ลืมความรู้สึกแปลก ๆ ตอนที่อยู่ในบ้านช่างทำตุ๊กตาไปอย่างสนิท
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 17:02:30
บทที่ 21

        เสียงโคโตะล่องลอยไปทั่วทั้งภูเขา เป็นท่วงทำนองแห่งความคะนึงหาและโหยละห้อยจนผู้ที่ได้สดับรับฟังมีน้ำตาเอ่อคลอตาและหยาดรินลงมาเป็นสาย
        การาสุเทนงูคุโรบะยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบเพื่อหวังให้ใบไม้สีเข้มช่วยพรางร่างของเขาไว้ไม่ให้ใครมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาเช่นนี้
        เสียงเพลงนานาสึโนะโกะจากโคโตะฝีมือบรรเลงของท่านเจ้าแห่งขุนเขาเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดลงกลางหัวใจที่กลัดหนอง อสูรหนุ่มสะอื้นไห้

              แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
              แม่กาเอ่ยตอบว่า
              เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
              อยู่ในภูเขา


         เมื่อก่อนเคยร้องเล่นอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้มีเพียงเขาผู้เดียวที่ร้องเพลงนี้ด้วยน้ำตานองหน้า สหายรักได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทั้ง ๆ ที่คาโตดะแค่ต้องการอยู่อย่างมีความสุขในภูเขาเท่านั้นเอง
         เขาจะทำเช่นไรดีเพื่อไม่ให้คาโตดะต้องตายอย่างสูญเปล่า
         เขาอยากแก้แค้น แต่เขาขลาดกลัวเกินไป แม้แต่จะทำเรื่องที่ถูกต้อง เขายังไม่มีความกล้าพอ
         คาโตดะ... ข้าจะทำอย่างไรดี

         น่ารัก น่ารัก
              แม่กาขับขานเป็นเสียงเพลง
         น่ารัก น่ารัก
         แม่การ้องเรียกหา


         เราเคยยืนอยู่ด้วยกัน มองสรรพสิ่งในโลกเบื้องล่างที่ผันแปร แล้วเจ้าก็เอ่ยปากพูดด้วยความวิตกกังวลว่า อีกไม่นานคงถึงกาลที่ภูเขาอันเป็นที่รักของเราต้องผันแปรบ้าง ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ แต่เมื่อเจ้าพาข้าบินออกมาจากภูเขา ข้าถึงได้เข้าใจ
         พวกมนุษย์จะสร้างความยุ่งยากให้เรา
         พวกนั้นสร้างอาคารบ้านเรือนแผ่กระจายกินแดนไปทั่ว สร้างถนนหนทางกว้างใหญ่เกินจำเป็น เจาะอุโมงค์ทะลุเนินเขาเพื่อสร้างทางให้ขบวนรถไฟยืดยาวเหมือนงูวิ่งผ่าน ป่าถูกบุกรุกเข้ามาเรื่อย ๆ เครื่องจักรกลสมัยใหม่พร้อมทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
         อาณาเขตของพวกเรากำลังจะไม่มีความหมาย แต่มังกรขาวเจ้าแห่งขุนเขากลับไม่มีทีท่าสนใจ ยังคงร่ำสุราและเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีที่บรรเลงขับขานอยู่แทบทุกราตรีในปราสาท
         เจ้าผรุสวาท ข้าจำได้ดี และเจ้าหัวเสียเอามากมายจนข้าต้องรีบปรามให้หยุดเพราะข้ากลัวว่าหากผู้ใดได้ยินเข้าเจ้าจะเดือดร้อน แต่เจ้าไม่สนใจ เจ้าบอกข้าว่า เจ้ารักภูเขาของเรา
   
         กลับไปดูรังเก่าของเจ้าเถอะ
         แล้วเจ้าจะได้เห็น ดวงตากลมโต
         ของลูกที่น่ารักเจ็ดตัว
         อยู่ในภูเขา...


         เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าหวาดกลัวเพียงใด คาโตดะ
         ข้าไม่เคยเห็นด้วยเลยที่เจ้าทรยศเจ้าแห่งขุนเขาแล้วไปเข้ากับอสูรต่ำช้าอย่างอาคางิกับพรรคพวก แต่เจ้าดื้อรั้นเกินไปและข้าก็อ่อนแอเกินไป เราจึงถลำถลึกลงไปด้วยกันทั้งคู่ กว่าจะรู้ว่าโดนอาคางิหลอกลวง ทุกอย่างก็สายเกินไป
         ลูกแก้วคันจุเพื่อการโค่นล้มมังกรขาว จากนั้นคือลูกแก้วมันจุเพื่อปลุกชีพมังกรแดงและทำสงครามกับมนุษย์
         อาคางิต้องการครอบครองทุกอย่าง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้า... สิ่งที่เราต้องการ
         ข้าอ่อนแอ ขี้ขลาด หวาดกลัว ไม่กล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว

         “ข้ารักภูเขาและข้ารักเจ้า ข้าอยากอยู่อย่างสุขสงบในภูเขากับเจ้าไปตลอดชั่วนิรันดร์”
   
             ข้าก็เหมือนกัน คาโตดะ ข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า!
        การตายของเจ้าจะต้องไม่สูญเปล่า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายไปแบบนี้ 
        ข้าไม่ยอม... ข้าไม่ยอม...

             แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
             แม่กาเอ่ยตอบว่า
             เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
             อยู่ในภูเขา

             น่ารัก น่ารัก
             แม่กาขับขานเป็นเสียงเพลง
        น่ารัก น่ารัก
             แม่การ้องเรียกหา

             กลับไปดูรังเก่าของเจ้าเถอะ
        แล้วเจ้าจะได้เห็น ดวงตากลมโต
        ของลูกที่น่ารักเจ็ดตัว
             อยู่ในภูเขา...

   
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 18 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 17:14:08
               นิ้วเรียวยาวของอสูรผู้ครองขุนเขาขยับเหมือนร่ายรำไปตามสายโคโตะสีเหลืองอ่อนทำจากเส้นไหม ใช้สึเมะหรือแผ่นงาช้างรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่สวมอยู่ที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างขวาดีดให้เกิดเป็นเสียงดังบาดหัวใจ
          เพลงที่มิโคโตะบรรเลงชวนให้รู้สึกเศร้าสร้อยและปวดร้าวจนแม้แต่ตัวเองก็ยังทนแทบไม่ได้
          สุดท้ายจึงต้องหยุดลงเสียดื้อ ๆ
          มิโคโตะผละลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งหน้าเครื่องดนตรีไม้ทาสีขาวนวลเหมือนไข่มุก สีหน้าของมังกรขาวเฉยเมย แต่ก็หม่นหมองด้วยเช่นกัน
          ภายในห้องอันกว้างขวางนั้นไม่มีผู้อื่นอีก นอกจากอิบุกิ อสูรอสรพิษผู้เป็นบริวารใกล้ชิดที่สุด อสูรหนุ่มผมสีน้ำตาลยาวเคลียไหล่ ปลายชี้ออกนิด ๆ สวมชุดคลุมยาวสีดำสนิท นั่งอยู่บนเบาะรองอย่างสำรวม ใบหน้าเรียวติดจะเคร่งขรึมเพราะความรู้สึกเป็นห่วง
          มังกรขาวบรรเลงเพลงโคโตะมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะต้องเล่นไปจนตลอดทั้งคืนหรือไม่ แต่การบรรเลงเพลงนี้ก็ทำให้จิตใจของท่านมิโคโตะพลอยเศร้าหมองไปด้วย อิบุกิเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว
          “ถ้าบทเพลงนี้ทำให้ท่านไม่สบายใจ ข้าก็ไม่อยากให้ท่านเล่นมันอีกต่อไป”
          “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก อิบุกิ”
          “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ บอกข้าบ้างได้หรือไม่ โปรดให้ข้าได้ร่วมรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของท่านด้วยเถอะ” อสูรอสรพิษวิงวอน
          “คุโรบะไม่ได้กลับมาที่ปราสาทหลายคืนแล้วใช่หรือไม่” มิโคโตะไม่ยอมตอบคำถาม
          “ถ้าท่านต้องการตัวการาสุเท็นงูตนนั้น ข้าจะไปนำมันมาให้เอง มิพักให้ท่านต้องลำบากเดือดร้อนใจ ขอเพียงท่านมีบัญชาเท่านั้น”
          หากมังกรขาวกลับส่ายหน้าช้า ๆ
          “ทำอย่างนั้น คุโรบะก็จะไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร แถมยังเป็นการกระโตกกระตากให้อาคางิกับพวกรู้ตัวเสียเปล่า ๆ”
          “ไอ้เจ้าพวกอสูรโอหัง” อิบุกิเข่นเขี้ยว “พวกมันรู้ว่ากำลังถูกจับตามองจึงไม่แสดงอะไรออกมาให้เป็นพิรุธ แต่พวกมันต้องวางแผนอะไรอยู่อย่างแน่นอน มันน่าจับมาเค้นคอเสียนัก”
          “ข้าจึงอยากให้คุโรบะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาข้า แล้วพวกเราก็จะรู้ว่าพวกมันวางแผนอะไรกันอยู่”
          “ข้าไม่เข้าใจ ท่านมิโคโตะ ความจริงเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าอาคางิต้องการอะไร ทำไมท่านไม่สังหารมันเสียเลย ทำไมปล่อยมันเอาไว้ให้รกลูกนัยน์ตาอยู่เช่นนี้”
          มิโคโตะถอนหายใจเบา ๆ เบือนหน้ามาสบตากับบริวารคนสนิทของตน
          “ข้าไม่อยากฆ่าใคร ยิ่งเป็นอสูรด้วยกันแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสังหารอาคางิ ก็ยังเหลือพวกของมันอีกมาก มิกลายเป็นว่าข้าต้องฆ่าให้หมดหรอกหรือ”
          “ท่านมิโคโตะใจดีเกินไป”
          “ข้าหรือใจดี” มังกรขาวทวนคำเสียงหยัน “ไม่เลย ข้าไม่ได้เป็นคนใจดีอย่างที่เจ้าว่า ตรงกันข้ามเสียอีก”
          “ข้าขออภัย หากคำพูดของข้าทำให้ท่านต้องคิดถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงอีก” อิบุกิก้มศีรษะจรดพื้น แต่ราชันแห่งขุนเขาโบกมือให้เงยหน้าขึ้น
          “เจ้ามีสิทธิ์พูดได้ทุกอย่างตามที่เจ้าคิด ข้าไม่โกรธเคืองเจ้าหรอก ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
          “แต่ข้าก็ไม่ควรพูด ข้าไม่ควรทำสิ่งใดให้ท่านต้องระคายเคืองใจ”
          “ไม่ต้องปกป้องข้าถึงขนาดนั้นหรอก อิบุกิ เพราะสิ่งที่ข้าทำในอดีตก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
          “แต่ถ้าท่านไม่ทำเช่นนั้น มังกรแดงก็คงใช้ลูกแก้วมันจุสร้างความปั่นป่วนเสียหายจนกลายเป็นภัยพิบัติ ท่านทำถูกแล้วที่สะกดมังกรแดงให้นอนหลับชั่วนิรันดร์”
          “แล้วการที่ข้าส่งโทชิมิตสึให้ไปเป็นผู้ร้องเพลงขับกล่อมฮิเดะซึงุก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วยเช่นนั้นหรือ”
          คำถามของมิโคโตะทำให้อิบุกินิ่งไป
          “ความจริงข้าจะส่งใครไปก็ได้ เพราะฮิเดะซึงุเข้าสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์ไปแล้วด้วยพลังของมันจุ การเล่นดนตรีขับกล่อมก็เพื่อให้พี่ชายของข้านิทราอย่างเป็นสุขเท่านั้นเอง แต่ข้าก็ยังส่งโทชิมิตสึไป ด้วยเหตุผลที่ข้าพยายามบอกตัวเองเสมอมาว่า เป็นเพราะต้องการผนึกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ข้าทำลงไปเพราะหึงหวงโทชิมิตสึกับมิโกะสาวผู้นั้นต่างหาก”
          “พอแล้ว ท่านมิโคโตะ” อิบุกิเอื้อมมือไปจับชายเสื้อคลุมผ้าลูกไม้สีขาวที่ราชันของเขาสวมใส่อยู่ ไม่กล้าที่จะทำมากไปกว่านี้
          แต่มิโคโตะไม่ฟัง ในเมื่อพูดแล้ว เขาก็อยากจะพูดออกมาให้หมด
          “โทชิมิตสึหลงรักนาง ข้ารู้ พวกเขาพบกันใต้ต้นซากุระใหญ่เสมอ โทชิมิตสึจะร้องเพลง เสียงของเขาที่ไพเราะยิ่งกว่าใครมีไว้สำหรับนางผู้นั้นเท่านั้น ข้าริษยานางเหลือเกิน แม้แต่กับข้า ข้าผู้เป็นมังกรขาว แต่เขาก็ยังไม่ร้องเพลงให้ข้าฟังเลย”
          ใจของมิโคโตะนึกย้อนกลับไปไกลแสนไกล ในยุคสมัยที่ยังมีมังกรสองตัวร่วมกันครองขุนเขา มังกรตัวหนึ่งสีแดง เจ้าอารมณ์ ใจร้อน ชอบการต่อสู้ ในขณะที่มังกรอีกตัวหนึ่งสีขาว ใจเย็น รักสงบ ชอบเสียงดนตรี
           มังกรแดงมักมีเรื่องพิพาทกับมนุษย์จากการบันดาลให้เกิดพายุฝนและน้ำป่าพัดท่วมไร่นาเรือกสวนให้เสียหาย ส่วนมังกรขาวมักรับบทผู้ไกล่เกลี่ย คอยทัดทานความกราดเกรี้ยวของผู้เป็นพี่ชาย ทำให้พายุสงบลงกลายเป็นเพียงสายฝนที่ให้ความชุ่มฉ่ำ
           มนุษย์เซ่นสรวงบำบวงมังกรขาว สรรเสริญความดีงามและความเป็นมิตร ผู้ทำพิธีเป็นสาวน้อยหน้าตาหมดจดงดงาม ผิวขาวราวกับหิมะ ผมสีดำเงางามเหมือนไหมชั้นดีผูกรวบไว้ด้านหลังประดับด้วยโนชิซึ่งเป็นกระดาษกับเชือก สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวทับกิโมโนกับฮิบะกามะสีแดงสดและถุงเท้าทะบิสีขาว มือข้างหนึ่งถือคางุระซุสุซึ่งเป็นกระดิ่งสิบสองอันผูกติดไว้กับด้ามไม้ทำเป็นที่จับ มืออีกข้างถือพัดกระดาษ กำลังร่ายรำคางุระประกอบเสียงขลุ่ยและเสียงกลองเพื่อเป็นการบูชาเทพเจ้า
           มังกรขาวเพลิดเพลินกับท่วงทำนองและการร่ายรำ แต่โทชิมิตสึกลับพึงใจแม่สาวน้อยผู้เป็นมิโกะคนนั้น
           มิโคโตะไม่พอใจ ไม่พอใจเลยจริง ๆ
                หัวใจของมังกรขาวที่เคยสงบกลับพลุ่งพล่านจนยากที่จะระงับ มิโคโตะก็ไม่ต่างอะไรกับฮิเดะซึงุหรอก เต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชังและความอิจฉาริษยา อารมณ์ดำมืดเหล่านั้นชักนำให้ทำสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นานา
                “มิโคโตะร่วมมือกับมนุษย์กำจัดผู้เป็นพี่ชาย ส่งโทชิมิตสึไปอยู่ที่ก้นทะเลสาบเพราะเคืองแค้นที่อสูรตนนั้นกล้าปฏิเสธความรักที่เขามอบให้ คนอย่างนี้เจ้ายังจะเรียกว่าใจดีได้อีกอย่างนั้นหรือ อิบุกิ”
                “ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง” อิบุกิยังย้ำเช่นเดิมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เชื่อมั่น “มังกรแดงสมควรต้องถูกสะกด ส่วนท่านโทชิมิตสึก็สมควรทำหน้าที่นั้นแล้ว เป็นอสูรไม่ควรหลงรักมนุษย์ การตัดไฟเสียแต่ต้นลมนับเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
                “แล้วใครกันเล่าเป็นผู้กำหนดว่าอสูรไม่ควรรักกับมนุษย์” มิโคโตะย้อนถาม “เจ้าก็เห็น ข้าทำถึงขนาดนั้นยังไม่สามารถขัดขวางหัวใจรักของทั้งคู่ได้”
                มังกรขาวทอดถอนใจ
                ในตอนนั้น เขาไม่คาดคิดเลยว่า มิโกะสาวน้อยผู้นั้นจะยอมเสียสละตัวเองสร้างเขตแดนล้อมรอบสถานที่สะกดมังกรแดงไว้อีกชั้น
                นางต้องการอยู่กับโทชิมิตสึไปชั่วนิรันดร์
                “ความรักเป็นสิ่งที่มีพลังอันยิ่งใหญ่”
                มิโคโตะรำพึง ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงหน้าเครื่องดนตรีประจำตัวเช่นเดิม นิ้วเรียวขยับจิหรือหย่องรับสายสีขาวทำจากงาช้างเพื่อปรับระดับเสียงของโคโตะใหม่อีกครั้งตามความเคยชิน ก่อนจะกรีดนิ้วสามนิ้วที่ยังสวมสึเมะอยู่ดีดสายให้กลายเป็นท่วงทำนองขึ้นมาอีกครั้ง
                แต่คราวนี้ เพลงนานาสึโนะโกะที่มิโคโตะบรรเลงไม่ได้ฟังละห้อยโหยเหมือนเมื่อตอนแรกเล่นอีกต่อไป

                คุโรบะเกือบจะตะโกนออกมาอยู่แล้วว่า ‘อย่าหยุด!’ ตอนที่เสียงโคโตะจากฮะคุริวจู่ ๆ ก็เงียบไป
                ทันทีที่เสียงดนตรีหยุดเล่น เขารู้สึกว่า ภาพของคาโตดะในใจของเขาก็พลอยหายวับไปด้วย นั่นคือสาเหตุว่า ทำไมเขาถึงอยากจะตะโกนออกมาอย่างนั้น
                เขาไม่อยากสูญเสียคาโตดะไปอีกแล้ว
                การาสุเท็นงูตัดสินใจได้ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง จะต้องหยุดเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ท่านมิโคโตะจะต้องรับรู้ความเลวร้ายที่ข้าได้กระทำ!
                ปีกกว้างสีดำสยายออก คุโรบะกระโดดจากกิ่งไม้ใหญ่ที่ยืนอยู่ โผขึ้นไปในอากาศ มุ่งไปยังทิศทางของปราสาทสีขาว
                แต่อสูรหนุ่มไปไม่ถึงอย่างที่ตั้งใจไว้
                เพราะแค่ทันทีที่ออกบิน ตัวของเขาก็เหมือนตกวูบเข้าไปอยู่ในใจกลางของพายุ ลมร้ายหมุนพาร่างของเขาให้ตกลงมากองกับพื้น
                “อาราชิ” คุโรบะกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ เขาประมาทไปหน่อยจึงไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองหลุดเข้าไปในเขตแดนที่อสูรแห่งพายุร้ายสร้างดักเอาไว้
                “คิดหรือว่าแค่นี้จะทำอะไรข้าได้”
                การาสุเท็นงูที่กำลังเลือดเข้าตาใช้พัดวิเศษโบกสร้างพลังลมเข้าต่อต้านและพาตัวเองแหวกออกมาจากอาณาเขตของอาราชิได้เป็นผลสำเร็จ
                “พลังของพัดเท็นงูช่างวิเศษเสียจริง” เสียงชมเชยพร้อมกับเสียงปรบมือดังขึ้น คุโรบะหันขวับไปมอง ตาเบิกกว้าง
                “อาคางิ!”
                นอกจากอสูรตนนั้น รอบตัวเขาตอนนี้ยังมีร่างของลูกสมุนตนอื่น ๆ ของมันยืนล้อมกรอบ บรรยากาศโดยรอบยังหนักข้นอยู่ เขาทำลายเขตแดนของอาราชิได้ แต่ยังไม่หลุดจากเขตแดนอีกอันที่กางซ้อนอยู่ แถมแรงอัดที่กดทับร่างของเขาบอกให้รู้ว่า เขาคงทำลายอาณาเขตที่สองนี้ไม่ได้ง่าย ๆ
                มันเป็นอาณาเขตของอาคางิ!
                มือของเขากำด้ามพัดแน่น เหงื่อผุดซึมเต็มใบหน้าที่เผือดซีด
                “ทำไมทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นเล่าคุโรบะ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้ามีเรื่องอะไรก็สามารถคุยกับข้าได้ แล้วนี่เจ้ากำลังจะไปไหน จะกลับเข้าปราสาทอย่างนั้นหรือ จะไปพบใครหรืออย่างไร”
                เสียงของอาคางินุ่มนวล ท่าทางของมันก็ยังคงความสุภาพ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย แต่เขารู้ดี มันลงมือสังหารได้ทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่นี่ล่ะ
                ยังจะสมุนของมันอีกล่ะ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะลงมือกันจนเต็มแก่
                “ว่าอย่างไร คุโรบะ เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ”
                “ข้าจะไปพบท่านมิโคโตะ”
                การาสุเท็นงูตอบไปตามตรง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีวันเชื่อคำลวงของเขาอย่างแน่นอน ดังนั้น พอกันทีกับความเท็จและการหลอกลวงทั้งหลาย!
                “จะไปพบท่านมิโคโตะทำไมหรือ”
                “ธุระนั้นเป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” คุโรบะกระชากเสียงตอบ
                “อะไรกัน ทำไมพูดเสียงดังใส่ข้าอย่างนั้น เราเคยพูดจากันด้วยดีมาตลอดไม่ใช่หรือไง”
                อาคางิยังคงสนุกสนานกับการล่อหลอกอีกฝ่ายเล่น ชอบเหลือเกินที่ได้เฝ้ามองความอึดอัดและหวาดกลัวของผู้ที่หลงเข้ามาเป็นเหยื่อ และเมื่อความกลัวทวีถึงขีดสุด เสียงกรีดร้องของเหยื่อจะฟังไพเราะจับใจอย่างที่สุด
                “เรามาคุยกันดี ๆ เหมือนเดิมเถอะนะ”
                “พอที! หลีกทางให้ข้า!”
                เมื่อสุดจะทน คุโรบะก็ตะโกนก้อง สะบัดขนปีกสีดำที่คมราวกับมีดโกนพุ่งใส่ร่างที่ยืนขวางหน้า ก่อนหันไปใช้พัดเท็นงูเสกลมพายุพัดเข้าใส่พวกที่เหลือ หวังจะอาศัยจังหวะชั่วเสี้ยววินาทีนี้หลบหนี แต่เขาไม่สามารถทำลายเขตแดนที่กางล้อมอยู่ได้อย่างที่คิด แล้วในชั่วพริบตาต่อมา ร่างของเขาก็ร้อนเหมือนโดนไฟเผา ร่วงตกลงมาบนพื้น ก่อนจะถูกกระชากด้วยแรงมหาศาลขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง แขน ขาและลำคอถูกรัดรึงด้วยใยเหนียวที่แข็งแกร่ง
                การาสุเท็นงูกัดกรามด้วยความเจ็บปวด ไฟของไทมะซึมะรุแผดเผาร่างของเขา ก่อนจะโดนริคิมะรุจับโยนขึ้นฟ้าให้ซึชิกุโมะพันธนาการอย่างไม่ปราณี
                ตัวคนเดียวอย่างเขาไม่สามารถสู้กับอสูรหลายตนที่รุมกันเข้าโจมตีในคราวเดียวได้จริง ๆ
                “คิดจะทำร้ายข้าอย่างนั้นรึ เจ้าอสูรแก่ไม่เจียมสังขาร” อาคางิพุ่งมือมาบีบคอเขาซ้ำ น้ำเสียงของอสูรผมสีแดงเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม ดวงตาเฉียงฉายแววอำมหิต ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริง
                “ข้ารึอุตส่าห์คิดว่าจะไว้ชีวิตเจ้า”
                “โกหก! ปีศาจกลับกลอกอย่างเจ้าน่ะรึจะไว้ชีวิตข้า เจ้าฆ่าคาโตดะ ตอนนี้เจ้าก็กำลังจะฆ่าข้าอีกคน ทุกอย่างมันเป็นแผนของเจ้าทั้งนั้น”
                “เพิ่งคิดได้เอาตอนนี้น่ะรึ น่าสมเพชเสียจริง อสูรหน้าโง่อย่างเจ้าสมควรตายแล้ว แผนของข้าจะได้สำเร็จ” อาคางิแสยะยิ้ม เกร็งนิ้วเพิ่มแรงบีบ
                คุโรบะพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระ แต่ไม่สำเร็จ สุดท้าย อสูรผู้กลายร่างเป็นนกสีดำก็ค่อย ๆ หมดแรง ดวงตาของเขาพร่ามัว แต่ก็ยังมองเห็นว่า อาคางิกดคมเขี้ยวลงไปที่ต้นคอของเขา
                ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นพร้อมกับที่รู้สึกว่าพิษร้อน ๆ ของตะขาบแล่นไปตามเส้นเลือดทั่วร่าง
                วาระสุดท้ายของเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว
                ในสำนึกสุดท้าย เขามองเห็นใบหน้าของคาโตดะ และถ้าหูของเขาไม่ฝาด คาโตดะกำลังร้องเพลงนานาสึโนะโกะ เพลงที่เคยร้องด้วยกัน น้ำเสียงของคาโตดะดังกังวานชัดเจน สหายรักกำลังยิ้มให้เขาอย่างสดใส
                ข้ากำลังจะได้ไปพบเจ้าแล้ว... รอข้าก่อนนะ... คาโตดะ

               “นอนไม่หลับหรือครับ”
               เอย์จิเบือนหน้ามามองตามเสียงทัก ก่อนจะเปิดยิ้มอ่อนโยนให้รุ่นน้องที่เดินฝ่าความมืดเข้ามาใกล้
               “นายก็นอนไม่หลับเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มย้อนถาม
               เขากำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่คนเดียวตรงระเบียงห้องนอน วางโคมไฟเล็ก ๆ ไว้ใกล้ตัว แสงไฟเรื่อเรืองจากดวงโคมคงเป็นตัวนำรุ่นน้องของเขาให้เดินจากที่ห้องมาหา
               ชินจิพยักหน้ารับตามตรง
               “พรุ่งนี้เป็นวันงานเทศกาลแล้ว ผมกังวล กลัวว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”
               “นั่งลงสิ” เอย์จิตบที่ว่างข้างตัวเบา ๆ ชินจิก็นั่งลงตามคำชวนอย่างว่าง่าย
               “หนาวรึเปล่า”
               ชินจิส่ายหน้า เสื้อคลุมฮาโอริที่เขาใส่ทับยูกาตะอยู่หนาพอจะต้านลมหนาวในตอนกลางคืนได้อย่างสบาย แต่ถึงเขาจะปฏิเสธ เอย์จิก็อดไม่ได้ที่จะถอดผ้าพันคอที่สวมอยู่ออกมาพันรอบคอให้อยู่ดี ผ้าพันคอขนสัตว์ผืนหนาและนุ่ม ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย... ทั้งกายและทั้งหัวใจ
               “ขอบคุณมากครับ” ชินจิพูด ศีรษะเอนพิงลงกับไหล่หนาของรุ่นพี่ เอย์จินั่งนิ่งเป็นหลักที่ไม่คลอนแคลน ริมฝีปากที่มี  รอยยิ้มน้อย ๆ แตะแต้มสยายออกกว้างยิ่งขึ้น
               “เรื่องวันพรุ่งนี้ นายไม่ต้องกลัวหรือกังวลไปหรอกนะ เราทุกคนที่นี่จะไม่มีวันยอมให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด”
               เอย์จิพูดขึ้นในที่สุด
               “ถ้าเอย์จิซังไม่กังวล ผมก็ไม่กังวลด้วย”
               คำตอบที่ได้ยินทำให้เอย์จิอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นี่เขาพยายามเลี่ยงแล้วเชียวนะ แต่ก็ไม่ได้ผลจนได้ ซ้ำยังโดนย้อนเข้าให้เสียด้วย
               “โอเค ก็ได้ ฉันยอมรับ ฉันกังวลนิดหน่อย งานเทศกาลคนเยอะ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ยากจะดูแลได้ทั่วถึง”
               “ผมจะช่วยด้วยอีกแรง”
               “ตัวเองก็เป็นเป้าทำร้ายอยู่แท้ ๆ ยังจะคุย”
               ชินจิลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที จ้องคนพูดด้วยสายตาเหมือนจะเคืองเล็ก ๆ
               “ผมขยันฝึกยิงธนูอยู่ทุกวัน เออิจิโร่ซังกับโอคินะซังยังชมว่าผมฝีมือดี ใช้ธนูปัดรังควานก็ได้แล้ว รับรองว่าผมต้องมีประโยชน์กับพวกคุณแน่ ๆ อย่ากีดกันผมหน่อยเลย ผมก็อยากช่วยเหมือนกันนะ”
               “ฉันจะให้นายช่วยก็ได้ แต่นายต้องสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีและห้ามไปไหนไกลสายตาฉันเด็ดขาด นายทำได้รึเปล่า”
               “ผมสัญญาครับ ผมจะระวังตัวเอง จะไม่หายไปไหนให้คุณต้องเป็นห่วง”
               “ดีมาก” เอย์จิเอ่ยชม มือใหญ่อบอุ่นของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะรุ่นน้อง แล้วดึงเข้ามาใกล้ ให้ศีรษะของชินจิซบลงกับอกกว้างของเขา
               “นายต้องอยู่กับฉัน”
               “ผมจะอยู่กับคุณ”
               เอย์จิหลับตาลง ปล่อยให้คำมั่นของรุ่นน้องประทับลงไปในหัวใจของเขา ถ้าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนในอ้อมแขนของเขาจริง ๆ เขาก็ขอรับไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ชินจิจะต้องปลอดภัย เขาจะไม่ให้มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับชินจิอีกอย่างเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมสูญเสียอีกแล้ว...
               “ดึก ๆ ดื่น ๆ ยังจะสวีทกันอีกวุ้ย พรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่นะ ประเดี๋ยวก็ขาอ่อน หมดแรงกันเท่านั้น แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
               เอย์จิกับชินจิผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินเสียงทักแกมล้อเลียนดังขึ้น เออิจิโร่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย เห็นอีกทีก็มายืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ต่อหน้าเสียแล้ว ข้างตัวสูงใหญ่ของพี่ชายฝาแฝดของเอย์จิคือคู่หมั้นสาวของเขา รุกะสวมชุดยูกาตะสำหรับใส่นอนมีเสื้อคลุมตัวหนาสีเข้มสวมทับ ปล่อยผมสยายยาว ไม่ได้เกล้าขึ้นสูงเหมือนอย่างที่เห็นจนชินตาในตอนกลางวัน ดวงตาของหล่อนที่มองมามีแววตำหนิติเตียนอย่างชัดเจน ไม่ว่ายังไง หญิงสาวก็ยังไม่พอใจเรื่องระหว่างเอย์จิกับรุ่นน้องอยู่นั่นเอง
                “แล้วพวกนายสองคนล่ะ ทำไมยังไม่นอน เที่ยวเดินจับผิดคนโน้นคนนี้อยู่ได้” เอย์จิถามเสียงขุ่น มือของเขายังจับมือของรุ่นน้องไว้ ไม่ยอมให้ชินจิลุกเลี่ยงไปได้ ชายหนุ่มจึงจำต้องนั่งอยู่ที่เดิม ข้าง ๆ เอย์จิ สีหน้าท่าทางเก้อกระดาก
                “ไม่ได้ตั้งใจจะตื่นมาขัดจังหวะใครเลยจริงจริ๊ง” เออิจิโร่ปฏิเสธ พยักพเยิดไปทางภูเขาสูงที่เห็นเป็นเงาดำทะมึนอยู่ไกล ๆ
                 “แต่รำคาญเสียงโคโตะเป็นบ้า เล่นอยู่ได้แต่นานาสึโนะโกะเพลงเดียว รอบแรก ๆ มันก็เพราะดีอยู่หรอก แต่เล่นวนไปวนมาอยู่เพลงเดียวไม่ยอมหยุดนี่มันไม่ไหวนะ แถมยังติดลำโพงซะแบบว่า กลัวใครไม่ได้ยินรึไงก็ไม่รู้”
                 “ฉันก็สงสัยเหมือนกัน ลุกออกมาดูก็เจอเออิจิโร่พอดี” รุกะเสริมเสียงเรียบ
                 “เสียงโคโตะงั้นหรือ ทำไมฉันไม่ได้ยินเลย” เอย์จิขมวดคิ้ว มองหน้าชินจิ รุ่นน้องของเขาก็ส่ายหน้าเช่นกัน
                 “ตอนนี้มันเงียบไปแล้ว” หญิงสาวพูด
                 “แปลก” เอย์จิออกปาก “ทำไมต้องเป็นนานาสึโนะโกะ”
                 “ใครจะไปรู้ได้ว่ามังกรขาวนึกครึ้มใจอะไรขึ้นมา เสียงโหยหวนชะมัด” เออิจิโร่สบถพึม
                 “แต่ฉันว่าไม่น่าเรียกว่าครึ้มใจได้เลยนะ ฟังอย่างกับเสียงร้องไห้ ปกติตอนกลางคืนที่นี่ก็วังเวงจะแย่อยู่แล้ว ยังมาเล่นเพลงอะไรแบบนี้อีก คนจะหลับจะนอนก็ไม่ได้นอนดี ๆ” รุกะผสมโรง แต่บ่นยาวกว่าคู่หมั้นมาก
                 “ถ้ามังกรขาวคิดถึงใครสักคนจริง ๆ เหมือนอย่างในเพลง คนคนนั้นจะเป็นใครหรือครับ” ชินจิถามบ้าง
                 ทุกคนพร้อมใจกันมองไปยังภูเขาสูงเป็นตาเดียว แต่คำถามของชินจิไม่มีใครสามารถตอบได้ และในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงโคโตะเพลงนานาสึโนะโกะก็ลอยตามสายลมมาให้ได้ยินอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-04-2016 19:58:47
สรุปน้องอีกาดำก็ไม่รอดใช่ไหมเนี่ย... น่าสงสารจังเลย :hao5:

เกลียดอาคางิกับพวกอสูรเกิดใหม่มาก ทำให้คนอื่นเค้าทุกข์กันขนาดไหม มันก็ไม่สนใจเลย :katai1:

ปล แล้วจะตามไปอ่านเรื่องอื่นๆของคนเขียนน้า
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 02-04-2016 21:18:58
คุโรบะ รอดมั้ยอ่ะ? อยากให้รอดจังงง :hao4:

มังกรขาวก็มีความรักแฮะ

งานเทศกาลจะมีเรื่องมั้ยเนี่ยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 22:29:54
บทที่ 22

        วันงานเทศกาล อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่มีแดดมาตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเป็นปกติของอากาศในช่วงฤดูนี้อยู่แล้ว ขอเพียงอย่ามีฝนตกลงมาเท่านั้นเอง ซึ่งพยากรณ์อากาศก็บอกว่า วันนี้ฟ้าปิด มีเมฆมาก แต่จะไม่มีฝนตก
        ชินจิชะโงกออกไปมองท้องฟ้าด้านนอก ไม่แน่ใจว่า วิทยาศาสตร์จะใช้ได้กับที่หมู่บ้านนี้หรือไม่ ในเมื่อใคร ๆ ก็รู้ไม่ใช่หรือว่า มังกรเป็นผู้ควบคุมฝน
        ถ้าฝนตกหนัก งานเทศกาลจะต้องยกเลิก ความพยายามของทุกคนจะสูญเปล่า นึก ๆ แล้วก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
        “ชินจิ”
        เสียงเรียกชื่อของเขาจากหน้าห้องนอนทำให้ชายหนุ่มผละกลับมาจากตรงระเบียงที่ยืนอยู่ เดินไปเปิดประตู จากเสียงอย่างเดียว เขาแยกไม่ออกว่าคนที่เรียกเขาคือพี่หรือน้อง ต้องเห็นหน้ากันถึงจะรู้ว่าเป็นใคร
        “เอย์จิซัง” ชายหนุ่มเปิดยิ้มทักทาย
        “พร้อมไหม” รุ่นพี่ของเขาถาม
        “พร้อมครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างหนักแน่น เขายังเห็นริ้วรอยความกังวลแฝงอยู่ในใบหน้าเคร่งขรึมของเอย์จิ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ทัก เพียงเดินตามรุ่นพี่ไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ ที่ศาลเจ้า
        งานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงจัดขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้าหลังจากเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว และเมื่ออัญเชิญเทพเจ้าลงมาจากฟ้าก็จะมีการเฉลิมฉลองและแห่แหนเทพเจ้าไปรอบหมู่บ้านหรือรอบเมือง เพื่อเยี่ยมเยียนตามบ้านให้เกิดสิริมงคล หลังจากนั้นจึงส่งเทพเจ้ากลับคืนสู่ฟ้า ขบวนแห่ในพิธีจึงจัดอย่างยิ่งใหญ่ เริ่มต้นที่ศาลเจ้า ก่อนจะเวียนมาจบที่ศาลเจ้าเช่นกัน
        ชินจิมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ ในขบวนแห่มีผู้คนมากมาย รับหน้าที่แตกต่างกัน เครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนกันด้วย หัวขบวนเป็นกลุ่มนักดนตรีซึ่งเป็นเด็กผู้ชายใส่ชุดคลุมยาวสีขาวลายขนนกหลาย ๆ สี ถือฆ้องอันเล็ก ๆ สีดำ ตามด้วยกลุ่มผู้ชายหนุ่มและวัยกลางคนใส่ชุดแบบคะมิชิโมะ สวมกิโมโนสีเข้มทับด้วยเสื้อนอกไม่มีแขนหรือคะตะงินุสีเทากับกางเกงฮากามะสีเดียวกัน ซึ่งเป็นชุดออกงานของเหล่านักรบ จากนั้นเป็นกลุ่มเด็กหนุ่มวัยมัธยมใส่ชุดฮะคุโจสีขาวล้วนซึ่งเป็นชุดของคนรับใช้ในราชสำนัก เสื้อชั้นนอกเป็นคะริงินุสั้นและไม่บานมากเท่ากับที่พวกขุนนางใส่ สวมกางเกงคุคุริบากามะ เป็นกางเกงฮากามะชนิดสั้น มีจั๊มตรงใต้เข่า สวมหมวกเรียกว่า ตาเตะเอโบชิ เป็นหมวกทรงสูงสีดำ แต่จะสั้นกว่าหมวกชนิดเดียวกันที่พวกขุนนางใส่ เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ตีกลองนำหน้าเกี้ยวมิโคชิ และต่อด้วยกลุ่มผู้ชายวัยกลางคนใส่ชุดอิคันกับหมวกคันมุริสีดำ ซึ่งเป็นชุดสำหรับขุนนางและนักรบใส่ในราชสำนัก โฮหรือเสื้อคลุมตัวนอกกับกางเกงซะชินุคิที่ใส่แทบไม่ซ้ำสีกัน บางตัวพิมพ์ลายรูปกลม ๆ สีทอง สวยงามตื่นตา
        นอกจากนั้นยังมีขบวนชิชิมะอิ แยกเป็นกลุ่มที่สวมหัวสิงห์กับผ้าคลุมและกางเกงผ้าสีเขียวลายวงกลมสีขาวสำหรับเต้นเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากบ้านเรือนผู้คนและกลุ่มนักดนตรีใส่ชุดสีและลายเดียวกัน พวกนี้จะเป่าขลุ่ยและตีกลองให้กับการเต้นของพวกสวมหัวสิงห์ ถัดมาเป็นขบวนของนักเป่าขลุ่ยซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใส่เสื้อคลุมคะริงินุสีเขียวเข้ม มีเชือกสีขาวตกแต่งที่ปลายแขนเสื้อทั้งสองข้าง กับกางเกงซะชินุคิสีฟ้าอ่อน สวมหมวกตาเตะเอโบชิสีดำ และเพราะสมาชิกแต่ละคนของขบวนนี้ยังอายุน้อย ๆ กันทั้งนั้น จึงต้องมีผู้ใหญ่คอยคุมให้อยู่เป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ
        ขบวนแห่จะเริ่มตอนใกล้เที่ยง แต่ก่อนหน้านั้น ได้มีการแยกกำลังคนอีกส่วนหนึ่ง ใส่เสื้อคลุมฮัปปิสีเข้มกับกางเกงผ้าสีต่าง ๆ กัน ไปช่วยกันลากรถลากยะไตจากในโรงเก็บทั่วหมู่บ้านออกมายังลานกว้างด้านนอกซึ่งปกติใช้เป็นลานจอดรถ แต่สำหรับวันงานเทศกาลจะใช้เป็นเวทีกลางแจ้งจัดแสดงรถลากยะไตชั่วคราวและใช้เป็นสถานที่แสดงตุ๊กตาคาระคุริด้วย เพราะความกว้างขวางของมันสามารถจุนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ผู้คนจะได้ไม่มาแออัดกันอยู่ที่ศาลเจ้ามากจนเกินไป
        เอย์จิเห็นรุ่นน้องละล้าละลังมองไปทางโน้นทางนี้ที ไม่ยอมเดินตามมาเสียที จึงเอื้อมมือไปดึงแขนให้เร่งฝีเท้าขึ้น
        “ดูอะไรอยู่ ตามมาเร็ว ท่านพ่อมาแล้ว”
        “โอ้โฮ” ชินจิมองตะลึง หลังจากละสายตาจากขบวนแห่แล้วหันมาเจอกับคนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าไฮเด็ง
        บิดาของเอย์จิใส่ชุดโจเอะสีขาวล้วน ชุดพิธีการของพระชินโต ดูสง่างามและทรงอำนาจน่าเกรงขามสมกับเป็นพระชั้นผู้ใหญ่และเจ้าอาวาสของศาลเจ้า สวมหมวกทรงสูงสีดำหรือตาเตะเอโบชิซึ่งมีความสูงมากกว่าหมวกที่ใส่กับชุดฮะคุโจ เสื้อโจเอะชั้นนอกกับกางเกงซะชินุคิทำจากผ้าไหมเนื้อดีขึ้นเงามันวาว สวมอะซะงุตสึซึ่งเป็นรองเท้าไม้สีดำลงน้ำมันจนขึ้นเงา แต่ในมือข้างขวา แทนที่จะถือไม้ชะคุซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นคันนุชิที่จะต้องถือเวลาใส่ชุดพิธีการ ท่านมาซาฮารุกลับถือดาบด้ามยาวสีดำสนิทแทน
        คนที่สวมทุกอย่างเต็มยศและถูกต้องครบถ้วนคือเออิจิโร่ ชายหนุ่มใส่ชุดโจเอะสีขาวล้วนเหมือนกัน และในมือขวาของเขาถือไม้ชะคุ ไม้คทาสูงประมาณสามสิบเซ็นติเมตรหรือเรียกว่าหนึ่งชะคุ วันนี้พี่ชายฝาแฝดของเอย์จิไม่มีท่าทางขี้เล่นสนุกสนานเหมือนเดิม แต่วางท่าภูมิฐานสง่างามและเคร่งขรึมสมกับที่เป็นคันนุชิของศาลเจ้า และข้างตัวของเขาคือรุกะที่วันนี้ใส่ชุดของมิโกะ เสื้อคลุมชั้นนอกสีขาวมีลายคล้าย ๆ ช่อดอกไม้สีเทาดำ กางเกงฮิบะกามะสีแดงสด สวมถุงเท้าและรองเท้าสานสีขาว ผมรวบเป็นหางม้าประดับด้วยเครื่องประดับผมเป็นกระดาษกับเชือกเรียกว่า โนชิ มือสองข้างประสานกันไว้ที่ด้านหน้า ท่าทางสำรวม
        เออิจิโร่กับรุกะจะร่วมเดินในขบวนแห่ด้วย แต่ท่านมาซาฮารุจะไปอยู่ดูแลความเรียบร้อยที่ลานท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นลานแสดงรถลากยะไตและคาระคุริ โฮโจกับพวกมิโกะและพระฝึกหัดคนอื่น ๆ รวมทั้งสึบาเมะกับทากะแยกย้ายกันไปประจำจุดต่าง ๆ ทั่วหมู่บ้าน เพื่อดูแลความเรียบร้อยร่วมกับตำรวจและอาสาสมัครคนอื่น ส่วนเอย์จิกับชินจิไม่ต้องประจำอยู่ที่จุดไหนเป็นพิเศษ แต่จะเดินไปด้วยกันกับขบวนแห่ คอยดูความเรียบร้อยโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งสองคนจึงไม่ได้ใส่เครื่องแต่งกายพิเศษเหมือนคนอื่น ๆ แต่สวมชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้มธรรมดา พิเศษหน่อยคือสะพายธนูกับกระบอกใส่ดอกศรปัดรังควานเท่านั้น
        “เอย์จิ ชินจิคุง” เออิจิโร่เรียก เมื่อหันมาเห็น พลอยทำให้มาซาฮารุกับรุกะหันมามองด้วย
        “ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” พี่ชายฝาแฝดถาม เอย์จิพยักหน้า
        “โอคินะซังล่ะครับ” ชินจิถามเมื่อมองหาจนทั่วแล้วแต่ไม่พบร่างเล็กแต่แข็งแรงของชายชราเลย ชายหนุ่มจำได้ว่า โอคินะซังไม่ต้องไปประจำจุดไหนเหมือนหลานชายและคนอื่น ๆ ทั้งสิ้น
        “อยู่ในฮนเด็ง โอคินะซังจะต้องเฝ้ารักษาศูนย์กลางของอาณาเขตของเรา” เออิจิโร่ตอบ
        ชินจินึกถึงคำบอกเล่าของรุ่นพี่ว่าอาณาเขตก็เป็นแค่สัญญาณกันขโมย ไม่สามารถกันผู้บุกรุกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย อย่างน้อยก็กันไม่ให้มี ‘อะไร’ ตบเท้าพาเหรดกันเข้ามาในหมู่บ้านได้ง่ายเกินไปนัก
        แล้ว ‘อะไร’ ที่ว่าก็น่าจะหมายถึงพวกอสูรจากในภูเขามิคามิ
        ชินจิเคยได้ฟังแต่คำบอกเล่า ยังไม่เคยเจออสูรที่ไหน นอกจากชิโนซากิคิตสึเนะและพวกยักษ์เล็กที่เคยโจมตีทำร้ายเขา ลึก ๆ ภายในใจ นอกเหนือจากความกลัวแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกเล็ก ๆ ซุกซ่อนอยู่อีก นั่นคือ ความอยากรู้อยากเห็น บางครั้งเขาก็เผลอไผลคิดเรื่อยเจื้อยเหลวไหลไปว่า ถ้าสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า มันก็คงเป็นประสบการณ์สุดยอดอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
        ชายหนุ่มหยุดคิดเรื่องเหลวไหล เมื่อได้ยินเสียงเข้มของท่านมาซาฮารุประกาศว่า
        “ได้เวลาแล้ว”
        ขบวนแห่เริ่มเคลื่อนออกจากศาลเจ้า เอย์จิจับมือชินจิฉุดให้เดินนำหน้าขบวนไปก่อน ออกไปปะปนกับบรรดานักท่องเที่ยวที่พากันมาจับจองที่ตามถนนหนทางที่ขบวนจะผ่านเพื่อให้ได้มุมที่ดีที่สุด คนมากันมากจริงอย่างที่กะกันไว้ นอกจากนักท่องเที่ยวธรรมดาก็ยังมีพวกตากล้องที่แบกกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่วิ่งดักหน้าดักหลังขบวนเพื่อจับภาพให้ได้ชัดที่สุด
        ขบวนหยุดเป็นระยะเพื่อให้คนในขบวนทำการแสดงหรือเล่นดนตรี โดยเฉพาะขบวนชิชิมะอิที่งานยุ่งตลอด เพราะเมื่อผ่านบ้านเรือนหรือร้านค้า เจ้าของสถานที่ก็จะขอให้เต้นระบำเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและเสริมสร้างสิริมงคลให้เกิดขึ้น พวกนักดนตรีจะเป่าขลุ่ยและตีกลอง ส่วนพวกที่สวมหัวสิงห์ก็จะเต้นไปเต้นมาพลางชูหัวสิงห์ขึ้นลง ท่วงท่าแข็งแรงและน่าเกรงขาม หัวสิงห์แสยะปากเห็นเขี้ยว เป็นการสร้างความหวาดกลัวให้แก่พวกสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่อาจสิงสู่อยู่ตามบ้านเรือน
        ชินจิอยู่กับเอย์จิตลอดเวลาตามที่สัญญาไว้ เมื่อขบวนหยุด ทั้งคู่ก็หยุดด้วยและร่วมชมการแสดงในขบวนเหมือนกับคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่คนที่จ้องไม่วางตาคือชินจิ แต่เอย์จิเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วก็เลยไม่เห่อเท่าไร ชายหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ แทน แต่ก็ไม่เจอสิ่งใดที่ผิดปกติ
        ขบวนแห่เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ตามถนนรอบหมู่บ้าน แล้ววนกลับตามเส้นทางที่จะไปที่ศาลเจ้า เอย์จิจึงสะกิดรุ่นน้อง ชวนว่า
        “เราไปดูที่ลานท้ายหมู่บ้านดีกว่า ตรงนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
        ชินจิไม่ปฏิเสธ เพราะเขาอยากไปดูรถลากยะไตกับตุ๊กตาคาระคุริในงานเทศกาลอย่างนี้อยู่แล้ว มันคงจะสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งไปกว่าตอนที่ถูกเก็บอยู่ในโกดังหรือในพิพิธภัณฑ์แน่ ๆ
        ตอนที่ทั้งสองไปถึง ที่ลานกว้างแทบไม่มีที่เหลือแล้ว นักท่องเที่ยวที่ดูขบวนแห่อยู่เมื่อสักครู่พากันมาจับจองที่ที่ลานกว้างเพื่อรอชมการแสดงคาระคุริและตุ๊กตาชักใย เมื่อรวมกับคนที่ปักหลักรออยู่ที่ลานท้ายหมู่บ้านตั้งแต่แรกด้วย จำนวนคนก็ยิ่งมากจนแทบจะล้น
        กลางลานกว้าง สูงโดดเด่นเป็นสง่า เห็นได้ชัดเจนแต่ไกล คือรถลากยะไตคันใหญ่สามคัน ตั้งเรียงเป็นแถว เว้นระยะห่างกันพอสมควร รถลากยะไตสร้างจากไม้เหมือนกับเกี้ยวมิโคชิ ตัวรถทาสีต่างกัน ส่วนใหญ่ใช้สีดำหรือแดง ตกแต่งด้วยโลหะสีทอง มีสามชั้น ตรงฐานชั้นล่างสุดประดับด้วยงานแกะสลักไม้ฝีมือละเอียด ชั้นล่างจะสูงกว่าชั้นบน ๆ มีประตูให้คนเข้าไปได้ ชั้นสองและชั้นสามซึ่งเป็นชั้นบนสุดเปรียบเหมือนกับเวทีการแสดง ตรงกลางสร้างเป็นศาลาเล็ก ๆ มีม่านคลุมทั้งสี่ทิศ และส่วนยอดของหลังคาประดับด้วยนกกางปีกสีทองอร่าม
        ชินจิแหงนมองคอตั้งบ่า รู้สึกประทับใจกับความสวยงามที่ได้เห็น แต่เอย์จิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับขมวดคิ้ว เปรยว่า
        “แปลก นี่มันยังไม่ถึงเวลาแสดงคาระคุริสักหน่อย ทำไมเอาตุ๊กตาออกมาแล้ว”
        คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ชินจิสังเกตเห็น บริเวณฐานของชั้นบนสุด มีท่อนไม้ยื่นออกมา และที่ปลายท่อนไม้นั้น ตุ๊กตาคาระคุริเทพเจ้ามังกรผมฟูสีแดง ใส่ชุดอิคัน ยืนนิ่งอยู่ มือข้างหนึ่งถือพัด อีกข้างหนึ่งถือดาบเล่มยาว
        “ทาเคดะซังไม่น่าทำแบบนี้ ไหนว่าจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์”
        “ตุ๊กตาเทพเจ้ามังกรไม่ได้ถือพัดอย่างเดียวหรือครับ ทำไมมีดาบด้วย แล้วถืออาวุธตอนใส่ชุดอิคันนี่ถูกต้องเหรอครับ” ชินจิพลอยแสดงความสงสัย เพราะจำได้ว่า ตุ๊กตาตัวที่ทาเคดะซังตื่นเต้นนักหนาตัวนี้ตอนที่อยู่ในลังไม้มีแค่พัดกระดาษ ไม่มีดาบมาด้วย
        ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกัน บนรถลากคันอื่นก็ปรากฏตุ๊กตาออกมาอีกหลายตัว เป็นตุ๊กตาชักใยที่จะใช้แสดงเรื่อง ‘นายพรานผู้มีความสุขกับคนหาปลาผู้เก่งกาจ’ และบนรถลากคันสุดท้าย ตุ๊กตาคาระคุริรูปเทพเจ้าอินาริก็เดินออกมาด้วย เสียงนักท่องเที่ยวปรบมือกันเกรียวกราว
        “รีบไปหาท่านพ่อกันเถอะ” เอย์จิรู้สึกใจคอไม่ดี ชายหนุ่มเห็นคนที่ดูแลรถลากแต่ละคันมองหน้ากันอย่างงง ๆ บิดาของเขาที่ใส่ชุดโจเอะสีขาวล้วนก็กำลังมองเขม็งไปที่นั่นเช่นกัน มือข้างที่ถือดาบเกร็ง
        “เอย์จิซัง! นั่น!” ชินจิชี้มือสั่นระริกไปทางหนึ่ง
             บนยกพื้นที่จัดไว้เป็นเวทีสำหรับการแสดงละครหุ่นบุนระคุซึ่งแยกเป็นพิเศษต่างหากจากการแสดงคาระคุริและหุ่นชักใยบนรถลากยะไต ปรากฏร่างของตุ๊กตาอีกหลายตัว เป็นตุ๊กตาบุนระคุที่สูงเกือบเท่ามนุษย์จริง ๆ ปกติแล้วต้องใช้นักเชิดหุ่นสามคนถึงจะทำให้ตุ๊กตาขยับได้ แต่ตอนนี้พวกมันขยับได้ด้วยตัวเองราวกับว่ามันเป็นตุ๊กตากลไกแบบหนึ่ง และชินจิสาบานว่า เขาเห็นพวกมันแสยะยิ้มด้วย!
        ทุกคนนอกจากนักท่องเที่ยวคงรับรู้แล้วว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ชาวบ้านที่ใส่เสื้อฮัปปิถอยมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม พูดกันหน้าตาเลิ่กลั่ก
        เอย์จิกับชินจิแหวกคนจนมาถึงที่ที่บิดายืนอยู่ได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกัน ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังมาจากที่ไกล ๆ ทางทิศของศาลเจ้า!
        “เกิดอะไรขึ้น” เอย์จิถามเสียงหลง หันรีหันขวาง มือข้างหนึ่งคว้าแขนของรุ่นน้องจับเอาไว้มั่น
        มาซาฮารุไม่ตอบคำถามของลูกชายคนเล็ก สายตาของเขาจับอยู่ที่พวกตุ๊กตา
        เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นเมื่ออึดใจที่ผ่านมาเหมือนเป็นเสียงสัญญาณ เพราะหลังจากที่ได้ยิน พวกตุ๊กตาบนเวทีและบนรถลากยะไตก็ขยับตัวอีกครั้ง เหล่าตุ๊กตาบุนระคุที่มีทั้งตุ๊กตาเจ้าหญิง เจ้าชาย ซามูไรและสามัญชนชายหญิงเคลื่อนตัวลงมาจากเวทีเหมือนกองทัพทหารที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบ พอลงถึงพื้นดิน พวกมันก็ชักดาบหรือหอกแทงเข้าใส่มนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
        ความโกลาหลเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดร้อง!
        นักท่องเที่ยววิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต นอกจากพวกตุ๊กตาบุนระคุ ยังมีพวกตุ๊กตาชักใยกระโดดจากเวทีบนรถลากยะไตเข้ามาร่วมวงด้วย คนที่หนีไม่ทันก็เลือดสาดกันไปเป็นแถวจากคมอาวุธรวมทั้งคมเขี้ยวของพวกตุ๊กตาปีศาจ
        “ทุกคนอย่าตกใจ!” มาซาฮารุชักดาบออกมาจากฝักพร้อมกับตะโกนเตือนสติคนของหมู่บ้านและสั่งการให้ดูแลนักท่องเที่ยวให้หนีไปตามเส้นทางที่นำไปสู่ศาลเจ้าและวัดที่จัดเตรียมไว้เป็นสถานที่ปลอดภัยในยามที่เกิดเหตุการณ์คับขัน
        เอย์จิกับชินจิไม่กล้ายิงธนูเพราะเกรงว่าจะโดนนักท่องเที่ยวที่วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น พวกอสูรมันร้ายนัก เล่นใช้ตุ๊กตาเขย่าขวัญผู้คนสร้างความโกลาหล คลื่นมนุษย์ควบคุมลำบากยิ่งกว่าอะไร โดยเฉพาะเวลาที่กำลังหวาดกลัว พวกอาสาสมัครกับตำรวจพยายามควบคุมสถานการณ์กันอย่างเต็มที่ทั้งที่แต่ละคนก็ขวัญหายไม่แพ้กัน มีเสียงตะโกนบอกต่อ ๆ กันว่า ลูกปืนใช้ไม่ได้ผล
        “ดอกศรปัดรังควานก็ใช้ไม่ได้ครับ” ชินจิเพิ่งมีโอกาสยิง เป้าของเขาเป็นเจ้าหุ่นชักใยตัวหนึ่งที่เดินตรงทื่อมาหาเขา ดอกศรที่เขายิงพุ่งเสียบหัวมันพอดี แต่ไม่สามารถหยุดมันได้
        “พวกมันไม่ใช่อสูร ถึงมันจะเคลื่อนไหวได้ด้วยพลังของอสูรก็เถอะ เราต้องทำลายเปลือกของมัน” เอย์จิคิดจนหัวหมุน “ทำลายข้อต่อให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือไม่ก็เผามันซะ ตัวมันทำจากไม้ เสื้อผ้าเป็นไหม ติดไฟแน่ ๆ”
        เอย์จิหันไปทางบิดา
        “ท่านพ่อ!”
        มาซาฮารุกำลังเผชิญหน้ากับตุ๊กตาเทพเจ้ามังกรผมฟูสีแดง มันเป็นหัวหน้าของตุ๊กตาปีศาจทุกตัว ถึงจะตัวเล็กกว่าตุ๊กตาบุนระคุ แต่มันว่องไวและดาบของมันร้ายกาจไม่แพ้นักดาบมนุษย์ที่เก่ง ๆ เลย มันสามารถประดาบกับหัวหน้าฝ่ายมนุษย์ได้อย่างสูสี
        “เอย์จิ! ไปที่ศาลเจ้า!” บิดาตะโกนบอกลูกชายโดยไม่หันไปมอง “ไม่ต้องสู้! ไปอยู่กับโอคินะ ทางนี้ฉันจัดการเอง!”
        เอย์จิไม่อยากทำตามคำสั่งของบิดา เขาอยากสู้ แต่เขาใช้ชิกิงามิไม่ได้และดอกศรปัดรังควานยังไม่สามารถใช้กับพวกมันได้อีก สิ่งที่ทำได้คือเอาคันธนูฟาดสู้กับพวกมัน กันไม่ให้เข้ามาถึงตัวเท่านั้น นานไปก็เริ่มหมดแรง พวกตุ๊กตาปีศาจไม่มีท่าทีจะเหนื่อยอ่อน แล้วพอพวกมันปั่นป่วนให้มนุษย์กระเจิงหนีได้แล้ว พวกมันก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชินจิทันที พยายามจะจับตัวรุ่นน้องของเขา
        “ไปเร็วเข้า! เอย์จิ!”
        ชายหนุ่มละล้าละลัง ชินจิอยู่ข้าง ๆ เขา กำลังจะหมดแรงเหมือนกัน มือน่าเกลียดของตุ๊กตาใส่หน้ากากลิงไขว่คว้าจับปลายแขนเสื้อของรุ่นน้องของเขาได้ ชินจิร้องเสียงหลง สะบัดตัวหนีสุดชีวิต เอย์จิหันไปใช้ปลายคันธนูกระทุ้งให้มันหลุดกระเด็นออกไป
        “ระวังข้างหลังครับ!”
        เอย์จิหันขวับมาเจอกับตุ๊กตาเทพเจ้าอินาริ แต่ช้าเกินไปที่จะทำอะไรเสียแล้ว มันสะบัดแขนเสื้อตีใส่จนเอย์จิหน้าหงาย แล้วคว้าหมับเข้าที่คอของชินจิ
        รุ่นน้องของเขาตาเหลือก ขณะที่ชายหนุ่มตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ก็โดนตุ๊กตาตัวอื่นเข้ามารุมอีก เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังหายใจไม่ออก
        ในวินาทีแห่งชีวิตนั้นเอง เอย์จิเห็นแขนของตุ๊กตาปีศาจที่บีบคอชินจิอยู่ถูกตัดกระเด็นลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ไฟลุกพรึบติดชุดที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดีของมัน
        “รุกะ! เออิจิโร่!” เอย์จิร้องด้วยความดีใจ
        พี่ชายฝาแฝดเข้ามาพยุงตัวเขา ขณะที่รุกะดึงตัวชินจิให้ถอยห่างจากตุ๊กตาที่กำลังโดนไฟเผา ผีเสื้อสีน้ำเงินของหญิงสาวบินว่อน พุ่งเข้าโจมตีพวกตุ๊กตาด้วยความเร็วเหมือนลูกกระสุน
        “ตุ๊กตากลไกโจมตีขบวนแห่” เออิจิโร่พูดพลางดึงแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ เขายังอยู่ในชุดโจเอะ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวต่อสู้
        “ได้ยินเสียงเอะอะจากทางนี้ คิดว่าโดนเหมือนกัน ก็เลยรีบมา”
        “คนอื่น ๆ ล่ะ” น้องชายถาม
        “โฮโจส่งผู้นำสาส์นมาแจ้งว่ามีพวกภูตพรายเข้าโจมตีผู้คนตามเส้นเขตแดนรอบนอก แต่พวกมันฝ่าเข้ามาในอาณาเขตไม่ได้ พวกนั้นเลยยังเข้ามาช่วยข้างในไม่ได้”
        “เออิจิโร่! ท่านพ่อ!” รุกะหันมาเรียกคู่หมั้น
        “นายพาชินจิไปที่ศาลเจ้าตามที่ท่านพ่อบอกเถอะ ไปอยู่กับโอคินะซัง ทางนี้เราจัดการเอง” เออิจิโร่บอกแกมสั่ง แล้วพุ่งปราดเข้าไปช่วยบิดาโรมรันกับพวกตุ๊กตาที่ยังเหลืออยู่
        เอย์จิไม่อยากไป แต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของชินจิ จึงคว้ามือรุ่นน้องวิ่ง
        ถนนหนทางในหมู่บ้านยังเต็มไปด้วยผู้คน  ถึงจะมีการประกาศให้เข้าไปหลบภัยที่วัดและศาลเจ้า แต่คนบางส่วนก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ทุกคนวิ่งพล่านด้วยความตระหนกตกใจ นักท่องเที่ยวที่อายุมากก็มีไม่น้อย อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ต้องดูแลคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ทั่วทุกแห่งในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย
        ชินจิพยายามวิ่งตามให้ทัน แต่เขาเหนื่อยและตื่นเต้นเกินไป อีกทั้งยังต้องคอยแหวกฝ่าผู้คนเพื่อหาทาง ตัวของเขาถูกกระแทกไปทางโน้นทางนี้ที สุดท้ายชายหนุ่มก็สะดุดล้ม มือหลุดจากมือเอย์จิ
        “ชินจิ!” เอย์จิหน้าตื่น ร้องเรียกรุ่นน้อง แต่ฝูงชนที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้ากลืนร่างของรุ่นน้องของเขาหายไปและดันตัวชายหนุ่มให้เคลื่อนไปโดยไม่หยุด
        “ชินจิ! นายอยู่ที่ไหน!” ชายหนุ่มหลับตา ตะโกนจนสุดเสียง
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 22:37:35
               เสียงดังเอะอะภายนอกแว่วเข้ามาในฮนเด็งซึ่งเป็นห้องปิดทึบ แท่นบูชาที่ผนังด้านในซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานลูกแก้วคันจุยังว่างเปล่า ต่ำลงไปคือชั้นที่วางกระจกแผ่นกลม กรอบเป็นไม้สลักลวดลายสวยงาม ศูนย์กลางของอาณาเขตของฝ่ายมนุษย์
          โอคินะนั่งคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชานี้ ชายชราสวมชุดฝึกคิวโด กิโมโนท่อนบนสีน้ำเงินกรมท่าเกือบดำ กางเกงฮากามะสีเทาอ่อน สวมถุงเท้าทะบิสีขาว มือข้างซ้ายจับคันธนูค้ำไว้กับพื้น มือข้างขวาวางบนต้นขา ร่างเล็กและแข็งแกร่งของชายชรานิ่งไม่ไหวติง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทเพื่อทำสมาธิ
          ภายในฮนเด็งเงียบสนิท ทำให้ชายชราแยกแยะเสียงต่าง ๆ ออกโดยไม่ยากเย็น เสียงกรีดร้องด้วยความกลัว เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ เสียงร้องเรียกหาคน เสียงร้องไห้ดังระงม โอคินะลืมตาขึ้น
          ชายชราไม่สนใจเสียงภายนอก แต่เสียงก๊อกแก๊กเบา ๆ ที่ประตูต่างหากที่ทำให้ต้องระวัง
          อึดใจต่อมา ประตูของฮนเด็งก็เปิดแง้มออก เป็นจังหวะเดียวกับที่โอคินะขยับตัวอย่างรวดเร็วเกินอายุ พริบตาเดียวเท่านั้น จากที่นั่งคุกเข่าอยู่ ชายชราเปลี่ยนท่าเป็นคุกเข่าซ้าย ขาขวาชันขึ้น คันธนูกระชับมั่นอยู่ในมือซ้าย มือขวาง้างสายเตรียมส่งลูกธนูพุ่งไปหาเป้าหมายได้ทุกวินาที
          “โอคินะซัง เดี๋ยวก่อนครับ”
          เสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนแกมตกใจ ทำให้โอคินะลดธนูลงต่ำ
          “ชินจิคุงรึ”
          “ท่านมาซาฮารุให้ผมมาหลบที่นี่ พวกตุ๊กตาปีศาจโจมตีลานกว้างกับขบวนแห่ วุ่นวายกันไปหมด”
          “ท่านเอย์จิล่ะ” โอคินะถามเสียงขรึม ยังอยู่ในท่าพร้อมรบ แม้ว่าคนที่เข้ามาในห้องจะเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาก็ตาม
          “อยู่ข้างนอกครับ ให้ผมเข้ามาก่อน บอกให้อยู่ในนี้ ห้ามออกไปไหน”
          คำตอบของชินจิไม่มีพิรุธ หน้าตาของชายหนุ่มรุ่นน้องของเอย์จิซีดขาวด้วยความตื่นกลัว ท่าทางลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนธรรมดาที่เพิ่งเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาหมาด ๆ
          โอคินะจึงคลายอาการระมัดระวังตัวลง ลุกขึ้นยืนตัวตรง บอกชายหนุ่มรุ่นหลานว่า
          “ปิดประตูเสีย แล้วไปนั่งด้านโน้น”
          ชินจิทำตามแต่โดยดี ดึงประตูห้องของฮนเด็งปิดลงตามเดิม แล้วจรดฝีเท้าเดินอย่างระมัดระวัง แต่พอเฉียดผ่านร่างของชายชรา ชายหนุ่มก็หยุด
          “มีอะไร ชิน...”
               คำพูดของโอคินะค้างอยู่แค่นั้น ตาเบิกกว้างมองมีดที่แทงทะลุเข้ากลางหน้าอกจนมิดด้าม!

               ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้าน เออิจิโร่ใช้ไฟที่เสกจากชิกิงามิเผาตุ๊กตาที่เขากำลังต่อสู้ด้วย ฝ่ายรุกะก็ใช้ผีเสื้อสีน้ำเงินของหล่อนฉีกร่างของตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งขาดกระจาย ทั้งสองหันไปทางมาซาฮารุที่กำลังต่อสู้ติดพันกับตุ๊กตาเทพเจ้ามังกรที่เหลืออยู่เป็นตัวสุดท้าย
               นกหงส์ไฟของเออิจิโร่พุ่งเข้าโจมตีศัตรูพร้อม ๆ กับผีเสื้อสีน้ำเงินทั้งฝูงที่รุกะเรียกให้เข้าไปช่วย ทำให้ตุ๊กตาของฝ่ายตรงข้ามต้องรับศึกสามทาง สุดท้ายก็เสียท่า ถูกคมดาบของมาซาฮารุบั่นคอจนขาดและถูกเผาซ้ำด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงจากจะงอยปากของหุ่นพยนต์รูปนก การต่อสู้สิ้นสุดลงพร้อมกับตุ๊กตาตัวสุดท้ายที่ถูกทำลายไป
               บนท้องฟ้า ผู้นำสาส์นในรูปนกกระดาษบินวนไปมา พอเออิจิโร่ชูมือขึ้น มันก็บินร่อนลงมาเกาะที่นิ้ว
               “จากที่ศาลเจ้าครับ เราคุมคนให้อยู่ในความสงบได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ออกนอกหมู่บ้านได้ เพราะยังมีพวกภูตพรายอยู่ข้างนอกเขตแดน” เออิจิโร่อ่านข้อความเสียงดังให้ทุกคนฟัง
               “ภูตพรายชั้นต่ำกับตุ๊กตากลไก” รุกะมองซากตุ๊กตาหลายสิบตัวที่ถูกเผาจนเกรียมหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนลาน บางตัวก็ถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
               “ไม่ใช่แค่พวกนี้หรอก รุกะ ดูโน่น”
               หญิงสาวเหลียวมองตามคู่หมั้น และตอนนี้เองที่รุกะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของอะไรบางอย่างที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
               “มังกรขาว” หญิงสาวเบิกตามอง ผีเสื้อสีน้ำเงินสะบัดปีกพึบพั่บด้วยอาการอยู่ไม่สุข เหมือนความรู้สึกของหล่อนในขณะนี้
               อสูรใต้การนำของมังกรขาวปรากฏตัวขึ้นเหมือนเมฆหมอกสีดำทะมึนที่ขอบฟ้า ร่างสูงสะโอดสะองของมิโคโตะยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าสุด ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวผ้าหนาหนักสีดำสนิท กางเกงและรองเท้าบู๊ตยาวถึงเข่าสีดำเหมือนกัน พันผ้าพันคอลายชิโนริสีดำสลับขาวหลวม ๆ ที่คอ
               เยื้องไปทางด้านหลังคืออสูรอสรพิษอิบุกิ ใส่โค้ทตัวยาวสีดำ พันผ้าพันคอสีดำปิดสนิทมาถึงคาง อสูรหนุ่มหน้าเชิด ประสานมือที่สวมถุงมือหนังสีดำสนิทไว้ข้างหน้า สายตาของเขามองแต่มังกรขาวผู้เป็นราชันของตนเท่านั้น
               อีกด้านหนึ่งคืออสูรซาโตริวาคานะ ใส่กิโมโนยาวกรอมเท้าสีขาวสลับดำ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าแปลกตาข้างหนึ่งจับอยู่เฉพาะที่ร่างของมังกรขาว ขณะที่ดวงตาอีกข้างถูกซ่อนเอาไว้ใต้ที่คาดตาสีดำ ถัดไปจากเขาคืออสูรสายฟ้าคามินาริ อสูรผมหยิกสีบลอนด์ทอง รอบดวงตากลมโตทาสีดำ สีเล็บก็เป็นสีดำสนิท เครื่องประดับรอบคอและข้อมือทั้งสองข้างใช้หินและอัญมณีสีดำ แลเห็นเด่นอยู่บนร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า มือข้างหนึ่งถือกระบี่ด้ามยาวสีเงินแวววาว
               อสูรสายลมคาเสะฮายะยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ถัดไปจากอิบุกิ อสูรตัวเล็กผมสีบลอนด์จาง เปลือยร่างท่อนบน เห็นรอยสักที่ลำคอ ดวงตาสีแดงคมวาว ใส่ผ้าปิดปากสีดำ อาวุธคือเคียวยาวกว่าห้าเมตร และริมนอกสุดทั้งสองด้านคืออสูรผู้พิทักษ์เขตแดน มาซาคาโดะและมุราซากิ ทั้งสองตนอยู่ในรูปสายหมอกสีขาวขุ่นและสีม่วงจาง ลอยวนอยู่รอบ ๆ
               “ยกมากันหมดแทบทั้งปราสาท เราสามคนรับมือพวกมันทั้งหมดไม่ไหวหรอกนะเออิจิโร่”
               “ไหวซี่” คู่หมั้นของหล่อนค้าน “ฉันน่ะรอเวลาฉะกับพวกมันมานานแล้ว คราวนี้แหละ ไม่มีใครมาคอยห้ามอีกต่อไป”
เออิจิโร่ถูไม้ถูมือ กระหยิ่มยิ้มย่อง พยักพเยิด
               “ดูท่านพ่อซะก่อน”
               มาซาฮารุยกดาบขึ้น ไม่คิดจะเปิดการเจรจาให้เสียเวลา มังกรขาวยกพวกบุกเข้ามาถึงใจกลางอาณาเขตของมนุษย์ขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุใดให้ต้องยั้งมือ
               ผู้นำฝ่ายมนุษย์เริ่มร่ายเวท

               จิ้งจอกเปลวอัคคี
               คมเขี้ยวกรชะนัยนา
               กายาสำแดงเดโช


               หุ่นพยนต์สำแดงรูปกายเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่มหึมา ปากอ้ากว้างคำรามเสียงสนั่น เขี้ยวขาวและกรงเล็บทรงพลัง ตลอดทั้งร่างคือเปลวไฟอันร้อนแรง
               มันกระโจนเข้าใส่พวกอสูรด้วยความรวดเร็วประดุจลมพัด เป้าหมายคือคอหอยของมังกรขาว
               มิโคโตะยกแขนซ้ายขึ้นกันได้ทันก่อนที่คมเขี้ยวจะขย้ำเข้าถึงตัว พลังสายน้ำของมังกรปะทะกับพลังไฟที่เสกจากพลังเวทปัดรังควาน จิ้งจอกที่ตัวลุกเป็นไฟกระเด็นออกมา แต่ก็สามารถลุกแล่นเข้าโรมรันได้อีกครั้ง
               มังกรวารีกับจิ้งจอกเปลวอัคคีต่อสู้กันเป็นพัลวัน
               หลังจากบิดาเปิดฉากปะทะไปก่อนแล้ว เออิจิโร่กับรุกะก็ร่ายเวทเสกชิกิงามิของตัวเองโจมตีเข้าใส่พวกอสูรทันทีโดยไม่รอช้า นกหงส์ไฟกับผีเสื้อสีน้ำเงินแหวกทะลุสายหมอกเข้าไปถึงตัวฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ยากเย็น แต่ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า ทำให้มนุษย์เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
               “เออิจิโร่ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ!” รุกะตะโกนขณะที่ก้มหลบดาบของคามินาริได้อย่างหวุดหวิด แต่สายฟ้าจากคมดาบก็ทำให้หล่อนตัวสั่นสะท้าน
               “อดทนไว้ก่อน ฉันเรียกกำลังเสริมแล้ว!” เออิจิโร่ตะโกนตอบพร้อมกับยิงลูกธนูปัดรังควานเข้าปะทะกับแขนของอิบุกิที่ยืดยาวออกมาเป็นงูหลายหัวและต้องหลบเคียวคมกริบของคาเสะฮายะในเวลาเดียวกัน
               และก่อนที่ทั้งสองคนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ‘กำลังเสริม’ ของเออิจิโร่ก็มาถึง
               โฮโจ ทากะและสึบาเมะรับสาส์นที่เออิจิโร่ส่งไปถึงก็ผละจากจุดที่ประจำอยู่รีบรุดเข้ามาที่ลานกว้าง เมื่อเห็นฝ่ายของตัวเองถูกรุม ทั้งสามคนก็เข้ามาร่วมวงต่อสู้ ทำให้สถานการณ์ของฝ่ายมนุษย์ดีขึ้น สามารถต่อกรกับอสูรจากฮะคุริวได้อย่างเท่าเทียม
               
               อีกด้านหนึ่ง ภายในฮนเด็งของศาลเจ้าอินาริ โอคินะมองมีดที่ปักอยู่ที่หน้าอกและมองคนที่แทงเขาเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
               ไม่ใช่! นี่ไม่ใช่ชินจิ!
               บาดแผลของชายชราฉกรรจ์เต็มที เลือดออกมาก มือของเขาพยายามจะคว้าตัวคนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของชินจิ แต่ก็ทำไม่ได้ คนผู้นั้นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วตรงไปที่กระจกบนแท่นบูชา คว้ามาถือเอาไว้ในมือ
               โอคินะอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายร่ายเวทสร้างอาณาเขต พลังของชายชราพุ่งเข้าใส่และบีบอัดร่างของคนที่ถือกระจกจนมันส่งเสียงร้องแหลม เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของชินจิอย่างแน่นอน
               “แกเป็นใคร” สิ้นเสียงถามที่ฟังเหมือนคำสั่ง รูปลักษณ์ของชินจิที่ถูกสวมไว้หลุดออกในทันที ใต้ร่างนั้นคือหน้าขาว ๆ ที่ไร้ความรู้สึก
               “ตุ๊กตา” ชายชราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง พวกมันใช้ตุ๊กตานี่เอง จึงไม่มีไออสูรให้จับได้ มันเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ เพราะพวกมันคือหุ่นยนต์ เป็นกลไกที่ขับเคลื่อนได้ด้วยพลังงาน ในกรณีนี้คงเป็นเลือดเนื้อของมนุษย์ มันเอาตุ๊กตามาสวมรูปลักษณ์ของชินจิ เขาจึงพลั้งเผลออย่างไม่น่าให้อภัย
               แต่รู้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
               ชายชราทรุดตัวลง ตาเริ่มพร่ามัว เลือดทะลักออกมาจากหน้าอกจนเสื้อเปียกชุ่ม
               เจ้าตุ๊กตาจากนรกเงื้อมือขึ้น ทุ่มกระจกตกลงแตกกระจายบนพื้น
               อาณาเขตของมนุษย์ถูกทำลายแล้ว!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 22:47:35
บทที่ 23

        ประตูฮนเด็งเปิดผาง
        เอย์จิวิ่งเข้ามา ชะงักกึก ตาเบิกโพลง เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านในชัดแก่ตา
        โอคินะคุกเข่าอยู่บนพื้น มือที่กุมหน้าอกเปื้อนเลือด เหนือร่างของชายชราคือตุ๊กตากลไกตัวใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้ม ทำให้เห็นกลไกและฟันเฟืองด้านในได้ถนัดตา สองมือของมันชูขึ้นเหนือหัว กำเศษแก้วชิ้นใหญ่ที่คงจะเก็บมาจากเศษกระจกที่ตกอยู่บนพื้น เตรียมจะปักซ้ำลงบนร่างของชายชรา
        ถึงแม้จะกำลังตกใจ แต่เอย์จิก็ไวพอตัว ยิงธนูใส่มือของตุ๊กตาให้มันปล่อยเศษแก้วร่วงตกลง แล้วพุ่งปราดเข้าประชิด เอาคันธนูกระทุ้งให้ตัวตุ๊กตากระเด็นออกไป
        “โอคินะซัง!” ชายหนุ่มร้องเรียก ใจหาย
        แต่โอคินะยังพอมีสติเหลืออยู่
        “มันสวมรูปลักษณ์ของชินจิสวมรอยเข้ามาทำลายอาณาเขต” ชายชราบอกเสียงแหบพร่า “ชินจิต้องถูกจับไปแล้ว”
        มันตรงกับสิ่งที่เขากำลังกลัวอยู่พอดี ตอนที่มือของรุ่นน้องหลุดจากมือของเขาแล้วหายไป ใจของชายหนุ่มไม่ดีเลย เขาสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น อาณาเขตโดนทำลาย โอคินะซังถูกทำร้าย และชินจิถูกลักพาตัว
        ตัวการก็คือไอ้พวกตุ๊กตานรกพวกนี้
        เอย์จิโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หันไปประจันหน้ากับตุ๊กตาปีศาจที่เดินทื่อเข้ามาหา ง้างหมัดชกหน้าขาว ๆ ของตุ๊กตาสุดแรง!
        “ไอ้พวกปีศาจ” ชายหนุ่มกัดกรามกรอดด้วยความคั่งแค้น
             มือของเอย์จิสั่น ข้อนิ้วแตกมีเลือดออกซิบ
             เขารู้ว่ามือเปล่าแข็งสู้ไม้ไม่ได้และผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ แต่เขาอยากซัดมันด้วยมือเปล่า ๆ เอาให้สาสมกับสิ่งที่มันทำ
             “ท่านเอย์จิ” เสียงแหบเหนื่อยอ่อนดังขึ้นจากด้านหลัง
             “ผมรู้ว่าผมจะจัดการกับมันยังไง โอคินะซัง” ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันไปมอง ตาของเขาจ้องอยู่แต่ที่ตุ๊กตา มันเคลื่อนตัวมาหาเขาอีกครั้ง มือยื่นออกมาทำท่าจะคว้าคอ เอย์จิหลบได้ เขาไม่ยอมให้มันบิดคอเขาได้ง่าย ๆ หรอก ตัวมันเองต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหว
             คันธนูในมือของชายหนุ่มเสือกพรวดเข้าไปขัดฟันเฟืองในตัวมัน เจ้าตุ๊กตาผีหยุดกึกทันที เอย์จิอาศัยวินาทีอันมีค่านั้นดึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ใช้เป็นตัวควบคุมแขนขา ต้องขอบคุณเซ็ตตุ๊กตากลไกพร้อมประกอบที่ชินจิได้มาจากทาเคดะซัง เขาช่วยรุ่นน้องทำอยู่ทั้งคืน รู้หมดว่าชิ้นส่วนฟันเฟืองอันไหนเป็นอันไหน เมื่อขาดชิ้นส่วนพวกนั้นไป ตุ๊กตาปีศาจที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็แน่นิ่ง กลายเป็นตุ๊กตาธรรมดา ๆ ที่ได้แต่อ้าปากพะงาบ ตากลอกกลิ้ง
             หลังจากทำให้ตุ๊กตาหยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว ชายหนุ่มก็ลากมันออกมาจากฮนเด็ง เอามาเผาทิ้งเสียที่ด้านนอก
             โอคินะหมดลมหายใจไปแล้ว เมื่อชายหนุ่มกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง
             ชายชรานอนแน่นิ่งอยู่ตรงจุดเดียวกับที่พบศพของมารดาของเขา น้ำตาของเอย์จิไหลพรากขณะจับร่างของชายชราให้นอนหงาย นี่เขาต้องสูญเสียอีกสักเท่าไหร่กัน
             เอย์จิยกแขนขึ้นปาดน้ำตา เขายังต้องตามหาชินจิ หมอนั่นจะต้องไม่เป็นไร
             ชายหนุ่มหยิบคันธนูของโอคินะที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ ลุกขึ้นยืน เขาต้องหาชินจิให้เจอ พอกันทีกับความสูญเสีย
             ภายนอกเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง หลังจากอาณาเขตถูกทำลาย พวกภูตพรายต่าง ๆ ก็สามารถเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้านได้ พวกมันเป็นภูตพรายชั้นต่ำ ใช้ศรปัดรังควานก็ต้านได้ แต่พวกมันมีจำนวนมาก คนของหมู่บ้านมีน้อยกว่า ทำให้พวกนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกทำร้ายเลือดสาดกระจายร้องระงมฟังไม่ได้ศัพท์
             เอย์จิออกมาจากฮนเด็ง เจอภูตพรายตัวยาวยึกยือน่าเกลียดหลายตัวเข้ามาขวางหน้า ธนูในมือชายหนุ่มขยับขึ้นพร้อมจะยิง แต่พวกมันกลับร้องกี๊ซขึ้นมาจนแสบหูเสียก่อน ร่างสลายกลายเป็นฝุ่นควันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
             “ชิโนซากิคิตสึเนะ!” เอย์จิร้อง เมื่อหันไปเห็นผู้ที่ช่วยเขา
             จิ้งจอกขาวอยู่ในรูปลักษณ์ของพ่อค้าขายโอเด้ง ผมสีน้ำตาลอมแดงสว่าง ใส่ชุดกางเกงสีขาว สวมผ้ากันเปื้อนสีม่วงเข้ม ประทับตราพระจันทร์เสี้ยวและรวงข้าวสีทอง เสื้อผ้าของจิ้งจอกขาวเปื้อนดินเปื้อนโคลน หน้าตาก็สกปรกมอมแมม เหมือนเพิ่งไปฟัดกับอะไรสักอย่างมาหมาด ๆ แต่จิ้งจอกขาวจะไปสู้กับใครมา มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจ
             “คุณมาพอดีเลย ช่วยสร้างเขตคุ้มกันหน่อยสิ เอาแค่คลุมพื้นที่ของศาลเจ้าไว้ก็พอ จะได้ไล่พวกภูตพรายออกไป ฝากด้วยนะครับ”
             “โวะ ทำไมผมต้องทำตามที่คุณสั่งด้วยล่ะ เจ้าหนูลูกชายนักปัดรังควาน ผมแค่จะมาส่งข่าวเรื่องชินจิคุงเท่านั้น”
             พอชื่อของชินจิหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย เอย์จิชะงักฝีเท้าที่เตรียมจะวิ่งทันที มือข้างที่ไม่ได้ถือคันธนูกระชากคอเสื้อของจิ้งจอกขาวด้วยความลืมตัว ถามด้วยเสียงเกือบเหมือนตะคอกว่า
             “ชินจิอยู่ไหน เป็นอะไรรึเปล่า บอกมาเร็วเข้า”
             “ชินจิคุงถูกพวกอาคางิจับตัวไปแล้ว ผมเข้าไปช่วยก็เจอเจ้าพวกตุ๊กตากลไกดาหน้ามาขวาง กว่าจะหลุดมาได้ ชินจิคุงก็หายตัวไปแล้ว โอ๊ย ปล่อยได้รึยัง หายใจไม่ออก!”
             ประโยคท้าย จิ้งจอกขาวโวยลั่น แต่ถึงไม่โวยวาย เอย์จิก็จะปล่อยมือที่ยึดคอเสื้อออกให้อยู่แล้ว ตอนนี้ใจของเขาโลดทะยานไปหาชินจิ ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกแล้ว
             “เดี๋ยวก่อน เจ้าหนูลูกชายนักปัดรังควาน นี่คุณจะไปไหน” จิ้งจอกขาวรั้งตัวเอย์จิไว้
             “ทะเลสาบบิวะ ผมจะบุกแดนอสูร!” เอย์จิตอบอย่างหนักแน่น
             “คนเดียวเนี่ยนะ คุณจะไปได้ยังไง พลังอะไรก็ไม่มี ผมว่าคุณส่งสาส์นบอกพ่อกับพี่ชายคุณดีกว่า”
             “ผมเอาคูดะกีซึเนะของเออิจิโร่ไปด้วย” เอย์จิพูด แล้วก็นึกอะไรออก ล้วงเอากระดาษตัดเป็นรูปนกแผ่นหนึ่งออกมายัดใส่มือของจิ้งจอกขาว สั่งว่า
             “คุณส่งสาส์นแทนผมหน่อยแล้วกัน พวกพ่ออยู่ที่ลานท้ายหมู่บ้าน อ้อ ส่งแล้วรีบสร้างเขตคุ้มกันด้วยนะ เสร็จแล้วค่อยตามผมไป เร็ว ๆ ด้วยล่ะ ป่านนี้ชินจิจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
             ชิโนซากิคิตสึเนะเกาหัวแกรก เออวุ้ย สั่ง ๆ แล้วก็ไป อวดดีจริงแฮะ แต่ก็เอาเถอะ ยังไงไอ้พวกนี้มันก็น่ารำคาญตาจริง ๆ 
             จิ้งจอกขาวถอดผ้ากันเปื้อนที่ใส่อยู่ออก เสกให้กลายเป็นผ้าโยดาเระคาเคะที่มีตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวประทับอยู่ แล้วโยนขึ้นไปบนฟ้า ผ้าสีม่วงเข้มกระจายไปผูกรอบคออินาริคิตสึเนะ สุนัขจิ้งจอกหินที่ทำหน้าที่พิทักษ์สถานที่ ดวงตราบนผืนผ้าส่องแสงสีทองสว่าง ขับไล่กองทัพภูตพรายแตกกระจาย ท้องฟ้าที่เคยมืดมัวด้วยไอควันปีศาจพลันสว่างขึ้นทันตา แล้วกระดาษสีขาวรูปนกที่ถูกยัดใส่มือก็ถูกปล่อยให้โผบินออกไป
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 23:00:20
               การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรจากฮะคุริวหยุดลงอย่างกะทันหัน หลังจากรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขตแดนของคันโจโคเอน ท้องฟ้าที่ไร้แดดอยู่แล้วยิ่งมืดครึ้ม ไอปีศาจแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่ง กองทัพภูตพรายเคลื่อนตัวเห็นเป็นเส้นคดโค้ง
               “พวกหนอนแมลงปีศาจ” มาซาฮารุพึมพำ จิ้งจอกเปลวอัคคีกระโจนกลับมายืนข้างตัว
               สายน้ำรูปมังกรก็ถูกดึงให้กลับกลายเป็นมือข้างซ้ายตามเดิม มังกรขาวและอสูรตนอื่นถอยกลับมายืนรวมกัน ขณะที่ฝ่ายมนุษย์ก็ถอยกลับไปรวมกลุ่มกับหัวหน้าฝ่ายตน
               “เขตแดนถูกทำลายแล้ว ท่านพ่อ แม้แต่โอคินะซังก็ยังต้านไม่ได้หรือนี่” เออิจิโร่พูดเสียงเครียด
               “จะเกิดอะไรขึ้นกับโอคินะซังรึเปล่า” รุกะแสดงความเป็นกังวล หันไปสบตากับโฮโจซึ่งกำลังมองพวกอสูรด้วยความโกรธแค้น
               “แล้วท่านเอย์จิกับชินจิซังล่ะ” สึบาเมะกับทากะมองหน้ากัน ทั้งคู่มีความคิดเดียวกัน คืออยากจะกลับไปที่ศาลเจ้า ไปหาเอย์จิกับชินจิ แต่ก็ยังต้องคุมเชิงพวกอสูรอยู่นี่น่ะสิ ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เลย
               จังหวะนั้น มิโคโตะชูมือขึ้นฟ้า ฝ่ายมนุษย์ขยับตามทันที ตั้งท่าจะสู้อีก แต่พลังของมิโคโตะไม่ได้หันเข้าหาอย่างที่เข้าใจ สายน้ำรูปมังกรสีเงินแวววาวจากมือซ้ายของมังกรขาวพุ่งขึ้นไปไล่ฝูงภูตพรายบนท้องฟ้าแตกกระจายไป
               “ท่านทำอะไร มังกรขาว” มาซาฮารุขมวดคิ้วถามเสียงเข้ม “ท่านวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
               “ข้าไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือข้า”
               “โกหก!” เออิจิโร่ตวาด “ไม่ใช่ฝีมือพวกท่านแล้วฝีมือใคร ใครมันส่งตุ๊กตานรกพวกนี้มา ยังจะพวกภูตพรายพวกนี้อีก มันพวกที่อยู่ในภูเขา อยู่ใต้การปกครองของท่านทั้งนั้น”
               “ข้ามาช้าเกินไปและไม่คิดว่าพวกมันจะวางแผนได้แยบยลเช่นนี้ ข้าประมาทเอง”
               “โอ๊ย พูดอะไรให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้ไหม” ลูกชายคนโตของนักปัดรังควานร้องอย่างหัวเสีย แล้วไม่ทันขาดคำดี ท้องฟ้าเหนือศีรษะก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เกิดแสงสีทองวาบขึ้นทางด้านศาลเจ้า ความอึดอัดกดดันจากไอปีศาจหายไปจนหมด
               “เกิดอะไรขึ้นอีกวะเนี่ย” เออิจิโร่ครางหงิง
               “เขตคุ้มกันของชิโนซากิคิตสึเนะ” มาซาฮารุพูด ท่าทางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “จิ้งจอกขาวกางเขตคุ้มกันให้ที่ศาลเจ้า มันต้องมีอะไรสักอย่าง”
               ก่อนจะหันไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด สั่งว่า
               “โฮโจ ทากะ ไปที่ศาลเจ้า”
               ทั้งสองยังไม่ทันจะขยับตัวทำตามคำสั่ง เออิจิโร่ก็พูดแทรกขึ้นก่อน ชี้นิ้วขึ้นฟ้า
               “ท่านพ่อ นั่นผู้นำสาส์น”
               มาซาฮารุรีบเรียกนกกระดาษลงมาอย่างไม่รอช้า ข้อความที่ได้รับทำให้นักปัดรังควานนิ่งอึ้ง ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
               “ชิโนซากิคิตสึเนะส่งสาส์นมา โอคินะตายแล้ว ชินจิถูกอสูรของอาคางิลักพาตัวไป เอย์จิกำลังตามไปช่วย”
               “บ้าเอ๊ย มันเอาตัวชินจิไปจนได้!” เออิจิโร่สบถลั่น “ไอ้อสูรนั่นคิดจะปลุกชีพมังกรแดงจริง ๆ”
               “แล้วเอย์จิก็บ้าตามไปคนเดียวอีก!” รุกะสบถตาม ตอนนี้ไม่ใช่มังกรขาวแล้วที่หล่อนอยากจะให้ผีเสื้อสีน้ำเงินตะกุยให้เลือดท่วม แต่เป็นเอย์จินั่นแหละ บ้าระห่ำไม่รู้จักเจียมตัวเองเลย
               “ทุกคน! ไปที่ทะเลสาบบิวะ!” หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ออกคำสั่ง
               ใจของมาซาฮารุร้อนรนยิ่งกว่าไฟของจิ้งจอกเปลวอัคคีในนาทีนี้ ถึงแม้จะมีอสูรยืนอยู่เป็นฝูงในหมู่บ้าน ต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ นักปัดรังควานหัวหน้าฝ่ายมนุษย์ก็ไม่นำพาอีกต่อไป
               ขณะเดียวกัน มิโคโตะพยักหน้าเป็นสัญญาณแก่ผู้ติดตามของตน
               แต่ก่อนที่ฝ่ายไหนจะได้ทำอะไร บรรยากาศก็กลับมาขมุกขมัวอีกครั้งด้วยไออสูรที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน วินาทีถัดมา เงาดำ ๆ หลายร่างก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้า ยืนล้อมกรอบทั้งฝ่ายมนุษย์และอสูรจากฮะคุริวไว้ เสียงหัวเราะเยาะหยันดังกึกก้อง
               “ซึชิกุโมะ” มิโคโตะหรี่ตามองเจ้าของเสียงหัวเราะอวดโอ่โอหัง อสูรผมสีฟ้าใส่ชุดสูทสีฟ้าเฉดเดียวกับเส้นผม สวมเสื้อเชิ้ตด้านในลายสก็อตสีดำสลับขาว ผูกไทสีเทาอ่อนลายเส้นสีขาวซ้อนทับกันดูยุ่งเหยิง ท่าทางของมันยิ่งดูอวดดีกว่าที่เคย ไม่มีความเกรงกลัวมังกรขาวอย่างเขาเลยสักนิด
               อสูรตัวอื่นก็เช่นกัน ไทมะซึมะรุยิ้มหยันมุมปาก ใบหน้าซีดขาวสวยเหมือนผู้หญิงถูกบังไว้ใต้แว่นตาสีดำ สวมเสื้อนอกสีม่วงเปลือกมังคุดกับสายสร้อยสีดำหลายเส้น ยืนกางขาเล็กน้อย มือล้วงกระเป๋ากางเกง ทีท่าสบาย ๆ
               ส่วนหัวหน้าของพวกมัน อาคางิ เจ้าอสูรเกิดใหม่จอมอหังการ์ มันลบภาพความสุภาพสำรวมนุ่มนวลที่เคยมีไปหมดสิ้น ท่วงท่าและสายตาเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและรุนแรง สวมชุดเหมือนเครื่องแบบของทหาร เสื้อนอกสีขาวปิดถึงคอ มีเหรียญตราและสายโลหะห้อยระโยงระยาง บนศีรษะสวมหมวกสีดำคาดแพรสีขาว มีตราเหมือนที่อกเสื้อติดตรงกลาง
               “นี่มันขบวนการเรนเจอร์รึเปล่า” เออิจิโร่อดปากไม่อยู่จริง ๆ
               อสูรอีกสามตนที่ยืนอยู่ในมุมที่ต้องประจันหน้ากับมนุษย์แต่งตัวจัดไม่ต่างจากนายของพวกมันเลย แต่ใช้คนละสี เจ้าอสูรตัวใหญ่ล่ำหนาไปด้วยมัดกล้ามใส่เสื้อกล้ามรัดรูปสีแดงเข้มกับกางเกงตัวใหญ่ ๆ และรองเท้าหนังหุ้มข้อ ที่คอและข้อมือสวมสร้อยเงินซ้อนกันหลาย ๆ เส้น ถัดไปนั่นก็อสูรตัวเล็ก ผมสีเขียวแจ๋น เข้ากับเสื้อแจ็กเก็ตแบบมีฮู้ดสีเขียวเข้มที่สวมทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนรัดรูปสีดำ ตัวสุดท้ายนั่นแต่งน้อยหน่อย ใส่สูทธรรมดาสีดำ เข้ากับผมสั้นสีดำ ดูเนี้ยบกริบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่หน้าซีดขาวของมันเย็นชา ไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ
               “ถ้าพวกนี้เรนเจอร์ พวกเราก็ละครแหละครับ” ทากะที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดและได้ยินเต็มสองหูอดปากให้ตอบไม่ได้เหมือนกัน
               ‘ขบวนการเรนเจอร์’ ของเออิจิโร่ไม่ได้มากันตามลำพัง ข้างหลังพวกมันยังปรากฏร่างของตุ๊กตาบุนระคุตัวใหญ่เกือบเท่ามนุษย์หลายตัวขยับเคลื่อนไหวเข้ามาสมทบด้วย หน้าตาไร้ชีวิตของพวกมันชวนให้ขนลุกได้อย่างไม่ยากเย็น
อาคางิประกาศก้อง
               “นี่เป็นเวลาที่ข้ารอคอยมานานแล้ว เวลาที่จะได้เข่นฆ่าทั้งมนุษย์และอสูรแก่ ๆ อย่างพวกเจ้าให้หนำใจ จะไม่มีใครก้าวออกจากที่นี่ได้แม้แต่เพียงก้าวเดียว ข้าจะ...ฆ่า... เฮ้ย”
               ปีศาจตะขาบอายุกว่าห้าร้อยปีร้องลั่นด้วยความคาดไม่ถึง จิ้งจอกเปลวอัคคีชิกิงามิของมาซาฮารุวิ่งเลยร่างของเขาไปทางด้านหลัง มันพลาดการฝังคมเขี้ยวเข้าที่ลำคอของอสูรหนุ่มไปนิดเดียว ร่างกายที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงแว้งตัวกลับอย่างรวดเร็ว
               “ถ้าฆ่าพวกแกให้หมดก็ไปได้แล้ว” มาซาฮารุเอ่ยเสียงเรียบ เหี้ยมเกรียม
               บราโว! ท่านพ่อ! เออิจิโร่แทบอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้บิดาของตัวเอง ท่านพ่อพูดถูกใจเขาสุด ๆ   
               “ไอ้พวกมนุษย์!” อาคางิโกรธจัดที่ถูกลูบคม หน้าซีดขาวเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโมโหที่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด โทสะอันแรงกล้าเหมือนเลือดเข้าตา อสูรตะขาบพุ่งเข้าหาฝ่ายมนุษย์ทันที โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างของมาซาฮารุ
               อสูรตัวอื่นเปิดฉากจู่โจมตามการนำร่องของผู้เป็นหัวหน้า เลือกจับเป้าหมายต่างกันตามที่เลือกเล็งเอาไว้ก่อนแล้ว
               ไทมะซึมะรุกระโจนเข้าหามิโคโตะด้วยร่างที่กลายเป็นไฟ แต่ต้องปะทะกับสายหมอกสีม่วงจางของมุราซากิก่อน ซึชิกุโมะพ่นใยเหนียวเข้าใส่รุกะและเออิจิโร่ ริคิมะรุใช้ร่างกายแข็งแกร่งของตัวเองสู้กับคมเขี้ยวของอสรพิษของอิบุกิและกระบี่สายฟ้าของคามินาริ คะมิกิปล่อยผมสีเขียวให้ยืดยาวกลายเป็นหอกพุ่งแทงตัววาคานะ อาราชิกับคาเสะฮายะฟาดฟันกันโดยปราศจากเสียง
                รอบขอบลานกว้างซึ่งเป็นสังเวียนนองเลือดระหว่างอสูรกับมนุษย์ในขณะนี้ มาซาคาโดะกางสายหมอกของเขากั้นไม่ให้พวกตุ๊กตากลไกของฝ่ายตรงข้ามออกไปได้ พวกมันกำลังปะทะกับนักปัดรังควานมนุษย์สามคนอย่างดุเดือด
                เสียงหัวเราะอวดดีของซึชิกุโมะดังอยู่ลั่น ๆ หลังจากที่ใยเหนียวของมันรัดผีเสื้อสีน้ำเงินของรุกะจนปีกหักพับ ผลของมันทำให้แขนข้างหนึ่งของรุกะตกห้อย เลือดไหลลงมาเป็นสาย
                “เตรียมตัวตาย เจ้าแมลงตัวน้อยน่าเกลียด” อสูรหนุ่มคำราม
                ใยสีขาวอีกหลายสายยืดออกมาจากนิ้วแต่ละนิ้วที่กางออก หวังจะให้รัดพันเจ้าสัตว์ปีกตัวเล็กจิ๋วสีน้ำเงินจนแหลกราญ
                ทว่า ไฟจากชิกิงามิของเออิจิโร่หยุดมันเอาไว้ได้ก่อน นกหงส์ไฟสะบัดปีกใหญ่โตของมัน จุดเปลวไฟเผาไหม้ใยเหนียวแน่นจนหงิกงอ ถอยร่นกลับไปไม่เป็นขบวน
                เออิจิโร่บังคับชิกิงามิของเขาให้ตามติด จะงอยปากแข็งแรงฉีกกระชากรูปลักษณ์ที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกออก ทำให้เห็นร่างกายอวบกลมลายเหลืองสลับดำ ขาใหญ่เป็นปล้องมีขนสีดำยาวยุบยับน่าขยะแขยง หัวใหญ่อัปลักษณ์ ตาโตสีเหลืองปูดโปน
                “แมงมุมดิน” รุกะพึมพำ แขนข้างที่ยังใช้การได้ใช้คมดอกศรกรีดใยเหนียวที่พันรอบตัวออก มีเออิจิโร่คอยช่วยอีกแรง
                “มิน่ามันถึงอวดดี วางอำนาจ เพราะเป็นแมงมุมตัวโตคับรูอย่างนี้นี่เอง”
                “ฉันว่าเธอปากเสียแล้วนะ ไอ้นี่มันยิ่งกว่าเธออีก ดันมาหาว่าฉันน่าเกลียด” รุกะค้อนขวับ ดึงใยแมงมุมเส้นสุดท้ายที่ถูกตัดขาดออกจากตัว ไอ้ใยบ้านี่ก็เหนียวเสียจริง แถมยังบาดผิวแสบไปหมดแล้ว
                “งั้นฆ่ามันเลยดีไหม” เออิจิโร่อมยิ้ม
                “ยังกับฉันจะปล่อยมันไปแน่ะ” รุกะตาวาววับ
                แมงมุมปีศาจแผดเสียงหัวเราะอีกครั้ง เห็นเขี้ยวคมขาวเต็มปาก
                “แมลงตัวกระจิดกระจ้อยร่อยอย่างพวกเจ้าอย่าอาดหาญมาเทียบพลังกับข้าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าอยู่ในอาณาเขตของข้าแล้ว ไม่มีแมลงตัวใดที่ติดใยของข้าแล้วจะหลุดรอดไปได้”
               ตัวของซึชิกุโมะยิ่งพองใหญ่ขึ้น เตรียมพ่นใยเหนียวหนับออกมาอีก
               เออิจิโร่กับรุกะดึงกระดาษสร้างชิกิงามิออกมาพร้อมกัน แล้วเริ่มร่ายเวท เสียงของทั้งคู่ดังประสานกันจนเหมือนกับเป็นเสียงเดียว

               ผีเสื้อสีน้ำเงิน
               จากสรวงสวรรค์กลางนภากาศ

               ปีกขยับพยับเมฆครืนครั่น
               นภาพลันสั่นสะเทือน

               เจ้าพร้อมจะโบยบิน!


               สิ้นเสียงพูดวรรคสุดท้าย กระดาษในมือของรุกะและเออิจิโร่ประสานเข้าด้วยกันแล้วเปลี่ยนเป็นผีเสื้อตัวเล็ก ๆ หลายร้อยหลายพันตัว แต่ละตัวมีปีกและขาที่ลุกเป็นไฟ
               ฝูงผีเสื้ออัคคีบินเข้ารุมเกาะแมงมุมดินตัวใหญ่จนแทบมองไม่เห็นพื้นที่ว่างบนตัวอวบกลม แม้กระทั่งใยที่ปล่อยออกมาก็ถูกผีเสื้อตัวเป็นไฟรุมเกาะ พวกมันเกาะที่ไหนก็หยอดไฟลงไปที่นั่น และใยกับขนยาวบนตัวของเจ้าปีศาจก็กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
               เสียงหัวเราะอวดดีของซึชิกุโมะกลายเป็นเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด มันกำลังจะถูกย่างสด!
               ทรมานเหลือเกิน!
               “ไม่จริง! ข้าไม่มีวันถูกเจ้าแมลงตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้เล่นงาน! ไม่มีวัน!”
               แมงมุมดินซึชิกุโมะกรีดร้องโหยหวน

               ริคิมะรุเบ่งพลังให้กล้ามเนื้อหนายิ่งทวีความแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า สะท้อนคมกระบี่และสายฟ้าของอสูรคามินาริและเขี้ยวอสรพิษของอิบุกิไม่ให้ทำอันตรายแก่ตนเองได้
               กระบี่ของคามินาริพุ่งแทงอีกหลายครั้ง รวมทั้งสายฟ้า แต่ก็แฉลบออกทุกครั้ง เช่นเดียวกับอสรพิษตัวยาวหลายสิบตัวที่ออกมาจากแขนสองข้างและร่างกายของอิบุกิ คมเขี้ยวของพวกมันไม่สามารถฝังลงไปในเนื้อของศัตรูได้
               “แทงเข้ามาอีกสิ เข้ามาเลย พลังของอสูรแก่ ๆ อย่างพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
               อสูรตัวโตหัวเราะด้วยความชอบใจ เมื่อมันเบ่งพลังอีกครั้ง คามินาริกับอิบุกิที่โถมโจมตีก็พากันกระเด็น ยิ่งสร้างความสะใจแก่ริคิมะรุยิ่งนัก
               คามินาริกัดฟันกรอด ขัดใจที่ทำอะไรเจ้าอสูรเกิดใหม่ไม่ได้ ต้องปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาหัวเราะเยาะหยันเอาแบบนี้
               “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ท่านอิบุกิ”
               “ข้าก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน มันบังอาจมากที่กล้าพูดคำว่าแก่ต่อหน้าข้า”
               อิบุกิเชิดหน้าขึ้น ปัดเศษดินเศษทรายออกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่อย่างไว้ท่า ร่างกายจัดระเบียบได้เป๊ะ ถึงกำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่อสูรอย่างเขาก็ต้องคงความงดงามไว้ตลอดเวลา
               “แต่ร่างกายของมันแข็งแกร่งเหมือนโล่เพชร สะท้อนการโจมตีได้ทุกรูปแบบ แล้วเราจะจัดการมันได้อย่างไร”
               “ข้างนอกทำอะไรมันไม่ได้ ก็เล่นงานมันจากข้างในสิ” อิบุกิพูด ถุงมือสีดำที่ใส่อยู่ขาดไปแล้วจากการโจมตีครั้งแรก ๆ ปลายแขนเสื้อโค้ทก็ขาดรุ่ย อสูรหนุ่มดึงแขนเสื้อขึ้นไปอยู่ที่ข้อศอก
               “ตัวมันใหญ่ ถนัดแต่ใช้กำลัง ไม่มีความเร็ว เจ้าล่อมันด้วยกระบี่กับสายฟ้าของเจ้า ข้าจะอาศัยจังหวะเข้าไปภายในตัวของมัน”
               “รับทราบ ท่านอิบุกิ”
               คามินาริสืบเท้าเข้าไปหา มือข้างหนึ่งไขว้หลัง อีกมือหนึ่งยื่นกระบี่ชี้หน้าศัตรู และจากที่ขยับอย่างเนิบช้าในตอนแรก ความเร็วของอสูรหนุ่มก็เพิ่มขึ้นในพริบตา กระบี่สีเงินพุ่งเข้าทิ่มแทงรวดเร็วจนมองไม่ทัน
               “ทำยังไงก็ไม่ได้ผลหรอก เจ้าพวกอสูรแก่” ริคิมะรุหลบคมดาบพ้นบ้างไม่พ้นบ้าง แต่ถึงไม่พ้น มันก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี คมกระบี่ไม่ระคายผิวหนังของเขาแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะคมธรรมดาหรือจากพลังสายฟ้าที่ปล่อยออกมาจากปลายกระบี่ อสูรตัวล่ำหนาหัวเราะอย่างลำพอง เกร็งตัวรับกระบี่ของคามินาริจนแรงปะทะทำให้ปลายกระบี่หักสะบั้น
               ริคิมะรุมัวแต่พะวงกับการรับมือคามินาริจนลืมระวังตัว อีกทั้งยังประมาท คิดว่าไม่มีผู้ใดทำลายโล่อันแข็งแกร่งที่ตนมีได้ จึงไม่ทันได้สังเกตว่า อิบุกิที่กลายร่างเป็นอสรพิษตัวเล็กพุ่งเข้าไปในปากที่อ้ากว้างและขยายจำนวนอย่างรวดเร็วกลายเป็นหลายสิบหลายร้อยตัว พวกมันว่ายไปตามกระแสโลหิต ก่อนจะจู่โจมอวัยวะสำคัญทุกจุดที่พวกมันไปถึง พิษร้ายแทรกซึมไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
                เลือดในกายของอสูรหนุ่มกลายเป็นพิษ ทะลักพรวดออกมาจากปาก จมูกและนัยน์ตา
                ริคิมะรุร้องโหยหวน ดิ้นพราดจากความทรมานภายใน ตัวของมันขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด ร่างกายแข็งแกร่งปานเหล็กเพชรเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ก่อนจะระเบิดปัง อสรพิษจำนวนมหาศาลพุ่งพรวดออกมาจากร่างกายที่แหลกเละ รวมตัวกันเป็นร่างสูงเพรียวของอิบุกิ
                อสูรอสรพิษเลียโลหิตสีดำเข้มที่เปรอะอยู่ที่ท่อนแขน ปรายตามองหมิ่น เยาะว่า
                “เฮอะ! แก่! แก่แต่เก๋าโว้ย! สะใจหรือยังล่ะ”

                วาคานะเอี้ยวตัวหลบหอกเส้นผมของอสูรคะมิกิได้อย่างหวุดหวิด คมหอกกรีดได้แค่ชายกิโมโนกรุยกรายสีขาวสลับดำที่วาคานะสวมอยู่
                “ครั้งหน้า หอกของข้าจะกรีดหน้าเจ้า” คะมิกิหมายมาด ไม่คิดจะปั้นหน้าแย้มยิ้มเหมือนเช่นเคย เขาเกลียดชังวาคานะสุดใจ ชิงชังหน้าตาหมดจดงดงาม รังเกียจน้ำเสียงที่ไพเราะและริษยาที่วาคานะมีดวงตาสีเขียวอมฟ้าสวยงามแปลกตา มันมีสิ่งที่เขาไม่มี เขาไม่ยอม เขาจะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่าผู้ใด
                “อสูรน่าเกลียดอย่างเจ้า ยังหวังจะมีครั้งหน้าอีกอย่างนั้นรึ” วาคานะยิ้มหยัน สลัดกิโมโนท่อนบนออกอวดผิวขาวนวลผ่อง ร่างกายของวาคานะกำยำแข็งแรง เส้นกล้ามเนื้อเด่นชัดสวยงาม มองดูราวกับหุ่นปั้น ยิ่งเมื่อถอดผ้าคาดตาออก เห็นดวงตาข้างหลังผ้าเป็นสีเหลืองทองเรืองโรจน์ ดวงตาเหมือนลูกแก้วสีสวยทั้งสองข้างยิ่งขับเน้นความงดงามให้เจิดจรัส
                “ความจริงข้าไม่อยากใช้ดวงตาข้างนี้กับเจ้าเลย มันสามารถมองทะลุเข้าไปในใจของผู้ใดก็ได้ แต่กับเจ้าผู้มีจิตใจดำมืดน่าชิงชัง มันทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก” 
                คะมิกิอดทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป มันร้องกรี๊ดยาว สลัดเส้นผมสีเขียวสดบนศีรษะเข้าใส่ราวกับพายุใบมีดโกนที่แหลมคม
                แต่อสูรซาโตริผู้มีอำนาจอ่านใจผู้คนได้สามารถหลบการโจมตีได้ทั้งหมด เส้นผมสีเขียวที่สามารถยืดยาวหรือเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ทุกชนิดฟาดฟันเข้าใส่อย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้และไม่ว่าคะมิกิจะเคลื่อนที่ไปทางไหนหรือมีแผนการอย่างไรอีก วาคานะก็รับรู้ได้ทั้งหมด
                อสูรผู้งดงามคร้านจะเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับอีกฝ่ายอีกต่อไป อสูรน่าเกลียดน่าชังอย่างคะมิกิน่ะหรือ ไม่มีค่าคู่ควรที่จะหาญกล้ามาต่อกรกับเขาหรอก แล้วนั่น เจ้าอิบุกิจัดการศัตรูเสร็จแล้วเสียด้วย แล้วเขาจะน้อยหน้ามันได้อย่างไรกัน
                วาคานะเคลื่อนไหววูบเข้าประชิดตัวของคะมิกิอย่างรวดเร็ว ใช้พลังกระชากเส้นผมสีเขียวหลุดจากศีรษะเหมือนกับถอนรากถอนโคนต้นไม้และสะบัดเล็บกรีดฉับเข้าที่ใบหน้าอย่างไม่ปราณี
                คะมิกิกรีดเสียงร้องลั่นอีกครั้ง ทุ่มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น รับไม่ได้อย่างรุนแรงเมื่อเห็นหนังศีรษะตะปุ่มตะป่ำ ผมสีเขียวเหลือติดอยู่บนหัวเป็นกระจุกน่าเกลียด หน้าตาเต็มไปด้วยรอยเล็บกรีดจนเสียโฉม
                อสูรซาโตริวาคานะผู้งดงามดึงชุดกิโมโนที่ตกห้อยอยู่ที่เอวขึ้นมา แล้วสอดท่อนแขนงามกลมกลึงประดุจลำเทียนเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง ขณะที่ขาเปลือยเปล่าก้าวข้ามร่างที่นอนดิ้นอยู่บนพื้นไปอย่างไม่ไยดี

                อาราชิกับคาเสะฮายะคือลม ลมที่ดุดันรุนแรง แต่เงียบเชียบ ไม่มีเสียงหัวเราะโอหัง ไม่มีเสียงคุยข่มโอ่อวด ไม่มีเสียงใด ๆ เลย อสูรทั้งสองตนต่อสู้กันท่ามกลางความเงียบงัน
                อสูรสายลมคาไมทะจิใช้เคียวยาวเป็นอาวุธกวัดแกว่งรุกไล่ ขณะที่พายุร้ายอาราชิหมุนคว้างราวกับจักรผันหลบหลีกและใช้ดาบในมือโต้กลับ ไม่มีใครยอมใคร ความเร็วทัดเทียมกัน ไล่รับตามติด รอคอยโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพลาดท่าเสียที
อาราชิตวัดดาบ ตัดผ้าสีดำที่คาดปากของคาเสะฮายะขาดออก
                ดวงตาสีแดงของอสูรคาไมทะจิวาบขึ้นด้วยความโกรธเกี้ยว ผ้าสีดำผืนนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องมันได้ มันเป็นผ้าที่กักเก็บความโกรธแค้นและความโศกเศร้าของเขา ถ้าไม่มีมัน เขาก็ไม่สามารถการันตีความสงบนิ่งของตัวเองได้อีกต่อไป
                คาเสะฮายะคำรามเสียงดังลั่นเหมือนสัตว์ป่าที่บาดเจ็บคั่งแค้นอย่างแสนสาหัส สายลมธรรมดาเปลี่ยนเป็นลมร้ายที่เกรี้ยวกราดพร้อมจะกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!
                เคียวคมกริบฟาดลงมาด้วยความเร็วมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ ฟันร่างของอสูรอาราชิขาดออกเป็นท่อน ๆ

                มุราซากิไม่อาจต้านทานไฟอันร้อนแรงของไทมะซึมะรุได้ มือสองข้างของอสูรผมสีบลอนด์เกือบขาวที่กลายเป็นไฟลุกโชติช่วงพุ่งทะลุทะลวงสายหมอกสีม่วงจางเข้าไปหวังจะเล่นงานมิโคโตะ แต่มังกรขาวเพียงสะบัดมือเบา ๆ ก็สามารถดับไฟอันร้อนแรงของอสูรนกคบไฟลงได้
                “พอเถอะ ไทมะซึมะรุ พรรคพวกของเจ้าล้วนล้มหายตายลงสิ้นแล้ว” มิโคโตะเตือนเสียงเรียบ แต่ก็ไม่สำเร็จ อสูรนกคบไฟไม่ฟังใครทั้งนั้น มันเปลี่ยนร่างกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม คือนกอินทรีขนาดใหญ่ที่มีไฟลุกแดงทั้งตัว แขนสองข้างลุกโชนเหมือนคบไฟ
                มิโคโตะใช้ท่อนแขนปาดให้มุราซากิถอยออกห่าง เพื่อไม่ให้รังสีของเปลวไฟทำอันตรายอสูรสายหมอกได้ แล้วดึงผ้าพันคอลายขาวดำจากคอของตัวเองโยนขึ้นไปในอากาศ ผ้าพันคอผืนยาวกลายเป็นมังกรตัวใหญ่สีเงินอ้าปากกลืนไฟของไทมะซึมะรุเข้าไปจนหมด
                อสูรนกคบไฟโกรธจัด อ้าปากร้องแจ๊กซ์ดังลั่น ตัวที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำ รังสีความร้อนจากไฟแผ่ซ่านออกจากร่าง มันบินฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็วจนตาธรรมดามองเห็นเป็นเพียงประกายไฟวูบวาบอยู่ในอากาศ ก่อนจะพุ่งลงมาหวังโฉบเอาตัวของมังกรขาวติดกรงเล็บของมันไปด้วย
                มังกรขาวไม่ระย่อต่ออากาศที่ร้อนเหมือนไฟนรก โบกมือเป็นสัญญาณกำกับให้มังกรที่เสกขึ้นเคลื่อนไหวต้านทานการโจมตีของศัตรูและไม่ว่ามันจะพ่นไฟออกมามากแค่ไหน มังกรที่มิโคโตะเสกขึ้นก็สามารถกลืนเข้าไปได้ทั้งหมด และหลังจากสะบัดข้อมืออีกครั้ง มังกรที่ถูกเสกขึ้นก็อ้าปากกว้างงับผับลงไปบนตัวของนกเพลิง
                ไทมะซึมะรุปีกหักร่วงไม่เป็นท่าตกลงมากองบนพื้นเหมือนกองผ้าเก่า ๆ มันสำลักเอาเลือดสด ๆ ออกมาจากปาก
                 “พวกเจ้าแพ้แล้ว เห็นหรือไม่ นายของเจ้าก็กำลังจะแพ้เช่นกัน” มิโคโตะพูด
                 แต่อสูรนกคบไฟกลับหัวเราะ แม้ว่าจะสำลักเอาเลือดออกมาพร้อมกันก็ตาม มันมองไปทางที่อาคางิกำลังสู้ติดพันกับนักปัดรังควานมนุษย์
                 “พวกเจ้าต่างหากที่แพ้!”
                 มิโคโตะมองตามสายตาของไทมะซึมะรุ
                 อาคางิถูกจิ้งจอกเปลวอัคคีที่มาซาฮารุเสกขึ้นมางับเข้ากลางลำตัวแล้วสะบัดให้หล่นลงมากระแทกพื้นเสียงดังอัก ปีศาจตะขาบอายุหลายร้อยปีดูอ่อนแอกว่าที่ควรจะเป็น
                 “แผนการของท่านอาคางิล้ำลึก ตบตาพวกโง่เง่าอย่างพวกเจ้าได้สำเร็จ ตอนนี้ท่านอาคางิคงไปถึงทะเลสาบบิวะแล้ว มังกรแดงกำลังจะคืนชีพ!”
                 มิโคโตะสะบัดแขน  มังกรที่เสกขึ้นพุ่งตรงไป กางกรงเล็บแหลมคมฉีกกระชากรูปลักษณ์ภายนอกที่ห่อหุ้มร่างที่นอนกุมท้องอยู่ออก
                 “การาสุเท็นงูคุโรบะ!” มาซาฮารุร้องลั่น “มันไม่ใช่ปีศาจตะขาบอาคางิ!”
                 มังกรขาวเม้มริมฝีปากแน่น
                 ฮิเดะซึงุกำลังจะฟื้นคืน!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 23:07:05
บทที่ 24

        เอย์จิวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาของเขาจะพาไปได้ ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกว่าระยะทางจากหมู่บ้านถึงทะเลสาบบิวะมันไกลมากขนาดนี้มาก่อนเลย ยิ่งเวลาผ่านไป ใจของเขายิ่งไม่เป็นสุข คอยแต่จะนึกคิดไปสารพัด ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพที่เลวร้ายทั้งสิ้น
        ชินจิ ฉันขอล่ะ นายอย่าเป็นอะไรนะ
        หูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ครู่ต่อมา เจ้าของเสียงฝีเท้าก็ปรากฏร่างให้เห็น ชิโนซากิคิตสึเนะในรูปลักษณ์ของมนุษย์วิ่งขึ้นมาเคียง
        “ระวังตัวนะครับ ข้างหน้านั่นมีอะไรอยู่”
        ไม่ทันขาดคำเตือน ตัวใหญ่โตเป็นปล้องสีน้ำตาลอมแดงก็โผล่มาขวางหน้า ตีนเป็นสิบ ๆ เรียงเป็นแถวข้างลำตัวเต้นยุบยับ
        “ตะขาบ!” เอย์จิตะโกน
        เจ้าสัตว์ประหลาดตัวโตเป็นภูเขาพรวดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เขี้ยวขาวใหญ่เห็นเต็มปาก เอย์จิกับชิโนซากิคิตสึเนะกระโดดหลบไปคนละทาง เมื่อพลาดเป้า หัวใหญ่โตของเจ้าตะขาบยักษ์ก็พุ่งลงปักดิน
        เอย์จิง้างสายธนู ปล่อยดอกศรเข้าปักตรงตาของมันอย่างถนัดถนี่ เจ้าปีศาจคำรามลั่นด้วยความเจ็บ หัวสั่นระริก ก่อนที่จะถูกอุ้งเท้าจิ้งจอกขาวตะปบและตะกุยจนร่างแหลกสลาย
        หลังจัดการตัวแรกไปได้ ตะขาบยักษ์ตัวที่สอง ที่สาม ที่สี่ก็โผล่มาติด ๆ กัน ไอ้พวกนี้มีแต่ขนาดตัวที่ใหญ่โต กำจัดได้ไม่ยาก แต่ก็ใช้เวลาพอสมควร ยิ่งพวกมันมีจำนวนมากก็ยิ่งเสียเวลานานโข   
             “พวกมันเป็นกับดัก คอยถ่วงเวลาพวกเรา” เอย์จิพึมพำอย่างหัวเสีย มือดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกที่สะพายหลัง ตอนนี้ ตรงหน้าของเขา ตะขาบตัวที่ห้าชูหัวร่าคอยท่าอยู่แล้ว

             สติสัมปชัญญะของชินจิกลับคืนมาพร้อมความเจ็บปวดแปลบที่ศีรษะ เขาจำได้ว่าเอย์จิคว้ามือเขาวิ่งไปที่ศาลเจ้า เพื่อไปหลบภัยอยู่กับโอคินะซัง แต่แล้วก็พลัดหลงกันท่ามกลางฝูงคนที่วิ่งวุ่นชุลมุน จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองโดนอะไรกระแทกเข้าที่หัว มันแรงมากจนเขาน็อคสลบเหมือดไปเลย
             ชายหนุ่มเอามือกุมศีรษะ หน้าเหยเก ขณะที่มองไปรอบ ๆ ตัว
             นี่มันทะเลสาบบิวะ!
             เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทุกคนหายไปไหน มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
             คำถามมากมายเกิดขึ้น แต่เขาไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้จากที่ไหน
             “ตื่นแล้วรึ เจ้ามนุษย์น้อย”
             ชินจิหันขวับตามเสียง มองเห็นคนพูดคือชายร่างสูง สวมชุดสีขาวเหมือนเครื่องแบบของทหาร ติดเหรียญตราและห้อยสายโลหะหลายเส้นโยงจากกระดุมไปที่อินทรธนูบนบ่า สวมหมวกสีดำคาดแพรสีขาว เส้นผมที่เห็นรำไรใต้หมวกเป็นสีแดงจัด
ผู้ชายคนนี้สวยมาก ถ้าจะใช้คำว่าสวยกับผู้ชายได้ ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ออกมา ผิวขาวซีด ดวงตาว่างเปล่า แต่ชินจิรู้สึกว่า มันเป็นความสวยที่อันตราย อะไรบางอย่างจากตัวผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับจิตจับใจ
             “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่ออาคางิ” ชายหนุ่มคนนั้นถวดหมวกออก น้ำเสียงของเขาก็เหมือนกับอย่างอื่น คือเยียบเย็น ชวนให้ขนคอลุกชัน
             ชินจิกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ชื่อนี้เขารู้จัก เป็นชื่อที่ทุกคนพูดถึงบ่อยที่สุดในช่วงนี้ และถ้าผู้ชายคนนี้ชื่ออาคางิ ก็เท่ากับว่า เป็นอสูร!
             “แก... คุณ... เอ่อ ท่าน... จับตัวผมมาทำไมครับ ผมเป็นแค่คนธรรมดา ไม่...ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
             “ข้ามีเรื่องเล็กน้อยต้องขอไหว้วานเจ้า”
             “ผมทำอะไรให้ไม่ได้หรอก ปล่อยผมไปเถอะ”
             “เจ้าทำได้แน่ ๆ” อสูรผมสีแดงจ้ายิ้มเยื้อน แต่มันไม่ทำให้ชินจิคลายความกลัวลงได้เลย กลับยิ่งกลัวมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ยิ่งอาคางิเดินเข้ามาประชิด แล้วเอามือมาจับที่ต้นคอของเขา ตัวของชายหนุ่มก็สั่นอย่างหยุดไม่อยู่
             “แค่เจ้าเดินลงไปในน้ำ ตรงไปที่ต้นไม้ที่สูงที่สุด แล้วถอนมันออกมาเท่านั้น เท่านั้นเอง”
             “ผมทำไม่ได้” เสียงของชายหนุ่มสั่น เขาต้องปฏิเสธ ถึงแม้จะกลัวแค่ไหนก็ตาม
             “เจ้าทำได้ และเจ้าต้องทำ เจ้ามนุษย์” อาคางิออกคำสั่ง และไม่แค่พูดเปล่า ยังเพิ่มแรงบีบที่มือ ทำให้ชินจิตาเหลือกเพราะขาดอากาศหายใจ เขาพยายามจะแกะมือที่บีบคอเขาอยู่ออก แต่ลำพังพลังของมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถสู้แรงมหาศาลของอสูรได้
             “ถ้าเจ้าไม่ทำ ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย” ริมฝีปากของอาคางิกระซิบเสียงเหี้ยมใส่หู
             “ผม..ทะ..ทำ ปะ..ปล่อย” ชินจิเปล่งเสียงออกมาเป็นคำ ๆ อย่างยากเย็น แต่ก็ทำให้อาคางิปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
ชายหนุ่มทรุดลงนั่งแปะกับพื้นอย่างหมดสภาพ เอามือกุมคอ ไอโขลก ๆ น้ำตาไหลเป็นทาง
             “อย่าร่ำไร เจ้ามนุษย์ ทำตามที่ข้าสั่งเดี๋ยวนี้!” อาคางิตวาด เริ่มหมดความอดทน
             “ผม...ไม่ทำ คุณจะฆ่าผมให้ตายก็ได้ แต่ผมไม่ทำ” ชินจิพูดเสียงสั่น เขากลัวมาก แต่เขาก็ต้องพยายาม ถ้าเขายอม การกระทำของเขาจะนำไปสู่เรื่องเลวร้าย ถ้าอาณาเขตถูกทำลาย มังกรแดงก็จะฟื้น แล้วโลกก็จะปั่นป่วนวุ่นวาย เขารู้ดี
             “ฮึ เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้ารึ” อาคางิขบกรามแน่น อยากจะฆ่ามันให้ตายตามที่มันเรียกร้อง แต่เขายังต้องพึ่งมัน
อสูรตะขาบยิ้มเยื้อน เปลี่ยนจากความกราดเกรี้ยวเป็นอ่อนโยน
             “ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่กับคนอื่น ข้าไม่รับประกัน”
             อาคางิโบกมือ น้ำสีฟ้าตรงหน้าชินจิเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนกระจกสะท้อนภาพบางอย่าง ชินจิชะโงกหน้าไปมอง
             “เอย์จิซัง!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง
             ภาพที่สะท้อนอยู่ในน้ำคือภาพของรุ่นพี่ของเขา เอย์จิกำลังโดนตะขาบตัวใหญ่ ๆ กลุ้มรุม เขาพยายามสู้ แต่ก็ถูกชนล้ม ตะขาบน่าเกลียดแยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่ แล้วภาพก็หายวับไป
             “เอย์จิซัง!” ชินจิเรียกอีก แต่ก็มองไม่เห็นภาพใด ๆ แล้ว
             “ถ้าเจ้ายอมทำตามข้า ข้าจะปล่อยชายผู้นั้น”
             ชินจิยกมือขึ้นปาดน้ำตา
             “ถ้าผมทำ คุณจะไม่ทำร้ายเอย์จิซังจริง ๆ นะ”
             อาคางิพยักหน้า ดวงตาวาววับ
             ชินจิไม่มีทางเลือก เขาเป็นห่วงเอย์จิยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เขายอมทุกอย่าง ขอแค่เอย์จิปลอดภัย
             ชายหนุ่มก้าวลงไปในน้ำสีฟ้าสดที่สงบนิ่ง พยายามเดินช้า ๆ เพื่อถ่วงเวลาอย่างเต็มที่ ภาวนาให้มีใครสักคนมาช่วยเขาเร็ว ๆ
             “เร็ว! ทำลายต้นไม้นั่น!” เสียงอาคางิตะโกนสั่งอย่างเร่งร้อนมาจากบนฝั่ง
             ชินจิกัดฟัน น้ำที่ตลิ่งไม่ลึก แต่เย็นเฉียบ เย็นจนทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ต้นไม้ไร้ใบที่ความจริงแล้วคือสิ่งแสดงอาณาเขตอยู่ไม่ห่างจากริมฝั่งทะเลสาบมากนัก แค่ไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มก็เดินมาถึงต้นไม้รอบนอก
             ทันทีที่ชายหนุ่มย่างเท้าเข้าสู่เขตของต้นไม้ไร้ใบ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อากาศหนักข้นขึ้นกว่าเดิมจนหายใจลำบาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะทนไม่ได้ นอกจากนั้น เขายังได้ยินเสียงเพลง มันเป็นเสียงเบา ๆ เหมือนเสียงที่ลอยมาตามลม แต่กลับดังชัดเจนในหัว
             เสียงนั้นสูง หวาน และไพเราะ

             อา... อ้อมกอดอันแนบแน่น
             และหัวใจดวงนี้... หัวใจที่เจ็บปวด แต่ไม่สั่นคลอน
             ในกาลเวลาที่ผันแปร
             รักของข้าจะอยู่คงเดิม

             อา... ความรักนิรันดร์ ความฝันชั่วกาลนาน


        ชินจิเดินตามเสียงไปอย่างคนที่ตกอยู่ในภวังค์ เสียงเพลงอันไพเราะนำชายหนุ่มให้เดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เดินตรงไปยังต้นไม้ต้นที่สูงที่สุด
             ยิ่งใกล้เข้าไป เสียงเพลงก็ดังชัดยิ่งขึ้น
             ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไร้ใบต้นนั้น ต่ำลงไป ผิวน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มกว่าบริเวณอื่นและมีแสงสว่างอยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำ เสียงเพลงดังมาจากตรงนั้น
             ชินจิเอามือแตะผิวน้ำ พริบตาเดียวเท่านั้น น้ำสีฟ้าสดที่เคยสงบนิ่งก็กระเพื่อมเป็นคลื่นลูกเล็ก ๆ และแยกออกจากกัน
ลูกแก้วสีน้ำเงินปรากฏชัดแก่ตาในทันใด!
             “นี่เอง ลูกแก้วมันจุ ลูกแก้วที่บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์พัดทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง” ชินจิพึมพำ แล้วเมื่อเขาหยิบลูกแก้วขึ้นมาถือไว้ในมือ เสียงเพลงก็หยุดลงพร้อมกับเกิดเสียงครืนครั่นขึ้นมาแทนที่ ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องในตอนแรก แต่ฟังอีกทีก็เหมือนเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว พื้นดินและพื้นน้ำสั่นสะเทือน ต้นไม้สีเข้มที่เคยหยัดตรงหักลงมาเหมือนกระดาษที่ถูกพับจนงอ
             เขตแดนแห่งทะเลสาบบิวะพังทลายลงแล้ว!
             
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 21 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-04-2016 23:15:56
               “มังกรแดงคืนชีพแล้ว!” เสียงดังลั่นนั้น ชินจิจำได้ว่าเป็นเสียงของอาคางิ
               ต้นไม้ไร้ใบสีเทาอ่อนต้นอื่น ๆ ที่รายล้อมอยู่ในบริเวณนั้นหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน พื้นดินใต้น้ำที่ชินจิเหยียบยืนอยู่สั่นไหวจนทำให้แทบทรงตัวไม่อยู่ มือของเขากำลูกแก้วสีน้ำเงินในมือแน่น ตาเบิกโพลงจ้องตรงไปข้างหน้า
ที่กลางทะเลสาบ ฟองน้ำผุดพรายขึ้นมาเป็นระลอก ก่อนที่พื้นน้ำจะแหวกออกเป็นวงกลมและปรากฏร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งลอยขึ้นเหนือพื้นน้ำ
               ร่างนั้นเป็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง ผิวขาวอมชมพูเหมือนสีของดอกซากุระ ใบหน้าเรียว ปากแก้มคิ้วคางได้รูปสวยงามราวกับหุ่นปั้น ผมสีชมพูอมแดงยาวเป็นรากไทรประบ่า สวมกิโมโนยาวกรอมเท้าสีแดงสด เครื่องประดับที่หู คอและข้อมือทั้งสองข้างเป็นทับทิมเนื้อดีสีจัด ตลอดทั่วร่างแลเห็นเป็นสีแดงเหมือนเปลวเพลิงลุกโชติช่วง
               “ยินดีต้อนรับสู่อิสรภาพอีกครั้ง! ฮิเดะซึงุ!” อาคางิหัวเราะร่า ดวงตาของอสูรหนุ่มเป็นประกายด้วยความหมายมาดอย่างบ้าคลั่ง ชูลูกแก้วมันจุที่แย่งมาจากชินจิขึ้นสูง
               “ข้า อาคางิ เป็นผู้ปลุกชีพท่านขึ้นมา ขอท่านโปรดจงฟังคำของข้า”
               ดวงตากลมโตของมังกรแดงเหลือบมองมาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาทั้งตัว ท่าทางบอกว่ากำลังตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ทำให้อาคางิลิงโลดใจอย่างยิ่ง มังกรแดงเกรงพลังของลูกแก้วมันจุที่อยู่ในมือของเขาแน่ มันจะต้องเชื่อฟังเขา
               “จะให้ข้าทำอะไรเพื่อท่านเล่า” น้ำเสียงของมังกรแดงไพเราะเหมือนหน้าตาที่งดงาม แต่ชินจิได้ยินแล้วกลับรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก อาคางิทำให้เขาหวาดกลัวได้จับจิตจับใจก็จริง แต่ความกลัวนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับที่มังกรแดงทำให้เขารู้สึกอยู่ในขณะนี้ ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ขากับแขนแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ปากอ้าค้าง ตาค้าง
               ชินจิอยากวิ่งหนีไปให้พ้นจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด แต่เขาขยับตัวไม่ได้เลย แม้แต่เสียงจะร้องก็ยังไม่อาจบังคับให้พ้นริมฝีปากออกมาได้
               อาคางิออกคำสั่งด้วยความลำพอง
               “กำจัดมังกรขาว เข่นฆ่าพวกมนุษย์ ทำให้โลกนี้กลายเป็นดินแดนมิคสัญญี!”
               “นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ข้าพอใจจะกระทำ” ฮิเดะซึงุกระโดดจากทะเลสาบขึ้นมายืนอยู่บนฝั่ง ไม่ห่างจากร่างของอาคางินัก ท่าทางของมังกรแดงนุ่มนวล ไม่มีอาการคุกคามอย่างในตำนานที่บอกว่า มังกรแดงเป็นอสูรผู้บ้าคลั่งและกระหายเลือด
ในเวลานั้นเอง เอย์จิกับชิโนซากิคิตสึเนะก็มาถึงทะเลสาบพอดี เมื่อเห็นร่างสูงเพรียวในชุดสีแดงเหมือนเปลวเพลิง จิ้งจอกขาวก็เอามือแปะหน้าผาก ครางฮือ
               “มาไม่ทันจนได้ มังกรแดงฟื้นคืนชีพแล้ว ยุ่งมหายุ่งแล้วสิครับเนี่ย”
               แต่เอย์จิไม่สนใจใครทั้งนั้น เขากวาดตามองหาชินจิก่อนอย่างอื่น พอเห็นรุ่นน้องยังปลอดภัยดี กำลังยืนอยู่ในน้ำห่างจากฝั่งออกไปพอสมควร ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
               “ชินจิ!” เขาตะโกนด้วยความดีใจ
               อาคางิแสยะยิ้ม ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงพลังของจิ้งจอกขาวอีกต่อไป ในเมื่อมีพลังของมังกรแดงและลูกแก้วมันจุอยู่ในมือ ชิโนซากิคิตสึเนะมากับมนุษย์ หน้าตานั่นคือลูกชายของนักปัดรังควานไม่ผิดแน่ แต่กลับไม่มีพลังใด ๆ ให้สัมผัสได้ แสดงว่ามนุษย์ผู้นั้นไม่ใช่ลูกชายคนโตที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอด
               มันน่าขำยิ่งนัก อาคางิหัวเราะลั่น ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นด้วยการฆ่าพวกมันทั้งคู่เป็นการเปิดฉากสงครามอันน่าสะพรึงนี้เลยก็แล้วกัน
               “สังหารพวกมันเสีย ฮิเดะซึงุ พวกมันมาที่นี่หวังจะนำท่านกลับสู่ใต้ทะเลสาบอีกครั้ง”
               ชินจิเห็นมังกรแดงขยับตัว เอย์จิกำลังจะถูกทำร้าย และจากที่เคยกลัวแสนกลัว ชินจิร้องลั่น
               “ไม่นะ!”
               “เอ หรือข้าจะฆ่าเจ้าก่อนดี เจ้ามนุษย์น้อยที่ไร้ประโยชน์” อาคางิเอ่ยเสียงหยัน มือวาดขึ้นสูง เตรียมจะพุ่งไปฉีกร่างของอีกฝ่าย
               ชั่วขณะที่อสูรหนุ่มหันไปมองทางอื่นและไม่ทันได้ระวังตัวนี้เอง มังกรแดงก็ฉวยโอกาสแย่งลูกแก้วมันจุกลับคืนพร้อมกับกางกรงเล็บกระซวกเข้ากลางหน้าอกของอาคางิจนเนื้อกระจุย โลหิตสีแดงสดทะลักออกมาเป็นสาย ดวงตาเรียวรีเบิกโพลง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน รู้ตัวอีกที อาคางิก็ล้มคว่ำตึงลงไปแล้ว มังกรแดงหัวเราะก้อง
               “ตายซะ!”
               ดวงตาของฮิเดะซึงุกลายเป็นสีแดงก่ำ มังกรแดงผู้กระหายเลือดกลับคืนมาแล้ว
               “ข้าจะทำลายทุกอย่างให้สิ้น!”
               ลูกแก้วมันจุเปล่งแสงตอบรับคำประกาศกร้าวของฮิเดะซึงุ พื้นฟ้าและพื้นดินวิปริตแปรปรวน น้ำสีฟ้าในทะเลสาบไหวโยนก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและแผ่กว้างเหมือนกำแพงน้ำ
               ชินจิเสียหลักล้มคะมำ หลังจากพื้นทะเลสาบที่ยืนอยู่สั่นสะเทือนและน้ำถูกดึงให้ไปรวมตัวกัน คลื่นน้ำทะมึนอยู่เหนือศีรษะ สูงยิ่งกว่ายอดไม้ที่สูงที่สุด ถ้ามันซัดลงมาเมื่อไหร่ ทั้งป่า หมู่บ้าน มนุษย์ สัตว์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าคงจะถูกกวาดล้างทำลายจนราบคาบ
               “จงไป น้ำของข้า จงทำลายทุกอย่างให้สิ้น” มังกรแดงชูมือขึ้น แล้ววาดลงต่ำ น้ำหลายสายจากกำแพงน้ำอันมโหฬารก็ซัดออกไปเป็นระลอกแรก ความแรงของมันแม้แต่ต้นไม้และเนินดินก็ทานไม่ไหว สายน้ำพุ่งทะยานเหมือนอารมณ์ที่ขุ่นข้องเกรี้ยวกราด
               เอย์จิกับชิโนซากิคิตสึเนะล้มกลิ้งแยกห่างออกไปคนละทางขณะเกิดแผ่นดินไหวจากการที่ลูกแก้วมันจุสำแดงพลัง และตอนนี้ทั้งสองก็อยู่ในตำแหน่งที่ขวางทางน้ำพอดี จิ้งจอกขาวกางเขตคุ้มกันให้ตัวเองได้ แต่เขาเอื้อมไปไม่ถึงร่างของลูกชายคนเล็กของนักปัดรังควาน
               คลื่นน้ำกำลังจะถึงตัวของเอย์จิ ปฏิกิริยาของชายหนุ่มคือยกมือขึ้นกันพร้อมกับเบือนหน้าหนีและหลับตา เตรียมรับชะตากรรมที่โถมเข้าใส่
               “เอย์จิซัง! ชิโนซากิซัง!” หูของเขาได้ยินเสียงตะโกนของชินจิ แต่เขาคงไม่มีโอกาสเห็นหน้าของรุ่นน้องอีกต่อไปแล้วกระมัง
               เวลาเดินช้าเหลือเกินในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เอย์จิคิดว่าตัวเขาน่าจะโดนคลื่นน้ำเข้าปะทะและถูกกวาดม้วนไปด้วยกัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ได้ยินเสียงครืนครั่นแล่นผ่านตัวไป
               ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที สิ่งแรกที่เห็นคือแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตา
               “ท่านพ่อ!”
               มาซาฮารุกางเขตแดนปกป้องลูกชายเอาไว้ ทำให้สายน้ำที่บ้าคลั่งไหลแฉลบออกไป ไม่สามารถทำอันตรายเอย์จิได้
               “เจ้าเด็กบ้า! ใครใช้ให้แกแล่นเข้ามาหาที่ตายแบบนี้! ไร้ความคิดที่สุด!” มาซาฮารุเอ็ดตะโรด้วยความหัวเสีย
               หลังจากมิโคโตะลอกเปลือกของอาคางิออกจนเห็นว่าเจ้าอสูรตะขาบนั่นใช้ร่างไร้วิญญาณของการาสุเท็นงูคุโรบะมาเป็นหุ่นเชิดเพื่อถ่วงเวลา เขาและมังกรขาวก็ล่วงหน้ามายังทะเลสาบบิวะก่อนเพื่อมาขัดขวางการปลุกชีพมังกรแดง แต่ก็สายเกินไป ฮิเดะซึงุฟื้นคืนชีพอีกครั้งและกำลังอาละวาดด้วยความโกรธจัดที่ถูกสะกดไว้ใต้ทะเลสาบมาเนิ่นนาน
               แต่นักปัดรังควานสูงวัยยังมาทันที่จะช่วยหยุดยั้งไม่ให้คลื่นน้ำคร่าชีวิตลูกชายคนเล็ก ซึ่งก็หวุดหวิดจวนเจียนเต็มที ถ้าเขากางเขตแดนคุ้มตัวเอย์จิช้ากว่านี้อีกอึดใจเดียว ร่างของลูกคงจะถูกน้ำกวาดไปแล้ว
               ความโล่งใจทำให้มาซาฮารุเอ็ดตะโรลูกชายคนเล็กยกใหญ่ ตบท้ายด้วยคำสั่ง
               “ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ลงไปตามเส้นทางที่ท่านมิโคโตะสร้างขึ้น แกจะไม่เป็นอะไร”
               “แต่ชินจิล่ะครับท่านพ่อ ชินจิยังอยู่ตรงนั้น” เอย์จิร่ำร้อง
               “ฉันจัดการเอง แกไม่ต้องเป็นห่วง”
               มาซาฮารุผลักร่างลูกชาย ตอนนี้คลื่นน้ำระลอกแรกผ่านไปแล้ว มังกรแดงยืนอยู่ที่เดิม กำลังเผชิญหน้ากับมังกรขาว
               “มิโคโตะ”
               สายตาของมังกรแดงคั่งแค้นและเจ็บปวด
               น้องชายฝาแฝดที่รักยิ่งของข้า น้องชายที่ข้าทั้งรักและชิงชัง น้องชายที่เป็นคนกำจัดข้า ทำให้ข้าต้องหลับใหลอยู่ใต้ทะเลสาบมืด ๆ ชั่วนิรันดร์
               “ข้ารู้ดีว่าท่านรู้สึกอย่างไร ฮิเดะซึงุ” มิโคโตะพูดด้วยความอ่อนโยน “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว พร้อมจะรับผลทุกอย่างจากสิ่งที่ข้ากระทำต่อท่าน ท่านอยากจะทำอะไรข้าก็ได้ ถ้ามันจะทำให้ท่านคลายความโกรธแค้นลงได้”
               “ต่อให้ข้าฉีกเนื้อเจ้าเป็นชิ้น ๆ มันก็ไม่สาสม!” เสียงกราดเกรี้ยวของมังกรแดงดังก้องไปทั่วทั้งภูเขา ทำให้อากาศสั่นสะเทือน แผ่นดินและกำแพงน้ำขนาดยักษ์ไหวสะท้าน
               “เจ้าหักหลังข้า มิโคโตะ ความโกรธแค้นของข้าไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ข้าจะทำลายเจ้า ทำลายทุกอย่าง ทำลายมันให้หมด!”
               ความบ้าคลั่งของมังกรแดงเกิดขึ้นในพริบตานั้น คลื่นน้ำอีกระลอกเตรียมโผนทะยาน แต่คราวนี้มังกรขาวแผ่พลังเข้าปะทะเอาไว้ สองขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ต้านทานกันและกันอย่างสุดกำลัง
               “ตอนนี้แหละ เอย์จิ รีบไป!” มาซาฮารุร้องสำทับเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กยังมีท่าทีพะวักพะวง
               นักปัดรังควานมองตรงไปข้างหน้า มิโคโตะต้านพลังของฮิเดะซึงุซึ่งครอบครองลูกแก้วมันจุไม่อยู่อย่างที่เขาคาดการณ์ คลื่นน้ำซัดออกไปอีกระลอก เฉียดร่างของเขาไปนิดเดียว ในยามนี้ การหยุดฮิเดะซึงุให้ได้ถือว่าเร่งด่วนยิ่งกว่าสิ่งใด มาซาฮารุเห็นรุ่นน้องของเอย์จิยังปลอดภัยและจิ้งจอกขาวรอจังหวะที่จะเข้าไปช่วยอยู่แล้ว นักปัดรังควานจึงเปลี่ยนเป้าหมาย ร่ายเวทเสกชิกิงามิผนึกกำลังกับมังกรขาว
               เมื่อได้พลังจากมนุษย์เข้ามาช่วย ทำให้หยุดคลื่นน้ำของมังกรแดงได้ แต่มันยิ่งกระตุ้นความโกรธแค้นให้เกิดแก่ฮิเดะซึงุอย่างเหลือระงับ มังกรขาวร่วมมือกับมนุษย์เหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกมันจะร่วมมือกันกำจัดข้าอีกครั้ง!
               ลูกแก้วมันจุเปล่งประกายตอบรับความอาฆาตแค้นของมังกรแดง พลังของมันเหลือล้นจนอาณาเขตที่มังกรขาวและมนุษย์ช่วยกันสร้างพังทลายลงในพริบตา
               ชินจิมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง พื้นที่เขาอยู่ตอนนี้เหมือนเกาะขนาดเล็กท่ามกลางคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง มีน้ำสีฟ้าสดล้อมรอบ กำแพงน้ำค้ำอยู่เหนือศีรษะ เขาต้องยึดพื้นส่วนที่งอกขึ้นมาเป็นเนินดินแข็งเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตกลงไปในน้ำ แต่ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างไร ชายหนุ่มก็ยังมองหาเอย์จิด้วยความเป็นห่วง แล้วเมื่อเห็นรุ่นพี่ของเขาปลอดภัยอยู่ในเขตคุ้มกันของบิดา ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
               ก็ยังเหลือแต่ตัวเองนี่แหละ อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่กล้าลงไปในน้ำ เกรงว่าจะถูกคลื่นกลืนหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะอยู่ตรงนี้ต่อไปก็คงไม่พ้นถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของมังกรที่ตั้งหน้าตั้งตาฟาดฟันกันจนไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น
               ระหว่างที่ชินจิกำลังพะวักพะวน ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตว่า ร่างของอาคางิเริ่มเคลื่อนไหว
               อสูรตะขาบที่ใคร ๆ คิดว่าตายไปแล้วจากการโดนพลังของมังกรแดงทะลวงหน้าอกค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก เลือดสด ๆ ยังทะลักออกจากรูกลวงโบ๋ที่กลางลำตัว มันเจ็บปวด ไร้กำลัง แต่มันยังมีชีวิตอยู่เพราะพลังความแค้นแต่เพียงประการเดียว หากก็อยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก แต่ก่อนตาย มันต้องลากใครสักคนให้ตายไปพร้อมกับมันด้วยเพื่อระบายความคั่งแค้น
               เจ้ามนุษย์!
               ชินจิเป็นเป้าหมายของมัน อย่างน้อยมันก็ได้ฆ่า
               หัวของอาคางิเปลี่ยนเป็นหัวของตะขาบ พุ่งเข้าใส่ชินจิ เขี้ยวขาวคมกริบของมันจะงับร่างนั้นให้ขาดเป็นสองท่อน!
               เอย์จิเห็นถนัดตาตั้งแต่ที่อาคางิเริ่มไหวตัว เพราะสายตาของเขาจ้องมองแต่ทางที่รุ่นน้องอยู่ ชายหนุ่มเปลี่ยนความตั้งใจทันที ไม่คิดจะฝากความหวังไว้ที่ใครอีกแล้ว แต่เขาจะช่วยรุ่นน้องของเขาเอง เอย์จิวิ่งเข้าไปอย่างไม่เกรงอันตรายและเขาไปทันเวลาพอดี ก่อนที่เขี้ยวตะขาบจะทำอันตรายชินจิ ชายหนุ่มก็ยิงดอกศรปัดรังควานเข้าปะทะ ทำให้หัวของอาคางิปัดเป๋ มันร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะโดนจิ้งจอกขาวสร้างอาณาเขตเข้าโจมตีซ้ำ บีบอัดให้หัวของมันแหลกเป็นจุณ
               อาคางิตายแล้วอย่างแน่นอน
               “ฉันมาแล้วชินจิ”
               ชินจิเห็นร่างสูงใหญ่ของรุ่นพี่วิ่งลุยน้ำที่สูงเกือบถึงเอวเข้ามาหาก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ปล่อยมือที่เกาะพื้นแล้วโผเข้าสู่อ้อมแขนของเอย์จิ
               “เอย์จิซัง คุณปลอดภัย ผมดีใจที่สุดเลย”
               ทั้งสองคนกอดกันแน่น
               ตอนนั้นเองที่พลังของลูกแก้วมันจุสลายอาณาเขตที่มังกรขาวและมนุษย์ผนึกกำลังกันสร้างขึ้น คลื่นน้ำไม่มีอะไรกางกั้นอีกต่อไปและฮิเดะซึงุปล่อยให้มันซัดสาดไปตามใจปรารถนา
               “จงไป! น้ำของข้า ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ราพณาสูร!”
               คลื่นน้ำขนาดยักษ์โถมลงอย่างบ้าคลั่งไม่ผิดจากอารมณ์ของผู้เป็นนาย เป้าหมายอยู่ที่มิโคโตะและมาซาฮารุที่ยืนจังก้าขวางหน้าอยู่ แต่ทั้งมังกรขาวและมนุษย์ยังสามารถสร้างเขตคุ้มกันป้องกันตนเองได้ น้ำจำนวนมหาศาลซัดใส่เขตแดนจนสั่นสะเทือน
               เอย์จิขยับตัวไปตามสัญชาตญาณ ชั่วขณะหนึ่งเขาเห็นชิโนซากิคิตสึเนะวิ่งเข้ามา ชายหนุ่มจึงผลักร่างของชินจิที่อยู่ในอ้อมกอดให้กระเด็นไปไกลที่สุดเท่าที่แรงของเขาจะทำได้
               ชินจิปลิวไปยังทิศที่จิ้งจอกขาวอยู่และถูกดึงเข้าสู่อาณาเขตทันที
               เอย์จิยิ้ม รุ่นน้องของเขาปลอดภัยแล้ว
               “ไม่นะ! เอย์จิซัง!” ชินจิดิ้นพราด ๆ จะออกไปจากเขตแดน แต่ทำไม่ได้เพราะตัวของเขาถูกกอดรั้งเอาไว้อย่างแน่นหนา
               ต่อหน้าต่อตาเขา เอย์จิถูกคลื่นน้ำอันบ้าคลั่งกลืนหายไป
               ชินจิน้ำตาไหลพราก มือยื่นออกไปสุดเหยียด แต่เขาเอื้อมไม่ถึงตัวรุ่นพี่ เอย์จิหายไปแล้ว
               “ไม่เอา! มันต้องไม่เป็นแบบนี้!” ชายหนุ่มหลับตา ดิ้นรนตะโกนอย่างคนที่หัวใจแหลกสลาย มือข้างหนึ่งกำถุงเครื่องรางที่ห้อยคออยู่แน่น
               “เอย์จิซัง! กลับมาหาผม! ใครก็ได้ช่วยเอย์จิซังด้วยเถิด ผมขอร้อง! ช่วยหยุดเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ที หยุดสักทีได้ไหม! เอาเอย์จิซังของผมคืนมา!”
               สิ่งประหลาดเกิดขึ้นในพริบตานั้น หลังจากที่ชินจิตะโกนประโยคสุดท้ายออกมา ถุงเครื่องรางที่ชายหนุ่มกำเอาไว้ก็เปล่งแสงสีแดงจ้า
               ชินจิปล่อยมือด้วยความตกใจ
               อะไรบางอย่างลอยออกมาจากถุงและตกลงบนฝ่ามือของชินจิที่ยกขึ้นรับโดยอัตโนมัติ
               ลูกแก้วสีแดงที่กาตัวใหญ่ขยอกออกมาจากท้องก่อนตาย!
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 24 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-04-2016 00:02:19
กรี้ดดดดดด. กำลังลุ้นตัวโก่งเลยยยยยย :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 24 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 03-04-2016 00:16:11
อ่านรัวๆและลุ้นอย่างมากกก
เอย์จิจะเป็นไงน้อออ  ลุ้นอ่ะ
 :katai1:

กาน้อยไปซะแล้วว  :hao5:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 24 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-04-2016 01:41:32
สนุกมากครับ การผูกเรื่อง การบรรยาย ดีไปหมด ตัวละครก็น่าสนใจ
แนวเรื่องแบบนี้หาอ่านได้ยากมาก เหมือนอ่าน manga ดีๆ อยู่เลย
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 24 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-04-2016 04:46:54
บทที่ 25

        “ลูกแก้วคันจุ!”
        เออิจิโร่พยุงรุกะนำพวกมนุษย์และอสูรตามมาถึงทะเลสาบบิวะในที่สุด หลังจากที่ผจญกับคลื่นยักษ์และพสุธาที่สั่นสะเทือนอันเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่า มังกรแดงฮิเดะซึงุคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
        แต่ภาพการต่อสู้ระหว่างมังกรทั้งสองและมนุษย์นักปัดรังควานก็ยังไม่มหัศจรรย์เท่ากับภาพของลูกแก้วสีแดงที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาและตกลงในมือของมนุษย์
        “ชินจิซังมีลูกแก้วคันจุได้ยังไง” รุกะมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
        “นี่เองเหตุผล ทำไมเขาถึงได้พิเศษกว่าคนอื่น ๆ” เออิจิโร่พึมพำ
        “เออิจิโร่ ดูนั่น!” รุกะเรียกคู่หมั้นหนุ่ม
        ทันทีที่ลูกแก้วคันจุปรากฏขึ้น ความวิปริตบ้าคลั่งทั้งหลายก็หยุดเหมือนปิดสวิตช์ คลื่นยักษ์อ่อนตัวลงกลายเป็นน้ำในทะเลสาบตามเดิม และเมื่อลูกแก้วเปล่งแสงสีแดงจ้าขึ้นอีกครั้ง พื้นน้ำสีฟ้าสดก็พลันแยกตัวออกและร่างของเอย์จิก็ลอยขึ้นมา
        ชิโนซากิคิตสึเนะรับร่างที่ไม่ได้สติของเอย์จิ นำมาวางลงบนพื้นภายในเขตแดนที่เขาสร้างขึ้น
        “เอย์จิซัง!” ชินจิร้องไห้โฮ เขย่าเรียกรุ่นพี่เป็นการใหญ่ อึดใจต่อมา เอย์จิก็ได้สติ ลุกขึ้นขย้อนเอาน้ำออกมาจากท้อง หน้าของเขาซีด ตาแดงก่ำ แต่ไม่ได้รับอันตรายอะไร
        ชินจิโผเข้ากอดร่างอันเปียกโชกของรุ่นพี่แน่นด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูก เอย์จิปลอดภัยแล้ว
        มังกรแดงคำรามลั่นขึ้นมาอีกจนบรรยากาศสั่นสะเทือนแทบว่าจะถล่มทลาย ไอ้พวกมนุษย์มันได้ลูกแก้วคันจุไปครอบครอง ทั้ง ๆ ที่ลูกแก้วทั้งสองเป็นของมังกร ข้าได้มันจุกลับคืนมาแล้ว ข้าจะต้องเอาคันจุกลับคืนมาให้อยู่คู่กัน
        ฮิเดะซึงุพุ่งปราดหมายจะแย่งชิงลูกแก้วสีแดง แต่ชิโนซากิคิตสึเนะที่กลายร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่เข้าขัดขวางไว้ได้ทันและสู้กันเป็นพัลวัน
        จังหวะนั้นเอง มังกรขาวหันไปหามนุษย์ทั้งสองที่อยู่ในเขตแดนของจิ้งจอก ร้องสั่งว่า
        “เอาลูกแก้วคันจุมาให้ข้า!”
        ชินจิทำตามแต่โดยดี ขว้างลูกแก้วสีแดงในมือออกไปสุดแรง
        ฮิเดะซึงุโยนร่างที่โซมด้วยโลหิตของจิ้งจอกขาวทิ้งไป แล้วประจันหน้ากับมังกรขาวที่ถือลูกแก้วคันจุอยู่ในมือและมนุษย์นักปัดรังควานผู้ครอบครองดาบสีดำซึ่งเทพเจ้าเป็นผู้ช่วยตีขึ้นมา
        สถานการณ์พลิกผันแล้ว ข้างมังกรขาวมีทั้งพลังของลูกแก้วคันจุและมนุษย์
        แต่อย่าหวังเลยว่าฮิเดะซึงุผู้นี้จะหวาดกลัว!
        มังกรแดงผู้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่งเปิดฉากอาละวาดอีกครั้ง แสงสีน้ำเงินจากลูกแก้วในมือสาดจ้า พื้นน้ำเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง คลื่นน้ำก่อตัว
        มังกรขาวใช้พลังของลูกแก้วคันจุเข้าขวาง แสงสีแดงสดพุ่งเข้าต้านและผลักดันให้คลื่นยักษ์ถอยกลับ ขณะที่มนุษย์นักปัดรังควานร่ายเวทเสกชิกิงามิรูปสุนัขจิ้งจอกลุกเป็นไฟเข้าสู้อีกแรงพร้อมกับจับดาบคู่มือฟาดฟันใส่พร้อมกัน
        พลังของมังกรแดงมีมากกว่ามังกรขาว ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ไม่มีใครสามารถทานฤทธิ์เดชของมังกรแดงได้ แต่เมื่อมีทั้งคันจุและพลังเวทของมนุษย์กลุ้มรุมพร้อมกัน ไม่ช้าฮิเดะซึงุก็เสียท่า พลาดถูกคมดาบของมาซาฮารุฟันเข้าที่หน้าอกเป็นทางยาว
        วินาทีที่ฮิเดะซึงุชะงักงัน คือช่วงเวลาที่มิโคโตะรอคอย
        มังกรขาวชิงลูกแก้วมันจุกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและใช้พลังของมันร่วมกับพลังของคันจุสร้างข่ายแสงเป็นเขตแดนคลุมร่างของฮิเดะซึงุ บังคับให้มังกรแดงที่ดิ้นรนคลุ้มคลั่งค่อย ๆ สงบลงจนกลายเป็นแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ อีกต่อไป
        ทั้งมนุษย์และอสูรผู้ร่วมรับรู้เหตุการณ์พากันโห่ร้อง
        “มังกรแดงสงบแล้ว ท่านมิโคโตะสะกดมังกรแดงได้สำเร็จ”
        มิโคโตะรับร่างของฮิเดะซึงุซึ่งนอนหลับลงอีกครั้งเข้าสู่อ้อมแขน แล้วกอดกระชับเอาไว้แนบอกด้วยความอาลัยรัก น้ำตาของมังกรขาวที่ไหลอาบแก้มทำให้เกิดสายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
        ฮิเดะซึงุเข้าสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์
        “ท่านมิโคโตะ” มาซาฮารุส่งเสียงเรียกเบา ๆ ทำให้มังกรขาวเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมอง
        “ขอบคุณท่านมาซาฮารุ”
        มิโคโตะส่งลูกแก้วสีแดงคืนให้ คันจุกลับสู่ความครอบครองของมนุษย์แล้วในที่สุด
             เออิจิโร่พยุงรุกะเข้ามาสมทบ เช่นเดียวกับชินจิที่ประคองเอย์จิเข้ามา มาซาคาโดะกับมุราซากิเข้าช่วยจิ้งจอกขาวที่กลับสู่รูปลักษณ์ของมนุษย์ บาดแผลของชิโนซากิฉกรรจ์มาก แต่ยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายถึงชีวิต อสูรและมนุษย์คนอื่น ๆ เคลื่อนเข้ามารวมกลุ่มกันอยู่ห่าง ๆ
        “เอ่อ... มังกรแดงตายแล้วหรือครับ” ชินจิถามขึ้นด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
        “เขาไม่ตาย แค่นอนหลับไปอีกครั้ง” มิโคโตะยิ้มอ่อนโยนให้มนุษย์ผู้เคยครอบครองลูกแก้วคันจุ รอยยิ้มงดงามของมังกรขาวทำให้ชินจิตกตะลึงไปชั่วขณะ
        “ลูกแก้วทั้งสองเป็นสมบัติของมังกรมาก่อน ก่อนที่ริวจิน ราชันมังกรแห่งท้องทะเลจะมอบเป็นของขวัญให้แก่โฮโฮเดมิ หลานชายของเทพนารีอามาเตระสึ พลังของลูกแก้วจึงไม่สามารถทำอันตรายฮิเดะซึงุซึ่งเป็นมังกรได้ ทำได้แค่สะกดให้หลับใหลเท่านั้น” เอย์จิอธิบาย
        “ลูกชายของนักปัดรังควานพูดถูกแล้ว” มิโคโตะเอ่ยรับรองพลางไล้มือเรียวงามลูบใบหน้าของฮิเดะซึงุที่นอนหลับอยู่ด้วยความอ่อนโยน
        “งั้นเขาก็ต้องกลับไปอยู่ใต้ทะเลสาบอีกครั้งใช่ไหมครับ น่าสงสารจัง”
        ประโยคท้ายชินจิลดเสียงลงเป็นกระซิบ แต่มิโคโตะก็ยังได้ยิน
        “มนุษย์ผู้มีจิตใจอ่อนโยน เจ้าไม่ต้องสงสารฮิเดะซึงุหรอก เพราะเขาจะไม่ต้องอยู่ใต้ทะเลสาบนั่นแต่เพียงลำพัง มิโคโตะผู้นี้จะลงไปอยู่กับฮิเดะซึงุด้วย”
        สิ้นเสียงประกาศชัดเจนของมังกรขาว เหล่าอสูรแห่งฮะคุริวก็อื้ออึงทันที อิบุกิก้มลงคุกเข่า คัดค้าน
        “ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ท่านมิโคโตะ หากท่านปรารถนาให้มีผู้ขับกล่อมท่านฮิเดะซึงุ อิบุกิผู้นี้ขอรับอาสาเอง”
        “เสียงของวาคานะเป็นของท่านมิโคโตะ ขอแค่เพียงมีบัญชา ข้าก็พร้อมจะเป็นผู้ร้องเพลงขับกล่อมมังกรแดงแทนท่านโทชิมิตสึ” อสูรซาโตริผู้ใส่กิโมโนกรุยกรายทรุดตัวลงคุกเข่าเคียงข้าง
       มังกรขาวยกมือขึ้นห้าม ใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเจือรอยเศร้าในเวลาเดียวกัน
       “มิโคโตะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหน้าที่นี้แล้ว หากพี่ชายฝาแฝดของข้าต้องนิทราไปชั่วนิรันดร์ น้องชายอย่างข้าก็ต้องอยู่ด้วยจวบจนสิ้นกาลเวลา”
       อิบุกิคอตก เช่นเดียวกับวาคานะและอสูรทุกตน
        “พวกเจ้าไม่ต้องอาลัยข้า หน้าที่ของพวกเจ้ายังมีอยู่ อสูรทุกตนแห่งฮะคุริวจงฟัง!”
        มังกรขาวประกาศก้อง ท่าทางที่อ่อนโยนกลายเป็นขึงขังและน่าเกรงขามสมความเป็นเจ้าแห่งขุนเขา อสูรทุกตนทรุดตัวลงคุกเข่า ก้มศีรษะลงต่ำด้วยความเคารพเท่าชีวิต
        “ข้าขอสั่งให้พวกเจ้ารักษาอาณาเขตของอสูรเหนือทะเลสาบขึ้นไป ห้ามมิให้ผู้ใดบุกรุกเข้ามาอย่างเด็ดขาด และข้าสั่งห้ามมิให้อสูรตนใดของฮะคุริวทำร้ายมนุษย์ อสูรอยู่ในดินแดนของอสูร เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด”
        ดวงตาของมังกรขาวจ้องจับไปที่ผู้นำของเหล่ามนุษย์ซึ่งยืนห่างออกไปพอสมควร
        มาซาฮารุก้มศีรษะลงต่ำเป็นการแสดงการยอมรับและเคารพในวาจาประกาศิตของเจ้าแห่งขุนเขา ก่อนที่จะประกาศด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นไม่แพ้กันว่า
        “และข้า มาซาฮารุ ตัวแทนของเหล่ามนุษย์ ขอสัญญาว่าจะไม่ให้มนุษย์ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปรบกวนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกท่านเหนือทะเลสาบบิวะโดยเด็ดขาด”
        มังกรขาวพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะอุ้มร่างของฮิเดะซึงุเดินลงไปในน้ำและหายวับไปเมื่อถึงใจกลางทะเลสาบ อึดใจต่อมาก็ปรากฏแสงสีฟ้าเจิดจ้าพุ่งขึ้นจากใต้ผิวน้ำ แสงนั้นสอดประสานกันเป็นตาข่ายขยายครอบคลุมทั่วพื้นน้ำ แล้วเลือนหายไป
             ทุกคนและทุกตนมองเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์นี้ประจักษ์ชัดแก่สายตา ผืนน้ำของทะเลสาบบิวะกลายเป็นสีฟ้าสดเช่นเดิม
             มาซาฮารุยืดตัวขึ้น จับกระชับดาบด้ามยาวในมือแน่น
             “มังกรขาวไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของมนุษย์บ้าง”
             “ท่านพ่อ!” เออิจิโร่กับเอย์จิประสานเสียงกันคัดค้าน
             “ลูกแก้วมันจุกับพลังของท่านมิโคโตะสามารถสะกดมังกรแดงได้ตลอดกาลก็จริงอยู่ แต่ถ้ามีพลังของมนุษย์เข้าเสริม ผนึกก็จะยิ่งแข็งแกร่ง มังกรแดงจะไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาสร้างความเดือดร้อนได้อีกต่อไป”
             นี่เป็นครั้งแรกที่ชินจิได้เห็นรอยยิ้มของบิดาของเอย์จิและเออิจิโร่
             “พ่อตัดสินใจแล้ว” ชายสูงวัยเอ่ย
             “เออิจิโร่ ได้ยินแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้เจ้าทำหน้าที่แทนพ่อ เป็นคันนุชิ เป็นนักปัดรังควาน และอย่าให้ใครล้ำแดนอสูรโดยเด็ดขาด รุกะจะเป็นคนช่วยเจ้าดูแลศาลเจ้าและเรียวกัง ขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
             สั่งจบ มาซาฮารุหันไปทางลูกชายคนเล็ก เห็นเอย์จิขบริมฝีปากแน่นจนห้อเลือดเหมือนที่ชอบทำเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรง ผู้เป็นบิดาก็มีสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนลง ตอนนี้เขาสละตำแหน่งคันนุชิและเจ้าบ้านไปแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่มาซาฮารุผู้มีภาระความรับผิดชอบแห่งความเป็นผู้นำอีกต่อไป แต่เป็นมาซาฮารุผู้เป็นพ่อคนคนหนึ่งเท่านั้น
             “เอย์จิ พ่อขอโทษสำหรับทุกอย่าง”
             น้ำตาของลูกชายร่วงพรู เอย์จิรีบยกท่อนแขนขึ้นเช็ดอย่างรวดเร็ว
             “ที่ต้องทำเป็นเย็นชา ไม่ใช่เพราะเกลียดชังหรือไม่รัก ตรงกันข้าม พ่อรักลูกมาก เหมือนกับที่รักแม่ แต่เอย์จิ ความรักอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ ลูกถึงต้องถูกกีดกันออกไป แต่ขอให้รู้ว่า พ่อเสียใจกับการกระทำของตัวเองตลอดมา แต่เพื่อลูก ถึงจะเสียใจแค่ไหน พ่อก็ต้องทำ”
             มาซาฮารุแตะมือลงบนศีรษะของลูกชายคนเล็กอย่างแผ่วเบา
             “พ่อไม่ขอให้ลูกเข้าใจหรือยกโทษให้ สิ่งที่พ่อต้องการคือการเห็นลูกชายมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยเท่านั้น”
             “ท่านพ่อ” เอย์จิเสียงเครือ ขยับจะจับมือของพ่อที่อยู่บนศีรษะ แต่มาซาฮารุชักมือออกไปเสียก่อน ทำให้มือของเอย์จิไขว่คว้าได้เพียงแค่อากาศ ชินจิรีบสอดมือของตัวเองเข้าไปแทน เอย์จิก็จับมือของรุ่นน้องบีบจนแน่น   
             บิดายิ้มน้อย ๆ ให้ลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายแทนการอำลา แล้วหันหลังเดินลงไปในน้ำ
             มาซาฮารุหยุดยืนไม่ห่างจากฝั่งมากนัก แล้วชักดาบออกจากฝัก เริ่มต้นร่ายเวท
             ดาบสีดำประจำตัวของมาซาฮารุเป็นดาบจากฝีมือตีของช่างดาบชื่อมุเนจิกะ ว่ากันว่าเทพเจ้าอินาริเป็นผู้มีส่วนช่วยในการตีดาบเล่มนี้ขึ้น มันจึงมีพลังวิเศษที่สามารถใช้เป็นศูนย์กลางของเขตแดนได้
             เวทที่มาซาฮารุร่ายกลายเป็นตัวอักษรสถิตอยู่บนใบดาบ ยาวจากปลายดาบลงมาจนถึงโคนที่ติดกับด้าม มาซาฮารุปักปลายดาบลงบนพื้นน้ำสีฟ้าสด ชั่วพริบตาเดียว ร่างของมาซาฮารุก็สลายกลายเป็นควันดำเข้ารวมตัวกับดาบด้ามยาวและเปลี่ยนให้กลายเป็นต้นไม้ไร้ใบสีดำสูงชะลูด โดดเด่นอยู่เหนือต้นไม้สีเทาแกมดำที่งอกขึ้นจากน้ำแผ่กระจายรายล้อมเหมือนรั้วกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง
              ผืนน้ำสีฟ้าสดนิ่งสนิท ต้นไม้ไร้ใบเห็นแต่เพียงกิ่งก้านโล้นเปลือยยืนต้นสงบ ทะเลสาบบิวะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
              “จบสิ้นกันเสียที” เออิจิโร่ปรารภ เหลียวมองไปข้างหลัง
              อสูรจากฮะคุริวยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ จ้องมองไปยังทะเลสาบบิวะ ชิโนซากิคิตสึเนะยืนอยู่ในกลุ่มด้วยโดยมาซาคาโดะเป็นผู้ประคอง มือข้างหนึ่งของจิ้งจอกขาวกุมท้องที่เป็นแผลฉกรรจ์ ชุดสีขาวล้วนเปื้อนเลือดสีแดงทั้งตัว
              “ชิโนซากิซัง เป็นยังไงบ้างครับ” ชินจิเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
              “ไม่ต้องเป็นห่วงครับผม แผลแค่นี้สบายมาก ดื่มสุราฝีมือบ่มของท่านมาซาคาโดะเข้าไปสักกรึ๊บกับแช่น้ำร้อนสักหน่อยก็หายแล้วล่ะครับ”
              จิ้งจอกขาวยิ้มให้จนตาหยี
              ชินจิเห็นท่าทางร่าเริงของจิ้งจอกขาวก็ค่อยคลายความเป็นห่วงลงได้มาก ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองอสูรเจ้าของชื่อมาซาคาโดะผู้เป็นอสูรผู้ทำให้หลงทางในป่า จากนั้นมองอสูรตนอื่น ๆ ด้วยความสนใจ เขาเคยได้ยินแต่ชื่อของอสูรเหล่านี้และคำบอกเล่าต่าง ๆ นานา เพิ่งได้เจอตัวจริงก็ครั้งนี้และเขาต้องขอบอกเลยว่า อสูรแห่งฮะคุริวทุกตนล้วนงดงามยิ่งกว่าคำบรรยายใด ๆ ที่เอ่ยอ้างถึง ชินจิมองเรื่อยไปจนถึงคาเสะฮายะที่ยืนอยู่ริมนอกสุด อสูรตนนี้เองที่ช่วยเหลือเขาไว้ตอนที่รถบัสถูกยักษ์เล็กบุก
               “อสูรคาไมทะจิ ท่านคาเสะฮายะใช่ไหมครับ” ชินจิผละจากชิโนซากิเข้าไปหาอสูรตัวเล็กผมสีบลอนด์จางจนเกือบขาว 
               “ผมยังไม่ได้ขอบคุณอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยที่ช่วยผมเอาไว้ตอนนั้น ขอบคุณมากนะครับ”
               ชายหนุ่มพูดอย่างสุภาพพร้อมกับโค้งตัวลงต่ำ
               คาเสะฮายะไม่พูดอะไรเลย แม้ว่าจะไม่มีผ้าสีดำคาดปากเอาไว้แล้วก็ตาม อสูรสายลมคาไมทะจิไม่สนใจชินจิเสียด้วยซ้ำ แต่ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เช่นเดียวกับอสูรตนอื่น ๆ
               “เอ่อ..” ชินจิขยับจะพูดอะไรออกมาอีก แต่ก็ชะงัก เพราะเห็นความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาจากกลุ่มของอสูรผู้งดงาม แล้วอสูรอสรพิษอิบุกิก็กระโดดหายไปเป็นคนแรก ตามด้วยอสูรซาโตริวาคานะ อสูรสายฟ้าคามินาริและอสูรสายลมคาเสะฮายะตามลำดับ
               “เจ้าพวกนี้นี่จงรักภักดีเหลือเกิ๊น มังกรขาวสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับใคร ก็ไม่ยุ่งจริง ๆ แค่จะเอ่ยปากตอบตามมารยาทยังไม่ยอมทำเล้ย” เออิจิโร่บ่นพึมด้วยความหมั่นไส้ รุกะต้องใช้ศอกกระทุ้งให้หุบปาก เพราะยังมีอสูรผู้จงรักภักดีเหลืออยู่ที่นี่อีกสองตน
               มาซาคาโดะกับมุราซากิไม่สนใจความปากเสียของลูกชายนักปัดรังควานที่ตอนนี้เป็นนักปัดรังควานผู้นำฝ่ายมนุษย์เต็มตัวแล้ว อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนตนแรกรออย่างอดทนให้ชิโนซากิคิตสึเนะกล่าวอำลาชินจิยืดยาวสมใจก่อนจะพาจิ้งจอกขาวกลับคืนไปในภูเขา ส่วนอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนตนหลัง เมื่อเห็นอสูรตนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้วก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นสายหมอกจาง ๆ สีม่วงอ่อนเกือบขาวเหมือนสีของดอกไลแลคแผ่คลุมทั่วทั้งบริเวณและกลืนทะเลสาบบิวะหายเข้าไปในสายหมอกจนเหลือแค่เงารางเลือน
                “หน้าที่พิทักษ์เขตแดนรอบนอกคงเปลี่ยนจากมาซาคาโดะเป็นมุราซากิแทนแน่ ๆ แล้วถ้าข่าวลือว่ามีสายหมอกสีม่วงสวยเหมือนดอกไลแลคหลุดออกไปเมื่อไหร่ คราวนี้คนคงแห่กันมาดูเพียบแน่ ๆ เราก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันแล้ว นอกจากคอยกันคนไม่ให้ล้ำแดนอสูร!” เออิจิโร่บ่นไม่หยุด
                ชินจิฟังแล้วอมยิ้ม แต่เขาไม่เห็นด้วยกับเออิจิโร่เสียทีเดียวเมื่อนึกถึงงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงที่ถูกอสูรบุกจนพังเละไม่เป็นท่า จนกว่าจะแก้ข่าวเรื่องนี้ได้นั่นแหละ ถึงจะมีคนกล้ามาเที่ยวที่หมู่บ้านคันโจโคเอนและภูเขามิคามิอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลครุ่นคิดให้ปวดหัว มันเป็นธุระของเจ้าบ้านคนต่อไปต่างหาก และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว
                มือใหญ่ของใครบางคนสอดเข้ามาประสานกับมือของเขา กระตุกเบา ๆ เป็นเชิงเรียกร้องความสนใจ ชินจิเหลียวไปมอง เปิดยิ้มกว้าง
                “เอย์จิซัง”
                รุ่นพี่ของเขายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
                “กลับบ้านกันเถอะ”
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 24 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-04-2016 04:59:52
               เออิจิโร่แง้มประตูห้องชงชา ก่อนจะเปิดออกจนสุด เมื่อเห็นคู่หมั้นสาวของเขานั่งคุกเข่าราบอยู่บนเสื่อตาตามิ ตรงหน้าของหล่อนคือหลุมสี่เหลี่ยม ในหลุมมีเตาฟุโระกับหม้อคามะซึ่งเอาไว้ใส่น้ำสำหรับชงชา รุกะใส่ชุดยูกาตะสีขาวลายดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แขนขวาพันผ้าพันแผลและใส่สายรัดคล้องไหล่ไว้ สีหน้าของหญิงสาวยังอิดโรยอยู่เพราะเสียเลือดไปมากและมีอาการอ่อนเพลีย
               “ทำไมไม่นอนพักล่ะ รุกะ ลุกขึ้นมาทำไม”
               ชายหนุ่มมองไปที่อุปกรณ์ชงชาใกล้ตัวของหญิงสาว คิ้วขมวด
               “ถ้าอยากดื่มชาก็บอกยูอิซังก็ได้ ไม่เห็นต้องมาชงเองเลย”
               รุกะเบือนหน้ามองคู่หมั้น แล้วหันกลับ ไม่แสดงความสนใจ หญิงสาวกำลังหงุดหงิด ไม่อยู่ในอารมณ์จะเสวนากับใคร โดยเฉพาะกับคู่หมั้นปากเสีย
               แต่เออิจิโร่ก็คือเออิจิโร่ ยิ่งเห็นคนไม่สนใจ ชายหนุ่มยิ่งอยากตามตอแย เขาก็เลยเดินเข้ามานั่งในห้องแถมลอยหน้าลอยตาล้อเลียน เมื่อรุกะถลึงตาไล่เขา
               “อยากดื่มชาขนาดนั้นเชียว มา ฉันชงให้เองก็ได้ แหม แค่หิวน้ำ ไม่เห็นต้องอารมณ์เสียเลย”
               “พิธีชงชามุ่งเน้นให้จิตใจสงบ เรียบง่าย มีสมาธิ เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว ยังจะให้ฉันพูดซ้ำทำไมเนี่ย จะยั่วโมโหใช่ไหม” รุกะตาวาว ถึงจะบาดเจ็บ ใช้มือข้างที่ถนัดไม่ได้ แต่การเสกชิกิงามิ แค่มือซ้ายมือเดียวก็เหลือแหล่แล้ว
               เออิจิโร่ยกสองมือ ยอมแพ้
               “โอเค โอเค ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้โมโหจริง ๆ”
               ชายหนุ่มหยิบอุปกรณ์ชงชามาจากมือรุกะ
               “เพื่อเป็นการขอโทษ ฉันจะชงชาอร่อย ๆ ให้เธอกิน ตกลงนะ”
               “ทำได้เหรอ” รุกะทำเสียงหยัน
               “อ้าว ดูถูก ท่านแม่สอนฉันเหมือนกันนะ เธอคิดว่ามีเอย์จิคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้รึไง บอกเลยว่าคิดผิดมาก ฉันเก่งกว่าหมอนั่นเยอะ”
               “งั้นเหรอ แต่ทำไมเมื่อก่อนฉันเห็นเธอนั่งเรียบร้อยอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาทีก็เผ่นซะแล้วล่ะ”
               “ก็เมื่อก่อนฉันยังเด็กอยู่” เออิจิโร่แก้ตัว หยิบจับอุปกรณ์แต่ละอย่างเหมือนกับต้องการจัดให้เป็นระเบียบ รุกะมองแล้วไม่ศรัทธาเลย แต่เจ้าตัวคุยเขื่องออกขนาดนั้น หล่อนก็อยากจะดูเหมือนกัน
               “ถ้าเธอทำผิด แม้แต่ขั้นตอนเดียว ฉันจะถือว่าเธอแพ้นะ”
               “ครับผม”
               รุกะถอยไปนั่งอยู่บริเวณหน้าโทโคะโนะมะหรือยกพื้นสำหรับวางของตกแต่งห้อง ซึ่งเป็นบริเวณที่ให้แขกพิเศษนั่งในระหว่างพิธีชงชา
               เออิจิโร่ถูไม้ถูมือเรียกความมั่นใจ แล้วเริ่มต้นด้วยการหยิบกระป๋องใส่ผงชาเขียวขึ้นมา
               รุกะมองด้วยความตั้งใจจะจับผิด แต่คู่หมั้นของหล่อนทำได้ดีกว่าที่คิด เออิจิโร่ใช้ช้อนไม้ด้ามยาวตักผงชาเขียวใส่ในถ้วยชาเซรามิก แล้วหยิบกระบวยไม้ตักน้ำร้อนจากหม้อคามะเทใส่ในถ้วยชา จากนั้นหยิบจะเซ็นหรือแปรงไม้ไผ่คนชาในถ้วย ท่าของเออิจิโร่ไม่เลวทีเดียว มือข้างหนึ่งประคองถ้วยชา อีกมือจับแปรงจะเซ็นคนอย่างรวดเร็ว แต่นุ่มนวล การเคลื่อนไหวของมือในทุกขั้นตอนมีจังหวะจะโคนกำลังพอดี
               “ตั้งใจจะทำก็ทำได้นี่นา” รุกะพูดลอย ๆ มองน้ำชาในถ้วยที่มีฟองเล็ก ๆ ลอยฟ่องด้วยความพอใจ
               “ยอมรับความสามารถฉันแล้วใช่มั้ยล่า” เออิจิโร่ยิ้มแฉ่ง
               “อย่าได้ใจไปหน่อยเลยน่ะ ยังเหลือขั้นตอนการดื่มอีกนะ เร็ว ๆ เข้า”
               “โห นี่ดูถูกกันกระทั่งการดื่มชานี่นะ ใครที่ไหนจะดื่มชาไม่เป็นกันล่ะ แม่คุณ” เออิจิโร่บ่น แต่ก็ทำตาม ชายหนุ่มใช้มือขวายกถ้วยชาขึ้นวางบนฝ่ามือซ้าย หมุนถ้วยตามเข็มนาฬิกาสองรอบ แล้วยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้มือขวาเช็ดบริเวณที่ริมฝีปากสัมผัสขอบถ้วยและเช็ดนิ้วด้วยกระดาษไคชิ สุดท้าย หมุนถ้วยชาในมือทวนเข็มนาฬิกาสองรอบ แล้ววางลงบนพื้นเสื่อ พิจารณาดูความงามของถ้วยชา ก่อนจะเลื่อนออกจากตัว
                “ชารสชาติดีมากครับ”
                เออิจิโร่พูดขึงขังตบท้าย ถูกต้องตามมารยาทเป๊ะแน่นอน แต่ดูสิ คู่หมั้นของเขากลับหัวเราะเฉยเลย
                “หัวเราะอะไรของเธอ” ชายหนุ่มถามเสียงขุ่น
                “ก็มันไม่ชินนี่ เธอชอบทำทุกอย่างเป็นเล่น จู่ ๆ ก็เกิดทำตัวจริงจังขึ้นมา ทำไมก็ไม่รู้ แต่มันตลก”
                รุกะหัวเราะจนน้ำตาไหลต้องใช้แขนเสื้อซับ แต่น้ำตาของหล่อนยังไหลอยู่ เช็ดเท่าไรก็ไม่แห้ง และหล่อนบอกตัวเองว่าเพราะเออิจิโร่ทำอะไรตลก ๆ ให้หล่อนขำนั่นแหละ
                คนที่รุกะโทษว่าเป็นต้นเหตุลุกขึ้นมานั่งใกล้ ๆ เอามือโอบไหล่หล่อนอย่างระมัดระวังไม่ให้กระเทือนบาดแผลที่แขน รุกะเอนศีรษะซบลงกับอกของเขา เสียงหัวเราะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น
                “เอย์จิบอกอะไรเธอ”
                “เขาจะออกไปจากหมู่บ้านและจะไม่กลับมาอีก”
                เออิจิโร่ไม่แปลกใจที่น้องชายตัดสินใจแบบนี้ เอย์จิมีชีวิตของตัวเองนอกหมู่บ้าน และข้างนอกโน้น เอย์จิคือเอย์จิ ไม่ใช่ตัวสำรอง ไม่ต้องถูกเปรียบเทียบกับใคร ถ้าเขาเป็นเอย์จิ เขาก็คงเลือกเหมือนกัน
                ยังไม่นับเรื่องของรุ่นน้องคนสำคัญ
                ชินจิน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เอย์จิเลือกทางนี้
                “เธออยากให้ฉันพูดกับเอย์จิรึเปล่า”
                “ให้เธอพูด เอย์จิคงยิ่งรีบออกจากหมู่บ้านแน่”
                “ก็นั่นสินะ ที่นี่ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเอย์จิไว้อีกแล้วนี่ ไม่มีท่านแม่ ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีโอคินะซัง มีแต่พี่ชายสุดหล่อที่เก่งกว่าทุกอย่างกับพี่สะใภ้ที่เคยหักอกจนยับเยิน จะไม่อยากกลับมาก็ถูกแล้ว”
                รุกะผลักอกคู่หมั้นทันที ดวงตาของหล่อนยังเปียกชุ่ม แต่หญิงสาวไม่ร้องไห้แล้ว
                “ฉันยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ อย่ามาเรียกฉันเป็นพี่สะใภ้นะ”
                “เอ้า ไม่เรียกตอนนี้ ต่อไปก็ต้องเรียกอยู่ดี ก่อนท่านพ่อจะไป ท่านบอกให้เธอแต่งงานกับฉัน อย่ามาตีมึน ขอร้อง”
                “ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ” รุกะพูดด้วยความมึนตึง “แล้วท่านพ่อก็ไม่ได้พูดอย่างนั้นด้วย”
                “ไม่ได้พูดตรง ๆ แต่ก็หมายความอย่างนั้นแหละ ยังไงเธอก็ต้องแต่งงานกับฉันอยู่ดี” เออิจิโร่ต่อล้อต่อเถียงกับคู่หมั้นอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ ยิ่งรุกะทำหน้าบึ้ง เขาก็ยิ่งชอบ
                “หรือยังคิดว่าจะกลับไปหาเอย์จิได้ เจ้านั่นมันมีชินจิคุงอยู่แล้วทั้งคน แถมยังปกป้องกันด้วยชีวิตขนาดนั้น มันไม่มีทางกลับมาหาเธอหรอกน่า อย่ามัวไปอาลัยอาวรณ์มันอยู่เลย เธอน่ะมีคู่หมั้นสุดยอดอยู่ตรงนี้แล้วทั้งคน”
                “ฉันเกลียดผู้ชายขี้โอ่ ชอบทำตัวเป็นเล่น ปากเสีย ชอบยั่วโมโห ชอบทำให้ฉันโกรธ ทำให้...”
                เออิจิโร่ดึงรุกะเข้ามาจูบหนัก ๆ ทำให้หล่อนด่าเขาไม่ได้อีก แล้วยิ่งหล่อนดิ้น เขาก็ยิ่งจูบ ใช้กำลังที่เหนือกว่าพันธนาการหล่อนไว้ไม่ให้ขัดขืน
                พอถอนริมฝีปากออก เขาก็โดนทันที
                “ฉันเกลียดเธอ”
                “แต่ฉันรักเธอนะ”
                เออิจิโร่ไม่มีท่าทีเล่น ๆ อีกแล้ว น้ำเสียงและท่าทางของเขาจริงจัง
                “ตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันรู้สึกยังไง แต่เธอกลับไปชอบเอย์จิ ไม่มองฉันเลย”
                “เอย์จิไม่แกล้งฉัน ไม่เหมือนเธอ”
                “ฉันก็ต้องเรียกร้องความสนใจสิ ไม่งั้นเธอก็เอาแต่สนใจเอย์จิ ฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ฉันไม่สนใจกระทั่งความรู้สึกของน้องชายตัวเอง ขอแค่ฉันแย่งเธอมาได้ก็พอ แล้วฉันก็ทำได้ ฉันได้หมั้นกับเธอ ฉันดีใจมาก แต่ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจแล้วว่ามันดีจริงไหม”
                 ชายหนุ่มมองหน้าคู่หมั้นของตัวเองที่กำลังรอฟังคำพูดต่อไปของเขา
                 “ฉันได้คิด จากเรื่องของท่านพ่อ ฉันไม่อยากกลายเป็นคนเย็นชา ไม่อยากแสดงออกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจอย่างที่ท่านพ่อทำ และถ้าฉันมีลูก ฉันไม่อยากให้ลูกของฉันรู้สึกเหมือนอย่างที่ฉันหรือเอย์จิรู้สึก ดังนั้น ฉันจะไม่แต่งงานกับเธอ ในเมื่อเธอยังลืมเอย์จิไม่ได้ แล้วเธอก็บอกว่าเกลียดฉัน”
                  “ถ้าเธอไม่แต่งงานกับฉัน แล้วเธอจะแต่งงานกับใคร”
                  “ก็ไม่แต่งกับใคร” เออิจิโร่ยักไหล่ “สักวันฉันอาจเจอใครสักคนที่รักฉันแล้วฉันก็รักเขา ถึงตอนนั้นค่อยคิดถึงเรื่องแต่งงานก็ได้”
                  รุกะตอบการร่ายยาวของเออิจิโร่ด้วยสีหน้าน้อยใจ
                  “พวกเธอนี่เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง เอาแต่ใจตัวเอง ไม่คิดถึงคนอื่นบ้างเลย เอย์จิทิ้งฉันไปแล้วคนหนึ่ง เธอก็ยังจะทิ้งฉันอีก รู้ไหมว่ามันใจร้ายมาก”
                  “อย่ามาโทษฉันนะ เธอนั่นแหละใจร้าย หมั้นกับฉันแล้วแท้ ๆ ยังไปสนใจแต่คนอื่นอยู่ได้”
                  “ก็เธอชอบทำอะไรเป็นเล่น ฉันก็ไม่เชื่อน่ะสิว่าเธอรักฉันจริง ไม่ใช่ต้องการแค่จะเอาชนะเอย์จิอย่างเดียวถึงได้มาหมั้นกับฉัน”
                  ทั้งสองคนเริ่มเถียงกันอีก ไม่มีใครยอมใคร แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เรื่องที่ตั้งใจจะเคลียร์กันให้รู้เรื่องก็คงไม่จบอีกตามเคย เออิจิโร่จึงเป็นฝ่ายยอมถอย เสียงของเขาอ่อนลงเมื่อถามว่า   
                  “แต่ตอนนี้เธอก็รู้แล้ว จะเอายังไงล่ะ”
                  “จะเอายังไงอะไร ก็เธอประกาศออกปาว ๆ ว่าเธอไม่แต่งงานกับฉันแล้วนี่” รุกะเมินหน้าหนี
                  “ฉันบอกว่าฉันไม่แต่ง ถ้าเธอไม่ยอมเลิกรักเอย์จิต่างหาก” เออิจิโร่โต้ แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลย รุกะยังคงแสดงอาการน้อยใจด้วยการไม่ยอมมองหน้าเขาและคราวนี้หันหนีทั้งตัว ไม่ใช่แค่หน้า และถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ล่ะก็ เรื่องเป็นไม่จบแน่
                  เออิจิโร่เอานิ้วสะกิดไหล่
                  “รุกะจัง”
                  หล่อนปัดมือเขาออก หน้างอ เออิจิโร่เห็นแล้วนึกขำ ยังไงหล่อนก็เป็นผู้หญิงนั่นแหละ ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด รั้น แถมยังงอนเก่งอีกต่างหาก แต่เขารับมือได้อยู่แล้ว
                  เออิจิโร่สวมกอดหล่อนอีกครั้ง
                  “แต่งงานกันนะ”
                  รุกะยังนิ่ง แต่หล่อนไม่ต่อต้าน ไม่พยายามผลักไสเขาอย่างเมื่อกี้
                  “ขอแต่งงานในห้องชงชามันดูไม่เข้าท่าไปหน่อย งั้นเปลี่ยนสถานที่หน่อยก็ได้ เธออยากให้ฉันขอแต่งงานที่ไหนล่ะ ในสวนที่บ้าน ในสวนซากุระของศาลเจ้า ที่จุดชมวิว หรือจะกลับไปที่ทะเลสาบ เอาไหม ไม่ล้ำแดนอสูรไม่เป็นไรหรอก มีหมอกสีม่วงอ่อนเป็นฉากหลัง สวยสุด ๆ ตกลงตามนี้ล่ะนะ เดี๋ยวเธอไปเปลี่ยนชุดให้หนา ๆ หน่อย ฉันจะไปเตรียมช่อดอกไม้กับแหวน”
                   “บ้า เออิจิโร่ เธอนี่บ้าอย่างนี้ทุกที ดีอยู่ได้ไม่กี่วินาทีจริง ๆ เลย”
                   “เอ้า ก็เธอไม่ตอบ ฉันก็เลยคิดว่าฉันต้องพยายามให้มากขึ้นไง” เออิจิโร่ยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงสะบัด ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขา
                   เออิจิโร่หมุนตัวคู่หมั้นให้หันมาสบตา พูดอย่างหนักแน่นว่า
                   “แต่งงานกันนะรุกะ”

                                                                    ........................

                   เอย์จิไม่อยู่ในห้อง...
                   บนพื้นข้างเตียงมีอ่างแก้วกับผ้าขนหนูและกล่องปฐมพยาบาลวางอยู่ เป็นของที่เขาไปขอมาจากยูอิซังเพื่อเอามาเช็ดตัวและทำแผลให้ เอย์จิไม่บาดเจ็บมากนัก แต่ก็มีแผลเลือดซิบ ๆ ให้ต้องปิดพลาสเตอร์ยาจนลายพร้อยไปแทบจะทั่วตัว หลังทำแผลเสร็จ เขาให้เอย์จิกินยาแก้ปวดและลดไข้กันไว้เวลาแผลเกิดระบมขึ้นมา แล้วก็สั่งให้นอนพัก เอย์จิก็ทำตาม แล้วดูสิ กลับมาอีกที รุ่นพี่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
                   ชินจิเปิดประตูออกมา ลังเลว่าจะไปถามหาเอย์จิดีหรือไม่ แต่ตอนนี้ก็ดึกพอสมควร ทุกคนเหนื่อยจากการต่อสู้ ถ้าเขาไปรบกวน มันก็จะไม่ดี
                   เสียงกุกกักดังขึ้นใกล้ตัว ชายหนุ่มเหลียวมองหาที่มาของเสียง มันดังมาจากห้องของเออิจิโร่ที่อยู่ติดกัน เจ้าของห้องไม่อยู่ เพราะเขาเห็นประตูเปิดทิ้งเอาไว้ แต่เขาก็ไม่กล้าถือวิสาสะเข้าไปในห้องคนอื่นอยู่ดี จึงได้แต่เพียงเมียง ๆ มอง ๆ หาตัวต้นเสียงเท่านั้น 
                   “อ๊ะ เนเน่จัง” ชินจิอุทาน หลังจากก้มมองที่พื้นแล้วเห็นขนฟู ๆ สีน้ำตาลอมแดงผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ที่ประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้
                   พังพอนของเออิจิโร่โผล่หน้าออกมามองเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง ชินจิก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขายังมองเห็นคูดะกีซึเนะตัวนี้อยู่ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีลูกแก้วคันจุอยู่ในครอบครองแล้ว แต่ก็คิดเอาเองว่าอสูรหรือปีศาจหรือพวกภูตผีที่มีพลังอย่างอสูรในภูเขามิคามิคงสามารถเปิดเผยตัวเองให้ใครมองเห็นก็ได้กระมัง ถ้าต้องการ
                    “ฉันกำลังตามหาเอย์จิซังอยู่ เนเน่จังเห็นเอย์จิซังบ้างไหม”
                    ไม่อยากรบกวนมนุษย์ ก็เห็นจะต้องพึ่ง ‘อย่างอื่น’ แล้วล่ะ
                    เนเน่จังตอบรับคำขอร้องของชินจิอย่างง่ายดาย มันกระโดดนำเขาไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องอาบน้ำ ก่อนจะหายวับไป
ชินจิเปิดประตูเข้าไปดู เอย์จิไม่อยู่ในห้องด้านใน ชายหนุ่มก็เลยเดินไปเปิดประตูห้องอาบน้ำกลางแจ้ง
                    “เอย์จิซัง”
                    รุ่นพี่ของเขากำลังหลับตาแช่น้ำร้อนอยู่ในบ่ออย่างมีความสุข พอได้ยินเสียงเรียกก็ลืมตาขึ้นมามอง
                    “แช่น้ำด้วยกันไหม”
                    “ถ้าจะไปไหนก็บอกกันหน่อยสิครับ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่ไม่เห็นคุณ ผมตกใจแทบแย่ ใจก็กลัวไปสารพัด ถ้าเอย์จิซังหายไปอีก ผมจะทำยังไง” ชินจิต่อว่าเสียงเครือ
                    ตอนที่ไม่เห็นเอย์จิอยู่ในห้อง ใจของเขาแล่นปราดไปถึงตอนที่เอย์จิถูกคลื่นน้ำกลืนหายไปต่อหน้าต่อตาเขา ชินจิรู้สึกเจ็บปวดและร้อนรนจนบอกไม่ถูก ถ้าเขาหาเอย์จิไม่เจอ เขาต้องเป็นบ้าแน่
                    เอย์จิลุกขึ้นจากบ่อน้ำร้อนทันที ตรงเข้าไปกอดรุ่นน้อง
                    “ฉันขอโทษ ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
                    “ไม่ทำอย่างตอนนั้นที่ทะเลสาบด้วยนะครับ แค่คิดว่าจะเห็นภาพแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ผมก็ทนไม่ไหวแล้ว”
                    แต่เอย์จิกลับส่ายหน้า
                    “ฉันสัญญาไม่ได้หรอกนะ”
                    “ทำไมล่ะครับ” ชินจิหน้าเสีย รู้สึกด้วยว่าน้ำตาใกล้จะไหลอยู่รอมร่อ
                    “เพราะฉันทนเห็นนายเป็นอันตรายไม่ได้น่ะสิ” สองมือของเขาประคองใบหน้าของรุ่นน้อง สายตาอ่อนโยนแกมเศร้าประสานกับสายตาที่สับสนและหวั่นไหว
                    ริมฝีปากของชินจิสั่นระริก แล้วน้ำตาก็ร่วงตาม
                    “ถ้ามันเกิดเหตุการณ์อย่างในวันนั้นซ้ำสอง ฉันก็จะทำแบบเดิมอีก ฉันจะปกป้องนายด้วยชีวิตของฉัน ขอแค่นายปลอดภัยเท่านั้น ชินจิ ถึงฉันจะต้องตาย มันก็คุ้ม”
                    ชินจิร้องไห้โฮ ทุ่มตัวลงบนพื้น ความรู้สึกที่เก็บอัดเอาไว้ในใจตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องระเบิดออกมาเพราะคำพูดนี้  เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไง มันปน ๆ กันไประหว่างความกลัว ความกังวล ความโล่งใจ ความดีใจ ความปลื้มปิติ รวมทั้งอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เขาร้องไห้โดยมีเอย์จิคอยปลอบประโลม
                    “ชูว์ ไม่เอา ไม่ร้องไห้ ฉันอยู่กับนายตรงนี้ ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”
                    เอย์จิดึงตัวรุ่นน้องเข้ามากอด ให้ชินจิได้ร้องไห้แนบอกกว้างของเขา
                    “เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ ฉันปลอดภัย นายก็ปลอดภัย เราอยู่ด้วยกันแล้ว เห็นไหม ไม่มีใครเป็นอะไรสักหน่อย ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ คนดี”
                    ริมฝีปากของเขากดแนบลงที่ขมับของชินจิ แล้วลากเรื่อยลงไปตามแก้ม เส้นคาง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากที่กำลังสั่นน้อย ๆ
                    เขาจูบชินจิอย่างนุ่มนวล อ่อนหวาน มือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบโยนไปพร้อมกัน
                    รุ่นน้องเริ่มคลายสะอื้น อาการร้องไห้จนตัวโยนคลายลงจนเหลือเพียงสะอื้นเบา ๆ
                    เอย์จิถอนริมฝีปาก ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชินจิพยายามจะยิ้มตอบ แต่ทำได้แค่กระตุกริมฝีปากสั่น ๆ และเขารู้ว่าตอนนี้หน้าตาของเขาคงดูไม่ได้ ตาบวม จมูกแดง แล้วก็มอมแมม เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ชายหนุ่มก็เลยก้มหน้างุด ไม่ยอมสบตาด้วย
                    “หลบหน้าทำไม”
                    ชินจิยังคงไม่ยอมเงยหน้า ต้องให้เอย์จิบังคับด้วยการเชยคางขึ้น
                    “นายน่ารัก ไม่ต้องกังวลไปหรอก โดยเฉพาะสำหรับฉัน”
                    ชินจิหลับตาลง เมื่อเห็นรุ่นพี่ก้มหน้ามาหา สัมผัสของเอย์จิเต็มไปด้วยความรู้สึก และชายหนุ่มก็รับความรู้สึกนั้นด้วยหัวใจของเขา
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 24 - 2-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-04-2016 05:11:45
บทส่งท้าย

        เอย์จิในชุดสูทสีดำสนิทดูแปลกตาไม่น้อยในสายตาของชินจิ คงเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้เขาเห็นรุ่นพี่ใส่แต่ชุดยูกาตะตลอดเวลา รูปร่างของเอย์จิสูงใหญ่ ใส่สูทตัดเข้ารูปพอดีเชียะแล้วดูดี ไป ๆ มา ๆ จะดูดีกว่าใส่ชุดยูกาตะเสียอีกนะเนี่ย ชินจิมองเพลินจนเกือบลืมไปว่าเขาต้องมาตามรุ่นพี่ไปที่ห้องรับแขกแล้ว
        ตอนนี้บรรยากาศในบ้านและที่เรียวกังค่อนข้างคึกคักต่างจากที่ผ่านมาเพราะมีญาติทางฝั่งของรุกะมาพักด้วยหลายคนเพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งงานระหว่างหญิงสาวกับเออิจิโร่ ตอนที่รู้เรื่องแต่งงาน ชินจิเป็นห่วงรุ่นพี่ของเขา แต่เมื่อเห็นเอย์จิมีท่าทางเป็นปกติดี ไม่เศร้า ไม่แสดงอาการอาลัยอาวรณ์ แถมยังแสดงความยินดีกับพี่ชายด้วยใจจริง เขาก็คลายความเป็นห่วง เอย์จิคงตัดใจจากรุกะได้แล้วจริง ๆ
        ภายในห้องรับแขกของบ้าน แขกเหรื่อมากันพร้อมหน้า ส่วนใหญ่เป็นแขกฝ่ายเจ้าสาว ผู้ชายใส่สูทสีดำทับเชิ้ตสีขาว ผู้หญิงใส่กิโมโนสีดำ บางคนที่อ่อนวัยหน่อยใส่ชุดกระโปรงสีดำหรือสีสุภาพอื่น ๆ ส่วนแขกฝ่ายเจ้าบ่าวมีแค่เอย์จิซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดกับชินจิเท่านั้น เออิจิโร่บอกว่าเขาไม่อยากเชิญใครเอง เพราะคนที่เขาอยากให้ร่วมงานมากที่สุดก็ไม่อยู่เสียแล้ว คนอื่น ๆ ก็เลยไม่มีความหมาย
        ‘แล้วเป็นผมจะดีหรือครับ’ ชินจิถามด้วยความไม่แน่ใจ เขาไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนทั้งนั้น ถ้าเขาอยู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะ แต่เออิจิโร่ยืนกราน
        ‘เธอเป็นคนรักของน้องชายของฉันก็เท่ากับเป็นคนในครอบครัว เธอต้องอยู่ร่วมงานด้วย อยู่กับเอย์จิไง’
        ชินจิเดินเข้าไปในห้องรับแขกพร้อมกับเอย์จิ ใครสักคนสะกิดเรียก เจ้าบ่าวที่ยืนอยู่กลางห้องจึงหันมามอง เออิจิโร่ใส่ชุดกิโมโนเต็มยศ สวมเสื้อคลุมมนสึกิฮาโอริสีดำประทับตราประจำตระกูลและกางเกงฮากามะสีเทาอ่อน ดูสง่างามและน่าเกรงขาม บุคลิกของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากท่านมาซาฮารุผู้เป็นบิดา พี่ชายของเอย์จิเหมาะสมแล้วกับการเป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบัน
        สายตาของเออิจิโร่มองเลยน้องชายตัวเองไปข้างหลัง เอย์จิกับชินจิจึงพลอยหันไปมองด้วย แล้วก็หลีกทางให้เจ้าสาวเดินเข้ามาในห้องได้อย่างสะดวก
        รุกะใส่กิโมโนสีขาว สวมเสื้อคลุมอุจิคะเคชั้นนอกสีขาว ใบหน้าใต้ผ้าคลุมสึโนะคะคุชิลงแป้งสีขาวเช่นกัน ปากทาสีแดงเรื่อ ชุดสีขาวล้วนที่ใส่อยู่ทำให้รุกะเป็นเจ้าสาวผู้บริสุทธิ์และสวยงาม
        เออิจิโร่เดินมารับเจ้าสาวของเขา พาเดินออกไปจากห้อง
        ที่ประตูด้านหน้า มิโกะสองคนจากศาลเจ้าใส่ชุดพิธีการรออยู่แล้วกับนักดนตรีเป่าขลุ่ยใส่เสื้อคลุมคะริงินุกับกางเกงซะชินุคิสีเหลืองทองลายจุดเพื่อเดินนำขบวนเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปยังห้องพิธี เออิจิโร่เดินตามหลังกลุ่มมิโกะกับนักดนตรี ถัดมาคือรุกะซึ่งเกาะมือมารดาของตัวเอง บิดาของหล่อนเดินตามหลัง จากนั้นจึงเป็นเอย์จิกับชินจิ และตามมาด้วยญาติ ๆ คนอื่น ๆ
        พิธีแต่งงานจัดข้างในไฮเด็ง เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวนั่งอยู่ตรงกลางหันหน้าเข้าหาแท่นบูชา ด้านหลังแบ่งโต๊ะและม้านั่งออกเป็นสองแถวสำหรับญาติ ๆ นั่งเรียงกันไปตามลำดับ ชินจินั่งอยู่ข้างรุ่นพี่ของเขา มองพิธีดำเนินไปอย่างสำรวมและขรึมขลัง
        คันนุชิผู้ทำพิธีโบกทะมะงุชิซึ่งเป็นกิ่งไม้ที่มีใบสีเขียวกับกระดาษสีขาวติดอยู่เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว จากนั้นจึงอ่านคำประกาศการแต่งงานต่อหน้าแท่นบูชาเพื่อให้เทพเจ้าปกป้องคุ้มครองและประทานพรแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว มิโกะสองคนในชุดพิธีการออกมาร่ายรำคางุระอย่างสวยงาม
        หลังจบการร่ายรำ มิโกะทั้งสองคนก็นำกาเหล้าจากแท่นบูชามารินใส่ถ้วยให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวผลัดกันดื่มสามครั้ง ครั้งละสามจิบ แล้วเออิจิโร่ก็หยิบกระดาษที่เขียนคำปฏิญาณออกมาอ่าน เสียงของชายหนุ่มหนักแน่นในทุกคำที่เปล่งออกมา

        เรากล่าวปฏิญาณนี้ต่อหน้าเทพเจ้าด้วยความเคารพ เรามีความยินดีที่ได้กล่าวคำปฏิญาณในวันสำคัญวันนี้และกลายเป็นสามีภรรยาโดยการประทานพรของเทพเจ้า เราสาบานว่าจะรักและเคารพซึ่งกันและกันตลอดไป และจะพยายามนำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัวของเรา
        เรายังขอสาบานว่าจะเป็นสามีภรรยากันตลอดไป และจะช่วยเหลือผู้คนและสังคมเพื่อเป็นการแบ่งปันพรจากพระเจ้าที่เราได้รับในวันนี้


        มือใหญ่ของเอย์จิเลื่อนมากุมมือชินจิใต้โต๊ะระหว่างที่คำปฏิญาณดังขึ้น ชินจิพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ก้มลงมองและรักษาความสำรวมไว้ แต่เขากลั้นริมฝีปากไม่ให้ยิ้มไม่ได้
        เจ้าบ่าวและเจ้าสาวถวายกิ่งไม้ทะมะงุชิเป็นเครื่องบวงสรวงแด่เทพเจ้าผ่านคันนุชิและมิโกะ จากนั้นก็สวมแหวนให้กัน แหวนทองคำขาวเกลี้ยง ๆ สองวงนี้เคยเป็นของมาซาฮารุและมิซากิมาก่อน เออิจิโร่สวมแหวนให้เจ้าสาวของเขาพร้อมกับมองอย่างอ่อนหวาน และถึงแม้ว่ารุกะจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองตอบ แต่ก็คงรับรู้ เพราะริมฝีปากสีแดงบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ
        พิธีแต่งงานในไฮเด็งจบลงเมื่อสุราในกาจากแท่นบูชาถูกนำมารินแจกจ่ายให้ญาติและผู้ร่วมงานได้ดื่มร่วมกัน ต่อจากนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกมาถ่ายรูปร่วมกับทุกคนด้านนอก
        “เออิจิโร่ซังดูมีความสุขมากนะครับ” ชินจิพูด เงยหน้ามองเอย์จิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
        “ก็เป็นเจ้าบ่าวนี่นา ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในพิธี หมอนั่นมันคงยิ้มหน้าบานแฉ่งไม่ยอมหยุดไปแล้ว”
        ชินจิอมยิ้ม ถึงเออิจิโร่จะไม่ยิ้มให้เห็น แต่จากสายตาและมือที่จับมือเจ้าสาวเอาไว้ตลอดเวลาแล้ว แค่นี้ก็แสดงให้เห็นชัดมากพอว่าชายหนุ่มกำลังมีความสุขมากแค่ไหน
        “เอย์จิซังละครับ ตัดสินใจแบบนั้นดีแล้วจริง ๆ เหรอ” ชินจิถาม
        เขาเพิ่งรู้ว่ารุ่นพี่ตัดสินใจจะออกจากหมู่บ้านคันโจโคเอนหลังเสร็จงานแต่งงานของพี่ชายฝาแฝดและการออกไปครั้งนี้หมายความว่า เอย์จิไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว
        “ที่นี่ไม่ต้องการฉันหรอก มีแค่เออิจิโร่คนเดียวก็พอแล้ว ฉันอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร งานที่เรียวกังก็มีรุกะดูแลเต็มตัว คนทำงานก็ค่อยหาเพิ่มเอา ไม่ยากเท่าไหร่หรอก”
        “แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าจะไม่กลับมาอีกนี่ครับ ถ้าต่อไปเออิจิโร่ซังกับรุกะซังมีลูก คุณก็จะไม่ได้เห็นหน้าหลานเลยนะครับ แบบนั้นโอเคจริง ๆ เหรอ”
        “ใครใช้นายมาเกลี้ยกล่อมฉัน เออิจิโร่หรือว่ารุกะ” เอย์จิเลิกคิ้ว
        “ไม่มีใครใช้ ผมพูดเอง เพราะผมเป็นห่วงคุณ พวกคุณอุตส่าห์เข้าใจกันได้แล้วทั้งที เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่สมควรต้องตัดขาดกันเลยนะครับ” ชินจิพูดอย่างจริงจัง
        “ก็เอาไว้ถึงตอนนั้นก่อน ฉันอาจจะเปลี่ยนใจ” เอย์จิพูดอย่างไม่สนใจนัก แต่คำพูดของเขาก็ทำให้ชินจิเห็นว่ายังมีหวังที่จะทำให้รุ่นพี่ตัดสินใจใหม่ได้
        “เรื่องของฉันน่ะช่างเถอะ เอาเรื่องนายดีกว่า เมื่อเช้าฉันเห็นโฮโจเอากระดาษอะไรมาให้นาย” เอย์จิเปลี่ยนเรื่อง
        “อ๋อ จดหมายด่วนน่ะครับ” ชินจิล้วงกระเป๋าเสื้อนอกหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมายื่นส่งให้
        “จากอัตสึโตะ เร่งให้กลับโตเกียวเร็ว ๆ บอกว่ามายะเป็นอะไรสักอย่างเนี่ยแหละครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอก”
        เอย์จิเปิดจดหมายออกอ่าน อ่านจบก็ทำหน้าแปลก ๆ บ่นว่า
        “เขียนอะไรของมัน มายะเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก มีแต่คำว่ารีบกลับ ๆ แล้วไอ้หน้ายิ้มมีเลศนัยหลังข้อความนี่อะไร ดูไม่เข้าท่าเลย ตกลงยังไงกัน ต้องรีบกลับไหม”
        ชินจิยักไหล่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
        แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนก็ได้กลับโตเกียวในอีกไม่กี่วันต่อมา เพราะเมื่อเสร็จงานแต่งงานของพี่ชายฝาแฝด เอย์จิก็ไม่มีธุระอะไรให้ต้องอยู่ต่อไปอีก ชายหนุ่มชวนรุ่นน้องกลับไปโตเกียวด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าชินจิไม่มีวันปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะยังฝึกงานไม่ได้ครบตามที่ตั้งใจเอาไว้ก็ตาม
        ในวันกลับ ไม่มีใครมาส่งเอย์จิกับชินจิที่ป้ายรถของหมู่บ้าน เพราะเอย์จิสั่งห้ามเอาไว้ เขาไม่อยากให้มีการร่ำลาวุ่นวายมากความ อยากจะจากไปอย่างเงียบ ๆ มากกว่า ชินจิก็คิดเหมือนกัน แต่เขายังคิดต่อไปด้วยว่า สักวันหนึ่ง เขาจะได้กลับมาที่นี่กับเอย์จิอีกแน่ ๆ ดังนั้น การจากลาจึงไม่จำเป็น
        ชินจิกับเอย์จินั่งรอรถบัสอยู่ด้วยกันที่ป้ายรถ มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กติดตัวคนละใบ ส่วนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ และของอื่น ๆ ของเอย์จิจะถูกส่งตามไปให้ทีหลังด้วยบริการส่งกระเป๋า เป็นน้ำใจส่งท้ายจากเออิจิโร่ที่ไม่ต้องการให้ทั้งสองคนต้องแบกสัมภาระทุลักทุเลระหว่างการเดินทาง
        ยังเหลือเวลาอีกนานพอสมควรกว่าจะถึงเวลารถออก เอย์จิกับชินจินั่งคุยกันเงียบ ๆ ทั้งสองคนมีเรื่องให้คุยกันมากมาย เรื่องสัพเพเหระ เรื่องของเพื่อน ๆ เรื่องของตัวเอง เรื่องของอีกฝ่าย และเรื่องที่เกี่ยวกับทั้งสองคน
        เอย์จิยังต้องกลับไปเรียนต่อที่เยอรมนีอีกหลายปี ในขณะที่ชินจิต้องอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้ชินจิไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเอย์จิ ตลอดเวลาที่ผ่านมา รุ่นพี่พิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นมากพอแล้ว และสัญญาของเอย์จิที่ว่าจะกลับมาหาทุกครั้งที่มีวันหยุดก็ทำให้เขาชุ่มชื้นหัวใจได้มาก
        เขาจะรอวันที่เอย์จิกลับมา และครั้งนี้มันจะไม่จบลงด้วยน้ำตาอย่างแน่นอน
        ทั้งสองคนหยุดคุยกันเมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งรอที่ป้ายรถด้วย แต่เพราะผู้ชายคนนี้เอาแต่ก้มหน้า นั่งลงได้ก็กางหนังสือพิมพ์ออกอ่าน ไม่แสดงว่าสนใจอะไรทั้งนั้น แถมยังนั่งนิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เอย์จิและชินจิลดความสนใจลงอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายก็ลืมไปเลยว่า ยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งรอรถอยู่ด้วย
         รถบัสมาจอดที่ป้ายตามเวลา เอย์จิยกกระเป๋าทั้งของตัวเองและของชินจิขึ้นจากพื้น ขณะที่ชินจิอุทานอย่างแปลกใจ
         “เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว”
         “ใครหาย” เอย์จิหันมาถาม
         “ก็ผู้ชายคนเมื่อกี้ไงครับ ผมจำได้ว่ามีคนรอรถอยู่กับเราอีกคนหนึ่งด้วยนี่นา” ชินจิเกาศีรษะอย่างงง ๆ มองไปรอบตัว แต่ไม่เห็นใครเลยแม้แต่เงา
         “ผมไม่ได้ตาฝาดนะ เอย์จิซังก็เห็นใช่ไหมครับ”
         “นายไม่ได้ตาฝาดหรอก ดูที่ม้านั่งนั่นแน่ะ”
         ชินจิมองตาม บนม้านั่งมีห่อผ้าสีม่วงเข้มวางอยู่ มันดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เขาต้องเคยเห็นห่อผ้าแบบนี้มาก่อนแน่นอน
              ข้างตัวเขา เอย์จิบ่นอุบด้วยความหัวเสีย    
              “อุตส่าห์ไปเงียบ ๆ แล้วนะ ยังจะสอดมารู้ได้อีก”
              “ชิโนซากิคิตสึเนะ” ชินจิอุทาน
              ตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าว ตราสีทองประจำตัวของจิ้งจอกขาวล้อแสงแดดเป็นประกายอยู่บนห่อผ้า ดูสดใสไม่ต่างจากรอยยิ้มของผู้เป็นเจ้าของ
              จิ้งจอกขาวตนนั้นอุตส่าห์มาส่งเขาด้วย แถมยังให้เสบียงแสนอร่อยไว้กินระหว่างทางอีก
              “คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่อยากกลับมาที่นี่อีก แล้วก็ไม่อยากให้นายกลับมาเหมือนกัน สัญญากับฉันนะชินจิ ห้ามกลับมาที่นี่คนเดียวโดยที่ไม่มีฉันเด็ดขาด ไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ!”
              ชินจิอดยิ้มไม่ได้ ใช้มือที่ไม่ได้อุ้มห่อผ้าจับแขนของเอย์จิไว้แทนการให้สัญญา
              ก่อนขึ้นรถบัส ชินจิหันกลับไปมองสะพานข้ามแม่น้ำที่นำไปสู่หมู่บ้านคันโจโคเอนอีกครั้ง เขาไม่เคยเชื่อว่ามีภูตผีปีศาจอยู่ในโลก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
              การต่อสู้ของมังกร มนุษย์และอสูรเหนือทะเลสาบ ลูกแก้ววิเศษที่มีอำนาจควบคุมสายน้ำและคลื่นยักษ์ เหตุการณ์เหล่านั้นเขาเห็นมาด้วยตาตัวเอง แต่มันก็มหัศจรรย์จนยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากฝีมือของอสูรหรือภูตผีปีศาจตนใด
              แต่มันก็เป็นความจริง
              ห่อผ้าประทับตราสีทองในอ้อมแขนของเขาไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน
              แล้วก็ยังมีเรื่องของเอย์จิ
              เขาถามตัวเองมาตลอดว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ เขากลัวเหลือเกินว่าเรื่องระหว่างเขากับเอย์จิก็จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเหมือนกัน แล้วพอออกมาจากหมู่บ้าน มันก็จะหายไป
              “เป็นอะไรน่ะ ชินจิ ขึ้นรถได้แล้ว” เสียงของเอย์จิดังขึ้นพร้อมกับมือที่ยื่นมาจับข้อมือของเขา ดึงให้เดินขึ้นมาบนรถบัสที่จอดรออยู่
              สัมผัสนี้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่ ๆ
              ชินจิยิ้ม ขณะที่เดินตามแรงจูงของเอย์จิ
              ความสุขของเขาเป็นความจริง


                                                                            - จบ -
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-04-2016 05:19:47
จบแล้วนะคะ สำหรับเรื่อง ภาพลวงตาของปีศาจ
อ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบยังไง ถ้าช่วย feedback ก็จะขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ

ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องของมายะอีกเรื่องเท่านั้นก็จะครบจำนวนสี่เรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะลงที่นี่
จากนั้นก็คงต้องคิดกันใหม่ว่าจะเขียนยังไงและจะลงที่ไหนดี แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็อีกนานพอสมควร ยังไงช่วงนี้ก็ขอฝากเรื่องทั้งสาม บนทางรัก ฆาตกรรมในออฟฟิศ และภาพลวงตาของปีศาจ ไว้ด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนค่ะ
Mettnoon
3.4.2016
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 03-04-2016 13:04:17
ปรับความเข้าใจกันได้แล้วววว เย้
แบบร้องไห้ตามตอนช่วงนึงเลยยย :hao5:

เออิจิโร่นี่รักรุกะจริงๆเลยเนอะหลังจากเห็นชอบเล่นๆมา

สนุกมากเลยคะ  :mew1: :mew1: o13

หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 03-04-2016 14:31:09
สนุกมากๆค่ะ แต่ฉากสวีทน้อยจัง
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-04-2016 17:08:57
อ่านจบแล้วอิ่มเอมมากครับ อาจจะสั้นไปนิด ที่จริงพล๊อตอลังการขนาดนี้เขียวได้อีกยาวๆ เลย

ยังจำชื่อพวกปีศาจไม่ได้เลย ช่วงต่อสู้กันเดินเรื่องเร็วมาก แต่ที่รู้สึกอย่างนั้นอาจเพราะอ่านรวดเดียวก็ได้

ถ้าคนอ่านมือใหม่กับเรื่องแนวนี้คงงงๆ หน่อย  ของผมดีที่ได้พื้นจากเรื่องล่าอสุรกายกับอินุยาฉะมาช่วยไว้ เลยอ่านแล้วสนุกมากครับ เห็นว่าแต่งในชุดนี้จบไปแล้วสองเรื่อง ขอตามไปอ่านก่อนนะครับ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Melonlove ที่ 03-04-2016 19:05:43
เหมือนได้ดูอนิเมะ เลย    o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-04-2016 20:01:31
ตอนหลังๆนี่พีคมากลุ้นจนตัวโก่งไปหลายช็อต แต่ดีใจที่จบแบบแฮปปี้
แอบขำก็ปีศาจจิ้งจอกขาวนี่แหละ ท่าทางจะชอบชินจิมากๆเลย แอบอุตส่าห์มาส่งด้วย  :mew3:

สารภาพตรงๆว่าจำชื่อปีศาจไม่ค่อยได้ จำได้แต่ตัวแด่ๆ อย่างอาคางิ เวลาอสูรปะทะกันนี่งงเลยว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน55555

ดีใจที่รุกะกับเออิจิโร่(จำชื่อถูกไหมเนี่ย5555) ได้คู่กัน เพราะใจหนึ่งก็สงสารรุกะ ในหนึ่งก็หมั่นไส้ที่นางชอบจิกชินจิ :hao3:

ส่วนคนที่เราสงสารที่สุดก็คงเป็นเท็นงูการาสุ สะบักสะบอมทั้งร่างกายและจิตใจทั้งเรื่องก็ว่าได้ :hao5:
น่าจะได้รางวัลนักแสดงสบทบยอดเยี่ยม

ปล ถ้าไม่ใช่ว่ามาอ่านเจอในบอร์ดวายอย่างนี้ เราอาจจะคิดว่าเป็นนิยายแปลของญี่ปุ่นเลยก็ได้
เพราะสำนวนโวหารต่างๆดีงามมาก แถมความรู้ด้านญี่ปุ่นแน่นมากกกกกก
บรรยายมากทีนึกออกเป็นฉากๆเลย เยียมมากค่ะ o13

หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-04-2016 20:40:13
ติดใจเรื่องนี้จนตามไปอ่านเรื่องก่อนหน้านี้ของคนแต่งมาแล้ว เรื่องฆาตกรรมในออฟฟิศ คนละแนวกับเรื่องนี้แต่สนุกน่าติดตาม เป็นนิยายอินดี้ที่ควรค่าแก่การอ่านมาก ยิ่งถ้าเป็นคนทำงานออฟฟิศด้วย อ่านแล้วอาจมีสะอึก
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 03-04-2016 21:28:00
เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาและการบรรยายที่ละเอียดมากค่ะ ดูคล้ายกับอยู่ที่ญี่ปุ่นจริงๆ  เมืองที่ว่านี้เท่าที่จิ้นเองขอเดาว่าคล้ายกับทาคายาม่ากับชิราคาวาโกะเลยค่ะ ไม่รู้ว่าใช่ไหมอ่ะ  สนุกมากค่ะ  ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆแฝงเนื้อหาสถานที่ค่ะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 04-04-2016 07:54:26
ขอบคุณสำหรับฟีดแบ็กนะคะ

ตัวเนื้อเรื่องที่สั้นคงเพราะวางจำนวนตอนกับจำนวนหน้าไว้ที่ 25 ตอน กับ 250 หน้า ถ้ายาวไปกว่านี้เกรงว่าจะไม่มีใครอ่าน
จริง ๆ มันยังเหลือเรื่องของมังกรขาว กับเรื่องของคาโตดะและคุโรบะกับการขโมยลูกแก้วคันจุที่จะเขียนเป็น side story อีกสองตอน ขอดูโอกาสก่อน

หมู่บ้านคันโจโคเอนสร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากภาพของเมืองทาคายาม่า ชิราคาวะโกะและคานาซาว่าค่ะ แล้วบีบคอให้เพื่อนเอกญี่ปุ่นช่วยคิดชื่อใหม่ให้ได้ตามภาพที่คิดเพิ่มเข้าไป

ส่วนเรื่อง sweet scene นั้น ดิฉันขอให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเอย์จิกับชินจิและจินตนาการของคุณผู้อ่านเองก็แล้วกันนะคะ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการสนับสนุนค่ะ
Mettnoon 4.4.2016   
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 04-04-2016 11:24:07
จนจบแล้วยังไม่ชอบใจรุกะ รำคาญนางมาก
ชอบแนวปีศาจอย่างนี้ บรรยายได้สนุกมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 04-04-2016 13:06:07
ชอบนิยายแนวนี้มากเลยค่ะ
แต่งได้ดีเลยค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-04-2016 14:42:21
 :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 06-04-2016 13:03:55
 :-[
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Glitterycandy ที่ 07-04-2016 10:53:17
พึ่งเข้ามาอ่าน พลาดไปได้ยังไงเนี่ย แต่งดีมากๆ
ได้กลิ่นอายญี่ปุ่นสุดๆ เหมือนอ่านมังงะอยู่เลย :)
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 07-04-2016 13:12:24
ชอบค่ะ ทั้งการบรรยายที่เห็นภาพ คำผิดที่ยังหาไม่เจอ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Jupiter09 ที่ 08-04-2016 05:04:07
 :mew2: :katai4:ติดตามจร้า ชอบบ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 08-04-2016 23:21:26
;)

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 09-04-2016 02:54:21
อืมหือ โครตสนุก
ทำไมพึ้งได้มาอ่านเนี้ยยยย
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆคะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 09-04-2016 13:14:09
อ่านรวดเดียวจบเลยจ้า
สนุกดีค่ะ
ได้บรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆมาก
ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านค่า
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 09-04-2016 20:55:01
ก่อนอื่นต้องบอกว่า เราเห็นเรื่องนี้มาสักพักละ  แต่ยังไม่เข้ามาอ่านเพราะเห็นว่ายังลงไม่จบ คิดว่าคงมีคนอ่านนิสัยแบบเราอยู่พอประมาณ เคยเห็นกระทู้พูดคุยประมาณนี้อยู่ เหมือนว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัวของบอร์ดนี้ด้วยละ ประมาณว่านักเขียนเอาเรื่องมาลง พอคนตามเยอะๆก็หายไป นิยายเรื่องนั้นก็ลงไปอยู่ในไห หรือที่เราเคยเจอ นักเขียนเรื่องนั้นนอยด์เรื่องคนตามอ่านน้อย ไม่มีคนเมนต์ ทำท่าจะเลิกเขียน เราเลยเบื่อเลิกอ่านก่อนคุณคนนั้นจะเลิกเขียนซะเลย
ทีนี้กลับมาที่เรื่องนี้ ต้นเรื่องเราก็ยังนึกอยู่ละว่าชินจินี่คุ้นๆเนอะ แต่นึกไม่ออก พอพูดถึงเยอรมันกับเคลวินเท่านั้นเลยอ๋อขึ้นมาทันที เราชอบตัวละครตัวนี้นะ ชอบตั้งแต่เรื่องทีแล้ว ผู้ชายอะไรเพ้อฝันเวิ่นเว้อ ใจง่ายหาที่ใครเปรียบ  เคลวินยังไม่ทันจีบก็ยอมเป็นแฟนกับเขาแล้ว แถมช่างพยายามในเรื่องงี่เง่าดีแท้ อาจจะเหมือนไม่ใช่คำชมนะ แต่ชอบจริง ทั้งเรื่องลุ้นชินจิอยู่คนเดียว
ในบรรดาสามเรื่องที่อ่านเราประทับฆาตกรรมในออฟฟิตมาก ลุ้นเพราะชื่อเรื่องด้วยอย่างหนึ่ง คุณบรรยายและเล่าเรื่องได้ดีมาก อ่านไปแล้วเครียดตามโอ้ตเลย(ถ้าเราจำชื่อตัวเอกผิดก็ต้องอภัยด้วยนะ) แต่เรื่องนี้เรารู้สึกว่าเยอะไปเกี่ยวกับการบรรยายภาพลักษณ์ของปีศาจ เยอะเกิน งงและจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าติดอิมเมจของการ์ตูนญี่ปุ่นหรือเปล่านะ อ่านๆไปก็นึกถึงเคคไคชิเหมือนกันนะ การ์ตูนเรื่องนี้ปีศาจแต่งตัวหลากแนวสุดๆ แต่เรื่องนี้รู้สึกขัดแย้งพอควร ทั้งที่บรรยายทำนองว่าเป็นอสูรที่ไม่ค่อยได้ออกจากภูเขาแต่ก็ยังแฟชั่นดีแท้
ตอนต้นเรื่องมาถึงงานเทศกาลเนี่ย เรารู้สึกว่ากำลังดีเลยไม่เร็วไม่ช้า ให้อารมณ์ว่าเป็นเรื่องของชินจิจริงๆ มีแอบคิดว่าอาจจะได้คู่กับเออิจิโร่หรือไม่ก็ปีศาจสักตัวซะอีก อุตส่าห์ได้ถือครองลูกแก้วคันจุทั้งที
แต่ช่วงทำลายเขตแดนนี่ เรารู้สึกรวบรัดจัง แล้วชินจิก็ไปยอมทำตามที่เขาสั่งง่ายๆ เข้าใจนะว่าเอย์จิอยู่ในอันตราย แต่แบบเฮ้ย! ยอมทำตามง่ายไปแล้ว ใจง่ายทุกเรื่องเลยเหรอ รู้สึกแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ดีใจที่ชินจิได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 09-04-2016 22:41:16
 o13
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 10-04-2016 16:54:10
ตามอ่านอย่างรวดเร็วจนจบ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Thanthic ที่ 10-04-2016 22:27:26
ขอบคุณคนเขียนนะคะ

นิยายแนวนี้หายากแต่คนเขียนแต่งได้ดีคะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 14-04-2016 02:44:25
สนุกมากเลยคะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Kitsune1st ที่ 14-04-2016 21:46:26
อ่านจบแล้ววง แต่งดีอยู่นะ
เรื่องมีมูลมีไร
รู้สึกเหมือนดูการ์ตูนญี่ปุ่นมากๆ555
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-04-2016 14:50:33
สนุกมาก ดำเนินเรื่องกระชับ บรรยายดี ฉากสวยงาม เกร็ดความรู้ที่สอดแทรกมาก็น่าสนใจ
ชอบตัวละครเหล่าอสูรรูปงาม โดยเฉพาะ ชิโนซากิคิตสึเนะ จิ้งจอกขาวขายโอเด้ง
นึกภาพแล้วน่ารักอ่ะ อยากกอด :-[
ขอบคุณที่แต่งมาให้ได้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 21-04-2016 19:08:15
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 22-04-2016 10:22:15
อ่านจบแล้วสนุกมากครับ เนื้อเรื่องดี โครงแน่นมีคอนฟลิกหลักรอง ตัวละครคุมโทนอยู่ ครบรสครับ

แต่ ขอติเล็กน้อย ในภาคการบรรยายคาแร็คเตอร์ บางช่วงที่บรรยายติดๆเรียงๆกันสมุนปีศาจ ผมมีความรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดให้อ่าน เหมือนนั่งอ่านตำราในทำนองที่ว่า เฮ้เธอต้องจำให้ได้นะ ผมว่าค่อยบรรยายแค่เฉพาะตัวสำคัญที่ออกบทบาทในตอนนั้นและเว้นช่วงบทเพื่อรอบรรยายตัวอื่นที่มีบทบาทในบทนั้นๆ ผู้อ่านจะเกิดมโนภาพในสมองและจำได้เองดีกว่าครับ สำหรับผมยอมรับจำคาแรคเตอร์หรือนึกหน้าตาสมุนฝั่งปีศาจไม่ได้เลย จะจำได้แค่ตัวไหนใช้อาวุธหรือธาตุหรือเป็นตัวอะไรแค่นั้น
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: isuloveU Soly ที่ 01-05-2016 08:52:28
นั่งอ่านรวดเดียว บอกเลยสนุกมาก ภาษาดี บรรยายบรรยากาศได้ดีมาก เหมือนเราหลุดไปในเหตุการณ์นั้นเลย ชอบจริงๆ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-12-2018 13:10:03
 :L2:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 15-12-2018 19:44:20
พูดตรงใจค่ะ


อ่านจบแล้วสนุกมากครับ เนื้อเรื่องดี โครงแน่นมีคอนฟลิกหลักรอง ตัวละครคุมโทนอยู่ ครบรสครับ

แต่ ขอติเล็กน้อย ในภาคการบรรยายคาแร็คเตอร์ บางช่วงที่บรรยายติดๆเรียงๆกันสมุนปีศาจ ผมมีความรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดให้อ่าน เหมือนนั่งอ่านตำราในทำนองที่ว่า เฮ้เธอต้องจำให้ได้นะ ผมว่าค่อยบรรยายแค่เฉพาะตัวสำคัญที่ออกบทบาทในตอนนั้นและเว้นช่วงบทเพื่อรอบรรยายตัวอื่นที่มีบทบาทในบทนั้นๆ ผู้อ่านจะเกิดมโนภาพในสมองและจำได้เองดีกว่าครับ สำหรับผมยอมรับจำคาแรคเตอร์หรือนึกหน้าตาสมุนฝั่งปีศาจไม่ได้เลย จะจำได้แค่ตัวไหนใช้อาวุธหรือธาตุหรือเป็นตัวอะไรแค่นั้น
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 26-12-2018 03:09:55
สนุกมากเลย เหมือนได้อ่าน ได้ดูแอนนิเมะญี่ปุ่นจริงๆ   แปลกใจมากที่คนอ่านน้อย
ยังอยากอ่านเรื่องของคุณมังกรขาว กับคุณปีศาจกาอยู่นะ ถึงจะเศร้าทั้ง 2เรื่องก็ยังรอนะ อยากให้มีของคุณจิ้งจอกโอเด้งด้วยจัง หมาขี้งกที่น่ารัก
ขอบคุณคนแต่งมากๆ แต่งต่อไปนะ สู้ๆ เดี๋ยวตามไปอ่านเรื่องอื่นด้วย
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กหลังห้อง ที่ 31-12-2018 21:18:59
สนุกจนวางไม่ลงเลยค่ะ ชอบมากกกกกกก รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 13-01-2019 23:03:23
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 15-01-2019 00:00:47
นี่มันสิ่งดีงามจริงๆที่ได้เจอเรื่องนี้
เขียนดีมาก
บรรยายดี
ทุกอย่างลงตัวไปหมด
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
ชอบจริงๆนะคะ
ไม่ค่อยได้ออกความคิดเห็นแต่จะคอยเป็นกำลังใจต่อไปค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 04-02-2019 13:03:04
สนุกมากๆค่ะ ชอบจัง รออ่านเรื่องอื่นๆนะคะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 23-04-2019 00:25:15
เเวะมาเม้นก่อนเริ่มอ่าน เดี๋ยวเริ่มเเล้วจะยาวจนไม่ได้เม้นอะไร
แอบไปส่องกระทู้นิยายเเนะนำมาค่ะเเล้วเจอคนเค้าเเนะนำเรื่องนี้อยู่
สไตล์นี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้อ่านเลย  พอเห็นปุ้บก็อยากรีบตามมาอ่านเลย

 :man1:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-04-2019 15:40:16
 o13 o13 o13


 :กอด1: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:


หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" - บทที่ 25 - 3-4-2016 (Romantic Fantasy) -จบ-
เริ่มหัวข้อโดย: จอมจุ้น6002 ที่ 16-06-2019 16:02:52
อ่านทีเดียวจบเรื่อง สนุกมากกกกกกค่ะ จะตอดตามเรื่องอื่นๆของนักเขียนต่อไป เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: ตอนพิเศษของภาพลวงตาของปีศาจ : Misaki
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 18-06-2019 09:07:03
สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกท่านนะคะ

รู้สึกดีใจมากเลยที่ยังมีคนชอบอ่านเรื่องนี้ทั้งที่ก็จบไปนานแล้ว นุ่นเลยอยากขอบคุณด้วยตอนพิเศษ "Misaki" เป็นเรื่องของมิซากิกับมาซาฮารุ พ่อกับแม่ของฝาแฝดเออิจิโร่และเอย์จิค่ะ มีหกตอน ก็จะทยอยลงให้นะคะในหมวดเรื่องสั้น ตาม link นี้ค่ะ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70539.0

ขอฝากมิซากิผู้ร่าเริงและมาซาฮารุนักปัดรังควานที่แสนจะเคร่งขรึมด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
Mettnoon
18 Jun 19
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-06-2019 20:08:37
สนุกมากๆ ขอบคุณผู้แต่งจร้า ^^
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-06-2019 20:47:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 22-06-2019 22:32:54
 o13 o13
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-04-2020 11:39:47
สวัสดีค่ะ

Mettnoon กลับมาเปิดเพจใน facebook อีกครั้งแล้วนะคะ
ทางสายดอกพริมโรส https://www.facebook.com/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%AA-100683698257541/?modal=admin_todo_tour
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ตอนนี้นุ่นกำลังทำ Ebook ขายอยู่ที่ Fictionlog ก็มีอยู่สามเรื่องนะคะ
บนทางรัก
คู่อริที่รัก (ตอนพิเศษ)
Misaki: วันที่ดอกไม้บาน (ตอนพิเศษของภาพลวงตาของปีศาจ)
และกำลังจะเอาตอนพิเศษตอนอื่น ๆ ของภาพลวงตาของปีศาจลงทำเป็น Ebook ด้วย ยังไงก็ฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้นุ่นด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-04-2020 15:30:28
แจ้งข่าวค่ะ ตอนนี้ “ภาพลวงตาของปีศาจ” มีวางขายเป็น ebook ที่ meb แล้วนะคะ
ขอฝากทุกท่านที่ชื่นชอบช่วยไปซื้อหามาอ่านกันด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ mettnoon ด้วยค่ะ

คลิกที่นี่เลย
 http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODcyMiI7fQ

เรื่องตอนพิเศษอีกสองเรื่องก็จะทำเป็นอีบุ๊กให้อ่านกันด้วย เปิดให้ซื้อได้เมื่อไหร่จะมาแจ้งนะคะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-04-2020 06:45:31
แจ้งข่าวเพิ่มเติมค่ะ

ภาพลวงตาของปีศาจและตอนพิเศษสามตอน มีสองตอนที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนด้วยนะคะ มีขายแล้วที่ Meb เป็น Ebook ค่ะ
อุดหนุนนุ่นด้วยนะคะ พลีสสสสสสส
ซื้อเถอะ ไหว้ละ  :hao5:

ตอนพิเศษใหม่ "ตำนานมังกรคู่ทะเลสาบ"
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODczOCI7fQ

ตอนพิเศษใหม่ "เพลงอำลา"
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODczNiI7fQ

ตอนพิเศษ "วันที่ดอกไม้บาน"
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODY3NSI7fQ

ขอบคุณค่ะ
Mettnoon
12 Apr 2020