บทที่ 40
จากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายแผ่กระจายเป็นวงกว้าง แม้จะเกิดความสูญเสียมากมายแต่สิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือสายสัมพันธ์ของทุกเผ่าพันธุ์ในเอสทีเรียด ในวันนี้ชาวอินเวียโนกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะชนชาติลึกลับที่หน้าสะพรึงกลัวหากแต่พวกเขาคือผู้ปกป้อง
อินเวียโนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งโดยมีคอเนเลียสซึ่งถูกปลุกขึ้นมาเพื่อช่วยสงครามเป็นผู้ปกครอง แม้เจ้าตัวจะเคยสละบรรลังก์ไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครเหมาะสมกว่าเขาแล้วในเวลานี้ เอแวนการ์ดได้รับบทเรียนในความทะนงของตนว่ากองทัพไม่ได้จัดการได้ทุกอย่าง การเรียนการสอนในอนิมาถูกพักไว้ก่อนครึ่งปีแม้ตัวมหาวิทยาลัยเองจะไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ต่างกระจายกันไปเป็นอาสาให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของไวด์โซล
ในช่วงที่มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดโอซี่และลูนเดินทางกลับเรดิเอนซี่ เพราะโอซี่ต้องไปช่วยงานบิดาในฐานะรัชทายาทองค์เล็ก พ่อแม่ของพรีมเข้ามอบตัวกับทางการ แต่ได้รับลดหย่อนโทษเนื่องจากทั้งสองเป็นคนนำทางเอแวนการ์ดไปยังคุกที่คุมขังชาวเมืองอินเวียโนแต่ยังต้องโทษจำคุกเป็นสิบปี ใช่ว่าพรีมจะเหลือตัวคนเดียว เขายังมีหมอโฮเซียที่ขยันทำคะแนนอยู่ไม่ขาด เอเบรียนกลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการอนิมาดังเดิมเพิ่มขึ้นมาคือเลขาคนสวยอย่างมอร์แกนที่ควบตำแหน่งภรรยาด้วย ไมเรคสมัครเข้าเป็นอาจารย์คณะวิทยาการการทหารเต็มตัวเพราะอยากใกล้ชิดมาวิค จากอดีตหน่วยพิทักษ์เลยกลายมาเป็นลูกเขยท่านผู้ว่าการแห่งเดสเซนท์
ฟาเรสเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของเรีือเหาะ เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน ภาพหมู่เกาะไวท์ออชาร์ดค่อย ๆ ปรากฎแจ่มชัดต่อสายตา ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านเกิดอีกเลย
"ฟาเรส ทางนี้จ้า" เสียงเจื้อยแจ้วของป้าโอเรนดังขึ้นตรงประตูทางออก ข้างกายมีลุงมาคัสยืนส่งยิ้มมาให้
"กลับมาแล้วครับ" ร่างโปร่งเดินไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองจึงถูกผู้เป็นป้าดึงไปกอดไว้แน่น
"ดีใจที่หลานปลอดภัย" โอเรนบอกพลางตบไหล่หลานชาย
"ดีใจที่ลุงกับป้าปลอดภัยเช่นกันครับ" ฟาเรสตอบ
"ปะ...กลับบ้านกันเถอะ ตรงนี้แดดร้อนชะมัด" มาคัสว่าพลางเดินนำไปที่รถซึ่งจอดรออยู่
ป้ากับลุงจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ต้อนรับฟาเรสอย่างอบอุ่น ลูกชายทั้งสองของท่านก็มาร่วมด้วย มื้ออาหารเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะไม่อยากทำให้คนรอบข้างลำบากใจเขาจึงไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น สามวันแรกเด็กหนุ่มพักที่บ้านป้าเพราะคฤหาสก์คาเดนเซียแม้จะสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่มีใครไปอยู่จึงต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่เมื่อเขากลับมา
"ให้ป้าส่งเด็กไปรับใช้ไหมจ้ะ" โอเรนเอ่ยถามผู้เป็นหลาน
"ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่คนเดียวได้ ไว้ผมจะเรียกไปทำความสะอาดให้ก็แล้วกัน" ฟาเรสตอบ พลางส่งกระเป๋าให้คนรถที่รอไปส่งเขา
"ขาดเหลืออะไรก็ติดต่อมานะฟาร์" แม้จะแสร้งทำเป็นร่าเริงแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของเธอได้ ใบหน้าของหลานชายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแย้มยิ้มให้แต่ดวงตาสีครามกลับไร้ซึ่งประกายของชีวิต เรื่องของความรู้สึกเธอคงไม่อาจก้าวก่าย เฝ้าแต่รอวันที่หัวใจของหลานชายจะกลับมาเข้มแข็งดังเดิม
ฟาเรสลงจากรถที่มาส่ง คนรถขนกระเป๋าสัมภาระลงให้ คฤหาสก์คาเดนเซียถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยอิงตามแบบแปลนเดิม หน้าบ้านเป็นสนามหญ้า มีน้ำพุหินอ่อนอยู่ตรงกลาง รอบตัวน้ำพุเต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอกหลากสี ภาพตัวบ้านที่ถูกเผาวอดเหลือแต่เสาในวันนั้นราวกับเป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านพ้นไป และสิ่งที่จากไปพร้อมกับภาพเหล่านั้นก็คือชีวิตของทุกคนในที่แห่งนี้
เด็กหนุ่มแบกของทั้งหมดขึ้นบ่าก่อนจะก้าวผ่านประตูเหล็กดัดไปยังอาคารสองชั้นสีขาว พอเปิดเข้าสู่ตัวบ้านโถงทรงกลมก็ปรากฏต่อสายตา มีบันไดทอดยาวลงมา หากเป็นแต่ก่อนออรี่กับอ่อร่าต้องแข่งกันวิ่งลงบันไดมาต้อนรับพี่ชายของพวกเธอแต่วันนี้ไม่มีแล้ว
ฟาเรสเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บในห้องซึ่งเคยเป็นห้องนอนเดิมของตัวเองก่อนจะออกไปเยี่ยมครอบครัวที่ถูกฝังไว้ยังสุสานของตระกูลคาเดนเซียซึ่งอยู่นอกเมือง เขาเอาสร้อยข้อมือที่ซื้อตอนเดินทางไปหมู่บ้านนักล่าวางลงบนป้ายหินอ่อนที่สลักชื่อออรี่และออร่า ถัดไปนั้นเป็นสุสานของท่านพ่อที่ข้างหนึ่งเป็นร่างของฟาร่าแม่ผู้ให้กำเนิดและอีกข้างเป็นร่างของไมร่าแม่ผู้เลี้ยงดู อย่างน้อยอินเดียโก้ก็ได้เคียงข้างผู้เป็นที่รักแม้ในยามที่ตัวตาย แล้วเขาละจะมีโอกาสนั้นไหม ฟาเรสวางช่อดอกไม้ให้เขาเหล่านั้น ร่างโปร่งคุกเข่าลงพร้อมโค้งตัวให้บุคคลทั้งห้าจนแทบจะติดพื้น
"ผมขอโทษ" เสียงของเขาสั่นเครือ รู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าฟาเรสไม่เกิดมาพร้อมพลังที่มี คนเหล่านี้ก็คงไม่ถูกฆ่าและได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขจนสิ้นอายุขัย
ฟาเรสกลับจากสุสานในตอนเย็น ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม บ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเขามันช่างว่างเปล่าและอ้างว้างเหลือเกิน ก่อนหน้านี้เขาสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรและศาสตร์การทำยา แต่ตอนนี้เขากลัวที่จะกลับอนิมา โดมกระจกนั่นเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายระหว่างเขากับเวลอร์ ถ้าไม่กลับไปเรียนแล้วฟาเรสจะทำอะไรต่อไป เขามองไม่เห็นจุดหมายของชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเหม่อมองเพดานอย่างไม่รู้จะทำอะไร
"รักฟาร์นะ" เสียงทุ้มนุ่มในความทรงจำดังขึ้นในหัว
"ก็แค่อยากอยู่กับนาย ฟาเรส" ดวงตาสีอำพันฉายแววจริงจังจนไม่อาจละสายตาไปได้
"ไม่ทิ้งแล้ว ฉันจะไม่ยอมห่างฟาร์อีกแล้ว" แม้กระทั่งอ้อมกอดอบอุ่นเขาก็ยังรู้สึกได้
"เมื่อก่อนฉันคงตอบว่าอินเวียโนคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ตอนนี้การได้อยู่กับฟาร์คือสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนี้" ใบหน้าคมคายที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนรักใคร่ แจ่มชัดราวกับผู้พูดยังอยู่ตรงหน้า
เปรี๊ยง!!! เสียงฟ้าผ่าดึงสติของฟาเรสกลับสู่ปัจจุบัน ดวงตาสีครามมองออกไปนอกระเบียง ฝนกำลังตกหนัก ต้นไม้ในสวนโยกไหวไปตามแรงลม ฟ้าร้องดังต่อเนื่องราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย แสงสว่างวาบเผยให้เห็นยอดโดมกระจกของวิหารกลางน้ำที่อยู่ไกลออกไป ที่นั้นคือจุดเริ่มต้นของเขาและเวลอร์
"คนโกหก" ทั้งที่บอกว่ารัก บอกว่าอย่างอยู่ด้วยกัน แต่กลับทิ้งเขาไว้คนเดียว
น้ำฝนเย็นเยียบตกใส่ร่างบางจนเปียกโชก เท้าเปลือยเป่าก้าวย่ำไปบนพื้นที่ดินที่เต็มไปด้วยหินกรวดโดยไม่สนว่ามันจะสร้างบาดแผลให้กับตน วิหารกลางน้ำใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ภายในมีเพียงแสงจากคบเพลิงบนเสาหินอ่อนที่จวนเจียนจะดับส่องสว่าง ฟาเรสไม่เข้าใจว่าทำไมถึึงพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ แค่ใจบอกให้มา
เด็กหนุ่มก้าวช้า ๆ ขึ้นไปบนแท่นก่อนจะทิ้งกายนั่งบนบรรลังก์หินอย่างอ่อนแรง ใบหน้าสวยบัดนี้ไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาสีครามว่างเปล่า เพียงแต่ทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เวลอร์เฝ้ามองเขาเติบโตจากตรงนี้ เฝ้ารอวันที่ผนึกถูกคลายและเขาก็จะรออยู่ตรงนี้เช่นกัน รอวันที่เวลอร์จะกลับมา
.................................................
เวลอร์ลืมตาขึ้น ดวงตาสีอำพันกระพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสง เบื้องหน้าคือผืนฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีแดงฉานดุจเลือด เมฆมืดดำลอยคว้างอยู่บนนั้น คิเมร่าหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่งพร้อมมองสำรวจรอบตัว เขานั่งอยู่บนพื้นทรายสีกระดำกระด่าง มีต้นไม้รูปร่างหงิกหงอให้เห็นอยู่ประปราย
...ที่นี่ หรือว่าจะเป็นโลกอีกฟากของประตูมิติ... มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสสร้อยทับทิมที่ใส่อยู่ ดวงตาสีครามเศร้าสร้อยเด่นชัดในความทรงจำ ถึงฟาเรสจะรอดจากสงครามไปได้แต่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรือไม่ เขาไม่อาจรู้ได้
...ต้องหาทางกลับไป!!!... เขามาที่นี่ผ่านรอยแยกเขาก็ต้องตามหารอยแยกของโลกนี้ให้เจอเพื่อกลับไปที่เอสทีเรียดอีกครั้ง เวลอร์ยืนขึ้น ร่างกายกำยำที่เคยบาดเจ็บจากการต่อสู้บัดนี้ฟื้นตัวแล้วจะมีก็แต่รอยแผลเป็นหลงเหลือให้เห็นบ้างประปราย เสียงประท้วงจากท้องเพราะความหิวบอกให้รู้ว่าหลับไปหลายวัน พอดีกับสัตว์ฝูงหนึ่งวิ่งผ่านหน้า พวกมันดูคล้ายกวางหากแต่ลำตัวเพรียวกว่ามากเห็นทีคงต้องใช้พวกมันประทังชีวิตไปก่อน ว่าแล้วเวลอร์ก็กลายร่างเป็นคิเมร่าออกไล่ล่าพวกมัน
เวลอร์เดินทางไปทั่วดินแดนแห่งนี้ไม่มีหยุดพัก ช่างเป็นดินแดนที่ให้ความรูสึกหดหู่เสียจริง ที่นี่น่าจะเคยมีผู้คนอาศัยอยู่เพราะเขาได้เดินทางผ่านซากประหลักหักพังมากมาย แต่ทุกแห่งกลับเป็นเพียงเมืองร้างไร้ผู้คน อากาศที่นี่เป็นพิษแม้จะไม่มีผลต่อคิเมร่าเช่นเขาแต่ถ้าเป็นมนุษย์อาจล้มป่วยในเวลาไม่กี่วัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครเหลือ เว้นแต่พวกสัตว์ที่สามารถปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายรวมไปถึงพืชพันธุ์ที่มีสีสรรแปลกตา สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนคนหน่อยก็ดูจะเป็นพวกไวด์โซลแต่ในดินแดนนี้พวกมันก็เหมือนสัตว์ประเภทหนึ่งที่อยู๋รวมฝูงและออกล่าไปเรื่อย ๆ ยามกลางคืนปรากฎพระจันทร์สีแดงบนฟากฟ้าและในยามกลางวันท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆดำดูมืดครึ้มตลอดเวลา
การเอาชีวิตรอดในโลกแห่งนี้ทำให้เขาสูญเสียด้านที่เป็นมนุษย์ไปอย่างช้า ๆ ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร เขาออกเดินไปอย่างไร้จุดหมายแต่ก็ยังไม่เจอรอยแยกระหว่างมิติเสียที ร่างใหญ่ทรุดลงนั่งริมแม่น้ำเพื่อหยุดพัก ในตอนที่เวลอร์เริ่มถอดใจสร้อยทับทิมที่ใส่อยู่ก็เปล่งแสงขึ้นมา ลำแสงสีแดงของมันฉายไปข้างหน้าราวกับชี้บอกทาง เขากลายร่างเป็นคิเมร่าแล้วออกวิ่งตามลำแสงนั้นไปสุดกำลัง ไม่นานตรงหน้าก็ปรากฎรอยแยกระหว่างมิติขนาดใหญ่ ใจกลางของมันมืดดำราวกับประตูสู่ขุมนรกแต่คิเมร่าหนุ่มกระโจนเข้าไปในนั้นอย่างไม่ลังเล
..................................
"มีคนอยู่ตรงนี้" เสียงโวกเหวกโวยวายปลุกเวลอร์ให้ฟื้นคืนสติ ชายวัยกลางคนมองเขาอย่างสนใจ "อ๊ะ...เขายังมีชีวิต" น้ำเสียงโล่งใจดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มของเจ้าตัว
"ลุกไหวไหม" ผู้ชายอีกคนตรงเข้ามาช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้น "ที่รักเอาผ้ามาคลุมให้หมอนี่หน่อย"
"มาแล้ว ๆ" ได้ยินเสียงตอบรับจากด้านหลังก่อนที่ผ้าผืนหนึ่งจะถูกคลุมลงบนร่างเปลือยเปล่าของเวลอร์ "ว่าแต่นายมานอนสลบอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน" เวลอร์เอ่ยถามเสียงพร่า ลำคอแห้งผากจนแสบไปหมด
"ทะเลทรายไง" ชายตรงหน้าตอบ ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นพวกกลุ่มคารวานขนสินค้า
"เอ่อ ฉันหมายถึงชื่อ"
"อ้อ อาดิซาน ทะเลทรายเรดิเอนซี่" ใครอีกคนตอบ
...เรดิเอนซี่ ถ้างั้นที่นี่ก็คือ เอสทีเรียดงั้นสิ... คำตอบที่ได้รับสร้างความยินดีให้คิเมร่าหนุ่มเป็นอย่างยิ่งก่อนอื่นเขาต้องติดต่อคนรู้จักให้ได้
"เมืองหลวงเรดิเอนซี่ไปทางไหน บอกฉันที" เวลอร์เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
"ใจเย็น ๆ พ่อหนุ่ม เรากำลังจะไปที่นั่น ไปกับพวกเราก็ได้"
"ขอบคุณนะ ขอบคุณพวกท่านจริง ๆ"
เมื่อเดินทางถึงเมืองเรดิเอนซี่เขาก็ติดต่อกับทางพระราชวัง โอซี่และลูนรีบมาหาเขาทันที่ที่ได้ยินข่าว เจ้าแมวน้อยดีใจที่เห็นเขายังมีชีวิตชนิดที่ว่าร้องไห้โฮกอดชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย โอซี่กล่าวขอบคุณพร้อมมอบเงินตอบแทนเหล่าคาราวานที่ให้การช่วยเหลือเวลอร์จำนวนมาก
"ฉันอยากไปหาฟาร์" นี่คือสิ่งที่ต้องการที่สุดในตอนนี้
"ได้ ฉันจะพาไป" โอซี่ตอบรับด้วยความเต็มใจ ก่อนจัดเจงหาเรือเหาะพาเขาเดินทางไปยังไวท์ออชาร์ดโดยมีลูนติดสอยห้อยตามมาด้วย
"ฉันหายไปนานแค่ไหน"
"สามปีหลังจากเกิดเรื่อง" โอซี่ตอบ เวลอร์หลงทางอยู่ในอีกโลกจนลืมวันเวลาไม่คิดว่าจะผ่านไปนานขนาดนี้
"แล้วฟาร์เป็นยังไงบ้าง" เขาถามถึงคนรัก สามปีมานี้ฟาเรสต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้างนะ โอซี่นิ่งเงียบไปลูนก็เช่นกัน "มีอะไรหรือเปล่า"
"เฮ้อ...ฟาร์เสียใจมาก ที่นายจากไป" เจ้าชายครึ่งออคตอบออกมาในที่สุด "ฟาร์กลับบ้านเกิดและไม่ได้มาเรียนอีกเลย" ได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้เขาปวดใจ
"ไว้นายไปเจอด้วยตัวเองก็แล้วกัน" ลูนสรุป
ระหว่างทางเจ้าแมวน้อยก็เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังสงครามให้ฟัง ว่าใครไปอยู่ที่ไหนยังไง รวมไปถึงเรื่องที่คอเนเรียสต้องกลับมาครองบรรลังก์ รายนั้นถ้ารู้ว่าเขายังมีชีวิตคงตามมาลากเขากลับไปรับตำแหน่งแน่นอน เวลอร์เล่าถึงสิ่งที่เจอในอีกโลกให้ทั้งสองฟัง ไม่แน่นะในอนาคตที่แสนไกลเอสทีเรียดอาจกลายเป็นแบบนั้นก็ได้
คฤหาสก์คาเดนเซียตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าทันทีที่ทั้งสามก้าวลงจากรถที่มาส่ง เวลอร์ก้าวยาว ๆ เข้าไปยังตัวบ้าน เขาทนรอไม่ไหวที่จะได้เจอคนรัก มือใหญ่จับที่เคาะประตูซึ่งประดับอยู่บนบานไม้โอ๊คสีน้ำตาลเคาะอยู่หลายครั้งกลับไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจึงลองผลักประตูแล้วมันก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
"ฟาร์ อยู่ไหม" เวลอร์ร้องเรียก "ฟาเรส คาเดนเซีย นายอยู่ที่นี่ไหม" มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาจนร่างสูงเริ่มร้อนใจ หันไปถามเพื่อนทั้งสอง "ฟาร์อยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ"
"อืม ฟาร์ยังอยู่ที่นี่" โอซี่ยืนยัน ลูนก็พยักหน้ารับ
คิเมร่าหนุ่มกวาดตามองภายในบ้านก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีที่ที่อีกคนชอบไป นั่นคือวิหารกลางน้ำ คิดได้ดังนั้นเขาก็รีบมุ่งไปที่นั่นทันที เวลอร์ตัดผ่านสวนหลังบ้านก้าวไปบนสะพานอย่างเร่งรีบจนเข้ามาถึงตัววิหารและก็ได้พบกับฟาเรส
ดวงตาสีอำพันจับจ้องร่างบางที่นั่งอยู่บนบรรลังก์อย่างตกตะลึง แสงแดดที่ส่องผ่านโดมกระจกสาดสีลงบนเนื้อหินอ่อนของรูปสลักตรงหน้า เขาจำได้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ใบหน้างดงามที่มองตรงมาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นั่นคงเป็นความรูสึกสุดท้ายของฟาเรส นึกโกรธตัวเองที่ทำร้ายคนรักให้เสียใจจนอีกฝ่ายกลายเป็นเช่นนี้
เวลอร์เชื่อว่าฟาเรสยังอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเขา ทนทุกข์กับการรอคอยตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำอย่างไรฟาเรสถึงจะพ้นจากสภาพนี้ได้ พยามยามนึกว่าตอนที่ถูกผลึกเป็นรูปสลัก เขาถูกปลดปล่อยมาอย่างไร
...อา จริงสิ สร้อยของฟาร่า... เวลอร์ถอดสร้อยทับทิมที่ใส่ออกก่อนจะเดินตรงไปยังร่างที่นั่งนิ่งอยู่บนบรรลังก์หิน บรรจงสวมมันให้รูปสลักตรงหน้า มือเขาสั่นไปหมดภาวนาให้มันได้ผล
จี้ทับทิมสีแดงสดเปร่งแสงเรืองรอง หินอ่อนเย็นเฉียบกลับกลายเป็นผิวเนื้อเนียน ดวงตาคู่สวยไร้ชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นสีครามก่อนที่หยาดน้ำใสจะไหลเอ่อล้นออกมา ฟาเรสมองภาพตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาเขาไม่แม้แต่จะกล้ากระพริบตาเพราะกลัวอีกคนจะหายไป
"เว..."
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของคนรักก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อความอุ่นร้อนที่ได้รับบ่งบอกว่านี่คือเวลอร์ตัวจริง ฟาเรสถูกรวบเข้าไปกอดไว้แน่น ร่างบางสะอื้นไห้ปานจะขาดใจ ทั้งความทรมานที่ต้องเฝ้ารอ ความอ้างว้างที่ถูกทิ้งเอาไว้ หรือแม้กระทั้งความดีใจ ความรู้สึกมากมายถูกระบายออกมาด้วยน้ำตา มือใหญ่เช็ดน้ำตาจากสองแก้มอย่างแผ่วเบา เขาเชยคางเรียวให้อีกคนเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีอำพันอบอุ่นแล้วยิ้มให้
"ฉันกลับมาแล้วฟาร์"
The End
..............................
-เรารู้สึกว่าตัวเองเขียนแบบทำร้ายน้องฟาร์เอามาก ๆ ใจร้ายเนอะแต่เรื่องนี้ก็จบได้ด้วยดี (มั้ง) เราขอโทษที่เราเกเรลงนิยายไม่ต่อเนื่อง ซึ่งนั่นอาจทำให้หลายคนนอยและเลิกอ่านไป และสำหรับคนที่ยังคอยติดตามอ่านผลงานของเรา อยากบอกว่าขอบคุณมาก ไม่มีพวกคุณเราคงไม่มีกำลังใจที่จะแต่งต่อไป ขอบคุณจริงๆ
-หลังจากนี้คงจะเป็นช่วงคืนความสุขให้น้องฟาร์ และตอนพิเศษของแต่ละคู่ ใครรักคู่ไหนเชียร์คู่ไหนยกป้ายไฟกันมาเลย
- สำหรับโปรเจคต่อไป เราลังเลว่า จะเขียนเรื่องไหนต่อดี เพราะมีพลอตเรื่องที่ร่างไว้อยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเป็น Night Knight ภาค 3 ภาคนี้เป็นเรื่องราวของเหล่ามนุษย์หมาป่าบ้านเดอลาครัวซ์ หรือ อีกเรื่องที่เราวางพลอตขึ้นใหม่เป็นแนวไซไฟ แต่คงแต่งให้ได้หลาย ๆ ตอนโน่นแหละถึงเริ่มออนแอร์ เพราะไม่งั้นมันคงทิ้งช่วงนานเกินไปเหมือนเรื่องนี้ เอาเป็นว่าอย่าลืมติดตามกันนะค่ะรักทุกคน