บทที่ 11 คำว่าเพื่อนบรรยากาศวันเปิดเทอมของโรงเรียน เด็กนักเรียนหญิงชายต่างเดินกันขวักไขว่ บ้างก็จับกลุ่มกันคุย บ้างก็นั่งล้อมกันกินข้าวเช้ากันอย่างหิวโหย
ต่ายเดินเข้าโรงเรียนอย่างมึนๆ
เมื่อคืนเขาดันเล่นเกมส์ซะดึก รู้ตัวอีกทีก็ตีห้าแล้ว ลืมไปสนิทว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอม
เลยตาค้างต้อนรับเปิดเทอมเป็นไงล่ะ !
โรงเรียนแห่งใหม่ที่เขาย้ายมา ดูจะเป็นโรงเรียนชั้นยอดของแถบนี้ ยิ่งมองคนรอบข้างแล้ว น่าจะเป็นลูกคนมีตังค์ส่วนใหญ่
ต่ายรู้สึกโหวงเหวง คิดถึงเจ้าเด็กข้างบ้าน
ถ้าเป็นเวลานี้มันคงเดินตามเขาเป็นลูกเป็ดตามแม่
แต่บัดนี้มีแค่เขาเดินอยู่เพียงคนเดียว
ไม่รู้ว่าตอนนี้กริสจะเป็นยังไงบ้าง จะยอมไปโรเรียนรึเปล่าไม่รู้
นึกแล้วก็อดขำไม่ได้ เจ้านี่ถ้าลองไปโรงเรียนคนเดียวละก็ จ้างให้ก็ไม่ยอมเด็ดขาด แต่ถ้าไปกับต่ายถึงไหนถึงกัน
เพราะฉะนั้นวันไหนที่ต่ายไม่ได้ไปโรงเรียน เจ้านี่ก็ไม่ไปด้วยเหมือนกัน
ติดเขาอย่างกับอะไรดี
ห้องประจำของชั้น ม.1/12 หรือเรียกกันว่าห้องคิง เห็นเพื่อนวัยเดียวกันจับจองที่นั่งกันเกือบครึ่งห้อง
ต่ายหันซ้ายขวาหาที่นั่งเหมาะๆ ก่อนจะเจอที่นั่งฝั่งริมหน้าต่าง ถือว่าเป็นทำเลที่ดี
ว่าแล้วก็จัดการวางกระเป๋าสะพายแล้วนั่งลง
ด้วยการจัดที่นั่งแบบนั่งคู่ ทำให้ต่ายลุ้นเบาๆว่าจะได้ใครมานั่งด้วย
จนกระทั่ง….
ตุ๊บ!
เสียงกระเป๋ากระทบกับโต๊ะอย่างแรงทำให้ต่ายสะดุ้งสุดตัว ก็มันเป็นโต๊ะข้างๆเขานี่เอง
หันไปมองผู้กระทำ ก็ต้องแดกจุดเข้าไปใหญ่
คนตรงหน้าเขานั้นเป็นเด็กนักเรียนหญิงใบหน้าอาหมวยจ๋า สวมเสื้อไซส์ใหญ่กว่าตัว กระโปรงยาวครึ่งแข้ง ท่าทางทะมักทะแมง นี่ถ้าถือไม้เบสบอลมาด้วย เขาคงนึกว่าพวกหัวหน้าแก๊งค์แล้ว
“มองไร” ยังไม่ทันจะได้สำรวจเพื่อนข้างๆ ก็โดนเจ้าตัวตอกกลับ ทำเอาต่ายหันหน้ากลับแทบไม่ทัน
“ชื่ออ้อน แกอ่ะชื่อไร” เสียงเล็กที่ออกห้าวๆเอ่ยถาม
“ต่าย” ต่ายตอบ พลางหลบสายตาเพราะคุณเธอจ้องกวาดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เออ หวัดดี” พูดจบก็ทิ้งตัวนั่ง ถกกระโปรงยกขาพาดกับเข่าอีกข้าง พลางเท้าคางมองคนข้างๆ
“มาจากไหนอ่ะ”
“โรงเรียนxxxx”
“เอ้า ก็ดีอยู่ แล้วย้ายมาไมเนี่ย หรือว่า..สอบไม่ติด”
“เราย้ายบ้านมาน่ะ” อ้อนพยักหน้าเอื่อยๆ ก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือแทน
และในวันนั้น ต่ายก็ได้เพื่อน 1 คน
คบกับอ้อนก็ดีไปอย่าง เพราะเธอคนนี้ เป็นมนุษย์เพศหญิง แต่หาความเป็นหญิงไม่ได้ซักอย่าง ดูเถื่อนกว่าเขาที่เป็นผู้ชายซะอีก
ถือว่าเป็นเพื่อนชายล่ะนะ
การปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ ที่แห่งใหม่ ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี
แต่........................
สิ่งที่เขาไม่พึงประสงค์ที่สุดคือ
การที่มาเรียกเขาว่า ....
“กระต่าย” ต่ายหันขวับตามเสียง เป็นเพื่อนร่วมห้องของเขา ที่คุ้นๆว่าจะชื่อ แชมเปญ กับอีกคน ชื่อ กานต์ สองคนนี้สนิทกันอย่างกับปาท่องโก๋ แถมยังเป็นหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าอีกต่างหาก
“ไม่ได้ชื่อกระต่าย”
“แล้วหันมาไมอ่ะ” แชมพูดอย่างล้อๆ
ต่ายทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นเก็บไม้กวาดเข้าตู้
ไม่น่าไปตกหลุมพรางเลย บ้าจริง “น้องกระต่าย อย่าเดินหนีพี่สิครับบบ” ไอ้หัวหน้าห้อง ยังคงปีนเกลียวเรียกเขาอย่างนั้น
แต่นั่นก็ทำให้เส้นความอดทนที่บางเฉียบของต่ายขาดผึ่ง
ต่ายหมุนตัวด้วยความเร็วสูง ชนิดไอ้สองหน่อที่ตามหลังมาต้องตกใจ และจะตกใจยิ่งกว่า เมื่อต่ายยกเท้าเบอร์ 40 ยันเต็มๆกลางท้อง จนมันล้มทั้งยืน
ยิ้มกระหยิ่มอย่างพอใจ เมื่อเห็นรอยรองเท้านันยางเบอร์ 40 ชัดแจ๋วที่เสื้อของแชมเปญ
“โทษที เท้ามันกระตุกว่ะ”
ท่ามกลางสีหน้าอึ้งทึ่งของเพื่อนร่วมห้อง แต่โชคดีที่เป็นเวลาใกล้เลิกเรียนกันแล้ว ที่อยู่ในห้องก็มีเพียงพวกที่ต้องทำเวรเท่านั้น
ซึ่งแน่นอน ต่ายเป็นเวรวันนี้พอดี เหมือนกับเจ้าสองตัวนั่นด้วย
รองหัวหน้าอย่างกานต์ รีบเข้าไปพยุงเพื่อน ก่อนจะชี้หน้าต่อว่า
“ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยวะ”
“ใครเริ่มก่อน?” ยักไหล่ให้อย่างไม่แคร์ ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องไป
หลังจากนั้น ผ่านไป 1 เดือนเขาก็เหมือนได้ลูกกระจ๊อกมาเพิ่ม เป็นใครไม่ได้นอกจากแชม ที่หลังจากโดนตีนกระต่ายเบอร์40 จนจ๋อยไป
แต่ก็นึกตลกที่มันและเพื่อนชอบเอาขนมมาให้เขาเสมอ แม้จะไม่ได้ต้องการก็ตาม
ทั้งๆที่โดนยันไปเต็มๆแล้วแท้ๆ ทั้งที่ควรจะถูกเกลียด มันกลับอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาซะงั้น
นี่เป็นวิธีการหาเพื่อนแบบใหม่รึยังไงกัน?นับตั้งแต่นั้นมา ต่ายและผองเพื่อน ประกอบด้วย อ้อน แชม และกานต์ก็กลายมาเป็นเพื่อนรักกันจนถึงทุกวันนี้
จนกระทั่งจบม.6 อ้อนสอบติดไปเป็นสาวหล่อสถาปัตย์ที่เชียงใหม่ ส่วนต่ายและแชมติดวิศวะ และกานต์ติดบริหาร มหาลัยเดียวกันแต่โอกาสที่จะเจอกันมีไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่
เอกกับแกน เป็นเพื่อนที่ได้รู้จักตอน ปี 1 ช่วงรับน้อง เนื่องจากถูกจับพลัดจับผลูมาอยู่ในสีเดียวกัน ได้ทำกิจกรรมด้วยกัน ไปๆมาๆ เลยสนิทกันแบบไม่รู้ตัว
กานต์ที่อยู่คณะบริหาร คณะใกล้เคียงกับวิศวะก็จริง แต่ก็ไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ก็ได้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างไลน์ เลยสามารถตามตัวได้ไม่ยาก
บ่อยครั้งที่กานต์ชอบมาก๊งเหล้ากับกลุ่มของต่ายบ่อยๆ
เปิดเทอมขึ้นปี 2 ของต่าย....
ต่ายรู้สึกสะดุดตากับน้องปีหนึ่งคนนึงที่กำลังซ้อมเชียร์ลีดเดอร์อยู่ที่ยิม1 ใกล้กับสนามฟุตบอลที่เขากำลังเล่นอยู่พอดี
สืบไปสืบมา เธอมีชื่อว่า เมล่อน น้องใหม่จากคณะบัญชี
และเช่นเดียวกับ กานต์ ที่สารภาพว่าชอบน้องคนนี้เหมือนกัน
ตอนรู้ก็มีเขม่นกันบ้างตามประสา แต่หลังจากนั้นก็ตกลงกันอย่างลูกผู้ชายว่า ใครจีบติด คนนั้นก็ได้ไป
ผลสรุป เป็นต่ายที่จีบเมล่อนติดก่อน อาจจะเป็นเพราะเขาไม่รุกหนักอย่างกานต์ ที่ชนิดที่ว่าเช้ามาเย็นมา ส่วนต่ายเน้นให้ความประทับใจมากกว่า
5 เดือนแรก คู่ต่ายและเมล่อน เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่น่าอิจฉาในหมู่เพื่อนๆที่สุด
กานต์แม้จะผิดหวังจากเมล่อน แต่ก็ยังไม่วายหายาใจมาคบแก้ช้ำได้อีก
แต่จุดพลิกผันนั้น มาจากที่ต่ายต้องทำค่ายของคณะ ส่วนเมล่อนมีซ้อมเชียร์ลีดเดอร์เพื่อเตรียมไปแข่ง ทำให้ทั้งเขาและเมล่อนไม่มีเวลาให้กัน แม้จะได้คุยกันในไลน์ แต่มันก็ไม่เท่ากับที่ได้พบหน้ากัน
ต่ายไปเข้าค่ายบนดอยเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เป็นเขตที่ไม่มีสัญญาณ ซึ่งทำให้ตลอดสัปดาห์ เขาไม่ได้ติดต่อกับเมล่อน ถึงแม้จะเป็นห่วงและคิดถึงอีกฝ่าย แต่ก็ได้แต่ปลอบตัวเองให้อดทน
หลังจากกลับมา ต่ายก็ได้เจอเซอร์ไพร์สสุดพิเศษจากแฟนสาวและ ...
เพื่อนสนิท อย่างกานต์
เขาพยายามทั้งโทรหาและไลน์ไปหาเมล่อนหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีมีสัญญาณตอบกลับใดๆ ในคราที่รู้สึกว่าท้อแท้
มันจะไม่ได้อะไรเลย ถ้า กานต์ไม่ได้ส่งข้อความมาว่า ...
‘ถ้าดูแลไม่ได้ ก็ปล่อยให้กูดูแทนดีกว่า’ในตอนนั้น ต่ายทำได้แต่นิ่งอึ้ง หัวสมองโล่ง ว่างเปล่าไปวูบหนึ่ง ความรู้สึกวูบๆทำให้ต่ายรู้สึกถึงเค้าลางไม่ดี
แม้จะพยายามไม่สนใจข้อความของกานต์ ต่ายเดินหน้าง้อแฟนสาวอย่างเต็มความสามารถที่คนอย่างต่ายจะทำให้ได้ หลังจากเพียรให้ดอกไม้ ขนมนมเนยทุกวัน ความพยายามของต่ายก็สำเร็จ ในปฏิบัติการง้อแฟนวันที่ 4
เมล่อนยอมคุยกับเขา แถมยังตอบตกลงไปกินข้าวอีก
นั่นเป็นสัญญาณสินะ ในคราแรกต่ายคิดอย่างนั้น
แต่เปล่าเลย ....
หลังจากวันนั้น เขาก็เจอภาพบาดตาบาดใจเข้าอีก ร่างเล็กที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขาอยู่กับคนที่เป็นเพื่อนของเขา กำลังสวีทหวานกันอยู่ที่ร้านเค้กหน้ามอ
ต่ายสบถในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดในกายเดือดพล่าน ถ้าไม่ติดว่าเอกและแชมยึดเขาไว้ เขาว่าจะไปพังร้านเล็กๆนั่นไปพร้อมๆกับสองคนนั้นเลยด้วยซ้ำ
‘ใจเย็นๆก่อนสิวะ’ เอกเอ่ยปลอบ แม้สีหน้าในเพื่อนตอนนี้เหมือนจะฆ่าคนได้แล้วก็ตาม ดูจะจริงจังกว่าตอนแข่งมวยที่ค่ายอีก
‘ทำไมวะ’ ต่ายพึมพำออกมา สองสมุนซ้ายขวามองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
‘ไปที่ห้องกูก่อนดีกว่า’ แกนผู้ที่ใจเย็นสุดพูดขึ้น คอนโดของแกนอยู่ตรงข้ามกับมหาลัยนี่เอง
ต่ายนั่งนิ่งอยู่กับโซฟา ไม่พูดไม่คุยกับใครเป็นชั่วโมง จนผองเพื่อนทนไม่ไหว
‘ไปกินเหล้ากันดีกว่าเพื่อน’
สิ่งที่จะปลอบใจได้ คงจะมีแต่เหล้า
ต่ายไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไปเท่าไหร่ รู้แต่ว่าแกนส่งมาให้เขาแค่ไหนเขาก็รับมากินเท่านั้น
‘อย่าไปสนผู้หญิงคนนั้นเลยมึง’
‘มึงก็พูดได้ ไม่ใช่มึงนี่เอก’
‘มึงรักเขาขนาดนั้นเลยเหรอวะ’
‘…..อืม’
‘แน่ใจนะว่ารัก?’
‘…..’
สิ้นคำพูดนั้น ต่ายชะงักมือที่กำลังจะกระดกแก้ว ก่อนจะใช้มือทั้งสองกุมแก้วใสอย่างครุ่นคิด
ถ้าเป็นช่วงที่ยังไม่ได้ห่างกัน เขาอาจจะพูดได้เต็มปากว่า แน่ใจสิ ว่ารัก
แต่พอมาเป็นตอนนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจตัวเองว่ารักหรือความรู้สึกอื่นกันแน่
ใช่ เขารู้สึก เจ็บที่เห็นว่า เมล่อนตีตัวออกห่าง
ใช่ ในใจเขาเจ็บปวด เหมือนโดนหักหลัง ที่เห็นเมล่อนอยู่กับกานต์
และดูเหมือนอีกฝ่ายจะดูมีความสุขกว่าอยู่กับเขาเสียอีก
‘อ้าว!’ แกนอุทาน ในขณะที่มองกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่ไม่ไกลจากที่นั้น
กลุ่มจากคณะบริหาร และหนึ่งในนั้นคือ กานต์ ส่วนที่นั่งข้างๆกันคือ เมล่อน
เหนือกว่าความคิด ร่ายกายของต่ายขยับลุกขึ้นแล้วเดินไปทางโต๊ะนั้นอย่างนิ่งๆ จนเจ้าตัวเองก็ยังงง และท่ามกลางความงุนงนของตัวเองและเพื่อนเขา เท้าก็มาหยุดที่สองคนนั้นนั่งอยู่
ทั้งสองมองมาที่ต่ายด้วยความตกใจ คนที่ดูจะตกใจสุด ก็คงไม่พ้นเมล่อนที่สีหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
อารมณ์เหมือนจับได้ว่าแฟนมีชู้ไม่มีผิด ‘พี่ต่าย’ เสียงหวานร้องเรียกต่ายอย่างแผ่วเบา
ต่ายมองคนทั้งสอง กานต์มีท่าทางหวงเมล่อนจนออกนอกหน้า ทำให้ต่ายกระตุกยิ้มเย็นอย่างไม่รู้ตัว
‘มาคุยกันหน่อยดีกว่า’ เขาเห็นเพื่อนร่วมโต๊ะของกานต์ทำสีหน้าตื่นตะหนก เหมือนกลัวว่าจะมีเรื่อง แต่ต่ายก็พยักเพยิดไปที่ข้างนอก
กานต์และเมล่อนลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ต่ายพยายามหายใจเข้าออก ท่องขันติซ้ำๆในใจ ก่อนจะพากันเดินออกไปที่ลานจอดรถ
‘หมายความว่ายังไงกัน’ ต่ายเปิดประเด็น
‘ทำไมเมไปอยู่กับมัน’ เมื่อไม่มีใครตอบ ต่ายจึงหันไปถามเมล่อนแทน
หญิงสาวเม้มปากแน่น ตาคู่สวยกลอกไปมา ไม่ยอมสบตากับต่าย
‘พี่ถาม ทำไมไม่ตอบ!!! ’ ตะคอกเสียงลั่นจนอีกคนตัวสั่น
‘ไอ้ต่าย!’ กานต์กระชากต่ายให้ออกห่างจากเมล่อน
‘ทำไม! กูถามทำไมไม่มีใครตอบ!!’
‘มึงเมาแล้ว ไอ้ต่าย’ กานต์ยืนประจันหน้ากับต่าย ความสูงที่ไล่เลี่ยกัน ถ้าสู้กันคงจะสูสี แต่คนที่ได้เปรียบกว่าคือคนที่เรียนมวยอย่างต่าย
‘กูยังมีสติพอแล้วกัน บอกมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!’
‘ก็เพราะมึงนั่นแหล่ะ’
‘ทั้งๆที่มึงเคยบอกกับกูว่า มึงจะดูแลเมให้ดีที่สุด แล้วดูที่มึงทำสิ นี่หรอที่บอกว่าดีที่สุด! มึงปัญญาทำได้แค่นี้ใช่ไหมวะ!!!’
ต่ายรู้สึกจุกทันทีกับคำพูดนี้
‘แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วย’
‘ไอ้เหี้ย!’
พลั่ก! หมัดลุ่นๆของกานต์ซัดเข้าที่แก้มซีกขวาของต่าย จนรู้สึกเบลอ
ต่ายมองอย่างเกรี้ยวกราด แม้จะไม่เจ็บเท่าที่ซ้อมมวย แต่ก็เรียกได้ว่าชาไปครึ่งหน้า
‘มึงเป็นแบบนี้ไง ดีแต่พูด กูไม่น่าปล่อยให้เม--- อั๊ก’
ไม่ปล่อยให้อีกคนพูดยืดยาว หมัดฮุกขวาของต่ายก็เข้าจังๆ ร่างของกานต์ล้มลงไปกับพื้น เสียงร้องของเมล่อน บวกกับเสียงเพื่อนๆของพวกเขาที่ตามกันมา ช่วยกันปราม
ร่างของต่ายถูกล๊อคด้วยใครบางคนที่ตัวใหญ่กว่า เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอก
‘จริงๆแล้ว เมไม่เชื่อใจพี่เลยสินะ’
แม้จะถูกล๊อคจากร่างหมีๆของเอก แต่ก็สะบัดจนหลุดมาคุยกับเมล่อนได้
‘ฮืออ เมไม่ไหวแล้วค่ะพี่ต่าย เราห่างกันมาเกือบเดือนแล้วนะพี่ต่าย ฮึกก พี่ต่ายรู้บ้างไหม ตั้งแต่พี่ต่ายเริ่มทำค่าย ฮึก. เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลย พี่เคยสนใจเมไหมว่า ฮึกก. เมซ้อมเหนื่อยแค่ไหน คิดถึงพี่แค่ไหน เคยมาดูเมซ้อมบ้างไหม’ เมล่อนพูดพลางสะอื้นตัวโยน
‘มีแค่พี่กานต์ ที่มาดูเมซ้อมทุกวัน พาเมไปส่งที่หอ ดูแลยิ่งกว่าคนที่เป็นแฟนอย่างพี่ต่ายอีก!!’ เมล่อนตะคอกใส่เขาทั้งน้ำตา มือเล็กๆทุบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘บางทีเมก็คิดว่า ตัวเองตัดสินใจผิดที่เลือกพี่ต่าย..........
.......... เราเลิกกันเถอะนะคะ’ มาถึงท่อนนี้ต่ายเบิกตากว้างกับคำพูดนี้
ต่ายกวาดตามองทุกคนที่ร่วมเหตุการณ์ ทั้งแชมและแกนที่ยืนอยู่ข้างๆ เอกที่อยู่ข้างหลังเขา เพื่อนของกานต์ที่ประคองกานต์อยู่ ส่วนเมล่อน หญิงสาวเพียงคนเดียว ที่ยืนร้องไห้จนน่าสงสาร จนกานต์ต้องผละออกจากเพื่อนแล้วเข้ามากอดปลอบร่างเล็กไว้
ต่ายเงยหน้ามองขึ้นมองท้องฟ้า กะพริบตาเร็วๆไล่ความรู้สึกร้อนที่หัวตา
‘สุดท้าย เมก็เลือกมันสินะ’ ต่ายถาม อีกคนหลบสายตา แต่ก็พยักหน้าให้
‘งั้นก็โชคดีแล้วกัน’ พูดจบก็หันหลังเดินกลับ เอกแกนและแชม รีบเดินประกบทันที
เดินไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลมาอย่างไม่หยุด ผองเพื่อนทั้งสามต่างรุมกอดเขา โดยเฉพาะหุ่นหมีอย่างเอกที่เสียสละอกแน่นอาสาเป็นที่ซับน้ำตาให้ต่าย
'น้ำตาพอนะ ไม่เอาน้ำมูก' เอกพูดอย่างขำๆ พยายามทำให้บรรยากาศที่หมองหม่นดีขึ้น แต่ก็ได้ผล หัวทุยๆของคนที่ซบอยู่กับอกเขาสั่นออกมาเล็กน้อย
‘ขอบุหรี่หน่อย’ หลังจากพากันมาส่งที่คอนโดของแชม เพราะดูจากสภาพต่ายแล้ว คงให้กลับบ้านคงไม่น่าไหว
แชมปกติไม่ค่อยได้สูบ นานๆทีจะสูบเพราะพี่ชายดุมันบ่อยๆ ดุไม่พอเอาไปโยนทิ้งถังขยะอีก
ส่วนที่มีก็เป็นของที่ต่ายลืมทิ้งไว้
ต่ายมองซองบุหรี่ที่ยังพอมีบุหรี่เหลืออยู่ห้ามวนด้วยสายตาว่างเปล่า
แชมทำเพียงแค่เมี่ยงๆมองๆ แบบห่วงอยู่ห่างๆ จนกระทั่ง มวนสุดท้าย.....
ต่ายจุดไฟที่ปลายบุหรี่ ก่อนจะเกิดประกายไฟขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ดูดเข้าปอด ก็มีมือปริศนาดึงมันออกไป
‘เหม็นโว้ย สูบเยอะไปแล้ว’ แชมบ่น ต่ายปรายตามองเพื่อนที่บี้บุหรี่กับพื้นระเบียง ใกล้ๆกันมีเศษบุหรี่ที่ต่ายสูบทิ้งไว้
แชมทำสียงจิ๊แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเขา เมื่อบุหรี่ถูกเพื่อนตัวดีโยนทิ้งไป สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ เอนหัวซบกับไหล่แข็งๆของแชม
‘เหนื่อยว่ะ’ ต่ายบ่นออกมา แชมหัวเราะขึ้นจนร่างสั่น
‘เหนื่อยก็พักสิวะ กูก็อยู่เป็นเพื่อนมึงตรงนี้แล้วไง’
'ขอบใจ'
'เออ'
สำหรับต่าย คำว่าเพื่อน ไม่จำเป็นต้องมีคำปลอบโยนดีๆ ขอเพียงแค่ เพื่อน ไม่ได้ทิ้งเราไปไหน อยู่กับเราตอนที่เราอ่อนแอก็พอ
end.. เห้ยยยย TBC ...
-------------------------------------------------------------------------------------
Beva talk : กลับมาแล้วค่ะ คนอ่านที่น่ารักทุกคน

ตอนนี้เป็นยังไงบ้างเอ่ย มันอาจจะแปลกๆไปนิดนึงน๊า คือมันแบบต่ออารมณ์ไม่ถูกอ่ะ
จริงๆเรื่องอดีตของต่ายจะเอาไปเป็นตอน side story นะคะ แต่พอดี มันตัน คิดว่าเอามาใส่ในเรื่องหลักจะเข้าใจเรื่องราวมากกว่า อิอิ
ขอบคุณที่ยังรอคอย ไทกริสกับพี่ต่ายนะคะ แม้ตอนนี้ไทกริสจะไม่ออกมาเลยก็ตาม 555555