บทที่ 30
“นี่คือห้องฝึกพลังเวทย์ของกองทัพ” เอเบรียนว่าพลางเดินนำฟาเรสและลูนสู่โถงใต้ดินขนาดยักษ์ที่กินบริเวรกว้างและเพดานสูงสุดสายตา ทั้งพื้น ผนังและเพดานเป็นสีขาว จนดูเหมือนว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ใหญ่กว่าโคลอสเซียมกลางน้ำที่ใช้ในงานประลองเสียอีก
“โห ในอนิมามีอะไรที่ผมยังไม่เห็นอีกไหมครับ” ครึ่งเอลฟ์มองรอบตัวอย่างทึ่งๆ มองภายนอกดูไม่ออกเลยว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีฐานลับขนาดใหญ่ซ่อนอยู่
"สองข้างนั่นเป็นเครื่องจำลองพลังเวทย์” เครื่องจักรสีเงินสูงเกือบสามเมตรถูกติดตั้งไว้สองด้านของห้องฝึกตรงข้ามกัน “และพวกนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องพวกนี้ คนของลุงเองไว้ใจได้ เขาจะมาคอยดูแลความปลอดภัยของหลานในช่วงฝึกซ้อม” ฟาเรสกล่าวทักทายเจ้าหน้าที่สี่ห้าคนที่ออกมาต้อนรับ
“พลังเวทย์สร้างได้ด้วยหรอครับ” ลูนถามอย่างสงสัย
“ก็เพิ่งจะทำได้เมื่อไม่นานมานี้นั่นละ แต่ก็มีขีดจำกัดของมันและใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก อีกทั้งต้องมีเครื่องกำเนิด ไม่เหมือนพลังเวทย์แฝงที่อยู่ในตัวพวกเราทุกคน” ผู้สูงวัยอธิบาย
“แล้วจะให้ผมฝึกยังไงครับ” ฟาเรสถามต่อ ภารกิจของเขาคือการปิดรอบแยกระหว่างมิติขนาดยักษ์ใจกลางอินเวียโน
“จากการคนคว้าที่ผ่านมาของอนิมา พบว่า พลังเวทย์แฝงและเวทย์บริสุทธิ์ เกิดจากประจุพลังงานที่ซ่อนอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกประเภทแต่จะมากพอที่จะแสดงออกไหมนั่นก็เป็นอีกเรื่อง มีความคุณสมบัติแต่งต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างเช่นมนุษย์ กับเอลฟ์ที่มีความสามรถในการใช้พลังต่างกัน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านั้นจะถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม และบังเอิญคุณสมบัติของพลังที่ถ่ายทอดมากับสายเลือดคาเดนเซียเหมือนกับพลังงานของรอยแยกระหว่างมิติ ทำให้สายเลือดคาเดนเซียเกือบทุกคนสามารถเปิดปิดรอยแยกระหว่างมิติได้ เหมือนกับที่หลานทำได้ไงฟา” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ เริ่มเข้าใจถึงที่มาที่ไปของพลังตน “ลุงจะใช้เครื่องสร้างก้อนพลังที่มีคุณสมบัติคล้ายพลังงานของรอยแยกขึ้นมาและให้หลานหาทางสลายมัน จะเริ่มจากก้อนพลังเล็กๆ แล้วขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ”
“แล้วผมต้องฝึกแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ครับ”
“จนกว่าพลังในตัวหลายจะสมดุลย์ และสามารถใช้พลังได้มากๆ โดยไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง แต่เราคงไม่กระหน่ำฝึกแบบนี้ทุกวันหรอกนะ ลุงจะหาทีมแพทย์มาคอยเช็คสภาพร่างกายหลานถ้าไม่ไหวก็ต้องให้พักจนกว่าจะฟื้นตัว”
“แต่นั่นจะทำให้เราเสียเวลาเปล่านะครับ”
“ฟา จริงอยู่ที่เรื่องหยุดยั่งฟอสโกมันสำคัญ และหลานลุงสำคัญกว่า ถ้ารู้สึกว่าใช้พลังไม่ไหว ก็ไปฝึกการต่อสู้ทางกายแทนก็ได้หากหลานไม่อยากอยู่เฉยๆ เอาลูนไปเป็นคู่มือก็ได้ พวกคิเมร่านะสัญชาติญาณในการต่อสู้ดีแต่เกิดอยู่แล้ว” เอเบรียนบอก
“อืมมม ลูนจะเป็นคู่มือให้เอง” เจ้าเหมียวตาม่วงรับคำอย่างแข็งขัน
“ขอบคุณลูน” ฟาเรสบอกด้วยรอยยิ้ม
“เอาละมาเริ่มกันเถอะ” ผู้อำนวยการถอยออกจากบริเวณ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เข้าที่ทุกคนแล้วเริ่มเปิดเครื่อง
ลูกพลังที่ฟาเรสสามารถสลายได้ค่อยๆ เพิ่มขนาดขึ้นทุกวัน หากแต่การใช้พลังเวทย์ติดต่อกันหลายวันมันทำให้เขาเริ่มล้า แต่เจ้าตัวกลับไม่ปริปากบอกใครเพราะเขาไม่อยากหยุดอยู่เพียงเท่านี้ อาทิตย์หนึ่งแล้วที่เวลอร์ออกจากฐานไปยังไม่ติดต่อกลับมา ทำให้ลูกครึ่งเอลฟ์ทั้งคิดถึงทั้งห่วง อาจเพราะเคยชินกับการมีอีกคนอยู่ข้างกาย จึงทำให้นอนไม่ค่อยหลับและนั่นยิ่งทำให้ร่างโปร่งยิ่งรู้สึกล้าเป้นทวีคูณ ส่วนลูนก็คิดถึงเจ้าชายครึ่งออคของตนเช่นกันแต่เจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างร่าเริงจึงไม่เซื่องซึมเท่าไหร่นัก คุณชายมาวิคของเราเองก็ดูหงอยไปบ้างเช่นกันหากแต่พยายามยิ้มแย้มเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ที่เหลือต้องกังวล
“ฟาเรสสสสส” น้ำเสียงหวานๆ ดังต้อนรับขณะที่ฟาเรสเปิดประตูห้องพัก หลังจากฝึกมาตลอดวัน
“ป้าโอเรนน!!!” เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นคนในครอบครัวของตน โผเข้ากอดหญิงร่างท้วมเต็มแรง “คิดถึงจัง”
“ป้าก็คิดถึงเราเหมือนกัน” ฟอด...หญิงวัยกลางคนหอมแก้มหลานชายฟอดใหญ่ “ดูซิ โทรมไปเยออะเลยนะเรา พักผ่อนน้อยละสิ”
“แหะๆ ฝึกหนักไปหน่อยนะครับ”
“ดูแลตัวเองหน่อยนะเรา อินเดียโกมันตามมาหักคอฉันโทษฐานไม่ดูแลหลานจะทำยังไง” ชื่อของพ่อทำให้ดวงตาสีครามวูบไหว
“ผมอยากไปเยี่ยมทุกคนจัง” ฟาเรสบอกเสียงเครือพลางฟุบหน้าลงกับไหล่กลมกลึงของคนเป็นป้า ตั้งแต่สอบเข้าอนิมาได้เขายังไม่ได้กลับไปเยี่ยมหลุมศพพวกท่านเลยซักครั้ง
“เอาน่า พวกเขาอยู่กับหลานทุกที่นั่นละ ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่กับยัยสองแสบนั่น พวกเขาอยู่ตรงนี้ไงจ๊ะ” ว่าแล้วก็จิ้มนิ้มป้อมๆ ตรงตำแหน่งหัวใจของหลานชาย
“นั่นสินะครับ” ริมฝีปากสวยยิ้มรับ เพราะฉะนั้นจะมามัวเหลาะแหละไม่ได้ เพื่อครอบครัวที่เสียไปฟาเรสต้องล้างแค้นให้สำเร็จ
“ไว้ว่างก็กลับบ้านเรา” เธอว่าอย่างใจดี
“แล้วป้ามาที่นี่ได้ไงครับ”
“ก็เจ้าเวนะสิ บอกว่าจะต้องออกไปสืบข้อมูลพวกฟอสโกต้องทิ้งเราไว้ที่นี่ เลยขอร้องไห้ป้ามาดูแลเราหน่อย นี่ถามจริงหลานคิดยังไงไปตกลงปลงใจกับตาแก่นั่น” ฟาเรสยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเวลอร์เป็นห่วงตนขนาดนี้
“ฮ่าาา ก็ไม่รู้สิครับ” จะว่าไปคนรักเขาก็อายุรุ่นๆ เดียวหรืออาจจะแก่กว่าท่านลุงท่านป้าเขาด้วยซ้ำ
“ไปอาบน้ำไป ป้าทำข้าวเย็นไว้รอ มีแต่ของโปรดเราทั้งนั้น”
“ว่าแต่ผมชวนลูนมาทานด้วยได้ไหมครับ”
“ป้าให้คนไปตามแล้วจ้ะ ไปซักทีสิ เหม็นเหงื่อจะแย่อยู่แล้ว” ป้าโอเรนย่นจมูกใส่พลางดันหลังหลานชายให้เดินไปอาบน้ำเสียที
"ครับๆ”
การมีป้าโอเรนมาอยู่ด้วยช่วยให้เขาคลายคิดถึงเวลอร์ไปได้บ้าง สองอาทิตย์แล้วคนรักก็ยังเงียบหายจนเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง จนท้ายที่สุดเข้าก็ทนไม่ไหวจึงเอ่นปากถามเหล่าอดีตองครักษ์จนได้ความว่า
“เมื่อคืนท่านเวลอร์ส่งข่าวมาว่าจะเดินทางต่อไปเคลวิช” เอลฟ์สาวบอกพลางยื่นจดหมายมาให้ การส่งข่าวข้ามเมืองนั้นค่อนข้างลำบากเพราะไม่ใช่ทุกที่จะมีการสื่อสารที่เจริญอย่างเดสเซนท์โทรศัพท์จึงมีอยู่ตามสถานที่หลักๆ เท่านั้น
“แล้วอีกนานไหมครับกว่าพวกเขาจะกลับ”
“คงไม่เกินสามอาทิตย์หรอค่ะท่าฟาเรส เพราะท่านเวลอร์แยกกันกับสหาย ท่านโอซี่กลับไปที่เรดิเอนซี่ ส่วนท่านไมเรคขึ้นเหนือไปนอธฟิวค่ะ” เรน่าอธิบาย
“แล้วมอร์แกนละครับ” ฟาเรสไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าถามถึงเธอคนนี้ทำไม
“เดินทางไปเคลวิชกับท่านเวลอร์ค่ะ” ไปกับเวลอร์สองต่อสอง ใบหน้าใสดูหมองลงขึ้นทันตา
“ครับขอบคุณครับ”
“ท่านฟาเรสอย่าคิดมากนะค่ะ เชื่อใจนายท่าน” เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับแม้ภายในจะอึดอัดเต็มทน
ฟาเรสไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะเป็นพวกคิดมาก เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็เก็บมากังวลไปเสียหมด ที่เวลอร์เดินทางไปกับมอร์แกนเขาพยายามปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็มีไมเรคและโอซี่ไปด้วย แต่ตอนนี้สองคนนั้นไปด้วยกัน ถ้าเกิดมอร์แกนอยากได้นายของเธอคืนละ หรือคนรักของเขาเผลอตัวเผลอใจไปกับสนมเก่าละ สารพัดความคิดมากมายโถมเข้าจนตลอดช่วงหลายวันมานี้ฟาเรสไม่มีสมาธิเลย ทำอะไรก็หงุดหงิดไปหมด
“คุณฟาเรส วันนี้สีหน้าดูไม่ดีเลยนะครับ พักก่อนไหม” เจ้าหน้าที่ในโถงฝึกคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับเราเพิ่งเริ่มเอง” ฟาเรสว่าพลางหยัดตัวยืนตรงเมื่อกี้พึ่งสลายก้อนพลังขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสี่ห้าเมตรไปเป็นการวอร์ม “ต่อเลยครับ เอาขนาดที่ใหญ่กว่าของเมื่อวาน”
ตอนนี้ลูกพลังที่ใหญ่ที่สุดที่เขาสามารถสลายได้ ใหญ่พอๆ กับตึกสี่ชั้นเลยก็ว่าได้ จนเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างออกปากชมด้วยความทึ่งเพราะไม่เคยเจอคนที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์มากขนาดนี้
“พร้อมนะครับ” เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณก่อนจะเปิดเครื่องกำเนิดพลัง
สายพลังงานสีฟ้าพุ่งออกจากเครื่องจักรสีเงินทั้งสองข้างมาปะทะกันตรงการเกิดเป็นก้อนพลังงานที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ เกิดเสียงดังคล้ายไฟฟ้าที่กำลังชอตเป็นระยะและแสงสว่างจ้าไปทั่วโถง ฟาเรสพยายามตัดเรื่อวกสนใจออกไป บอกตัวเองว่าต้องตั้งใจ บอกตัวเองว่ายังมีสิ่งยิ่งใหญ่ที่ต้องทำ เขาต้องหยุดฟอสโก ต้องเอาคืนคนที่ทำลายชีวิตเขาและทำลายชีวิตเวลอร์ หยุดยั้งในสิ่งที่พวกมันทำ
ดวงตาสีครามมองไปยังลูกบอลพลังงานใจกลางห้องอย่างใช้ความคิด ที่ผ่านมาเขาใช้พลังของตัวเองลบล้างมัน ผลที่ได้คือร่างกายอ่อนแรงลงเพราะสูญเสียพลังงานไปมาก หากพลังเวทย์ของเขามีคุณสมบัติเดียวกัน แทนที่จะปล่อยพลังไปลบล้างให้สูญเปล่า ทำไมเขาไม่ดึงพลังนั้นเข้าสู่ตัวแทน คิดได้ดังนั้นจึงยื่นแขนออกไปด้านหน้าตั้งสมาธิและทำตามสิ่งที่พึ่งคิดได้
“คุณฟาเรส ทำอะไรของคุณนะ” เจ้าหน้าที่ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อสายเวทย์ถูกดึงจากก้อนพลังงานสู่ร่างโปร่งบาง
“อย่าปิดเครื่องครับ ขอละให้ผมลอง” ครึ่งเอลฟ์บอกเสียงกร้าว ทุกคนจึงยอมอยู่นิ่ง เฝ้ามองร่างโปร่งอย่างลุ้นระทึก
พลังมหาศาลที่ถูกดึงสู่ร่าง ทำเอาฟาเรสสั่นไปทั้งตัว เหมือนมีบางอย่างไหลเวียนอยู่ภายใน แต่เขาก็ยังไม่หยุดมองก้อนพลังที่เล็กลงเรื่อยๆ อย่างมีนหวัง อีกนิดทำก็จะทำได้ แต่ดูเหมือนร่างกายจะเริ่มไม่อำนวยกับปริมารของพลังมหาศาลที่ไหลสู่ร่าง
“ฮึก...” ฟาเรสกัดฟัดกรอดเมื่อบางสิ่งที่อยู่ในกายไหลเวียนรุนแรงอย่างบ้าคลั่งจนเจ็บแปลบเหมือนถูกกรีดไปทั้งร่าง นั้ยน์ตาสีครามเรืองรอง แต่เขาจะทน อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จ ภาพก้อนพลังที่เหลือเพียงไม่กี่เมตรที่กำลังจะสลายตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน แล้วมันก็หายวับไปกับตาพร้อมเสียงตวาดลั่นของใครบางคนที่เขาไม่อาจรับรู้อีกต่อไป
“พวกแกทำบ้าอะไร ทำไมไม่หยุดเขา ปล่อยเขาทำแบบนี้ได้ไง” เอเบรียนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เขาเข้ามาในโถงเมื่อครู่พอเห็นว่าหลานชายกำลังทำอะไรก็รีบวิ่งไปปิดเครื่องกำเนิดพลังงานในทันที
“ฟา เฮ้ ฟา เป็นอะไรไหม” ผู้อำนวยการถลาไปประคองร่างโปร่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น มือเหี่ยวกร้านสั่นเทาลูบใบหน้าเนียนด้วยความตระหนก พยายามเช็ดเลือดที่ไหลออกจมูกออกปากไปจากใบหน้าเนียน
“เรียกหน่วยพยาบาล เร็วเข้า”
เขาไม่กล้าแม้ที่จะเคลื่อนย้ายร่างในอ้อมแขน เพราะไม่รู้ว่าพลังเวทย์ที่ฟาเรสรับเข้าร่างทำความเสียหายภายในร่างกายมากแค่ไหน ใจชองชายสูงวัยสั่นกลัวดังเช่นวันสุดท้ายที่เขาได้มีโอกาสไปดูใจฟาร่าที่กำลังจะตาย เขาคงไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้น อย่างน้อยถ้าจะมีซักคนที่เอเบรียนผู้พันต้องตาย ภาวนาให้มันเกิดขึ้นหลังจากตาแก่อย่างเขาสิ้นใจไปเสียก่อน
เวลอร์เดินทางมาถึงเมืองหลวงของเคลวิชพอเข้าพักที่โรงแรมก็รีบติดต่อกลับไปที่อนิมาทันที ส่วนหนึ่งคืออยากทราบข่าวของฟาเรส แต่ที่ไม่ขอคุยนั้นเพราะเขากลัวว่าหากได้ยินเสียงนุ่มๆ ที่ชอบฟังคงทนความคิดถึงไม่ไหวจนต้องกลับไปหาเสียให้ได้ จึงตัดสินใจฟังความเป็นไปของคนรักผ่านทางอดีตองครักษ์ของเขาเอา หากแต่เรื่องราวที่ได้รับรู้เมื่อครู่กลับทำให้คิเมร่าที่แสนจะแข็งแกร่งอย่างเข้าถึงกับหมดแรง
แกรก...โทรศัพท์ในมือใหญ่ร่วงลงทันใด หากไม่มีสายดึงไว้มันคงกระแทกพื้นเสียหาย ร่างสูงเอนหลังพิงพนักโซฟาที่นั่งอยู่อย่างสิ้นท่า เสียงของเรน่าที่พูดกับเขาเมื่อคครู่ดังก้องอยู่ในหัว
‘ท่านฟาเรสฝืนใช้พลังมากไปจนร่างกายรับไม่ไหว ตอนนี้ทรุดหนักเลยเจ้าค่ะ’
‘แล้วตอนนี้ ฟาเป็นอย่างไรบ้าง’
‘ดิฉันก็บอกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ นี่ก็สองวันมาแล้วยังไม่ฟื้นเลย’
‘ฉันจะกลับ’
ในตอนนี้สิ่งที่รับรู้บีบหัวใจของเวลอร์จนเจ็บแปลบ ห่วงเหลือเกิน มันร้อนรนจนแทบบ้า มือกร้านกำแน่นจนเล็บจิกลงกับเนื้อ เพื่อภารกิจบ้าๆ เขาทำให้คนรักต้องเป็นอันตรายถึงเพียงนี้เชียวหรือ มอร์แกนที่นั่งอยู่โซฟาเดียวเลื่อนมานั่งข้างกายก่อนจะวางมือบนต้นแขนของนายเหนือหัวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“ไปเถอะเจ้าค่ะ ทางนี้มอร์แกนจะจัดการต่อเอง” ใบหน้าสวยยิ้มบางๆ ย้ำให้อีกคนวางใจ เธอไม่เคยเห็นฝ่าบาทของเธอรักใครเท่านี้มาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกของนายตัวเองดี
บนเรือบินที่ออกเดินทางจากนอธเทิร์นเรียมซึ่งกำลังมุ่งหน้าส่เดสเซนท์ ไมเรคนั่งอ่านเอกสารรายชื่อผู้สนับสนุนพวกฟอสโกที่เขาได้มาด้วยใบหน้าเคร่งเคียดเมื่อรายชื่อหนึ่งในนั้นเป็นนามสกุลขของคนใกล้ตัว
...หวังว่านายคงไม่มีส่วนกับเรื่องนี้นะ พรีม!!!...
.....................................
+มาแล้ว คิดถคงฉันไหมเวลาที่เธอ..........(จงเติมคำในช่องว่าง)
+ ขอโทษนะค่ะที่หายหน้าไปนาน เอานี่มาไถ่โทษพอหรือเปล่าคนดี
ตอนนี้พยายามฝักใฝ่ด้าน digital painting แล้วค่ะ
เข้ามาทักทายกับเราได้ที่
ส่วนนี้เปิดไปเจอเพลงเพราะและมีความวาย ตอนจบแอบเศร้าอะค่ะ
https://youtu.be/fdXNNveYOfU part 1/3
https://youtu.be/uxg222-hWWc part 2/3
https://youtu.be/Lo3lxS-6joY part 3/3