"ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ  (อ่าน 39931 ครั้ง)

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
คนเขียนอัพไวมาก ตามอ่านไม่ทันซะที

จะบอกว่าสนุกมาก เป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราขอบอ่านตอนเด็กๆเลย

แต่อันนี้ลุ้นและตื่นเต้นกว่า :katai4:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
อ่านตอนนี้ละสงสารเอย์จิ ถ้าไม่มีท่านแม่ก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไ่ม่มีค่าเลยสินะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
คนเขียนอัพไวมาก ตามอ่านไม่ทันซะที

จะบอกว่าสนุกมาก เป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราขอบอ่านตอนเด็กๆเลย

แต่อันนี้ลุ้นและตื่นเต้นกว่า :katai4:

เขียนจบแล้วค่ะก็เลยลงได้เร็วหน่อย ถ้ายังเขียนไม่จบก็จะไม่มาลงออนไลน์ค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะทยอยลงรอดูฟีดแบ็กเรื่อย ๆ แต่เห็นยอดวิวแล้วก็เอ่อ... งั้นลงไปให้จบเลยก็แล้วกัน มันคงไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ  o22

ขอบคุณนะคะที่บอกว่าสนุก
เพราะก็กังวลอยู่ว่าแฟนตาซีญี่ปุ่นกับสไตล์แบบเรามันจะโอเคไหม
หรือกลับไปติสต์แตกแบบเดิมอะดีละ  :jul3:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 18

        “โอ๊ย นายตีหัวฉันทำไมเนี่ย” เออิจิโร่ร้องลั่น เอามือลูบหัวตัวเองป้อย ๆ “เรารึอุตส่าห์หวังดีมาปลุกไปซ้อมเช้า กลั๊วกลัวว่านายจะหมดแรง ตื่นไม่ไหว”
        คนฟังกลอกตากับเหตุผลแบบฟังดูดี๊ดีเหลือเกินนั่น เห็นท่าทางกระดี๊กระด๊าขนาดนั้นก็รู้แล้ว อย่าลืมว่าเขากับหมอนั่นเป็นฝาแฝดกัน แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว
        และนั่น ผิดคำเสียที่ไหน พี่ชายตัวแสบของเขาชะเง้อชะแง้ข้ามไหล่เขามองไปที่ชินจิที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างเตียง แล้วยังแกล้งโบกไม้โบกมือทักทาย
        “อรุณสวัสดิ์ชินจิคุง เมื่อคืนนอนหลับไหม มีอะไรหรือใครกวนรึเปล่า”
        “ออกไปเลย ไอ้พี่บ้า พูดมากจริง ๆ” เอย์จิหมดความอดทน ผลักร่างใหญ่ ๆ เหมือนยักษ์ปักหลั่นให้ถอยห่างออกไป แล้วกระชากประตูเลื่อนปิดใส่หน้า
        “เจอกันที่โรงฝึกน้า~ น้องชายสุดที่ร้าก~”
        เสียงกวนประสาทยังดังทะลุประตูกระดาษเข้ามาเป็นการส่งท้าย เอย์จิกัดกรามกรอด บ่นพึม
        “ไอ้พี่บ้า”
        “คุณสองคนเป็นพี่น้องที่สนิทกันดีนะครับ” ชินจิเปรย
        แต่เอย์จิกลับยักไหล่
        “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ได้ชอบเออิจิโร่นักหรอก ทั้งอิจฉา ทั้งเกลียด เมื่อก่อนทะเลาะกันบ่อย ชกกันแทบจะทุกวัน”
        “แต่คุณไม่ได้เกลียดเขาจริง ๆ หรอก” ชินจิพูดอย่างมั่นใจ
        “ก็ท่านแม่อีกนั่นแหละ ท่านไม่เคยห้ามเวลาเราชกต่อยกัน ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งด้วย อยากต่อยกันก็ต่อย แต่ห้ามใช้ตัวช่วยอะไรทั้งนั้น ต้องใช้แค่กำลังของตัวเอง ต่อยกันให้พอใจก่อนแล้วเปิดอกเคลียร์กันให้จบลงตรงนั้น ท่านแม่จะเป็นกรรมการ จากนั้นท่านก็จะสอน ท่านไม่พูดว่าใครผิดใครถูก แต่จะชี้ให้เห็นผลที่ตามมา แล้วให้เราคิดเอาเองว่าเราอยากให้เป็นอย่างนั้นรึเปล่า”
        “ส่วนใหญ่ใครชนะครับ”
        “เออิจิโร่” เอย์จิตอบอย่างธรรมดาที่สุด “หมอนั่นเก่งทุกอย่าง เคนโด้ คิวโด คาราเต้ ศิลปะการต่อสู้ทุกอย่างแหละ ท่านพ่อกับโอคินะซังเคี่ยวหนักตั้งแต่เด็ก ฉันชกต่อยไม่เก่งเท่าหมอนั่นหรอก”
        “แหม อย่างนี้ไม่น่าจะยุติธรรมนะครับ” ชินจิอดบ่นแทนไม่ได้
        “มีบางครั้งเหมือนกันที่ฉันชนะ แต่เพราะหมอนั่นมันแกล้งแพ้ คือมันรู้ว่าเรื่องที่ทะเลาะกันน่ะมันเป็นฝ่ายผิด แต่เออิจิโร่เป็นพวกอีโก้สูงทะลุเพดาน ไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษใครง่าย ๆ มันก็เลยใช้วิธียอมแพ้ ไม่สู้ ปล่อยให้ฉันชนะ เพื่อแทนคำขอโทษ”
        “แล้วคุณโอเคหรือครับ”
        “แน่น้อน” เอย์จิตอบเสียงสูง “ฉันก็อาศัยโอกาสนั้นแหละชกหน้ามันจนหนำใจ โอ๊ย มีความสุขสุด ๆ”
        แววตาของรุ่นพี่ของเขาพราวด้วยความขบขัน ทำให้ดูคล้าย ๆ กับเอย์จิคนที่ชินจิรู้จักที่เยอรมนี ชายหนุ่มอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ฝาแฝดก็คือฝาแฝดอยู่ดีนั่นแหละ เออิจิโร่กับเอย์จิก็ไม่ได้แตกต่างกันไปเสียทั้งหมด
        “ถ้าท่านมิซากิได้เห็นพวกคุณอยู่ด้วยกันแบบนี้ ท่านคงมีความสุขมากเลยนะครับ” ชินจิปรารภด้วยรอยยิ้มสดใส

        ในโรงฝึกช่วงเช้านี้ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีชินจิอยู่ด้วย เอย์จิเป็นคนพาชายหนุ่มรุ่นน้องมาเพราะปฏิเสธคำขอร้องไม่ได้ เขานึกว่าชินจิอยากจะมาดูเฉย ๆ แต่การณ์กลับเป็นว่า เมื่อโอคินะซังกับท่านพ่อของเขาเดินเข้ามาในโรงฝึก ชินจิก็ปราดเข้าไปก้มหัวขอร้อง เสียงดังฟังชัด
        “กรุณาสอนผมยิงธนูปัดรังควานด้วยเถอะครับ!”
        เอย์จิตาเหลือก ไม่คิดว่าคนที่ท่าทางเรียบร้อยอย่างชินจิจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ แถมยังกล้าขอร้องท่านพ่อของเขาโดยตรง มันจะกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว
        “เธอไม่ใช่คนของศาลเจ้า” มาซาฮารุพูดห้วน ๆ มือทั้งสองยกขึ้นกอดอก ดวงตาที่จ้องรุ่นน้องของลูกชายทั้งคมทั้งดุ
        “ผมขอร้องล่ะครับ ผมอยากป้องกันตัวเองได้ กรุณาสอนผมเถอะนะครับ”
        ชายหนุ่มไม่หวั่นกับดวงตาและน้ำเสียงเย็นชาแบบไร้เยื่อใยของเจ้าบ้านคนปัจจุบัน แม้ว่าจะแอบกลืนน้ำลายลงคอไปเอื้อกใหญ่ตอนที่ได้ยินคำปฏิเสธก็ตาม
        “ศรปัดรังควานไม่ใช่ของเล่นที่จะให้ใครยิงซี้ซั้วได้ มิโกะหรือกงเนงิบางคนยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ แล้วเธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” เจ้าบ้านสูงวัยมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูหมิ่น “อย่าสำคัญตัวเองผิดไปนัก”
        “ผมรู้ว่าผมเป็นคนธรรมดา แต่ผมอยากฝึกจริง ๆ กรุณาด้วยเถอะครับ ให้โอกาสผมสักครั้ง”
        ชินจิไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะกล้าขนาดนี้ แต่เขากำลัง ‘ตื๊อ’ ท่านมาซาฮารุผู้น่าเกรงขามและน่ากลัวอย่างสุด ๆ แล้วในเมื่อพูดยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว ชายหนุ่มจึงคุกเข่าลงก้มหัวจรดพื้น
        “ขอความกรุณาด้วยเถอะครับ”
        เออิจิโร่เป่าปากหวือทีเดียว สายตาเต้นพราวด้วยความสนุก แต่คู่หมั้นสาวของเขาไม่สนุกไปด้วยและไม่ได้ชื่นชมความกล้าหาญของชินจิแม้แต่น้อย รุกะเชิดหน้าขึ้นด้วยความรำคาญความดื้อด้านของชายหนุ่มและหวังว่ามาซาฮารุจะไล่ตะเพิดชินจิไปให้พ้นจากโรงฝึกในวินาทีใดวินาทีหนึ่งถัดจากนี้
        เอย์จิทนไม่ไหว ตรงเข้ามาดึงแขนชินจิให้ลุกขึ้นยืน เอ็ดเบา ๆ ว่า
        “อย่าทำแบบนี้”
        “แต่ผมอยากป้องกันตัวเองจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้จริง ๆ นะครับเอย์จิซัง ผมไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนดูแลผม ผมจะดูแลตัวเองให้เต็มที่ อีกอย่างนึง...” ชายหนุ่มมองสบตากับรุ่นพี่ของเขา “ผมอยากช่วยคุณ อยากปกป้องคุณให้ได้”
        “เฮอะ นี่แกอ่อนแอขนาดต้องให้เด็กรุ่นน้องปกป้องแล้วยังงั้นรึ เอย์จิ”
        ชินจิหันขวับไปประจันหน้ากับบิดาของรุ่นพี่ของเขาทันที สีหน้าแสดงว่าไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ได้ยินอย่างเต็มที่
        “เอย์จิซังไม่ได้อ่อนแอนะครับ ตรงกันข้าม รุ่นพี่เป็นคนเข้มแข็งมากต่างหากที่อดทนกับสิ่งหนักหนาสาหัสต่าง ๆ มาได้จนถึงตอนนี้ โดยที่รุ่นพี่ยังคงเป็นคนดี จิตใจดี อบอุ่นและอ่อนโยนกับทุกคน รุ่นพี่อาจจะไม่ใช่คนเข้มแข็งในความหมายของท่าน แต่สำหรับผมและอีกหลาย ๆ คน มันใช่ครับ และมันน่าขำด้วยหรือที่ผมอยากจะปกป้องคนดีอย่างรุ่นพี่ ถูกล่ะที่ผมเป็นคนธรรมดา เป็นคนอ่อนแอด้วย แรงก็ไม่เยอะ แต่เพื่อเอย์จิซังคนที่ผมต้องการจะปกป้อง ผมจะทำอย่างเต็มที่ที่สุด”
         หลุดปากออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ใจหายวาบ นี่เขาเถียงฉอด ๆ ใส่เจ้าบ้านคนปัจจุบัน หัวหน้าตระกูลนักปัดรังควานแห่งศาลเจ้าอินาริ แถมยังเป็นบิดาของรุ่นพี่ของเขาด้วย
         ตายแน่ ชินจิเอ๋ย
         และไม่เฉพาะแต่เจ้าตัวเอง คนอื่น ๆ ในโรงฝึกก็พร้อมใจกันจับตาดูอย่างไม่กะพริบตาว่าพายุทอร์นาโดจะพัดใส่ชินจิตอนไหน เออิจิโร่ถึงขนาดยิ้มกว้างออกมาด้วยความลุ้นระทึก ส่วนน้องชายฝาแฝดของเขารีบดันตัวชินจิไปไว้ข้างหลังด้วยกิริยาปกป้อง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเชิงพร้อมลุย ถ้าบิดาของเขาโวยวายขึ้นมาก็ต้องเจอกับเขาก่อน
         แต่มาซาฮารุกลับนิ่งเฉย ไม่โวยวายหรือพูดจาเชือดเฉือนอย่างที่คาด ชายสูงวัยเพียงแต่จ้องชินจิเขม็งด้วยสายตาคมวาว ภายในดวงตาของมาซาฮารุคล้ายมีเปลวไฟลุกวาบและมันเริงโรจน์ขึ้นเรื่อย ๆ จนคนถูกจ้องตัวสั่นเทิ้ม หน้าซีดเผือด เหงื่อแตกจนเห็นเป็นเม็ด ๆ เต็มหน้า มือจิกแขนเสื้อของเอย์จิแน่น แต่ชายหนุ่มไม่ยอมหลบสายตา ในใจของเขาภาวนาขอให้จิตใจของตัวเองเข้มแข็งและหนักแน่นพอที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมรับความตั้งใจของเขาให้ได้
         ในที่สุดคำภาวนาของเขาก็สัมฤทธิ์ผล มาซาฮารุยอมพยักหน้า ไฟในดวงตาของชายสูงวัยมลายหายไป และชินจิรู้สึกว่าตัวเองหายใจคล่องขึ้น
         “โอคินะซัง เจ้าเด็กอวดดีนี่ให้เป็นหน้าที่ของท่าน จะทำอะไรกับมันก็ตามใจ”
         พระสูงวัยค้อมศีรษะรับคำสั่ง สายตาที่มองชินจิมีความเมตตา แต่เมื่อเห็นท่าทางประคับประคองรุ่นน้องตัวเองของเอย์จิแล้ว ชายชราก็อดกระแอมขัดไม่ได้ ถึงยังไงคนแก่อย่างเขาก็มองแล้วขัดตาอยู่ดีนั่นแหละ แม้ว่าจะไม่คิดคัดค้านก็ตาม ท่านเจ้าบ้านเองก็เถอะ เหล่มองมาเหมือนกัน แต่ยังตีสีหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกอยู่เหมือนปกติ
         เอย์จิก็รู้ตัวว่าโดนเขม่นจากหลายทาง แต่เขาไม่เลิกดูแลรุ่นน้อง ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อตัวเองซับเหงื่อให้พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แต่ชินจิยืนยันว่าเขาไม่เป็นอะไร
         “เอาล่ะ ชินจิคุง ถึงจะบอกว่าอยากยิงธนูปัดรังควาน แต่ก็ไม่ได้ฝึกกันได้ทันทีหรอกนะ เธอต้องฝึกพื้นฐานอีกนาน เริ่มที่คิวโดก่อน เพื่อฝึกฝนสมาธิและการควบคุมจิตใจตัวเอง” โอคินะพูด
         “ผมเข้าใจครับ ผมจะพยายามให้เต็มที่” ชินจิพูดด้วยความุ่งมั่น
         เอย์จิพาชินจิไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวด้านนอก พอคล้อยหลังทั้งสองคน รุกะก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
         “หนูไม่เห็นด้วย ชินจิซังไม่ใช่คนของเราสักหน่อยนะคะ แค่ให้ทำงานด้วย มันก็น่าจะมากพอแล้ว”
         “แหม รุกะจังที่รัก ชินจิคุงเป็นคนของเราตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าใช่ ไม่เชื่อก็ลองไปถามเอย์จิดูสิ”
         รุกะถลึงตาใส่คู่หมั้นของหล่อน พูดเสียงเขียว
         “เหลวไหล เออิจิโร่”
         “เรื่องจริง บอกแล้วไงให้ไปถามเอย์จิ แต่ระวังคำตอบหน่อยนะ ฉันไม่อยากเห็นเธอเสียใจ ยังไงเธอก็เป็นคู่หมั้นฉัน”  เออิจิโร่ยักคิ้วข้างหนึ่ง ตั้งใจกวนอารมณ์อีกฝ่ายเต็มที่ และรุกะก็ยั่วขึ้นเหมือนทุกครั้ง ลูกธนูที่ถืออยู่ในมือถูกหักเป็นสองท่อน
         “พอทีทั้งสองคน!” มาซาฮารุปรามเสียงแข็ง ก่อนตวัดสายตามองรุกะอย่างตำหนิ หญิงสาวหน้าเสีย รีบก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
         “ขอประทานโทษค่ะท่านพ่อ”
         “อดีตก็คืออดีต แต่ตอนนี้เธอสองคนเป็นคู่หมั้นกัน อนาคตก็ต้องแต่งงานกัน ควรจะปรองดองกันให้ดี เข้าใจใช่ไหม”
         เออิจิโร่และรุกะพึมพำตอบรับอย่างไม่เต็มเสียง หากฝ่ายหลังก็ยังมีข้อกังขาที่ต้องการคำตอบให้หายคาใจ หล่อนจึงถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
         “หนูยังอยากรู้อยู่ดีค่ะท่านพ่อ ทำไมท่านอนุญาตให้ชินจิซังง่าย ๆ ขนาดนั้นคะ”
         “เจ้าเด็กคนนั้นมีอะไรแปลก ๆ” มาซาฮารุพูดอย่างครุ่นคิด “เป็นคนธรรมดาแท้ ๆ แต่กลับต้านทานพลังจากความน่าเกรงขามได้ แม้แต่พลังสร้างเขตแดนที่ฉันพยายามจะใช้บีบรัดกดดันก็ยังทำอะไรไม่ได้ มันเหมือนกับมีอะไรสักอย่างหนึ่งกางกั้นเด็กคนนั้นอยู่เหมือนกับโล่”
         “เป็นอะไร ท่านพ่อพอจะเดาได้ไหมครับ” เออิจิโร่ถาม
         “ไม่รู้ เดาไม่ออก แต่มีพลังมาก” มาซาฮารุขมวดคิ้วมุ่น พยายามใคร่ครวญหาคำตอบ แต่ก็เหมือนกับทุกคน คือ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้
         “สงสัยบรรพบุรุษของชินจิซังอาจจะเป็นนักปัดรังควานหรือคนทรงอะไรทำนองนี้ก็ได้นะครับ” โฮโจอดไม่ไหว ขอเดาบ้าง แต่เออิจิโร่ส่ายหน้าทันที
         “ไม่มีทาง ฉันตรวจสอบดูแล้ว ครอบครัวชินจิคุงเป็นครอบครัวธรรมดา ทั้งครอบครัวฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนทรงหรือนักปัดรังควานหรือพวกวัดศาลเจ้าเลย คนธรรมดาแท้ ๆ”
         “งั้นก็เหลือแค่ว่าผู้ชายคนนั้นมีอะไรอยู่กับตัวรึเปล่า” รุกะเอ่ยลอย ๆ เออิจิโร่ดีดนิ้วเปาะ
         “จริงสิ ประเดี๋ยวต้องกระซิบเอย์จิให้ลองค้นตัวดูเวลานอน”
         คู่หมั้นสาวกลอกตาด้วยความระอาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่เพราะมีทั้งท่านพ่อและโอคินะซังอยู่ ทำให้หล่อนต้องข่มใจไม่แสดงอาการขวางคู่หมั้นหนุ่มของตัวเองออกมาเหมือนเมื่อสักครู่นี้ให้ต้องโดนตำหนิอีก
         “ยังไงก็ตาม ชินจิคุงอยู่ฝั่งเรา นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีอะไรต้องกังวล และเรายังสามารถใช้งานชินจิคุงได้ด้วย” โอคินะพูด
         “เรื่องชิโนซากิคิตสึเนะใช่ไหมคะ” รุกะทำหน้าเมื่อยเมื่อคิดถึงจิ้งจอกขาวจอมเจ้าเล่ห์ตนนั้น
         “เราต้องการข่าวจากฝั่งอสูร” โอคินะเน้น “ถ้าเรารู้สถานการณ์ของฝั่งอสูรในตอนนี้ เราจะได้วางแผนรับมือได้อย่างรอบคอบ”
         “ชินจิซังมาแล้วครับ” โฮโจบอก
         วงสนทนาจึงหยุดลงโดยปริยาย โอคินะกับโฮโจเดินไปหา ส่วนรุกะแยกไปยืนที่มุมซ้อมของหล่อน ไม่คิดจะเหลือบแลไปทางใครให้เสียอารมณ์ เตรียมดอกศรขึ้นพาดสาย
         เออิจิโร่ยังยืนอยู่ที่เดิมกับบิดาของเขา ทั้งสองคนมองไปที่จุดเดียวกัน
         “ฝ่ายอสูรคงวางแผนอะไรอยู่อย่างแน่นอน” มาซาฮารุเปรยขึ้นลอย ๆ พยักหน้าไปทางลูกชายคนเล็กและรุ่นน้อง “แกต้องคอยระวังให้ดี เข้าใจไหม อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเป็นอันขาด”
         “ทราบแล้วครับผม จะดูแลให้อย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม”
         มาซาฮารุเหล่มองลูกชายคนโตที่รับคำด้วยน้ำเสียงร่าเริงเกินเหตุ กระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเอามือไขว้หลังเดินหนีไป
         เออิจิโร่กลั้นหัวเราะจนปากสั่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2016 10:58:14 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ชินจิสุดยอดอ่ะ  o13

หรือว่าลูกแก้วนั้นอยู่กับชินจิ?

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
             ชินจิต้องยืมชุดฝึกของเอย์จิมาใส่ ความสูงที่ต่างกันพอสมควรทำให้ทำให้มีปัญหาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพอใส่ชุดของรุ่นพี่ได้
        นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ใส่ชุดสำหรับฝึกคิวโดจึงรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ชายหนุ่มรับเสื้อชิตะงิสีขาวที่เป็นเสื้อชั้นในมาใส่ก่อนสวมทับด้วยกิโมโนชั้นนอกที่เป็นสีขาวเหมือนกัน กางเกงฮากามะสีดำ คาดโอบิสีเดียวกับกางเกง และใส่ถุงเท้าทะบิสีขาว 
        เอย์จิให้รุ่นน้องใช้คันธนูและลูกธนูที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกหัด ไม่ใช่ไม้ไผ่แบบดั้งเดิมอย่างที่พวกเขาใช้กัน เพื่อไม่ให้แตกหักเสียหายได้ง่าย คันธนูกับลูกธนูที่เลือกใช้จะต้องสัมพันธ์กับผู้ยิง อย่างเอย์จิที่สูงราวร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร ใช้คันธนูที่ความยาวราวสองร้อยสามสิบเซ็นติเมตรและลูกธนูยาวราวหนึ่งร้อยเซ็นติเมตร ชินจิเตี้ยกว่า ความสูงของคันธนูและลูกธนูจึงน้อยลงไปตามลำดับ
        หลังจากเลือกอุปกรณ์ได้เรียบร้อย เอย์จิก็ส่งตัวรุ่นน้องของเขาให้โอคินะซังรับช่วงดูแลต่อ ตอนแรกชินจิก็ประหม่าไม่น้อย แต่ผู้เฒ่าโอคินะสามารถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลงได้และมีสมาธิมากขึ้น
         “การยิงธนูมีแปดขั้นตอน” โอคินะเริ่มสอน ชายชราสั่งให้โฮโจเป็นคนสาธิตให้ดูทีละท่าโดยที่ตัวเองอธิบายรายละเอียดไปพร้อมกัน
         “ขั้นตอนแรกคือ อะชิบุมิ วางตำแหน่งของเท้า”
         โฮโจยืนหันข้างให้เป้ายิง เท้าแยกออกห่างกันพอสมควร มือขวาถือลูกธนูสองดอกหนีบไว้ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วก้อย เอามือเท้าไว้ที่เอว มือซ้ายจับคันธนูหันด้านคันไม้เข้าหาตัว ส่วนบนที่ยาวกว่าชี้ลงข้างล่าง
          “ขั้นที่สอง โดซุคุริ วางตำแหน่งลำตัวด้านบน”
          ธนูในมือขวาของโฮโจถูกพลิกหันด้านคันไม้ออก เอาลูกธนูหนึ่งดอกในมือขวาพาดกับสายธนูโดยเลื่อนให้อยู่ค่อนไปทางปลายด้าม ใช้มือซ้ายยึดไว้ทั้งคันและด้ามของลูกธนู มือขวาเท้าเอวไว้เหมือนเดิม    
               “สาม ยูมิกามาเอะ วางตำแหน่งคันธนู”
          โฮโจใช้มือขวาที่หนีบลูกธนูอยู่อีกดอกหนึ่งจับปลายลูกธนูส่วนที่เป็นขนนกพร้อมกับสายธนู มือซ้ายของเขาจับคันธนู ด้ามลูกธนูก็จะตั้งอยู่บนมือข้างที่จับคันธนูนี้ ความสูงของมือที่จับคันธนูและลูกธนูอยู่ระดับบั้นเอว หันหน้าไปมองเป้าหมาย
           “สี่ อุจิโอะโคชิ ยกแขนขึ้น”
           โฮโจยกแขนทั้งสองขึ้น ความสูงของมือที่จับคันธนูและลูกธนูอยู่เหนือศีรษะ คันธนูและลูกธนูถูกจับอยู่ในท่าเดิม
            “ห้า ฮิคิวะเคะ ง้างธนู”
            มือขวาของโฮโจดึงลูกธนูง้างไปด้านหลัง ระดับความสูงของมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มยังอยู่เหนือศีรษะ
            “หก ไค วางตำแหน่งลูกธนู”
            โฮโจลดแขนลง มือขวาข้างที่ง้างลูกธนูอยู่ชิดกับใบหู แขนกับมือซ้ายที่จับคันธนูตั้งฉากกับลำตัว ด้ามธนูเป็นระนาบอยู่ในระดับสายตา
            “เจ็ด ฮานาเระ ยิงธนูออกไป”
            โฮโจปล่อยลูกธนูที่ง้างไว้ให้พุ่งออกไปยังเป้าหมาย
            “ขั้นสุดท้าย ขั้นที่แปด ซันชิน ยังตั้งท่าเตรียมพร้อม”
            มือของโฮโจที่ปล่อยลูกธนูออกไปยืดออกเป็นระนาบเดียวกับมือข้างที่จับคันธนู ชายหนุ่มนิ่งอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนกลับไปที่ท่าแรก มือข้างขวาเท้าเอว มือซ้ายพลิกคันธนูที่จับอยู่ลงข้างล่าง หันด้านด้ามไม้เข้าหาตัว เท้ามือข้างที่จับคันธนูนั้นเข้าที่เอว
            ชินจิมองตามตาไม่กะพริบ ลูกธนูที่โฮโจยิงออกไปเสียบเข้าที่เป้าฟางอย่างถนัดถนี่ ใบหน้าของชายหนุ่มนิ่ง สงบ มีสมาธิทุกขั้นตอน ลูกธนูที่ปล่อยออกไปจึงไม่พลาดเป้า
            คิวโดเป็นกีฬาที่งดงามจริง ๆ ทุกท่วงท่าทุกลีลามีความอ่อนช้อย แต่ก็ขึงขังหนักแน่น ผู้ยิงเองก็เปรียบได้เหมือนกับนักเต้นที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างแข็งแกร่งและสวยงาม มีศิลปะ
            “ถึงตาชินจิคุงแล้ว” โอคินะบอกยิ้ม ๆ “บอกก่อนนะว่าฉันเป็นครูที่เข้มงวด ถามเจ้าพวกนี้ดูก็ได้”
            “ผมจะพยายามให้เต็มที่ครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงดัง
            โอคินะเป็นผู้สอนและกำกับให้ด้วยตัวเอง คอยดูให้รุ่นน้องของเอย์จิทำได้ถูกต้องตามขั้นตอน จากที่เก้งก้างขัดหูขัดตาในตอนแรก ๆ ชินจิปรับท่าทางของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เขาจำขั้นตอนต่าง ๆ ได้แม่น ตั้งใจและมีสมาธิ จำนวนลูกธนูที่พลาดเป้าลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานชายหนุ่มก็ยิงเข้าเป้าแทบทุกดอก แถมยังเป็นวงกลมใน ๆ เสียทั้งนั้น ลูกธนูดอกสุดท้ายที่ยิงออกไปเข้ากลางเป้าอย่างแม่นยำ
             ชินจิเบิกตากว้างด้วยไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง หันไปมองคุณครูผู้ชราของเขา ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ายืนยัน ยิ้มละไม ดวงตาสีน้ำข้าวแสดงความชื่นชม
             “สำเร็จแล้ว เก่งจังเลย ชินจิคุง” เออิจิโร่ถลามาจากไหนไม่รู้ ตัดหน้าน้องชายฝาแฝดไปชั่วเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น ตรงเข้ามาจับมือชินจิเขย่า ๆ ด้วยความดีใจ
             “ฝีมือดีมากเลย ฝึกครั้งแรกก็ยิงเข้าเป้าเกือบทั้งหมด ยังงี้เปลี่ยนมาฝึกสายนักรบได้แล้ว ฉันว่านายเก่งยิ่งกว่าเอย์จิซะอีก”
             “หนวกหูจริง ถอยไป” เอย์จิสำทับ ใช้ท่อนแขนกวาดตัวพี่ชายฝาแฝดที่ขวางทางอยู่ให้ถอยออกไป สีหน้าของชายหนุ่มมีทั้งความภูมิใจระคนความวิตกกังวล เมื่อถึงตัวชินจิ ชายหนุ่มก็รีบสำรวจตรวจตราตามหน้าตามแขนของรุ่นน้อง นิ่วหน้านิดหนึ่ง เมื่อเห็นรอยช้ำที่แขน
              “เจ็บรึเปล่า” เอย์จิถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย รุ่นน้องของเขาส่ายหน้า
              “ไม่เจ็บครับ ผมไหว”
              ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่คัดค้าน แต่สีหน้ายังเคร่งเครียดและคอยแต่จะเหลือบตามามองทางรุ่นน้องของเขาเป็นระยะ จนกระทั่งโอคินะต้องกระแอมเตือนแล้วเตือนอีก ชายหนุ่มจึงยอมตัดใจ กลับไปมีสมาธิจดจ่อต่อการฝึกของตัวเองได้
               จบการฝึกช่วงเช้า โอคินะซังบอกว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปให้เขามาซ้อมร่วมกับทุกคนที่โรงฝึกได้ ทำให้ชินจิดีใจมากและสัญญากับตัวเองว่า เขาจะพยายามให้เต็มที่ที่สุดให้สมกับที่ได้โอกาส
               “หน้าบานเชียวนะ” เออิจิโร่ยังตามมากระเซ้าไม่เลิก แต่ชินจิก็หน้าบานจริง ๆ เพราะวันนี้ได้รับคำชมจากทั้งครูและบรรดาศิษย์รุ่นพี่เป็นกระบุง จะไม่ให้เขาปลื้มเปรมจนยิ้มไม่ยอมหุบได้อย่างไร นี่เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าตัวเองก็มีพรสวรรค์ทางกีฬากับเขาด้วย
               “มีความสุขกันเสร็จแล้วก็อย่าลืมไปทำงานที่เรียวกังล่ะ อู้งานกินแรงคนอื่นน่ะมันไม่ดีรู้ไหม”
               รุกะคนเดียวที่ไม่ปลื้มไปด้วย และหล่อนจงใจพูดกระทบกระแทกแดกดันเขา แต่ชินจิอารมณ์ดีเกินกว่าจะถือสาหาความ อีกทั้งพี่น้องฝาแฝดก็ออกหน้าโต้แทนทันควัน
               “วันนี้ชินจิได้พัก แล้วถ้าเธอห่วงว่าจะไม่มีคนทำงานละก็ ฉันทำส่วนของชินจิเอง” เอย์จิพูดเสียงขุ่น
               “ฉันช่วยด้วยอีกคนก็ยังได้ น่ารุกะ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ฉันรู้ว่าเธอกำลังอิจฉา แต่อารมณ์เสียบ่อย ๆ น่ะทำให้หน้าแก่เร็วนะ” เออิจิโร่พูดด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าน้องชาย แต่คำที่พูดออกมาแต่ละคำนี่สิ ยิ่งกว่าลูกธนูแหลม ๆ เสียบเข้ากลางใจหล่อนพอดิบพอดี รุกะตาเขียวปัด และตามเคย เออิจิโร่ยิ้มตาหยี
               “ไปกับฉันดีกว่า เดี๋ยวฉันทำให้เธออารมณ์ดีเอง” ชายหนุ่มลากตัวคู่หมั้นสาวของเขาจากไป ก่อนไปก็หันมาขยิบตาให้น้องชายฝาแฝดกับชินจิ บอกแกมสั่งว่า
               “เย็นนี้เตรียมตัวไว้นะ จะพาไปกินโอเด้งแสนอร่อยเป็นรางวัลที่ยิงธนูได้ดี”

               รุกะถูกลากตัวมาที่มุมสวน บริเวณเดียวกับที่เอย์จิชอบมายิงธนูคนเดียว เป้าฟางมาคิวาระหลายอันผูกติดอยู่ที่ต้นไม้ในระดับที่ต่างกัน แต่ละอันสภาพเก่าเยิน เพราะคนใช้ใช้มันจนนับครั้งไม่ถ้วน
               หญิงสาวสะบัดตัวหลุดจากมือของคู่หมั้น หน้าสวย ๆ ของหล่อนงอง้ำ
               “เอะอะก็ลากฉันอยู่ได้ คิดว่าฉันเป็นอะไร รถลากยะไตรึไง” หล่อนโวยเสียงดัง
               “เอ้า ถ้าไม่ลากจะยอมมาด้วยไหมล่ะ เธอเป็นได้ทู่ซี้อยู่ขัดคอสองคนนั้นน่ะสิ” เออิจิโร่โต้ “ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบชินจิคุง แต่อย่าแสดงออกนอกหน้าขนาดนั้น มันดูเป็นผู้หญิงสิ้นหวังมาก”
               ถ้าคนพูดลากเสียงยาวกว่านี้อีกนิด รุกะอาจจะกำหมัดซัดหน้าเขาให้สักหมัดไปแล้วค่าที่ช่างกวนโมโหหล่อนนัก แต่ถึงอย่างนั้น แค่นี้หญิงสาวก็โกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลืองแล้ว กระชากเสียงถามว่า
               “แล้วยังไง ไหนว่าจะทำให้ฉันอารมณ์ดี นี่ฉันรู้สึกอารมณ์โคตรดีเลย” หล่อนกระแทกเสียงคำสุดท้ายด้วยความหงุดหงิด ประชดประชัน
               เออิจิโร่เลยยิ้มกว้าง ขยับตัวเต้นฟุตเวิร์คด้วยความกระฉับกระเฉง
               “โอเค งั้นเริ่มเลย การออกกำลังจะช่วยทำให้อารมณ์ปลอดโปร่ง ฉันเลยคิดว่า เธอน่าจะยังต้องการการออกแรงเพิ่มอีก เฮ้ย!”
               คำสุดท้าย ชายหนุ่มอุทานเสียงหลง เพราะถูกกองทัพผีเสื้อสีน้ำเงินบินเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว รุกะแสยะยิ้มเหี้ยม
               “ความคิดเธอดีมาก ฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วล่ะ”
               แล้วหล่อนก็ร่ายเวทเพิ่มพลังให้ชิกิงามิรูปผีเสื้อให้ตัวมันขยายขนาดขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นและเขี้ยวคมยิ่งขึ้นอีก เออิจิโร่ร้องพลางปัดป้องเป็นพัลวัน หุ่นพยนต์พวกนี้นิสัยเหมือนนายมันไม่มีผิด จ้องแต่จะเล่นงานใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาอย่างเดียวเลย ชายหนุ่มเข่นเขี้ยว ดึงกระดาษสีขาวออกมาเสกชิกิงามิขึ้นต้าน
   
               วิหคหงส์เพลิงชาด
                    ปีกขยับพยับเมฆครืนครั่น
                    นภาพลันสั่นสะเทือน


                    กระดาษสีขาวในมือเขากลายเป็นนกตัวใหญ่สีแดงจัดเข้าต่อตีกับฝูงผีเสื้อ ปีกยาวของมันกระพือลมแรงจัดพัดให้ชิกิงามิของอีกฝ่ายแตกกระจาย
                    อ่อนมาก!
                    เออิจิโร่ทำหน้ายโสหวังจะเยาะคู่หมั้นสาวให้สาแก่ใจ แต่กลับเป็นฝ่ายตาเหลือกเสียเองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกระดาษสีน้ำเงินอีกตั้งใหญ่เหมือนภูเขาในมือของรุกะ!

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               ตอนเย็นวันนั้น ตามเวลาที่เออิจิโร่นัดไว้ เอย์จิก็เดินมาเรียกรุ่นน้องของเขาที่ห้อง ชายหนุ่มใส่ยูกาตะที่สวยกว่าที่ใส่อยู่ทุกวัน ผ้าเป็นไหมเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ลายทางแนวตั้งสีขาวที่ตัวเสื้อ ส่วนที่แขนเสื้อทั้งสองข้างเป็นลายทางแนวนอนสีขาวเหมือนกัน คาดโอบิสีเบจ
               ชินจิเปิดประตูรับ แต่พอเห็นหน้ามุ่ย ๆ ของรุ่นพี่ เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
               “เอย์จิซังเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
               รุ่นพี่ของเขาไม่ตอบ แต่ส่งชุดยูกาตะที่พับอย่างดีให้ ชินจิมองงง ๆ ถามว่า
               “เรากำลังจะไปกินโอเด้งกันไม่ใช่หรือครับ”
               ยูกาตะในมือของเขาเป็นผ้าไหมเนื้อดี ไม่ใช่ยูกาตะธรรมดาเหมือนที่เขาใส่อยู่ในตอนนี้ ลายดอกดาวกระจายเล็ก ๆ สีม่วงกับสีขาวเกาะกันเป็นวงกลมใหญ่ คู่กับลายดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอ่อน ๆ กระจายอยู่บนเส้นหยักเหมือนสายน้ำสีฟ้าใสที่โค้งเป็นวงกลมใหญ่เช่นเดียวกัน พื้นชุดยูกาตะเป็นสีเขียวไพลอ่อน ๆ มีโอบิสีม่วงเม็ดมะปรางม้วนวางอยู่ด้านบน ทั้งสีและลวดลายไม่ผิดกับชุดของผู้หญิง จนชายหนุ่มต้องถามด้วยความไม่แน่ใจ
               “ใช่ นายต้องแต่งชุดนี้” เอย์จิตอบเสียงเรียบ หน้าตึง
               “แต่มันไม่ดูเหมือนผู้หญิงเกินไปหรือครับ” ชินจิทำหน้าแหย ถ้าเขาใส่ชุดนี้ แล้วมีเชือกโอบิจิเมะผูกคาดโอบิอีกสักหน่อย รับรองว่าไม่ต่างจากชุดที่รุกะใส่อยู่เป็นประจำแน่ ๆ
               “คำสั่งของเออิจิโร่” เอย์จิกัดกรามกรอด เห็นชัดว่าเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการจะให้ชินจิใส่ชุดแบบนี้หรอก หน้าของเขาบูดบึ้งยิ่งขึ้น
               “ไอ้เจ้าบ้านั่น นึกว่าเป็นว่าที่เจ้าบ้านแล้วใหญ่นักรึไงวะ เที่ยวได้มาสั่งโน่นสั่งนี่ ฉันละอยากจะเอาคันธนูฟาดหัวมันสักโป๊กจริง ๆ”
               “ผมไม่ต้องใส่ได้ไหม ชุดของผมก็ดีอยู่แล้ว”
               “ฉันก็ไม่อยากให้นายใส่หรอก แต่ไอ้พี่บ้านั่นน่ะสิ มันเอาท่านพ่อมาอ้าง บอกว่ายังไงนายก็ต้องใส่”
               ชินจิยิ่งฟังยิ่งงง แต่เขาก็จำต้องใส่ชุดนี้อยู่ดี แถมโอบิที่เอย์จิผูกให้ยังผูกแบบเป็นโบเสียอีก พอเห็นตัวเองในกระจก ชินจิก็ชักไม่แน่ใจ ยิ้มแห้ง ๆ
                “ผมว่ามันตลกนะครับ เหมือนผู้หญิงเลย ผมว่าผมเปลี่ยนชุดดีกว่า”
                “ไม่ตลกหรอก” เอย์จิค้าน มองชายหนุ่มรุ่นน้องด้วยความพึงใจ ชินจิอาจจะไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไรมากมาย รูปร่างสันทัด แต่ไม่ล่ำหนา กิริยาท่าทางละมุนละม่อม ทำให้ใส่ยูกาตะได้สวย แต่สีชุดมันก็หวานไปจริง ๆ นั่นแหละ
                เขาดึงตัวรุ่นน้องเข้ามากอด
                “นายน่ารักมาก”
                ชินจิกอดตอบ หน้าแดงด้วยความเขินเพราะคำชมที่ไม่คาดคิดนั่น ซึ่งก็โชคดีที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น ตอนนี้เขาชักรู้สึกแล้วว่า ชุดยูกาตะชุดนี้มันก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ
                “ฮะแฮ่ม จะกอดกันอีกนานไหม ได้เวลาแล้วนะคร้าบ”
                เอย์จิกับชินจิผละออกจากกัน ชินจิไม่กล้ามองหน้าคนที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามากระแอมขัดจังหวะ ขณะที่เอย์จิจ้องพี่ชายฝาแฝดตาเขียว
                “จะเข้าห้องคนอื่นก็หัดให้เสียงสักหน่อยได้ไหม ไม่มีมารยาทเลย”
                เออิจิโร่ก็ใส่ชุดยูกาตะที่คัดเป็นพิเศษ ผ้าสีน้ำเงินเข้มเป็นมันเลื่อมวาว มีลายนูนอยู่ในเนื้อผ้าเป็นลายเหมือนสายน้ำและก้อนเมฆ คาดโอบิสีน้ำเงินอมม่วงเข้มลายลอนคลื่นสีแดงเข้ม
                ชายหนุ่มไม่สนใจน้องชายตัวเอง เขาหันไปยิ้มกว้างให้ชินจิแทน ชมเปาะว่า
                “ชินจิคุงน่ารักที่สุดเลย”
                คำชมของเออิจิโร่ไม่ทำให้ดีใจมากเท่ากับคำชมจากเอย์จิ แต่เขาก็ยิ้มรับด้วยความยินดี ท่าทางของชายหนุ่มยังประหม่าขัดเขินอยู่ไม่น้อย
                “ผมต้องใส่ชุดนี้จริง ๆ หรือครับ เออิจิโร่ซัง”
                “ชุดนี้แหละ เจ้าของร้านเขาต้องชอบแน่ ๆ”
                เอย์จิไม่ต้องการให้มีการซักถามต่อความยาวสาวความยืดกันอีกจึงตัดบทด้วยการเอาเสื้อคลุมฮาโอริสีดำมาคลุมให้ชินจิ เล่นเอาพี่ชายร้องห้ามเสียงหลง
                “อย่านะเอย์จิ รีบเอาผ้าคลุมออกเลย ใส่ยังงี้มันบดบังความน่ารักของชินจิคุงหมด”
                “อย่ามากเรื่องได้ไหม แค่นี้ฉันก็ยอมให้มากพอแล้วนะ ถ้านายยังไม่พอใจอีก ฉันจะไม่ให้ชินจิไป”
                เจอคำขู่เข้าไปแบบนี้ พี่ชายก็ต้องยอมถอย แต่มิวายบ่นงึมงำชนิดตั้งใจให้ได้ยินกันทุกคน
                “หวงเว้ย หวงมาก”
                เอย์จิกลอกตา แล้วรีบโอบไหล่พาชินจิที่หน้าแดงซ่านเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
                ที่หน้าประตูบ้าน รุกะกำลังยืนรออยู่และคงจะรออยู่นานแล้วด้วย เพราะใบหน้าที่ตกแต่งอย่างสวยงามของหล่อนเริ่มงอ คอก็เชิดขึ้น บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด
                หญิงสาวใส่ชุดกิโมโนสีคราม ลายดอกลิลลี่สีขาว คาดโอบิสีเหลืองอ่อนทับด้วยเชือกโอบิจิเมะสีแดงเข้ม ผมหล่อนเกล้ารวบขึ้นสูง แต่ปักปิ่นรูปดอกไม้ให้เข้ากับชุดและใช้เนตสึเกะห้อยผีเสื้อตัวเล็กติดเพชรเม็ดกลม ๆ ที่ปีกทั้งสองข้างเสียบไว้ที่โอบิแทน เวลาเดิน ผีเสื้อตัวเล็กก็จะแกว่งไปมา
                “พวกเธอมาช้า” หญิงสาวต่อว่าเมื่อเห็นคู่หมั้นกับคนอื่น ๆ ชักแถวกันมา หล่อนมองชินจิที่เดินตัวติดกับเอย์จิแวบหนึ่งแล้วเมินไป พูดลอย ๆ ว่า
                “ไปกันได้แล้ว”
                พูดจบ หญิงสาวก็ออกเดินนำหน้า ในมือของหล่อนถือโคมไฟส่องนำทาง ทุกคนจึงเดินตามไป เออิจิโร่เดินปิดท้ายขบวน ในมือของเขาถือโคมไฟดวงหนึ่งเช่นกัน
                “ร้านโอเด้งอยู่ที่ไหนเหรอครับ ผมจำได้ว่าในหมู่บ้านเราไม่มีร้านโอเด้งนี่นา” ชินจิกระซิบถามรุ่นพี่
                “อยู่นอกหมู่บ้าน แต่ไม่ไกลหรอก ตรงตีนสะพานฝั่งตรงข้าม” เอย์จิตอบสั้น ๆ
                ชินจิไม่ถามอะไรต่อ เวลากลางคืนในหมู่บ้านยังลึกลับน่ากลัวเหมือนเดิม แต่เมื่อเดินกันหลายคนแบบนี้และยังมีรุ่นพี่เดินอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป กลับมีแต่ความตื่นเต้นและความหลงใหลแบบแปลก ๆ
                ชายหนุ่มอยากจะเดินอยู่ในราตรีอันมืดมิดเช่นนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
                ทั้งหมดเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำชิมิซึไป สายหมอกขาว ๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ แม้จะมีแสงโคมถึงสองดวง แต่ก็มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจนนักในความขมุกขมัวของยามค่ำคืน
                “ถึงแล้ว” รุกะประกาศ
                ชินจิมองรอบตัว กำลังจะแย้งว่า เขามองไม่เห็นอะไรเลย แต่พริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็มองเห็นรถเข็นขายโอเด้งตรงตีนสะพาน
                รถโอเด้งดูคุ้นตา ม่านหน้าร้านเป็นสีม่วงเข้ม โคมไฟกระดาษสีแดงมีตัวอักษรเขียนว่า ‘ชิโนซากิ’
                ชายหนุ่มร้องอ๋อ ร้านของคุณเจ้าของร้านช่างตื๊อคนนั้นนั่นเอง!
                เมื่อทุกคนเดินเข้าไปใกล้ ม่านหน้าร้านก็ถูกแหวกออกพร้อมกับเจ้าของร้านโผล่หน้าออกมาทักทายเสียงดังฟังชัด
                “อิรัชชัยมะเสะ! ยินดีต้อนรับครับคุณลูกค้า”
                ชินจิเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หลังจากเห็นหน้าคุณเจ้าของถนัดชัดตา ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปข้างหน้า อุทานเสียงหลง
                “หมาจิ้งจอก!”

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฟินนะเนี่ยที่เอย์จิกับชินจิเปิดใจให้กันแล้ว ลุ้นอยู่ตั้งนาน อิอิ :mew3:

สำหรับเราน้า สำนวนการเขียนกับภาษาเรื่องนี้ดีงามมากเลย แถมดำเนินเรื่องไวไม่เยิ่นเย้อ ถือเป็นนิยายที่ดีงามเรื่องหนึ่งเลย

เท่าที่สังเกตคนไทยไม่ค่อยนิยมเรื่องแนวแฟนตาซีเท่าไร จะชอบแบบนิยายรักทั่วไปมากกว่า

เราว่าน่าเสียดาย หลายๆเรื่องเป็นชิ้นงานที่ดีมากเลย

คนเขียนอย่าเพิ่งท้อน้า สู้ๆ :3123: :3123:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ฟินนะเนี่ยที่เอย์จิกับชินจิเปิดใจให้กันแล้ว ลุ้นอยู่ตั้งนาน อิอิ :mew3:

สำหรับเราน้า สำนวนการเขียนกับภาษาเรื่องนี้ดีงามมากเลย แถมดำเนินเรื่องไวไม่เยิ่นเย้อ ถือเป็นนิยายที่ดีงามเรื่องหนึ่งเลย

เท่าที่สังเกตคนไทยไม่ค่อยนิยมเรื่องแนวแฟนตาซีเท่าไร จะชอบแบบนิยายรักทั่วไปมากกว่า

เราว่าน่าเสียดาย หลายๆเรื่องเป็นชิ้นงานที่ดีมากเลย

คนเขียนอย่าเพิ่งท้อน้า สู้ๆ :3123: :3123:

ขอบคุณสำหรับฟีดแบ็กนะคะ ดิฉันเองก็ติสต์ด้วยแหละ เขียนไปไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ แค่อยากจะเขียนแนวโน้นเเนวนี้ตามใจตัวเอง ก็ดีแหละค่ะ สนุกดี ตอนเขียนนี่สนุก และมันเรื่องต่อเนื่องก็เลยเอาลงต่อที่นี่ เหลืออีกเรื่องนึงคือเรื่องของมายะ ถ้าเขียนได้ก็คงลงที่นี่ แล้วก็จะครบสี่เรื่องตามที่ตั้งใจ หลังจากนั้นก็ค่อยคิดว่าจะยังไง จะเขียน BL ต่อไหม แต่ที่แน่ ๆ คงต้องดูเว็บอื่น เพราะดูแนวแล้วสไตล์ที่เขียนไม่ค่อยเหมาะกับที่นี่ ที่ทู้ซี้ลงตั้งสามสี่เรื่องนี่จัดว่าดิฉันหน้าด้านมากแล้ว  o22

ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่บอกว่ามันดีแล้วก็สนุก ก็จะพยายามกันต่อไปค่ะ  :pig4: 

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 19

        “ชินจิคุง สวัสดีครับ ผมดีใจจังเลยที่คุณมาอุดหนุนผมอีกครั้ง”
        คุณเจ้าของร้านที่กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกไปเสียแล้วปราดออกมาจับมือชินจิเอาไว้ทั้งสองข้าง ดวงตารียาวเฉียงขึ้นสูง จมูกยาว ยืนสองขาเหมือนมนุษย์ แต่มือและเท้าเป็นสุนัขจิ้งจอก ขนสีขาวประดุจหิมะ หางยาวฟูเป็นพวงใหญ่ ใส่ชุดกางเกงสีม่วงเข้ม คาดผ้ากันเปื้อนสีเทาอ่อนประทับตราจันทร์เสี้ยวและรวงข้าวสีทอง
        ชินจิยืนตะลึง ทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนเขาจะตกใจจนช็อกไปแล้ว
        “ทักทายเสร็จแล้วก็ปล่อยมือซะทีสิ” เอย์จิกัดกรามกรอด แล้วเมื่อจิ้งจอกขาวยังไม่มีวี่แววจะปล่อยมือชินจิของเขา  ชายหนุ่มจึงยอมเสียมารยาท ดึงตัวคนของเขากลับคืนมาเสียเลย
        “สวัสดีครับชิโนซากิซัง” เอย์จิทักทายชนิดที่เรียกได้ว่ากัดฟันทักกันเลยทีเดียว
        “อ้อ นึกว่าใคร พวกเจ้าหนูนักปัดรังควานนี่เอง มากันด้วยเหรอ” สุ้มเสียงของชิโนซากิคิตสึเนะบอกว่าเพิ่งสังเกตเห็น.. จริงจริ๊ง
        “เอ้า นั่งสิ อยากนั่งตรงไหนก็นั่ง” จิ้งจอกขาวโบกมือ แต่หันมากุลีกุจอดันหลังชินจิให้นั่งลงบนที่นั่งที่ดีที่สุด ทำเอา ‘พวกเจ้าหนูนักปัดรังควาน’ กลอกตาไปตาม ๆ กัน แล้วก็แยกย้ายกันไปนั่งที่ม้านั่งหน้าหม้อโอเด้งร้อน ๆ ควันขึ้นฉุย รุกะนั่งริมสุดติดกับเออิจิโร่ซึ่งนั่งข้างชินจิและมีเอย์จินั่งริมสุดอีกข้างประกบติดชินจิไม่ยอมห่าง
        “สำหรับชินจิคุง โอเด้งชุดใหญ่พิเศษเต้าหู้ทอดแสนอร่อย” คุณเจ้าของร้านจิ้งจอกขาวหมุนตัวนำเอาชามใหญ่ยักษ์มาวางลงตรงหน้าชายหนุ่มที่ยังมีอาการงง ๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
        “กินเลยครับ กิน รับรองว่าอร่อยที่สุดในโลก” ชิโนซากิคิตสึเนะคะยั้นคะยอ ถูไม้ถูมือ ท่าทางลุ้นจัด
        ชินจิค่อย ๆ คลายความตกใจ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ มองหน้าจิ้งจอกขาวอย่างไม่มั่นใจ
         “คุณ... เอ่อ ชิโนซากิซัง คุณเป็นสุนัขจิ้งจอกจริง ๆ หรือครับ”
         “ของจริงสิครับ หางกับหัวนี่น่ะไม่ใช่ชุดคอสเพลย์เอาไว้สวมเล่น ๆ นะ จะลองดึงดูไหมละครับ” จิ้งจอกขาวหันหลังให้เห็นพวงหางใหญ่ ๆ สีขาวบริสุทธิ์ แต่ชินจิส่ายหน้าหวือ
         “ไม่ดีกว่าครับ ผมเชื่อแล้ว”
         “คุณเจ้าของร้านคร้าบ แล้วพวกผมล่ะ นี่หิวไส้จะขาดอยู่แล้วนะคร้าบ”
         เออิจิโร่ทะลุกลางปล้องขึ้นมา ชิโนซากิคิตสึเนะจึงละความสนใจจากชินจิมายังคนอื่น ๆ ได้ในที่สุด
         “แล้วคุณลูกค้าจะรับอะไรมิทราบครับ” จิ้งจอกขาวฉีกยิ้มถาม
         “ผมเอาชุดพิเศษเต้าหู้ทอดเหมือนกันครับ” เออิจิโร่สั่ง รุกะกับเอย์จิก็เลยพลอยสั่งแบบเดียวกันตามไปด้วย แต่พออาหารมาเสิร์ฟ เออิจิโร่เห็นปริมาณอาหารในชามก็โวย
         “สั่งเหมือนกันแท้ ๆ แต่ทำไมชินจิคุงได้เต้าหู้ทอดมากกว่าแบบครึ่งต่อครึ่งเลยล่ะ”
         “คุณลูกค้าจะสั่งเพิ่มอีกก็ได้นะครับ แค่เพิ่มเงินอีกห้าร้อยเยนเท่านั้น” เจ้าของร้านพูดหน้าตาเฉย
         “โห ห้าร้อยเยน ขูดเลือดขูดเนื้อกันชัด ๆ” ลูกค้าบ่นพึม
         รุกะชักรู้สึกว่าการมาหาข่าวครั้งนี้ทำท่าจะเสียเที่ยวเพราะความปากเสียของคู่หมั้นตัวเอง หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาด้วยการชวนคุยว่า
         “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ ชิโนซากิซัง ลูกค้าเยอะไหม”
         “ก็น่าจะดีกว่านี้แหละครับถ้าหมู่บ้านแถวนี้ไม่ออกกฎห้ามออกนอกหมู่บ้านในยามวิกาล เลยมีแต่ลูกค้าขาจรมาบ้างนาน ๆ ครั้ง”
         “แต่คุณก็น่าจะรู้นะคะว่าทำไมถึงต้องมีกฎแบบนี้ออกมา” รุกะถามเข้าประเด็นทันที
         “แหม ไอ้ผมมันก็แค่พ่อค้าขายโอเด้งธรรมด๊าธรรมดา จะไปรู้อะไรได้ยังไงครับ”
         “ผมขอเต้าหู้ทอด ชิกุวะ หมึกยักษ์ แล้วก็ไชเท้าเพิ่มด้วยครับ” เอย์จิแทรกขึ้น
         เจ้าของร้านธรรมด๊าธรรมดากุลีกุจอตักอาหารเพิ่มให้ตามที่สั่ง แล้วปากก็เริ่มขยับ
         “แต่ลูกค้าของผมเขากระซิบกันนะครับว่าช่วงนี้อสูรในภูเขาชักระส่ำระส่ายหนักเพราะเริ่มมีข่าวลือหนาหูว่ามังกรแดงกำลังจะกลับมาโค่นล้มมังกรขาว ลูกแก้วคันจุถึงโดนขโมยไป”
         “ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ” รุกะถามต่อ
         “เอ อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ” จิ้งจอกขาวฉีกยิ้มแฉ่ง
         “ไข่ม้วนอร่อยจัง ผมขออีกเยอะ ๆ เลยนะ” เออิจิโร่พูดขึ้นบ้าง
         “เอาแต่ไข่ม้วนหรือครับคุณลูกค้า ไม่รับกะหล่ำปลีม้วนกับสาหร่ายคอมบุด้วยล่ะครับ ผมทำสุดฝีมือเลยเชียวนา”
         “พูดมาขนาดนี้แล้ว เอามันฝรั่งมาด้วยเลยแล้วกัน”
         “ตกลงว่าต้นตอข่าวลือมาจากไหนหรือคะ”
         “โอ๊ย พูดกันหลายปาก ข่าวมันก็ผิดมั่งเพี้ยนมั่ง แต่ที่แน่ ๆ อสูรเริ่มแยกกันเป็นกลุ่มเป็นก๊ก ฝ่ายมังกรขาว ฝ่ายมังกรแดง แต่บางพวกก็เก็บซ่อนตัวในเงามืด รอให้ถึงโอกาสของตัวเองอย่างเงียบ ๆ โอ๊ะ ไม่สิ บางทีก็ไม่เงียบนักหรอก”
         “พวกที่ทำร้ายมนุษย์” รุกะพึมพำกับตัวเอง ก่อนถามว่า “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าเป็นพวกไหน”
         จิ้งจอกขาวหลับตาปี๋ ทำท่าคิดหนัก แต่แอบหรี่ตามองลูกค้ามนุษย์ของเขา
              เอย์จิถอนใจเฮือกหนึ่ง
              “เนื้อวัว ไส้กรอก ไก่ทอด”
              “มังกรขาวโกรธจนควันออกหู พวกคุณคงสังเกตใช่ไหมครับ เสียงโคโตะนั่น” เจ้าของร้านโอเด้งเอามือป้องปาก กระซิบกระซาบ “แต่จับได้แค่พวกภูตพรายชั้นต่ำ ไม่มีวี่แววว่าจะสาวไปถึงตัวผู้บงการในเงาได้ จะมีก็แต่ความสงสัยว่าทำไมพวกอสูรเกิดใหม่มันถึงได้โอหังนัก”
              “คุณกำลังจะบอกว่าเป็นฝีมือของอสูรเกิดใหม่งั้นหรือคะ” รุกะกระชั้นถาม
              “อ๊ะ เกือบลืมเลยครับคุณลูกค้า ผมเพิ่งได้สาเกชั้นเยี่ยมฝีมือหมักของท่านมาซาคาโดะ อสูรผู้ทำให้หลงทางในป่ามาเมื่อวานนี้เอง นี่จากถังหมักถังเดียวกับที่ส่งให้มังกรขาวเลยนะครับ”
              “เอามาสามขวดเลยค่ะ”
              “รับเป็นสาเกร้อน ๆ สามขวด ขวดละสองหมื่นเยน ได้เลยครับผม”
              คนสั่งร้องกรี๊ด
              “สองหมื่น นี่มันสาเกหรือทองคำกันแน่คะ!?”
              “โธ่ คุณลูกค้า ก็นี่ฝีมือท่านมาซาคาโดะเลยนะครับ กว่าจะหลอกล่อขอแบ่งมาได้ก็ลำบากแทบแย่ ราคามันก็ย่อมสูง...นิดหน่อย” จิ้งจอกขาวกระหยิ่มยิ้มย่อง
              รุกะเหยียบเท้าเออิจิโร่ซึ่งก็ใช้ศอกกระทุ้งชินจิอีกทอดหนึ่ง แต่ชินจิกลับทำหน้าเหรอหรา จนเอย์จิต้องกระซิบบอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักว่า
               “นายถามแทนทีสิ”
               “ชิโนซากิซังครับ อสูรเกิดใหม่อะไรนี่ต้องการทำร้ายมนุษย์จริง ๆ หรือครับ”
               “ใช่แล้วครับ ชินจิคุง พวกนี้ถือตนว่ามีพลัง ไม่อยากอยู่ใต้อาณัติของใคร ไม่ต้องการเชื่อฟังคำสั่งของมังกรขาว ก็เลยคอยหาโอกาสสำแดงพลังอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งก็คงเป็นเพราะต้องการจะท้าทายมังกรขาวโดยตรงนั่นเองแหละครับ”
               ได้ยินคำตอบแบบไม่โยกโย้อย่างนี้แล้ว ฝ่ายมนุษย์ก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ หนอย เจ้าจิ้งจอกขาวจอมเจ้าเล่ห์ พอเป็นคนโปรดของตัวเองถามเข้าหน่อยล่ะก็ ตอบแบบไม่มีกั๊กเลยนะ!
                “พวกอสูรเกิดใหม่พวกนี้เป็นใครกันหรือครับ” ชินจิถามต่อ
                “ก็อสูรที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ อายุน้อย ๆ ไม่เกินสี่ห้าร้อยปี และจากสายข่าวของผม เจ้าตัวสำคัญที่มีอิทธิพลมากที่สุดตอนนี้ก็คือ อาคางิ ข่าวว่าหมอนี่ทะเยอทะยานและกำลังสะสมกำลังอสูรอยู่อย่างเงียบ ๆ เพื่อต้องการโค่นล้มมังกรขาว”
                “อาคางิ” ชินจิทวนคำ ขณะที่เอย์จิโพล่งถามทันควัน
                “พวกอาคางิใช่ไหมครับที่เป็นคนทำร้ายชินจิ”
                “โอ๊ะ คุณลูกค้า สาเกหมดแล้วนี่ครับ” จิ้งจอกขาวเจ้าของร้านหยิบขวดทกคุริสีขาวขุ่นขึ้นมาเล็งแล แล้วแกล้งเทให้เห็นว่าไม่มีเหล้าเหลืออยู่ในขวดแล้ว
                “ชิโนซากิซังครับ เป็นพวกอาคางิจริง ๆ หรือครับที่ทำร้ายผม” ชินจิต้องช่วยถามซ้ำ
                “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจครับ” จิ้งจอกขาววางขวดเปล่าลงที่เดิม ครั้งนี้น้ำเสียงและสีหน้าของเขาไม่มีความช่างเล่นเจ้าเล่ห์เหลืออยู่อีกต่อไป
                “แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ชินจิคุงกำลังตกอยู่ในอันตราย เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความจงใจของใครบางคนที่ต้องการทำร้ายคุณ เหตุผลผมไม่รู้ แต่คุณต้องระวังตัวเองให้ดีนะครับ”
                ชินจิฟังแล้วหน้าซีดลงด้วยความกลัว ภาพน่าสยองขวัญในป่ายังติดตาเขาอยู่ ตัวของชายหนุ่มขยับเข้าหารุ่นพี่ของเขาโดยอัตโนมัติและรุ่นพี่ก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่เขาไว้
                ดวงตาเฉียงแบบสุนัขจิ้งจอกจ้องเขม็ง เส้นเลือดที่ขมับชักเริ่มปูดโปน แต่ปากยังยิ้มแฉ่ง
                “ตกลงรับสาเกเพิ่มอีกขวดนะครับคุณลูกค้า” พูดจบก็หันไปหยิบขวดทกคุริที่อุ่นร้อนเอาไว้มาให้แทนที่ขวดเก่า แถมยังรินเหล้าใส่ในจอกเหล้าโจโกะให้อีกเป็นการรวบรัดซ้ำสอง
                รุกะกลอกตาอย่างเอือม ๆ ขณะที่คู่หมั้นของหล่อนแอบแง้มถุงเงินดูจำนวนเงินที่ติดตัวมา
                “แต่ผมเป็นแค่คนธรรมดา ทำไมปีศาจพวกนั้นถึงจ้องจะทำร้ายผมละครับ” ชินจิยังกังขา
                “ผมไม่สามารถตอบได้ครับ ได้แต่เพียงคาดเดาเท่านั้น แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตของมนุษย์หรืออสูรก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อชินจิคุงได้ครับ คุณสามารถเข้ามาในอาณาเขตของผมได้ สามารถมองเห็นรถเข็นขายโอเด้งคันนี้ และที่ทะเลสาบ สายหมอกของท่านมาซาคาโดะยังไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้เลย”
                “ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกหรือครับ”
                “ไม่มีเรื่องบังเอิญในโลกใบนี้ครับ จะว่าไปก็มีมังงะของมนุษย์เรื่องหนึ่งกล่าวไว้แบบนี้ด้วย ‘ไม่มีความบังเอิญในโลกนี้ จะมีก็แต่พรหมลิขิต’ ไม่ใช่หรือครับ การที่เราได้พบกันก็เป็นพรหมลิขิต ชินจิคุง”
                ชิโนซากิคิตสึเนะยิ้ม เป็นยิ้มที่ทั้งหวานและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
                ขนที่แขนของชินจิลุกชัน ขนาดว่าใส่ยูกาตะผ้าเนื้อหนาและมีเสื้อคลุมผ้าขนสัตว์คลุมทับอีกชั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวเยือก จนต้องขยับตัวชิดเอย์จิอีกนิด เอย์จิกระแอมเสียงดังทันที โอบกระชับรุ่นน้องของเขาแน่นขึ้นอีกด้วยความหวงแหน ขณะที่คุณจิ้งจอกเจ้าของร้านหรี่ตามอง
                เออิจิโร่ได้จังหวะ พูดแทรกขึ้น
                “อิ่มแล้วคร้าบ โอเด้งของคุณจิ้งจอกอร่อยสุด ๆ ไปเลย”
                รุกะก็พนมมือขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะลง กล่าวว่า
                “โกจิโซซามะเดชิตะ ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ”
                คุณจิ้งจอกเจ้าของร้านหันมาทำหน้าเสียดาย พูดอ่อย ๆ ว่า
                “อิ่มกันแล้วเหรอครับ ผมกำลังจะเสนอโมจิแสนอร่อยให้ลองชิมอยู่ทีเดียว”
                “เอาไว้ครั้งหน้าก็แล้วกันครับ พวกผมจะมาอุดหนุนใหม่” เออิจิโร่เป็นฝ่ายฉีกยิ้มบ้าง รอยยิ้มที่ฉีกกว้างเหมือนกับกระเป๋าเงินของเขาที่ฉีกเป็นริ้ว ๆ นั่นแหละ
                ชิโนซากิคิตสึเนะเดินออกมาส่งลูกค้าของเขาที่หน้าร้าน แต่มีทีท่าอาลัยอาวรณ์ชินจิเป็นพิเศษ
                “แล้วมาอุดหนุนใหม่นะครับชินจิคุง ผมจะลดราคาให้เป็นพิเศษยิ่งกว่าครั้งนี้เลย”
                “นี่ลดราคาแล้วเหรอเนี่ย” เออิจิโร่บ่นงึมงำ ใช้ศอกกระทุ้งรุกะที่เดินอยู่ข้าง ๆ กระซิบว่า
                “ให้ฉันยืมตังค์ด้วยนะ เดือนนี้ติดตัวแดงแหง ๆ”
                รุกะไม่พูดอะไร แต่เอาถุงผ้าลายดอกไม้ที่ถือติดมือมาเปิดเทให้เห็นกันจะ ๆ ว่า หล่อนหมดตัวเหมือนกัน!
                สำหรับชินจิ เมื่อเจ้าของร้านพูดแบบนั้น เขาก็โค้งขอบคุณและพูดตามมารยาทว่า
                “ขอบคุณสำหรับอาหารครับ ผมจะมาอุดหนุนใหม่แน่ ๆ ครับ”
                เสียงกระแอมกระไอของรุ่นพี่ที่ยืนเบียดอยู่ใกล้ตัวดังขึ้นทันที ในขณะที่คุณจิ้งจอกเจ้าของร้านดีใจจนหางเป็นพวงส่ายไปมาไม่หยุด
                เอย์จิชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตงิด ๆ แล้วในเมื่อกระแอมจนคอจะแตกแต่ไม่มีใครสนใจ เอย์จิจึงจับแขนคนของเขาลากมาเสียเลย
                “ไปกันได้แล้ว”
                ชินจิเดินตามแต่โดยดี แต่ก็ยังเหลียวหลังกลับไปมอง เห็นคุณเจ้าของร้านโค้งให้อีกครั้งและในหูของเขาก็ได้ยินเสียงเยียบเย็นของจิ้งจอกขาวดังก้องไปมา
                “ขอบคุณที่มาอุดหนุนและขอบคุณที่เคยช่วยผมไว้ ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ชินจิคุง”
                เอย์จิได้ยินเสียงนั้นด้วย จึงถามด้วยความสงสัยว่า
                “นายไปช่วยจิ้งจอกขาวไว้ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้”
                ชินจิก็แปลกใจเหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกออก ต้องเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่สีขาวตัวนั้นแน่ ๆ ตัวที่เขาเจอในป่าระหว่างทางไปทะเลสาบบิวะ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่เตือนให้หนีไปเท่านั้นเอง
                ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ไม่เห็นอะไรเลย ร่างของคุณจิ้งจอกเจ้าของร้านและรถเข็นขายโอเด้งหายไปเหมือนกับไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
                “ว่ายังไงล่ะ เคยไปช่วยเขาไว้ตั้งแต่ครั้งไหน”
                “วันที่คุณพาผมไปทะเลสาบบิวะครับ ผมเจอหมาจิ้งจอกตัวใหญ่สีขาวในป่า จำได้ไหมครับ ก่อนหน้านั้น เราคุยกันเรื่องล่าสัตว์ คุณก็เอาธนูติดตัวไปด้วย แล้วหมาจิ้งจอกก็โผล่ออกมา ผมกลัวว่าคุณอาจจะยิงมันเข้าก็ได้ ผมเลยไล่มันไป ไม่นึกว่าหมาจิ้งจอกตัวนั้นจะเป็นชิโนซากิซัง แล้วก็ยิ่งไม่นึกใหญ่เลยว่าหมาจิ้งจอกจะเปิดร้านขายโอเด้งกับเขาด้วย”
                “แค่นั้นเองใช่ไหม”
                ชินจิอดยิ้มไม่ได้กับน้ำเสียงเข้ม ๆ แกมคาดคั้นนั่น เขาสอดมือเข้าไปในมือใหญ่ของรุ่นพี่ กระชับแน่น
                “แค่นั้นครับ”
                เอย์จิไม่พูดอะไรอีก เดินจูงมือชินจิตามพี่ชายของเขาและคู่หมั้นของพี่ไปเงียบ ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               กลับมาถึงบ้าน บิดาของฝาแฝดรออยู่แล้วในห้องดอกบ๊วยกับโอคินะ ข้อมูลที่ได้จากจิ้งจอกขาวชิโนซากิทำให้ฝ่ายมนุษย์ต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง
               เอย์จิยังคงไม่ชอบห้องนี้ แต่เพราะครั้งนี้มีชินจิที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาร่วมด้วยนั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้จิตใจของเขาพอจะสงบลงได้บ้างและสามารถนิ่งฟังคนอื่น ๆ พูดคุยกันได้โดยไม่แสดงอาการกระสับกระส่ายมากนัก
               “ฝีมืออาคางิอย่างนั้นรึ” บิดาของฝาแฝดทวนคำ ท่าทางไม่บ่งบอกว่าแปลกใจหรือประหลาดใจ
               ในตอนที่ลูกแก้วคันจุถูกขโมยออกไปจากศาลเจ้าและมีหลักฐานว่าการาสุเท็นงูตนหนึ่งสมรู้ร่วมคิด เหตุผลนี้ก็ได้ถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันไปแล้ว ลูกแก้ววิเศษมีพลังมาก หากอสูรสักตนหนึ่งคิดจะใช้พลังของลูกแก้วในการโค่นอำนาจของเจ้าแห่งขุนเขาคนเก่าก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย
               แต่ข้อมูลที่ว่าอาจมีผู้คิดจะปลุกชีพมังกรแดงนี่สิที่น่าแปลกใจมากกว่า
               ถ้าฮิเดะซึงุหลุดพ้นจากการถูกสะกด ความวุ่นวายเกิดขึ้นแน่ พลังของมังกรแดงมากล้น ถึงมีลูกแก้วลูกใดลูกหนึ่งในมือก็ไม่แน่ว่าจะสามารถควบคุมมังกรแดงได้ดั่งใจ
               “อสูรตนนี้เก่งกาจ ฉลาดเฉลียว เหี้ยมโหดและทะเยอทะยาน อาจคิดทำได้จริง ๆ”
               “อาคางิเป็นปีศาจตะขาบ” เอย์จิกระซิบอธิบายให้ชินจิฟัง เพื่อให้รุ่นน้องตามทันเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่
               “อายุเกือบห้าร้อยปี มีพลังมากกว่าอสูรเกิดใหม่ตนอื่น ๆ ร่างกายแข็งแกร่ง ชอบล่อลวงคนให้เข้าไปในเขตแดน พอโดนตัวมันก็จะกลายเป็นหิน”
               “พูดถึงอาคางิก็ต้องพูดถึงมือขวาของมัน อสูรนกคบไฟ ไทมะซึมะรุ ภายนอกเยือกเย็น แต่ภายในร้อนรุ่มประดุจเปลวไฟ นิสัยโหดเหี้ยมพอกัน” โอคินะว่า
               “ถ้าเป็นอสูรสองตนนี้ หนูก็คิดเหมือนกันค่ะว่าน่าจะเป็นไปได้” รุกะแสดงความคิดเห็น “ถึงชิโนซากิซังจะบอกว่าไม่แน่ใจ แต่ถ้าไม่มีมูล จิ้งจอกขาวก็คงไม่พูดออกมา”
                “รับมือยากทั้งคู่” เออิจิโร่บ่น “ทำไมน้า ไอ้เจ้าพวกนั้นถึงได้อุตรินึกอยากจะปลุกชีพมังกรแดงขึ้นมา ถ้าต้องการคว่ำมังกรขาวก็ทำไปสิ แย่งอำนาจกันเองแท้ ๆ แต่ดันลากเราเข้าไปเกี่ยวซะงั้น ยุ่งยากชะมัด”
                “เธออย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบอย่างนั้นได้ไหมเออิจิโร่” คู่หมั้นของเขาหันมาจิกตาตำหนิ “ต่อให้เป็นแค่สงครามแย่งอำนาจ ไม่มีเรื่องมังกรแดง เราก็ต้องเกี่ยวอยู่ดี อาคางิโค่นมังกรขาวได้แล้ว เธอคิดว่ามันจะหยุดแค่นั้นเหรอ อสูรมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้นต้องหาทางเพิ่มอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด หลังจากมังกรขาว ก็ต้องเป็นตาพวกเราแน่ ๆ”
                “แหม ฉันก็แค่บ่นเฉย ๆ เธอเล่นด่าฉันชุดใหญ่ มันจะไม่มากไปหน่อยรึไง” เออิจิโร่โต้อย่างไม่ยอมแพ้
                มาซาฮารุรำคาญเต็มทน ตวัดสายตามามองเป็นเชิงปราม การต่อล้อต่อเถียงจึงหยุดลงได้
                “อาคางิฉลาดและเจ้าเล่ห์ บงการการาสุเท็นงูและใช้ความละโมบของมนุษย์ขโมยลูกแก้วคันจุ เท่ากับยิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว โค่นอำนาจท่านมิโคโตะและตัดพลังของฝ่ายมนุษย์ แต่คันจุกลับหายสาบสูญไป จึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลูกแก้วมันจุและพลังของมังกรแดงแทน” โอคินะแสดงความเห็นอย่างใจเย็น แล้วหันไปทางชินจิ
                “ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าทำไมชินจิคุงถึงถูกปองร้าย”
                “เอ่อ.. แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยเหรอครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาเฝ้าครุ่นคิดมาตลอด แต่คิดยังไงก็คิดไม่ตก เขาเป็นคนธรรมดา พลังอะไรก็ไม่มีกับใครเขาสักนิด แล้วอสูรจะทำร้ายเขาไปทำไม
                “เขตแดนที่กักมังกรแดงเอาไว้ยังไงล่ะ” เอย์จิอธิบาย สายตาของเขาแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
                “ฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วว่านักปัดรังควานบรรพบุรุษของเราใช้พลังทั้งหมดสร้างอาณาเขตขึ้นสะกดและพันธนาการมังกรแดงไว้ พลังของอาณาเขตนั้นแข็งแกร่ง ยากที่ใครจะทำลายได้ง่าย ๆ มนุษย์ธรรมดาเข้าไปใกล้ก็จะรู้สึกทนไม่ไหว ถ้าเป็นอสูรก็อาจจะสลายร่างไปเลย แต่นายกลับเดินเข้าเดินออกเขตแดนของใครก็ได้โดยไม่มีอันตรายสักนิด แม้แต่หมอกของอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนยังสลายตัว พวกอสูรคงสังเกตเห็นเรื่องนี้จึงหมายตานาย หวังยืมมือมนุษย์ทำลายอาณาเขตของมนุษย์เอง”
                 “ผมนี่นะจะทำลายอาณาเขตอะไรนั่นได้”
                 “ถ้าเข้าไปในอาณาเขตได้ก็ทำได้” เอย์จิตอบ “แค่ทำลายวัตถุที่ใช้เป็นแกนกลางเท่านั้น”
                 “ต้นไม้ที่สูงที่สุดนั่นน่ะเหรอครับ” ชินจิค่อยเริ่มระลึกได้
                 “ตาเห็นว่าเป็นต้นไม้ แต่ไม่ใช่ต้นไม้หรอก มันคือกระดาษ ท่านบรรพบุรุษใช้พัดกระดาษของท่านสร้างต้นไม้ไร้ใบขึ้นแสดงเขตแดน และเพราะเป็นกระดาษ ดังนั้นแค่ฉีกออก มันก็ขาดได้ง่าย ๆ แล้ว”
                 “อันนี้แหละที่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมท่านบรรพบุรุษถึงไม่ใช้แกนกลางอย่างอื่นให้มันรู้แล้วรู้รอด เอาให้มันแข็ง ๆ หน่อย ท่อเหล็กสักอันก็ได้ จะได้หักทิ้งไม่ได้ง่าย ๆ นี่เล่นใช้กระดาษ กลัวใครเขาจะทำลายอาณาเขตได้ยากเกินงั้นเหรอ” เออิจิโร่ส่ายหัว
                  รุกะมองหน้าคู่หมั้นของหล่อนเต็มตา
                  “ตอนแรกฉันนึกว่าเธอแกล้งโง่แกล้งทำเป็นเล่นไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าเธอโง่จริง ต่อให้เอาเพชรมาเป็นแกนกลาง แต่ถ้าขยับให้มันเคลื่อนจากจุดเดิม เขตแดนก็สลายแล้ว นี่แสดงว่าที่ผ่านมา เธอไม่เคยตั้งใจเรียนเลยใช่ไหม เรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้”
                  “ก็ใครจะวิชาการแน่นเป๊ะเหมือนเอย์จิสุดที่รักของเธอกันละคร้าบ” เออิจิโร่หน้ามุ่ย “ขอโทษนะ ที่ฉันตั้งคำถามเนี่ยก็เผื่อชินจิคุงเขานะ เพิ่งเคยรับรู้เรื่องพวกนี้ ต้องมีคำถามเยอะแยะแน่ ๆ ฉันก็แค่ถามแทน เพราะชินจิคุงเขาคงไม่กล้าถามอะไรมาก”
                   “ชินจิไม่ถามอะไรปัญญาอ่อนอย่างนั้นหรอก” เอย์จิปกป้องคนของเขา
                   “อ๋อเหรอ...” คนถูกรุมลากเสียง “ไอ้เราก็ลืมไป ชินจิมีนายอยู่ทั้งคนนี่หว่า ไปถามไปอธิบายกันสองต่อสองดีกว่า ถามลึก...ก...ก แค่ไหนก็ได้”
                   คราวนี้มาซาฮารุเลิกใช้สายตา แต่เอ็ดตะโรเสียงดังคับห้องด้วยความเหลืออด
                   “พวกแกทุกคนออกไปจากห้องให้หมด! เดี๋ยวนี้!”
                   นอกจากโอคินะ ทุกคนกระเจิดกระเจิงออกมาจากห้อง เพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของท่านเจ้าบ้าน เออิจิโร่ตัวการพึมพำขำ ๆ ว่า สักวันหนึ่ง ท่านพ่อของเขาต้องแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าเหมือนในการ์ตูนแน่ ๆ แต่คู่หมั้นสาวไม่ขำไปด้วย ขู่แหว
                    “ถ้าเธอยังไม่เลิกนิสัยชักใบให้เรือเสียอีกล่ะก็ ต่อไปเวลาท่านพ่อเรียกพบ ฉันจะเสกชิกิงามิเป็นสวิงรัดคอรัดปากเธอ จะได้ไม่ต้องพูดมากอีก”
                    หญิงสาวพูดด้วยความโมโห
                    “ดูซิ แทนที่จะได้ปรึกษาหารือกัน ถูกไล่ออกมาเลย”
                    “นี่เธอ เดาแผนคู่ต่อสู้ได้ขนาดนี้แล้วยังจะต้องปรึกษาอะไรอีก เป้าหมายพวกมันคือชินจิคุง เราก็ดูแลให้ดีอย่าให้คลาดสายตา แล้วถ้าพวกมันหาจังหวะในช่วงเวลาปกติไม่ได้ มันก็จะต้องลงมือในวันงานเทศกาล เพราะคนเยอะ วุ่นวาย สามารถแฝงตัวเข้ามาได้ง่ายกว่าปกติ แล้วก็ค่อยสร้างความปั่นป่วนและหาโอกาสชิงตัวชินจิคุง เราก็แค่ต้องตรวจตราให้ดีเท่านั้น”
                     “นึกหรือว่าจะทำได้ง่ายอย่างปากพูด เออิจิโร่!” รุกะร้องเรียก เดินแกมวิ่งตามหลังคู่หมั้นที่พอพูดจบก็เดินลอยชายไปอย่างไม่สนใจอะไรอีก
                     “เอ่อ.. มันจะไม่เป็นไรจริง ๆ เหมือนที่เออิจิโร่ซังพูดใช่ไหมครับ”
                     สีหน้าของชินจิไม่แน่ใจเลยสักนิด บางทีเขาก็คิดนะว่าเออิจิโร่ใจเย็นเกินไปหรือทุกคนรอบตัวใจร้อนเกินไปกันแน่
                     หรือตอนนี้เขาอาจจะกำลังตกอยู่ในภวังค์ลวงตา พอรู้สึกตัว ทุกอย่างก็มลายหายไป ไม่มีอสูรและภูตพราย ไม่มีลูกแก้ววิเศษ ไม่มีมนุษย์ที่มีพลังในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย...
                     “นั่นว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปเชียวนะ”
                     เสียงของเอย์จิทำให้เขาหลุดจากภวังค์และตระหนักว่าทุกสิ่งที่กำลังประสบอยู่เป็นความจริง
                     “พลังของเออิจิโร่เป็นของจริงและหมอนั่นไม่เคยประมาท ถึงมันจะนิสัยเสียชอบกวนประสาทชาวบ้านไม่เข้าเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องสำคัญแบบนี้ หมอนั่นต้องมีความคิดอะไรอยู่แล้วแน่ ๆ”
                     “แล้วคุณเดาความคิดเขาได้ไหม”
                     “เราเป็นฝาแฝดกันนะ” เอย์จิยิ้มน้อย ๆ
                     “งั้นเออิจิโร่ซังวางแผนอะไรไว้หรือครับ”
                     “หมอนั่นต้องเรียกกำลังเสริมมาเป็นอันดับแรก เขตแดนในหมู่บ้านไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบ ลำพังแค่คนในศาลเจ้าไม่พอที่จะดูแลได้ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องมีคนช่วย ที่หมอนั่นเดินหน้าตั้งไปอย่างนั้นก็คงไปเตรียมการเรื่องนี้แหละ”
                     “พวกอสูรจะเข้ามาในหมู่บ้านไม่ได้ใช่ไหมครับ” ชินจิถามอย่างมีความหวัง
                     “เข้ามาได้ เพราะเขตแดนของหมู่บ้านทำหน้าที่เหมือนสัญญาณกันขโมยของมนุษย์เท่านั้น ถ้ามีใครใช้กำลังบุกรุกเข้ามา พวกเราก็จะรู้ แต่ถ้าหากสิงร่างของมนุษย์ก็ข้ามแดนมาได้โดยที่อาจไม่มีใครเฉลียวใจ”
                     “งั้นมีอาณาเขตก็แทบไม่ต่างกับไม่มีเลยสิครับ ยังไงพวกมันก็บุกเข้ามาได้อยู่ดี”
                     “อย่างที่บอกไง บ้านที่ติดสัญญาณกันขโมยย่อมดีกว่าไม่ติด อย่างน้อยก็เตือนให้เรารู้ตัวเวลามีใครบุกรุกเข้ามา อีกอย่างหนึ่ง อสูรที่สามารถเข้าสิงร่างมนุษย์ได้มีอยู่ไม่มากนักหรอก ส่วนใหญ่อสูรใช้วิธีแปลงตัวให้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ยังไงพวกมันก็คืออสูรอยู่ดี ไม่สามารถกลบกลิ่นตัวเองได้มิดหรอก”
                      “งั้นถ้าสั่งให้อสูรเข้าสิงร่างมนุษย์ลอบเข้ามาในหมู่บ้านและทำลายแกนกลางของอาณาเขต ก็คือการเปิดประตูให้อสูรตนอื่น ๆ เข้ามาได้อย่างง่ายดายเลยใช่ไหมครับ”
                      เอย์จิพยักหน้า
                      “แกนกลางของอาณาเขตคือกระจกที่ถูกเก็บรักษาไว้ในฮนเด็ง กำลังสมทบที่จะเรียกมาช่วยก็จะดูแลส่วนนี้เป็นพิเศษ ยังไงพวกมันก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”
                      เห็นรุ่นน้องนิ่งไป ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหา เอามือจับไหล่ทั้งสองข้างของรุ่นน้องไว้
                      “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันสัญญา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็จะปกป้องนายให้ได้”
                      “ผมกลัวครับ แต่ไม่มากเท่ากับกลัวว่าคุณจะเป็นอันตรายเหมือนกัน เอย์จิซังครับ” ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเหมือนกับการวิงวอน “ให้ผมปกป้องคุณด้วยได้ไหม อย่าให้คุณต้องทำหน้าที่นี้คนเดียวเลยนะครับ”
                      เอย์จิถอนหายใจ จำนนในความเอาจริงของรุ่นน้อง แต่ก็ดีใจด้วยที่เขามีชินจิอยู่ด้วยกันในวันนี้
                      ชายหนุ่มสวมกอดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต รับปากว่า
                      “ตกลง เราจะปกป้องกันและกัน”
                      “ตลอดไปเลยนะครับ”
                      “ตลอดไป”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 20

        เวลาก่อนงานเทศกาลเป็นช่วงเวลาที่หมู่บ้านคันโจโคเอนกลับมาคึกคักอีกครั้ง
             ในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว พ้นเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีจัดที่สุด ต้นไม้เริ่มผลัดใบทิ้งไป เหลือไว้เพียงแค่ภูเขาสีหม่น ๆ การเก็บเกี่ยวก็ได้เสร็จสิ้นลง ในช่วงเวลานี้ หมู่บ้านจะจัดงานเทศกาลขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานความอุดมสมบูรณ์มาให้ในฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งผ่านพ้น งานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงจึงเป็นงานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของหมู่บ้านที่ทุก ๆ คนต่างตั้งตารอ
             คนในหมู่บ้านมีงานทำกันจนเต็มมือ ทั้งจัดเตรียมซ่อมแซมเสื้อผ้าที่จะใช้เดินขบวน ซ่อมแซมและทำความสะอาดรถลากกับเกี้ยวมิโคชิ ฝึกซ้อมการแสดงและดนตรีต่าง ๆ
             ภายในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบ บัดนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงตะโกน เสียงโห่ร้อง และเสียงเครื่องดนตรีต่าง ๆ นักท่องเที่ยวที่มาในช่วงเวลานี้ก็จะได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม
             ชินจิก็ยุ่งเหมือนกัน ตอนนี้เรียวกังมีแขกเต็มตลอด หลังจากว่างเว้นมาช่วงหนึ่งเพราะเรื่องคนหาย แต่ถึงมีแขกมาพักตลอด ชายหนุ่มกลับไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เพราะมีคนช่วยที่เรียวกังเยอะขึ้น นอกจากโฮโจ ก็ยังมีเด็กหนุ่มและเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอิซึมิมาช่วยอีกสองคน ทั้งสองคนเป็นลูกหลานหมู่บ้านนี้ แต่ออกไปเรียนในโตเกียวและกลับมาเมื่อมีงานเทศกาล
สึบาเมะจังกับทากะคุง ดูเผิน ๆ เหมือนเด็กหนุ่มสาวธรรมดา ร่าเริงแจ่มใส ขยันขันแข็งทำงาน แต่ชินจิกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาจากเด็กสองคนนี้ และอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหนในเรียวกัง เป็นต้องเจอใครคนใดคนหนึ่งมองตามไม่วางตา ชวนให้รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย
             แต่พอเอามาปรึกษากับรุ่นพี่ เอย์จิกลับบอกให้เขาไม่ต้องสนใจ
             “นายก็ทำงานของนายไป ส่วนใครจะมองก็ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าใส่ใจ จะได้ไม่รำคาญ”
             “แต่ผมอึดอัดนี่ครับ เล่นจ้องเอา ๆ จนผมรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกออกมากลางหัวรึเปล่า ถึงได้มองกันจังเลย” ชินจิทำหน้ายุ่ง เอามือปัดมือของรุ่นพี่ที่พยายามจะจับศีรษะเขาพิสูจน์ ถ้าเอย์จิไม่ช่วยก็ไม่ต้องมายุ่งกับหัวของเขา
             “โอเค โอเค งั้นฉันจะบอกพวกนั้นให้ทำตัวเป็นนินจา ไม่จ้องให้นายรู้ตัว” เอย์จิรับปาก แต่คำพูดนั้นสะกิดใจชินจิ ก่อนจะร้องอ๋อ
             “สองคนนั้นเป็นนักปัดรังควานที่เออิจิโร่ซังเรียกมาช่วย!”
             “ทากะกับสึบาเมะเป็นกงเนงิกับมิโกะอยู่ที่ศาลเจ้าในโตเกียว เก่งทีเดียวล่ะ ใช้ชิกิงามิได้ เออิจิโร่ถึงได้เรียกกลับมา” เอย์จิอธิบาย ก่อนปลอบรุ่นน้องของเขาว่า
             “อดทนเอาหน่อยนะ”
             “ผมเข้าใจ แต่ช่วยเพลา ๆ การจ้องหน่อยก็ดีครับ ผมไม่หายตัวไปไหนหรอก” ชินจิพูดอ่อย ๆ
             เอย์จิเห็นใจรุ่นน้อง เขาเองก็ไม่ชอบนักหรอกที่จะให้ใครมาคอยจ้องชินจิของเขาตลอดเวลา แต่ก็จำต้องอดทน ในเมื่อตัวเขาเองไม่สามารถที่จะดูแลชินจิด้วยตัวคนเดียวได้ ตอนนี้ความปลอดภัยของชินจิต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องอื่น ๆ รวมทั้งอีโก้โง่ ๆ ของเขาให้ตัดทิ้งไปได้เลย
             “ออกไปเที่ยวไหนกันไหม นายจะได้อารมณ์ดีขึ้น”
             “เอ๋ ผมออกไปไหนได้ด้วยเหรอครับ”
             “นายไม่ได้เป็นนักโทษนะ ทำไมจะออกไปไหนไม่ได้ ก็แค่ออกไปในหมู่บ้านนี้แหละ ไม่ได้ไปไหนไกล ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
             ชินจิยังลังเล เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงใด ๆ ช่วงหลัง ๆ จึงอยู่ทำงานในเรียวกังเป็นส่วนใหญ่ จะได้ไม่ต้องให้ใครมาลำบากกับเขา แต่การเก็บตัวมันก็ทำให้รำคาญใจอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในเวลาที่ข้างนอกมีแต่เสียงดังลอยมาให้ได้ยินอยู่ตลอดแบบนี้
             “ยังจำได้ไหม ฉันบอกนายว่าจะพาไปดูไอ้ที่มันสนุกกว่าที่เออิจิโร่พาไปน่ะ”
             คราวนี้ความตั้งใจของชินจิหล่นหายไปในทันที
             “ไปนะ”
             เมื่อรุ่นพี่ชวนอีกครั้ง ชินจิก็พยักหน้ารับหงึก ๆ ด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น
             ได้ออกมาข้างนอก ความเครียดคลายลง แต่ชินจิก็รู้สึกว่า ยังมีคนจับตามองเขาอยู่ตลอด เท่าที่รู้ น่าจะเป็นโฮโจคนหนึ่งล่ะ เพราะเออิจิโร่ยกผู้ช่วยของตัวเองให้เรียวกังไปอย่างถาวรแล้ว แต่โฮโจยังปราณีเขาอยู่บ้างที่ไม่ได้โผล่ออกมาให้เห็นชัด ๆ หรือตามติดจนน่าอึดอัด อาจจะเพราะเห็นว่า ข้างตัวเขา ร่างสูงใหญ่ของรุ่นพี่เอย์จิตามติดไม่ยอมห่างอยู่ทั้งคนแล้วก็ได้
             เอย์จิพารุ่นน้องเดินไปตามถนนสายหลัก ชินจิตื่นตาตื่นใจบรรยากาศของหมู่บ้านที่กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง จากถนนสายหลัก ทั้งคู่เลี้ยวเข้าถนนสายรองและตรอกเล็ก ๆ ตามลำดับจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังย่อมหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้สีดำที่ดูเก่าคร่าและมืดทึม ป้ายชื่อหน้าบ้านเขียนว่า ‘ทาเคดะ’ ประตูด้านหน้าปิดสนิท ดูเหมือนไม่มีใครอยู่บ้าน
             “ที่นี่ที่ไหนครับ” ชินจิถาม มองบ้านไม้ตรงหน้าด้วยความไม่แน่ใจ ที่แบบนี้น่ะหรือที่เอย์จิบอกว่าจะมีอะไรสนุก ๆ ให้เขาดูและเขาจะต้องชอบแน่ ๆ
             เอย์จิไม่ตอบ แต่เปิดประตูเลื่อนไม้ออกอย่างถือวิสาสะ บอกเขาง่าย ๆ ว่า
             “เข้าไปสิ”
             “จะดีเหรอครับ เจ้าของบ้านเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ”
             “เข้าไปเถอะน่า”
             ชินจิเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่มั่นใจ ข้างในมืดตื๋อ ทำให้ชายหนุ่มต้องปรับสายตาอยู่ครู่จึงจะชินกับความมืดภายในบ้าน
             แต่อะไรกันที่อยู่ตรงหน้าเขานั่น
             ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต พอสายตาชินกับความมืดเท่านั้น ก็เห็นอะไรบางอย่างเป็นเค้าโครงราง ๆ จนต้องเพ่งมองให้ชัด และในพริบตานั้นเอง ก็มีแสงเรือง ๆ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ทำให้เขาเห็นอะไรบางอย่างนั้นชัดเจนขึ้น
             “เหวอ!” ชายหนุ่มส่งเสียงร้องลั่น หลบหลังรุ่นพี่ด้วยความตกใจกลัว
             “อะไรชินจิ แค่ตุ๊กตาเท่านั้นเอง” เอย์จิพูดกลั้วหัวเราะ
             “แต่มันจ้องหน้าผม คุณน่าจะเตือนผมก่อนว่าข้างในมันมีอะไร” ชินจิต่อว่าด้วยความขัดเคือง รุ่นพี่ตั้งใจแกล้งเขาแน่ ๆ ก็เล่นให้เขาเดินเข้ามาก่อน เขาก็ต้องเป็นคนแรกที่จ๊ะเอ๋กับเจ้าตุ๊กตาขนาดเท่าคนตัวนี้ในความมืด แล้วมันน่ากลัวน้อยอยู่เสียเมื่อไร ถึงมันจะเป็นตุ๊กตาหญิงสาวใส่ชุดกิโมโนสวยงาม แต่มันหน้าขาวโพลนขนาดนั้น ใครไม่ทันตั้งตัวก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ
             “ออกจะเป็นสาวน้อยแสนสวยขนาดนี้ นายกลับกลัวซะได้” เอย์จิยังแกล้งรุ่นน้องไม่หยุด
             “ก็แล้วทำไมไม่ตั้งไว้ในที่ที่มีไฟสว่างหน่อยละครับ” ชินจิโวย
             “อารมณ์ขันของช่างทำตุ๊กตาไงล่ะ” เอย์จิยิ้ม เดินเข้าไปใกล้ตุ๊กตาเด็กสาวตัวสูงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบเซ็นติเมตร ผมสีดำยาว ติดโบไว้บนศีรษะ สวมกิโมโนสีแดงสดลายดอกไม้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นค้างไว้ระดับเอว เมื่อเอย์จิยกตุ๊กตาหันกลับหลัง แล้วเอาถุงผ้าแบบปากถุงร้อยเชือกแขวนให้ที่มือ ตุ๊กตาสาวน้อยก็ขยับตัว ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสง่างาม ศีรษะหมุนไปทางซ้ายและขวา และเมื่อมันเริ่มเดิน ไฟที่ติดตามทางเดินก็สว่างขึ้นทีละดวง ๆ
             “โอ้โฮ” ชินจิอุทานด้วยความทึ่ง หายตกใจในทันที
             “ตุ๊กตากลไกคาระคุริ” เอย์จิพูดด้วยความภาคภูมิใจ
             ชินจิมองตุ๊กตากลไกเดินไปเรื่อย ๆ ตาไม่กะพริบ ท่ามกลางไฟสว่าง แม่สาวน้อยในชุดกิโมโนสีแดงดูสวยมากกว่าจะน่ากลัว เมื่อมันเดินไปจนสุดทางเดิน เสียงกระดิ่งจากไหนไม่รู้ก็ดังขึ้นกรุ๋งกริ๋ง แล้วตุ๊กตาก็หมุนตัวกลับ เดินมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่เดิม แถมยังโบกมือให้ด้วยก่อนที่จะหยุดเคลื่อนไหว
             “สุดยอดเลย” ชินจิอุทานด้วยความตื่นใจ
             สิ้นเสียงกระดิ่ง ประตูด้านในสุดก็เปิดออกดังครืด ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่หัวยุ่ง ๆ ออกมาดู เขาใส่ชุดเสื้อสเว็ตเตอร์กางเกงอยู่กับบ้านธรรมดา สวมแว่นตาหนาเตอะและต้องขยับแว่นเพื่อเพ่งมองให้ชัด
            “สวัสดีครับ ทาเคดะซัง ผมเอย์จิครับ”
            “ท่านเอย์จิ เข้ามาครับ เข้ามา” ชายคนนั้นร้องเชื้อเชิญพร้อมกับกวักมือเรียก ท่าทางของเขาดูมึน ๆ งง ๆ เบลอ ๆ เหมือนคนอดนอน ดวงตาหลังเลนส์แว่นหรี่ปรือ
           “ผมพารุ่นน้องมาด้วยครับ มาขอชมตุ๊กตา นี่ชินจิครับ”
           “สวัสดีครับชินจิซัง ได้ยินอยู่เหมือนกันว่ามีรุ่นน้องของท่านเอย์จิมาทำงานอยู่ที่เรียวกัง แต่ผมก็ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้ไปทักทายสักที”
            เจ้าของบ้านพูดเร็วปรื๋อผิดกับหน้าตาที่ดูง่วงเหงาหาวนอน เขาเดินนำแขกทั้งสองมาที่ห้องด้านในห้องหนึ่งที่กว้างขวาง ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปข้างในพลางบอกว่า
            “ตามสบายนะครับ ประเดี๋ยวผมจะเอาชามาเสิร์ฟ”
            พูดจบก็เดินหายไปราวกับลมพัด เล่นเอาชินจิอ้าปากค้าง
            “ทาเคดะซังเป็นช่างทำตุ๊กตา” เอย์จิบอก “แล้วนี่ก็ห้องเก็บตุ๊กตาของเขา”
            ถ้าบุคลิกประหลาดของทาเคดะทำให้ชินจิอ้าปากค้างได้แล้ว ห้องที่เขายืนอยู่นี่ก็ทำให้อ้าปากค้างได้ยิ่งกว่า รอบห้องเป็นตู้กระจกสูงติดเพดาน แต่ละตู้แต่ละชั้นมีตุ๊กตาแบบต่าง ๆ เก็บเอาไว้จนเต็มไปหมด
            “ทั้งหมดนี้คือตุ๊กตากลไกหรือครับ”
            “ไม่ทุกตัวหรอก ตุ๊กตาธรรมดาก็มี แต่ส่วนใหญ่เป็นหุ่นชักใย มีทั้งที่ใช้ในการแสดงบนเวทีและแสดงบนรถลากยะไตในงานเทศกาล หมู่บ้านของเราใช้ตุ๊กตาฝีมือทาเคดะซังนี่แหละ แต่นักเชิดหุ่นต้องเชิญมาจากที่อื่นมาช่วย เพราะการเชิดหุ่นในงานเทศกาลต้องใช้ฝีมือระดับอาจารย์”
            ชินจิไล่ดูไปทีละตู้ ข้างในมีตั้งแต่ตุ๊กตาฮินะซึ่งเป็นตุ๊กตาของเทศกาลเด็กผู้หญิง มีครบชุดทั้งตุ๊กตาเจ้าหญิงเจ้าชาย ตุ๊กตาเสนาบดี ตุ๊กตานักดนตรี เสื้อผ้าเป็นไหมอย่างดีปักลวดลายต่าง ๆ และมีสีสันสวยงามสะดุดตา นอกจากนั้นก็มีตุ๊กตาที่เอาไว้ใช้เล่นละคร มีทั้งตุ๊กตาผู้หญิงในชุดกิโมโน ตุ๊กตาซามูไร ตุ๊กตาปีศาจและเทพเจ้าต่าง ๆ ซึ่งเป็นตุ๊กตาชักใย และตุ๊กตาอิจิมัตสึซึ่งเป็นตุ๊กตาเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนจริง ดวงตาทำจากแก้วและสีหน้าเคร่งขรึมไร้ความรู้สึก
             “ตู้สุดท้ายคือตุ๊กตากลไก” เอย์จิชี้ให้ดู
             ตุ๊กตาคาระคุริหรือตุ๊กตากลไกดูไม่ต่างจากตุ๊กตาแบบอื่น ๆ เป็นตุ๊กตารูปเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง ใส่ชุดกิโมโนสีต่าง ๆ ตัวเล็ก ๆ ป้อม ๆ กลม ๆ แต่หน้าตามันดูน่ารักจิ้มลิ้มอย่างบอกไม่ถูก บางตัวนั่งอยู่บนกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่วาดเป็นลายดอกไม้หรือวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ แต่ถ้าตุ๊กตาพวกนี้เป็นตุ๊กตากลไกอย่างที่ว่า พวกมันก็ต้องมีกลไกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างตัวที่เขาเห็นตรงทางเดิน
             ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง แต่คนที่เข้ามาไม่ใช่ทาเคดะผู้เป็นเจ้าของบ้าน หากแต่เป็นตุ๊กตาเด็กผู้ชายตัวเล็ก หัวโล้น มีจุกผมเล็ก ๆ อยู่ที่กลางกระหม่อม ใส่ชุดกิโมโนสีน้ำเงินสดคลุมทับด้วยเสื้อแขนกุดชั้นนอกสีน้ำตาลอมส้ม สวมกางเกงฮากามะพื้นสีฟ้ามีลวดลายเหมือนกุญแจไขลาน สวมถุงเท้าทะบิสีขาว สองมือยกถาดที่มีถ้วยน้ำชาวางอยู่ข้างบน เดินกระดุ๊กกระดิ๊กเข้ามาในห้องช้า ๆ
             “ตุ๊กตาเด็กเสิร์ฟน้ำชา” ชินจิอุทานด้วยความชอบใจ เขาเคยเห็นตุ๊กตาแบบนี้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ไม่เคยเห็นใครเอามาใช้จริง ๆ แบบนี้มาก่อนเลย
             ชินจิยกถ้วยน้ำชาขึ้นจากถาด ตุ๊กตาหยุดเดินทันที
             “สุดยอด”
             “ชอบไหมครับ”
             เจ้าของบ้านตัวจริงเดินตามมาทีหลังพร้อมกับถาดน้ำชาและขนมเซมเบ้ใส่ในซองพลาสติก นำมาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยในห้อง
             “คุณสร้างมันขึ้นมาเองหรือครับ” ชินจิถาม
             “ใช่แล้วครับ ผมเรียนกับท่านฮันยะ ช่างทำตุ๊กตากลไก แต่ก่อนผมเป็นช่างนาฬิกา หลงใหลพวกกลไกฟันเฟืองต่าง ๆ อยู่เป็นทุนเดิม ก็เลยสนใจอยากประดิษฐ์ตุ๊กตากลไกพวกนี้ พอเริ่มทำคาระคุริก็เลยกลายเป็นสนใจและสะสมตุ๊กตาอย่างอื่นไปด้วย อย่างในตู้พวกนี้ บางชิ้นก็สร้างเอง บางชิ้นก็ซื้อหามา แต่ก็ยังไม่มีตุ๊กตาชนิดไหนที่ผมชอบมากไปกว่าคาระคุริ”
             ทาเคดะออกไปจากห้องอีกครั้ง ตอนที่กลับมา เขาถืออะไรบางอย่างกลับมาด้วย เอามาวางเคียงกับตุ๊กตาเด็กเสิร์ฟน้ำชาที่ยืนนิ่งอยู่
             “ว้าว” ชินจิอุทานด้วยความทึ่งจัดอีกครั้ง
             ฝาแฝดของตุ๊กตาเด็กเสิร์ฟน้ำชาถูกนำมาวางคู่กัน แต่ตัวหลังนี้ไม่ใส่เสื้อผ้า ทำให้เห็นกลไกและฟันเฟืองต่าง ๆ ที่ทำจากไม้ได้อย่างถนัดตา รูปร่างของมันเป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนตู้ ข้างในมีเฟืองอันใหญ่กับแกนไม้และอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่าง ๆ
             “ใช้เวลาสร้างนานไหมครับ” ชินจิถาม
             “เป็นเดือน ๆ แหละครับถ้าทำเองด้วยมือทุกชิ้น” ทาเคดะพูด ก่อนจะลุกออกจากห้องไปอีก แล้วกลับมาพร้อมกับกล่องกระดาษใบใหญ่ใบหนึ่ง นำมายื่นส่งให้ชินจิ บอกว่า
             “แต่ถ้าเป็นเซ็ตมาแล้วยังงี้ก็ใช้เวลาราว ๆ วันหนึ่งก็ประกอบเสร็จครับ”
             ชินจิเปิดฝากล่องออก ข้างในเป็นชุดตุ๊กตากลไกพร้อมประกอบ ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ทำจากไม้ชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กแยกใส่ไว้ในถุงพลาสติกใส มีหัวตุ๊กตา ถาดกับถ้วยชาและชุดกิโมโนใส่มาให้ด้วย พร้อมกับคู่มือการประกอบ
             “ประกอบไม่ยากครับ ทำตามวิธีในคู่มือก็พอ ผมให้ชินจิซัง”
             “ผมรับไม่ได้หรอกครับ ตุ๊กตาคาระคุริราคาสูง ผมพอจะรู้ ผมเกรงใจ” ชินจิส่ายหน้า เลื่อนกล่องกระดาษคืนกลับไป
             “ราคาแค่สองแสนเยนนิดหน่อยเองครับไม่มากมายอะไร”
             ชินจิฟังแล้วตาโต สองแสนเยนนี่นะ! ทาเคดะซังยังบอกว่าไม่มาก!
             “งานของทาเคดะซังขายได้ราคามากกว่านี้หลายเท่า” เอย์จิช่วยอธิบาย
             ช่างทำตุ๊กตายิ้มแป้น แล้วก็พูดทั้งที่หน้ายังเบลอ ๆ ตายังปรือ ๆ อยู่นั่นแหละว่า
             “รับไปเถอะครับชินจิซัง แต่ถ้าไม่สบายใจเรื่องราคา เดี๋ยวผมเอาบิลไปเก็บที่ศาลเจ้า”
             “หือม์?”
             เอย์จิหันขวับไปมองทันที คนพูดเลยยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก
             ได้ยินเข้าแบบนี้ ชินจิก็ยิ่งอึกอัก พูดอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ไม่กล้าตัดสินใจ จนเอย์จิต้องตัดสินใจแทนให้ด้วยการพยักหน้าอนุญาตนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงกล้าเอื้อมมือไปรับ พร้อมกับโค้งขอบคุณอย่างสุภาพ
             “ผมจะประกอบได้ไหมก็ไม่รู้” ชายหนุ่มพึมพำ
             “ไม่เป็นไร ฉันช่วยเอง” รุ่นพี่ของเขาให้สัญญา และนั่นทำให้ชินจิยิ้มได้อย่างหมดกังวล
             “ขอบคุณครับเอย์จิซัง”
             ทาเคดะเห็นน้ำชาในถ้วยของชินจิหมดแล้ว เขาจึงบอกให้ชายหนุ่มวางถ้วยกลับคืนลงไปบนถาดที่ตุ๊กตาเด็กผู้ชายถืออยู่ ชายหนุ่มทำตาม พอถ้วยชาถูกวางกลับคืนที่ ตุ๊กตาเด็กผู้ชายก็ขยับตัวอีกครั้ง เดินดุกดิกออกไปจากห้อง เจ้าของบ้านก็อุ้มตุ๊กตาฝาแฝดของมันเดินตามหลังไป
             ชินจิมองตาม อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ว่า
             “ปกติช่างทำตุ๊กตากลไกจะต้องเป็นคนละเอียดมาก ๆ ใช่ไหมครับ”
             “ละเอียดลออ ประณีต มีสมาธิ ช้า” เอย์จิตอบยิ้ม ๆ “เวลาทำงาน ทาเคดะซังก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ก็เถอะ”
             เจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เอย์จิจึงขออนุญาตให้รุ่นน้องของเขาได้ชมตุ๊กตากลไกชนิดอื่น ๆ ซึ่งทาเคดะก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเปิดตู้ ค่อย ๆ หยิบตุ๊กตาออกมาทีละตัว เริ่มที่ตุ๊กตานักมายากลก่อนเป็นอันดับแรก ตุ๊กตาเด็กผู้ชายตัวเล็กถือกล่องใบเล็ก ๆ นั่งอยู่บนกล่องไม้ขนาดใหญ่มีขาตั้ง ทุกครั้งที่ตุ๊กตาเด็กยกกล่องใบเล็ก ๆ ในมือขึ้น ของข้างในกล่องจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็เป็นตุ๊กตาเต่า จากนั้นกลายเป็นตุ๊กตาวัว ต่อด้วยตุ๊กตาดารุมะสีแดง และจบลงด้วยลูกบอลผ้ากลม ๆ
             ชินจิตบมือเหมือนเด็ก ๆ ตาเป็นประกาย
             ตัวต่อมาเป็นตุ๊กตาตีลังกาที่ค่อย ๆ ตีลังกากลับหัวลงมาจากบันไดทีละขั้น ๆ จนถึงพื้น แล้วก็ถึงตาของตุ๊กตาเด็กผู้หญิงตัดผมหน้าม้าที่เป่าขลุ่ยและตีกลองได้เอง สุดท้ายเป็นกล่องไม้สีดำที่มีใบพัดติดอยู่ที่ด้านหน้าและระฆังอันเล็ก ๆ ตั้งไว้ด้านบน พอลานหมุน ใบพัดก็จะหมุนและระฆังก็จะถูกตีดังไปพร้อมกัน
             “ลองเปิดฝากล่องด้านข้างดูสิครับ” ทาเคดะซังบอก
             ชินจิทำตาม เมื่อฝากล่องเปิดออก เขาก็เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ อยู่ข้างในกล่อง กำลังตั้งหน้าตั้งตาหมุนแกนไม้เพื่อให้ใบพัดหมุนได้อย่างขยันขันแข็ง
             “น่ารักจัง” ชินจิอุทาน ยิ้มจนตาหยี
            เอย์จิยิ้มตาม ชินจิมีความสุข เขาก็มีความสุข
           

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
            ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับการชมตุ๊กตากลไกแบบต่าง ๆ อยู่นั้นเอง เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกมาหา ทาเคดะกล่าวขอตัว ก่อนจะกระวีกระวาดเปิดประตูออกไปดู จากนั้นอีกครู่ใหญ่ เอย์จิกับชินจิที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู
            ช่างทำตุ๊กตาเจ้าของบ้านกำลังเต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีอกดีใจยกใหญ่อยู่ที่หน้าบ้าน รอบตัวมีลังไม้ใหญ่ ๆ หลายลังตั้งกองอยู่
            “มีอะไรรึเปล่าครับ ทาเคดะซัง” เอย์จิส่งเสียงถาม
            ทาเคดะหันมา สีหน้าของเขาราวกับคนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ชินจิก็เพิ่งเห็นกับตาวันนี้เองว่าวลีที่ว่า ดีใจจนน้ำตาไหล มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ดวงตาปรือ ๆ ของทาเคดะมีน้ำตารื้น แล้วชายกลางคนก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา พึมพำว่า
            “ผมนอนตายตาหลับแล้วครับ ท่านเอย์จิ ชินจิซัง”
            ข้างในลังไม้ที่บุวัสดุกันกระแทกมาอย่างดีที่สุดคือตุ๊กตาตัวสูงประมาณ 100-120 เซ็นติเมตรจำนวนประมาณ 6-7 ตัว เป็นตุ๊กตาชักใยที่ใช้ในการแสดงละคร มีทั้งตุ๊กตานักบวช ตุ๊กตาเจ้าหญิงใส่ชุดยาวกรุยกรายสมัยเอโดะ ตุ๊กตาซามูไรถือดาบ ตุ๊กตาโชกุน ตุ๊กตาใส่หน้ากากเป็นปีศาจ เป็นยักษ์ เป็นลิง แต่ที่ทำให้ทาเคดะตื่นเต้นที่สุดก็คือตุ๊กตาผมยาวฟูสีแดง ใส่หน้ากากมังกร สวมชุดอิคันแบบที่ใส่กันในราชสำนัก โฮหรือเสื้อคลุมยาวตัวนอกเป็นสีแดงทอเป็นลวดลายด้วยเส้นไหมสีทอง ข้างในสวมซะชินุคิหรือกางเกงตัวพอง ๆ สีโอลด์โรส สวมคันมุริสีดำหรือมงกุฎรูปร่างคล้ายหมวกที่มียอดสูง ในมือถือพัด อีกตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาผู้หญิงสาว ผมดำยาวถึงพื้น สวมชุดแบบเจ้าหญิง ใส่โคอุจิกิหรือเสื้อคลุมตัวนอกปักลายละเอียดคลุมทับเสื้อคลุมตัวในยาวลากพื้น กิโมโนตัวในสีขาว ใส่กับฮิบะกามะกระโปรงบานยาวกรอมเท้าสีแดง มือถือรวงข้าวสีทอง
             “เทพเจ้ามังกรกับเทพเจ้าอินาริครับ” ช่างตุ๊กตาพูดด้วยความปลาบปลื้ม น้ำตาทำท่าจะร่วงอีกครั้ง
             “เป็นตุ๊กตากลไก อันที่จริง ผมจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับการแสดงปีนี้นะครับ แต่ไหน ๆ พวกคุณก็เห็นแล้ว ผมจะบอกก็แล้วกัน แต่ขอให้เก็บเป็นความลับด้วยนะครับ”
             ทาเคดะถูไม้ถูมือ
             “การแสดง ‘ระบำมังกร’ ของปีนี้ เราจะไม่ใช้ตุ๊กตากลไกของเดิม แต่จะใช้ตัวนี้ครับ ตุ๊กตากลไกที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ จากช่างตุ๊กตาฝีมือเยี่ยมของโชกุนโตกุกาวะ สปริงทำจากกระดูกปลาวาฬ สร้างตามแบบดั้งเดิมโดยใช้แผนผังกลไกที่ตีพิมพ์ในตำราคาระคุริซุอิทุกอย่าง ตุ๊กตาเทพเจ้าอินาริตัวนี้ก็เช่นเดียวกันครับ จากฝีมือช่างคนเดียวกัน ความพิเศษของตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่สามารถแปลงร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวได้”
             ชายกลางคนเลิกกระโปรงของตุ๊กตาให้เห็นชิ้นส่วนด้านในที่เมื่อกลไกเดินก็จะเปลี่ยนให้ตุ๊กตาหญิงสาวกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำสาส์นของเทพเจ้าอินาริ
             “คุณไปได้มาจากไหนครับ” เอย์จิถาม รู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ตุ๊กตากลไกที่มีอายุยาวนานแต่ยังอยู่ในสภาพดีเช่นนี้ไม่น่าจะหากันได้ง่าย ๆ และราคาคงสูงอย่างน่าขนลุก
             “มีคนแจ้งมาทางสตูดิโอของอาจารย์ฮันยะให้ไปตรวจสอบตุ๊กตากลไกที่ได้มาจากตลาดของเก่า ผลการตรวจสอบระบุว่าเป็นของจริงและเป็นฝีมือช่างของท่านโชกุน ทางสตูดิโอบอกผมต่อ ผมก็เลยขอร้องอาจารย์ฮันยะให้ทำหนังสือขอยืมมาแสดงในงานเทศกาลครับ โชคดีทางเจ้าของเขาอนุญาต นอกจากตุ๊กตากลไกก็ยังให้ยืมตุ๊กตาชักใยพวกนี้มาจัดแสดงด้วยครับ”
             “โชคดีจริง ๆ ผมชักอดใจรอดูการแสดงตุ๊กตาคาระคุริของปีนี้ไม่ไหวเสียแล้วสิครับ” เอย์จิออกปาก ก่อนหันมาทางชินจิที่ตลอดเวลายังไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
             “ชินจิ” เอย์จิเรียก เมื่อเห็นรุ่นน้องของเขายืนมองตุ๊กตาในลังไม้นิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่ที่น่าแปลกคือมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผากของชายหนุ่มรุ่นน้องทั้ง ๆ ที่อากาศในบ้านก็ออกจะเย็นด้วยซ้ำไป
             “ชินจิ” เอย์จิเรียกเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปจับไหล่รุ่นน้องเขย่าเบา ๆ
             ชินจิสะดุ้งเฮือกจนทำให้เอย์จิพลอยตกใจไปด้วย
             “นายเป็นอะไรไปน่ะ”
             “ผม...ผมไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มมีท่าทีงง ๆ “ผมรู้สึกว่าตัวเองลอย ๆ พิกล หัวก็หนัก ๆ มันบอกไม่ถูก”
             “ไม่สบายรึเปล่า” เอย์จิถามด้วยความเป็นห่วง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน แล้วยกหลังมือขึ้นอังหน้าผาก
             “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา” เขาพึมพำ
             “ผมดีขึ้นแล้วครับ ขอบคุณมาก” ชินจิฝืนบอก หน้ายังซีดเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่แล้วจริง ๆ
             “นั่นตุ๊กตาอะไรหรือครับ”
             “ตุ๊กตาชักใยกับตุ๊กตากลไกที่จะใช้แสดงในงานเทศกาลปีนี้” เอย์จิตอบ ยังคงมองรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วง
             “หรือครับ สวยจังเลย ทาเคดะซังสร้างเองเหรอครับ”
             “โอ๊ย ไม่ใช่ฝีมือผมหรอกครับ ตุ๊กตาชั้นสูงแบบนี้ ผมสร้างไม่ไหวหรอก” ช่างตุ๊กตาร้องปฏิเสธเสียงหลง โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน
             “ฝีมือช่างสมัยเอโดะครับ ของเก่า ดูสิครับ สปริงทำจากกระดูกปลาวาฬ เดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะกฎหมายต่อต้านการล่าปลาวาฬนั่นแหละ ตอนนี้เราก็ต้องใช้เหล็กใช้โลหะกันแทน แต่ของดั้งเดิมนี่มันสุดยอดเหลือเกิน เป็นบุญตาบุญมือของผมจริง ๆ ที่ได้สัมผัส”
             ทาเคดะทำหน้าปลื้มปริ่มราวกับได้รับขุมสมบัติทั้งหมดในโลกรวมกัน เอย์จิมองช่างตุ๊กตาของหมู่บ้านด้วยอาการเหมือนอ่อนใจกับการ ‘เล่นใหญ่’ แต่เมื่อเปลี่ยนสายตาไปมองชินจิ เขากลับรู้สึกกังวล เพราะรุ่นน้องของเขาเอาแต่จ้องตุ๊กตาเขม็งเหมือนเห็นของประหลาด เขาคิดว่าจะเห็นชินจิออกอาการดีใจ เพราะเจ้าตัวดูจะชอบของเก่าและของสวยงาม ของมีคุณค่าอะไรพวกนี้ ตอนที่เห็นตุ๊กตาในตู้ของทาเคดะซัง ชินจิยังตื่นเต้น หน้าใสตาใสเหมือนเด็กเห็นของถูกใจ แต่ตอนนี้ทำไมกลับทำหน้าเครียด
              เอย์จิชวนชินจิลาเจ้าของบ้านในอีกครู่ต่อมา เพราะทาเคดะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับแขกอีกแล้ว หลังจากได้รับตุ๊กตาที่รอคอย และเขามั่นใจว่า ชายกลางคนคงจะเอาแต่นั่งจ้องตุ๊กตาพวกนั้นด้วยความหลงใหลโดยไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีกแล้วเป็นแน่
              ขณะที่เดินกลับกันมา รุ่นน้องของเขากอดกล่องกระดาษใส่ตุ๊กตาคาระคุริพร้อมประกอบที่ได้มาเป็นของขวัญแน่น แต่สีหน้าก็ยังดูเครียดอยู่
              “ชินจิ นายเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้”
              “ผมก็ไม่รู้” ชินจิสั่นศีรษะ สีหน้าบ่งบอกความยุ่งยากใจ
              “ผมรู้สึกแปลก ๆ”
              “รู้สึกยังไง” เอย์จิซัก
              “มันแปลก ๆ หัวมันหนัก ๆ อากาศมันข้น ๆ หายใจไม่ค่อยสะดวก”
              “ตอนนี้ล่ะ”
              “ตอนนี้ดีขึ้นแล้วครับ เป็นตอนอยู่ในบ้านของทาเคดะซัง พอออกมาข้างนอกบ้านแล้ว อาการพวกนั้นมันก็หายไปหมด” ชินจิตอบ
              “น่าแปลก ตอนแรกนายก็ยังดี ๆ อยู่เลย”
              “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จะว่าไป มันเป็นตอนเห็นตุ๊กตาในลังไม้พวกนั้นน่ะครับ” ชินจินิ่งไปนิดเหมือนกำลังชั่งใจ แต่ก็พูดออกมาว่า
              “ผมรู้สึกว่าตุ๊กตาพวกนั้นมันแปลก ๆ บอกไม่ถูก ผมรู้สึกว่ามันน่ากลัว”
              “น่ากลัวเหรอ” เอย์จิทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
              “ครับ มันดูน่ากลัวยังไงไม่รู้”
              “หรือเพราะหน้าตาตุ๊กตา บางตัวก็ใส่หน้ากาก มันเลยยิ่งดูน่ากลัว ตัวมันก็โตมากด้วย” เอย์จิเดา
              “ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ” ชินจิแบ่งรับแบ่งสู้
              เมื่อได้ออกมาข้างนอก เจออากาศปลอดโปร่ง หัวของชายหนุ่มไม่รู้สึกหนักอีกต่อไปและรุ่นพี่ยังจับมือเขาไว้แบบนี้ด้วย ชายหนุ่มก็เลยไม่อยากคิดอะไรให้รู้สึกเครียดเคร่งอีก ดังนั้น เมื่อรุ่นพี่ชวนคุยเรื่องอื่น ๆ ชินจิก็กลับมาสดใสเหมือนเดิมและพูดคุยด้วยอย่างกระตือรือร้น
              ลืมความรู้สึกแปลก ๆ ตอนที่อยู่ในบ้านช่างทำตุ๊กตาไปอย่างสนิท

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 21

        เสียงโคโตะล่องลอยไปทั่วทั้งภูเขา เป็นท่วงทำนองแห่งความคะนึงหาและโหยละห้อยจนผู้ที่ได้สดับรับฟังมีน้ำตาเอ่อคลอตาและหยาดรินลงมาเป็นสาย
        การาสุเทนงูคุโรบะยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบเพื่อหวังให้ใบไม้สีเข้มช่วยพรางร่างของเขาไว้ไม่ให้ใครมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาเช่นนี้
        เสียงเพลงนานาสึโนะโกะจากโคโตะฝีมือบรรเลงของท่านเจ้าแห่งขุนเขาเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดลงกลางหัวใจที่กลัดหนอง อสูรหนุ่มสะอื้นไห้

              แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
              แม่กาเอ่ยตอบว่า
              เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
              อยู่ในภูเขา


         เมื่อก่อนเคยร้องเล่นอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้มีเพียงเขาผู้เดียวที่ร้องเพลงนี้ด้วยน้ำตานองหน้า สหายรักได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทั้ง ๆ ที่คาโตดะแค่ต้องการอยู่อย่างมีความสุขในภูเขาเท่านั้นเอง
         เขาจะทำเช่นไรดีเพื่อไม่ให้คาโตดะต้องตายอย่างสูญเปล่า
         เขาอยากแก้แค้น แต่เขาขลาดกลัวเกินไป แม้แต่จะทำเรื่องที่ถูกต้อง เขายังไม่มีความกล้าพอ
         คาโตดะ... ข้าจะทำอย่างไรดี

         น่ารัก น่ารัก
              แม่กาขับขานเป็นเสียงเพลง
         น่ารัก น่ารัก
         แม่การ้องเรียกหา


         เราเคยยืนอยู่ด้วยกัน มองสรรพสิ่งในโลกเบื้องล่างที่ผันแปร แล้วเจ้าก็เอ่ยปากพูดด้วยความวิตกกังวลว่า อีกไม่นานคงถึงกาลที่ภูเขาอันเป็นที่รักของเราต้องผันแปรบ้าง ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ แต่เมื่อเจ้าพาข้าบินออกมาจากภูเขา ข้าถึงได้เข้าใจ
         พวกมนุษย์จะสร้างความยุ่งยากให้เรา
         พวกนั้นสร้างอาคารบ้านเรือนแผ่กระจายกินแดนไปทั่ว สร้างถนนหนทางกว้างใหญ่เกินจำเป็น เจาะอุโมงค์ทะลุเนินเขาเพื่อสร้างทางให้ขบวนรถไฟยืดยาวเหมือนงูวิ่งผ่าน ป่าถูกบุกรุกเข้ามาเรื่อย ๆ เครื่องจักรกลสมัยใหม่พร้อมทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
         อาณาเขตของพวกเรากำลังจะไม่มีความหมาย แต่มังกรขาวเจ้าแห่งขุนเขากลับไม่มีทีท่าสนใจ ยังคงร่ำสุราและเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีที่บรรเลงขับขานอยู่แทบทุกราตรีในปราสาท
         เจ้าผรุสวาท ข้าจำได้ดี และเจ้าหัวเสียเอามากมายจนข้าต้องรีบปรามให้หยุดเพราะข้ากลัวว่าหากผู้ใดได้ยินเข้าเจ้าจะเดือดร้อน แต่เจ้าไม่สนใจ เจ้าบอกข้าว่า เจ้ารักภูเขาของเรา
   
         กลับไปดูรังเก่าของเจ้าเถอะ
         แล้วเจ้าจะได้เห็น ดวงตากลมโต
         ของลูกที่น่ารักเจ็ดตัว
         อยู่ในภูเขา...


         เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าหวาดกลัวเพียงใด คาโตดะ
         ข้าไม่เคยเห็นด้วยเลยที่เจ้าทรยศเจ้าแห่งขุนเขาแล้วไปเข้ากับอสูรต่ำช้าอย่างอาคางิกับพรรคพวก แต่เจ้าดื้อรั้นเกินไปและข้าก็อ่อนแอเกินไป เราจึงถลำถลึกลงไปด้วยกันทั้งคู่ กว่าจะรู้ว่าโดนอาคางิหลอกลวง ทุกอย่างก็สายเกินไป
         ลูกแก้วคันจุเพื่อการโค่นล้มมังกรขาว จากนั้นคือลูกแก้วมันจุเพื่อปลุกชีพมังกรแดงและทำสงครามกับมนุษย์
         อาคางิต้องการครอบครองทุกอย่าง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้า... สิ่งที่เราต้องการ
         ข้าอ่อนแอ ขี้ขลาด หวาดกลัว ไม่กล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว

         “ข้ารักภูเขาและข้ารักเจ้า ข้าอยากอยู่อย่างสุขสงบในภูเขากับเจ้าไปตลอดชั่วนิรันดร์”
   
             ข้าก็เหมือนกัน คาโตดะ ข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า!
        การตายของเจ้าจะต้องไม่สูญเปล่า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายไปแบบนี้ 
        ข้าไม่ยอม... ข้าไม่ยอม...

             แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
             แม่กาเอ่ยตอบว่า
             เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
             อยู่ในภูเขา

             น่ารัก น่ารัก
             แม่กาขับขานเป็นเสียงเพลง
        น่ารัก น่ารัก
             แม่การ้องเรียกหา

             กลับไปดูรังเก่าของเจ้าเถอะ
        แล้วเจ้าจะได้เห็น ดวงตากลมโต
        ของลูกที่น่ารักเจ็ดตัว
             อยู่ในภูเขา...

   

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               นิ้วเรียวยาวของอสูรผู้ครองขุนเขาขยับเหมือนร่ายรำไปตามสายโคโตะสีเหลืองอ่อนทำจากเส้นไหม ใช้สึเมะหรือแผ่นงาช้างรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่สวมอยู่ที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างขวาดีดให้เกิดเป็นเสียงดังบาดหัวใจ
          เพลงที่มิโคโตะบรรเลงชวนให้รู้สึกเศร้าสร้อยและปวดร้าวจนแม้แต่ตัวเองก็ยังทนแทบไม่ได้
          สุดท้ายจึงต้องหยุดลงเสียดื้อ ๆ
          มิโคโตะผละลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งหน้าเครื่องดนตรีไม้ทาสีขาวนวลเหมือนไข่มุก สีหน้าของมังกรขาวเฉยเมย แต่ก็หม่นหมองด้วยเช่นกัน
          ภายในห้องอันกว้างขวางนั้นไม่มีผู้อื่นอีก นอกจากอิบุกิ อสูรอสรพิษผู้เป็นบริวารใกล้ชิดที่สุด อสูรหนุ่มผมสีน้ำตาลยาวเคลียไหล่ ปลายชี้ออกนิด ๆ สวมชุดคลุมยาวสีดำสนิท นั่งอยู่บนเบาะรองอย่างสำรวม ใบหน้าเรียวติดจะเคร่งขรึมเพราะความรู้สึกเป็นห่วง
          มังกรขาวบรรเลงเพลงโคโตะมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะต้องเล่นไปจนตลอดทั้งคืนหรือไม่ แต่การบรรเลงเพลงนี้ก็ทำให้จิตใจของท่านมิโคโตะพลอยเศร้าหมองไปด้วย อิบุกิเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว
          “ถ้าบทเพลงนี้ทำให้ท่านไม่สบายใจ ข้าก็ไม่อยากให้ท่านเล่นมันอีกต่อไป”
          “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก อิบุกิ”
          “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ บอกข้าบ้างได้หรือไม่ โปรดให้ข้าได้ร่วมรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของท่านด้วยเถอะ” อสูรอสรพิษวิงวอน
          “คุโรบะไม่ได้กลับมาที่ปราสาทหลายคืนแล้วใช่หรือไม่” มิโคโตะไม่ยอมตอบคำถาม
          “ถ้าท่านต้องการตัวการาสุเท็นงูตนนั้น ข้าจะไปนำมันมาให้เอง มิพักให้ท่านต้องลำบากเดือดร้อนใจ ขอเพียงท่านมีบัญชาเท่านั้น”
          หากมังกรขาวกลับส่ายหน้าช้า ๆ
          “ทำอย่างนั้น คุโรบะก็จะไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร แถมยังเป็นการกระโตกกระตากให้อาคางิกับพวกรู้ตัวเสียเปล่า ๆ”
          “ไอ้เจ้าพวกอสูรโอหัง” อิบุกิเข่นเขี้ยว “พวกมันรู้ว่ากำลังถูกจับตามองจึงไม่แสดงอะไรออกมาให้เป็นพิรุธ แต่พวกมันต้องวางแผนอะไรอยู่อย่างแน่นอน มันน่าจับมาเค้นคอเสียนัก”
          “ข้าจึงอยากให้คุโรบะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาข้า แล้วพวกเราก็จะรู้ว่าพวกมันวางแผนอะไรกันอยู่”
          “ข้าไม่เข้าใจ ท่านมิโคโตะ ความจริงเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าอาคางิต้องการอะไร ทำไมท่านไม่สังหารมันเสียเลย ทำไมปล่อยมันเอาไว้ให้รกลูกนัยน์ตาอยู่เช่นนี้”
          มิโคโตะถอนหายใจเบา ๆ เบือนหน้ามาสบตากับบริวารคนสนิทของตน
          “ข้าไม่อยากฆ่าใคร ยิ่งเป็นอสูรด้วยกันแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ถ้าสังหารอาคางิ ก็ยังเหลือพวกของมันอีกมาก มิกลายเป็นว่าข้าต้องฆ่าให้หมดหรอกหรือ”
          “ท่านมิโคโตะใจดีเกินไป”
          “ข้าหรือใจดี” มังกรขาวทวนคำเสียงหยัน “ไม่เลย ข้าไม่ได้เป็นคนใจดีอย่างที่เจ้าว่า ตรงกันข้ามเสียอีก”
          “ข้าขออภัย หากคำพูดของข้าทำให้ท่านต้องคิดถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงอีก” อิบุกิก้มศีรษะจรดพื้น แต่ราชันแห่งขุนเขาโบกมือให้เงยหน้าขึ้น
          “เจ้ามีสิทธิ์พูดได้ทุกอย่างตามที่เจ้าคิด ข้าไม่โกรธเคืองเจ้าหรอก ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
          “แต่ข้าก็ไม่ควรพูด ข้าไม่ควรทำสิ่งใดให้ท่านต้องระคายเคืองใจ”
          “ไม่ต้องปกป้องข้าถึงขนาดนั้นหรอก อิบุกิ เพราะสิ่งที่ข้าทำในอดีตก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
          “แต่ถ้าท่านไม่ทำเช่นนั้น มังกรแดงก็คงใช้ลูกแก้วมันจุสร้างความปั่นป่วนเสียหายจนกลายเป็นภัยพิบัติ ท่านทำถูกแล้วที่สะกดมังกรแดงให้นอนหลับชั่วนิรันดร์”
          “แล้วการที่ข้าส่งโทชิมิตสึให้ไปเป็นผู้ร้องเพลงขับกล่อมฮิเดะซึงุก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วยเช่นนั้นหรือ”
          คำถามของมิโคโตะทำให้อิบุกินิ่งไป
          “ความจริงข้าจะส่งใครไปก็ได้ เพราะฮิเดะซึงุเข้าสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์ไปแล้วด้วยพลังของมันจุ การเล่นดนตรีขับกล่อมก็เพื่อให้พี่ชายของข้านิทราอย่างเป็นสุขเท่านั้นเอง แต่ข้าก็ยังส่งโทชิมิตสึไป ด้วยเหตุผลที่ข้าพยายามบอกตัวเองเสมอมาว่า เป็นเพราะต้องการผนึกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ข้าทำลงไปเพราะหึงหวงโทชิมิตสึกับมิโกะสาวผู้นั้นต่างหาก”
          “พอแล้ว ท่านมิโคโตะ” อิบุกิเอื้อมมือไปจับชายเสื้อคลุมผ้าลูกไม้สีขาวที่ราชันของเขาสวมใส่อยู่ ไม่กล้าที่จะทำมากไปกว่านี้
          แต่มิโคโตะไม่ฟัง ในเมื่อพูดแล้ว เขาก็อยากจะพูดออกมาให้หมด
          “โทชิมิตสึหลงรักนาง ข้ารู้ พวกเขาพบกันใต้ต้นซากุระใหญ่เสมอ โทชิมิตสึจะร้องเพลง เสียงของเขาที่ไพเราะยิ่งกว่าใครมีไว้สำหรับนางผู้นั้นเท่านั้น ข้าริษยานางเหลือเกิน แม้แต่กับข้า ข้าผู้เป็นมังกรขาว แต่เขาก็ยังไม่ร้องเพลงให้ข้าฟังเลย”
          ใจของมิโคโตะนึกย้อนกลับไปไกลแสนไกล ในยุคสมัยที่ยังมีมังกรสองตัวร่วมกันครองขุนเขา มังกรตัวหนึ่งสีแดง เจ้าอารมณ์ ใจร้อน ชอบการต่อสู้ ในขณะที่มังกรอีกตัวหนึ่งสีขาว ใจเย็น รักสงบ ชอบเสียงดนตรี
           มังกรแดงมักมีเรื่องพิพาทกับมนุษย์จากการบันดาลให้เกิดพายุฝนและน้ำป่าพัดท่วมไร่นาเรือกสวนให้เสียหาย ส่วนมังกรขาวมักรับบทผู้ไกล่เกลี่ย คอยทัดทานความกราดเกรี้ยวของผู้เป็นพี่ชาย ทำให้พายุสงบลงกลายเป็นเพียงสายฝนที่ให้ความชุ่มฉ่ำ
           มนุษย์เซ่นสรวงบำบวงมังกรขาว สรรเสริญความดีงามและความเป็นมิตร ผู้ทำพิธีเป็นสาวน้อยหน้าตาหมดจดงดงาม ผิวขาวราวกับหิมะ ผมสีดำเงางามเหมือนไหมชั้นดีผูกรวบไว้ด้านหลังประดับด้วยโนชิซึ่งเป็นกระดาษกับเชือก สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวทับกิโมโนกับฮิบะกามะสีแดงสดและถุงเท้าทะบิสีขาว มือข้างหนึ่งถือคางุระซุสุซึ่งเป็นกระดิ่งสิบสองอันผูกติดไว้กับด้ามไม้ทำเป็นที่จับ มืออีกข้างถือพัดกระดาษ กำลังร่ายรำคางุระประกอบเสียงขลุ่ยและเสียงกลองเพื่อเป็นการบูชาเทพเจ้า
           มังกรขาวเพลิดเพลินกับท่วงทำนองและการร่ายรำ แต่โทชิมิตสึกลับพึงใจแม่สาวน้อยผู้เป็นมิโกะคนนั้น
           มิโคโตะไม่พอใจ ไม่พอใจเลยจริง ๆ
                หัวใจของมังกรขาวที่เคยสงบกลับพลุ่งพล่านจนยากที่จะระงับ มิโคโตะก็ไม่ต่างอะไรกับฮิเดะซึงุหรอก เต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชังและความอิจฉาริษยา อารมณ์ดำมืดเหล่านั้นชักนำให้ทำสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ นานา
                “มิโคโตะร่วมมือกับมนุษย์กำจัดผู้เป็นพี่ชาย ส่งโทชิมิตสึไปอยู่ที่ก้นทะเลสาบเพราะเคืองแค้นที่อสูรตนนั้นกล้าปฏิเสธความรักที่เขามอบให้ คนอย่างนี้เจ้ายังจะเรียกว่าใจดีได้อีกอย่างนั้นหรือ อิบุกิ”
                “ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง” อิบุกิยังย้ำเช่นเดิมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เชื่อมั่น “มังกรแดงสมควรต้องถูกสะกด ส่วนท่านโทชิมิตสึก็สมควรทำหน้าที่นั้นแล้ว เป็นอสูรไม่ควรหลงรักมนุษย์ การตัดไฟเสียแต่ต้นลมนับเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
                “แล้วใครกันเล่าเป็นผู้กำหนดว่าอสูรไม่ควรรักกับมนุษย์” มิโคโตะย้อนถาม “เจ้าก็เห็น ข้าทำถึงขนาดนั้นยังไม่สามารถขัดขวางหัวใจรักของทั้งคู่ได้”
                มังกรขาวทอดถอนใจ
                ในตอนนั้น เขาไม่คาดคิดเลยว่า มิโกะสาวน้อยผู้นั้นจะยอมเสียสละตัวเองสร้างเขตแดนล้อมรอบสถานที่สะกดมังกรแดงไว้อีกชั้น
                นางต้องการอยู่กับโทชิมิตสึไปชั่วนิรันดร์
                “ความรักเป็นสิ่งที่มีพลังอันยิ่งใหญ่”
                มิโคโตะรำพึง ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงหน้าเครื่องดนตรีประจำตัวเช่นเดิม นิ้วเรียวขยับจิหรือหย่องรับสายสีขาวทำจากงาช้างเพื่อปรับระดับเสียงของโคโตะใหม่อีกครั้งตามความเคยชิน ก่อนจะกรีดนิ้วสามนิ้วที่ยังสวมสึเมะอยู่ดีดสายให้กลายเป็นท่วงทำนองขึ้นมาอีกครั้ง
                แต่คราวนี้ เพลงนานาสึโนะโกะที่มิโคโตะบรรเลงไม่ได้ฟังละห้อยโหยเหมือนเมื่อตอนแรกเล่นอีกต่อไป

                คุโรบะเกือบจะตะโกนออกมาอยู่แล้วว่า ‘อย่าหยุด!’ ตอนที่เสียงโคโตะจากฮะคุริวจู่ ๆ ก็เงียบไป
                ทันทีที่เสียงดนตรีหยุดเล่น เขารู้สึกว่า ภาพของคาโตดะในใจของเขาก็พลอยหายวับไปด้วย นั่นคือสาเหตุว่า ทำไมเขาถึงอยากจะตะโกนออกมาอย่างนั้น
                เขาไม่อยากสูญเสียคาโตดะไปอีกแล้ว
                การาสุเท็นงูตัดสินใจได้ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง จะต้องหยุดเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ท่านมิโคโตะจะต้องรับรู้ความเลวร้ายที่ข้าได้กระทำ!
                ปีกกว้างสีดำสยายออก คุโรบะกระโดดจากกิ่งไม้ใหญ่ที่ยืนอยู่ โผขึ้นไปในอากาศ มุ่งไปยังทิศทางของปราสาทสีขาว
                แต่อสูรหนุ่มไปไม่ถึงอย่างที่ตั้งใจไว้
                เพราะแค่ทันทีที่ออกบิน ตัวของเขาก็เหมือนตกวูบเข้าไปอยู่ในใจกลางของพายุ ลมร้ายหมุนพาร่างของเขาให้ตกลงมากองกับพื้น
                “อาราชิ” คุโรบะกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ เขาประมาทไปหน่อยจึงไม่ทันสังเกตว่า ตัวเองหลุดเข้าไปในเขตแดนที่อสูรแห่งพายุร้ายสร้างดักเอาไว้
                “คิดหรือว่าแค่นี้จะทำอะไรข้าได้”
                การาสุเท็นงูที่กำลังเลือดเข้าตาใช้พัดวิเศษโบกสร้างพลังลมเข้าต่อต้านและพาตัวเองแหวกออกมาจากอาณาเขตของอาราชิได้เป็นผลสำเร็จ
                “พลังของพัดเท็นงูช่างวิเศษเสียจริง” เสียงชมเชยพร้อมกับเสียงปรบมือดังขึ้น คุโรบะหันขวับไปมอง ตาเบิกกว้าง
                “อาคางิ!”
                นอกจากอสูรตนนั้น รอบตัวเขาตอนนี้ยังมีร่างของลูกสมุนตนอื่น ๆ ของมันยืนล้อมกรอบ บรรยากาศโดยรอบยังหนักข้นอยู่ เขาทำลายเขตแดนของอาราชิได้ แต่ยังไม่หลุดจากเขตแดนอีกอันที่กางซ้อนอยู่ แถมแรงอัดที่กดทับร่างของเขาบอกให้รู้ว่า เขาคงทำลายอาณาเขตที่สองนี้ไม่ได้ง่าย ๆ
                มันเป็นอาณาเขตของอาคางิ!
                มือของเขากำด้ามพัดแน่น เหงื่อผุดซึมเต็มใบหน้าที่เผือดซีด
                “ทำไมทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นเล่าคุโรบะ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้ามีเรื่องอะไรก็สามารถคุยกับข้าได้ แล้วนี่เจ้ากำลังจะไปไหน จะกลับเข้าปราสาทอย่างนั้นหรือ จะไปพบใครหรืออย่างไร”
                เสียงของอาคางินุ่มนวล ท่าทางของมันก็ยังคงความสุภาพ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย แต่เขารู้ดี มันลงมือสังหารได้ทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่นี่ล่ะ
                ยังจะสมุนของมันอีกล่ะ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะลงมือกันจนเต็มแก่
                “ว่าอย่างไร คุโรบะ เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ”
                “ข้าจะไปพบท่านมิโคโตะ”
                การาสุเท็นงูตอบไปตามตรง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีวันเชื่อคำลวงของเขาอย่างแน่นอน ดังนั้น พอกันทีกับความเท็จและการหลอกลวงทั้งหลาย!
                “จะไปพบท่านมิโคโตะทำไมหรือ”
                “ธุระนั้นเป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” คุโรบะกระชากเสียงตอบ
                “อะไรกัน ทำไมพูดเสียงดังใส่ข้าอย่างนั้น เราเคยพูดจากันด้วยดีมาตลอดไม่ใช่หรือไง”
                อาคางิยังคงสนุกสนานกับการล่อหลอกอีกฝ่ายเล่น ชอบเหลือเกินที่ได้เฝ้ามองความอึดอัดและหวาดกลัวของผู้ที่หลงเข้ามาเป็นเหยื่อ และเมื่อความกลัวทวีถึงขีดสุด เสียงกรีดร้องของเหยื่อจะฟังไพเราะจับใจอย่างที่สุด
                “เรามาคุยกันดี ๆ เหมือนเดิมเถอะนะ”
                “พอที! หลีกทางให้ข้า!”
                เมื่อสุดจะทน คุโรบะก็ตะโกนก้อง สะบัดขนปีกสีดำที่คมราวกับมีดโกนพุ่งใส่ร่างที่ยืนขวางหน้า ก่อนหันไปใช้พัดเท็นงูเสกลมพายุพัดเข้าใส่พวกที่เหลือ หวังจะอาศัยจังหวะชั่วเสี้ยววินาทีนี้หลบหนี แต่เขาไม่สามารถทำลายเขตแดนที่กางล้อมอยู่ได้อย่างที่คิด แล้วในชั่วพริบตาต่อมา ร่างของเขาก็ร้อนเหมือนโดนไฟเผา ร่วงตกลงมาบนพื้น ก่อนจะถูกกระชากด้วยแรงมหาศาลขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง แขน ขาและลำคอถูกรัดรึงด้วยใยเหนียวที่แข็งแกร่ง
                การาสุเท็นงูกัดกรามด้วยความเจ็บปวด ไฟของไทมะซึมะรุแผดเผาร่างของเขา ก่อนจะโดนริคิมะรุจับโยนขึ้นฟ้าให้ซึชิกุโมะพันธนาการอย่างไม่ปราณี
                ตัวคนเดียวอย่างเขาไม่สามารถสู้กับอสูรหลายตนที่รุมกันเข้าโจมตีในคราวเดียวได้จริง ๆ
                “คิดจะทำร้ายข้าอย่างนั้นรึ เจ้าอสูรแก่ไม่เจียมสังขาร” อาคางิพุ่งมือมาบีบคอเขาซ้ำ น้ำเสียงของอสูรผมสีแดงเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม ดวงตาเฉียงฉายแววอำมหิต ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริง
                “ข้ารึอุตส่าห์คิดว่าจะไว้ชีวิตเจ้า”
                “โกหก! ปีศาจกลับกลอกอย่างเจ้าน่ะรึจะไว้ชีวิตข้า เจ้าฆ่าคาโตดะ ตอนนี้เจ้าก็กำลังจะฆ่าข้าอีกคน ทุกอย่างมันเป็นแผนของเจ้าทั้งนั้น”
                “เพิ่งคิดได้เอาตอนนี้น่ะรึ น่าสมเพชเสียจริง อสูรหน้าโง่อย่างเจ้าสมควรตายแล้ว แผนของข้าจะได้สำเร็จ” อาคางิแสยะยิ้ม เกร็งนิ้วเพิ่มแรงบีบ
                คุโรบะพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระ แต่ไม่สำเร็จ สุดท้าย อสูรผู้กลายร่างเป็นนกสีดำก็ค่อย ๆ หมดแรง ดวงตาของเขาพร่ามัว แต่ก็ยังมองเห็นว่า อาคางิกดคมเขี้ยวลงไปที่ต้นคอของเขา
                ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นพร้อมกับที่รู้สึกว่าพิษร้อน ๆ ของตะขาบแล่นไปตามเส้นเลือดทั่วร่าง
                วาระสุดท้ายของเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว
                ในสำนึกสุดท้าย เขามองเห็นใบหน้าของคาโตดะ และถ้าหูของเขาไม่ฝาด คาโตดะกำลังร้องเพลงนานาสึโนะโกะ เพลงที่เคยร้องด้วยกัน น้ำเสียงของคาโตดะดังกังวานชัดเจน สหายรักกำลังยิ้มให้เขาอย่างสดใส
                ข้ากำลังจะได้ไปพบเจ้าแล้ว... รอข้าก่อนนะ... คาโตดะ

               “นอนไม่หลับหรือครับ”
               เอย์จิเบือนหน้ามามองตามเสียงทัก ก่อนจะเปิดยิ้มอ่อนโยนให้รุ่นน้องที่เดินฝ่าความมืดเข้ามาใกล้
               “นายก็นอนไม่หลับเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มย้อนถาม
               เขากำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่คนเดียวตรงระเบียงห้องนอน วางโคมไฟเล็ก ๆ ไว้ใกล้ตัว แสงไฟเรื่อเรืองจากดวงโคมคงเป็นตัวนำรุ่นน้องของเขาให้เดินจากที่ห้องมาหา
               ชินจิพยักหน้ารับตามตรง
               “พรุ่งนี้เป็นวันงานเทศกาลแล้ว ผมกังวล กลัวว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”
               “นั่งลงสิ” เอย์จิตบที่ว่างข้างตัวเบา ๆ ชินจิก็นั่งลงตามคำชวนอย่างว่าง่าย
               “หนาวรึเปล่า”
               ชินจิส่ายหน้า เสื้อคลุมฮาโอริที่เขาใส่ทับยูกาตะอยู่หนาพอจะต้านลมหนาวในตอนกลางคืนได้อย่างสบาย แต่ถึงเขาจะปฏิเสธ เอย์จิก็อดไม่ได้ที่จะถอดผ้าพันคอที่สวมอยู่ออกมาพันรอบคอให้อยู่ดี ผ้าพันคอขนสัตว์ผืนหนาและนุ่ม ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย... ทั้งกายและทั้งหัวใจ
               “ขอบคุณมากครับ” ชินจิพูด ศีรษะเอนพิงลงกับไหล่หนาของรุ่นพี่ เอย์จินั่งนิ่งเป็นหลักที่ไม่คลอนแคลน ริมฝีปากที่มี  รอยยิ้มน้อย ๆ แตะแต้มสยายออกกว้างยิ่งขึ้น
               “เรื่องวันพรุ่งนี้ นายไม่ต้องกลัวหรือกังวลไปหรอกนะ เราทุกคนที่นี่จะไม่มีวันยอมให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด”
               เอย์จิพูดขึ้นในที่สุด
               “ถ้าเอย์จิซังไม่กังวล ผมก็ไม่กังวลด้วย”
               คำตอบที่ได้ยินทำให้เอย์จิอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นี่เขาพยายามเลี่ยงแล้วเชียวนะ แต่ก็ไม่ได้ผลจนได้ ซ้ำยังโดนย้อนเข้าให้เสียด้วย
               “โอเค ก็ได้ ฉันยอมรับ ฉันกังวลนิดหน่อย งานเทศกาลคนเยอะ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ยากจะดูแลได้ทั่วถึง”
               “ผมจะช่วยด้วยอีกแรง”
               “ตัวเองก็เป็นเป้าทำร้ายอยู่แท้ ๆ ยังจะคุย”
               ชินจิลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที จ้องคนพูดด้วยสายตาเหมือนจะเคืองเล็ก ๆ
               “ผมขยันฝึกยิงธนูอยู่ทุกวัน เออิจิโร่ซังกับโอคินะซังยังชมว่าผมฝีมือดี ใช้ธนูปัดรังควานก็ได้แล้ว รับรองว่าผมต้องมีประโยชน์กับพวกคุณแน่ ๆ อย่ากีดกันผมหน่อยเลย ผมก็อยากช่วยเหมือนกันนะ”
               “ฉันจะให้นายช่วยก็ได้ แต่นายต้องสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีและห้ามไปไหนไกลสายตาฉันเด็ดขาด นายทำได้รึเปล่า”
               “ผมสัญญาครับ ผมจะระวังตัวเอง จะไม่หายไปไหนให้คุณต้องเป็นห่วง”
               “ดีมาก” เอย์จิเอ่ยชม มือใหญ่อบอุ่นของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะรุ่นน้อง แล้วดึงเข้ามาใกล้ ให้ศีรษะของชินจิซบลงกับอกกว้างของเขา
               “นายต้องอยู่กับฉัน”
               “ผมจะอยู่กับคุณ”
               เอย์จิหลับตาลง ปล่อยให้คำมั่นของรุ่นน้องประทับลงไปในหัวใจของเขา ถ้าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนในอ้อมแขนของเขาจริง ๆ เขาก็ขอรับไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ชินจิจะต้องปลอดภัย เขาจะไม่ให้มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับชินจิอีกอย่างเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมสูญเสียอีกแล้ว...
               “ดึก ๆ ดื่น ๆ ยังจะสวีทกันอีกวุ้ย พรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่นะ ประเดี๋ยวก็ขาอ่อน หมดแรงกันเท่านั้น แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
               เอย์จิกับชินจิผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินเสียงทักแกมล้อเลียนดังขึ้น เออิจิโร่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย เห็นอีกทีก็มายืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ต่อหน้าเสียแล้ว ข้างตัวสูงใหญ่ของพี่ชายฝาแฝดของเอย์จิคือคู่หมั้นสาวของเขา รุกะสวมชุดยูกาตะสำหรับใส่นอนมีเสื้อคลุมตัวหนาสีเข้มสวมทับ ปล่อยผมสยายยาว ไม่ได้เกล้าขึ้นสูงเหมือนอย่างที่เห็นจนชินตาในตอนกลางวัน ดวงตาของหล่อนที่มองมามีแววตำหนิติเตียนอย่างชัดเจน ไม่ว่ายังไง หญิงสาวก็ยังไม่พอใจเรื่องระหว่างเอย์จิกับรุ่นน้องอยู่นั่นเอง
                “แล้วพวกนายสองคนล่ะ ทำไมยังไม่นอน เที่ยวเดินจับผิดคนโน้นคนนี้อยู่ได้” เอย์จิถามเสียงขุ่น มือของเขายังจับมือของรุ่นน้องไว้ ไม่ยอมให้ชินจิลุกเลี่ยงไปได้ ชายหนุ่มจึงจำต้องนั่งอยู่ที่เดิม ข้าง ๆ เอย์จิ สีหน้าท่าทางเก้อกระดาก
                “ไม่ได้ตั้งใจจะตื่นมาขัดจังหวะใครเลยจริงจริ๊ง” เออิจิโร่ปฏิเสธ พยักพเยิดไปทางภูเขาสูงที่เห็นเป็นเงาดำทะมึนอยู่ไกล ๆ
                 “แต่รำคาญเสียงโคโตะเป็นบ้า เล่นอยู่ได้แต่นานาสึโนะโกะเพลงเดียว รอบแรก ๆ มันก็เพราะดีอยู่หรอก แต่เล่นวนไปวนมาอยู่เพลงเดียวไม่ยอมหยุดนี่มันไม่ไหวนะ แถมยังติดลำโพงซะแบบว่า กลัวใครไม่ได้ยินรึไงก็ไม่รู้”
                 “ฉันก็สงสัยเหมือนกัน ลุกออกมาดูก็เจอเออิจิโร่พอดี” รุกะเสริมเสียงเรียบ
                 “เสียงโคโตะงั้นหรือ ทำไมฉันไม่ได้ยินเลย” เอย์จิขมวดคิ้ว มองหน้าชินจิ รุ่นน้องของเขาก็ส่ายหน้าเช่นกัน
                 “ตอนนี้มันเงียบไปแล้ว” หญิงสาวพูด
                 “แปลก” เอย์จิออกปาก “ทำไมต้องเป็นนานาสึโนะโกะ”
                 “ใครจะไปรู้ได้ว่ามังกรขาวนึกครึ้มใจอะไรขึ้นมา เสียงโหยหวนชะมัด” เออิจิโร่สบถพึม
                 “แต่ฉันว่าไม่น่าเรียกว่าครึ้มใจได้เลยนะ ฟังอย่างกับเสียงร้องไห้ ปกติตอนกลางคืนที่นี่ก็วังเวงจะแย่อยู่แล้ว ยังมาเล่นเพลงอะไรแบบนี้อีก คนจะหลับจะนอนก็ไม่ได้นอนดี ๆ” รุกะผสมโรง แต่บ่นยาวกว่าคู่หมั้นมาก
                 “ถ้ามังกรขาวคิดถึงใครสักคนจริง ๆ เหมือนอย่างในเพลง คนคนนั้นจะเป็นใครหรือครับ” ชินจิถามบ้าง
                 ทุกคนพร้อมใจกันมองไปยังภูเขาสูงเป็นตาเดียว แต่คำถามของชินจิไม่มีใครสามารถตอบได้ และในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงโคโตะเพลงนานาสึโนะโกะก็ลอยตามสายลมมาให้ได้ยินอีกครั้ง

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สรุปน้องอีกาดำก็ไม่รอดใช่ไหมเนี่ย... น่าสงสารจังเลย :hao5:

เกลียดอาคางิกับพวกอสูรเกิดใหม่มาก ทำให้คนอื่นเค้าทุกข์กันขนาดไหม มันก็ไม่สนใจเลย :katai1:

ปล แล้วจะตามไปอ่านเรื่องอื่นๆของคนเขียนน้า

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
คุโรบะ รอดมั้ยอ่ะ? อยากให้รอดจังงง :hao4:

มังกรขาวก็มีความรักแฮะ

งานเทศกาลจะมีเรื่องมั้ยเนี่ยยย  :katai1:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 22

        วันงานเทศกาล อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่มีแดดมาตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเป็นปกติของอากาศในช่วงฤดูนี้อยู่แล้ว ขอเพียงอย่ามีฝนตกลงมาเท่านั้นเอง ซึ่งพยากรณ์อากาศก็บอกว่า วันนี้ฟ้าปิด มีเมฆมาก แต่จะไม่มีฝนตก
        ชินจิชะโงกออกไปมองท้องฟ้าด้านนอก ไม่แน่ใจว่า วิทยาศาสตร์จะใช้ได้กับที่หมู่บ้านนี้หรือไม่ ในเมื่อใคร ๆ ก็รู้ไม่ใช่หรือว่า มังกรเป็นผู้ควบคุมฝน
        ถ้าฝนตกหนัก งานเทศกาลจะต้องยกเลิก ความพยายามของทุกคนจะสูญเปล่า นึก ๆ แล้วก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
        “ชินจิ”
        เสียงเรียกชื่อของเขาจากหน้าห้องนอนทำให้ชายหนุ่มผละกลับมาจากตรงระเบียงที่ยืนอยู่ เดินไปเปิดประตู จากเสียงอย่างเดียว เขาแยกไม่ออกว่าคนที่เรียกเขาคือพี่หรือน้อง ต้องเห็นหน้ากันถึงจะรู้ว่าเป็นใคร
        “เอย์จิซัง” ชายหนุ่มเปิดยิ้มทักทาย
        “พร้อมไหม” รุ่นพี่ของเขาถาม
        “พร้อมครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างหนักแน่น เขายังเห็นริ้วรอยความกังวลแฝงอยู่ในใบหน้าเคร่งขรึมของเอย์จิ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ทัก เพียงเดินตามรุ่นพี่ไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ ที่ศาลเจ้า
        งานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงจัดขึ้นเพื่อขอบคุณเทพเจ้าหลังจากเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว และเมื่ออัญเชิญเทพเจ้าลงมาจากฟ้าก็จะมีการเฉลิมฉลองและแห่แหนเทพเจ้าไปรอบหมู่บ้านหรือรอบเมือง เพื่อเยี่ยมเยียนตามบ้านให้เกิดสิริมงคล หลังจากนั้นจึงส่งเทพเจ้ากลับคืนสู่ฟ้า ขบวนแห่ในพิธีจึงจัดอย่างยิ่งใหญ่ เริ่มต้นที่ศาลเจ้า ก่อนจะเวียนมาจบที่ศาลเจ้าเช่นกัน
        ชินจิมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ ในขบวนแห่มีผู้คนมากมาย รับหน้าที่แตกต่างกัน เครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนกันด้วย หัวขบวนเป็นกลุ่มนักดนตรีซึ่งเป็นเด็กผู้ชายใส่ชุดคลุมยาวสีขาวลายขนนกหลาย ๆ สี ถือฆ้องอันเล็ก ๆ สีดำ ตามด้วยกลุ่มผู้ชายหนุ่มและวัยกลางคนใส่ชุดแบบคะมิชิโมะ สวมกิโมโนสีเข้มทับด้วยเสื้อนอกไม่มีแขนหรือคะตะงินุสีเทากับกางเกงฮากามะสีเดียวกัน ซึ่งเป็นชุดออกงานของเหล่านักรบ จากนั้นเป็นกลุ่มเด็กหนุ่มวัยมัธยมใส่ชุดฮะคุโจสีขาวล้วนซึ่งเป็นชุดของคนรับใช้ในราชสำนัก เสื้อชั้นนอกเป็นคะริงินุสั้นและไม่บานมากเท่ากับที่พวกขุนนางใส่ สวมกางเกงคุคุริบากามะ เป็นกางเกงฮากามะชนิดสั้น มีจั๊มตรงใต้เข่า สวมหมวกเรียกว่า ตาเตะเอโบชิ เป็นหมวกทรงสูงสีดำ แต่จะสั้นกว่าหมวกชนิดเดียวกันที่พวกขุนนางใส่ เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ตีกลองนำหน้าเกี้ยวมิโคชิ และต่อด้วยกลุ่มผู้ชายวัยกลางคนใส่ชุดอิคันกับหมวกคันมุริสีดำ ซึ่งเป็นชุดสำหรับขุนนางและนักรบใส่ในราชสำนัก โฮหรือเสื้อคลุมตัวนอกกับกางเกงซะชินุคิที่ใส่แทบไม่ซ้ำสีกัน บางตัวพิมพ์ลายรูปกลม ๆ สีทอง สวยงามตื่นตา
        นอกจากนั้นยังมีขบวนชิชิมะอิ แยกเป็นกลุ่มที่สวมหัวสิงห์กับผ้าคลุมและกางเกงผ้าสีเขียวลายวงกลมสีขาวสำหรับเต้นเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากบ้านเรือนผู้คนและกลุ่มนักดนตรีใส่ชุดสีและลายเดียวกัน พวกนี้จะเป่าขลุ่ยและตีกลองให้กับการเต้นของพวกสวมหัวสิงห์ ถัดมาเป็นขบวนของนักเป่าขลุ่ยซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใส่เสื้อคลุมคะริงินุสีเขียวเข้ม มีเชือกสีขาวตกแต่งที่ปลายแขนเสื้อทั้งสองข้าง กับกางเกงซะชินุคิสีฟ้าอ่อน สวมหมวกตาเตะเอโบชิสีดำ และเพราะสมาชิกแต่ละคนของขบวนนี้ยังอายุน้อย ๆ กันทั้งนั้น จึงต้องมีผู้ใหญ่คอยคุมให้อยู่เป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ
        ขบวนแห่จะเริ่มตอนใกล้เที่ยง แต่ก่อนหน้านั้น ได้มีการแยกกำลังคนอีกส่วนหนึ่ง ใส่เสื้อคลุมฮัปปิสีเข้มกับกางเกงผ้าสีต่าง ๆ กัน ไปช่วยกันลากรถลากยะไตจากในโรงเก็บทั่วหมู่บ้านออกมายังลานกว้างด้านนอกซึ่งปกติใช้เป็นลานจอดรถ แต่สำหรับวันงานเทศกาลจะใช้เป็นเวทีกลางแจ้งจัดแสดงรถลากยะไตชั่วคราวและใช้เป็นสถานที่แสดงตุ๊กตาคาระคุริด้วย เพราะความกว้างขวางของมันสามารถจุนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ผู้คนจะได้ไม่มาแออัดกันอยู่ที่ศาลเจ้ามากจนเกินไป
        เอย์จิเห็นรุ่นน้องละล้าละลังมองไปทางโน้นทางนี้ที ไม่ยอมเดินตามมาเสียที จึงเอื้อมมือไปดึงแขนให้เร่งฝีเท้าขึ้น
        “ดูอะไรอยู่ ตามมาเร็ว ท่านพ่อมาแล้ว”
        “โอ้โฮ” ชินจิมองตะลึง หลังจากละสายตาจากขบวนแห่แล้วหันมาเจอกับคนที่ยืนอยู่บริเวณหน้าไฮเด็ง
        บิดาของเอย์จิใส่ชุดโจเอะสีขาวล้วน ชุดพิธีการของพระชินโต ดูสง่างามและทรงอำนาจน่าเกรงขามสมกับเป็นพระชั้นผู้ใหญ่และเจ้าอาวาสของศาลเจ้า สวมหมวกทรงสูงสีดำหรือตาเตะเอโบชิซึ่งมีความสูงมากกว่าหมวกที่ใส่กับชุดฮะคุโจ เสื้อโจเอะชั้นนอกกับกางเกงซะชินุคิทำจากผ้าไหมเนื้อดีขึ้นเงามันวาว สวมอะซะงุตสึซึ่งเป็นรองเท้าไม้สีดำลงน้ำมันจนขึ้นเงา แต่ในมือข้างขวา แทนที่จะถือไม้ชะคุซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นคันนุชิที่จะต้องถือเวลาใส่ชุดพิธีการ ท่านมาซาฮารุกลับถือดาบด้ามยาวสีดำสนิทแทน
        คนที่สวมทุกอย่างเต็มยศและถูกต้องครบถ้วนคือเออิจิโร่ ชายหนุ่มใส่ชุดโจเอะสีขาวล้วนเหมือนกัน และในมือขวาของเขาถือไม้ชะคุ ไม้คทาสูงประมาณสามสิบเซ็นติเมตรหรือเรียกว่าหนึ่งชะคุ วันนี้พี่ชายฝาแฝดของเอย์จิไม่มีท่าทางขี้เล่นสนุกสนานเหมือนเดิม แต่วางท่าภูมิฐานสง่างามและเคร่งขรึมสมกับที่เป็นคันนุชิของศาลเจ้า และข้างตัวของเขาคือรุกะที่วันนี้ใส่ชุดของมิโกะ เสื้อคลุมชั้นนอกสีขาวมีลายคล้าย ๆ ช่อดอกไม้สีเทาดำ กางเกงฮิบะกามะสีแดงสด สวมถุงเท้าและรองเท้าสานสีขาว ผมรวบเป็นหางม้าประดับด้วยเครื่องประดับผมเป็นกระดาษกับเชือกเรียกว่า โนชิ มือสองข้างประสานกันไว้ที่ด้านหน้า ท่าทางสำรวม
        เออิจิโร่กับรุกะจะร่วมเดินในขบวนแห่ด้วย แต่ท่านมาซาฮารุจะไปอยู่ดูแลความเรียบร้อยที่ลานท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นลานแสดงรถลากยะไตและคาระคุริ โฮโจกับพวกมิโกะและพระฝึกหัดคนอื่น ๆ รวมทั้งสึบาเมะกับทากะแยกย้ายกันไปประจำจุดต่าง ๆ ทั่วหมู่บ้าน เพื่อดูแลความเรียบร้อยร่วมกับตำรวจและอาสาสมัครคนอื่น ส่วนเอย์จิกับชินจิไม่ต้องประจำอยู่ที่จุดไหนเป็นพิเศษ แต่จะเดินไปด้วยกันกับขบวนแห่ คอยดูความเรียบร้อยโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งสองคนจึงไม่ได้ใส่เครื่องแต่งกายพิเศษเหมือนคนอื่น ๆ แต่สวมชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้มธรรมดา พิเศษหน่อยคือสะพายธนูกับกระบอกใส่ดอกศรปัดรังควานเท่านั้น
        “เอย์จิ ชินจิคุง” เออิจิโร่เรียก เมื่อหันมาเห็น พลอยทำให้มาซาฮารุกับรุกะหันมามองด้วย
        “ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” พี่ชายฝาแฝดถาม เอย์จิพยักหน้า
        “โอคินะซังล่ะครับ” ชินจิถามเมื่อมองหาจนทั่วแล้วแต่ไม่พบร่างเล็กแต่แข็งแรงของชายชราเลย ชายหนุ่มจำได้ว่า โอคินะซังไม่ต้องไปประจำจุดไหนเหมือนหลานชายและคนอื่น ๆ ทั้งสิ้น
        “อยู่ในฮนเด็ง โอคินะซังจะต้องเฝ้ารักษาศูนย์กลางของอาณาเขตของเรา” เออิจิโร่ตอบ
        ชินจินึกถึงคำบอกเล่าของรุ่นพี่ว่าอาณาเขตก็เป็นแค่สัญญาณกันขโมย ไม่สามารถกันผู้บุกรุกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย อย่างน้อยก็กันไม่ให้มี ‘อะไร’ ตบเท้าพาเหรดกันเข้ามาในหมู่บ้านได้ง่ายเกินไปนัก
        แล้ว ‘อะไร’ ที่ว่าก็น่าจะหมายถึงพวกอสูรจากในภูเขามิคามิ
        ชินจิเคยได้ฟังแต่คำบอกเล่า ยังไม่เคยเจออสูรที่ไหน นอกจากชิโนซากิคิตสึเนะและพวกยักษ์เล็กที่เคยโจมตีทำร้ายเขา ลึก ๆ ภายในใจ นอกเหนือจากความกลัวแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกเล็ก ๆ ซุกซ่อนอยู่อีก นั่นคือ ความอยากรู้อยากเห็น บางครั้งเขาก็เผลอไผลคิดเรื่อยเจื้อยเหลวไหลไปว่า ถ้าสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า มันก็คงเป็นประสบการณ์สุดยอดอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
        ชายหนุ่มหยุดคิดเรื่องเหลวไหล เมื่อได้ยินเสียงเข้มของท่านมาซาฮารุประกาศว่า
        “ได้เวลาแล้ว”
        ขบวนแห่เริ่มเคลื่อนออกจากศาลเจ้า เอย์จิจับมือชินจิฉุดให้เดินนำหน้าขบวนไปก่อน ออกไปปะปนกับบรรดานักท่องเที่ยวที่พากันมาจับจองที่ตามถนนหนทางที่ขบวนจะผ่านเพื่อให้ได้มุมที่ดีที่สุด คนมากันมากจริงอย่างที่กะกันไว้ นอกจากนักท่องเที่ยวธรรมดาก็ยังมีพวกตากล้องที่แบกกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่วิ่งดักหน้าดักหลังขบวนเพื่อจับภาพให้ได้ชัดที่สุด
        ขบวนหยุดเป็นระยะเพื่อให้คนในขบวนทำการแสดงหรือเล่นดนตรี โดยเฉพาะขบวนชิชิมะอิที่งานยุ่งตลอด เพราะเมื่อผ่านบ้านเรือนหรือร้านค้า เจ้าของสถานที่ก็จะขอให้เต้นระบำเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและเสริมสร้างสิริมงคลให้เกิดขึ้น พวกนักดนตรีจะเป่าขลุ่ยและตีกลอง ส่วนพวกที่สวมหัวสิงห์ก็จะเต้นไปเต้นมาพลางชูหัวสิงห์ขึ้นลง ท่วงท่าแข็งแรงและน่าเกรงขาม หัวสิงห์แสยะปากเห็นเขี้ยว เป็นการสร้างความหวาดกลัวให้แก่พวกสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่อาจสิงสู่อยู่ตามบ้านเรือน
        ชินจิอยู่กับเอย์จิตลอดเวลาตามที่สัญญาไว้ เมื่อขบวนหยุด ทั้งคู่ก็หยุดด้วยและร่วมชมการแสดงในขบวนเหมือนกับคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่คนที่จ้องไม่วางตาคือชินจิ แต่เอย์จิเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วก็เลยไม่เห่อเท่าไร ชายหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ แทน แต่ก็ไม่เจอสิ่งใดที่ผิดปกติ
        ขบวนแห่เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ตามถนนรอบหมู่บ้าน แล้ววนกลับตามเส้นทางที่จะไปที่ศาลเจ้า เอย์จิจึงสะกิดรุ่นน้อง ชวนว่า
        “เราไปดูที่ลานท้ายหมู่บ้านดีกว่า ตรงนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
        ชินจิไม่ปฏิเสธ เพราะเขาอยากไปดูรถลากยะไตกับตุ๊กตาคาระคุริในงานเทศกาลอย่างนี้อยู่แล้ว มันคงจะสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งไปกว่าตอนที่ถูกเก็บอยู่ในโกดังหรือในพิพิธภัณฑ์แน่ ๆ
        ตอนที่ทั้งสองไปถึง ที่ลานกว้างแทบไม่มีที่เหลือแล้ว นักท่องเที่ยวที่ดูขบวนแห่อยู่เมื่อสักครู่พากันมาจับจองที่ที่ลานกว้างเพื่อรอชมการแสดงคาระคุริและตุ๊กตาชักใย เมื่อรวมกับคนที่ปักหลักรออยู่ที่ลานท้ายหมู่บ้านตั้งแต่แรกด้วย จำนวนคนก็ยิ่งมากจนแทบจะล้น
        กลางลานกว้าง สูงโดดเด่นเป็นสง่า เห็นได้ชัดเจนแต่ไกล คือรถลากยะไตคันใหญ่สามคัน ตั้งเรียงเป็นแถว เว้นระยะห่างกันพอสมควร รถลากยะไตสร้างจากไม้เหมือนกับเกี้ยวมิโคชิ ตัวรถทาสีต่างกัน ส่วนใหญ่ใช้สีดำหรือแดง ตกแต่งด้วยโลหะสีทอง มีสามชั้น ตรงฐานชั้นล่างสุดประดับด้วยงานแกะสลักไม้ฝีมือละเอียด ชั้นล่างจะสูงกว่าชั้นบน ๆ มีประตูให้คนเข้าไปได้ ชั้นสองและชั้นสามซึ่งเป็นชั้นบนสุดเปรียบเหมือนกับเวทีการแสดง ตรงกลางสร้างเป็นศาลาเล็ก ๆ มีม่านคลุมทั้งสี่ทิศ และส่วนยอดของหลังคาประดับด้วยนกกางปีกสีทองอร่าม
        ชินจิแหงนมองคอตั้งบ่า รู้สึกประทับใจกับความสวยงามที่ได้เห็น แต่เอย์จิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับขมวดคิ้ว เปรยว่า
        “แปลก นี่มันยังไม่ถึงเวลาแสดงคาระคุริสักหน่อย ทำไมเอาตุ๊กตาออกมาแล้ว”
        คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ชินจิสังเกตเห็น บริเวณฐานของชั้นบนสุด มีท่อนไม้ยื่นออกมา และที่ปลายท่อนไม้นั้น ตุ๊กตาคาระคุริเทพเจ้ามังกรผมฟูสีแดง ใส่ชุดอิคัน ยืนนิ่งอยู่ มือข้างหนึ่งถือพัด อีกข้างหนึ่งถือดาบเล่มยาว
        “ทาเคดะซังไม่น่าทำแบบนี้ ไหนว่าจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์”
        “ตุ๊กตาเทพเจ้ามังกรไม่ได้ถือพัดอย่างเดียวหรือครับ ทำไมมีดาบด้วย แล้วถืออาวุธตอนใส่ชุดอิคันนี่ถูกต้องเหรอครับ” ชินจิพลอยแสดงความสงสัย เพราะจำได้ว่า ตุ๊กตาตัวที่ทาเคดะซังตื่นเต้นนักหนาตัวนี้ตอนที่อยู่ในลังไม้มีแค่พัดกระดาษ ไม่มีดาบมาด้วย
        ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกัน บนรถลากคันอื่นก็ปรากฏตุ๊กตาออกมาอีกหลายตัว เป็นตุ๊กตาชักใยที่จะใช้แสดงเรื่อง ‘นายพรานผู้มีความสุขกับคนหาปลาผู้เก่งกาจ’ และบนรถลากคันสุดท้าย ตุ๊กตาคาระคุริรูปเทพเจ้าอินาริก็เดินออกมาด้วย เสียงนักท่องเที่ยวปรบมือกันเกรียวกราว
        “รีบไปหาท่านพ่อกันเถอะ” เอย์จิรู้สึกใจคอไม่ดี ชายหนุ่มเห็นคนที่ดูแลรถลากแต่ละคันมองหน้ากันอย่างงง ๆ บิดาของเขาที่ใส่ชุดโจเอะสีขาวล้วนก็กำลังมองเขม็งไปที่นั่นเช่นกัน มือข้างที่ถือดาบเกร็ง
        “เอย์จิซัง! นั่น!” ชินจิชี้มือสั่นระริกไปทางหนึ่ง
             บนยกพื้นที่จัดไว้เป็นเวทีสำหรับการแสดงละครหุ่นบุนระคุซึ่งแยกเป็นพิเศษต่างหากจากการแสดงคาระคุริและหุ่นชักใยบนรถลากยะไต ปรากฏร่างของตุ๊กตาอีกหลายตัว เป็นตุ๊กตาบุนระคุที่สูงเกือบเท่ามนุษย์จริง ๆ ปกติแล้วต้องใช้นักเชิดหุ่นสามคนถึงจะทำให้ตุ๊กตาขยับได้ แต่ตอนนี้พวกมันขยับได้ด้วยตัวเองราวกับว่ามันเป็นตุ๊กตากลไกแบบหนึ่ง และชินจิสาบานว่า เขาเห็นพวกมันแสยะยิ้มด้วย!
        ทุกคนนอกจากนักท่องเที่ยวคงรับรู้แล้วว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ชาวบ้านที่ใส่เสื้อฮัปปิถอยมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม พูดกันหน้าตาเลิ่กลั่ก
        เอย์จิกับชินจิแหวกคนจนมาถึงที่ที่บิดายืนอยู่ได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกัน ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังมาจากที่ไกล ๆ ทางทิศของศาลเจ้า!
        “เกิดอะไรขึ้น” เอย์จิถามเสียงหลง หันรีหันขวาง มือข้างหนึ่งคว้าแขนของรุ่นน้องจับเอาไว้มั่น
        มาซาฮารุไม่ตอบคำถามของลูกชายคนเล็ก สายตาของเขาจับอยู่ที่พวกตุ๊กตา
        เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นเมื่ออึดใจที่ผ่านมาเหมือนเป็นเสียงสัญญาณ เพราะหลังจากที่ได้ยิน พวกตุ๊กตาบนเวทีและบนรถลากยะไตก็ขยับตัวอีกครั้ง เหล่าตุ๊กตาบุนระคุที่มีทั้งตุ๊กตาเจ้าหญิง เจ้าชาย ซามูไรและสามัญชนชายหญิงเคลื่อนตัวลงมาจากเวทีเหมือนกองทัพทหารที่กำลังจะเข้าสู่สนามรบ พอลงถึงพื้นดิน พวกมันก็ชักดาบหรือหอกแทงเข้าใส่มนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
        ความโกลาหลเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดร้อง!
        นักท่องเที่ยววิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต นอกจากพวกตุ๊กตาบุนระคุ ยังมีพวกตุ๊กตาชักใยกระโดดจากเวทีบนรถลากยะไตเข้ามาร่วมวงด้วย คนที่หนีไม่ทันก็เลือดสาดกันไปเป็นแถวจากคมอาวุธรวมทั้งคมเขี้ยวของพวกตุ๊กตาปีศาจ
        “ทุกคนอย่าตกใจ!” มาซาฮารุชักดาบออกมาจากฝักพร้อมกับตะโกนเตือนสติคนของหมู่บ้านและสั่งการให้ดูแลนักท่องเที่ยวให้หนีไปตามเส้นทางที่นำไปสู่ศาลเจ้าและวัดที่จัดเตรียมไว้เป็นสถานที่ปลอดภัยในยามที่เกิดเหตุการณ์คับขัน
        เอย์จิกับชินจิไม่กล้ายิงธนูเพราะเกรงว่าจะโดนนักท่องเที่ยวที่วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น พวกอสูรมันร้ายนัก เล่นใช้ตุ๊กตาเขย่าขวัญผู้คนสร้างความโกลาหล คลื่นมนุษย์ควบคุมลำบากยิ่งกว่าอะไร โดยเฉพาะเวลาที่กำลังหวาดกลัว พวกอาสาสมัครกับตำรวจพยายามควบคุมสถานการณ์กันอย่างเต็มที่ทั้งที่แต่ละคนก็ขวัญหายไม่แพ้กัน มีเสียงตะโกนบอกต่อ ๆ กันว่า ลูกปืนใช้ไม่ได้ผล
        “ดอกศรปัดรังควานก็ใช้ไม่ได้ครับ” ชินจิเพิ่งมีโอกาสยิง เป้าของเขาเป็นเจ้าหุ่นชักใยตัวหนึ่งที่เดินตรงทื่อมาหาเขา ดอกศรที่เขายิงพุ่งเสียบหัวมันพอดี แต่ไม่สามารถหยุดมันได้
        “พวกมันไม่ใช่อสูร ถึงมันจะเคลื่อนไหวได้ด้วยพลังของอสูรก็เถอะ เราต้องทำลายเปลือกของมัน” เอย์จิคิดจนหัวหมุน “ทำลายข้อต่อให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือไม่ก็เผามันซะ ตัวมันทำจากไม้ เสื้อผ้าเป็นไหม ติดไฟแน่ ๆ”
        เอย์จิหันไปทางบิดา
        “ท่านพ่อ!”
        มาซาฮารุกำลังเผชิญหน้ากับตุ๊กตาเทพเจ้ามังกรผมฟูสีแดง มันเป็นหัวหน้าของตุ๊กตาปีศาจทุกตัว ถึงจะตัวเล็กกว่าตุ๊กตาบุนระคุ แต่มันว่องไวและดาบของมันร้ายกาจไม่แพ้นักดาบมนุษย์ที่เก่ง ๆ เลย มันสามารถประดาบกับหัวหน้าฝ่ายมนุษย์ได้อย่างสูสี
        “เอย์จิ! ไปที่ศาลเจ้า!” บิดาตะโกนบอกลูกชายโดยไม่หันไปมอง “ไม่ต้องสู้! ไปอยู่กับโอคินะ ทางนี้ฉันจัดการเอง!”
        เอย์จิไม่อยากทำตามคำสั่งของบิดา เขาอยากสู้ แต่เขาใช้ชิกิงามิไม่ได้และดอกศรปัดรังควานยังไม่สามารถใช้กับพวกมันได้อีก สิ่งที่ทำได้คือเอาคันธนูฟาดสู้กับพวกมัน กันไม่ให้เข้ามาถึงตัวเท่านั้น นานไปก็เริ่มหมดแรง พวกตุ๊กตาปีศาจไม่มีท่าทีจะเหนื่อยอ่อน แล้วพอพวกมันปั่นป่วนให้มนุษย์กระเจิงหนีได้แล้ว พวกมันก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชินจิทันที พยายามจะจับตัวรุ่นน้องของเขา
        “ไปเร็วเข้า! เอย์จิ!”
        ชายหนุ่มละล้าละลัง ชินจิอยู่ข้าง ๆ เขา กำลังจะหมดแรงเหมือนกัน มือน่าเกลียดของตุ๊กตาใส่หน้ากากลิงไขว่คว้าจับปลายแขนเสื้อของรุ่นน้องของเขาได้ ชินจิร้องเสียงหลง สะบัดตัวหนีสุดชีวิต เอย์จิหันไปใช้ปลายคันธนูกระทุ้งให้มันหลุดกระเด็นออกไป
        “ระวังข้างหลังครับ!”
        เอย์จิหันขวับมาเจอกับตุ๊กตาเทพเจ้าอินาริ แต่ช้าเกินไปที่จะทำอะไรเสียแล้ว มันสะบัดแขนเสื้อตีใส่จนเอย์จิหน้าหงาย แล้วคว้าหมับเข้าที่คอของชินจิ
        รุ่นน้องของเขาตาเหลือก ขณะที่ชายหนุ่มตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ก็โดนตุ๊กตาตัวอื่นเข้ามารุมอีก เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังหายใจไม่ออก
        ในวินาทีแห่งชีวิตนั้นเอง เอย์จิเห็นแขนของตุ๊กตาปีศาจที่บีบคอชินจิอยู่ถูกตัดกระเด็นลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ไฟลุกพรึบติดชุดที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดีของมัน
        “รุกะ! เออิจิโร่!” เอย์จิร้องด้วยความดีใจ
        พี่ชายฝาแฝดเข้ามาพยุงตัวเขา ขณะที่รุกะดึงตัวชินจิให้ถอยห่างจากตุ๊กตาที่กำลังโดนไฟเผา ผีเสื้อสีน้ำเงินของหญิงสาวบินว่อน พุ่งเข้าโจมตีพวกตุ๊กตาด้วยความเร็วเหมือนลูกกระสุน
        “ตุ๊กตากลไกโจมตีขบวนแห่” เออิจิโร่พูดพลางดึงแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ เขายังอยู่ในชุดโจเอะ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวต่อสู้
        “ได้ยินเสียงเอะอะจากทางนี้ คิดว่าโดนเหมือนกัน ก็เลยรีบมา”
        “คนอื่น ๆ ล่ะ” น้องชายถาม
        “โฮโจส่งผู้นำสาส์นมาแจ้งว่ามีพวกภูตพรายเข้าโจมตีผู้คนตามเส้นเขตแดนรอบนอก แต่พวกมันฝ่าเข้ามาในอาณาเขตไม่ได้ พวกนั้นเลยยังเข้ามาช่วยข้างในไม่ได้”
        “เออิจิโร่! ท่านพ่อ!” รุกะหันมาเรียกคู่หมั้น
        “นายพาชินจิไปที่ศาลเจ้าตามที่ท่านพ่อบอกเถอะ ไปอยู่กับโอคินะซัง ทางนี้เราจัดการเอง” เออิจิโร่บอกแกมสั่ง แล้วพุ่งปราดเข้าไปช่วยบิดาโรมรันกับพวกตุ๊กตาที่ยังเหลืออยู่
        เอย์จิไม่อยากไป แต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของชินจิ จึงคว้ามือรุ่นน้องวิ่ง
        ถนนหนทางในหมู่บ้านยังเต็มไปด้วยผู้คน  ถึงจะมีการประกาศให้เข้าไปหลบภัยที่วัดและศาลเจ้า แต่คนบางส่วนก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ทุกคนวิ่งพล่านด้วยความตระหนกตกใจ นักท่องเที่ยวที่อายุมากก็มีไม่น้อย อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ต้องดูแลคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ทั่วทุกแห่งในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย
        ชินจิพยายามวิ่งตามให้ทัน แต่เขาเหนื่อยและตื่นเต้นเกินไป อีกทั้งยังต้องคอยแหวกฝ่าผู้คนเพื่อหาทาง ตัวของเขาถูกกระแทกไปทางโน้นทางนี้ที สุดท้ายชายหนุ่มก็สะดุดล้ม มือหลุดจากมือเอย์จิ
        “ชินจิ!” เอย์จิหน้าตื่น ร้องเรียกรุ่นน้อง แต่ฝูงชนที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้ากลืนร่างของรุ่นน้องของเขาหายไปและดันตัวชายหนุ่มให้เคลื่อนไปโดยไม่หยุด
        “ชินจิ! นายอยู่ที่ไหน!” ชายหนุ่มหลับตา ตะโกนจนสุดเสียง

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               เสียงดังเอะอะภายนอกแว่วเข้ามาในฮนเด็งซึ่งเป็นห้องปิดทึบ แท่นบูชาที่ผนังด้านในซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานลูกแก้วคันจุยังว่างเปล่า ต่ำลงไปคือชั้นที่วางกระจกแผ่นกลม กรอบเป็นไม้สลักลวดลายสวยงาม ศูนย์กลางของอาณาเขตของฝ่ายมนุษย์
          โอคินะนั่งคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชานี้ ชายชราสวมชุดฝึกคิวโด กิโมโนท่อนบนสีน้ำเงินกรมท่าเกือบดำ กางเกงฮากามะสีเทาอ่อน สวมถุงเท้าทะบิสีขาว มือข้างซ้ายจับคันธนูค้ำไว้กับพื้น มือข้างขวาวางบนต้นขา ร่างเล็กและแข็งแกร่งของชายชรานิ่งไม่ไหวติง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทเพื่อทำสมาธิ
          ภายในฮนเด็งเงียบสนิท ทำให้ชายชราแยกแยะเสียงต่าง ๆ ออกโดยไม่ยากเย็น เสียงกรีดร้องด้วยความกลัว เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ เสียงร้องเรียกหาคน เสียงร้องไห้ดังระงม โอคินะลืมตาขึ้น
          ชายชราไม่สนใจเสียงภายนอก แต่เสียงก๊อกแก๊กเบา ๆ ที่ประตูต่างหากที่ทำให้ต้องระวัง
          อึดใจต่อมา ประตูของฮนเด็งก็เปิดแง้มออก เป็นจังหวะเดียวกับที่โอคินะขยับตัวอย่างรวดเร็วเกินอายุ พริบตาเดียวเท่านั้น จากที่นั่งคุกเข่าอยู่ ชายชราเปลี่ยนท่าเป็นคุกเข่าซ้าย ขาขวาชันขึ้น คันธนูกระชับมั่นอยู่ในมือซ้าย มือขวาง้างสายเตรียมส่งลูกธนูพุ่งไปหาเป้าหมายได้ทุกวินาที
          “โอคินะซัง เดี๋ยวก่อนครับ”
          เสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนแกมตกใจ ทำให้โอคินะลดธนูลงต่ำ
          “ชินจิคุงรึ”
          “ท่านมาซาฮารุให้ผมมาหลบที่นี่ พวกตุ๊กตาปีศาจโจมตีลานกว้างกับขบวนแห่ วุ่นวายกันไปหมด”
          “ท่านเอย์จิล่ะ” โอคินะถามเสียงขรึม ยังอยู่ในท่าพร้อมรบ แม้ว่าคนที่เข้ามาในห้องจะเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาก็ตาม
          “อยู่ข้างนอกครับ ให้ผมเข้ามาก่อน บอกให้อยู่ในนี้ ห้ามออกไปไหน”
          คำตอบของชินจิไม่มีพิรุธ หน้าตาของชายหนุ่มรุ่นน้องของเอย์จิซีดขาวด้วยความตื่นกลัว ท่าทางลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนธรรมดาที่เพิ่งเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาหมาด ๆ
          โอคินะจึงคลายอาการระมัดระวังตัวลง ลุกขึ้นยืนตัวตรง บอกชายหนุ่มรุ่นหลานว่า
          “ปิดประตูเสีย แล้วไปนั่งด้านโน้น”
          ชินจิทำตามแต่โดยดี ดึงประตูห้องของฮนเด็งปิดลงตามเดิม แล้วจรดฝีเท้าเดินอย่างระมัดระวัง แต่พอเฉียดผ่านร่างของชายชรา ชายหนุ่มก็หยุด
          “มีอะไร ชิน...”
               คำพูดของโอคินะค้างอยู่แค่นั้น ตาเบิกกว้างมองมีดที่แทงทะลุเข้ากลางหน้าอกจนมิดด้าม!

               ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้าน เออิจิโร่ใช้ไฟที่เสกจากชิกิงามิเผาตุ๊กตาที่เขากำลังต่อสู้ด้วย ฝ่ายรุกะก็ใช้ผีเสื้อสีน้ำเงินของหล่อนฉีกร่างของตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งขาดกระจาย ทั้งสองหันไปทางมาซาฮารุที่กำลังต่อสู้ติดพันกับตุ๊กตาเทพเจ้ามังกรที่เหลืออยู่เป็นตัวสุดท้าย
               นกหงส์ไฟของเออิจิโร่พุ่งเข้าโจมตีศัตรูพร้อม ๆ กับผีเสื้อสีน้ำเงินทั้งฝูงที่รุกะเรียกให้เข้าไปช่วย ทำให้ตุ๊กตาของฝ่ายตรงข้ามต้องรับศึกสามทาง สุดท้ายก็เสียท่า ถูกคมดาบของมาซาฮารุบั่นคอจนขาดและถูกเผาซ้ำด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงจากจะงอยปากของหุ่นพยนต์รูปนก การต่อสู้สิ้นสุดลงพร้อมกับตุ๊กตาตัวสุดท้ายที่ถูกทำลายไป
               บนท้องฟ้า ผู้นำสาส์นในรูปนกกระดาษบินวนไปมา พอเออิจิโร่ชูมือขึ้น มันก็บินร่อนลงมาเกาะที่นิ้ว
               “จากที่ศาลเจ้าครับ เราคุมคนให้อยู่ในความสงบได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถให้ออกนอกหมู่บ้านได้ เพราะยังมีพวกภูตพรายอยู่ข้างนอกเขตแดน” เออิจิโร่อ่านข้อความเสียงดังให้ทุกคนฟัง
               “ภูตพรายชั้นต่ำกับตุ๊กตากลไก” รุกะมองซากตุ๊กตาหลายสิบตัวที่ถูกเผาจนเกรียมหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนลาน บางตัวก็ถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
               “ไม่ใช่แค่พวกนี้หรอก รุกะ ดูโน่น”
               หญิงสาวเหลียวมองตามคู่หมั้น และตอนนี้เองที่รุกะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของอะไรบางอย่างที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
               “มังกรขาว” หญิงสาวเบิกตามอง ผีเสื้อสีน้ำเงินสะบัดปีกพึบพั่บด้วยอาการอยู่ไม่สุข เหมือนความรู้สึกของหล่อนในขณะนี้
               อสูรใต้การนำของมังกรขาวปรากฏตัวขึ้นเหมือนเมฆหมอกสีดำทะมึนที่ขอบฟ้า ร่างสูงสะโอดสะองของมิโคโตะยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าสุด ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวผ้าหนาหนักสีดำสนิท กางเกงและรองเท้าบู๊ตยาวถึงเข่าสีดำเหมือนกัน พันผ้าพันคอลายชิโนริสีดำสลับขาวหลวม ๆ ที่คอ
               เยื้องไปทางด้านหลังคืออสูรอสรพิษอิบุกิ ใส่โค้ทตัวยาวสีดำ พันผ้าพันคอสีดำปิดสนิทมาถึงคาง อสูรหนุ่มหน้าเชิด ประสานมือที่สวมถุงมือหนังสีดำสนิทไว้ข้างหน้า สายตาของเขามองแต่มังกรขาวผู้เป็นราชันของตนเท่านั้น
               อีกด้านหนึ่งคืออสูรซาโตริวาคานะ ใส่กิโมโนยาวกรอมเท้าสีขาวสลับดำ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าแปลกตาข้างหนึ่งจับอยู่เฉพาะที่ร่างของมังกรขาว ขณะที่ดวงตาอีกข้างถูกซ่อนเอาไว้ใต้ที่คาดตาสีดำ ถัดไปจากเขาคืออสูรสายฟ้าคามินาริ อสูรผมหยิกสีบลอนด์ทอง รอบดวงตากลมโตทาสีดำ สีเล็บก็เป็นสีดำสนิท เครื่องประดับรอบคอและข้อมือทั้งสองข้างใช้หินและอัญมณีสีดำ แลเห็นเด่นอยู่บนร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า มือข้างหนึ่งถือกระบี่ด้ามยาวสีเงินแวววาว
               อสูรสายลมคาเสะฮายะยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ถัดไปจากอิบุกิ อสูรตัวเล็กผมสีบลอนด์จาง เปลือยร่างท่อนบน เห็นรอยสักที่ลำคอ ดวงตาสีแดงคมวาว ใส่ผ้าปิดปากสีดำ อาวุธคือเคียวยาวกว่าห้าเมตร และริมนอกสุดทั้งสองด้านคืออสูรผู้พิทักษ์เขตแดน มาซาคาโดะและมุราซากิ ทั้งสองตนอยู่ในรูปสายหมอกสีขาวขุ่นและสีม่วงจาง ลอยวนอยู่รอบ ๆ
               “ยกมากันหมดแทบทั้งปราสาท เราสามคนรับมือพวกมันทั้งหมดไม่ไหวหรอกนะเออิจิโร่”
               “ไหวซี่” คู่หมั้นของหล่อนค้าน “ฉันน่ะรอเวลาฉะกับพวกมันมานานแล้ว คราวนี้แหละ ไม่มีใครมาคอยห้ามอีกต่อไป”
เออิจิโร่ถูไม้ถูมือ กระหยิ่มยิ้มย่อง พยักพเยิด
               “ดูท่านพ่อซะก่อน”
               มาซาฮารุยกดาบขึ้น ไม่คิดจะเปิดการเจรจาให้เสียเวลา มังกรขาวยกพวกบุกเข้ามาถึงใจกลางอาณาเขตของมนุษย์ขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุใดให้ต้องยั้งมือ
               ผู้นำฝ่ายมนุษย์เริ่มร่ายเวท

               จิ้งจอกเปลวอัคคี
               คมเขี้ยวกรชะนัยนา
               กายาสำแดงเดโช


               หุ่นพยนต์สำแดงรูปกายเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่มหึมา ปากอ้ากว้างคำรามเสียงสนั่น เขี้ยวขาวและกรงเล็บทรงพลัง ตลอดทั้งร่างคือเปลวไฟอันร้อนแรง
               มันกระโจนเข้าใส่พวกอสูรด้วยความรวดเร็วประดุจลมพัด เป้าหมายคือคอหอยของมังกรขาว
               มิโคโตะยกแขนซ้ายขึ้นกันได้ทันก่อนที่คมเขี้ยวจะขย้ำเข้าถึงตัว พลังสายน้ำของมังกรปะทะกับพลังไฟที่เสกจากพลังเวทปัดรังควาน จิ้งจอกที่ตัวลุกเป็นไฟกระเด็นออกมา แต่ก็สามารถลุกแล่นเข้าโรมรันได้อีกครั้ง
               มังกรวารีกับจิ้งจอกเปลวอัคคีต่อสู้กันเป็นพัลวัน
               หลังจากบิดาเปิดฉากปะทะไปก่อนแล้ว เออิจิโร่กับรุกะก็ร่ายเวทเสกชิกิงามิของตัวเองโจมตีเข้าใส่พวกอสูรทันทีโดยไม่รอช้า นกหงส์ไฟกับผีเสื้อสีน้ำเงินแหวกทะลุสายหมอกเข้าไปถึงตัวฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ยากเย็น แต่ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า ทำให้มนุษย์เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
               “เออิจิโร่ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ!” รุกะตะโกนขณะที่ก้มหลบดาบของคามินาริได้อย่างหวุดหวิด แต่สายฟ้าจากคมดาบก็ทำให้หล่อนตัวสั่นสะท้าน
               “อดทนไว้ก่อน ฉันเรียกกำลังเสริมแล้ว!” เออิจิโร่ตะโกนตอบพร้อมกับยิงลูกธนูปัดรังควานเข้าปะทะกับแขนของอิบุกิที่ยืดยาวออกมาเป็นงูหลายหัวและต้องหลบเคียวคมกริบของคาเสะฮายะในเวลาเดียวกัน
               และก่อนที่ทั้งสองคนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ‘กำลังเสริม’ ของเออิจิโร่ก็มาถึง
               โฮโจ ทากะและสึบาเมะรับสาส์นที่เออิจิโร่ส่งไปถึงก็ผละจากจุดที่ประจำอยู่รีบรุดเข้ามาที่ลานกว้าง เมื่อเห็นฝ่ายของตัวเองถูกรุม ทั้งสามคนก็เข้ามาร่วมวงต่อสู้ ทำให้สถานการณ์ของฝ่ายมนุษย์ดีขึ้น สามารถต่อกรกับอสูรจากฮะคุริวได้อย่างเท่าเทียม
               
               อีกด้านหนึ่ง ภายในฮนเด็งของศาลเจ้าอินาริ โอคินะมองมีดที่ปักอยู่ที่หน้าอกและมองคนที่แทงเขาเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
               ไม่ใช่! นี่ไม่ใช่ชินจิ!
               บาดแผลของชายชราฉกรรจ์เต็มที เลือดออกมาก มือของเขาพยายามจะคว้าตัวคนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของชินจิ แต่ก็ทำไม่ได้ คนผู้นั้นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วตรงไปที่กระจกบนแท่นบูชา คว้ามาถือเอาไว้ในมือ
               โอคินะอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายร่ายเวทสร้างอาณาเขต พลังของชายชราพุ่งเข้าใส่และบีบอัดร่างของคนที่ถือกระจกจนมันส่งเสียงร้องแหลม เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของชินจิอย่างแน่นอน
               “แกเป็นใคร” สิ้นเสียงถามที่ฟังเหมือนคำสั่ง รูปลักษณ์ของชินจิที่ถูกสวมไว้หลุดออกในทันที ใต้ร่างนั้นคือหน้าขาว ๆ ที่ไร้ความรู้สึก
               “ตุ๊กตา” ชายชราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง พวกมันใช้ตุ๊กตานี่เอง จึงไม่มีไออสูรให้จับได้ มันเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ เพราะพวกมันคือหุ่นยนต์ เป็นกลไกที่ขับเคลื่อนได้ด้วยพลังงาน ในกรณีนี้คงเป็นเลือดเนื้อของมนุษย์ มันเอาตุ๊กตามาสวมรูปลักษณ์ของชินจิ เขาจึงพลั้งเผลออย่างไม่น่าให้อภัย
               แต่รู้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
               ชายชราทรุดตัวลง ตาเริ่มพร่ามัว เลือดทะลักออกมาจากหน้าอกจนเสื้อเปียกชุ่ม
               เจ้าตุ๊กตาจากนรกเงื้อมือขึ้น ทุ่มกระจกตกลงแตกกระจายบนพื้น
               อาณาเขตของมนุษย์ถูกทำลายแล้ว!

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 23

        ประตูฮนเด็งเปิดผาง
        เอย์จิวิ่งเข้ามา ชะงักกึก ตาเบิกโพลง เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านในชัดแก่ตา
        โอคินะคุกเข่าอยู่บนพื้น มือที่กุมหน้าอกเปื้อนเลือด เหนือร่างของชายชราคือตุ๊กตากลไกตัวใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้ม ทำให้เห็นกลไกและฟันเฟืองด้านในได้ถนัดตา สองมือของมันชูขึ้นเหนือหัว กำเศษแก้วชิ้นใหญ่ที่คงจะเก็บมาจากเศษกระจกที่ตกอยู่บนพื้น เตรียมจะปักซ้ำลงบนร่างของชายชรา
        ถึงแม้จะกำลังตกใจ แต่เอย์จิก็ไวพอตัว ยิงธนูใส่มือของตุ๊กตาให้มันปล่อยเศษแก้วร่วงตกลง แล้วพุ่งปราดเข้าประชิด เอาคันธนูกระทุ้งให้ตัวตุ๊กตากระเด็นออกไป
        “โอคินะซัง!” ชายหนุ่มร้องเรียก ใจหาย
        แต่โอคินะยังพอมีสติเหลืออยู่
        “มันสวมรูปลักษณ์ของชินจิสวมรอยเข้ามาทำลายอาณาเขต” ชายชราบอกเสียงแหบพร่า “ชินจิต้องถูกจับไปแล้ว”
        มันตรงกับสิ่งที่เขากำลังกลัวอยู่พอดี ตอนที่มือของรุ่นน้องหลุดจากมือของเขาแล้วหายไป ใจของชายหนุ่มไม่ดีเลย เขาสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น อาณาเขตโดนทำลาย โอคินะซังถูกทำร้าย และชินจิถูกลักพาตัว
        ตัวการก็คือไอ้พวกตุ๊กตานรกพวกนี้
        เอย์จิโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หันไปประจันหน้ากับตุ๊กตาปีศาจที่เดินทื่อเข้ามาหา ง้างหมัดชกหน้าขาว ๆ ของตุ๊กตาสุดแรง!
        “ไอ้พวกปีศาจ” ชายหนุ่มกัดกรามกรอดด้วยความคั่งแค้น
             มือของเอย์จิสั่น ข้อนิ้วแตกมีเลือดออกซิบ
             เขารู้ว่ามือเปล่าแข็งสู้ไม้ไม่ได้และผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ แต่เขาอยากซัดมันด้วยมือเปล่า ๆ เอาให้สาสมกับสิ่งที่มันทำ
             “ท่านเอย์จิ” เสียงแหบเหนื่อยอ่อนดังขึ้นจากด้านหลัง
             “ผมรู้ว่าผมจะจัดการกับมันยังไง โอคินะซัง” ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันไปมอง ตาของเขาจ้องอยู่แต่ที่ตุ๊กตา มันเคลื่อนตัวมาหาเขาอีกครั้ง มือยื่นออกมาทำท่าจะคว้าคอ เอย์จิหลบได้ เขาไม่ยอมให้มันบิดคอเขาได้ง่าย ๆ หรอก ตัวมันเองต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหว
             คันธนูในมือของชายหนุ่มเสือกพรวดเข้าไปขัดฟันเฟืองในตัวมัน เจ้าตุ๊กตาผีหยุดกึกทันที เอย์จิอาศัยวินาทีอันมีค่านั้นดึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ใช้เป็นตัวควบคุมแขนขา ต้องขอบคุณเซ็ตตุ๊กตากลไกพร้อมประกอบที่ชินจิได้มาจากทาเคดะซัง เขาช่วยรุ่นน้องทำอยู่ทั้งคืน รู้หมดว่าชิ้นส่วนฟันเฟืองอันไหนเป็นอันไหน เมื่อขาดชิ้นส่วนพวกนั้นไป ตุ๊กตาปีศาจที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็แน่นิ่ง กลายเป็นตุ๊กตาธรรมดา ๆ ที่ได้แต่อ้าปากพะงาบ ตากลอกกลิ้ง
             หลังจากทำให้ตุ๊กตาหยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว ชายหนุ่มก็ลากมันออกมาจากฮนเด็ง เอามาเผาทิ้งเสียที่ด้านนอก
             โอคินะหมดลมหายใจไปแล้ว เมื่อชายหนุ่มกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง
             ชายชรานอนแน่นิ่งอยู่ตรงจุดเดียวกับที่พบศพของมารดาของเขา น้ำตาของเอย์จิไหลพรากขณะจับร่างของชายชราให้นอนหงาย นี่เขาต้องสูญเสียอีกสักเท่าไหร่กัน
             เอย์จิยกแขนขึ้นปาดน้ำตา เขายังต้องตามหาชินจิ หมอนั่นจะต้องไม่เป็นไร
             ชายหนุ่มหยิบคันธนูของโอคินะที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ ลุกขึ้นยืน เขาต้องหาชินจิให้เจอ พอกันทีกับความสูญเสีย
             ภายนอกเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง หลังจากอาณาเขตถูกทำลาย พวกภูตพรายต่าง ๆ ก็สามารถเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้านได้ พวกมันเป็นภูตพรายชั้นต่ำ ใช้ศรปัดรังควานก็ต้านได้ แต่พวกมันมีจำนวนมาก คนของหมู่บ้านมีน้อยกว่า ทำให้พวกนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกทำร้ายเลือดสาดกระจายร้องระงมฟังไม่ได้ศัพท์
             เอย์จิออกมาจากฮนเด็ง เจอภูตพรายตัวยาวยึกยือน่าเกลียดหลายตัวเข้ามาขวางหน้า ธนูในมือชายหนุ่มขยับขึ้นพร้อมจะยิง แต่พวกมันกลับร้องกี๊ซขึ้นมาจนแสบหูเสียก่อน ร่างสลายกลายเป็นฝุ่นควันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
             “ชิโนซากิคิตสึเนะ!” เอย์จิร้อง เมื่อหันไปเห็นผู้ที่ช่วยเขา
             จิ้งจอกขาวอยู่ในรูปลักษณ์ของพ่อค้าขายโอเด้ง ผมสีน้ำตาลอมแดงสว่าง ใส่ชุดกางเกงสีขาว สวมผ้ากันเปื้อนสีม่วงเข้ม ประทับตราพระจันทร์เสี้ยวและรวงข้าวสีทอง เสื้อผ้าของจิ้งจอกขาวเปื้อนดินเปื้อนโคลน หน้าตาก็สกปรกมอมแมม เหมือนเพิ่งไปฟัดกับอะไรสักอย่างมาหมาด ๆ แต่จิ้งจอกขาวจะไปสู้กับใครมา มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจ
             “คุณมาพอดีเลย ช่วยสร้างเขตคุ้มกันหน่อยสิ เอาแค่คลุมพื้นที่ของศาลเจ้าไว้ก็พอ จะได้ไล่พวกภูตพรายออกไป ฝากด้วยนะครับ”
             “โวะ ทำไมผมต้องทำตามที่คุณสั่งด้วยล่ะ เจ้าหนูลูกชายนักปัดรังควาน ผมแค่จะมาส่งข่าวเรื่องชินจิคุงเท่านั้น”
             พอชื่อของชินจิหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย เอย์จิชะงักฝีเท้าที่เตรียมจะวิ่งทันที มือข้างที่ไม่ได้ถือคันธนูกระชากคอเสื้อของจิ้งจอกขาวด้วยความลืมตัว ถามด้วยเสียงเกือบเหมือนตะคอกว่า
             “ชินจิอยู่ไหน เป็นอะไรรึเปล่า บอกมาเร็วเข้า”
             “ชินจิคุงถูกพวกอาคางิจับตัวไปแล้ว ผมเข้าไปช่วยก็เจอเจ้าพวกตุ๊กตากลไกดาหน้ามาขวาง กว่าจะหลุดมาได้ ชินจิคุงก็หายตัวไปแล้ว โอ๊ย ปล่อยได้รึยัง หายใจไม่ออก!”
             ประโยคท้าย จิ้งจอกขาวโวยลั่น แต่ถึงไม่โวยวาย เอย์จิก็จะปล่อยมือที่ยึดคอเสื้อออกให้อยู่แล้ว ตอนนี้ใจของเขาโลดทะยานไปหาชินจิ ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกแล้ว
             “เดี๋ยวก่อน เจ้าหนูลูกชายนักปัดรังควาน นี่คุณจะไปไหน” จิ้งจอกขาวรั้งตัวเอย์จิไว้
             “ทะเลสาบบิวะ ผมจะบุกแดนอสูร!” เอย์จิตอบอย่างหนักแน่น
             “คนเดียวเนี่ยนะ คุณจะไปได้ยังไง พลังอะไรก็ไม่มี ผมว่าคุณส่งสาส์นบอกพ่อกับพี่ชายคุณดีกว่า”
             “ผมเอาคูดะกีซึเนะของเออิจิโร่ไปด้วย” เอย์จิพูด แล้วก็นึกอะไรออก ล้วงเอากระดาษตัดเป็นรูปนกแผ่นหนึ่งออกมายัดใส่มือของจิ้งจอกขาว สั่งว่า
             “คุณส่งสาส์นแทนผมหน่อยแล้วกัน พวกพ่ออยู่ที่ลานท้ายหมู่บ้าน อ้อ ส่งแล้วรีบสร้างเขตคุ้มกันด้วยนะ เสร็จแล้วค่อยตามผมไป เร็ว ๆ ด้วยล่ะ ป่านนี้ชินจิจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
             ชิโนซากิคิตสึเนะเกาหัวแกรก เออวุ้ย สั่ง ๆ แล้วก็ไป อวดดีจริงแฮะ แต่ก็เอาเถอะ ยังไงไอ้พวกนี้มันก็น่ารำคาญตาจริง ๆ 
             จิ้งจอกขาวถอดผ้ากันเปื้อนที่ใส่อยู่ออก เสกให้กลายเป็นผ้าโยดาเระคาเคะที่มีตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวประทับอยู่ แล้วโยนขึ้นไปบนฟ้า ผ้าสีม่วงเข้มกระจายไปผูกรอบคออินาริคิตสึเนะ สุนัขจิ้งจอกหินที่ทำหน้าที่พิทักษ์สถานที่ ดวงตราบนผืนผ้าส่องแสงสีทองสว่าง ขับไล่กองทัพภูตพรายแตกกระจาย ท้องฟ้าที่เคยมืดมัวด้วยไอควันปีศาจพลันสว่างขึ้นทันตา แล้วกระดาษสีขาวรูปนกที่ถูกยัดใส่มือก็ถูกปล่อยให้โผบินออกไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรจากฮะคุริวหยุดลงอย่างกะทันหัน หลังจากรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขตแดนของคันโจโคเอน ท้องฟ้าที่ไร้แดดอยู่แล้วยิ่งมืดครึ้ม ไอปีศาจแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่ง กองทัพภูตพรายเคลื่อนตัวเห็นเป็นเส้นคดโค้ง
               “พวกหนอนแมลงปีศาจ” มาซาฮารุพึมพำ จิ้งจอกเปลวอัคคีกระโจนกลับมายืนข้างตัว
               สายน้ำรูปมังกรก็ถูกดึงให้กลับกลายเป็นมือข้างซ้ายตามเดิม มังกรขาวและอสูรตนอื่นถอยกลับมายืนรวมกัน ขณะที่ฝ่ายมนุษย์ก็ถอยกลับไปรวมกลุ่มกับหัวหน้าฝ่ายตน
               “เขตแดนถูกทำลายแล้ว ท่านพ่อ แม้แต่โอคินะซังก็ยังต้านไม่ได้หรือนี่” เออิจิโร่พูดเสียงเครียด
               “จะเกิดอะไรขึ้นกับโอคินะซังรึเปล่า” รุกะแสดงความเป็นกังวล หันไปสบตากับโฮโจซึ่งกำลังมองพวกอสูรด้วยความโกรธแค้น
               “แล้วท่านเอย์จิกับชินจิซังล่ะ” สึบาเมะกับทากะมองหน้ากัน ทั้งคู่มีความคิดเดียวกัน คืออยากจะกลับไปที่ศาลเจ้า ไปหาเอย์จิกับชินจิ แต่ก็ยังต้องคุมเชิงพวกอสูรอยู่นี่น่ะสิ ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เลย
               จังหวะนั้น มิโคโตะชูมือขึ้นฟ้า ฝ่ายมนุษย์ขยับตามทันที ตั้งท่าจะสู้อีก แต่พลังของมิโคโตะไม่ได้หันเข้าหาอย่างที่เข้าใจ สายน้ำรูปมังกรสีเงินแวววาวจากมือซ้ายของมังกรขาวพุ่งขึ้นไปไล่ฝูงภูตพรายบนท้องฟ้าแตกกระจายไป
               “ท่านทำอะไร มังกรขาว” มาซาฮารุขมวดคิ้วถามเสียงเข้ม “ท่านวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
               “ข้าไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือข้า”
               “โกหก!” เออิจิโร่ตวาด “ไม่ใช่ฝีมือพวกท่านแล้วฝีมือใคร ใครมันส่งตุ๊กตานรกพวกนี้มา ยังจะพวกภูตพรายพวกนี้อีก มันพวกที่อยู่ในภูเขา อยู่ใต้การปกครองของท่านทั้งนั้น”
               “ข้ามาช้าเกินไปและไม่คิดว่าพวกมันจะวางแผนได้แยบยลเช่นนี้ ข้าประมาทเอง”
               “โอ๊ย พูดอะไรให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้ไหม” ลูกชายคนโตของนักปัดรังควานร้องอย่างหัวเสีย แล้วไม่ทันขาดคำดี ท้องฟ้าเหนือศีรษะก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เกิดแสงสีทองวาบขึ้นทางด้านศาลเจ้า ความอึดอัดกดดันจากไอปีศาจหายไปจนหมด
               “เกิดอะไรขึ้นอีกวะเนี่ย” เออิจิโร่ครางหงิง
               “เขตคุ้มกันของชิโนซากิคิตสึเนะ” มาซาฮารุพูด ท่าทางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “จิ้งจอกขาวกางเขตคุ้มกันให้ที่ศาลเจ้า มันต้องมีอะไรสักอย่าง”
               ก่อนจะหันไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด สั่งว่า
               “โฮโจ ทากะ ไปที่ศาลเจ้า”
               ทั้งสองยังไม่ทันจะขยับตัวทำตามคำสั่ง เออิจิโร่ก็พูดแทรกขึ้นก่อน ชี้นิ้วขึ้นฟ้า
               “ท่านพ่อ นั่นผู้นำสาส์น”
               มาซาฮารุรีบเรียกนกกระดาษลงมาอย่างไม่รอช้า ข้อความที่ได้รับทำให้นักปัดรังควานนิ่งอึ้ง ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
               “ชิโนซากิคิตสึเนะส่งสาส์นมา โอคินะตายแล้ว ชินจิถูกอสูรของอาคางิลักพาตัวไป เอย์จิกำลังตามไปช่วย”
               “บ้าเอ๊ย มันเอาตัวชินจิไปจนได้!” เออิจิโร่สบถลั่น “ไอ้อสูรนั่นคิดจะปลุกชีพมังกรแดงจริง ๆ”
               “แล้วเอย์จิก็บ้าตามไปคนเดียวอีก!” รุกะสบถตาม ตอนนี้ไม่ใช่มังกรขาวแล้วที่หล่อนอยากจะให้ผีเสื้อสีน้ำเงินตะกุยให้เลือดท่วม แต่เป็นเอย์จินั่นแหละ บ้าระห่ำไม่รู้จักเจียมตัวเองเลย
               “ทุกคน! ไปที่ทะเลสาบบิวะ!” หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ออกคำสั่ง
               ใจของมาซาฮารุร้อนรนยิ่งกว่าไฟของจิ้งจอกเปลวอัคคีในนาทีนี้ ถึงแม้จะมีอสูรยืนอยู่เป็นฝูงในหมู่บ้าน ต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ นักปัดรังควานหัวหน้าฝ่ายมนุษย์ก็ไม่นำพาอีกต่อไป
               ขณะเดียวกัน มิโคโตะพยักหน้าเป็นสัญญาณแก่ผู้ติดตามของตน
               แต่ก่อนที่ฝ่ายไหนจะได้ทำอะไร บรรยากาศก็กลับมาขมุกขมัวอีกครั้งด้วยไออสูรที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน วินาทีถัดมา เงาดำ ๆ หลายร่างก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้า ยืนล้อมกรอบทั้งฝ่ายมนุษย์และอสูรจากฮะคุริวไว้ เสียงหัวเราะเยาะหยันดังกึกก้อง
               “ซึชิกุโมะ” มิโคโตะหรี่ตามองเจ้าของเสียงหัวเราะอวดโอ่โอหัง อสูรผมสีฟ้าใส่ชุดสูทสีฟ้าเฉดเดียวกับเส้นผม สวมเสื้อเชิ้ตด้านในลายสก็อตสีดำสลับขาว ผูกไทสีเทาอ่อนลายเส้นสีขาวซ้อนทับกันดูยุ่งเหยิง ท่าทางของมันยิ่งดูอวดดีกว่าที่เคย ไม่มีความเกรงกลัวมังกรขาวอย่างเขาเลยสักนิด
               อสูรตัวอื่นก็เช่นกัน ไทมะซึมะรุยิ้มหยันมุมปาก ใบหน้าซีดขาวสวยเหมือนผู้หญิงถูกบังไว้ใต้แว่นตาสีดำ สวมเสื้อนอกสีม่วงเปลือกมังคุดกับสายสร้อยสีดำหลายเส้น ยืนกางขาเล็กน้อย มือล้วงกระเป๋ากางเกง ทีท่าสบาย ๆ
               ส่วนหัวหน้าของพวกมัน อาคางิ เจ้าอสูรเกิดใหม่จอมอหังการ์ มันลบภาพความสุภาพสำรวมนุ่มนวลที่เคยมีไปหมดสิ้น ท่วงท่าและสายตาเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและรุนแรง สวมชุดเหมือนเครื่องแบบของทหาร เสื้อนอกสีขาวปิดถึงคอ มีเหรียญตราและสายโลหะห้อยระโยงระยาง บนศีรษะสวมหมวกสีดำคาดแพรสีขาว มีตราเหมือนที่อกเสื้อติดตรงกลาง
               “นี่มันขบวนการเรนเจอร์รึเปล่า” เออิจิโร่อดปากไม่อยู่จริง ๆ
               อสูรอีกสามตนที่ยืนอยู่ในมุมที่ต้องประจันหน้ากับมนุษย์แต่งตัวจัดไม่ต่างจากนายของพวกมันเลย แต่ใช้คนละสี เจ้าอสูรตัวใหญ่ล่ำหนาไปด้วยมัดกล้ามใส่เสื้อกล้ามรัดรูปสีแดงเข้มกับกางเกงตัวใหญ่ ๆ และรองเท้าหนังหุ้มข้อ ที่คอและข้อมือสวมสร้อยเงินซ้อนกันหลาย ๆ เส้น ถัดไปนั่นก็อสูรตัวเล็ก ผมสีเขียวแจ๋น เข้ากับเสื้อแจ็กเก็ตแบบมีฮู้ดสีเขียวเข้มที่สวมทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนรัดรูปสีดำ ตัวสุดท้ายนั่นแต่งน้อยหน่อย ใส่สูทธรรมดาสีดำ เข้ากับผมสั้นสีดำ ดูเนี้ยบกริบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่หน้าซีดขาวของมันเย็นชา ไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ
               “ถ้าพวกนี้เรนเจอร์ พวกเราก็ละครแหละครับ” ทากะที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดและได้ยินเต็มสองหูอดปากให้ตอบไม่ได้เหมือนกัน
               ‘ขบวนการเรนเจอร์’ ของเออิจิโร่ไม่ได้มากันตามลำพัง ข้างหลังพวกมันยังปรากฏร่างของตุ๊กตาบุนระคุตัวใหญ่เกือบเท่ามนุษย์หลายตัวขยับเคลื่อนไหวเข้ามาสมทบด้วย หน้าตาไร้ชีวิตของพวกมันชวนให้ขนลุกได้อย่างไม่ยากเย็น
อาคางิประกาศก้อง
               “นี่เป็นเวลาที่ข้ารอคอยมานานแล้ว เวลาที่จะได้เข่นฆ่าทั้งมนุษย์และอสูรแก่ ๆ อย่างพวกเจ้าให้หนำใจ จะไม่มีใครก้าวออกจากที่นี่ได้แม้แต่เพียงก้าวเดียว ข้าจะ...ฆ่า... เฮ้ย”
               ปีศาจตะขาบอายุกว่าห้าร้อยปีร้องลั่นด้วยความคาดไม่ถึง จิ้งจอกเปลวอัคคีชิกิงามิของมาซาฮารุวิ่งเลยร่างของเขาไปทางด้านหลัง มันพลาดการฝังคมเขี้ยวเข้าที่ลำคอของอสูรหนุ่มไปนิดเดียว ร่างกายที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงแว้งตัวกลับอย่างรวดเร็ว
               “ถ้าฆ่าพวกแกให้หมดก็ไปได้แล้ว” มาซาฮารุเอ่ยเสียงเรียบ เหี้ยมเกรียม
               บราโว! ท่านพ่อ! เออิจิโร่แทบอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้บิดาของตัวเอง ท่านพ่อพูดถูกใจเขาสุด ๆ   
               “ไอ้พวกมนุษย์!” อาคางิโกรธจัดที่ถูกลูบคม หน้าซีดขาวเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโมโหที่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด โทสะอันแรงกล้าเหมือนเลือดเข้าตา อสูรตะขาบพุ่งเข้าหาฝ่ายมนุษย์ทันที โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างของมาซาฮารุ
               อสูรตัวอื่นเปิดฉากจู่โจมตามการนำร่องของผู้เป็นหัวหน้า เลือกจับเป้าหมายต่างกันตามที่เลือกเล็งเอาไว้ก่อนแล้ว
               ไทมะซึมะรุกระโจนเข้าหามิโคโตะด้วยร่างที่กลายเป็นไฟ แต่ต้องปะทะกับสายหมอกสีม่วงจางของมุราซากิก่อน ซึชิกุโมะพ่นใยเหนียวเข้าใส่รุกะและเออิจิโร่ ริคิมะรุใช้ร่างกายแข็งแกร่งของตัวเองสู้กับคมเขี้ยวของอสรพิษของอิบุกิและกระบี่สายฟ้าของคามินาริ คะมิกิปล่อยผมสีเขียวให้ยืดยาวกลายเป็นหอกพุ่งแทงตัววาคานะ อาราชิกับคาเสะฮายะฟาดฟันกันโดยปราศจากเสียง
                รอบขอบลานกว้างซึ่งเป็นสังเวียนนองเลือดระหว่างอสูรกับมนุษย์ในขณะนี้ มาซาคาโดะกางสายหมอกของเขากั้นไม่ให้พวกตุ๊กตากลไกของฝ่ายตรงข้ามออกไปได้ พวกมันกำลังปะทะกับนักปัดรังควานมนุษย์สามคนอย่างดุเดือด
                เสียงหัวเราะอวดดีของซึชิกุโมะดังอยู่ลั่น ๆ หลังจากที่ใยเหนียวของมันรัดผีเสื้อสีน้ำเงินของรุกะจนปีกหักพับ ผลของมันทำให้แขนข้างหนึ่งของรุกะตกห้อย เลือดไหลลงมาเป็นสาย
                “เตรียมตัวตาย เจ้าแมลงตัวน้อยน่าเกลียด” อสูรหนุ่มคำราม
                ใยสีขาวอีกหลายสายยืดออกมาจากนิ้วแต่ละนิ้วที่กางออก หวังจะให้รัดพันเจ้าสัตว์ปีกตัวเล็กจิ๋วสีน้ำเงินจนแหลกราญ
                ทว่า ไฟจากชิกิงามิของเออิจิโร่หยุดมันเอาไว้ได้ก่อน นกหงส์ไฟสะบัดปีกใหญ่โตของมัน จุดเปลวไฟเผาไหม้ใยเหนียวแน่นจนหงิกงอ ถอยร่นกลับไปไม่เป็นขบวน
                เออิจิโร่บังคับชิกิงามิของเขาให้ตามติด จะงอยปากแข็งแรงฉีกกระชากรูปลักษณ์ที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกออก ทำให้เห็นร่างกายอวบกลมลายเหลืองสลับดำ ขาใหญ่เป็นปล้องมีขนสีดำยาวยุบยับน่าขยะแขยง หัวใหญ่อัปลักษณ์ ตาโตสีเหลืองปูดโปน
                “แมงมุมดิน” รุกะพึมพำ แขนข้างที่ยังใช้การได้ใช้คมดอกศรกรีดใยเหนียวที่พันรอบตัวออก มีเออิจิโร่คอยช่วยอีกแรง
                “มิน่ามันถึงอวดดี วางอำนาจ เพราะเป็นแมงมุมตัวโตคับรูอย่างนี้นี่เอง”
                “ฉันว่าเธอปากเสียแล้วนะ ไอ้นี่มันยิ่งกว่าเธออีก ดันมาหาว่าฉันน่าเกลียด” รุกะค้อนขวับ ดึงใยแมงมุมเส้นสุดท้ายที่ถูกตัดขาดออกจากตัว ไอ้ใยบ้านี่ก็เหนียวเสียจริง แถมยังบาดผิวแสบไปหมดแล้ว
                “งั้นฆ่ามันเลยดีไหม” เออิจิโร่อมยิ้ม
                “ยังกับฉันจะปล่อยมันไปแน่ะ” รุกะตาวาววับ
                แมงมุมปีศาจแผดเสียงหัวเราะอีกครั้ง เห็นเขี้ยวคมขาวเต็มปาก
                “แมลงตัวกระจิดกระจ้อยร่อยอย่างพวกเจ้าอย่าอาดหาญมาเทียบพลังกับข้าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าอยู่ในอาณาเขตของข้าแล้ว ไม่มีแมลงตัวใดที่ติดใยของข้าแล้วจะหลุดรอดไปได้”
               ตัวของซึชิกุโมะยิ่งพองใหญ่ขึ้น เตรียมพ่นใยเหนียวหนับออกมาอีก
               เออิจิโร่กับรุกะดึงกระดาษสร้างชิกิงามิออกมาพร้อมกัน แล้วเริ่มร่ายเวท เสียงของทั้งคู่ดังประสานกันจนเหมือนกับเป็นเสียงเดียว

               ผีเสื้อสีน้ำเงิน
               จากสรวงสวรรค์กลางนภากาศ

               ปีกขยับพยับเมฆครืนครั่น
               นภาพลันสั่นสะเทือน

               เจ้าพร้อมจะโบยบิน!


               สิ้นเสียงพูดวรรคสุดท้าย กระดาษในมือของรุกะและเออิจิโร่ประสานเข้าด้วยกันแล้วเปลี่ยนเป็นผีเสื้อตัวเล็ก ๆ หลายร้อยหลายพันตัว แต่ละตัวมีปีกและขาที่ลุกเป็นไฟ
               ฝูงผีเสื้ออัคคีบินเข้ารุมเกาะแมงมุมดินตัวใหญ่จนแทบมองไม่เห็นพื้นที่ว่างบนตัวอวบกลม แม้กระทั่งใยที่ปล่อยออกมาก็ถูกผีเสื้อตัวเป็นไฟรุมเกาะ พวกมันเกาะที่ไหนก็หยอดไฟลงไปที่นั่น และใยกับขนยาวบนตัวของเจ้าปีศาจก็กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
               เสียงหัวเราะอวดดีของซึชิกุโมะกลายเป็นเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด มันกำลังจะถูกย่างสด!
               ทรมานเหลือเกิน!
               “ไม่จริง! ข้าไม่มีวันถูกเจ้าแมลงตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้เล่นงาน! ไม่มีวัน!”
               แมงมุมดินซึชิกุโมะกรีดร้องโหยหวน

               ริคิมะรุเบ่งพลังให้กล้ามเนื้อหนายิ่งทวีความแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า สะท้อนคมกระบี่และสายฟ้าของอสูรคามินาริและเขี้ยวอสรพิษของอิบุกิไม่ให้ทำอันตรายแก่ตนเองได้
               กระบี่ของคามินาริพุ่งแทงอีกหลายครั้ง รวมทั้งสายฟ้า แต่ก็แฉลบออกทุกครั้ง เช่นเดียวกับอสรพิษตัวยาวหลายสิบตัวที่ออกมาจากแขนสองข้างและร่างกายของอิบุกิ คมเขี้ยวของพวกมันไม่สามารถฝังลงไปในเนื้อของศัตรูได้
               “แทงเข้ามาอีกสิ เข้ามาเลย พลังของอสูรแก่ ๆ อย่างพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
               อสูรตัวโตหัวเราะด้วยความชอบใจ เมื่อมันเบ่งพลังอีกครั้ง คามินาริกับอิบุกิที่โถมโจมตีก็พากันกระเด็น ยิ่งสร้างความสะใจแก่ริคิมะรุยิ่งนัก
               คามินาริกัดฟันกรอด ขัดใจที่ทำอะไรเจ้าอสูรเกิดใหม่ไม่ได้ ต้องปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาหัวเราะเยาะหยันเอาแบบนี้
               “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ท่านอิบุกิ”
               “ข้าก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน มันบังอาจมากที่กล้าพูดคำว่าแก่ต่อหน้าข้า”
               อิบุกิเชิดหน้าขึ้น ปัดเศษดินเศษทรายออกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่อย่างไว้ท่า ร่างกายจัดระเบียบได้เป๊ะ ถึงกำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่อสูรอย่างเขาก็ต้องคงความงดงามไว้ตลอดเวลา
               “แต่ร่างกายของมันแข็งแกร่งเหมือนโล่เพชร สะท้อนการโจมตีได้ทุกรูปแบบ แล้วเราจะจัดการมันได้อย่างไร”
               “ข้างนอกทำอะไรมันไม่ได้ ก็เล่นงานมันจากข้างในสิ” อิบุกิพูด ถุงมือสีดำที่ใส่อยู่ขาดไปแล้วจากการโจมตีครั้งแรก ๆ ปลายแขนเสื้อโค้ทก็ขาดรุ่ย อสูรหนุ่มดึงแขนเสื้อขึ้นไปอยู่ที่ข้อศอก
               “ตัวมันใหญ่ ถนัดแต่ใช้กำลัง ไม่มีความเร็ว เจ้าล่อมันด้วยกระบี่กับสายฟ้าของเจ้า ข้าจะอาศัยจังหวะเข้าไปภายในตัวของมัน”
               “รับทราบ ท่านอิบุกิ”
               คามินาริสืบเท้าเข้าไปหา มือข้างหนึ่งไขว้หลัง อีกมือหนึ่งยื่นกระบี่ชี้หน้าศัตรู และจากที่ขยับอย่างเนิบช้าในตอนแรก ความเร็วของอสูรหนุ่มก็เพิ่มขึ้นในพริบตา กระบี่สีเงินพุ่งเข้าทิ่มแทงรวดเร็วจนมองไม่ทัน
               “ทำยังไงก็ไม่ได้ผลหรอก เจ้าพวกอสูรแก่” ริคิมะรุหลบคมดาบพ้นบ้างไม่พ้นบ้าง แต่ถึงไม่พ้น มันก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี คมกระบี่ไม่ระคายผิวหนังของเขาแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะคมธรรมดาหรือจากพลังสายฟ้าที่ปล่อยออกมาจากปลายกระบี่ อสูรตัวล่ำหนาหัวเราะอย่างลำพอง เกร็งตัวรับกระบี่ของคามินาริจนแรงปะทะทำให้ปลายกระบี่หักสะบั้น
               ริคิมะรุมัวแต่พะวงกับการรับมือคามินาริจนลืมระวังตัว อีกทั้งยังประมาท คิดว่าไม่มีผู้ใดทำลายโล่อันแข็งแกร่งที่ตนมีได้ จึงไม่ทันได้สังเกตว่า อิบุกิที่กลายร่างเป็นอสรพิษตัวเล็กพุ่งเข้าไปในปากที่อ้ากว้างและขยายจำนวนอย่างรวดเร็วกลายเป็นหลายสิบหลายร้อยตัว พวกมันว่ายไปตามกระแสโลหิต ก่อนจะจู่โจมอวัยวะสำคัญทุกจุดที่พวกมันไปถึง พิษร้ายแทรกซึมไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
                เลือดในกายของอสูรหนุ่มกลายเป็นพิษ ทะลักพรวดออกมาจากปาก จมูกและนัยน์ตา
                ริคิมะรุร้องโหยหวน ดิ้นพราดจากความทรมานภายใน ตัวของมันขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด ร่างกายแข็งแกร่งปานเหล็กเพชรเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ก่อนจะระเบิดปัง อสรพิษจำนวนมหาศาลพุ่งพรวดออกมาจากร่างกายที่แหลกเละ รวมตัวกันเป็นร่างสูงเพรียวของอิบุกิ
                อสูรอสรพิษเลียโลหิตสีดำเข้มที่เปรอะอยู่ที่ท่อนแขน ปรายตามองหมิ่น เยาะว่า
                “เฮอะ! แก่! แก่แต่เก๋าโว้ย! สะใจหรือยังล่ะ”

                วาคานะเอี้ยวตัวหลบหอกเส้นผมของอสูรคะมิกิได้อย่างหวุดหวิด คมหอกกรีดได้แค่ชายกิโมโนกรุยกรายสีขาวสลับดำที่วาคานะสวมอยู่
                “ครั้งหน้า หอกของข้าจะกรีดหน้าเจ้า” คะมิกิหมายมาด ไม่คิดจะปั้นหน้าแย้มยิ้มเหมือนเช่นเคย เขาเกลียดชังวาคานะสุดใจ ชิงชังหน้าตาหมดจดงดงาม รังเกียจน้ำเสียงที่ไพเราะและริษยาที่วาคานะมีดวงตาสีเขียวอมฟ้าสวยงามแปลกตา มันมีสิ่งที่เขาไม่มี เขาไม่ยอม เขาจะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่าผู้ใด
                “อสูรน่าเกลียดอย่างเจ้า ยังหวังจะมีครั้งหน้าอีกอย่างนั้นรึ” วาคานะยิ้มหยัน สลัดกิโมโนท่อนบนออกอวดผิวขาวนวลผ่อง ร่างกายของวาคานะกำยำแข็งแรง เส้นกล้ามเนื้อเด่นชัดสวยงาม มองดูราวกับหุ่นปั้น ยิ่งเมื่อถอดผ้าคาดตาออก เห็นดวงตาข้างหลังผ้าเป็นสีเหลืองทองเรืองโรจน์ ดวงตาเหมือนลูกแก้วสีสวยทั้งสองข้างยิ่งขับเน้นความงดงามให้เจิดจรัส
                “ความจริงข้าไม่อยากใช้ดวงตาข้างนี้กับเจ้าเลย มันสามารถมองทะลุเข้าไปในใจของผู้ใดก็ได้ แต่กับเจ้าผู้มีจิตใจดำมืดน่าชิงชัง มันทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก” 
                คะมิกิอดทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป มันร้องกรี๊ดยาว สลัดเส้นผมสีเขียวสดบนศีรษะเข้าใส่ราวกับพายุใบมีดโกนที่แหลมคม
                แต่อสูรซาโตริผู้มีอำนาจอ่านใจผู้คนได้สามารถหลบการโจมตีได้ทั้งหมด เส้นผมสีเขียวที่สามารถยืดยาวหรือเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ทุกชนิดฟาดฟันเข้าใส่อย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้และไม่ว่าคะมิกิจะเคลื่อนที่ไปทางไหนหรือมีแผนการอย่างไรอีก วาคานะก็รับรู้ได้ทั้งหมด
                อสูรผู้งดงามคร้านจะเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับอีกฝ่ายอีกต่อไป อสูรน่าเกลียดน่าชังอย่างคะมิกิน่ะหรือ ไม่มีค่าคู่ควรที่จะหาญกล้ามาต่อกรกับเขาหรอก แล้วนั่น เจ้าอิบุกิจัดการศัตรูเสร็จแล้วเสียด้วย แล้วเขาจะน้อยหน้ามันได้อย่างไรกัน
                วาคานะเคลื่อนไหววูบเข้าประชิดตัวของคะมิกิอย่างรวดเร็ว ใช้พลังกระชากเส้นผมสีเขียวหลุดจากศีรษะเหมือนกับถอนรากถอนโคนต้นไม้และสะบัดเล็บกรีดฉับเข้าที่ใบหน้าอย่างไม่ปราณี
                คะมิกิกรีดเสียงร้องลั่นอีกครั้ง ทุ่มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น รับไม่ได้อย่างรุนแรงเมื่อเห็นหนังศีรษะตะปุ่มตะป่ำ ผมสีเขียวเหลือติดอยู่บนหัวเป็นกระจุกน่าเกลียด หน้าตาเต็มไปด้วยรอยเล็บกรีดจนเสียโฉม
                อสูรซาโตริวาคานะผู้งดงามดึงชุดกิโมโนที่ตกห้อยอยู่ที่เอวขึ้นมา แล้วสอดท่อนแขนงามกลมกลึงประดุจลำเทียนเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง ขณะที่ขาเปลือยเปล่าก้าวข้ามร่างที่นอนดิ้นอยู่บนพื้นไปอย่างไม่ไยดี

                อาราชิกับคาเสะฮายะคือลม ลมที่ดุดันรุนแรง แต่เงียบเชียบ ไม่มีเสียงหัวเราะโอหัง ไม่มีเสียงคุยข่มโอ่อวด ไม่มีเสียงใด ๆ เลย อสูรทั้งสองตนต่อสู้กันท่ามกลางความเงียบงัน
                อสูรสายลมคาไมทะจิใช้เคียวยาวเป็นอาวุธกวัดแกว่งรุกไล่ ขณะที่พายุร้ายอาราชิหมุนคว้างราวกับจักรผันหลบหลีกและใช้ดาบในมือโต้กลับ ไม่มีใครยอมใคร ความเร็วทัดเทียมกัน ไล่รับตามติด รอคอยโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพลาดท่าเสียที
อาราชิตวัดดาบ ตัดผ้าสีดำที่คาดปากของคาเสะฮายะขาดออก
                ดวงตาสีแดงของอสูรคาไมทะจิวาบขึ้นด้วยความโกรธเกี้ยว ผ้าสีดำผืนนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องมันได้ มันเป็นผ้าที่กักเก็บความโกรธแค้นและความโศกเศร้าของเขา ถ้าไม่มีมัน เขาก็ไม่สามารถการันตีความสงบนิ่งของตัวเองได้อีกต่อไป
                คาเสะฮายะคำรามเสียงดังลั่นเหมือนสัตว์ป่าที่บาดเจ็บคั่งแค้นอย่างแสนสาหัส สายลมธรรมดาเปลี่ยนเป็นลมร้ายที่เกรี้ยวกราดพร้อมจะกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!
                เคียวคมกริบฟาดลงมาด้วยความเร็วมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ ฟันร่างของอสูรอาราชิขาดออกเป็นท่อน ๆ

                มุราซากิไม่อาจต้านทานไฟอันร้อนแรงของไทมะซึมะรุได้ มือสองข้างของอสูรผมสีบลอนด์เกือบขาวที่กลายเป็นไฟลุกโชติช่วงพุ่งทะลุทะลวงสายหมอกสีม่วงจางเข้าไปหวังจะเล่นงานมิโคโตะ แต่มังกรขาวเพียงสะบัดมือเบา ๆ ก็สามารถดับไฟอันร้อนแรงของอสูรนกคบไฟลงได้
                “พอเถอะ ไทมะซึมะรุ พรรคพวกของเจ้าล้วนล้มหายตายลงสิ้นแล้ว” มิโคโตะเตือนเสียงเรียบ แต่ก็ไม่สำเร็จ อสูรนกคบไฟไม่ฟังใครทั้งนั้น มันเปลี่ยนร่างกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม คือนกอินทรีขนาดใหญ่ที่มีไฟลุกแดงทั้งตัว แขนสองข้างลุกโชนเหมือนคบไฟ
                มิโคโตะใช้ท่อนแขนปาดให้มุราซากิถอยออกห่าง เพื่อไม่ให้รังสีของเปลวไฟทำอันตรายอสูรสายหมอกได้ แล้วดึงผ้าพันคอลายขาวดำจากคอของตัวเองโยนขึ้นไปในอากาศ ผ้าพันคอผืนยาวกลายเป็นมังกรตัวใหญ่สีเงินอ้าปากกลืนไฟของไทมะซึมะรุเข้าไปจนหมด
                อสูรนกคบไฟโกรธจัด อ้าปากร้องแจ๊กซ์ดังลั่น ตัวที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำ รังสีความร้อนจากไฟแผ่ซ่านออกจากร่าง มันบินฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็วจนตาธรรมดามองเห็นเป็นเพียงประกายไฟวูบวาบอยู่ในอากาศ ก่อนจะพุ่งลงมาหวังโฉบเอาตัวของมังกรขาวติดกรงเล็บของมันไปด้วย
                มังกรขาวไม่ระย่อต่ออากาศที่ร้อนเหมือนไฟนรก โบกมือเป็นสัญญาณกำกับให้มังกรที่เสกขึ้นเคลื่อนไหวต้านทานการโจมตีของศัตรูและไม่ว่ามันจะพ่นไฟออกมามากแค่ไหน มังกรที่มิโคโตะเสกขึ้นก็สามารถกลืนเข้าไปได้ทั้งหมด และหลังจากสะบัดข้อมืออีกครั้ง มังกรที่ถูกเสกขึ้นก็อ้าปากกว้างงับผับลงไปบนตัวของนกเพลิง
                ไทมะซึมะรุปีกหักร่วงไม่เป็นท่าตกลงมากองบนพื้นเหมือนกองผ้าเก่า ๆ มันสำลักเอาเลือดสด ๆ ออกมาจากปาก
                 “พวกเจ้าแพ้แล้ว เห็นหรือไม่ นายของเจ้าก็กำลังจะแพ้เช่นกัน” มิโคโตะพูด
                 แต่อสูรนกคบไฟกลับหัวเราะ แม้ว่าจะสำลักเอาเลือดออกมาพร้อมกันก็ตาม มันมองไปทางที่อาคางิกำลังสู้ติดพันกับนักปัดรังควานมนุษย์
                 “พวกเจ้าต่างหากที่แพ้!”
                 มิโคโตะมองตามสายตาของไทมะซึมะรุ
                 อาคางิถูกจิ้งจอกเปลวอัคคีที่มาซาฮารุเสกขึ้นมางับเข้ากลางลำตัวแล้วสะบัดให้หล่นลงมากระแทกพื้นเสียงดังอัก ปีศาจตะขาบอายุหลายร้อยปีดูอ่อนแอกว่าที่ควรจะเป็น
                 “แผนการของท่านอาคางิล้ำลึก ตบตาพวกโง่เง่าอย่างพวกเจ้าได้สำเร็จ ตอนนี้ท่านอาคางิคงไปถึงทะเลสาบบิวะแล้ว มังกรแดงกำลังจะคืนชีพ!”
                 มิโคโตะสะบัดแขน  มังกรที่เสกขึ้นพุ่งตรงไป กางกรงเล็บแหลมคมฉีกกระชากรูปลักษณ์ภายนอกที่ห่อหุ้มร่างที่นอนกุมท้องอยู่ออก
                 “การาสุเท็นงูคุโรบะ!” มาซาฮารุร้องลั่น “มันไม่ใช่ปีศาจตะขาบอาคางิ!”
                 มังกรขาวเม้มริมฝีปากแน่น
                 ฮิเดะซึงุกำลังจะฟื้นคืน!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2016 00:19:25 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 24

        เอย์จิวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาของเขาจะพาไปได้ ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกว่าระยะทางจากหมู่บ้านถึงทะเลสาบบิวะมันไกลมากขนาดนี้มาก่อนเลย ยิ่งเวลาผ่านไป ใจของเขายิ่งไม่เป็นสุข คอยแต่จะนึกคิดไปสารพัด ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพที่เลวร้ายทั้งสิ้น
        ชินจิ ฉันขอล่ะ นายอย่าเป็นอะไรนะ
        หูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ครู่ต่อมา เจ้าของเสียงฝีเท้าก็ปรากฏร่างให้เห็น ชิโนซากิคิตสึเนะในรูปลักษณ์ของมนุษย์วิ่งขึ้นมาเคียง
        “ระวังตัวนะครับ ข้างหน้านั่นมีอะไรอยู่”
        ไม่ทันขาดคำเตือน ตัวใหญ่โตเป็นปล้องสีน้ำตาลอมแดงก็โผล่มาขวางหน้า ตีนเป็นสิบ ๆ เรียงเป็นแถวข้างลำตัวเต้นยุบยับ
        “ตะขาบ!” เอย์จิตะโกน
        เจ้าสัตว์ประหลาดตัวโตเป็นภูเขาพรวดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เขี้ยวขาวใหญ่เห็นเต็มปาก เอย์จิกับชิโนซากิคิตสึเนะกระโดดหลบไปคนละทาง เมื่อพลาดเป้า หัวใหญ่โตของเจ้าตะขาบยักษ์ก็พุ่งลงปักดิน
        เอย์จิง้างสายธนู ปล่อยดอกศรเข้าปักตรงตาของมันอย่างถนัดถนี่ เจ้าปีศาจคำรามลั่นด้วยความเจ็บ หัวสั่นระริก ก่อนที่จะถูกอุ้งเท้าจิ้งจอกขาวตะปบและตะกุยจนร่างแหลกสลาย
        หลังจัดการตัวแรกไปได้ ตะขาบยักษ์ตัวที่สอง ที่สาม ที่สี่ก็โผล่มาติด ๆ กัน ไอ้พวกนี้มีแต่ขนาดตัวที่ใหญ่โต กำจัดได้ไม่ยาก แต่ก็ใช้เวลาพอสมควร ยิ่งพวกมันมีจำนวนมากก็ยิ่งเสียเวลานานโข   
             “พวกมันเป็นกับดัก คอยถ่วงเวลาพวกเรา” เอย์จิพึมพำอย่างหัวเสีย มือดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกที่สะพายหลัง ตอนนี้ ตรงหน้าของเขา ตะขาบตัวที่ห้าชูหัวร่าคอยท่าอยู่แล้ว

             สติสัมปชัญญะของชินจิกลับคืนมาพร้อมความเจ็บปวดแปลบที่ศีรษะ เขาจำได้ว่าเอย์จิคว้ามือเขาวิ่งไปที่ศาลเจ้า เพื่อไปหลบภัยอยู่กับโอคินะซัง แต่แล้วก็พลัดหลงกันท่ามกลางฝูงคนที่วิ่งวุ่นชุลมุน จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองโดนอะไรกระแทกเข้าที่หัว มันแรงมากจนเขาน็อคสลบเหมือดไปเลย
             ชายหนุ่มเอามือกุมศีรษะ หน้าเหยเก ขณะที่มองไปรอบ ๆ ตัว
             นี่มันทะเลสาบบิวะ!
             เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วทุกคนหายไปไหน มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา
             คำถามมากมายเกิดขึ้น แต่เขาไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้จากที่ไหน
             “ตื่นแล้วรึ เจ้ามนุษย์น้อย”
             ชินจิหันขวับตามเสียง มองเห็นคนพูดคือชายร่างสูง สวมชุดสีขาวเหมือนเครื่องแบบของทหาร ติดเหรียญตราและห้อยสายโลหะหลายเส้นโยงจากกระดุมไปที่อินทรธนูบนบ่า สวมหมวกสีดำคาดแพรสีขาว เส้นผมที่เห็นรำไรใต้หมวกเป็นสีแดงจัด
ผู้ชายคนนี้สวยมาก ถ้าจะใช้คำว่าสวยกับผู้ชายได้ ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ออกมา ผิวขาวซีด ดวงตาว่างเปล่า แต่ชินจิรู้สึกว่า มันเป็นความสวยที่อันตราย อะไรบางอย่างจากตัวผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับจิตจับใจ
             “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่ออาคางิ” ชายหนุ่มคนนั้นถวดหมวกออก น้ำเสียงของเขาก็เหมือนกับอย่างอื่น คือเยียบเย็น ชวนให้ขนคอลุกชัน
             ชินจิกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ชื่อนี้เขารู้จัก เป็นชื่อที่ทุกคนพูดถึงบ่อยที่สุดในช่วงนี้ และถ้าผู้ชายคนนี้ชื่ออาคางิ ก็เท่ากับว่า เป็นอสูร!
             “แก... คุณ... เอ่อ ท่าน... จับตัวผมมาทำไมครับ ผมเป็นแค่คนธรรมดา ไม่...ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
             “ข้ามีเรื่องเล็กน้อยต้องขอไหว้วานเจ้า”
             “ผมทำอะไรให้ไม่ได้หรอก ปล่อยผมไปเถอะ”
             “เจ้าทำได้แน่ ๆ” อสูรผมสีแดงจ้ายิ้มเยื้อน แต่มันไม่ทำให้ชินจิคลายความกลัวลงได้เลย กลับยิ่งกลัวมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ยิ่งอาคางิเดินเข้ามาประชิด แล้วเอามือมาจับที่ต้นคอของเขา ตัวของชายหนุ่มก็สั่นอย่างหยุดไม่อยู่
             “แค่เจ้าเดินลงไปในน้ำ ตรงไปที่ต้นไม้ที่สูงที่สุด แล้วถอนมันออกมาเท่านั้น เท่านั้นเอง”
             “ผมทำไม่ได้” เสียงของชายหนุ่มสั่น เขาต้องปฏิเสธ ถึงแม้จะกลัวแค่ไหนก็ตาม
             “เจ้าทำได้ และเจ้าต้องทำ เจ้ามนุษย์” อาคางิออกคำสั่ง และไม่แค่พูดเปล่า ยังเพิ่มแรงบีบที่มือ ทำให้ชินจิตาเหลือกเพราะขาดอากาศหายใจ เขาพยายามจะแกะมือที่บีบคอเขาอยู่ออก แต่ลำพังพลังของมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถสู้แรงมหาศาลของอสูรได้
             “ถ้าเจ้าไม่ทำ ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย” ริมฝีปากของอาคางิกระซิบเสียงเหี้ยมใส่หู
             “ผม..ทะ..ทำ ปะ..ปล่อย” ชินจิเปล่งเสียงออกมาเป็นคำ ๆ อย่างยากเย็น แต่ก็ทำให้อาคางิปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
ชายหนุ่มทรุดลงนั่งแปะกับพื้นอย่างหมดสภาพ เอามือกุมคอ ไอโขลก ๆ น้ำตาไหลเป็นทาง
             “อย่าร่ำไร เจ้ามนุษย์ ทำตามที่ข้าสั่งเดี๋ยวนี้!” อาคางิตวาด เริ่มหมดความอดทน
             “ผม...ไม่ทำ คุณจะฆ่าผมให้ตายก็ได้ แต่ผมไม่ทำ” ชินจิพูดเสียงสั่น เขากลัวมาก แต่เขาก็ต้องพยายาม ถ้าเขายอม การกระทำของเขาจะนำไปสู่เรื่องเลวร้าย ถ้าอาณาเขตถูกทำลาย มังกรแดงก็จะฟื้น แล้วโลกก็จะปั่นป่วนวุ่นวาย เขารู้ดี
             “ฮึ เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้ารึ” อาคางิขบกรามแน่น อยากจะฆ่ามันให้ตายตามที่มันเรียกร้อง แต่เขายังต้องพึ่งมัน
อสูรตะขาบยิ้มเยื้อน เปลี่ยนจากความกราดเกรี้ยวเป็นอ่อนโยน
             “ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่กับคนอื่น ข้าไม่รับประกัน”
             อาคางิโบกมือ น้ำสีฟ้าตรงหน้าชินจิเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนกระจกสะท้อนภาพบางอย่าง ชินจิชะโงกหน้าไปมอง
             “เอย์จิซัง!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง
             ภาพที่สะท้อนอยู่ในน้ำคือภาพของรุ่นพี่ของเขา เอย์จิกำลังโดนตะขาบตัวใหญ่ ๆ กลุ้มรุม เขาพยายามสู้ แต่ก็ถูกชนล้ม ตะขาบน่าเกลียดแยกเขี้ยวพุ่งเข้าใส่ แล้วภาพก็หายวับไป
             “เอย์จิซัง!” ชินจิเรียกอีก แต่ก็มองไม่เห็นภาพใด ๆ แล้ว
             “ถ้าเจ้ายอมทำตามข้า ข้าจะปล่อยชายผู้นั้น”
             ชินจิยกมือขึ้นปาดน้ำตา
             “ถ้าผมทำ คุณจะไม่ทำร้ายเอย์จิซังจริง ๆ นะ”
             อาคางิพยักหน้า ดวงตาวาววับ
             ชินจิไม่มีทางเลือก เขาเป็นห่วงเอย์จิยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เขายอมทุกอย่าง ขอแค่เอย์จิปลอดภัย
             ชายหนุ่มก้าวลงไปในน้ำสีฟ้าสดที่สงบนิ่ง พยายามเดินช้า ๆ เพื่อถ่วงเวลาอย่างเต็มที่ ภาวนาให้มีใครสักคนมาช่วยเขาเร็ว ๆ
             “เร็ว! ทำลายต้นไม้นั่น!” เสียงอาคางิตะโกนสั่งอย่างเร่งร้อนมาจากบนฝั่ง
             ชินจิกัดฟัน น้ำที่ตลิ่งไม่ลึก แต่เย็นเฉียบ เย็นจนทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ต้นไม้ไร้ใบที่ความจริงแล้วคือสิ่งแสดงอาณาเขตอยู่ไม่ห่างจากริมฝั่งทะเลสาบมากนัก แค่ไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มก็เดินมาถึงต้นไม้รอบนอก
             ทันทีที่ชายหนุ่มย่างเท้าเข้าสู่เขตของต้นไม้ไร้ใบ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อากาศหนักข้นขึ้นกว่าเดิมจนหายใจลำบาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดจะทนไม่ได้ นอกจากนั้น เขายังได้ยินเสียงเพลง มันเป็นเสียงเบา ๆ เหมือนเสียงที่ลอยมาตามลม แต่กลับดังชัดเจนในหัว
             เสียงนั้นสูง หวาน และไพเราะ

             อา... อ้อมกอดอันแนบแน่น
             และหัวใจดวงนี้... หัวใจที่เจ็บปวด แต่ไม่สั่นคลอน
             ในกาลเวลาที่ผันแปร
             รักของข้าจะอยู่คงเดิม

             อา... ความรักนิรันดร์ ความฝันชั่วกาลนาน


        ชินจิเดินตามเสียงไปอย่างคนที่ตกอยู่ในภวังค์ เสียงเพลงอันไพเราะนำชายหนุ่มให้เดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เดินตรงไปยังต้นไม้ต้นที่สูงที่สุด
             ยิ่งใกล้เข้าไป เสียงเพลงก็ดังชัดยิ่งขึ้น
             ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไร้ใบต้นนั้น ต่ำลงไป ผิวน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มกว่าบริเวณอื่นและมีแสงสว่างอยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำ เสียงเพลงดังมาจากตรงนั้น
             ชินจิเอามือแตะผิวน้ำ พริบตาเดียวเท่านั้น น้ำสีฟ้าสดที่เคยสงบนิ่งก็กระเพื่อมเป็นคลื่นลูกเล็ก ๆ และแยกออกจากกัน
ลูกแก้วสีน้ำเงินปรากฏชัดแก่ตาในทันใด!
             “นี่เอง ลูกแก้วมันจุ ลูกแก้วที่บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์พัดทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง” ชินจิพึมพำ แล้วเมื่อเขาหยิบลูกแก้วขึ้นมาถือไว้ในมือ เสียงเพลงก็หยุดลงพร้อมกับเกิดเสียงครืนครั่นขึ้นมาแทนที่ ฟังเหมือนเสียงฟ้าร้องในตอนแรก แต่ฟังอีกทีก็เหมือนเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว พื้นดินและพื้นน้ำสั่นสะเทือน ต้นไม้สีเข้มที่เคยหยัดตรงหักลงมาเหมือนกระดาษที่ถูกพับจนงอ
             เขตแดนแห่งทะเลสาบบิวะพังทลายลงแล้ว!
             

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               “มังกรแดงคืนชีพแล้ว!” เสียงดังลั่นนั้น ชินจิจำได้ว่าเป็นเสียงของอาคางิ
               ต้นไม้ไร้ใบสีเทาอ่อนต้นอื่น ๆ ที่รายล้อมอยู่ในบริเวณนั้นหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน พื้นดินใต้น้ำที่ชินจิเหยียบยืนอยู่สั่นไหวจนทำให้แทบทรงตัวไม่อยู่ มือของเขากำลูกแก้วสีน้ำเงินในมือแน่น ตาเบิกโพลงจ้องตรงไปข้างหน้า
ที่กลางทะเลสาบ ฟองน้ำผุดพรายขึ้นมาเป็นระลอก ก่อนที่พื้นน้ำจะแหวกออกเป็นวงกลมและปรากฏร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งลอยขึ้นเหนือพื้นน้ำ
               ร่างนั้นเป็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง ผิวขาวอมชมพูเหมือนสีของดอกซากุระ ใบหน้าเรียว ปากแก้มคิ้วคางได้รูปสวยงามราวกับหุ่นปั้น ผมสีชมพูอมแดงยาวเป็นรากไทรประบ่า สวมกิโมโนยาวกรอมเท้าสีแดงสด เครื่องประดับที่หู คอและข้อมือทั้งสองข้างเป็นทับทิมเนื้อดีสีจัด ตลอดทั่วร่างแลเห็นเป็นสีแดงเหมือนเปลวเพลิงลุกโชติช่วง
               “ยินดีต้อนรับสู่อิสรภาพอีกครั้ง! ฮิเดะซึงุ!” อาคางิหัวเราะร่า ดวงตาของอสูรหนุ่มเป็นประกายด้วยความหมายมาดอย่างบ้าคลั่ง ชูลูกแก้วมันจุที่แย่งมาจากชินจิขึ้นสูง
               “ข้า อาคางิ เป็นผู้ปลุกชีพท่านขึ้นมา ขอท่านโปรดจงฟังคำของข้า”
               ดวงตากลมโตของมังกรแดงเหลือบมองมาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาทั้งตัว ท่าทางบอกว่ากำลังตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ทำให้อาคางิลิงโลดใจอย่างยิ่ง มังกรแดงเกรงพลังของลูกแก้วมันจุที่อยู่ในมือของเขาแน่ มันจะต้องเชื่อฟังเขา
               “จะให้ข้าทำอะไรเพื่อท่านเล่า” น้ำเสียงของมังกรแดงไพเราะเหมือนหน้าตาที่งดงาม แต่ชินจิได้ยินแล้วกลับรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก อาคางิทำให้เขาหวาดกลัวได้จับจิตจับใจก็จริง แต่ความกลัวนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับที่มังกรแดงทำให้เขารู้สึกอยู่ในขณะนี้ ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ขากับแขนแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ปากอ้าค้าง ตาค้าง
               ชินจิอยากวิ่งหนีไปให้พ้นจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด แต่เขาขยับตัวไม่ได้เลย แม้แต่เสียงจะร้องก็ยังไม่อาจบังคับให้พ้นริมฝีปากออกมาได้
               อาคางิออกคำสั่งด้วยความลำพอง
               “กำจัดมังกรขาว เข่นฆ่าพวกมนุษย์ ทำให้โลกนี้กลายเป็นดินแดนมิคสัญญี!”
               “นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ข้าพอใจจะกระทำ” ฮิเดะซึงุกระโดดจากทะเลสาบขึ้นมายืนอยู่บนฝั่ง ไม่ห่างจากร่างของอาคางินัก ท่าทางของมังกรแดงนุ่มนวล ไม่มีอาการคุกคามอย่างในตำนานที่บอกว่า มังกรแดงเป็นอสูรผู้บ้าคลั่งและกระหายเลือด
ในเวลานั้นเอง เอย์จิกับชิโนซากิคิตสึเนะก็มาถึงทะเลสาบพอดี เมื่อเห็นร่างสูงเพรียวในชุดสีแดงเหมือนเปลวเพลิง จิ้งจอกขาวก็เอามือแปะหน้าผาก ครางฮือ
               “มาไม่ทันจนได้ มังกรแดงฟื้นคืนชีพแล้ว ยุ่งมหายุ่งแล้วสิครับเนี่ย”
               แต่เอย์จิไม่สนใจใครทั้งนั้น เขากวาดตามองหาชินจิก่อนอย่างอื่น พอเห็นรุ่นน้องยังปลอดภัยดี กำลังยืนอยู่ในน้ำห่างจากฝั่งออกไปพอสมควร ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
               “ชินจิ!” เขาตะโกนด้วยความดีใจ
               อาคางิแสยะยิ้ม ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงพลังของจิ้งจอกขาวอีกต่อไป ในเมื่อมีพลังของมังกรแดงและลูกแก้วมันจุอยู่ในมือ ชิโนซากิคิตสึเนะมากับมนุษย์ หน้าตานั่นคือลูกชายของนักปัดรังควานไม่ผิดแน่ แต่กลับไม่มีพลังใด ๆ ให้สัมผัสได้ แสดงว่ามนุษย์ผู้นั้นไม่ใช่ลูกชายคนโตที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอด
               มันน่าขำยิ่งนัก อาคางิหัวเราะลั่น ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นด้วยการฆ่าพวกมันทั้งคู่เป็นการเปิดฉากสงครามอันน่าสะพรึงนี้เลยก็แล้วกัน
               “สังหารพวกมันเสีย ฮิเดะซึงุ พวกมันมาที่นี่หวังจะนำท่านกลับสู่ใต้ทะเลสาบอีกครั้ง”
               ชินจิเห็นมังกรแดงขยับตัว เอย์จิกำลังจะถูกทำร้าย และจากที่เคยกลัวแสนกลัว ชินจิร้องลั่น
               “ไม่นะ!”
               “เอ หรือข้าจะฆ่าเจ้าก่อนดี เจ้ามนุษย์น้อยที่ไร้ประโยชน์” อาคางิเอ่ยเสียงหยัน มือวาดขึ้นสูง เตรียมจะพุ่งไปฉีกร่างของอีกฝ่าย
               ชั่วขณะที่อสูรหนุ่มหันไปมองทางอื่นและไม่ทันได้ระวังตัวนี้เอง มังกรแดงก็ฉวยโอกาสแย่งลูกแก้วมันจุกลับคืนพร้อมกับกางกรงเล็บกระซวกเข้ากลางหน้าอกของอาคางิจนเนื้อกระจุย โลหิตสีแดงสดทะลักออกมาเป็นสาย ดวงตาเรียวรีเบิกโพลง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน รู้ตัวอีกที อาคางิก็ล้มคว่ำตึงลงไปแล้ว มังกรแดงหัวเราะก้อง
               “ตายซะ!”
               ดวงตาของฮิเดะซึงุกลายเป็นสีแดงก่ำ มังกรแดงผู้กระหายเลือดกลับคืนมาแล้ว
               “ข้าจะทำลายทุกอย่างให้สิ้น!”
               ลูกแก้วมันจุเปล่งแสงตอบรับคำประกาศกร้าวของฮิเดะซึงุ พื้นฟ้าและพื้นดินวิปริตแปรปรวน น้ำสีฟ้าในทะเลสาบไหวโยนก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและแผ่กว้างเหมือนกำแพงน้ำ
               ชินจิเสียหลักล้มคะมำ หลังจากพื้นทะเลสาบที่ยืนอยู่สั่นสะเทือนและน้ำถูกดึงให้ไปรวมตัวกัน คลื่นน้ำทะมึนอยู่เหนือศีรษะ สูงยิ่งกว่ายอดไม้ที่สูงที่สุด ถ้ามันซัดลงมาเมื่อไหร่ ทั้งป่า หมู่บ้าน มนุษย์ สัตว์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าคงจะถูกกวาดล้างทำลายจนราบคาบ
               “จงไป น้ำของข้า จงทำลายทุกอย่างให้สิ้น” มังกรแดงชูมือขึ้น แล้ววาดลงต่ำ น้ำหลายสายจากกำแพงน้ำอันมโหฬารก็ซัดออกไปเป็นระลอกแรก ความแรงของมันแม้แต่ต้นไม้และเนินดินก็ทานไม่ไหว สายน้ำพุ่งทะยานเหมือนอารมณ์ที่ขุ่นข้องเกรี้ยวกราด
               เอย์จิกับชิโนซากิคิตสึเนะล้มกลิ้งแยกห่างออกไปคนละทางขณะเกิดแผ่นดินไหวจากการที่ลูกแก้วมันจุสำแดงพลัง และตอนนี้ทั้งสองก็อยู่ในตำแหน่งที่ขวางทางน้ำพอดี จิ้งจอกขาวกางเขตคุ้มกันให้ตัวเองได้ แต่เขาเอื้อมไปไม่ถึงร่างของลูกชายคนเล็กของนักปัดรังควาน
               คลื่นน้ำกำลังจะถึงตัวของเอย์จิ ปฏิกิริยาของชายหนุ่มคือยกมือขึ้นกันพร้อมกับเบือนหน้าหนีและหลับตา เตรียมรับชะตากรรมที่โถมเข้าใส่
               “เอย์จิซัง! ชิโนซากิซัง!” หูของเขาได้ยินเสียงตะโกนของชินจิ แต่เขาคงไม่มีโอกาสเห็นหน้าของรุ่นน้องอีกต่อไปแล้วกระมัง
               เวลาเดินช้าเหลือเกินในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เอย์จิคิดว่าตัวเขาน่าจะโดนคลื่นน้ำเข้าปะทะและถูกกวาดม้วนไปด้วยกัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ได้ยินเสียงครืนครั่นแล่นผ่านตัวไป
               ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที สิ่งแรกที่เห็นคือแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตา
               “ท่านพ่อ!”
               มาซาฮารุกางเขตแดนปกป้องลูกชายเอาไว้ ทำให้สายน้ำที่บ้าคลั่งไหลแฉลบออกไป ไม่สามารถทำอันตรายเอย์จิได้
               “เจ้าเด็กบ้า! ใครใช้ให้แกแล่นเข้ามาหาที่ตายแบบนี้! ไร้ความคิดที่สุด!” มาซาฮารุเอ็ดตะโรด้วยความหัวเสีย
               หลังจากมิโคโตะลอกเปลือกของอาคางิออกจนเห็นว่าเจ้าอสูรตะขาบนั่นใช้ร่างไร้วิญญาณของการาสุเท็นงูคุโรบะมาเป็นหุ่นเชิดเพื่อถ่วงเวลา เขาและมังกรขาวก็ล่วงหน้ามายังทะเลสาบบิวะก่อนเพื่อมาขัดขวางการปลุกชีพมังกรแดง แต่ก็สายเกินไป ฮิเดะซึงุฟื้นคืนชีพอีกครั้งและกำลังอาละวาดด้วยความโกรธจัดที่ถูกสะกดไว้ใต้ทะเลสาบมาเนิ่นนาน
               แต่นักปัดรังควานสูงวัยยังมาทันที่จะช่วยหยุดยั้งไม่ให้คลื่นน้ำคร่าชีวิตลูกชายคนเล็ก ซึ่งก็หวุดหวิดจวนเจียนเต็มที ถ้าเขากางเขตแดนคุ้มตัวเอย์จิช้ากว่านี้อีกอึดใจเดียว ร่างของลูกคงจะถูกน้ำกวาดไปแล้ว
               ความโล่งใจทำให้มาซาฮารุเอ็ดตะโรลูกชายคนเล็กยกใหญ่ ตบท้ายด้วยคำสั่ง
               “ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ลงไปตามเส้นทางที่ท่านมิโคโตะสร้างขึ้น แกจะไม่เป็นอะไร”
               “แต่ชินจิล่ะครับท่านพ่อ ชินจิยังอยู่ตรงนั้น” เอย์จิร่ำร้อง
               “ฉันจัดการเอง แกไม่ต้องเป็นห่วง”
               มาซาฮารุผลักร่างลูกชาย ตอนนี้คลื่นน้ำระลอกแรกผ่านไปแล้ว มังกรแดงยืนอยู่ที่เดิม กำลังเผชิญหน้ากับมังกรขาว
               “มิโคโตะ”
               สายตาของมังกรแดงคั่งแค้นและเจ็บปวด
               น้องชายฝาแฝดที่รักยิ่งของข้า น้องชายที่ข้าทั้งรักและชิงชัง น้องชายที่เป็นคนกำจัดข้า ทำให้ข้าต้องหลับใหลอยู่ใต้ทะเลสาบมืด ๆ ชั่วนิรันดร์
               “ข้ารู้ดีว่าท่านรู้สึกอย่างไร ฮิเดะซึงุ” มิโคโตะพูดด้วยความอ่อนโยน “ข้าอยู่ที่นี่แล้ว พร้อมจะรับผลทุกอย่างจากสิ่งที่ข้ากระทำต่อท่าน ท่านอยากจะทำอะไรข้าก็ได้ ถ้ามันจะทำให้ท่านคลายความโกรธแค้นลงได้”
               “ต่อให้ข้าฉีกเนื้อเจ้าเป็นชิ้น ๆ มันก็ไม่สาสม!” เสียงกราดเกรี้ยวของมังกรแดงดังก้องไปทั่วทั้งภูเขา ทำให้อากาศสั่นสะเทือน แผ่นดินและกำแพงน้ำขนาดยักษ์ไหวสะท้าน
               “เจ้าหักหลังข้า มิโคโตะ ความโกรธแค้นของข้าไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ข้าจะทำลายเจ้า ทำลายทุกอย่าง ทำลายมันให้หมด!”
               ความบ้าคลั่งของมังกรแดงเกิดขึ้นในพริบตานั้น คลื่นน้ำอีกระลอกเตรียมโผนทะยาน แต่คราวนี้มังกรขาวแผ่พลังเข้าปะทะเอาไว้ สองขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ต้านทานกันและกันอย่างสุดกำลัง
               “ตอนนี้แหละ เอย์จิ รีบไป!” มาซาฮารุร้องสำทับเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กยังมีท่าทีพะวักพะวง
               นักปัดรังควานมองตรงไปข้างหน้า มิโคโตะต้านพลังของฮิเดะซึงุซึ่งครอบครองลูกแก้วมันจุไม่อยู่อย่างที่เขาคาดการณ์ คลื่นน้ำซัดออกไปอีกระลอก เฉียดร่างของเขาไปนิดเดียว ในยามนี้ การหยุดฮิเดะซึงุให้ได้ถือว่าเร่งด่วนยิ่งกว่าสิ่งใด มาซาฮารุเห็นรุ่นน้องของเอย์จิยังปลอดภัยและจิ้งจอกขาวรอจังหวะที่จะเข้าไปช่วยอยู่แล้ว นักปัดรังควานจึงเปลี่ยนเป้าหมาย ร่ายเวทเสกชิกิงามิผนึกกำลังกับมังกรขาว
               เมื่อได้พลังจากมนุษย์เข้ามาช่วย ทำให้หยุดคลื่นน้ำของมังกรแดงได้ แต่มันยิ่งกระตุ้นความโกรธแค้นให้เกิดแก่ฮิเดะซึงุอย่างเหลือระงับ มังกรขาวร่วมมือกับมนุษย์เหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกมันจะร่วมมือกันกำจัดข้าอีกครั้ง!
               ลูกแก้วมันจุเปล่งประกายตอบรับความอาฆาตแค้นของมังกรแดง พลังของมันเหลือล้นจนอาณาเขตที่มังกรขาวและมนุษย์ช่วยกันสร้างพังทลายลงในพริบตา
               ชินจิมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง พื้นที่เขาอยู่ตอนนี้เหมือนเกาะขนาดเล็กท่ามกลางคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง มีน้ำสีฟ้าสดล้อมรอบ กำแพงน้ำค้ำอยู่เหนือศีรษะ เขาต้องยึดพื้นส่วนที่งอกขึ้นมาเป็นเนินดินแข็งเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตกลงไปในน้ำ แต่ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างไร ชายหนุ่มก็ยังมองหาเอย์จิด้วยความเป็นห่วง แล้วเมื่อเห็นรุ่นพี่ของเขาปลอดภัยอยู่ในเขตคุ้มกันของบิดา ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
               ก็ยังเหลือแต่ตัวเองนี่แหละ อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่กล้าลงไปในน้ำ เกรงว่าจะถูกคลื่นกลืนหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะอยู่ตรงนี้ต่อไปก็คงไม่พ้นถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของมังกรที่ตั้งหน้าตั้งตาฟาดฟันกันจนไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น
               ระหว่างที่ชินจิกำลังพะวักพะวน ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตว่า ร่างของอาคางิเริ่มเคลื่อนไหว
               อสูรตะขาบที่ใคร ๆ คิดว่าตายไปแล้วจากการโดนพลังของมังกรแดงทะลวงหน้าอกค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก เลือดสด ๆ ยังทะลักออกจากรูกลวงโบ๋ที่กลางลำตัว มันเจ็บปวด ไร้กำลัง แต่มันยังมีชีวิตอยู่เพราะพลังความแค้นแต่เพียงประการเดียว หากก็อยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก แต่ก่อนตาย มันต้องลากใครสักคนให้ตายไปพร้อมกับมันด้วยเพื่อระบายความคั่งแค้น
               เจ้ามนุษย์!
               ชินจิเป็นเป้าหมายของมัน อย่างน้อยมันก็ได้ฆ่า
               หัวของอาคางิเปลี่ยนเป็นหัวของตะขาบ พุ่งเข้าใส่ชินจิ เขี้ยวขาวคมกริบของมันจะงับร่างนั้นให้ขาดเป็นสองท่อน!
               เอย์จิเห็นถนัดตาตั้งแต่ที่อาคางิเริ่มไหวตัว เพราะสายตาของเขาจ้องมองแต่ทางที่รุ่นน้องอยู่ ชายหนุ่มเปลี่ยนความตั้งใจทันที ไม่คิดจะฝากความหวังไว้ที่ใครอีกแล้ว แต่เขาจะช่วยรุ่นน้องของเขาเอง เอย์จิวิ่งเข้าไปอย่างไม่เกรงอันตรายและเขาไปทันเวลาพอดี ก่อนที่เขี้ยวตะขาบจะทำอันตรายชินจิ ชายหนุ่มก็ยิงดอกศรปัดรังควานเข้าปะทะ ทำให้หัวของอาคางิปัดเป๋ มันร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะโดนจิ้งจอกขาวสร้างอาณาเขตเข้าโจมตีซ้ำ บีบอัดให้หัวของมันแหลกเป็นจุณ
               อาคางิตายแล้วอย่างแน่นอน
               “ฉันมาแล้วชินจิ”
               ชินจิเห็นร่างสูงใหญ่ของรุ่นพี่วิ่งลุยน้ำที่สูงเกือบถึงเอวเข้ามาหาก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ปล่อยมือที่เกาะพื้นแล้วโผเข้าสู่อ้อมแขนของเอย์จิ
               “เอย์จิซัง คุณปลอดภัย ผมดีใจที่สุดเลย”
               ทั้งสองคนกอดกันแน่น
               ตอนนั้นเองที่พลังของลูกแก้วมันจุสลายอาณาเขตที่มังกรขาวและมนุษย์ผนึกกำลังกันสร้างขึ้น คลื่นน้ำไม่มีอะไรกางกั้นอีกต่อไปและฮิเดะซึงุปล่อยให้มันซัดสาดไปตามใจปรารถนา
               “จงไป! น้ำของข้า ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ราพณาสูร!”
               คลื่นน้ำขนาดยักษ์โถมลงอย่างบ้าคลั่งไม่ผิดจากอารมณ์ของผู้เป็นนาย เป้าหมายอยู่ที่มิโคโตะและมาซาฮารุที่ยืนจังก้าขวางหน้าอยู่ แต่ทั้งมังกรขาวและมนุษย์ยังสามารถสร้างเขตคุ้มกันป้องกันตนเองได้ น้ำจำนวนมหาศาลซัดใส่เขตแดนจนสั่นสะเทือน
               เอย์จิขยับตัวไปตามสัญชาตญาณ ชั่วขณะหนึ่งเขาเห็นชิโนซากิคิตสึเนะวิ่งเข้ามา ชายหนุ่มจึงผลักร่างของชินจิที่อยู่ในอ้อมกอดให้กระเด็นไปไกลที่สุดเท่าที่แรงของเขาจะทำได้
               ชินจิปลิวไปยังทิศที่จิ้งจอกขาวอยู่และถูกดึงเข้าสู่อาณาเขตทันที
               เอย์จิยิ้ม รุ่นน้องของเขาปลอดภัยแล้ว
               “ไม่นะ! เอย์จิซัง!” ชินจิดิ้นพราด ๆ จะออกไปจากเขตแดน แต่ทำไม่ได้เพราะตัวของเขาถูกกอดรั้งเอาไว้อย่างแน่นหนา
               ต่อหน้าต่อตาเขา เอย์จิถูกคลื่นน้ำอันบ้าคลั่งกลืนหายไป
               ชินจิน้ำตาไหลพราก มือยื่นออกไปสุดเหยียด แต่เขาเอื้อมไม่ถึงตัวรุ่นพี่ เอย์จิหายไปแล้ว
               “ไม่เอา! มันต้องไม่เป็นแบบนี้!” ชายหนุ่มหลับตา ดิ้นรนตะโกนอย่างคนที่หัวใจแหลกสลาย มือข้างหนึ่งกำถุงเครื่องรางที่ห้อยคออยู่แน่น
               “เอย์จิซัง! กลับมาหาผม! ใครก็ได้ช่วยเอย์จิซังด้วยเถิด ผมขอร้อง! ช่วยหยุดเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ที หยุดสักทีได้ไหม! เอาเอย์จิซังของผมคืนมา!”
               สิ่งประหลาดเกิดขึ้นในพริบตานั้น หลังจากที่ชินจิตะโกนประโยคสุดท้ายออกมา ถุงเครื่องรางที่ชายหนุ่มกำเอาไว้ก็เปล่งแสงสีแดงจ้า
               ชินจิปล่อยมือด้วยความตกใจ
               อะไรบางอย่างลอยออกมาจากถุงและตกลงบนฝ่ามือของชินจิที่ยกขึ้นรับโดยอัตโนมัติ
               ลูกแก้วสีแดงที่กาตัวใหญ่ขยอกออกมาจากท้องก่อนตาย!

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
กรี้ดดดดดด. กำลังลุ้นตัวโก่งเลยยยยยย :z3: :z3:

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
อ่านรัวๆและลุ้นอย่างมากกก
เอย์จิจะเป็นไงน้อออ  ลุ้นอ่ะ
 :katai1:

กาน้อยไปซะแล้วว  :hao5:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สนุกมากครับ การผูกเรื่อง การบรรยาย ดีไปหมด ตัวละครก็น่าสนใจ
แนวเรื่องแบบนี้หาอ่านได้ยากมาก เหมือนอ่าน manga ดีๆ อยู่เลย
ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 25

        “ลูกแก้วคันจุ!”
        เออิจิโร่พยุงรุกะนำพวกมนุษย์และอสูรตามมาถึงทะเลสาบบิวะในที่สุด หลังจากที่ผจญกับคลื่นยักษ์และพสุธาที่สั่นสะเทือนอันเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่า มังกรแดงฮิเดะซึงุคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
        แต่ภาพการต่อสู้ระหว่างมังกรทั้งสองและมนุษย์นักปัดรังควานก็ยังไม่มหัศจรรย์เท่ากับภาพของลูกแก้วสีแดงที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาและตกลงในมือของมนุษย์
        “ชินจิซังมีลูกแก้วคันจุได้ยังไง” รุกะมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
        “นี่เองเหตุผล ทำไมเขาถึงได้พิเศษกว่าคนอื่น ๆ” เออิจิโร่พึมพำ
        “เออิจิโร่ ดูนั่น!” รุกะเรียกคู่หมั้นหนุ่ม
        ทันทีที่ลูกแก้วคันจุปรากฏขึ้น ความวิปริตบ้าคลั่งทั้งหลายก็หยุดเหมือนปิดสวิตช์ คลื่นยักษ์อ่อนตัวลงกลายเป็นน้ำในทะเลสาบตามเดิม และเมื่อลูกแก้วเปล่งแสงสีแดงจ้าขึ้นอีกครั้ง พื้นน้ำสีฟ้าสดก็พลันแยกตัวออกและร่างของเอย์จิก็ลอยขึ้นมา
        ชิโนซากิคิตสึเนะรับร่างที่ไม่ได้สติของเอย์จิ นำมาวางลงบนพื้นภายในเขตแดนที่เขาสร้างขึ้น
        “เอย์จิซัง!” ชินจิร้องไห้โฮ เขย่าเรียกรุ่นพี่เป็นการใหญ่ อึดใจต่อมา เอย์จิก็ได้สติ ลุกขึ้นขย้อนเอาน้ำออกมาจากท้อง หน้าของเขาซีด ตาแดงก่ำ แต่ไม่ได้รับอันตรายอะไร
        ชินจิโผเข้ากอดร่างอันเปียกโชกของรุ่นพี่แน่นด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูก เอย์จิปลอดภัยแล้ว
        มังกรแดงคำรามลั่นขึ้นมาอีกจนบรรยากาศสั่นสะเทือนแทบว่าจะถล่มทลาย ไอ้พวกมนุษย์มันได้ลูกแก้วคันจุไปครอบครอง ทั้ง ๆ ที่ลูกแก้วทั้งสองเป็นของมังกร ข้าได้มันจุกลับคืนมาแล้ว ข้าจะต้องเอาคันจุกลับคืนมาให้อยู่คู่กัน
        ฮิเดะซึงุพุ่งปราดหมายจะแย่งชิงลูกแก้วสีแดง แต่ชิโนซากิคิตสึเนะที่กลายร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่เข้าขัดขวางไว้ได้ทันและสู้กันเป็นพัลวัน
        จังหวะนั้นเอง มังกรขาวหันไปหามนุษย์ทั้งสองที่อยู่ในเขตแดนของจิ้งจอก ร้องสั่งว่า
        “เอาลูกแก้วคันจุมาให้ข้า!”
        ชินจิทำตามแต่โดยดี ขว้างลูกแก้วสีแดงในมือออกไปสุดแรง
        ฮิเดะซึงุโยนร่างที่โซมด้วยโลหิตของจิ้งจอกขาวทิ้งไป แล้วประจันหน้ากับมังกรขาวที่ถือลูกแก้วคันจุอยู่ในมือและมนุษย์นักปัดรังควานผู้ครอบครองดาบสีดำซึ่งเทพเจ้าเป็นผู้ช่วยตีขึ้นมา
        สถานการณ์พลิกผันแล้ว ข้างมังกรขาวมีทั้งพลังของลูกแก้วคันจุและมนุษย์
        แต่อย่าหวังเลยว่าฮิเดะซึงุผู้นี้จะหวาดกลัว!
        มังกรแดงผู้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่งเปิดฉากอาละวาดอีกครั้ง แสงสีน้ำเงินจากลูกแก้วในมือสาดจ้า พื้นน้ำเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง คลื่นน้ำก่อตัว
        มังกรขาวใช้พลังของลูกแก้วคันจุเข้าขวาง แสงสีแดงสดพุ่งเข้าต้านและผลักดันให้คลื่นยักษ์ถอยกลับ ขณะที่มนุษย์นักปัดรังควานร่ายเวทเสกชิกิงามิรูปสุนัขจิ้งจอกลุกเป็นไฟเข้าสู้อีกแรงพร้อมกับจับดาบคู่มือฟาดฟันใส่พร้อมกัน
        พลังของมังกรแดงมีมากกว่ามังกรขาว ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ไม่มีใครสามารถทานฤทธิ์เดชของมังกรแดงได้ แต่เมื่อมีทั้งคันจุและพลังเวทของมนุษย์กลุ้มรุมพร้อมกัน ไม่ช้าฮิเดะซึงุก็เสียท่า พลาดถูกคมดาบของมาซาฮารุฟันเข้าที่หน้าอกเป็นทางยาว
        วินาทีที่ฮิเดะซึงุชะงักงัน คือช่วงเวลาที่มิโคโตะรอคอย
        มังกรขาวชิงลูกแก้วมันจุกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและใช้พลังของมันร่วมกับพลังของคันจุสร้างข่ายแสงเป็นเขตแดนคลุมร่างของฮิเดะซึงุ บังคับให้มังกรแดงที่ดิ้นรนคลุ้มคลั่งค่อย ๆ สงบลงจนกลายเป็นแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ อีกต่อไป
        ทั้งมนุษย์และอสูรผู้ร่วมรับรู้เหตุการณ์พากันโห่ร้อง
        “มังกรแดงสงบแล้ว ท่านมิโคโตะสะกดมังกรแดงได้สำเร็จ”
        มิโคโตะรับร่างของฮิเดะซึงุซึ่งนอนหลับลงอีกครั้งเข้าสู่อ้อมแขน แล้วกอดกระชับเอาไว้แนบอกด้วยความอาลัยรัก น้ำตาของมังกรขาวที่ไหลอาบแก้มทำให้เกิดสายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
        ฮิเดะซึงุเข้าสู่ห้วงนิทราชั่วนิรันดร์
        “ท่านมิโคโตะ” มาซาฮารุส่งเสียงเรียกเบา ๆ ทำให้มังกรขาวเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมอง
        “ขอบคุณท่านมาซาฮารุ”
        มิโคโตะส่งลูกแก้วสีแดงคืนให้ คันจุกลับสู่ความครอบครองของมนุษย์แล้วในที่สุด
             เออิจิโร่พยุงรุกะเข้ามาสมทบ เช่นเดียวกับชินจิที่ประคองเอย์จิเข้ามา มาซาคาโดะกับมุราซากิเข้าช่วยจิ้งจอกขาวที่กลับสู่รูปลักษณ์ของมนุษย์ บาดแผลของชิโนซากิฉกรรจ์มาก แต่ยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายถึงชีวิต อสูรและมนุษย์คนอื่น ๆ เคลื่อนเข้ามารวมกลุ่มกันอยู่ห่าง ๆ
        “เอ่อ... มังกรแดงตายแล้วหรือครับ” ชินจิถามขึ้นด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
        “เขาไม่ตาย แค่นอนหลับไปอีกครั้ง” มิโคโตะยิ้มอ่อนโยนให้มนุษย์ผู้เคยครอบครองลูกแก้วคันจุ รอยยิ้มงดงามของมังกรขาวทำให้ชินจิตกตะลึงไปชั่วขณะ
        “ลูกแก้วทั้งสองเป็นสมบัติของมังกรมาก่อน ก่อนที่ริวจิน ราชันมังกรแห่งท้องทะเลจะมอบเป็นของขวัญให้แก่โฮโฮเดมิ หลานชายของเทพนารีอามาเตระสึ พลังของลูกแก้วจึงไม่สามารถทำอันตรายฮิเดะซึงุซึ่งเป็นมังกรได้ ทำได้แค่สะกดให้หลับใหลเท่านั้น” เอย์จิอธิบาย
        “ลูกชายของนักปัดรังควานพูดถูกแล้ว” มิโคโตะเอ่ยรับรองพลางไล้มือเรียวงามลูบใบหน้าของฮิเดะซึงุที่นอนหลับอยู่ด้วยความอ่อนโยน
        “งั้นเขาก็ต้องกลับไปอยู่ใต้ทะเลสาบอีกครั้งใช่ไหมครับ น่าสงสารจัง”
        ประโยคท้ายชินจิลดเสียงลงเป็นกระซิบ แต่มิโคโตะก็ยังได้ยิน
        “มนุษย์ผู้มีจิตใจอ่อนโยน เจ้าไม่ต้องสงสารฮิเดะซึงุหรอก เพราะเขาจะไม่ต้องอยู่ใต้ทะเลสาบนั่นแต่เพียงลำพัง มิโคโตะผู้นี้จะลงไปอยู่กับฮิเดะซึงุด้วย”
        สิ้นเสียงประกาศชัดเจนของมังกรขาว เหล่าอสูรแห่งฮะคุริวก็อื้ออึงทันที อิบุกิก้มลงคุกเข่า คัดค้าน
        “ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ท่านมิโคโตะ หากท่านปรารถนาให้มีผู้ขับกล่อมท่านฮิเดะซึงุ อิบุกิผู้นี้ขอรับอาสาเอง”
        “เสียงของวาคานะเป็นของท่านมิโคโตะ ขอแค่เพียงมีบัญชา ข้าก็พร้อมจะเป็นผู้ร้องเพลงขับกล่อมมังกรแดงแทนท่านโทชิมิตสึ” อสูรซาโตริผู้ใส่กิโมโนกรุยกรายทรุดตัวลงคุกเข่าเคียงข้าง
       มังกรขาวยกมือขึ้นห้าม ใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเจือรอยเศร้าในเวลาเดียวกัน
       “มิโคโตะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหน้าที่นี้แล้ว หากพี่ชายฝาแฝดของข้าต้องนิทราไปชั่วนิรันดร์ น้องชายอย่างข้าก็ต้องอยู่ด้วยจวบจนสิ้นกาลเวลา”
       อิบุกิคอตก เช่นเดียวกับวาคานะและอสูรทุกตน
        “พวกเจ้าไม่ต้องอาลัยข้า หน้าที่ของพวกเจ้ายังมีอยู่ อสูรทุกตนแห่งฮะคุริวจงฟัง!”
        มังกรขาวประกาศก้อง ท่าทางที่อ่อนโยนกลายเป็นขึงขังและน่าเกรงขามสมความเป็นเจ้าแห่งขุนเขา อสูรทุกตนทรุดตัวลงคุกเข่า ก้มศีรษะลงต่ำด้วยความเคารพเท่าชีวิต
        “ข้าขอสั่งให้พวกเจ้ารักษาอาณาเขตของอสูรเหนือทะเลสาบขึ้นไป ห้ามมิให้ผู้ใดบุกรุกเข้ามาอย่างเด็ดขาด และข้าสั่งห้ามมิให้อสูรตนใดของฮะคุริวทำร้ายมนุษย์ อสูรอยู่ในดินแดนของอสูร เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด”
        ดวงตาของมังกรขาวจ้องจับไปที่ผู้นำของเหล่ามนุษย์ซึ่งยืนห่างออกไปพอสมควร
        มาซาฮารุก้มศีรษะลงต่ำเป็นการแสดงการยอมรับและเคารพในวาจาประกาศิตของเจ้าแห่งขุนเขา ก่อนที่จะประกาศด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นไม่แพ้กันว่า
        “และข้า มาซาฮารุ ตัวแทนของเหล่ามนุษย์ ขอสัญญาว่าจะไม่ให้มนุษย์ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปรบกวนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกท่านเหนือทะเลสาบบิวะโดยเด็ดขาด”
        มังกรขาวพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะอุ้มร่างของฮิเดะซึงุเดินลงไปในน้ำและหายวับไปเมื่อถึงใจกลางทะเลสาบ อึดใจต่อมาก็ปรากฏแสงสีฟ้าเจิดจ้าพุ่งขึ้นจากใต้ผิวน้ำ แสงนั้นสอดประสานกันเป็นตาข่ายขยายครอบคลุมทั่วพื้นน้ำ แล้วเลือนหายไป
             ทุกคนและทุกตนมองเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์นี้ประจักษ์ชัดแก่สายตา ผืนน้ำของทะเลสาบบิวะกลายเป็นสีฟ้าสดเช่นเดิม
             มาซาฮารุยืดตัวขึ้น จับกระชับดาบด้ามยาวในมือแน่น
             “มังกรขาวไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของมนุษย์บ้าง”
             “ท่านพ่อ!” เออิจิโร่กับเอย์จิประสานเสียงกันคัดค้าน
             “ลูกแก้วมันจุกับพลังของท่านมิโคโตะสามารถสะกดมังกรแดงได้ตลอดกาลก็จริงอยู่ แต่ถ้ามีพลังของมนุษย์เข้าเสริม ผนึกก็จะยิ่งแข็งแกร่ง มังกรแดงจะไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาสร้างความเดือดร้อนได้อีกต่อไป”
             นี่เป็นครั้งแรกที่ชินจิได้เห็นรอยยิ้มของบิดาของเอย์จิและเออิจิโร่
             “พ่อตัดสินใจแล้ว” ชายสูงวัยเอ่ย
             “เออิจิโร่ ได้ยินแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้เจ้าทำหน้าที่แทนพ่อ เป็นคันนุชิ เป็นนักปัดรังควาน และอย่าให้ใครล้ำแดนอสูรโดยเด็ดขาด รุกะจะเป็นคนช่วยเจ้าดูแลศาลเจ้าและเรียวกัง ขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
             สั่งจบ มาซาฮารุหันไปทางลูกชายคนเล็ก เห็นเอย์จิขบริมฝีปากแน่นจนห้อเลือดเหมือนที่ชอบทำเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรง ผู้เป็นบิดาก็มีสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนลง ตอนนี้เขาสละตำแหน่งคันนุชิและเจ้าบ้านไปแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่มาซาฮารุผู้มีภาระความรับผิดชอบแห่งความเป็นผู้นำอีกต่อไป แต่เป็นมาซาฮารุผู้เป็นพ่อคนคนหนึ่งเท่านั้น
             “เอย์จิ พ่อขอโทษสำหรับทุกอย่าง”
             น้ำตาของลูกชายร่วงพรู เอย์จิรีบยกท่อนแขนขึ้นเช็ดอย่างรวดเร็ว
             “ที่ต้องทำเป็นเย็นชา ไม่ใช่เพราะเกลียดชังหรือไม่รัก ตรงกันข้าม พ่อรักลูกมาก เหมือนกับที่รักแม่ แต่เอย์จิ ความรักอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ ลูกถึงต้องถูกกีดกันออกไป แต่ขอให้รู้ว่า พ่อเสียใจกับการกระทำของตัวเองตลอดมา แต่เพื่อลูก ถึงจะเสียใจแค่ไหน พ่อก็ต้องทำ”
             มาซาฮารุแตะมือลงบนศีรษะของลูกชายคนเล็กอย่างแผ่วเบา
             “พ่อไม่ขอให้ลูกเข้าใจหรือยกโทษให้ สิ่งที่พ่อต้องการคือการเห็นลูกชายมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยเท่านั้น”
             “ท่านพ่อ” เอย์จิเสียงเครือ ขยับจะจับมือของพ่อที่อยู่บนศีรษะ แต่มาซาฮารุชักมือออกไปเสียก่อน ทำให้มือของเอย์จิไขว่คว้าได้เพียงแค่อากาศ ชินจิรีบสอดมือของตัวเองเข้าไปแทน เอย์จิก็จับมือของรุ่นน้องบีบจนแน่น   
             บิดายิ้มน้อย ๆ ให้ลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายแทนการอำลา แล้วหันหลังเดินลงไปในน้ำ
             มาซาฮารุหยุดยืนไม่ห่างจากฝั่งมากนัก แล้วชักดาบออกจากฝัก เริ่มต้นร่ายเวท
             ดาบสีดำประจำตัวของมาซาฮารุเป็นดาบจากฝีมือตีของช่างดาบชื่อมุเนจิกะ ว่ากันว่าเทพเจ้าอินาริเป็นผู้มีส่วนช่วยในการตีดาบเล่มนี้ขึ้น มันจึงมีพลังวิเศษที่สามารถใช้เป็นศูนย์กลางของเขตแดนได้
             เวทที่มาซาฮารุร่ายกลายเป็นตัวอักษรสถิตอยู่บนใบดาบ ยาวจากปลายดาบลงมาจนถึงโคนที่ติดกับด้าม มาซาฮารุปักปลายดาบลงบนพื้นน้ำสีฟ้าสด ชั่วพริบตาเดียว ร่างของมาซาฮารุก็สลายกลายเป็นควันดำเข้ารวมตัวกับดาบด้ามยาวและเปลี่ยนให้กลายเป็นต้นไม้ไร้ใบสีดำสูงชะลูด โดดเด่นอยู่เหนือต้นไม้สีเทาแกมดำที่งอกขึ้นจากน้ำแผ่กระจายรายล้อมเหมือนรั้วกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง
              ผืนน้ำสีฟ้าสดนิ่งสนิท ต้นไม้ไร้ใบเห็นแต่เพียงกิ่งก้านโล้นเปลือยยืนต้นสงบ ทะเลสาบบิวะกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
              “จบสิ้นกันเสียที” เออิจิโร่ปรารภ เหลียวมองไปข้างหลัง
              อสูรจากฮะคุริวยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ จ้องมองไปยังทะเลสาบบิวะ ชิโนซากิคิตสึเนะยืนอยู่ในกลุ่มด้วยโดยมาซาคาโดะเป็นผู้ประคอง มือข้างหนึ่งของจิ้งจอกขาวกุมท้องที่เป็นแผลฉกรรจ์ ชุดสีขาวล้วนเปื้อนเลือดสีแดงทั้งตัว
              “ชิโนซากิซัง เป็นยังไงบ้างครับ” ชินจิเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
              “ไม่ต้องเป็นห่วงครับผม แผลแค่นี้สบายมาก ดื่มสุราฝีมือบ่มของท่านมาซาคาโดะเข้าไปสักกรึ๊บกับแช่น้ำร้อนสักหน่อยก็หายแล้วล่ะครับ”
              จิ้งจอกขาวยิ้มให้จนตาหยี
              ชินจิเห็นท่าทางร่าเริงของจิ้งจอกขาวก็ค่อยคลายความเป็นห่วงลงได้มาก ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองอสูรเจ้าของชื่อมาซาคาโดะผู้เป็นอสูรผู้ทำให้หลงทางในป่า จากนั้นมองอสูรตนอื่น ๆ ด้วยความสนใจ เขาเคยได้ยินแต่ชื่อของอสูรเหล่านี้และคำบอกเล่าต่าง ๆ นานา เพิ่งได้เจอตัวจริงก็ครั้งนี้และเขาต้องขอบอกเลยว่า อสูรแห่งฮะคุริวทุกตนล้วนงดงามยิ่งกว่าคำบรรยายใด ๆ ที่เอ่ยอ้างถึง ชินจิมองเรื่อยไปจนถึงคาเสะฮายะที่ยืนอยู่ริมนอกสุด อสูรตนนี้เองที่ช่วยเหลือเขาไว้ตอนที่รถบัสถูกยักษ์เล็กบุก
               “อสูรคาไมทะจิ ท่านคาเสะฮายะใช่ไหมครับ” ชินจิผละจากชิโนซากิเข้าไปหาอสูรตัวเล็กผมสีบลอนด์จางจนเกือบขาว 
               “ผมยังไม่ได้ขอบคุณอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยที่ช่วยผมเอาไว้ตอนนั้น ขอบคุณมากนะครับ”
               ชายหนุ่มพูดอย่างสุภาพพร้อมกับโค้งตัวลงต่ำ
               คาเสะฮายะไม่พูดอะไรเลย แม้ว่าจะไม่มีผ้าสีดำคาดปากเอาไว้แล้วก็ตาม อสูรสายลมคาไมทะจิไม่สนใจชินจิเสียด้วยซ้ำ แต่ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เช่นเดียวกับอสูรตนอื่น ๆ
               “เอ่อ..” ชินจิขยับจะพูดอะไรออกมาอีก แต่ก็ชะงัก เพราะเห็นความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาจากกลุ่มของอสูรผู้งดงาม แล้วอสูรอสรพิษอิบุกิก็กระโดดหายไปเป็นคนแรก ตามด้วยอสูรซาโตริวาคานะ อสูรสายฟ้าคามินาริและอสูรสายลมคาเสะฮายะตามลำดับ
               “เจ้าพวกนี้นี่จงรักภักดีเหลือเกิ๊น มังกรขาวสั่งไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับใคร ก็ไม่ยุ่งจริง ๆ แค่จะเอ่ยปากตอบตามมารยาทยังไม่ยอมทำเล้ย” เออิจิโร่บ่นพึมด้วยความหมั่นไส้ รุกะต้องใช้ศอกกระทุ้งให้หุบปาก เพราะยังมีอสูรผู้จงรักภักดีเหลืออยู่ที่นี่อีกสองตน
               มาซาคาโดะกับมุราซากิไม่สนใจความปากเสียของลูกชายนักปัดรังควานที่ตอนนี้เป็นนักปัดรังควานผู้นำฝ่ายมนุษย์เต็มตัวแล้ว อสูรผู้พิทักษ์เขตแดนตนแรกรออย่างอดทนให้ชิโนซากิคิตสึเนะกล่าวอำลาชินจิยืดยาวสมใจก่อนจะพาจิ้งจอกขาวกลับคืนไปในภูเขา ส่วนอสูรผู้พิทักษ์เขตแดนตนหลัง เมื่อเห็นอสูรตนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้วก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นสายหมอกจาง ๆ สีม่วงอ่อนเกือบขาวเหมือนสีของดอกไลแลคแผ่คลุมทั่วทั้งบริเวณและกลืนทะเลสาบบิวะหายเข้าไปในสายหมอกจนเหลือแค่เงารางเลือน
                “หน้าที่พิทักษ์เขตแดนรอบนอกคงเปลี่ยนจากมาซาคาโดะเป็นมุราซากิแทนแน่ ๆ แล้วถ้าข่าวลือว่ามีสายหมอกสีม่วงสวยเหมือนดอกไลแลคหลุดออกไปเมื่อไหร่ คราวนี้คนคงแห่กันมาดูเพียบแน่ ๆ เราก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันแล้ว นอกจากคอยกันคนไม่ให้ล้ำแดนอสูร!” เออิจิโร่บ่นไม่หยุด
                ชินจิฟังแล้วอมยิ้ม แต่เขาไม่เห็นด้วยกับเออิจิโร่เสียทีเดียวเมื่อนึกถึงงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงที่ถูกอสูรบุกจนพังเละไม่เป็นท่า จนกว่าจะแก้ข่าวเรื่องนี้ได้นั่นแหละ ถึงจะมีคนกล้ามาเที่ยวที่หมู่บ้านคันโจโคเอนและภูเขามิคามิอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลครุ่นคิดให้ปวดหัว มันเป็นธุระของเจ้าบ้านคนต่อไปต่างหาก และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว
                มือใหญ่ของใครบางคนสอดเข้ามาประสานกับมือของเขา กระตุกเบา ๆ เป็นเชิงเรียกร้องความสนใจ ชินจิเหลียวไปมอง เปิดยิ้มกว้าง
                “เอย์จิซัง”
                รุ่นพี่ของเขายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
                “กลับบ้านกันเถอะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2016 23:30:01 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               เออิจิโร่แง้มประตูห้องชงชา ก่อนจะเปิดออกจนสุด เมื่อเห็นคู่หมั้นสาวของเขานั่งคุกเข่าราบอยู่บนเสื่อตาตามิ ตรงหน้าของหล่อนคือหลุมสี่เหลี่ยม ในหลุมมีเตาฟุโระกับหม้อคามะซึ่งเอาไว้ใส่น้ำสำหรับชงชา รุกะใส่ชุดยูกาตะสีขาวลายดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แขนขวาพันผ้าพันแผลและใส่สายรัดคล้องไหล่ไว้ สีหน้าของหญิงสาวยังอิดโรยอยู่เพราะเสียเลือดไปมากและมีอาการอ่อนเพลีย
               “ทำไมไม่นอนพักล่ะ รุกะ ลุกขึ้นมาทำไม”
               ชายหนุ่มมองไปที่อุปกรณ์ชงชาใกล้ตัวของหญิงสาว คิ้วขมวด
               “ถ้าอยากดื่มชาก็บอกยูอิซังก็ได้ ไม่เห็นต้องมาชงเองเลย”
               รุกะเบือนหน้ามองคู่หมั้น แล้วหันกลับ ไม่แสดงความสนใจ หญิงสาวกำลังหงุดหงิด ไม่อยู่ในอารมณ์จะเสวนากับใคร โดยเฉพาะกับคู่หมั้นปากเสีย
               แต่เออิจิโร่ก็คือเออิจิโร่ ยิ่งเห็นคนไม่สนใจ ชายหนุ่มยิ่งอยากตามตอแย เขาก็เลยเดินเข้ามานั่งในห้องแถมลอยหน้าลอยตาล้อเลียน เมื่อรุกะถลึงตาไล่เขา
               “อยากดื่มชาขนาดนั้นเชียว มา ฉันชงให้เองก็ได้ แหม แค่หิวน้ำ ไม่เห็นต้องอารมณ์เสียเลย”
               “พิธีชงชามุ่งเน้นให้จิตใจสงบ เรียบง่าย มีสมาธิ เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว ยังจะให้ฉันพูดซ้ำทำไมเนี่ย จะยั่วโมโหใช่ไหม” รุกะตาวาว ถึงจะบาดเจ็บ ใช้มือข้างที่ถนัดไม่ได้ แต่การเสกชิกิงามิ แค่มือซ้ายมือเดียวก็เหลือแหล่แล้ว
               เออิจิโร่ยกสองมือ ยอมแพ้
               “โอเค โอเค ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้โมโหจริง ๆ”
               ชายหนุ่มหยิบอุปกรณ์ชงชามาจากมือรุกะ
               “เพื่อเป็นการขอโทษ ฉันจะชงชาอร่อย ๆ ให้เธอกิน ตกลงนะ”
               “ทำได้เหรอ” รุกะทำเสียงหยัน
               “อ้าว ดูถูก ท่านแม่สอนฉันเหมือนกันนะ เธอคิดว่ามีเอย์จิคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้รึไง บอกเลยว่าคิดผิดมาก ฉันเก่งกว่าหมอนั่นเยอะ”
               “งั้นเหรอ แต่ทำไมเมื่อก่อนฉันเห็นเธอนั่งเรียบร้อยอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาทีก็เผ่นซะแล้วล่ะ”
               “ก็เมื่อก่อนฉันยังเด็กอยู่” เออิจิโร่แก้ตัว หยิบจับอุปกรณ์แต่ละอย่างเหมือนกับต้องการจัดให้เป็นระเบียบ รุกะมองแล้วไม่ศรัทธาเลย แต่เจ้าตัวคุยเขื่องออกขนาดนั้น หล่อนก็อยากจะดูเหมือนกัน
               “ถ้าเธอทำผิด แม้แต่ขั้นตอนเดียว ฉันจะถือว่าเธอแพ้นะ”
               “ครับผม”
               รุกะถอยไปนั่งอยู่บริเวณหน้าโทโคะโนะมะหรือยกพื้นสำหรับวางของตกแต่งห้อง ซึ่งเป็นบริเวณที่ให้แขกพิเศษนั่งในระหว่างพิธีชงชา
               เออิจิโร่ถูไม้ถูมือเรียกความมั่นใจ แล้วเริ่มต้นด้วยการหยิบกระป๋องใส่ผงชาเขียวขึ้นมา
               รุกะมองด้วยความตั้งใจจะจับผิด แต่คู่หมั้นของหล่อนทำได้ดีกว่าที่คิด เออิจิโร่ใช้ช้อนไม้ด้ามยาวตักผงชาเขียวใส่ในถ้วยชาเซรามิก แล้วหยิบกระบวยไม้ตักน้ำร้อนจากหม้อคามะเทใส่ในถ้วยชา จากนั้นหยิบจะเซ็นหรือแปรงไม้ไผ่คนชาในถ้วย ท่าของเออิจิโร่ไม่เลวทีเดียว มือข้างหนึ่งประคองถ้วยชา อีกมือจับแปรงจะเซ็นคนอย่างรวดเร็ว แต่นุ่มนวล การเคลื่อนไหวของมือในทุกขั้นตอนมีจังหวะจะโคนกำลังพอดี
               “ตั้งใจจะทำก็ทำได้นี่นา” รุกะพูดลอย ๆ มองน้ำชาในถ้วยที่มีฟองเล็ก ๆ ลอยฟ่องด้วยความพอใจ
               “ยอมรับความสามารถฉันแล้วใช่มั้ยล่า” เออิจิโร่ยิ้มแฉ่ง
               “อย่าได้ใจไปหน่อยเลยน่ะ ยังเหลือขั้นตอนการดื่มอีกนะ เร็ว ๆ เข้า”
               “โห นี่ดูถูกกันกระทั่งการดื่มชานี่นะ ใครที่ไหนจะดื่มชาไม่เป็นกันล่ะ แม่คุณ” เออิจิโร่บ่น แต่ก็ทำตาม ชายหนุ่มใช้มือขวายกถ้วยชาขึ้นวางบนฝ่ามือซ้าย หมุนถ้วยตามเข็มนาฬิกาสองรอบ แล้วยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้มือขวาเช็ดบริเวณที่ริมฝีปากสัมผัสขอบถ้วยและเช็ดนิ้วด้วยกระดาษไคชิ สุดท้าย หมุนถ้วยชาในมือทวนเข็มนาฬิกาสองรอบ แล้ววางลงบนพื้นเสื่อ พิจารณาดูความงามของถ้วยชา ก่อนจะเลื่อนออกจากตัว
                “ชารสชาติดีมากครับ”
                เออิจิโร่พูดขึงขังตบท้าย ถูกต้องตามมารยาทเป๊ะแน่นอน แต่ดูสิ คู่หมั้นของเขากลับหัวเราะเฉยเลย
                “หัวเราะอะไรของเธอ” ชายหนุ่มถามเสียงขุ่น
                “ก็มันไม่ชินนี่ เธอชอบทำทุกอย่างเป็นเล่น จู่ ๆ ก็เกิดทำตัวจริงจังขึ้นมา ทำไมก็ไม่รู้ แต่มันตลก”
                รุกะหัวเราะจนน้ำตาไหลต้องใช้แขนเสื้อซับ แต่น้ำตาของหล่อนยังไหลอยู่ เช็ดเท่าไรก็ไม่แห้ง และหล่อนบอกตัวเองว่าเพราะเออิจิโร่ทำอะไรตลก ๆ ให้หล่อนขำนั่นแหละ
                คนที่รุกะโทษว่าเป็นต้นเหตุลุกขึ้นมานั่งใกล้ ๆ เอามือโอบไหล่หล่อนอย่างระมัดระวังไม่ให้กระเทือนบาดแผลที่แขน รุกะเอนศีรษะซบลงกับอกของเขา เสียงหัวเราะเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น
                “เอย์จิบอกอะไรเธอ”
                “เขาจะออกไปจากหมู่บ้านและจะไม่กลับมาอีก”
                เออิจิโร่ไม่แปลกใจที่น้องชายตัดสินใจแบบนี้ เอย์จิมีชีวิตของตัวเองนอกหมู่บ้าน และข้างนอกโน้น เอย์จิคือเอย์จิ ไม่ใช่ตัวสำรอง ไม่ต้องถูกเปรียบเทียบกับใคร ถ้าเขาเป็นเอย์จิ เขาก็คงเลือกเหมือนกัน
                ยังไม่นับเรื่องของรุ่นน้องคนสำคัญ
                ชินจิน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เอย์จิเลือกทางนี้
                “เธออยากให้ฉันพูดกับเอย์จิรึเปล่า”
                “ให้เธอพูด เอย์จิคงยิ่งรีบออกจากหมู่บ้านแน่”
                “ก็นั่นสินะ ที่นี่ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเอย์จิไว้อีกแล้วนี่ ไม่มีท่านแม่ ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีโอคินะซัง มีแต่พี่ชายสุดหล่อที่เก่งกว่าทุกอย่างกับพี่สะใภ้ที่เคยหักอกจนยับเยิน จะไม่อยากกลับมาก็ถูกแล้ว”
                รุกะผลักอกคู่หมั้นทันที ดวงตาของหล่อนยังเปียกชุ่ม แต่หญิงสาวไม่ร้องไห้แล้ว
                “ฉันยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ อย่ามาเรียกฉันเป็นพี่สะใภ้นะ”
                “เอ้า ไม่เรียกตอนนี้ ต่อไปก็ต้องเรียกอยู่ดี ก่อนท่านพ่อจะไป ท่านบอกให้เธอแต่งงานกับฉัน อย่ามาตีมึน ขอร้อง”
                “ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ” รุกะพูดด้วยความมึนตึง “แล้วท่านพ่อก็ไม่ได้พูดอย่างนั้นด้วย”
                “ไม่ได้พูดตรง ๆ แต่ก็หมายความอย่างนั้นแหละ ยังไงเธอก็ต้องแต่งงานกับฉันอยู่ดี” เออิจิโร่ต่อล้อต่อเถียงกับคู่หมั้นอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ ยิ่งรุกะทำหน้าบึ้ง เขาก็ยิ่งชอบ
                “หรือยังคิดว่าจะกลับไปหาเอย์จิได้ เจ้านั่นมันมีชินจิคุงอยู่แล้วทั้งคน แถมยังปกป้องกันด้วยชีวิตขนาดนั้น มันไม่มีทางกลับมาหาเธอหรอกน่า อย่ามัวไปอาลัยอาวรณ์มันอยู่เลย เธอน่ะมีคู่หมั้นสุดยอดอยู่ตรงนี้แล้วทั้งคน”
                “ฉันเกลียดผู้ชายขี้โอ่ ชอบทำตัวเป็นเล่น ปากเสีย ชอบยั่วโมโห ชอบทำให้ฉันโกรธ ทำให้...”
                เออิจิโร่ดึงรุกะเข้ามาจูบหนัก ๆ ทำให้หล่อนด่าเขาไม่ได้อีก แล้วยิ่งหล่อนดิ้น เขาก็ยิ่งจูบ ใช้กำลังที่เหนือกว่าพันธนาการหล่อนไว้ไม่ให้ขัดขืน
                พอถอนริมฝีปากออก เขาก็โดนทันที
                “ฉันเกลียดเธอ”
                “แต่ฉันรักเธอนะ”
                เออิจิโร่ไม่มีท่าทีเล่น ๆ อีกแล้ว น้ำเสียงและท่าทางของเขาจริงจัง
                “ตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันรู้สึกยังไง แต่เธอกลับไปชอบเอย์จิ ไม่มองฉันเลย”
                “เอย์จิไม่แกล้งฉัน ไม่เหมือนเธอ”
                “ฉันก็ต้องเรียกร้องความสนใจสิ ไม่งั้นเธอก็เอาแต่สนใจเอย์จิ ฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ฉันไม่สนใจกระทั่งความรู้สึกของน้องชายตัวเอง ขอแค่ฉันแย่งเธอมาได้ก็พอ แล้วฉันก็ทำได้ ฉันได้หมั้นกับเธอ ฉันดีใจมาก แต่ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจแล้วว่ามันดีจริงไหม”
                 ชายหนุ่มมองหน้าคู่หมั้นของตัวเองที่กำลังรอฟังคำพูดต่อไปของเขา
                 “ฉันได้คิด จากเรื่องของท่านพ่อ ฉันไม่อยากกลายเป็นคนเย็นชา ไม่อยากแสดงออกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจอย่างที่ท่านพ่อทำ และถ้าฉันมีลูก ฉันไม่อยากให้ลูกของฉันรู้สึกเหมือนอย่างที่ฉันหรือเอย์จิรู้สึก ดังนั้น ฉันจะไม่แต่งงานกับเธอ ในเมื่อเธอยังลืมเอย์จิไม่ได้ แล้วเธอก็บอกว่าเกลียดฉัน”
                  “ถ้าเธอไม่แต่งงานกับฉัน แล้วเธอจะแต่งงานกับใคร”
                  “ก็ไม่แต่งกับใคร” เออิจิโร่ยักไหล่ “สักวันฉันอาจเจอใครสักคนที่รักฉันแล้วฉันก็รักเขา ถึงตอนนั้นค่อยคิดถึงเรื่องแต่งงานก็ได้”
                  รุกะตอบการร่ายยาวของเออิจิโร่ด้วยสีหน้าน้อยใจ
                  “พวกเธอนี่เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง เอาแต่ใจตัวเอง ไม่คิดถึงคนอื่นบ้างเลย เอย์จิทิ้งฉันไปแล้วคนหนึ่ง เธอก็ยังจะทิ้งฉันอีก รู้ไหมว่ามันใจร้ายมาก”
                  “อย่ามาโทษฉันนะ เธอนั่นแหละใจร้าย หมั้นกับฉันแล้วแท้ ๆ ยังไปสนใจแต่คนอื่นอยู่ได้”
                  “ก็เธอชอบทำอะไรเป็นเล่น ฉันก็ไม่เชื่อน่ะสิว่าเธอรักฉันจริง ไม่ใช่ต้องการแค่จะเอาชนะเอย์จิอย่างเดียวถึงได้มาหมั้นกับฉัน”
                  ทั้งสองคนเริ่มเถียงกันอีก ไม่มีใครยอมใคร แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เรื่องที่ตั้งใจจะเคลียร์กันให้รู้เรื่องก็คงไม่จบอีกตามเคย เออิจิโร่จึงเป็นฝ่ายยอมถอย เสียงของเขาอ่อนลงเมื่อถามว่า   
                  “แต่ตอนนี้เธอก็รู้แล้ว จะเอายังไงล่ะ”
                  “จะเอายังไงอะไร ก็เธอประกาศออกปาว ๆ ว่าเธอไม่แต่งงานกับฉันแล้วนี่” รุกะเมินหน้าหนี
                  “ฉันบอกว่าฉันไม่แต่ง ถ้าเธอไม่ยอมเลิกรักเอย์จิต่างหาก” เออิจิโร่โต้ แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลย รุกะยังคงแสดงอาการน้อยใจด้วยการไม่ยอมมองหน้าเขาและคราวนี้หันหนีทั้งตัว ไม่ใช่แค่หน้า และถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ล่ะก็ เรื่องเป็นไม่จบแน่
                  เออิจิโร่เอานิ้วสะกิดไหล่
                  “รุกะจัง”
                  หล่อนปัดมือเขาออก หน้างอ เออิจิโร่เห็นแล้วนึกขำ ยังไงหล่อนก็เป็นผู้หญิงนั่นแหละ ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด รั้น แถมยังงอนเก่งอีกต่างหาก แต่เขารับมือได้อยู่แล้ว
                  เออิจิโร่สวมกอดหล่อนอีกครั้ง
                  “แต่งงานกันนะ”
                  รุกะยังนิ่ง แต่หล่อนไม่ต่อต้าน ไม่พยายามผลักไสเขาอย่างเมื่อกี้
                  “ขอแต่งงานในห้องชงชามันดูไม่เข้าท่าไปหน่อย งั้นเปลี่ยนสถานที่หน่อยก็ได้ เธออยากให้ฉันขอแต่งงานที่ไหนล่ะ ในสวนที่บ้าน ในสวนซากุระของศาลเจ้า ที่จุดชมวิว หรือจะกลับไปที่ทะเลสาบ เอาไหม ไม่ล้ำแดนอสูรไม่เป็นไรหรอก มีหมอกสีม่วงอ่อนเป็นฉากหลัง สวยสุด ๆ ตกลงตามนี้ล่ะนะ เดี๋ยวเธอไปเปลี่ยนชุดให้หนา ๆ หน่อย ฉันจะไปเตรียมช่อดอกไม้กับแหวน”
                   “บ้า เออิจิโร่ เธอนี่บ้าอย่างนี้ทุกที ดีอยู่ได้ไม่กี่วินาทีจริง ๆ เลย”
                   “เอ้า ก็เธอไม่ตอบ ฉันก็เลยคิดว่าฉันต้องพยายามให้มากขึ้นไง” เออิจิโร่ยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงสะบัด ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขา
                   เออิจิโร่หมุนตัวคู่หมั้นให้หันมาสบตา พูดอย่างหนักแน่นว่า
                   “แต่งงานกันนะรุกะ”

                                                                    ........................

                   เอย์จิไม่อยู่ในห้อง...
                   บนพื้นข้างเตียงมีอ่างแก้วกับผ้าขนหนูและกล่องปฐมพยาบาลวางอยู่ เป็นของที่เขาไปขอมาจากยูอิซังเพื่อเอามาเช็ดตัวและทำแผลให้ เอย์จิไม่บาดเจ็บมากนัก แต่ก็มีแผลเลือดซิบ ๆ ให้ต้องปิดพลาสเตอร์ยาจนลายพร้อยไปแทบจะทั่วตัว หลังทำแผลเสร็จ เขาให้เอย์จิกินยาแก้ปวดและลดไข้กันไว้เวลาแผลเกิดระบมขึ้นมา แล้วก็สั่งให้นอนพัก เอย์จิก็ทำตาม แล้วดูสิ กลับมาอีกที รุ่นพี่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
                   ชินจิเปิดประตูออกมา ลังเลว่าจะไปถามหาเอย์จิดีหรือไม่ แต่ตอนนี้ก็ดึกพอสมควร ทุกคนเหนื่อยจากการต่อสู้ ถ้าเขาไปรบกวน มันก็จะไม่ดี
                   เสียงกุกกักดังขึ้นใกล้ตัว ชายหนุ่มเหลียวมองหาที่มาของเสียง มันดังมาจากห้องของเออิจิโร่ที่อยู่ติดกัน เจ้าของห้องไม่อยู่ เพราะเขาเห็นประตูเปิดทิ้งเอาไว้ แต่เขาก็ไม่กล้าถือวิสาสะเข้าไปในห้องคนอื่นอยู่ดี จึงได้แต่เพียงเมียง ๆ มอง ๆ หาตัวต้นเสียงเท่านั้น 
                   “อ๊ะ เนเน่จัง” ชินจิอุทาน หลังจากก้มมองที่พื้นแล้วเห็นขนฟู ๆ สีน้ำตาลอมแดงผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ที่ประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้
                   พังพอนของเออิจิโร่โผล่หน้าออกมามองเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง ชินจิก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขายังมองเห็นคูดะกีซึเนะตัวนี้อยู่ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีลูกแก้วคันจุอยู่ในครอบครองแล้ว แต่ก็คิดเอาเองว่าอสูรหรือปีศาจหรือพวกภูตผีที่มีพลังอย่างอสูรในภูเขามิคามิคงสามารถเปิดเผยตัวเองให้ใครมองเห็นก็ได้กระมัง ถ้าต้องการ
                    “ฉันกำลังตามหาเอย์จิซังอยู่ เนเน่จังเห็นเอย์จิซังบ้างไหม”
                    ไม่อยากรบกวนมนุษย์ ก็เห็นจะต้องพึ่ง ‘อย่างอื่น’ แล้วล่ะ
                    เนเน่จังตอบรับคำขอร้องของชินจิอย่างง่ายดาย มันกระโดดนำเขาไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องอาบน้ำ ก่อนจะหายวับไป
ชินจิเปิดประตูเข้าไปดู เอย์จิไม่อยู่ในห้องด้านใน ชายหนุ่มก็เลยเดินไปเปิดประตูห้องอาบน้ำกลางแจ้ง
                    “เอย์จิซัง”
                    รุ่นพี่ของเขากำลังหลับตาแช่น้ำร้อนอยู่ในบ่ออย่างมีความสุข พอได้ยินเสียงเรียกก็ลืมตาขึ้นมามอง
                    “แช่น้ำด้วยกันไหม”
                    “ถ้าจะไปไหนก็บอกกันหน่อยสิครับ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่ไม่เห็นคุณ ผมตกใจแทบแย่ ใจก็กลัวไปสารพัด ถ้าเอย์จิซังหายไปอีก ผมจะทำยังไง” ชินจิต่อว่าเสียงเครือ
                    ตอนที่ไม่เห็นเอย์จิอยู่ในห้อง ใจของเขาแล่นปราดไปถึงตอนที่เอย์จิถูกคลื่นน้ำกลืนหายไปต่อหน้าต่อตาเขา ชินจิรู้สึกเจ็บปวดและร้อนรนจนบอกไม่ถูก ถ้าเขาหาเอย์จิไม่เจอ เขาต้องเป็นบ้าแน่
                    เอย์จิลุกขึ้นจากบ่อน้ำร้อนทันที ตรงเข้าไปกอดรุ่นน้อง
                    “ฉันขอโทษ ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
                    “ไม่ทำอย่างตอนนั้นที่ทะเลสาบด้วยนะครับ แค่คิดว่าจะเห็นภาพแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ผมก็ทนไม่ไหวแล้ว”
                    แต่เอย์จิกลับส่ายหน้า
                    “ฉันสัญญาไม่ได้หรอกนะ”
                    “ทำไมล่ะครับ” ชินจิหน้าเสีย รู้สึกด้วยว่าน้ำตาใกล้จะไหลอยู่รอมร่อ
                    “เพราะฉันทนเห็นนายเป็นอันตรายไม่ได้น่ะสิ” สองมือของเขาประคองใบหน้าของรุ่นน้อง สายตาอ่อนโยนแกมเศร้าประสานกับสายตาที่สับสนและหวั่นไหว
                    ริมฝีปากของชินจิสั่นระริก แล้วน้ำตาก็ร่วงตาม
                    “ถ้ามันเกิดเหตุการณ์อย่างในวันนั้นซ้ำสอง ฉันก็จะทำแบบเดิมอีก ฉันจะปกป้องนายด้วยชีวิตของฉัน ขอแค่นายปลอดภัยเท่านั้น ชินจิ ถึงฉันจะต้องตาย มันก็คุ้ม”
                    ชินจิร้องไห้โฮ ทุ่มตัวลงบนพื้น ความรู้สึกที่เก็บอัดเอาไว้ในใจตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องระเบิดออกมาเพราะคำพูดนี้  เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไง มันปน ๆ กันไประหว่างความกลัว ความกังวล ความโล่งใจ ความดีใจ ความปลื้มปิติ รวมทั้งอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เขาร้องไห้โดยมีเอย์จิคอยปลอบประโลม
                    “ชูว์ ไม่เอา ไม่ร้องไห้ ฉันอยู่กับนายตรงนี้ ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย”
                    เอย์จิดึงตัวรุ่นน้องเข้ามากอด ให้ชินจิได้ร้องไห้แนบอกกว้างของเขา
                    “เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ ฉันปลอดภัย นายก็ปลอดภัย เราอยู่ด้วยกันแล้ว เห็นไหม ไม่มีใครเป็นอะไรสักหน่อย ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ คนดี”
                    ริมฝีปากของเขากดแนบลงที่ขมับของชินจิ แล้วลากเรื่อยลงไปตามแก้ม เส้นคาง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากที่กำลังสั่นน้อย ๆ
                    เขาจูบชินจิอย่างนุ่มนวล อ่อนหวาน มือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบโยนไปพร้อมกัน
                    รุ่นน้องเริ่มคลายสะอื้น อาการร้องไห้จนตัวโยนคลายลงจนเหลือเพียงสะอื้นเบา ๆ
                    เอย์จิถอนริมฝีปาก ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ชินจิพยายามจะยิ้มตอบ แต่ทำได้แค่กระตุกริมฝีปากสั่น ๆ และเขารู้ว่าตอนนี้หน้าตาของเขาคงดูไม่ได้ ตาบวม จมูกแดง แล้วก็มอมแมม เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ชายหนุ่มก็เลยก้มหน้างุด ไม่ยอมสบตาด้วย
                    “หลบหน้าทำไม”
                    ชินจิยังคงไม่ยอมเงยหน้า ต้องให้เอย์จิบังคับด้วยการเชยคางขึ้น
                    “นายน่ารัก ไม่ต้องกังวลไปหรอก โดยเฉพาะสำหรับฉัน”
                    ชินจิหลับตาลง เมื่อเห็นรุ่นพี่ก้มหน้ามาหา สัมผัสของเอย์จิเต็มไปด้วยความรู้สึก และชายหนุ่มก็รับความรู้สึกนั้นด้วยหัวใจของเขา

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทส่งท้าย

        เอย์จิในชุดสูทสีดำสนิทดูแปลกตาไม่น้อยในสายตาของชินจิ คงเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้เขาเห็นรุ่นพี่ใส่แต่ชุดยูกาตะตลอดเวลา รูปร่างของเอย์จิสูงใหญ่ ใส่สูทตัดเข้ารูปพอดีเชียะแล้วดูดี ไป ๆ มา ๆ จะดูดีกว่าใส่ชุดยูกาตะเสียอีกนะเนี่ย ชินจิมองเพลินจนเกือบลืมไปว่าเขาต้องมาตามรุ่นพี่ไปที่ห้องรับแขกแล้ว
        ตอนนี้บรรยากาศในบ้านและที่เรียวกังค่อนข้างคึกคักต่างจากที่ผ่านมาเพราะมีญาติทางฝั่งของรุกะมาพักด้วยหลายคนเพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งงานระหว่างหญิงสาวกับเออิจิโร่ ตอนที่รู้เรื่องแต่งงาน ชินจิเป็นห่วงรุ่นพี่ของเขา แต่เมื่อเห็นเอย์จิมีท่าทางเป็นปกติดี ไม่เศร้า ไม่แสดงอาการอาลัยอาวรณ์ แถมยังแสดงความยินดีกับพี่ชายด้วยใจจริง เขาก็คลายความเป็นห่วง เอย์จิคงตัดใจจากรุกะได้แล้วจริง ๆ
        ภายในห้องรับแขกของบ้าน แขกเหรื่อมากันพร้อมหน้า ส่วนใหญ่เป็นแขกฝ่ายเจ้าสาว ผู้ชายใส่สูทสีดำทับเชิ้ตสีขาว ผู้หญิงใส่กิโมโนสีดำ บางคนที่อ่อนวัยหน่อยใส่ชุดกระโปรงสีดำหรือสีสุภาพอื่น ๆ ส่วนแขกฝ่ายเจ้าบ่าวมีแค่เอย์จิซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดกับชินจิเท่านั้น เออิจิโร่บอกว่าเขาไม่อยากเชิญใครเอง เพราะคนที่เขาอยากให้ร่วมงานมากที่สุดก็ไม่อยู่เสียแล้ว คนอื่น ๆ ก็เลยไม่มีความหมาย
        ‘แล้วเป็นผมจะดีหรือครับ’ ชินจิถามด้วยความไม่แน่ใจ เขาไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนทั้งนั้น ถ้าเขาอยู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะ แต่เออิจิโร่ยืนกราน
        ‘เธอเป็นคนรักของน้องชายของฉันก็เท่ากับเป็นคนในครอบครัว เธอต้องอยู่ร่วมงานด้วย อยู่กับเอย์จิไง’
        ชินจิเดินเข้าไปในห้องรับแขกพร้อมกับเอย์จิ ใครสักคนสะกิดเรียก เจ้าบ่าวที่ยืนอยู่กลางห้องจึงหันมามอง เออิจิโร่ใส่ชุดกิโมโนเต็มยศ สวมเสื้อคลุมมนสึกิฮาโอริสีดำประทับตราประจำตระกูลและกางเกงฮากามะสีเทาอ่อน ดูสง่างามและน่าเกรงขาม บุคลิกของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากท่านมาซาฮารุผู้เป็นบิดา พี่ชายของเอย์จิเหมาะสมแล้วกับการเป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบัน
        สายตาของเออิจิโร่มองเลยน้องชายตัวเองไปข้างหลัง เอย์จิกับชินจิจึงพลอยหันไปมองด้วย แล้วก็หลีกทางให้เจ้าสาวเดินเข้ามาในห้องได้อย่างสะดวก
        รุกะใส่กิโมโนสีขาว สวมเสื้อคลุมอุจิคะเคชั้นนอกสีขาว ใบหน้าใต้ผ้าคลุมสึโนะคะคุชิลงแป้งสีขาวเช่นกัน ปากทาสีแดงเรื่อ ชุดสีขาวล้วนที่ใส่อยู่ทำให้รุกะเป็นเจ้าสาวผู้บริสุทธิ์และสวยงาม
        เออิจิโร่เดินมารับเจ้าสาวของเขา พาเดินออกไปจากห้อง
        ที่ประตูด้านหน้า มิโกะสองคนจากศาลเจ้าใส่ชุดพิธีการรออยู่แล้วกับนักดนตรีเป่าขลุ่ยใส่เสื้อคลุมคะริงินุกับกางเกงซะชินุคิสีเหลืองทองลายจุดเพื่อเดินนำขบวนเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปยังห้องพิธี เออิจิโร่เดินตามหลังกลุ่มมิโกะกับนักดนตรี ถัดมาคือรุกะซึ่งเกาะมือมารดาของตัวเอง บิดาของหล่อนเดินตามหลัง จากนั้นจึงเป็นเอย์จิกับชินจิ และตามมาด้วยญาติ ๆ คนอื่น ๆ
        พิธีแต่งงานจัดข้างในไฮเด็ง เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวนั่งอยู่ตรงกลางหันหน้าเข้าหาแท่นบูชา ด้านหลังแบ่งโต๊ะและม้านั่งออกเป็นสองแถวสำหรับญาติ ๆ นั่งเรียงกันไปตามลำดับ ชินจินั่งอยู่ข้างรุ่นพี่ของเขา มองพิธีดำเนินไปอย่างสำรวมและขรึมขลัง
        คันนุชิผู้ทำพิธีโบกทะมะงุชิซึ่งเป็นกิ่งไม้ที่มีใบสีเขียวกับกระดาษสีขาวติดอยู่เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว จากนั้นจึงอ่านคำประกาศการแต่งงานต่อหน้าแท่นบูชาเพื่อให้เทพเจ้าปกป้องคุ้มครองและประทานพรแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว มิโกะสองคนในชุดพิธีการออกมาร่ายรำคางุระอย่างสวยงาม
        หลังจบการร่ายรำ มิโกะทั้งสองคนก็นำกาเหล้าจากแท่นบูชามารินใส่ถ้วยให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวผลัดกันดื่มสามครั้ง ครั้งละสามจิบ แล้วเออิจิโร่ก็หยิบกระดาษที่เขียนคำปฏิญาณออกมาอ่าน เสียงของชายหนุ่มหนักแน่นในทุกคำที่เปล่งออกมา

        เรากล่าวปฏิญาณนี้ต่อหน้าเทพเจ้าด้วยความเคารพ เรามีความยินดีที่ได้กล่าวคำปฏิญาณในวันสำคัญวันนี้และกลายเป็นสามีภรรยาโดยการประทานพรของเทพเจ้า เราสาบานว่าจะรักและเคารพซึ่งกันและกันตลอดไป และจะพยายามนำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัวของเรา
        เรายังขอสาบานว่าจะเป็นสามีภรรยากันตลอดไป และจะช่วยเหลือผู้คนและสังคมเพื่อเป็นการแบ่งปันพรจากพระเจ้าที่เราได้รับในวันนี้


        มือใหญ่ของเอย์จิเลื่อนมากุมมือชินจิใต้โต๊ะระหว่างที่คำปฏิญาณดังขึ้น ชินจิพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ก้มลงมองและรักษาความสำรวมไว้ แต่เขากลั้นริมฝีปากไม่ให้ยิ้มไม่ได้
        เจ้าบ่าวและเจ้าสาวถวายกิ่งไม้ทะมะงุชิเป็นเครื่องบวงสรวงแด่เทพเจ้าผ่านคันนุชิและมิโกะ จากนั้นก็สวมแหวนให้กัน แหวนทองคำขาวเกลี้ยง ๆ สองวงนี้เคยเป็นของมาซาฮารุและมิซากิมาก่อน เออิจิโร่สวมแหวนให้เจ้าสาวของเขาพร้อมกับมองอย่างอ่อนหวาน และถึงแม้ว่ารุกะจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองตอบ แต่ก็คงรับรู้ เพราะริมฝีปากสีแดงบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ
        พิธีแต่งงานในไฮเด็งจบลงเมื่อสุราในกาจากแท่นบูชาถูกนำมารินแจกจ่ายให้ญาติและผู้ร่วมงานได้ดื่มร่วมกัน ต่อจากนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ออกมาถ่ายรูปร่วมกับทุกคนด้านนอก
        “เออิจิโร่ซังดูมีความสุขมากนะครับ” ชินจิพูด เงยหน้ามองเอย์จิที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
        “ก็เป็นเจ้าบ่าวนี่นา ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในพิธี หมอนั่นมันคงยิ้มหน้าบานแฉ่งไม่ยอมหยุดไปแล้ว”
        ชินจิอมยิ้ม ถึงเออิจิโร่จะไม่ยิ้มให้เห็น แต่จากสายตาและมือที่จับมือเจ้าสาวเอาไว้ตลอดเวลาแล้ว แค่นี้ก็แสดงให้เห็นชัดมากพอว่าชายหนุ่มกำลังมีความสุขมากแค่ไหน
        “เอย์จิซังละครับ ตัดสินใจแบบนั้นดีแล้วจริง ๆ เหรอ” ชินจิถาม
        เขาเพิ่งรู้ว่ารุ่นพี่ตัดสินใจจะออกจากหมู่บ้านคันโจโคเอนหลังเสร็จงานแต่งงานของพี่ชายฝาแฝดและการออกไปครั้งนี้หมายความว่า เอย์จิไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว
        “ที่นี่ไม่ต้องการฉันหรอก มีแค่เออิจิโร่คนเดียวก็พอแล้ว ฉันอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร งานที่เรียวกังก็มีรุกะดูแลเต็มตัว คนทำงานก็ค่อยหาเพิ่มเอา ไม่ยากเท่าไหร่หรอก”
        “แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าจะไม่กลับมาอีกนี่ครับ ถ้าต่อไปเออิจิโร่ซังกับรุกะซังมีลูก คุณก็จะไม่ได้เห็นหน้าหลานเลยนะครับ แบบนั้นโอเคจริง ๆ เหรอ”
        “ใครใช้นายมาเกลี้ยกล่อมฉัน เออิจิโร่หรือว่ารุกะ” เอย์จิเลิกคิ้ว
        “ไม่มีใครใช้ ผมพูดเอง เพราะผมเป็นห่วงคุณ พวกคุณอุตส่าห์เข้าใจกันได้แล้วทั้งที เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่สมควรต้องตัดขาดกันเลยนะครับ” ชินจิพูดอย่างจริงจัง
        “ก็เอาไว้ถึงตอนนั้นก่อน ฉันอาจจะเปลี่ยนใจ” เอย์จิพูดอย่างไม่สนใจนัก แต่คำพูดของเขาก็ทำให้ชินจิเห็นว่ายังมีหวังที่จะทำให้รุ่นพี่ตัดสินใจใหม่ได้
        “เรื่องของฉันน่ะช่างเถอะ เอาเรื่องนายดีกว่า เมื่อเช้าฉันเห็นโฮโจเอากระดาษอะไรมาให้นาย” เอย์จิเปลี่ยนเรื่อง
        “อ๋อ จดหมายด่วนน่ะครับ” ชินจิล้วงกระเป๋าเสื้อนอกหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมายื่นส่งให้
        “จากอัตสึโตะ เร่งให้กลับโตเกียวเร็ว ๆ บอกว่ามายะเป็นอะไรสักอย่างเนี่ยแหละครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอก”
        เอย์จิเปิดจดหมายออกอ่าน อ่านจบก็ทำหน้าแปลก ๆ บ่นว่า
        “เขียนอะไรของมัน มายะเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก มีแต่คำว่ารีบกลับ ๆ แล้วไอ้หน้ายิ้มมีเลศนัยหลังข้อความนี่อะไร ดูไม่เข้าท่าเลย ตกลงยังไงกัน ต้องรีบกลับไหม”
        ชินจิยักไหล่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
        แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนก็ได้กลับโตเกียวในอีกไม่กี่วันต่อมา เพราะเมื่อเสร็จงานแต่งงานของพี่ชายฝาแฝด เอย์จิก็ไม่มีธุระอะไรให้ต้องอยู่ต่อไปอีก ชายหนุ่มชวนรุ่นน้องกลับไปโตเกียวด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าชินจิไม่มีวันปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะยังฝึกงานไม่ได้ครบตามที่ตั้งใจเอาไว้ก็ตาม
        ในวันกลับ ไม่มีใครมาส่งเอย์จิกับชินจิที่ป้ายรถของหมู่บ้าน เพราะเอย์จิสั่งห้ามเอาไว้ เขาไม่อยากให้มีการร่ำลาวุ่นวายมากความ อยากจะจากไปอย่างเงียบ ๆ มากกว่า ชินจิก็คิดเหมือนกัน แต่เขายังคิดต่อไปด้วยว่า สักวันหนึ่ง เขาจะได้กลับมาที่นี่กับเอย์จิอีกแน่ ๆ ดังนั้น การจากลาจึงไม่จำเป็น
        ชินจิกับเอย์จินั่งรอรถบัสอยู่ด้วยกันที่ป้ายรถ มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กติดตัวคนละใบ ส่วนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ และของอื่น ๆ ของเอย์จิจะถูกส่งตามไปให้ทีหลังด้วยบริการส่งกระเป๋า เป็นน้ำใจส่งท้ายจากเออิจิโร่ที่ไม่ต้องการให้ทั้งสองคนต้องแบกสัมภาระทุลักทุเลระหว่างการเดินทาง
        ยังเหลือเวลาอีกนานพอสมควรกว่าจะถึงเวลารถออก เอย์จิกับชินจินั่งคุยกันเงียบ ๆ ทั้งสองคนมีเรื่องให้คุยกันมากมาย เรื่องสัพเพเหระ เรื่องของเพื่อน ๆ เรื่องของตัวเอง เรื่องของอีกฝ่าย และเรื่องที่เกี่ยวกับทั้งสองคน
        เอย์จิยังต้องกลับไปเรียนต่อที่เยอรมนีอีกหลายปี ในขณะที่ชินจิต้องอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้ชินจิไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเอย์จิ ตลอดเวลาที่ผ่านมา รุ่นพี่พิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นมากพอแล้ว และสัญญาของเอย์จิที่ว่าจะกลับมาหาทุกครั้งที่มีวันหยุดก็ทำให้เขาชุ่มชื้นหัวใจได้มาก
        เขาจะรอวันที่เอย์จิกลับมา และครั้งนี้มันจะไม่จบลงด้วยน้ำตาอย่างแน่นอน
        ทั้งสองคนหยุดคุยกันเมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งรอที่ป้ายรถด้วย แต่เพราะผู้ชายคนนี้เอาแต่ก้มหน้า นั่งลงได้ก็กางหนังสือพิมพ์ออกอ่าน ไม่แสดงว่าสนใจอะไรทั้งนั้น แถมยังนั่งนิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เอย์จิและชินจิลดความสนใจลงอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายก็ลืมไปเลยว่า ยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งรอรถอยู่ด้วย
         รถบัสมาจอดที่ป้ายตามเวลา เอย์จิยกกระเป๋าทั้งของตัวเองและของชินจิขึ้นจากพื้น ขณะที่ชินจิอุทานอย่างแปลกใจ
         “เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว”
         “ใครหาย” เอย์จิหันมาถาม
         “ก็ผู้ชายคนเมื่อกี้ไงครับ ผมจำได้ว่ามีคนรอรถอยู่กับเราอีกคนหนึ่งด้วยนี่นา” ชินจิเกาศีรษะอย่างงง ๆ มองไปรอบตัว แต่ไม่เห็นใครเลยแม้แต่เงา
         “ผมไม่ได้ตาฝาดนะ เอย์จิซังก็เห็นใช่ไหมครับ”
         “นายไม่ได้ตาฝาดหรอก ดูที่ม้านั่งนั่นแน่ะ”
         ชินจิมองตาม บนม้านั่งมีห่อผ้าสีม่วงเข้มวางอยู่ มันดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เขาต้องเคยเห็นห่อผ้าแบบนี้มาก่อนแน่นอน
              ข้างตัวเขา เอย์จิบ่นอุบด้วยความหัวเสีย    
              “อุตส่าห์ไปเงียบ ๆ แล้วนะ ยังจะสอดมารู้ได้อีก”
              “ชิโนซากิคิตสึเนะ” ชินจิอุทาน
              ตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าว ตราสีทองประจำตัวของจิ้งจอกขาวล้อแสงแดดเป็นประกายอยู่บนห่อผ้า ดูสดใสไม่ต่างจากรอยยิ้มของผู้เป็นเจ้าของ
              จิ้งจอกขาวตนนั้นอุตส่าห์มาส่งเขาด้วย แถมยังให้เสบียงแสนอร่อยไว้กินระหว่างทางอีก
              “คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่อยากกลับมาที่นี่อีก แล้วก็ไม่อยากให้นายกลับมาเหมือนกัน สัญญากับฉันนะชินจิ ห้ามกลับมาที่นี่คนเดียวโดยที่ไม่มีฉันเด็ดขาด ไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ!”
              ชินจิอดยิ้มไม่ได้ ใช้มือที่ไม่ได้อุ้มห่อผ้าจับแขนของเอย์จิไว้แทนการให้สัญญา
              ก่อนขึ้นรถบัส ชินจิหันกลับไปมองสะพานข้ามแม่น้ำที่นำไปสู่หมู่บ้านคันโจโคเอนอีกครั้ง เขาไม่เคยเชื่อว่ามีภูตผีปีศาจอยู่ในโลก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
              การต่อสู้ของมังกร มนุษย์และอสูรเหนือทะเลสาบ ลูกแก้ววิเศษที่มีอำนาจควบคุมสายน้ำและคลื่นยักษ์ เหตุการณ์เหล่านั้นเขาเห็นมาด้วยตาตัวเอง แต่มันก็มหัศจรรย์จนยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากฝีมือของอสูรหรือภูตผีปีศาจตนใด
              แต่มันก็เป็นความจริง
              ห่อผ้าประทับตราสีทองในอ้อมแขนของเขาไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน
              แล้วก็ยังมีเรื่องของเอย์จิ
              เขาถามตัวเองมาตลอดว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ เขากลัวเหลือเกินว่าเรื่องระหว่างเขากับเอย์จิก็จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเหมือนกัน แล้วพอออกมาจากหมู่บ้าน มันก็จะหายไป
              “เป็นอะไรน่ะ ชินจิ ขึ้นรถได้แล้ว” เสียงของเอย์จิดังขึ้นพร้อมกับมือที่ยื่นมาจับข้อมือของเขา ดึงให้เดินขึ้นมาบนรถบัสที่จอดรออยู่
              สัมผัสนี้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่ ๆ
              ชินจิยิ้ม ขณะที่เดินตามแรงจูงของเอย์จิ
              ความสุขของเขาเป็นความจริง


                                                                            - จบ -

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
จบแล้วนะคะ สำหรับเรื่อง ภาพลวงตาของปีศาจ
อ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบยังไง ถ้าช่วย feedback ก็จะขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ

ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องของมายะอีกเรื่องเท่านั้นก็จะครบจำนวนสี่เรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะลงที่นี่
จากนั้นก็คงต้องคิดกันใหม่ว่าจะเขียนยังไงและจะลงที่ไหนดี แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็อีกนานพอสมควร ยังไงช่วงนี้ก็ขอฝากเรื่องทั้งสาม บนทางรัก ฆาตกรรมในออฟฟิศ และภาพลวงตาของปีศาจ ไว้ด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนค่ะ
Mettnoon
3.4.2016

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด