บทที่ 30 ด่านสุดท้าย ?!!! “แม่!!!” ต่ายร้องลั่น มองแม่ตัวเองที่ยืนจังก้าเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้าทีวีด้วยท่าทางขึงขัง มือไม้ทำอะไรไม่ถูกคว้าสะเปะสะปะไปหมด ยิ่งเห็นสายตาเยี่ยงนางมารร้าย หัวใจน้อยๆก็แทบจะวายตาย
ในหัวมีแต่คำว่า
ซวยแล้ว!! เต็มไปหมด
“บอกแม่มานะ แกทำอะไรน้องไทก์ห๊ะ!!”
“ทะ-ทำอะไรแม่ เล่นกันเฉยๆ” ต่ายที่ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หัวเราะแบบแห้งๆไป
แต่มีหรือที่คนอย่างนาถลดาจะเชื่อ !!“อย่ามาโกหก แม่เห็นอยู่ตำตา แกขืนใจน้องใช่ไหม นี่อะไร กลางวันแสกๆแท้ๆ แกยังกล้าทำแบบนี้อีก”
ต่ายอ้าปากเหวอกับคำพูดของคนตรงหน้า
เมื่อกี้ ….
แม่บอกว่าเขา …
ขืนใจไทกริสงั้นเหรอ?!
“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว แม๊!!!!!” ต่ายตะโกนลั่น มองเจ้าเด็กโค่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้ามึนๆ แต่รู้สึกแววตาเต้นระริก ราวกับสนุก
หน้าตาแบบนี้เหมือนคนโดนขืนใจตรงไหนกันเนี่ย !!!
“นี่แกตะโกนใส่แม่หรอ หาาา?” สองแม่ลูกตะโกนใส่กัน อย่างกับอยู่ห่างกันเป็นวา ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่โต๊ะเล็กๆกั้นไว้
“เปล่าซะหน่อย ต่ายว่า.... แม่นั่งก่อนนะ ทำใจดีๆก่อนนะแม่นะ”
“แม่ยังไม่ตายนะ มาทำใจดีๆอะไร” อีกคนว่าเสียงสะบัด ต่ายแทบอยากจะระเบิดตัวตายไปซะเดี๋ยวนั้น
ชายหนุ่มรีบเข้าไปประคองมารดา ก่อนจะพาไปนั่งโซฟา ที่เดียวกับที่เพิ่งลุกไปเมื่อกี้
“แล้วนี่แกจะบอกได้ยัง ว่าทำอะไรน้องห๊ะ?”
“แม่ก็ใจเย็นๆก่อนได้ไหมเนี่ย มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดหรอกน่าาา” ชายหนุ่มมองหน้ามารดาตนที มองหน้าผู้ร่วมก่อเหตุ?!ที แต่พออีกคนทำหน้าซื่อตาใสแล้ว ได้แต่ใบ้กิน
ทำไมไม่ช่วยกันทำมาหากินเล้ยยย
ในขณะที่กำลังเรียบเรียงคำพูด ราวกับคอมพิวเตอร์ที่กำลังประมวลภาษาจากตัวเลข0 1 อยู่นั้น ….
เจ้าเด็กโค่งที่เงียบมานาน ก็เอ่ยขึ้น
“ป้าดาครับ”
“จ๋า ว่าไงลูก”
ทีงี้รับเสียงหวานเชียว กับลูกแทบจะฆ่ากันให้ได้ ชายหนุ่มบ่นในใจ
แต่ก็ได้แต่ลุ้นว่า เจ้าเด็กโค่งจะพูดอะไรออกมา
หวังว่าคงจะไม่พูดอะไรแปลกๆออกมานะ
“เราสองคนเป็นแฟนกันครับ”
โอ้ จอร์จจจจจจจจจจจจจจ
นี่มึงก็ตรงเกินไปแล้ววว !!!แม้จะตอบแบบไม่ตรงคำถาม แต่ก็อธิบายเรื่องราวได้ทั้งหมดภายในคำพูดเดียว .....
“หา???” สีหน้าของนาถลดาไม่เหลือเค้านางมารร้ายเมื่อสักครู่
ต่ายแทบอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงรัวๆ แต่ก็ได้แต่คิดเพราะกลัวเจ็บ ยิ่งเห็นสีหน้าแม่ตัวเองลางร้ายเริ่มส่งสัญญาณ
เลยต้องรีบเข้าชาร์จแขนของหญิงสาวเอาไว้
“แม่ ต่ายขอโทษที่ไม่ได้บอกแม่เรื่องนี้ แต่ว่า...” สายตาเหลือบมองคนข้างๆ
“คือเราก็เพิ่งคบกัน ไม่กี่เดือนนี้เอง ที่ต่ายไม่ได้พูดเรื่องนี้ เพราะต่ายก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
“ต่ายขอโทษที่ต่ายเลือกทางนี้ และก็อาจจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง แต่ต่าย ..... ไม่ปึ๋งปั๋งกับผู้หญิงตั้งแต่อยู่กับไทกริสแล้วอ่ะ” ต่ายกลืนน้ำลาย รอดูปฏิกิริยาของแม่ตน ว่าจะเข้าโหมดไหน ..
นาถลดามองหน้าลูกชายตนกับคนที่เป็นเหมือนลูกชายอีกคน พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เด็กสองคนนี้ คนแรกก็คลอดเองก็มือกับอีกคนก็เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
แม้เธอจะเคยแปลกใจ ในครั้งแรกที่เจอกับไทกริส ก่อนที่จะได้รับฝากฝังจากรุ่นน้องสมัยเรียน
เด็กในวัยนี้ น่าจะเริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านแล้วแท้ๆ แต่กลับอยู่กับลูกชายของตนที่เป็นคนห่ามๆ ได้อย่างนี้
“...ถามว่าแม่ผิดหวังไหม ก็นะ แม่ก็อยากเห็นลูกได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักและรักเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใด แม่อยากให้ลูกมีความสุขกับสิ่งที่ลูกเลือกมากกว่า แม่เองก็เคยสอนหลายครั้งแล้วว่าลูกรักใครซักคนมันไม่ผิดหรอก ตราบใดที่ลูกมีความสุขอย่างแท้จริง ไม่เดือดร้อนใคร แม่ก็ยอมรับด้วย” ฝ่ามือนุ่มลูบหัวเด็กทั้งสองอย่างรักใคร่
“แม่ครับ..” คำพูดหวานซึ้งที่ไม่ค่อยได้รับจากมารดา ทำเอาต่ายน้ำตาคลอ มองหน้าแม่ตัวเองอย่างอึ้งๆ
“น้องไทก์ แน่ใจนะ ว่าจะเลือกลูกป้าน่ะ”
“แน่ใจครับ”
“เบื่อแล้วไม่รับคืนนะ เดี๋ยวแถมข้าวสารไปให้ถังนึงด้วย”
“แม่!”
“โอ้ยย อยู่ใกล้แค่นี้จะเรียกเสียงดังทำไม ไม่ได้หูตึงนะยะ”
“นึกว่าตึงแล้ว!”
“เดี๋ยวเถอะ แล้วนี่.. แม่เรารู้เรื่องงรึยัง คงจะยังสินะ นี่แม่ต้องเตรียมดอกไม้ไปขอขมาไหมเนี่ย เฮ้ออออ ”
เด็กหนุ่มทั้งสองได้แต่กระพริบตาปริบๆให้กับหญิงสาวตรงหน้าที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เหมือนกสับสวิตซ์ได้
แบบนี้ แปลว่า ผ่าน แล้วใช่ไหม ในความสับสนและมึนงง ที่อยู่ๆคุณนายของบ้านที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาชาติเศษ จนคิดว่าไปปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่เชียงใหม่ไปแล้วด้วยซ้ำ กลับมาบ้าน โดยไม่บอกล่วงหน้าเลย
ไหนจะเรื่องที่ยอมรับพวกเขาได้ง่ายๆแบบนี้
ซึ่งถามว่าดีใจไหม
ทำไมจะไม่ดีใจกัน
แต่ …..
มันก็ง่ายเกิ๊นนนนนนนน นี่เขาคิดมากจนเป็นตุเป็นตะ จนทะเลาะกับไทกริสไปเพื่ออะไร??
แม้ด่านแรกจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่พ่วงด้วยการโดนแม่บังเกิดเกล้าขัดขวางวันหยุดที่มีค่าของพวกเขา ด้วยการอยู่กับบ้านเฝ้าคอยเฝ้าระวัง
ด้วยเหตุผลที่ว่า
เพื่อไม่ให้กระต่ายป่าผู้หิวโหยกระโดดฟัดกับลูกเสือน้อยที่น่าสงสาร พอได้ยิน ต่ายแทบฮาก๊าก
นี่แม่เขาคิดว่า ไทกริสนั้นเป็นเสือน้อยไร้เขี้ยวเล็บเรอะ
ขอบอกว่า
ผิดถนัดเลยเถอะ!
แต่ครั้นจะชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจแบบถูกก็ป่วยการณ์ เพราะนายไทกริสในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายไทกริสในวันวานสำหรับคุณนายนาถลดา
เช้าวันอาทิตย์อันสดใส เด็กหนุ่มทั้งสองก็ถูกปลุกด้วยนาฬิกาเดินได้อย่างนาถลดา เพื่อให้ทั้งคู่ไปช่วยกันหิ้วของสดจากตลาด
ตลาดสดยามเช้าผู้คนช่างคึกคัก พอๆกับกับกลิ่นคาวจากอาหารทะเล ต่ายน่ะพอชิน แต่เด็กโค่งตัวขาวที่เดินอยู่ข้างๆเขานี่สิ
หน้างี้มุ่ยเชียว อย่างกับใครเอาขี้หมาทาจมูก
ก็นะ คุณหนูไทกริส ที่ครอบครัวแสนรักแสนหวงแสนสปอยล์ คงไม่เคยเดินตลาดสดแบบนี้แน่ๆ
เดินไปตามทางก็มีแต่แม่ค้าทักกัน ว่ามีลูกชายหล่อ โดยเฉพาะเจ้าเด็กโค่งตัวขาว
คุณนายนาถลดาพอได้ยินก็ยิ้มหน้าบานอย่างกับจานดาวเทียมดำ ประหนึ่งเป็นคนคลอดออกมาเอง
ต่ายคิดว่า ที่ให้พวกเขามาสองคน คุณนายต้องซื้อของเยอะแน่ๆ
แต่ ...... ถ้าไม่นับข้าวของจากแม่ค้าปากหวาน ก็มีแค่ปลานิลขนาดโลกว่าๆ 2 ตัว กับ ฟอยล์ห่อปลา ที่หาซื้อในเซเว่นก็ได้
โถ่ เวลานอนอันมีค่า ....พอบ่นออกมาให้ได้ยิน ก็โดนตอกกลับด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ที่ดูยังไงก็เสแสร้งชัดๆ
“แกจะไม่คิดจะช่วยแม่ถือเลยรึไง ถ้าเกิดแม่เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง”
ต่ายได้แต่กลอกตา ผู้หญิงคนนี้น่ะเหรอ
ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยเห็นคนคนนี้ป่วยซะครั้ง เชื่อเถอะ ผู้หญิงคนนี้แข็งแรง บึกบึน ขนาดล้มหมีมือเปล่าได้ง่ายๆ
(อ้างอิง : จากคำบอกเล่าของพ่อ)
พอกลับถึงบ้าน คุณนายท่านก็เดินตัวปลิว ปล่อยให้ลูกในไส้กับนอกไส้ นั่งก่อเตาไฟหน้าดำหน้าแดง (คงจะรู้นะว่าใครหน้าอะไร)
สุดท้าย เมี่ยงปลาเผาสูตรคุณนายนาถลดา ก็กลายมาเป็นอาหารมื้อเช้า+เที่ยงของพวกเขาไป
การที่มีคุณนายนาถลดาอยู่ในบ้านหลังนี้ ! ฉะนั้นวันหยุดที่แสนโหยหาของต่าบและไทกริส ก็ผ่านไปด้วยกันแค่กินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน(โดยมีแม่ของต่ายนอนตรงกลาง!!) ที่ลงทุนปูฟูกหนานุ่มนอนแทนที่จะนอนเตียง
ก่อนนอน นาถลดาก็มอบจุมพิตแสนอบอุ่นให้เด็กหนุ่มที่รักทั้งสอง พร้อมกับเล่าเรื่องในตอนที่ไปอยู่ที่เชียงใหม่มาราวกับเป็นนิทานก่อนนอนดั่งเช่นทุกคืน
แม้ต่ายจะรู้สึกอึดอัดปนขัดเขิน ที่โตป่านนี้แล้วแม่เขายังทำกับเขาเหมือนเด็กอนุบาล
แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่า
มันอบอุ่นจริงๆ เหมือนได้ย้อนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ต่ายมองกองเอกสารด้วยสายตาเหม่อลอย จนกระทั่งเพื่อนรักอย่างแชมตบเข้าที่หน้าผาก จนแทบเห็นนกบินบนหัว
สติสัมปชัญญะได้กลับมา
“มึงอย่าเพิ่งชิงตายไปก่อนนะเว้ย มาช่วยกันเขียนรายงานก่อนสิวะ” แชมบ่นออกมา ปรายตามองเพื่อนที่มองเขาตาเขียวปั๊ด
ใช่ว่าเขาเองจะไม่รู้สึกเหนื่อย ที่ต้องเขียนทั้งรายงานสรุปผลการฝึกงาน กับเขียนรายงานประจำวันส่งพี่เลี้ยง
สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์สุดท้ายที่ฝึกงานที่นี่ จะบอกว่าดีใจก็ดีใจ แต่ก็ใจหายเหมือนกัน เพราะผ่านทั้งความสุข ความเศร้า ความเหนื่อย ความมึน มาตลอด 2 เดือน
ยังจำสัปดาห์แรกๆได้ พี่เลี้ยงให้เขาเดินตามคอยอธิบายส่วนต่างๆของโรงงาน พร้อมกับบอกเรื่องเครื่องจักรว่าทำงานอย่างไร ต่อมา ก็เริ่มตรวจเช็คสภาพระบบ และรายงานผลส่งหัวหน้า หลังจากนั้นก็เป็นคิวอ่านเอกสารประกอบ ที่ไม่มีภาษาไทย ยังจำวันเวลาที่หัวหมุน เพราะทั้งศัพท์เฉพาะกับศัพท์ธรรมดา ตีกันมั่ว
ส่วนสัปดาห์สุดท้าย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่พี่เลี้ยงบอกมา
และนั้นทำให้เขาได้ลองปฏิบัติจริง ลองผิดลองถูกจริง โดยมีรุ่นพี่คอยให้คำนะนำ และคอยเตือนว่าตรงไหนผิด ตรงไหนถูก
เรียกว่า เลือกไม่ผิดเลย ที่มาที่นี่
“โหยพี่คงคิดถึงต่ายกับแชมแย่เลย ใครจะเป็นคนเอาขนมอร่อยๆมาฝากพี่อีกล่ะเนี่ย” พี่จอย นักธุรการร่างท้วมน่ารัก บ่นออกมา
“โชคดีนะ ทั้งสองคน หวังว่าที่นี่คงจะให้อะไรเราได้บ้างนะ” พี่ทีม พี่เลี้ยงของพวกเขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พลางตบไหล่ให้กำลังจนแทบทรุด
“แล้วเจอกันนะ” เหล่าผู้ร่วมงาน ที่ทั้งสนิทและเคยคุยกันบ้าง ต่างก็พากันมาบอกลาเหล่านักศึกษาฝึกงาน ที่ไม่ได้แค่พวกเขา แต่ยังมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นอีกด้วย
“แล้วมึงจะกลับไง” แชมถามขึ้น ขณะพาตัวเองมายังรถเชฟโรเลตคันคู่ใจ
“กริสมารับอ่ะ กูว่าจะเอาของกลับเลย” ต่ายบอก พลางนึกไปถึงข้าวของที่ไม่ต่างจากที่ขนมาเท่าไหร่
“อ่อ กูว่าจะเอากลับอาทิตย์หน้า วันนี้กูขอบาย”
“โอเค ไว้เจอกันที่มอ”
“เออ”
ต่ายเดินกลับไปที่หอพัก ก่อนจะขนของลงมาไว้ข้างล่าง จากนั้นก็จัดการคืนกุญแจให้ลุงแก่ๆข้างล่าง แล้วก็มานั่งรอเจ้าเด็กโค่งอยู่หน้าหอ
“นั่งรอใครหรอต่าย” ใบบัว นักศึกษาฝึกงานสาวที่ทำงานอยู่ฝ่ายออกแบบถามขึ้น พร้อมรอยยิ้มหวาน ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะละลายไปแล้ว
แต่ตอนนี้ ...
อย่างที่รู้ๆกัน“รอ..คนมารับน่ะ” อยากจะบอกว่าแฟน แต่กลัวสาวเจ้าเห็นตัวจริงแล้วจะตกใจ เพราะดูเหมือนใบบัวดูจะชอบมาคุยกับเขาบ่อยๆ ทั้งๆที่ทำงานอยู่คนละฝ่ายแท้ๆ
“อ้อ งั้นให้ใบบัวรอเป็นเพื่อนไหม” ไม่รอคำตอบ ร่างเล็กก็ทรุดนั่งข้างๆต่าง พลางยิ้มหวานให้อีกหนึ่งดอก
ต่ายยิ้มแห้งๆให้ จะปฏิเสธก็กลัวจะเสียน้ำใจ แค่นั่งรอ คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
จะได้มีเพื่อนคุยด้วย
ใบบัวเป็นคนที่มีเรื่องมากมายมาเล่าเสมอ จนบางที เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่า คนตรงหน้าเป็นหนังสือภาพเคลื่อนที่รึเปล่า
“แล้วก็นะ เราก็--- ”
ปรี๊นน ปรี๊นนนนนน !! ทั้งสองสะดุ้งกับเสียงแตรรถที่ดังลั่นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ต่ายหันไปมองทันที พอเห็นว่าเป็นรถใคร ก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว พลางลุกขึ้นตรงไปหาอย่างรวดเร็ว
ไทกริสเดินลงจากรถ ใบหน้าหล่อถูกบดบังด้วยแว่นตากันแดดอันใหญ่ เสื้อนักศึกษาที่ไร้เนคไท แขนเสื้อทั้งสองข้างพับขึ้นมาอย่างลวกๆ
ทำไมเห็นแล้ว ใจสั่นจังแฮะ“ตกใจหมดเลย รบกวนคนอื่นเขานะ” ต่ายบ่นออกมา พลางมองไปรอบๆ ที่พอมีคนบ้าง แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจกับรถคันหรูที่ส่งเสียงซักเท่าไหร่
“กระต่ายชักช้า” เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของไทกริส เอ่ยออกมา
“ขอโทษ คุยเพลินไปหน่อย” ต่ายยิ้มแห้งๆใส่ พลางพาอีกคนมาหาใบบัวที่มองมาทางเขาอย่างงุนงงปนสนใจ
“ขอโทษนะใบบัว แต่ผมไปก่อนนะ” โบกมือบ๊ายบายให้ พลางยิ้มอ่อน ก่อนจะขนข้าวของตัวเองขึ้นรถ โดนมีเด็กโค่งตัวขาวเดินตามอยู่ข้างหลัง
คิดไปเองรึเปล่า ว่าอีกคนแผ่รังสีแปลกๆออกมานะ
พอขึ้นมาบนรถ ก็ได้รู้ว่า รังสีแปลกๆนั่นก็คือ
รังสีความหึงนั่นแล
ใบหน้าหล่อภายใต้แว่นกันแดด ถึงไม่ต้องถอดออกก็รู้ว่า หงุดหงิดแค่ไหน
แต่ต่ายกลับรู้สึกอารมณ์ดี ที่ได้เห็นอีกคนหึงได้น่ารักขนาดนี้
ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ขึ้นรถ เอาแต่เหยียบคันเร่งท่าเดียว แต่ด้วยความมหาศาลของรถรานั้น ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วของรถได้ เลยได้แต่ฟึดฟัดกับตัวเอง
หากแต่ทางข้างหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่ตกลงกันไว้ ต่ายเห็นท่าไม่ดี จึงต้องเอ่ยถามขึ้นมา
“จะไปไหนน่ะ”
“....”
พอเห็นอีกคนไม่ตอบ ก็ได้แต่ถอนหายใจ
“กริส จอดรถก่อน” อีกคนยังคงนิ่งเฉย
ต่ายจึงกดเสียงตัวเองให้เข้มขึ้นกว่าเดิม
“กริส พี่บอกให้จอดก่อน”
ตามคำสั่ง รถหรูค่อยลดความเร็วลง ก่อนจะจอดในลานจอดรถของร้านอาหารร้านหนึ่ง
“เป็นอะไรไป หืม?” ลูบแก้มอีกคนเบาๆ ก่อนจะถือวิสาสะถอดแว่นกันแดดออก
เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลไหม้ที่ดูไม่สบอารมณ์ พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
แต่อีกคนก็ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่เขาแต่อย่างใด
“เรื่องพี่กับใบบัวน่ะเหรอ” แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่ก็เลือกที่จะถาม
“...” คุยกับเจ้าเด็กโค่ง ต้องมีความสามารถพิเศษหน่อย เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยพูด ยิ่งเวลาอารมณ์ไม่ดีแบบนี้
ก็เงียบ แทนที่จะระบายออกมา
แต่ถึงแบบนั้น ต่ายก็ชินซะแล้ว เพราะสีหน้าเจ้าเด็กนี่ มันอ่านง่ายจะตายไป
“ใบบัวกำลังเล่าเรื่องแมวที่บ้านน่ะ พอฟังแล้วพี่ก็เลยนึกถึงนาย”
“..ทำไม”
“ก็แมวที่บ้าน ไม่ชอบของร้อน ชอบอยู่แต่ในห้องแอร์ ชอบกินน้ำแข็ง ไม่ค่อยร้อง จะร้องก็แค่ตอนหิว แต่ก็ชอบมาอ้อน ฮ่าๆ เหมือนนายดีใช่ไหมล่ะ”
ไทกริสนิ่งไป เมื่อได้ยินประโยคนั่น ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนใจกับคนๆนี้
“กระต่ายยิ้มเยอะเกินไป” ไทกริสพูดทั้งๆที่กำลังหลับตา
“ห๊ะ?” ต่ายงุนงง คือเขาไม่รู้ตัวว่าแสดงสีหน้าอย่างไร เพียงแต่เรื่องเล่าของใบบัว ทำให้เขาหัวเราะออกมา แถมยังทำให้เขานึกถึงอีกคนอีก คงจะเผลอยิ้มออกไปล่ะมั้ง
“หึ ขอโทษแล้วกันนะ” ต่ายไถ่โทษด้วยการหอมแก้มเด็กโค่งดังฟอด คนโดนหอมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ต่ายรู้ว่า อารมณ์หึงนั้น ถูกจัดการไปแล้ว
ต่ายขมวดคิ้วมุ่น เมื่อภาพตรงหน้าคือ บ้านสไตล์โมเดิร์นขนาดใหญ่ เหมือนที่เคยเห็นประกาศจองตามหน้าหนังสือพิมพ์ เขาไม่เคยมีโอกาสได้มาบ้านใหม่ของไทกริสซักครั้ง เพราะติดฝึกงาน ส่วนใหญ่ถ้าไทกริสไม่ไปหาเขา เขาก็จะไปหาไทกริสแต่เป็นที่คอนโดแทน
อย่างกับเด็กใจแตกหนีออกจากบ้าน เคยเห็นแต่ในรูป พอได้มาเจอของจริงแล้ว ได้อึ้งกับความอลังการกับตัวบ้านที่ไม่ค่อยได้เห็นในเมืองไทยซักเท่าไหร่
แต่ทำไมความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ใจเต้นแปลกๆ นี่มันอะไรกัน
“จะพามานี่ก็ไม่บอก” เด็กหนุ่มไม่พูดอะไร เพียงแต่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะจูงมือคนอายุมากกว่าเข้าบ้าน
“มากันแล้วเหรอจ๊ะ มาๆ กับข้าวเสร็จพอดี” พอเข้าไปถึงตัวบ้าน ก็พบกับ
เหล่าคนตระกูลเคอดิส …..
ต่ายได้แต่ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ผู้ใหญ่แต่ละท่านยิ้มรับ ก่อนจะชักชวนไปที่โต๊ะกินข้าว
ระหว่างทานอาหาร ไม่มีการพูดคุยอะไรใดๆ ต่างคนต่างสนใจอาหารตรงหน้าของตัวเอง จะมีเพียงคำถามว่า ถูกปาก อร่อยไหม จากนีรดาเท่านั้น
เมื่อทานอาหารเสร็จ ก็มานั่งล้อมกับที่ห้องนั่งเล่น ต่ายรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นตุ๊กตา คอยให้เจ้าเด็กโค่งคอยลากไปโน่นไปนี่
“ฝึกงานเป็นยังไงบ้างคะ น้องต่าย” น้านีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ต่ายยิ้มรับ พลางนึกไปถึงตอนตัวเองฝึกงาน
“สนุกดีครับ ต่างกับตอนเรียนจริงๆ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี ตั้งใจไว้นะลูก”
จากนั้นพวกเราก็ต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เล่าเรื่องตอนสมัยบริษัททเกิดปัญหา
“จำไว้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สติสำคัญที่สุด”
ต่ายรับคำ พร้อมด้วยรอยยิ้มราวกับขอบคุณเหล่าคำสอนดีๆที่ให้เขามา
แต่พอสบตากับเจ้าเด็กโค่งตัวขาวอยู่ข้างๆ
ความรู้สึกผิดก็ตีเข้ามาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“เอ่อคือ ทุกๆคนครับ คือ.... ผมมีเรื่อง...อยากจะบอกกับทุกคนครับ” ผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างจ้องมามาทางเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้าต่ายไม่คิดไปเอง ดวงตาของทุกคนแวววาว อย่างกับรู้ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร
“คือ.... ผม กับกริส เรา................
กำลัง............
คบกันครับ!!” พูดจบก็ก้มหน้า ไม่กล้าสบตาใครๆ
มีเพียงเสียงสะท้อนเบาๆ เป็นเครื่องยินยันว่าเขาได้พูดออกไปแล้ว
ท่ามกลางหัวใจที่เต้นรัวเร็วอย่างลุ้นระทึก มือขาวที่อบอุ่นก็เคลื่อนมากุมมือของเขาไว้ ต่ายลืมตาขึ้นมองคนข้างๆ ที่ยกยิ้มจนตาหยี
รอยยิ้มที่นานๆจะได้เห็น ก่อนอีกคนจะพยักเพยิดไปข้างหน้า
เหล่าคนตรงหน้า ต่างยิ้มรับ ประหนึ่งรอคำพูดนี้มานาน
จะมีก็แต่ ...
“
ชั้นไม่ยอมยกให้หรอก!” ต่ายสะดุ้งเฮือกกับเสียงตวาดที่ไม่เคยได้ยินจากน้านี
“อุ้ย! ตกใจเหรอ น้าก็อยากจะพูดคำนี้บ้างอ่ะ น้องต่ายอย่าเพิ่งทำหน้าตาแบบนั้นสิจ๊ะ”
“อ่ะ เอ่อ...”
“จริงๆแล้ว พวกเรารู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ เจ้าลูกชายของน้าสารภาพจนหมดเปลือกเลยน๊าว่ารู้สึกกับเรายังไง นี่น้าก็ลุ้นว่าน้องต่ายจะสนใจลูกชายน้าบ้านไหมน้อออ”
ต่ายหันขวับไปมองคนข้างกายทันที คนถูกมองตีหน้ามึนใส่
“ละแล้ว น้านี...”
“แหม เรื่องพวกนี้ ยุโรปก็มีถมเถไป อีกอย่างครอบครัวนี้ เคารพความต้องการของทุกคนแหล่ะจ้ะ ชีวิตเราเกิดมาทั้งที จะให้อยู่แต่ในกรอบที่เรียกว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ มันถูกกำหนดมาอย่างนี้ ก็คงจะไม่ได้หรอก ได้น้องต่ายมาก็ดีเหมือนกัน จะได้ดูแลเจ้าลูกชายของน้า ไม่มีใครเหมาะกับหน้าที่เท่ากับน้องต่ายแล้วล่ะ”
“ดูแลกันดีๆล่ะ ฝากไทกี้ด้วยนะ” ลุงอาธที่นั่งเงียบฟังพวกเรามาตลอดเอ่ยด้วยเสียงสุขุม แต่แฝงไปด้วยความใจดี
ต่อจากนั้น ทุกๆคนก็พูดอะไร ต่ายก็จำไม่ได้ เพราะเขารู้สึกเบลอไปหมด ได้แต่พยักหน้ารับคำเหล่านั้น
มารู้สึกตัวอีกที ก็ถูกเจ้าเด็กโค่งลากมาที่ห้องนอนซะแล้ว
“กระต่ายร้องไห้ทำไม” เด็กหนุ่มใช้ข้อนิ้วเกลี่ยน้ำตาที่คลอหน่วงอย่างแผ่วเบา
ต่ายส่ายหัว พลางยิ้มให้อีกคน
“ใครร้อง ไม่มีซะหน่อย” ว่าแล้วก็สูดน้ำมูกนึงเฮือก ก่อนจะสบตากับเด็กโค่งตัวขาวตรงหน้า
อีกคนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้ามาชิด จนปลายจมูกชนกัน
ริมฝีปากอุ่นแนบเข้ากับปากของต่ายอย่างพอดิบพอดี จูบธรรมดาแต่รู้สึกอบอวลไปด้วยความรู้สึกของคนตรงหน้า
เพราะแบบนี้ไง เขาถึงปล่อยอีกฝ่ายไปไม่ได้
เพราะทำให้รักขนาดนี้
เพราะน่าให้รักขนาดนี้
เพราะเป็นคนคนนี้ไง ถึงปล่อยให้คนอื่นมาดูแลแทนไม่ได้
ถ้าปล่อยไป ผมคนเป็นที่โง่ที่สุดในโลกแล้วล่ะ ....
END ?!
----------------------------
BEVA TALK : จะ--จบแล้วค่ะ แต่ยังมีบทส่งท้าย กับตอนพิเศษที่ยังไม่ได้แต่งอีก หายไปนานอีกแล้ว เนื่องจากภาระหน้าที่108ที่ต้องจัดการ กับสมองที่เริ่มตีบตันคิดอะไรไม่ออก
เรื่องมันอาจจะดูเรียบง่าย ที่ครอบครัวทั้งคู่ดูไม่ได้เคร่งครัดเรื่องแบบนี้ บีว่าอยากเสนอครอบครัวที่หัวสมัยใหม่ ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นมากกว่าค่ะ จริงๆ แต่แบบมาม่าไม่ได้ มันปวดหัวใจ อยากให้เรื่องนี้ใสๆ มากกว่า
อิอิ พล่ามมาเยอะแล้ว ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่ถูกใจคนอ่านนะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้น ทุกบวกเป็ด ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ ขอบคุณจริงๆค่ะ
เจอกันใหม่ ตอนหน้าน๊าาา
คิดอย่างไรกับตอนนี้ บอกเค้าหน่อยน๊าา
