"ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ภาพลวงตาของปีศาจ" บทที่ 25 - 3-4-16 (Romantic Fantasy) -จบ-/แจ้งเรื่องตอนพิเศษ  (อ่าน 40682 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 11

        “แล้วยังไงต่อครับ” ชินจิถามเมื่อเห็นรุ่นพี่เงียบไป
        เอย์จิหลุดจากภวังค์ เขายิ้มอ่อน ๆ ให้รุ่นน้อง ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ในภูเขา แต่บิดไปเป็นว่าเขาพารุกะไปที่ทะเลสาบบิวะแล้วเกิดหลงทาง หาทางกลับบ้านไม่ได้ ก่อนจะไปเจอหมีเข้าโดยบังเอิญ ลูกธนูของเขาพลาดไม่ถูกเป้า โชคดีที่เออิจิโร่ตามมาทันและยิงธนูเข้าเป้าที่ดวงตาของมันพอดี เจ้าหมีตัวนั้นก็เลยหนีเข้าป่าไป
        “ฉันโดนเล่นงานหนักเลยล่ะที่พารุกะเข้าไปเล่นในป่า หลังจากนั้นฉันก็เลยมีแต่ความกลัวและความไม่มั่นใจ ฉันปกป้องคุ้มครองใครไม่ได้ ฉันไม่อยากเจอเหตุการณ์เหมือนในครั้งนั้นอีกแล้ว”
        เอย์จิทิ้งท้ายเสียงเครือ
        ชายหนุ่มไม่ได้เล่าว่า เขาไม่ได้โดนแค่ดุด่าว่ากล่าวเท่านั้นหรอก แต่โดนทำโทษอย่างรุนแรงด้วย บิดาของเขาโกรธมากที่เขาขัดคำสั่ง เอย์จิโดนเฆี่ยนจนหลังลาย ถ้ามารดาของเขาไม่วิ่งมาขวางเอาไว้ ตอนนั้นเขาอาจจะตายคาคันธนูของบิดาไปแล้วก็ได้ แต่โทษใดก็ไม่หนักเท่ากับการถูกตราหน้าว่าไร้ความสามารถ ไม่มีพลัง ไม่เหมาะสมกับที่เกิดมาเป็นสายเลือดของนักปัดรังควาน
         เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทุกคนตระหนักว่าผู้ที่สมควรจะเป็นผู้สืบทอดต่อจากมาซาฮารุก็คือเออิจิโร่ ฝาแฝดคนพี่
         เอย์จิถูกละเลยตั้งแต่ตอนนั้น มีเพียงเออิจิโร่ที่ได้รับการประคบประหงมและอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดเพื่อการเป็นเจ้าบ้านและเจ้าอาวาสผู้ดูแลศาลเจ้าอินาริต่อไป บิดาและผู้เฒ่าโอคินะฝึกสอนพี่ชายของเขาอย่างเคร่งครัด ส่วนเขาไม่ได้รับโอกาสแบบนั้นเลย
         บิดาของเขาลงความเห็นว่าคนที่ไม่มีพลังอย่างเขานั้นฝึกไปก็เสียเวลาเปล่า
         ส่วนรุกะก็ผิดหวังและเสียใจที่เอย์จิปกป้องหล่อนไม่ได้ ตัวหล่อนเองยังมีพลังมากกว่าเขาเสียอีก ในตอนนั้นเด็กหญิงเมินเขา เกลียดเขา ประณามว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ สู้พี่ชายไม่ได้ และไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อยที่ผู้ใหญ่จะหมายตาหล่อนไว้ให้เป็นเจ้าสาวของเออิจิโร่
         “แต่ตอนนั้นเอย์จิซังเพิ่งอายุสิบขวบเท่านั้นเองไม่ใช่หรือครับ”
         เสียงของชินจิเรียกให้เขากลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
         “เด็กขนาดนั้นเจอหมีในป่าแล้วยังอุตส่าห์ยิงธนูใส่ได้ ผมว่าแค่นั้นก็เก่งเหลือหลายแล้วนะ” รุ่นน้องของเขาพูดอย่างจริงจัง ชินจิวัดจากประสบการณ์ของตัวเอง ตอนเขาอายุสิบขวบน่ะหรือ แค่เดินผ่านบ้านที่เลี้ยงหมาตัวใหญ่และมันเห่าใส่เข้าหน่อย แค่นั้นเขาก็เปิดอ้าวไม่รู้ทิศทางแล้ว
         “นายจะเอาเด็กในเมืองมาเทียบกับเด็กในภูเขาได้ยังไงล่ะ เด็กในภูเขาต้องแข็งแกร่งถึงจะอยู่รอด”
         “แต่ผมว่ายังไงมันก็ไม่เข้าท่าอยู่ดี” รุ่นน้องของเขาทำหน้ามุ่ย ก่อนจะถามต่อว่า
         “แล้วรุกะซังโกรธเอย์จิซังมากไหมครับ”
         เอย์จินิ่งไปนิด ก่อนจะส่ายหน้า
         “ไม่โกรธหรอก แต่รุกะเขาก็รู้เหมือนกับคนอื่น ๆ ว่าฉันไม่เก่ง ไม่เหมือนเออิจิโร่ เราก็เลยเริ่มห่างเหินกันตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งหลังจากที่ฉันเข้ามาเรียนในเมือง เราก็แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย ต่อมาก็อย่างที่นายรู้ รุกะหมั้นกับพี่ชายของฉัน”
         “แต่รุกะซังยังรักเอย์จิซังอยู่นี่ครับ” ชินจิหลุดปากโพล่งออกมา
         “ทำไมนายถึงพูดแบบนี้ล่ะ” เอย์จิถามด้วยความแปลกใจ
         “ก็..เอ่อ..” ชายหนุ่มรุ่นน้องอึกอัก นึกคิดหาเหตุผลอย่างรวดเร็ว “รุกะซังดูเป็นห่วงเอย์จิซังมากเลยนี่ครับ อย่างวันที่เรากลับจากทะเลสาบบิวะก็เหมือนกัน ท่าทางรุกะซังเป็นกังวลมาก ผมคิดเอาเองว่ารุกะซังอาจจะ... เอ่อ... รักคุณ”
         “ฉันไม่รู้ว่ารุกะคิดยังไง แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ตอนนี้รุกะเป็นคู่หมั้นของเออิจิโร่ เรื่องของฉันกับรุกะมันจบลงไปนานแล้ว”
         ชินจิมองหน้ารุ่นพี่ของเขา นึกอยากถามเหลือเกินว่า แล้วความรู้สึกของเอย์จิซังล่ะ แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอจะถามคำถามนั้นอยู่ดี
         ชายหนุ่มนั่งเงียบ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรต่อดี   
              สายลมยามดึกเริ่มพัดอีกครั้ง คราวนี้ไม่เพียงแต่จะพาอากาศหนาวมาเท่านั้น มันยังพาอย่างอื่นมาด้วย
         “เอ๊ะ!” ชินจิอุทานด้วยความแปลกใจ
         “มีอะไรเหรอ”
         ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง แต่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ
         “ผมได้ยินเสียงดนตรี มันเหมือนกับมีใครสักคนกำลังเล่นโคโตะ”
         “นายได้ยินอย่างนั้นเหรอ” ดวงตาของเอย์เป็นประกายขึ้นด้วยความสนใจ
         รุ่นน้องของเขาพยักหน้า
         “ครับ แต่ผมอาจหูฝาดไปก็ได้”
         “นายรู้ไหมว่าคนเรียกภูเขามิคามิอีกชื่อหนึ่งว่ายังไง”
         “ไม่รู้ครับ”
         “ภูเขามิคากูระดะเกะ”
         “ภูเขาที่ส่งเสียงดนตรี” ชินจิตาโต
         “ใช่แล้วล่ะ เพราะบางครั้งบางคราวเราก็จะได้ยินเสียงคล้าย ๆ เสียงดนตรีดังมาจากในภูเขา ลอยมาตามสายลม ทั้งเสียงโคโตะ เสียงกลอง เสียงชามิเซ็ง บางครั้งก็เป็นเสียงขลุ่ยชาคุฮะจิ”
          “ในภูเขามีอะไรอยู่จริง ๆ เหรอครับ”
          ท่าทางหวาด ๆ ของรุ่นน้องทำให้เอย์จิอดกระเซ้าไม่ได้ว่า
          “เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม”
          ชินจิส่ายหน้าทันควัน
          “ไม่ ผมไม่กลัว กะแค่หมีกับเสียงดนตรีแค่นี้เอง” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะลดเสียงลงเหมือนไม่แน่ใจเมื่อถามต่อว่า
          “ผมยังไม่อยากกลับโตเกียว คุณคงไม่บังคับให้ผมกลับใช่ไหม”
          เอย์จิยอมแพ้ สายตาของรุ่นน้องวิงวอนขอความเห็นใจ แล้วก็ทำหน้าละห้อยถึงขนาดนั้น เขาทนใจแข็งอยู่ไม่ได้อีกแล้ว 
               มือใหญ่ของเขาเอื้อมไปลูบศีรษะของชินจิด้วยความเอ็นดู
          “ไม่หรอก ถ้านายไม่อยากกลับ ฉันก็จะไม่บังคับ”
          “ขอบคุณมากครับ”
          ชินจิยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รอยยิ้มที่สดใสทำให้ใบหน้าเรียบ ๆ จับตาขึ้นมาทันที เอย์จิมองอีกฝ่ายไม่วางตา สายตาแบบนั้นทำให้คนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งในความมืดรู้สึกทนไม่ได้ แต่เมื่อขยับจะก้าวออกไป มือของใครอีกคนหนึ่งก็จับไหล่ห้ามเอาไว้เสียก่อน

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
             รุกะหันขวับไปมอง เจ้าของมือที่รั้งไหล่หล่อนไว้ก็คือเออิจิโร่
        คู่หมั้นหนุ่มจุปากใส่หล่อนเบา ๆ
        “แอบฟังคนอื่นเขาคุยกันมันเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยนะ”
        “เธอก็แอบฟังสองคนนั้นคุยกันเหมือนกันนั่นแหละ” หญิงสาวย้อนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
        “สรุปว่าเราเสียมารยาทด้วยกันทั้งคู่ งั้นเราสองคนก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อแล้วล่ะ ไปกันดีกว่า” เออิจิโร่จงใจฉีกยิ้มกวน ๆ ใส่ ก่อนจะคว้าข้อมือของคู่หมั้นสาว ดึงให้เดินตามกลับไปที่บ้านโดยไม่สนใจว่าหล่อนจะถลึงตาใส่เขาอย่างดุเดือดไปตลอดทาง
        ก่อนถึงประตูเข้าบ้าน รุกะก็สะบัดมือจนหลุดเป็นอิสระ
        “เธอจะบ้ารึไง ลากฉันอยู่ได้ ฉันเจ็บนะ!” หญิงสาวตวัดเสียงต่อว่า ตาเขียว
        “เอ้า ฉันอุตส่าห์หวังดี กลายเป็นทำคุณบูชาโทษไปเสียได้” ชายหนุ่มโอดครวญ แต่ท่าทางและน้ำเสียงไม่ได้แสดงความเดือดร้อนเหมือนอย่างที่พูดออกมาแม้แต่น้อย และนั่นขัดตารุกะยิ่งนัก
             หญิงสาวโต้กลับ
        “ไม่ต้องพูดเอาดีเข้าตัวเลย เออิจิโร่ ฉันรู้นะว่าเธอชอบรุ่นน้องของเอย์จิ ถ้าฉันเข้าไปขัดจังหวะสองคนนั้น เธอน่าจะดีใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
        “แค่ขัดจังหวะ ไม่เห็นต้องดีใจเลย ถ้าเธอถอนหมั้นฉันแล้วกลับไปหาเอย์จิ อย่างนั้นฉันจะดีใจมากกว่า”
             เออิจิโร่ลอยหน้าลอยตาพูด ดวงตาของเขาวิบวับเป็นประกายแห่งความสนุกสนานที่ได้ยั่วโทสะของอีกฝ่ายเล่น แล้วรุกะก็ยั่วขึ้นเสียด้วย หล่อนออกจะเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อยเลยล่ะ แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีก็เถอะ
             “อย่าพูดบ้า ๆ นะ”
             นั่นไง เสียงของหล่อนเขียวปัดทันที
             “ไม่บ้า ฉันพูดจริง” ชายหนุ่มยืนยัน “ฉันยินดีให้เธอถอนหมั้นฉันแล้วกลับไปหาเอย์จิ ตอนนี้เรายังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีอะไรผูกมัดกัน เธออยากจะทำอะไรก็ได้ ตามใจเธอ ฉันก็จะได้ทำอะไรตามใจฉันเหมือนกัน อย่างเช่น...”
             ชายหนุ่มเว้นวรรค สายตาชำเลืองมองไปยังทิศทางที่เดินจากมา ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ
             “สารภาพรักและขอแต่งงานกับชินจิคุง”
             “ถ้าเธอแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น เธอจะไม่มีวันมีทายาท ท่านพ่อต้องไม่มีวันยอมแน่ ๆ”
             “ช่างมันสิ” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่อนาทร “เรื่องมีทายาทไม่เห็นลำบากอะไร รับลูกบุญธรรมเอาก็ได้ หรือฉันอาจจะขอลูกเธอกับเอย์จิมาเลี้ยง แต่ถ้าพวกเธอสองคนไม่ให้ ญาติสายอื่นก็ยังมีอีกเยอะที่อยากจะให้ทายาทของตัวเองเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป”
             “นี่.. เธอพูดจริง ๆ เหรอ” รุกะมองหน้าเขา และชายหนุ่มเห็นแววตาสับสนของหล่อนได้อย่างชัดเจน
             “จริงสิ” เออิจิโร่ย้ำอีกครั้ง
             “ไม่มีทาง ท่านพ่อไม่ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นหรอก”
             “หรือเธอต่างหากที่จะไม่มีวันยอมให้เป็นอย่างนั้น” ชายหนุ่มย้อนถาม และมันคงเป็นคำถามที่แทงใจดำอีกฝ่ายอย่างเหลือเกิน เพราะคนฟังถึงกับนิ่งงันไป พูดอะไรไม่ออก
             “เธอรักเอย์จิ แต่เธอเลือกที่จะแต่งงานกับฉัน ยอมรับเถอะรุกะว่าเธออยากเป็นโอะคะมิซังคนต่อไปมากกว่าจะอยู่อย่างไม่มีอะไรเลยกับคนที่เธอรัก เธอก็เหมือนกับฉัน ฉันอิจฉาเอย์จิ อยากได้รับความรักความเอาใจใส่จากท่านแม่เหมือนที่เอย์จิได้ อยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ ได้ออกไปจากหมู่บ้าน ไม่ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ เหมือนอย่างตอนนี้ แต่ให้ฉันเลือกใหม่ได้อีกครั้ง ฉันก็ยังเลือกจะเกิดเป็นเออิจิโร่คนนี้ คนที่มีพลังมากกว่าใคร ๆ คนที่จะเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป คนที่อยู่เหนือกว่าทุกคน และเพราะแบบนี้เราถึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากที่สุดยังไงล่ะ” 
              เออิจิโร่เหยียดยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเยาะหยันใครกันแน่ ระหว่างตัวเองหรือคู่หมั้น หรือมิฉะนั้นก็คงจะทั้งคู่นั่นแหละ เขายังยิ้มอยู่ มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่ไม่ยิ้มด้วย
              ชายหนุ่มย้ำซ้ำด้วยเสียงหนักแน่นราวกับจะให้คำพูดนั้นตอกแน่นเหมือนลิ่มลงไปในความทรงจำทั้งของเขาและของหล่อน
              “เราเป็นคนที่ไม่มีหัวใจเหมือนกัน!”

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
แฝดพี่ก็มีอีกมุมเหมือนกันแฮะ

ชินจิเสน่ห์แรงนะเนี่ยยย   :mew1:

ได้รู้เรื่องในอดีตของแฝดกับรุกะเพิ่มขึ้นด้วย


ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
สงสารเอย์จิ เราว่าเอย์จิก็อาจจะมีพลังอยู่ก็ได้นะเพียงแต่เพราะไม่เคยได้ฝึกใช้ ก็เลยไม่รู้ว่ามีพลังรึเปล่า
เมื่อไหร่นายเอกจะได้รู้ว่าที่นี่มีภูติผีอยู่ อ่านละอึดอัดแทนทำอะไรก็ไม่ได้แล้วก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สนุกค่ะ น่าติดตาม

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               หลังจากเหตุการณ์คนหลงในภูเขาผ่านไป หมู่บ้านคันโจโคเอนก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ชินจิเริ่มชินกับการทำงานในเรียวกัง เขายังรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะได้ทำงานที่ต้องใช้กำลัง ได้ออกกำลังกายบ้าง แถมอากาศในภูเขาก็ดี อาหารก็อร่อย ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกมาทำงานที่นี่ ถึงแม้ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้จะมีเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่เรื่อย ๆ ก็ตาม
               อย่างเช่นเรื่องคน
               เขาเคยแปลกใจเรื่องความเย็นชาของมาซาฮารุที่มีต่อเอย์จิ ต่อมาก็ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องฝาแฝดกับหญิงสาวสวยที่ชื่อรุกะ ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของอิซึมิ
               อิซึมิอยู่ที่เรียวกังตลอดเวลา ทำงานแทบไม่ได้หยุดมือ ตั้งแต่ชินจิมาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยเห็นหล่อนหยุดงานหรือออกไปนอกเขตเรียวกังโดยไม่จำเป็นเลย อิซึมิดูเหมือนไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เรียวกังฮิราตะเป็นเหมือนโลกของหล่อน เด็กสาวไม่ปรารถนาที่จะออกจากโลกที่อยู่ไปที่ไหนอีก แม้จะแค่ภายนอกหมู่บ้านก็ตาม
               ชินจิรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ วันหนึ่งรุกะก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขาพร้อมคำสั่งว่า
               “ฉันสั่งของไว้ แต่ทางร้านไม่สะดวกมาส่งให้ วานชินจิซังช่วยเข้าเมืองไปรับให้หน่อยนะคะ”
               ชายหนุ่มไม่มีปัญหาเรื่องที่รุกะไหว้วาน แต่เขาไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นเขาต่างหาก การเข้าเมืองหมายถึงการใช้เวลาไปทั้งวันเพราะรถบัสมีแค่สองเที่ยวเท่านั้นเอง ถ้าเขาไป อิซึมิก็ต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว แต่เมื่อเขาเอ่ยปากด้วยความกังวล รุกะก็บอกว่า
               “อิซึมิไม่เป็นไรหรอกค่ะ รายนั้นน่าจะชอบใจมากกว่าที่ไม่ต้องออกไปไหน”
               ชินจิยังลังเล เขาคิดว่าเด็กวัยรุ่นสาว ๆ น่าจะอยากไปเปิดหูเปิดตาในเมืองมากกว่าเก็บตัวอยู่แต่ในหมู่บ้าน แต่รุกะพูดถูก อิซึมิไม่แสดงทีท่าว่าอยากจะไปเลย หล่อนเกี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ 
               “ฉันไม่ไปหรอกค่ะ ชินจิซังไปน่ะดีแล้ว”
               “อิซึมิจังไม่ชอบเหรอที่จะได้เข้าไปในเมือง” ชินจิถาม
               “ฉันชอบอยู่ที่นี่มากกว่าค่ะ ไม่อยากไปไหน” หล่อนตอบ “ตอนนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าที่นี่อีกแล้ว”
               “ว่ายังไงนะครับ” ชินจิถามซ้ำ ไม่แน่ใจว่าฟังผิดเพี้ยนไปหรือไม่ เพราะเสียงของเด็กสาวตอนพูดประโยคสุดท้ายนั้นเบาจนกลายเป็นกระซิบ
               “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” อิซึมิยิ้มกว้าง เสียงกลับมาดังเป็นปกติ หล่อนเตือนว่า “ชินจิซังต้องระวังอย่าตกรถนะคะ รีบกลับมาให้ถึงก่อนมืด”
               “ผมจดเวลารถไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง” ชินจิชูสมุดโน้ตของเขาให้ดู แล้วถามด้วยความเอาใจใส่ว่า “อิซึมิจังอยากได้อะไรในเมืองไหม ผมจะซื้อมาให้”
               หล่อนคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตอบด้วยความเกรงใจว่า
               “ถ้าชินจิซังไม่ลำบาก แวะซื้อขนมจากร้านเค้กมาฝากฉันสักชิ้นก็พอค่ะ” หล่อนบอกชื่อขนมที่ต้องการและบอกทางไปที่ร้านให้ ชายหนุ่มจดลงไปในสมุดของเขาพลางรับรองอย่างแข็งขันว่า
               “ขากลับผมจะซื้อมาให้นะ”
               นอกจากอิซึมิ ชายหนุ่มยังถามคนอื่น ๆ ทั้งที่เรียวกังและที่ศาลเจ้าด้วยว่ามีใครอยากได้อะไรจากที่ในเมืองบ้าง แต่ทุกคนล้วนสั่นศีรษะ และทุกคนอีกเหมือนกันที่พูดกับเขาด้วยประโยคเดียวกันว่า
               “ระวังอย่าตกรถนะ รีบกลับมาให้ถึงก่อนมืด”
               ชายหนุ่มถามเอย์จิเป็นคนสุดท้ายซึ่งรุ่นพี่ของเขาก็เตือนเหมือนคนอื่น ๆ ไม่มีผิด ต่างกันอยู่นิดตรงที่เอย์จิยังบอกด้วยว่า
               “เดี๋ยวฉันไปรับที่ป้ายรถบัสนะ”
               “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับเองได้ เดินแค่นี้เอง” ชินจิรีบปฏิเสธ จากป้ายรถบัสเดินมาอีกหน่อยเดียวแล้วข้ามสะพานก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว เขาไม่คิดว่าระยะทางแค่นี้เขาจะหลงทางหรือเดินผิดได้แน่ ๆ แต่ทุกคนก็ดูเป็นกังวลอีกทั้งยังย้ำให้รีบกลับ
                ตอนกลางคืนมีอะไรกันแน่นะ
                แล้วไหนจะคำพูดของอิซึมิอีก เขาคิดว่าเขาได้ยินไม่ผิด เด็กสาวกลัวอะไรกัน มีอะไรน่ากลัวข้างนอกเรียวกังอย่างนั้นหรือ
                หรือสัตว์ป่า อย่างหมี เหมือนที่เอย์จิเคยเจอสมัยตอนเป็นเด็ก แต่มันจะลงจากภูเขามากวนคนถึงหมู่บ้านเลยเชียวเหรอ ไม่น่าจะเป็นไปได้
                ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดไปตลอดทางจากป้ายรถหมู่บ้านคันโจโคเอนจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
                ธุระของชินจิอยู่ที่ร้านขายชาในเมือง รุกะเขียนแผนที่ให้อย่างละเอียดทำให้หาเจอได้ไม่ยาก ตัวร้านเป็นอาคารไม้สองชั้นสีน้ำตาลเข้ม หลังคาสีดำ ม่านหน้าร้านใช้สีเดียวกับหลังคา ตัวอักษรชื่อร้านสีขาวตัวใหญ่เห็นเด่นชัด ชายหนุ่มเทียบชื่อร้านกับตัวอักษรในกระดาษ เมื่อเห็นว่าไม่ผิดแน่ก็ก้าวเข้าไป
                 พนักงานสาววัยกลางคนสวมชุดยูกาตะลายดอกไม้สีอ่อนก้มศีรษะทักทายและรับกระดาษจากมือชายหนุ่มไปด้วยความสุภาพนอบน้อม ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่บรรจุกล่องและกระป๋องชาตามรายการที่ได้สั่งไว้ นำมาให้เขาตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง
                 ชินจิยังใช้เวลาอยู่ในร้านอีกนาน แม้ว่าจะได้ของตามที่สั่งแล้วก็ตาม พนักงานนำชาหลายชนิดมาให้เขาชิม ชายหนุ่มก็ชิมจนเพลินพร้อมกับพิจารณาผลิตภัณฑ์ในร้านที่วางเรียงอยู่บนเคาน์เตอร์ตรงหน้าและบนหิ้งไม้ติดผนังด้วยความสนใจ พลิก ๆ ดูก็เห็นว่ามีหลายชนิดที่น่าสนใจ รสชาติดี แบบที่พ่อกับแม่ของเขาน่าจะชอบ ชายหนุ่มจึงจดรายละเอียดลงไปในสมุดโน้ต ตั้งใจไว้ว่า ก่อนกลับโตเกียว เขาจะแวะมาที่ร้านนี้อีกครั้ง
                  ออกจากร้านชา ชินจิมีถ้วยพลาสติกสีขาวใส่ชาร้อน ๆ ถือติดมือออกมาด้วย ที่ร้านมีบริการ Take-out เขาก็เลยเลือกชาที่ชอบให้ทางร้านชงใส่ถ้วยให้ จากนั้นก็ถือโอกาสที่มีเวลาเหลือเฟือก่อนรถบัสเที่ยวบ่ายจะมา เดินจิบชาชมเมืองอย่างสบายอารมณ์
                  เมืองเล็ก ๆ ในชนบทไม่มีอะไรให้เที่ยวชมเป็นพิเศษ แต่ชินจิก็เดินจนเหนื่อย เขาเดินเข้าออกตรอกซอกซอยต่าง ๆ ตามแผนที่ที่เขาเคยโหลดเก็บไว้ตอนหาข้อมูลก่อนทำงาน สำรวจดูว่ามีร้านรวงอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เผื่อคราวหน้าถ้าต้องเข้ามาในเมืองอีก ในหัวของเขาจะได้ไม่ว่างเปล่าจนเกินไปนัก
                  หลังจากเดินอยู่ในเมืองจนถึงเวลาที่กะเอาไว้ ชินจิก็กลับมาที่สถานีรถไฟและแวะร้านขนมเค้กเพื่อซื้อขนมที่อิซึมิต้องการซึ่งเป็นพุดดิ้งเค้กทำเป็นรูปลูกไก่สีเหลืองหน้าตาน่ารัก เด็กสาวสั่งเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่ชายหนุ่มซื้อเผื่อไปให้อีกหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ข้ามถนน เดินไปที่รถตู้เปิดท้ายขายขนมปังเป็นลำดับสุดท้าย
                  รถบัสไปหมู่บ้านคันโจโคเอนออกตรงตามเวลา ชินจิมองนาฬิกา นึกพอใจว่าจะสามารถกลับไปถึงได้ทันก่อนที่จะค่ำและไม่ทำให้ใคร ๆ ต้องเป็นกังวลกับเขา แต่เอาเข้าจริง หลังจากนั่งไปได้ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็เริ่มคิดว่าเขาคงจะกลับไม่ถึงหมู่บ้านภายในหนึ่งชั่วโมงแน่ เส้นทางรถบัสไปยังภูเขามิคามิมีเส้นทางเดียว ทำให้การบริการรับส่งผู้โดยสารค่อนข้างมีความยืดหยุ่น รถบัสสามารถรับหรือจอดส่งคนได้นอกป้าย การเดินทางจึงล่าช้ากว่าที่ชายหนุ่มคิด
                  ชินจิมองออกไปนอกหน้าต่าง บ่ายมากแล้ว ฟ้าเริ่มหมดแสง ในฤดูใบไม้ร่วงพระอาทิตย์ตกเร็วและมืดเร็วด้วย แต่เขายังไม่วิตกมากนักเพราะเขาไม่ได้ตกรถสักหน่อย นี่ก็อยู่บนรถบัสเที่ยวบ่ายแล้ว ยังไงก็กลับถึงหมู่บ้านทันแน่นอน
                  คนทยอยกันลงตามทางจนในที่สุดก็เหลือแค่ชินจิคนเดียวที่เป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายอยู่บนรถ แต่เขาไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้เท่ากับอีกเรื่องหนึ่ง ชายหนุ่มชะเง้อไปด้านหน้ารถ เห็นรถยนต์สามสี่คันจอดต่อกันยาวเป็นหางว่าว เขาไม่เห็นว่ายังมีรถอยู่ข้างหน้าอีกสักกี่คนเพราะถนนเป็นทางเลี้ยว และอีกครู่ต่อมา รถบัสที่เขาโดยสารอยู่ก็ต้องจอดนิ่งหลังรถคันอื่น ๆ เช่นกัน
เสียงวิทยุบนรถดังขึ้น น่าจะเป็นการอธิบายสถานการณ์ให้คนขับรถฟัง เพราะหลังจากสนทนาอยู่ครู่ คนขับรถในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มก็หันมาแจ้งแก่ชายหนุ่มว่า
                  “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ ต้นไม้หักโค่นลงมาปิดถนน เจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์เส้นทางอยู่ รบกวนรอสักครู่นะครับ”
                  “ครับ ขอบคุณมากครับ”
                  ชินจิรับคำหน้าแห้ง ในใจชักวิตก เขาต้องกลับให้ทันก่อนค่ำ นี่มีอุบัติเหตุแบบนี้ เขาคงกลับถึงหมู่บ้านล่าช้ากว่าที่คิดไว้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะช้าไปสักเท่าไร ชายหนุ่มอยากส่งข่าวไปบอกให้คนที่รออยู่รับรู้ แต่นึกขึ้นได้ว่าที่หมู่บ้านไม่มีโทรศัพท์ ตัวเขาเองก็ลืมเอาโทรศัพท์มือถือติดมาเสียด้วย ตอนนี้ที่ทำได้ก็เหลือแค่ภาวนาขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่านั้น
                  เวลาผ่านไปนานพอสมควร รถที่ติดเป็นแพยังไม่มีท่าทีจะเคลื่อนตัว ชินจิเริ่มกระสับกระส่าย เขาชะเง้อมองหน้ารถสลับกับหันไปมองนอกหน้าต่างเป็นระยะ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ แล้ว แต่เขายังติดอยู่บนถนนอยู่เลยทั้ง ๆ ที่อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงหมู่บ้านอยู่แล้วแท้ ๆ
                  “คุณผู้โดยสารจะไปลงที่คันโจโคเอนใช่ไหมครับ”
                  ชินจิเกือบสะดุ้งที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของคนขับรถถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
                  “ใช่ครับ ผมจะไปลงที่หมู่บ้าน” ชายหนุ่มตอบ น้ำเสียงของเขาเป็นกังวล “พอจะทราบไหมครับว่าอีกนานแค่ไหนเราถึงจะไปกันต่อได้ คือผมถูกกำชับว่าให้กลับไปถึงก่อนมืดน่ะครับ”
                  “น่าจะอีกนานพอสมควรครับ” คนขับรถตอบ แววตาของเขาดูไม่สบายใจสักเท่าไรเช่นกัน “ต้นไม้หักหลายต้น ต้องใช้เวลาเคลื่อนย้าย”
                  “สาเหตุเกิดจากอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถาม นึกสงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว วันนี้อากาศดี ไม่มีฝนตกหรือพายุเข้า ลมก็ไม่ได้พัดแรงจัด แล้วทำไมจู่ ๆ ต้นไม้หักโค่นได้ มันดูไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
                  “ผมไม่ทราบครับ ทางศูนย์ไม่ได้แจ้งสาเหตุ” พนักงานขับรถตอบ
                  ชายหนุ่มมองนาฬิกาอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอย์จิเคยบอกเขาว่าที่หมู่บ้านมีวิทยุ น่าจะอยู่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ถ้าเขาส่งวิทยุได้ก็อาจจะทำให้ทางนั้นรู้สถานการณ์ของเขาและไม่เป็นห่วงกันมากนัก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พนักงานขับรถที่คุยกับเขาอยู่เมื่อสักครู่กลับหายไปเสียแล้ว
                  ชินจิลุกขึ้นจากที่นั่งทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินมาถึงหน้ารถ พนักงานขับรถก็กลับขึ้นมาประจำที่นั่งหลังพวงมาลัยเหมือนเดิม
                  “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าวิทยุของรถบัสติดต่อไปที่หมู่บ้านได้ไหม ผมอยากส่งข่าวให้คนที่หมู่บ้านทราบหน่อยน่ะครับว่าผมจะกลับช้า ผมทำงานอยู่ที่เรียวกังฮิราตะ” ชายหนุ่มถามอย่างสุภาพ
                  “ผมส่งข่าวไปเรียบร้อยแล้วครับ ทางนั้นน่าจะทราบแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น”
                  “อ้าว ไม่ได้ใช้วิทยุเหรอครับ” เขาถามด้วยความสงสัย
                  พนักงานขับรถยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก แต่ไม่ได้ตอบข้อซักถามของผู้โดยสารของเขา
                  ชินจิถอยกลับไปนั่งที่เดิม เอาเถอะ อย่างน้อยที่หมู่บ้านก็ได้รับทราบข่าวแล้ว เขาก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
                  ไม่นานต่อมา วิทยุด้านหน้ารถก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นข่าวดี เพราะพนักงานขับรถรีบหันมาบอกว่า
                  “เจ้าหน้าที่เคลียร์เส้นทางได้เรียบร้อยแล้วครับ”
                  “ค่อยยังชั่วหน่อย” ชายหนุ่มอุทานด้วยความยินดี

                  ห่างออกไปไม่ไกลนัก บนกิ่งไม้ที่สูงที่สุดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ใบเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพลิงทั้งต้น ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งแกว่งขามองดูความโกลาหลชุลมุนวุ่นวายบนถนนเบื้องล่างด้วยความสนุกสนาน
                  เจ้าพวกมนุษย์วิ่งกันพล่านเหมือนมดปลวกทีเดียว
                 ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ หน้าอกเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระเพื่อมทำให้สร้อยคอสีเงินเป็นแผงที่สวมอยู่ที่ลำคอหนาขยับขึ้นลงตามไปด้วย
                 นี่ถ้าเขาโยนต้นไม้ลงไปอีกสักต้นตอนนี้มันจะเป็นยังไงนะ
                 คิดแล้วก็ขยับตัวเปลี่ยนจากนั่งเป็นยืนทันที ร่างกายของชายหนุ่มใหญ่และหนาไม่ผิดอะไรกับกิ่งไม้ที่อาศัยเป็นแท่นให้เหยียบยืนในตอนนี้เลยสักนิด ชายหนุ่มไม่ใส่เสื้อ สวมแต่กางเกงยีนสีซีดมีรอยขาดที่เข่ากับรองเท้าบู๊ตสีดำยาวครึ่งแข้ง ผิวของเขาขาวเหมือนหิมะ ใบหน้ายิ่งขาวจัดตัดกับดวงตาสีดำสนิท ผมสีเดียวกับดวงตาตัดทรงอันเดอร์คัท ข้างศีรษะไถเกรียนเหลือผมสีดำเห็นเป็นลวดลายพาดทับกัน สวมต่างหูสีเงินเป็นห่วงกลม ๆ ที่หูข้างซ้าย
                 หากแต่ชายหนุ่มไม่ได้ทำอย่างที่ใจคิด เพราะในเวลานั้นเอง ปลายกิ่งไม้ที่เขายืนอยู่ก็สั่นราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาจับเขย่า ลมแรงพัดวูบ ขนนกสีดำสนิทปลิวว่อนอยู่ในอากาศ
                 “คุโรบะเท็นงู” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเมื่อเห็นผู้มาใหม่
                 อสูรเจ้าของขนนกสีดำยืนอยู่ตรงปลายกิ่งไม้ ห่างจากเขาพอสมควร คุโรบะไม่ใส่เสื้อเช่นกัน ทำให้เห็นรอยสักเป็นรูปคล้ายปีกนกที่หน้าอกด้านบนอย่างชัดเจน
                 “พอแล้ว ริคิมะรุ หยุดก่อกวนมนุษย์ ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเรา” ผู้มาใหม่ปรามเสียงแข็ง
                 “เจ้าคิดว่าจะห้ามข้าได้หรือ”
                 “ข้าเตือนเจ้า งานของเราคือการสืบหาลูกแก้วคันจุ แต่เจ้ากลับมารังควานมนุษย์เล่นเหมือนเป็นของสนุก ถ้ามนุษย์โต้ตอบเรากลับ คิดบ้างหรือไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
                 “อย่ามาสั่งสอนข้าเหมือนพวกตาแก่ในปราสาทหน่อยเลยน่ะ” ริคิมะรุกระชากเสียงด้วยความไม่พอใจ ร่างใหญ่หนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเหมือนจะขยายขนาดขึ้นอีกเมื่อเจ้าตัวกำลังโมโห เส้นเลือดที่ข้างขมับปูดโปน ดวงตาเบิกโตเหลือบกลับลงไปมองเบื้องล่าง ตอนนี้การจราจรของมนุษย์ที่เคยติดขัดเริ่มคลี่คลาย อสูรหนุ่มแสยะยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นรถบัสคันใหญ่แล่นผ่านไป 
                 “ข้าอยากทำอะไร ข้าก็จะทำ!” ริคิมะรุลั่นวาจา ก่อนจะกระโดดผลุงลงจากต้นไม้

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
พวกปีศาจนิสัยเสีย ฮึ่ย อย่าให้ชินจิเป็นอะไรนะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สนุกมากค่ะพี่นอ้ง o13

เหลืออีกสองตอนก็จะอ่านทันบ่น

คนเขียนสู้ๆน้า :L1:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 12

        ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วตอนที่ชินจิก้าวลงจากรถบัสที่ป้ายหมู่บ้านคันโจโคเอน บรรยากาศในตอนกลางคืนช่างแตกต่างจากในตอนกลางวันอย่างลิบลับ ชายหนุ่มชักจะเริ่มเข้าใจขึ้นมานิด ๆ แล้วว่าทำไมทุกคนถึงย้ำนักย้ำหนาให้เขากลับก่อนค่ำ
             ชินจิมองรอบตัว ไฟถนนสีส้มดวงเล็ก ๆ เพียงดวงเดียวที่ป้ายรถบัสไม่ได้ให้แสงสว่างมากมายนัก ทุกอย่างที่เขาเห็นจึงเป็นเงาตะคุ่ม ๆ ไปหมดรวมทั้งบ้านชาวนาหลังคาลาดที่เป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายรถด้วย ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ความมืดและความเงียบทำให้บรรยากาศดูวังเวงยิ่งขึ้น เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่น
เสียงการ้องแหลมดังแหวกความเงียบขึ้นมาทำให้ชินจิสะดุ้งจนตัวลอย เขาเคยได้ยินเสียงการ้องอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกกลัวได้เท่าครั้งนี้มาก่อน เสียงของมันฟังเหมือนคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ได้ยินแล้วชวนให้ขนที่คอลุกชัน ชายหนุ่มรีบเดินหนีจากตรงนั้นทันที มุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแม่น้ำชิมิซึที่เป็นทางเข้าไปสู่หมู่บ้าน เขายังได้ยินเสียงการ้องอีกหลายครั้งทางด้านหลัง แต่ชายหนุ่มจ้ำพรวด ๆ ไปข้างหน้าอย่างเดียวโดยไม่คิดจะเหลียวกลับไปมองข้างหลัง และเมื่อก้าวไปถึงบริเวณที่มีแสงไฟจากสะพานสาดมาถึง ชินจิก็แทบจะถอนหายใจออกมาดังเฮือกด้วยความโล่งอก
              กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยมาในอากาศ ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะสังเกตเห็นรถเข็นคันเล็กจอดอยู่ตรงตีนสะพาน ควันขาว ๆ ลอยกรุ่นลอดออกมาจากม่านสีม่วงด้านหน้า บนโคมไฟกระดาษสีแดงที่ติดอยู่ข้างรถมีตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า ‘ชิโนซากิ’
               “รถเข็นขายโอเด้ง” ชินจิแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง กลิ่นหอมยั่วกระเพาะที่เตะจมูกของเขาเมื่อสักครู่คือกลิ่นโอเด้งจากรถคันนี้นั่นเอง แต่ทำไมถึงมีรถเข็นขายอาหารมาอยู่ในที่แบบนี้และในเวลาอย่างนี้ได้ ก็ไหนบอกว่าไม่มีใครออกมาจากบ้านในเวลากลางคืนไม่ใช่หรือ
               ความอยากรู้ทำให้ชายหนุ่มเดินตรงไปที่รถเข็นขายโอเด้งคันนั้นราวกับต้องมนตร์
               ชินจิเมียงมองเข้าไปข้างใน เห็นหม้อสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มีควันขึ้นฉุย ข้างในแบ่งเป็นช่องขนาดเท่า ๆ กัน แต่ละช่องอัดแน่นไปด้วยหัวไชเท้าหั่นเป็นชิ้นหนา ๆ เต้าหู้ทอด ไข่ต้ม สาหร่ายคอมบุ เส้นบุก ไส้กรอก หนวดปลาหมึกยักษ์ มันฝรั่ง และลูกชิ้นปลาหลายแบบ ทั้งที่เป็นลูกกลม ๆ เสียบไม้และแบบเป็นหลอดอ้วน ๆ ที่เรียกว่าชิกุวะ ของทั้งหมดแช่อยู่ในน้ำซุป เห็นแล้วชวนให้น้ำลายสอ
               “อิรัชชัยมะเสะ ยินดีต้อนรับครับ”    
               เสียงเยียบเย็นดังขึ้นข้างหู ชินจิสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองโดยอัตโนมัติ
               เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายใส่ชุดกางเกงขายาวสีขาว มีผ้ากันเปื้อนสีเดียวกับม่านหน้าร้านคาดที่เอว กำลังยืนเอามือไขว้หลัง หน้าชะโงกเข้ามาจนใกล้     
               “รับโอเด้งแสนอร่อยสักหน่อยไหมครับคุณลูกค้า” ชายคนนั้นพูดอีกพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาที่เฉียงชี้ขึ้นอยู่แล้วยิ่งหยีตี่ลงจนคล้ายเส้นตรง ผิวของชายหนุ่มขาวจัดตัดกับสีผมสีน้ำตาลอมแดงอย่างน่าดู
               “อะ.. เอ้อ มะ..ไม่ดีกว่าครับ” ชินจิปฏิเสธตะกุกตะกัก ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ในกระเพาะของเขาเริ่มปั่นป่วนและส่งเสียงโครกครากเพราะกลิ่นหอมหวนของสิ่งที่อยู่ในหม้อ
               “ทำไมล่ะครับ อากาศเย็น ๆ อย่างนี้น่ะไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าโอเด้งแสนอร่อยของผมหรอกนะ” ชายหนุ่มที่ดูท่าทางว่าเป็นเจ้าของร้านประท้วงทันที
               “คือ..ผมต้องรีบกลับบ้าน” ชินจิอธิบาย
               “โธ่ แวะกินโอเด้งสักสิบห้ายี่สิบนาทีไม่เสียเวลามากหรอก” เจ้าของร้านคะยั้นคะยอ “นะครับ ช่วยอุดหนุนผมหน่อย นี่คุณเป็นลูกค้าคนแรกของคืนนี้เลยนะครับเนี่ย ผมดีใจที่สุด”
                “แต่.. แต่ผมต้องรีบกลับ” ชินจิยังพยายามค้านซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผล ชายหนุ่มเจ้าของร้านไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสิ่งที่เขาพยายามจะบอกเลย
                “จะรีบไปไหนเล่าครับ อยู่กินโอเด้งก่อนดีกว่า สำหรับลูกค้าคนแรกที่น่ารักอย่างคุณ เดี๋ยวผมแถมให้อีกเยอะ ๆ เลย จะคิดราคาพิเศษด้วย เชิญครับเชิญ”
                คราวนี้ไม่ใช่แค่ชวนด้วยปากอย่างเดียวแล้ว แต่เจ้าของร้านหนุ่มตาเฉียงยังทั้งผลักทั้งรุนเขาให้ไปนั่งที่ม้านั่งไม้ยาวหน้าร้าน ชินจิจำต้องนั่งลงเพราะไม่อาจทัดทานได้ ของที่ถืออยู่ในมือทั้งหมดวางลงบนที่ว่างข้างตัว ส่วนเจ้าของร้าน เมื่อเห็นลูกค้านั่งลงสมความตั้งใจแล้วก็กระวีกระวาดเข้าไปในร้าน ตอนที่หันหลังให้ ชินจิคิดว่าตัวเองเห็นหางเป็นพวงสีขาวงอกออกมาจากบั้นท้ายของเจ้าของร้าน แต่เมื่อขยี้ตาเพื่อมองให้ชัด เขากลับไม่เห็นอะไรเลย
                เจ้าของร้านหันกลับมาพร้อมกับชามใบใหญ่แล้วใช้ทัพพีด้ามใหญ่ไม่แพ้กันประโคมตักของจากในหม้อใส่ให้จนเต็มชาม นำมาวางให้ลูกค้าของเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
                ชินจิมองชามโอเด้งที่ส่งควันฉุยตรงหน้าด้วยความไม่แน่ใจ แต่กลิ่นหอม ๆ ของมันยั่วยวนใจจนอดไม่อยู่ มือของชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบตะเกียบไม้จากในกระบอกมาฉีกแยกออก แล้วคีบของในชามใส่ปาก
                “อร่อยจังเลยครับ” ชายหนุ่มอุทานออกมาเมื่อรู้รส ลูกชิ้นปลาเหนียวหนุบหนับกำลังดี น้ำซุปหวานละมุนลิ้น ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกติดใจ มือของเขาขยับตะเกียบอีกครั้ง คีบโอเด้งเข้าปากเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หมดชามด้วยความรวดเร็ว
                “รับเพิ่มอีกนะ” เจ้าของร้านพูดโดยไม่รอฟังคำตอบรับใด ๆ จากลูกค้า กุลีกุจอตักโอเด้งในหม้อเพิ่มให้อีก ชินจิก็กินได้อีกเช่นกัน แป๊บเดียวเท่านั้นก็หมดชาม
                 “อร่อยใช่ไหมล่ะครับ” เจ้าของร้านยิ้มจนตาหยี
                 “ครับ อร่อยมากเลย” ชินจิตอบ ยังนึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่กินเข้าไปได้เยอะแบบนี้ แต่โอเด้งเจ้านี้ก็อร่อยมากจริง ๆ โดยเฉพาะเต้าหู้ทอด เขายังไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อน
                 “งั้นรับเพิ่มอีกชามนะครับ”
                 “เดี๋ยวก่อน.. พอแล้วครับ ผมต้องกลับแล้ว”
                 เจ้าของร้านไม่ฟังชายหนุ่มตามเคย ตักเต้าหู้ทอด ชิกุวะ ไข่ม้วน หนวดปลาหมึกยักษ์และหัวไชเท้าเพิ่มให้อีก ชินจิหนักใจ แต่เมื่อเห็นอาหารเต็มชาม เขาก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนเดิม
                 “พอแล้วครับ พอจริง ๆ ผมอิ่มตื้อเลย” ชินจิรีบพูดเมื่อเห็นเจ้าของร้านขยับทัพพีเป็นครั้งที่สี่
                 “แหม น่าเสียดายจริง ๆ” เจ้าของร้านบ่น แต่ก็ยอมตามใจ ไม่ดึงดันจะขัดความต้องการของชายหนุ่มอีก
                 “กินมากกว่านี้กลัวจะไม่มีเงินจ่าย ผมเอาเงินติดตัวมานิดหน่อยเองครับ” ชินจิบอก มือควานหากระเป๋าสตางค์ใบเล็กมาเปิดดู แล้วก็พบว่าในช่องเก็บเหรียญมีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ร้อยเยนเท่านั้น เขาหยิบเหรียญทั้งหมดออกมานับ
                 “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ สำหรับลูกค้าคนพิเศษอย่างคุณ ผมคิดค่าโอเด้งแค่สี่ร้อยสิบเจ็ดเยน”
                 ชินจิชะงัก ในมือของเขาตอนนี้มีเหรียญหนึ่งร้อยเยนสามเหรียญ เหรียญห้าสิบเยนสองเหรียญ เหรียญสิบเยนหนึ่งเหรียญ และเหรียญหนึ่งเยนอีกเจ็ดเหรียญ เป็นเงินเท่ากับจำนวนที่เจ้าของร้านบอกพอดี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
                  “สี่ร้อยสิบเจ็ดเยนครับ ไม่แพงเลยใช่ไหม” เจ้าของร้านตาเฉียงยิ้มหวาน
                  ชินจิส่งเหรียญทั้งหมดในมือให้ เจ้าของร้านรับมาพร้อมกับโค้งขอบคุณ แล้วหายไปทางด้านหลัง กลับออกมาอีกครั้ง ในมือของเขามีห่อผ้าใบใหญ่สีม่วงเข้มมาด้วย
                  “นี่สำหรับคนที่บ้านครับ” เจ้าของร้านยื่นส่งให้แบบที่น่าจะเรียกว่ายัดใส่มือมากกว่า 
                  “แต่ผมไม่มีเงินแล้วนะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก พยายามจะยื่นห่อผ้าคืนให้
                  “ไม่ต้องจ่ายเงิน นี่เป็นของฝากจากผม รับไปเถอะครับ” เจ้าของร้านผลักมือของชายหนุ่มกลับ แล้วหันไปคว้าถุงข้าวของที่วางอยู่บนม้านั่งมาใส่มือให้อีกทอด ชิ้นสุดท้ายคือกล่องขนมเค้กกล่องเล็ก ตอนนี้ชินจิเลยมีของเต็มทั้งสองมือ ดูทุลักทุเลอยู่ไม่ใช่น้อย
                   “ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ” เจ้าของร้านตาเฉียงเดินตามมาส่งลูกค้าของเขาที่สะพานข้ามแม่น้ำพร้อมกับโค้งศีรษะลงต่ำอีกครั้ง
                   “เดินกลับบ้านอย่างระมัดระวังด้วยนะ”
                   “ขอบคุณมากครับ” ชินจิก้มศีรษะรับ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าของร้านโอเด้งในชุดกางเกงสีขาวก็ไม่อยู่เสียแล้ว เขาหายตัวไปเหมือนจู่ ๆ ก็สลายกลายเป็นอากาศธาตุ ทิ้งท้ายไว้ด้วยเสียงเยียบเย็นที่ยังดังก้องอยู่ในหูของคนฟังว่า
                   “แล้วพบกันใหม่ ชินจิคุง”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               “อย่าทำอะไรเขา อย่าทำอันตรายมนุษย์คนนั้น”
               เสียงจากปากของอสูรหนุ่มร่างเล็กกว่าดังออกมาเป็นเสียงร้องของอีกา มือทั้งสองข้างพยายามฉุดรั้งร่างกายใหญ่หนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามของอสูรหนุ่มอีกตนอย่างสุดความสามารถ
               “หลีกไปเดี๋ยวนี้ เจ้าการาสุเท็นงู”
               อสูรตัวใหญ่คำรามพลางสะบัดตัวหนี แต่ไม่หลุดจากมือของอีกฝ่ายที่เกาะแน่นเหมือนกรงเล็บของนก ริคิมะรุแยกเขี้ยวเข้าใส่ด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ ฟันแหลมคมของเขาฉีกกระชากเนื้อบริเวณไหล่ของคุโรบะหลุดออกมา เลือดสีแดงเข้มไหลทะลัก
               คุโรบะกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
               “สมน้ำหน้า กล้ามาขวางทางข้า”
               ริคิมะรุแสยะยิ้ม ใช้มือข้างเดียวเหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายจนกระเด็น แต่คุโรบะก็ทนทายาด พลิกกลับตัวได้ทันก่อนที่จะตกถึงพื้น ปีกสีดำกลางหลังกระพือพั่บส่งให้ตัวของเขาพุ่งกลับมาทางเดิมอีกครั้งและมือก็เหนี่ยวร่างของอสูรตัวใหญ่เอาไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโจนลงไปโจมตีเหยื่อที่หมายตาเอาไว้
               “ไปให้พ้น”
               “ไม่ได้ ทำร้ายเขาไม่ได้”
               อสูรหนุ่มผู้กลายร่างเป็นอีกาสีดำร้องเตือนซ้ำ ๆ
               “มนุษย์ผู้นี้เป็นคนของศาลเจ้า ถ้าเจ้าลงมือ มนุษย์ไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน”
               “เจ้ากลัวมนุษย์มากขนาดนั้นเลยเรอะ เจ้าขี้ขลาด”
               “ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นก่อนที่เราจะหาลูกแก้วเจอ ท่านอาคางิต้องไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง”
               ชื่อที่ได้ยินทำให้ริคิมะรุหยุดคิดได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ อสูรทั้งสองตนยื้อยุดกันอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่จนคุโรบะเสียท่า โดนหมัดของอีกฝ่ายต่อยใส่ท้องจนเข่าทรุดลงกับพื้นและกระทืบซ้ำด้วยเท้าใหญ่โตที่สวมรองเท้าบู๊ต คุโรบะกระอักกระไอและคายเอาเลือดออกมาจากปากด้วยความเจ็บปวด
               ริคิมะรุสลัดตัวเกะกะออกแล้ว แต่เขาไม่อาจเอื้อมถึงตัวมนุษย์ที่เขาหมายตาเอาไว้ได้เพราะเหยื่อของเขาก้าวเข้าสู่เขตแดนแห่งหนึ่งที่มีพลังมากจนเขาไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้
               ชิโนซากิคิตสึเนะ! เจ้าจิ้งจอกสีขาวนั่นช่วยมนุษย์!
               อสูรหนุ่มคำรามด้วยความหัวเสียเมื่อเห็นเหยื่อของเขาถูกลากเข้าไปนั่งบนม้านั่งหน้ารถเข็นขายโอเด้ง แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยังมีเวลาก่อนที่เจ้ามนุษย์นั่นจะข้ามสะพาน
               ริคิมะรุรอจนเห็นร่างของเหยื่อเดินออกมาจากเขตแดน แต่ให้ตายสิ เจ้าจิ้งจอกขาวมันเดินออกมากับมนุษย์ด้วย
               “พอเถอะ ริคิมะรุ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าชิโนซากิคิตสึเนะปกป้องมนุษย์ผู้นั้น เจ้าทำร้ายเขาไม่ได้”
               เสียงเตือนดังขึ้นจากข้างหลัง ริคิมะรุยิ่งหัวเสียหนักขึ้นเมื่อเห็นร่างโชกเลือดของการาสุเท็นงูเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาใกล้ อสูรหนุ่มหันรีหันขวาง แต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ มนุษย์ที่สมควรจะกลายเป็นเหยื่อของเขาถือห่อผ้าสีม่วงเข้มอยู่ในมือ บนผ้านั้นมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวและรวงข้าวสีทองประทับอยู่ซึ่งเป็นตราประจำตนของจิ้งจอกขาว ตรานั้นส่องแสงเรื่อเรืองเป็นสีทองท่ามกลางความมืด ดูราวกับเป็นโคมไฟส่องทางให้กับผู้ที่ถือมันอยู่
               ชิโนซากิคิตสึเนะเคยวางตัวเป็นกลางมาตลอด ถึงจะอยู่ในร่างของสุนัขจิ้งจอกที่คนเชื่อกันว่าเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้าอินาริ แต่ก็ถือสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอสูรหรือมนุษย์ แต่ครั้งนี้จิ้งจอกขาวกลับแสดงตัวเหมือนเลือกข้างชัดเจน
               สิ่งที่เห็นทำให้อสูรเลือดร้อนอย่างริคิมะรุจำต้องยอมรับ แต่ความหงุดหงิดของเขาก็จำต้องมีที่ระบาย อสูรหนุ่มแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้าใส่อสูรบาดเจ็บที่ยืนโงนเงนอยู่ข้างหลัง คุโรบะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อคมเขี้ยวของอีกฝ่ายงับผับลงที่โคนปีกสีดำสนิท

                ในเวลาเดียวกันนั้นที่หมู่บ้านคันโจโคเอน เอย์จิกำลังเดินพล่านเหมือนเสือติดจั่นอยู่บนถนนบริเวณด้านหน้าเรียวกัง ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นของแขกแล้ว แต่ชินจิก็ยังไม่กลับมาสักที เขาเป็นห่วงรุ่นน้องตั้งแต่ได้รับข่าวอุบัติเหตุต้นไม้หักโค่นปิดการจราจรบนถนนเมื่อตอนเย็นแล้วและถึงแม้ว่าจะได้รับข่าวจากผู้นำสาส์นอีกครั้งหลังจากนั้น ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเปิดเส้นทางได้เป็นที่เรียบร้อยและชินจิกำลังจะกลับถึงหมู่บ้าน แต่ชายหนุ่มก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่นั่นเอง
                 “ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
                 พี่ชายของเขาเดินจากศาลเจ้ามาสมทบพร้อมกับโฮโจ ทั้งสองคนยังใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะสีเข้มอยู่เพราะหลังจากฝึกเย็นเสร็จและรู้ว่าชินจิยังไม่กลับมาจากในเมืองก็พากันเดินมาดู
                 เอย์จิสั่นศีรษะ สีหน้าเป็นกังวล
                 “แปลกจัง น่าจะมาถึงได้แล้วนี่นา รถบัสก็มาถึงป้ายนานแล้วด้วย”
                 คำพูดของเออิจิโร่ยิ่งทำให้น้องชายฝาแฝดรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้นไปอีก เป็นไปได้ไหมว่าชินจิจะหลงทาง แต่ระยะทางจากป้ายรถบัสมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำก็ไม่ไกลเท่าไร ถ้าเดินมาตามทางมีหรือที่จะหลงได้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ยกเว้นเสียแต่ว่า...
                 “หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชินจิซังครับ”
                 โฮโจพูดได้ตรงใจพอดี หน้าของเอย์จิซีดลงถนัดตา
                 “ไม่หรอกน่า พวกอสูรไม่น่าจะเหิมเกริมขนาดกล้าทำร้ายคนในบริเวณที่เป็นอาณาเขตของเรา” เออิจิโร่คัดค้าน แต่คิ้วเข้มกลับขมวดมุ่น แสดงว่าเขาก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่พูดไปในทางตรงกันข้าม เพื่อไม่ให้น้องชายของเขาเป็นกังวลไปมากกว่าเดิม
                  ประตูด้านหน้าเรียวกังเลื่อนเปิดออก รุกะเดินออกมา ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดที่เห็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ยืนหน้าตาเครียดเคร่งกันอยู่บนถนนด้านหน้า
                  “ชินจิซังยังไม่กลับมาใช่ไหม” หญิงสาวส่งเสียงถามพลางเดินเข้ามาสมทบ สีหน้าของหล่อนเรียบเฉย แต่ประโยคถัดมาที่พูดมีกังวานเสียงแสดงความตำหนิชัดเจน
                  “ไม่รู้ว่ามัวแต่ไปเถลไถลอยู่ที่ไหน ปล่อยให้คนอื่นเขาต้องรอแบบนี้ ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ”
                  “ชินจิไม่ได้เป็นคนเหลวไหลแบบนั้น” เอย์จินิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ
                  “ถ้ายังงั้นทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กลับมา อุบัติเหตุก็เคลียร์ได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ รถบัสก็มาถึงป้ายแล้วด้วย”
                  ชายหนุ่มไม่อยากเถียงกับรุกะ ตอนนี้เขาไม่มีใจจะทำอะไรทั้งนั้น ถ้ายังไม่เห็นรุ่นน้องของเขากลับมาอย่างปลอดภัย
                  “อีกสิบนาที ถ้าชินจิยังไม่กลับมา ฉันจะออกไปตามหา” เอย์จิประกาศ
                  แต่ชายหนุ่มไม่ต้องรอนานถึงขนาดนั้น เพราะไม่กี่อึดใจต่อมาก็ปรากฏแสงเรื่อเรืองเหมือนแสงโคมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนขยับตัวแทบจะพร้อม ๆ กัน โฮโจเขม้นมองก่อนจะร้องว่า
                  “ชินจิซังครับ!”
                  เอย์จิเป็นคนแรกที่วิ่งถลันออกไป ตามด้วยเออิจิโร่และโฮโจ ส่วนรุกะไม่รีบร้อนเหมือนกับคนอื่น ๆ สายตาของหล่อนจับอยู่ที่แหล่งกำเนิดแสงเรือง ๆ ที่เหมือนแสงโคมนั่นมากกว่า
                  “ผมกลับมาแล้วครับ ขอโทษด้วยที่กลับมาช้า” ชินจิรีบพูด เมื่อเห็นทุก ๆ คนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา
                  เอย์จิถึงตัวเขาเป็นคนแรก แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้ แค่ชะงักเท้าหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจไปทั่วตัวของรุ่นน้อง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มปลอดภัยดี ไม่มีอะไรบุบสลายหรือต้องให้เป็นกังวล จากความห่วงใยก็เลยเปลี่ยนเป็นความโกรธ
                  “หายไปไหนมา ทำไมถึงกลับเอาป่านนี้ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้กลับมาก่อนค่ำ!” เอย์จิตวาดเสียงเข้ม ทำเอาคนฟังคอย่นไปตาม ๆ กัน ชินจิหน้าซีด เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เอย์จิโมโหเขาถึงขนาดนี้
                  “ผม... เอ้อ...” ชายหนุ่มรุ่นน้องพูดตะกุกตะกัก นึกอยากจะขอโทษอีกครั้ง แต่พูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น 
                  “เอาเถิดน่า อย่าดุนักเลย ชินจิคุงกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้วนี่นา”
                  เออิจิโร่ยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ แต่เอย์จิก็ยังไม่ใจเย็นลง สุดท้ายชายหนุ่มก็สะบัดหน้าแล้วเดินปึงปังกลับเข้าไปในเรียวกัง
                  ชินจิหน้าสลดลงจนเออิจิโร่รู้สึกสงสาร
                  “ไปไหนมาเหรอชินจิคุง” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ดวงตาของเขาจับอยู่ที่จุดเดียวกับที่คู่หมั้นสาวของเขากำลังมองอยู่
                  “ระหว่างทางกลับบ้านมีอุบัติเหตุครับ รถบัสก็เลยมาช้า ผมอยากจะติดต่อกลับมาที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง”
                  “เรารู้ข่าวเรื่องอุบัติเหตุกับเรื่องความล่าช้าของรถบัสแล้วล่ะ แต่เธอก็น่าจะกลับมาได้เร็วกว่านี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเดินหลงทาง”
                  ชินจิส่ายหน้า
                  “เปล่าครับ ผมไม่ได้หลงทาง ผมแทบจะวิ่งแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ได้ถือของเต็มมือแบบนี้ แต่พอมาถึงที่สะพาน ผมก็เจอรถเข็นขายโอเด้ง”
                  “รถเข็นขายโอเด้ง?” เออิจิโร่ทวนคำ ตาลุกวาว
                  “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่คุณคนขายโอเด้งลากผมเข้าไปนั่งในร้าน ผม...ผมปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ก็เลยต้องนั่งกินโอเด้งจนกลับมาสาย” ชินจิสารภาพเสียงเครือด้วยความรู้สึกผิด
                  คนฟังพากันนิ่งไป แล้วเออิจิโร่ก็ชี้ไปที่ห่อผ้าที่อยู่ในมือของชายหนุ่มรุ่นน้อง ถามว่า
                  “งั้นในห่อผ้านั่นก็คือโอเด้งเหรอ”
                  “ครับ คุณเจ้าของร้านให้มา บอกว่าเป็นของฝากของคนที่บ้านครับ” ชินจิอธิบายหลังจากนึกขึ้นได้
                  เออิจิโร่สบตากับรุกะ ก่อนที่ฝ่ายหลังจะทำมือเป็นสัญญาณให้โฮโจเข้าไปรับของจากมือของชินจิ ตอนแรกชายหนุ่มส่งให้แค่ห่อผ้า แต่โฮโจบุ้ยใบ้ให้ส่งมาให้ทั้งหมด เขาก็เลยยื่นของที่เหลือให้ ยกเว้นถุงพลาสติกใบเล็กใบหนึ่ง
                  “แล้วโอเด้งของชิโนซากิซังอร่อยไหม” เออิจิโร่ถามต่อ
                  “ของใครนะครับ” ชินจิตามไม่ทัน แต่แล้วก็ร้องอ๋อ ชิโนซากิคงเป็นชื่อของคุณเจ้าของร้านคนนั้น จะว่าไปที่โคมไฟหน้าร้านก็ยังติดชื่อเอาไว้เลย แต่เขาไม่ทันเฉลียวใจเองต่างหาก
                  “อร่อยมากเลยล่ะครับ โดยเฉพาะเต้าหู้ทอด” ชายหนุ่มตอบ
                  “ว้าว เต้าหู้ทอด ข้างในห่อนั้นจะมีให้กินบ้างไหมน้า” เออิจิโร่ทำเสียงตื่นเต้น
                  รุกะกลอกตาเหมือนระอากับคำถามไม่เป็นเรื่องของคู่หมั้น แล้วก่อนที่จะมีแต่เรื่องของกินอย่างเดียว หญิงสาวก็เริ่มเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง
                  “ชิโนซากิซังพูดหรือถามอะไรแปลก ๆ กับคุณบ้างรึเปล่า”
                  “อะไรแปลก ๆ เหรอครับ” ชินจินิ่วหน้า รู้สึกว่าคำถามของรุกะต่างหากที่แปลก แต่เขาก็ตอบอย่างสุภาพหลังจากนึกอยู่ครู่ว่า
                  “ไม่มีนะครับ คุณเจ้าของร้านเอาแต่ชวนผมกินโอเด้งอย่างเดียวเลย ก่อนกลับก็ให้เอาโอเด้งกลับไปให้คนที่บ้าน แล้วก็เดินมาส่งผมที่สะพาน กำชับให้เดินระวัง ๆ ก่อนจะไปก็บอกว่า แล้วพบกันใหม่”
                  “เอ๋ ชิโนซากิซังบอกว่าอยากเจออีกงั้นเหรอ ชินจิคุงนี่มีเสน่ห์จังเลยน้า”
                  รุกะพยายามทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดไร้สาระของคู่หมั้น หล่อนซักต่อว่า
                  “เขาเดินมาส่งคุณที่สะพาน เตือนให้ระวัง ถ้างั้นมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นระหว่างทางบ้างรึเปล่า ฉันหมายถึงก่อนหรือหลังเจอร้านโอเด้งน่ะ”
                  “ผมไม่รู้ว่าแปลกรึปล่า แต่ผมรู้สึกว่าอากาศหนาวกว่าปกติ แล้วก็ได้ยินเสียงการ้องบ่อยมากเลยครับ เหมือนมีคนไปทำร้ายมันอย่างนั้นแหละ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแปลกนะครับ”
                  “เสียงการ้องกับอากาศหนาวงั้นเหรอ” รุกะนิ่งคิด
                  “เอ้อ... มีอะไรรึเปล่าครับ” ชินจิถามด้วยความไม่เข้าใจ เออิจิโร่ตอบแทนคู่หมั้นสาวของเขาว่า
                  “ไม่มีอะไรหรอก ชินจิคุง พวกเราเป็นห่วงเท่านั้นแหละ เห็นเธอกลับมาค่ำ กลัวว่าจะหลงทางหรือเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะ”
                  “ผมขอโทษนะครับที่กลับมาช้า”
                  “ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องขอโทษ” เออิจิโร่โบกมือ “เจอแบบนั้นก็ต้องกลับช้าอยู่แล้ว เขาช่างตื๊อใช่ไหมล่ะชิโนซากิซังคนนั้นน่ะ แล้วถ้าเราเผลอเมื่อไหร่ล่ะก็นะ โดนจ่ายตังค์เกลี้ยงกระเป๋าแน่”
                  “ก็เกลี้ยงกระเป๋าเหมือนกันแหละครับ แต่ผมมีเงินไม่เยอะ” ชินจิตอบ แล้วสีหน้าก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก ถามเสียงอึกอักว่า
                  “แล้ว...เอย์จิซัง...เอ่อ โกรธผมมากไหมครับ”
                  “รายนั้นเป็นห่วงมากกว่า แต่ถ้าเธอเอา ‘นั่น’ ไปให้ รับรองว่าหายโกรธทันทีเลยล่ะ” เออิจิโร่ขยิบตา คำตอบของเขาทำให้ชายหนุ่มรุ่นน้องใจชื้นขึ้นได้อีกมาก
                  รุกะตวัดสายตามองมาทางทั้งคู่นิดหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หน้าของหญิงสาวเชิดสูงขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรียวกังเสียเฉย ๆ เออิจิโร่เห็นแบบนั้นก็เอ่ยขอตัวเช่นกัน แต่เขาแสดงความเป็นมิตรต่างไปจากคู่หมั้นสาวโดยสิ้นเชิงด้วยการยิ้มกว้างพลางตบไหล่ชายหนุ่มรุ่นน้องเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจก่อนที่จะแยกตัวไปทางศาลเจ้า ตอนนี้ที่ด้านหน้าเรียวกังเหลือเพียงแค่ชินจิคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
                เอย์จิรู้ตัวดีว่าตัวเองทำไม่ถูกที่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนลืมคิดถึงเหตุผล ชินจิไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่ควรตวาดใส่ชินจิไปแบบนั้นเลย หน้าของชินจิสลดเหมือนต้นไม้ที่โดนรดด้วยน้ำร้อนจัด ๆ เห็นแล้วก็ใจไม่ดี อยากขอโทษ อยากบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น แต่มันพลั้งปากออกไปเอง
                ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาทำลงไปแล้ว ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น มานึกเสียใจเอาทีหลังมันก็ไม่มีประโยชน์
                “ท่านเอย์จิครับ” เสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้นด้วยความเกรงใจ
                ชายหนุ่มหันไปมอง พ่อครัวประจำเรียวกังเป็นคนเรียกเขา โอซามุยืนเบียดอยู่กับอิซึมิห่างออกไปพอสมควร ทั้งสองคนทำท่าเหมือนกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนพูด เอย์จิเห็นแล้วรำคาญตานักและอารมณ์หงุดหงิดที่ยังเหลือเชื้ออยู่ไม่น้อยทำให้ชายหนุ่มถามเสียงห้วนว่า
                “มีอะไร”
                สองพี่น้องอึกอัก สะกิดกันไปมา
                “มีอะไรก็พูดมาสิ” เอย์จิตวาดด้วยความไม่สบอารมณ์
                “เอ่อ... คือ...” โอซามุกลืนน้ำลาย ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปข้างหน้า “ถ้วยแตกจะหมดแล้วครับ”
                เอย์จิขมวดคิ้วในตอนแรก แต่เมื่อมองตามนิ้วชี้ของพ่อครัวประจำเรียวกังไป เขาก็ชะงัก ในอ่างล้างจานตรงหน้าเต็มไปด้วยเศษกระเบื้อง จากนั้นพอก้มมองดูมือตัวเองก็เห็นว่ากำลังถือถ้วยกระเบื้องใบหนึ่งที่แตกออกเป็นสองเสี่ยง สีหน้าของเขาบอกว่ากำลังงง ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
                “เรื่องล้างจานปล่อยให้พวกผมจัดการเองเถอะนะครับ ท่านเอย์จิ” โอซามุรีบพูด เขาจึงวางซากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถ้วยกระเบื้องลายดอกไม้สีชมพูลงไปในอ่างรวมกับเศษกระเบื้องอื่น ๆ แล้วถอยหลังออกมาให้โอซามุกับอิซึมิเข้าไปแทนที่ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าต่อยภาชนะใส่อาหารพวกนี้แตกไปตั้งแต่เมื่อไร ทั้ง ๆ ที่เขาก็ล้างจานเหมือนกับที่ทำอยู่ทุกวัน
                 ไม่เข้าใจเลย
                 ประตูห้องครัวเปิดออก รุกะเดินเข้ามา เมื่อเห็นเอย์จิก็บอกว่า
                 “ท่านพ่อเรียกเธอไปพบที่ห้องดอกบ๊วย”
                 “ฉันยังมีงานต้องทำ” เอย์จิตอบเสียงเรียบ
                 รุกะมองเลยไปที่โอซามุกับอิซึมิซึ่งกำลังช่วยกันเก็บเศษกระเบื้องในอ่างล้านจานอย่างขมีขมัน ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองคนที่หล่อนกำลังพูดด้วย หล่อนย้ำว่า
                 “นี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อ ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว เธอก็ต้องไปด้วย”
                 “ไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้วจะไปทำไม”
                 “ปกติเธอไม่ใช่คนช่างประชดนะเอย์จิ”
                 ชายหนุ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินคำเตือนของหญิงสาว นี่เขากำลังปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว รุกะพูดถูก เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ สิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันไม่สมกับที่เป็นเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
                 “ท่านพ่อเรียกฉันไปทำไม มีเรื่องอะไรรึเปล่า” เอย์จิถาม
                 “เรียกให้ไปกินโอเด้งของชิโนซากิคิตสึเนะไง”
                 “ไม่เห็นเข้าใจเลย”
                 รุกะมองชายหนุ่มด้วยความสมเพชระคนไม่ชอบใจ ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าเอย์จิเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ก่อนหน้านี้ก็โมโหจนฟิวส์ขาด เดินผลุนผลันเข้ามาในครัวแล้วก็ไประบายอารมณ์กับจานชาม ตอนนี้ที่พูดแบบนี้ก็อีก แสดงว่าโกรธจนหน้ามืดตามัว จนหลงลืมอะไรไปหมดทุกอย่าง
                  “จะไม่เข้าใจได้ยังไง รุ่นน้องของเธอเป็นคนเอามาเองกับมือแท้ ๆ”
                  “ชินจิน่ะเหรอ”
                  “จะใครเสียอีกล่ะ ชินจิซังเจอชิโนซากิคิตสึเนะตอนขากลับมาที่หมู่บ้าน จิ้งจอกขาวตนนั้นให้โอเด้งที่ห่อด้วยผ้าคลุมประทับตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวกลับมาด้วย ตราสีทองของจิ้งจอกขาวสว่างอย่างกับแสงโคม เธอไม่ได้สังเกตบ้างเลยรึไง”
รุกะเหน็บ
                  “เป็นไปได้ยังไง ชิโนซากิคิตสึเนะกับชินจิเนี่ยนะ” เอย์จิยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
                  “ไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยังไง แต่มันเป็นไปแล้ว และถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด จากที่ชินจิซังเล่า ดูเหมือนว่าชิโนซากิคิตสึเนะจะตั้งใจให้ตราสีทองนั่นคุ้มครองชินจิซังให้กลับมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย ท่านพ่อเรียกพบทุกคนเพราะเรื่องนี้แหละ ท่านคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกอสูรกำลังมีแผนการจะทำร้ายมนุษย์”
                  “พวกอสูรจะทำร้ายชินจิยังงั้นเหรอ” เอย์จิทวนคำ หน้าซีดเผือด
                  “ฉันพูดว่าท่านพ่อคิดว่าพวกอสูรอาจจะมีแผนการทำร้ายมนุษย์ ไม่ได้หมายถึงรุ่นน้องของเธอคนเดียว” รุกะพูดด้วยความอดทน ถ้าคนอื่นหรือกระทั่งเออิจิโร่เป็นคนถาม ไม่ใช่เอย์จิล่ะก็ หล่อนคงด่าเข้าให้แล้วด้วยความหมั่นไส้
                  แล้วพอเห็นเอย์จิขยับตัว หญิงสาวก็รีบดักคอเสียงแข็งทันที 
                  “ไปพบท่านพ่อก่อน เอย์จิ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง!”

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ชิโนซากิคิตสึเนะ ท่านจิ้งจอกกก รักเลยตอนแรกนึกว่าจะมาหลอกอะไรชินจิรึเปล่า โล่งอกไปที
เอย์จิอย่าปล่อยให้อารมณ์เหนือเหตุผลสิ ชินจิกลัวนะ
เจ๊รุกะคือน่าหมั่นไส้อ่ะ เกลียดด

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 13

        ห้องดอกบ๊วยอยู่ติดกับห้องนอนของมาซาฮารุ ตั้งชื่อตามลายดอกบ๊วยสีชมพูเข้มบนของประดับทั้งหลายที่ใช้ตกแต่งในห้องรวมทั้งเป็นลายบนประตูบานเลื่อน ขนาดของห้องไม่ใหญ่มากนัก เจ้าบ้านคนปัจจุบันใช้ห้องนี้สำหรับรับแขกสำคัญและพูดคุยเรื่องที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน
        เอย์จิเกลียดห้องนี้ ทุกครั้งที่บิดาของเขาเรียกให้มาพบที่นี่ มันไม่เคยเป็นเรื่องดี
        นอกจากชายหนุ่มกับรุกะ คนที่นั่งอยู่ในห้องก็มีบิดาของเขา เออิจิโร่และโอคินะ ตรงหน้าทุกคนบนโต๊ะไม้ตัวเตี้ยมีถ้วยใส่โอเด้งร้อน ๆ ตรงกลางโต๊ะ ผ้าสีม่วงเข้มประทับตราสีทองรูปจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวพับวางอยู่อย่างเรียบร้อย
        เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า มาซาฮารุก็ทำสัญญาณให้ทุกคนกินอาหารในถ้วยได้
        เอย์จิใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ทอดขึ้นมากิน น้ำซุปชุ่มอยู่ในปาก รสแบบนี้ไม่ผิดไปแน่นอน คนอื่น ๆ ในห้องก็ดูจะมีความคิดเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไร ยกเว้นเออิจิโร่ที่หลังจากยกถ้วยขึ้นซดน้ำซุปก็ร้องออกมาเสียงดังฟังชัดว่า
        “อา.. อร่อย! โอเด้งของคุณจิ้งจอกอร่อยจังเลย”
             สีหน้าของพี่ชายฝาแฝดของเขาแสดงความอิ่มเอมและพอใจอย่างที่สุด
             มาซาฮารุวางตะเกียบลง เช่นเดียวกับรุกะ รายหลังเหลือบมองคู่หมั้นหนุ่มด้วยสายตาตำหนิที่ส่งเสียงเอะอะ แต่คนถูกตำหนิทางสายตาไม่สนใจตามเคย ยังคงก้มหน้าก้มตากินเอา ๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย
             “เป็นโอเด้งของชิโนซากิคิตสึเนะจริง ๆ” เจ้าบ้านคนปัจจุบันพูดขึ้นในที่สุด
             โอคินะหยิบผ้าสีม่วงเข้มขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง พยักหน้าน้อย ๆ
             “ดวงตราบนผ้าสร้างเขตแดน” ชายชราส่งต่อให้รุกะ หญิงสาวรับผ้ามาด้วยความระมัดระวัง ดูด้วยตาก็เหมือนผ้าห่อของธรรมดาทั่วไป ตราจันทร์เสี้ยวกับรวงข้าวไม่ส่องแสงสีทองอีกแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของอาณาเขตที่อาบอยู่ทั่วทั้งผืน
             “ท่านรุกะบอกว่าพ่อหนุ่มคนนั้นไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม” ชายชราถาม
             “ใช่แล้วค่ะ ชินจิซังไม่รู้ว่าของที่ได้มามีความพิเศษยังไงบ้าง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเกือบจะโดนพวกอสูรทำร้ายเอาในตอนขากลับ” หญิงสาวตอบ
             “ถ้าชิโนซากิคิตสึเนะไม่เข้ามาแทรกแซง ถ้าพ่อหนุ่มคนนั้นโดนทำร้าย ก็จะเหมือนเปิดฉากสงครามระหว่างอสูรกับมนุษย์” ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด “แต่ท่านมิโคโตะไม่น่าจะทำอย่างนั้น มันน่าจะมีอะไรอย่างอื่นอีก อย่างเช่น ฝ่ายที่สาม ฝ่ายที่สร้างสถานการณ์เพื่อหวังให้อสูรกับมนุษย์ต่อสู้กัน”
             “แต่อสูรจากฮะคุริวมีส่วนร่วมด้วยนะคะ หนูแน่ใจว่าหนึ่งในพวกที่คิดจะทำร้ายชินจิซังต้องมีการาสุเท็นงูคุโรบะรวมอยู่ด้วย ที่ลูกแก้วคันจุถูกขโมยไปก็เป็นฝีมือการาสุเท็นงูอีกเหมือนกัน ฮะคุริวต้องรู้เห็นด้วยแน่ ๆ ค่ะ” รุกะพูด
             “แล้วมังกรขาวจะได้ประโยชน์อะไรถ้าอสูรทำสงครามกับมนุษย์” เออิจิโร่ที่ตอนนี้กินโอเด้งของตัวเองหมดถ้วยแล้ว ตั้งกระทู้ถามขึ้นมา
             “อำนาจมันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ มังกรขาวอาจจะอยากได้คันจุขึ้นมาก็ได้ เธอก็รู้นี่ว่าผู้ที่ได้ครอบครองทั้งคันจุและมันจุจะมีอำนาจมากขนาดไหน”
             “แต่ลูกแก้วมันจุใช้สะกดมังกรแดงอยู่นะ อย่าลืมสิ ถ้าเกิดทะเร่อทะร่าไปคลายผนึกแล้วมังกรแดงฟื้นขึ้นมาอีกตนล่ะก็ยุ่งตายเลย มังกรขาวไม่น่าจะโง่ขนาดนั้น” 
             มาซาฮารุยกมือขึ้นปรามลูกชายคนโตและคู่หมั้นที่ทำท่าจะถกเถียงกัน สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ในดวงตาคมดุมีแววใคร่ครวญเช่นกัน และเจ้าบ้านคนปัจจุบันมีความเห็นอย่างเดียวกับเออิจิโร่และโอคินะ
             “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องพิสูจน์หาความจริงว่าอสูรกำลังแตกแยกกันจริงไหม มีใครกำลังวางแผนทำอะไรอยู่หรือไม่” ชายวัยกลางคนสรุป “ระหว่างนี้คงต้องระวังตัวกันให้มาก เพิ่มการลาดตระเวนทั้งในหมู่บ้านและเขตแดนรอบนอกในบริเวณของเรา อย่าให้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นได้”
             พูดจบ ชายกลางคนก็มองไปที่ลูกชายคนเล็ก เอย์จิไม่แสดงความคิดเห็นอะไรเลย เขามีท่าทางใจลอยเสียด้วยซ้ำ ทำเหมือนกับไม่สนใจเรื่องที่ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกันอยู่
             “ให้โฮโจไปช่วยที่เรียวกังอีกคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น ลำพังรุกะคนเดียวอาจจะรับมือไม่อยู่ คนอื่นในเรียวกังก็ทำอะไรกันไม่ได้เลยสักคน” มาซาฮารุพูดเสียงห้วน และการที่เขาจงใจเน้นไปที่คำว่า ‘คนอื่น’ ก็ทำให้เอย์จิรู้สึกตัวขึ้นมา
             “ใกล้ถึงวันงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คนจะมาที่หมู่บ้านมากกว่าปกติ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอย ๆ
             “จริงด้วยสิ ลืมคิดไปเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นวันนั้นล่ะก็ ยุ่งตาย” เออิจิโร่นึกขึ้นมาได้ ตาโต แต่มาซาฮารุไม่รับความเห็นของลูกชายคนเล็ก เขาพูดเสียงห้วนเหมือนเดิมว่า
             “วันงานเทศกาลก็ต้องระวังกันเป็นพิเศษอยู่แล้ว”
            “เออนี่ เราหาโอกาสไปกินโอเด้งของคุณจิ้งจอกกันอีกดีกว่า เผื่อจะถามอะไรได้บ้าง” เออิจิโร่เปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปใช้ศอกกระทุ้งแขนน้องชาย พูดต่อว่า
            “ฉันจะชวนรุ่นน้องนายไปด้วยนะ”
            “ชินจิมาเกี่ยวอะไรด้วย” เอย์จิเสียงขุ่นทันที “อย่าเอาหมอนั่นเข้ามายุ่งด้วยได้ไหม”
            “เอ้า พลาดแล้ว นายนี่ละน้า มัวแต่โมโห ไม่ได้รู้อะไรเอาซะเล้ย” เออิจิโร่โคลงศีรษะด้วยความระอา แต่น้ำเสียงที่ใช้นั้นตั้งใจยั่วเย้าเต็มที่ และก็ได้ผล น้องชายฝาแฝดถลึงตาใส่เขาสมใจ ชายหนุ่มแหย่ต่อ
            “ชิโนซากิซังบอกชินจิคุงว่าแล้วพบกันใหม่ แสดงว่าคุณจิ้งจอกเขาชอบชินจิคุงเข้าแล้วล่ะ อย่างนี้ถ้ามีชินจิคุงไปด้วยนะ ถามอะไรไป คุณจิ้งจอกตอบหมดแน่ ๆ”
            “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่จะเอาชินจิมาเกี่ยว” เอย์จินิ่วหน้า
            “เห ปกป้องกันตลอดเวลาเลยน้า รุ่นน้องคนสำคัญคนนี้” พี่ชายฝาแฝดแหย่ไม่ยอมหยุด
            ถึงตอนนี้ รุกะกลอกตาด้วยความรำคาญ ไม่นึกอยากฟังคำกระเซ้าเย้าแหย่ที่ดูไร้สาระนั่นเลยจริง ๆ หล่อนเคยพูดกับคู่หมั้นเรื่องนิสัยแบบนี้ของเขาหลายครั้ง แต่เออิจิโร่ไม่เคยคิดจะปรับปรุง แถมยังขี้เล่นเรื่อยเปื่อยกระเซ้าเย้าแหย่ชักใบให้เรือเสียหนักขึ้นเสียอีก แม้แต่ในการประชุมเรื่องสำคัญขนาดนี้ เออิจิโร่ก็ยังทำเป็นเล่นอยู่ได้
            “พอได้แล้ว” บิดาของฝาแฝดหยุดการถกเถียงอีกหน “เรื่องนี้ฉันให้เป็นหน้าที่ของพวกเธอ ไปตกลงกันเอาเอง อย่ามาเถียงกันที่นี่ แล้วได้เรื่องยังไงก็ค่อยมารายงาน”
            มาซาฮารุโบกมือไล่
            “ออกไปให้หมด ฉันมีเรื่องจะหารือกับโอคินะซัง”
            สองพี่น้องฝาแฝดลุกขึ้นทันทีเหมือนรอเวลานี้อยู่แล้ว ส่วนรุกะหน้าตึงเล็กน้อย ไม่ชอบที่โดนไล่และยังอยากจะนั่งฟังต่อ หล่อนมั่นใจว่าท่านพ่อกับโอคินะซังต้องปรึกษากันเรื่องแผนรับมือพวกอสูรและลูกแก้วคันจุที่ยังหาไม่เจอแน่
            “เล่นจนเสียเรื่องอีกแล้วนะ เออิจิโร่” หญิงสาวต่อว่าคู่หมั้นหนุ่มทันทีที่ออกมานอกห้อง
            “ไม่ได้เล่นสักหน่อย พูดจริง ถ้าไม่มีชินจิคุง เราจะได้ข้อมูลได้ยังไง จิ้งจอกขาวแสบจะตาย ดีไม่ดีเสียตังค์หมดตัว ข้อมูลก็ไม่ได้ หรือเธอมั่นใจว่าตัวเองเสน่ห์แรงพอจะล่อจิ้งจอกขาวได้”
            “ฉันจะไปที่เรียวกัง” รุกะสะบัดเดินไปด้วยความไม่พอใจ เออิจิโร่หัวเราะตามหลังไปแบบไม่มีเสียง ก่อนจะหันกลับมาเจอหน้านิ่วคิ้วขมวดของน้องชายเข้าอีกคน
            “ทำหน้าอย่างนี้ ไม่อยากให้ชินจิคุงไปอีกคนล่ะสิ” เขาพูดยิ้ม ๆ
            “หมอนั่นเกือบโดนทำร้ายแล้วนะ” น้ำเสียงของเอย์จิเป็นเดือดเป็นร้อน
            “ถ้านายกังวลเรื่องนี้ล่ะก็ฉันสัญญาว่าจะรับผิดชอบดูแลชินจิคุงให้เอง” เออิจิโร่สบตากับน้องชาย “นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยปล่อยให้คนที่ต้องการปกป้องเป็นอันตรายไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
            คนฟังสะอึก ขณะที่เออิจิโร่อมยิ้ม เอามือตบไหล่อีกฝ่ายหนัก ๆ ก่อนจะเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
            ความสะเทือนใจยังติดตามเอย์จิไปจนกระทั่งเขาเดินมาถึงที่ห้อง ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นว่าหน้าประตูห้องของเขามีถุงพลาสติกใบหนึ่งวางอยู่ บนถุงมีกระดาษโน้ตแปะเอาไว้ด้วย
            ‘ขอโทษนะครับ’
            ข้อความบนกระดาษโน้ตมีแค่นี้ ไม่มีการลงชื่อ แต่เขาก็รู้ว่าใครเป็นคนเอามาวางเอาไว้ให้ ชายหนุ่มเปิดถุงออกดู ข้างในคือขนมปังแบบเยอรมันที่เขาชอบ
            น้ำตาลูกผู้ชายรื้นขึ้นมาโดยห้ามไม่อยู่ นอกจากท่านแม่แล้วก็ไม่มีใครใส่ใจคิดว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรหรอก ไม่มีเลย และตอนนี้ไม่มีท่านแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้อีก
            รุ่นน้องของเขาเป็นคนมีน้ำใจ เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว นี่ถ้าไม่มีเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ชินจิก็คงจะให้เขากับมือเอง แล้วเขาก็คงจะดีใจมาก ไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ เอย์จิดีใจ ตื้นตันใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็กลับไม่มั่นใจและหวั่นกลัว ชินจิเกือบจะโดนทำร้าย หมอนั่นอาจจะหายไปเหมือนกับท่านแม่โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
            เอย์จิกอดถุงพลาสติกแน่น ในใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความความรู้สึกที่หลากหลายจนแทบจะระเบิดออกมา

            ในตอนเช้าตรู่ ชินจิหิ้วถังน้ำออกมาเพื่อสาดล้างหน้าเรียวกังตามปกติ แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกกระฉับกระเฉงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ชายหนุ่มใช้กระบวยไม้วักน้ำจากถังแล้วสาดออกไป น้ำไม่กระจายออกเป็นวงกว้าง แต่มันหล่นเผละลงบนพื้นเหมือนก้อนอะไรสักอย่าง พื้นนองน้ำเป็นหย่อมเหมือนแอ่งโคลน ชินจิถอนหายใจยาว หย่อนกระบวยใส่กลับลงไปในถัง
             “ยังล้างไม่ทั่วเลย จะพอแล้วเหรอ”
             เสียงทักดังขึ้น ชินจิหันไปมอง รุ่นพี่ของเขาใส่ชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มคาดโอบิสีเทาอ่อนยืนมองพื้นหน้าเรียวกังที่เปียกโชกเป็นหย่อม คำพูดของเอย์จิไม่ใช่การตำหนิ แต่ก็ทำให้คนฟังหน้าสลดลงด้วยความรู้สึกผิด
             “ขอโทษครับ”
            มือใหญ่ของเอย์จิยื่นมาหยิบถังน้ำไปจากมือของรุ่นน้อง แล้วใช้กระบวยตักน้ำสาดไปรอบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ชินจิยืนมองนิ่งอยู่ที่เดิม ปากเม้มแน่น รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
            ทำไมเอย์จิไม่พูดอะไรเลย
            “รุ่นพี่ครับ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว “เรื่องเมื่อวานผมขอโทษ คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม”
            “ฉันไม่ได้โกรธเคืองอะไรนายสักหน่อย จะขอโทษทำไมบ่อย ๆ”
            “อ้าว...ก็...” ชินจิตอบไม่ถูก
            “การล้างหน้าบ้านตอนเช้าน่ะเราต้องตั้งใจทำ รู้ไหม นอกจากจะเป็นการรักษาความสะอาดแล้วก็ยังเป็นการไล่สิ่งไม่ดีออกไปจากบ้าน ในบ้านจะได้มีแต่สิ่งที่ดี ๆ” รุ่นพี่ของเขาพูด
            ชินจิไม่ชอบสีหน้าและน้ำเสียงแบบนี้ของเอย์จิเลย มันไม่เหมือนกับเอย์จิที่เขารู้จัก ไม่เหมือนเอย์จิก่อนหน้านี้ เมื่อคืนเขาโดนตวาด เขารับรู้ได้ว่าเอย์จิกำลังโกรธ โมโห แต่ไม่ใช่แบบนี้ วันนี้รุ่นพี่ของเขาดูเหินห่างอย่างบอกไม่ถูก
            เอย์จิส่งถังน้ำคืนให้ แล้วผละไป แต่หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว ชายหนุ่มก็หยุด หันกลับมาบอกว่า
            “ขอบใจมากสำหรับขนมปัง แต่คราวหลังไม่ต้องซื้อมาอีกหรอก ไม่จำเป็น”
            ชินจิยืนอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของเอย์จิ เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ารุ่นพี่ไม่โกรธ แล้วทำไมพูดแบบนี้กับเขา ทำไมทำท่าเย็นชาและห่างเหินขนาดนี้ ชายหนุ่มเคยถามตัวเองว่าทำไมคนเราถึงเปลี่ยนความรู้สึกได้ง่าย ๆทำไมเคยทำดีต่อกัน แล้วเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเหมือนหน้ามือเป็นหลังมือ
            คำถามนี้รบกวนจิตใจของชายหนุ่มอย่างมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป เก็บความอึดอัดคับข้องใจเอาไว้กับตัว แล้วก็เศร้าโศกเสียใจอยู่เพียงลำพัง แต่ตอนนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ชายหนุ่มนึกถึงตอนที่พักอยู่ที่เกสต์เฮาส์ของคุณอาของเพื่อนที่คานาซาว่า ตอนนั้นเพื่อนของเขากำลังสงสัยว่าทำไมคนรักไม่ติดต่อมาเลยทั้งที่สัญญาไว้แล้วว่าจะโทรศัพท์มาหาทุกวัน แล้วพอเขาเปรยด้วยความกลัวว่าเพื่อนจะถูกทิ้ง หมอนั่นก็ประกาศลั่น
            ‘ก็ลองทิ้งดูสิ พ่อจะตามไปชกหน้าถึงเบอร์ลินเลย’
            ชินจิประทับใจมาก นี่ถ้าเขาคิดได้แบบนี้ในตอนนั้นแล้วไปชกหน้าผู้ชายที่ทิ้งเขาสักที เอาให้แรงที่สุด เขาอาจจะไม่เสียศูนย์เสียความมั่นใจอยู่นานจนทำให้คนรอบข้างพลอยเป็นกังวลกันไปหมดก็ได้
            เขาจะต้องพูดกับเอย์จิ เรื่องที่เขาทำผิด เขาก็ขอโทษไปแล้ว ถ้ารุ่นพี่ยังมีเรื่องอะไรติดใจก็ควรบอกเขาตรง ๆ เขาจะได้รับรู้และปรับปรุงตัว ไม่ใช่จู่ ๆ ก็เมินใส่กันโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้
            ความตั้งใจของชินจิยังไม่เป็นผลเพราะในเรียวกังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โฮโจซึ่งเป็นผู้ช่วยของเออิจิโร่มาช่วยงานที่เรียวกังแทนการทำงานที่ศาลเจ้าอินาริ แล้วเมื่อมีคนทำงานคนใหม่ เอย์จิก็แทบจะไม่โผล่หน้ามาที่เรียวกังอีก หรือถ้าวันไหนที่มา รุ่นพี่ก็จะหลีกเลี่ยงเขาอย่างจงใจ เป็นเช่นนี้อยู่หลายวันจนชินจิชักคิดว่ารุ่นพี่ของเขาทำเกินไปแล้ว
            หลังเสร็จงานในช่วงสายก็เป็นเวลาพัก ชินจิกำลังจะเดินกลับไปที่บ้านใหญ่ เขาเห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาใส่ชุดยูกาตะสีเขียวเข้มทับด้วยเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตู เมื่อเจ้าของร่างนั้นเห็นเขาก็ทักเสียงเรียบว่า
            “อ้าว ชินจิ นายเสร็จงานแล้วเหรอ ฉันกำลังจะไปที่เรียวกังอยู่พอดี”
            ใบหน้าของคนที่เอ่ยทักเรียบเฉยเหมือนน้ำเสียง ชินจิพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มน้อย ๆ โค้งศีรษะทักทายว่า
            “เออิจิโร่ซัง จะไปที่เรียวกังทำไมหรือครับ”
            ชายหนุ่มในชุดยูกาตะสีเขียวเข้มมองมาอย่างแปลกใจ
            “ทำไมดูออกล่ะ ฉันพูดเหมือนที่เอย์จิพูดแล้วนะ เก๊กหน้าเข้มจนเมื่อยจะแย่ ใคร ๆ ก็คิดว่าฉันเป็นเอย์จิทั้งนั้น มีเธอคนเดียวที่ไม่หลงกล”
            “พวกคุณเล่นเปลี่ยนตัวกันบ่อยไหมครับ” ชินจิถามยิ้ม ๆ
            “เมื่อก่อนก็บ่อยนะ” เออิจิโร่เดินเข้ามาหาชายหนุ่มรุ่นน้อง “ไม่มีใครจับได้หรอก ยิ่งออกมานอกบ้านนะ พวกชาวบ้านไม่มีใครรู้สักคน เรียกสลับกันตลอด น่าขำจะตาย”
            “คุณสองคนหน้าตาเหมือนกันนี่ครับ”
            “แล้วทำไมเธอแยกได้ล่ะ ว่าไง บอกหน่อยสิ” เออิจิโร่ยังพยายามตื๊อถามต่อ
            “เอ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ชินจินิ่งคิด คิ้วขมวดนิด ๆ “แต่ถ้าให้พูด ผมคิดว่าที่ดวงตานะครับ ใคร ๆ ก็บอกผมว่าเอย์จิซังเงียบขรึมเหมือนท่านมาซาฮารุ ส่วนคุณร่าเริงเหมือนท่านมิซากิ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม”
            เออิจิโร่ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
            “เอย์จิซังดูเงียบ ๆ แต่ก็พูดเก่งนะครับ อ่อนโยน สุภาพ เป็นคนที่ใจดีมาก ๆ คอยดูแลคนอื่นอยู่ตลอด ผมไม่เคยเจอท่านมิซากิ เคยเห็นแต่ในรูป ผมว่าดวงตาของเอย์จิซังเหมือนท่านมิซากิ ใจดี อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรักความเข้าใจ แต่บางทีก็ดูเศร้านิด ๆ ส่วนเออิจิโร่ซัง...”
            ชินจิเงียบเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีหรือไม่ คนที่กำลังฟังต้องกระตุ้น
            “ฉันเป็นยังไง พูดมาเถอะ ฉันอยากรู้”
            “ก็...” ชายหนุ่มรุ่นน้องพยายามเรียบเรียงคำพูด “คุณพูดเก่ง ดูเป็นคนสนุกสนาน แต่ดวงตาของคุณกลับดูจริงจัง ดุ เหมือนท่านมาซาฮารุ เวลาที่ผมอยู่ต่อหน้าคุณทั้งสองคน บางทีผมก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก อือม์... คำว่ากลัวมันดูแรงไปหน่อย ผมขอใช้คำว่าเกรงดีกว่า คุณสองคนเหมือนแผ่รังสีความน่าเกรงขามออกมา ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวได้น่ะครับ” ชินจิหยุดไปนิด ก่อนสรุปว่า “ผมเลยคิดว่ามันน่าจะสลับกัน เอย์จิซังเหมือนท่านแม่ เออิจิโร่ซังเหมือนท่านพ่อมากกว่า ผมรู้สึกอย่างนั้น”
             คนฟังนิ่งไปเหมือนคาดไม่ถึง ชินจิมองแล้วคิดไปอีกทาง นึกว่าตัวเองทำตัวผิดกาลเทศะที่ไปวิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวคนอื่นแบบนั้น ชายหนุ่มใจเสีย เกรงว่าเออิจิโร่จะโกรธ
             “เอ่อ... ถ้าผมพูดอะไรผิดไป ผมขอโทษนะครับ”
             “เธอไม่ได้พูดผิดหรอก ชินจิคุง ฉันแค่นึกไม่ถึงน่ะว่าเธอจะดูออกได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ นับถือเลย”
             เออิจิโร่กลับมาใช้คำพูดเหมือนเดิม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนที่ขี้เล่นสนุกสนาน จะมีก็ดวงตาเท่านั้นที่ฉายแสงแรงกล้ายิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก เป็นดวงตาที่ชินจิไม่ค่อยกล้าสบตาด้วยเท่าไรเพราะความหวั่นเกรง
             “แล้วนี่เธอจะไปไหนล่ะ พักแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
             “ครับ ผมกำลังจะกลับไปที่บ้าน คิดว่าจะไปหาเอย์จิซังสักหน่อยน่ะครับ” ชินจิตอบตามตรง
             “เอย์จิอยู่ที่โรงฝึก หมู่นี้หมอนั่นเอาแต่ยิงธนูทุกวัน ไม่ก็เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง สั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใครรบกวน" เออิจิโร่พูด สายตาคมกล้าของเขามองดูชายหนุ่มรุ่นน้องด้วยความรู้เท่าทัน ถ้าชินจิดูเขาออก เขาก็ดูทั้งน้องชายตัวเองและชินจิออกเหมือนกันนั่นแหละ
             เห็นใบหน้าของรุ่นน้องของน้องชายสลดลงด้วยความผิดหวัง เออิจิโร่ก็ชักรู้สึกสนุกขึ้นมาเสียแล้ว
             “เธอพักแล้วนี่ใช่ไหม ออกไปกับฉันดีกว่า จะพาไปดูอะไรน่าสนใจ”
             “เออิจิโร่ซังไม่ต้องไปที่ศาลเจ้าเหรอครับ” ชินจิถาม
             “ไม่หรอก วันนี้ไม่มีอะไร ให้พวกผู้ช่วยกับมิโกะดูแลกันไปก็ได้ โอคินะซังก็อยู่ สบาย ๆ”
             “แต่ผมยังต้องกลับมาทำงาน” ชินจิลังเล
             เออิจิโร่ตัดสินใจให้ด้วยการฉวยมืออีกฝ่ายพาเดินไปด้วยกันโดยไม่สนใจเสียงค้าน เขาหันมาบอกว่า
             “เธอมากับฉัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอกน่า มาเถอะ เธอต้องชอบแน่นอน”
             ว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปรับรองหนักแน่นแบบนั้น ชินจิก็ไม่มีอะไรคัดค้านอีก ชายหนุ่มดึงมือตัวเองออกอย่างนุ่มนวลแล้วเดินเคียงข้างไปกับเออิจิโร่อย่างไม่เร่งร้อน

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               จุดหมายปลายทางของทั้งสองคนอยู่ทางท้ายหมู่บ้าน ระหว่างทางเออิจิโร่พูดถึงงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง
               “ศาลเจ้าอินาริของเราจัดงานมัตสึริปีละสองครั้งคือในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เป็นงานใหญ่ของหมู่บ้านเลยล่ะ” เออิจิโร่เล่า “เราจะแบกเกี้ยวมิโคชิกับลากรถลากยะไตไปทั่วหมู่บ้าน มีขบวนแห่ ดนตรี การเต้นชิชิมะอิที่จะไปตามบ้านคนและเต้นรำเพื่อขับไล่ปีศาจร้าย มีการแสดงตุ๊กตากลไกคาระคุริบนรถลากยะไตด้วยนะ เธอเคยเข้าร่วมงานแบบนี้รึเปล่า”
               ชินจิสั่นศีรษะ เขาเคยแต่เที่ยวชมงานเท่านั้น ยังไม่เคยมีโอกาสเป็นฝ่ายผู้จัดงานเลย ไม่เคยแบกเกี้ยวมิโคชิหรือร่วมเดินในขบวนแห่เลยสักครั้ง ฟังแล้วก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
               “ผมจะได้แบกเกี้ยวมิโคชิหรือเดินในขบวนรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความอยากรู้
               “ไม่หรอก คนของศาลเจ้ามีงานสำคัญกว่านั้นที่จะต้องทำ”
               ชินจิมองเป็นเชิงถาม คนพูดจึงยิ้มให้ อธิบายว่า
               “เราเป็นฝ่ายอำนวยการไงล่ะ คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้งานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตั้งแต่ต้นจนจบ งานวันนั้นน่ะคนจะมากันมาก ใครเป็นใครมั่งก็ไม่รู้ เราจะต้องช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น”
               น้ำเสียงของคนพูดมีแววกังวลอยู่บ้าง แต่มันบางเบาจนคนฟังจับไม่ได้ ชินจิมัวแต่คิดภาพวันงานที่มีขบวนแห่ เกี้ยวมิโคชิและรถลากยะไตอันสวยงามจนไม่ผิดสังเกตอะไรเช่นกัน ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะช่วยงานอย่างเต็มความสามารถเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาได้ง่าย ๆ เขาจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากทีเดียว
               “ผมจะช่วยทุกอย่างเลยครับ” ชินจิเสนอตัวอย่างมุ่งมั่น เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนที่เดินข้าง ๆ ได้อีกครั้ง
ทั้งสองคนเดินมาถึงที่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นโกดังและโรงเก็บของตั้งติด ๆ กันหลายหลัง ข้างหน้าโกดังมีท่อนไม้ขนาดใหญ่วางกองอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างเงียบสงบเพราะนักท่องเที่ยวไม่เดินมาถึงที่นี่ พวกเขามุ่งไปที่จุดชมวิว ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์ ออนเซ็น หรือร้านน้ำชาเสียมากกว่า
               ชินจิชะเง้อมอง ยังไม่ทันจะถามอะไร คนที่พาเขามาก็เฉลยก่อนเลยว่า
               “ที่นี่เป็นสตูดิโอของช่างไม้ที่ทำเกี้ยวมิโคชิกับรถลากยะไตให้เรา มินามิโนะซังเป็นหัวหน้าช่าง เป็นนักแกะสลักไม้มือหนึ่ง วันนี้เขาจะประกอบเกี้ยวมิโคชิกัน ฉันเลยพาเธอมาดู” เออิจิโร่พูดพลางชี้ให้ดูป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าโกดัง
               “ผมเข้าไปดูได้จริงเหรอครับ” ชินจิถามย้ำ ตาโตด้วยควาตื่นเต้น ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปดูการทำงานของช่างไม้อย่างใกล้ชิดแบบนี้
               “ได้สิ” เออิจิโร่รับรองแล้วออกเดินนำหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปข้างใน ชินจิเดินตามมาข้างหลังและเขาไม่เห็นว่าเออิจิโร่ที่เดินอยู่ข้างหน้าเปลี่ยนกลับมาใส่หน้ากากของความเคร่งขรึมจริงจังเหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
               เสียงทักทายดังขึ้นทันทีเมื่อทั้งสองเดินเข้าไปภายในโกดังที่ดัดแปลงให้เป็นสตูดิโอสร้างสรรค์งานของช่างไม้ ข้างในมีคนหลายคนชุมนุมกันอยู่ ล้วนแต่เป็นผู้ชายวัยราวสี่สิบปีขึ้นไปทั้งนั้น ต่างใส่ชุดกางเกงสีเข้มคล้าย ๆ กับชุดที่ชินจิใส่อยู่ คนหนึ่งในกลุ่มทักพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสว่า
               “วันนี้มาถึงนี่เลยนะครับท่านเอย์จิ”
               “พารุ่นน้องมาดูเกี้ยวมิโคชิครับ นี่ชินจินะ รุ่นน้องของผมจากโตเกียว” ชายหนุ่มถือโอกาสแนะนำและไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ที่ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มจุดอยู่ ท่าทางชอบใจที่ใครต่อใครพากันทักผิดคิดว่าเขาเป็นน้องชายฝาแฝด
ชินจิก้มศีรษะทักทายทุกคน แต่เขาไม่เล่นตามมุขตลกของเออิจิโร่ไปด้วย
               “วันนี้เอย์จิซังไม่ว่างครับ เออิจิโร่ซังเลยเป็นคนพาผมมาแทน”
               คำพูดของเขาทำให้ทุกคนร้องอ้าวไปตาม ๆ กัน ส่วนตัวต้นเหตุหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสนุกสนานที่แกล้งคนอื่น ๆ ได้ แล้วเมื่อกลแตก เออิจิโร่ก็เลยเลิกวางท่าเข้มเลียนแบบน้องชายไป
               มินามิโนะ ช่างไม้มือหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นชายวัยราวหกสิบปี ใส่แว่นตากรอบกลมสีทอง ตัวเล็ก แต่คล่องแคล่ว เขาสั่งการให้ช่างไม้เริ่มการประกอบเกี้ยวมิโคชิ ช่างแต่ละคนรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้วก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว
               เกี้ยวมิโคชิที่ประกอบวันนี้เป็นเกี้ยวสำหรับให้เด็กอายุระหว่าง 9-11 ปีเป็นผู้แบก มีขนาดเล็ก กว้างประมาณ 71 เซ็นติเมตร หนักราว 58 กิโลกรัม แต่ถึงจะเป็นของสำหรับเด็ก การสร้างก็พิถีพิถันไม่แพ้เกี้ยวสำหรับผู้ใหญ่ เพราะเกี้ยวมิโคชิเปรียบเหมือนกับศาลเจ้าที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ มีโครงสร้างและส่วนประกอบที่เหมือนกับศาลเจ้าทุกอย่าง ช่างไม้จะสร้างส่วนประกอบหลัก ๆ ก่อนคือส่วนที่เป็นหลังคา ส่วนที่เป็นตัวเกี้ยว และส่วนที่เป็นฐาน แล้วนำมาประกอบกันเพื่อตรวจสอบโครงสร้างโดยรวมทั้งหมด จากนั้นจึงนำส่วนต่าง ๆ ไปตกแต่ง ทั้งทาสี เคลือบเงา สลักเป็นลวดลายต่าง ๆ และประดับด้วยของตกแต่งที่เป็นโลหะ ส่วนนี้จะกินเวลานานหลายเดือน ก่อนที่จะนำส่วนต่าง ๆ ที่มีการตกแต่งประดับประดาเรียบร้อยแล้วมาประกอบเข้าเป็นเกี้ยวมิโคชิ
               ชินจิพิจารณาส่วนประกอบต่าง ๆ ด้วยความสนใจ เกี้ยวหลังนี้เน้นสีไม้เนื้อขาว ไม่มีการลงสีสด ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ จึงประดับด้วยลวดลายแกะสลักไม้ที่ไม่ลงน้ำยาเคลือบเงาและเครื่องประดับที่เป็นโลหะเคลือบสีทองทำให้ดูอร่ามเรืองไปทั้งหลัง ตั้งแต่ส่วนยอดสุดที่เป็นหุ่นนกอินทรีกางปีกสีทองเกาะอยู่บนหลังคาทาสีดำ รอบหลังคาประดับด้วยโลหะสีทองสลักเป็นลวดลายวิจิตร ตรงมุมหลังคาทั้งสี่ด้านบนวะระบิเตะสีทองที่โค้งงอนขึ้นมีหุ่นนกตัวเล็กกางปีกสีทองเกาะอยู่ ถัดลงมาจากส่วนหลังคาคือมะสุงุมิที่เป็นไม้เรียงซ้อนกันเป็นรูปพีระมิดกลับด้าน เป็นส่วนที่ช่วยรองรับน้ำหนักของหลังคาเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็นตัวเกี้ยวซึ่งเป็นการย่อส่วนฮนเด็งซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของคะมิมาไว้บนมิโคชิ ในส่วนนี้ก็จะมีทั้งประตูโทริอิและรั้วกั้นรอบฮนเด็งซึ่งเป็นไม้ประดับด้วยลวดลายสีทอง สุดท้ายเป็นส่วนของฐานไม้แบบชั้นเดียวไม่ลงน้ำยาเคลือบเงา ตรงมุมฐานทั้งสี่ติดแผ่นโลหะสีทองเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ตรงกลางฐานแต่ละด้านแกะสลักเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยายที่เชื่อกันว่าเป็นผู้พิทักษ์สวรรค์แต่ละทิศ คือ มังกรน้ำเงิน พยัคฆ์ขาว เต่าดำเก็นบุซึ่งมีงูพันรอบตัว และหงส์ไฟ
               “สวยงามอ่อนช้อย เหมือนสัตว์แต่ละตัวมีชีวิตจริง ๆ เลยครับ” ชินจิกระซิบกับเออิจิโร่ที่ยืนประกบอยู่ข้างตัวเขาแทบจะตลอดเวลา
               “ฝีมือมินามิโนะซัง” เออิจิโร่กระซิบตอบ
               ช่างไม้ทั้งหลายประกอบส่วนต่าง ๆ ของเกี้ยวมิโคชิเข้าด้วยกันโดยที่ไม่ต้องใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ขั้นตอนสุดท้ายคือการสวมหลังคาลงไป มินามิโนะซังหยิบเชือกคาซาริฮิโมะเส้นใหญ่สีน้ำตาลทองออกมาแล้วกวักมือเรียกชินจิ
               “อยากช่วยผูกไหม” ช่างไม้มือหนึ่งเอ่ยชวน ชินจิชี้ที่ตัวเองเหมือนไม่แน่ใจ ต้องให้มินามิโนะพยักหน้ารับรองมาอีกครั้งและเออิจิโร่เอามือผลักไหล่เขานั่นแหละ ชินจิจึงกล้าเดินเข้าไป
               “ผมทำได้หรือครับ” ชายหนุ่มถาม มองเกี้ยวมิโคชิหลังเล็กแสนสวยสีทองอร่ามด้วยท่าทางกลัว ๆ นี่ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดแล้วทำให้เกี้ยวหลังนี้ชำรุดเสียหาย เขาต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่
               “ไม่ต้องกลัว ๆ ทำตามที่ฉันบอกก็พอ” มินามิโนะส่งเชือกให้และเริ่มสาธิตวิธีผูกเชือกคาซาริฮิโมะให้ชินจิที่จ้องตาไม่กะพริบดู
               “ชินจิคุงผูกเชือกรอบฐานตัวนกนี่นะ”
               ชายหนุ่มทำตามด้วยความระมัดระวัง เขาพับเชือกเป็นครึ่งแล้วเอาคล้องรอบฐานตัวนก ทำอีกเส้นหนึ่งคล้องอีกด้าน ปลายเชือกทั้งสองสอดลอดใต้ห่วงของเชือกอีกเส้นหนึ่ง ทำถึงแค่นี้เขาก็รู้สึกว่าตัวเองใช้พลังงานไปแทบหมดตัวแล้ว
               พวกช่างไม้หัวเราะร่าที่เห็นท่าทางหมดแรงของชินจิ จากนั้นพวกเขาก็เข้ามารับช่วงต่อ นำปลายเชือกทั้งสี่ด้านรัดรอบวะระบิเตะกับท่อนไม้ที่ฐานเกี้ยวแล้วนำเชือกขึ้นมาพันที่วะระบิเตะอีกครั้งก่อนปล่อยชายที่เป็นพู่ให้ห้อยลงมา
               ชินจิถอยห่างออกมามองดูการผูกเชือกของช่างผู้ชำนาญด้วยความโล่งใจระคนภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วม แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม เชือกคาซาริฮิโมะสีน้ำตาลทองยิ่งขับให้เกี้ยวไม้สว่างไสวและสีของทองคำที่ประดับอยู่บนตัวเกี้ยวก็ยิ่งอร่ามงามตาขึ้นไปอีก บนเชือกจะติดกระพรวนทองคำเพิ่มเข้าไปด้วยเพื่อให้เสียงกระพรวนสร้างความสุขใจให้แก่เทพเจ้าและเสียงกระพรวนยังเป็นสิ่งขับไล่ความชั่วร้ายไม่ให้มากล้ำกรายได้อีก
               “เชือกนี่ไม่ได้ใช้แค่เป็นเครื่องประดับอย่างเดียวหรอกนะ แต่การผูกเชือกคาซาริฮิโมะจะช่วยยึดส่วนประกอบต่าง ๆ ของเกี้ยวมิโคชิให้แน่นหนาขึ้นอีก” เออิจิโร่อธิบาย แล้วพยักหน้าไปยังเชือกสีอื่น ๆ ที่ม้วนเป็นวงวางอยู่ห่างออกไป “สีของเชือกที่ใช้ก็จะเลือกให้เข้ากับสีของเกี้ยวมิโคชิ ถ้าเป็นเกี้ยวไม้แบบไม่เคลือบเงาอย่างหลังนี้ก็จะใช้โทนสีน้ำตาลทอง แต่ถ้าเป็นแบบที่ลงเคลือบเงา ทาสีสด ๆ ก็จะใช้เชือกโทนสีม่วง”
               หลังจากการประกอบเกี้ยวมิโคชิเสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย เออิจิโร่คุยกับช่างไม้ถึงการซ่อมแซมและทำความสะอาดเกี้ยวมิโคชิกับรถลากยะไตหลังอื่น ๆ ที่เก็บเอาไว้ในโกดัง ชินจิถือโอกาสแยกตัวออกมาเดินดูรอบ ๆ เขารู้สึกทึ่งที่เห็นเครื่องมือช่างวางเรียงกันเป็นแถว แค่สิ่วอย่างเดียวก็มีเป็นสิบ ๆ อัน ส่วนปลายของแต่ละอันมีขนาดและแบบของใบมีดที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย
               นายช่างมินามิโนะเดินเข้ามาหา ชินจิพูดกับเขาด้วยความชื่นชมว่า
               “เออิจิโร่ซังบอกว่าคุณแกะสลักเองทั้งหมดเลย ฝีมือของมินามิโนะซังเป็นที่หนึ่งจริง ๆ ครับ”
               “ชมกันเกินไปแล้ว ผมยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ” นายช่างใหญ่เอ่ยอย่างถ่อมตัว แต่สีหน้าก็แสดงความภูมิใจเมื่อมองไปยังที่ที่เขานั่งหลังขดหลังแข็งแกะสลักลวดลายต่าง ๆ ลงบนแผ่นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจมาเป็นเวลานานหลายเดือน
               “มินามิโนะซังแกะอะไรค้างอยู่เหรอครับ” ชินจิชี้ไปที่ไม้ที่วางอยู่บนแท่น
               “อ๋อ สุซะคุ นกหงส์ไฟยังไงล่ะ สัตว์ผู้พิทักษ์สวรรค์ด้านใต้” ชายกลางคนตอบ แล้วเอื้อมไปหยิบท่อนไม้ที่มีการร่างรูปแบบคร่าว ๆ เอาไว้แล้วมายื่นให้ดูใกล้ ๆ
               “ต้องใช้เวลาทำนานไหมครับ”
               “ขึ้นอยู่กับความละเอียดและลวดลาย จริงสิ ฉันแกะสุซะคุให้เธอเป็นที่ระลึกสักตัวก็แล้วกัน สัตว์มงคล เก็บเอาไว้จะได้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา”
               พูดจบก็กระวีกระวาดไปเลือกไม้ที่มีขนาดพอเหมาะและเริ่มแกะสลักอย่างตั้งใจโดยไม่รับฟังเสียงค้านด้วยความเกรงใจของผู้เป็นแขกเลย ชินจิมองนายช่างมือหนึ่งใช้สิ่ว ค้อน และมีดอย่างคล่องแคล่ว เห็นการทำงานกับตาตัวเองอย่างนี้นับเป็นโอกาสที่ดีจริง ๆ มินามิโนะซังทำงานด้วยมือของผู้ชำนาญการอย่างแท้จริง การเคลื่อนไหวจึงไม่มีอะไรขัดตาเลย ชินจิเฝ้ามองอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาจนไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเออิจิโร่มายืนอยู่ข้างตัว
               นายช่างมินามิโนะใช้เวลานานพอสมควรในการแกะสลักนกหงส์ไฟกางปีก แต่สำหรับคนที่เฝ้าดูด้วยความเพลิดเพลินนั้นไม่รู้สึกว่านานเลย ชินจิรู้สึกว่าเวลาผ่านไปแค่แป๊บเดียวเท่านั้นเองในการทำให้ไม้ธรรมดาท่อนหนึ่งกลายเป็นนกแสนสวย  ช่างไม้วัยกลางคนส่งผลงานที่เสร็จแล้วให้ชายหนุ่ม
               “ขอบคุณมากครับ สวยมาก ๆ เลย” ชินจิพูดด้วยความปลาบปลื้ม
               “เอ๋ สุซะคุรึเนี่ย ดีใจจังเลย” เออิจิโร่ยื่นหน้าเข้ามามองบ้าง ทำเอาชินจิตกใจไม่น้อยเพราะหน้าของชายหนุ่มอยู่ห่างจากหน้าเขาแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
               “สุซะคุทำไมหรือครับ” ชินจิถามพลางก้าวถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว ใจเต้นแรง
               “ก็นกหงส์ไฟเป็นสัตว์ประจำตัวของฉัน น่าดีใจออกที่ฉันจะได้มีโอกาสปกป้องคุ้มครองเธอ”
               ชินจิทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เออิจิโร่พูดออกมาเต็มปากเต็มคำ สายตาของเขาที่มองมาก็ทำให้รู้สึกแปลก ๆ จนชินจิต้องเสเปลี่ยนเรื่องด้วยการหันไปกล่าวขอบคุณพร้อมกับอำลานายช่างมินามิโนะแล้วเดินเร็ว ๆ ออกมาจากโกดัง
เออิจิโร่ก้าวตามมาจนทัน มือใหญ่ของเขารั้งแขนชายหนุ่มรุ่นน้องไว้ให้หยุด
               “ที่พูดเมื่อกี้ฉันหมายความตามนั้นจริง ๆ นะชินจิคุง” น้ำเสียงของเออิจิโร่หนักแน่น “ฉันขอเป็นผู้ดูแลเธอ คุ้มครองเธอ ปกป้องเธอตลอดไป เธอจะว่ายังไง”
               “อย่าล้อผมเล่นแบบนี้เลยครับ” ชินจิพูดด้วยท่าทางอึดอัดลำบากใจ
               “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันชอบเธอจริง ๆ”
               “มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ชินจิพยายามปฏิเสธ อยากจะเบี่ยงตัวหนี แต่อีกฝ่ายหนึ่งจงใจใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่ามาขวางเอาไว้ทำให้เขาหลบไปไหนไม่ได้ ต้องเผชิญหน้ากับเออิจิโร่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
               “เป็นไปได้สิ”
               “คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้วนะครับ”
               “งั้นก็ลืมเรื่องรุกะไปก่อน เอาแค่ตัวฉัน เธอชอบฉันบ้างรึเปล่า”
               ชินจิประสานสายตากับชายหนุ่มโดยไม่หลบ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
               “เฮ้อ อกหักจนได้” เออิจิโร่ถอนหายใจดังเฮือก ก่อนบ่นดัง ๆ ด้วยความผิดหวังว่า “ทำไมนะ รักใครชอบใคร คนนั้นก็ไปชอบเอย์จิกันหมด ไหนว่าเกิดเป็นเออิจิโร่แล้วมันน่าอิจฉายังไงล่ะ ไม่เห็นจริงเลย”
               “คุณพูดอะไรครับเนี่ย” ชินจิร้อง
               “หรือไม่จริง เธอไม่ชอบฉัน แต่ชอบเอย์จิ ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ”
               “ผม...” ชายหนุ่มรุ่นน้องพูดไม่ถูก ใบหน้าของเขาแดงซ่านขึ้น
               “จริงไหมล่ะ เธอชอบเอย์จิ” เออิจิโร่กระทุ้งถามอีก
               “ผม...ผมไม่รู้” ในที่สุดชินจิก็หลุดคำพูดออกมาหลังจากอึกอักอยู่ครู่ใหญ่ “ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าชอบได้รึยัง แต่ผมรู้สึกดีมาก ๆ ตอนที่อยู่กับเอย์จิซัง ตอนที่คุยกัน ตอนที่เอย์จิซังดูแลเอาใจใส่และใจดีกับผม”
               “ฉันก็ใจดีกับเธอไม่ต่างจากเอย์จิสักหน่อย ทำไมไม่ชอบฉันบ้างล่ะ” เออิจิโร่ไม่ยอมแพ้
               “มันไม่เหมือนกันครับ เออิจิโร่ซังใจดี เป็นคนสนุกสนาน แต่ผมรู้สึกเคารพคุณมากกว่าจะรู้สึกเป็นอย่างอื่น...”
               “ไม่เหมือนกับเอย์จิ” เออิจิชิโร่ชิงพูดขึ้นก่อน
               “ครับ ไม่เหมือนกับเอย์จิซัง” น้ำเสียงของชินจิมีความมั่นใจขึ้นเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ “เอย์จิซังเป็นคนใจดี เวลาอยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกอบอุ่นแล้วก็...มั่นคง”
               “แม้แต่ตอนที่หมอนั่นมันทำห่างเหินกับเธอแบบนี้น่ะเหรอ”
               เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชินจิก็ทำหน้าเมื่อยขึ้นมาทันควัน แต่แล้วก็กลับฮึดขึ้นมา พูดด้วยความหมายมั่นว่า
               “ผมจะต้องคุยกับเอย์จิซังเรื่องนี้แน่ ๆ ครับ ผมไม่ปล่อยให้มันคาใจอยู่อย่างนี้เด็ดขาด”
               เออิจิโร่อยากจะยิ้มให้กับความมุ่งมั่นของชายหนุ่มรุ่นน้อง แต่เขาผิดหวังมากกว่าก็เลยคร่ำครวญออกมาแทน
               “พอเถอะ ยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นว่าเธอแคร์เจ้าหมอนั่นมากขนาดไหน ฟังแล้วเจ็บปวดจริงจริ๊ง เอย์จิไม่เห็นจะมีอะไรดี สู้ฉันก็ไม่ได้สักอย่าง ฉันยิงธนูเก่งกว่า ชกต่อยเก่งกว่า แถมหล่อกว่าอีกต่างหาก แต่ทำไมไม่รู้... แพ้มันทุกที”
               ชินจิกำลังจะอ้าปาก แต่ต้องรีบหุบเพราะเออิจิโร่ชี้หน้า
               “หยุด ฉันไม่อยากฟังแล้วว่าเจ้าเอย์จิมันดีกว่าฉันยังไง มันเจ็บปวดนะที่ต้องมาฟังคนที่หักอกฉันพูดชมเชยผู้ชายอื่นต่อหน้ายังงี้น่ะ” ชายหนุ่มบ่น แล้วก็จับบทโอดครวญด้วยความน้อยอกน้อยใจต่อไปอีกไม่ยอมหยุดจนกระทั่งทั้งสองคนเดินกลับมาถึงที่เรียวกัง
               ข้างหน้าอาคาร บริเวณที่มีม้านั่งและร่มกระดาษกางอยู่ เอย์จิยืนกอดอกนิ่ง คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝดและรุ่นน้องของเขาเดินเคียงคู่พูดคุยกันมาด้วยความสนิทสนม ทั้งสองคนหยุดสนทนากันทันทีที่สังเกตเห็นร่างสูงใหญ่ของเอย์จิ
               ชายหนุ่มไม่มองหน้าพี่ชายฝาแฝด ไม่มองชินจิ สายตาของเขาจับนิ่งอยู่ที่หุ่นนกแกะสลักตัวเล็กที่รุ่นน้องประคองไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ในใจของเขารู้สึกเจ็บแปลบ รู้สึกทนไม่ไหว
               เอย์จิสะบัดหน้า เดินหนีภาพบาดตาบาดใจไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองอีก

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ชิโนซากิคิตสึเนะต้องเป็นจิ้งจอกตอนนั้นแน่ๆเลย ชอบอ่ะ

ชินจิดูออกทั้งพี่ทั้งน้องเลยน้อ

เอย์จิคิดไรอยู่เนี่ยยย :katai1:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
นึกว่าเออิจิโร่คิดกับชินจิเล่นๆซะอีก
เอย์จิคือกลัวชินจิเป็นอันตรายหรอเลยคิดว่าทำตัวห่างเหินไว้ดีกว่าไม่อยากให้คนที่รักต้องเจ็บงี้เรอะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 14

        “อยู่ที่นี่เอง หาตั้งนาน”
        เอย์จินิ่วหน้าอย่างจงใจเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝดโผล่เข้ามายืนยิ้มเผล่อยู่ใกล้ ๆ เขาอุตส่าห์หลบมาที่โรงซ้อม ตั้งใจว่าจะยิงธนูสักพักเพื่อรวบรวมสติที่มันกระเจิดกระเจิงให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ดูสิ เจ้าพี่ชายของเขาก็ยังตามมากวนใจอีกจนได้
        “มีธุระอะไร” เขาถามเสียงห้วน
        “เปล๊า...” พี่ชายปฏิเสธเสียงสูง หากมิวายแกล้งหยอดว่า “ฉันแค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ ว่าวันนี้ได้ไปเดตกับชินจิคุง”
        ลูกธนูที่เอย์จิยิงออกไปกระทบกับขอบของเป้าฟางจนฉีกขาดออก ก้านธนูที่ทำจากไม้ไผ่หักออกเป็นสองท่อน เออิจิโร่มองตาม เป่าปากหวือ แววตาของเขาพราวขึ้นมาเหมือนเห็นของสนุก เอย์จิลดคันธนูลง
         “ไปไหนกันมาล่ะ” ชายหนุ่มถาม พยายามบังคับเสียงให้เรียบที่สุดขณะที่ส่งธนูดอกใหม่ขึ้นพาดสาย ไม่แสดงว่าอยากรู้ ทั้งที่ในใจกำลังร้อนรุ่ม
         เออิจิโร่ยิ้มกริ่ม
         “ฉันพาชินจิคุงไปหามินามิโนะซัง ไปดูเขาประกอบเกี้ยวมิโคชิกัน ชินจิคุงชอบมากเลย มินามิโนะซังแกะสลักนกหงส์ไฟให้ชินจิคุงด้วย ฉันก็เลยได้โอกาส สารภาพรักกับชินจิคุงไปแล้วเรียบร้อย”
         เอย์จิชะงัก แต่เขายั้งมือไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มปล่อยลูกธนูทั้งที่ยังน้าวสายได้ไม่เข้าที่ หูของเขาลั่นเปรียะและข้างแก้มก็รู้สึกเจ็บแปลบปลาบ
         สองพี่น้องฝาแฝดประสานสายตากัน
         “นายเลิกพูดจาเหลวไหลสักที” เอย์จิพูดเสียงขุ่น และตอนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถตั้งสติยิงธนูได้อีกแล้ว
         “ฉันไม่ได้พูดเล่น ฉันสารภาพรักกับชินจิคุงไปแล้วจริง ๆ ตอนนี้ก็รอคำตอบอยู่ แต่ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะปฏิเสธนะ ดูจากที่เขาสัญญาว่าจะดูแลรักษานกหงส์ไฟเป็นอย่างดี”
              “หมอนั่นต้องไม่รู้แน่ว่านกนั่นหมายความว่ายังไง”
              “รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ฉันบอกชินจิคุงเองว่านกหงส์ไฟสุซะคุเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของฉัน รุ่นน้องนายก็มีท่าทีเต็มใจมากที่จะรับมันไป” เออิจิโร่แกล้งเน้นเสียง และปฏิกิริยาของน้องชายก็เป็นเหมือนที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด เอย์จิจ้องเขาเหมือนอยากจะบีบคอเขาให้ตายเต็มแก่
              “ทำยังงี้ต้องการอะไร แล้วรุกะล่ะ นายคิดบ้าอะไรอยู่”
              “ฉันก็แค่ทำตามใจตัวเอง ฉันชอบชินจิคุงฉันก็พูด ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ”
              “เห็นแก่ตัว” เอย์จิกัดกรามกรอด ทิ้งคันธนูในมือลงบนพื้นอย่างไม่แยแส ถุงมือหนังก็ถูกถอดออกแล้วขว้างทิ้งไปเช่นกัน อารมณ์ของเขากำลังพลุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่แล้ว
              เออิจิโร่ตั้งการ์ด
              “เราไม่ได้ชกกันมานานแล้วนะ ได้ออกกำลังสักหน่อยคงทำให้หายเครียดได้เยอะ” พี่ชายฝาแฝดพูดขึ้นพลางกวักมือท้า “เข้ามา เอย์จิ ฉันไม่ยอมแพ้นายหรอก”
              ทั้งสองคนประจันหน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ แต่แล้วก็ลดมือลงแทบจะพร้อมกัน เออิจิโร่ยิ้มหม่น
              “ไม่มีท่านแม่คอยเป็นกรรมการนี่ไม่ดีเลย หมดอารมณ์ ไม่อยากจะชกแล้ว”
              “ถ้าท่านแม่ยังอยู่ท่านต้องว่าแน่ ๆ เป็นผู้ใหญ่กันแล้วยังชอบทำตัวเหลวไหล ไม่พอใจอะไรก็ชกกัน ทำไมไม่คุยกันดี ๆ” รอยยิ้มของเอย์จิหมองไม่แพ้พี่ชาย
              ท่านแม่พูดแบบนั้นตลอดเวลานั่นแหละ แต่ท่านก็อยู่ด้วยตลอดจนพวกเขาต่อยกันจนพอใจและหันหน้ามาปรับความเข้าใจกันในท้ายที่สุด แม้ว่าสองพี่น้องจะมีเรื่องไม่เข้าใจกันมากมาย แต่เมื่อมีท่านแม่อยู่ด้วย เรื่องพวกนั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พอผ่านไปก็ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจอีก
              ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน แล้วเออิจิโร่ก็ตบไหล่น้องชายอย่างแรง สารภาพว่า
              “รุ่นน้องนายหักอกฉัน”
              “ก็คิดไว้อยู่แล้ว” เอย์จิจุดยิ้มที่มุมปาก หน้าชื่นขึ้นทันตาจนผู้เป็นพี่ชายหมั่นไส้ติดหมัดขึ้นมาทันที
              “เฮอะ ทีเมื่อกี้ล่ะก็ใครไม่รู้โกรธจนควันจะออกหู ไอ้เราก็นึกว่าจะโดนคันธนูฟาดหัวเอาซะแล้ว ให้ตายเหอะ ทำหน้าน่ากลัวชะมัด”
              “อยากพูดเล่นไม่เข้าเรื่องทำไมล่ะ”
              “เห็นนายโมโหแล้วมันสนุกดีนี่ หึงจนออกนอกหน้าขนาดนั้น น่ายั่วเล่นจะตาย”
              “พอเถอะ” เอย์จิรีบปรามเมื่อพี่ชายฝาแฝดของเขาทำท่าจะพูดเรื่อยเปื่อยออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว เออิจิโร่เปลี่ยนมามองน้องชายด้วยสายตาจริงจัง ถามว่า
              “นายชอบชินจิคุง ทำไมนายไม่พูดออกไปล่ะ กลัวอะไรนักหนา หรือว่ายังติดใจเรื่องเมื่อสมัยเด็กอยู่อีก”
              เอย์จิไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นชัดเจน คนเป็นพี่ชายได้แต่ส่ายหน้า บ่นว่า
              “ฉันคิดว่าเราสองคนโตพอที่จะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้แล้วเสียอีกนะ ฉันเลือกชีวิตของฉันแล้ว นายเองก็เหมือนกัน ทำไมยังต้องคิดมากเรื่องนั้นอยู่อีก คำพูดของท่านพ่อก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปใส่ใจก็ได้นี่”
              “ฉันอยากปกป้องชินจิได้”
              “แล้วรุ่นน้องนายต้องการแบบนั้นเหรอ”
              คำพูดของพี่ชายสะกิดใจชายหนุ่ม เอย์จินิ่งคิด
              “ชินจิคุงน่ะเห็น ๆ อยู่ว่าฉันดีกว่านายทุกอย่าง เก่งกว่า ได้รับการยอมรับมากกว่า หล่อกว่าด้วย หมอนั่นยังปฏิเสธฉันหน้าตาเฉย แถมพูดให้ช้ำใจเสียอีกว่านายน่ะใจดีอย่างโน้นอย่างนี้ อยู่ด้วยแล้วอบอุ่นมั่นคงสารพัด เฮ้อ พูดแล้วก็เซ็งจริงโว้ย ไม่อยากได้ยินใครชมนายต่อหน้าฉันเลย ให้ตาย” เออิจิโร่บ่นพึม
              “ชินจิพูดยังงั้นเหรอ”
              “ดีใจล่ะสิ คราวนี้ก็ลองใช้สมองของนายไตร่ตรองดูเองก็แล้วกันว่าชินจิคุงต้องการคนที่ปกป้องเขาได้หรือคนที่รักเขามากกว่ากันแน่”
              น้องชายฝาแฝดยังคงนิ่งเงียบ เออิจิโร่ถือโอกาสพูดต่อว่า
              “แต่ฉันยังไม่ได้พูดนะว่าจะตัดใจจากชินจิคุง ระวังให้ดีเถอะ ฉันจะทำให้ชินจิคุงเปลี่ยนใจแล้วจะแย่งมาให้ได้เลย”
              เอย์จิมองหน้าพี่ชายทันที อีกฝ่ายจึงหัวเราะเบา ๆ พอใจที่ยั่วแหย่น้องชายได้อีกครั้ง เออิจิโร่ตบไหล่น้องชายแรง ๆ ไปอีกทีก่อนจะเดินออกไปจากโรงฝึก ทิ้งให้เอย์จิได้มีเวลาคิดทบทวนสิ่งที่เขาพูด
              เออิจิโร่คิดถึงท่านแม่ของเขา
              ความจริงเขาไม่ใช่คนดีเท่าไรนักหรอก ไม่ได้เป็นพี่ชายที่ดีที่รักและเป็นห่วงความรู้สึกของน้องชายมากไปกว่าความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง ถ้าเขาเป็นคนดีกว่านี้ เขาคงจะไม่หมั้นหมายกับรุกะและทำให้น้องชายต้องเสียใจแบบนั้น เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลและลืมตัวได้ง่ายดาย แต่เพราะมีท่านแม่ทำให้เขาไม่หลงเดินทางผิด ท่านแม่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าความเป็นสายเลือดเดียวกันนั้นพิเศษและสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ
               วันนี้เขายังคงเป็นพี่ชายที่ไม่ดีนัก แต่เขายอมรับความจริงได้และเขาจะช่วยน้องชายของเขา

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               ภูเขามิคามิยังคงส่งเสียงดนตรีล่องลอยมาตามสายลม เสียงขลุ่ยชาคุฮะจิผสานกับเสียงโคโตะเป็นท่วงทำนองที่กระแทกกระทั้นชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่าย
               เพลงบรรเลงอันรวดเร็วได้ยินอย่างชัดเจนภายในบริเวณซันโนะมะรุของปราสาทสีขาวฮะคุริว
               การาสุเท็นงูคุโรบะยืนตัวลีบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องกว้าง  ผนังด้านหลังตัวเขาตัดเป็นช่องรูปวงกลมขนาดใหญ่กรุด้วยกระจกสีต่าง ๆ เป็นลวดลายรูปดอกกุหลาบ เพดานของห้องนั้นสูงและโค้ง ที่เสาทุกต้นติดโคมไฟสี่เหลี่ยมสีดำตกแต่งด้วยลวดลายอ่อนช้อย
               เสียงดนตรีจากส่วนในสุดของปราสาทซอกซอนเข้ามาถึงในห้องนี้และปะทะกับเสียงกลองให้จังหวะที่ดังอยู่ก่อนแล้ว คุโรบะเหงื่อผุดซึมขึ้นมาตามไรผมขณะที่ฟังเสียงทั้งสองดังขัดกัน ดวงตาสีดำของเขากลอกกลิ้งไปมาด้วยความกระวนกระวาย ใบหน้าของเขายังมีรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นเช่นเดียวกับร่องรอยการต่อสู้บนร่างกายที่เห็นโดดออกมาจากรอยสักสีดำ
               ตรงกลางห้องอันกว้างขวาง ร่างสะโอดสะองของอาคางิกำลังเต้น อสูรผมสีแดงสวมกางเกงผ้าสีเข้มตัวเดียว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเห็นมัดกล้ามสวยงามอาบด้วยเม็ดเหงื่อ แขน หัวไหล่ เอวและขาขยับตามจังหวะเสียงกลอง เป็นภาพการเคลื่อนไหวที่แข็งแรงและมีพลัง เยื้องไปทางด้านหลังยังมีร่างของอสูรอีกสองตน ไทมะซึมะรุและริคิมะรุไม่สวมเสื้อ สวมแค่กางเกงผ้าตัวเดียว ต่างขยับร่างกายของพวกเขาเต้นไปพร้อมกับอสูรที่เป็นผู้นำอย่างคล่องแคล่ว
               ทั้งสามตนยังเต้นต่อไปแม้ว่าจะมีเสียงจากภายนอกดังเข้ามารบกวนจังหวะกลอง แต่ก็ฝืนได้ไม่นานเพราะเสียงเครื่องดนตรีทั้งสามชนิดดังตีกันจนฟังขัดหูและน่าหงุดหงิด
               อาราชิในชุดสูทสีดำหยิบถาดเงินใส่ผ้าขนหนูขยับจะเดินเข้าไปหาอสูรทั้งสามที่หยุดเต้นกลางคัน แต่ถูกตัดหน้าเสียก่อนโดยคะมิกิ อสูรผมสีเขียวใส่หมวกไหมพรมคว้าผ้าจากในถาดแล้วตรงรี่เข้าไปหาอาคางิ ยื่นผ้าขนหนูให้ด้วยท่าทีประจบประแจง รอยยิ้มเปิดกว้างจนตาหยีเป็นเส้นโค้ง อาราชิจึงหันไปบริการอสูรอีกสองตนแทน
               “ดูเจ้าจะอยู่ไม่เป็นสุขสักเท่าไหร่เลยนะคุโรบะ” อาคางิรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อ แต่ไม่ได้สนใจคนที่นำมาให้ กลับไปทักอสูรอีกตนแทน คะมิกิตวัดสายตาค้อนควักการาสุเท็นงูด้วยความริษยา
               คุโรบะไม่ดีใจเลยที่ได้รับความสนใจจากผู้นำอสูรเกิดใหม่ เพราะนั่นแสดงว่าอะไรที่เกิดขึ้นย่อมไม่พ้นสายตารับรู้ของอาคางิ คุโรบะมีความลับและเขาไม่อยากให้ใครล่วงรู้
                “ท่านมิโคโตะไม่พอใจ” อสูรหนุ่มเอ่ยเสียงเบา
                “อย่าปอดแหกไปหน่อยได้ไหม” ริคิมะรุพูดแทรกขึ้นมา ขว้างผ้าขนหนูที่ใช้แล้วกลับลงไปในถาด
                “กะอีแค่ข้าลองกำลังถอนต้นไม้เล่นไปสี่ซ้าห้าต้น เจ้าพวกมนุษย์ต่างหากที่ผิดที่สร้างเส้นทางถนนเกะกะกีดขวางอยู่ในภูเขา”
                “ยังมีเรื่องของชิโนซากิคิตสึเนะอีกเรื่องหนึ่ง” คุโรบะโต้
                “พอ เลิกเถียงกัน” อาคางิยกมือขึ้นห้าม หูข้างหนึ่งของเขากระดิก แล้วก็ยิ้มหยันออกมา “ภูตรับใช้จากมิโคโตะมารออยู่ที่ประตูด้านหน้าแน่ะ อาราชิ เจ้าไปดูซิว่าท่านมังกรขาวของเราต้องการอะไร”
                ร่างสูงในชุดสูทก้มศีรษะรับคำสั่งโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ส่วนอสูรตนอื่น ๆ เริ่มไหวตัว ไทมะซึมะรุก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยว่า
                “ท่านมิโคโตะต้องเรียกพวกเราไปไต่ถามแน่”
                “ก็ให้ถามไป” อาคางิรับเสื้อแจ็กเก็ตแขนยาวจากคะมิกิมาสวม ท่าทีมั่นใจ ไร้ความกริ่งเกรงใด ๆ
                อาราชิกลับเข้ามารายงานว่ามิโคโตะมีบัญชาให้เข้าพบดังที่มีการคาดการณ์กันไว้จริง ๆ อาคางิออกคำสั่งให้ไทมะซึมะรุ ริคิมะรุและอาราชิไปกับเขา
                มังกรขาวมิโคโตะไม่ได้อยู่ในห้องโถงกลางเหมือนครั้งที่แล้ว ภูตรับใช้นำทางอสูรทั้งสี่ไปยังห้องด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่สำหรับฝึกซ้อมประลองกำลังกันในหมู่อสูรและภูตพรายแห่งฮะคุริว ภายในห้องโล่ง ๆ ที่กว้างใหญ่นั้นไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรยกเว้นฉากกั้นห้องที่มีความยาวเท่า ๆ กับผนัง บนฉากเป็นภาพเขียนสีเรื่องราวการต่อสู้ของมังกรขาวและมังกรแดงจนนำไปสู่การถือกำเนิดทะเลสาบบิวะ บนเพดานติดโคมไฟกระดาษรูปทรงกลมสีขาวเรียงเป็นแถวไปตลอดแนวความยาวของห้อง
เบื้องหน้าฉากกั้น มิโคโตะนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง เจ้าผู้ครองขุนเขาสวมกิโมโนฟุริโซเดะสีขาวนวลมีลวดลายนูนอยู่ในเนื้อผ้าต่างเสื้อคลุมยาวทับกางเกงหนังและรองเท้าบู๊ตยาวครึ่งแข้งสีดำ กำลังบรรเลงโคโตะประสานกับขลุ่ยชาคุฮะจิที่มุราซากิเป็นผู้เป่า มือของมิโคโตะขยับไปมาอย่างรวดเร็วดีดสายโคโตะเป็นจังหวะกระแทกกระทั้น
                อาคางิกับอสูรอีกสามตนเดินเข้ามานั่งลงบนเบาะรองนั่งที่ภูตรับใช้จัดไว้ให้เบื้องหน้าผู้เป็นประมุขของปราสาทฮะคุริว
                อสูรผมสีแดงไม่ใส่ใจเสียงดนตรีชวนอึดอัด ดวงตายาวรีของเขากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ข้างกายของมังกรขาวไม่เคยขาดอิบุกิ อสูรอสรพิษหน้าเชิดที่ปรายหางตามามองด้วยท่าทางหยิ่งผยองเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในห้อง และเมื่อมีอิบุกิก็ต้องมีวาคานะ อสูรผู้มีดวงตาสีเขียวอมฟ้าเผยให้เห็นเพียงแค่ข้างเดียว แต่อสูรทั้งสองตนรวมทั้งมุราซากิที่มีผ้าพันแผลสีขาวพันแขนข้างหนึ่งไม่อยู่ในสายตาของอาคางิ สายตาคมกริบของเขาจับจ้องอยู่ที่อสูรอีกตนซึ่งอยู่ในห้องนั้นด้วย อสูรผู้นั้นมีผมหยักศกสีบลอนด์ทองตัดสั้น สวมเสื้อสีขาวติดลูกไม้แขนเสื้อกว้างจับจีบรูดที่ข้อมือ กางเกงหนังแนบเรียวขาสีเข้มและรองเท้าบู๊ตสั้น ที่เอวคาดกระบี่สีเงินเล่มยาว
                “ท่านคามินาริ เสร็จภารกิจแล้วหรือถึงได้กลับคืนสู่ฮะคุริว”
                คำถามของอาคางิที่ดังแทรกเสียงดนตรีขึ้นมาทำให้มิโคโตะและมุราซากิยุติการเล่นเครื่องดนตรีของตนลง ขณะเดียวกับที่อสูรสายฟ้าผู้มีนามว่าคามินาริคอแข็งขึ้นมาในทันทีและพื้นนิสัยที่เป็นผู้มีอารมณ์ร้อนอยู่แล้วทำให้ตวาดเสียงแข็ง
                “เจ้าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามต่อข้า เจ้าอสูรเกิดใหม่ผู้โอหัง”
                “ข้าไถ่ถามก็ด้วยความอยากรู้และเป็นห่วงว่าท่านจะหาลูกแก้วคันจุเจอหรือไม่ แต่วัดจากอารมณ์ฉุนเฉียวของท่านในตอนนี้แล้ว ภารกิจของท่านคงล้มเหลวสินะ”
                น้ำเสียงที่แฝงความเยาะหยันอยู่ลึก ๆ ภายใต้ท่าทีสุภาพยั่วอารมณ์อสูรสายฟ้าให้โกรธกรุ่นขึ้นมาทันที และถ้าท่านมิโคโตะไม่ยกมือขึ้นห้าม ป่านนี้กระบี่ในมือของเขาก็คงจะพุ่งทะลวงเข้าไปในปากช่างเจรจาของเจ้าอสูรผมแดงนั่นแล้ว
                “ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าก็จะบอกให้” มังกรขาวเอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีความขุ่นเคืองใจแม้ว่าเสียงเพลงของเขาจะถูกอสูรตรงหน้าที่กำลังยิ้มหวานทำลายลงกลางคันก็ตาม
                “ลูกแก้วคันจุยังคงสาบสูญ ทั้งมนุษย์และอสูรยังไม่มีผู้ใดค้นเจอ แล้วเจ้าล่ะ อาคางิ ได้ร่องรอยอะไรหรือไม่ว่าคาโตดะซ่อนลูกแก้วเอาไว้ที่ไหนก่อนที่จะตาย”
                “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่ได้รับคำสั่งให้ตามหาลูกแก้วคันจุเสียหน่อย” อาคางิปฏิเสธเสียงใส ใบหน้าขาวซีดของเขาประดับด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์ ท่าทางของเขาขัดนัยน์ตาอสูรผู้มีอาวุโสกว่าเหลือเกิน ใบหน้าที่เชิดอยู่แล้วของอิบุกิยิ่งเชิดขึ้น วาคานะก็จ้องเขม็งมาด้วยดวงตาข้างเดียวสีแปลกตาของเขา แต่ไม่สามารถอ่านอะไรจากอาคางิได้เลย อสูรผมสีแดงซ่อนทุกอย่างไว้มิดเม้นภายใต้ท่าทางสุภาพอ่อนน้อม
                “อย่างนั้นหรอกหรือ” มิโคโตะออกปากรับรู้ แต่ดวงตาคมกล้าของเขาฉายแววรู้เท่าทัน
                “ข้าก็นึกว่าการที่เจ้าส่งคุโรบะกับพรรคพวกออกไปนอกเขตแดนทุกวันนี้ เจ้าทำไปเพราะต้องการช่วยค้นหาลูกแก้วคันจุเสียอีก”
                “ข้าจะทำอะไรเกินเลยอย่างนั้นได้เช่นไร” อาคางิส่ายหน้าน้อย ๆ “และการที่พวกนั้นออกไปยังโลกภายนอกก็ไม่ใช่ด้วยคำสั่งของข้า แต่ข้าคิดว่าข้าพอจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใด โลกภายนอกกว้างใหญ่ เปรียบเทียบกันแล้วภูเขามิคามินั้นคับแคบยิ่งนัก อสูรพวกนั้นย่อมต้องการจะออกไปจากเขตแดนที่เหมือนกรงขัง ไปสู่อิสรภาพอันกว้างใหญ่ ข้าพูดจริงหรือไม่ ริคิมะรุ”
                 “จริงที่สุด ท่านอาคางิ” อสูรตัวใหญ่สนองตอบทันทีด้วยความกระตือรือร้นเหมือนรอคอยเวลานี้มานานแล้ว ริมฝีปากของริคิมะรุแสยะออกให้เห็นเขี้ยวขาว ก่อนจะกล่าวต่อว่า
                 “ข้าอึดอัดที่จะต้องอยู่แต่ในภูเขานี่เต็มทีแล้ว พลังของข้าต้องถูกกดเก็บเอาไว้ มันช่างน่ารำคาญใจยิ่งนัก ถ้าออกไปข้างนอก ข้าก็จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่”
                 “เพราะแบบนี้เจ้าก็เลยอาละวาดพังป่าทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั้งภูเขาเมื่อวันก่อนอย่างนั้นละสินะ”
                 “ข้าก็แค่ถอนต้นไม้ขว้างเล่นไปตามประสา” ริคิมะรุต่อปากต่อคำ “บังเอิญพลังของข้ามากเกินไปหน่อยเท่านั้น”
                 เสียงฮึ่มฮั่มฮึดฮัดดังขึ้นทันทีจากบรรดาอสูรที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายและขวา มิโคโตะต้องยกมือขึ้นห้ามอีกครั้ง เสียงเหล่านั้นจึงหายไป
                 “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะมีพลังเหลือล้นแค่ไหน สิ่งที่ข้าสนใจคือพวกเจ้าต้องควบคุมตนเอง ภูเขามิคามิไม่ได้คับแคบ ไม่ใช่กรงขัง แต่คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หากอสูรหรือภูตพรายตนใดคิดว่าไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ของฮะคุริวได้ก็บอกมา ข้า...” ดวงตาของมิโคโตะวาวจ้าขึ้น ฉากกั้นและโคมไฟบนเพดานเริ่มสั่น ห้องทั้งห้องเหมือนมีมือยักษ์จับเขย่า
                 “มิโคโตะจะเป็นผู้พิจารณาโทษของมันผู้นั้นเอง!”
                 อสูรทั้งหลายมีท่าทีครั่นคร้ามต่อแรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างกายของประมุขแห่งขุนเขา แม้แต่อสูรทั้งสามตนข้างอาคางิก็ยังนั่งไม่ติด คงมีแต่หัวหน้าของพวกเขาเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งได้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กระนั้นอสูรผมแดงก็มีเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชุ่มเพราะต้องใช้พลังเข้าต่อต้านเพื่อให้ยังสามารถนั่งตัวตรงอยู่ได้
                 อาคางิกัดฟันกรอด พลังของเขาสู้มิโคโตะไม่ได้จริง ๆ ถ้าเพียงแต่มีลูกแก้ววิเศษลูกใดลูกหนึ่งหรือสามารถทำลายเขตแดนเพื่อปลุกมังกรแดงขึ้นมาได้ล่ะก็...
                 ดวงตายาวรีมองผ่านร่างของมิโคโตะไปจับอยู่ที่ภาพเขียนสีบนฉากกั้นห้อง
                 ฮิเดะซึงุ มังกรแดงผู้มีพลังทัดเทียมกับมังกรขาว
                 แต่เขตแดนของมนุษย์ก็มีพลังยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชิกิงามินำสาส์นก็สามารถทำให้แขนของอสูรผู้พิทักษ์มุราซากิถึงกับไหม้เกรียมจนต้องใช้ผ้าพันเอาไว้ แล้วนี่คือเขตแดนที่สร้างขึ้นจากพลังทั้งหมดของนักปัดรังควานผู้เป็นบรรพบุรุษ มันต้องมีพลังมากกว่าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า
                 อาคางิสะกดกลั้นความโกรธจนกระทั่งได้กลับมาอยู่ท่ามกลางเหล่าอสูรฝ่ายของตนอีกครั้ง ความโกรธนั้นจึงระบายออกด้วยการทุบทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตา ท่าทางที่เคยอ่อนน้อม สดใส สุภาพ หายไปจนหมด
                “อยู่ร่วมกันอย่างสันติ! โธ่เอ๊ย ก็แค่กลัวพวกมนุษย์เท่านั้นหรอก คิดว่าข้าดูไม่ออกรึยังไง!” อาคางิกำหมัดชกเข้าใส่หน้าต่างกระจกสีลายกุหลาบจนกระจกร่วงกราว
                ในยามที่อสูรผมแดงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ มีเพียงแค่ไทมะซึมะรุเท่านั้นที่ไม่ระย่อต่อพลังที่เหนือกว่า อสูรผมสีบลอนด์จางถอดแว่นกรอบสีดำที่สวมอยู่ฝากอาราชิเอาไว้ สลัดฮู้ดคลุมศีรษะออก แล้วก้าวเข้าไปหา
                “อย่าโมโหไปเลยท่านอาคางิ ข้าคิดว่าเราอาจจะมีทางทำลายอาณาเขตของมนุษย์ที่ป้องกันมังกรแดงได้”
                อาคางิหันขวับมาทันที กระชากเสียงถาม
                “จะทำได้ยังไง”
                “ใช้มนุษย์ทำลายเขตแดน” ไทมะซึมะรุตอบ แล้วเมื่อเห็นสายตากราดเกรี้ยวของอีกฝ่ายอ่อนลงและมีท่าทีสนใจ เขาก็อธิบายต่อ
                “มีมนุษย์คนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะทำได้ มนุษย์คนนี้ผ่านเข้าออกเขตแดนของอสูรได้โดยไม่เป็นอันตราย พลังของริคิมะรุหรือแม้แต่หมอกของมาซาคาโดะยังไม่อาจแม้แต่จะเข้าไปแผ้วพานได้เลย มนุษย์คนนั้นชื่อชินจิ”
                คุโรบะขนลุกเกรียวขึ้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อของมนุษย์ออกมาจากริมฝีปากของอสูรนกคบไฟ
                มนุษย์คนนั้นทำได้แน่ล่ะเพราะมีเขาเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าคาโตดะให้ลูกแก้วคันจุแก่มนุษย์คนนั้นก่อนตาย เขาพยายามปกปิดเรื่องนี้มาโดยตลอดและรู้สึกโล่งใจที่มนุษย์ผู้นั้นอยู่ในความคุ้มครองของฝ่ายนักปัดรังควานแล้ว ทว่ามนุษย์คนนั้นก็กลับกลายมาเป็นเป้าหมายของอสูรพวกนี้จนได้ ถ้าลูกแก้วคันจุถูกค้นพบ การตายของคาโตดะก็จะสูญเปล่า
                “พวกท่านอย่ายุ่งกับมนุษย์คนนั้นเลย!” การาสุเท็นงูพูดแทรกขึ้นอย่างร้อนรน
                “เจ้ามีเหตุผลอะไร” อาคางิหรี่ตา
                “ชินจิคนนี้เป็นสหายสนิทของลูกชายนักปัดรังควานแห่งศาลเจ้าอินาริ แล้วก็เป็นคนนี้แหละที่ชิโนซากิคิตสึเนะถูกใจจนปวารณาตัวเป็นผู้ปกป้อง ถ้าเราแตะต้องเขาก็เท่ากับว่าเราเปิดศึกสองด้านทั้งกับมนุษย์และจิ้งจอกขาว”
                “แต่มันก็น่าลองไม่ใช่รึ” อาคางิไม่สนใจเหตุผลของอีกฝ่าย ความทะนงตนจนไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาทำให้มองแต่สิ่งที่ตนปรารถนา
                “ถ้ามนุษย์ผู้นั้นทำลายเขตแดนให้เราได้ เราก็จะได้มันจุและพลังของฮิเดะซึงุมาครอบครอง คราวนี้ก็ไม่ต้องหวั่นไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนก็ตาม”
                “ข้าขออาสาเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาให้ท่านเอง” คะมิกิเสนอตัวทันทีเหมือนกับทุกครั้งที่พยายามจะเอาอกเอาใจอสูรผู้เป็นที่รัก
                “ข้าคิดว่าวันงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงของมนุษย์เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือ วันนั้นจะมีผู้คนมากมายพอที่จะแฝงตัวเข้าไปได้ แล้วเราก็จะสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในงาน พอสบโอกาสก็ลักพาตัวมนุษย์ที่ชื่อชินจิมา จากนั้นก็ถึงเวลาปลุกมังกรแดง” ไทมะซึมะรุวางแผน
                 อสูรนกคบไฟดีดนิ้วเป็นสัญญาณ อาราชิเดินออกไปนอกห้องอย่างเงียบ ๆ จากนั้นกลับมาพร้อมกับรถเข็นคันหนึ่งที่มีผ้าสีขาวผืนใหญ่คลุมอยู่อย่างมิดชิด
                 “ข้าได้เตรียมสิ่งนี้ไว้เพื่อทำลายงานของพวกมนุษย์” อสูรผมสีบลอนด์จางพูด หน้าสวยเหมือนผู้หญิงของเขาเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม
                 อาคางิเปิดผ้าออก สิ่งที่ได้เห็นทำให้หัวเราะออกมาด้วยความพอใจ
                 “ดะชิคาระคุริ”
                 “ตุ๊กตากลไกพวกนี้เคลื่อนไหวได้โดยใช้โลหิตของมนุษย์เป็นพลังงานขับเคลื่อน พวกมันกระหายเลือดมากและมุ่งสังหารแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานที่พวกมันต้องการ”
                 “ข้าอยากเห็นจริง ๆ ว่ามันจะน่าสยดสยองสักแค่ไหน” อาคางิยิ้มเยื้อน “ตุ๊กตากลไกที่เคยให้ความสำราญกลับกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสยองขวัญที่อสูรมอบให้แก่มนุษย์”
                 “เราต้องรอจนถึงวันงานเชียวหรือท่านอาคางิ ถ้าข้าจะลงมือชิงตัวมนุษย์คนนั้นก่อนหน้าวันงานเล่า”
                 ซึชิกุโมะถูไม้ถูมืออย่างหมายมั่น ดวงตาของอสูรผมสีฟ้าวาววับและเต็มไปด้วยความถือดี แค่ชิงตัวมนุษย์คนเดียว เขาไม่คิดว่าจะเป็นงานยากหรือต้องวางแผนวุ่นวายอะไรเลย
                 “ถ้าพวกเจ้าสบโอกาสก่อนหน้าวันงานก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้ใครรู้ว่าเป็นฝีมือของพวกเรา มันจะกระทบกับแผนการปลุกชีพฮิเดะซึงุ”
                 อสูรทั้งหลายมีท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นทันทีเมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นหัวหน้า คงมีแต่อสูรผู้กลายร่างเป็นอีกาเท่านั้นที่มีท่าทีต่างออกไป และความหวาดหวั่นไม่สบายใจของคุโรบะนั้นไม่รอดสายตาคมกริบของอาคางิ
                 “เจ้าไม่เห็นด้วยกับแผนการของพวกข้าสินะคุโรบะ”
                 “ข้า... ข้า...” การาสุเท็นงูอึกอักตอบไม่ถูก ไม่กล้ามองสบตาด้วย
                 “ข้าให้เจ้าตามหาคันจุเพราะคิดว่าเจ้าน่าจะเดาใจคาโตดะออกเนื่องจากเป็นการาสุเท็นงูเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเอาแต่ป้วนเปี้ยนใกล้กับเขตแดนชั้นในของมนุษย์”
                 อาคางิขยับเข้ามาใกล้ สองมือยกขึ้นจับต้นแขนของอีกฝ่ายไว้ น้ำเสียงเยือกเย็นของเขาชอนไชเข้าไปภายในหูและแล่นเข้าสู่หัวใจจนทำให้คุโรบะรู้สึกว่าก้อนเนื้อที่หน้าอกข้างซ้ายของเขานั้นจับแข็งไปแล้วด้วยความหวาดกลัว
                 “ใช่แล้ว ข้าจับตาดูเจ้าอยู่ การาสุเท็นงูคุโรบะ ข้าไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเจ้าวางแผนจะทำอะไร แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะฉลาดพอที่จะไม่ทรยศข้า”
                 มือสองข้างของอาคางิบีบแน่น
                 “เจ้าเห็นตัวอย่างมาแล้ว ใครที่มันทรยศข้าจะต้องพบจุดจบอันน่าอนาถเช่นเดียวกับคาโตดะ!”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
             โครม! เคร้ง!
             โอซามุกับอิซึมิหันมามองหน้ากันทันที แล้วค่อย ๆ เหลียวมองไปยังต้นเสียง ซึ่งก็คืออ่างล้างจานภายในห้องนั่นเอง ชินจิยืนอยู่ตรงนั้น กำลังล้างจาน... กระมัง
        พนักงานคนใหม่ของเรียวกังจับถาดที่มีจานชามใส่อาหารเทโครมลงไปในอ่าง เอาฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานตั้งหน้าตั้งตาขัดถ้วยชามอย่างเอาเป็นเอาตาย ปากเม้มแน่น ล้างเสร็จก็คว่ำลงบนตะแกรงเสียงดัง
        สองพี่น้องกลืนน้ำลาย ขยับจะอ้าปากพูด แต่ก็ปิดฉับ เมื่อถ้วยอีกใบถูกวางตามลงไปดังเคร้ง แล้วก็อีกใบ.. กับอีกใบ.. อิซึมิทำคอย่นด้วยความเสียวไส้
        ชินจิกำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อเห็นรุ่นพี่ของเขาสะบัดหน้าเดินหนีไปแบบนั้น เอย์จิโกรธเขาก็พอเข้าใจ แต่เล่นคิดเองเออเอง ไม่ถามอะไรเขาสักคำ อย่างนี้มันใช้ไม่ได้เลย!
        ฮึ่ย! มันน่าโมโหสุด ๆ!
        ชายหนุ่มเทถาดถ้วยชามลงไปอีกโครม
        โอซามุกับอิซึมิยื่นมือออกมา ปากอ้าพะงาบจะห้ามปราม แต่ไม่มีเสียงออกมา ขณะนั้นเอง ประตูครัวก็เปิดออก รุกะในชุดยูกาตะสีฟ้าเดินเข้ามา หน้าตาเรียบนิ่ง
        ว่าที่โอะคะมิซังมองชินจิอย่างไม่ชอบใจ ปรามด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า 
         “พอได้แล้ว ชินจิซัง”
         ชายหนุ่มสะดุ้ง หันกลับมามองอย่างรวดเร็ว
         “ฉันไม่รู้ว่าคุณไปอารมณ์เสียอะไรมา แต่ที่นี่เราไม่ต้องการคนที่ไม่ตั้งใจทำงาน”
         ชินจิก้มหน้างุด รู้สึกผิด
         “ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก”
         “วันนี้คุณไม่ต้องทำงานแล้ว จะไปสงบสติอารมณ์ที่ไหนก็ไป พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงาน หรือถ้าไม่พร้อมจะกลับโตเกียวไปเลยก็ได้” รุกะสำทับ ยิ่งทำให้ชินจิหน้าซีดสลดมากขึ้น เขาโค้งตัวต่ำเพื่อเป็นการขออภัยอีกรอบ แล้วออกไปจากห้องครัวอย่างเงียบ ๆ
         “โดนท่านรุกะดุ หน้าจ๋อยเลยนะชินจิซัง”
         ชินจิยิ้มจืด ๆ ให้ผู้ช่วยหนุ่มของเออิจิโร่ที่ตอนนี้มาช่วยงานอยู่ในเรียวกังอีกคน โฮโจใส่ชุดซามุเอะสีเข้มคลุมทับด้วยเสื้อฮัปปิสีใกล้เคียงกัน ปักชื่อเรียวกังบนขอบสาบเสื้อทั้งสองข้าง ถือกระดาษอะไรสักอย่างแผ่นเล็กอยู่ในมือ
         “ผมทำผิดจริง ๆ นี่” ชายหนุ่มยอมรับ ไม่โกรธรุกะที่ตำหนิเขาอย่างรุนแรงขนาดนั้น แต่เขาเสียใจและโกรธตัวเองมากกว่า
         “เอาเถอะครับ ท่านรุกะเป็นคนเข้มงวด แต่จริง ๆ ก็ไม่มีอะไร ชินจิซังไม่ต้องกังวลไปหรอกนะครับ” โฮโจปลอบ แล้วส่งกระดาษที่ถือติดมือมาให้ บอกยิ้ม ๆ ว่า
         “นี่คงทำให้อารมณ์ดีขึ้นนะครับ ไปรษณีย์เขาเพิ่งเอามาส่งให้”
         ชินจิพลิกกระดาษในมือดูด้วยความสนใจ สิ่งที่โฮโจให้มาคือโปสต์การ์ดแผ่นหนึ่ง มีตัวหนังสือเล็ก ๆ ขยุกขยุยเขียนไว้เต็มพืด แล้วเมื่อเห็นชื่อสามชื่อที่เขียนไว้ตรงท้าย ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาได้
          “ขอบคุณมากนะ”
          “ไม่เป็นไรครับ”
          โฮโจตอบพลางทำท่าจะเดินจากไป แต่ชินจินึกอะไรขึ้นได้ เรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
          “เดี๋ยวก่อนครับ โฮโจซัง คุณเห็นเอย์จิซังไหม”
          “เอ ท่านเอย์จิหรือครับ” โฮโจทำท่าคิด “น่าจะอยู่ที่ริมแม่น้ำมั้งครับ ผมไม่แน่ใจ คุณลองไปดูที่นั่นดูสิ”
          ชินจิเดินไปที่แม่น้ำชิมิซึตามที่โฮโจบอก ลังเลนิดหน่อยว่าจะต้องข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามหรือไม่ แต่คิดไปคิดมา รุ่นพี่ของเขาไม่น่าจะออกไปนอกหมู่บ้าน ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เดินลงบันไดไปที่ตลิ่งและเดินเลาะริมฝั่งแม่น้ำไปเรื่อย ๆ
          เขาไม่ต้องเดินไปไกลมาก เมื่อถึงโค้งแม่น้ำ ตรงที่เป็นเวิ้งเล็ก ๆ พื้นเป็นกรวดละเอียดสีเทาปนน้ำเงินเข้ม บนหินก้อนใหญ่ที่เหมือนม้านั่งธรรมชาติ รุ่นพี่ของเขานั่งอยู่ตรงนั้น กำลังมองเหม่อออกไปไกล เสียงน้ำซัดกระทบหินดังซ่าเบา ๆ ฟองคลื่นสีขาวกระจายไปทุกทิศทาง
          เท้าของชินจิเหยียบกระทบพื้นหินกรวด ทำให้เอย์จิรู้สึกตัว หันมามอง
          “ถ้าผมมารบกวนเอย์จิซัง ผมจะไปเดี๋ยวนี้”  ชินจิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกนิด ๆ สีหน้าแววตาบ่งบอกความน้อยใจเต็มที่
          เอย์จิลุกพรวดขึ้นในวินาทีนั้น ตรงเข้ามารั้งแขนของรุ่นน้องไว้
          “เดี๋ยวสิ”
          “ผมไม่รบกวนคุณหรอกเหรอ”
          “นายไม่เคยรบกวนฉัน”
          “แล้วทำไมเอย์จิซังพูดกับผมแบบนั้น” ชินจิถามเสียงเครือ “ทำไมบอกให้ผมไม่ต้องทำอะไรให้คุณอีก แถมคุณยังโมโหผม โกรธผม ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรทั้งนั้น ทำไมครับ เอย์จิซัง ทำไม”
           เอย์จิถอนหายใจเบา ๆ รั้งตัวรุ่นน้องให้นั่งลงบนข้าง ๆ บนก้อนหิน
           “ฉันขอโทษ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน
           “คุณไม่พอใจผมเรื่องอะไร คุณบอกผมได้ไหม ผมจะได้รู้ แล้วก็จะได้ไม่ทำอีก ถ้าคุณไม่บอก แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าผมทำอะไรผิด” ชายหนุ่มร่ำร้อง แทบอยากจะจับมือรุ่นพี่เขย่า ๆ อยู่รอมร่อ แต่กลัวเอย์จิจะไม่พอใจขึ้นมาอีก
           “ฉันบอกแล้วไงว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือฉันต่างหาก ฉัน...” เอย์จิหยุดพูดไปเสียเฉย ๆ สายตาที่มองรุ่นน้องยังคงมีความวุ่นวายใจและความสับสนแฝงอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่ากับเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขายิ้มอ่อน ๆ ให้รุ่นน้อง เปลี่ยนเรื่องพูดไปเป็นการถามว่า
           “ไปเที่ยวกับเออิจิโร่มาสนุกไหม หมอนั่นบอกว่าพานายไปดูเขาประกอบเกี้ยวมิโคชิ”
           ชินจิรู้สึกขัดใจที่รุ่นพี่พูดไปเรื่องอื่นหน้าตาเฉย แต่เขาก็ยอมตอบโดยไม่โวยวายหรือต่อว่าต่อขานอะไรอีก
           “สนุกครับ เกี้ยวมิโคชิฝีมือประณีตมาก มินามิโนะซังก็ใจดีมาก แกะสลักนกหงส์ไฟให้ผมตัวหนึ่งเป็นที่ระลึกด้วย”
           “อยากไปดูอย่างอื่นนอกจากเกี้ยวมิโคชิไหมล่ะ ฉันพาไปเอง รับรองว่าสนุกกว่าที่เออิจิโร่พานายไปเยอะ”
           ชินจินิ่วหน้าเล็กน้อย เอย์จิคะยั้นคะยอมาอีก
           “เออิจิโร่ให้นกหงส์ไฟกับนาย แต่ฉันจะหาอย่างอื่นให้แทน เคลื่อนไหวได้ด้วย ไม่อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ เหมือนเจ้านกแกะสลักตัวนั้น น่าสนใจกว่าใช่ไหมล่ะ”
           ชินจิยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ รู้สึกงง ๆ ตามไม่ทัน แต่ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี เอย์จิจึงยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด แล้วล้วงเอาอะไรอย่างหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมายื่นให้
            “ซาซาดังโงะ” ชินจิมองขนมที่ห่อด้วยใบไผ่สองสามอันในมือด้วยความแปลกใจ ปกติซาซาดังโงะเป็นขนมในวันเด็กผู้ชายวันที่ห้าพฤษภาคม แต่เดี๋ยวนี้นิยมกินกันทั้งปี รสชาติอร่อย ได้กลิ่นหอมของใบไผ่รวยริน เป็นขนมของญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ชินจิชอบกิน
             “ให้ไว้ก่อนเป็นมัดจำ” เอย์จิพูด หยิบชิ้นหนึ่งมาแกะใบไผ่ที่ห่อขนมอยู่ออก ยื่นส่งให้
             ชินจิอดยิ้มไม่ได้เมื่อรับก้อนขนมสีเขียวคล้ำ ๆ มาจากมือของรุ่นพี่ อารมณ์ของชายหนุ่มดีพอที่จะฮัมเพลงออกมาเบา ๆ
             “นานาสึโนะโกะ” เอย์จิพูด “เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ฉันก็เคยร้องบ่อย ๆ”
             แล้วเสียงของทั้งสองคนก็ดังประสานกัน

                   Karasu naze nakuno
                   Karasu wa yama ni
                   Kawai nanatsu no ko
                   Ga aru kara yo

                   แม่กาเอ๋ย ไยเจ้าจึงร้อง
                   แม่กาเอ่ยตอบว่า
                   เป็นเพราะข้ามีลูกน่ารักเจ็ดตัว
                   อยู่ในภูเขา


                   เสียงเพลงเด็กลอยขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดของต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่มีนกสีดำตัวใหญ่เกาะนิ่งอยู่ เนื้อหาและท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยความหวนไห้คะนึงหาเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของนกตัวนั้น มันโผบินจากกิ่งที่เกาะอยู่พร้อมกับกรีดเสียงร้องแหลม
                   เสียงนั้นฟังออกมาได้เป็นสามพยางค์
                   คา...โต...ดะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 15

        “เอย์จิซังไม่เปลี่ยนใจไปด้วยกันจริง ๆ หรือครับ”
        ชินจิถามอีกครั้ง ระหว่างรอรถบัสเที่ยวเช้าที่จะเข้าเมืองอยู่ที่ป้ายรถบัสใกล้ ๆ กับศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวของหมู่บ้าน มีรุ่นพี่ของเขามายืนรอเป็นเพื่อน
        เอย์จิส่ายหน้า อมยิ้มมุมปาก
        “แต่มานูเอลอุตส่าห์มาจากเยอรมัน อัตสึโตะกับมายะก็เลยอยากนัดกินข้าว ถ้ารุ่นพี่ไปด้วยอีกคน พวกนั้นน่าจะดีใจนะครับ” ชินจิพยายามชวนอีกครั้ง
        ชายหนุ่มได้รับโปสต์การ์ดส่งมาบอกเรื่องมานูเอลมาญี่ปุ่นจากอัตสึโตะกับมายะ สองคนนั้นเลยอยากนัดกินข้าวสังสรรค์กันเพื่อต้อนรับคนรักร่างใหญ่ของอัตสึโตะ แต่เพราะเขาอยู่ในหมู่บ้าน นอกเขตพื้นที่สัญญาณโทรศัพท์ ทำให้โทรศัพท์มือถือใช้ไม่ได้ ทั้งสองคนจึงต้องเขียนเป็นโปสต์การ์ดมาแทน
        “ฉันยังมีงานต้องทำ นายไปนั่นแหละดีแล้ว ฝากสวัสดีเจ้าพวกนั้นแทนฉันด้วย”
        “ว่าแต่ให้ผมหยุดงานไปเที่ยวแบบนี้จะดีหรือครับ” พูดถึงเรื่องงาน ชายหนุ่มก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเพิ่งโดนว่าที่โอะคะมิซังดุเรื่องไม่ตั้งใจทำงานมาหมาด ๆ วันนี้หยุดอีกแล้ว แถมเหตุผลยังแค่เรื่องไปกินข้าวกับเพื่อนเท่านั้นเอง ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่ไป แต่พอพี่น้องฝาแฝดรู้เข้าก็อนุญาตให้ไปทันที แถมยังสนับสนุนให้ค้างที่โตเกียวคืนหนึ่งด้วยซ้ำเพื่อจะได้ไม่ต้องรีบไปรีบกลับ เล่นเอารุกะค้อนชายหนุ่มรุ่นน้องของเอย์จิอยู่ขวับ ๆ แถมด้วยจิกกัดกลาย ๆ ว่า เขาไม่จำเป็นต้องกลับมาก็ได้
         “ไปเถอะ ว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปเป็นคนอนุญาตเอง ยังจะเกรงอะไรอีก”
         “พูดอย่างนี้ยิ่งเกรงใหญ่เลย ตอนนี้ใคร ๆ เขาก็ว่าผมเป็นเด็กเส้นอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบ่น หน้าง้ำนิด ๆ
         “ฉันไม่เห็นได้ยินใครพูดแบบนั้นเลย” รุ่นพี่ของเขาพูดอย่างไม่เดือดร้อน แต่เห็นหน้าง้ำ ๆ ของชินจิยังงออยู่ เขาก็เลยเอื้อมมือมาลูบศีรษะรุ่นน้องเบา ๆ เป็นการปลอบให้คลายใจ ไม่ต้องคิดมาก แล้วก็ไม่ลืมที่จะกำชับว่า
         “อย่าลืมนะ กลับมาให้ทันก่อนค่ำ แล้วเครื่องรางล่ะ เอาติดตัวไปด้วยแล้วใช่ไหม”
         ชินจิตบหน้าอกปุ ๆ ตรงที่กลัดเครื่องรางไว้ เป็นการบอกว่าเขาไม่ลืม รุ่นพี่จึงยิ้มให้อีกครั้ง อวยพรว่า
         “เดินทางปลอดภัยนะ”
         “ผมจะรีบกลับมา”
         ชินจิสัญญา ก่อนจะก้าวขึ้นรถบัสที่วิ่งเข้ามาจอดพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ต้องการจะออกจากหมู่บ้าน ชายหนุ่มหันมาโบกมือลารุ่นพี่อีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปนั่งด้านในรถบัสร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ
         เวลาที่นัดกับเพื่อน ๆ ไว้คือตอนกลางคืน ทำให้ชายหนุ่มมีเวลาเหลือพอที่จะแวะที่ยานากะ ห้องที่ชายหนุ่มอยู่ปล่อยเช่าชั่วคราวไปแล้ว แต่เขาอยากจะมาที่สุสานใหญ่อีกครั้ง
         ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นที่เขาเคยพบอีกาใกล้ตาย แต่ตอนนี้ไม่มีกองใบไม้ ไม่มีศพของอีกาตัวนั้นด้วย คนดูแลสุสานคงจัดการไปแล้ว
         “หวังว่าแกคงจะไปสู่สุคตินะ” ชินจิทรุดตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง วางดอกไม้สีขาวดอกเดี่ยวที่แวะซื้อจากร้านดอกไม้ก่อนเข้ามาที่นี่ลง แล้วเอามือแตะที่พื้นดินบริเวณที่เคยมีร่างไร้วิญญาณของอีกาตัวนั้น
              สิ้นเสียงของเขา ชินจิรู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนน้อย ๆ แต่วูบเดียวเท่านั้นก็กลับเป็นปกติจนเขาไม่แน่ใจว่า มันเกิดขึ้นจริงหรือไม่
         ดูเหมือนว่ารอบตัวเขาจะมีแต่อะไรแปลก ๆ แฮะ
         ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ แต่แล้วก็ปัดความคิดที่รู้สึกว่าเหลวไหลนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
 
         ร้านที่นัดไว้กับเพื่อน ๆ เป็นร้านอิเซกายะหรือร้านกินดื่มที่อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัย ชินจิมาหลังเวลานัดเล็กน้อย เมื่อเลื่อนประตูไม้หลังม่านสีน้ำเงินเดินเข้ามาในร้านก็เห็นเพื่อน ๆ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
         “ชินจิ ทางนี้”
         อัตสึโตะเป็นคนแรกที่หันมาเห็นเขา ยกมือโบกหยอย ๆ พร้อมกับส่งเสียงเรียก ทำให้เพื่อนอีกสองคนหันมามองไปด้วย ชินจิยกมือโบกตอบ ส่งยิ้มกว้าง ดีใจที่ได้เจอกันอีก
         เพื่อนทั้งสองคน ทั้งอัตสึโตะและมายะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไร แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน ถึงตอนนี้จะเรียนอยู่แคมปัสเดียวกันแล้ว แต่ต่างคนก็ต่างยุ่ง ทั้งเรื่องชมรม เรื่องเรียน แถมเทอมนี้เขายังทำงานอีก จึงมีแต่การติดต่อกันทางอีเมลเท่านั้น
         คนที่แปลกตาไปคือมานูเอล คนรักของอัตสึโตะ ชายหนุ่มชาวเยอรมัน ผมสีทอง ตัวสูงใหญ่ คนที่ได้รู้จักเมื่อคราวไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เบอร์ลิน ผ่านไปไม่กี่เดือนหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้าย มานูเอลสมกับฉายาไอ้หมียักษ์ที่มายะเรียกยิ่งกว่าเดิม เพราะตัวของชายหนุ่มที่สูงใหญ่อยู่แล้วขยายออกทางด้านข้างเพิ่มขึ้นอีก แถมยังมีเหนียง... เอ๊ย เนื้อใต้คางห้อยย้อยลงมาอีกนิด แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนน่ารักแสนดีคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง   
              “สวัสดีชินจิ นายดูสดใสขึ้นนะ” มานูเอลทักทาย
         “นายก็เหมือนกัน มานูเอล แต่รู้สึกว่าจะมีคนที่สดใสยิ่งกว่าฉันกับนายอยู่แถวนี้คนหนึ่งนะ” ชินจิตอบพร้อมแซวเพื่อนตัวเองไปพร้อมกัน อัตสึโตะนั่งยิ้มหน้าบานอยู่ข้าง ๆ คนรักตัวใหญ่เหมือนหมียักษ์ของตัวเอง ออร่าความสุขเปล่งประกายจนมันไปกระแทกตาคนอีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย มายะนั่งหน้าตูม พอเห็นอัตสึโตะหวานกับมานูเอลทีก็กลอกตาสลับกับค้อนปะหลับปะเหลือก บ่นงึมงำว่า
          “บากะคัปเปรุ”
          ชินจิอมยิ้ม มายะยังขวางหูขวางตาอัตสึโตะกับมานูเอลอยู่ดีและแสดงออกด้วยการบ่นกระปอดกระแปดว่าสองคนนั้นเป็น ‘คู่รักงี่เง่า’ ที่ชอบแสดงออกว่ารักกันเสียเหลือเกิ๊นในที่สาธารณะ แต่เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเพราะมันบาดตามายะต่างหาก ใคร ๆ ก็รู้ว่าเพราะมานูเอลรักกับอัตสึโตะทำให้มายะอกหักดังเป๊าะ และไอ้เพื่อนเขาคนนี้มันก็ยังคร่ำครวญแกมบ่นอยู่ไม่ยอมเลิกจนถึงบัดนี้
           “ชินจิ ฉันว่านายผอมไปนิดนะ งานหนักมากรึเปล่า” อัตสึโตะทักบ้าง หลังจากสั่งอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว
           “ไม่หนักหรอก งานที่เรียวกังสนุกดี ทุก ๆ คนที่นั่นก็ใจดีและดูแลฉันดีด้วย” ชินจิตอบ
           “แล้วเอย์จิซังล่ะ ฉันนึกว่าจะมาด้วยกันซะอีก” มายะถาม
           “เอย์จิซังต้องอยู่ทำงาน แต่เขาฝากสวัสดีทุกคนนะ”
           “อัตสึโตะบอกว่านายทำงานอยู่ที่หมู่บ้านของเอย์จิ ที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ สวยไหม” มานูเอลชวนคุย และเมื่อพูดถึงเรื่องหมู่บ้านคันโจโคเอนกับรุ่นพี่ของเขา ชายหนุ่มก็มีท่าทางกระตือรือร้น ล้วงเอากล้องคอมแพ็คขนาดเล็กจากในเป้ขึ้นมาเปิดรูปให้เพื่อน ๆ ดู
           “โอ้โฮ ใบไม้สีแดงยังกับไฟเลย” อัตสึโตะอุทาน มานูเอลกับมายะก็ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยความสนใจ
           “หมู่บ้านของรุ่นพี่เอย์จินี่สวยจริง ๆ แต่รู้จักกันมาก็นาน ไม่ยักได้ยินรุ่นพี่เล่าเรื่องบ้านตัวเองให้ฟังเท่าไหร่เลยเนอะ” มายะพูด อัตสึโตะก็พยักหน้ารับหงึก ๆ
           ชินจิรู้เหตุผลดีว่าทำไม แต่เขาคิดว่าเขาไม่ควรเป็นคนพูดเรื่องนี้ จึงพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ไปแทน ชายหนุ่มเล่าเรื่องบ้านหลังคามุงฟาง อาหารอร่อย ๆ วิวสวย ๆ รอบหมู่บ้านและทะเลสาบบิวะ งานในเรียวกังและศาลเจ้าอินาริ ทุกคนก็ฟังอย่างสนใจ
           “อยากไปบ้านรุ่นพี่เอย์จิบ้างจัง ท่าทางน่าจะสนุกดีนะ” อัตสึโตะส่งกล้องถ่ายรูปคืนให้เพื่อน แล้วเมื่อเป็นคำปรารภของอัตสึโตะ มายะก็รีบสนองตอบทันที ชนิดเหยียบจมูกตัดหน้าคนรักตัวจริงกันเห็น ๆ อย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
           “ถ้านายอยากไป เราไปกันดีไหม สักสองสามวัน ค้างที่เรียวกังของรุ่นพี่ ให้ชินจิจองให้”
           “ก็ดีเหมือนกันนะ” อัตสึโตะว่า แต่แล้วก็ส่ายหน้า บอกหน้าตาเฉยว่า “คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า ฉันวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะพามานูเที่ยวโตเกียว นายไปกับชินจิก็แล้วกันนะมายะ”
           คนฟังน้ำตาแทบร่วง อะไรวะ กำลังจะดีอยู่แล้วแท้ ๆ เชียว เจ้าอัตสึโตะดันเปลี่ยนใจเอาง่าย ๆ ซะงั้น แล้วขอโทษเหอะ วางแผน! อย่างเจ้าอัตสึโตะเนี่ยนะวางแผนอะไรเป็นกับเขา
           มานูเอล สมองมายะแล่นปราด ไอ้หมียักษ์นูเทลล่าแน่ ๆ ที่เป็นคนวางแผนทั้งหมด
           ชายหนุ่มมองค้อนอีกฝ่ายตาคว่ำ หนอย... ไอ้หมียักษ์ ไอ้ตัวมารขัดความสุข แน่ะ ยังมาทำท่ายิ้มกริ่มเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่อีก
           ระหว่างที่มายะก่นด่าศัตรูหัวใจของเขาในใจอย่างเมามันนั้น อัตสึโตะ มานูเอลและชินจิ ไม่มีใครสนใจแม้แต่นิดเดียว ยังคงคุยกันต่อไปอย่างสนุกสนาน อัตสึโตะเล่าถึงคนโน้นคนนี้ที่เยอรมนีให้เพื่อนฟังซึ่งตัวเองก็ฟังมาจากมานูเอลอีกที สุดท้ายชายหนุ่มพูดถึงเพื่อนใหม่อายุมากกว่าที่รู้จักกันที่คานาซาว่า
           “นุ่นซังจะมาญี่ปุ่นช่วงคริสต์มาสนี้ล่ะ พาเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง อยากจะเจอพวกเราเลยส่งอีเมลมาถามว่าพวกเราสะดวกกันวันไหนบ้าง”
           “ฉันสะดวกนะ ยังไม่มีแพลนอะไรช่วงวันหยุดคริสต์มาส” ชินจิตอบ “ดีจังจะได้เจอนุ่นซังอีกครั้ง ยังคิดถึงเมื่อตอนไปเที่ยวคานาซาว่าอยู่เลย เกิดมาไม่เคยเจอใครซุ่มซ่ามอย่างนุ่นซังมาก่อน ทำเอาใจหายใจคว่ำตลอด”
                ชายหนุ่มคิดถึงหญิงสาวตัวเล็กทำผมสีทองสว่างจากประเทศไทยทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกครั้ง เจ้าหล่อนช่างซุ่มซ่ามโก๊ะกังได้อย่างเหลือเชื่อ พื้นเรียบ ๆ ก็เดินสะดุดได้ แถมยังเอาแต่จะเดินชนโน่นชนนี่ ต้องคอยดูกันไม่ให้คลาดสายตา แต่เม็ดนุ่นหรือนุ่นซังที่เขาเรียกก็เป็นคนที่น่ารักมากและเป็นคนที่ทำให้ชายหนุ่มคิดได้ว่า ไม่ควรจะคร่ำครวญและเสียใจกับอดีตที่ผ่านมาให้มากเกินไป
           “งั้นฉันตอบเมลนุ่นซังไปเลยนะ” อัตสึโตะพูดพลางจิ้มแป้นโทรศัพท์มือถือยิก ๆ ประสาคนใจร้อน จึงเหลือแค่มานูเอลกับชินจิคุยกันต่อสองคน
           “เรื่องงานช่วยวิจัยของนายไปถึงไหนแล้ว จะได้มาอยู่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่” ชินจิถาม
           “ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ งานของฉันเริ่มตอนเดือนกุมภาพันธ์ ก็คงมาถึงก่อนหน้านั้นสักอาทิตย์”
           “โอ้โฮ จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะนี่” ชินจิอุทาน หันไปมองอัตสึโตะที่ยังก้มหน้าก้มตาจิ้มแป้นสลับกับการเปิดแอพพลิเคชันดิกชันนารีหาคำศัพท์ภาษาเยอรมันที่ต้องการในการเขียนอีเมลตอบกลับสาวหัวทองจากประเทศไทยที่สื่อสารกันได้ด้วยภาษาเยอรมันเท่านั้น
            “น่าดีใจกับอัตสึโตะ หมอนั่นคงมีความสุขน่าดูที่นายมาอยู่ด้วย” ชินจิเปรยยิ้ม ๆ
            “ฉันก็ดีใจที่จะได้อยู่ที่นี่กับอัตสึโตะ” มานูเอลพูด
            สุดจะทนฟังแล้วสำหรับผู้ชายอีกคนที่นั่งหัวโด่อยู่ที่โต๊ะแต่ไร้ใครเหลียวแล มายะร้องเสียงดัง
            “พอได้แล้ว! จะดีใจอะไรกันนักหนา!” ชายหนุ่มหน้างอ หยิบเบียร์ส่งให้แบบแทบจะเรียกว่ายัดใส่มือ เพื่อให้เลิกพูดเรื่องที่บาดหูเขาเสียที แล้วนั่น... ทั้งไอ้หมียักษ์ทั้งเจ้าชินจิยังจะมีหน้ามายิ้มอีก กวนโมโหเป็นบ้า
            “คิดถึงเสียงโวยวายของนายแบบนี้จังมายะ นึกว่าจะไม่ได้ยินซะแล้ว” ชินจิว่า แล้วหันไปค้นอะไรกุกกักในเป้ ก่อนจะหยิบถุงกระดาษใบเล็กขึ้นมา
            “ฉันมีของมาฝากพวกนายด้วยนะ ถ้านายจะไปเยี่ยมฉันถึงที่หมู่บ้านก็อย่าลืมพกไอ้นี่ติดตัวไปด้วยล่ะ”
            “เครื่องราง” มายะพลิกถุงใบเล็กสีแดงสดขึ้นดู ด้านหนึ่งปักรูปดอกศรสีทอง อีกด้านหนึ่งปักตราสีทองรูปสุนัขจิ้งจอกกับเปลวเพลิง
            “ของศาลเจ้าอินาริที่หมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต้องมีติดตัวไว้เสมอ” ชินจิอธิบาย
            “สวยจัง อันนี้น่ะเหรอที่เรียกว่าโอมาโมริ” มานูเอลมองถุงในมือตัวเองด้วยความสนใจ “ตราที่ปักอยู่นี่หมายถึงอะไรน่ะ”
            “ดอกศรเป็นเครื่องมือขับไล่ความชั่วร้ายกับสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ส่วนตราจิ้งจอกเพลิงเป็นตราประจำตระกูลของเอย์จิซัง บ้านเอย์จิซังเป็นตระกูลนักปัดรังควาน ดูแลศาลเจ้าในหมู่บ้าน”
            “โห สุดยอด” อัตสึโตะอุทาน เขาส่งอีเมลสำเร็จแล้วจึงเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน แล้วเรื่องแบบนี้ล่ะเขาชอบนัก ตระกูลนักปัดรังควานอย่างนั้นเหรอ รุ่นพี่ของเขานี่เท่สุด ๆ
            “ยังงี้เอย์จิซังต้องไล่ผีด้วยใช่ไหม” ชายหนุ่มถามตาใส
            ชินจิยิ้ม ส่ายหน้า
            “ไม่มีผีสางที่ไหนหรอก แค่เป็นตระกูลของผู้ดูแลศาลเจ้า พ่อกับพี่ชายของเอย์จิซังเป็นคันนุชิ ผู้ประกอบพิธีกรรม ส่วนเอย์จิซังช่วยงานที่เรียวกัง ไม่เกี่ยวกับศาลเจ้า”
            “ว้า เซ็งเลย” อัตสึโตะบ่น แต่ก็ทำท่าตื่นเต้นขึ้นมาอีก ถามเสียงใสว่า “นายล่ะ ชินจิ เจออะไรประหลาดลึกลับที่โน่นบ้างไหม”
            “ฉันไม่เจอหรอก แต่ก็มีเรื่องประหลาดอยู่เหมือนกัน” แล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องคนหายในภูเขากับเรื่องเสียงดนตรีที่ลอยตามลมมาจากในภูเขาให้เพื่อน ๆ ฟัง
            “สุดยอดไปเลย” อัตสึโตะอุทานอย่างทึ่งจัด แต่มายะกลับสะกิด สีหน้าบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ
            “นายอยากหลงทางในภูเขาแล้วเห็นภาพหลอนเนี่ยนะ”
            “เพ้อเจ้อ ใครจะอยากเป็นอย่างนั้นกันเล่า ฉันหมายถึงหมู่บ้านของเอย์จิซังต่างหาก ฟังดูเป็นสถานที่ที่น่าไปมาก ๆ เลย ชักอยากไปแล้วสิ มานู ถ้านายมาอยู่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่ เราไปด้วยกันนะ” ประโยคท้ายหันไปพูดกับคนรักของตัวเอง และแน่นอนว่า มีเสียงตะแง้ว ๆ ของมายะตามมาในทันที
            “อะไรจะไปกันสองคนได้ไง ให้ฉันไปด้วยนะอัตสึโตะ นะ น้า...”
            ชินจิคุยเล่นดื่มเบียร์กับเพื่อน ๆ ด้วยความเพลิดเพลินจนกระทั่งดึกก็แยกย้ายกันกลับ ชายหนุ่มค้างโตเกียวแค่คืนเดียวจึงเลือกค้างที่โฮสเทลเพื่อจะได้ไม่ต้องรบกวนไปค้างกับพวกอัตสึโตะ และเพราะเมื่อคืนดื่มเข้าไปมากพอดู ชินจิจึงตื่นสาย คำนวณดูแล้ว เขาคงไปไม่ทันรถบัสเที่ยวแรกที่จะไปที่หมู่บ้านแน่ ๆ จึงปล่อยเลยตามเลย และจะขึ้นรถบัสเที่ยวสุดท้ายแทน
             เมื่อลงรถไฟที่สถานีในเมือง ชินจิมุ่งไปยังร้านขนมปังเปิดท้ายก่อนเป็นอันดับแรก หวังว่าคราวนี้เขาจะได้ให้ขนมปังดำกับมือของรุ่นพี่เองสักที
             ผู้โดยสารที่ขึ้นรถบัสเที่ยวเดียวกับเขามีเยอะพอสมควร แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือชายหนุ่มใส่ชุดสีดำสนิท ผมของเขาย้อมเป็นสีบลอนด์จางเกือบขาว ใส่หน้ากากอนามัยสีดำปิดไปครึ่งหน้า เหลือแค่นัยน์ตาที่ทำให้เขามองแล้วต้องมองซ้ำ เขาคิดว่าเขามองไม่ผิดว่าดวงตาคู่นั้นเป็นสีแดง
             ชินจิไม่คิดว่าตัวเองตาฝาด แต่คิดว่า แฟชั่นสมัยนี้ช่างไปไกลเหลือเกิน ผู้ชายใส่คอนแท็คเลนส์สีแดง อ๊ะ ทาเล็บสีดำ เจาะคิ้ว เจาะหู มีรอยสักที่ต้นคอด้วย เอ.. หรือว่า.. ผู้ชายคนนี้เป็นนักดนตรีวงประเภทวิชวลร็อคที่สมาชิกในวงต้องแต่งตัวจัด ๆ แต่เขาใส่สูทสีดำธรรมดานี่นา
             คนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาเหมือนกับจะรู้ตัว ผู้ชายชุดสูทดำหันขวับมาทางชินจิจนชายหนุ่มตกใจ รีบก้มหน้างุด คิดตำหนิตัวเองในใจว่า ไม่น่าไปจ้องเขาเลย เสียมารยาทที่สุด ชายหนุ่มพยายามไม่มองไปทางผู้ชายใส่สูทสีดำคนนั้นอีก แต่เขารู้สึกว่า คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายถูกจ้องมองแทน
             ผู้โดยสารทยอยกันลงกลางทางไปเกือบหมดจนในรถเหลือเพียงแค่ตัวเขา คนขับรถและผู้ชายใส่สูทดำเท่านั้น ชินจิรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะเขายังจำครั้งที่แล้วที่เกิดอุบัติเหตุได้ดี ทำเอาเขากลับถึงบ้านค่ำและโดนรุ่นพี่โมโหใส่อย่างน่ากลัวที่สุด แต่เขาคงไม่โชคร้ายซ้ำสองหรอกน่า ชินจิปลอบใจตัวเอง หันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ไม่มีวี่แววว่ารถจะติดหรือจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติอะไรสักนิด วันนี้เขาคงถึงหมู่บ้านได้ตามเวลา
             แต่ชินจิคิดผิดมหันต์ เพราะวินาทีที่เขาคลายความกังวลจนเอนหลังพิงพนักอย่างสบายใจนั้น จู่ ๆ อากาศรอบตัวก็หนักข้นขึ้นอย่างกะทันหันและเกิดความมืดเหมือนกับรถบัสแล่นเข้าไปในอุโมงค์โดยไม่ทันตั้งตัว
             “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมืดอย่างนี้” ชินจิอุทานเสียงหลงพร้อม ๆ กับที่คนขับรถเหยียบเบรกจนรถหยุดกึก เหงื่อกาฬแตกพลั่กจนท่วมหน้า ร้องสั่งผู้โดยสารของเขาว่า
             “กรุณานั่งอยู่กับที่นะครับ!”
             พนักงานขับรถวัยกลางคนเปิดไฟในรถจนสว่าง แล้วลนลานคว้ากระบอกไม้จากหน้ารถขึ้นมากำแน่นไว้ในมือ ดึงจุกเปิดออก ชินจิเห็นอะไรบางอย่างหน้าตาเหมือนนกพับจากกระดาษพุ่งพรวดออกมาจากกระบอก แล้วโผบินออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็วจนดูแทบไม่ทัน
             “นั่นอะไรครับ คุณทำอะไร” ชินจิถาม แต่เขาไม่ได้คำตอบจากพนักงานขับรถ เพราะวินาทีถัดจากที่ปล่อยนกกระดาษออกไป กระจกรถบัสทั่วทั้งคันก็แตกดังเพล้ง เศษกระจกกระเด็นเข้ามาในรถ ชินจิก้มหลบโดยอัตโนมัติ เศษกระจกรถร่วงพรูเข้าใส่ตัวเขาเหมือนสายฝน หูของชายหนุ่มได้ยินเสียงคนร้องลั่น
             “อ๊าก!”
             เขาเงยหน้าขึ้นมองทันที สิ่งที่เห็นทำให้ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดสยองอย่างสุดขีด!
             พนักงานขับรถวัยกลางคนที่เขาพูดด้วยเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนตายแล้ว นอนฟุบกับพวงมาลัยรถ กลางหลังมีอะไรบางอย่างเหมือนมีดปักอยู่ เลือดไหลทะลักออกมาจากแผล หลังเปียกชุ่ม แต่ที่น่าสยดสยองก็คือ หัวของชายกลางคนกระเด็นตกอยู่บนพื้นรถ หันหน้ามาทางเขา
             ชินจิเข่าอ่อน แทบจะยืนไม่อยู่
             มันอยู่นั่น มันอยู่นั่น
             หูของชายหนุ่มได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังประสานกันเซ็งแซ่ มันเหมือนเสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดในหนังที่เคยดู แต่เสียงที่ได้ยินตอนนี้เสียดแทงประสาทหูจนเขาต้องเอามือปิดหูไว้ แต่เสียงนั้นก็ยังดังอยู่
             แล้วชายหนุ่มก็เห็นเจ้าของเสียง
             ชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่มีมีตัวอะไรแบบนี้อยู่ในสารบบของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้แน่ นี่มันอสูรกายจากนรกชัด ๆ!
             ตัวมันเล็ก น่าจะสูงเลยเข่าเขาขึ้นมาไม่เท่าไหร่ รูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์ ผิวมันสีเข้ม มีขนขึ้นรุงรัง ใบหน้าเหี่ยวย่น ปากกว้างแสยะออกเห็นเขี้ยวสกปรก หัวกระเซิง มีเขาเล็ก ๆ บนหัว สัตว์ประหลาดพวกนี้มาเป็นกองทัพ ตรงเข้ามารุมเขา บางตัวอ้าปากงับหน้าแข้งของเขาดังผับ
             “โอ๊ย” ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พยายามสลัดพวกมันออกจากตัว แต่ไร้ผล
             “ช่วยด้วย” เขาสำลักออกมา เท้าเตะถีบเป็นพัลวัน
             ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง ลมจากไหนเขาก็ไม่รู้ แต่มันทำให้ไอ้ตัวประหลาดที่กลุ้มรุมเขาอยู่กระเด็นออก ตัวขาดหัวขาดกระจาย
             ผู้ชายใส่สูทสีดำ!
             ชายหนุ่มเห็นคนที่ช่วยเขาถนัดตา ผู้ชายคนนั้นเอง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ที่มือทั้งสองของผู้ชายคนนั้นมีเคียวสีเงินยืดยาวออกมา เจ้าพวกสัตว์ประหลาดเปลี่ยนเป้าหมายจากเขาเป็นผู้ชายคนนั้น แต่ก็โดนเคียวคมกริบฟันจนตัวขาดเป็นท่อน ๆ
             เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ชินจิกระเสือกกระสนลงมาจากรถบัส วิ่งกระเจิงเข้าไปในป่าอย่างไม่รู้ทิศทาง ในใจกรีดเสียงเรียกชื่อเพียงชื่อเดียว
             เอย์จิ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
             เพล้ง!
        “ท่านเอย์จิ!”
        เสียงเรียกชื่อชายหนุ่มดังประสานกันกับเสียงกระเบื้องแตก เอย์จิก้มลงมองบนพื้นโดยอัตโนมัติ ถ้วยชาที่เขาหยิบมาจากถาดที่อิซึมิยกมาให้แตกเป็นเสี่ยง
        “บาดรึเปล่าคะ น้ำชาลวกโดนท่านรึเปล่า” อิซึมิรีบเข้ามากันเขาออกห่างพลางละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ
        เอย์จิส่ายหน้า
        “ไม่หรอก ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับนึกสงสัย เขาว่าเขาจับถ้วยชามั่นคงดีแล้วแต่ทำไมจู่ ๆ ก็หลุดมือตกแตกเสียได้
        เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้วยชาแตก มันอาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่มันก็เป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย
        “อิซึมิจัง ชินจิยังไม่กลับมาอีกหรือ”
        “ยังเลยค่ะท่านเอย์จิ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลารถบัสจะมาถึงนะคะ อีกพักใหญ่เลยล่ะค่ะ”
        ชายหนุ่มตัดสินใจเดินออกจากเรียวกังตรงไปยังศาลเจ้า เข้าไปยังชามุโชหรือสำนักงานที่เป็นที่ทำการของศาลเจ้า ข้างในนั้นพี่ชายฝาแฝดของเขานั่งอ่านเอกสารอยู่อย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นมอง
         “อ้าว เอย์จิ มีอะไรรึเปล่า”
         “ชินจิยังไม่กลับมาเลย ฉันชักเป็นห่วง นี่ก็ใกล้มืดแล้ว”
         พี่ชายฝาแฝดยิ้มกริ่มเมื่อเห็นอาการกระสับกระส่ายของน้องชายผู้เงียบขรึม โยนเอกสารกลับลงกระบะทันทีทั้ง ๆ ที่โดนกำชับนักหนาว่าต้องอ่านให้จบ แต่แหม... เรื่องของน้องชายย่อมสำคัญกว่าสิ
         “ยังไม่ถึงเวลารถมาสักหน่อย ห่วงเกินไปรึเปล่า” เออิจิโร่แกล้งล้อ แต่น้องชายของเขาไม่ขำไปด้วย
         “ฉันมีลางสังหรณ์แปลก ๆ เออิจิโร่” ชายหนุ่มเรียกชื่อพี่ชายด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หน้าเคร่ง “นายก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของฉันแม่น ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชินจิ”
         เออิจิโร่นั่งตัวตรงขึ้นมาทันที สีหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแต้มอยู่เป็นนิจมีแววใคร่ครวญเช่นกัน น้องชายของเขาอาจจะไม่มีพลังในการปัดรังควาน แต่สายเลือดก็ยังแสดงออกในรูปของลางสังหรณ์ที่แม่นยำ ลงเอย์จิรู้สึกกระวนกระวาย นั่งไม่ติด ต้องลุกแล่นมาปรึกษาพี่ชายกวน ๆ อย่างเขาให้เสี่ยงโดนล้อเลียนก็น่าจะพอบอกได้ว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว
         “งั้นฉันจะสั่งให้พวกคิโยชิกับนาโอกิส่งผู้นำสาส์นไปดูสถานการณ์ แล้วให้โฮโจไปรอรับชินจิคุงที่ป้ายรถ ดีไหม หรือนายจะไปเอง”
         “ฉันไปเอง” เอย์จิตัดสินใจ
         ประตูสำนักงานเปิดออก หนึ่งในสองของพระผู้ฝึกหัดวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ในมือโบกกระดาษสีขาวไหว ๆ
         “มีอะไรนาโอกิ” เออิจิโร่ลุกขึ้นจากเก้าอี้
         “ผู้นำสาส์นครับท่าน คนขับรถส่งมาบอกว่ารถบัสโดนอสูรเข้าทำร้าย ชินจิซังอยู่ในรถคันนั้นด้วยครับ”
         เอย์จิฟังยังไม่ทันจบก็วิ่งพรวดออกไป เออิจิโร่วิ่งตามไปรั้งตัวน้องชายไว้พลางสั่งให้นาโอกิแจ้งเหตุฉุกเฉินให้พ่อของเขากับทุกคนรู้โดยด่วน
         “เดี๋ยว เอย์จิ รอท่านพ่อก่อน” ชายหนุ่มบอกน้องชาย แต่เอย์จิไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรออะไรทั้งนั้น เขากระชากตัวออกจากการเกาะกุมของพี่ชายอย่างแรง ตวาดเสียงเขียวว่า
         “ไม่รอแล้ว! จะให้รออะไรอีก! ฉันจะไปช่วยชินจิ!”
         “แล้วนายจะไปช่วยยังไง ที่ไหน คิดบ้างไหม ใจเย็น ๆ ก่อนสิ ไม่มีใครยอมปล่อยให้ชินจิเป็นอันตรายหรอกน่ะ”
         “ไม่รู้โว้ย แต่ฉันจะไป อย่ามาห้ามฉัน!”
         “นายยังไปตอนนี้ไม่ได้!”
         “ฉันจะไป!”
         เอย์จิเงื้อหมัดจะชกหน้าพี่ชายฝาแฝด แต่ก็ต้องยกกำปั้นค้าง เมื่อมีเสียงประกาศิตดังขึ้นเสียก่อน
         “หยุด!”
         เออิจิโร่ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของบิดาของเขา ตามหลังมาด้วยโอคินะและรุกะ ทั้งหมดหน้าตาเคร่งเครียด
         เอย์จิลดหมัดลง ท่าทางของเขาฮึดฮัดขัดใจ ร้อนรน ผิดไปจากเอย์จิคนเดิม
         “ผมจะออกไปตามหาชินจิ!” ชายหนุ่มประกาศ
         “แกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” มาซาฮารุพูดเสียงเข้ม แล้วหันไปสั่งลูกชายคนโต “โฮโจส่งผู้นำสาส์นออกไปแล้ว แกกับรุกะ โฮโจ และพวกกงเนงิให้แยกกันไปตามเส้นทางรถบัส ฉันกับโอคินะจะไปที่ทะเลสาบบิวะ”
         “ท่านพ่อ ผมจะไปด้วย” เป็นครั้งแรกที่เอย์จิดื้อดึง ต้องการจะฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เป็นบิดา ในใจของเขาร้อนรนเหมือนไฟเผาจนหมดสิ้นความกริ่งเกรงใด ๆ อีกต่อไป ตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขากลัว เขากลัวจะเสียชินจิไป
         เขากลัวจะเสียคนที่เขารักไปอีกครั้ง
         “ผมจะไป ท่านพ่อ ผมขอร้อง” เอย์จิวิงวอน สายตาของลูกชายทำให้มาซาฮารุสะท้านใจ
         มิซากิ...
         เขาไม่อยากมองหน้าลูกชายคนเล็กก็เพราะแบบนี้ ดวงตาของเอย์จิถอดแบบมาจากดวงตาของภรรยาที่เขาแสนรัก ทุกครั้งที่เขาเห็นดวงตาของมิซากิผ่านดวงตาของเอย์จิ เจ้าบ้านคนปัจจุบันก็จะมีอาการทนไม่ได้
         “แกไม่ต้องไป”
         “ท่านพ่อ ผมขอร้องอีกคน ให้เอย์จิไปเถอะครับ ผมจะดูแลน้องเอง” เออิจิโร่เห็นใจน้องชายจึงช่วยขอร้องอีกแรง
         มาซาฮารุมองหน้าผู้อาวุโส ฝ่ายหลังพยักหน้า
         “ก็ได้ แกไปกับเออิจิโร่ แต่ห้ามแกทำอะไรทั้งนั้น” มาซาฮารุสั่งเสียงเฉียบขาด
         เอย์จิไม่สนใจอะไรอีก แค่ได้รับคำอนุญาตก็เพียงพอแล้ว เขาพุ่งตัวออกไปโดยเร็ว มีเออิจิโร่กับรุกะตามไปติด ๆ

         ชินจิวิ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่ในป่า เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยขูดขีดจนเลือดออกซิบ ทั้งรอยบาดจากกระจกรถและกิ่งไม้คม ๆ ที่วิ่งฝ่าไปอย่างเปะปะ
         ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองกำลังหลงทาง แต่เขาหยุดวิ่งไม่ได้ ในป่ามืด ๆ มีเสียงดังขึ้นรอบตัว เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังไล่ตามเขาอยู่ มันส่งเสียงร้องกี๊ซก๊าซคล้ายกับเสียงสัตว์ประหลาดที่จู่โจมรถบัส แต่น่ากลัวกว่ามาก แล้วถ้าเขาหยุด เขาต้องถูกมันทำร้ายเอาแน่ ๆ
         ขาของชายหนุ่มสะดุดกันเองจนเกือบเสียหลัก ดีว่าพยุงตัวเองเอาไว้ทันจึงไม่หกล้มลงไปกับพื้น แต่ชั่ววินาทีที่เขาเสียจังหวะหยุดวิ่งไปนั้นเอง เงาดำ ๆ สองร่างก็ปรากฏขึ้นขวางหน้า
         “แก.. แกเป็นใคร” ชินจิถามเสียงหลง ความมืดมัวรอบตัวทำให้มองเห็นไม่ชัด เห็นเป็นแค่เงาร่างดำ ๆ สวมผ้าคลุมกรุยกรายที่ปิดมิดตลอดตั้งแต่หัวลงมา
         เสียงหัวเราะกี๊ซก๊าซดังมาจากร่างสวมผ้าคลุมหนึ่งในสองร่างนั้น ทำให้ชินจิขนคอลุกชันด้วยความรู้สึกขนพองสยองเกล้า เขาผวาจะหันหลังหนีไปอีกทาง แต่ก็มีร่างของสัตว์ประหลาดผอม ๆ สูง ๆ เก้งก้างเหมือนต้นไม้ตายซากผุดขึ้นขวางทุกทิศทาง
         จับมัน
         เสียงกี๊ซก๊าซสั่งการได้ยินถนัด ทำไมเขาฟังออกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันหมายความตามนั้นแหละ เจ้าปีศาจพวกนี้กำลังจะจับตัวเขา
         “ช่วยด้วย เอย์จิซัง” ชินจิร้องลั่น มือปัดป้องไม่ให้สัตว์ประหลาดในรูปต้นไม้ตายซากเข้ามาใกล้ตัวเขาได้ เสียงกี๊ซก๊าซดังก้องอยู่ในหู
         แต่หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็จำแทบไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เขารู้แค่ว่าตัวเองกำลังจะโดนสัตว์ประหลาดทำร้าย แต่วินาทีถัดมา เสียงกี๊ซก๊าซที่เหมือนเสียงหัวเราะอย่างพอใจกลับกลายเป็นเสียงร้องด้วยความตระหนก เมื่อมีอะไรสักอย่างคล้าย ๆ นกสีขาวฝูงใหญ่ตรงเข้าจิกตีร่างที่สวมผ้าคลุม อีกฝูงหนึ่งจู่โจมอสูรกายต้นไม้ตายซาก
         ชินจิอาศัยจังหวะนั้นคลานถอยห่างออกมา เขาเห็นร่างในชุดผ้าคลุมร่างหนึ่งปัดนกสีขาวพร้อมกับพยายามจะเข้ามาจับตัวเขา แต่อีกร่างหนึ่งห้ามไว้ก่อน และพริบตาต่อมา ทั้งสองร่างนั้นก็หายวับไป
         ตอนนี้เหลือเพียงต้นไม้ตายซากกับฝูงนกสีขาวที่กำลังพันตูกันอย่างอลหม่าน ชินจิแทบจะทนไม่ไหวกับภาพน่ากลัวที่เห็น ชายหนุ่มหลับตาปี๋ กรีดร้องเรียกหาคนที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้
         “เอย์จิซัง!”
         เหมือนปาฏิหาริย์ ชินจิรู้สึกถึงอ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดเขาไว้แน่น มันอบอุ่นและอ่อนโยน เป็นความรู้สึกที่เคยคุ้น
         ชายหนุ่มลืมตาโพลง
         “เอย์จิซัง!”
         เจ้าของอ้อมกอดนั้นคือรุ่นพี่ของเขาจริง ๆ ด้วย เขาคงไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม เอย์จิซังจริง ๆ ด้วย ชายหนุ่มกอดตอบรุ่นพี่แน่น มือสองข้างยึดเสื้อด้านหลังของอีกฝ่ายไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญเต็มที่
         “ไม่เป็นไรแล้ว ชินจิ ฉันอยู่นี่แล้ว นายปลอดภัยแล้ว”
         เสียงปลอบโยนของรุ่นพี่ดังอยู่เหนือศีรษะ แต่ชายหนุ่มเหมือนไม่สามารถรับรู้ได้ ชินจิซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกกว้างแข็งแกร่งของเอย์จิ เจ้าของชื่อที่เขาเรียกหาอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่ต้องเผชิญหน้ากับความลี้ลับอันชวนสยอง
         เอย์จิกอดรุ่นน้องแนบอก กรามขบกันแน่นเมื่อเห็นรอยขีดข่วนตามร่างกายของชินจิ ภายในใจของเขา เพลิงพิโรธกำลังลุกโชติช่วง
         “โฮโจ ฆ่าพวกมันให้หมด” เอย์จิสั่งเสียงเหี้ยม
         ผู้ได้รับคำสั่งเอาดอกศรขึ้นพาดสายโดยไม่ยอมเสียเวลา แล้วง้างสายปล่อยดอกศรไปสู่เป้าหมาย โฮโจไม่เสียเวลาดูผล เขารีบปล่อยดอกศรดอกที่สอง สามและสี่ต่ออย่างรวดเร็ว เป้าหมายอยู่ที่ร่างหงิกงอ และทันทีที่ดอกศรปัดรังควานกระทบถูกส่วนใดส่วนหนึ่งของมันก็เกิดเปลวเพลิงลุกวูบ ก่อนจะแผ่ลามกินแดนไปทั่วทั้งตัว แป๊บเดียวเท่านั้น อสูรต้นไม้ตายซากก็ถูกไฟเผาจนมอดไหม้เหลือแต่ซากขี้เถ้า
          “ชินจิ พวกมันตายหมดแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ” เอย์จิปลอบประโลมรุ่นน้องที่อยู่ในอ้อมแขน มือใหญ่ลูบศีรษะอย่างนุ่มนวล แรงสะอื้นของชินจิจึงเริ่มคลายลงจนกระทั่งสามารถเงยหน้าขึ้นได้
          “เอย์จิซัง” ชายหนุ่มเรียกเสียงเจือสะอื้น สายตาฉ่ำน้ำตาของชินจิแสดงความดีใจและโล่งใจอย่างเหลือล้นเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นหน้ารุ่นพี่เป็นคนแรก
          “ไม่เป็นไรแล้ว” เอย์จิยิ้มอ่อนโยน สองมือประคองใบหน้าของชินจิ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาที่เลอะให้ แล้วกดริมฝีปากตามลงไป... ที่แก้มทั้งสองข้างและที่หน้าผาก จากนั้นดึงตัวรุ่นน้องเข้ามากอดแน่น...
               เขาไม่สนใจสายตาของใครทั้งนั้น
               ไม่สนแม้แต่สายตาของคนอีกสองคนที่เพิ่งตามมาสมทบ
               รุกะกลอกตาอย่างอดทนแกมหมั่นไส้เต็มที่ เบะปากใส่ ขณะที่คู่หมั้นหนุ่มของหล่อน เออิจิโร่ยิ้มกว้าง ในที่สุดน้องชายของเขาก็เลิกปากแข็งเสียที มันต้องอย่างนี้แหละ รักก็ต้องแสดงออกว่ารัก ไม่ใช่มัวแต่เกรงนั่นเกรงนี่อยู่
               “ชินจิซัง ปลอดภัยดีใช่ไหม”
               เสียงรุกะถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทำให้เอย์จิรู้สึกตัว แต่ยังไม่คลายอ้อมแขนออกจากตัวของรุ่นน้อง
               “ชินจิไม่เป็นไร มีแค่รอยขีดข่วน ไม่บาดเจ็บมาก” ชายหนุ่มตอบ แล้วถามกลับว่า “ทางนั้นล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
               “พวกที่บุกรถบัสคือยักษ์เล็กโชกิ” เออิจิโร่ตอบ
               “พวกยักษ์เล็กเหรอ แถวนี้ไม่เคยมีพวกนี้นี่” น้องชายถามด้วยความฉงน
               “มันอาจจะข้ามแดนมา หรือไม่ก็มีใครนำพวกมันมา” เออิจิโร่คาดคะเน “เมื่อกี้ฉันกับรุกะปะทะกับอสูรผู้ใช้เคียว”
               “พวกคาไมทะจิเหรอ” เอย์จิถาม
               “มันมาตัวเดียว เคียวของมันยาวและคมกริบ” รุกะพูด ชำเลืองมองต้นแขนของตัวเองที่ถูกฟันจนแขนเสื้อขาด โชคดีที่คมเคียวของมันถากเนื้อไป บาดแผลจึงไม่ลึกและสาหัสมาก แค่เป็นรอยมีเลือดไหลซิบ ๆ เท่านั้น
               “ฉันคิดว่ามันคือคาเสะฮายะ อสูรจากฮะคุริว”
               “เป็นไปไม่ได้ ก็ไหนว่าอสูรจากฮะคุริวไม่คิดทำร้ายมนุษย์” เอย์จิอุทานด้วยความคาดไม่ถึง
               “เป็นอสูรคาเสะฮายะแน่ ๆ ผมสีบลอนด์เกือบขาว ตาแดงก่ำ ใส่ผ้าปิดปากสีดำสนิท มีเคียวเป็นอาวุธ และรวดเร็วราวกับสายลม ไม่ผิดตัวหรอก” รุกะยืนยัน
               ถึงตอนนี้ ชินจิมองคนโน้นคนนี้ทีด้วยความแปลกใจและไม่เข้าใจ แต่ซากขี้เถ้ากองใหญ่ ฝูงนกสีขาวที่ยังบินวนอยู่บนท้องฟ้า ทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝันไปแน่ ๆ แล้วเมื่อได้ยินรุกะกับเอย์จิคุยกัน เขาก็อ้าปากพูดแทรกขึ้น
               “ผู้ชายคนนั้นช่วยผมไว้ครับ”
               ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว เอย์จิถามย้ำ
               “นายว่าใครช่วยนายไว้นะ”
               “ก็..ผู้ชายใส่สูทสีดำ ผมสีบลอนด์จาง ๆ ตาแดง ใส่หน้ากากสีดำ พอรถบัสหยุด พวกสัตว์ประหลาดบุกเข้ามา มันจะทำร้ายผม ผู้ชายคนนั้นใช้เคียวฟันพวกมันตัวขาดเป็นท่อน ๆ ทำให้ผมหนีออกมาจากรถได้” ชินจิเล่าถึงวินาทีสยองขวัญที่เพิ่งประสบมา
               “ผมวิ่งเข้ามาในป่า เจอกับพวกต้นไม้ตายซากพยายามจะทำร้ายผมอีก แล้วก็มีใครไม่รู้อีกสองคน สวมผ้าคลุมทั้งตัว ผมมองไม่เห็น พวกมันพยายามจะจับตัวผม แต่จู่ ๆ พวกมันก็หายไป”
               “คนสวมผ้าคลุมสองคนงั้นเหรอ” รุกะกับเออิจิโร่มองหน้ากัน
               “พวกมันพยายามจะจับนาย นี่มันหมายจะเล่นงานนายงั้นเหรอ” เอย์จิถาม หน้าซีดเผือด
               “เอาเถอะ ตอนนี้ชินจิคุงปลอดภัยก็ดีแล้ว เรื่องอื่นกลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า” เออิจิโร่ตัดบท แล้วหันไปสั่งคู่หมั้นสาวของเขาว่า
               “รุกะ เธอส่งข่าวไปบอกท่านพ่อก่อน แล้วค่อยไปสมทบกับพวกท่านที่ทะเลสาบ”
               หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่หยิบปิ่นปักผมที่เสียบมวยผมอยู่ออกมา ขมุบขมิบท่องอะไรอยู่สักครู่ แล้วทันใดนั้นเอง ผีเสื้อสีน้ำเงินบนด้ามปิ่นก็ขยับปีกและโบยบินไปในอากาศประดุจมีชีวิต
               ชินจิมองทุกอย่างตาค้าง

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ชินจิเอ้ย อยู่ดีๆก็ต้องโชคร้าย
 :katai1:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
เป็นกำลังใจค่ะ :L1: ไม่ได้อ่านแนวนี้ซะนาน
ชอบฉากบรรยายมากเลย รู้สึกว่าสามารถวาดภาพตามได้เลยถ้ารู้จักสิ่งของในฉากนั้น

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ชินจิโดนเล่นหนักเลยนะเนี่ยยย :hao4:

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 16

        น้ำสีฟ้าสดในทะเลสาบบิวะที่เคยเรียบนิ่งปรากฎริ้วคลื่นเล็ก ๆ จากกลางทะเลสาบแล้วค่อย ๆ แผ่ออกเป็นวงกว้างจนถึงขอบฝั่ง พื้นดินโดยรอบทะเลสาบสั่นสะเทือน เมฆหมอกหนาทึบ
        มาซาฮารุยืนตัวตรง มือข้างหนึ่งกำดาบด้ามยาวสีดำแน่น เยื้องไปทางเบื้องหลังคือโอคินะ องครักษ์ประจำตัว ทั้งสองคนมองตรงเข้าไปในสายหมอกสีขาวขุ่นที่ค่อย ๆ คลายตัว ก่อนจะจางหายไปในที่สุด
        ร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งค่อย ๆ เยื้องย่างออกมาจากสายหมอกสีขาวนั้น ผมหยักศกสีทองยาวล้อมกรอบใบหน้าที่งดงามราวภาพวาด ดวงตาคมสีดำสนิท ร่างนั้นอยู่ในชุดคลุมสีดำลายลูกไม้วิจิตรยาวจรดพื้น สวมกางเกงสีดำแนบตัวกับรองเท้าบู๊ตหนังสีเดียวกันยาวครึ่งแข้ง
        ท้องฟ้าเบื้องบนคำรามครืนครัน เมื่อมนุษย์และอสูรเผชิญหน้ากัน
        มังกรขาวมิโคโตะประสานสายตากับนักปัดรังควานมาซาฮารุ รังสีความน่าเกรงขามแผ่ซ่านจนบรรดาอสูรที่ยืนเรียงกันอยู่เบื้องหลังพากันอึดอัดกระสับกระส่าย
        แล้วมนุษย์ก็เป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อน
        “ขอบคุณมังกรขาวที่ออกมาพบตามที่ข้าส่งสาส์นไป”
        “ท่านส่งจิ้งจอกเพลิงนำสาส์นถึงข้าเป็นครั้งที่สองแล้ว ถ้าข้าไม่ออกมาพบท่าน เห็นทีองครักษ์ของข้าคงจะต้องเสียแขนอีกข้างเป็นแน่”
        สายตาของมิโคโตะชำเลืองมองไปยังอสูรสายหมอกมุราซากิที่ยังคงพันผ้าพันแผลไว้ที่แขนข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วองครักษ์ของเขาพยายามจะหยุดชิกิงามิที่นักปัดรังควานเสกขึ้นมาจึงต้องเจ็บตัว แต่ครั้งนี้มิโคโตะลงมือเองจึงสามารถสลายพลังของชิกิงามินำสาส์นได้
        “ถ้าเช่นนั้น ท่านย่อมรู้แล้วว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
        มังกรขาวพยักศีรษะรับ มนุษย์จึงถือโอกาสนั้นสำทับด้วยความโกรธกรุ่น
        “อสูรโจมตีมนุษย์ซ้ำสองซ้ำสาม ท่านยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ แต่ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป ครั้งนี้อสูรของท่านโจมตีคนในปกครองของข้า ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร”
        มาซาฮารุขยับดาบดังแกรก เห็นคมดาบขาววาววับ ทำให้อสูรด้านหลังมิโคโตะขยับตัวเช่นกัน แต่มังกรขาวยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
        “ข้าได้ยินว่าพวกนั้นเป็นพวกยักษ์เล็ก ไม่ใช่อสูรในภูเขามิคามิที่ข้าดูแลอยู่ อสูรและภูตพรายชั้นต่ำพวกนั้นย่อมข้ามแดนไปมาและเข้าโจมตีพวกมนุษย์ได้ เพราะพวกมันไม่มีสมอง มีแต่สัญชาตญาณความหิวกระหายเท่านั้น”
        มาซาฮารุหรี่ตา ไม่พอใจอย่างรุนแรงที่มังกรขาวทำท่าจะปัดความรับผิดชอบ
        “ท่านมาซาฮารุ สาส์นจากท่านรุกะขอรับ” โอคินะกระซิบบอกมาจากเบื้องหลัง
        นักปัดรังควานสูงวัยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เช่นเดียวกับบรรดาอสูร เมื่อต่างสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ตรงเข้ามาใกล้ ครู่ต่อมา ผีเสื้อสีน้ำเงินตัวใหญ่ก็โบยบินเข้ามาเกาะที่ปลายด้ามดาบที่มาซาฮารุยื่นออกไป จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นกระดาษแผ่นยาว
        “สาส์นแจ้งว่า อสูรฝ่ายของท่านคือคาเสะฮายะร่วมอยู่ในเหตุการณ์โจมตีรถบัสด้วย มาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะปฏิเสธอีกหรือ ท่านมิโคโตะ ว่าอสูรไม่คิดทำร้ายมนุษย์”
        มาซาฮารุกระชากเสียงถาม หลังจากอ่านสาส์นจากผีเสื้อสีน้ำเงินจบ
        สีหน้าของมังกรขาวไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงก็ยังคงความนุ่มนวลสุภาพเอาไว้เหมือนเดิม เมื่อกล่าวโต้ตอบ
        “ข้าส่งคาเสะฮายะออกไปจริง แต่เพื่อดูสถานการณ์ทั่วไปเท่านั้น การเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีรถบัสเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าขอยืนยัน”
        “เรื่องบังเอิญ! ถ้าข้าส่งคนของข้าเข้าไปในเขตแดนของท่านแล้วโจมตีอสูรสักสองสามตน พอถูกจับได้ก็อ้างว่าเป็นเรื่องบังเอิญบ้าง ท่านก็จะยอมรับได้เหมือนกันใช่หรือไม่”
        “แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอสูรของข้า” มังกรขาวยืนกราน
        “จะอย่างไรก็ช่าง ข้าขอให้ท่านส่งตัวคาเสะฮายะมาให้ข้า ข้าจะสอบสวนมันเอง”
        “ข้าไม่ส่งคนของข้าให้ใครทั้งนั้น!”
        มังกรขาวกับมนุษย์จ้องหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ท้องฟ้าเบื้องบนคำรามลั่นอีกครั้ง ลมเริ่มพัดแรงขึ้น กวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นปลิวกระจายไปในอากาศ
        มาซาฮารุขยับดาบอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับที่โอคินะเสกชิกิงามิหลายตัวเตรียมจะเข้าโรมรันกับบรรดาอสูรพลพรรคของมังกรขาว
        มิโคโตะระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อเห็นนักปัดรังควานขยับตัว เขาก็ฉีกตัวหลบไปทางด้านข้างและให้คามินาริที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังใช้กระบี่รับดาบของมนุษย์ที่ฟาดฟันลงมาแทน คมดาบของมนุษย์แข็งแกร่งและทรงพลังกว่า กระบี่ของอสูรสายฟ้าหักออกเป็นสองท่อน
        “หยุดก่อนครับท่านพ่อ! อย่าเพิ่งสู้กัน!”
        เสียงของเออิจิโร่หยุดการปะทะกันได้อย่างฉิวเฉียด ชิกิงามิที่โอคินะปล่อยออกไปกลับกลายเป็นกระดาษร่วงลงบนพื้นก่อนที่จะได้โจมตี ส่วนมาซาฮารุก็ชะงักมือที่จับดาบอยู่ ทุกคนทั้งฝ่ายมนุษย์และอสูรหันมองไปยังผู้มาใหม่
        “ท่านพ่อ ชินจิคุงปลอดภัยดีแล้ว” เออิจิโร่ส่งเสียงบอกพลางเดินแกมวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับรุกะ
        “เอย์จิล่ะ อยู่ที่ไหน” บิดาถามทันที
        “เอย์จิกับโฮโจพาชินจิคุงกลับไปที่บ้านก่อนแล้วครับ” เออิจิโร่ตอบ ชำเลืองมองฝั่งอสูร ก่อนอธิบายว่า “ชินจิคุงบอกว่าได้ท่านคาเสะฮายะปกป้องไว้จากพวกยักษ์เล็ก”
        “ช่วยเอาไว้รึ” มาซาฮารุขมวดคิ้ว
        “ครับ ชินจิคุงว่าอย่างนั้น” ลูกชายคนโตยืนยัน
        “ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าคนของข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย” มิโคโตะกล่าวแทรก
        เออิจิโร่หันไปมองฝั่งอสูรเต็มตา อมยิ้มมุมปาก สีหน้าของเขากวนโมโหมากในสายตาของพวกอสูรที่กำลังมองอยู่
        “ก็ไม่แน่หรอกขอรับ ท่านมิโคโตะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ยียวนไม่แพ้หน้าตา “คนของเราบอกด้วยว่ายังมีใครอีกสองคนสวมผ้าคลุมตลอดทั้งตัวพยายามจะทำร้ายเขา แต่หนีไปก่อนที่นักปัดรังควานจะไปถึง มันก็ไม่แน่ใช่ไหมว่าไอ้โม่งสองคนนั้นอาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในฝ่ายของพวกท่านก็ได้”
        “เจ้าจะกล่าวหาใครก็ให้มันชัดเจนหน่อย เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” อิบุกิ อสูรอสรพิษ สวมชุดสีเทาแกมม่วงเข้มกรุยกรายถลึงตาใส่ชายหนุ่มด้วยความโมโห
         “ข้ายังไม่ได้กล่าวหาใคร อย่าเพิ่งร้อนตัวไปสิ ท่านอิบุกิ ข้าแค่บอกว่ามันไม่แน่ ถ้าไอ้โม่งไม่ใช่คนของฝ่ายท่าน ท่านก็ไม่ควรโมโหนะ”
         “เงียบ อิบุกิ” มิโคโตะปราม สีหน้าของเขามีแววครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณที่ให้ข้อมูล ท่านเออิจิโร่ ข้าจะต้องสอบสวนหาความจริงให้ได้อย่างแน่นอน”
         มังกรขาวลั่นวาจาเป็นสัญญา
         “ฮึ ก็ขอให้ทำได้ตามนั้นเถอะ” มาซาฮารุพ่นลมออกจากจมูกเป็นเชิงไม่เชื่อถือ “ถ้ายังมีอะไรเกิดขึ้นกับคนของข้าอีก ข้าจะไม่ขอไว้หน้าพวกท่านอีกแล้ว!”
         มนุษย์ประกาศลั่นเช่นกัน
              ทั้งสองฝั่งจ้องหน้ากันอีกครั้ง ความกดดันแผ่ซ่าน ฝุ่นดินปลิวกระจายจนต้องเอามือป้องตาไว้ ริ้วคลื่นในทะเลสาบยิ่งกระเพื่อมเป็นลอนใหญ่ขึ้น เมฆหมอกครึ้มขึ้นมาอีกระลอก ท้องฟ้าลั่นครืนโครมสนั่น
              หมอกสีขาวและสีม่วงค่อย ๆ แผ่กระจายกลืนร่างของอสูรจนหายวับไปทั้งหมด เมฆหนาครึ้มกระจายออกจนเห็นท้องฟ้าเบื้องบนสีน้ำเงินเข้มแกมดำของเวลากลางคืน แผ่นดินสงบนิ่งไม่สั่นสะเทือน คลื่นน้ำในทะเลสาบหายไป เป็นสัญญาณว่า เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว
              มาซาฮารุประกาศสั้น ๆ
              “กลับ!”

              ชินจิยังคงไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แต่หูเขาไม่เฝื่อนไปแน่และตาก็ไม่ได้ฝาดอย่างแน่นอน
ก็...ก็มันเห็นอยู่ทนโท่ขนาดนี้!
              ไอ้ตัวยาว ๆ ขนฟูที่เคยนึกว่ามันเป็นขนสัตว์ แต่มันไม่ใช่ขนสัตว์แล้ว มันขยับได้ด้วย
              เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการบอกเล่าเรื่องลี้ลับของหมู่บ้านคันโจโคเอนและภูเขามิคามิ เออิจิโร่เอากระบอกไม้ไผ่สีเขียวเข้มออกมาเปิดจุกออก แล้วเจ้าตัวยืด ๆ ขนฟูสีน้ำตาลอมแดงก็โผล่หัวออกมา ก่อนจะกระโดดไปหาเจ้าของของมัน รัดตัวรอบคอของชายหนุ่มจนดูเหมือนกับผ้าพันคอขนสัตว์นุ่ม ๆ
              “คูดะกีซึเนะ พังพอนจากภูเขาโอมิเนะ ชื่อว่าเนเน่จัง สัตว์เลี้ยงของฉันเอง” เออิจิโร่พูดพลางใช้นิ้วลูบขนสีน้ำตาลอมแดงของพังพอนที่มีชื่อน่ารักเกินตัวอย่างรักใคร่
              ชินจิหน้าเหย มองพังพอน มองหน้าเออิจิโร่ แล้วเลื่อนสายตามายังโฮโจ รุกะ และจบที่เอย์จิที่นั่งติดอยู่กับเขาบนโซฟาในห้องรับแขก
              หลังจากกลับมาถึงบ้าน เอย์จิพาเขาไปเช็ดตัว ทำแผล เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ที่สะอาด แล้วนั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมกับโฮโจ ระหว่างนี้รุ่นพี่ของเขาเล่าเรื่องของหมู่บ้านและภูเขามิคามิให้เขาฟัง เรื่องที่ได้ฟังตอบข้อสงสัยของชายหนุ่มได้ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าในโลกนี้ยังมีอสูรและภูตพรายอยู่
              กระทั่งมาซาฮารุ เออิจิโร่ รุกะและโอคินะกลับกันมาจากทะเลสาบบิวะ เจ้าบ้านคนปัจจุบันกวาดสายตามองเขาและลูกชายคนเล็ก ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ โอคินะซังซักถามอะไรนิดหน่อย ก่อนจะเดินจากไปอีกคนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายจนน่าเป็นห่วง เหลือเออิจิโร่กับรุกะที่ลงนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย ทั้งสองคนยังใส่ชุดฝึกกางเกงฮากามะ ที่หน้าอกของรุกะก็ยังมีเกราะหนังมุเนะอาเตะสวมอยู่ พอรู้ว่าเอย์จิเล่าเรื่องให้ชินจิฟังหมดแล้ว เออิจิโร่จึงงัดเอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองออกมาโชว์ให้ดูเป็นการยืนยันเสียเลย
               “เอ่อ.. ชื่อน่ารักดีนะครับ” ชินจิพยายามจะยิ้ม
               “เนเน่จังชอบเธอแล้ว” เออิจิโร่ประกาศ หลังจากเห็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองผงกหัวขึ้นมองเมื่อได้ยินคำชม
               “แม่สาวคนนี้ชอบให้มีคนชม”
               “มันบ้ายอต่างหาก” รุกะเอ่ยลอย ๆ แล้วถ้าชินจิมองไม่ผิด เจ้าพังพอนค้อนขวับทันทีเหมือนฟังภาษาคนรู้เรื่อง ยิ่งทำให้ชินจิอึ้ง นี่เขากลายเป็นอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ไปแล้วรึเปล่าเนี่ย แม่หนูอลิซลอดโพรงกระต่ายเข้าไป ส่วนเขาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเข้ามายังหมู่บ้านที่อยู่ในวงแหวนแห่งเปลวเพลิง
                “สรุปว่า เป็นเรื่องจริงสินะครับ อสูรและภูตพรายยังมีอยู่ที่นี่ ไอ้ตัวที่ทำร้ายผมคือยักษ์เล็กโชกิ แถมยังมีมังกรขาวกับมังกรแดงที่ถูกสะกดเอาไว้ในทะเลสาบ ลูกแก้ววิเศษที่ควบคุมน้ำได้ก็มีอยู่จริงด้วย ส่วนพวกคุณก็มีพลังปัดรังควาน”
                 “ใช่ แล้วถ้าคุณกลัว คุณจะกลับไปก็ได้ ฉันจะให้โฮโจไปส่งให้ถึงโตเกียว” รุกะเอ่ยขึ้นทันที สายตาของหล่อนวาววับ คาดหวัง แต่ชินจิส่ายหน้า
                 “ผมไม่กลัว” ชินจิพูดหนักแน่น “ตอนแรกผมอาจจะกลัว แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้วครับ ขอให้ผมอยู่ที่นี่ทำงานต่อไปจนครบกำหนดเถอะนะครับ”
                 ชายหนุ่มมองรุ่นพี่ของเขาด้วยสายตาวิงวอน
                 “ถ้าคุณอยู่ที่นี่ คุณอาจจะถูกทำร้ายอีกก็ได้ ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับคนธรรมดาอย่างคุณ” รุกะพูดไม่มีเยื่อใย แต่ชินจิก็ดื้อแพ่ง
                 “ผมไม่ไป อย่าเสือกไสผมออกไปจากที่นี่เลยนะครับรุกะซัง ผมขอร้อง”
                 “เอาล่ะ เอาล่ะ จะไม่มีการไปไหนทั้งนั้นแหละ ชินจิคุงอยู่ที่นี่ได้ตามที่ต้องการ” เออิจิโร่ไกล่เกลี่ย รุกะหน้าบึ้งตึง แย้งว่า
                 “แล้วถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะ เกิดชินจิซังบาดเจ็บหรือตายไป ใครจะรับผิดชอบ”
                 “ชินจิคุงถือเป็นคนของศาลเจ้า เราย่อมต้องปกป้องคุ้มครองเขาอยู่แล้ว” เออิจิโร่ตอบ
                 “แล้วเธอดูแลเขาได้ตลอดเวลารึไง” รุกะค้อนขวับ แล้วหันมาคาดคั้นกับเอย์จิที่นั่งเงียบมาตลอด
                 “พูดอะไรบ้างสิ เอย์จิ เธอต้องเห็นด้วยกับฉัน เธอก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเธอคุ้มครองใครไม่ได้ เธอคงไม่อยากเห็นรุ่นน้องต้องบาดเจ็บเหมือนวันนี้อีกใช่ไหมล่ะ”
                 เอย์จิกำหมัดแน่น คำพูดของรุกะแทงใจดำเขา แต่จะให้ชินจิไป เขาก็ทนไม่ได้เหมือนกัน จังหวะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้นเอง มือของชินจิก็เอื้อมมากุมมือของเขา พร้อมกับพูดเสียงหนักแน่นว่า
                 “คุณไม่จำเป็นต้องคุ้มครองผม ผมจะดูแลตัวเอง ขอแค่คุณอยู่กับผม แค่นี้ก็พอแล้ว” ชินจิมองหน้ารุ่นพี่ หัวใจของเขาเต้นระรัว เอย์จิซังมีปมเรื่องไม่มีพลังปัดรังควาน เขารู้ และการที่เอย์จิซังไม่สามารถคุ้มครองคนที่ตัวเองรักได้ก็เป็นสิ่งที่ติดใจมาตลอด แต่เขาไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ เขาไม่ต้องการคนที่มีพลัง ไม่ต้องการคนเก่งกาจ แต่ต้องการคนที่อยู่เคียงข้างเขา ขอแค่ความมั่นใจว่ามีคนที่จะอยู่เคียงข้างกันไป ขอแค่นี้เท่านั้น.. เท่านั้นเอง
                  แต่เอย์จิซังจะเข้าใจเขารึเปล่า
                  “เอย์จิ!” เสียงรุกะสำทับมาอีก
                  ชินจิรู้สึกว่ามือที่กำแน่นจนแข็งของรุ่นพี่คลายลง แล้วพลิกมาเป็นฝ่ายกุมมือของเขาไว้แทน สายตาของเอย์จิอ่อนโยนจนเขารู้สึกใจชื้น
                  “ฉันจะอยู่กับนาย”
                  ชินจิยิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ส่วนรุกะตาเขียว สะบัดหน้าพรืด พูดทิ้งท้ายเสียงแข็งก่อนจะเดินลงส้นออกไปจากห้องว่า
                  “ตามใจ อยากทำอะไรก็ตามใจ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน!”
                  เออิจิโร่เป่าลมพรูออกมาจากปาก ยิ้มแฉ่ง ประกาศว่า
                  “พายุผ่านไปแล้ว สถานการณ์คลี่คลาย แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้” ชายหนุ่มเอาเนเน่จังของเขาเข้ากระบอกไม้ไผ่ ก่อนหันไปหาชินจิ เอามือลูบศีรษะชายหนุ่มพลางบอกด้วยความเอ็นดูว่า
                  “ลำบากหน่อยนะชินจิคุง เธอไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องทำงานที่เรียวกังด้วย ให้พวกโฮโจดูแลไป เธอรักษาตัวให้หายดีก็พอ”
                  “แต่ผมไม่เป็นไรนะครับ ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากด้วย แค่ตกใจ ตอนนี้ก็หายแล้ว อย่าให้ผมหยุดงานอีกเลย ผมเกรงใจ”
                  “โฮ้ย จะเกรงใจทำม้าย” เออิจิโร่แกล้งลากเสียงล้อ “คำสั่งว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไป ไม่มีใครกล้าขัดอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง นายก็เป็นคนสำคัญสุด ๆ ของน้องชายฉันด้วย ไม่ต้องเกรงใจใครทั้งนั้น”
                  ชินจิหน้าแดงก่ำ
                  “พูดมาก เออิจิโร่” เอย์จิตวาดเสียงเขียว แต่หน้าของเขาก็มีริ้วสีแดงซ่านขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน เห็นแล้วพี่ชายฝาแฝดก็นึกขำระคนอิจฉา คนที่มีหัวใจรักนี่เป็นอย่างนี้นี่เองสินะ ความสุขมันฉายออกมาทั้งที่ดวงตาและสีหน้าท่าทาง ทั้งหมดทุกอย่าง ชนิดที่คนไม่มีหัวใจอย่างเขาคงไม่มีทางแสดงอะไรอย่างนี้ออกมาได้แน่
                   “ไปดีกว่า ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอละ ไปเถอะโฮโจ ปล่อยเขาอยู่กันสองคน”
                   “เออิจิโร่!”
                   เอย์จิฮึดฮัด แต่เจ้าพี่ชายตัวดีของเขาก็ชิ่งหนีออกจากห้องไปแล้วพร้อมกับองครักษ์ประจำตัวที่ยิ้มกว้างอย่างน่าโมโห
                   “เอ่อ... ขอโทษนะชินจิ อย่าไปฟังพวกนั้นเลย ชอบพูดจาเหลวไหล”
                   รุ่นพี่ของเขาอึกอักขัดเขิน เช่นเดียวกับชินจิที่ยังหน้าแดงไม่เลิก มือไม้ชักเริ่มเกะกะ ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดี จะพูดอะไรก็พูดไม่ถูก
                    “นาย.. นายไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เอย์จิพูด แต่พอขยับจะเข้าไปจูงมืออีกฝ่ายตามความเคยชิน ชายหนุ่มก็ชะงัก ดึงมือกลับเหมือนมือของชินจิเป็นถ่านไฟร้อน ๆ หน้าของเขาแดงขึ้นอีก
                    ชินจิกลั้นยิ้มจนริมฝีปากสั่น ข่มความอายอย่างเต็มที่ แล้วยื่นมือตัวเองไปจับมือของรุ่นพี่ก่อน เขาไม่กล้าสบตากับเอย์จิ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามือของรุ่นพี่กระชับมือของเขาไว้แน่น ไม่ได้สะบัดออกอย่างที่นึกกลัว
                    ชินจิยิ้มออกมาได้ เดินตามแรงจูงของเอย์จิไปจนถึงห้องของตัวเอง


ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
               ไกลออกไปในภูเขา...
               ท่ามกลางสายหมอกสีม่วงอ่อน ภายในปราสาทสีขาว เสียงโคโตะดังลอยออกมาจากห้องภายในหอคอยอามาอิ สถานที่อยู่ของมังกรขาว เสียงดนตรีดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นกระชาก สายโคโตะตวัดสั่นด้วยแรงดีดเป็นท่วงทำนองที่รุนแรง รวดเร็ว
               เสียงดนตรีกรีดกระชาก อากาศสั่นสะเทือน
               ทุกผู้ที่ได้สดับไม่อาจแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น
               เสียงดนตรียังดังต่อเนื่อง ก่อนจะหยุดกึก เมื่อสายโคโตะถูกดีดจนขาดสะบั้น
               ภายหลังบานประตูกระดาษที่เขียนลวดลายดอกเบญจมาศสีขาวและทอง เกิดเสียงโครมดังก้อง จากนั้นตามมาด้วยเสียงแตกเปรื่องปร่างและเสียงดังโครมครามอีกชุดใหญ่

               ชินจินอนไม่หลับ
               ชายหนุ่มถูกส่งเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่หลังจากงีบไปนิดหน่อย เขาก็ไม่หลับอีกเลย คงเพราะเรื่องตื่นเต้นเมื่อตอนเย็นทำให้เขาตาสว่าง ไม่มีทีท่าอยากจะนอนหลับต่อ ชายหนุ่มพลิกไปพลิกมาอยู่บนฟูกอีกครู่ใหญ่ก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมานั่ง
ตามเนื้อตัวของชายหนุ่มมีรอยถูกขีดข่วน แต่พอเช็ดเลือดแห้งออกและแต้มยา มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีแผลที่ฉีกลึกจนขนาดต้องเย็บหรืออะไรทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ตื่นตูมกับบาดแผลของเขาไปกันหมด
                โดยเฉพาะเอย์จิ
                คิดมาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มเขิน ๆ กับตัวเอง
                รุ่นพี่ที่แสนใจดีกลายมาเป็นคนสำคัญไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
                แต่ที่รู้ก็คือ เขาไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากจากรุ่นพี่ไปไหน อยากจะอยู่ข้าง ๆ ไปตลอดเลย
                นาฬิกาบอกเวลาดึกเต็มที ป่านนี้คงเข้านอนกันหมดแล้ว ชายหนุ่มตวัดผ้านวมออกจากตัว ตรงไปหยิบชุดสำหรับเปลี่ยนและอุปกรณ์อาบน้ำ เขารู้สึกไม่สบายตัว เมื่อตอนเย็นแค่เช็ดตัวไปเท่านั้น ถ้าได้แช่น้ำร้อนสักหน่อยคงสบายตัวมากขึ้น
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอย่างเบามือ จรดฝีเท้าย่องกริบไปตามทางจนถึงห้องอาบน้ำ
                ข้างในไม่มีคนสมความตั้งใจ อ่างอาบน้ำไม้มีฝาปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เห็นไอร้อนขึ้นเป็นสาย แต่จุดหมายของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาอยากจะออกไปที่บ่อน้ำกลางแจ้งมากกว่า เคยแต่ชะโงกหน้าออกไปดู ยังไม่มีโอกาสได้แช่เลยสักครั้ง
                ชินจิรีบอาบน้ำล้างตัวอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดประตูเลื่อนออกไปยังบ่อด้านนอก
                “ว้าว สวยจังเลย” ชายหนุ่มอุทานเบา ๆ
                นี่มันอย่างกับยุคิมิบุโระหรือบ่อออนเซ็นชมหิมะขนาดย่อม ๆ เลย รอบขอบบ่อเป็นหินก้อนใหญ่ ๆ ด้านหนึ่งเป็นชั้นหินสูงเหมือนผาขนาดย่อม อีกด้านหนึ่งเป็นสวนที่มีดอกไม้ฤดูใบไม้ร่วงกำลังชูช่อ ทั้งดอกคาร์เนชั่นสีชมพู ดอกคิเคียวสีฟ้าอมม่วง ทั้งดอกบานเป็นแฉกห้ากลีบและดอกตูมที่มีรูปทรงเหมือนระฆัง ดอกคุซุที่เป็นสีน้ำเงินตรงยอดไล่มาเป็นสีม่วงที่ฐานดอก ดอกคอสมอสหลากสี ดอกแพนซี่ รวมทั้งดอกเดซี่สีขาว ไกลออกไปเห็นต้นไม้ที่มีแต่กิ่งก้านสีเข้ม นี่ถ้ามีหิมะอีกหน่อยให้พื้นและกิ่งไม้กลายเป็นสีขาวเพราะมีหิมะเกาะก็คงจะสวยจนแทบลืมหายใจ
                 ชินจิมัวแต่ตกตะลึงจนไม่ทันสังเกตว่า มีใครคนหนึ่งแช่น้ำร้อนในบ่ออยู่ก่อนแล้ว

                 “นอนไม่หลับเหรอ”
                 เสียงทักเอื่อย ๆ ทำให้ชินจิตื่นจากภวังค์ทันที
                 “อะ.. เอย์จิซัง” ชายหนุ่มตกใจจนลิ้นแทบพันกัน เมื่อจู่ ๆ ก็เจอรุ่นพี่อย่างไม่ทันตั้งตัว แถมยังเป็นในห้องอาบน้ำอย่างนี้ด้วย
                 ความจริง การแช่น้ำร้อนกับคนอื่นเป็นเรื่องปกติมาก แต่ไม่ใช่กับรุ่นพี่เอย์จิ ยิ่งเมื่อความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วแบบนี้ด้วย เขายังไม่ได้ทำใจเลยและตอนนี้เขาก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว!
                 ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ต้องก้มมองก็พอเดาได้ว่า ตัวเขาคงจะแดงไปทั้งตัวด้วยความเขินอาย แต่จะวิ่งหนีก็ก้าวขาไม่ออกอีก เขาจึงยืนเหมือนรากงอกอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูก
                 เอย์จิพอจะเข้าใจความรู้สึกของชินจิ ในใจของเขานึกขำและเอ็นดู แต่ก็ไม่แสดงออกมา ชายหนุ่มหันหลังให้อย่างจงใจ เอาแขนพาดขอบบ่อไว้ พลางบอกว่า
                 “อยากแช่น้ำก็ลงมาสิ ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
                 เห็นรุ่นพี่เฉย ๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ชินจิก็ค่อยคลายใจ แต่เขายังลังเลว่าจะลงไปแช่น้ำบ่อเดียวกับเอย์จิดีไหมหรือจะเข้าไปแช่ในบ่อข้างในดี คิดไปคิดมาพร้อมกับชำเลืองมองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังคงเอาแขนพาดขอบอ่างนิ่ง ไม่หันกลับมา ชินจิก็ตัดสินใจได้ เขาเอาผ้าขนหนูผืนเล็กวางไว้บนหัวและค่อย ๆ ยื่นเท้าจุ่มลงไปในน้ำร้อน จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงไปแช่ทั้งตัว โดยรักษาระยะห่างจากรุ่นพี่ของเขาไว้พอสมควร
                  “สบายไหม น้ำร้อนไปรึเปล่า”
                  เอย์จิหันหลังกลับมาถาม
                  “คะ..ครับ สบายมากเลยครับ” ชินจิอึกอักเล็กน้อย หดคอลงอีกนิด หวังให้น้ำร้อนในบ่อที่เป็นสีฟ้าช่วยบดบังเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาไว้ให้พ้นสายตาที่กำลังจ้องตรงมา
                  “ดีแล้ว” เอย์จิพูดแค่นั้น แล้วหลับตาลง เอาหัวพาดกับขอบอ่าง
                  ชินจิยังรู้สึกเก้อกระดากอยู่ แต่ก็ค่อย ๆ ข่มใจ พยายามทำตัวให้เป็นปกติบ้าง แต่ก็ยังมิวายคอยชำเลืองมองเอย์จิอยู่เป็นระยะ ไม่ได้หวาดระแวง แต่เพราะความอายล้วน ๆ
                  บ่อน้ำร้อนอยู่กลางแจ้งทำให้ได้ยินเสียงลมพัดและเสียงใบไม้ต้องลมชัดเจน ตอนแรก ๆ ก็เป็นเสียงดังซู่ซ่าธรรมดา แต่ฟัง ๆ ไปก็ยิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ลมพัดแรงเหมือนช่วงก่อนเกิดพายุ และในสายลมมีเสียงดนตรีดังอยู่อีกแล้ว
                  “เอย์จิซัง” ชินจิผวาเข้าหารุ่นพี่ของเขาด้วยความลืมตัว สีหน้าตื่นตกใจ เพราะครั้งนี้เสียงดนตรีที่ได้ยินผิดแปลกไปกว่าทุกครั้ง มันเป็นเสียงโคโตะ แต่รุนแรงรวดเร็ว กระโชกกระชั้นและกราดเกรี้ยวอย่างน่าขนลุก
                  เอย์จิกางแขนโอบรุ่นน้องของเขาเข้ามากอดแนบอก ลูบหลังเบา ๆ อย่างปลอบประโลม
                  “ไม่มีอะไร ชินจิ เสียงดนตรีจากภูเขามิคามิเหมือนเดิมเท่านั้น”
                  “แต่มันแปลก มันฟังน่ากลัวพิกล” ชินจิพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
                  “ท่านมิโคโตะกำลังโกรธ” เอย์จิบอกเรียบ ๆ หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่ครู่ “ท่วงทำนองแบบนี้คือโคโตะของมังกรขาวมิโคโตะ”
                  “เขาโกรธที่ทำร้ายผมไม่ได้หรือครับ”
                  “ไม่ใช่หรอก นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอสูรคมเคียวตนนั้นช่วยนาย ท่านคาเสะฮายะเป็นอสูรจากฮะคุริว เป็นลูกน้องของมังกรขาว ถ้าท่านมิโคโตะโกรธ ก็น่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า”
                  “เรื่องอะไรครับ”
                  “ฉันก็ไม่รู้” เอย์จิส่ายหน้าพลางยิ้มปลอบว่า “แต่ไม่ต้องห่วง เราจะต้องรู้ให้ได้”
                  ชินจิพยักหน้ารับ
                  แล้วหลังจากเรื่องน่ากลัวผ่านไป ชินจิก็นึกได้ทันทีว่าตัวของเขาอยู่ในอ้อมแขนของเอย์จิ ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาเบียดแน่นอยู่กับร่างกายแข็งแกร่งกำยำของรุ่นพี่ หน้าของชายหนุ่มที่แดงเพราะน้ำร้อนอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งแดงก่ำ ชักอึดอัดขัดเขินจนต้องขยับตัวยุกยิก หวังให้รุ่นพี่คลายอ้อมกอด แต่เอย์จิก็ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น
                  “นายกลัวรึเปล่า” เอย์จิถาม
                  “ไม่ครับ”
                  “ไม่กลัวที่จะอยู่กับฉันด้วยใช่ไหม”
                  ชินจิประสานสายตากับรุ่นพี่ของเขา หน้ายังคงแดงอยู่ แล้วชายหนุ่มก็สั่นศีรษะเป็นคำตอบ ก่อนจะก้มหน้างุด
                  เอย์จิอมยิ้ม บรรจงกดริมฝีปากลงไปบนกลุ่มผมสีดำสนิท แล้วเลื่อนไปที่ขมับ ข้างแก้ม ก่อนจะมาถึงที่ริมฝีปาก
                  ชินจิหลับตาแน่น ตัวของเขาเกร็งในทีแรก ก่อนจะเริ่มผ่อนคลายลง และในที่สุดก็สามารถตอบรับสัมผัสอ่อนหวานของเอย์จิได้อย่างเต็มหัวใจ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ในที่สุดชินจิก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดซะที
เหยเขาจูบกันแล้ววว

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ชินจิได้รู้อะไรกับเขาสักทีน้ออ
แช่น้ำร้อนกอดซบ อร๊ายยย  :mew1: :-[

มังกรขาวโมโหอะไรอ่ะ ?


ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 17

        เอย์จิลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาขยับ ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กระซิบถามที่ข้างหูว่า
        “ทำไมยังไม่นอน หรือว่าหนาว”
        ศีรษะด้านหลังของชินจิสั่นเบา ๆ แต่ไม่ยอมตอบอะไร เขาจึงพลิกตัวอีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้าด้วย ชินจิในอ้อมกอดของเขายังหน้าแดงอยู่ ยิ่งต้องมองหน้ากันแบบนี้ ชินจิก็ยิ่งหน้าแดงเหมือนมะเขือเทศสุก ๆ
        “เป็นอะไร”
        “ผมรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไปน่ะครับ เอย์จิซังกอดผมไว้แบบนี้ แต่ผมกลัวว่านี่จะเป็นแค่ภาพลวงตา พอพรุ่งนี้เช้าหรือวันต่อ ๆ ไป เอย์จิซังจะไม่กอดผมอีก”
        สายตาของชายหนุ่มหวั่นไหว ไม่แน่ใจ และเป็นกังวล
        “คุณจะคิดว่าผมงี่เง่าเหลวไหลเกินไปรึเปล่า ถ้าผมจะขอร้องให้คุณกอดผมแบบนี้อีก”
        เอย์จิจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มรุ่นน้องพร้อมกับใช้สองมือประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ บังคับให้รุ่นน้องต้องสบตาด้วย
        “ลืมเรื่องในอดีตไปให้หมด ชินจิ แล้วฟังฉัน”
        ชินจิสบตากับรุ่นพี่ของเขา ในดวงตาของเอย์จิมีความมั่นคงและจริงใจ น้ำเสียงก็เช่นกัน ทุกคำที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
        “คำขอของนายไม่เหลวไหล นายอยากจะพูดหรือขออะไรฉันก็ได้ เราจะคุยกัน เราจะเข้าใจกัน”
        ชินจิรู้สึกว่าน้ำตาของเขารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจ และนั่นไม่พ้นสายตาของเอย์จิไปได้ รุ่นพี่จูบซับน้ำตาให้อีกครั้ง แล้วกอดเขาแน่นดังเดิม
        “ฉันจะกอดนายอย่างนี้โดยที่นายไม่จำเป็นต้องขอร้องฉัน ฉันจะกอดนายตลอดไปเลย”
        หัวใจของชินจิพองฟู อ้อมกอดของเอย์จิคือของจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาที่ปีศาจตนใดสร้างขึ้นมา ทุกครั้งที่เขาลืมตาขึ้น เขาก็ยังอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นแข็งแกร่งของรุ่นพี่เสมอ
        “คืนนี้นายจะไม่นอนเลยจริง ๆ สินะ” เอย์จิพูดกลั้วหัวเราะ
        “ผมขอโทษ แต่ผมไม่ง่วงเลยจริง ๆ”
        “ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง” เอย์จิพูด เลื่อนตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงพนักหัวเตียง ก่อนจะดึงตัวชินจิเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้งพร้อมกับดึงผ้านวมให้คลี่คลุมตัวช่วงล่างของคนในอ้อมแขนไว้
         ศีรษะของชินจิเอนพิงอกกว้างของรุ่นพี่ด้วยความไว้วางใจพลางมองไปรอบ ๆ
         ห้องนอนของเอย์จิเปิดไฟสลัว แต่ก็พอมองเห็นอะไร ๆ ได้อย่างชัดเจน เขาเคยเข้าไปในห้องของเอย์จิที่หอพักถนนมอลวิทซ์หลายครั้ง ห้องที่นั่นมีของเต็มไปหมด แต่ก็เก็บเป็นระเบียบ ชั้นหนังสือมีหนังสือใส่อยู่เต็ม บนโต๊ะทำงานเท่านั้นที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงกว่าทุกที่เพราะเต็มไปด้วยกองกระดาษและหนังสือที่เปิดค้างวางสุม ๆ กันเอาไว้ แต่โดยรวมก็เป็นห้องที่มีชีวิตชีวา แตกต่างจากห้องนี้ราวฟ้ากับดิน
         ห้องของเอย์จิที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลย มีแค่เตียงเตี้ย ๆ ตัวเดียววางอยู่กลางห้อง โต๊ะเล็ก ๆ ที่หัวเตียง โคมไฟอันใหญ่วางอยู่บนพื้นเสื่อตาตามิ ริมผนังด้านหนึ่งตั้งชั้นหนังสือกับโต๊ะทำงาน แต่มันว่างเปล่า แทบจะไม่มีหนังสือหรืออะไรวางไว้เลย
         “ฉันกลับมาที่นี่นาน ๆ ครั้ง ห้องก็เลยว่างแบบนี้แหละ ส่วนใหญ่ฉันอยู่อพาร์ตเม้นท์ที่โตเกียว” เอย์จิพูดเหมือนเดาใจชายหนุ่มได้
         “ภาพนั้นเป็นภาพอะไรเหรอครับ” ชินจิชี้ไปที่ภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ใส่กรอบอย่างเรียบร้อย แต่แค่วางพิงผนังเอาไว้เฉย ๆ
         “คิตสึเนะโนะโยเมอิริ” เอย์จิตอบ “การแต่งงานของหมาจิ้งจอก”
         “ผมเคยอ่านหนังสือเจอ เขาบอกว่า ถ้าวันไหนที่ฝนตกตอนที่ยังมีแดด แสดงว่าหมาจิ้งจอกกำลังจะแต่งงานกัน”
         “โอคินะซังชอบเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้พวกเราฟังบ่อย ๆ จิ้งจอกเก้าหาง คิวบิโนะคิตสึเนะ พญางูใหญ่ยามาตะ ยามาตะโนะโอโรจิ วิญญาณในทะเลอายาคาชิ หรือ โยไคชินคิโร ภาพลวงตาของปีศาจ อย่างที่คนโบราณเขาเชื่อกันว่า ลมหายใจของหอยกาบสามารถสร้างปราสาทบนทะเลได้”
          เอย์จิเล่า
          “ฉันชอบฟังเรื่องพวกนี้ ขณะที่คนอื่นเห็นว่ามันน่าเบื่อหน่าย อาจจะเพราะพวกนั้นสามารถเห็นภูตผีวิญญาณได้ มีฉันคนเดียวแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่รู้สึกได้ว่ามันมีอยู่เท่านั้น และพอไม่เห็นด้วยตา จินตนาการก็เลยเกิดขึ้นมาแทน ฉันวาดรูปตามเรื่องที่โอคินะซังเล่า คิดเอาเองว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันหลงใหลเรื่องราวที่ฉันมองไม่เห็น จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่องในภูเขานั่นแหละ ฉันก็ทำลายภาพที่เคยวาดเอาไว้ทิ้งไปจนหมด เหลือภาพนี้อยู่ภาพเดียวที่ท่านแม่เก็บเอาไว้ทัน แล้วท่านก็เอาไปใส่กรอบเก็บไว้ให้”
           ชินจิมองภาพในกรอบอย่างพิจารณามากขึ้น ฝีมือของเอย์จิไม่เลวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นฝีมือของเด็ก สามารถวาดภาพสุนัขจิ้งจอกใส่ชุดกิโมโนถือโคมไฟสีแดงเดินกันเป็นขบวน มีคนแบกเกี้ยว ผู้ติดตาม คนเดินเท้า ครบทุกตำแหน่งในขบวนแต่งงาน แสดงให้เห็นว่า เขาต้องใส่ใจและตั้งใจวาดมากจริง ๆ
           “แล้วท่านแม่ของเอย์จิซังล่ะครับ ท่านมิซากิชอบเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟังรึเปล่า”
           “ท่านแม่เหรอ ตรงกันข้ามเลย ท่านเล่านิทานฝรั่ง ฉันรู้จักซานตาคลอสขี่เลื่อนเทียมกวางเรนเดียร์ รู้จักอัสลันกับนาร์เนีย มาเธอร์กู๊ซ ยานอช เมอร์ลิน เจ้าชายน้อย มูมิน ก็จากท่านทั้งนั้น” เมื่อพูดถึงตอนนี้ นัยน์ตาของเอย์จิหม่นลงเล็กน้อยแต่ก็ระคนไปด้วยความรัก
           “ท่านแม่อยากให้ฉันรู้ว่า ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในโลกกว้างภายนอกหมู่บ้าน”
           ชินจินึกถึงใบหน้าหวานสวยของมารดาของเอย์จิที่เคยเห็นในรูปที่วางอยู่ในตู้บุตสึดัน ท่านมิซากิคงต้องพยายามอย่างมากในการเลี้ยงลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งเกิดปมด้อยหรือมีปัญหาในขณะที่ทั้งสองคนมีความแตกต่างกันมากถึงขนาดนี้
            “เอย์จิซังครับ”
            “หือม์”
            “เล่าเรื่องท่านมิซากิให้ผมฟังบ้างได้ไหม”
            “ท่านแม่ของฉันเป็นคนสวยมาก สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น” เอย์จิเริ่มเล่า สายตาของเขาเหม่อมองไปไกล พร้อม ๆ กับที่ภาพความทรงจำอันล้ำค่าต่าง ๆ ผุดขึ้นมา
            ชินจิหลับตาลงพลางนึกภาพตามเสียงทุ้มนุ่มนวลของรุ่นพี่ที่ดังอยู่เหนือศีรษะ

            เด็กชายอายุราวสิบขวบใส่ชุดยูกาตะสีม่วงอมแดงเข้มนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ใบหน้าของเขางอง้ำ บนพวงแก้มยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เด็กชายใช้ชายแขนเสื้อยูกาตะเช็ดหน้าตัวเองแรง ๆ พยายามแสดงความเข้มแข็งแต่ก็ทำได้ยากเต็มที น้ำตาไหลออกมาอีก เขาก็ยกแขนขึ้นเช็ดอีก ตั้งใจว่าถ้ามันยังไหลอยู่อีก เขาก็จะเช็ดต่อไปเรื่อย ๆ
             “เอย์จิ” เสียงอ่อนโยนเรียกชื่อเขาพร้อมกับที่เจ้าของเสียงทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหินกรวดข้าง ๆ
             “ท่านแม่”
             “ถูกท่านพ่อดุมาอีกแล้วใช่ไหม”
             เด็กชายพยักหน้า ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยท่าทางคับแค้นใจ
             “ท่านพ่อไม่รักผม ทุกคนสนใจแต่เออิจิโร่ เพราะเขามีพลัง ไม่อ่อนแอเหมือนผม”
             “ที่ว่าทุกคนสนใจแต่เออิจิโร่น่ะ รวมแม่ด้วยรึเปล่า”
             เด็กชายรีบส่ายหน้าแรง ๆ น้ำตาไหลเอ่อขึ้นมาอีกจนเขาต้องรีบเช็ดเพราะไม่อยากให้ท่านแม่เห็น แต่ท่านแม่ก็เห็นจนได้ เธอจับมือของเขาออกอย่างนุ่มนวลพลางบอกอย่างอ่อนโยนว่า
             “ถ้าลูกเสียใจ ลูกจะร้องไห้ก็ได้ การร้องไห้ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ แต่เป็นการระบายอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดา การที่ลูกร้องไห้ แสดงว่าลูกมีหัวใจ หัวใจที่สามารถรู้สึกได้และเมื่อเรารู้สึก เราก็จะสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ด้วย แม่คิดว่านี่แหละคือพลังและความเข้มแข็งของลูก เมื่อลูกรักเป็น ลูกก็ย่อมจะได้รับความรักตอบแทน”
              “แม้แต่กับท่านพ่อหรือครับ”
              “จ้ะ แม้แต่กับท่านพ่อ” มิซากิยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลูบศีรษะลูกชายคนเล็กอย่างรักใคร่ “จำไว้นะ เอย์จิ ไม่ว่าใครจะแสดงท่าทางเย็นชาหรือเข้มงวดกับลูกยังไง แม่ไม่อยากให้ลูกเคียดแค้นเกลียดชังหรือรู้สึกอะไรที่จะทำให้หัวใจอันบริสุทธิ์ของลูกแม่ต้องมัวหมอง สิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเราคือหัวใจ เชื่อแม่นะลูก หัวใจจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้นเองโดยไม่ต้องมีพลังปัดรังควานก็ได้”
               “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
               มารดายิ้มอีก แล้วถามว่า
               “ใครฆ่าเจ้านกโรบิน?”
               เอย์จิขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมต่อเนื้อเพลงเด็กของอังกฤษซึ่งจำได้จนขึ้นใจจากการร้องกับท่านแม่บ่อย ๆ
               “นกกระจอกตอบว่าฉันเอง
               ด้วยธนูและดอกศรอันเล็ก ๆ ของฉัน
               ฉันฆ่าเจ้านกโรบิน”

               “ใครเล่าเป็นคนเห็นเขาตาย
               แมลงวันตอบว่าฉันเอง
               ด้วยนัยน์ตาคู่เล็ก ๆ ของฉัน
               ฉันเห็นเขาตาย”

               “ใครเป็นคนรองรับหยาดเลือดเอาไว้ได้เล่า
               ปลาตอบว่าฉันเอง
               ด้วยจานใบเล็ก ๆ ของฉัน
               ฉันรองเลือดของเขาเอาไว้”

               “ใครกันจะเป็นคนเย็บผ้าห่อศพให้เขา
              ตัวด้วงบอกว่าฉันเอง
              ด้วยด้ายและเข็มของฉัน
              ฉันจะเย็บผ้าห่อศพให้เขา”

              “ใครจะเป็นคนถือคบไฟล่ะ
              นกลีนเน็ตบอกว่าฉันเอง
              ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ
              ฉันจะเป็นคนถือคบไฟ”

              “แล้วใครจะเป็นแม่งานดี
              นกจาบฝนตอบว่าฉันเอง
              ถ้าหากยังไม่มืดค่ำแล้วล่ะก็
              ฉันจะเป็นแม่งานเอง”

              “ใครจะขุดหลุมฝังศพให้เขา
              นกฮูกตอบว่าฉันเอง
              ด้วยเสียมและพลั่วของฉัน
              ฉันจะขุดหลุมฝังศพของเขา”

              “ใครเป็นบาทหลวงดีล่ะ
              นกกาตอบว่าฉันเอง
              ด้วยพระคัมภีร์เล่มเล็กของฉัน
              ฉันจะเป็นบาทหลวงให้เอง”

              “แล้วใครจะนำกล่าวไว้อาลัย
              นกพิราบบอกว่าฉันเอง
              ฉันจะไว้อาลัยแด่เพื่อนรัก
              ฉันจะเป็นคนนำกล่าวให้เอง”

              “ใครจะร้องเพลงสวดรู้ไหม
              นกเดินดงร้องตอบจากในพุ่มไม้
              ว่าฉันเอง 
              ฉันจะร้องเพลงสวดให้”

              “งั้นใครจะแบกโลงศพ
              นกเหยี่ยวตอบว่าฉันเอง
              หากไม่ใช่ในยามราตรีแล้วไซร้
              ฉันจะแบกโลงศพให้เอง”

              “ใครจะสั่นระฆังให้เล่าทีนี้
              วัวกระทิงตอบว่าฉันเอง
              เพราะฉันลากไถได้ง่ายดาย
              ฉันจะเป็นคนสั่นระฆังเอง”

              “วิหคทั้งมวลพากันคร่ำครวญหวนไห้
              เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน
              แสดงการจากไปของเจ้านกโรบินผู้แสนดี”

              หลังจบบทเพลงเด็กที่ร้องด้วยกัน มิซากิก็ยิ้มให้ลูกชาย พูดว่า
              “เห็นไหมล่ะจ๊ะ นกโรบินผู้แสนดี มีแต่คนรัก เมื่อจากไปก็มีแต่คนระลึกถึงและช่วยกันจัดงานศพให้อย่างดี”
              แต่เอย์จิฟังแล้วขมวดคิ้ว
              “แล้วนกกระจอกล่ะครับ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย นกกระจอกฆ่านกโรบินแท้ ๆ”
              “เพลงไม่ได้พูดถึงเพราะเรารู้กันอยู่แล้วไงจ๊ะ ใครทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ผู้ที่ทำผิด เป็นคนไม่ดีจะไม่ได้รับการจดจำ มีแต่คนดีอย่างนกโรบินเท่านั้นล่ะจ้ะที่จะมีแต่คนพูดถึง”
              มิซากิมองลูกชายคนเล็ก ถามว่า
              “เอย์จิอยากเป็นนกโรบินหรือนกกระจอกล่ะจ๊ะ”
              “ผมอยากเป็นนกโรบิน ผมอยากให้มีคนรักผม โดยเฉพาะท่านแม่” เด็กหนุ่มตอบ
              “แม่รักลูกอยู่แล้ว พ่อนกโรบินแสนดีของแม่” มิซากิกอดลูกชายแนบอก “งั้นพ่อคนเก่ง เลิกเสียใจได้แล้วนะ มาช่วยแม่ที่เรียวกังดีกว่า แม่จะสอนลูกชงชากับทำขนม แล้วถ้าลูกทำได้ดีนะ คลาสชงชาครั้งหน้า แม่จะให้ลูกเป็นคุณครูสอนเองเลย ดีไหมจ๊ะ”
              “ครับท่านแม่” เด็กชายกอดมารดาแน่น สีหน้าของเขามีความสุขขึ้นกว่าเมื่อสักครู่นี้มาก

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
             “ผมเคยได้ยินแต่เพลงมาเธอร์กู๊ซ ไม่เคยได้ยินเพลงนี้เลย” ชินจิพึมพำ
        “เพลง ‘ใครฆ่าเจ้านกโรบิน’ ก็เหมือนกับมาเธอร์กู๊ซ เป็นเพลงเด็กของอังกฤษ รวมอยู่ในหนังสือ Classic Nursery Rhymes of England เพลงอื่น ๆ ก็อย่าง three blind mice เจ้าหนูตาบอดสามตัว นายต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว”
        “นั่นก็ใช่เหรอครับ ไม่รู้มาก่อนเลย” ชินจิอุทาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชม “ท่านมิซากินี่เก่งจังนะครับ จะมีผู้หญิงที่ไหนสนใจเพลงหรือเทพนิยายตะวันตกอย่างนี้บ้าง”
        “ท่านแม่เรียนจบคณะเดียวกับนายนั่นแหละ ก่อนจะแต่งงานกับท่านพ่อแล้วมาเป็นโอะคะมิซังอยู่ที่นี่”
        “มิน่า ท่านถึงมีความรู้ดีขนาดนี้” ชินจิถึงบางอ้อ
        “ส่วนท่านพ่อน่ะเรียนมาทางด้านศาสนาอย่างเดียวเลย เพื่อเป็นพระและผู้ดูแลศาลเจ้า สืบทอดตระกูลต่อไป ท่านก็เลยค่อนข้างเคร่งครัดและเจ้าระเบียบ ไม่ค่อยยืดหยุ่น ไม่มีจิตวิทยาอย่างท่านแม่ ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ และความสามารถในการปัดรังควานถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับความคงอยู่ของตระกูลของเรา” เอย์จิเล่า
         “ฟังดูแตกต่างกันจังเลย ท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณอยู่ด้วยกันได้ยังไงเนี่ย” ชินจิอดแสดงความแปลกใจออกมาไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าอาจจะเป็นคำถามที่ไม่สมควรนักแต่เขาก็อยากรู้จริง ๆ
         “อยู่ได้สิ เพราะท่านพ่อรักท่านแม่มาก” เอย์จิตอบยิ้ม ๆ “ท่านแม่เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ช่างพูด ช่างเย้าแหย่ บางทีก็สร้างเรื่องให้ทุกคนหัวปั่น อย่างเช่นวันหนึ่ง จู่ ๆ ก็จัดบ้านให้เป็นแบบร่วมสมัยแทนแบบญี่ปุ่นที่เก่าทึบทึม คนเฒ่าคนแก่ที่นี่อ้าปากค้างกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครขัดได้ ท่านพ่อก็ขัดไม่ได้ การเลี้ยงลูกก็เหมือนกัน ท่านแม่ไม่ขัดที่ท่านพ่อจะเข้มงวดกับเออิจิโร่ แต่การเลี้ยงดูฉัน ท่านต้องมีสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว เพราะท่านคาดเอาไว้แล้วว่า ฉันจะโตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหาอย่างแน่นอน”
        “ซึ่งก็เป็นจริง ๆ”
        เอย์จิพยักหน้า
        “จะไม่เป็นได้ไงล่ะ โตมาเหมือนหมาหัวเน่าไม่มีผิด ใคร ๆ ก็พะนอแต่เออิจิโร่ ว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไปทั้งนั้น มีท่านแม่คนเดียวที่เอาใจใส่ดูแลฉันอย่างใกล้ชิด ปลูกฝังให้ฉันเห็นค่าสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่มีวันมีได้ สอนให้ฉันยอมรับความจริงของโลกใบนี้ให้ได้แม้ว่าจะยากแค่ไหน แม้จะรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมยังไงก็ตาม ท่านแม่ยังคอยย้ำเตือนให้ฉันตระหนักถึงคำว่า หัวใจรักที่บริสุทธิ์”
         เอย์จิกระชับวงแขนของเขาแน่นขึ้นอีกนิด คางเกยอยู่ที่ไหล่ของชินจิ
         “อย่างเพลงใครฆ่าเจ้านกโรบินนั่นยังไง โตขึ้นถึงรู้ว่ามันมีความนัยแฝงเกินกว่าจะเป็นแค่เพลงเด็กธรรมดา ตีความกันไปหลายแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวเสียดสีสังคม คนดีต้องตาย ส่วนคนที่เป็นฆาตกรกลับลอยนวล ไม่มีใครพูดถึงความผิดของเจ้านกกระจอกสักนิด ท่านแม่ก็คงอยากให้ฉันรู้ โลกนี้มันไม่ยุติธรรมหรอก แต่เราก็ต้องอยู่ ทีนี้เราจะอยู่อย่างนกโรบินหรือนกกระจอกล่ะ”
          “คุณเลือกนกโรบิน”
          เอย์จิพยักหน้า แต่ก็เสริมด้วยว่า
          “เมื่อก่อนก็อยากเป็นนกกระจอก เคยเอาธนูยิงลูกนกตายเพราะแค่อยากจะยิงเล่น ๆ ท่านแม่ไม่ดุด่าฉันสักคำ แต่ให้ฉันเย็บผ้าห่อศพลูกนกแล้วขุดหลุมฝัง ทำป้ายสุสานให้มันด้วย ตลอดเวลาท่านแม่ร้องไห้ บอกว่าท่านสงสารมัน สงสารแม่นกด้วย ป่านนี้แม่นกคงเป็นห่วงและบินตามหาลูกมันจนเหนื่อย แม่นกคงกำลังร้องไห้เหมือนที่ท่านร้องไห้ตอนนี้ และท่านก็บอกว่าถ้ามีคนฆ่าฉันหรือเออิจิโร่บ้าง ท่านก็คงร้องไห้จนใจสลายตายตามไปอีกคน ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เลยไม่คิดอยากเป็นนกกระจอกอีก ถ้าการกระทำของฉันทำให้ท่านแม่ต้องร้องไห้อีก ก็ให้ฉันตายเสียดีกว่า”
          ชินจิหันหลังมากอดตอบเมื่อรู้สึกว่าร่างของเอย์จิที่โอบเขาอยู่สั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ ท่านมิซากิเสียชีวิตไปแล้ว สำหรับรุ่นพี่ของเขา คงเหมือนมีใครมาควักหัวใจไปทั้งดวง
          “ถ้าตอนนี้ท่านมิซากิยังอยู่ ท่านต้องภูมิใจในตัวเอย์จิซังแน่ ๆ ครับ คุณทำได้เหมือนที่ท่านแม่หวังเอาไว้ทุกอย่างเลยนี่นา”
          “ไม่ทุกอย่างหรอก ฉันยังน้อยใจและเสียใจท่านพ่ออยู่ บางครั้งก็ยังอิจฉาและโมโหเออิจิโร่”
          “มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ ในเมื่อเรามีหัวใจที่สามารถรู้สึกได้มากมายหลากหลายนี่นา คนที่ไม่รู้สึกอะไรต่างหากที่น่ากลัวและไม่ปกติแล้ว”
          เอย์จิยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำพูดที่เข้าข้างเขาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่เขาก็พอใจที่ได้ยินอย่างนั้น
          “ตอนนี้ฉันไม่มีท่านแม่แล้ว ฉันไม่มีใครเลย ชินจิ นายจะยังอยู่กับฉันใช่ไหม”
          “ผมจะอยู่กับคุณ” ชินจิสบตากับรุ่นพี่ของเขา ประโยคที่เอ่ยออกมาเป็นดั่งคำปฏิญาณจากหัวใจ 
               “ผมจะปกป้องคุณแทนท่านมิซากิเอง”

                                                               ...................

               “เอย์ ~ จิ ~ คุง ~”
               เสียงแปลก ๆ ดังอยู่หน้าประตูห้อง เป็นเสียงเรียกชื่อที่ฟังยานคางจนน่าหงุดหงิด และมันดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะหยุด
               ชินจิตื่นขึ้นเพราะเสียงประหลาดนี้เช่นกัน เขายกมือขึ้นขยี้ตา งัวเงียถามว่า
               “เสียงอะไรหรือครับ”
               เอย์จิตื่นก่อนรุ่นน้องและนั่งฟังมาครู่ใหญ่แล้ว ชายหนุ่มทำหน้าเมื่อย ตอบเซ็ง ๆ ว่า
               “โซเดฮีกิโคะโซ ล่ะมั้ง ไอ้พวกปีศาจดึงแขนเสื้อน่ะ ถ้าเราทำเป็นไม่สนใจ มันก็จะยิ่งแกล้งเรามากขึ้น เป็นพวกตัวยุ่ง ชอบก่อกวนผู้คน ทำให้รำคาญจนอยากจะบีบคอให้ตาย”
               ตอนแรกชินจิฟังแล้วงง จะเป็นปีศาจดึงแขนเสื้อไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้เอย์จิไม่ได้ใส่เสื้ออยู่สักหน่อย แต่พอหายงัวเงีย เห็นท่าทางเข่นเขี้ยวกับลมกับแล้งของเอย์จิ แล้วได้ตั้งใจฟังดี ๆ อีกครั้ง ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา
               “ถ้าไม่ยอมเปิดประตูให้ เห็นทีเขาจะไม่หยุดนะครับ”
               “สักวันเถอะ ฉันจะเอาธนูปัดรังควานยิงกรอกปากมันซะให้เข็ด ไอ้ปีศาจ” เอย์จิลุกขึ้นจากเตียง ก้มลงหยิบชุดยูกาตะที่กองอยู่บนพื้นมาใส่ลวก ๆ
               “ผมว่าผมออกไปก่อนดีกว่าครับ” ชินจิลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า ตั้งใจจะเปิดประตูระเบียงข้ามสวนกลับไปยังห้องของตัวเอง แต่เอย์จิหันขวับมามองหน้า คิ้วขมวด ดุว่า
               “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว นายทำอะไรผิดถึงต้องหลบหน้า ไอ้หมอนั่นมันมากวนประสาทแต่เช้าก็เพราะอยากเห็นนายอยู่ในห้องฉัน ฉันก็จะให้มันได้เห็น”
               “แต่คนอื่น ๆ ล่ะครับจะคิดยังไง ท่านมาซาฮารุ โอคินะซัง ทุกคน” ชินจิเป็นกังวล
               “ฉันไม่ใช่เออิจิโร่ ไม่มีใครสนใจเรื่องของฉันหรอกว่าฉันจะทำอะไร จะคบใคร จะรักใคร” เอย์จิจ้องด้วยสายตาวาววับจนคนถูกจ้องต้องหลบตาด้วยความขัดเขิน
               “แต่ถ้านายเปลี่ยนใจไปคบกับเออิจิโร่ล่ะก็ นายมีปัญหากับพ่อฉันแน่นอน”
               ประโยคท้ายของรุ่นพี่ทำเอาชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโวยทันที
               “เอย์จิซัง!”
               คนแกล้งจึงต้องขอโทษด้วยการก้มลงไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนจะเดินฉับ ๆ ผ่านชั้นหนังสือไปที่ประตูห้องนอน เสียงยานคางยังคงดังไม่หยุด และมันน่ารำคาญอย่างเหลือแสน
               เอย์จิกระชากประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมกับฟาดพัดกระดาษที่คว้าติดมือมาด้วยจากชั้นหนังสือลงไปบนหัวของคนที่ยืนอยู่หลังประตูดังป้าบ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2016 22:43:44 โดย Mettnoon »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด