บทที่ 22 วันแรกของปี แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปทั่วพื้นที่ ความอุ่นค่อนไปทางร้อนแทรกผ่านมาตามบานเกล็ดที่เปิดกว้าง กระทบร่างทั้งสองที่นอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงขนาด 5 ฟุตนี่
จนกระทั่ง ร่างที่อยู่หันหน้าเข้ากับหน้าต่าง ขยับยุกยิก ก่อนจะเปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งขึ้นมา หากแต่พอเจอกับความสว่างจ้าอย่างกับมีคนเอาไฟฉายมาส่องหน้า นัยน์ตาทั้งสองหรี่ลงจนแทบจะปิด
อันที่จริงแล้ว ความสว่างจ้านั้นไม่ได้หมายถึงแสงแดดที่สาดเข้ามาแต่อย่างใด แต่เป็นแสงที่ตกกระทบกับผิวกายขาวๆของร่างที่นอนอยู่ด้วยกันต่างหากที่ทำให้แสบตา
ไทกริสถอดเสื้อนอนอีกแล้ว ....ต่ายส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ก็เข้าใจอยู่ว่าเด็กคนนี้ไม่ชอบความร้อนเอามากๆ แถมในห้องนอนนี้ยังมีแต่พัดลมตัวเล็กแค่ตัวเดียว ลำพังตัวต่ายเองไม่เท่าไหร่หรอก เพราะไม่ใช่คนขี้ร้อน แต่คนกับอีกคนนี้สิ ระดับสูงสุดเลยล่ะ
ยิ่งมองซากผ้าห่มที่ถูกถีบไปกองอยู่ปลายเตียงแล้วก็ยิ่งนึกขำ อันนี้คงเป็นทั้งเขาและไทกริส เพราะนอนผ้าห่มผืนเดียวกัน
ต่ายบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่น น้ำตาคลอ พอเข้าที่เข้าทาง ก็หยิบโทรศัพท์มาดูเวลา
9 โมงกว่าแล้ว ไม่รู้ว่า เจ้าพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เขาลุกขึ้นไปทำธุระในห้องน้ำจนเสร็จ เด็กโค่งก็ยังไม่ตื่น ทั้งที่เป็นคนตื่นเช้าแท้ๆ เลยปล่อยเลยตามเลย ส่วนตัวเองก็แอบไปส่องห้องข้างๆ แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
ไม่ต้องสืบให้ยาก ถ้าไม่อยู่ที่ห้องข้างล่าง ก็คงจะเป็นที่แคร่ที่เดิมนั่นล่ะ
แล้วก็จริงอย่างที่เขาคิด ซากของเพื่อนทั้งสามหน่อ มานอนเกยกันอยู่ข้างล่างนี่เอง
ก็นับถือในการหอบสังขารเข้าบ้านล่ะนะ มองสภาพระเกะระกะแล้วก็อนาถใจเบาๆ เลยต้องทั้งเขี่ยทั้งลากเพื่อนตัวดีให้อยู่ในสภาพดีๆ
ต่ายเปิดตู้เย็นดูของสดที่ซื้อไว้เมื่อวาน โชคยังเข้าข้างที่ยังพอมีไข่กับผักเหลือ ฉะนั้นมื้อเช้าเลยจัดการทำต้มจืดผักกาดกับไข่เจียวแทน
หม้อหุงข้าวที่ไม่ได้งานมาอย่างยาวนาน แต่น่าเหลือเชื่อที่ยังใช้การได้อยู่ หากแต่เขาไม่ได้ซื้อข้าวสารมานี่สิ ....
ต่ายขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าเขาควรไปซื้อข้าวเปล่ามา เพราะถ้าซื้อข้าวสารคงจะเหลือแน่ๆ
ครั้นจะไปรบกวนป้าจู ก็คงจะดูไม่ดี เพราเมื่อวานก็ฝากมื้อใหญ่ๆไปแล้ว
ฉะนั้น.....
หมับ!“เห้ย” ร่างเย็นๆ โผล่เข้ากอดหมับเข้าเต็มรัก
“ตกใจหมด” หันไปแหวใส่เจ้าตัวดีที่ทำให้ตกใจเสียได้
หากอีกคนไม่ได้มีความรู้สึกผิดอะไรเลย แถมยังทำหน้าระรื่นใส่อีกด้วย
“หอม” จมูกโด่งของไทกริสสูดกลิ่นอาหารซะเต็มปอด แต่ที่ต่ายไม่เข้าใจก็คือ
ทำไมต้องมาสูดข้างๆหูเขาด้วย?“เราไม่มีข้าว สงสัยต้องออกไปซื้อ” ต่ายบอก
“งั้นออกไปซื้อกัน” เจ้าเด็กโค่งที่หิวโซ รีบกระตุกมือพาอีกคนออกจากห้องครัวทันที
“เดี๋ยวๆ” รีบหยุดอีกคนไว้ ก่อนต่ายจะเดินไปหาเอกที่นอนเกยตื้นอยู่ ตบๆที่กระเป๋ากางเกงอีกฝ่าย จนเจอกุญแจรถก็หยิบออกไป
เส้นทางที่นี่ ไม่ได้ซับซ้อนเท่าไหร่ หากแต่มีป่ากับพื้นที่โล่งๆซะส่วนใหญ่ แต่ต่ายก็ยังพอจำได้ว่าเมื่อวานไปที่ไหนกัน
แต่ถึงจะหลงทางยังไง GPS ก็น่าจะช่วยเขาอยู่ดีแหล่ะ มั้ง...
สุดท้ายก็ต้องพึ่งชาวบ้านข้างทาง ซึ่งแต่ละคนก็ใจดีซะเหลือเกิน บอกเส้นทางซะละเอียดยิบ จนคนความจำต่ำอย่างต่ายแทบจะเบลอ
แต่.. ขาไม่ได้มาคนเดียวเสียหน่อย เห็นเงียบๆอย่างนี้ จำได้ทุกคำพูดเลยล่ะ
ตลาดในเวลานี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะเป็นช่วงสายแล้ว พวกอาหารก็เลยมีน้อยลง
ต่ายเมี่ยงๆมองๆที่ร้านข้าวราดแกงร้านหนึ่ง เจ้าของร้านยิ้มรอ พลางนำเสนอเมนูทุกอย่างที่มีในร้าน
เขาเลือกอาหารเพิ่มไปสองสามอย่าง เพราะคาดการณ์ไว้ว่า หากสามหน่อนั้นตื่นขึ้นมา ต้องห่าลงแน่ๆ
แต่ครั้นที่จะสั่งข้าวเปล่านี่สิ บอกตามตรงเขาแทบไม่เคยซื้อข้าวเปล่าเลยด้วยซ้ำ เลยหลุดทำท่าเงอะๆงะๆออกไป
“ข้าวเปล่าขายยังไงเหรอครับ” ยิ้มแหยๆให้ หากแต่คนป้าคนขายยิ้มแป้น
“เราจะเอาเท่าไหร่ล่ะ 5 บาท 10 บาท ป้าตักให้หมด”
“งั้นเอา 50 บาทครับ” ป้าตอบรับ ก่อนจะทำการตักข้าวใส่ถุงจนเต็มถุง ทั้งหมด 5 ถุง
“น่าจะพอเนอะ” หันไปถาม เด็กโค่งที่ยืนเงียบอยู่
อีกคนพยักหน้าให้
“คนกรุงเทพรึน่ะ?”
“ครับ”
“โหย ผิวพรรณนี่ช่างดีจริง ดีกว่าลูกสาวป้าเยอะเลย” แล้วป้าแกก็ชี้ชวน ป้าอีกคนที่ขายผักอยู่แผงข้างๆ
“ยายอ้อยแกดูนี่สิ อีกคนถึงจะผิวคล้ำแต่ก็เนียนสวย อีกคนก็ขาวผ่องออร่า หน้าลูกครึ่งด้วยเนี่ย รึว่า เราเป็นดารากันเนี่ย??” ป้ายกมือทาบอก
“เอ่อ เปล่าครับ เป็นคนธรรมดาครับ ฮ่าๆ” ต่ายหัวเราะแห้งๆอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งมีคนมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยเบาๆ
เขาจึงรีบจ่ายเงินให้ป้าที่ยังคงตื่นตาตื่นใจ แล้วรีบลากเด็กโค่งออกจากร้านทันที
เดินออกมาจะพื้นที่เสี่ยงได้ก็โล่งใจ
“กระต่าย”
“หืม”
“อยากกิน”
นิ้วเรียวชี้ไปทางแผงขนมไทย ที่เหลืองอร่ามของขนมตระกูลทองทั้งหลาย แถมยังมีขนมอื่นๆอีก
ต่ายจึงพาไทกริสไปซื้อ แม่ค้าสาวสวยทำหน้าเขินอาย ยามที่ไทกริสถามชื่อขนม
“อันนี้ ขนมชั้น ขนมเปียกปูน ขนมน้ำดอกไม้ ตะโก้ ทองหยิบ ทองหยอด เผือกกวน ฝอยทอง เม็ดขนุน ข้าวเหนียวแก้ว กาละแม เอาอะไรดีจ๊ะ? ” แล้วหล่อนก็ร่ายขนมที่มีอยู่ในร้านจนหมดร้าน พลางส่งสายตาหยาดเยิ้มไปที่ไทกริสที่สนใจแต่ขนมตรงหน้า
“จะซื้อนี่ กินเป็นรึไง”
“เคยกินน่า”
“อันนี้ น่ากินดีนะ” ต่ายชี้ไปที่ขนมน้ำดอกไม้ ที่มีสีสันน่าทาน
“น่ากินทุกอย่างเลยจ้ะ คนขายก็ด้วย..” สาวเจ้านำเสนอเต็มที่ ต่ายรู้สึกคันปากยิกๆอยากจะบอกว่า
เจ้าเด็กนี่มันไม่สนใจผู้หญิงหรอก สุดท้าย พ่อคุณก็เลือกซะทุกอย่าง แม่ค้าสาวได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบใส่ถุงเตรียมประเคนให้เต็มที่
“อันนี้ฉันแถมให้นะจ๊ะ สุดหล่อ” หล่อนว่า พยายามปรือตาที่กรีดอายไลนเนอร์หนาเตอะเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่ไทกริสไม่ได้แม้แต่จะมองหล่อนด้วยซ้ำ
อาเมน ...
“กลับกันเถอะ” พอจ่ายเงินเสร็จก็พากันขึ้นรถ เตรียมกลับบ้าน
“เสน่ห์แรงจริงๆน๊า” ต่ายเปรยออกมา ปรายตามองเด็กโค่งที่นั่งหน้านิ่ง ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอะไร
เมื่อขับรถจนมาถึงบ้านพัก เพื่อนทั้งสามของต่ายก็ยังคงนอนอืดไม่ฟื้น ก็คงจัดไปเยอะ หลักฐานก็ที่ใต้ถุน ต็มไปด้วยขวดเปล่าวางเรียงกันจนต่ายนึกอยากจะเอาลูกโบวริ่งมาโยนเล่นเสียจริง
สุดท้ายก็มานั่งกินข้าวเช้ากันสองคน
พวกเขามานั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยๆหน้าทีวี
ช่างเป็นภาพที่น่าขำ ที่ร่างสูงโย่งของเด็กโค่งกับร่างสมส่วนของต่าย ต่างนั่งขัดสมาธิล้อมโต๊ะตัวน้อยกินข้าวกัน
ช่องรายการในช่วงนี้นั้นน่าเบื่อ ไม่ค่อยน่านใจ ดูจากน่าเบื่อโลกของเด็กโค่งข้างๆ ที่แม้จะเป็นหนังฝรั่ง แต่ก็ไม่สนุกเท่าที่ควร เพราะไม่สามารถรับช่องทีวีดาวเทียมได้ เพราะเป็นพียงแค่หนวดกุ้งรับสัญญาณธรรมดา เลยรับได้ไม่กี่ช่อง
จนกระทั่งหนึ่งในสามซากศพฟื้นคืนชีพขึ้น ก็ปาไปเที่ยงกว่า
เอกสะลึมสะลือมองไปทั่วๆ กายและแชมหลับอยู่ขนาบซ้ายขวา ความร้อนอบอ้าวทำเอาเสื้อที่ใส่นั่นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้จะมีพัดลมเพดานเปิดไว้ให้ก็ตาม สะบัดหัวอย่างมึนๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองหาเพื่อนอีกคนที่น่าจะตื่นก่อนเขา
หากแต่ ท้องเจ้ากรรมดันครวญครางออกมาเสียก่อน ภารกิจตามหาเพื่อนรักเลยต้องถูกทิ้งไป
“เห้ย ตื่นได้แล้วเว้ย นอนกินบ้านกินเมือง” นั่นคือคำพูดของคนที่เพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
เอกใช้เท้าสะกิดเอนทั้งสองที่นอนอยู่ คนถูกปลุกด้วยเท้าสบถ ก่อนจะด่าคนปลุกด้วยถ้อยคำรื่นหู
“ไอ้สัด!” แชมลุกขึ้นนั่งอย่างมึนๆ แกนที่ลุกตามทีหลังหาววอดๆ
“ไอ้ต่ายอ่ะ”
“ไม่รู้มัน สงสัยอยู่ข้างบนมั้ง”
“เค กูหิวว่ะ”
“ไปกินกัน ไอ้ต่ายมันทำไว้ให้แล้ว”
“อยากอาบน้ำก่อนว่ะ” แกนพูดขึ้น เขาเหม็นตัวเองจะแย่อยู่แล้ว
“อ้าว งั้นไปอาบด้วยกันเลยป่ะ จะได้มากินพร้อมกัน” แชมบอกพลางยักคิ้ว
เรื่องแบบนี้ พวกเขาชิวๆอยู่แล้ว
แต่ขนาดห้องน้ำที่คับแคบเกินกว่าจะให้ผู้ชายตัวใหญ่ทั้ง 3 คน อัดเข้าไปอยู่กันได้
“เดี๋ยวกูไปอาบห้องนู่นก็ได้” แชมเสนอตัว ห้องที่ว่าก็คือห้องที่ต่ายและไทกริสอยู่นั่นเอง
“ไอ้ต่าย กูขอเข้าห้องน้ำหน่อย” เขายกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ แต่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝั่งของประตู
“งั้นกูไม่เกรงใจแล้วนะ” เพราะลองหมุนลูกบิดดู ปรากฏว่า ไม่ได้ล๊อค จึงเปิดไป
ก่อนจะผงะกับภาพตรงหน้า
สภาพของเพื่อนเขากับเด็กของมัน ที่นอนหนุนกัน ประหนึ่งกำลังเปิดห้องสวีทของโรงแรมห้าดาว โดยมีพัดลมอีแก่เป็นพร็อพประกอบ
และที่ผงะยิ่งขึ้นก็คือ
มือของเจ้าเด็กนั่นล้วงเข้าไปในเสื้อของเพื่อนเขาอยู่น่ะสิ !!
ให้ตาย นี่เขาต้องทำตัวให้ชินกับเรื่องแบบนี้ใช่ไหมเนี่ย ชายหนุ่มคิด
สะบัดหัวเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเดินผ่านทั้งสองอย่างเบาเสียงที่สุด
พอออกมา ดูเหมือนไทกริสจะตื่นแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลทองแดงจ้องเขม็งมาทางเขา
อย่างกับอยากจะเข้ามาขย้ำคอเขางั้นแหล่ะ
แชมยิ้มแห้งๆก่อนจะยกมือขึ้นทัก
“ตามสบายๆ แค่มายืมใช้ห้องน้ำ” รีบบอก ก่อนจะซอยเท้าออกจากห้องไป
พอพ้นตัวห้องมาได้ ก็ต้องถอนหายใจเฮือก
“ไอ้ต่ายหลับอยู่หรอ” แกนที่อาบน้ำเสร็จแล้ว เดินเข้ามาถาม
“อืม แล้วไอ้เอกอ่ะ”
“เดี๋ยวมันก็มา” พูดยังไม่ทันจบ ร่างสูงใหญ่ของเอกก็เปิดประตูห้องออกมาพอดี
“ไปแดกกัน หิวชิบหาย” เอกว่าพลางลูบท้องตัวเองอย่างหิวโหย
พอเห็นอาหารตรงหน้า ก็คว้าชามข้าวขึ้นมาสวาปามทันที
“เอกมึงแดกอย่างกับหมา” ต่ายที่เพิ่งตื่น พอลงมาก็เจอเพื่อนตัวเองกำลังกินข้าวกันอยู่
“ก็กูหิว” ปากที่เต็มไปด้วยข้าวพูด คนอื่นๆมองอย่างปลงๆ
“วันนี้จะไปไหนกันไหมวะ”
“ร้อนๆงี้ อยากไปเล่นน้ำตก ”
“เออ แถวนี้มีอะไรบ้างอ่ะ” ต่ายถาม คนถูกถามนิ่งคิด ก่อนจะควักมือถือออกมา กดยุกยิกซักพักก็เงยหน้าขึ้นมา
“ไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่นมะ แถวอุทยาน”
“ไปดิ กูอยากไปถ่ายรูปพอดี”
“โอเค งั้นรอกินนี่เสร็จ แล้วไปกันเลย”
“ว่าแต่ น้องมึงอ่ะ”
“ยังหลับอยู่ เดี๋ยวว่าจะไปปลุกแล้ว”
“เออดี บอกมัน ให้น้อยๆลงหน่อย” แชมพูด ต่ายขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“อะไรวะ”
“เออน่า” พูดตัดบทเสร็จก็กวักมือไล่เพื่อนที่ยังคงงุนงงไม่หาย
พอเดินพ้นจากห้องครัว เด็กโค่งหน้ามึนก็เดินลงจากบันไดพอดี
“กำลังจะไปปลุกพอดี หิวไหม?” เด็กโค่งส่ายหัว
แน่ล่ะ เมื่อตอนสายเล่นกินขนมไทยซะอิ่มแปล้เลย ทั้งเขาทั้งไทกริส นี่ยังเหลืออีกหลายถุงนะเนี่ย
พออิ่มท้อง พวกเขาก็ออกเดินทางไปที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่นที่อยู่ไม่ไกลจากตัวอุทยาน แต่จากที่พักของเขา ก็ถือว่าไกลสมควร
กว่าจะไปถึงตัวน้ำตกจริงๆ ก็กินเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะใช้เวลาในการงมหาทางไปน้ำตกจาก GPS ของรถ ไหนจะทางเข้าอีก แต่ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่ต้องทนร้อนทนเหนื่อย หลังจากที่ต้องจอดรถทิ้งไว้ แล้วเดินมาตามทางที่มีให้
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีป้ายบอกทาง คดว่านักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็คงจะเหมือนกัน เพราะมีจำนวนไม่น้อยที่ร่วมเดินมากับพวกเขา
ระหว่างทางที่เดินมา เป็นลักษณะป่าดิบชื้น มีดอกไม้สวยๆข้างทางให้พอเชยชม เดินไปได้ซักพักพวกเขาก็เจอลำธารที่มีขอนไม้ขนาดพอเหมาะวางพาดไว้ให้คนข้าม นั่นเป็นสัญญาณว่า ใกล้จะถึงน้ำตกแล้ว ...
ตัวน้ำตกนั้นไม่ได้อลังการงานสร้างอย่างน้ำตกเอราวัณ แต่ความสวยงามของธรรมชาติก็น่าชื่นชมไม่แพ้กัน น้ำตกจากผาสูงประมาณ 30 เมตร ลงมากระทบกับพื้นด้านล่าง ยิ่งเข้าไปใกล้ๆแล้ว น้ำที่ตกลงมาแล้วแตกกระจายออกก็จะมากลายเป็นกลุ่มไอน้ำลอยตัวขึ้นมาในอากาศ เป็นอะไรที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ตากล้องอย่างแกนที่พกกล้องมาอย่างดี หวังไว้ว่าจะมาถ่ายวิวที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ แต่สุดท้ายก็อดไป มาคราวนี้เลยพกกล้องเพื่อจะถ่ายน้ำตก ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะความสวยงามของที่แห่งนี้เกินจะบรรยาย
เดินมาตามโขดหินที่ไม่ได้สูงชันพอปีนได้ ก็พบแอ่งน้ำใสขนาดใหญ่ สีออกครามๆ ยิ่งสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ยิ่งเกิดประกายเหมือนกับเพชรต้องแสง
พวกเขาหรือจะพลาด ลงเล่นน้ำกับลืมโตเลยทีเดียว
นักท่องเที่ยวที่นี่ ไม่ค่อยเยอะ แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องแย่งกัน อีกทั้งตัวน้ำตกก็ไม่ได้ใหญ่อะไร
พอเล่นจนสะใจแล้ว ก็ชวนกันขึ้น ตกลงกันไว้ว่าจะไปร้านอาหารที่มีรีวิวในพันทิปกัน
ในระหว่างที่กำลังเดินไปตามทางของน้ำตกนั้น แกนที่ไม่ได้มองทาง เพราะมัวแต่เช็ครูปในกล้อง ก็เกิดรองเท้าพลิก ทำให้ล้มลง ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนๆ ไม่เว้นม้แต่ไทกริส
“เชี่ย” สบถลั่น พอเพื่อนๆเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปถามไถ่
“เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ!!!”
“ไม่อ่ะ แต่กล้องกูนี่ดิ” บ่นปอดแปด ไม่ได้ห่วงตัวเองเลย
“ก็มึงไม่ยอมดูทาง” แชมเอ็ด แกนบ่นงุ้งงิ้งฟังไม่รู้เรื่อง ก่อนจะหน้านิ่วคิ้วขมวดตอนลุกขึ้น
“ขาพลิกแล้วไหมล่ะ” ต่ายพูดออกมา เอกที่ยืนอยู่ใกล้สุด รีบเข้ามาดูอาการเพื่อน
“แค่เคล็ดอ่ะ ขี่หลังกูเร็ว ยังเดินอีกไกล” ว่าแล้ว ร่างสูงใหญ่ของเอกก็นั่งยองๆ
“เอ่อ ไม่เป็นไรๆ” แกนบอกปัดๆ
“มึงจะขี่หลังไอ้เอกดีๆ หรือจะให้มันอุ้มพาดขึ้นบ่า” คุณแม่ของกลุ่มอย่างแชม พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
พอเป็นอย่างนั้น แกนก็ยอมขึ้นหลังเอกแต่โดยดี
ต่ายหัวเราะให้กับท่าทางของเพื่อน ก่อนจะหุบปากฉับ เมื่อเจ้าเด็กโค่งทำท่าทางเหมือนจะถามเขาว่า …
‘ขี่หลังไหม’ “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” พูดเบาๆให้ได้ยินกันสองคน ก่อนจะเดินเคียงข้างกันจนไปถึงที่รถ
“แล้วกล้องมึงเป็นไรมากปะ” ต่ายถามขึ้น หลังเห็นแกนพลิกซ้านพลิกขวาสำรวจกล้องตัวเอง
“ก็ยังถ่ายได้อยู่ แต่จับโฟกัสนานมาก”
“เอาน่า อย่างน้อยก็ยังปลอดภัย ทั้งมึงทั้งกล้อง” ต่ายเอ่ยปลอบ ไอ้เขาก็ไม่มีความรู้เรื่องกล้องด้วยสิ จะช่วยเพื่อนมากกว่านี้ก็ไม่ได้
หลังจากกลับจากกินมื้อเย็นแล้ว พอถึงบ้านพักก็แทบจะวิ่งหาเตียง แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุก
“เบียร์ไหม เหลืออยู่สามขวด” แชมถามขึ้น พลางกระดกดื่มทั้งขวด
“เอามาหน่อย” ต่ายแย่งเบียร์ออกจากปากเพื่อน จนเบียร์กระฉอกออกมา เลอะทั้งคนโดนแย่งและคนแย่ง
“ไอ้ต่ายแม่ง..” แชมบ่น พลางใช้มือปาดในส่วนที่เลอะออก ความเหนียวเหนอะหนะทำให้ต้องใช้น้ำมาเช็ด
ส่วนคนแย่งนั้น กระดกเบียร์อย่างสบายใจเฉิบ แม้จะเลอะไม่ต่างกัน
กินจนสะใจแล้วก็หนีขึ้นไปบนห้อง
เจ้าเด็กโค่งยังคงคุยกับน้านี
ดูจากสีหน้าเจ้าเด็กที่ชอบทำหน้าตาย ไร้อารมณ์ แต่ในยามที่คุยกับน้านีแล้ว ก็เหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งคุยกับสาวครั้งแรก
ดูขัดเขินและพูดน้อย แต่ออร่าความสุขกระจายออกจนคนมองรู้สึกหมั่นไส้ยิกๆ
ต่ายยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ลังเลว่าจะกดโทรดี หรือไม่โทรดี
สุดท้ายก็ ..
ตืดดด ตืดดดดด ตืดดด “ว่าไง ไอ้ตัวแสบ” ปลายสายรับ ก่อนจะทักด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“นี่โทรหาแม่นะ มารับไมอ่ะ” ปลายสายหัวเราะหึๆ ก่อนจะตอบกลับ
“ทำไม แม่กับพ่อก็คนๆเดียวกัน” ต่ายทำเสียงแหวะกับถ้อยคำนั้น ปลายสายได้ยินก็หัวเราะยกใหญ่
“จะโทรมาสวัสดีปีใหม่ มาขอตังค์ด้วย”
“โห ไอ้ลูกธรพี ขนาดพี่แกอยู่เมืองนอก ยังโทรมาหาตอนเที่ยงคืน แถมยังส่งเงินมาให้อีก แต่แกนี่---” ก่อนที่ทศธีร์จะบ่นยาวกว่านี้ ต่ายก็ตัดบทเสียก่อน
“นี่เมา กลับไปนอนได้ก็บุญละ แหม่ แล้วแม่อ่ะ จะคุยกับแม่”
“ว่าไง เจ้าต่าย”
“แม่ค้าบ สวัสดีปีใหม่ ขอตังค์หน่อย” ดูเหมือนพ่อแม่ของเขาจะเปิดสปีคเกอร์เอาไว้ เพราะได้ยินเสียงพูดทั้งของพ่อและแม่
“ย่ะๆ พรุ่งนี้จะโอนให้ แล้วนี่อยู่ไหน อยู่กับน้องไทก์รึเปล่า” ถามหาลูกรักอีกคน
“อยู่ นี่มาเที่ยวกาญฯ กัน”
“เออ ดูแลน้องดีๆล่ะ เกิดอะไรขึ้นมา เดี๋ยวไม่มีปัญญาใช้คืนนะ” ปลายสายว่า ต่ายหัวเราะแห้งๆ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น .......
วางสายเสร็จ เหลือบมองเจ้าเด็กโค่งที่ยังคุยอยู่ เลยเดินเข้าไปบอกด้วยเสียงเบาๆว่า จะลงไปข้างล่าง
เจ้าตัวพยักหน้าให้ ก่อนจะกดจูบแรงๆ ทั้งๆที่ยังมือให้ถือโทรศัพท์คุยกับแม่ ถ้าเขาไม่ได้หูฝาดไป แรงจนได้เสียงดังจ๊วบเลยล่ะ
ตีปากอีกคนเบาๆ ขึงตาใส่อีกคนคาดโทษเอาไว้ ก่อนจะรีบลีฟตัวออกจากห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงเจ้าเด็กโค่งพูดว่า
แปปนึงนะ แล้วเจ้าของร่างสูงโย่งของไทกริสก็ปรี่เข้ามาหาต่ายที่กำลังจะเปิดประตูออก
"แว๊กกกกก" ต่ายตกใจกับแขนทั้งสองของไทกริสที่ยกออกมาคร่อมเขาไม่ให้หนีไปไหน
สายตาวิบวับราวกับเจอเหยื่อของไทกริส ทำให้ต่ายขนลุกซู่ ก่อนที่ปากซุกซนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเขา จนมาหยุดอยู่ที่ปาก นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องลึกเข้ามาดวงตาของต่าย สายตาที่เหมือนถูกสะกดให้นิ่ง
ก่อนที่ริมฝีปากที่ไม่ค่อยได้เปิดออก ในตอนนี้กลับเผยอออก ก่อนจะขบเบาๆที่ริมฝีปากบนของอีกคน พอสมใจด้านบนก็ต่อด้วยริมฝีปากล่างเพื่อไม่ให้น้อยหน้ากัน ต่ายได้แต่ครางออกมาเบาๆ ความรู้สึกเบาเหมือนลอยได้เข้ามาแทนที่ นัยน์ตาหยาดเยิ้มไม่แพ้อีกคน
จนไทกริสผละออก แล้วยกยิ้มให้ ต่ายถึงได้สติกลับคืนมา
พลาดอีกจนได้ ฮ่วยยย !!!!!
ทึ้งหัวตัวเองเสร็จก็รีบลงมาข้างล่าง
ขวดเบียร์ที่ควรจะเหลือ 3 ขวด กลับมีเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว
“นี่มึงไปซื้อมา?” ต่ายถามขึ้น พยายามทำให้ตัวเองไม่หลุดอะไรแปลกๆออกไป
“เออ ไปซื้อยานวดให้แกน กูเลยซื้อแถมมาด้วย ฮ่าๆ ” เอกบอก พลางหรี่ตามองเขาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“น้องมึงอ่ะ?”
“อยู่ข้างบน คุยโทรศัพท์อยู่”
“ฮั่นแน่! คุยกับสาวอ่ะดิ” ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ต่ายพ่นลมหายใจใส่
“เออ คุยกับแม่มันอ่ะ” ต่ายพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะรับแก้วมาจากแกนที่รินเบียร์ให้
“เออก็ดี ตั้งแต่มานี่ กูแทบจะนับคำพูดมันได้เลย ปกติมันเงียบขนาดนี้เลยเหรอวะ” เอกถามขึ้น
“ก็ไม่ได้เงียบอะไรขนาดนั้น อารมณ์แบบ พูดในยามจำเป็นจริงๆ แต่พออยู่กับพวกมึงเลยไม่ค่อยกล้าพูดมั้ง”
“สงสัยต้องให้เมาว่ะ กูจำได้ คราวที่แล้วนู่น คุยกับพวกกูอย่างเยอะ”
“เออ อย่างกับรู้จักกันมาสามชาติแปดชาติ”
ซักพักเจ้าตัวก็เดินลงมา พอเห็นพวกเขานั่งล้อมวงกันอยู่ เด็กโค่งก็มากระแซะนั่งข้างๆต่าย
“เห้ย คุยบ้างก็ได้นะเว้ย ไม่มีใครว่า” เอกพูดอย่างขำๆ พลางยื่นเก้าเบียร์ให้เด็กหนุ่ม โดยไม่สนสายตาดุๆของเพื่อน
“น่า ให้เด็กมันกินบ้าง กระชับมิตรไงมึง แค่นี้ไม่เมาหรอก” แกนว่า
เบียร์ที่เหลืออีก 4 ขวด กับจำนวนคน 5 คน คงไม่น่าจะทำให้ใครเมาได้
“ทำไมถึงรักมันวะ” อยู่ๆ แชมก็เปิดคำถามชนิดที่ว่า ไม่ทำให้ใครตั้งตัว
“.....” คนถูกถาม นั่งนิ่งเงียบ ส่วนคนที่เหลือต่างจ้องเขม็งราวกับรอลุ้นหวย
“กระต่ายน่ารัก” เสียงทุ้มนุ่มเปล่งออกมา คำตอบที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้เหล่าผองเพื่อนมองไปทางต่ายอย่างไม่เชื่อสายตา
ตรงไหนที่น่ารักกัน ดุอย่างกับหมา โมโหทีอย่างกับร๊อคไวเลอร์ “กระต่ายใจดี” อย่างกับกำลังบอกจุดเด่นแบบสั้นๆได้ใจความ แต่ว่า เป็นคำตอบที่ไม่ถูกใจเหล่าคนอายุมากกว่าทั้ง 3
“โห่ววว เอาดีๆสิวะ ขอแบบซึ้งกินใจหน่อย”
“ไอ้เหี้ย ให้มันน้อยๆหน่อย” ต่ายโวยวาย
“กระต่ายเป็นผู้ชายคนแรกที่ใจเต้นด้วย..........และไม่ว่ายังไง กระต่ายก็อยู่ข้างเราตลอด” คำตอบที่อาจจะดูไม่เคลียร์ในหลายๆประเด็น แต่ดูเหมือนจะสมใจอยากเหล่าคนช่างอยากรู้อยากเห็นทั้งสาม
“ดีมาก ไอ้น้อง” เอกยกแขนขึ้นมากอดคอเด็กหนุ่ม พลางส่งแก้วมาให้อีก ไทกริสก็ยกดื่มอย่างไม่เกรงใจ
“สำหรับไทกริสอาจะเป็นกระต่ายเลี้ยง แต่สำหรับพวกเรามึงคือกระต่ายป่าว่ะ ไอ้ต่าย” แชมบอก ก่อนจะได้นิ้วกลางสวยๆมาเป็นรางวัล
และค่ำคืนวันแรกของปีก็ได้จบลง เหลือไว้แต่เพียงความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือน ......
TBC...
------------------------------------------------
BEVA TALK : มาแล้วค่าาาาาาาาา อะไรเริ่มเข้าที่แล้วค่ะ สติของคนแต่งด้วย

ตอนนี้แต่งเยอะเป็นพิเศษ ทดแทนกับตอนที่แล้วเน่ามาในความรู้สึกเรา แต่จะไปแก้ก็รู้สึกแบบมันคนละอารมณ์กันแล้ว เลยจัดกับตอนนี้ซะเลย
สงสารไทกริสบทน้อยมาก ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนนี้ ไม่รู้พูดถึง ยี่สิบประโยครึเปล่า
แฮร่ๆ ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกท่านนะคะ

รักคนอ่าน รักคนเม้นท์ จุ๊บๆ
รู้สึกอย่างไรกับตอนนี้ ติชม/ด่า คนแต่งได้ค่ะ :mew3:

แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ