พิมพ์หน้านี้ - Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: l3loodl2o5e ที่ 22-02-2016 20:01:50

หัวข้อ: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 22-02-2016 20:01:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
[/color]


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

เพิ่มเติม
[/b]

งานเขียนย่อมจัดเป็นงานวรรณกรรม  ซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537  มาตรา 6  ท่านซึ่งเป็นนักเขียน  ย่อมเป็นผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานเขียนซึ่งเป็นงานวรรณกรรม  อันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว  ท่านย่อมเป็นผู้รังสรรค์  อันเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานเขียนของท่านดังกล่าวที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น ซึ่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537  ย่อมให้ความคุ้มครองแก่ท่านเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานเขียนดังกล่าวโดยอัตโนมัติ  ไม่จำต้องจดทะเบียน  โดยท่านในฐานที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำ หรือดัดแปลง  หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนหรือให้ประโยชน์อันจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น  ซึ่งงานเขียนดังกล่าว  ตามมาตรา 15  แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ  ดังนั้น  หากทางสำนักพิมพ์ได้นำงานเขียนนั้นไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดไปพิมพ์จำหน่าย  อันเป็นการทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน  โดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าของลิขสิทธิ์  ย่อมถือว่า  เขาได้ละเมิดลิขสิทธิของท่าน  ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 20,000 -200,000 บาท  ตามความแห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 27,69  และวิธีการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งานเขียนของท่านดังกล่าว  ท่านย่อมเก็บงานอันเป็นต้นฉบับเอาไว้  และส่งตัวสำเนาไปยังสำนักงานพิมพ์นั้น ๆ  เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันในการพิสูจน์การละเมิดลิขสิทธิ์นั้น
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทนำ P1 22-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 22-02-2016 20:24:54
พบกันอีกแล้วฮิ้วๆ ในซี่รี่ที่สองนี้ ครั้งนี้เรามาแนว Full Fantasy เลยนะค่ะ หลายอย่างอ้างอิงจากทุกสิ่งที่รับรู้มา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่านิยายปรัมปรา หรือแม้แต่เกมที่เล่นล้วนเอามายำรวมกัน ดุจยำกัญชา ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อสนองความเพ้อของผู้แต่ง ก่อนหน้านี้เราเพ้อจบไปแล้วสองเรื่องนั่นก็คือ

Night Knight อัศวินรัติกาล

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47290.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47290.0)

Dark Wing ปีกทมิฬ...เมื่อฟ้าจรดผืนน้ำ (Night Knight 2)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48986.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48986.0)

สำหรับเรื่องราวของ Guardian OF Heart จะเป็นอย่างไรนั้นเชิญรับชมรับอ่านได้เลยค่าาา
[/b]

:-[

(http://upic.me/i/cv/tagoh.png) (http://upic.me/show/57926952)

บทนำ
[/size]


     "นายน้อยค่ะ นายน้อยฟาเรส" เสียงร้องเรียกของแม่บ้านดังก้องคฤหาสก์ขนาดกลาง เธอเดินจนทั่วแต่ไม่มีวี่แววผู้เป็นนายน้อย ฝนที่เทกระหน่ำภายนอกน่าห่วงยิ่งนักหากนายสุดรักหนีไปหลบอยู่นอกบ้าน 

     ที่เรื่องวุ่นวายขนาดนี้เพราะฟาเรสพี่ใหญ่ในวัยหกขวบเล่นสนุกกับน้องสาวฝาแฝดที่อ่อนกว่าเกือบสองปีทั้งสองนั่นคือ ออรี่ กับออร่า ด้วยความซนตามประสาจึงพากันปีนป่ายต้นไม้หลังบ้านเป็นเหตุให้ ออรี่ แฝดคนพี่ตกลงมาได้รับบาดเจ็บ จึงถูกนายท่านอินดิโก ผู้เป็นพ่อและเป็นนายใหญ่ของบ้านเรียกไปต่อว่า เป็นเหตุให้เจ้าตัววิ่งพรวดพราดออกจากห้องทำงานนายท่านไปทันที  ไม่รู้ป่านนี้ไปแอบร้องให้ที่ไหน

      บ่อยครั้งที่ฟาเรสนึกน้อยใจหากเกิดเหตุไม่ดีอะไร ท่านพ่อมักมองเขาเป็นคนผิดเสมอ ท่านแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่านเป็นแม่เลี้ยงย่อมเข้าข้างลูกตัวเองเป็นธรรมดา ส่วนแม่แท้ๆ ของฟาเรสนั้นเสียไปตั้งแต่เขาได้แปดเดือนแล้วท่านพ่อก็แต่งงานใหม่กับลูกสาวท่านผู้ว่าของเมืองนี้

       สองเท้าพาร่างน้อยๆ ของเด็กชายวิ่งฝ่าพายุฝนไปทางด้านหลังคฤหาสถ์ สู่วิหารกลางน้ำ วิหารมีลักษณะเป็นแปดเหลี่ยม ค้ำยันด้วยเสาหินอ่อนหลังคาเป็นโดมกระจกสีรูปสิบสองนักษัตรที่ล้อมกันเป็นวงกลมสร้างแสงสีที่งดงามและมีมนต์ขลังให้แก่วิหารแห่งนี้ในยามที่แสงแดดส่องผ่าน ภายในปลูกดอกไม้เป็นวงกรมล้อมรอบแท่นหินซึ่งมีรูปสลักหินอ่อนขนาดเท่าคนจริง รูปสลักบุรุษในชุดเกราะลายวิจิตรนั่งสงบนิ่งอยู่บนบรรลังก์หินอ่อน มือทั้งสองวางไว้บนเท้าแขน แม้ใบหน้าหน้าส่วนบนจะถูกหมวกเกราะบดบังไว้แต่ทุกส่วนที่เหลือล้วนงดงามสมบูรณ์แบบ ดวงตาที่ทอดมองไปข้าหน้าแม้ปราศจากสีสันและแววตาแต่กลับทรงอำนาจและอบอุ่นอยู่ในที

       แดนสวรรค์ของฟาเรส  แม่บ้านเล่าว่าท่านแม่ชอบมาที่นี่เมื่อตอนท่านยังมีชีวิต รูปสลักหินนี้เป็นของคนพี่ท่านเคารพรัก แม้เขาจะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรลึกซึ้ง แต่ฟาเรสกลับชอบที่นี่เพราะมันสงบ บ่อยครั้งที่หลบมาเล่นคนเดียว บางทีก็เผลอหลับไปเพราะอากาศเย็นสบายจนท่านพ่อต้องมาอุ้มกลับ หรือแม้แต่ในวันที่เสียใจเด็กน้อยก็จะมาแอบร้องไห้ระบายความอัดอั้นใจให้รูปสลักฟัง วันนี้ก็เช่นกัน

       ร่างเล็กปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนตักของรูปสลักก่อนจะเอนหลังพิงอย่างหาที่พึ่ง หากท่านแม่อยู่จะพูดปลอบใจเขาอย่างไรนะ  ฟาเรสคงไม่มีวันสัมผัสมัน ดังนั้นของแค่มีใครซักคนรับฟังแม้จะเป็นรูปสลักหินไร้ชีวิตก็ยังดี

       "วันนี้ท่านพ่อดุผมอีกแล้ว" เด็กน้อยบอกเสียงเครือ "ที่ออรี่ตกต้นไม้ มันไม่ใช่ความผิดผมเลย...ฮึก ก็ผมห้ามเธอแล้ว เธอก็ไม่ฟัง" ใช่ว่าฟาเรสไม่รักน้อง แต่มั่นใจเลยว่าตอนนี้คนทั้งบ้านคงกำลังโอ๋เธอจึงไม่มีอะไรน่าห่วง

      "ทั้งพยายามอธิบาย แต่...ฮึก ก็ไม่เคยฟัง" หยาดน้ำตาพร่างพรูออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจ ท่านพ่อไม่เคยฟัง เอาแต่บอกว่าเขาเป็นพี่ พี่ต้องดูแลน้อง แต่น้องไม่ยอมทำตามแล้วจะให้ทำอย่างไร จนนึกสงสัยว่าท่านพ่อรักเขาบ้างหรือเปล่า

      ฟาเรสร้องไห้เงียบๆ จนผล็อยหลับ เวลาผ่านไปจนค่ำพายุฝนได้หยุดลง นายใหญ่ของบ้านเดินเข้ามาในวิหารก็พบกับลูกชายตัวดีดังคาด  อินดิโกช้อนอุ้มร่างเล็กขึ้นจากตักของรูปสลักพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ฟาเรสที่เขารู้จักไม่มีทางเสียน้ำตาต่อหน้าใครเลยหนีมาร้องไห้ที่นี่เป็นประจำ

      "ดูเหมือนฟาเรสจะชอบท่านเอามากๆ เลยนะ"  อินดิโก้สบตารูปสลักด้วยรอยยิ้ม "ยังไงก็ขอลูกผมคืนก่อนแล้วกัน"

 
     สิบปีผ่านไปฟาเรสในยามนี้โตเป็นหนุ่ม แต่ก็ยังต้องปวดหัวกับน้องสาวจอมแสบทั้งสองเช่นเดิม  แต่ก็นะ เขาเองก็ใช่จะมีเพื่อนมากเพราะไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก การที่ต้องคอยตามแก้ปัญหาให้เหล่าสาวๆ จึงกลายเป็นเรื่องสนุกประจำวันไป ฟาเรสเลือกที่จะเรียนอยู่บ้านโดยมีอาจารย์มาสอน เพราะการศึกษาในโรงเรียนทั่วไปมันช้าและน่าเบื่อ โดยสอบเทียบเลื่อนระดับชั้นกับทางการเอาและเขาก็ผ่านได้สบายๆ จนตอนนี้จบหลักสูตรพื้นฐานทั้งหมดตั้งแต่อายุสิบห้าแต่คนปกติจบตอนสิบแปด จะมีก็แต่การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยซึ่งจะเรียนไม่เรียนก็ได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ต่างไปจากคนในแถบนี้ซึ่งคนส่วนใหญ่ล้วนมีผมสีน้ำตาหรือดำและดวงตาสีเดียวกัน เด็กหนุ่มผู้มีผิวขาวสะอาดกับนัยน์ตาสีฟ้าครามและเรือนผมสีบรอนจนเกือบขาวซึ่งได้รับมาจากท่านแม่ มักตกเป็นเป้าสายตาเสมอ จนอดที่จะขัดเขินกับมันไม่ได้ทำให้เขาเลือกที่จะอยู่แต่ในบริเวณคฤหาสก์แต่ก็มีออกไปเดินเที่ยวในจตุรัสกลางเมืองบ้างหากน้องสาวทั้งสองอ้อนจะไป 

       "พี่ฟาร์ ชุดนี้สวยไหม" เสียงของออรี่ดังนำมาก่อนเจ้าตัวเสียอีก ก่อนที่เด็กสาวทั้งสองจะวิ่งแข่งกันเข้ามาในห้องสมุดมายืนตรงหน้าเขา

       "ชุดไปงานเลี้ยงพรุ่งนี้" ออร่าบอกพร้อมหมุนตัวอวดชุดกระโปรงแขนสั้นสีโอรสที่ยาวเสมอเข่า ส่วนของออรี่เป็นสีเขียวอ่อน ซึ่งดูเข้ากันดีกับเรือนผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอ

       "ก็ น่ารักดี" ก็เป็นตามนั้นไม่ได้ชมเกินจริง

       "เห็นไหม หนุ่มๆ ในงานต้องมองพวกเราไม่วางตาแน่ๆ" นี่น้องๆ เพิ่งสิบสองกันเองนะ ทำไมแก่แดดแก่ลมกันเสียจริง "แล้วพี่ละได้ชุดหรือยัง" 

       "ฮะ...พี่หรอ จะเอาชุดไปทำไม"  ฟาเรสถามอย่างงุนงงนี่เขาคงไม่ต้องไปด้วยใช่ไหม

       "ท่านพ่อบอกครั้งนี้พี่ต้องไปด้วย งานเลี้ยงวันเกิดของท่านคาลัม เพื่อนของท่านพ่อ เราต้องไปทั้งครอบครัว" ออร่าอธิบาย เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่คงไม่พ้นพาเขาไปแนะนำให้ลูกสาวของเหล่าคนใหญ่คนโตทั้งหลายแน่ๆ ท่านพ่อผมเป็นนายพลทำงานให้กองทัพ ตอนนี้ท่านมีหน้าที่ดูแลความเป็นไปของคนในเมืองไวท์ออชาร์ดและหมู่บ้านเล็กๆ รอบๆ จึงค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคม ดังนั้นการจับคู่ลูกๆ ของพวกเขา เพื่อสมดุลทางอำนาถจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา
 
       "เอาน่าพี่ ไปแล้วชิ่งกลับก่อนก็ได้นี่ ไปพอให้ท่านคาลัมเห็นหน้าก็พอแล้ว" ออรี่ตบไหล่ปลอบ ฟาเรสจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมก่อนที่เวลาของเขาจะโดนจับจองไปกับการเป็นหุ่นให้น้องๆ ผู้น่ารักจับลองเสื้อผ้าตลอดบ่าย ก่อนจะถูกเรียกให้ไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นซึ่งหมายความว่างหลังจากนี้เวลาส่วนตัวของเขาคงมาถึงเสียที่

      หลังจากมื้ออาหารฟาเรสก็กลับไปยังห้องสมุดก่อนหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เดินเข้าห้องของตน วางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะเข้าไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมานอนอ่านหนังสือบนเตียง ก็เป็นเรื่องของพวกสมุนไพร์เรื่องยาที่เขาตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อเพราะค่อนข้างสนใจด้านการแพทย์แม้อีกใจก็ค่อนข้างชื่นชอบด้านเทคโนโลยีพอกัน



      เสียงเอะอะโวยวายจากนอกบ้านดึงความสนใจของฟาเรสออกจากตัวหนังสือเหล่านั้น ก่อนเสียงระเบิดที่ตามมาจะทำเอาชายหนุ่มรีบกระโจนลงจากเตียงก่อนก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินชั้นสองอย่างร้อนใจเป้าหมายคือห้องของออรี่ออร่า พอดีกับท่านพ่อที่วิ่งสวนมาจึงคว้าแขนเขาเอาไว้

      "เกิดอะไรขึ้นครับ" ฟาเรสถามเสียงตื่น

      "พวกไวด์โซล มันบุกบ้านเรา" ท่านพ่อบอก ไวด์โซล เขาเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง เป็นอันเดธหรือปีศาจประเภธหนึ่งที่ไล่ล่ามนุษย์ แต่ในเมืองที่มีการคุ้มกันแบบนี้พวกมันหลุดมาได้ยังไง อีกอย่างฟาเรสไม่เคยได้ยินข่าวการถูกโจมดีในเมืองแถบนี้เลยด้วยซ้ำ
 
      "แล้วพวกคนอื่นละ ท่านแม่ แล้วก็ออรี่กับออร่าละ" 


      "พ่อให้พวกผู้หญิงไปหลบอยู่ชั้นใต้ดินเหลือแค่น้องๆ เรา ส่วนคนอื่นๆ กำลังต้านมันไว้ พ่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว ไม่นานกองทัพคงส่งคนมา" ฟาเรสพยักหน้ารับ เห็นทีวิชาการต่อสู้ที่ท่านพ่อช่วยฝึกสอนมาคงได้ใช้แล้วในวันนี้

      "งั้นผมจะออกไปช่วยข้างนอก"

      "ไม่ต้อง พ่อมีเรื่องให้แกทำ" ผู้เป็นพ่อรั้งฟาเรสไว้ก่อนจะยื่นบางสิ่งให้ มันเป็นสร้อยสีทองพร้อมจี้ที่ทำจากทับทิมหลายขนาดประกอบกันเป็นรูปดวงอาทิตย์สีแดงสด "ไปที่วิหาร..."

      "อะไรนะครับ ไปทำไม" เขารู้สึกงุนงง ในสถานการอย่างนี้จะให้เขาไปที่วิหารทำไมกัน

       "ไปเถอะน่า เราไม่มีเวลามาก เอาสร้อยเส้นนี้ไปสวมให้รูปสลักนั่น แล้วกลับมา พ่อจะอธิบายให้ฟัง พ่อขอไปดูน้องก่อน" ว่าแล้วอินดิโก้ก็วิ่งไปทางห้องลูกสาวทันที

       แม้จะยังไม่เข้าใจแต่ฟาเรสก็พาตัวเองลงมาชั้นล่างวิ่งออกทางหลังบ้านอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามดังตามหลังก่อนที่พวกไวด์โซลจะวิ่งตามมาเมื่อเห็นเขา รูปลักษณ์ของมันเหมือนซากศพที่เหี่ยวแห้งในชุดเกราะโสมมพร้อมอาวุธครบมือ บางครั้งไวด์โซลก็ถูกขนานนามว่าเป็นกองทัพจากนรก

      แสงจากคบเพลิงตามทางเริ่มมอดดับ ขาทั้งสองที่วิ่งไปตามทางอาศัยความคุ้นชินแต่ก็มีหกล้มบ้างจนเนื้อตัวมอมแมม ฟาเรสพาร่างมาถึงวิหาร ตะเกียงที่แขวนไว้ตามเสาต่างๆ ยังคงส่องสว่างเพราะเขามาจุดมันไว้เมื่อคืนก่อน สองเท้าก้าวขึ้นไปบนแท่นอย่างเร่งรีบก่อนจะเอื้อสุดตัวเอาสร้อยคล้องไปที่คอของรูปสลัก ไม่นานทับทิมสีสดก็เริ่มเปร่งแสงเรืองรองสร้างความตกตะลึงให้ฟาเรสยิ่งนัก ดวงตาสีครามครามมองเกราะหินอ่อนที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นเงินช้าๆ  ราวกับต้องมนต์จนลืมไปว่าพวกไวด์โซลตามเขามา

      ฉัวะ!!! คมดาบเฉือนลงแผ่นหลังดึงฟาเรสให้กลับสู่สถานการณ์ปัจจุบันแต่คงสายไปเสียแล้ว เจ็บจนชา รับรู้ถึงความอุ่นร้อนของเลือดที่ไหลอาบร่างก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดลงตรงหน้ารูปสลักอย่างสิ้นแรงเพราะเสียเลือดมาก ดวงตาเริ่มพร่าแต่ก็พยายามจะหันไปมองหน้าผู้ปองร้ายแม้มันจะลางเลือนเต็มที ภาพสุดท้ายของฟาเรสคือภาพปีศาจร้ายที่เงื้อคมดาบขึ้นเตรียมจะบั่นคอตน ชีวิตเขาคงจบสิ้นในวันนี้ช่างน่าสมเพชเสียจริง


หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทนำ P1 22-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 23-02-2016 17:29:10
 :z13: :z13: จิ้มจึกๆๆๆ ตอนต่อไปล่ะ  :hao5: ท่านรูปปั้นคือใครกันหว่า  :jul1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทนำ P1 22-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: Melonlove ที่ 23-02-2016 19:04:53
 :mc4:   :mc4: 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทนำ P1 22-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 23-02-2016 19:40:21

บทที่ 1

      ไม่มีอะไรแย่เท่ากับการตื่นมา แล้วพบว่าเหลือตัวคนเดียว พ่อแม่และน้องสาวทั้งสองที่แสนรัก ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ทุกคนในบ้านตายหมดไม่เว้นแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่อยู่ในคอกก็ตาม บ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่จำความได้ ถูกเพลิงเผาวอดเหลือแต่ซาก ฟาเรสคือคนเดียวที่เหลือรอด ในคืนนั้นฟาเรสหมดสติเพราะเสียเลือดมาก แล้วเขาก็ฟื้นมาอีกครั้งในบ้านของลุงมาคัส พี่ชายของท่านพ่อหลังจากหลับไปสองวันเต็มๆ


      ดวงตาสีครามเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ สงสัยเหลือเกินว่าทำไมมีเพียงฟาเรสที่ไม่ตาย แต่เมื่อถามท่านลุงกลับไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ท่านเพียงแต่บอกว่า เขาโชคดี หึ...บางทีอาจไม่ใช่โชคดี เพราะคนที่ยังอยู่คือคนที่ต้องเผชิญกับความเศร้าและการสูญเสีย


       "ฟาเรส ป้าเอาผลไม้มาให้" ป้าโอเรนภรรยาของท่านลุงเปิดประตูเข้ามาในห้อง หันมองชามข้าวต้มข้างเตียงที่ยังเหลือเต็มอย่างกังวล ก่อนจะวางจานองุ่นไว้ข้างกัน


      "ไว้ก่อนครับป้า" ฟาเรสบอกพลางปาดเช็ดน้ำตาออกลวกๆ


      "ดูสิ ร้องไห้อีกแล้ว โอย แบบนี้ป้าไม่สบายใจเลย" ป้าโอเรนนั่งลงบนเตียงก่อนดึงร่างของหลานรักมากอดแนบอก 
      "ร้องออกมาร้องออกมาให้หมด หากนั่นมันทำให้หลานดีขึ้น" เธอบอกพลางลูบเรือนผมสีสว่างนั่นเบาๆ ฟาเรสปล่อยโฮออกมาในอ้อมอกนั้น แผลที่หลังมันระบมแต่ก็ยังเจ็บไม่เท่าใจที่เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ 
      "อย่าคิดว่าตัวเองไม่เหลือใคร อย่างน้อยลุงกับป้าก็รักหลาน เราสูญเสียมามากพอแล้ว อย่าให้ต้องเสียหลานไปอีกคนเลย รู้ไหมโชคดีแค่ไหน ที่หลานไม่ตาย ฟาเรส คนเรามีชีวิตเพื่อเดินต่อ ถ้ายังมีลมหายใจนั่นแปลว่ายังมีโอกาสทำอะไรๆ ที่อยากทำ" คำพูดของป้าโอเรนทำให้ฟาเรสคิดได้


      ใช่!...คนเราต้องเดินต่อ


      หากฟาเรสยังมัวจมอยู่กับความศร้าก็ไม่มีทางรู้เลยว่าทำไมพวกไวด์โซลถึงฆ่าครอบครัวเขา อย่างน้อยก็ขอให้ได้ทำอะไรกับเรื่องนี้เขาคงจะตายตาหลับ  ท่านลุงกับป้าเองก็เอ็นดูเขาเหมือนลูกคนหนึ่ง เพราะลูกๆ ของท่านต่างเติบโตและมีครอบครัวไปหมดแล้ว


      กว่าฟาเรสจะหายดีก็ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ซึ่งค่อนข้างไวเมื่อเทียบกับคนทั่วไป แผลที่ปิดสนิทเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นพาดยาวที่กลางหลัง แต่ละวันหมดไปกับความเงียบงันเมื่อไม่มีสองแฝดคอยก่อกวน วันนี้ฟาเรสกลับไปที่บ้านอีกครั้ง ตัวคฤหาสก์ไม่เหลืออะไรนอกจากเสาซีเมนต์ที่พังลงมา เขาจึงตรงไปยังวิหารด้านหลัง เท่าที่กวาดตาดู ก็ไม่ได้เสียหายเท่าไหร่นัก ดูหนักสุดก็แต่โดมกระจกที่แตกลงมาประมานหนึ่งในสามกับคราบเลือดที่แห้งกรังบนพื้น


      หายไป!!! รูปสลักหินที่อยู่ตรงกลางหายไปแล้ว ไม่มีร่อยรอยแตกหักใดๆ เหลือเพียงบรรลังก์ว่างราวกับมันลุกออกไปเองได้อย่างนั้น ฟาเรสรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เห็น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้


     ...บ้าไปแล้ว นั่นแค่รูปสลักนะ...


      เมื่อหาคำตอบไม่ได้จำต้องปล่อยผ่าน ก่อนจะสำรวจรอบๆ เพื่อหาสร้อยที่เขาถือมาด้วยในคืนนั้น แต่ไม่มีจึงล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านท่านลุงในตอนเย็น


      "ฟาเรส อยู่แบบนี้เบื่อหรือเปล่า" ท่านลุงมาคัสถามขึ้นระหว่างมื้ออาหารเย็น


      “ก็ นิดหน่อยครับ” เขาตอบไปตามตรง

 
      “เราเรียนจบขั้นพื้นฐานหมดแล้วใช่ไหม” หลานชายพยักหน้ารับพลางตักพาสต้าเข้าปาก 


      “ดีเลย ป้าตั้งใจจะส่งเราไปเรียนมหาลัยนะ พี่ราฟ กับลิเวียก็จบมาจากที่นั่น อานิมา เป็นมหาลัยอันดับหนึ่งเชียวนะ” ท่านเคยเล่าว่าลูกชายทั้งาองท่านจบการทหารซึ่งขึ้นชื่อจากที่นั่น


      “แล้วผมจะสอบได้หรอครับ” ฟาเรสถามอย่างไม่แน่ใจ จบพื้นฐานมาหนึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่าความรู้ยังแน่นอยู่หรือเปล่า


      “หลานลุงเก่งจะตาย” ท่านชม
     “เดี๋ยวจะมีสอบเข้าในอีกหนึ่งอาทิตย์ ลุงนะเตรียมวุฒิการศึกษากับใบสมัครไว้ให้แล้ว เตรียมออกเดินทางได้เลย” 


     “ฮะ อะไรนะ หนึ่งอาทิตย์” 


      “ใช่จ้ะ นี่จะไปเลยหรือเปล่า ไปอยู่รอสอบที่โน่น ป้าโทรไปบอกให้คนรู้จักหาโรงแรมไว้ให้แล้ว ไปพรุ่งนี้เลยไหม"


      "เอ่อ แล้วแต่เห็นสมควรเลยครับ" ฟาเรสรับคำอย่างเสียไม่ได้ เล่นเตรียมทุกอย่างหมดแบบนี้ คงปฏิเสธไม่ได้สินะ เอาเถอะเพราะพวกท่านหวังดีจึงทำ ถึงแม้มันจะฉุกละหุกไปบ้างก็ตามที


      "งั้นพรุ่งนี้ป้าไปส่งที่ท่าเรือบินแล้วกันนะ ใจจริงก็อยากจะไปถึงที่โน่นเหมือนกัน แต่ต้องไปช่วยลุงลงพื้นที่ทางตะวันออกนะจ้ะ" ลุงมาคัสก็เป็นทหารเหมือนกับพ่อผม แต่ท่านอยู่หน่วยอารักขา ส่วนท่านพ่ออยู่หน่วยล่าตระเวน

 
       ฟาเรสออกเดินทางในเช้าวันถัดมา สู่เดสเซนท์ ในโลกที่เขาอยู่ถูกเรียกว่า เอสทีเรียด ประกอบด้วย ห้าดินแดนใหญ่ๆ ดินแดนทางเหนือถูกเรียกว่านอธเทิร์นเรียม ทางตะวันตกคือเคลวิช ตะวันออกคือเรดิเอนซี่ และหมู่เกาะทางใต้บ้านเกิดของเขาไวท์ออชาร์ด ทั้งหมดถูกปกครองด้วยกษัตริย์ ยกเว้นเดสเซนท์ ซึ่งอยู่ตรงกลาง ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย บริหารงานด้วยสภาโดยมีอีกสี่ดินแดนร่วมดูแล และมหาลัยอานิมาตั้งอยู่ในเกาะซึ่งห่างออกไปจากเมืองหลวงของเดสเซนท์ไม่ถึงห้ากิโลเมตร
เมืองเดสเซ็นท์เป็นศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพกลางทีชื่อว่า เอแวนการ์ด ซึ่งบางครั้งก็ถูกส่งให้ไปทำงานร่วมกับทหารในดินแดนรอบๆ มหาวิทยาลัยอานิมาซึ่งตั้งอยู่ในเขตของเมืองนี้จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางการเรียนรู้ของชาวเอสทีเรียด

(http://upic.me/i/i4/austorionmapolds.jpg) (http://upic.me/show/57935145)


      ใช้เวลาสิบสองชั่วโมงฟาเรสก็เดินทางมาถึงเดสเซนท์โดยมีคนรู้จักของท่านป้ามารอรับเขาที่ท่าเรือเหาะ แล้วพาเขาไปส่งยังโรงแรมหรูที่ตั้งอยู่แถวท่าเรือที่ใช้ข้ามฟากไปเกาะอานิมา ฟาเรสกล่าวขอบคุณผู้มาส่งก่อนจะก้าวลงจากรถแวนสีดำตรงหน้าโรงแรม บริกรเข้ามารับกระเป๋าของเขาอย่างรู้งาน ฟาเรสแจ้งชื่อและชำระค่าห้องเสร็จก็ถูกนำไปยังห้องพักบนชั้นที่ยี่สิบบนสุดของตึกนี้


      ห้องชุดขนาดกลางตกแต่งแบบทันสมัยพร้อมระเบียงที่เห็นวิวทะเลด้านนอก แต่ในยามมืดค่ำแบบนี้คงไม่เห็นสิ่งใดนอกจากไฟตามหาด 


     "วางไว้ตรงนี้เลยครับ" ฟาเรสชี้ไปตรงมุมห้องข้างประตูให้บริกรวางข้าวของทั้งหมด ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากกระเป๋าเสื้อผ้ากับกระเป๋าใบเล็กที่มีหลังสือติดมาสามเล่มพร้อมเอกสารและบัตรประจำตัวต่างๆ


      สิ่งแรกที่ฟาเรสต้องการนั่นคือนอน การที่ต้องนั่งเรือเหาะข้ามน้ำข้ามทะเลความกดอากาศที่เปลี่ยนทำให้เขารู้สึกมวนท้องเกินกว่าจะกินอะไรได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าปีนขึ้นเตียงพักผ่อนเอาแรง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันพรุ่งนี้
เวลาหกวันที่เหลือฟาเรสใช้มันไปกับการอ่านทบทวนวิชาต่างๆ มันบ้าที่ต้องมานั่งทบทวนความรู้ทั้งหมดในหกวัน ถึงกระนั้นเขาก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ จับจ่ายซื้อของที่ต้องการบ้าง เพื่อไม่ให้เครียดจนเกินไป เดสเซนท์ในยามนี้คึกคักไปด้วยผู้มาเยือน นั่นคือเหล่านักเรียนนักศึกษาที่มารอสอบและบรรดาผู้ปกครองบางคนที่มาให้กำลังใจ


      แล้ววันสอบก็มาถึง ฟาเรสโทรหาลุงมาคัสกับป้าโอเรนคืนก่อนสอบและได้รับคำอวยพรชุดใหญ่ บอกให้รู้ว่าผู้มีพระคุณทั้งสองคาดหวังในตัวเขาเพียงใด


     นักเรียนกว่าสองหมื่นคนหลั่งไหลเข้ามหาวิทยาลัยอานิมา(Anima Reserch Center & University) เพื่อสอบเข้า ที่นี่มีสอนอยู่สี่คณะใหญ่ คณะแรกคือวิทยาการการทหาร คณะขึ้นชื่อและเป็นอันดับหนึ่งในเอสทีเรียดควบคุมหลักสูตรโดยเอแวนการ์ด คณะที่สองคือวิทยาศาสตร์การแพทย์และการวิจัย คณะที่สามคือเศรษฐกิจและสังคม และคณะสุดท้ายคือศิลปกรรมและปรัชญา ซึ่งแต่ละคณะจะแบ่งย่อยไปตามเอกอีกที และใช้เวลาในการศึกษาสามปี ปีละสองเทอม


      ข้อสอบเป็นแบบรวมแล้วเอาคะแนนไปยื่นในคณะที่ต้องการ หากคะแนนติดอันดับในจำนวนที่เอกนั้นต้องการก็จะมีสิทธิ์เข้าเรียนทันที การเข้านั้นยากแล้วแต่การอยู่ต่อนั้นยากกว่า หลังจากผ่านเทอมแรกจะมีการสอบวัดระดับใครที่ไม่ผ่านจะถูกเชิญออกทันที หากต้องการกลับเข้ามาเรียนจะต้องมาสอบอีกครั้งในปีถัดไปเพื่อป้องการกันการเลือกเรียนในสายที่ไม่มีความถนัดซึ่งยากที่จะฝืนเรียนต่อไปจนจบ


      ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ฟาเรสคิด เพราะข้อสอบไม่ได้ยากเกินความสามารถเขา วันนี้เป็นวันประกาศผลหลังจากวันสอบสามวัน ร่างโปร่งกำลังยืนเคว้งท่ามกลางความวุ่ยวายของบรรดาผู้สอบที่กรูกันเข้าไปดูรายชื่อของตัวเองบนบอร์ดประกาศของคณะต่างๆ ที่ตั้งไว้ตามจุดตรงลานด้านหน้าตึกอำนวยการ


       "ไม่ไปดูผลสอบหรอ" เสียงทักข้างๆ ทำให้ฟาเรสต้องหันมอง


       "ครับ...เอ่อ จะรอคนซาก่อนนะครับ ไม่อยากเบียด" นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาที่เขาอย่างเป็นมิตร ใบหน้าคมคายกับรูปร่างสมส่วนสูงกว่าเขาเล็กน้อย โดยภาพรวมคนตรงหน้าดูดีจนน่าอิจฉา "แล้วนายละ"


       "อ้อ ฉันมากับเพื่อนอีกสามคนนะ เลยฝากให้พวกมันไปดูให้ ฉันชื่อมาวิคนะ เป็นคนเดสเซนท์นี่ละ" อีกฝ่ายยื่นมือมา เขาจึงจับทักทายตอบเพื่อไม่ใช้เสียมารยาท


      "ฉันฟาเรส มาจากไวท์ออชาร์ด"


      "เฮ้ นายดูไม่เหมือนคนเขตนั้นเลย นึกว่ามาจากนอธซะอีก" หลายครั้งที่ฟาเรสถูกทักแบบนี้ด้วยสีตาและสีผมที่มีจึงได้แต่ยิ้มตอบ "อ๊ะ พวกนั้นมาแล้ว ขอตัวก่อนนะหวังว่าจะได้เจอกันในมหาลัย" ฟาเรสบอกลาคนแปลกหน้าแบบงงๆ แต่ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร เหมือนคนจะเริ่มบางตา ฟาเรสจึงตัดสินใจเดินไปยังบอร์ดของคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์และการวิจัย


      "ให้ช่วยหาไหมจ้ะ" พี่สาวคนสวยที่มีป้ายสตาฟแขวนเข้ามาทักทาย 


      "เอ่อครับ ขอบคุณครับ"


      "ชื่ออะไรละเรา" 


      "ฟาเรส คาเดนเซีย ครับ


      "จริงหรอ!!! ใช่เราจริงๆ หรอ" ท่าทีตื่นตะลึงของหญิงสาวทำเอาฟาเรสงุนงง ชื่อเขามันมีอะไรผิดนะ "มาดูนี่สิ เธอนะได้คะแนนอันดับหนึ่งเชียวนะ" ว่าแล้วเธอก็ถือวิสาสะจูงมือเขาไปยังด้านซ้ายของบอร์ด ก่อนจะชี้ไปยังชื่อซ้ายบนสุด ที่เขียนว่า ฟาเรส ฟราน คาเดนเซีย


      "เกินคาดไปเยอะเลยแฮะ" ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเพราะเขาได้คะแนนถึง 995 จาก 1000 ข้อสอบไม่ได้ยากแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้ 


      "พี่ไม่เคยเห็นใครได้คะแนนเกิน 950 ด้วยซ้ำตั้งแต่เรียนมา ยินดีด้วยน้องชาย ยินดีต้อนรับสู่อานิมาของเรานะจ้ะ พี่ชื่อ จีน่า อยู่ปีสามเอกชีวะ เจอก็ทักกันได้นะ" เธอจับมือจับไม้ราวกับนั่นเป็นคะแนนของตัวเอง ฟาเรสจึงได้แต่ยิ้มรับ เป็นเรื่องที่น่ายินดี ฟาเรสกำลังจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเอสทีเรียด หากท่านพ่อท่านแม่อยู่ต้องภูมิใจในตัวเขาแน่ๆ
ฟาเรสไม่ลืมที่จะโทรไปบอกผลสอบแก่ลุงกับป้า ท่านทั้งสองดีใจยกใหญ่และยิ่งปลื้มหนักเมื่อได้รู้คะแนนที่เขาสอบได้ แต่ลุงมาคัสก็แอบเสียดายที่เขาไม่ได้เลือกวิชาวิทยาการการทหารแบบที่ท่านหวัง จึงรับปากท่านไว้ว่าจะลงเรียนวิชาเกี่ยวกับการทหารเป็นวิชารองหากทำได้

 
      มหาวิทยาลัยอานิมา ตั้งอยู่บนเกาะที่ชื่อเดียวกัน สิ่งก่อสร้างต่างๆ กินพื้นที่ราวๆ หกสิบเปอร์เซ็นทางตะวันออกของเกาะ ที่เป็นแนวยาวคล้ายสามเหลี่ยมจั่วคว่ำ ด้านตะวันตกยังคงสภาพเป็นป่าทึบ 


      ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเว้าเป็นรูปพระจันเสี้ยวมีโคลอสเซียมขนาดใหญ่อยู่ในเวิ้งน้ำโดยมีสะพานขนาดเชื่อมต่อกับพื้นดิน

 
       ตะวันออกสุดเป็นหาดทรายขาว เป็นโซนที่พักอาศัยประกอบด้วยตึกขนาดสูงขนาดสามสิบห้าชั้นอันเป็นหอพักนักศึกษา ชั้นแรกเป็นส่วนของล๊อบบี้และโรงอาหาร ส่วนชั้นสองถึงสิบเป็นของปีหนึ่ง ชั้นสิบเอ็ดถึงยี่สิบเป็นของปีสองและชั้นยี่สิบเอ็ดถึงสามสิบเป็นของปีสามโดยเป็นห้องชุดพักห้องละสี่คน ชั้นที่สามสิบเอ็ดกับสามสิบสองเป็นห้องพักโซนวีไอพีซึ่งมีเพียงชั้นละสิบห้องเท่านั้น นักศึกษาสามารถแจ้งความประสงค์เข้าพักห้องชุดเหล่านี้ได้ แต่นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างมากต่อปีที่ต้องจ่ายให้ทางมหาวิยาลัย ส่วนชั้นที่เหลือนั้นเป็นที่พักของเหล่าอาจารย์ 


      นอกจากนี้ตลอดแนวชายหาดยังประกอบด้วยร้านรวงต่างๆ และบ้านของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานภายในเกาะจนเหมือนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะแห่งนี้


      ในส่วนการศึกษาประกอบด้วยห้าอาคารใหญ่ที่เรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลมตามเวิ้งน้ำ โดยตึกแรกที่ติดกับแนวป่าเป็นของคณะที่ฟาเรสเรียน ถัดมาเป็นของวิทยาการการทหาร ตึกตรงกลางคือห้องสมุดขนาดยักษ์ หอประชุมและกองอำนวยการ ถัดมาเป็นของเหล่านักเศรษฐศาสตร์ และสุดท้ายเป็นของเหล่าศิลปินและนักปรัชญา ในสายตาของฟาเรส มหาวิทยาลัยแห่งนี้เปรียบเสมือนเมืองขนาดย่อมและเขาก็ค่อนข้างชอบหากต้องใช้ชีวิตที่นี่ไปตลอดสามปี

(http://upic.me/i/im/animamap.png) (http://upic.me/show/57935251)


      ในช่วงสองอาทิตย์ที่รอชายหนุ่มได้เที่ยวเล่นไปทั่วเดสเซนท์จนจำถนนหนทางได้ขึ้นใจ ด้วยความหลากหลายของเชื้อชาติทำให้เจ้าตัวไม่รู้สึกแปลกแยกนัก ที่นี่ต่างไปจากไวด์ออชาร์ด ทุกสิ่งทุกอย่างดูทันสมัยและมีสิ่งอำนวนความสะดวกมากมาย 
ฟาเรสย้ายเข้ามาหอพักในอานิมาสองวันก่อนเปิดเทอม ทันทีที่รู้ว่าเข้าได้พักในห้องชุดโซนวีไอพีในชั้นสามสิบเอ็ด เจ้าตัวต้องรีบใช้โทรศัพท์ในห้องพักโทรไปขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทั้งสองเป็นการด่วน


      "ป้าเห็นเราชอบความสงบ แถมตอนอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ก็เลยคิดว่าให้เราพักคนเดียวน่าจะสบายใจกว่า" ป้าโอเรนอธิบายเหตุผล "แล้วหลานชอบไหมละ"


      "ครับผมชอบที่นี่มาก ระเบียงหันหน้าออกทะเลด้วย อยากให้ลุงกับป้ามาเห็นจัง" 


      "ฮี่ๆ น่ารักจริงหลานคนนี้นี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง พวกเราไม่ได้เดือดร้อน ฟาเรสของป้ามีความสุขก็พอแล้ว" เธอหัวเราะเสียงใส จริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องรบกวนใคร ลำพังทรัพย์สมบัติที่ท่านพ่อทิ้งไว้ก็มีมากพอส่งเสียตัวเองจนจบ


      "ขอบคุณจริงๆ ครับ"


      "จ้า ตั้งใจเรียนนะ อยู่ที่โน่นก็หาเพื่อนไว้บ้าง เดือดร้อนอะไรจะได้มีคนพึ่งพา ถ้ามีโอกาสป้าจะไปเยี่ยมนะ เดี๋ยวป้าวางแล้ว รักหนูนะ"

 
      "ครับผมก็รักป้าครับ" ฟาเรสตอบพลางอมยิ้ม แม้พึ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาแต่ลุงกับป้าก็ทำให้เขายังรับรู้ถึงความอบอุ่นของคำว่าครอบครัว นี่คงเป็นโชคดีแบบที่ท่านชอบพูดจริงๆ

..............................

 :katai5: เข้าเรื่องกันแล้ววว บทที่หนึ่งมาเซิฟแล้วจ้า ทำแมพมาให้ดูเผื่อนึกไม่ออก

 :katai2-1: เพิ่มเติม ในเอสทีเรียดนั้น ไม่ได้เป็นแบบสังคมโบราณนัก บางเมืองมีความเจริญพอๆ กับยุคเราค่ะ แต่บางเมืองยังคงความคราสสิกอยู่ ถ้าให้เปรียบง่ายๆ ก็คงเหมือน เกมไฟนอล อะไรเทือกนั้น มันเทคโนโลยี และมีเวทย์มนต์ รวมไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 1 P1 23-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-02-2016 21:00:59
 :L2:   ติดตาม. เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ฟาเรสสู้ๆ  ลุ้นพระเอก. เกี่ยวกับรูปปั้นและจี้แน่ๆเลยเดานะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 1 P1 23-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 23-02-2016 21:22:02
น่าสนใจๆ อยากรู้จังว่าพระเอกจะเป็นใคร คนในรูปปั้นมั้ยน้อ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 1 P1 23-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 23-02-2016 21:30:02
ชอบมาก ชอบอ่านแนวแฟนตาซีแบบนี้ รอมานานมีคนแต่งซัดที รักคนเขียน จุ๊บๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 1 P1 23-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 23-02-2016 21:44:23
พระเอกจะใช่คุณรูปปั้นไหมน่าาา
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 1 P1 23-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 24-02-2016 14:07:42
รอตอนต่อไปนะค้าาาา  :mew1:

น่าติดตามมากๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 1 P1 23-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 24-02-2016 15:44:22
บทที่ 2
[/size][/color]

      ฟาเรสสำรวจตัวเองในกระจกห้องน้ำ เชิ๊ตสีขาวทับด้วยสูทสีเทาและกางเกงสีเดียวกันเมื่อรวมกับผิวขาวจัดและผมสีซีดที่ซอยระต้นคอ ขับให้ดวงตาสีครามคู่นั้นดูโดดเด่น วันนี้มีปฐมนิเทศเขาจึงต้องแต่งเครื่องแบบนักศึกษาเต็มยศ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องน้ำมานั่งลงปลายเตียง แล้วหยิบกล่องที่ทางมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้นักศึกษาทุกคนมาเปิดดู 


      ภายในประกอบด้วยบัตรนักศึกษาที่สามารถใช้แทนเงินสดจับจ่ายกับทุกสิ่งในเกาะแห่งนี้โดยหักจากบัญชีของตัวเอง หนังสือแนะแนวของมหาวิทยาลัยที่ประกอบด้วยกฎของต่างๆ ของอานิมา อธิบายรายวิชาทั้งหมดที่เปิดสอนทั้งในส่วนของวิชาบังคับแต่ละเอก วิชาทั่วไป และวิชาเลือกเสรี การเลือกวิชาเอกและการสอบเลือกวิชาโท การลงเรียนเก็บหน่วยกิจ และอื่นๆ ที่จำเป็นต้องรู้ในการศึกษา นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสัมผัส ซึ่งฟาเรสเคยเห็นคนอื่นใช้มาบ้างแล้วแต่เขาก็ไม่คิดอยากได้เพราะมันไม่จำเป็น แต่ที่ทางมหาวิทยาลัยแจกให้ทุกคนนั้นเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร และการจัดการข้อมูลต่างๆ ของตัวนักศึกษาเอง ปฐมนิเทศจะเริ่มตอนสิบโมง ถึงแม้ภายในห้องจะมีครัวแต่ลงไปกินโรงอาหารข้างล่างคงสะดวกกว่าเพราะเขาขี้เกียจทำ


      "เฮ้ ฟาเรส...ทางนี้ๆ" เสียงทักเจื้อยแจ้วดังขึ้นเมื่อฟาเรสกำลังมองหาที่ลงจอดพร้อมจานข้าวในมือ เจ้าของเสียงโบกไม้โบกมือให้เขาถัดไปอีกสามโต๊ะ นัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสนั่นเขาจำมันได้ดี
      "นั่งด้วยกันสิที่ยังว่าง" ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวเดินมาดึงมือเรียวให้ไปนั่งลงบนโต๊ะท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อน


      "ขอบใจมาวิค เอ่อ...สวัสดีครับ ผมชื่อฟาเรสครับ" เขาเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสามคนพร้อมแนะนำตัว


      "ฉันโอซี่" ชายหนุ่มผิวแทนรูปร่างสูงใหญ่หน้าดูตาคมเข้มด้วยดวงตาสีดำและผมสีเดียวกันเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม
 

      "ฉันพรีมนะยินดีที่ได้รูจัก" เจ้าของดวงตาสีฟ้าสวยที่ดูตัดกันดีกับผมสีทอง ยื่นมือมาจับทักทาย พรีมดูเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์แต่ก็ดูไม่หยิ่งเลยแม้แต่น้อย


      "ฉันเซียนะจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักหนุ่มหล่ออย่างเธอ" เซียยิ้มหวานหยด ใบหน้าสวยหมดจด ผมสีแดงและนัยน์ตาสีเขียวขับให้เธอดูเป็นคนโฉบเฉี่ยวมั่นใจ "ส่วนหมอนั่นคือมาวิค คงจำกันได้เนอะ พวกนี้เป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งแต่สมัยเรียนระดับพื้นฐานแล้วละ พวกเราเรียนคณะวิทยาการการทหาร แล้วนายละ"


      "อ่อ ฉันเรียนคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์และการวิจัย" ฟาเรสตอบพลางตักข้าวเข้าปากเพราะหิวเต็มทน


      "ว่าแต่รูมเมทนายไปไหน ไม่มากินข้าวด้วยกันหรอ" มาวิคถามอย่างสงสัย


      "อ่อ ฉันพักคนเดียวนะ" ฟาเรสตอบ


      "อยู่โซนวีไอพีสินะ ตอนแรกพ่อก็จะให้ฉันอยู่แต่ไม่เอาหรอกอยู่คนเดียวเหงาจะตาย" เซียบ่น "งั้นนายก็ยังไม่มีเพื่อนเลยใช่ไหมละ มาเป็นเพื่อนพวกเราก็ได้เรายินดี"


      "ได้เลย ไม่มีปัญหา" ฟาเรสตอบรับเสียงใส มีเพื่อนไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร


      "ฟาเรส นายชื่อเต็มว่าอะไร" มาวิคถามพลางจ้องหน้าเขาจริงจัง


      "ฟาเรส ฟราน คาเดนเซีย" คนถามมองฟาเรสแบบทึ่งๆ 


      "ว่าแล้วไง เป็นหมอนี่จริงๆ ด้วย" มาวิคบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "คนที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบรอบนี้นะ นายนี่สุดยอดจริงๆ คะแนนสูงขนาดนี้เสียดายแย่ที่ไม่ได้เข้าคณะเดียวกัน" ฟาเรสยิ้มเขินกับสายตาชื่นชมที่เพื่อนๆ มอบให้ 


      คุยเล่นกันซักพักจึงชวนกันเคลื่อนย้าย เพราะใกล้เวลาปฐมนิเทศแล้ว ทั้งห้าคนเดินไปยังหอประชุมที่ตึกอำนวยการ ฟาเรสแอบรู้สึกประหม่าเมื่อกลุ่มของเขากลายเป็นเป้าสายตา เพราะเพื่อนใหม่ดันมีแต่พวกเทพบุตรเทพธิดาเดินดินซะนี่ เลยกลายเป็นจุดเด่นอย่างช่วยไม่ได้ 


      พิธีปฐมนิเทศก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงการกล่าวตอนรับนักศึกษาใหม่ และแนะนำบุคลากรต่างๆ เล่นเอาฟาเรสหาวจะหลับไปหลายรอบ ช่วงเวลาแห่งความง่วงจบลงตอนเที่ยงวัน หลังจากนี้น้องใหม่ทุกคนจะต้องไปที่ตึกคณะตัวเอง เพื่อไปเลือกเอกที่ต้องการโดยจะมีรุ่นพี่และอาจารย์คอยแนะแนว พร้อมมีเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการมาคอยรับลงทะเบียนในช่วงบ่าย แต่หลังจากเทอมนี้ก็ต้องลงเอง ซึ่งในแต่ละปีการศึกษาของที่นี่จะเป็นเป็นสองภาค ฟาเรสจึงจำต้องแยกกับเพื่อนใหม่ทั้งสี่โดยไม่ลืมแลกเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันไว้ หากใครเสร็จก่อนก็ให้โทรบอก


      "เธอแน่ใจหรอว่าจะเลือกเอกนี้" เจ้าหน้าที่ที่รับเอกสารมองหน้าฟาเรสแบบไม่เข้าใจ


      "ทำไมหรอครับ"


      "ก็เอกที่เธอเลือกมันไม่ค่อยนิยมนะสิ คะแนนเธอสูงขนาดนี้ พี่ก็เสียดายนะ ...พฤกษศาสตร์พันธุ์พืชและสมุนไพร... เอาจริงๆ นะถ้าเธอสนใจเรื่องตัวยาทำไมไม่เรียนเภสัชศาสตร์โดยตรงไปเลยละ สมัยนี้เขานิยมใช้ยาปฏิชีวนะมากกว่านะ แต่ระดับเธอเรียนการแพทย์ก็ยังได้" เธออธิบาย พยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ


      "เอ่อ...เอกนี้แหละครับ ผมชอบ" ฟาเรสยิ้มรับให้กับความหวังดี พืชทุกชนิดล้วนมีความลับในตัวมันเอง มันน่าสนุกจะตายที่ได้ศึกษาคุณสมบัติของมันแล้วนำมาใช้ให้เกิดผล


     "ถ้าเราชอบ ก็ตามใจ" เธอรับคำ พลางคีย์ข้อมูลลงในคอมพิงเตอร์ "พี่ส่งตารางเรียนไปในโทรศัพท์เราแล้วนะ เป็นตารางเรียนในเทอมนี้" ฟาเรสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูตารางเรียนที่ได้รับ "ทั้งหมดที่เห็นเป็นวิชาบังคับนะ ส่วนช่องที่ว่าง ไว้ลงวิชาทั่วไปแล้วก็วิชาเลือกเสรี  ลงทะเบียนภายในอังคารหน้านะ ของคณะไหนก็ได้เอาที่สนใจเลย วิชาเอกเริ่มพรุ่งนี้ ส่วนวิชาอื่นเริ่มอาทิตย์หน้า"


      "ขอบคุณครับ"


      ฟาเรสตรวจดูตารางเรียนของตน วันจันทร์ อังคารและพุธครึ่งวัน เขาต้องเรียนวิชาเอก ส่วนวันที่เหลือเว้นว่างสำหรับวิชาทั่วไปกับวิชาเลือกเสรี ดูเหมือนธุระของวันนี้คงจบสิ้นแล้ว จึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนหมาดๆ ของเขา 


      "ฮัลโล ฟาเรสนี่เซียนะจ้ะ"  เสียงหวานรับสายแทนมาวิค ทำไมเขาต้องนึกชื่อหมอนี่ขึ้นคนแรกไม่เข้าใจ บางทีอาจเพราะรู้จักก่อนใครมั้ง


      "ทางฉันเรียบร้อยแล้วนะ" 


      "ไวจัง ฉันเองก็ไม่มีอะไรแล้วละ แต่ มาวิค โอซี่ กับพรีมต้องเข้าทดสอบสมรรถภาพนะ มาดูไหม คนมาดูเต็มเลย" เซียเอ่ยชวน ได้ยินมาว่าควบคุมหลักสูตรโดยเอแวนการ์ด ชักอยากจะเห็นแล้วสิ
 

      "ได้ ฉันจะไป"


      "งั้นมาที่สนามฝึก หลังตึกคณะวิทยาการการทหารนะ ถ้าถึงทางเข้าแล้วโทรมาบอกอีกทีเดี๋ยวคนสวยไปรับ" เซียบอกเสียงใส



      ฟาเรสไปยังที่หมายตามคำเชิญของเพื่อนสาว เซียพาเขาเข้ามาภายในสนามฝึกที่มีลักษณะเป็นเสตเดียมทรงเกือกม้า ก่อนนำเขาไปนั่งแถวหน้าสุดบนเก้าอี้ที่เธอวางของจับจองไว้รวมกันสี่ตัว เดาว่าน่าเป็นของสามหนุ่มในสนามก่อนหน้า แต่ดูเหมือนว่าทุกคนในสนามกำลังนั่งพักเหมือนเพิ่งจบการทดสอบไปก่อนหน้า


      "อ่าว เขาทดสอบเสร็จแล้วหรอ" ฟาเรสถามพางกวาดตามองไปรอบๆ


      "ยังหรอก เพิ่งจบการทดสอบสมรรถภาพทางกายนะ ก่อนหน้านี้ทดสอบเทคนิคการใช้อาวุธพื้นฐาน รอบต่อไปจะทดสอบพลังเวทย์แฝง" คนฟังพยักหน้าเข้าใจ เขาเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยังไม่เคยลองกับตัวเอง "แล้วเขาจะเอาคะแนนทดสอบทั้งสามรอบมารวมกัน ต้องเกินครึ่ง ถึงจะสามารถเข้าเอกนี้ได้ เอ่อ ฉันหมายถึงเอกการรบนะ"


       "แล้วเธอเรียนเอกอะไรละ" 


       "การวิจัยและพัฒนาอาวุธนะ ให้ไปตากแดดอย่างนั้นไม่เอาหรอก ผิวเสีย" เซียบอกพร้อมทำท่าทำทางราวกลับกลัวแดดเต็มที เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี


      "เอาละ นักศึกษาทุกคน เรามีเวลากันไม่มาก เรามาเริ่มการทดสอบต่อไปกันเถอะ มนุษย์ทุกคนในเอสทีเรียดนั้น ต่างมีพลังเวทย์อยู่ในตัวเองมากน้อยต่างกัน ทางเราจึงคิดค้นวิธีการนำพลังเหล่านั้นมาใช้ให้เสถียรผ่านสื่อกลาง นั่นคือสิ่งนี้" ชายสูงวัย แม้ผมจะขาวไปทั้งหัว ใบหน้าแต่งแต้มด้วยริ้วรอย แต่ยังคงดูบึกบึนแข็งแกร่งตามสไตล์ทหารเก่า ชูอัญมณี สีขาวในมือ "เราเรียกมันว่า เจ็ม (Gem) ซึ่งมันจะเปลี่ยนสีไปตามปริมาณพลังเวทย์ที่ไหลผ่าน"

 
      "โหวววว" เสียงฮือฮาดังก้องสนาม เมื่อเจ็มในมืออาจารย์ค่อยๆ เปลี่ยนสี จากขาวสะอาด เป็นสีเหลืองอ่อน ก่อนจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ เป็น ส้ม ส้มแดง จนเป็นสีแดงสด


      "อาจารย์ อีวาน ท่านเคยทำงานให้กองทัพ บัญชาการหน่วยต่อต้านพวกในนอธฟิว ก่อนจะเกษียณมาเป็นอาจารย์ที่นี่ สมัยท่านอยู่นะ หน่วยของท่านได้รับฉายาว่าไร้พ่ายเลยละ" เซียบอกพลางมองคนในสนามอย่างชื่นชม


     "เจมเหล่านี้ จะถูกติดตั้งในอาวุธเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของมัน ซึ่งจำเป็นมากในการรบกับพวกไวด์โซล ตัวอย่างเช่น หากเอาเจมฝังไว้ในดาบ แม้จะเป็นดาบไม้ก็แข็งดุจเหลกกล้าได้"


      ชื่อของไวด์โซลกระตุ้นความสนใจของฟาเรส นัยน์ตาสีครามจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างตั้งใจ อาจารย์อีวานรับดาบไม้จากผู้ช่วยที่มีเจ็มเม็ดหนึ่งติดอยู่ตรงด้ามจับมาถือไว้ ก่อนจะเดินไปยังแท่นปูน ที่ถูกนำมาใช้ทดสอบในรอบก่อน แล้วฟาดลงเต็มแรง แท่นปูนหักเป็นสองซีกทันตาเห็นเรียกเสียงปรบมือก้องสนาม


      "มันมีในวิชาเลือกหรือเปล่า" ฟาเรส


      "นายสนใจหรอ  มีในวิชาเสรีไง จริงๆ มีหลายวิชาของการทหารที่คณะอื่นก็มาลงเรียนได้ เพราะที่อานิมามองว่า การเอาตัวรอดเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต" เซียอธิบาย "มาเรียนสิ เราจะได้เรียนด้วยกัน"


      "อืม ก็น่าสนุกดี"


      ทั้งสองดูการทดสอบในสนามอย่างตั้งใจ นักศึกษาจะถูกเรียกขึ้นมาทีละห้าคน ก่อนจะแจกดาบไม้ให้คนละอัน แล้วเจ้าหน้าที่จะเอาวัสดุมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อให้ลองฟัน ให้คะแนนตามสิ่งที่ฟันได้ เพิ่มความแข็งขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากไม้ ปูน และเหล็ก ซึ่งคนส่วนใหญ่ฟันได้แค่เสาปูน ส่วนเหล็กทำได้อย่างมากก็แค่เป็นรอย


     กรี๊ด!!!.... เสียงสาวๆ ดังลั่นเมื่อถึงคิวของพวกมาวิค โอซี่ และพรีม ทำเอาอีกสองคนที่ทดสอบรอบเดียวกันดับไปเลย การที่หนุ่มรูปงามทั้งสามยืนอวดโฉมอยู่กลางสนาม ฟาเรสไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้น


      "เจ้าพวกนั้นมันป๊อปมาตั้งแต่สมัยเรียนพื้นฐานแล้วละ" เซียบอกอย่างหมั่นไส้ 


      "เอ่อ!!!" อยู่ๆ มาวิคก็หันมาทางนี้ พร้อมโบกไม้โบกมือให้ฟาเรส ดึงสายตาคนทั้งสนามให้มองมา รอยยิ้มสดใสพร้อมดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย มั่นใจเลยว่าสาวใดได้เห็นเป็นต้องละลายแน่นอน แต่ตอนนี้คนถูกมองอยากจะมุดเก้าอี้หนีเสียเหลือเกิน
 

      สามหนุ่มยังคงเรียกเสียงกรี๊ดได้ดังเดิม เมื่อเสาเหล็กโดนฟันด้วยดาบไม้จนงอด้วยฝีมือของมาวิค โอซี่ และพรีม พรีมมองดาบไม้ที่หักครึ่งในมือก่อนโบกมือยอมแพ้ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ทั้งสามทำได้ดีเยี่ยมจนฟาเรสอดชื่นชมไม่ได้ 


      การทดสอบจบลงในตอนเย็น สามหนุ่มเดินมาหาทั้งสองตรงที่นั่ง พลางรับน้ำเย็นๆ ที่ฟาเรสออกไปซื้อมาให้ไปดื่ม


      "ขอบใจมาก แค่นายมานั่งดูก็มีกำลังใจแล้ว" มาวิคบอกพลางหมุนฝาขวดออกดื่ม ฟาเรสจึงได้แต่ยิ้มตอบแต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงสำลักน้ำซะอย่างนั้น "แค่กๆ ยิ้มแบบนั้น ฉันก็ไม่ทันตั้งตัวนะสิ"


      "แหม ฉันนั่งอยู่ก่อนนะยะ" สาวสวยเจ้าของผมสีแดงเพลิงแขวะ


      "แหมคนสวย พวกเรารู้ว่าคุณต้องมาอยู่แล้วนิครับ ไว้ไม่มา ค่อยขาดใจเนอะ ขอบคุณสำหรับน้ำและกำลังใจ" พรีมอ้อน 


      ฟาเรสขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเพื่อนของเขาขอนั่งพักชั่วครู่ ในจังหวะที่กำลังเดินออกมากลับถูกใครอีกคนชน


      "ขอโทษครับ" เจ้าของนัยน์ตาสีครามเอ่ยตามมารยาท แม้ไม่ใช่คนผิดก็ตาม


      "ฟาเรสใช่ไหม" เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนที่ชนเขาเต็มตา ดวงตาเรียวนัยน์ตาสีเข้มมองมาที่เขาอย่างไม่แสดงอารมณ์ แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ดี 


      "ครับ" ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม 


      "ไปรู้จักพวกนั้นได้ยังไง หมายถึงพวกมาวิคนะ"


      "เจอกันตอนวันประกาศผล มาวิคเข้ามาทักนะ" อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ "ทำไมหรอครับ"


      "เปล่า แค่อยากรู้" เสียงห้วนตอบกลับแล้วหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป


     ...อะไรของหมอนั่น จู่ๆ ก็มาถาม แต่รู้สึกไม่ชอบเลยแฮะ....เขาคงไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหม ว่าคนเมื่อครู่ดูไม่ค่อยปลื้มเขาเท่าไหร่



      หลังออกมาจากสนามฝึกพวกเขาก็พากันไปหาร้านอร่อยๆ ฝากท้องแถวหาดทรายขาวใกล้ๆ กับหอพัก ก่อนแยกย้ายกลับห้องตัวเอง พรุ่งนี้ต้องเริ่มเรียนวิชาเอกอย่างจริงจัง ฟาเรสอดตื่นเต้นที่จะเจอเพื่อนร่วมเอกของเขาไม่ได้ จะเป็นยังไงกันบ้างนะ คนที่ต้องเรียนด้วยกันไปตลอดสามปีนี้ 


      เรือนกระจกด้านหลังตึกคณะ ติดกับชายป่าทึบคือห้องเรียนวิชาเอกของฟาเรส เรือนกระจกทรงครึ่งวงกลมขนาดยักษแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ซึ่งถูกปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชนานาพันธุ์ที่อยู่ภายใน บางชนิดเขาเคยเห็นแค่ในหนังสือเพราะเป็นของหายาก บางชนิดสวยงามจับใจ สำหรับฟาเรส ความรู้สึกเขาเหมือนหลงเข้าไปในแดนสวรรค์
 

      "ยังไม่มีคนมาสินะ" ร่างโปร่งพรึมพรำ พลางเดินเข้าไปยังอาคารที่อยู่ตรงกลาง
 

      ใจกลางโดมถูกสร้างเป็นอาคารสีขาวดูเหมือนกล่อง มีสองชั้นขนาดประมาณห้องชุดที่ฟาเรสพัก ชั้นล่างเต็มไปด้วยอุปกรณ์ ทางวิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต่อการศึกษาวิจัยพันธุ์พืชในโดมนี้ ชั้นสองเหมือนห้องสมุดขนาดย่อมและเป็นพื้นที่พักผ่อน เพราะมีชุดโซฟาสีครีมตั้งไว้ตรงกลาง เค้าเตอร์เล็กๆ สำหรับทำอาหาร กับตู้เย็นไว้ใส่สะเบียง และห้องน้ำ สามด้านเป็นกระจก ทำให้มองเห็นต้นไม้ข้างนอกได้ 


      ...ชักตกหลุมรักที่นี่แล้วสิ...


      "ชอบที่นี่หรือเปล่า" เสียงทักจากด้านหลังขัดจังหวะการดื่มด่ำธรรมชาติของเขา


      "รักเลยครับ" ริมฝีปากสวยเอื้อนเอ่ยราวกับต้องมนต์ ก่อนจะหันไปมองคู่สนทนา "อ๊ะ เอ่อ ท่าน!!!"


      "ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น" ชายชราตรงหน้าโบกไม้มือเมื่อฟาเรสก้มทักทายแบบตื่นๆ นัยน์สีเทาฉายแววอารีอย่างเปลี่ยมล้น เขาจำมันได้ดีเพราะนี่คือผู้อำนวยการ เอเบรียน ของอานิมาแห่งนี้ "ทำตัวสบายๆ ถือว่าเป็นอาจารย์คนหนึ่งแล้วกันนะ"
 

      "แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ครับ"


      "ก็มาสอนเธอไง ฟาเรส ฟราน คาเดนเซีย ชื่อเธอคล้ายๆ ของแม่เลยนะ" 


      "ท่านรู้จักแม่ผมด้วย" ดวงตาสีครามฉายแววแปลกใจ
 

      "ฟ่าร่านะหรอ เราเป็นเพื่อนกันนะ จริงๆก็รู้จักทั้งพ่อ ทั้งแม่ แล้วก็ลุงของเธอนั่นแหละ จะว่าไป เธอเองก็ดูคล้ายแม่มากๆ เลยนะ ฉันเคยเจอเธอตอนยังเล็กอยู่ คงจำฉันไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าจะเรียกเธอว่าฟาร์เหมือนที่เรียกแม่เธอแล้วกัน" รอยยิ้มอบอุ่นที่ได้รับทำให้คนอายุน้อยกว่าหายประหม่า


      "แล้วแต่ท่านผู้อำนวยการเลยครับ"


      "เรียกลุงก็ได้"



      "เอ่อ ได้ครับ" หลานหมาดๆ รับคำเสียงใส "ว่าแต่เอกนี้มีผมคนเดียวหรอ"


      "มีอีกคนนะ แต่แจ้งกับทางเราแล้วว่าจะมาเริ่มอาทิตย์หน้า ระหว่างนี้ทนเหงาไปก่อนนะเรา เอ้า มาเริ่มกันเลย วันนี้แค่เกริ่นๆ ก็แล้วกัน ตามมาๆ" 


      เอเบรียนชวนนักเรียนเพียงคนเดียวในตอนนี้ เดินไปรอบๆโดม พลางอธิบายว่าทำไมเอก...พฤกษศาสตร์พันธุ์พืชและสมุนไพร..จึงสำคัญ ในขณะที่คนทั่วไปมองข้าม เพราะพืชสมุนไพรบางชนิดมีพลังที่สามารถใช้ผสมผสานกับพลังเวทย์ให้เกิดผลที่ต้องการ และบางอย่างยังมีคุณสมบัติที่สารสังเคราะห์ไม่สามารถแทนที่ได้ ก่อนจบด้วยการสั่งทำรายงานสรุปคร่าวๆ เกี่ยวกับสมุนไพรทั้งหมดตามที่ฟาเรสเข้าใจ ส่วนหนึ่งเพื่อดูว่าผู้เรียนมีพื้นฐานและความเข้าใจแค่ไหน ผู้เป็นอาจารย์ต้องเอ่ยขอโทษลูกศิษย์ล่วงหน้าเพราะตำแหน่งที่ทำให้ท่านอาจมาสอนไม่ได้ในบางครั้ง แต่ใช่ว่าท่านจะไม่ใส่ใจเพราะได้ทิ้งเอกสารสรุปเนื้อหาเบื้องต้นของเทอมนี้ไว้ใหปึกใหญ่ เผื่อไว้ในยามที่ไม่สะดวกมาสอน ซึ่งฟาเรสว่าจะเอาไปถ่ายสำเนาไว้อีกชุดเผื่อเพื่อนร่วมเอกอีกคนที่ยังไม่มา


      ฟาเรสลงเรียนวิชาทั่วไปร่วมกับเพื่อนๆ อีกสี่คนของเขา มันเป็นวิชาพื้นฐานจึงลงเรียนด้วยกันได้ ในระหว่างวันที่แสนว่างบางทีชายหนุ่มก็ไปนั่งดูเพื่อนต่างคณะของเขาฝึกซ้อมที่สนาม บางทีก็มานอนอ่านหนังสือที่โดมกระจก เพราะท่านลุงเอเบรียนอนุญาติให้เขาเข้าออกที่นี่ได้ตามใจ ซึ่งบางทีมาวิคก็ขอตามมาด้วยโดยให้เหตุผลว่าที่โดมนี้ร่มรื่นดี


      พวกเขาสนิทกันไวเกินคาด อาจเพราะทั้งมาวิค เซีย พรีมและโอซี่ ต่างเป็นพวกอัธยาศัยดี  อาจจะมีรั่วๆ ไปบ้าง แต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ดังนั้นการได้เจอกับพวกมาวิคทำให้คนที่เคยรักสันโดดแบบเขาเริ่มถูกใจการมีเพื่อน

..................................................

-ยังคงความเรื่อยเปื่อยอยู่อย่าเพิ่งเบื่อนะค่ะ  :เฮ้อ:

-ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุกเม้น คนแต่งมีแรงขึ้นเยอะเลย (ยอมรับเลยว่าบางครั้
ก็แอบหวังกับเสียงตอบรับอยู่เหมือนกันค่ะ):mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: Melonlove ที่ 24-02-2016 16:18:06
คนแต่งสู้ๆ :mc4:  ว่าแต่พระเอก ออกมายางงง :katai5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 24-02-2016 16:35:04
ใครอีกคนที่มาเรียนด้วยกับฟาร์เรสน้อออ :katai1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 24-02-2016 17:25:58
พี่รูปปั้นเราเป็นพระเอกหรือเปล่าคะ 55555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-02-2016 18:24:54
ลุ้นพระเอกเพลินๆไปก่อน
ขอบคุณค่ะ. สาขาที่ฟาเรสเรียนน่าสนใจมากเลย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: baipai_bamboo ที่ 24-02-2016 18:51:09
ไรต์สู้ๆ :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 24-02-2016 21:26:59
มารอพระเอก กิ้วๆ เป็นกำลังใจคนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 25-02-2016 00:36:17
พ่อหุ่นเงียบหายไปเลยแหะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 25-02-2016 02:01:53
คุณพระเอกจะมาเรียนด้วยเปล่านะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 2 P1 24-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 25-02-2016 23:56:43
บทที่ 3


      มาวิคเดินงัวเงียออกจากห้องตัวเองสู่โถงกลาง ห้องพักของเขามีลักษณะเป็นห้องชุด มีสองห้องนอนโดยมีโถงกั้นไว้อีกห้องหนึ่ง อันจะมีครัวเล็กๆ กับมุมนั่งเล่น ห้องฝั่งซ้ายเป็นของพวกหนุ่มๆ ประกอบด้วย มาวิค พรีมและโอซี่ ส่วนห้องฝั่งขวาเป็นข้องหญิงสาวผู้อาศัยหนึ่งเดียวนั่นคือเซีย แต่วันเสารนี้ภายในห้องดูเงียบงันเพราะ เซียกลับบ้าน พรีมก็เช่นกันโดยมีโอซี่ตามไปด้วย  เดาว่าวันนี้คงเงียบทั้งเกาะเพราะนักศึกษาที่บ้านอยู่ในเดสเซนท์ ต่างพากันกลับไปเยี่ยมครอบครัว

      ร่างสูงมองนาฬิกาที่ตอนนี้ชี้เลขสิบเอ็ด ชักหิวแล้วสิ พลางนึกถึงใครอีกคนที่คิดว่าคงยังอยู่ในอานิมาไม่ได้ไปไหน ว่าแล้วก็โทรหาดีกว่า

      "ว่าไงมาวิค" เสียงใสดังจากปลายสาย

      "ว่าจะชวนไปหาอะไรกินนะ"

      "นึกว่านายกลับบ้านซะอีก" ฟาเรสสงสัย

      "กลับไปก็ไม่มีคนอยู่หรอก" มาวิคบอกแบบเซง พ่อของเขาแท้จริงเป็นผู้ว่าของเดสเซนท์ส่วนแม่ก็เป็นเลขาของท่าน ทั้งสองจึงไม่ค่อยมีเวลาเพราะงานรัดตัวตลอด

      "จริงๆ ฉันว่าจะทำอะไรกินเอง ซื้อของสดมาไว้แล้ว ขึ้นมากินด้วยกันไหมละ" ...กับข้าวฝีมือฟาเรส ก็น่าสนใจดี...

      "ได้ๆ นายอยู่ห้องไหนละ"

      "ชั้นสามสิบเอ็ดห้อง 3108"

      "โอเคขอสิบนาทีอาบน้ำก่อน แล้วเจอกัน" มาวิคหยิบผ้าขนหนูตรงเข้าห้องน้ำอย่างไว

      ในวันแรกที่เขาเห็นฟาเรสท่ามกลางฝูงชน ไม่เข้าใจว่าทำไมสองเท้าจึงพาเดินเข้าไปทัก บรรยากาศรอบตัวของร่างโปร่งมันดูสงบแต่แฝงไปด้วยความอ้างว้าง ราวกับมีกำแพงบางๆ กั้นใครคนนั้นจากรอบด้านและเขาเองก็อยากจะทำลายกำแพงนั้น 

      ยิ้มของฟาเรสในยามแรกที่ได้พูดคุย แม้จะเป็นยิ้มตามมารยาทแต่ก็ดูเป็นมิตรดี เมื่อวันที่เพื่อนใหม่ไปดูเขาทดสอบที่คณะ รอยยิ้มของฟาเรสในวันนั้นดูช่างสดใสเพราะเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจ

      "เข้ามาเลย" เจ้าของห้องเปิดประตูให้เมื่อมาวิคเคาะเรียก "นั่งรอ เปิดโทรทัศน์ดูก่อนก็ได้" 

      ฟาเรสกลับไปยังเคาท์เตอร์ทำครัวก่อนจะลงมือหั่นผักต่อ เจ้าของห้องในชุดสบายๆ เสื้อยืดตัวบางยิ่งทำให้เห็นว่าคนตรงหน้าผอมเพียวกว่าที่คิด 

      "นึกว่าทำจะเสร็จแล้ว" ผู้มาเยือนถามยิ้มๆ 

      "แหะๆ ก็ เพิ่งจะเริ่มตอนนายโทรมานี่แหละ หิวแล้วหรอ" 

      "เริ่มหิวแล้วละ มาๆ ฉันช่วย" มาวิคว่าพร้อมลุกจากโซฟาไปร่วมวง "จะทำอะไรละ"

       "เสต็กปลา กับสลัด" ฟาเรสบอกพลางพยักเพยิดไปทางเนื้อปลาสีส้มที่เอาออกมาละลายน้ำแข็งไว้ ก็ไม่ยากเท่าไหร่พอทำได้ 

      "พริกไทยกับเกลือละ" คนสูงกว่ามองหาเครื่องปรุง

      "ในตู้บนหัวฉัน" ว่าแล้วผู้ช่วยจำเป็นก็เอื้อมมือไปเปิดประตูตู้ "อ๊ะ"พอดีกับฟาเรสที่หันมาจะพูดบางอย่าง
ดวงตาสีครามสะกดมาวิคให้นิ่งงัน เมื่อได้มองใกล้ๆ บอกให้รู้ว่ามันช่างสวยเหลือเกิน และเหมือนฟาเรสเองก็ทำอะไรไม่ถูกพอกัน
 
      "อะ เอ่อ แค่จะเตือนว่า อย่าใช้ไฟแรง" ริมฝีปากสวยเอ่ยติดขัด ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปง่วนกับสลัดแต่ก็ไม่อาจปิดบังผิวหน้าที่ซับสีได้

      "เชื่อมือได้เลย" มาวิครับคำเสียงใส แปลกใจที่ไม่อาจหุบยิ้มที่ระบายบนใบหน้าตน

      มือเที่ยงดำเนินไปอย่างเงียบเชียบด้วยต่างคนต่างหิวจัดเพราะไม่ได้แตะข้าวเช้ากันเลย มาวิคจัดการทุกอย่างหมดในเวลาอันรวดเร็วผิดกับอีกคนที่ยังคงละเลียดกับอาหารบนจานช้าๆ ที่ยังเหลืออีกเกินครึ่ง 

      เมื่อนั่งว่างๆ มาวิคจึงมีโอกาสสำรวจคนตรงหน้าที่สนใจจานอาหารอย่างเต็มตา ฟาเรสเป็นคนที่ขาวมาก ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับผมสีบรอนขาว ยิ่งทำให้คนตรงหน้าเหมือนเปล่งออร่าอยู่รอบตัว ไหนจะใบหน้าเรียวที่เรียบเนียนราวกับผิวเด็ก

      "ถามจริงนายอายุเท่าไหร่" ชายหนุ่มถามสิ่งที่คิดในใจอยู่นาน

      "ปีนี้ 16 แล้ว"

      "ฮะ...จริงดิ เพิ่งสิบหก แล้วทำไมถึงเข้ามหาลัยได้ละ" คนโตกว่าถามอย่างแปลกใจ

      "ฉันเรียนเองที่บ้านนะ ท่านพ่อให้อาจารย์มาสอน เลยจบขึ้นพื้นฐานไปตั้งแต่ 15" คนถูกถามอธิบายยิ้มๆ "คงไม่ต้องเรียกนายว่าพี่หรอกนะ"

      "ไม่ต้องหรอก นายนี่มันอัจฉริยะจริงๆ" เอ่ยชมอย่างอดไม่ได้

      "คนเราเก่งไม่เหมือนกัน"

      หลังจากช่วยกันเก็บกวาดครัวและโต๊ะอาหารสองหนุ่มก็พากันมานั่งย่อยอยู่หน้าจอทีวี ดูข่าวสารบ้านเมืองกันไป

      "ได้ยินมาว่า นายสนใจวิชาต่อสู้ในคณะฉันหรอ" ร่างสูงเปิดประเด็น เซียเล่าให้เขาฟังในวันที่มีการทดสอบ

      "ก็แค่สนใจเรื่องการใช้พลังเวทย์แฝงนะ กับพวกการใช้อาวุทย์ที่มีเจม"
 
     "ทำไมหรอ" มาวิคถามอย่างแปลกใจ คนที่ดูน่าจะชอบอยู่กับความสงบอย่างฟาเรสจะสนใจศาสตร์การต่อสู้ไปทำไม อีกทั้งพลังเวทย์แฝงยังเป็นศาสตร์ขั้นสูงที่ไว้ใช้ต่อกรกับพวกเหนือธรรมชาติต่างๆ ด้วย

      ฟาเรสไม่ตอบแต่กับเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาสีครามหม่นแสงลงทันใด ทำเอาคู่สนทนาพาลใจไม่ดีไปด้วย

...ต้องทำอะไรซักอย่าง สีหน้าแบบนี้ไม่ชอบเอาซะเลย...

      "อยากลองใช้เจมดูไหม" มาวิคเอ่ยทำลายความเงียบ ดึงคนข้างๆ ให้หันมอง

      "อยากสิ นายจะสอนหรอ" ดวงตาที่กลับมาทอประกายทำให้เขาเบาใจ
 
      "ใช่ จริงๆ ฉันฝึกเรื่องการใช้เจมมาตั้งแต่ก่อนเข้ามาเรียนแล้ว คงจะพอสอนได้นะ ไหนๆ วันอาทิตย์ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เอาไหม" คนฟังพยักหน้ารับพร้อมยิ้มให้...จะผิดไหม ถ้าเขาคิดว่ามันน่ารัก ชักรอพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วสิ


      วันอาทิตย์ฟาเรสตื่นเช้าไม่ต่างจากวันเรียน แทบจะรอไปสนามฝึกไม่ไหว ใจจริงอยากโทรไปปลุก แต่เดาว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ตื่น เกรงใจด้วยเพราะนี่วันหยุด แต่ไม่นานคนที่เขารอก็มาเคาะห้องเรียก เลยพากันไปหาอะไรกินร้านริมหาด ก่อนจะพากันไปสนามฝึกหลังคณะวิทยาการการทหารในช่วงสายๆ 

      "นายเคยฝึกอะไรมาก่อนหรือเปล่า" มาวิคถามพลางเดินนำไปข้างสนามที่มีอาวุธต่างๆ วางไว้

      "ทุกอย่างแหละ พ่อฉันเป็นทหาร" คนฟังดูเหมือนไม่เชื่อ ฟาเรสจึงได้แต่ยักไหล่แบบปลงๆ

      "ใช้เจ้านี่เป็นไง" มาวิคยื่นหน้าไม้ที่ตรงด้ามประดับเจมเม็ดเล็กๆ เรียงกันเป็นลายพันรอบด้ามจับ แล้วก็หยิบมาอีกอันสำหรับตัวเอง พร้อมลูก "เน้นการถ่ายพลังสู่เจมก่อนแล้วกัน" 

      ร่างสูงกดปุ่มตรงแผงควบคุมข้างๆ สนามก่อนเป้าที่ทำจากแผ่นเหล็กจะเด้งขึ้นมา เขาถือวิสาสะดึงมือลูกศิษย์ชั่วคราวมายืนกลางสนาม

      "เอาละ รวบรวมสมาธิไปที่อาวุธในมือ ถ่ายทอดความรู้สึกไปที่มัน แล้วยิงแบบนี้"  ฟึบ!!ลูกดอกไม้ฟังเข้าไปตรงกลางแผ่นเล็กได้อย่างเหลือเชื่อ

      "โหววว นึกสภาพถ้าเป็นหัวคนนะ คงทะลุ" ฟาเรสบอกอย่างตื่นเต้น

      "เอ้า ตานายลองบ้าง" 

      ฟาเรสโหลดลูกดอกใส่หน้าไม้แล้วเล็งมันไปยังเป้าเหล็กตรงกลาง พยายามปล่อยทุกความรู้สึกให้ไหลสู้อาวุธในมือ แล้วยิง ฟึบ!!! เคร้ง!!!

      "ฮ่าๆๆๆ" เสียงทุ้มหัวเราะลั่นกับสภาพลูกดอกไม้ที่แตกกระจายกองกับพื้น

      "งื่อ...อย่าหัวเราะสิ ลองใหม่ๆ" ฟาเรสบ่นอุบพร้อมทำหน้ามุ่ย 

       ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้เขาคงไม่มีวันต่อกรกับพวกไวด์โซลได้  เรื่องในคืนนั้น ไหลบ่าเข้ามาในหัว ราวกับตอกย้ำความเจ็บปวดที่เหมือนจะเลือนหายไปซักพัก แต่แท้จริงมันจังฝังอยู่ในใจเขาเสมอมา 

      ร่างโปร่งยิงลูกดอกออกไปซ้ำๆ เขาเกลียดความพ่ายแพ้ เกลียดคำว่าไม่มีทาง ทุกนัดที่ยิงออกไป แรงขึ้นๆ จนแผ่นเหล็กเริ่มเป็นรอย ก่อนลูกดอกไม้อาบพลังจะฝังลงบนแผ่นเหล็ก ดอกต่อมาถูกยิงซ้ำไปจุดเดิม ดอกแล้วดอกเล่า ราวกับสติได้สูญสิ้นไปแล้ว

      "เอ่อ...ฟาเรส" มาวิคพยายามเรียกอีกคนที่เหมือนหลุดไปอีกโลกอย่างร้อนใจ นัยน์ตาสีครามที่เคยสดใส ดูเย็นชาและว่างเปล่า เป็นอีกด้านของฟาเรสที่เขาไม่เคยรู้

      "เฮ้ ฟาเรส อย่าฝืนสิ" หยาดเหงื่อที่ไหลไปตามกรอบหน้าเนียน เตือนให้ร่างสูงต้องทำอะไรซักอย่าง
ฟึบ!!! ตูม!!!ดอกสุดท้ายที่ยิงออกไปอาบด้วยพลังสีแดงเพลิง ก่อนจะกระแทกกับเป้าเหล็กแล้วระเบิดตรงจุดนั้นจนเป็นรู 
หน้าไม้ถูกทิ้งลงบนพื้นจากมือที่สั่นระริก เจ็มสีแดงเลือดค่อยๆ อ่อนสีลง มันร้อนเสียจนหญ้ารอบๆ ไหม้ตามไปด้วย

      "มือนาย!!!" คนโตกว่าร้อนรนคว้ามือนุ่มขึ้นมาดู ฝ่ามือขาวมีรอยแดงพาดผ่านเป็นปื้นคล้ายโดนไฟลวก เขามองเป้าเหล็กที่ละลายเป็นหรูขนาดใหญ่ตรงกลางสลับกับคนตรงหน้าด้วยความพิศวง ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับคนๆ นี้อีกนะ

      "ฉัน...ไม่เป็นไร" ริมฝีปากสวย ซีดเซียวจนยากจะเชื่อคำพูดนั้น "ต่อไหม"

      "วันนี้พอแค่นี้เถอะ นายไม่ควรฝืนตัวเอง"  มาวิคบอกอย่างอ่อนใจ พลางสำรวจฝ่ามือนั้น

      คิ้วเข้มขมวดแทบจะชนกันพลางมองมือของฟาเรสอย่างกังวล ชวนให้เจ้าของมือรู้สึกผิดที่ทำเพื่อนของเขาไม่สบายใจ
ในมุมอับด้านบนอัฒจรรย์ สายตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองทั้งคู่ที่เดินออกไปจนลับตา ท่าทีเป็นห่วงเป็นใยที่มาวิคมีให้ร่างโปร่งบางตรงหน้าดูก็รู้ว่าเขาคิดอะไร
 
       ...หึ มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก...


      อาทิตย์ที่สองในชีวิตมหาลัย แม้จะไร้สาระไปบ้างในวันหยุดแต่ฟาเรสก็ทำรายงานที่ลุงเอเบรียนสั่งเสร็จเรียบร้อย เขาไม่ลืมที่จะถือชีทที่อาจารย์เคยให้ไว้ติดมือมาด้วยสองชุดเผื่อเพื่อนใหม่ที่จะเจอในวันนี้ ร่างโปร่งตรงไปยังโดมกระจกทันที เช้านี้อารมณืไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นักเพราะมือที่ระบม ปวดแสบปวดร้อนไปหมด

      พอเข้าไปในตึกวิจัยใจกลางโดม มีใครอีกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว คงเป็นเพื่อนร่วมเอกของฟาเรสสินะ 

      "สวัสดี" ฟาเรสเอ่ยทัก อีกคนที่กำลังหันมองพืชพรรณด้านนอกอย่างสนอกสนใจ พลางวางกระเป๋าที่สะพายมาไว้บนโต๊ะ ใครคนนั้นหันแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ได้ยืนใกล้ๆ แบบนี้ ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าสูงใหญ่กว่าเขาพอสมควร 

      ....ตัวโตพอๆ กับโอซี่เลย...

      เรือนผมสีควันล้อมกรอบเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบและลงตัวราวกับบรรจงสสร้าง จมูกโด่งรับกันดีกับริมฝีได้รูป เมื่อรวมกับนัยน์ตาสีอำพันคมกล้าดูทรงอำนาจจนฟาเรสรู้สึกอึดอัดเมื่อถูกมอง 

       "ผม ฟาเรส" เขายื่นมือออกไปหมายจะจับทักทาย แต่มันพันด้วยผ้าก๊อตทั้งมือ "เอ่อ ลืมไป"

      "ไปโดนอะไรมา" ข้อมือบางถูกคว้าไว้ก่อนที่ฟาเรสจะทันได้หดกลับ

      "ไฟลวกนิดหน่อย" 

      "ไม่นิดมั้ง" น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อทำให้ฟาเรสได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป "รอนี่"

      "นายจะไปไหนนะ...เฮ้ เดี๋ยว!!!" ฟาเรสร้องตามหลังร่างสูงที่เดินออกไปนอกห้องอย่างงงๆ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงยอมนั่งรออย่างที่เจ้าตัวบอก

      ไม่นานร่างสูงก็กลับมาพร้อมสมุนไพรหน้าตาแปลกๆ สองสามอย่าง วางมันลงบนโต๊ะข้างๆ เก้าอี้ที่ฟาเรสนั่ง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองก่อนจะกลับลงมาพร้อมกาละมังสแตนเลสที่ใส่น้ำมาเกินครึ่งและกล่องพยาบาล เก้าอี้ถูกดึงมานั่งตรงหน้าคนเจ็บ ก่อนที่ของที่เหลือจะถูกวางรวมกับของเดิม

      "ขอมือหน่อย" 

      "ฮะ...เอ่อ" ...ไม่ใช่หมานะเว้ย!!!... แต่ก็ยอมยื่นมือข้างที่เจ็บให้อีกฝ่ายแต่โดยดี ผ้าก๊อตถูกแกะออกช้าๆ เผยให้เห็นฝ่ามือที่เริ่มพองและแดงช้ำ
 
      "ดูแย่กว่าที่คิด" แค่ถูกมองฟาเรสก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้ทำไมถึงเกรงหมอนี่นัก "ตุ่มพองค่อนข้างใหญ่ต้องเจาะหนองออกไม่งั้นจะอักเสบและติดเชื้อ"

      "อืม...ยังไงก็ได้" อีกคนไม่ตอบอะไรเพียงแต่จับมือเล็กไปล้างในกะละมังที่เตรียมมาก่อนจะซับด้วยผ้าขาวจนแห้ง ก่อนเอาเข็มเจาะผิวหนังที่พองแล้วเอาสำลีซับน้ำเหลืองออกจนตุ่มพองเหล่านั้นยุบลง ทุกขั้นตอนถูกทำอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบาจนคิดไม่ถึงว่าผู้ชายตัวโตๆ ตรงหน้าจะทำได้ 

      "ซี๊ด...มันแสบ" ทันทีที่แอลกอฮอลถูกราดลงบนมือ ฟาเรสแทบชักมือกลับเพราะความแสบแต่ถูกอีกคนยึดไว้
"ทนหน่อย ใกล้เสร็จแล้ว" น้ำเสียงทุ้มนุ่มบอก ...แล้วทำไมต้องคล้อยตามด้วยเนี่ย... ทั้งๆ ที่เจอกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกวางใจคนตรงหน้าไม่รู้ทำไม

      "นี่ นายยังไม่ได้บอกชื่อเลย" ฟาเรสถามขึ้นพลางมองอีกฝ่ายจัดการกับมือเขา โดยเอาสมุนไพรที่เกบมาขยี้จนออกน้ำแล้วประคบลงบนฝ่ามือ ความเย็นซึมผ่านไปทั่วจนเริ่มชา แล้วพันทับด้วยผ้าก๊อตอีกที

"เวลอร์ โมนาร์คา"

      "ขอบใจนะเวลอร์" ฟาเรสบอกพลางสำรวจมือที่พันเสร็จเรียบร้อยด้วยรอยยิ้ม

      "ฟาร์!!! มือไปโดนอะไรมา" ผู้อำนวยการเอเบรียนเข้ามาเห็นสภาพหลานชายถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ 

      "เอ่อไฟลวกครับท่าน" ฟาเรสตอบเสียงแผ่ว

      "ท่านเทิ่นอะไรกัน บอกให้เรียกลุงไงฟาร์ ลืมแล้วหรอ ฮึ" คนโดนดุหน้าถึงกับหน้าจ๋อย "ทีหน้าทีหลังก็ระวังนะเรา ฟาร่าลุกขึ้นมาบีบคอลุงข้อหาไม่ดูแลหลานทำไง"

      "ขอโทษครับลุง"

      "อ้าวเวร์ มาเรียนแล้วหรอ" ชายชราหันไปทักนักเรียนอีกคนที่แวบเอาของไปเก็บมาตอนพวกเขาคุยกัน 

      "สวัสดีครับ" ฟังจากที่เรียกเหมือนทั้งสองจะรู้จักกันอยู่แล้ว

      "เอาละๆ มาเริ่มเรียนกันเถอะ วันนี้ลุงมาสายนะเนี่ย เดี๋ยววันอังคารกับพุธต้องไปดิเมียร์อีก" ท่านบ่นอุบ ก่อนจะกางตำราแล้วเริ่มสอน มีแววว่าวันนี้คงได้เรียนวันเดียว งี้แหละมีอาจารย์เป็นผู้อำนวยการตางรางงานมันยุ่ง

      ฟาเรสปรึกษากับเพื่อนร่วมเอกเรื่องวิชาเสรีแต่ก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะเวลอร์บอกว่าเรียนอะไรก็ได้ที่เขาลงรวมไปถึงวิชาทั่วไปที่เขาลงไว้ก่อนหน้าแล้ว เลยเลือกวิชาพลังเวทย์ประยุค ซึ่งเรียนรวมกับพวกการทหารในวันศุกร์ ซึ่งมันก็ดีในเมื่อตารางเรียนตรงกัน

      ฟาเรสไม่ลืมที่จะพาเวลอร์ไปแนะนำให้ทั้งสี่สหายรู้จักซึ่งทุกคนก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดีมั้ง พรีมก็ดูยินดี โอซี่ก็ดูโอเคกับเพื่อนใหม่ ส่วนเซียเองก็ชมเพื่อนร่วมเอกของเขาไม่หยุดปาก จะมีก็แต่มาวิคนี่แหละ ไม่รู้ทำไมเวลาสองคนนี้มองหน้ากันบรรยากาศมันมาคุแปลกๆ

     ...แต่คงไม่มีอะไรมั้ง...ฟาเรสคิด

...................................

-ฟาเรสนี่หนูบื้อจริงหรือแกล้งค่ะลูก  :m31: มาอัพให้แล้วเน้อ เปิดตัวเพื่อนร่วมเอง คิคิ :o8:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 26-02-2016 00:30:35
เพื่อนร่วมเอกคนนี้จะเป็นพระเอกป่าวเนี่ย

รอตอนต่อไปค่าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-02-2016 06:28:52
 :z1:   จากความอ่อนโยนแล้วขอเก็บไว้พิจารณานะ
นุ่มนวล เขียนแบบนี้ค่
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 26-02-2016 08:43:41
หืมๆๆๆพระเอกใช่ไหมมมม เวลอร์
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 26-02-2016 09:04:05
ตอนแรกคิดว่าพระเอกเป็นพ่อรูปสลักหินอ่อนที่บ้านเก่าฟาเรส เพราะดูมีความลึกลับบางอย่าง ....เกี่ยวข้องอะไรกับเพื่อนร่วมเอกคนนี้รึเปล่า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 26-02-2016 10:10:48
พระเอกคือเวลอร์ใช่รึเปล่า
เกี่ยวอะไรกับรูปปั้นที่หายไปไหมน้า  :impress2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 26-02-2016 10:20:41
ศึกชิงนายเอกคงเริ่มในไม่ช้า555  :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 26-02-2016 12:26:39
แวะมาชูป้ายเชียร์เวลอร์ค่าาาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-02-2016 17:50:43
เขาเป็นศัตรูหัวใจกัน ไม่ต้องแปลกใจหรอกฟาร์
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 26-02-2016 19:13:01
พึ่งมาอ่านจร้าาาาา ^0^
ชอบแนวนี้ รออ่านต่อไป รอดูว่าท่านรูปปั้นจะเป็นใครด้วย ~~~~!!!
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-02-2016 21:05:17
เรารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง เวร์อาจจะเป็นรูปสลักนั่นก็เป็นได้อ้ายๆๆ~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 3 P1 26-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 27-02-2016 00:06:16
บทที่ 4
[/size][/color]


      วันนี้เป็นวันแรกของวิชาเสรี เวลอร์และฟาเรสมายังสนามพร้อมกันแต่เช้า เป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจที่เพื่อร่วมเอกดันพักอยู่ห้องข้างๆ กันกับเขา 

      มือของฟาเรสดีขึ้นมากเพราะมีเวลอร์ช่วยทำแผลให้ทุกเช้า ตอนแรกเจ้าตัวดื้อดึงจะทำเอง แต่ผลงานการพันแผลหลุดรุ่ยเกินรับจนโดนอีกคนมองด้วยสายตาดุๆ เลยต้องยอมตามใจคุณหมอจำเป็น

      "มือเป็นไงมั่ง" มาวิคถามขึ้นขณะที่พวกเขานั่งรออาจารย์อยู่ข้างสนามฝึก 

      "ดีขึ้นแล้ว ไม่ระบมแล้วด้วย" ฟาเรสตอบ ต้องขอบคุณยาที่เวลอร์ผสมมาให้ ถึงรสชาติจะทรมานลิ้นแต่ก็ช่วยลดอาการอักเสบและอาการปวดลงได้เยอะ...รู้เยอะขนาดนี้ไม่ต้องเรียนแล้วมั้ง...

      "ไปทำอิท่าไหน ถึงได้เจ็บขนาดนี้" เซียถาม พลางดึงมือบางไปสำรวจ

      "ก็เอ่อ..."

      "ก็เมื่อวันอาทิตย์พาฟาเรสไปฝึกการใช้เจมมา น่าจะถ่ายพลังสู่เจมมากไปอาวุธเลยร้อนจัดจนลวกมือ" มาวิคชิงตอบ ทำเอาฟาเรสหันไปเจอสายตาดุๆ จากเวลอร์ จึงได้แต่หลุบตาลงต่ำ เพราะถูกจับได้ว่าโกหก

      "เจมมีหลายระดับ รองรับพลังเวทย์ที่ไหลผ่านได้ต่างกัน เจมที่ใช้ทำอาวุธที่ใช้ในการฝึกส่วนใหญ่เป็นเจมระดับกลางเพราะคนที่หัดส่วนใหญ่ไม่ได้มีพลังเวทย์แฝงมาก แต่หากมีพลังไหลผ่านมากเกินไปเจมมีปฏิกริยาอันตรายหรืออาจแตกได้ ต้องใช้เจมในระดับที่สูงขึ้นหรือในกรณีที่มีความชำนานมากๆ อาจควบคุมระดับพลังให้เหมาะกับเจมที่ใช้ได้ แต่ก็มี พวกที่พลังเวทย์สูงเกิน ไม่จำเป็นต้องมีเจมเป็นสื่อกลาง พลังแบบนั้นเรียกพลังเวทย์บริสุทธิ์" เวลอร์พูดขึ้นสายตาที่มองมาทางฟาเรสเดาว่าน่าจะบอกเขา
 
     "เห...มีคนแบบนั้นด้วยหรอ" พรีมถามอย่างสนใจ
 
      "มีแต่น้อย พวกที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่มนุษย์ มักจะเป็นพวก เอลฟ์ ออค ดวอร์ฟ หรือพวกคิเมร่า เพราะเผ่าพันธุ์พวกนี้แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่แล้ว ในมนุษย์ก็มีแต่หายาก "

      "ไอ้สามอันแรกนะ เคยเห็น โอซี่เองก็มีเชื้อสายออค ดูตัวเจ้านี่สิใหญ่อย่างกับหมี นี่ขนาดมีแค่ครึ่งเดียวนะเนี่ย"

      "แหมคนสวยก็เปรียบซะ" เจ้าตัวบ่น

      "แต่คิเมร่านี่มีจริงหรอเกิดมายังไม่เคยเห็นเลยซักครั้ง" เซียแย้ง เผ่าพันธุ์เอลฟ์ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางเหนือ ออคจะพากันอยู่แถบเรดิเอนซี่ ส่วนดวอร์ฟก็กระจายกันทั่วไปปะปนกับพวกมนุษย์ แต่คิเมร่าตั้งแต่เกิดมา เธอเคยได้ยินแต่ตำนานเป็นเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับที่สุดในเอสทีเรียดก็ว่าได้

      "ไม่เคยเห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีนิ" ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับพรีม


       ไม่นานอาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามา สำหรับวันแรกฝึกการควบคุมพลัง ก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ให้ใช้พลังทำลายเสาเหล็กเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดหนึ่งฟุต สูงเมตรครึ่ง โดยใช้วิธีใดก็ได้ให้มันหักลงมาภายในคาบ คะแนนให้ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น พอสิ้นคำสั่งก็ได้ยินเสียงโอดครวญยกใหญ่จากบรรดานักศึกษาว่าใครจะไปทำได้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่อาจารย์ให้จับคู่สองคนต่อหนึ่งเสา ความวุ่นวายเล็กๆ จึงเกิดขึ้น

      "ฉันจะคู่กับฟาเรส" มาวิคบอกทันทีที่อาจารย์พูดจบ พอๆ กับเวลอร์ที่คว้าจับมือบางเอาไว้ก่อนแล้ว

      "เฮ้อ!!! ฉันละอิจฉาคนเนื้อหอมซะจริงๆ" เซียเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ 

      "ให้เด็กวิทย์คู่กันเองไม่น่าจะรอด" มาวิคให้เหตุผล ซึ่งอีกคนไม่ตอบแต่เลิกคิ้วน้อยๆ ประมาณว่า...จริงหรอ!!? จนคนกลางเริ่มเห็นเค้าลางหายนะ 

      "เวลอร์ นายคู่กับเซียแล้วกันนะ" ฟาเรสไกล่เกลี่ย นัยน์ตาสีอำพันมองเขานิ่งๆ "นะ นะ"   

      "ก็ได้" เวลอร์น่าจะพูดง่ายกว่าในความคิดของฟาเรส การจับคู่จึงจบลงที่ โอซี่กับพรีม เวลอร์กับเซีย และเขากับมาวิค แล้วแยกย้ายไปประจำเสาของตัวเอง

      "เอ่อ ฟาเรส นายไม่ต้องก็ได้นะ มือนายเจ็บอยู่"

      "มือซ้ายแทนก็ได้ ช่วยๆ กัน" เขาตั้งใจจะมาเรียนจะให้นั่งเฉยๆ ได้ยังไง

      "ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนแบบวันนั้น เข้าใจไหม" ร่างโปร่งพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้เมื่อแววตาสีน้ำตาลนั้นฉายแววห่วงใยชัดเจน
 
      ฟาเรสเลือกดาบขนาดพอดีมือมาหนึ่งเล่ม พอถือข้างที่ไม่ถนัดรู้สึกมันขัดๆ ชอบกล กวาดตามองไปรอบๆ ทุกคนเริ่มลงมือกันบ้างแล้วจนเสียงโลหะกระทบกันดังก้องสนาม พลันสายตาก็ไปสะดุดกับใครบางคนที่มองมาทางนี้แบบไม่พอใจ ฟาเรสหันซ้ายหันขวาอยากรู้ว่าเขามองใครพอหันกลับไปคนคนนั้นกลับกลืนหายไปกับกลุ่มนักเรียนแล้ว

      เสียงบ่นดังมาให้ได้ยินเป็นพักๆ แม้อาวุธจะเป็นเหล็กแต่จะให้ฟันเหล็กเข้าเลยนี่ยาก ต่อให้มีพลังเวทย์เคลือบดาบไว้ก็ตาม ตอนนี้เสาถูกฟันซ้ำๆ จนแหว่งเข้าไปถึงหนึ่งในสามเล่นเอาซะเหงื่อตก แถมยังเป็นฝีมือมาวิคเสียส่วนใหญ่ ครั้นจะใส่พลังไปเต็มๆ ก็กลัวเป็นแบบวันนั้น แต่นานๆ ก็ชักจะโมโห

      ...จัดเต็มไปเลยแล้วกัน ช่างแม่ง...

      "อยากมือเจ็บอีกข้างหรือไง" เสียงทุ้มดังข้างหูพร้อมกับข้อมือบางที่ถูกร้ังไว้ พอหันไปมองเลยรู้ว่าเป็นเวลอร์นั่นเอง

      "ของคู่ตัวเองเสร็จแล้วหรอ" มาวิคหันมาถาม อีกคนเพียงพยักเพยิดไปที่เสาเหล็กของตัวเอง ฟาเรสได้แต่มองมันอึ้งๆ เพราะถูกฟันเป็นสองท่อน ส่วนล่างยังตั้งอยู่ แต่ส่วนบนกองอยู่กับพื้น แถมรอยฟันยังราบเรียบราวกับปาดเต้าหู้  o22

      "ฉันเก่งใช่ไหมละ" เซียยิ้มหวานพลางส่งจูบมาให้พวกเรา "ล้อเล่นนะ เวลอร์เป็นคนทำต่างหาก"

      "นายทำได้ยังไง" มาวิคถามอย่างสนใจ

      "จะพยายามอธิบายดูแล้วกัน" มือสากเลื่อนจากข้อมือบางมากุมทับมือที่จับดาบของฟาเรสเอาไว้ ท่านี้เหมือนถูกอีกฝ่ายโอบไว้จากด้านหลังซึ่งนั้นมันทำให้ร่างโปร่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย 

      "จะ...จะทำอะไร" ...แล้วเสียงจะสั่นเพื่อ!!!...ฟาเรสกำลังตกอยู่ในสภาวะทำตัวไม่ถูกในยามนี้  :o8:

      "เวลาที่จะใช้พลัง ไม่ควรโฟกัสที่อาวุธและเจมเพียงอย่างเดียว การทุ่มเทพลังสู่เจมเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ได้พลังเวทย์ที่รุนแรง แต่ก็ไร้ทิศทาง" เสียงทุ้มนุ่มที่เริ่มอธิบาย นิ้วโป้งที่เกลี่ยเบาๆ บนหลังมือช่วยฟาเรสเริ่มสงบและตั้งใจฟัง "เรามีจุดหมายของพลัง หากมันถูกถ่ายทอดด้วยความเกรี้ยวกราดมันก็อาจจะร้อน" 

      "อ๊ะ!!!" พลันดาบในมือก็เริ่มอุ่นขึ้น พร้อมเจมที่เรื่องแสง เหมือนมีบางสิ่งถ่ายทอดจากฝ่ามือใหญ่ผ่านมือเขาลงสู่เจม
 
      "หรือ ความรู้สึกที่สงบ อยากควบคุม อยากปกป้องบางสิ่ง มันอาจจะเย็น" แล้วดาบในมือก็เย็นขึ้นราวกับก้อนน้ำแข็ง "หรือแม้แต่ ความรู้สึกอยากทำลาย สิ่งตรงหน้า อยากทิ่มแทง ฆ่าฟัน พลังเวทย์แฝงเหล่านั้นก็จะถูกเปลี่ยนเป็นความคม เปลี่ยนคุณสมบัติของมันไปตามความต้องการของผู้ใช้"

      มือของฟาเรสถูกดึงให้เงื้อขึ้นในท่าเตรียมฟันด้วยมือของอีกคน ฝ่ามืออุ่นกำแน่นบนมือเขา

      "ลองจินตนาการว่าเสาตรงหน้าเป็นสิ่งที่เราอยากทำลายดูสิ อยากที่จะฆ่ามัน อยากให้มันขาดสะบั้นด้วยดาบในมือเราอย่างง่ายดาย" 

      สิ่งที่อยากทำลายงั้นหรอ ภาพของไวด์โซล์แจ่มชัดในความคิด อยากจะทำลายมันทุกตัวไม่ให้ไปทำร้ายใครอีก ไม่ว่ามันจะมีสักกี่ร้อยกี่พันเขาก็จะกำจัดมันให้สิ้นซาก

      ฉัวะ!!! คมดาบเฉือนผ่านเนื้อเหล็กอย่างง่ายดาย ก่อนที่เสาจะขาดเป็นสองท่อนจนส่วนบนหล่นกลิ้งลงมา แล้วฟาเรสก็พบว่าทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยแรงของเขาเองเพราะอีกคนละมือไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

      "นี่ฉัน เป็นคนทำหรอ" ดวงตาสีครามกวาดมองเพื่อนอย่างขอคำยืนยัน

      "ใช่ ฝีมือนายนั่นแหละ" เซียบอกอย่างดีใจราวกับนั่นเธอเป็นคนทำเอง มาวิคเองก็พยักหน้าพลางยกนิ้วโป้งให้เลย
 
      "เราไปลองบางดีกว่า" ว่าแล้วโอซี่กับพรีมที่มายืนดูก้กลับไปที่เสาตัวเอง แม้มันจะไม่ขาดในดาบแรงของพรีมแต่เมื่อโอซี่ฟันซ้ำลงอีกดาบเสาเหล็กหนานั่นก็ขาดลงมาทันที

      "ไปฝึกทำซ้ำๆ จนกลายเป็นความเคยชินก็จะช่วยให้ใช้ได้คล่องขึ้น" เวลอร์บอกทุกคนแต่ดวงตากลับมองมาที่ร่างโปร่งราวกับเน้นย้ำที่เจ้าตัว "มีพลังมากแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็มันก็ไร้ผล"

      บางทีฟาเรสก็สงสัยเหลือเกินว่า เวลอร์เป็นใครกันแน่ สิ่งที่หมอนี่รู้ช่างมีมากมาย ไม่ใช่แค่ทฤษฎีแต่คนคนนี้ยังสามารถลงมือปฏิบัติได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน จนคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาเรียนเลยด้วยซ้ำให้มันเสียเวลา
 
      วิชาเสรีคาบแรกจบไปอย่างสวยงาม และดูเหมือนจะมีเพียงพวกฟาเรสเท่านั้นที่ทำตามอาจารย์มอบหมายได้สำเร็จจึงได้คะแนนงามๆ กันไปตามระเบียบ

.......................................

      ชีวิตมหาลัยผ่านไปร่วมสองเดือน อานิมาไม่ได้สอนแค่ความรู้ แต่ยังสอนเรื่องมิตรภาพให้แก่ฟาเรส ว่าการมีใครซักคนที่ไม่ใช่ครอบครัวเข้ามาในชีวิตมันไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจอย่างที่คิด แม้ความสุขความสนุกที่ได้รับมันจะไม่ได้ทำให้เขาลืมเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น แต่กลับช่วยให้ฟาเรสสามารถเดินต่อไปอย่างเข้มแข้งและมีกำลังใจ 

      ส่วนมาวิคกับเวลอร์แม้ทั้งสองจะชอบมึนตึงใส่กัน หากแต่ในเวลาสำคัญทั้งสองกับร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ก็แค่ไม่ถูกชะตากันแต่ก็ยอมรับในความสามารถของกันและกันประมาณนั้น

      "หิวเป็นบ้าเลย" ฟาเรสบ่นขณะที่กำลังวิเคราะห์สารประกอบจากสมุนไพรตัวอย่างหลายชนิดบนโต๊ะ 
หันไปดูนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสาม พลางนึกได้ว่าเมื่อวานลุงเอเบรียนหอบสะเบียงมายัดใส่ตู้เย็นไว้ให้  เพราะช่วงนี้ฟาเรสใช้ชั้นสองของตึกวิจัยเป็นที่ซุกหัวนอนเพราะต้องทำวิจัยเรื่องพืชสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเป็นรายงานสอบกลางภาคแล้วขี้เกียจหอบเอกสารไปๆ มาๆ แน่นอนรายงานกลุ่มมีเวลอร์ทำด้วยอีกคน แต่รายนั้นบางวันก็นอนที่ตึกบางวันก็กลับห้อง

      "ขึ้นไปชั้นสองเอาอะไรไหม" ฟาเรสหันไปถามร่างสูงที่กำลังพิมพ์บทวิเคราะห์อยู่หน้าจอคอมฯ

      "นมกล่องหนึ่ง"

      ร่างโปร่งเดินขึ้นมาชั้นสองก่อนจะเปิดตูเย็นหยิบนมมาสองกล่อง กับเค้กชิ้นเล็กๆ ออกมา เสียงข้อความโทรศัพท์ดัง เขาจึงวางทุกอย่างไว้บนเคาท์เตอร์ครัวแล้วเปิดดู

      ...วันนี้ไม่มีฝึก ฉันมาเดินเล่นตรงสวนสัตว์เอกชีวะ มาด้วยกันสิ ฉันรออยู่แถวกรงเสือนะ... 

      เป็นข้อความจากมาวิค เจ้าตัวเคยบ่นว่าอยากไปเดินดูสวนสัตว์ขนาดย่อมที่อยู่ในเอกชีวะ สงสัยวันนี้ว่างไม่มีฝึกจึงชวนเขา จะว่าไปช่วงนี้ฟาเรสเองก็ไม่ได้ไปตามคำชวนของเพื่อนๆ ซักเท่าไหร่เพราะมัวแต่วุ่นกับรายงาน เอกชีวะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล แวบไปซักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง

      "เอ้อ เวลอร์ฉันว่าจะออกไปข้างนอกหน่อย" ฟาเรสบอกพลางยื่นกล่องนมให้เพื่อน

      "ไปสิ ไปเดินเล่น พักซักหน่อยก็ได้" เสียงทุ้มตอบก่อนจะหันกับไปสนใจหน้าจอต่อ

      "ขอโทษที่อู้นะ แล้วจะรีบกลับมา"

      ฟาเรสเดินไปยังสวนสัตว์ของเอกชีวะ ซึ่งเต็มไปด้วยกรงสัตว์น้อยใหญ่ที่แบ่งเป็นโซนๆ ตั้งแต่สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และตระกูลสัตว์อันตราย ซึ่งกรงเสือน่าจะอยู่ในโซนนี้

      สองเท้าก้าวช้าๆ ไปยังจุดหมาย เสียงคำรามต่ำๆ จากกรงนักล่าทั้งสองข้างทางชวนขนลุกดีแท้ ดวงตาสีครามมองหาคนที่นัดเขาไว้แต่ไร้วี่แวว ...หรือว่าจะเป็นด้านบน... ร่างบางเดินขึ้นบันใดชั้นสองก่อนจะเดินไปตามสะพานที่ถูกสร้างกระจายไปทั่วบริเวณเพื่อใช้สำรวจสัตว์ในกรงต่างๆ จากมุมสูง เผื่อจะมองหาอีกคนได้ง่ายขึ้นแต่ก็ไม่มีใครจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หา

      "ไงฟาเรส" เสียงเหนื่อยหอบดังมาจากปลายสาย

      "นายอยู่ไหนเนี่ย"

      "ก็สนามฝึกไง" คำตอบที่ได้รับทำเอาเจ้าตัวมึนงง
 
      "แต่เมื่อกี้นายส่งข้อความมาหาฉันไม่ใช่หรอ ว่าให้ออกมาเดินเล่นตรงสวนสัตว์เอกชีวะด้วยกัน" ฟาเรสถามออกไปแบบไม่เข้าใจ

      "ฮะอะไรนะ ข้อความงั้นหรอ...หรือว่า"

      "เฮ้ย!!!" ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกใครไม่รู้ผลักหลังเขาอย่างแรงจนหน้าทิ่มราวสะพาน ร่างบางร่วงลงกระแทกพื้นดินด้านล่าง นอนแผ่หราอยู่กับพื้น จากความสูงเกือบสามสิบเมตรทำเอาทั้งร่างเจ็บร้าวไปหมด มันจุกเกินจะขยับ แรงกระแทกเล่นเอาตาพร่าเกินกว่าจะเห็นหน้าคนทำที่ทอดมองเขาจากบนสะพานได้อย่างชัดเจน

      ...เจ้านั่นเป็นใคร ทำไมถึงทำแบบนี้...

       เสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้นรอบตัว เสือโคร่งสี่ตัวกำลังย่างเท้าเข้าหาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นอย่างสนใจ จมูกชื้นของนักล่าสูดดมไปตามร่าง สติที่แสนลางเลือนรับรู้ถึงอันตรายแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะร้องออกไป

.............................................

-เรือหายแล้วหนูฟาร์อิฉัน

-มาอัพให้แล้วจ้า  :mew1: ช่วงนี้งานที่บริษัทไม่เยอะ เลยมีเวลานั่งพิมพ์ในเวลาทำงาน  :katai4: เปล่าอู้นะค่ะ วันว่างงงงง



หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 27-02-2016 02:19:04
แอร๊ย มาแย้ว มาทุกวัน ขอบคุณคนเขียนมากๆเลยนะคะ รอทุกวันก็มาทุกวัน ปลื้มมม
ใครนะใครยังอาจทำร้ายฟาเรส!!! แง่ง ค้างมากกกก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-02-2016 07:07:27
 o22.  อ่าวเห้ย. มาวิคจะช่วยได้ไหมนะ. น้องฟามาเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 27-02-2016 07:23:29
แย่แล้วฟาเรส เวลอร์มาช่วยเร็วววว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 27-02-2016 07:32:44
ตกจากความสูงสามสิบเมตรไม่ตาย(?) แต่จะไม่รอดเพราะเสือนี่แหล่ะน้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 27-02-2016 09:21:52
โห~~~~!!! จะรอดไหมเนี่ยยยย ฟาร์
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 27-02-2016 11:16:25
ฟาร์เอ้ยยจะรอดมั้ยเนี่ยยย   :katai1:
เวลอร์หรือมาวิคจะมาช่วยกันนะ :hao3:

ว่าแต่ใครทำ มาวิคต้องรู้แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 27-02-2016 11:30:36
คนนั้นรึป่าวที่ชนกันในห้องน้ำอ่ะ
ต้องใช่แน่ๆเลย เหมือนเขาจะชอบมาริค
นะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 27-02-2016 13:25:20
จับได้ละก็จัดหนักๆ บังอาจทำร้ายหนูฟา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 27-02-2016 16:58:31
ไม่ได้อ่านนิยายแฟนตาซีนานมากก รู้สึกชอบนิยายแนวนี้ ในที่สุดก็มีมาให้อ่านในแบบที่ชอบแล้ว ดีใจ:)  เราตามอ่านมา 2เรื่องแหละ ตามมาอ่านเรื่องนี้ด้วยเลย จะตามติดไม่ไปไหนเลย สู้ๆน้าา  o13 :impress2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 27-02-2016 20:29:09
หนูฟาเจออะไรอีกแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-02-2016 22:19:45
เราเพิ่งอ่านDark Wing จบ เรื่องนั้นทำให้กระหายอยากในแฟนตาซีฝุดๆ มาเปิดเรื่องนี้เพราะแฟนตาซีอีกนั่นละ ถึงได้เห็นว่าเอ้า!!! คนเขียนคนเดียวกัน ดีใจจัง แต่ว่านะขออ้างถึงอันนี้ย่อหน้านี้หน่อยนะ

"พวกไวด์โซล มันบุกบ้านเรา" ท่านพ่อบอก ไวด์โซล ผมเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง เป็นอันเดธหรือปีศาจประเภธหนึ่งที่ไล่ล่ามนุษย์ แต่ในเมืองที่มีการคุ้มกันแบบนี้พวกมันหลุดมาได้ยังไง อีกอย่างผมไม่เคยได้ยินข่าวการถูกโจมดีในเมืองแถบนี้เลยด้วยซ้ำ

สรรพนามบุรุษที่หนึ่งในย่อหน้านี้ตั้งใจใช้หรือเปล่า อยากจะบอกว่ามันไม่เข้ากันมากๆเลยละ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 27-02-2016 22:30:56
เราเพิ่งอ่านDark Wing จบ เรื่องนั้นทำให้กระหายอยากในแฟนตาซีฝุดๆ มาเปิดเรื่องนี้เพราะแฟนตาซีอีกนั่นละ ถึงได้เห็นว่าเอ้า!!! คนเขียนคนเดียวกัน ดีใจจัง แต่ว่านะขออ้างถึงอันนี้ย่อหน้านี้หน่อยนะ

"พวกไวด์โซล มันบุกบ้านเรา" ท่านพ่อบอก ไวด์โซล ผมเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง เป็นอันเดธหรือปีศาจประเภธหนึ่งที่ไล่ล่ามนุษย์ แต่ในเมืองที่มีการคุ้มกันแบบนี้พวกมันหลุดมาได้ยังไง อีกอย่างผมไม่เคยได้ยินข่าวการถูกโจมดีในเมืองแถบนี้เลยด้วยซ้ำ

สรรพนามบุรุษที่หนึ่งในย่อหน้านี้ตั้งใจใช้หรือเปล่า อยากจะบอกว่ามันไม่เข้ากันมากๆเลยละ

เราลืมแก้นะค่ะ ตอนแรกจะพิมพ์ เป็ยบุรุษที่หนึ่งแล้วอยากลองเปลี่ยน ขอโทษค่ะๆ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 4 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 27-02-2016 23:39:40
บทที่ 5

      มาวิคมองโทรศัพท์อย่างงุนงง จู่ๆ ฟาเรสก็โทรมาบอกว่าเขาส่งข้อความนัดเจ้าตัวไปเดินเล่น ทั้งที่ยังคุยไม่รู้เรื่องแต่กลับตัดสายไปดื้อๆ โทรกลับก็ไม่ติด

      ...อาจเกิดเรื่องไม่ดีก็ได้...

      ร่างสูงแทบจะเหาะไปยังโดมกระจกด้วยความร้อนใจ บางทีฟาเรสอาจจะอำเขาเล่นก็ได้เพราะช่วงนี้ต่างคนต่างไม่ว่างมาเจอกันเลยด้วยซ้ำ แต่พอไปถึงกับเจอเพียงเวลอร์ที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้า

      "ฟาเรสละ" มาวิคถามเสียงตื่นพลางก้มหอบจนตัวโยน เพราะเล่นวิ่งมากจากตึกคณะ

      "ออกไปข้างนอก ไม่ได้ไปหานายหรอ" นัยน์ตาสีอำพันฉายแววฉงน "เกิดอะไรขึ้น" อีกคนถามเสียงเครียด

      "เมื่อกี้ฟาเรสโทรมาพูดอะไรแปลกๆ บอกว่าฉันส่งข้อความมานัดหมอนั่นไปเดินเล่นตรงสวนสัตว์เอกชีวะ" 

      "แล้วนายไม่ได้ส่งสินะ"

      "ก็ใช่นะสิ" พอได้ยินดังนั้น เวลอร์ก็ทิ้งทุกสิ่งที่ทำอยู่ก่อนวิ่งพรวดออกจากห้องวิจัยไป โดยมีมาวิคตามมาด้วย สองหนุ่มตรงไปยังสวนสัตว์ของเอกชีวะ พอมาถึงทั่วบริเวณกับเงียบงันมีแต่เสียงร้องของสัตว์ดังมาเป็นระยะๆ เพราะนักศึกษาคนอื่นๆ ไปรวมกันอยู่ในแลบ

      "ทางนี้ๆ" เวลอร์บอกพลางก้าวยาวๆ นำไปยังโซนสัตว์อันตราย มาวิคมองสิ่งมีชีวิตในกรงต่างๆ ด้วยใจเต้นรัว 

      "มั่นใจได้ไงว่าทางนี้"

      "สันชาตญาณบอก" คิ้วเข้มขมวดมุ่นกับคำตอบ แต่ก็ยอมตามมา ก่อนที่ภาพตรงหน้าแทบทำให้หยุดหายใจ

      "นั่นฟาเรส?" ในกรงเสือโคร่งตรงหน้าร่างบางที่เขาตามหานอนแผ่หราอยู่บนพื้น ดูจากตำแหน่ง น่าจะตกลงมาจากสะพานด้านบน โทรศัพท์ตกอยู่ข้างๆ โชคยังดีที่ไม่โดนรุมทึ้งร่าง อาจเพราะนอนนิ่งไม่ได้สติ ปราศจากเลือดและการเคลื่อนไหว จึงไม่ไปกระตุ้นสัญชาติญาณนักล่าทั้งสี่ตัวที่ล้อมรอบ

      "ไปตามคนมาเปิดกรง" เวลอร์หันไปบอกคนข้างๆ 

      "แล้วนายจะทำอะไร...เฮ้ย!!!" มาวิคร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ อีกคนกระโดดข้ามกรงที่สูงร่วมยี่สิบเมตรเข้าไปข้างในแบบที่ไม่คิดว่าคนธรรมดาจะทำได้

      "ไปสิวะ" แม้คำถามในใจจะมีมากมายแต่ตอนนี้ความปลอดภัยของฟาเรสต้องมาก่อน มาวิคจึงรีบไปตามคนอย่างที่อีกฝ่ายบอก

      กรร!!! นักล่าทั้งสี่หันมาขู่คำรามใส่ผู้มาใหม่ แต่พอสบกับนัยน์ตาสีอำพันวาวโรจน์กลับถอยกรูดออกจากร่างบางราวกลับผู้ถูกล่า หางตกลู่อย่างหวาดกลัวในตัวบุรุษตรงหน้ายิ่งนัก

      สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบก่อนที่ร่างสูงจะคุกเข่าลงตรงฟาเรส พลางสัมผัสเบาๆ ไปทั่วร่างคนเจ็บ แล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าไม่มีกระดูกส่วนใดหัก

      แขนแกร่งช้อนอุ้มฟาเรสขึ้นอย่างแผ่วเบา เวลอร์เลือกที่จะเดินออกไปทางประตูเพราะไม่อยากให้ร่างในอ้อมกอดกระทบกระเทือนไปมากกว่านี้หากต้องกระโดดข้าวรั้วออกไป ไม่นานมาวิคก็วิ่งกลับมาพร้อมคนดูแลเพื่อเปิดกรงให้เขาพาฟาเรสออกไป

      "นายทำได้ไง" เวลอร์ไม่ตอบแต่รีบพาอีกคนไปที่ส่วนพยาบาลของตึกอำนวยการอย่างรวดเร็ว เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะบอกมาวิคจึงเลือกที่จะตามมาเงียบๆ เพื่อดูอาการคนเจ็บแทน

...............................................


      "เวลอร์ นายเป็นใครกันแน่" มาวิคถามคนที่ยืนกอดอกอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะกำลังรอฟาเรสอยู่หน้าห้องตรวจ "ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ ต้องการอะไรจากฟาเรส"

      "นายไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งเดียวที่นายควรรู้คือฉันไม่มีวันทำร้ายฟาเรส" เป็นการตัดบทสนทนาที่ชัดเจน 

      เวลอร์เป็นคนแรกในชีวิตที่ทำให้มาวิครู้สึกว่าด้อยกว่าในทุกด้าน ถึงหมอนี่จะน่าหมั่นไส้แต่ต้องยอมรับเลยว่าเก่ง และสิ่งถึงที่เขามั่นใจคือชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์แน่นอน

      "คิดว่าเป็นฝีมือใคร" เวลอร์ถามขึ้นหลังจากมองหน้าเขาอยู่นาน มาวิคพยายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ว่านอกจากเขาแล้วมีใครยุ่งกับโทรศัพท์บ้าง

      "ไคโอ" ชื่อนี้แล่นเข้ามาในความคิด "หมอนั่นมายืมโทรศัพท์ฉันเมื่อบ่าย บอกลืมเอาโทรศัพท์มาจะโทรหาเพื่อน"

      ไคโอเรียนที่เดียวกับมาวิคมาตั้งแต่เด็ก และหมอนั่นก็ชอบมาวิคมานานแล้ว ก่อนเรียนจบขึ้นพื้นฐานหมอนั่นเคยมาสารภาพรักกับมาวิคแต่ถูกปฏิเสธไป แม้เจ้าตัวจะเคยเสนอความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนให้เขา หากเป็นคนอื่นมาวิคคงรับไว้ แต่อีกฝ่ายเป็นญาติกัน ไคโอจึงเปรียบเสมือนน้องคนหนึ่งที่เขาไม่อยากจะทำร้ายจึงรักษาระยะห่างตลอดมา

      "มันทำแบบนี้เพื่ออะไร" นัยน์ตาสีอำพันครุกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด

      "ไคโอชอบฉัน พอรู้ว่าฉันชอบฟาเรส เลยคิดจะกำจัดฟาเรสละมั้ง ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะกล้าทำแบบนี้" มาวิคบอกอย่างหนักใจ นี่ฟาเรสต้องมาซวยเพราะเขาหรอเนี่ย

      "คนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อความรัก" เวลอร์บอกพลางสบตาเขาตรงๆ "เรื่องมาจากนาย เอาเป็นว่าจัดการตามที่นายเห็นควรก็แล้วกัน"

      "รู้แล้วน่า"

...................................................

      ฟาเรสฟื้นขึ้นในวันต่อมาท่ากลางเพื่อนๆ ที่มาเฝ้ารอเขาด้วยความเป็นห่วง ทำเอาเจ้าตัวอดซาบซึ้งใจไม่ได้ แม้จะปราศจากบาดแผลใดๆ แต่ก็ช้ำในไปตามระเบียบ ไม่นานป้าโอเรนก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับลุงเอเบรียน

      "โอ้ ฟาเรสหลานป้า เจ็บมากไหมลูก" หญิงชราน้ำตาคลอพลางดึงมึงหลานชายไปกุมไว้แนบอก "พอป้าได้ยินเรื่องป้าก็รีบมาที่นี่เลย ลุงมาคัสเองก็ตกใจเหมือนกัน ถ้าไม่ติดภารกิจท่านคงตามมาด้วยอีกคน" 

      "ผมไม่เป็นไรแล้วครับ" ริมฝีปากสวยแย้มยิ้มให้กับผู้ใหญ่ทั้งสอง

      "ไหนบอกลุงซิ ไปทำอิท่าไหนถึงตกลงไปในกรงแบบนั้น" ผู้อำนวยการถามขึ้นพลางลูบหัวหลานชายเบาๆ สรรพนามที่แทนตัว ทำเอาเพื่อนในห้องถึงกับเหวอเมื่อรู้ว่าฟาเรสมีความสำคัญกับผู้อำนวยการแค่ไหน

      "มีคนผลักผมลงมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าใคร" 

      "ใครกันที่มันกล้าทำแบบนี้ในที่ของฉันบังอาจเกินไปแล้ว" ลุงเอเบรียนบอกเสียงเย็น "ถ้าจับได้ ฉันไม่เอาไว้แน่"

      "ต้องขอบคุณสายเลือดของฟาร่าในตัวหลาน นี่ถ้าเป็นคนทั่วไปคงกระดูกหักทั้งตัวแล้วมั้ง" คำบอกเล่าของท่านลุงทำให้ฟาเรสรู้สึกแปลกใจ

      "แม่ผมทำไมหรือครับ"

      "ก็แม่เธอเป็นเอลฟ์ไงจ๊ะ นี่อินดิโก้มันไม่เคยบอกเลยหรือไง" ร่างบางส่ายหัวแทนคำตอบ งั้นแสดงว่าเขาก็เป็นลูกครึ่งนะสิ "ต้องขอบคุณเวด้วย ถ้าไม่ได้เขาคงแย่" ชื่อที่ท่านป้าเรียกบอกให้รู้ว่าทั้งสองรู้จักกันอยู่แล้ว
 
      "ป้าโอเรนรู้จักเวลอร์ด้วยหรอครับ"

     "ใช่จ้ะ จริงๆ แล้วเขามาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลหลานไงจ๊ะ" ฟาเรสหันไปมองเจ้าของชื่อ สบตาสีอำพันอย่างขอคำตอบ ซึ่งร่างสูงก็พยักหน้ารับในสิ่งที่ท่านป้าบอก

      งั้นที่ผ่านมา ที่เวลอร์คอยดูแลเอาใจใส่ คอยบอกคอนสอน ช่วยเหลือฟาเรสสารพัด มันคือหน้าที่อย่างนั้นหรอ งั้นเวลอร์ก็เป็นคนของท่านลุงนะสิ 

      ...ทำไมถึงรู้สึกผิดหวังเหลือเกิน...

      ฟาเรสพักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์โดยมีป้าโอเรนคอยเฝ้าในสามวันแรกก่อนจะกลับไวท์ออชาร์ดเพราะกลัวท่านลุงจะเหงา แต่วันต่อๆ มาก็ใช่ว่าจะอยู่คนเดียวเพราะมาวิคแม้จะต้องไปสนามฝึกในตอนกลางวัน แต่กลางคืนก็จะมาอยู่ดูแลเขา โดยให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ร่างบางเจ็บตัว 

      นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองเขามักเจือไปด้วยความห่วงใยจนบ้างครั้งก็รู้สึกอบอุ่นไปกับมัน บางทีก็ฉายแววรู้สึกผิดจนฟาเรสรู้สึกสงสาร เขาเข้าใจว่ามาวิคคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้จึงไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ได้ยินมาว่าไคโอคนที่ทำร้ายเขาลาออกไปจากอานิม่าไม่กี่วันให้หลัง ซึ่งนั่นก็มากพอแล้วสำหรับฟาเรสเพราะมันหมายถึงอนาคตทางการศึกษาที่ต้องแลกกับสิ่งที่ทำ เขาเองก็คงไม่อยากจองล้างจองผลาญไปมากกว่านี้

      รายงานสอบกลางภาคผ่านไปด้วยดีเพราะเวลอร์จัดการต่อจนเสร็จ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้ด้วยความอารีหรือหน้าที่แต่ฟาเรสก็รู้สึกขอบคุณ

...............................................

      ฟาเรสกลับมาเรียนตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือเขาพูดน้อยลงโดยเฉพาะกับเวลอร์ ฟาเรสไม่รู้สึกดีใจเลยที่รู้ว่ามีคนคอยดูแล หากนั่นไม่ได้มาจากใจแต่เป็นหน้าที่ มันยากที่จะยิ้มให้อีกฝ่ายได้ดังเดิม ซึ่งฟาเรสก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงได้คาดหวังกับอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้

      ในเย็นวันเสาร์พวกมาวิคชวนเขาไปดื่มที่บาร์ตรงหาดทรายขาว เซียบอกว่าอยากฉลองที่เขาหายดีจึงรับคำชวนไป มีเพียงเวลอร์ที่ปฏิเสธคำชวนครั้งนี้เพราะต้องไปช่วยงานผู้อำนวยการ

     "นี่ฟาเรส นายเคยมีแฟนหรือเปล่า" มาวิคถามขึ้น ตอนนี้เซียกับพรีมกำลังวาดลวดลายอยู่ยนฟลอร์ ส่วนโอซี่หายวับไปกับสาวที่คุยถูกคอเมื่อครู่

     "ก็มีเข้ามาเสนอตัวให้บ้าง แต่ไม่ได้คบใครจริงจัง" ฟาเรสตอบพลางกระดกเครื่องดื่มในมือ โชคดีที่ผับแห่งนี้ไม่ตรวจบัตรไม่งั้นฟาเรสคงอดเข้าเพราะอายุไม่ถึง เนื่องจากอยู่ในเขตอานิมาซึ่งส่วยใหญ่ก็อายุสิบแปดกันหมดแล้ว 

      ตอนที่อยู่บ้านเขามีโอกาสได้ดื่มบ้างเวลาที่ท่านพ่อจัดงานสังสรรค์ ซึ่งบางทีก็หิ้วสาวขึ้นห้องจากงานนี่แหละ ถึงแม้ฟาเรสจะหลงไหลใหนตำราแต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยในเรื่องเซ็กส์

      "หน้าอย่างนายไม่มีสิแปลก" มาวิคแซว แก้มเนียนที่ซับสีเลือดจางๆ จากฤทธิ์เหล้าช่างน่ามองเหลือเกินจนเผลอเอามือเกลี่ยเบาๆ อย่างลืมตัว ท่าทางขัดเขินของร่างบางทำให้ชายหนุ่มอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ว่าอีกฝ่ายคงเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว ฟาเรสที่เริ่มเมากลายเป็ยคนช่างพูดช่างเล่า นั่นยิ่งทำให้ร่างโปร่งตรงหน้าช่างน่ารักเหลือเกินสำหรับเขา



      กว่าทั้งห้าจะกลับก็เกือบเที่ยงคืน พรีมพาเซียกลับห้อง โอซี่หายไปกับสาว มาวิคที่ดูสภาพเป็นคนสุดจึงรับหน้าที่พาคนเมาไปส่ง ฟาเรสกึ่งหลับกึ่งตื่นถูกแบกขึ้นแผ่นหลังกว้างเดินไปตามทาง ตัวฟาเรสเบามากเหมือนแบกเด็กน้อยก็ไม่ปาน จนมาถึงห้องของเจ้าตัวในที่สุด 

      "ฮึบ" มาวิคค่อยๆ ปล่อยคนเมานอนราบลงโซฟา ด้วยระยะขนาดนี้ทำให้เขามองเห็นใบหน้าเนียนได้ชัดเจน แม้จะมีกลิ่นเหล้าแต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างบาง มันชวนให้สมองมึนเบลอ ริมฝีปากอิ่มสวยดูเข้มขึ้นเพราะความร้อนในกาย ดึงดูดให้มาวิคสัมผัสมันอย่างลืมตัว ก่อนประทับจูบลงไปอย่างเกินจะห้ามใจ

      ริมฝีกปากหวานล้ำ ทำให้มาวิคหลงไหล เข้มเม้มริมฝีปากนั้นอยา่งหิวกระหาย ก่อนรุกล้ำเข้าไปสัมผัสกับลิ้นชื้นซึ่งตอบสนองอย่างลืมตัว

      ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!เสียงเคาะประตูดึงสติที่หลุดลอยให้กลับสู่ร่าง ก่อนที่มาวิคจะตระหนักว่าเขาเผลอจูบร่างบางไปเสียแล้ว ร่างสูงหยัดกายขึ้นอย่างเสียดายก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้แขกยามวิกาล

      "อ่าวเวลอร์ มาทำอะไรตอนนี้" มาวิคถามอย่างฉงน
 
       "ได้ยินเสียงเปิดประตู คิดว่าฟาเรสกลับแล้วเลยจะเอาหนังสือมาคืน" ว่าพลางโชว์หนังสือเล่มหนาในมือ "แล้วนายละ"

       "ฟาเรสเมา ฉันเลยอาสามาส่ง" มาวิคตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววสับสนอย่างปิดไม่มิด ไม่มีคนเคาะประตูเขาอาจเผลอทำอะไรเกินเลยมากกว่านี้ แต่ลึกๆ ก็แบบเสียดาย

      "กลับไปก่อนเถอะห้องฉันอยู่ข้างๆ เดี๋ยวฉันดูฟาเรสให้เอง" เสียงทุ้มกล่าวเรียบๆ

      "แต่เอ่อ...ฉันดูเองก็ได้" มาวิคแย้ง

      "จริงหรอ" นัยน์ตาคมหรี่มองอย่างจับผิด "นายดูเมาๆ นะกลับไปพักเถอะ" คงไม่รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าถูกไล่ แต่มาวิคยอมรับว่ารู้สึกมึนๆ อย่างอีกฝ่ายว่าจริงๆ ถึงขอตัวกลับ ระหว่างทางที่เดินกลับห้องสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มยังคงตราตึงจนทำให้ใจเต้นรัว

      เวลอร์มองตามหลังมาวิคจนลับตา ประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมทำให้ให้รู้ว่าหมอนี่พาฟาเรสกลับมา แต่การที่อีกฝ่ายหายเข้าห้องมานานทำให้เวลอร์ยากจะวางใจ

     ปัง!!! ประตูปิดดังตามแรงอารมณ์ เวลอร์ก้าวยาวๆ ไปยังร่างที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าสำรวจสภาพร่างบางอย่างกังวล ริมฝีปากแดงช้ำบอกให้รู้ว่าเพิ่งโดนจูบ นำพาให้ตาคมแข็งกร้าวขึ้นทันใด

    ...ถ้าช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้...

       "ไม่รู้จักระวังตัวเลยให้ตายสิ" เสียงทุ้มบ่นอุบอย่างโมโห พลางช้อนอุ้มคนเมาให้มานอนบนเตียง 

      ถอดรองเท้าถุงเท้าทิ้งไป ตามด้วยเสื้อเชิตและกางเกงขายาวเหลือไว้เพียงบอกเซอร์กับชั้นใน มองหากะลังมังพร้อมผ้าสะอาดมาชุบน้ำเช็ดตัวให้คนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายขาวเนียนตรงหน้าช่างล่อตาล่อใจ แต่เวลอร์ก็ไม่ใจร้ายพอจะล่วงเกินคนเมา จึงรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เสร็จก่อนจะตบะแตกไปจริงๆ 

       เสื้อยืดสีเทาถูกใส่ให้ฟาเรสเพราะถ้าปล่อยให้นอนไปทั้งอย่างนี้ก็กลัวจะเป็นหวัด เวลอร์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงอกก่อนที่จะดับไฟในห้อง เปิดไว้เพียงโคมหัวเตียง แพขนตาหลับพริ้มอย่างเป็นสุข มือใหญ่ลูบเบาๆ ที่กลุ่มผมนุ่ม ฟาเรสในยามหลับยังน่าเอ็นดูไม่เคยเปลี่ยน ริมฝีปากสวยจรดลงบนหน้าผากมนอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก

       "ฝันดีนะฟาร์" เสียงทุ้มกระซิบเบา ก่อนที่เวลอร์จะออกจากห้องไปโดนไม่ลืมล๊อคประตู

..........................................

-เง้อ หนูฟาร์ อย่าได้น้อยใจ มันเป็นหน้าที่ของหัวใจมั้งจ้ะ อิอิ :hao3:

-ช่วงนี้พอจะมีเวลาบ้างเพราะงานไม่มี เลยรีบเอามาลง  :katai4: ส่วนหนึ่งคือกำลังคึกนั่นเอง ถ้าช่วงไหนหายๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะค่ะ นั่นแปลว่างานท่วมหัว  :katai5: จนต้องหอบกลับมาบ้าน :ling3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 5 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-02-2016 23:47:23
เอิ่ม เสียใจด้วยนะมาวิคแต่นายคงได้แค่นั้นแหละ
องครักษ์เวความอดทนสูงมาก ปลื้ม. เดาว่าท่านรูปปั้นแน่ๆ เหมือนเห็นน้องฟามาตั้งแต่เล็ก
คนเขียนสู้ๆนะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 5 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 28-02-2016 00:04:57
มาวิคสู้เวเลอร์ไม่ได้อ่ะ ออร่าพระเอก เวแรงกว่ามาก
ล่วงเกินเพื่อนตอนเมา ไม่ดีนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 5 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 28-02-2016 00:37:29
เวลอร์ต้องเป็นรูปปั้นหรืออะไรสักอย่างที่อยุ่ในวิหารแน่เลยอ่ะ

มีหวงๆนะเวลอร์ ฟาร์เรสอย่าคิดมากๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 5 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 28-02-2016 00:56:48
คือเวนี่ดูลึกลับกว่านะจ้ะ ซังบักคนฉวยโอกาสจริงๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 5 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-02-2016 01:52:01
ชอบจัง เวย์จะใช่รูปปั้นมั้ยนะ!!

ขอตามด้วยคน มาต่อบ่อยๆน้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 5 P2 27-02-59
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 01-03-2016 14:50:59
บทที่ 6

      เช้านี้ฟาเรสตื่นมาด้วยอาการมึนๆ มันตื้อไปหมด แถมยังปวดหัวจี๊ดๆ อีก ร่างโปร่งลากสังขารเข้าห้องน้ำจัดการตัวเอง น้ำเย็นๆ ไม่ได้ช่วยเลย ให้ตายเหอะ วันนี้มีวิชาเอกไม่อยากขาดเพราะตอนเกิดเรื่องก็ขาดเรียนไปเยอะแล้ว

      ฟาเรสจัดการตัวเองเสร็จก็ออกจากห้องพัก พอดีกับเวเลอร์กำลังล๊อคห้องตัวเองอยู่พอดี

      "ไง เว" ร่างโปร่งนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะนึกได้ว่าควรเอ่ยทักทาย 

      "หน้าซีดๆ นะ"

      "เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย เลยแฮง" ว่าแล้วก็กระชับกระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังลิฟโดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ 

      ไม่รู้สิ ฟาเรสไม่อย่างเห็นหน้าไม่อยากสนิทไปมากกว่านี้ เหมือนมีแค่เขาที่รู้สึกผูกพัน แต่อีกฝ่ายอาจไม่รู้สึกแบบนั้นเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเวลอร์เข้าหาเขาเพราะอะไร...แล้วทำไมต้องมาคิดเล็กคิดน้อยด้วยก็ไม่รู้

      "เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า" ไม่รู้ฟาเรสทำหน้าแบบไหนอีกฝ่ายถึงทักขึ้น

      "แค่ปวดหัวนิดหน่อย" เมื่อมือใหญ่กำลังจะเอื้อมมาสัมผัส ร่างบางเอนหลบแทบทันที "เอ่อ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก"
 
       "เป็นสิ!!!" นัยน์ตาคมหรี่มองอย่างคาดคั้น 

      "เอ๊ะ นายนี่บอกไม่เป็นก็ไม่เป็นสิ" ฟาเรสบอกปัดอย่างหงุดหงิด ทำไมต้องทำท่าเป็นห่วงมากมายแบบนั้นด้วย แล้วคนโดนว่าก็เอื้อมมือไปกดปุ่มหยุดลิฟทันที

       "ไม่พอใจอะไรฉัน" เวลอร์มองเขาอย่างคาดคั้น

       "เปล่านี่" ปัง!!! ฝ่ามือใหญ่กระแทกเข้ากับผนังลิฟอย่างแรง แขนแกร่งกักร่างของฟาเรสไว้ติดมุมกันหนี จำต้องสบกับนัยน์ตาสีอำพันวาวโรจน์อย่างเลี่ยงไม่ได้

      "ปล่อย!!!

      "จนกว่าจะบอกว่าเคืองฉันเรื่องอะไร" เสียงทุ้มกล่าวเรียบๆ พยายามดันอกแกร่งออกให้ห่างตัวแต่ไม่แม้แต่ขยับจนฟาเรสเริ่มรน

      "นายจะสนทำไมว่าฉันจะรู้สึกยังไง ป้ากับลุงส่งนายมาดูแลฉัน แต่ตอนนี้มันไม่มีอันตรายอะไร เราก็ต่างคนต่างอยู่สิ" นัยน์ตาสีครามจ้องเขม็งไปที่ร่างสูงตรงหน้า "ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง เป็นแคร์ ไม่ต้องมาบอกมาสอน ไม่ต้องมาทำอะไรทั้งนั้นถ้านั่น มันเป็นแค่หน้าที่" น้ำเสียงสั่นเครือดังขึ้นเรื่อยๆ จนแทบตะโกนใส่หน้าอีกคน 

      ฟาเรสก้มหน้านิ่ง สูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตัวเอง คนที่ไม่เคยแคร์อะไรแบบเขาต้องมาหัวร้อนไปกับเรื่องของคนอื่น ตลกสิ้นดี

      "รู้ไหมฟาร์" เสียงทุ้มเอ่ยเรียกหลังจากเงียบไปซักพัก "คนอย่างฉันไม่มีใครสั่งได้หรอกนะ"

      "แล้วที่ป้าโอเรนบอกละ" 

      "นั่นก็ใช่  แต่เธอไม่ได้บอกนิว่าส่งฉันมา" 

      ใบหน้าคมก้มลงมาจนแทบชิดปลายจมูกแตะกันผะแผ่วชวนให้ใจสั่น นัยน์ตาสองสีสบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

      "ฉันอยู่ตรงนี้เพราะอยากอยู่ ทำเพราะอยากทำ ไม่มีใครสั่งทั้งนั้นเข้าใจไหม" น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบบอก ถึงมันจะเบาแต่ก็ได้ยินชัด เพราะยืนใกล้กันขนาดนี้ ขนาดที่สัมผัสถึงไออุ่นจากร่างสูงใหญ่ตรงหน้า มันช่างให้ความรู้สึกปลอดภัยเหลือเกิน จึงได้แต่พยักหน้าว่าเข้าใจ

       "เลิกคิดมากซะนะ"

       ฟาเรสเลือกที่จะหลับตาลงเพราะไม่อาจสบตาอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ หัวใจเต้นแรงเกินจะควบคุม ความร้อนซ่านทั่วใบหน้าไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันแดงแค่ไหน

      "น่ารัก หึๆ" คำชมที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างถูกใจ ยิ่งทำให้ร่างบางถึงกับไปไม่เป็น แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีก ฟาเรสผลักไหล่หนาออกห่างจนเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน ใบหน้าคมคายที่มักจะเรียบเฉยบัดนี้แต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ที่แม้ฟาเรสจะเป็นผู้ชายยังเขินแทบตาย  :-[

      "นี่ จะอยู่ในนี้อีกนานไหม" ฟาเรสอุบอิบพลางทำหน้ามุ่ย คนข้างนอกคงคิดว่าลิฟค้างแล้วมั้ง คนตัวโตผละออกแล้วหันไปกดซ้ำปุ่มเดิมเพื่อให้ลิฟไปต่อ แล้วหันยิ้มกวนๆ ใส่  เขาละอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าหล่อๆ นั่นซักทีข้อหาหมั่นไส้

............................................

      "นี่พวกนายเห็นประกาศมหาลัยหรือยัง" เซียเปิดประเด็นขณะที่พวกเขาทั้งหกกำลังจัดการมื้อเช้าอยู่

      "เรื่องการประลองนะหรอ" พรีมถาม

      "ใช่ เอแวนการ์ดจัดงานประลองประจำปี ใครลงก็ได้ไม่จำกัดคณะ ไม่จำกัดชั้นปีด้วย คนชนะก็จะได้โควต้าบรรจุเข้าทำงานในเอแวนการ์ดทันทีหลังเรียนจบ" มาวิคอธิบายอย่างตื่นเต้นดูก็รู้ว่าเขาสนใจในการประลองไม่น้อย

      "แต่อีกเดือนก็จะสอบปลายภาคแล้วเนี่ยนะ" ฟาเรสแย้ง ก็รู็ๆ กันว่าคะแนนสอบปลายภาคแรกมันเป็นการตัดสินว่าคุณจะได้อยู่ในอานิมาต่อหรือไม่

      "แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อย ที่รีบจัดเพราะแปดคนที่เข้ารอบสุดท้ายจะถูกส่งไปลองงานกับหน่วยพิทักษ์ของเอแวนการ์ดตอนปิดเทอมนะสิ เป็นหน่วยที่ทำงานอิสระ ส่วนใหญ่เป็นงานจัดการกับพวกปีศาจ งานหลักๆ ก็คือพวกไวด์โซล" คำบอกเล่าของโอซี่ดึงความสนใจของฟาเรส

       ...หน่วยที่กำจัดไวด์โซลงั้นหรอ...

      "ว่าแต่เปิดรับสมัครวันไหน" ฟาเรสถาม

      "นายจะลงหรอ เริ่มวันนี้ไปจนถึงมะรืน" โอซี่ถามอย่างแปลกใจ "จริงๆ ส่วนใหญ่ที่ลงก็มีแต่เด็กคณะฉัน จะไหวหรอเนี่ย" คนถูกถามได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป 

      "ด้านการใช้เวทย์น่าจะไหวอยู่ ส่วนการต่อสู้ทางกายภาพนี่ไม่รู้แฮะ แต่ถ้าอยากลงจริงๆ ฉันช่วยซ้อมให้ได้นะ" มาวิคบอกพร้อมยิ้มกว้าง "แล้วถ้านายจับคู่มาเจอฉันละก็ ยอมนอนให้เหยียบเลยเอ้า!!!" คำพูดทีเล่นทีจริงเรียกเสียหัวเราะของคนในโต๊ะ

      "จะไปได้ซักเท่าไหร่เหอะมาวิค ไม่ใช่ว่าตกตั้งแต่รอบแรกหรอกนะ" พรีมแขวะ 

      "หึ ถ้าฉันเจอนายรอบแรกไม่ตกหรอก" มาวิคย้อนเรียกเสียงหัวเราะอีกระลอก

      "พูดแบบนี้ไปกรอกใบสมัครเลยไป" พรีมท้า

      "หึๆ จัดไปอย่าให้เสีย"

...............................................................

      ฟาเรสแทบจะไม่มีสมาธิเรียนวิชาเอกเลยวันนี้ ในหัวกำลังคิดเรื่องการประลองที่จัดขึ้นว่าควรลงดีไหม เขาไม่ได้อยากชนะ แค่อยากลองไปทำงานในหน่วยพิทักษ์ อยากจะล่าพวกไวด์โซล อยากกำจัดมัน ฆ่าพวกมันด้วยมือตัวเอง 

      "ฟาร์! ฟาเรส" เสียงเรียกใกล้ๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้ง นัยน์ตาสีเทาของลุงเอเบรียนหรี่มองอย่างจับผิด "ดูไม่มีสมาธิเลยนะ"   

      "คิดเรื่องการประลองอยู่สินะ" เวลอร์ถามพลางหันมามองเขาอีกคน

      "หลานอยากลงหรอ" ชายสูงวัยถามพลางวางตำราลงบนโต๊ะ

      "ก็คิดๆ อยู่ ผมสนใจหน่วยพิทักษ์ครับ อยากล่าพวกไวด์โซล อยากทำกับมันแบบที่มันทำกับครอบครัวผม" ดวงตาสีครามหมองเศร้า เขานิ่งเฉยกับการตายของครอบครัวมานานเกินไป อย่างน้อยก็อยากจะทำอะไรบ้างแม้รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่พร้อม

      "ลุงเข้าใจในสิ่งที่หลานต้องการ ก็ลงแข่งสิ ทำในสิ่งที่อยากทำจะได้ไม่ต้องมาเสียดายตามหลัง" ชายชราบอกพลางลูบหัวเขาเบาๆ "หลานอยากเรียนอยากรู้อะไรขอแค่บอก ลุงกับเวนะพร้อมจะช่วยเสมอ จริงไหมเว" เจ้าของชื่อพยักหน้ารับเพื่อย้ำคำ

      "นั่นสินะ ถ้าแค่การประลองยังไปไม่รอดแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาแก้แค้นให้ท่านพ่อกัน ว่าแต่พวกไวด์โซลเนี่ยเกิดขึ้นได้ยังไงครับ" นอกจากรู้ว่าเป็นปิศาจจำพวกหนึ่งฟาเรสก็ไม่รู้อะไรเกียวกับมันเลย

      "เป็นปิศาจที่มาจากโลกอื่นนะ" เวลอร์บอก "นอกจากโลกที่เราอยู่ก็จะมีโลกของคนตาย มีการบิดเบี้ยวของมิติเวลาทำให้เกิดช่องว่าง เลยมีปีศาจจากอีกโลกหลุดรอดออกมา มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว เป็นธรรมชาติของโลกก็ว่าได้" เสียงทุ้มอธิบายชัดถ้อยชัดคำ

      "แต่พวกที่โจมตีครอบครัวผมละ มันเจาะจงอย่างกับว่ามีใครสั่งมันมางั้นแหละ" ฟาเรสแย้ง เป็นไปได้ไหมที่มีคนเรียกมันออกมา ไม่มีทางที่กองทัพย่อมแบบนั้นจะผ่านเข้าเมืองมาโดยไม่มีใครเห็นเว้นแต่ ช่องว่างจะถูกเปิดขึ้นใกล้ๆ

      "ก็มีนะสิ คนที่มีพลังเวทย์และสายเลือดที่เหมาะสมจะสามารถเปิดปิดประตูมิติได้ตามใจ และคนที่เรียกพวกมันมาก็สามารถควบคุมไวด์โซลพวกนั้นได้ ถ้าทำถูกวิธี"

      "เพราะอย่างนั้นหลานถึงถูกส่งมาอยู่ที่นี่ เพราะดูเหมือนว่าหลังจากเกิดเรื่อง มีไวด์โซลถูกส่งมาเก็บหลานอยู่หลายรอบ มาคัสกับโอเรนเห็นท่าไม่ดีเลยส่งเรามา ในเขตอานิมาซึ่งถูกกางด้วยอาคมน่าจะปลอดภัยจากพวกนั้น อย่างน้อยๆ จนกว่าจะเรียนจบก็จะไม่มีใครทำอะไรเราได้ ถึงตอนนั้นลุงว่า ฟาเรสของลุงคงเก่งพอจะเอาตัวรอดแล้วละ" ร้อยยิ้มอบอุ่นถูกส่งให้  ทำไมทุกคนถึงพยายามปกป้องฟาเรสนัก นี่เขามีค่าขนาดนั้นเลยหรอ

      กว่าวิชาเอกจะจบเล่นซะบ่าย ทั้งที่ลุงเอเบรียนตั้งใจจะสอนถึงเที่ยง ก็มัวแต่คุยเรื่องการประลองกับเรื่องไวด์โซลนี่แหละเลยทำให้เสียเวลาไปบ้างจนถูกผู้เป็นลุงบ่นนิดหน่อย 


       "เว เหลือแค่สปาเกตตี้กับข้าวผัด นายเอาอันไหน" ฟาเรสถามพลางสำรวจสะเบียงที่เหลือในตู้เย็น เดี๋ยวนี้เรียกเวตามท่านลุง ต้องขอบคุณบ้านหลังที่สองในโดมกระจกแห่งนี้ที่ทำให้ฟาเรสไม่ต้องหิ้วท้องที่กำลังหิวไปถึงโรงอาหาร

      "อันที่นายไม่กิน" เยี่ยม...ตอบแบบนี้

      "อยากกินทั้งสองเลยอะ" ร่างบางหันไปบอกพลางทำหน้าละห้อย 

      "งั้นก็อุ่นมาแล้วแบ่งกัน" หันมาตอบแค่นั้นก่อนกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ร่างสูงกึ่งนั่งกึงนอนอยู่บนโซฟาตัวยาว ดูสบายๆ

      ...รอกินเป็นคุณชายเลยนะ...

       หลังจัดการอาหารมื้อเที่ยงในยามบ่ายกลายเป็นฟาเรสที่มานอนเหยียดบนโซฟาแทน ในเมื่อเขาเป็นคนทำอีกคนก็ต้องเป็นคนเก็บสิ ว่าแล้วก็หยิบหนังสือที่เวลอร์อ่านทิ้งไว้มาดูฆ่าเวลา พึ่งสอบกลางภาคไปหยกๆ เลยค่อนข้างว่างในช่วงนี้

      เป็นตำนานปรัมปราของนอธ เรื่องคิเมร่า คิเมร่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคนกับสัตว์ ในยามปกติมีร่างกายเป็นมนุษย์บางทีก็กลายร่างเป็นสัตว์ได้ ว่ากันว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและมีอายุยืนยาวแล้วก็ลึกลับที่สุดในเอสทีเรียด 

      ...ชักอยากเห็นตัวเป็นๆ แล้วสิ...

      "เฮ้ย!!!" ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกช้อนอุ้มขึ้น แถมคนอุ้มยังทิ้งตัวลงบนโซฟาแทน ทำให้ร่างทั้งสองเอนลงไปด้วยกันจนกลายเป็นตัวเขาทับอยู่บนตัวอีกฝ่าย ใบหน้าเนียนกระทบเข้ากับอกแกร่งอย่างไม่ทันตั้งตัว

      "เล่นบ้าอะไรของนาย" ฟาเรสโวยอย่างตระหนก

       "ง่วง" เวลอร์บอกแค่นั้นก่อนจะหลับตาลงทันที แต่ไอ้รอยยิ้มน้อยตรงมุมปากนี่สิ ไม่บอกก็รู้ว่าถูกแกล้ง

      "ง่วงก็นอนไปคนเดียวสิ จะมากอดฉันไว้ทำไมเล่า" ว่าพร้อมกับฟาดที่ไหล่ของคนใต้ล่างเต็มมือ แต่พอทำท่าจะลุกออกกลับถูกแขนแกร่งกอดเอวไว้แน่น "ปล่อยเลย" ฟาเรสบอกเสียงสั่นเพราะหัวใจที่เริ่มเต้นแรง 

      ...หมอนี่เป็นผู้ชายจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย...

      "เขินหรอ" ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นมามองอย่างล้อเลียน ฟาเรสก็คนนะ ถูกกอดไว้แบบนี้ไม่รู้สึกอะไรก็บ้าแล้ว แถมไอ้คนกอดนี่หน้าตาก็ไม่ใช่เล่นๆ 

      "เปล่าซักหน่อย" แล้วใครเล่าจะยอมรับ

      "งั้นที่หน้าแดงก็ไม่สบายสินะ หึๆ" เสียงทุ้มพูดเนิบๆ พลางหัวเราะเบาๆ นี่เขาแฮงจนเบลอหรือเวลอร์กินยาผิด ปกติเห็นออกจะเงียบดีแท้ แต่ทำไมวันนี้กวนประสาทจริง

      "วันนี้นายมาแปลก" นัยน์ตาสีครามมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง

      "นี่ฉลาดแต่เรียนเรียนใช่ไหม" พูดแบบนี้หมายความว่าไง นี่ว่าเขาบื้อหรอ ฟาเรสค้อนควับใส่คนพูดแทบจะทันที ไอ้อาการมุ่ยหน้าอย่างขัดใจช่างดูน่ารักเสียจนเวลอร์ชักสนุกที่ได้แหย่อีกฝ่ายเล่น

      "ปล่อยเลย" ฟาเรสบอกเสียงห้วน

      "ไม่" อีกฝ่ายหลับตาหนี อยู่แบบนี้นานๆ เริ่มอึดอัด ร่างบางดิ้นไปมาอย่างหงุดหงิดพยายามขืนตัวออก "อยู่นิ่งๆ เป็นไหม" คนตัวโตดุ พร้อมกดหัวเด็กดื้อแนบอกพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนอีกฝ่ายหมดทางดิ้น

      ฟาเรสได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความเอาแต่ใจของอีกคน พอเริ่มเงียบจิตใจก็เริ่มสงบ กลิ่นไอจากร่างที่โอบกอดเขาไว้ มันช่างอบอุ่นอย่างประหลาด

      ...อยู่แบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน... ฟาเรสคิด

      "เฮ้ เว" ฟาเรสเรียกเสียงเบาหลังจากเงียบไปนาน

      "ว่าไง"

      "ฉันจะเข้าร่วมการประลอง" อย่างที่ท่านลุงบอก ทำถ้าอยากทำไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง

      "อืม เดี๋ยวลงด้วย" อีกคนรับคำพลางลูบผมนุ่มเบาๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่แบบนั้น ทำอย่างกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ

      "นายก็อยากลองทำงานในหน่วยพิทักษ์เหมือนกันหรอ" 

      "ไม่อยาก" 

      "หรือว่านายอยากชนะ" 

      "ฉันไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอก" 

      "แล้วจะลงทำไมละ" ฟาเรสเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย เวลอร์ลืมตาขึ้นมามองเขาอีกครั้ง นัยน์ตาสีอำพันฉายแววจริงจังจนไม่อาจละสายตาไปได้ ก่อนที่คำพูดต่อมาจะทำให้ใบหน้าเนียนแดงซ่านอยากห้ามไม่อยู่

      "ก็แค่อยากอยู่กับนาย ฟาเรส"


......................................

-พี่เว เริ่มแล้วเนอะ ปล่อยให้คนอื่นแซะมานาน  :mew1:

-มาอัพแล้ว แอบมาอัพในเวลางาน นั่งว่างๆ มองซ้ายมองขวาเจ้านายไม่อยู่ คิคิ o18

-สำหรับเรื่อง Dark Wing จริงๆ เราไม่ได้ทิ้งน้องเรนหรอก กำลังเขียนๆ อยู่ รอทกับโยนาห์ก็เขียนอยู่ เขียนหลายเรื่องไม่เสร็จซักกะอัน  :katai4: มาตามสภาพอารมณ์ แต่ตอนนี้กำลังเห่อเรื่องนี้อยู่อะ

-ขอบคุณทุกคนนะค่ะ มีอะไรแนะนำได้น้าาา นี่ก็เรื่องที่สามแล้วเราเลยอยากให้มันออกมาดี ในแบบที่ทั้งเราและผู้อ่านมีความสุขกับมัน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-03-2016 15:20:34
โอ๊ย งานหยอด งานเอสก็มานะพี่เว
คือนี่พอน้องฟาหน้าแดงแล้วพี่แกรัวใส่เลย
ชอบตอนนี้ค่ะ เหมือนนายเอกของเราจะนำพาตัวเองเข้าสายบู๊เสียแล้ว
ที่เลือกเรียนนนั่นแค่สกิลสนับสนุนใช่ไหม  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-03-2016 15:46:31
แหนะๆๆ ไม่บอกเขาไปเลยอ่ะว่าชอบ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 01-03-2016 18:37:13
มาแรงแหกทุกโค้งมากพี่เว 55
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 01-03-2016 19:51:17
เวมาแบบนิ่มๆ(?)  ขนาดนี้แล้ว ฟาเรสก้อย่างอนเวเลยนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-03-2016 19:56:36
ร้ายกาจที่สุด เวย์เป็นสายพันลึกลับสินะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 02-03-2016 01:03:39
น่ารักกกก
แต่สงสารมาวิคจัง มาซบอกเจ๊มาลูกมา ฮ่าาา
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 02-03-2016 03:01:10
พี่เวมาแรงแซงทางโค้ง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 02-03-2016 10:33:29
พี่เวทำคะแนนนำเยอะมาก หนูฟาไม่น่ารอดจากพี่เวละ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: M_mA ที่ 02-03-2016 22:11:24
โอ้ย!! ทำไมพี่เวถึงน่ารักน่าซังขนาดนี้  :-[
เจ้เชียร์เต็มที่
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 03-03-2016 07:36:37
อ่านตอนนี้แล้วเอ็นดู ฟาฟสของเราจริงๆ
เหตุผลที่งอน มุ้งมิ้งน่ารัก โดนใจเจ๊~~~!!!!
เวสุดยอด ทำคะแนนได้เริ่ด ^0^
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 03-03-2016 09:04:07
 :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 03-03-2016 15:19:20
ชอบบบบบบบ
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 6 P2 1-3-59 ^3^
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 05-03-2016 12:54:16
บทที่ 7
[/b] 

      ทุกเย็นหลังเลิกเรียนของฟาเรสหมดไปกับการฝึก ที่มีเพื่อนๆ เอกการรบอย่างโอซี่ พรีมและมาวิคช่วยกันสอน เหลือเวลาอีกเพียงอาทิตย์เดียวการประลองรอบแรกจะเริ่มขึ้น
 

      ฟาเรสวางแผนว่าจะซ้อมเรื่อยๆ แล้วหยุดสองวันก่อนแข่งเพื่อพักร่างกายให้พร้อม ดังนั้นเขาจึงอยากใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าจนเพื่อนๆ อดแซวไม่ได้ว่าเขาเรียนผิดคณะหรือเปล่า เพราะขยันยิ่งหว่าเด็กการทหารเสียอีก
 

      "พอก่อนไหมฟาร์" มาวิคถามพลางพยุงเพื่อนที่ล้มกลิ้งลุกยืน


      "ไม่เป็นไร ต่อเลย" ฟาเรสพยายามลุกขึ้นเจ็บไปทั้งเนื้อทั้งตัวเลยให้ตายสิ วันนี้ฝึกการหลบหลีก ไม่มีอะไรยุ่งยากก็แค่วิ่งไปตามลู่วิ่งที่มีลูกบอลยิ่งออกมาจากเครื่องที่อยู่ข้างทางเป็นระยะประมานสามร้อยเมตร นี่พึ่งผ่านไปสองรอบเล่นเอาน่วมไปหมดเพราะโดนบอลกระแทก รอบแรกล้มกลิ้งไม่เป็นท่า รอบสองดีหน่อยโดนบ้างไม่โดนบ้าง


      "รอบสุดท้ายพอแล้วนะฟาร์ พรุ่งนี้วันเสาร์ค่อยมาฝึกใหม่ก็ได้" มาวิคต่อรอง ฟาเรสที่ปกติอยู่แต่ห้องวิจัย ให้มาวิ่งหลบโน่นออกแรงนี่หลายๆ วันเข้าก็กลัวจะแย่เอา


      "สองรอบแล้วกัน" ฟาเรสต่อรองพลางทำหน้าอ้อนๆ สุดท้ายมาวิคก็ต้องยอม




      "ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมไม่ลงไปสอนเองเลยละ" โอซี่เอ่ยแซวคนข้างๆ  ที่นั่งหน้าเครียดมองลงไปในสนาม คิ้วเข้มขมวดมุ่นทุกครั้งที่ลูกบอลกระแทกร่างของฟาเรส แต่ก็ดีขึ้นเยอะในความคิดของโอซี่ ฟาเรสเป็นคนเรียนรู้ไว แม้รูปร่างจะไม่ได้บึกบึนอะไรแต่มีดีที่ไหวพริบ และความไว ซึ่งนั่นก็ถือว่าดี 


      "ให้มาวิคสอนนะดีแล้ว" เวลอร์หันไปตอบ แน่นอนเขาไม่ชอบให้ฟาเรสต้องเจ็บตัว แต่บางครั้งเขาก็ต้องปล่อยให้อีกคนได้เรียนรู้ ได้เผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง หากเขาเอาแต่ปกป้องแล้วฟาเรสจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร เวลอร์คงไม่เข้าไปยุ่มย่ามหากสิ่งที่ฟาเรสทำไม่ได้อันตรายจนเกินไปในสายตาเขา


      "นายก็ฝีมือใช่ย่อยนิ" ลูกครึ่งออคบอก ในคาบพลังเวทย์แฝง แม้ไม่ได้มุ่งเน้นเทคนิคทางกายภาพ แต่เขาก็ดูออกว่าเพื่อนคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา


      "เอาน่า เด็กวิทย์ คงสู้เด็กการทหารไม่ได้หรอก"


      "ถ่อมตัวดีแท้ มาวิคนี่ ทุ่มเทดีจัง ปกติหมอนั่นเอาแต่ใจจะตาย เพิ่งมีกับฟาร์นี่ละ ที่เจ้าตัวตามใจทุกอย่าง สงสัยจะชอบฟาร์เอามากๆ เลยสินะ" โอซี่บอกพลางมองเพื่อนที่รู้จักกันมานาน
 

      มาวิคเกิดในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแถมเป็นลูกคนเดียว จึงค่อนข้างเอาแต่ใจแต่ก็เป็นคนดี แม้ภายนอกจะดูเป็นคนดื้อรั้นไปบ้าง แต่กับเพื่อนๆ หมอนี่ก็ให้เต็มที่เสมอ ส่วนฟาเรสที่ทำให้มาวิคถูกใจได้คงเป็นท่าทางมึนๆ ซื่อๆ แต่ก็จริงใจ นั่นทำให้มาวิคเอ็นดูเพราะเจ้าตัวเองอยากมีน้องชายเพียงแต่ตอนนี้ ความเอ็นดูนั้นดูจะพัฒนาขึ้นมาหน่อย
 

      "ก็คงงั้น" เวลอร์ตอบยิ้มๆ


      "เห...นายไม่กลัวหรอ นายเองก็สนใจฟาร์นิ ดูสิหมอนั่นขยันทำคะแนนจะตาย  เดี๋ยวฟาร์หวั่นไหวไป จะแย่เอานะเว" ว่าพลางตบไหล่คนข้างๆ เบาๆ


      "นั่นคงแล้วแต่ฟาร์" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉาบฉายบนหน้าคม


      "ได้ยินว่านายก็เข้าร่วมประลอง"


      "อืม"


      "ฉันเดาว่าลงเป็นเพื่อนฟาร์" 


      "นั่นก็ถูก"


      "หึๆ ก็น่าสนุกดีนี่ หวังว่าคงไม่ต้องเจอนายตั้งแต่รอบแรกๆ นะ ยังไม่รีบแพ้" โอซี่แซวทีเล่นทีจริง เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นไอที่แปลกของเพื่อน เวลอร์ไม่ใช่มนุษย์เขารู้เพราะสายเลือดออคทำให้ประสาทสัมผัสดีกว่าคนทั่วไป "นี่เว พนันกันไหม"


      "ว่ามา"


      "ในการประลอง ถ้าใครเข้าลอบลึกกว่า คนนั้นชนะ แล้วถ้าฉันชนะ" ความสนุกฉาบฉายอยู่เต็มดวงตาสีรัตติกาล "ฉันขอจูบฟาเรส"


      "หึๆ นี่กลัวฉันไม่เอาจริง?" คิ้วเข้มยักขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย "แล้วถ้านายแพ้ละ"


      "ฉันจะทำตามที่นายบอกหนึ่งอย่าง"


      "งั้นดีล"


     นัยน์ตาสีอำพันมองตามร่างบางที่วิ่งไปตามลู่โดยไม่ถูกลูกบอลที่ยิงออกมาเลยแม้แต่ลูกเดียว...คงจับทางได้แล้วสินะ...ฟาเรสยิมร่าพลางกระโดดดีอกดีใจกับผลงานตัวเอง โดยมีมาวิคประมือยิ้มให้กับลูกศิษย์ตัวเองอย่างภูมิใจ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปว่ายังยืนอยู่ในเขตการยิงถึงแม้จะอยู่ริมๆ ก็ตาม บอลอีกลูกจึงพุ่งประทะใบหน้าเนียนจังๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างบางล้มตึงลงกับพื้น มาวิคที่นึกขึ้นได้รีบวิ่งไปปิดเครื่องยิงทันที


     "เฮ้ย!!!" สองหนุ่มที่นั่งสังเกตุการณ์ตรงที่นั่งด้านบนรีบลงมาดูอาการแทบทันที 


      เวลอร์พยุงร่างบางขึ้นนั่ง ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจหนักๆ เมื่อเห็นเลือดกำเดาที่ไหนอาบเสื้อของฟาเรส จึงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับไว้ก่อนบังคับให้เงยหน้า


      "โดนเข้าหน้าจังๆ ดีแล้วไม่สลบ" โอซี่บอกเสียงเครียด


      "ดั้งจะหักไหมเนี่ย โครตมึนเลย" ฟาเรสบ่น 


      "พรุ่งนี้งด" เวลอร์บอก คนเจ็บอ้าปากจะเถียงก็จำต้องเงียบเมื่อเห็นสายตาดุๆ ที่มองมา พอได้มาอยู่ใกล้ๆ จึงเห็นว่าตามเนื้อตัวแดงช้ำไปหมด ยิ่งเจ้าตัวเป็นเป็นคนขาวจัดยิ่งทำให้รอยช้ำดูเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น ขืนปล่อยให้ฝืนซ้อมติดๆ กันทุกวันคงแย่แน่


      "ฉันก็ว่างั้นแหละฟาร์ พักซักวันเนอะ เหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์ อย่าฝืนเลย" มาวิคเห็นด้วย พลางดึงมีอีกฝ่ายมาจับไว้ โอซี่ยิ้มขำกับความเนียนของเพื่อนและความบื้อของฟาเรส


      "แต่...ว่า"


      "ไม่ต้องแต่" เวลอร์บอกเสียดุ ทำเอาคนถูกดุหน้าหงอย ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้เองแล้วหันหนีแบบงอนๆ
 

      "สามทุ่มแล้วกลับเถอะ" มาวิคเอ่ยปาก 


      "ไปสิ ร้อนอยากอาบน้ำแล้ว" โอซี่รับคำ


      เวลอร์ไม่พูดอะไรเพียงแต่ดึงมือคนที่นั่งให้ลุกซึ่งฟาเรสก็ยอมเดินตาม แม้จะแอบทำหน้าเซงก็เถอะ


      มาวิคมองตามสองร่างที่จากไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ในยามปกติฟาเรสมักเป็นคนประเภทอะไรก็ได้ แต่เวลาอยู่กับเวลอร์เหมือนกับว่า เจ้าตัวจะแสดงนิสัยเด็กๆ ออกมาให้เห็นบ้าง ดื้อบ้าง พอน่ารักน่าเอ็นดู  แต่กับเขาแทบจะไม่ได้รับมุมนี้เลย เริ่มเห็นเค้าลางแห่งความผิดหวังแต่ก็ไม่อยากจะยอมรับ



      "หิวเป็นบ้าเลย" ฟาเรสบ่นทันทีที่ถึงห้อง แต่ก่อนอื่นขออาบน้ำล้างตัวก่อนเหอะ มอมขนาดนี้ 


      ร่างโปร่งถอดเสื้อผ้าออกก่อนตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ฟาเรสใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำพอควร อ๊ะ...อย่าเพิ่งคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนั้น น้ำอุ่นๆ ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นเยอะต่างหากละ แต่พออยู่เฉยๆ อาการปวดร้าวตามกายเริ่มถามหา พรุ่งนี้คงระบมทั้งตัวแน่


      ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฟาเรสที่กำลังนั่งเช็ดผมดูโทรทัศน์ อยู่บนโซฟาจึงเดินไปเปิดพบว่าเป็นเวลอร์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นหอบของมาเต็มไม้เต็มมือ 


      "ไม่นอนหรอ" เจ้าของห้องถาม พลางหลบให้อีกคนเข้ามา ร่างสูงเดินไปยังโซฟาก่อนจะวางทุกสิ่งลงบนโต๊ะด้านหน้า เป็นเข้ากล่องสองกล่องกับขวดแก้วบรรจุของเหลวสีคล้ำ
 

      "เห็นยังไม่กินข้าว ไม่หิวหรอ" 


      "ก็หิวนะ ซื้อมาฝากหรอขอบใจ" ฟาเรสนั่งลงข้างๆ ก่อนเลือกข้าวกล่องที่ชอบมาถือแล้วยิ้มให้ ก่อนจะจัดการอย่างตั้งใจเพราะหิวจัด ของในตู้เย็นก็ดันมาหมด แต่ก็ขี้เกียจออกไปซื้อ
 

      "กินเสร็จแล้วกินยาด้วย" เวลอร์ว่าพลางดันขวดแก้วมาตรงหน้าร่างบาง  ฟาเรสทำหน้าบอกบุญไม่รับ จากประสบการณ์เรื่องยาจากเพื่อนร่วมเอก แค่เห็นสีก็รู้แล้วว่ารถชาติห่วย ตามประสายาสมุนไพร แต่ก็ได้ผลดีพอควร


      "อา อะ ไอ อ๋อ (ยาอะไรหรอ)" พูดไปเขี้ยวไป
 

      "แก้ฟกช้ำ" เสียงทุ้มตอบแค่นั้นก่อนจะจัดการข้าวของตัวเองจนหมด
 

      "แหวะ!!! ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคนชอบยาปฏิชีวนะกันนัก" ใบหน้าเนียนยับยู่กับรสขมเฝื่อนคอของยาที่กินไปแค่อึกเดียว


      "กินให้หมด" เวลอร์บอกเสียงเข้ม


      "ไม่เอาอะ นี่ตอนผสมนายไม่ชิมเลยหรอ กินเองดูสิจะได้รู้" ฟาเรสบ่นยาวแต่ยังไม่ทันจะได้ลุกไปล้างปากกลับถูกมือกร้านดึงจนเสียงหลักนั่งลงบนตักของอีกคน ลำแขนแกร่งข้างหนึ่งโอบเอวเขาไว้แน่น


      "หึๆ...เด็กดื้อไม่ยอมกินยา" เสียงทุ้มนุ่มกระซิบใกล้ๆ ทำเอาฟาเรสใจสั่น ทำไมถึงชอบแกล้งกันนัก


      "ก็มันไม่อร่อย" เถียงพลางดิ้น


      "ยาที่ไหนอร่อยละ หืม!?" ว่าแล้วเวลอร์ก็หยิบขวดยานั้นกระดกรวดเดียวเข้าปาก ก่อนจะเอามือเงยหน้าเนียนขึ้นแล้วประกบปากลงมา


      "อึก" ของเหลวรสขมไหลผ่านคอ แต่ฟาเรสแทบจะลืมรับรู้มันเพราะกำลังตกใจที่โดนจูบ อะ...เอ่อ ถ้าจะให้อธิบายคือการป้อนยาทางปาก ริมฝีปากร้อนผละออกแต่ยังไม่วายลากเลียยาที่ไหลเลอะออกมาตรงมุมปากมาบรรจบที่ปลายคาง เล่นเอาคนถูกกระทำนั่งช๊อคไปไม่เป็น  o22


      "ถ้าทีหลังไม่ยอมกิน จะทำแบบนี้เข้าใจไหม หึๆ" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉาบฉายบนหน้าคม เรียกเลือดให้มารวมที่หน้าเนียนจนร้อนผ่าว ร่างบางรั้งตัวออกจากตักก่อนลี้ภัยเข้าห้องน้ำไป


      ปัง!!! ทันทีที่ประตูปิดลง ฟาเรสค่อยๆ นั่งลงกับพื้นหันหลังพิงไว้ พยายามสงบใจที่กำลังเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอกของตัวเอง มือนิ่มลูบใบหน้าเบาๆ หวังจะระบายความร้อนออกไปบ้าง เพราะตอนนี้มันคงแดงจนแทบสุกแน่ๆ หลังจากตั้งหลักอยู่พักใหญ่ ฟาเรสจึงจัดการล้างหน้าแปรงฟันเตรียมเข้านอน


      "นี่ ไม่กลับหรือไง" พอจะออกมาข้าวกล่องที่กินทิ้งไว้ ก็เห็นเวลอร์กำลังจัดการทั้งหมดอยู่ในครัว ฟาเรสกอดอกยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอาฆาต ประมาณว่าไล่กลายๆ แต่อีกฝ่ายกับยิ้มสบายอารมณ์นั่นยิ่งยั่วโมโหเข้าไปอีก


      "ระวังตีนกานะครับ" เวลอร์เอ่ยแซวพลางเดินผ่านเขาไปเข้าห้องน้ำแทน ร่างบางได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน


      "นอนด้วยนะ" 


      "ฮะ!!!" ฟาเรสถึงกับเหวอ "ห้องตัวเองก็อยู่ข้างๆ ทำไมไม่กลับ" คนถูกถามไม่ตอบเพียงแต่เดินเข้าห้องนอนไปอย่างถือวิสาสะ จนฟาเรสต้องรีบก้าวยาวๆ ตามมา เห็นเวลอร์ล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มทันที


      "เว...ลุกเลย" เสียงหวานกดต่ำ แต่ใช่ว่าจะทำให้คนฟังรู้สึกกลัว


      "ไม่ลุก จะนอนไหมฟาร์ หรือจะนอนพื้น" ไอ้ท่าทีดื้อด้านและหน้าด้านนั่น เห็นแล้วต้องถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ก่อนเดินไปยังเตียงที่ว่างอีกฝั่งแล้วล้มตัวลงนอน พร้อมหันหลังให้แขกไม่ได้รับเชิญอย่างขัดใจ




      เวลอร์มองคนที่นอนหันหลังให้เขาโดยไม่ยอมห่มผ้าอยู่พักใหญ่ แม้ร่างจะสั่นน้อยๆ จากอากาศที่เย็นแต่ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับไปแล้วจึงดึงผ้าขึ้นห่มให้ ก่อนลุกออกไปตรงระเบียงเพื่อรับโทรศัพท์ที่สั่นมาซักพักแล้ว


      "ว่าไง"


      "ฟาร์ละ อยู่กับนายใช่ไหม" เสียงร้อนรนดังจากปลายสาย ก่อนหน้านี้เอเบรียนโทรมาบอกว่ามีคนพยายามทำลายเขตอาคมของอานิมาทำให้เกิดช่องว่างจนมีไวด์โซลหลุดเข้ามาหกตัว


      "อืม หลับไปแล้ว"


     "ทางนี้พึ่งกำจัดไปห้า อีกตัวยังหาไม่เจอ ไม่คิดเลยว่าเจ้านั่นจะลงทุนทำลายเขตอาคมของอานิมาเพื่อส่งไวด์โซลมาตามล่าฟาร์ นายก็อยู่กับหลานฉันไปนั่นละ จนกว่าจะหาอีกตัวเจอ" ปลายสายบอกเสียงเครียด ที่เจ้านั่นไม่ลงมือเองส่วนหนึ่งคงไม่อยากให้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หลังจากผู้อำนวยการกับพวกอาจารย์ช่วยกันหาอยู่พักใหญ่ พยายามทำทุกอย่างให้เงียบเชียบที่สุดเพราะไม่อยากให้นักศึกษาแตกตื่น ดีที่เรื่องเกิดตอนกลางคืน


      "ไม่ต้องหาแล้วละ" เวลอร์บอกเรียบๆ เมื่อรับรู้ถึงบางสิ่งที่กำลังปีนระเบียงขึ้นมาจากชั้นล่างอย่างรวดเร็ว


      กรร!!!! เสียงคำรามอย่างทรมานดังขึ้นจากผู้บุรุก เมื่อไวด์โซลตัวที่ว่าปีนมาถึงระเบียงที่ร่างสูงยืนอยู่ แต่ถูกคว้าคอเอาไว้ด้วยมือเดียว ฝ่ามือแกร่งออกแรงบีบรัดลำคอผู้บุรุกจนดิ้นพลาด ไม่ปล่อยให้มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดให้คนที่หลับอยู่ได้ตื่น ผู้ปองร้ายมือหลุดจากการเกาะกุมราวระเบียง ร่างถูกดันออกไปราวกับตัวมันนั้นเบาหวิวไร้น้ำหนัก เท้าลอยอยู่เหนืออากาศ
 

      "เกิดอะไรขึ้น" เอเบรียนถามเมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป


      "เจออีกตัวแล้ว" กร๊อบ!!! ไวด์โซลโชคร้ายถูกหักคอทิ้งอย่างไร้ค่า  ก่อนจะปล่อยให้ร่างไร้ชีวิต ล่วงลงกระแทกพื้นจากความสูงสามสิบเอ็ดชั้น จนเลือดสีเข้มกระจายทั่วพื้น "ช่วยเก็บซากให้ทีแล้วกัน พื้นข้างล่างตรงระเบียงห้องฟาร์"


      เวลอร์วางสายก่อนกลับเข้ามาในห้องล้างมือที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาปของอันเดธ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม จับร่างบางหันหน้ามาหาแล้วดึงมากอดไว้แนบอก ฟาเรสที่หลับอย่างเป็นสุขซุกกายเข้าหาไออุ่นอย่างลืมตัว เรียกรอยยิ้มบางอย่างเอ็นดูจากคนตัวโตจนต้องจูบหน้าผากมนนั้นไปที ขนาดอยู่ในอานิมายังไม่วายจะถูกปองร้าย เขาคงจะห่างคนน่ารักคนนี้ไม่ได้แล้วละ

..............................................................

-เรื่องนี้ตั้งใจว่าจะเขียนหลายคู่อะนะ เผื่อจะยาวๆ ขึ้นมานิดไรงี้  :katai4:

-ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจจ้า ช่วยนี้งานเริ่มชุม ไม่ค่อยได้วาดรูปเล่นเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 05-03-2016 13:57:34
เวเท่มาก พระเอกมาก โอ้ยยย ใจสั่น 555555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 05-03-2016 17:44:37
ทำไมพวกไวลด์โซลต้องตามล่าฟาร์ด้วยย ดีนะที่เวลอร์นอนด้วย  :mew1:

โอซี่ชอบเรื่องสนุกๆสินะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-03-2016 18:58:40
เวโครตเก่งเลยอ่ะ ละทำไมพวกไวลด์โซลต้องตามล่าฟาร์ด้วยเพราะฟาร์เป็นเอลฟ์หรอ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-03-2016 19:03:59
แง้. นายเอกของเราน่าสงสารจัง   รับบทหนัก
หัวใจก็ทำงานหนักซะด้วย.   :o8: 
ขอบคุณคนเขียนค่ะ รอรูปงามๆของคู่หลักเน้อถ้ามีโอกาส
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 05-03-2016 21:52:14
อ๊ายยยยย เวลอร์สุดยอดๆๆ >\\\\<
ทำเอาฟาเรสเขินไปไม่เปน แต่ยังไปเนียนนอนห้องเค้าได้อี๊ก!!
ใครส่งพวกไวลด์โซลมาทำร้ายฟารสล่ะเนี่ยยยย -*-
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 06-03-2016 00:55:03
ตามมาอีกเรื่องงง
หายากคนเขียนนิยายวายแฟนตาซีแบบนี้
ช๊อบบบชอบ
มาต่อเร็วๆนะอยากอ่าน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 06-03-2016 07:54:12
ท่านเวโหดโครต  o22
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 06-03-2016 09:59:43
อ่านเรื่องนี้ตอนแรกๆก็พอจะเดาได้อยู่ว่าคงจะยาวน่าดู  แค่ปมเรื่องฟาเรส การประลอง การต่อสู้โน่นนี่นั่นก็ลากได้ยาวแล้ว แต่เห็นคุณคนเขียนบอกว่าจะมีหลายคู่ อันนี้เราอยากจะบอกว่าให้คิดดีๆ ไม่ใช่ว่าไม่ควรมีนะ แต่จากที่เราอ่านNight Knight และDark Wing เรารู้สึกว่าDark Wingสนุกกว่าเยอะ ในความรู้สึกของเรา แฟนตาซีอย่านอกเรื่องเยอะน่าจะดีกว่า เราว่านิยายแฟนตาซีคือนิยายที่แสดงความล้ำของจินตนาการ มันไม่ใช่นิยายรัก แต่ที่ต้องมีเรื่องกุ๊กกิ๊กเพราะมันเป็นธรรมดาของโลก หรือต่อให้จะขยายเป็นy world มันก็ต้องมีเหตุผลที่รองรับมัน
อนึ่ง ใดใดที่เราเขียนล้วนแต่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งทิศทางของเนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่ผู้เขียนอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 06-03-2016 10:09:24
เวรี่น่ารักจุง รักนาง เดี๋ยวนี้เจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวันๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 06-03-2016 10:36:16
รอๆ ตอนต่อไปนะ อยากรู้จักเวจริงๆแล้ว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 06-03-2016 13:45:46
อ่านเรื่องนี้ตอนแรกๆก็พอจะเดาได้อยู่ว่าคงจะยาวน่าดู  แค่ปมเรื่องฟาเรส การประลอง การต่อสู้โน่นนี่นั่นก็ลากได้ยาวแล้ว แต่เห็นคุณคนเขียนบอกว่าจะมีหลายคู่ อันนี้เราอยากจะบอกว่าให้คิดดีๆ ไม่ใช่ว่าไม่ควรมีนะ แต่จากที่เราอ่านNight Knight และDark Wing เรารู้สึกว่าDark Wingสนุกกว่าเยอะ ในความรู้สึกของเรา แฟนตาซีอย่านอกเรื่องเยอะน่าจะดีกว่า เราว่านิยายแฟนตาซีคือนิยายที่แสดงความล้ำของจินตนาการ มันไม่ใช่นิยายรัก แต่ที่ต้องมีเรื่องกุ๊กกิ๊กเพราะมันเป็นธรรมดาของโลก หรือต่อให้จะขยายเป็นy world มันก็ต้องมีเหตุผลที่รองรับมัน
อนึ่ง ใดใดที่เราเขียนล้วนแต่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งทิศทางของเนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่ผู้เขียนอ่ะนะ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ มันก็ช่วยให้มาฉุกคิดได้หลายอย่าง คือเราอยากเขียนคนอื่นบ้างแต่เนื้อเรื่องคงไม่เด่นชัดอะไรนักค่ะ ตามไสตเรานั่นเหละ เพราะเอาจริงๆ เราว่าลำพังเนื้อเรื่องของตัวเอกทั้งสองก็มีมากมาย การที่จะใส่รายละเอียดหนักๆ ให้คู่อื่นคงทำให้คนอ่านสับสนเสียเปล่า ขอบคุณสำหรับการติดตามที่ผ่านๆ มา :mew2:

และแอบดีใจที่บอกว่า Night Knight สนุก เพราะเรื่องนี้เปรียบเสมือนลูกรักของเราค่ะเพราะเก็บเกียวข้อมูลมานาน เริ้มเขียนครั้งแรกตอนม.3 แต่เป็นแบบ ช-ญ ธรรมดาแล้วอะมา ปรับลงที่นี่แหละค่ะ แถมข้อมูลที่มีอยู่ยังสามารถแต่ตอนพิเศษต่อไปได้อีกมากกอยู่ :katai2-1:

สำหรับเรื่องนี้ เราก็คงไม่เขียนให้มันยุ่งยากเท่าไหร่ สำหรับคนที่อ่านมามากคงพอเดาแนวได้สบาย แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เราเห็นในตัวเองคงเป็น คาแรคเตอร์ของตัวละคร เราแบบรู้สึกว่าบางตัวมันยังไม่ชัด หรือบางตัวละครอาจเป็นไปในธรรมนองเดียวกัน ซึ่งหากมีท่านผู้อ่านเห็นชอบอย่างไนก็แนะนำได้ค่ะ  :mew1:

-ถึงนี่จะเป็นเรื่องที่ 3 แต่เรายังถือว่าใหม่มากกับวงการนี้ เพราะนิยาย บรรยาด้วยตัวหนังสือ มันต่างจากรุปที่เราวาด เพราะมันสาดอารมณืลงไปใน้เส้นและสี  ขอบคุณมากๆค่ะ :pig4:
 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: May99 ที่ 07-03-2016 14:32:47
 :-[ :L1:น่าร้ากกกกกกกกกกกก  เขินนนนเลย555555มาต่อไวๆนะคร้าาาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: boyhoy001 ที่ 07-03-2016 21:35:44
สนุกกกอะ  แนวแฟนตาซี  ชอบบบบบบบบ
รีบๆมาต่อนะ  อยากอ่านมาก(มากกว่าหนังสือสอบ) o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 07-03-2016 23:07:27
เรื่องสนุก น่าติดตามมากๆเลย  o13

เราจะรอตอนต่อไปนะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-03-2016 02:04:11
ง่อววว!! ยิ้มมะละ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 7 P3 5-3-59 O///O!!!
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 09-03-2016 11:23:09
บทที่ 8


      การประลองเริ่มขึ้นโดยจับคู่ประลองใครชนะเข้ารอบ ใช้วิชาความรู้อะไรก็ได้ที่เคยเรียนในการจัดการคู่ต่อสู่โดยไม่ให้อีกฝ่ายสาหัสมากเกินไปหรือถึงตาย จะว่าไปไอ้การประลองที่จัดขึ้น มันก็แอบดิบเถื่อนอยู่พอตัว ส่วนใหญ่ที่ลงก็เป็นเด็กคณะวิทยาการการทหาร ส่วนมากจะเป็นพวกปีสุดท้ายเพราะต้องการพอร์ตในการทำงานหลังจบไป คณะอื่นก็มีให้เห็นบ้างประปราย ส่วนใหญ่ลงมาเอาฮาหรืออยากเจ็บตัวเล่น แต่ก็ตกรอบกันไปตามระเบียบ

     สำหรับฟาเรสในรอบแรกๆ มันไม่ยากเท่าไหร่นัก อาจเพราะ หนึ่งพ่อเขาเป็นทหาร ลุงเองก็ใช่ ศิลปะการต่อสู้จึงอยู่ในสายเลือด แม้จะไม่เชี่ยวชาญนัก สองสายเลือดเอลฟ์ในตัว ที่ฟาเรสไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพิเศษเลยจนต้องมาฝึกหนักๆ ทำให้เขาสังเกตุเห็นความสามารถที่ตัวเองมี ที่ชัดๆ เลย คงเป็นระดับการฟื้นตัวที่มากกว่าคนทั่วไปประมาณสองถึงสามเท่า ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหว และสุดท้ายพลังเวทย์แฝงที่มีค่อนข้างมากจนบางทีเจมไม่สามารถรองรับได้และเป็นเขาที่เจ็บเอาเสียเอง

      มาวิค พรีม โอซี่และเวลอร์ สี่คนนั้นไม่มีอะไรน่าห่วง แถมในรอบที่ผ่านมาทั้งสี่ยังกลายเป็ยนี่จับตามอง จนกลายเป็นขวัญใจสาวๆ และมีกลุ่มแฟนคลับเล็กๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ 

      ...นึกแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก มีเพื่อนป๊อป อยู่ในกลุ่มคนป๊อป ผมนี่ดูกากไปเลย...

      แต่ม้ามืดของงานนี้คงหนีไม่พ้นโอซี่กับเวลอร์ ที่เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาตลอด ฟาเรสเองก็ไม่คิดว่าโอซี่จะเก่งกาจขนาดนี้ เพราะเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับอะไร ชอบทำตัวสบายๆ เสียมากกว่า แถมเวลามาสนามฝึกไม่หายไปกับสาวก็นั่งเล่น ส่วนเวลอร์ หมอนั่นมันปีศาจ ไม่รู้เหมือนกันว่าขีดความสามารถของคนๆ นี้มีเท่าไหร่ แม้จะอยู่ด้วยกันทุกวันแต่ฟาเรสคิดว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมเอก จนอดคิดไม่ได้ว่าเวลอร์ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้อาจไม่ใช่ตัวตนของเขาจริงๆ

      ตอนนี้ร่างบางนั่งอยู่ในห้องเตรียมตัวเล็กๆ ของโคลอสเซียมกลางน้ำซึ่งใช้เป็นสนามประลอง ดวงตาสีครามมองขวดแก้วในมืออย่างครุ่นคิด ของเหลวสีเงินไหลเอื่อยเมื่อเขาหมุนมันไปมา จะว่าเป็นยาได้ไหมนะ เพราะมันคือเจมที่ถูบดเป็นโมเลกุลเล็กๆ พอที่จะซึมผ่านผนังเซลได้ ผสมกับสมุนไพรสกัดที่มีสารจำพวก ธีโอฟิลลีน (Theophylline)  ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมองและหัวใจช่วยให้เลือดไหลเวียนได้มากขึ้น นั่นก็เพื่อนให้เจมกระจายไปทั่วร่างได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ยังผสมยาสลายลิ่มเลือดไปเล็กน้อยป้องการอาการต่อต้านเมื่อเจมเข้าสู่กระแสเลือด ยานี่ไม่ได้ผิดกฏเพราะใช้อะไรก็ได้ที่เป็นความรู้ในการประลอง

      ที่ต้องทำแบบนี้เพราะรอบที่ผ่านมาเจ้าตัวเจอปัญหาใหญ่ ในการประลองรอบนั้นฟาเรสโดนซัดจนอาวุธในมือหลุดไป เมื่อไม่มีอาวุธไม่มีเจม แม้จะมีพลังเวทย์มากเพียงใดก็ย่อมเสียเปรียบ แม้อาศัยเทคนิคทางกายเอาตัวรอดจนต่อยเจ้านั่นหมอบแต่ฟาเรสก็เจ็บไม่น้อย ฟาเรสจึงเกิดไอเดีย แทนที่จะถืออาวุธที่มีเจมก็เปลี่ยนเป็นใช้ร่างกายตัวเองเป็นอาวุธ การที่มีเจมไหลเวียนอยู่ในตัวอาจจะทำให้เขาใช้พลังเวทย์ได้อย่างอิสระ เพราะแบบนั้นฟาเรสจึงใช้เวลาสองวันหลังจากนั้นผสมของเหลวสีเงินนี้ขึ้น จากที่ลองจิบเล็กน้อยรับรู้ได้ถึงร่างกายที่เบาขึ้นในช่วงสั้นๆ จึงคิดว่ามันน่าจะใช้ได้ แต่ยังไม่เคยลองในปริมาณที่เยอะขึ้นเพราะไม่มีเวลามากพอ

     วันนี้เขาต้องเข้าประลอง ถ้าชนะเขาจะเข้ารอบแปดคนสุดท้ายซึงหมายถึง มีสิทธิ์ได้ลองทำงานกับหน่วยพิทักษ์นั่นคือสิ่งที่ต้องการ ฟาเรสแพ้ไม่ได้  แต่มันน่าหนักใจตรงคู่ต่อสู้ของเขาวันนี้คือตัวเต็งของปีสาม แน่นอนเจ้านี่มันเก่ง ไม่เก่งจะผ่านมาถึงรอบนี้หรือ แถมรอบที่ผ่านๆ มายังหักแข้งหักขาคู่ต่อสู้เล่นเสียด้วย จิตเป็นบ้า 

      ปากขวดเย็นจรดกับริมฝีปากสวย เทของเหลวสีเงินให้ไหลเอื่อยลงคอช้าๆ สร้างความรู้สึกร้อนวาบไปทั่วท้อง เหลืออีกสิบนาทีคงพอดีกับที่ตัวยากระจายทั่วร่าง ฟาเรสเอนหลังพิงพนัก หลับตาช้าๆ รับรู้ถึงกระแสพลังที่ไหลไปทั่วร่างจนรู้สึกรุมๆเหมือนเป็นไข้ เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นและร่างกายที่รู้สึกเบาราวกับไม่ใช่ตัวเอง ประสาทสัมผัสที่ชัดเจนขึ้นทำให้ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาหน้าห้องหรือแม้กระทังเสียงเซงแซ่จากอัฒจันทร์ด้านนอกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มปวดหัว

      "พร้อมยังฟาร์" เสียงทักของเพื่อนทั้งห้าดังขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา

      "พร้อมแล้ว" 

      "สู้ๆ นะจ้ะ" เซียว่าพลางกอดเขาแน่นแล้วผละออก ก่อนที่คนอื่นๆ จะเดินมาตบบ่าอย่างให้กำลังใจ 

      ยกเว้นเวลอร์ที่ทำเพียงมองเขานิ่งๆ นัยน์ตาสีอำพันหรี่ลงอย่างสงสัยในบางสิ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินมาตบบ่าเข้าบ้างแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดิมตามคนอื่นๆ ออกไป

      ห้านาที ฟาเรสเดินออกมาสู่สนาม ขาเรียวพาร่างโปร่งมาประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ตรงกลางสนาม ท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ส่วนใหญ่เป็นชื่อของฝั่งตรงข้าม

      "สวัสดีหนุ่มสาวทั้งหลาย" เสียงเฮรับกับพิธีกรที่ประกาศก้องสนาม "สำหรับรอบสิบหกคนวันนี้ เป็นการพบกันระหว่าง น้องใหม่ไฟแรง ฟาเรส คาเดนเซีย เห็นหน้าใสๆ แบบนี้ฝีมือไม่เบานะครับ ล้มรุ่นพี่ตัวโตๆ มาแล้ว และ อีกด้าน แอสตัน มานูเอล เขาคนนี้ไม่ธรรมดา กรันตีด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองของปีที่แล้ว ปีนี้เขามาเพื่อแก้ตัว ล้มคู่ต่อสู้มามากมาย แต่ผลปีนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูรอลุ่นกันต่อไป" สิ้นชื่อหมอนั่นเสียงรอบๆ ก็เฮลั่นอีกครั้ง

      "ไงสาวน้อย โอ๊ะ!!!! หนุ่มน้อยถึงจะถูก โทษทีทักผิด" เป็นคำทักทายที่กวนอารมณ์พอตัวสำหรับฟาเรส แอสตันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวกร้านแดดนัยน์ตาสีดำสีเดียวกับผมที่ตัดสั้นจนเกือบเกรียน ดูทะมัดทะแมง น่าจะชื่นชอบการใช้กำลังอยู่พอตัว

    ...สาวน้อยบ้านมึงสิ...

      "แหนะ ทำตัวเฉยชา กฎบอกว่าห้ามฆ่า แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามหักแขนหักขานิ" เจ้านั่นยิ้มร่าก่อนลากสายตาไปทั่วร่างบางอย่างหยาบโลน "ยอมแพ้ดีๆ ไหม แล้วเก็บแรงไปร้องครางใต้ร่างฉันคืนนี้ จะจัดให้นายเป็นพิเศษเลย ฟาเรส" มันลากเลียริมฝีปากพลางมองมาราวกับจะกลืนกิน ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว

      "ไอ้โรคจิต" ฟาเรสด่าเสียงเบา

      การประลองเริ่มขึ้นโดยหมอนั่นเลือกแส้เป็นอาวุธแถมยังมาบอกเหตุผลที่ชวนถีบ ว่าซ้อมไว้เผื่อได้ใช้กับเขาบนเตียง ในสมองมันมีแต่เรื่องเอาเขาไปปู้ยี่ปู้ยำหรือไง ส่วนฟาเรสเลือกใช่สนับเพราะจู่โจมได้สะดวกเหมือนใช้มือเปล่า

      "เอ้า!!! เริ่มประลองกันได้ ใครล้มไม่ลุกก่อนคนนั้นแพ้" 

      เพี๊ยะ!!! เสียงแส้ฟาดลงกับพื้นเพราะฟาเรสเอี้ยวตัวหลบ แอสตันมองเขาอย่างถูกใจ ก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมแส้ในมืออย่างจิงจัง แส้ที่ฟาดพาดผ่านอากาศครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ฟาเรสก็หลบได้อย่างไร้ที่ติ เพราะความรวดเร็วทางกายที่เพิ่มขึ้น จากเจมที่ไหลเวียนอยู่ในกาย

      "หึๆ ไวใช้ได้เลย" มันเอ่ยปากชม ก่อนที่มันจะโถมมาอีกครั้ง หากแต่ร่างบอบบางกับเอี้ยวหลบไปซ้อนหลังก่อนจะต่อยเข้ากลางหลังแอสตันดังอั๊ก แล้วผละถอยเมื่ออีกฝ่ายหันมาสวนกลับ ปลายเส้นหนังที่อาบเวทย์แฝงเฉียดตัวไปนิด ทำให้กระดุมขาดและบาดลงเนื้อเป็นรอยแดง

      "แม่ง...!!" ฟาเรสรู้สึกแสบ เรือนกายขาวๆ อวดโฉมสู่สายตา เรียกรอยยิ้มถูกใจจากอีกฝ่ายบอกให้รู้ว่ามันจงใจ  แล้วหมอนั่นก็กระหน่ำฟาดแส้ใส่จากระยะไกล พอเข้าใกล้ก็โจมตีด้วยหมัดด้วยเข่า ฟาเรสหลบแล้วค่อยๆ โจมตีสวนทีละดอกเมื่ออีกคนเปิดช่องว่าง หมัดถูกส่งไปประเคนหน้าเถื่อนๆ นั่นจนหันอยู่หลายครั้ง ตามด้วยลูกถีบลูกเตะสลับกันไป เพราะฟาเรสไม่ได้กะเอาตายจึงไม่ใส่แรงมาก

      เพี๊ยะ!!! 

      "โอ๊ย!!!" แต่คนเราก็ต้องมีพลาดเมื่อแส้อาบเวทย์พันเข้าที่ขาร่างบางจนล้มกลิ้ง แอสตันอาศัยจังหวะนั้นทะยานเข้าหาฟาเรสที่เสียหลักแล้วกดทับไว้

      "อู้ว!!! ได้อยู่บนตัวนายแล้วเด็กน้อย" ถึงไอ้ยักษ์นี่จะไม่เร็ว แต่เรี่ยวแรงไม่ใช่น้อย สายแส้อาบเวทย์กดรัดคอฟาเรสลงกับพื้นสนามจนเจ็บแปลบ แอสตันแสยะยิ้มถูกใจก่อนจะออกแรงกด 

      "ฮึก..." ร่างบางหายใจติดขัด ส่วนหนึ่งจากแส้ที่พาดทับลำคอขาว อีกส่วนจากหัวใจที่เต้นแรงและอุณหภูมิในกายที่สูงขึ้นเมื่อยาที่กินออกฤทธิ์เต็มกำลัง

      "บอกสิว่ายอมแพ้ ไม่งั้นนายน่วมกว่านี้แน่ พูดสิ พูด!!!!" 

      "ฮึก ปะ ปล่อย" ภาพตรงหน้าเบลอบ้างชัดบ้าง ทุกสิ่งรอบตัวเริ่มช้าลง ราวกับเข็มเวลาถูกหน่วงไว้จนแทบหยุด เสียงเหยียดหยามของแอสตันกระทบโสตประสาทช่างเชื่องช้าแต่ชัดเจน 

      "หึ...ถึงฉันฆ่านายไม่ได้ก็ทำให้สาหัสได้ บอกยอมแพ้ บอกสิ บอกจะยอมให้ฉันทุกอย่าง นอกจากร่างกาย นายมันไม่มีอะไรดีเลย" คนตัวโตเริ่มบ้าคลั่งเมื่อเห็นฟาเรสยังคงเงียบแถมจ้องหน้าตอบอย่างท้าทาย

      ไม่มีอะไรดีงั้นหรอ ถ้อยคำร้ายๆ ที่พ่นใส่ สร้างความเกรี้ยวกราดในดวงตาสีครามที่บัดนี้เหมือนเรืองแสงจางๆ ฟาเรสรับรู้ถึงพลังที่กำลังแล่นพล่านไปทั่วร่างเกินควบคุม  มือที่กดแส้รัดคอเขาไว้ค่อยๆ ถูกรั้งออก แอสตันดูตกใจที่ร่างบางมีแรงฮึดสู้

     ผลัก!!! ตุบ!!! แล้วร่างใหญ่โตก็ถูกแรงมหาศาลถีบกระเด็นไปหลายเมตร  เรียกเสียงฮือฮาจากคนทั้งสนามเพราะนึกไม่ถึงว่าร่างโปร่งบางไปเอาแรงมาจากไหน

     "อะ...อะไรวะ" แอสตันผุดลุก ทั้งเจ็บทั้งงง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว ฟาเรสก็พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ไอพลังลากเป็นสายตามการเคลื่อนไหว ส่งหมัดที่ใส่สนับซึ่งอาบไว้ด้วยพลังเวทย์จนแดงฉานกระแทกเต็มๆ หน้าจนหันไปตามแรง

     เงียบ...ทั้งสนามเงียบงันกับสิ่งที่เกิด ไม่คิดว่าเกมจะพลิก ฟาเรสที่ดูยังไงก็เสียเปรียบในทุกด้าน เพลี่ยงพล้ำให้กับแอสตันจวนเจียนจะแพ้กลับลุกขึ้นมาซัดอีกฝ่ายจนล้มตึงในหมัดเดียว ก่อนที่พิธีกรจะนึกได้แล้วป่าวประกาศชื่อของผู้ชนะตามมาด้วยเสียงปรบมือโห่ร้องก้องสนาม

     ...ชนะแล้วสินะ...

      ฟาเรสหอบหายใจหนักๆ ร่างกายสั่นสะท้านกับความแปรปรวนภายใน ตอนนี้เขาไม่มีอะรมณ์จะสนใจสิ่งรอบตัว รู้อย่างเดียวคือต้องออกไปจากตรงนี้ ขาเรียวพาร่างเดินเข้าไปยังตัวอาคาร สู่ทางเดินที่นำไปยังห้องเตรียมตัวด้านใน เข้าห้องได้จึงรีบปิดประตูลง พอพ้นสายตาทุกคนร่างบางก็ซวนเซจนต้องพิงร่างกับกำแพง

     ภายในมันร้อนเหมือนไฟเผา หัวใจเต้นรัว เจ็บแปลบไปทั่วร่าง  เจมที่รับพลังมากเกินไปอาจแตกสลายได้ หรือร่างกายของเขาจะแตกสลายเพราะมีเจมขนาดเล็กมากมายไหลเวียนอยู่ ฟาเรสตัดพ้อกับความบุ่มบ่ามของตน คิดแต่เรื่องชนะจนลืมผลข้างเคียงโดนยาตัวเองเล่นซะแล้วสิ 

     ดวงตาสีครามเบิกกว้างก่อนจะหลับแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด รับรู้ถึงของเหลวที่ไหลผ่านจมูก เลือดกำเดาที่หยดลงสัมผัสพื้นดังซ่าก่อนจะแห้งเหือดกลายเป็นควัน ฟาเรสได้ยินเสียงเพื่อนๆ เรียกจากด้านหลัง แต่ไม่อาจหันไปมอง

     "ฟาร์ ฟาร์เป็นอะไร" มาวิคเปิดประตูเข้ามาเอ่ยถาม ทั้งที่ตั้งใจจะเข้ามาแสดงความยินดี กลับเห็นร่างบางยืนหอบพิงกำแพงราวกับจะเป็นลม มาวิครีบพุ่งเข้ามาพยุงไว้ก่อนที่ฟาเรสจะทรุดลงกับพื้น ก่อนจะประคองร่างบางให้นอนราบโดยหนุนตักตนไว้ คนที่เหลือจึงกรูเข้ามาดูอาการด้วยความตระหนก

      "ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ หน้านายแดงไปหมด  เป็นอะไร ไหวไหมเนี่ย" เซียว่าเสียงตื่นพลางจับเนื้อจับตัวฟาเรสอย่างร้อนรน มือเล็กๆ คว้าผ้าเช็ดหน้าที่พรีมยื่นให้ซับเลือดกำเดาและเหงื่อกาดบนใบหน้าเนียน

     "ฉะ ฉัน อึก..." ฟาเรสอ้าปากจะอธิบายแต่ร่างกระตุกเกร็งก่อนจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน ภาพตรงหน้าพล่าเรือนไปหมด ยังไม่ทันได้แก้แค้นก็จะมาตายอนาถแบบนี้แล้วหรือ

      "ฉันไม่เคยแนะนำให้นายเอาตัวเองเป็นหนูลองยา" เวลอร์บอกเสียงขุ่นเมื่อเหลือบไปเห็นขวดแก้วที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก้นขวดมีของเหลวสีเงินหลงเหลืออยู่เล็กน้อย เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนเดินมาคุกเข่าข้างๆ ฟาเรสแล้วโชวมันให้ดู

      "อะไรนะ" ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมกัน

      "ใส่อะไรไปมั่ง" แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งแน่นัยน์ตาสีอำพันกลับคุกรุ่นด้วยแรงอารมณ์ 

      "ธีโอฟิลลีน (Theophylline) ฮึก...สะ สารละลายลิ่มเลือด แล้วก็ จะ เจม" เสียงตอบดังผะแผ่ว 

      "นายมันบ้า" มาวิคสบถออกมาอย่างหัวเสีย คนอื่นๆ ก็ตีหน้ายุ่งพอกัน 

      "พากลับห้อง เดี๋ยวฉันตามไป" เวลอร์กำขวดแก้วในมือแน่น ก่อนหุนหันออกจากห้องเตรียมตัวไป

      ฟาเรสรับรู้ว่าร่างถูกอุ้มขึ้น ประสาทสัมผัสลางเลือน แต่ก็ยังรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่ประติดประต่อ ความร้อนภายในกระตุ้นสติของฟาเรสอยู่เนืองๆ ความร้อนภายในแผดเผาราวกับร่างอยู่กลางกองไฟ

      ความอ่อนนุ่มของฟูกบอกให้รู้ว่าฟาเรสมาถึงที่หมายแล้ว สัมผัสเปียกชื้นจากผืนผ้าที่ซับไปตามร่างไม่อาจช่วยบรรเทาความร้อนในกายได้ มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่น ร่างทั้งร่างเหยียดเกร็ง

     "ฮึก...อดทนไว้นะฟาร์" เซียว่าเสียงเครือพลางเอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวเขาไม่หยุด มาวิคเดินไปมาทั่วห้องอย่างหนูติดจั่นจนโอซี่ต้องจับไปนั่งสงบสติอารมณ์ ไว้มุมห้อง

      "นายต้องไม่เป็นไร" พรีมว่างพลางเอาผ้าอีกผืนชุบน้ำเย็นช่วยเช็ดตัวอีกแรง 

      ท่ามกลางความทรมานฟาเรสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นห่วงใยที่ทุกคนมอบให้ เขาพยายามยามลืมตามองรอบๆ แม้จะเป็นเพียงภาพเบลอๆ แล้วหยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีครามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย รู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง

      ท่ามกลางความตึงเครียดภายในห้อง เวลอร์ก็กลับเข้ามาพร้อมขวดยาในมือที่เพิ่งไปผสมมาจากห้องวิจัย พรีมผละออกให้ผู้มาใหม่ได้นั่งแทนที่ แขนแกร่งรั้งร่างที่สั่นเทาขึ้นมาเอนพิงอก 

      "ยาอะไร" มาวิคถาม 

      เวลอร์ไม่ตอบกับเปิดขวดยาจ่อที่ริมฝีปากที่แดงจัดจากความร้อน พร้อมเอามืออีกข้างรั้งปลายคางให้ฟาเรสอ้าปากกินยาลงคอ แต่แค่อึกแรกเจ้าตัวก็สำลักออกมา  ร่างสูงจึงตัดสินใจเอายากรอกปากตัวเองก่อนจะป้อนมันใส่ปากให้คนไม่ได้สติ

      ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายเริ่มสงบ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะปิดลงช้าๆ อาการหายใจหอบลดลง เวลอร์เอามือปัดปอยผมที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าเนียน ใบหน้าที่เคยแดงจัดเริ่มคลายสี เขาจึงจับข้อมือบางดูชีพจรก่อนจะพยักหน้าให้กับทุกคนที่มุงดูว่าไม่เป็นไรแล้ว

      "เฮ้อ!!!" เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง เมื่อฟาเรสเลิกดิ้น เซียจึงจัดการกับรอยแผลรอยช้ำบนตัวคนเจ็บ ดูเวลาล่วงเลยเกือบสองทุ่ม นี่พวกเธอลืมข้าวเย็นกันไปเลยมัวแต่ห่วงเพื่อน

      "พวกนายกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูเอง" เวลอร์บอก ที่เหลือกล่าวฝากฝังก่อนจะออกจากห้องไป มีแต่เพียงมาวิคที่ยังรั้งรอมองมาที่ทั้งสองเหมือนจะพูดบางอย่าง

     "อะ...เอ่อ ฝากด้วยแล้วกัน" มาวิคพูดออกมาแค่นั้นแล้วออกจากห้องตามเพื่อนๆ ไป

 

      ฟาเรสตื่นมาในบ่ายสามโมงของอีกวัน ดวงตาสีครามกะพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงในห้อง จนเพดานตรงหน้าเริ่มชัดเจน นอนอยู่ท่านั้นครู่ใหญ่เพราะทุกส่วนของร่างกายไร้เรี่ยวแรงราวกับเป็นอัมพาต ก่อนจะค่อยๆ เริ่มขยับแขนพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขาอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง ชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นถูกเปลี่ยนให้เรียบร้อย ร่างบางพยายามขยับตัวไปที่ขอบเตียง ก่อนหย่อนตัวลงยืนกับพื้นอย่างยากลำบากแล้วพาตัวเองไปจัดการธุระในห้องน้ำจนเสร็จ แม้จะทุลักทุเลไปบ้างเพราะแรงที่ถดถอยและใช้เวลานานก็ตาม ก่อนจะพาร่างกลับมายังเตียง

     "ฟื้นแล้วหรอ" เซียที่เดินเข้าห้องมาพร้อมด้วยข้าวในมือเอ่ยทักเสียงใส 
 
      "อืม"

      "รู้สึกยังไงบ้าง" 

      "เหมือนไม่ค่อยมีแรงเลย" ฟาเรสบอกเสียงเบา

      "น่าจะเป็นผลที่ใช้พลังเวทย์มากเกินไป นายนะอย่าทำอะไรแผลงๆ แบบนี้อีกนะ คิดจะใช้ร่างกายตัวเองเป็นอาวุธหรือไงถึงผสมอะไรบ้าๆ แบบนั้นกิน เกิดเจมเล็กๆ ที่เข้าไปในตัวนายนั่นรองรับพลังนายไม่ไหว เดี๋ยวได้ตายกันพอดี" เซียบ่นยาว "แต่ไม่เป็นไรแล้วละ ได้เวช่วยไว้ ทีหลังอย่าทำอีกนะ พวกฉันหัวใจจะวาย"

      "ขอโทษนะ" คนถูกว่าตอบเสียงเบาก้มหน้าอย่างสำนึกผิด "แล้วเซียไม่ไปเรียนหรอ"

     "ไปแล้วเมื่อเช้า บ่ายฉันว่างนะเลยมาดูนาย มาๆ กินข้าว จะได้พักเอาแรง" เซียนั่งคุยนั่งเล่นกับฟาเรสจนเย็น นอกจากสวยแล้วฟาเรสมั่นใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นแม่ที่ดีได้แน่ๆ ก็เธอเทคแคร์ดูแลเก่งขนาดนี้ อิจฉาพรีมจริงๆ สำหรับเขาอารมณ์เหมือนมีพี่สาวเลย การแข่งขันของฟาเรสรอบต่อไปเป็นอันยกเลิก เขาถูกปรับแพ้เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อม แค่เข้ารอบแปดคนก็พอแล้วละ

      "วันนี้พรีมแข่งนี่ ไม่ไปดูหรอ" ฟาเรสถามอย่างนึกขึ้นได้ 

      "ถ้าฉันไปใครจะดูนาย" เซียยิ้มบางแต่แอบเห็นแววเสียดายในดวงตาคู่สวยนั่นเล็กน้อย ใครๆ ก็อยากไปเชียร์แฟนตัวเองทั้งนั้นละ พอดีกับเวลอร์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน หลังเกิดเรื่องเพื่อนๆ ได้เอากุญแจสำรองของฟาเรสไปถือไว้อีกชุดเพื่อเข้าออกห้องเขาในยามจำเป็น

     "นี่ไง เวมาแล้ว เซียไปเถอะ เดี๋ยวพรีมไม่มีกำลังใจนะ" ผมบอกด้วยรอยยิ้ม

      "งั้นฉันไปก่อนนะ" เธอว่าก่อนยื่นหน้ามาจูบหน้าผากฟาเรสแล้วออกจากห้องไป

      เวลอร์ไม่แม้จะเอ่ยทักหรือสบตา ร่างสูงก้าวยาวๆ ไปหยิบจานเปล่าที่วางตรงโต๊ะข้างเตียงกับแก้วน้ำแล้วออกจากห้องไป ได้ยินเสียงเปิดน้ำจากตรงครัวบอกให้รู้ว่าเขาเก็บมันไปล้าง รออยู่พักใหญ่คนที่ออกไปก็ไม่มีทีท่าจะเข้ามา หรือว่ากลับห้องไปแล้ว คิดได้ดังนั้นฟาเรสจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้งแต่ก็ยังคาใจกับท่าทีของเมินเฉยที่ได้รับ

      ร่างบางสะดุ้งตื่นอีกทีก็ฟ้ามืด ไฟในห้องถูกเปิดสว่างหันไปมองโซฟาริมระเบียง เวลอร์ที่อยู่ในชุดลำลองนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ดวงตาสีอำพันยังคงจดจ้องกับหน้าหนังสือราวเขาไม่มีตัวตน ทั้งที่ปกติเวลอร์นั้นประสาทสัมผัสไว การที่เขาตื่นทำไมเจ้าตัวจะไม่รู้ 

      "ขอบใจ" เสียงหวานเอ่ยติดขัดเมื่อเห็นโต๊ะข้างเตียงมีผลไม้ น้ำและยาวางอยู่ แต่ได้รับเพียงความเงียบแทนคำตอบ ริมฝีปากสวยเม้มแน่นอย่างอึดอัดเมื่อรู้ตัวว่าถูกเมิน แต่ก็ยอมหยิบยาสีเข้มในขวดขึ้นมากิน แม้รสชาติจะขมเฝื่อนแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าโวยวายเพราะรับรู้ได้ว่าอีกคนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติ

    ...โกรธอะไรหรือเปล่านะ...

      เวลอร์ยังคงอยู่ โดยไม่สนใจฟาเรสที่มองมาที่เขาเป็นระยะ บรรยาการมึนตึงดำเนินต่อไปจนฟาเรสเริ่มจะแย่ มือบางบีบกันแน่นไม่รู้ตัว ความรู้สึกหน่วงๆ ในอกชวนให้หายใจติดขัด คิดทบทวนตัวเองว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจถึงได้ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุเช่นนี้ ครั้นจะเอ่ยปากถามก็ไม่กล้า ความเงียบกำลังทำให้เขาใกล้บ้าเต็มที

     ครืด!!! เสียงเลื่อนเก้าอี้ดึงดวงตาคู่สวยให้หันมอง เวลอร์วางหนังสือในมือลงก่อนจะเดินเข้ามา ตาคมที่มองมาเฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกัน ความรู้สึกบางอย่างประเด้ประดังมาจุกอก มันแย่ แย่มากๆ ดวงตาสีครามมองจานผลไม้กับขวดยาที่ถูกเก็บก่อนคนเก็บจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทันทีที่ร่างใหญ่พ้นสายตา หยาดน้ำตาอุ่นๆ พลันไหลออกมาอย่างที่ฟาเรสก็ไม่เข้าใจตัวเอง

    ...เจ็บ...

      มือบางกุมอกแล้วกำแน่น การกระทำของเวลอร์มันมีผลต่อความรู้สึกเขามากมายจนตระหนักได้ว่าเขาแคร์อีกฝ่ายเหลือเกิน แม้ปกติหมอนี่จะขี้เก๊ก ปากหนัก ถามคำตอบคำและชอบแกล้ง แต่ก็ไม่ได้เย็นชาขนาดนี้ ราวกับว่าที่เวลอร์ยังอยู่ในห้องนี้เพราะเขาต้องดูแลฟาเรสตามหน้าที่เท่านั้นเอง

      ไม่อยากเจอเวลอร์ที่เป็นแบบนี้ ร่างบางลุกออกจากเตียงไปที่ประตู แต่ด้วยแรงกายที่ยังกลับมาไม่เต็มที่ ทำเอาเข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้นแต่ก็พยายามฝืนลุกเดินไปยังเป้าหมาย ตั้งใจจะล๊อคมันซะ จะได้ไม่มีใครบางคนเข้ามาเสนอหน้าให้ทรมานใจ

      แกร๊ก!!! แต่ประตูเจ้ากรรมดันเปิดออกก่อนที่มือฟาเรสจะได้สัมผัสลูกบิด แล้วทั้งคู่ก็เผชิญหน้ากัน ใบหน้าเนียนที่อาบด้วยน้ำตามองอีกฝ่ายอย่างตกใจก่อนจะก้าวถอยอย่างลืมตัวเพราะไม่ได้คิดจะเผชิญหน้ากันในสภาพที่ตัวเองดูอ่อนแองี่เง่าขนาดนี้

      "ปล่อยเลย" ฟาเรสว่าอย่างหัวเสียเมื่อร่างถูกอุ้มลอยจากพื้นก่อนจะถูกทิ้งลงบนเตียงนุ่ม ร่างใหญ่โถมมาทับไว้พร้อมรวบข้อมือเล็กๆ กดไว้เหนือหัว "ทำบ้าอะไร ฮึก "

      "ร้องไห้ทำไม" ดวงตาสีครามมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ

      ...ยังมีหน้ามาถามอีก...

       "จะรู้ไปทำไม ไม่ต้องมาทำเป็นสนใจเลย ไอ้คนงี่เง่า เมินนักก็เมินให้ตลอดไปเลยสิ ฮึก...แม่ง ถ้าจะมาทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนี้ไปไหนก็ไปเลย" คนข้างใต้ทั้งดิ้นทั้งโวยวาย อารมณ์ขุ่นมัวที่เก็บไว้ก่อนหน้าระเบิดออกมากเป็นน้ำตาที่ไหลเอ่อ

      "ไม่ไป" เสียงทุ้มบอกเรียบๆ เวลอร์จำต้องตีหน้านิ่งดัดนิสัยเด็กดื้อ แต่น้ำตาใสๆ ทำใจเขาอ่อนยวบ ฟาเรสเบ้ปากอย่างขัดใจ พร้อมหันหนีไม่ยอมมอง ริมฝีปากหนาหยักยิ้มเห็นแบบนี้รังแกไม่ลงแล้วละ

      "รู้สึกยังไง หืม" เวลอร์ถามพลางเอามือข้างที่ว่าง จับคางให้ฟาเรสหันมามอง พอหลบสายตาไม่ได้เจ้าตัวเลยเลือกจะหลับตาหนี 

       "รู้สึกแย่ใช่ไหมละ" ใบหน้าคมโน้นลงไปจูบซับหยาดน้ำตา ทำเอาคนถูกกระทำสั่นเกร็ง 

       "แย่สิ นายเมินฉันแบบนี้ บอกว่าเกลียดไปเลยยังดีซะกว่า" เสียงหวานตอบปนสะอื้น 

       "ใช่มันโครตแย่ รู้ไหมตอนที่ฉันเห็นนายทุรนทุรายจากไอ้ยาบ้าๆ นั่น มันก็รู้สึกแย่พอกัน" จมูกโด่งคลอเคลียแก้มใสก่อนจะกระซิบบอกสิ่งที่คิด ดวงตาสีครามลืมขึ้นมองหน้าเขาอย่างฉงน

       "เพราะงั้นเลยโกรธฉันหรอ" ริมฝีปากสวยเอ่ยถาม 

       "โกรธสิ โกรธที่นาย ทำอะไรบ้าๆ รู้ไหมทุกคนพยายามปกป้องนายมากแค่ไหน แต่นายเองกลับมาหาเรื่องให้ตัวเองเป็นอันตรายแบบนี้ มันน่าโกรธไหมละ" เวลอร์มองมาด้วยสายตาดุๆ เหมือนผู้ใหญ่ปรามเด็กอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ ฟาเรสรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันใด อย่างน้อยมันก็ดีกว่าสายตาเฉยชานั่น

      "ขอโทษ" คนผิดบอกเสียงแผ่วพลางหลบสายตาคมที่จ้องเขาไม่เลิก ทำเอาแก้มใสซับสีเข้มอย่างห้ามไม่อยู่

      "อืม...อย่าทำให้เป็นห่วงอีกละ" คนตัวโตรับคำพร้อมฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่มๆ นั่นไปที ที่ทำทั้งหมดก็เพราะอยากให้ฟาเรสรับรู้สิ่งที่เขารู้สึกบ้าง จะได้ไม่กล้าทำอะไรแบบนี้อีก

      แม้ฟาเรสจะเรียนเก่ง และเป็นคนฉลาด แต่อย่าลืมว่าเจ้าตัวเพิ่งสิบหกแม้จะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม ความคิดอ่านบางอย่างยังไม่ค่อยรอบคอบ และบางครั้งก็ทำอะไรโดยไม่นึกถึงผลที่ตามมา เหมือนครั้งนี้ หากเวลอร์ไม่อยู่ และผสมยาแก้ได้ทันท่วงที ร่างกายบอบบางนี่อาจช๊อคจนถึงตายได้ ยิ่งมีเจมไหลเวียนในกายยิ่งเป็นอันตรายจากพลังที่ไม่สมดุลและควบคุมไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้วฟาเรสมีพลังเวทย์บริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลางก็แสดงพลังออกมาได้ หากแต่ต้องฝึกฝนเรียนรู้เท่านั้นเอง

      "เฮ้ย!!!" พอความขุ่นเคืองจางไปความเขินอายก็เข้ามาแทน ฟาเรสร้องออกมาเมื่อตระหนักได้ถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ โดนคนอื่นคร่อมไว้ขนาดนี้แถมเป็นผู้ชายตัวโต หากเป็นสาวอกตูมๆ เขาคงยินดี แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว ข้อมือที่โดนรวบไว้มันชักเจ็บขึ้นมาซะแล้วสิ 

      "เว ปล่อย"

      "หืม..."

      "ปล่อยมือ มันเจ็บ" 

      "อ๊ะ...โทษที" มือกร้านคลายออกแต่ไม่วายดึงแขนเล็กๆ นั่นมาจูบเบาๆ ตรงข้อมือที่เป็นรอยแดง ทำเอาหน้าเนียนเห่อร้อนไปหมด

      "งื้อ พอ พอแล้ว ลุกออกไปด้วยมันหนัก" ใบหน้าหล่อยิ้มรับก่อนจะพลิกตัวฟาเรสให้มาอยู่ด้านบนแล้วกอดกระชับ 

      "ไม่หนักแล้วนะ" ร่างบางถึงกับเหวอไม่คิดว่าจะมามุกนี้ ทั้งขืนตัวออกทั้งทุบทั้งตีแต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะปล่อยซ้ำร้ายยังกอดแน่นกว่าเดิม จนฟาเรสต้องหยุดเองเพราะกลัวมีคนช้ำตายไปเสียก่อน

"ไอ้บ้าเว" ฟาเรสสบถเบาๆ ก่อนจะซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างอย่างปลงๆ จบด้วยการอยู่เฉยๆ ให้เขากอดทุกทีสิให้ตาย ควรทำใจให้ชินสินะ

.....................................................

-มาต่อแล้วจ้า  :really2:

-มันยังเรื่อยๆ เปื่อยๆ อยู่เลยเนอะ เนื้อเรื่องอะ  :mew2:

- เราลองวาดรูปฟาเรสดู แต่ก็ฉีกทิ้งไปหลายแผ่น แบบมันไม่ถูกใจไรงี้ จะพยายามวาดให้เสร็จเน้อ  :katai5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: boyhoy001 ที่ 09-03-2016 11:42:59
มาแล้วววว  น่ารักมาก :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 09-03-2016 12:37:13
น้องฟานี่น้า ชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงจริงๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: Malila ที่ 09-03-2016 12:52:08
เขินนนนเลย :o8:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-03-2016 13:15:01
 :mew1:   :o8:  น้องฟา รู้สึกตัวสักทีนะว่าควรจะแคร์อะไร ฝากชีวิตไว้กับใคร
เขินเลยดิ ชอบเขาก็บอกเขาไปสิลูก
เรื่องรูปไม่ต้องกดดันจ้า เดี๋ยวก็มาเอง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 09-03-2016 15:13:19
ฟาเรสทำเอาใจคว่ำใจหายจริงๆ  :hao4:

ยังไงก้ติดอันดับ8คนแล้วสิน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 09-03-2016 16:08:20
Fares Cadencia

(http://upic.me/i/p2/faressmall.jpg) (http://upic.me/show/58045728)
นั่งวาดเล่นในที่ทำงาน  :katai5: อิอิ
ไว้งวดหน้าว่าจะลองแบบสีน้ำดู ต้องไปเทสสกิลก่อนซักนิด
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 09-03-2016 19:41:28
ฟาเรสนี่น่าตีจริงๆ
อย่าทำอย่างนี้อีกนะหนู เวเขาห่วงของเขา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 09-03-2016 20:34:09
น่าติดตามมม
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 09-03-2016 21:01:10
หวานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  :impress2: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 10-03-2016 01:13:24
โถ่ๆ เวเมินทีร้องไห้เลย น่าเอ็นดูเด็กน้อยฟาเรส
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 10-03-2016 01:14:51
เวดูเป็นห่วงมากนะ ป้อนยาขนาดนี้ คงจะไม่มีคู่แข่งมากวนใจล่ะ

ปล.รูปฟาเรสสวยม๊ากกก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-03-2016 03:50:53
ตั้ลล้ากกก!!
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 8 P3 9-3-59 = ='
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 13-03-2016 22:34:56
บทที่ 9


    "ไง ไอ้หลานรัก ไหนมาสารภาพซิ ว่าก่อเรื่องอะไร" ลุงเอเบรียนมาเยี่ยมในสองวันต่อมา เพื่อนในห้องต่างมองหน้ากันอย่างวิตกระหว่างนั่งดูฟาเรสโดนท่านผู้อำนวยการสอบปากคำอยู่ในห้องนั่งเล่น

    "อะ เอ่อ ผมแค่ลองเทสยาที่ผสมเองนิดหน่อยตอนประลองนะครับ" 

    "ไม่นิดแล้วมั้ง ยาอะไร" คิ้วเข้มของผู้เป็นลุงขมวดมุ่นอย่างคาดคั้น มั่นใจเลยว่าต้องเป็นยาอันตรายไม่งั้นหลานชายคงไม่นอนซมก่อนหน้านี้หรอก

    "ก็ เป็นยาที่ผสมเจ็มโมเลกุลเล็กๆ อะเอ้อ...แบบ พอมีเจมไหลเวียนอยู่ในตัว เราจะได้ ใช้พลังเวทย์ได้อย่างอิสระไง แหะๆ" คนถูกสอบหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นสายตากรุ่นโกรธของลุง "แต่มันก็ใช้ได้นะครับ"

    "ใช้ได้ แต่ผลข้างเคียงเกือบตายนี่นะ" เสียงแหบเข้มว่าดัง ทำเอาฟาเรสสะดุ้ง

    "ก็ผมอยากเข้ารอบแปดคนนี่ รอบที่แล้วผมโดนเตะอาวุธหลุดมือเกือบแพ้ เลยหาทางแก้ปัญหา แล้ว ตอนลองนิดๆ มันก็ไม่เป็นเป็นไร" ฟาเรสแก้ตัวเสียงอ่อยพลางก้มหน้างุด

    "เลยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นยังไงงั้นหรอ" นัยน์ตาสีเทาดุดันจนทุกคนในห้องขนลุก ยกเว้นเวลอร์ที่นั่งสบายๆ อย่างไม่ยี่หระ 

    "ผมแค่อยากลองไปทำงานในหน่วยพิทักษ์" ดวงตาสีครามช้อนมองผู้เป็นลุงอย่างอ้อนๆ "ฟาร์ขอโทษ อย่าโกรธฟาร์เลย" เล่นเรียกชื่อแทนตัวเองแถมอ้อนเสียงอ่อนขนาดนี้ สุดท้ายคนสูงวัยก็ยอมแพ้อย่างจำนน เมื่อท่าทางพวกนั้นมาน่ารักเสียเหลือเกิน

     "อย่าให้มีอีก"

    "ครับท่านลุง" แล้วก็รับคำอย่างเริ่งร่า ทำเอาทั้งห้องยิ้มตาม 

    ยิ่งเพื่อนๆ ได้รู้จัก ตัวตนของฟาเรสยิ่งชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวเป็นพวกร่าเริงแถมยังมึนได้โล่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนตระหนักได้ก็คือรอยยิ้มที่มักจะทำให้ทุกอย่างรอบตัวสดใสเสมอ

    "สังเกตุไหมทุกครั้งที่ฟาร์ใช้อาวุธ มักจะมีปัญหา บางครั้งเจมก็ไม่สามารถรองรับพลังได้จนกลายเป็นหลานที่เจ็บซะเอง" 

    "เอ่อ ครับ" ฟาเรสพยักหน้ารับ แม้เขาจะพยายามควบคุมพลังเวทย์ที่ไหลผ่านเจมให้พอเหมาะ แต่ในยามเผลอจัดเต็ม เจมมีอันต้องร้อนจนแตกทุกที

    "นั่นเพราะพลังของเราเป็นเวทย์บริสุทธิ์ไง พลังพวกนั้นมาจากเลือดเอลฟ์ในตัวหลาน ฟาร่าเป็นเอลฟ์ที่มีพลังแข็งแกร่ง มาจากสายเลือดเอลฟ์ชั้นสูง สิ่งเหล่านั้นจึงถ่ายทอดมาที่หลานไงละ เพียงแต่หลานต้องฝึกใช้มัน" เอเบรียนอธิบาย

    "นายเจ๋งขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย" มาวิคว่า

    "ใช้พลังได้เเบบไม่ต้องพึงเจม น่าอิจฉา" พรีมมามั่ง

    "คนที่มีพลังเวทย์แฝงมากๆ ก็ทำได้นะ" คนแก่สุดบอกพร้อมยิ้มให้กับทุกคน "แต่อาจต้องฝึกหนักหน่อยจนพลังมันข้ามขั้นแล้วกลายเป็นพลังอิสระที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลาง แต่ก็น้อยคนจริงๆ นั่นแหละ"

    "อืมม...ท่านลุงจะช่วยฝึกให้ผมได้ไหมครับ" ฟาเรสร้องขออย่างมีหวัง

    "ฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาซะด้วยสิ ลำพังวิชาเอกยังแทบไม่ได้สอนเลย หลานก็เห็น งั้นเอางี้  ให้เวลอร์เป็นคนสอนก็แล้วกัน อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วนี่" เอเบรียนเสนอ "อย่างเวนะ น่าจะสอนได้สบายๆ นายว่าไง"

    "ก็แล้วแต่อารมณ์" เวลอร์ตอบเสียงเรียบ

    "ไม่เต็มใจก็ไม่ต้อง" ฟาเรสแขวะ หมั่นไส้คนขี้เก๊ก 

    "เห้อ ช่วยสอนฟาเรสเขาหน่อย เดี๋ยวมันไปทำอะไรแผลงๆ อีกจะวุ่นเอา" เอเบรียนคะยั้นคะย้อ อีกคนก็ไหวไหล่ให้ทีหนึ่ง "ไม่ปฏิเสธถือว่าตกลง งั้นให้เวลอร์สอนไปแล้วกันนะ"

     "แต่...เอ่อ ครับลุง" ฟาเรสรับคำอย่างเสียไม่ได้เมื่อเจอสายตาบังคับของผู้เป็นลุง

     อีกหน่อยฟาเรสคงต้องเรียกเวลอร์ว่าท่านอาจารย์แล้วละ เพราะหมอนี่สอนเขาหลายอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องสมุนไพร การทำยา ทุกสิ่งทุกอย่างในวิชาเอก แล้วนี่ยังจะให้มาสอนการใช้พลังเวทย์ให้เขาอีก 

     ....ถ้ามันจะเก่งขนาดนี้บรรจุเป็นอาจารย์ไปเลยก็ได้นะ...

    "เอ้อ รอบชิงในวันจันทร์นี้นะ อย่าลืมเตรียมตัวกันไว้ละ เราจะเปิดให้คนนอกเข้ามาดูด้วย หวังว่าจะทำให้ผู้ชมสนุกนะ ส่วนเธอสองคน มาวิค พรีม รอบที่ผ่านมาพวกเธอทำได้ดีมาก ฉันสนุกกับการต่อสู้ของเธอจริงๆ ฝึกต่อไปนะ ฉันว่าปีหน้าถ้าลงอีกพวกเธอต้องทำได้เยี่ยมแน่ๆ" เอเบรียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทางการ

     "อืม รอบนี้หวังว่านายจะเอาจริงนะ" โอซี่หันไปบอกเวลอร์ นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความสนุก

     "ได้เสมอถ้านายต้องการ"

      "งั้นฉันจะให้คนดูเรื่องความปลอดภัยของสนามแล้วกัน ว่าจะเพิ่มบราเรียขึ้นอีกชั้น กันคนดูโดนลูกหลง" ผู้อำนวยการแจง  จากการที่ได้เห็นสองคนนี้ประลองในรอบที่ผ่านๆ มา คนที่ประสบการณ์มากมายอย่างเอเบรียนสามารถรับรู้สึกพลังที่มีมากเกินมนุษย์ของทั้งคู่จึงเข้าใจสถานการณ์ดี

     "ขอบคุณครับ" โอซี่บอก

     "งั้นฉันไปละ ดูและตัวเองดีๆ นะไอ้หลานรัก ถ้ารู้ว่าก่อเรื่องลุงจะจับย้ายไปอยู่ด้วย คุมประพฤติไปในตัว เวมาด้วยกันหน่อยสิ" หันมาขู่เสร็จก็ออกจากห้องไป โดยหนุ่มสาวที่เหลือลุกขึ้นโค้งให้ตามมารยาท ส่วนเวลอร์ก็เดินตามผู้สูงวัยออกจากห้องไป


     มันก็เป็นไปตามคาด ที่สองคนนี้จะได้ชิงกัน เพราะพรีมเองก็แพ้ตอนรอบแปดคน มาวิคเองก็แพ้ให้เด็กปีสามไปเช่นกัน ทั้งคู่ยังแอบเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้เจอกันเองเพราะดันไปท้ากันไว้ก่อนแข่ง เลยมีแพลนจะนัดดวลกันนอกรอบอีกที 

     "ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ไปดูพวกนายแข่ง" ฟาเรสหันไปขอโทษเพื่อนทั้งสอนเพราะมัวแต่พักฟื้นจนพลาดไป

     "ไม่เป็นไรๆ ยังไงพวกฉันก็นัดนอกรอบกันอยู่แล้ว" มาวิคบอกปัดยิ้มๆ 

     "หลังจบเราต้องไปฉลองอยู่แล้วใช่ไหมละ คนที่ชนะ ไม่โอซี่ก็เว เพื่อนเราทั้งคู่นั่นแหละ มาวิคกับพรีม ใครแพ้ก็เป็นเจ้าภาพไปแล้วกัน" เซียเสนอความคิด

    "เอางั้นก็ได้ ระวังกระเป๋าฉีกละเพื่อน" พรีมยกยิ้มพลางยักคิ้วท้าทายเพื่อน

     "แล้วเสาร์อาทิตย์นี้ยังไง พวกนายกลับบ้านหรือเปล่า ฉันต้องกลับวะ พ่อกับแม่จะตัดออกจากกองมรดกแล้วเนี่ย" มาวิคบ่นหน้างอ "ไปด้วยกันไหมฟาร์"

     "ไม่ละ ขี้เกียจ" คนถูกถามปฏิเสธ

     "ฉันว่าจะไปบ้านพรีมนะ อาทิตย์นี้ คุณแม่นัดทานข้าว" เซียบอกพลางยิ้มเขิน นี่คงได้เป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ชัวร์ "คงเหลือแต่โอซี่กับเวละมั้ง"

     "เอิ่ม ไม่แน่ใจนะ อาจไปหาอะไรทำคลายเครียดในเดสเซนท์ อยากไปดื่มนะ" โอซี่บอกพลางยกยิ้มแบบมีเลศนัยน์ บอกให้รู้ว่าคงไม่จบด้วยการไปดื่มตามไสตล์เจ้าตัว 



    สรุปแล้วสุดสัปดาห์ของฟาเรสก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะเวลอร์เองก็บอกว่าจะไปช่วยงานท่านลุง ก็ดีไม่มีหมอนั่นมากวนใจ อยู่ใกล้แล้วสมาธิไม่ค่อยมี  โชคดีที่เวลอร์ช่วยจดสรุปไว้ให้ ไม่ถึงครึ่งวันฟาเรสก็เคลียรายงานที่คั่งค้างเสร็จ ชีวิตมันว่าง ซ้อมก็ไม่ได้ซ้อม อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำฟาเรสจึงตัดสินใจนั่งเรือเข้าไปยังเดสเซนท์ว่าจะไปค้างซักคืน เดินเล่นในเมืองเผื่อมีอะไรใหม่ๆ ให้ซื้อ

     "เฮ้ย ฟาร์มาไงวะ" เสียงทักดังขึ้นระหว่างที่ฟาเรสกำลังนั่งชิวตรงท่าเรือของเดสเซนท์พร้อมกับเบียร์ในมืออีกกระป๋องนั่งชมประอาทิตย์ตกดิน

     "ไงโอซี่ เคลียงานเสร็จไม่มีอะไรทำเลยแวะเข้ามาเที่ยวเล่นนะ" โอซี่ยิ้มรับก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ กับร่างโปร่ง "เอาไหม" ว่าแล้วก็ยื่นเบียร์ให้ผู้มาใหม่

    "ขอบใจ แล้วนี่พักที่ไหน"

    "โรงแรม...ใกล้ที่นี่แหละ" ฟาเรสบอกพลางทอดมองไปยังแสงสุดท้ายของวัน

    "นายกับเวรู้จักกันนานแล้วหรอ" 

    "ไม่หรอก ก็มาเจอกันที่อานิมานี่แหละ ทำไมละ" ดวงตาสีครามมองคนถามอย่างแปลกใจ

    "เปล่า แค่เหมือนเวจะรู้จักนายดี อย่างกับคนที่เจอมานาน" ฟาเรสได้แต่ยักไหล่

    "คืนนี้ไปดื่มกันไหม" โอซี่เอ่ยปากชวน

    "อายุไม่ถึงเข้าผับได้ที่ไหนละ" ที่เมืองไม่เหมือนอานิมา คงมีการตรวจบัตรแน่ๆ ฟาเรสเองก็เพิ่งสิบหก

    "เรื่องนี้เดี๋ยวจัดการให้"



     ฟาเรสนัดกับโอซี่ที่ผับไนท์เฮเวียตอนสองทุ่ม ผับหรูใจกลางเดสเซนธ์ทันทีที่มาถึง ฟาเรสในชุดลำลองเสื้อเชิตสีครีมกับกางเกงยีนเข้ารูปสีเทากำลังยืนเคว้งรอโอซี่ออกมารับ ไม่นานชายหนุ่มร่างผิวแทนออกมาในชุดเสื้อยืนแขนยาวสีขาวเข้ารูปกับกางเกงยีนสีซีด ถึงหน้าจะไม่หล่อเท่าเวลอร์แต่ก็คมเข้มดูดีพอตัว รูปร่างสูงใหญ่กับไลน์กล้ามเนื้อที่เห็นได้แม้มีเสื้อผ้าบดบังก็ทำให้เพื่อนเข้าคนนี้มีดูเท่มีสเน่ห์อยู่มากโข ยิ่งดวงตาสีดำแพรวพราวนั่นเปรียบสเมือนหลุมดำที่ดึงดูคนที่มองให้หลงไหล ถ้าให้ฟาเรสนิยาม โอซี่คงเป็นผู้ชายประเภท Sex Appeal สูง

     "ไงฟาร์ เข้าไปข้างในกัน จองโต๊ะไว้แล้ว" ว่าแล้วก็จูงมือคนตัวเล็กกว่าเข้าไปด้านในโดยที่การ์ดไม่กล้าวุ่นวายกับเขาเลยแม้แต่น้อย 

     ฟาเรสไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าเนียนกับรูปร่างโปร่งและผิวผุดผ่องของตนเมื่ออยู่ใต้แสงสลัวของบรรยากาศในผับมันช่างดึงดูดเสียนี่กะไร จนโอซี่ที่ใบหน้ามักแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหันไปส่งสายตาดุดันแก่คนรอบข้างที่มองมายังฟาเรสอย่างปรารถนาจนทั้งหญิงชายเหล่านั้นรีบหลบตาทันที

     "พามาแบบนี้คงไม่โดนไอ้เวฆ่าทิ้งหรอนะ" เสียงทุ้มพึมพำ ที่ชวนก็แค่อยากให้ฟาเรสได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ชีวิตมีแต่เรียนกับป่วยกลัวจะเบื่อไปเสียก่อน 

    เขาไม่ได้ปราถนาอะไรในคนตัวเล็กอยู่แล้ว เพราะสำหรับเขานั้นเอ็นดูฟาเรสในฐานะเพื่อนแต่บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นน้องชายที่ต้องดูแล แต่ที่ท้าพนันเวลอร์ไปเพราะอยากเห็นพลังที่แท้จริงของอีกฝ่าย เพราะเขามั่นใจว่าหมอนั่นต้องหวงคนคนนี้แน่นอน

    "ไงโอซี่ ไปพาหนุ่มน้อยที่ไหนมา" สาวๆ ที่นั่งเต็มโต๊ะเอ่ยทักรีบมาคว้าฟาเรสดึงไปนั่ง ก่อนสาวสวยสองนางจะรีบประกบซ้ายขวาอย่างถูกใจ

    "ไงจ๊ะ ชื่ออะไรละเรา" สาวผมสีเบสเอ่ยถามพลางเคลียแก้มใสเบาๆ 

    "ฟาเรสครับ"

    "อุ้ย น่ารัก กินได้ไหมโอซี่" สาวผมดำอิกคนหันไปถามโอซี่ที่นั่งลงตรงโซฟายาวอีกตัว

    "จับได้ ดูได้ แต่ห้ามกิน" โอซี่ตอบยิ้มๆ พลางเอนหลังพิงพนักก่อนรับเหล้าที่สาวสวยนางหนึ่งชงให้ ในโต๊ะตอนนี้มีอยู่เจ็ดคนรวมเพื่อนเที่ยวที่โอซี่ชวนมาด้วยซึ่งทั้งหมดเป็นผู้หญิง 

     ดื่มกันไปคุยกันไป สาวๆ ต่างให้ความสนใจถามไถ่ฟาเรสเป็นอย่างดี พวกเธอพากันขุดเรื่องฮาๆ เปิ่นๆ ของโอซี่ออกมาเล่า แต่เจ้าตัวก็หาได้โกรธกับยิ้มรับเสียอีก แล้วก็ชวนฟาเรสไปออกเสตปบนฟลอแต่ได้ไม่นานโอซี่ก็ต้องลากเพื่อนกลับมานั่งโต๊ะเพราะทนเห็นฟาเรสโดนลวนลามไม่ไหว เป็นห่วงสวัสดิภาพของเพื่อนตัวเล็ก จวบจนเที่ยงคืนจึงพากันแยกย้าย

     ตอนแรกโอซี่ว่าจะไปส่งฟาเรสที่โรงแรม แต่ร่างโปร่งเห็นเพื่อนหิ้วสาวกลับมาด้วยเลยรู้สึกเกรงใจ เลยออกปากว่าจะกลับเอง จึ่งได้ร่ำราไปทางใครทางมัน

     "เจอกันวันจันทร์นะ" โอซี่บอกลาเพื่อนพลางมองตามร่างโปร่งที่เดินไปตามทางจนลับตา คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งยังไงเจ้านั่นก็เป็นผู้ชายแถมต่อยตีเก่งพอตัว ก่อนจะเอาโทรศัพท์ออกมาโทร

     ...เด็กมันหนีมาเที่ยวรู้ไหมเนี่ย โทรไปแซวซักหน่อยดีกว่า...

     "ไงเว" เอ่ยทักทันทีเมื่อมีคนรับสาย

     "มีอะไรพวก"

     "ฉันเจอฟาเรสด้วยวะ"

     "ฮะ...ไปเจอได้ไง ไหนว่าอยู่อานิมา" ปลายสายถามเสียงขุ่น อารมณ์เหมือนพ่อที่ลูกหนีเที่ยว

     "เจอที่ท่าเรือเดสเซนท์เมื่อเย็นเลยชวนมาผับด้วย เพิ่งแยกกันเมื่อกี้นี่แหละ เห็นว่าจะกลับโรงแรม...แถวท่าเรือนั่นแหละ" โอซี่บอก ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ จากอีกฝั่ง ได้เห็นท่าทีร้อนรนของเวลอร์ทำให้เขารู้สึกสนุก จึงอดไม่ได้ที่จะแซว  "ให้ตามไปส่งไหม ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้น"

    "ไม่ต้องเดี๋ยวจัดการเอง" ว่าแล้วอีกคนก็ตัดสายไป ในใจก็คิดเมื่อไหร่สองคนนี้จะลงเอยกันเสียที สงสารก็แต่มาวิคงานนี้อกหักชัวร์แต่ก็แอบกลัวใจเพื่อนตัวเองคนอย่างมาวิคเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งคงไม่เล่นอะไรสกปรกหรอกนะ




     ฟาเรสเดินไปตามทางเรื่อยโรงแรมอยู่ห่างจากที่นี่ราวๆ สองกิโลเมตร ที่เลือกจะเดินเพราะอยากซึมซับบรรยากาศของเมืองในยามค่ำคืน แม้จะปราศจากเสียงดังรถราและผู้คนแต่ไฟตามทางก็ยังส่องสว่างอวดโฉมสิ่งก็สร้างใต้แสดงสลัวให้ดูสวยไปอีกแบบ ในไวท์ออชาร์ดไม่ค่อยมีตึกสูงเหมือนที่นี่แต่อาคารบ้านเรือนก็สวยไม่แพ้กันเน้นตกแต่งด้วยลวดลาธรรมชาติให้กรมกลืนกับสภาพแวดล้อม 

     ชักคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วสิ คิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่ที่รักเขาแม้ไม่ใช่ลูก เสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวทั้งสองลอยมาตามลมชวนให้ขอบตาร้อนผ่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดถึงวิหารกลางน้ำคิดถึงรูปสลักที่นั่งอยู่ในนั้นถึงเจ้านั่นจะตอบโต้อะไรไม่ได้แต่ก็เป็นผู้รับฟังยามเขาทุกข์ใจ ถึงที่บ้านจะเหลือเพียงความทรงจำแห่งการสูญเสียแต่ก็อยากจะกลับไปซักครั้ง

     ขณะที่ปล่อยใจไปกับเรื่องราวแสนสุขในอดีตสองเท้ากลับหยุดชะงักเพราะรับรู้ถึงความผิดปกติรอบตัว แล้วชายสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าฟาเรส ลางสังหรย้ำเตือนว่ากำลังจะมีอันตราย ดวงตาสีครามมองหาทางหนีทีไล่ แต่เมื่อจะวิ่งกลับไปดานหลังดันมีไวโซลสามตัวกระโจนมาขวางไว้ ก่อนที่ตัวอื่นๆ จะปรากฏกายออกมากจากความมืด นับดูๆ แล้วเป็นสิบ ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นรัวด้วยความกลัว หากมีการประทะกันคงสู้ไม่ได้ 

    ...มนุษย์ที่มากับไวด์โซล นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย...

    "หึๆ กว่าจะหาโอกาสที่แกอยู่คนเดียวได้ ลำบากเป็นบ้า นึกว่าจะต้องบุกเข้าไปในอานิมาลากตัวแกออกมาเสียอีก" หนึ่งในนั้นเอ่ย พลางแสยะยิ้ม 

    "แกเป็นใคร ต้องการอะไร"

    "กำจัดแกไง" มันตอบเสียงดัง 

    "เฮ้เดรก นายท่านบอกให้เจรจาก่อน" อีกคนหนึ่งเอ่ยเย้ง ก่อนหันมายิ้มละไมให้ฟาเรส "ไปกับเราไหมเด็กน้อย ความสามารถของเธอนะเราต้องการมัน ทำงานกับเรา เราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี" เจ้านั่นกล่อมเสียงนุ่ม 

    "ไม่มีทาง" ฟาเรสปฏิเสธทันที พวกนี้เป็นพวกเดียวกับไวด์โซลเขาคงไม่มีวันอยู่ร่วมกับสิ่งที่ทำลายครอบครัวเขาเด็ดขาด

    "แน่ใจนะที่ตอบแบบนั้น"

    "แน่สิ ฉันไม่มีวันทำงานกับพวกแกหรอกโว้ย" ฟาเรสปฏิเสธเสียงแข็งในสถานการณ์เป็นรองหากต้องสู้เขาก็จะสู้ให้ถึงที่สุด

    "งั้นก็ช่วยไม่ได้" 

    กรร!!! สิ้นเสียงเจ้านั่นเหล่าไวด์โซลก็ทะยานหาร่างโปร่งอย่างพร้อมเพรียง ฟาเรสสามารถหลบการโจมตีได้อย่างเฉียดฉิว ด้วยความรวดเร็วคล่องแคล่วที่ฝึกตัวเองมากอย่างหนักเพื่อการประลอง แต่ในมือกับไม่มีอาวุธใดๆ ให้สวนกลับนอกจากหมัดและเท้า ซึ่งมันก็ไม่สามารถหยุดพวกไวด์โซลนั่นได้จนฟาเรสเริ่มจะเหนื่อยเสียเอง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาแย่แน่

     "อั๊ก!!!!" ในช่วงชุลมุนหนึ่งในสี่ตัวนั้นพุ่งเข้าหาฟาเรสที่ยังไใ่ทันตั้งตัว ฝ่าเท้ากระแทกเข้าลำตัวบางอย่างจังจนกระเด็นไปไกลหลายเมตร เทาเอาจุกแทบลุกไม่ขึ้น "ชิ เจ้านี่"

    "ตอบรับพวกเราก็จบแล้วไม่ต้องมาเจ็บตัว" มันแสยะยิ้มร้าย พลางอวดคมมีดวาววับในมือ เจ้านั่นทะยานเข้ามา ด้วยสภาพแบบนี้คงยากที่จะหลบเพราะอีกคนช่างไวเหลือเกิน

    ฉัวะ!!! ความคมเฉือนลงผิวเนื้อตรงคอหอยก่อนเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจะอาบไปทั่วร่างของฟาเรสที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น แล้วร่างของหมอนั่นจะค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นเผยให้เห็นโฉมหน้าผู้ลงมือ

    "วะ เว" ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง นัยน์สีอำพันบัดนี้วาวโรจน์ในแสงสลัวม่านตารีเรียวดุจดวงตาของสัตว์ร้ายที่มองมาทำเอาร่างฟาเรสเย็นเยียบไปทั้งตัว เวลอร์ยกมือที่อาบไปด้วยเลือดแลบเลียไปตามกรงเล็บแหลมคม ส่งเสียงคำรามในคอต่ำๆ อย่างพอใจ

    "แก ไอ้สารเลว" ชายอีกสามคนที่เหลือเดือดดาลเพราะเพื่อนกลายเป็นศพ กรูกันเข้ามาพร้อมกับเหล่าไวด์โซลหมายจะปลิดชีวิตพวกเขาทั้งคู่

    "หลับตาซะฟาร์ ถ้าไม่อยากเห็นอะไรน่ากลัว" เวลอร์สั่งด้วยน้ำเสียงแหบห้าวกว่าปกติพลางดึงให้ร่างโปร่งให้ยืนขึ้น 

ฟาเรสได้แต่ยืนตาค้างมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวร่างกายแข็งทื่อจนไม่อาจขยับได้ เสียงกรี๊ดร้องอย่างทรมานทั้งของอันเดธและมนุษย์อื้ออึงไปทั่วบริเวร เมื่อร่างแกร่งเคลื่อนผ่านและฉีกกระชากมันเป็นชิ้นๆ จนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน ศพแล้วศพเล่าที่ล่วงกองสู่พื้น จนตอนนี้พื้นที่ฟาเรสยืนนองไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม 

    "ดะ ได้โปรด อย่า" มนุษย์คนสุดท้ายอ้อนวอนแทบเท้าของเวลอร์ด้วยความหวาดกลัว "เด็กนั่น ฮึก ฉันจะไม่ยุ่งกับเด็กนั่นอีก"

    แกรก!!! หัวเจ้านั่นถูกบิดแรงๆ จนหันกลับหลังดวงตาเบิกโพลงบอกถึงความกลัวสุดขีดก่อนตาย แล้วร่างก็กองกับพื้นกลายเป็นซากรวมกับคนอื่นๆ
 
    "ฟาร์..."

    "เฮือก!!!" ร่างบางสะดุ้ง พลางก้าวถอยทันทีที่เวลอร์เดินเข้ามา หัวใจเต้นเร็วเกินควบคุม  กลัว คือสิ่งเดียวในใจ ภาพศพที่นอนเกลื่อนกราดทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะเกรงจะเป็นหนึ่งในนั้น

    "กลัวฉันหรอ" เวลอร์ถามเสียงอ่อน ดวงตาสีอำพันหม่นลงอย่างเจ็บปวดกับท่าทีของฟาเรส เพราะอย่างงี้ถึงบอกให้หลับตา เพราะอย่างนี้ถึงไม่อยากให้เห็น

    เขาดีใจที่เวลอร์มาช่วยแต่ก็กลัวตัวตนเมื่อครู่ที่ได้เห็น ราวกับยมทูต ราวกับปีศาจแห่งความตาย สองเท้ายังคงก้าวถอยอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่พ้นเพราะอีกคนถลาเข้ามาดึงรั้งเอวบางเข้าสู้อ้อมกอด 

    "เว...อย่า!!!" สัญชาติญาณทำให้ฟาเรสดิ้นรน พยายามรั้งตัวออกให้ห่าง ยิ่งได้เห็นใบหน้าคมที่มีคาบเลือดกระเซ็นติดอยู่ประปรายยิ่งทำให้สติหลุดกระเจิง ทั้งทุบทั้งตีเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ

    "ฟาร์ใจเย็นๆ"

    "ไม่...เว ปล่อย"

    "ฟาร์"

     "ได้โปรด...ฮึก" ฟาเรสอ้อนวอนเสียงเครือ จนคิ้วเข้มขมวดหากันอย่างหนักใจ "เว เว ได้ป...อื้อ"

     ริมฝีปากนิ่มถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาของอีกคนก่อนจะพร่ำเพ้อไปมากกว่านี้ ทำเอาร่างโปร่งที่ดิ้นรนหยุดชะงักอย่างตกใจ ริมฝีปากร้อนบดจูบแรงๆ พลางขบกลีบเนื้อนิ่มเบาๆ ลิ้นใหญ่สอดแทรกเข้าไปในโพรงปากอุ่นไล่ต้อนลิ้นเล็กที่พยายามหลบอย่างตระหนก 

     "อ่อย!!" ฟาเรสพยายามดันตัวออกแต่จะเอาแรงใดไปสู้ รสจูบจาบจ้วงร้อนแรงเล่นเอาสมองประมวลผลไม่ทันจนสติเริ่มล่องลอย จากมือที่ผลักดันออกห่างบัดนี้กลับขย้ำเสื้อร่างใหญ่อย่างหาหลักยึด ไม่ใช่จูบแรกของฟาเรสแต่ทุกครั้งเขามักเป็นคุมเกมไม่ใช่ถูกไล่ต้อนอย่างตอนนี้ ทำเอาคนเคยจูบอย่างเขาลืมหายใจไปเลยที่เดียว

     "แฮก วะ เว" ทันทีที่อีกคนผละออก ร่างโปร่งรีบโกยอากาศเข้าปอดแต่ยังไม่เต็มที่ใบหน้าเนียนก็ถูกช้อนให้เงยหน้าขึ้นรับจูบอีกครั้ง สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยนที่ได้รับหลอกล่อให้ฟาเรสตอบสนองอย่างลืมตัว รู้สึกวางใจและมั่นใจว่าจะไม่ถูกทำร้าย ฟาเรสหลับตาพริ้มตอบรับลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามา รสจูบเป็นไปอย่างเชื่องช้าแต่อ่อนหวานทำเอาร่างโปร่งบางยืนแทบไม่อยู่หากไม่มีแขนแกร่งกอดรัดเอวไว้

     เวลอร์ผละออกทอดมองริมฝีปากอิ่มที่เผยอหอบอย่างชอบใจ ใบหน้าเนียนแดงซ่าน เขาสามารถเห็นมันได้ชัดเจนแม้ในแสงสลัว ความกลัวเลือนหายไปแทนทีด้วยความเขินอายจนฟาเรสต้องซุกหน้ากับอกแกร่งเพื่อหลบสายตาซุกซนที่มองมา

    "หายกลัวหรือยัง" เสียงทุ่มหยอกเย้า ยกมือข้างหนึ่งมาลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ 

     "อื้อ" รับคำได้แค่นั้นเพราะใจยังคงเต้นรัว มันทั้งหวาดหวั่นทั้งเขินจนสับสนไปหมด

     "คนเดียวที่ฉันไม่มีวันทำร้ายก็คือนาย" เวลอร์ย้ำเมื่อคนในอ้อมกอดยังคงสั่น "กลับกันเถอะฟาร์"

     "อืม"


................................................................

-เค้ามาแล้ว ช่วงนี้อาจห่างหายไปบ้างนะ ที่รักเค้าบินมาหา ขอเวลาทำตัวมุ้งมิ้งหน่อย อิอิ :o8:

-ตอนหน้าเราจะมาเฉลย ถึงสาเหตุที่น้องฟาร์โดนตามล่าแล้วนะค่ะ แล้วแอบรู้สึกว่าตัวเองยืดเยื้อไปนิด  :katai1:

-ติชมกันเข้ามาได้นะค่ะ อยากได้รูปอะไรก็ขอให้บอก เดี๋ยววาดให้ชมกันจ้า  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 13-03-2016 23:34:46
พี่เวของเราโหดมากกกก
รอหนูฟาร์บู๊กับเค้าบ้าง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 14-03-2016 00:19:31
ดีนะที่เวมาทันนน

จะได้รู้แล้วววว หรือว่าเพราะต้องการพลังของฟาร์?
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 14-03-2016 01:03:07
พี่เวโหดมากอ่ะ
หนูฟาก็แอบดื้อนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 14-03-2016 05:42:30
งื้อ. ใจหายใจคว่ำตลอดอะหนูฟาร์
จับขังไว้เลยดีกว่าพี่เว.   :z1:   ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 14-03-2016 06:31:27
มีเรื่องเข้าหาตลอดเลยนะฟาร์
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 15-03-2016 12:20:05
ปลอบได้น่ารักชวนเขินสุดๆ  :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 9 P4 13-3-59 >////<
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 16-03-2016 09:49:36
บทที่ 10

      ด้วยสภาพโชกเลือด(คนอื่น)ทั้งคู่ฟาเรสจึงโดนพากลับอานิมาทันที ส่วนของที่เอามาเวลอร์บอกว่าจะให้คนตามมาเก็บกลับไปให้ จำต้องทิ้งกุญแจห้องไว้กับคนของท่านลุง แล้วโดยสารเรือส่วนตัวที่เพื่อนร่วมเอกเตรียมมากลับสู่เกาะ ก็ดีขืนขึ้นเรือโดยสารของมหาวิทยาลัยคงโดนเจ้าหน้าที่รวบตัวเป็นแน่ ไม่ก็โดนจับส่งโรงพยาบาลก็เข้าคุกละนะ

      ตลอดทางที่นั่งเรือกลับมันมีแต่ความเงียบ เพราะเวลอร์ก็ขับเรือไปโดยที่ไม่พูดอะไร หมอนั่นรับปากว่าจะเล่าให้ฟังว่าที่เกิดขึ้นมันคืออะไรหลังจากกลับไปถึง กลับถึงหอพักประมาณตีสองโชคดีที่นักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านในสุดสัปดาห์แถมยังเป็นเวลาดึกสงัดเลยไม่มีใครเห็นเราทั้งคู่ในสภาพหมาฟัดมาแบบนี้ พอไปถึงต่างคนต่างแยกย้ายไปชำระล้างตัวเอง เสื้อผ้าชุดนี้ของฟาเรสเป็นอันทิ้ง ไอ้ที่มึนๆ เมาๆ สร่างตั้งแต่จะโดนพวกไวด์โซลขย้ำ แล้วยิ่งตาสว่างเพราะโดนไอ้บ้าเวลอร์จูบ

     ...คิดแล้วโมโห อารมณ์ขึ้น หึ่ย!!!...

      สองเท้าพาร่างโปร่งมาหยุดหน้าประตูห้องข้างๆ ซึ่งเปิดออกต้อนรับทันทีอย่างรู้ดี เวลอร์หลบให้เขาเดินเข้าไปพลางเช็ดผมที่กำลังเปียกของตน เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในห้องนี้ปกติมีแต่เวลอร์ที่ไปตีเนียนนอนห้องเขา ช่างเป็นห้องที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ ฟาเรสนั่งลงตรงโซฟากลางห้องส่วนเจ้าของห้องดันนั่งขัดสมาธิบนพื้นตรงพร้อมหันหน้ามาหา

      "ทำอะไรนะ" คนตัวโตไม่ตอบกลับยื่นผ้าขนหนูมาให้ "มาถึงก็ใช้เลย" บ่นอุบอิบแต่ก็รับมาเช็ดผมให้อีกคนอย่างเบามือ ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปเมื่อเจ้าของห้องไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากจนคนอยากรู้ทนไม่ไหวเริ่มเปิดประเด็นเสียเอง

      "ไหนว่าจะเล่าให้ฟังไง" ฟาเรสทวง คนถูกทวงโถมกายกอดเอวบางพลางซุกหน้าเข้ากับท้องทำเอาคนถูกกอดนั่งเกร็ง น่าแปลกที่ฟาเรสเองก็ไม่ได้รังเกียจที่ถูกอีกคนกอดเสียด้วย ไอ้ท่าทีออดอ้อนแบบนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าคือคนๆ เดียวกับที่ฉีกกระชากทั้งมนุษย์และอันเดธเป็นชิ้นๆ ในไม่กี่ชั่วโมงก่อน "เล่าแค่ที่เกี่ยวกับฉันก็พอ เรื่องของนายไว้อยากเล่าค่อยเล่าแล้วกัน"

      "จำได้ไหมที่ฉันบอก ไวด์โซลเป็นอันเดธที่มาจากอีกโลกผ่านรอยแยกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ก็มีคนที่มีพลังที่สามารถเปิดปิดรอยแยกระหว่างโลกนั้นได้ แม่ของนายก็เป็นหนึ่งในนั้น พลังนี้ถ่ายทอดทางสายเลือดทำให้นายเองก็มีพลังนี้อยู่เช่นกัน" ดวงตาคมเงยขึ้นสบกับคนฟังอย่างจริงจัง "มันมีคนที่ใช้พลังนี้ในทางที่ผิด อันเชิญพวกไวด์โซลมาเพื่อรับใช้ ระรานคนอื่นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ พวกมันรู้ว่าฟาร่าตายจากโลกนี้ไปแต่ไม่รู้ว่ามีนาย จนวันหนึ่งพอนายเริ่มโตเริ่มออกงานสังคม มีพวกมันบางคนบังเอิญเห็นนาย เลยนึกสงสัยเพราะนายเหมือนแม่มาก ตามสืบจนรู้ถึงตัวตนของนาย ว่านายก็มีพลังในการเปิดปิดประตูระหว่างภพเหมือนกัน"

     "พวกมันเลยคิดกำจัดฉัน ที่อาจจะไปขัดขวางพวกมันได้ ทำให้คนที่บ้านฉันต้องมาตายไปด้วย" ฟาเรสต่อประโยคนั้นด้วยใจที่เจ็บร้าว 

     ทุกคนตายเพราะเขานั่นคือความจริง แล้วทำไมทุกคนถึงยังปกป้องเขาไว้ละ ทำไมต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนทั้งๆ ที่ซักวันจุดจบอาจเป็นแบบครอบครัวคาเดนเซีย น้ำตาคงอธิบายความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุด ฟาเรสไม่รู้ตัวเลยว่ามือทั้งสองกำแน่นจนจิกเข้าไปในเนื้อ

      "ทำไมทุกคนถึง..." น้ำเสียงกลืนหายไปกับก้อนสะอื้น เวลอร์ลุกจากพื้นขึ้นมานั่งเคียงข้างก่อนดึงร่างบางมากอดไว้ 

      "ถ้ารอยแยกถูกเปิดออก ก็ต้องมีคนปิดมัน ฟาร์รู้ไหมว่าตัวเองสำคัญแค่ไหน แต่ที่ทุกคนปกป้องไม่ใช่เพียงเพราะนายมีค่าแค่เรื่องนั้น แต่เพราะเขาเห็นนายเป็นครอบครัวที่เขารัก"

      "ตอนที่แม่อยู่ แม่โดนฮึก...ตามล่าหรือเปล่า"

      "ไม่หรอก แม่เธอแกร่ง พยายามที่จะสู้กับพวกนั้นมาโดยตลอด ดังนั้นนายเองก็ต้องเก่งขึ้นให้ได้ เข้าใจไหมฟาเรส คาเดนเซีย"

      ฟาเรสเพียงพยักหน้ารับพร้อมซุกหน้าร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้น แขนแกร่งกอดกระชับแล้วเอนกายลงกับโซฟานุ่ม ให้กำลังใจได้ เป็นที่พักพิงได้ แต่เวลอร์ไม่อาจไปจัดการจิตใจใครได้คงต้องปล่อยให้เจ้าตัวทำใจแล้วเข้มแข็งขึ้นมาเอง คนตัวเล็กสะอื้นให้อยู่พักใหญ่จนรับรู้ได้ว่าแน่นิ่งไป

      ...ร้องไห้จนหลับเป็นเด็กน้อยเลย หึๆ...

      ว่าแล้วก็พาเด็กขี้แยเข้านอน ก็ดีไม่ต้องตีเนียนไปขอนอนด้วย เพราะเจ้าตัวมาเป็นหมอนข้างให้ถึงที่




      วันจันทร์เป็นการแข่งขันรอบชิง ฟาเรสเลือกไม่ถูกเลยว่าจะเชียร์ใครดีก็เพื่อนเขาทั้งคู่นี่เนอะ แต่ใจแอบเชียร์เวลอร์มากกว่า

      อย่ามองแบบนั้นสิ...เพื่อนร่วมเอกก็ต้องสนิทมากกว่านะ

      โชคดีที่ผู้เข้าแข่งขันสามารถกั๊กที่นั่งข้างสนามให้คนสนิทได้แต่ทั้งโอซี่และเวลอร์ไม่มีญาติมาดูทั้งคู่ ที่นั่งเลยกลายเป็นของพวกเขาโดยปริยาย

      "มันต้องแต่งขนาดนี้เลยหรอวะ" พรีมว่าเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองที่ออกมาจากห้องเตรียมตัว

      โอซี่ในชุดเกราะสีทองแดงลายวิจิตรยิ้มกว้างมาทางพวกเขา มันช่างดูเข้ากันดีกับรูปร่างสูงใหญ่และไหล่กว้างของเจ้าตัว จนดูเหมือนนักรบผู้ทรงพลัง ในขณะที่เวลอร์เองก็อยู่ในชุดเกราะสีเงินที่ดูกลืนไปกับผมสีควัน ขนาดตัวไม่ได้แพ้คู่แข่งของเขาเลย ยิ่งรวมกับใบหน้านิ่งๆ ยิ่งทำให้ดูเยือกเย็นและแข็งแกร่งในคราเดียวกัน

      "เดินออกไปสาวคงกรี๊ดสนามแตก" เซียเอ่ยแซว เสียงประกาศก้องจากด้านนอกบอกเตือนว่าถึงเวลาแล้ว พวกเขาเดินไปส่งเพื่อนยังทางออกสู่สนาม 

      "ขอไม่เชียร์ใครแล้วกันนะ แต่ก็เต็มที่เลยพวก" มาวิคว่าก่อนตบไหล่เพื่อนทั้งสอง

      "ฉันก็เหมือนกัน" พรีมบอก

      "ลำบากใจนะเนี่ย แต่ก็สู้ๆ แล้วกัน ทั้งคู่เลย" เซียยิ้มหวานพลางกอดสองหนุ่มไปคนละที

      "เอ่อ สู้ๆ" ฟาเรสบอกแค่นั้น แต่จังหวะที่กำลังจะผละออกมา มือกลับถูกใครอีกคนรั้งเอาไว้ ดวงตาสีอำพันมองหน้าเขาก่อนจะก้มลงมากระซิบที่ข้างหู

      "จูบหน่อย" เป็นคำร้องขอที่เรียกเลือดมารวมบนใบหน้า 

      "บะ บ้า..." ด่าได้แค่นั้นแล้วหันหน้าหนี "อยากจูบผู้ชายมากหรือไง"

      "อยากได้กำลังใจต่างหาก" เสียงทุ้มเอ่ยอ้อน "นะ"

      "งั้นก็ชนะสิ...จะยอมให้จูบ" ฟาเรสบอกอย่างขัดเขิน

      ...นับวันยิ่งอาการหนักนะเราเนี่ย...

      คนตัวโตหัวเราะเสียงแผ่วก่อนยอมผละออกแต่ไม่วายขโมยหอมแก้มนิ่มไปหนึ่งที พอหันไปเจอสายตาล้อเลียนจากโอซี่ฟาเรสจึงรีบเผ่นหนีไปประจำที่นั่งแทบจะทันที

      ทั้งสองผู้ชิงชัยเยื้องย่างเข้าสู่สนามอย่างสง่างามเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ลั่นสนามจนคนดูอย่างฟาเรสอดหมั่นไส้ไม่ได้ แถมไอ้คุณโอซี่ของเรายังโบกไม้โบกมือแถมยิ้มหวานเรียกเรตติ้งไปอีก

      "อ้าว สาวๆ ใจเย็นกันหน่อยครับ" เสียงพิธีกรเอ่ยแซว "รอบชิงปีนี้เป็นอะไรที่เกินคาดจริงๆครับ ใครจะคิดละครับ ว่าผู้ท้าชิงจะเป็นเฟรชชี่ทั้งคู่ โอซี่ อคูซิโอ และ เวลอร์ โมนาคา ถึงจะเป็นเฟรชชี่แต่ฝีไม้ลายมือก็ไม่ธรรมดา เรายังไม่เห็นพลังเวทย์ของสองหนุ่มนี้เลยในรอบที่ผ่านมา หวังว่ารอบนี้เราจะได้เห็นกัน ว่าแค่ไม่เห็นถืออาวุธกันมาเลย รอบชิงทั้งทีคงไม่มาต่อยกันกลางสนามหรอกนะใส่เกราะมาเต็มขนาดนี้ เอาละเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มการประลองกันเถอะ"

      สิ้นเสียงประกาศม่านพลังค่อยๆ ปกคลุมทั่วสนามประลองจนปราศจากรอยต่อ กันระหว่างผู้ชมและผู้ประลองไว้ถึงสองชั้น

      "เห็นมีมัดจำไว้ก่อนด้วย" โอซี่หันไปแซวคนข้างๆ คนโดนแซวยิ้มน้อยๆ แทนคำตอบ แล้วสองหนุ่มก็พยักหน้าให้กันก่อนจะเดินแยกไปคนละฝั่งของสนาม

      โอซี่ยื่นมือไปข้างหน้าก่อนที่จะเกิดสายพลังเคลื่อนขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วหลอมรวมกลายเป็นดาบยาวสีทองแดงในมือใหญ่ ส่วยเวลอร์เองก็ไม่น้อยน่าเมื่อรอบกายเกิดลมกรรโชคพัดแปรเปลี่ยนเป็นสายพลังมาหลอมรวมเป็นดาบน้ำแข็งในมือเช่นกัน ทำเอาทุกคนในสนามถึงกับอึ้งก่อนจะส่งเสียงฮือฮาออกมายกใหญ่

      "พลังเวทย์บริสุทธิ์ ว้าวววว สมศักดิ์ศรีคู่ชิงของเราจริงๆ " พิธีกรบอกด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ

      ...นี่สินะ พลังเวทย์บริสุทธิ์...

     ฟาเรสมองภาพในสนามอย่างสนใจ ท่านลุงบอกว่าเขาเองก็มีพลังเวทย์บริสุทธิ์เช่นกัน ถ้าทำแบบนั้นได้คงเท่ไม่น้อยแต่ก็คิดไม่ถึงว่าโอซี่จะมีพลังแบบนี้อาจเป็นเพราะมีสายเลือดออคนั่นเอง

      สองร่างทะยานเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาดำ คลื่นพลังจากการปะทะแผ่กระจายไปรอบด้านจนม่านพลังที่ครอบสนามสะเทือนในทุกจังหวะที่มีการโจมตีกันและกัน คมดาบน้ำแข็งเฉียดผ่านเกราะทองแดงทำเอาโอซี่ที่แอนหลบหลังกระแทกกับบราเรีย แต่ทันทีที่เท้าถีงพื้นก็ตั้งหลักหวดคมดาบสวนกลับ ฟาดใส่ร่างอีกคนที่เอาดาบน้ำแข็งรับมันไว้ได้อย่างพอดิบพอดีแต่ก็รุนแรงจนพื้นใต้เท้าคนตั้งรับยุบและร้าวเป็นวงกว้าง

      ในสนามยามนี้มีแต่ความเงียบเพราะทุกคนเอาแต่จับจ้องการต่อสู้อย่างตั้งใจ แม้แต่พิธีกรเองยังหาเสียงตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ

      การโจมตีทุกครั้งช่างรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ของมนุษย์ ซึ่งฟาเรสรู้ดีว่าทั้งสองไม่ใช่ ขนาดชุดเกราะที่ใส่มายังแตกร้าวจนคมดาบบาดลึกยันเนื้อใน ทำให้เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมา แต่ทั้งสองกลับไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ซ้ำร้ายยังแย้มยิ้มราวกลับสนุกเสียเต็มประดา แต่โอซี่ดูยับเยินกว่า เพราะชุดเกราะที่ใส่มาแตกร้าวจนไม่เหลือเค้าเดิม

      เวลอร์มองคู่ต่อสู้อย่างถูกใจ สิ่งหนึ่งที่ยอมรับคือฝีมือและแรงกาย ขนาดอายุเท่านี้ยังทำเขาบาดเจ็บได้ หากฝึกฝนนานๆ ไปคงกลายเป็นคนที่ไม่อยากเป็นศรัตรูด้วยแน่ๆ การต่อสู้คงต้องจบเพราะอีกคนดูท่าไม่ตายคงไม่เลิก รีบจบก่อนที่อีกฝ่ายจะเจ็บหนักไปมากกว่านี้จะดีกว่า

     "เบื่อหรือยัง" 

     "ยังอยากเล่นอยู่เลย" โอซี่บอกยิ้มๆ แม้จะเหนื่อยหอบและยืนเซ เวลอร์เองไม่รอช้ากำดาบให้กระชับก่อนจะทะยานเข้าหาไม่ให้อีกคนได้ตั้งตัว

     ฉึก!!! ดาบน้ำแข็งแทงเข้าเกราะทองแดงตรงช่วงท้องจนทะลุไปด้านหลัง คนแทงจงใจไม่ให้เข้าจุดตายแต่ก็ทำความเสียหายมากพอให้อีกคนทรุดลงไปกองกับพื้น

      "แต่ฉันเบื่อแล้ว โทษที" เวลอร์ว่าพลางตบบ่าเพื่อนเบาๆ

      "เฮ้อ" คนเจ็บทำหน้าเสียดาย ไม่ได้แคร์สภาพตัวเองเลยซักนิดแถมยังโบกมือโบกไม้ปฏิเสธแพทย์สนามที่จะยกเปลเข้ามารับ เวลอร์จึงเอาแขนเพื่อนพาดไหล่แล้วพยุงให้ยืนขึ้น

      "เอาเสียบไว้นั่นก่อนแล้วกัน ดึงออกเดี๋ยวเลือดจะไหล" เจ้าของดาบน้ำแข็งบอกยิ้มๆ 

      "เอ่อ...ครับสำหรับแชมป์ปีนี้ก็ตกเป็นของเวลอร์ โมนาคา แต่เราก็ขอชื่นชมโอซี่ อคูซิโอ ด้วยเช่นกัน มันช่างเป็นการดวลที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จริงๆ สำหรับรางวัลปีนี้ได้แก่....." สองหนุ่มยืนฟังพิธีกรร่ายยาวไป แถมไอ้คนโดนแทงยังยิ้มแย้มแจ่มใสราวกลับเป็นแชมป์เสียเอง กว่าจะแสดงความยินดีเสร็จ กว่าจะให้รางวัลเสร็จ ฟาเรสก็อดห่วงคนเจ็บไม่ได้ ก็เจ้าตัวเล่นดื้อไม่ยอมไปทำแผลบอกว่าจะอยู่ร่วมงานให้ได้ แต่ทั้งสองก็พยุงกันไว้ตลอดพิธีการราวกับเพื่อนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน




      "ขอบใจจ้าคนสวย" โอซี่ยิ้มหล่อให้พยาบาลที่เข้ามาทำแผล จนสาวเจ้าม้วนอายเดินละเมอจากห้องไป เลือดหยุดไหลไปแล้ว ไม่มีอะไรหน้าห่วงสายเลือดออคแบบเขาวันสองวันก็คงหาย
 
      "เจ๋งนี่ โดยเฉพาะพลังนั่น" เวลอร์เอ่ยชมพลางนั่งลงข้างเตียงคนเจ็บ ตอนนี้ในห้องมีแค่เขาสองคน

      "หึๆ แล้วนายละ ไม่คิดเลยว่าจะยังเหลือคนที่ใช้พลังแบบนี้อยู่ มำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ละเว"

      "ลองเดาเหตุผลดูสิ"

      "หนึ่งในนั้นคงเป็นฟาเรส" เวลอร์พยักหน้ารับ "แล้วเหตุผลอื่นละ"

      "ยังไม่อยากบอก" 

      "เฮ้อ เอาเถอะไม่ว่าเหตุผลของนายคืออะไร ฉันจะอยู่ข้างเดียวกับนายก็แล้วกัน มีอะไรก็ชวนได้ยินดีเสมอ" โอซี่บอกเสียงใส เขามาอยู่ที่เดสเซนท์ก็หลายปี ละทิ้งตัวตนทุกอย่างแล้วใช้ชีวิตแบบง่ายๆ เป็นเพียงนักเรียนธรรมดา มีความสุขกับทุกวันของตัวเอง แต่นานๆ ไปก็เริ่มเบื่อ หวังว่าการเป็นเพื่อนกับเวลอร์คงมีอะไรน่าตื่นเต้นให้ทำนะ

      "ได้เลยพวก" เวลอร์รับคำ "เรื่องข้อตกลงที่บอกจะทำตามฉันหนึ่งอย่างถ้านายแพ้"

      "อ้อ ว่ามาสิ"

      "แปะไว้ก่อน คิดออกแล้วจะมาบอก"

      "หึๆ รู้งี้บอกวันหมดสัญญาก็ดี นั่น...รางวัลนายมาแล้ว" นัยน์ตาสีดำมองเลยไปยังประตูที่เปิดออก ฟาเรส มาวิค พรีมและเซียพากันเข้ามาในห้อง ทุกคนต่างซักถามอาการของคนเจ็บเป็นการใหญ่ แต่คนบนเตียงยังพูดจากวนประสาทได้จึงคิดว่าเพื่อนเขาคงไม่เป็นอะไรมาก ว่าแล้วก็ขนโขยงกันกลับห้องพัก 

      เรื่องฉลองในกลุ่มคงเบรกไว้ก่อนเพราะ พุธ พฤหัสบดี และวันศุกร์พวกเขาต้องสอบปลายภาคกันแล้ว ทั้งยังต้องรอพรีมกับมาวิคดวลกันนอกรอบเพื่อหาเจ้ามืออีก ส่วนทางมหาลัยจะเลี้ยงขอบคุณผู้เข้าแข่งขันในคือวันเสาร์ที่จะถึงโดยมีเอแวนการ์ดเป็นเจ้าภาพ




      ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังระหว่างที่ฟาเรสกำลังจัดการมื้อดึกซึ่งเป็นผลไม้ใส่นมด้วยความหิว เพราะข้าวเย็นก็ไม่ได้ทานแถมอ่านหนังสือเพลินจนลืมไปเลย

      "นอนด้วย" เวลอร์บอกความประสงค์ทันทีที่ประตูเปิดรับ คิ้วสวยขมวดมุ่น หมอนี่มันจะขยันมานอนด้วยทำไมวะ

      "ห้องตัวเองไม่มีหรือไง" ฟาเรสบ่น แต่ก็หลบทางให้อีกคนเข้ามา ส่วนเขาเองเดินไปเก็บจานที่ตัวเองกินไปล้างก่อนจะไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมนอนเพราะดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว

      เวลอร์นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงก่อนแล้ว พอเห็นร่างโปร่งออกจากห้องน้ำก็ตบฟูกข้างตัวแปะๆ ฟาเรสเบ้ปากใส่คนที่ทำตัวเป็นเจ้าบ้านแต่ก็ยอมคลานขึ้นเตียงไปใกล้จนถูกคนตัวใหญ่ช้อนอุ้มมานั่งบนตัก ไม่อยากยอมรับเลยว่าชอบเวลาอยู่บนตักเวลอร์ 

     ...ทำตัวเป็นสาวน้อยเข้าไปทุกทีสิฟาเรส...

      "ชนะแล้ว ไหนจูบ" เสียงทุ้มเอ่ยทวง ฟาเรสอึกอัก อุตส่าแกล้งลืมแล้วเชียวยังจะตามมาทวงถึงที่

      "ก็จูบสิ" บอกตะกุกตะกัก ก็ใจมันเต้นผิดจังหวะขนาดนี้ไม่ให้รนได้ยังไง

      "หึๆ มันเป็นรางวัลจากฟาร์นะ ฟาร์ต้องเป็นคนให้สิครับ" พูดเพราะไม่พอยังมาทำหน้าหล่อยักคิ้วให้อีก ตาย...ฟาเรสขอตายอย่างสงบ :-[  "ฟาร์ครับ"

      "เออ รู้แล้วน่าาาา" ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเอาปากนิ่มไปเตะของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วผละออก ใบหน้าเห่อร้อนไปหมด เวลาจูบสาวไม่เห็นมันเขินขนาดนี้

      "แบบนั้นไม่นับอะ" 

      "เรื่องมากจริง" บ่นเสียงเบาพลางขย้ำเสื้อนอนอีกคนแน่นอย่างไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งนัยน์ตาคมสีอำพันจับจ้องมาไม่หยุดยิ่งเกร็งไปหมด "เว หลับตาก่อน"

      อีกคนยอมหลับตาลงอย่างว่าง่าย มือเรียวจึงเอื้อมไปประคองใบหน้าคมไว้ก่อนจะจรดริมฝีกปากลงอย่างตั้งใจ ละเลียดชิ้มริมฝีกปากหนาด้วยใจที่เต้นรัว บดคลึงแผ่วเบาอย่างเอาใจแต่ไม่ได้ลุกล้ำ จนคนโดนกระทำทนไม่ไหวเป็นฝ่ายลุกล้ำเข้ามาลิ้มรสโพรงปากหวานเอง หยอกเย้าเรียวลิ้นร้อนของคนตัวเล็ก หลอกล่อด้วยความอ่อนหวานจนอีกคนตอบสนองอย่างดูดดื่มและเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ฟาเรสไม่รู้ว่าจูบที่มีให้กันนี้ในฐานะอะไร แต่เขาคงไม่ปฏิเสธว่ามันรู้สึกดีจนต้องเผลอไผลไปกับมัน

      "ฝันดีนะ" เสียงทุ้มกระซิบบอกก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยกอดอีกคนไว้อย่างเคย ฟาเรสชักชินกับการโดนหมอนี่นอนกอดเสียแล้วสิ

      ...แล้วสรุปมันดีไม่ดีวะ...

......................................

-เลี่ยนตามสภาพอารมณ์คนเขียน ชีวิตมันเป็นสีชมพูวิ้งๆ แต่ต้องดับแสงลงเพราะสายตาอาฆาตจากบิดา งื้อ อย่าทำแบบนี้เลย หนูกลัวขึ้นคาน :ling1:

-เค้าอยากเขียน NC แล้วอะ อยากวาดมาลงด้วยแต่กลัวโดนแบนอะ  :hao5:

-ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้น เลิฟๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-03-2016 10:46:15
 :impress2:   โอ๊ย หวานมากๆ
เลือดสาดที่ผ่านมาลืมไปหมดเมื่อสองคนนี้จูบกัน อ้าก
ว่าแต่นี่ยังนอนหลับได้อีกเหรอฟา อะครีนาลีนคนอ่านนี่พุ่งไปแล้ว
จัดมาเลยค่ะ อยากเห็นรูปน้องนั่งตักให้รางวัลพี่เว
ไม่น่าโดนอุ้มนะเพราะคงไม่วาดสัณฐานของจุดนั้นแบบว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจ   :katai3: 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 16-03-2016 10:55:16
 :hao6: โ้ยยย นี่แค่บนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 16-03-2016 11:15:20
เพราะพลังจริงๆด้วย

มันก็ดีนะ ฟาเรส โดนกอดทุกคืนๆ :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 16-03-2016 16:15:34
ดีสิฟาร์
ดีงามมากกกก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 16-03-2016 17:19:51
คนเขียนเขียนเลยค่ะ5555รออ่านเอ็นซี
คู่นี้ก็หวานซะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 16-03-2016 17:42:31
เวความอดทนสูงกว่าที่คิด  :z1: ไม่เผด็จศึกหนูฟาร์สักที 555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 16-03-2016 19:10:14
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 16-03-2016 19:22:27
น่ารักกก~~ ขอหวานเยอะๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 16-03-2016 22:59:59
หวานนนนนนน แงงงง ชอบบบ
น่ารักกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 10 P4 16-3-59 >////<!!!
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 18-03-2016 00:49:01
บทที่ 11


     งานเลี้ยงสำหรับเหล่าผู้เข้าร่วมการประลองถูกจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ของตึกอำนวยการ มีนายทหารของเวแวนการ์ดเข้าร่วมหลายนายส่วนหนึ่งเพื่อมาทำความรู้จักกับเหล่าผู้ชิงชัยที่ได้โอกาสทำงานกับหน่วยพิทักษ์ ส่วนเหล่านักเรียนที่เข้าร่วมบางคนก็ไม่ได้มาเปล่าเอาคู่ควงมาอวดกัน นอกจากนั้นยังมีเหล่าบรรดาคนดังในสังคมรวมไปถึงนักธุรกิจมาร่วมด้วย ซึ่งไม่เข้าใจว่าจะมาทำไม

      ฟาเรสในสูทสีงาช้างขับร่างโปร่งให้ดูงามสง่าออร่าจับดุจเอลฟ์หนุ่มในเทพนิยาย เพื่อนๆ ใช่ว่าจะน้อยหน้า เพราะสี่หนุ่มที่เหลือมากันในชุดสูทสีดำหลากดีไซน์ หล่อลากกระชากใจไสตล์ใครไสตล์มัน หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มอย่างเซียก็สวยเผ็ดด้วยชุดแสกสีแดงสด จนแอบสงสารพรีมที่ต้องสงบสติอารมณ์ไม่ถลาไปฟาดหน้าหนุ่มๆ ที่มองคนรักตน

     ผู้ใหญ่ของเอแวนการ์ดให้ความสนใจกลุ่มฟาเรสมากเพราะทั้งแชมป์และรองแชมป์อยู่ในหมู่พวกเขา แถมฟาเรส มาวิคและพรีมเองก็เป็นหนึ่งในแปดคน จนไม่วายถูกทาบทามให้เข้าทำงานหลังเรียนจบ ซึ่งพวกเขาทำเพียงยิ้มรับไป

     เสียงเพลงช้าบ้างเร็วบ้าง คลอไปกับเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะต่อกระซิก ให้บรรยากาศแห่งการสังสรรค์ได้เป็นอย่างดี ฟาเรสควรจะรื่นเริงไปกับมันแต่ทำไมความรู้สึกถึงตรงกันข้าม มาวิคไปทักทายเหล่าบรรดาคนดังร่วมกับพ่อแม่ของตนที่มาร่วมงานด้วย พรีมกับเซียไปเต้นรำทำหวานกันอยู่กลางฟลอ ส่วนสองหนุ่มข้างกายก็กำลังตอบคำถามจากบรรดาสาวๆ ที่เข้ามาพูดคุยอย่างสนใจ 

     ริมฝีปากสวยจิบไวน์แดงรสเลิศพลางกวาดมองไปรอบๆ อย่างเหม่อลอย ทั้งโอซี่และเวลอร์ดูชุลมุนวุ่นวายกันดีกับบรรดาสาวสวยที่เข้ามาเสนอตัวเต้นรำด้วย ใช่ว่าฟาเรสจะไม่มีคนสนใจเข้ามาทักทายแต่เล่นเข้ามาทั้งหญิงทั้งชายเขาก็ไม่รู้จะรับมือยังไงจึงเร้นกายออกจากงานไปอย่างเงียบเชียบ

    กลับมาถึงห้องก็รีบถอดสูทตัวนอกออก ปลดกระดุสองเม็ดบนคลายความอึดอัดแล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงโซฟาหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดเพลงฟังอย่างผ่อนคลาย พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว การฝึกงานในหน่วยพิทักษ์จะเริ่มในอีกหนึ่งอาทิตย์ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะกลับไปเยี่ยมท่านลุงกับท่านป้าแต่เมื่อวานโทรกลับไปเหมือนท่านทั้งสองจะหนีไปพักร้อนแถบเคลวิชเลยไว้โอกาสหน้า

     อารมณ์สุนทรีย์ถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตู เปิดออกก็เจอกับมาวิคที่มาหาพร้อมขวดไวน์แดงสองขวดในมือ

     "หยิบติดมาจากงานนะ คิดว่านายคงยังไม่หนำใจ" มาวิคว่าพร้อมยิ้มกว้าง

     "ก็ว่าจะจิ๊กมาอยู่เหมือนกัน แต่เกรงใจ" ฟาเรสหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปหยิบแก้วมาสองใบพร้อมขนมขบเคี้ยวอีกถุง

     นั่งดื่มกันไปคุยกันไป ส่วนใหญ่มาวิคจะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตัวเองมากกว่า ทั้งเรื่องบ้าๆ ห่ามๆ สมัยเรียนระดับพื้นฐานที่ทำให้ทั้งพรีม โอซี่ และตัวเขาโดนเอแวนการ์ดรวบไปโรงพักอยู่บ่อยครั้ง หรือไม่ก็เรื่องหนีไปเที่ยวผับตั้งแต่ยังอายุน้อย หรือออกไปเที่ยวนอกเมือง สถานที่สวยๆ ที่ยิ่งฟังคนเล่าบรรยายเท่าไหร่ยิ่งทำให้อยากไปเยือนซักครั้ง

     "แอบรู้สึกเสียดายชีวิตช่วงนั้นเหมือนกันแฮะ" ฟาเรสบ่น เพราะเขาไม่ได้เรียนในโรงเรียนแบบคนอื่น จึงไม่ได้ใช้ชีวิตในวัยระเริงอย่างคนทั่วไป

     "นายก็ใช่จะแก่มากมาย อยากไปเที่ยวที่ไหนตอนนี้ยังไม่สายหรอกนะ" มาวิคบอก

     "นั่นสินะ" ริมฝีปากสวยยิ้มกว้าง หากหมดฝึกงานกับหน่วยพิทักษ์ หาโอกาสไปเที่ยวบ้างคงจะดี

     นับจากวันแรกที่เจอจนวันนี้ มาวิคยังคงชอบรอยยิ้มของฟาเรสดังเดิม ใบหน้าขาวที่สองแก้มซับสีเลือดเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลดูน่าสัมผัส ในทุกครั้งที่เขาบอกเล่าเรื่องต่างๆ ออกไป นัยน์ตาสีครามพราวระยับจะมองมาที่เขาพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ทำให้ภาพตรงหน้าชวนมองเกินจะละสายตาจนอยากครอบครองคนๆ นี้ไว้ลำพัง

     ฟาเรสผ่อนลมหายใจออกหนักๆ เพื่อระบายอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในกาย ไวน์แค่ครึ่งขวดไม่น่าจะทำให้เมามากนัก แต่กับร้อนรุ่มจนตาพร่า 

     "เฮ้ฟาร์" ทันทีที่มือร้อนของมาวิคแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มเหมือนมีกระแสประหลาดแล่นผ่านไปทั่วร่าง

     "มาวิคนาย...ทำไม" ริมฝีปากสวยเอ่ยเสียงสั่น เขารู้ดีว่าอาการผิดปกตินี้เกิดจากการโดนวางยา แต่คิดไม่ถึงว่าเพื่อนเขาจะทำมัน

     "ขอโทษนะฟาเรส แต่ฉันรอไม่ไหวแล้วจริงๆ" มาวิคว่าเสียงอ่อนพร้อมดึงร่างโปร่งบางสู่อ้อมกอด

     "อึก อย่า"

     "ฉันชอบนายมากรู้หรือเปล่า" ดวงตาสีน้ำตาลบอกเล่าความรู้สึกมาจากใจ เขาก็ชอบมาวิคแต่ก็ไม่ได้ชอบในความหมายนั้น

     "แต่ฉัน อื้อ" ริมฝีปากร้อนถูกช่วงชิงไปก่อนจะได้ปฏิเสธ รสจูบอ่อนหวานอ้อยอิ่งชวนเคลิ้มจนร่างกายตอบสนองมันเพราะฤทธิ์ยา มันรู้สึกดี มันต้องการ แต่ในใจกลับสวนทาง บอกย้ำว่าไม่ใช่ ฟาเรสรวบรวมแรงทั้งหมดผลักอีกคนให้ผละออก

     "ฉัน...ขอโทษ ฉันรับมันไว้ไม่ได้" ตัดสินใจบอกออกไปตามใจคิด ใบหน้าที่เคยสดใสของมาวิคหมองเศร้าอย่างเจ็บปวด 

     "เป็นฉันไม่ได้จริงๆ หรอ" อีกคนยังพยายามเข้าหา

     "ไม่!!!" ฟาเรสบอกเสียงดังผลักอีกคนให้ห่างตัวแล้วหุนหันออกจากห้องไป

     ขาเรียวพาร่างวิ่งไปตามทางเดินที่มีเพียงแสงสลัวของไฟข้างทางเป้าหมายคือแลปใจกลางโดมกระจก มือเรียวพยายามไขกุญแจเข้าไปด้วยมือที่สั่นเทาจนทำมันตกหลายครั้งกว่าจะไขได้ พอเข้ามาก็ตรงไปยังตู้ยาพยายามรื้อหายาหรือสารสกัดอะไรก็ได้มาบรรเทาความร้อนรุ่มนี้ ไม่มีเวลามานั่งผสมแล้ว คว้าได้ยานอนหลับขนานแรงมาขวดคงพอช่วยให้พ้นผ่านคืนนี้ไปได้

     ฟาเรสพาร่างที่สั่นสะท้านขึ้นไปบนชั้นสองแล้วถลาเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำเย็นไหลผ่านเผื่อจะช่วยบรรเทาอาการร้อนรุ่มออกไป แต่สัมผัสจากสายน้ำกลับทำให้ความต้องการยิ่งประทุราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นสัมผัสไปทั่วร่างจนสติแทบจะขาดหาย สองมือไร้เรียวแรงพยายามเปิดขวดยาออกอย่างยากลำบากแถมทำหกทิ้งไปเกือบครึ่งแต่ก็เอามันกรอกเข้าปากได้สำเร็จ ขวดเปล่าร่วงหล่นสู่พื้นไปพร้อมกับร่างโปร่งบางที่แน่นิ่งไปพร้อมกัน

     เวลอร์กลับห้องพักอย่างรีบร้อน กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ทำเอาเหนื่อย เขาเห็นฟาเรสหลบออกนานแล้วตั้งใจนะตามออกมาแต่ก็โดนทั้งผู้ใหญ่ในงานทั้งสาวๆ รั้งเอาไว้ พอมาถึงกลับเห็นเพียงประตูห้องข้างกันที่เปิดทิ้งไว้ เขาเดินเข้าไปเพราะสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่กลับเห็นเพียงมาวิคที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นห้องรับแขก ไหล่ที่สั่นน้อยๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังร้องไห้

     "เฮ้ เกิดอะไรขึ้น แล้วฟาเรสละ" เวลอร์ถามขึ้นอย่างร้อนใจ

     "ฉันไม่รู้ ฟาร์วิ่งหนีไปไหนไม่รู้" คนถูกถามเงยหน้ามาตอบทั้งน้ำตา "ฟาร์ต้องโกรธฉันแย่ๆ ฮึก เขาจะเกลียดฉันไหมเว" คนร้องไห้ละล่ำละลักถามออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด

     "นายทำอะไรฟาร์"

     "ฉันทำสิ่งเลวร้าย ฉันฮึก วางยาฟาร์ ...มันเป็น ฮึกยาปลุก ฉันอยากให้ฟาร์เป็นของฉันคนเดียว" มาวิคตอบออกมาเสียงเครือ "แต่เขาปฏิเสธฉัน ผลักไสฉัน ฮือ...ฟาร์อาจจะเกลียดฉันไปแล้วก็ได้"

    "นายนี่มัน หึ่ย" เวลอร์พุ่งเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายไว้อย่างเดือดดาล

    "นายจะต่อยก็ได้ เว ฉันทำผิด ทำผิดจริงๆ" มาวิคก้มหน้ารับชะตากรรม ดวงตาสีครามที่เขาชอบ มองเขาอย่างผิดหวังมันช่างเจ็บปวด สิ่งเดียวในตอนนี้คือไม่อยากเห็นสายตาแบบนั้นอีก เขายังอยากได้รอยยิ้มจากฟาเรสไม่ว่าในฐานะใดเขาก็ยินดี ขอแค่ได้ขอโทษขอแค่ฟาเรสให้อภัย หวังว่ามันจะยังไม่สายไป

    ผลัก!!!หมัดหนักๆ ซัดเข้าเต็มหน้าของมาวิคจมล้มหงายไปนับดาวกับพื้น ซึ่งคนทำก็ยั้งแรงไว้มากไม่งั้นอีกคนคงคอหักตายไปแล้ว เขาโกรธแต่เจ้านี่ไม่ได้เลวร้ายโดยสำนึก เพียงแต่อยู่ในสถานการณ์ที่พ่ายแพ้จึงเลือกทำอะไรโง่ๆ

     "ขอโทษฟาร์ซะถ้าทำได้" ทิ้งท้ายเสียงขุ่นก่อนจะออกไปตามหาอีกคนทันที

    คนอย่างฟาเรสต้องรู้ตัวเองดีกว่าโดนยาปลุกเซ็กส์และคงพยายามหาทางแก้มัน สถานที่เดียวที่จะมีสิ่งเหล่านั้นคือตึกวิจัยของเอก เวลอร์จึงตรงไปยังที่นั่นให้เร็วที่สุด แล้วมันก็เป็นไปตามคาดเมื่อเขาพบร่างโปร่งบางนอนไม่ได้สติอยู่ใต้สายน้ำเย็นเฉียบในห้องน้ำชั้นสองพร้อมขวดแก้วเปล่าในมือ หยิบขึ้นมาดมดูจึงรู้ว่าเป็นยานอนหลับขนาดแรง ปริมาณขนาดนี้น่าจะทำให้หลับลึกได้ประมานห้าถึงหกชั่วโมงหวังว่ายาปลุกเซ็กส์ที่มาวิคใช้คงจะไม่ออกฤทธิ์เกินนั้นหรอกนะ

    เวลอร์ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกชุ่มออกเพราะกลัวอีกคนจะเป็นหวัด เรือนกายขาวเนียนที่บัดนี้เจือสีจางจากฤทธิ์ยาทำเอาเขาหยุดชะงักแต่ต้องจำใจไม่มองแม้จะยากลำบากเกินทน คนตัวใหญ่ถอดเอาสูทตัวนอกของตนมาห่อคลุมร่างเปลือยเปล่าเอาไว้แล้วอุ้มขึ้นมาจากพื้นกระเบื้องเย็นๆ ตรงไปยังชุดโซฟากลางห้องพักผ่อนแล้ววางลงให้นอนเหยียดไปกับฟูกก่อนผละออกไปรื้อหาเครื่องนอนที่เอามาทิ้งไว้ กางผ้าห่มผืนหนาคลุมกายให้ร่างบาง จัดการปูที่นอนกับพื้นสำหรับตัวเองเอาหมอนที่หยิบมาวางลงแล้วล้มตัวนอน เขาเฝ้ามองเสี้ยวหน้าเนียนที่หลับไหลแต่คิ้วยังขมวดมุ่นกับความทรมานด้วยความกังวลใจ




     แสงสว่างของวันใหม่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ฉุดดึงฟาเรสจาดนิทราหากแต่เป็นความรุ่มร้อนในร่างกายที่ดูจะมากมายกว่าเก่า พาลโกรธคนทำจนอย่างจะกระทืบหนักๆ ให้หายเคือง 

     "อือ...บ้าเอ้ย" ฟาเรสกัดฟันข่มความต้องการ เพียงเนื้อผ้าที่ห่มกายยังทำให้รู้สึกได้ขนาดนี้ 

     เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติ มันช่างยากเหลือกำลังเมื่อสิ่งที่คุมกายเขาอยู่นั้นคือเสื้อสูทตัวใหญ่ที่จำได้ดีว่าของใคร อีกทั้งยังเหลือกลิ่นประจำกายติดอยู่กับเนื้อผ้า กลิ่นของเวลอร์มันกระตุ้นอารมณ์เขาเป็นอย่างดี

     "เว..." เสียงหวานเรียกหา แต่มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา

    ...ไม่ไหว หากไม่ทำอะไรต้องช๊อคตายแน่ๆ...

     ขาเรียวพาร่างโปร่งเดินเซไปยังห้องน้ำหวังพึ่งสายน้ำเย็นอีกครา เขาต้องปลดปล่อยไม่งั้นแย่แน่ อย่างน้อยในนั้นคงไม่มีใครมาเห็นภาพอุจาดตาของเขาได้

    "ฮึก..." ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างอดกลั้นเมื่อมือที่สั่นเทานั้น สัมผัสกับความแข็งขืนจนปวดร้าว มือเรียวกอบกำแล้วขยับรูดไปตามความยาว ทำเอาเสียวซ่านจนขนลุกไปทั้งตัว ปรนเปรอร่างกายหมายจะระบายความอยากจนปลดปล่อยออกมาในที่สุด แต่สิ่งนั้นกลับยังตื่น ซ้ำร้ายความรุ่มร้อนในกายเหมือนจะมากขึ้น จนต้องจัดการกับตัวเองอยู่อย่างนั้นอย่างจำใจ

     เวลอร์กลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่เอามาให้คนร่างเล็กใส่ แต่บนโซฟากลับว่างเปล่าเหลืองเพียงกองผ้าห่ม เสียงครางผะแผ่วลอดมาจากห้องน้ำบอกให้รู้ว่าคนที่มองหาอยู่ในนั้น คนตัวโตวางเสื้อผ้าและของใช้เหล่านั้นลง สองเท้าก้าวเข้าหาเสียงนั้นช้าๆ ราวกับถูกสะกด

     ภาพของฟาเรสที่เปลือยเปล่าใบหน้าเนียนชุ่มน้ำกัดริมฝีปากจนช้ำกลั้นเสียงตัวเอง ผิวกายที่แดงซ่านกับเสียงครางหวานปลุกสัญชาติญาณนักล่าให้ตื่นขึ้น ประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมทำให้ได้ยินเสียงหอบครางนั้นอย่างชัดเจน กลิ่นฟีโรโมนที่แผ่กระจาย กลิ่นกายและกลิ่นคาว กำลังทำให้เขาสูญเสียการควบคุม

     "เว...ฮึก ช่วย ฮ๊ะ ช่วยด้วย" เสียงหวานเว้าวอน ดวงตาสีครามช้อนมองอย่างออดอ้อน ฟาเรสไม่ต้องการสิ่งใดแล้วนอกจากสัมผัสของอีกคน 

     เวลอร์กัดฟันกรอด เขาไม่ใช่มนุษย์เขารู้ดีถึงปิศาจที่อยู่ภายใน ที่ผ่านมาพยายามไม่เกินเลยมากสุดก็แค่จูบเพราะเขากลัว กลัวว่ายามที่สัญชาติญาณก้าวนำจิตใจเขาอาจทำร้ายใครอีกคน แต่ตอนนี้ดูเหมือนสิ่งที่พยายามอดทนมาได้พังทลายเพราะความเย้ายวนเกินห้ามใจ

     "เว ฮึก เวกอด...กอดฉัน" ฟาเรสถลาเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย บดเบียดร่างกายที่สั่นสะท้านเข้าหาความอบอุ่นพลางโน้มใบหน้าของอีกคนลงมาจูบอย่างโหยหา

     เวลอร์ตอบสนองจูบนั้นอย่างเร่าร้อน สอดแทรกลิ้นหนาสู่โพรงปากอุ่นเกี่ยวกระหวัดพัวพันจนน้ำใสๆ ไหลเยิ้มออกมา ฟาเรสจูบเก่งกว่าปกติอาจเพราะความอยากจึงดูดดึงริมฝีปากและสิ้นสากราวกลับจะกลืนลงคอ

     "อื้อ...จูบอีก อื้อ" คนตัวเล็กร่ำร้องเมื่อเขาผละออกจนต้องจูบซ้ำตามคำขอ ลำแขนแกร่งช้อนอุ้มร่างบางจากพื้นกระเบื้องก่อนจะเดินช้าๆ ไปยังโซฟาแล้วตามไปทาบทับโดยที่ริมฝีปากไม่ได้ผละจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียวพลางสัมผัสปะป่ายไปทั่วกายจนอีกคนครางอื้อในลำคอ

     มือเรียวดันไหล่หนาให้ผละออก ดึงรั้งเสื้อผ้าของอีกคนอย่างเร่งร้อนจนเวลอร์ต้องหยัดกายขึ้นแล้วถอดมัน เผยให้เห็นเรือนกายงดงามพร้อมกล้ามเนื้อดูแข็งแรง แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงนั่นคือสร้อยทองพร้อมจี้ทับทิมรูปดวงอาทิตย์บนอกแกร่ง

     ฟาเรสแตะมันเบาๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ลวดลายของสร้อยยังแจ่มชัดในหัว วันสุดท้ายที่สร้อยอยู่ในมือ เขาสวมมันให้กับรูปสลักในวิหาร ก่อนที่ทั้งสองสิ่งจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย และวันนี้สร้อยเส้นนั้นอยู่ตรงหน้า งั้นคนคนนี้ก็เป็น...

     "มันเป็นของฟาร์ ฉันคืนให้" ดวงตาคมสบลึกลงมาอย่างจริงจังก่อนจะถอดมันออกจากคอแล้วคล้องให้คนข้างใต้ที่มองตอบมาด้วยสายตาที่หลากหลาย จี้ทับทิมดูสวยงามขึ้นทันตายามที่ตัดกับผิวกายขาวละเอียดของฟาเรส เหมือนจะบอกว่านี่คือเจ้าของที่แท้จริง ใบหน้าคมโนมลงประทับจูบตั้งแต่หน้าผาก เปลือกตา สองแก้มและจบที่ริมฝีอย่างอ่อนโยน

     "อึก..." จมูกโด่งก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว สูดกลิ่นเนื้อหอม ลิ้มรสผิวกายและขบกัดแรงๆ จนฟาเรสสะดุ้ง ริมฝีปากและลิ้นร้อนลากต่ำผ่านจี้ทับทิมสีสดมาจัดจากกับเม็ดทำทิมสีอ่อนบนอกแบนที่กระเพื่อมขึ้นลงจากแรงหอบหายใจ ลากเลียดูดดุนสลับกันเรียกเสียงครางสะท้านจากร่างบางที่แอ่นอกรับอย่างวาบหวาม ฤทธิ์ยาทำให้รู้สึกไม่สบาย ทุกสัมผัสสร้างกระแสประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนฟาเรสไม่อาจประคองสติได้อีกต่อไป

    "อ๊า ซี๊ด..." เสียงหวานหลุดครางเมื่อฟาเรสน้อยโดนกระทำชำเราจากมือใหญ่ 

     ขาเรียวแยกกว้างเบียดกายเข้าหาจนสัมผัสกับท่อนเนื้อร้อนของร่างใหญ่ที่ดันกางเกงจนโปร่งนูน มือเล็กซุกซนปะป่ายลูบไล้แผ่นอกกว้างอย่างหลงไหล ดวงตาฉ่ำน้ำปรือมองร้องขอจนคนถูกมองต้องกดฟันกรอดเพราะอยากขย้ำเสียเดี๋ยวนี้ หากเป็นคนอื่นเขาคงทำเพื่อระบายความใคร่ไม่จำเป็นต้องสนว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง แต่ฟาเรสไม่ใช่ เขาอยากให้อีกคนรู้สึกดี จึงเล้าโลมร่างกายนี้อย่างเอาใจ

     มือกร้านยังคงสัมผัสปลุกเร้าร่างบาง พรมจูบลาดไหล่เปลือยเปล่าแวะระรานแผ่นอกที่หอบสะท้านแล้วลากต่ำลงมายังหน้าท้องแบนราบซึ่งเกร็งจัดจนเห็นแนวซี่โครงจางๆ ปฏิกริยาของฟาเรสยามถูกสัมผัสช่างน่ารักน่าแกล้งให้ร้องครางออกมาดังๆ

    "อ๊ะ อ๊าาาา เว อย่า อื้อ" เสียงหวานครางลั่น เมื่อส่วนอ่อนไหวถูกครอบครองด้วยโพรงปาก นิ้วเรียวจิกทึ้งกลุ่มผมหนาเพื่อระบายอารมณ์ ดวงตาคมช้อนมองคนถูกกระทำ สบเข้ากับดวงตาสีครามที่มองตอบ ริมฝีปากแดงช้ำเผยอครางเสียงขาด  แก้มนวลแดงซ่าน กระตุ้นให้ร่างสูงเร่งเร้าทุกอย่างจนอีกคนปลดปล่อยออกมา เวลอร์กลืนของเหลวรสคาวลงคออย่าไม่รังเกียจพลางทอดมองร่างโปร่งบางที่นอนหอบหากแต่ส่วนกึ่งกลางยังไม่มีทีท่าจะอ่อนลง

     เวลอร์ดูดเลียนิ้วมือจนชุ่มพลางดันเรียวขาของฟาเรสขึ้นแล้วกดนิ้วเข้ากับช่องทางสีหวานที่ปิดสนิทช้าๆ สิ่งแปลกปลอมที่ถูกสอดเข้ามา ทำให้ร่างบางรู้สึกเจ็บด้วยความไม่เคย แต่พอเริ่มคุ้นชินนอกจากเจ็บยังมีความเสียวซ่านก่อวนไปทั่วท้องน้อย นิ้วที่สองสามจึงตามมาเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กปรับตัวได้ ก่อนจะขยับคว้านช้าๆ เพื่อเบิกทาง พลันร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับจุดกระสัน เขาจึงกดย้ำๆ จนฟาเรสครางสั่นน้ำตาคลอ ถึงอีกฝ่ายไม่ใช่มือใหม่แต่ก็เป็นครั้งแรกกับผู้ชาย เวลอร์จึงพยายากระทำอย่างใจเย็นแม้จะสวนทางกับความต้องการที่จวนปะทุเต็มทน

     "อ๊ะ เว มันฮึก" ฟาเรสมัวเมาไปกับสัมผัสหวาน ในใจกำลังเรียกร้องต้องการในสิ่งที่มากกว่า

     "พอ...อ๊า เว อยากได้ อื้อ อยากได้ของเว" จิตใต้สำนึกปลดปล่อยถ้อยคำน่าอายออกมาจากปากอย่างไม่รู้ตัวเพราะยามนี้เขาต้องการคนตรงหน้าจนแทบจะบ้า

    "ยั่วขนาดนี้ มาโทษกันทีหลังไม่ได้นะ" เวลอร์บอกก่อนผละออกไปกำจัดเสื้อผ้าส่วนล่างแล้วกลับมาทาบทับคนตัวเล็กบนโซฟาไว้ดังเดิม ฟาเรสโน้มใบหน้าคมลงไปจูบอย่างหิวกระหายเบียดกายร่ำร้องจนความอดทนทั้งหมดของคนตัวโตพังทลาย 

     ริมฝีปากหนาจูบตอบอย่างเร่าร้อนยาวนานจนร่างบางพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ดวงตาสีอำพันวาวโรจน์ นัยน์ตาเรียวรีดุจนักล่ากำลังจับจ้องเหยื่ออันโอชะที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่าง เสียงคำรามต่ำๆ จากเวลอร์บ่งบอกถึงตัวตนอีกด้านได้เข้ามาแทนที่ เรียวขาเนียนถูกจับพาดบนไหล่หนาก่อนกดส่วนตื่นตัวลงไปยังช่องทางสีหวานที่ถูกเบิกทางไว้ก่อนแล้ว ลำพังยั้งแรงไม่ให้ขย้ำเรือนร่างบอบบางยังทำได้ยาก จะให้อ่อนโยนคงเป็นไปไม่ได้

    "ฮะ...อ๊ะ เจ็บ เว มันเจ็บ ฮึก" ฟาเรสกรีดร้องอย่างทรมานเมื่อความใหญ่โตแทรกผ่านเข้ามาในร่าง สร้างความร้าวรานอึดอัดจนต้องถดตัวหนีแต่กลับถูกมือใหญ่กดรั้งเอวเอาไว้พลางดึงดันเข้ามาจนสุดความยาว ร่างบางสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดจากเบื้องล่าง น้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสาร นิ้วเรียวจิกเกร็งกับโซฟาจนขาดคามือพลางส่งเสียงสะอื้นไม่หยุด

      "รอไม่ไหวแล้วฟาร์" เวลอร์บอกเสียงแหบพร่า ก้มลงจูบซับหยาดน้ำตาอย่างปลอบโยน ช่องทางร้อนบีบรัดกลางกายทำเอาเสียวกระสันไปทั้งร่าง กลิ่นเลือดกลิ่นเหงื่อและกลิ่นกายปลุกสัญชาติญาณสัตว์ร้ายให้ลุกฮือ

     "อะ อ๊า!!!" ใบหน้าสวยแหงนครางเมื่อท่อนเนื้อร้อนเบื้องล่างดึงออกจนเกือบสุดแล้วกดย้ำเข้ามามิดลำ จังหวะช้าๆ ทว่าหนักหน่วงทำเอาเลือดคาวที่ไหลซึมอยู่ก่อนไหลเพิ่มขึ้นอีก กลายเป็นสารหล่อลื่นให้ความฝืดเคืองนั้นลดลง ท่อนเนื้อร้อนสอดลึกในทุกครั้งที่เอวหนากระแทกจนโดนจุดกระสัน เจ็บร้าวราวกับร่างจะสลายหากแต่ปนด้วยความรู้สึกซาบซ่านเกินบรรยายจนเริ่มคุ้นชินกับความทรมานที่แสนหวานและตอบรับมัน

     "เร็วอีก อ๊ะ ซี๊ด อ๊าาาา" เมื่อจิตใจถูกครอบงำด้วยความปราถนา ฟาเรสจึงเรียกร้องไขว่คว้าเรือนกายตรงหน้ามากอดไว้ จากที่กระแทกเข้าออกอย่างช้าๆ เวลอร์จึงเร่งจังหวะเพื่อสนองบัญชาเรียกเสียงครางสะอื้นอย่างสุขสมจากอีกคน

     เรี่ยวแรงมหาศาลทำให้ร่างโปร่งบางโยกคลอนตามแรงส่ง แม้เวลอร์จะพยายามยั้งไว้บ้างแต่ช่องทางตอดรัดจากคนข้างล่างทำให้ให้เขาอยากจะตอกเข้าไปให้ลึกและแรงยิ่งกว่าเก่า 

      เวลอร์สูดปากสูดคอข่มความบ้าคลั่งในจิตใจ มันเป็นการร่วมรักที่วิเศษกว่าครั้งไหนๆ ฟาเรสไม่รู้เลยหรือไง ว่าสีหน้าที่แสดงออกยามนี้ช่างเย้ายวนเชิญชวน ให้ต้องเชยชมเรือนกายนี้อย่างหลงไหล

     "ฮื้อ อย่ากัด" ฟาเรสร้องดังเมื่อเขี้ยวคมกัดแรงตรงคอจนสะดุ้ง คนทำผละออกมองผลงานอย่างชอบใจ ผิวกายขาวแดงช้ำเป็นรอยฟัน กระตุ้นอารมณ์ดิบให้กัดซ้ำจนได้ลิ้มรสเลือดหวาน เวลอร์คำรามต่ำๆ พลางขบกัดทิ้งรอยไปทั่วแผ่นอกราบขนาดที่ส่วนล่างยังสอดประสานรัวแรงจนอีกคนกรีดร้องครางปานจะขาดใจ

     "อ๊ะ เว ลึก ซี๊ด มันลึก ฮือ เบา" ความรู้สึกที่ได้รับหลากหลายมากมายจนตาพร่า นิ้วเรียวจิกยึดไหล่หนาขยับรับจังหวะรุนแรงที่ส่งมาด้วยเรียวขาสั่นระริกเพราะหยัดเกร็ง เสียงชื้นแฉะและเนื้อกระทบกันฟังดูหยาบโลนคลอไปกับเสียงคราง ห้วงอารมณ์พุ่งสูงลุกเป็นไฟก่อนจะแตกกระจายเป็นน้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องของทั้งคู่ มือกร้านกอบกำรีดเค้นทุกหยาดหยดจากคนใต้ร่างพลางกระแทกกระทั้นใส่ช่องทางที่ตอดถี่แล้วปลดปล่อยสู่ภายในจนไหลล้นออกมาแต่เอวหนาหาได้หยุด ยังคงรุกล้ำจนฟาเรสน้อยขืนมือขึ้นมาอีก แล้วบทรักร้อนแรงก็ถูกเริ่มอีกครั้ง

     "พอ แฮก อ๊ะ พอแล้ว" ฟาเรสห้ามเสียงสั่น หอบหายใจหนักอย่างอ่อนเพลีย กิจกามเมื่อคู่สูบเอาเรี่ยวแรงไปหมดสิ้น เวลอร์หยุดชะงักก่อนถอนกายออกแต่อย่าคิดเลยว่าจะรอด เมื่อร่างถูกช้อนอุ้มลงมาวางบนที่นอนนุ่มซึ่งปูแผ่อยู่บนพื้น เด็กหนุ่มถูกจับคว่ำ สะโพกมนถูกรั้งขึ้นรับส่วนแข็งขืนที่สอดใส่เข้ามารวดเดียวสุดลำแล้วขยับรุนแรงอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธอีกต่อไป

     ฟาเรสได้แต่นอนครางอย่างไม่อาจต้านทานคนตัวใหญ่ที่กระทำชำเราร่างกาย ปล่อยให้อีกฝ่ายจับเปลี่ยนท่วงท่าไปตามใจและตอบรับสัมผัสวาบหวามที่อีกคนมอบให้เท่าที่สติยังพอมี ห้วงอารมณ์ถูกฉุดสู่ความรัญจวนครั้งแล้วครั้งเล่าจนสำลักความสุขสม ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร จำได้ว่าแสงของวันกำลังจากไปเมื่อบทรักบทสุดท้ายได้จบลง สัมผัสร้อนวาบจากภายในพร้อมกับรสจูบอ่อนหวานคือสิ่งสิ่งสุดท้ายที่ฟาเรสรับรู้ได้ก่อนหมดสติไปใต้ร่างของเวลอร์

 

 

 

 
...............................

-นึกสภาพอยู่ออฟฟิศไม่มีงานเลยนั่งพิมนิยายที่มีฉากอีโรติก พิมไปตื่นเต้นเหลียวหลังไป จะมีใครโผล่มาอ่านที่เค้าพิมไหมวะ เจ้านายโผล่มาอ่านด้วยมีกรี๊ดอะ

-หาก nc ยาวไปต้องขออภัย แบบไม่ได้เขียนฉากแบบนี้มาพักใหญ่ๆ เลยจัดหนักจัดเต็ม เพราะเห็นพี่เวแกรอนาน  :fire:

-อย่าไปโกรธมาวิคมันเลยเนอะ เพราะมีมันพระนายถึงได้เสีย จากความดีความชอบตรงจุดนี้ไว้แม่จะหาสามีให้หนูนะ  :hao7:

-หลังจากนี้อาจหายไปซักสามสี่วันเพราะเราจิไปเที่ยว ฮันนี่มูนกับที่รักก็ว่าไปนั่น ไปเที่ยวนั่นแหละจ้า พักร้อนๆ :katai5:

-บทหน้ามาเรามาดูความรู้สึกของเฮียเวแบบค่อนข้างเต็มกันเถอะจ้า :katai2-1:

-ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ รูปคงต้องแปะโป้งไว้ ขอเวลาบิ้วอารมณ์ซักหน่อยเน้อ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 18-03-2016 01:15:53
หาสามีให้มาวิคเลยค่าาา  555
ยามาวิคแรงมากกอ่ะ  :hao3:
เลือดพุ่งเลยยยย :pighaun:

หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 18-03-2016 01:27:59
เวจัดหนักเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: RELAXED ที่ 18-03-2016 05:11:46
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด :hao7: :hao7: :hao7: เอาอีกๆๆๆๆๆๆๆ :pighaun: :hao6: :pighaun: :hao6: :haun4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 18-03-2016 08:46:05
จัดหนักจริงๆ คนเขียนพิมพ์ในที่ทำงาน เราอ่านในห้องเรียน เลือดแทบหมดตัว  :jul1: ต้องหยุดอ่านเป็นระยะๆ พักฟื้นอาการชั่วคราว เหลือบมองเพื่อนข้างตัวที่มองมา 555
สงสารมาวิค เหมือนกันนะ อารมณ์ชั่ววูบ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-03-2016 09:00:45
เอาตรงๆนะ  เราผิดหวังในตัวมาวิคมากเลย
ตัวละครตัวนี้ไม่น่ามาสิ้นคิดทำเสียแบบนี้เลยอะ  เราเคยเชียร์มาวิตให้เป็นพระรองแบบหล่อๆดีๆจนฟาเสียดายอะไรแบบนี้
การจะจีบใครมันต้องทำดีกับคนนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ทำเลว แล้วนีจีบหรือยัง เราว่าไม่ใช่ตั้งแต่แอบลักจูบเขาตอนหลับแล้วนะ
ความเป็นเพื่อนนี่ไม่มีความหมายเลยใช่ไหม  เพลียใจ
เราว่าฟารับบทหนักมากๆๆๆเรื่องนี้ ตั้งแต่ความทรงจำวัยเด็กแล้ว ไหนจะการถูกตามล่าอีก
การที่ได้กันเพราะว่ายามีส่วนค่อนข้างจะเป็นความทรงจำที่ไม่ดีสักเท่าไหร่
ถึงจะเจือไปด้วยความรักและการยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายแต่ฟาจะหวนคิดถึงเซ็กส์ครั้งแรกพร้อมๆกับเรื่องยาไปด้วย 
มันแยกออกจากกันยากมากและลืมยาก  เราค่อนข้างจะผิดหวังนิดนึงนะเพราะเรามโนไปไกลมากด้วยล่ะระหว่างเวกับฟาร์ ขอโทษนะ ความคิดส่วนตัว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-03-2016 09:29:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 18-03-2016 10:10:43
หูยยย  :pighaun:  จัดหนักจัดเต็มมาก

พูดถึงมาวิค อันนี้ไม่ค่อยชอบใจ ตอนผ่านๆมาก็ดูเหมือนจะยอมรับได้เรื่องฟาร์กับเว
เหมือนจะเข้าใจแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ถึงมาทำแบบนี้ ดูห่างๆไปแล้วแท้ๆ เราก็นึกว่าจะทำใจและตัดใจซะ
หรืออย่างมากก็สารภาพรักไป แบบลูกผู้ชาย แมนๆ เพราะมาวิคก็ดีมา(แทบ)ตลอด
พอมาวางยาฟาร์คือค่อนข้างไม่ชอบแหละ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เป็นเพื่อนด้วยไง เป็นคนไว้ใจ แต่กลับทำกันได้
เดาว่าฟาร์เองก็คงโกรธ แล้วให้อภัยนั่นแหละ
จริงๆแล้ว ยังไม่สุดเท่าไร คนที่วางแผนมาแล้ว น่าจะทำมากกว่านี้ น่าจะคิดไว้แล้วว่าคงโดนปฏิเสธแน่ ถึงวางยาแล้วรวบหัวรวบหางซะ แต่ทั้งนี้ คนเขียนเองคงอยากเก็บตัวละครนี้ไว้ เลยไม่ใส่บทร้ายให้ 5555555 ไม่ได้เกลียด แต่ก็โกรธ.

คิดไว้อยู่บ้างว่าครั้งแรกของฟาร์กับเวนี่อาจเพราะยา (แต่ไม่คิดว่าคนวางยาจะเป็นมาวิค = = )
จริงๆค่อนข้างคาดหวังกับเรื่องนี้ อยากให้เกิดขึ้นเมื่อพร้อม เมื่อต้องการกันจริงๆ ไม่ใช่เพราะภาวะสถานการณ์บังคับ
แต่ก็โอเค อ่านสนุกๆ
 
อิน

ขอบคุณค่ะ


ปล. มีคำผิดอยู่ประปรายนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 18-03-2016 18:31:13
อ่าน 2 ตอนรวดเลยคร้าาาาาาา
เขินแทนฟาเรสที่โดนเต๊าะ โดนแต๊ะอั๋งเก็บสแปร์ไปเพียบบบบบบบ!! มาตอนนี้ก้อจัดหนักฝุดๆ >\\\<
มาวิค เกินไป เกินไปจิงๆ ทำกับเพื่อนถึงขนาดวางยาได้ยังไง เออ ถ้าแค่เมาขาดสติก้อว่าไปอย่าง -_-^^^
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: HunterKill ที่ 18-03-2016 19:51:41
อื้อหืออ :haun4:



หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 18-03-2016 23:45:31
เลือดหมดตัว พร้อมกับ ฟ้าเหลือง 555555555555555  :haun4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 19-03-2016 03:01:58
 :jul1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 11 P4 18-3-59 O.,O!NC!!(Hard Mode)
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 22-03-2016 15:14:13
บทที่ 12

    ความไว้ใจคือสิ่งที่อันตรายที่สุด หากแต่ทุกคนที่มีความรู้สึกนึกคิดก็ยังเลือกที่จะไว้ใจคนรอบกายนอกจากตัวเอง บางครั้งความเชื่อใจไว้ใจนั้นอาจนำมาซึ่งความเกื้อกูลแต่บางครั้งก็นำมาซึ่งการทรยศหักหลัง ถูกทำร้ายในยามที่ไม่ระวัง ดังเช่นที่เวลอร์เคยประสบ 

    พลังในการควบคุมประตูระหว่างภพถูกใช้เพื่อการปกป้องมนุษย์จากอันเดธแต่ก็มีคนที่ใช้มันเพื่อตัวเอง พวกเขาคอยขัดขวางคนเหล่านั้นมาตลอดโดยไม่นึกเลยว่าเพื่อนที่รักที่สุดก็คิดแบบนั้น 

    เพราะถูกลอบกัดต่อให้ทรงพลังแค่ไหนก็พ่ายแพ้ได้ พิษร้ายจากเพื่อนรักรุนแรงจนทำให้พลังในกายถูกทำลายอย่างช้าๆ สิ่งที่เคยเป็นของเวลอร์ถูกช่วงชิงในยามที่อ่อนแอ ฟาร่าเองแม้ใจจะสู้แต่จำต้องล่าถอยเพราะในท้องของเธอมีชีวิตน้อยๆ กำลังเกิดมา อินดิโก้และคนที่เหลือตัดสินใจพาเขาหนีไปยังบ้านเกิดของตนยังดินแดนที่ห่างไกลในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าทั้งเวลอร์และฟาร่าได้ตายไปแล้ว

    "ฉันจะไม่ยอมให้ท่านพี่ตาย" ฟาร่าบอก ใบหน้างดงามนองไปด้วยน้ำตามองร่างที่นอนรอความตายอยู่บนเตียง 

    ยาพิษขนานแรงที่ถูกผสมด้วยเวทย์มนต์ สามารถคร่าชีวิตคนได้ในทันทีหากเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเวลอร์ แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งแต่ก็ต้องทนทรมานกับฤทธิ์ยาที่ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นแรมเดือนจนไม่เหลือแม้แต่แรงจะยืน ฟาร่าพยายามใช้ทุกความรู้เยียวยา แต่ไม่มีทางรักษานอกจากปล่อยให้สลายเอง อาจเป็นปีสองปีหรือสิบปีถึงตอนนั้นเขาคงไม่เหลือลมหายใจ

    จนวันหนึ่งที่จวนจะหยุดหายใจร่างของเวลอร์ถูกแบกไปยังวิหารกลางน้ำหลังคฤหาสน์โดยอินดิโก้และมาคัส ชุดเกราะที่มักใส่ในยามรบถูกสวมใส่จนครบ แล้วถูกจับให้นั่งลงบนบัลลังก์หิน

    "ฉันจะเปลี่ยนพี่ รักษาร่างกายของพี่ไว้จนกว่าจะฟื้นคืนพลัง ถึงเวลานั้นได้โปรดจัดการกับเจ้านั่นแล้วทวงทุกสิ่งคืนมา" ริมฝีปากสวยแย้มยิ้มอบอุ่นพลางลูบไล้ใบหน้าคมอย่างอ่อนโยน 

    อยากจะปฏิเสธแต่ไม่มีแรงขยับ ด้วยรู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้าต้องสูญเสียพลังและอ่อนแอจนทำให้อายุไขสั้นลงแม้จะเป็นเอลฟ์ที่มีอายุยืนยาวก็ตาม ยิ่งมองเห็นท้องที่กำลังโตนั่นยิ่งยอมให้ทำไม่ได้เด็ดขาดเพราะกลัวหนึ่งชีวิตในนั้นจะเป็นอันตราย เพื่อนทั้งสองที่ประคองร่างเขาไว้บนบัลลังก์ บีบไหล่หนาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ทั้งที่ดวงตาฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิดโดยเฉพาะอินดิโก้ที่ดูลำบากใจกับสิ่งที่คนรักกำลังจะทำ

    "ท่านพี่ดูแลเขาด้วยนะ" ฟาร่าว่าพลางดึงมือหนาไปสัมผัสหน้าท้องนูน ก่อนจะผละออกไปแล้วร่ายเวทย์จนเกิดสายพลังโอบล้อมร่างที่อยู่บนบัลลังก์ กระแสประหลาดเล่นพล่านไปทั่วร่างของเวลอร์ก่อนที่จะเริ่มหมดความรู้สึกจากปลายเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนทั่วทั้งร่างไม่เจ็บปวดอีกต่อไปเพราะทั้งร่างได้กลายเป็นหิน

    ไม่มีลมหายใจ นิ่งสงบ ไม่ร้อน ไม่หนาวหากแต่ยังมองเห็นทุกสิ่งได้ยินทุกอย่าง หลังจากนั้นฟาร่ามักจะมาเยี่ยมเขาในบางวัน เธอชอบนั่งลงข้างๆ บัลลังก์แล้วบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท้องของเธอโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เงียบหายไปพักใหญ่ จนวันหนึ่งเพื่อนๆ ทุกคนพากันเข้ามาในวิหารพร้อมกับฟาร่าที่โอบอุ้มทารกน้อยในอ้อมแขนโดยมีคนรักอย่างอินดิโก้ประคองไม่ห่าง
 
    "เขาชื่อฟาเรส น่ารักใช่ไหมละท่านพี่" เสียงหวานบอกอย่างเป็นสุขแม้ใบหน้างดงามจะซีดเซียวอย่างน่าใจหาย ภาพทารกน้อยตรงหน้าสร้างความอุ่นซ่านในหัวใจ ดวงตาสีครามเหมือนผู้เป็นแม่จ้องรูปสลักตรงหน้า เอื้อมแขนเล็กๆ ไขว่คว้าส่งเสียงอ้อแอ้มาให้ เสียงพูดคุยหยอกเย้าของเหล่าบรรดาลุงป้าขี้เห่อทำให้วิหารที่มักจะเงียบงันคึกครื้นขึ้นมา

    ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปไม่ถึงปี อินดิโก้มาหาพร้อมข่าวร้ายว่าฟาร่าได้จากโลกนี้ไปตลอดกาล เธอสูญเสียงพลังเพราะช่วยเขาจนร่างกายอ่อนแอและตายในที่สุด เวลอร์ถูกทิ้งให้เดียวดายในวิหารกลางน้ำเป็นแรมปี ความเงียบงันกัดกินจิตใจให้มืดมนจนแสงสว่างที่ชื่อว่าฟาเรสได้เหยียบย่างเข้ามาอีกครั้ง ผิวขาวกระจ่างกับเรือนผมสีซีดเมื่อรวมกับดวงตาสีครามสดใสทำให้ดูเหมือนเทวดาตัวน้อยก็ไม่ปาน 

    ฟาเรสชอบเข้ามาเล่นที่วิหารเพราะชอบบรรยากาศที่เงียบสงบกับดอกไม้นานาพันธุ์ อินดิโก้ทั้งรักทั้งหวงลูกชายของตนนัก จึงเข้มงวดกับทุกสิ่งจนเด็กน้อยไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับใคร ดังนั้นเวลามีเรื่องอะไรจึงมักมาเล่าให้รูปสลักในวิหารฟัง บ้างก็มานั่งอ่านหนังสือบ้างก็มานอนกลางวันหรือแม้กระทั่งในยามที่เสียใจยังปีนมานั่งร้องไห้จนหลับคาตักไปเลย เวลอร์อยากจะกอดอยากจะปลอบแต่ก็ทำไม่ได้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกปลดปล่อยจากสภาพนี้ซักที

    เวลอร์เฝ้ามองจากเด็กตัวน้อยๆ เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มรูปงาม ความรู้สึกที่มีต่อฟาเรสมากมายขึ้นทุกวัน เป็นความผูกพันที่เจ้าตัวไม่อาจรับรู้ ทุกข์ในยามที่อีกคนเสียน้ำตา ห่วงหาในยามที่อีกคนหายไป จนตระหนักได้ว่ามันคือความรัก เขารักฟาเรสจนหมดใจ

    เวทย์มนต์ที่แช่แข็งร่างเอาไว้ได้ถูกคลายในตอนที่เกือบจะสายไป แม้จะช่วยฟาเรสไว้ได้แต่คนอื่นก็ถูกฆ่าตายไปก่อนแล้ว หวังว่าอินดิโก้จะได้เจอฟาร่าในโลกหน้าแล้วกันนะ

    เวลอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งพร้อมกับพลังที่ฟื้นฟูดังเดิม เพื่อนๆ ทุกคนรับรู้ถึงการกลับมาและให้การช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง กุญแจสำคัญที่จะสะสางทุกอย่างที่ค้างคาคือฟาเรส ทุกคนจึงต้องช่วยกันปกป้องสั่งสอนให้เจ้าตัวแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือทุกอย่างได้

    ...พี่จะจัดการทุกสิ่งและดูแลฟาเรสตราบสิ้นลมหายใจ... เวลอร์ได้ปฏิญาณต่อหน้าหลุมศพของฟาร่าที่เขาอยากจะมาแต่เพิ่งมีโอกาส



    เวลอร์มองร่างที่นอนนิ่งด้วยความรู้สึกผิดกับสิ่งที่พึ่งผ่าน หลังจากฟาเรสสลบไปเขาก็อุ้มเอาร่างที่ไร้สติกลับห้องพัก โดยไม่ลืมโทรไปบอกเอเบรียนให้ช่วยจัดการกับสภาพที่เละเทะบนชั้นสองของตึกวิจัย และแน่นอนเพื่อนเขาด่ายับก่อนจะรับปากรับคำส่งคนไปทำให้ 

    ชำระล้างคราบคาวออกจนสิ้นแล้ววางลงบนเตียงนุ่มหวังให้สบายที่สุด ผิวกายขาวเต็มไปด้วยรอยแดง รอยกัด เรือนร่างบอบช้ำจากการกระทำจนพาลเกลียดตัวตนอีกด้านของตัวเอง ทั้งที่ต้องปกป้องดูแลกลับมาทำร้ายเอาเสียเอง

    สำหรับฟาเรสนี่คงเป็นครั้งแรกระหว่างพวกเขาที่ไม่น่าจดจำ แม้เจ้าตัวจะตอบสนองอย่างเต็มใจแต่ก็ด้วยสติที่ไม่คงที่เพราะฤทธิ์ยา ในยามร่วมรักเสียงหวานครางอย่างสุขสมแล้วในใจละ สุขด้วยหรือเปล่า เขาจำได้ดีว่ากระทำชำเราอีกฝ่ายอย่างป่าเถื่อนเพียงใด โกรธตัวเองที่ปล่อยให้ความต้องการและสัญชาติญาณเข้าครอบงำ จนกลืนกินอย่างคุ้มคลังไร้ปราณี

    "ขอโทษนะฟาร์" เวลอร์บอกพลางทายาให้ร่างบางอย่างเบามือ คงเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้วจะเดินไหวไหมเนี่ย ยิ่งคิดยิ่งเครียด ฟาเรสตื่นมาต้องโกรธชัวร์เตรียมตอบคำถามให้ดีๆ เลย

    ...อายุปูนนี้ยังต้องมานั่งคิดมาก เป็นเด็กวัยรุ่นไปได้...

    ความเจ็บร้าวทั่วสันพรางกายรบกวนฟาเรสจนไม่อาจหลับได้อีกต่อไป ดวงตาสีครามลืมขึ้นช้าๆ แสบพร่าเพราะพิษไข้ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่ามันชินกับแสงในห้องจึงรู้ว่าอยู่ในห้องตน ฟาเรสพยายามนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดจนหัวสมองปวดหนึบ

    มาวิควางยาเขา ทำลายความเชื่อใจทั้งที่เป็นเพื่อนกัน ความรู้สึกโกรธและผิดหวังกัดกินจิตใจเพราะอีกฝ่ายถือเป็นเพื่อนคนแรกของฟาเรสเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะทำไปเพราะชอบในตัวเขา แต่ชอบจนคิดจะครอบครองโดยไม่นึกถึงจิตใจกันมันก็เห็นแก่ตัวเกินไป

    "ฮึก...เว" น้ำเสียงที่พยายามเปร่งออกมาแหบแห้งและแผ่วเบา ไม่เข้าใจตัวทำไมต้องเรียกหา แต่พอขยับกายเพื่อลุกนั่งความเจ็บปวดก็เล่นพล่านจากช่วงล่างไปทั่วร่างจนน้ำตาซึม ร่างบางทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งอย่างอ่อนแรง ขุ่นเคืองที่ถูกกระทำรุนแรงจนตกอยู่ในสภาพกึ่งทุพพลภาพ แต่ในยามฤทธิ์ยากระตุ้นให้เกิดความต้องการจนขาดสติ เขารู้สึกโล่งใจที่ใครคนนั้นเป็นเวลอร์

    ...ทำไมสร้อยนี่ถึงอยู่กับนายได้นะ...

    นอกจากความรู้สึกติดลบมากมาย ฟาเรสยังมีความสงสัยถึงที่มาของสร้อยทับทิมบนคอว่ามันไปอยู่กับเพื่อนร่วมเอกของเขาได้อย่างไร ยังไงเขาก็เค้นเอาความจริงให้ได้ไม่ยอมให้บ่ายเบี่ยงแน่ๆ

    เสียงโวยวายดังมาจากด้านนอกแม้จับใจความไม่ได้แต่ก็รู้ว่าเป็นเสียงเวลอร์กับมาวิคจบด้วยเสียงปิดประตูดังเหลือเพียงเสียงตะกุกตะกักตรงส่วนครัว

    “เป็นยังไงบ้าง” เวลอร์ถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารและยาในมือ วางไว้โต๊ะข้างเตียงแล้วประคองร่างบางขึ้นนั่ง

    “อ๊ะ เจ็บ” ฟาเรสร้องเบาๆ ในยามที่ถูกประคองขึ้นนั่งทำเอาตัวต้นเหตุหน้าเสีย

    “ขอโทษ” ใบหน้าเนียนสะบัดหนีพลางเม้มปากแน่น ใจหนึ่งก็แอบเคืองแต่อีกใจมันก็อายกับอะไรที่เพิ่งทำกันมา ฟาเรสยังไม่พร้อมจะสบตาอีกฝ่ายเท่าไหร่

     “ไปห้องน้ำไหม” อีกคนพยักหน้าจึงจัดการช้อนอุ้มคนบนเตียงไปจัดการธุระในห้องน้ำโดยพยายามเบามือที่สุด แล้วพากลับมาไว้เตียงดังเดิม ฟาเรสลูบสร้อยบนคออย่างครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวโต

    “เล่ามาให้หมด” เสียงแหบแห้งเอ่ยสั่งเฉียบขาด พร้อมแววตาคาดคั้น น่ากลัวเสียจนเวลอร์อยากจับมาฟัดซักที

    “กินข้าวก่อน เดี๋ยวจะเล่า”

    “เล่าก่อนเดี๋ยวจะกิน”

    “ฟาร์”

    “ไม่เล่าก็ออกไป” คนตัวเล็กตัดบท ใบหน้างอง้ำเอาแต่ใจ คนตัวใหญ่จำต้องยกมือยอมแพ้

    “สร้อยนั่นนายเป็นคนให้ฉันมา ตอนที่ฉันยังเป็นรูปสลักอยู่ในวิหาร” ดวงตาสีครามเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน

    “รูปสลักหินจะมีชีวิตได้ยังไง นายอำฉันแน่ๆ ท่านลุงเล่าให้ฟังใช่ไหม” ฟาเรสถามรัว จริงอยู่ที่เขาได้คล้องสร้อยเส้นนั้นให้รูปสลักในวิหารกลางน้ำ แต่แบบมันเป็นไปได้หรอ
 
    “หึๆ ไม่เชื่อสินะ ใครก็ไม่รู้เวลาโดนพ่อดุมาแอบร้องไห้บนตักฉัน แล้วไอ้เด็กที่นั่งคุยกับรูปสลัก หัวเราะคนเดียวนี่มันปกติไหม วันนั้นโกรธออรี่กับออร่าก็มาแอบจนค่ำ…” เรื่องราวในวัยเด็กของฟาเรสมากมายหลั่งไหนออกมาจากริมฝีปากหนานั่น จนคนฟังชักจะรับไม่ได้กับวีรกรรมของตัวเอง

    “พอแล้ว งือ เงียบเลย” ฟาเรสห้ามหน้าดำหน้าแดง ทั้งเขินทั้งอาย ก็ตอนนั้นเขาเด็กนี่

    “หึๆ” ป๊าป!!! เวลอร์ทำหน้าล้อเลียนจนโดนฟาดแรงๆ ตรงแขนไปที

    “เล่าเรื่องสร้อยต่อสิ”

    “ไหนบอกให้เงียบ” ร่างสูงยังกวนต่อเลยโดนมือเล็กๆ ฟาดไปอีกสองสามที

    “โอ้ยย รุนแรงนะเรา” ว่าแล้วก็รวบข้อมือบางไว้ด้วยมือเดียวพร้อมยกคนตัวเล็กขึ้นมาบนตักด้วยลืมสภาพร่างของอีกคน แม้จะขยับไม่แรงแต่ก็เจ็บจนสะดุ้ง

    “ใครกันแน่รุนแรง เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยเนี่ย” ดวงตาสีครามค้อนควับอย่างเอาเรื่อง โดยเฉพาะช่วงล่างคงสะโพกครากไปหลายวัน

    “ขอโทษครับ โอ๋ๆ” ฟาเรสชักงงกับตัวเองแล้วนะ จะมาต่อล้อต่อเถียงกับหมอนี่ทำไม แล้วถูกโอ๋จะยิ้มเพื่อ? เขาต้องเคืองสิ 

    “เล่าต่อเดี๋ยวนี้”

    “จริงๆ ทั้งฉัน ทั้งพ่อแม่ของนายและคนอื่นๆ เราอยู่กลุ่มเดียวกันต่อสู้กับพวกที่ใช้พลังในการควบคุมประตูในทางที่ผิดมานาน พวกนั้นเรียกตัวเองว่าฟอสโก แต่ดันมีคนในกลุ่มทรยศเรา หมอนั่นเองก็ใช้พลังของตัวเองเพื่อทำสิ่งเลวร้าย พวกเราโดนหักหลังโดยไม่ทันตั้งตัวเลยแพ้ พากันหนีมาตั้งหลัก ฉันเองก็เจ็บหนัก ฟาร่าก็มีนาย เราทุกคนต่างกระจัดกระจาย เพื่อรอเวลา ในตอนนั้นฉันเองก็กำลังจะตายเพราะโดนเพื่อนสนิทวางยา หาทางรักษาไม่ได้ แม่ของเธอจึงหยุดร่างกายฉันไว้เพื่อให้ฤทธิ์ยาสลายและได้ฟื้นพลัง แต่การทำแบบนั้นทำให้แม่นายอ่อนแอ คลอดนายได้ไม่นานก็ตาย สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยประจำตระกูลของฟาร่า เป็นตัวแทนของแม่นายในการคลายเวทย์มนต์ที่สะกดร่างฉันเอาไว้” ฟาเรสคิดตามอย่างตั้งใจ “อินดิโก้ไม่รู้ว่านานแค่ไหนฉันถึงจะฟื้นเต็มที่ ใจจริงตั้งใจให้นายอายุซักยี่สิบพร้อมที่จะรับเรื่องพวกนี้แล้วค่อยปลดปล่อยฉันออกมา แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นก่อนก็แบบที่เห็น”

    “แล้วนี่จะทำยังไงต่อ ล้างแค้นงั้นหรอ คงไม่ต้องใช้พลังของฉันหรอกมั้ง” ฟาเรสว่าสายตาจริงจัง

    “จำเป็นสิ เจ้านั่นได้สร้างประตูเชื่อมระหว่างโลกขนาดใหญ่ที่อินเวียโนแล้วมันก็ขยายขนาดขึ้นทุกปี ทำให้พวกอันเดธมากมายหลุดเข้ามาในเอสทีเรียด นายต้องเป็นคนปิดมัน แต่เราจะบุกไปเลยไม่ได้เพราะนายเองก็ยังไม่รู้จักพลังตัวเองดี แถมอินเวียโนในตอนนี้เต็มไปด้วนกองทัพพวกไวด์โซลสิ่งที่เราต้องการคือกำลังพล”

    “แล้วทำไมไม่บอกพวกเอแวนการ์ดละ ให้ท่านลุงเอเบรียนคุยให้ก็ได้”

    “ไม่ได้หรอกฟาร์ เราไม่รู้นิว่าในเอแวนการ์ดมีคนของฟอสโกนั่นอยู่หรือเปล่า อีกอย่างการที่ฉันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ให้ใครรู้ไม่ได้นอกจากพวกเราเอง รวมทั้งตัวตนของฟาร์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมเราจะไม่บุกไปที่นั่น” 

    “แต่ถ้าเราไม่รีบมันจะยิ่ง…”

    “ไม่หรอก ประตูนั่นถูกเปิดมาเป็นสิบสิบปี ปล่อยให้มนุษย์รับมือเองบ้าง คนอื่นนะไว้ทีหลังยิ่งฟาร์เสี่ยงน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ฉันทำเพื่อคนอื่นมามากแค่เรื่องฟาร์เท่านั้นที่ฉันจะเห็นแก่ตัว" นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความอบอุ่นห่วงใย จนหัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรง พอรู้ว่าเวลอร์เป็นใครเริ่มพอจะเข้าใจว่าทำไมรู้สึกวางใจคนๆ นี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอ


    "เอาละเล่าแล้ว กินข้าวกินยาซะ จะได้พัก"

    "อืม" แล้วถ้วยข้าวต้มก็ถูกถือไว้ตรงหน้าคนบนตักจนดูเหมือนโอบกอดไว้กลายๆ

    "ป้อนไหม" เสียงทุ้มนุ่มถามพร้อมยิ้มกว้าง

    "กินเองได้น่า" ว่าแล้วฟาเรสก็แย่งช้อนจากมือใหญ่มาถือไว้ แล้วจัดการตักข้าวเข้าปากช้าๆ รู้สึกเกร็งแปลกๆ กับบรรยากาศในตอนนี้ จะว่าไปเวลอร์ในตอนนี้กับคนเมื่อวานนี่คนเดียวกันหรือเปล่า รู้สึกร้อนๆ ที่หน้า คิดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วมันก็แบบ

    ...จะบ้าตาย...

...............................

-กลับมาแล้วจ้า คิดถึงทุกคน :กอด1: ทีนี้ก็เข้าใจเฮียเวเขาบ้างแล้วเนอะ คนแก่ก็งี้ คิดเยอะ

-พิมพ์เวลาอยุที่พักว่างๆ เยื่อๆ ไม่มีไรทำ  :katai5:  เที่ยวก็เพลินดีถ่ายรูปเพลิน แต่แดดประเทศไทยแบบทำร้ายผิวมากอะ ทาครีมมาทั้งปีดำได้ในสิบนาทีสะเทือนใจ  :ling1:

-ขอบคุณทุกคนที่ติดตามจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-03-2016 15:26:54
โอ้วว้าว ความจริงเปิดเผยแล้ว
หนูฟาร์ทำตัวไม่ถูกเลยอ่า อิอิ รักยาวนานตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยอ่า ฟิน
บัลลังก์เขียนแบบนี้จ้า ว่าแต่เวกับฟาร์เป็นญาติกันหรือเปล่าคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: baipai_bamboo ที่ 22-03-2016 16:02:51
ลุงเวพรากผู้เยาว์ คุกนะลุง 55555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 22-03-2016 17:17:35
เวกินเด็กกกก  555
ถึงว่าเก่งมากๆ ก็เพราะอย่างนี้นี่เองงง
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-03-2016 17:31:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 22-03-2016 17:45:54
ว้ายย ตาลุงกินเด็ก  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 22-03-2016 21:43:31
ปมของเวลอร์ก้อคลายไปเปาะนึงแล้ว
แระก้อยังมีเรื่องให้รอผจญภัยอีกเยอะเรยยยยย
แต่ไม่เปนไร ตอนนี้ปราบปลื้มกับความหวานมุ้งมิ้งอันนี้ดีกว่าาาาา >\\\\\\<
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 22-03-2016 23:45:46
เฮียเวกินเด็กแล้วจะเป็นอมตะมั้ยน้าาาา 55555555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 23-03-2016 00:10:48
ว่าแล้วว่าเวต้องคือรูปสลัก ฮาาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 24-03-2016 09:49:18
ในที่สุดเรื่องก็คลายตัวไปเรื่องนึง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 25-03-2016 03:30:26
เฮียเวกินเด็กแบบนี้เป็นอมตะแน่
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 12 P5 22-3-59 กลับมาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 27-03-2016 00:18:12
บทที่ 13


    ฟาเรสเริ่มฝึกการใช้พลังเวทย์โดยจะมีเวลอร์และท่านลุงเอเบรียนช่วยกันสอน สองคนนี้เป็นเพื่อนกัน นี่ต้องเรียกเวลอร์ว่าลุงด้วยไหมเนี่ย แต่ทำไมไม่แก่เลยละ แต่ก็นะไม่ใช่มนุษย์ไม่แก่ก็ไม่แปลก

    "หึๆ เรียกที่รักดีกว่านะ หรือมันซอฟไป เรียกผัวก็ได้นะฟาร์" เจ้านั่นบอกไว้อย่างนั้นแล้วทันทีที่พูดจบก็โดนมือเล็กระดมฟาดไปยกใหญ่ นอกจากไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ แล้วยังยิ้มน่าระรื่นไปอีก

    วันแรกก็เริ่มกันง่ายๆ ฝึกกันในห้อง ไม่อยากเดินเยอะเพราะยังขัดๆ เคยได้ยินมาบ้าง ครั้งแรกคนโดนมันต้องเจ็บตัวกันบ้างแต่ก็ไม่คิดว่าจะเดี้ยงขนาดนี้ 

    ....แล้วทำไมตอนหื่นขึ้นไม่จับมันเสียบไปวะ...(ทำได้?)   

    เวลอร์เอาเทียนกับแก้วน้ำมาตั้งไว้บนโต๊ะของชุดรับแขก ให้ฟาเรสจุดเทียนด้วยมือเปล่าและทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งให้ได้ ส่วนเจ้าตัวหายหัวไปทั้งวัน แค่จุดเทียนง่ายจะตาย...ซะที่ไหน กว่าจะจุดติดเพ่งแล้วเพ่งอีกอยู่เกือบสามชั่วโมง แถมตอนจุดได้ไฟยังลุกท่วมเกือบไหม้ห้องแล้วไหมละ จบของร้อนมาของเย็นนั่งทะเลาะกับแก้วน้ำต่ออีกสามชั่วโมงกว่ามันจะกลายเป็นน้ำแข็ง...จะว่าไปก็สะดวกดีนะ ถ้ากินเบียร์ไม่เย็นก็ใช้พลังทำให้เย็นสะดวกดี เอิ่ม...นี่เขานั่งฝึกเพื่ออะไรแบบนี้ที่ไหนเล่า

    จะว่าไปการใช้พลังเวทย์ที่ไม่ผ่านตัวกลางอย่างเจมมันก็สะดวกดี  ใช้เวลาไม่กี่วันฟาเรสก็สามารถสร้างอาวุธจากวัตถุธาตุที่อยู่รอบกายได้ แต่การปล่อยพลังเวทย์ให้เป็นรูปเป็นร่างด้วยตัวมันเอง ยังค่อนข้างติดขัด มีครั้งหนึ่งเขาลองสร้างบาเรียรอบๆ ตัวเองแต่ได้แปปเดียวก็หมดแรงจะหน้ามืดเอา เวลอร์บอกว่ามันต้องฝึกใช้ประจำก็เหมือนเราวิ่ง แรกๆ ไปไม่ไกลก็เหนื่อยแล้วหลังๆ มารธอนเป็นสิบสิบกิโลเมตรก็ยังไหว และตัวแปรอีกอย่างที่มีผลต่อพลังคือสายเลือด หากสังเกตุดีๆ คนรอบตัวฟาเรสที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์หากไม่ใช่อมนุษย์ ก็ต้องเป็นพวกเลือดผสม

    วันต่อๆ มาของฟาเรสหมดไปกับการฝึกใช้พลังเวทย์บริสุทธิ์ โดยยึดสนามประลองของคณะวิทยาการการทหารเป็นที่มั่น มีโอซี่มาช่วยสอนด้วยบางวัน เพราะช่วงปิดเทอมไม่ค่อยมีคนแต่ก็มีสาวๆ มาส่องพวกเราบ้าง...เอ่อ จริงๆ มาส่องเวลอร์กับโอซี่มากกว่า เอาเถอะก็เพราะไอ้การประลองทำให้พวกนั้นกลายเป็นคนดังในทันตา


    วันจันทร์...พวกเราสามคนเดินทางเข้าเมือง เป้าหมายคือตึกบัญชาการของเอแวนการ์ดที่อยู่ใจกลางเดสเซนท์ เพื่อรายงานตัวสำหรับการฝึกกับหน่วยพิทักษ์ในช่วงปิดเทอมนี้ เหลือเวลาอีกตั้งห้าชั่วโมงเพราะดันออกมากันแต่เช้าแต่เขานัดไว้ตอนบ่ายเลยพากันเดินเล่นซื้อของกันในเมือง

    "โอซี่ นายดูคล่องจังนะ รู้ทางหมดเลยเปล่าเนี่ย" ฟาเรสถามพลางเดินตามเพื่อนตัวโตของเขา

    "แหมก็อยู่มาเจ็ดปีแล้ว"

     "แล้วบ้านเกิดนายละ"

    "ก็ทะเลทรายโอซี่ ในเขตเรดิเอนซี แม่เลยตั้งชื่อเดียวกับที่ฉันเกิดไง" โอซี่อธิบายพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

     ...มิน่าละผิวดำ...เอ้ยแทนเชียว

    "ไม่กลับไปหาแม่บ้างหรอ"

    "แทบจะไม่ได้กลับ ส่วนแม่ไม่เจอนานแล้ว ฉันอยู่กับแม่จนเก้าขวบ พ่อก็มารับไปอยู่ด้วย แม่ฉันเป็นชนเผ่าเร่ร่อนนะ เดินทางไปเรื่อยๆ นานๆ เข้าเมืองก็จะส่งจดหมายส่งของมาหาทีบอกให้รู้ว่าสบายดีอยู่ ส่วนทางพ่อก็ไม่ค่อยสนิทไง พอดีกับมาเรียนขั้นพื้นฐานในเดสเซนท์ก็เลยอยู่ยาว ก็ดีอยู่คนเดียวอยากทำอะไรก็ทำ" แม้เจ้าตัวจะแสดงท่าทางสบายๆ แต่ฟาเรสก็อดห่วงไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วเพื่อนเขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหน "เฮ้!!! ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นละ"

    "ฮะๆ หน้ายังไง" คนตัวเล็กกว่าเหรอหราถาม

    "อย่าคิดมาก ฉันมีเพื่อนเยอะแยะ นายเองก็เพื่อนฉัน อยู่ข้างๆ กันเนี่ย ไม่เหงาหรอกจริงไหมเว" หันไปถามอีกคนที่เดินตามมาเงียบๆ ร่างสูงเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาดุๆ เมื่อไล่มองไปตามวงแขนของโอซี่ที่โอบไหล่บางอย่างเนียนๆ เจ้าตัวแกล้งสะดุ้งเเล้วละมือออกพลางยิ้มล้อ "หวงจริง" 

เริ่มสายแดดเริ่มแรงจึงพากันไปบ้านพักของโอซี่ที่เจ้าตัวขอแวะมาเก็บของ เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่แต่เกินพอสำหรับอยู่คนเดียว บริเวณกว้างขวางดูร่มรื่น เห็นว่ามีคนสวนกับแม่บ้านดูอย่างละคน บ้านไม้ผสมอิฐแดงภายในตกแต่งโทนน้ำตาลครีม ชั้นเดียวสองห้องนอน สามห้องน้ำ มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ระเบียงด้านข้างและด้านหลัง ให้บรรยากาศสบายๆ แบบชนบทท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่

    "พ่อฉันสร้างให้ตอนเข้ามาเรียนที่นี่" โอซี่บอก

    "เจ๋งเลย จบแล้วหาเจ้าสาวมาเพิ่มอีกคนนี่เพอร์เฟคเลย" ฟาเรสว่าพลางมองสำรวจไปรอบๆ โอซี่นำทั้งสองเข้าไปในบ้าน

    "นั่งเลยๆ กินอะไรไหมเดี๋ยวให้แม่บ้านจัดมาหรือเหนื่อยนอนพักไหมละ ห้องนอนอีกห้องก็มีนอนพักก่อนได้นะ เดี๋ยวฉันจะออกไปธุระซักหน่อย เที่ยงๆ ค่อยออกไปที่ตึก" เจ้าบ้านร่ายยาว

    "ไม่ละ เดินกินขนมมาตามทางอิ่มแล้วเนี่ย" ฟาเรสว่าพลางหาวเมื่อเช้าตื่นไวไป ว่าจะออกสายๆ แต่โดนไอ้บ้าเวลอร์ก็ลากลงจากที่นอน

    "ไปนอนเหอะ งีบซักหน่อย" โอซี่บอกพลางดันหลังคนตัวเล็กไปยังห้องนอนทางซ้าย "ฉันไปแล้ว"

    "อืม" เวลอร์ที่เดินตามมารับคำ หนุ่มผิวแทนยกยิ้มเจ้าเล่ห์มองตามร่างบางที่ทิ้งตัวฟุบหน้าลงบนเตียงนุ่ม ก่อนหันมากระซิบคนตัวโตพอกัน

    "เพลาๆ หน่อยละ อย่าลืมบ่ายมีรายงานตัว" นัยน์ตาสีอำพันพราวระยับเพราะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี เจ้าบ้านตบบ่าเบาๆ แล้วจากไป 

     เวลอร์มองไปยังร่างที่นอนฟุบหน้านิ่งอยู่บนที่นอนนุ่ม ที่เห็นเพลียแบบนี้แค่เจ้าตัวนอนดึกตื่นเช้า อย่าเพิ่งคิดไปไกล ฟาเรสก็แค่ดูโทรทัศน์ดึกก็แค่นั้นบังเอิญมีวาไรตี้น่าสนใจ

     ชายหนุ่มล้มตัวลงบนเตียงก่อนจะดึงร่างเล็กที่นอนฟุบอยู่ให้ขึ้นมานอนเกยซุกหน้ากับอกแกร่ง กดจมูกกับกลุ่มผมนุ่มสูดกลิ่นหอมที่เขาชอบ ก่อนละมาจูบเบาๆ ตรงหน้าผากมนอีกสองสามที มือใหญ่ลูบเบาๆ ไปตามแผ่นหลังเนียนที่สัมผัสได้จากเนื้อผ้าอย่างเพลินมือ

    "อื้อ!!!" เสียงครางประท้วงเมื่อคนหลับโดนก่อกวนจากริมฝีปากร้อนที่พรมจูบไปทั่วหน้า ฟาเรสลืมตามาจ้องคนกวนตาแป๋ว เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากร่างสูงได้ทันที

     ...น่ารัก...

    ดวงตาสีอำพันจับจ้องที่ริมฝีปากสีสด มันช่างดึงดูดจนอดไม่ได้ที่จะลิ้มลอง ฟาเรสสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ใบหน้าถูกรั้งขึ้นไปจูบ ด้วยความตกใจจึงออกแรงผลักแต่ก็ไม่อาจหลุดรอดไปได้เมื่อถูกอีกคนกอดกระชับเอวไว้แน่นจนช่องว่างแทบเป็นศูนย์

    แรงบดเบียดอ่อนโยนที่ริมฝีปากอิ่มหลอกล่อให้ฟาเรสเปิดปากรับลิ้นร้อนเข้ามาภายใน กวาดต้อนเอาความหวานไปทั่ว ลิ้นเล็กตอบสนองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัว ก่อนจะปล่อยให้มันเป็นไปตามการชักพา จากอ่อนหวานเริ่มดูดดื่มรุนแรง ทำเอาร่างบางหัวหมุนไม่รู้ตัวเลยว่าถูกพลิกลงไปนอนราบกับฟูกนุ่มโดยมีร่างหนาคร่อมทับเอาไว้ มือบางจิกขย้ำอกเสื้อจนยับคามืออย่างหาที่ยึด

    "แฮก...ไอ้บ้าเว" เวลอร์ผละจูบเมื่อคนใต้ร่างทำท่าจะขาดใจ คนโดนจูบว่าด้วยใบหน้าที่แดงซ่านพลางโกยอากาศเข้าปอด จมูกโด่งก้มลงซุกไซ้ซอกคอขาวส่วนมือกร้านสอดผ่านสาบเสื้อไปลูบไล้ผิวเนียนลื่นมือ ระรานถึงแผ่นอกจนร่างบางสะดุ้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายทำเอาสมองเริ่มรวนจนคุมไม่ค่อยอยู่

    "โอ๊ย...เจ็บ" ฟาเรสร้องดัง เมื่อเขี้ยวคมๆ งับเข้าคอจนเลือดซึม ร่างสูงผละออกอย่างตระหนกที่ลืมตัวกัดไปตามอารมณ์ 

...เกือบไปแล้ว...

    ตั้งแต่เรื่องวันนั้น เวลอร์ค่อนข้างจะระวังในยามอยู่ใกล้คนตัวเล็ก แม้จะยังแตะเนื้อต้องตัวตามปกติ นอนกอดในทุกวัน หอมบ้าง จูบบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรลึกซึ้งเพราะเขากลัวจะคุมสัญชาตญาณตัวเองไม่ได้เผลอขย้ำคนตัวเล็กให้บอบช้ำอีก

    "ขะ ขอโทษ" เวลอร์บอกเสียงแผ่ว ก้มลงจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากแดงช้ำ "นอนต่อเถอะ ฉันขอออกไปเดินเล่นข้างนอกแปป"

    ดวงตาสีครามมองตามร่างสูงที่ออกจากห้องไปอย่างไม่เข้าใจ วันนี้ตกใจเหมือนกันกับจูบของเวลอร์เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา ถึงเจ้าตัวจะจูบเขาบ้างแต่ก็ไม่เคยรุกล้ำแบบนี้ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่เหมือนช่วงนี้เวลอร์พยายามรักษาระยะกับเขาพอควรแม้จะนอนเตียงเดียวกันแต่มันรู้สึกห่างเหินชอบกล 

    มือบางยกขึ้นลูบหน้าเบาๆ หวังจะระบายความร้อนออกไป เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร หรืออยากให้สัมผัสหรอกนะ แค่รู้สึกว่ามันแปลกๆ



    ตอนบ่ายพวกเขามาถึงตึกบัญชาการของเอแวนการ์ดซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเดสเซนท์ข้างตึกรัฐสภา เป็นอาคารทรงกระบอกขนาดใหญ่ กะด้วยสายตาคร่าวๆ คงมีมากกว่าหกสิบชั้นเป็นกระจกรอบด้าน พอมาถึงทั้งสามก็ไปติดต่อตรงประชาสัมพันธ์ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่สาวสวยในชุดทหารหญิงเดินนำไปยังห้องรับรองที่อยู่ชั้นสอง

    "อ้าว มาถึงนานยัง" โอซี่ถาม เมื่อเข้าไปเจอพรีมกับมาวิคที่นั่งอยู่ก่อนแล้วบนโซฟาตัวยาว ถัดไปไม่ไกลเป็นพวกปีสามที่ผ่านเข้ามาเหมือนกัน

    "ก็ซักครึ่งชั่วโมงแล้วละ เป็นไงบ้างไม่เจอนานเลย" พรีมว่า เพราะหลังจากปิดเทอมเจ้าตัวก็กลับไปอยู่บ้าน

    "ก็เรื่อยๆ กำลังฝึกฟาร์เป็นพ่อมดอยู่" โอซี่ตอบยิ้มๆ "ไงมาวิค ที่บ้านยังเหงาเหมือนเดิมหรือเปล่า"

    "ก็เงียบเหงาดี อยู่บ้านคนเดียวเหมือนเดิม ก็รู้นิพ่อแม่ฉันงานยุ่ง แล้วพวกนายละ อยู่แต่อานิมาไม่เบื่อหรอ" มาวิคถามรวมๆ แต่สายตากลับหยุดที่ร่างบางซึ่งยืนอยู่ข้างเวลอร์ ใจจริงเขาอยากจะถามว่าหลังจากวันนั้นฟาเรสเป็นยังไงบ้าง เขาอยากเจอนะแต่ก็ไม่กล้าสู้หน้า เมื่อดวงตาสีครามหันมาสบกับเขา ใบหน้าเนียนก็หันมองไปทางอื่น

    "ไม่เบื่อหรอก สอนฟาร์ใช้พลังอยู่ช่วงนี้ ก็เรียนรู้ไวดี" เวลอร์ตอบ บีบมือของคนข้างๆ เบาๆ อย่างให้กำลังใจ เขารับรู้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวจากร่างบางได้ทันทีตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในห้อง ฟาเรสคงอึดอัดที่ต้องมาเผชิญหน้ามาวิคในห้องนี้

    ระว่างรอก็พูดคุยสัพเพเหระกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่โอซี่กับพรีมรู้สึกแปลกไปคือเจ้าสองหน่อที่มักจะคุยกันเสมอกับเงียบใส่กัน ฟาเรสเอาแต่สนใจสิ่งรอบตัวหรือแต่ไม่มีวินาทีใดเลยที่จะหันมามองทางมาวิคที่หนังซึมเป็นหมาหงอยราวกับอีกคนไม่มีตัวตน พรีมกับโอซี่อยากรู้เหลือเกินว่าทั้งคู่ผิดใจอะไรกัน เพราะมันพาลทำให้บรรยากาศรอบด้านอึมครึมไปด้วย

    ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ของเอแวนการ์ดเข้ามาบรรยายเกี่ยวกับหน่วยพิทักษ์ให้ฟัง ว่าทำงานแบบทหารรับจ้าง รับสะสางปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ไม่ใช่แค่ปีศาจอสูรกาย แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มโจร พวกพิธีกรรมเถื่อน อะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อประชากรในเอสทีเรียด เราได้รับตารางการเดินทางคร่าวๆ ตัวเรือบินที่จะเดินทางไปเรดิเอนซี่ ในวันศุกร์ที่จะถึงบัตรของเอแวนการ์ดที่สามารใช้ในการเข้าพักในโรงแรมต่างๆ เพราะในระหว่างฝึกงานกับหน่วยพิทักษ์ต้องมีการเดินทางไปเรื่อยๆ ซึ่งใช้เวลาในการฝึกงานเป็นเวลาหนึ่งเดือน

    หลังจบการบรรยายแนะนำสิ่งต่างๆ มาวิคแยกตัวมาเข้าห้องน้ำ จริงๆ เดินตามฟาเรสมาเพราะอยากจะคุยด้วย พอมาถึงก็เห็นหลังอีกคนไวๆ หายไปข้างในห้องน้ำเยาจึงยืนรออยู่ตรงอ่างล้างมือ

    "ฟาร์" เจ้าของชื่อชะงัก เมื่อเปิดประตูออกจากห้องน้ำมาเจอมาวิค "ขอคุยด้วยได้ไหม" 

    ฟาเรสเดินเลยไปเปิดก๊อกล้างมือโดยไม่สนใจชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล 

    "ฟาร์ ฉัน..."

    มือเรียวดึงกระดาษมาเช็ดมือแล้วทิ้งลงถังขยะ

    "ฉันขอ ทะ..."

    ปัง!!! เสียงปิดประตูดังก่อนที่มาวิคจะได้พูดจบ ร่างบางออกไปอย่างเร่งรีบ  ...ขอโทษ... มาวิคต่อคำนั้นเบาๆ ในใจ หลับตานิ่งสูดหายใจลึกๆ ถ้ารู้ว่าต้องมาเจออย่างนี้เขาคงไม่คิดทำอะไรโง่ๆ เจ็บ...หากโดนด่า โดนว่า หรือโดนฟาเรสต่อยหน้า มันคงดีกว่า ถูกเมินแบบนี้


    ระหว่างรอเดินทางโอซี่ก็ชวนฟาเรสกับเวลอร์มาพักอยู่ที่บ้านตัวเองในเดสเซนท์ สองคนนี้ดูสนิทกันดี บางทีก็ออกไปข้างนอกตอนดึกๆ ด้วยกันไม่รู้ไปทำอะไร บางคืนฟาเรสก็หลับไปคนเดียวตื่นมาก็เจออีกคนนอนอยู่ข้างๆ บางคืนเข้านอนไปพร้อมกันตื่นมากลางดึกข้างตัวก็ว่างเปล่า ดังเช่นคืนนี้

    ดวงตาสีครามลืมขึ้นในแสงสลัว หันไปดูนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาตีสามกว่า ข้างกายว่างเปล่าและเย็นเฉียบบอกให้รู้ว่าคนที่เคยนอนอยู่ลุกออกไปนานแล้ว มันรู้สึกโหวงๆ ในอก เขาคินกับการที่มีเวลอร์นอนอยู่ข้างกัน หลับไปในอ้อมกอดอุ่นๆ นั่น ฟาเรสไม่ได้ซื่อถึงขนาดไม่รู้ว่าสถานะของเขาทั้งคู่มันเลยเพื่อนมาไกล แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะถาม ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์พอจะถามไหม

    ฟาเรสไม่สามารถข่มตาหลับได้เพราะหลายสิ่งมันกวนใจ โดยเฉพาะท่าทีของเวลอร์มันเหมือนมีกำแพงกั้นเอาไว้ ร่างบางลุกนั่งบนเตียงนุ่มชันเข่าขึ้นมากอดตัวเองไว้ หนาวจัง...หนาวไปถึงใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ติดสัมผัสของใครอีกคนเสียเหลือเกิน ร่างกายสั่นไปหมดไม่ใช่เพราะความหนาวแต่เพราะแรงสะอื้น จู่น้ำตามันก็ไหล ฟาเรสชักไม่เข้าใจกับความติสของตัวเองแล้วสิ

    เวลอร์กลับมาตอนตีสี่ก็เห็นคนที่ควรหลับไปแล้วนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงไหล่เล็กสั่นน้อยๆ กับเสียงสะอื้นเบาๆ ทำเขาใจหายรีบถลาเข้าไปกอดร่างบนเตียงไว้ 

    ฟาเรสซุกหน้าเข้ากับอ้อมกอดอุ่น แต่กลิ่นจางๆ ที่ติดตัวอีกคนมายิ่งกระตุ้นน้ำตาให้ไหลพราก กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง ทำไมถึงมาอยู่บนตัวเวลอร์ได้ละ หรือว่าที่ออกไปกับโอซี่ทุกคืนก็คือแบบนี้งั้นหรอ...ทำไมละ ทั้งที่กอดเขาทุกวันแท้ๆ เบื่อแล้วหรอ?

    "ฟาร์ เป็นอะไรไหนบอกซิ" เวลอร์ถามเสียงเครียด ลูบหัวลูบหลังคนตัวเล็กอย่างร้อนรน แต่อีกคนไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น

    "ไป ไหนฮึก...มา" เสียงหวานถามปนสะอื้น

    "ไปธุระ" ฟาเรสถึงกับสะอึกผลักออกคนออกห่าง ตอบแบบนี้คือตั้งใจเลี่ยงชัดๆ 

    "ทำไม...ฮึก ถึงมีกลิ่น ผู้หญิง" ดวงตาสีครามจ้องเขม็งอย่างคาดคั้น รู้สึกหัวเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนอารมณ์ขุ่นข้องใจทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมันระเบิดออกมา จนแปลกใจกับอาการงี่เง่าของตัวเอง

    "ฟาร์ เฮ้ย!!!" เวลอร์ถึงกับเหวอเมื่อร่างบางผลักเขาหงายลงบนเตียงก่อนจะวาดขานั่งคร่อมอกตรึงเขาไว้กับฟูก "อะ...อะไร" มือเล็กๆ กดไหล่เขาไว้เมื่อทำท่าจะลุก ดวงตาสีครามอาบน้ำตาจ้องเขาอย่างเอาเรื่องก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะเอ่ยออกมาเสียงเฉียบ

    "เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน"

.........................................

-เค้ามาแล้ว น้องฟาร์งอแงตลอดเลยเนอะ  :z6:

-ขอบคุณสำหรับทุกเม้นและทุกกำลังใจจากผู้อ่านจ้า รูปที่รีเควสไว้มิได้ลืมหรอก เพิ่งไปถอยสมุดวาดเขียนมาใหม่ตั้งใจจิเอามาประเดิม คิคิ

:mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 27-03-2016 01:49:21
มาดนางพญาเริ่มมา ดีมากน้องฟาร์ เคลียร์ให้รู้เรื่อง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-03-2016 02:34:51
อุ้ย!! งานเข้านะคะคุณลุง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 27-03-2016 06:00:41
ตามๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 27-03-2016 07:17:58
 :angry2:   ลุง ออกไปซ่องมาเรอะ แบบนี้มีเสียเลือดแน่เลย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 27-03-2016 09:28:27
กรี๊ด ค้างงง
เคลียร์เลยแบบนี้ อย่าปล่อยไป
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 28-03-2016 02:25:55
จากตอน12 เวเป็นพี่แท้ๆของฟาร่ามั้ยคะ?? แต่เห็นพูดเรื่องสร้อยว่าเป็นตระกูลของฟาร่า เลยคิดว่าคงไม่ใช่พี่จริงๆ หรือเปล่า??



ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 28-03-2016 14:14:07
ฟาร์จะรุกเองแล้วววววว อิอิ :hao3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 28-03-2016 19:00:23
ค้างงงงงงง  :z3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 04-04-2016 23:44:21
คิดถึงจังง มาต่อได้แย้วววว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 13 P5 27-3-59 = =''
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 05-04-2016 22:46:55
บทที่ 14

    เวลอร์มองคนตัวเล็กที่ทำเก่งกดเขาไว้กับเตียง แรงแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอกแต่พอเห็นใบหน้าเนียนงอง้ำ ดวงตาคู่สวยยังชุ่มไปด้วยน้ำตาจึงจำยอมไม่โต้ตอบ

    "หยุดร้องได้แล้วฟาร์" เสียงทุ้มเอ่ยเบา แต่พอจะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้ฟาเรสกลับปัดมือออกพร้อมมองมาแบบเคืองๆ

    "ไม่ได้ร้อง" เสียงหวานย้อนอย่างดื้อดึง

    "ครับๆ ไม่ได้ร้อง" แต่ไหลอาบแก้มเลย...รู้สึกทั้งขำทั้งสงสาร

     "ไปไหน ฮึก...มา"

     "ไปกับโอซี่..." ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม เห็นแบบนี้ก็อยากแกล้ง 

    ฟาเรสปาดน้ำตาออก รู้ว่าอีกคนจงใจยียวนจากที่น้อยใจตอนนี้เริ่มรู้สึกโมโหนิดๆ เขากำเสื้ออีกคนแน่นพลางจ้องหน้าเอาเรื่อง ริมฝีปากสวยเม้มแน่นอย่างขัดใจ จนร่างสูงรับรู้เลยว่าอีกคนไม่มีอารมณ์เล่นด้วยในตอนนี้

    "ฉันกับโอซี่กำลังตามสืบเรื่องของพวกฟอสโก" เวลอร์รีบยันกายขึ้นนั่ง เอ่ยตอบพลางคว้ากอดเอวบางไว้เมื่อเจ้าตัวทำท่าจะผละหนี "ฉันอยากรู้ว่าตลอดหลายปีมานี่ พวกมันใช้ไวด์โซลทำอะไร มีเครือข่ายไหนคอยสนับสนุน มีความต้องการมีเป้าหมายแบบไหน และใครได้ประโยชน์ แต่เพราะฉันโดนผนึกมานานเอสทีเรียดตอนนี้คือที่ที่ฉันไม่รู้จัก เลยต้องให้โอซี่ช่วย"

     "นายบอกหมดเลยหรอ โอซี่เชื่อใจได้ใช่ไหม"

     "ฉันรู้ว่าโอซี่เป็นใครมาจากไหน เจ้านั่นนะไม่ธรรมดา มีคนช่วยอะไรๆ ก็คงง่ายขึ้น" โอซี่แท้จริงแล้วเป็นลูกชายเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเวลอร์ ถึงว่าตอนที่ประลองกันพลังของหมอนั่นดูคุ้นนัก "จำพวกที่เคยทำร้ายนายในเมืองได้ไหมฟาร์ ฉันไปตามสืบดูว่าเป็นใครมาจากไหน จึงรู้ว่าพวกนั้นทำงานที่สกายเลาท์เลยเข้าไปสืบที่นั่นดู เนียนๆ เป็นลูกค้าเข้าไปนะ" 

     "แล้วได้อะไรมาบ้าง"

     "เจ้าของก็แค่ให้เงินสนับสนุนพวกฟอสโกแลกกับการช่วยเหลือ ในการจัดประมูลของในตลาดมืดนะ ซึ่งของส่วนใหญ่เป็นของมีค่า บางอย่างก็ผิดกฏหมาย เลยจำเป็นต้องใช้พวกไวด์โซลในการกำจัดเสี้ยนหนามและคุ้มกันตััวเอง ซึ่งนั่นคงต้องปล่อยให้ทางเอเบรียนเป็นคนจัดการไป " คนฟังพยักหน้าเข้าใจ แต่ยังคงทำหน้าสงสัยในบางสิ่ง "มีอะไรอีก หืม"

    "กลิ่น...กลิ่นน้ำหอมบนตัวนาย" ฟาเรสถามพลางหลบสายตาอีกคนที่จ้องมา กลิ่นน้ำหอมที่น่าจะเป็นของผู้หญิงมันทำให้เขาหงุดหงิด ถึงอีกคนจะอธิบายมาแบบนั้นก็เถอะ แต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

    "หึๆ...หึงหรอ"

     "เปล่านะ แค่...รู้สึกไม่ชอบ" ท่าทีอึกอักกับพวงแก้มที่ซับสีเลือด ทำเอาเวลอร์ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี แบบนี้เรียกหึงชัดๆ 

     "ฉันไม่ได้ทำอะไรหรอก ถึงที่นั่นจะเป็นที่อย่างว่าก็เถอะ แต่แค่ไปนั่งดื่มจริง ๆ" เสียงทุ้มอธิบายเนิบๆ พลางเกลี่ยแก้มใสแล้วเชยคางฟาเรสให้สบตา "ฟาร์น่ารักขนาดนี้ คงมองคนอื่นไม่ได้แล้ว"

     "หล่อต่างหากละ" คนโดนชมรีบแย้ง เอามือถูกแก้มที่ร้อนผ่าว "เชื่อได้หรอ แล้วคืนก่อนละ จะบอกว่าออกไปสืบเรื่องพวกฟอสโกหรือไง"

    "อืมใช่" 

    "แล้วทำไมไม่บอกฉันละ" 

    "ก็บางทีมันก็อันตราย ฉันไม่อยากพาฟาร์ไปเสี่ยง ถ้าบอกฟาร์ต้องตามไปแน่ ใช่ไหมละ"

    "เหอะ ฉันคงไม่สำคัญพอที่จะรู้อะไรจากนายสินะเว" ดวงตาสีครามมองมาอย่างตัดพ้อ ทีกับโอซี่บอกได้ทีกับเขาละ

    "สำคัญสิ ฟาร์สำคัญที่สุด" ฟาเรสนิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ คิ้วสวยขมวดหากัน แววตาดูหงุดหงิดคาใจ ในเมื่อตัดสินใจจะเคลียร์คงต้องเคลียร์ให้ครบทุกเรื่องสินะ

    "เว สถานะของฉันสำหรับนายตอนนี้คืออะไร" ฟาเรสตัดสินใจถามออกไปตามตรง เขาต้องการความชัดเจน 

    "สำหรับฉัน ฟาร์คือ..." ดวงตาสีอำพันมองมาอย่างแน่วแน่ "คนที่ฉันรัก" ฉ่า...ใบหน้าเห่อร้อนและแดงซ่าน หัวใจเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอก รู้สึกมือไม้มันเกะกะจนต้องยกขึ้นมาปิดหน้าซ่อนความอาย  :-[

    "ฟาร์" เวลอร์ยิ้มขำกับท่าทางของคนบนตัก ที่ตอนนี้เขินจนไปไม่เป็น "ฟาร์ครับ" เสียงทุ้มเย้าแหย่พลางดึงมือบางที่ปิดหน้าออก ฟาเรสก้มหน้างุดจนคางชิดอกแต่ไม่อาจซ่อนใบหน้าที่แดงจัดลามถึงหูได้ ร่างสูงก้มลงฟัดแก้มแดงๆ นั่นอย่างหมั่นเขี้ยว

    "งื้อ...พอแล้วเว" มือเรียวพยายามดันหน้าคนตัวโตออกห่าง รวบรวมความกล้าจ้องตอบคนที่ยิ้มกว้างมาให้จนหน้าที่ร้อนอยู่แล้วร้อนยิ่งขึ้นจนแทบไหม้ "เว"

    "ครับว่าไงครับ"

    "คนที่รักกัน เขาไม่มีเรื่องปิดบังกันหรอกนะ" ฟาเรสบอก

    "งั้นต่อจากนี้มีอะไรฉันจะบอกฟาร์ เพราะเรารักกัน เป็นแฟนกัน ตกลงไหมครับ" ใบหน้าคมยิ้มทะเล้น แถมขโมยจุ๊บปากอิ่มไปที

     "เอ่อ เฮ้ย ฉัน...ยังไม่ได้บอกเลย" ร่างบางตาโตปฏิเสธพัลวัน ขี้ตู่ชะมัด

     มานั่งย้อนสิ่งที่ตัวเองพูด...คนที่รักกัน...อืม เวลอร์บอกว่ารักเขา ถ้ารักกัน หมายถึงเขาก็ต้องรักเวลอร์ แต่...ไม่รู้สิ ฟาเรสยังไม่แน่ใจตัวเองเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมอนี่มีอิทธิพลต่อเขามาก มากจนทำให้คนที่ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยต้องกลายมาเป็นพวกคิดมาก น้อยอกน้อยใจแม้อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

     "ตกลง" เสียงหวานแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่ก็ดังพอให้คนฟังยิ้มกว้างเพราะชื่นใจที่ได้ยิน เวลอร์ดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น รับรู้สึกหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นแรงของอีกคน...น่ารักเกินไปแล้ว

     ฟาเรสซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง แบบว่าไม่กล้าสู้หน้า ไม่อยากมองตา ขอเวลาตั้งหลักตั้งสติซักนิด แต่เวลอร์ดันไม่ให้โอกาสนะสิ เจ้าตัวเงยหน้ามองอย่างงุนงงเมื่อไหล่บางถูกดันออกห่าง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อริมฝีปากสวยถูกฉกชิมอย่างรวดเร็ว เวลอร์เคล้าคลึงริมฝีปากนุ่มแผ่วเบา ขบเม้มริมฝีปากบนและล่างหลอกล่อให้คนที่ตั้งตัวไม่ถูกสติกระเจิงไปไกล จนเผลอเปิดปากรับลิ้นร้อนเข้ามาภายใน หยอกล้อกับลิ้นเล็กของตน กวาดชิมความหวานอย่างพึงใจ 

    "อืม..." เสียงครางผะแผ่วในลำคอ เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบแสนหวานที่เริ่มจะเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาร่างบางอ่อนระทวยราวกับขึ้นผึ้งลนไฟ จนต้องเอาแขนคล้องคอร่างสูงไว้อยากหาที่พึ่ง

    "หวาน" เวลอร์ผละจูบเพื่อนให้อีกคนได้โกยอากาศหายใจ ก่อนจะจูบ เบาๆ ซ้ำๆ แล้วประกบจูบต่ออย่างหิวกระหาย แต่ก่อนตอนที่โดนผนึกไว้ นึกสงสัยเหลือเกินว่า ริมฝีปากตรงหน้าจะนิ่มแค่ไหนนะ แล้วตอนนี้หรือก่อนหน้านี้เขาได้หาคำตอบให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วว่า ไม่ใช่แค่นิ่มแต่หวานล้ำจนติดใจ จูบกี่ทีก็ไม่เบื่อ

     "อ๊ะ!!..." ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกจับพลิกลงนอนบนฟูกนุ่ม ก่อนที่คนตัวโตจะตามมาคร่อมทับมอบจูบร้อนแรงเสียจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน เสียงหวานครางอื้อในลำคอ "แฮก!!! เว ใจเย็น" คนด้านบนผละออกให้ได้หายใจ จมูกโด่งซุกไซร้สูดกลิ่นหอมอ่อนตรงซอกคอ แล้วเลยมาเป่าลมร้อนใส่ใบหูให้ขนลุกซู

     “ดะ เดี๋ยว…เบา โอ้ย” คนใต้ร่างห้ามเสียงสั่นเมื่อมือกร้านสัมผัสไปทั่วร่าง ฉีกทึ้งเสื้อยืดที่ใส่นอนจนขาดติดมือ ริมฝีปากร้อนที่ลากเลียกดจูบทั่วลำคอ เลื่อนลงมากัดที่ลาดไหล่ตามแรงอารมณ์จนจมเขี้ยวจนคนตัวเล็กร้องลั่น ดึงสติที่กำลังจะหลุดของเวลอร์ให้กลับมา

     “เจ็บไหม ขอโทษ" เวลอร์ถามเสี่ยงอ่อย พลางจูบซ้ำๆ ที่รอยกัด ลูบกลุ่มผมนุ่มปลอบคนที่กำลังตระหนก เป็นแบบนี้ทุกทีที่ได้สัมผัสร่างกายนี้ ผิวเนื้อนุ่ม กลิ่นกายที่เขาชอบ มันทำให้เขาจิตหลุดได้ง่ายๆอยากกัด อยากฟัด เผลอไปตามสัญชาตญาณ

    "ทำไม" ฟาเรสดึงแขนแกร่งเอาไว้เมื่ออีกคนทำท่าจะผละออก แววตาสีครามจ้องมองอย่าเจ็บปวด เป็นอีกครั้งที่ถูกทิ้งไว้แบบนี้ บางครั้งก็เหมือนจะต้องการบางครั้งกลับละทิ้งราวกับรังเกียจ ไหนบอกว่ารักกันไง แล้วทำไมต้องผลักไสกัน "อย่าทำแบบนี้ อย่าทำเหมือนไม่ต้องการฉันแบบนี้" 

     "ไม่ใช่แบบนั้น ฟาร์ ไม่ใช่" เวลอร์ร้อนรนเพราะอีกคนทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ "ก็แค่กลัว ไม่อยากทำร้าย ฟาร์ก็รู้ฉันไม่ใช่มนุษย์ มันคุมตัวเองไม่ได้ ครั้งที่แล้วฉันเผลอทำร้ายนายไปขนาดนั้น ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก" เสียงทุ้มอธิบายเศร้าๆ พลางยันกายขึ้นนั่งก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิด เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากคนตัวเล็กเพราะไม่เคยเห็นเจ้าตัวทำหน้าหงอยแบบนี้มาก่อน แม้เวลาแบบนั้นตัวตนของเวลอร์จะน่าหวาดหวั่นแต่ถ้าต้องรักษาระยะกันอยู่อย่างนี้ก็คงรู้สึกแย่พอกัน

     "นี่เว" ฟาเรสยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะเอามือทั้งสองแนบแก้มของร่างสูงให้สบตา ครึ่งเอลฟ์ยิ้มเขินกับสิ่งที่กำลังจะพูด "ให้โอกาสแก้ตัว สนใจไหม" เวลอร์นิ่งคิดพลางมองคนพูดที่ตอนนี้อายม้วนไปเรียบร้อยก่อนจะเผยยิ้มกว้างอย่างยินดี 

     "พูดเองนะ"
 
    "อื้อ..." ลำแขนแกร่งคว้าเอาคนน่ารักพูดจาโดนใจมาให้รางวัลด้วยจูบร้อนแรง ลิ้นร้อนลุกล้ำเข้าไปตวัดเกี่ยวกับลิ้นในโพรงปากนิ่ม ลิ้มรสหวานอย่างดูดดื่ม เวลอร์นำฟาเรสตาม เสียงครางเครือของทั้งสองประสานกันไปกับเสียงชื้นแฉะของน้ำลายเร้าอารมณ์ให้อุณหภูมิในกายเพิ่มสูงขึ้น

     เวลอร์ดันคนในอ้อมกอดให้นอนราบกับเตียงนุ่มก่อนกำจัดเสื้อผ้าของเจ้าตัวออกให้พ้นทาง ทอดมองเรือนร่างขาวเนียนน่ามองจนต้องสัมผัส ช่างนุ่มนิ่มลื่นมือไปเสียทุกส่วน ร่างสูงพรมจูบไปทั่วหน้าก่อนมาจบที่ริมฝีปากสวยที่บวมเจ่อจากการโดนจูบก่อนหน้า หยอกเย้าให้อีกคนขาดใจเล่นแล้วละลงมายังลำคอขาว กดจูบ ขบเม้มทิ้งรอยไว้บาง ไล่มาจนถึงไหล่บาง ไหปลาร้า จนถึงแผ่นอกแบนที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบหายใจ พยายามเตือนตัวเองไม่ให้รุนแรง

    "อ๊ะ...ซี๊ด" จี้สร้อยถูกปัดให้พ้นทางก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะก้มลงดูดดุนจุกเล็กข้างหนึ่งแรงๆ จนแทบหลุดติดปาก ส่วนอีกข้างไม่น้อยหน้าถูกนิ้วบดขยี้หนักหน่วง  "อิ๊...เว มัน ฮือ" ร่างบางบิดเร่าด้วยความเสียว แอ่นอกรับสัมผัสอย่างลืมตัว ฟาเรสดึงหมอนมาปิดซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำด้วยแรงอารมณ์และความอาย มันต่างจากครั้งก่อนเพราะตอนนี้สติครบถ้วน ทำให้รู้สึกเขินจนแทบจะตายลงตรงนี้

     "อย่าปิดสิ อยากเห็นหน้า" เวลอร์ผละออกจากแผ่นอกหลังจากเล่นจนพอใจ ออกแรงดึงหมอนที่ปิดหน้าคนใต้ร่างออก ฟาเรสมองมาแบบตื่นๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดแทน

    "โป๊ขนาดนี้ มันน่าอายนิ" เสียงหวานละล่ำละลักบอก บิดไปบิดมาจนเวลอร์ยิ้มขำกับท่าทีน่าดูเอ็น เอ้ย เอ็นดูของร่างบาง ชายหนุ่มผละออกมายืนที่ปลายเตียงลอกคาบตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะขยับไปนั่งคุกเข่าตรงหว่างขาของคนขี้อายพลางโน้มหน้าลงไปใกล้ เป่าลมหายใจร้อนๆ ใส่หลังมือที่กำลังบดบังใบหน้าที่แดงจัด

    "ฟาร์ครับ เอามืออกเร็ว อยากเห็นหน้า นะครับนะ" เสี้ยงทุ่มนุ่มหลอกล่อพยายามแงะมือเรียวออก ฟาเรสขืนไว้แต่ก็สู้แรงไม่ไหวจนมือถูกคนตัวใหญ่รวบกดไว้ทั้งสองข้าง

    "เว!!!" ฟาเรสเสียงดังตาโต เมื่อได้เห็นเรือนกายแข็งแกร่งของคนด้านบนนั้นเต็มตา ถึงจะกระดากแค่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะไล้สายตาไปตามร่างอีกฝ่ายแบบทึ่งในความสมบูรณ์แบบของมัน ผิวกายที่ไม่ขาวไม่คล้ำดูสุขภาพดี แผ่นอกกว้าง หน้าท้องที่ขึ้นกล้ามเป็นลอนสวย จนถึงตรงนั้นที่กำลังขึ้นลำจนต้องหลับตาแน่นเพราะช็อคกับขนาดของมัน 

    ...เปลี่ยนใจทันไหมเนี่ย...

    "หึๆ โป๊เหมือนกันแล้ว ฉันยังไม่อายเลย"

     "ก็นายมันหน้าด้าน อื้อ อย่าจับ อาห์ ตรง...นะ  นั้น" ฟาเรสหลุดครางเมื่อมือกร้านจับเอาน้องชายเป็นตัวประกันรูดรั้งเบาบ้างหนักบ้างจนเสียวเกร็งไปทั่วท้อง ใบหน้าคมโน้มลงมาแลกลิ้นอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง ส่วนมืออีกข้างก็ระรานไปทั่ว ร่างบางกระตุกเกร็งในยามที่ยอดอกถูกบดขยี้ด้วยนิ้วร้อนและปากที่ผละจูบออกมาดูดดุนจนแทบจะกลืนลงคอ ร่างกายสั่นสะท้านในยามที่ถูกปรนเปอ สะดุ้งในทุกครั้งที่ถูกริมฝีปากร้อนสัมผัส ลิ้นร้อนลากเลียลงมาจนถึงหน้าท้องแบนเรียบก่อนละเลงสะดือจนอีกคนดิ้นพล่านด้วยความเสียว กดจูบฝากรอยไปทั่วหน้าท้อง ไล้ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงไรขนอ่อนสีจางที่แทบไม่มีเลยตรงท้องน้อย มือเรียวขย้ำผ้าปูที่นอนแน่นแทบขาดคามือ 

     "เว!!! ซี๊ด เสียว อ้าห์" เสียงหวนครางลั่นเมื่อลิ้นร้อนโจมตีส่วนกลางกาย ตวัดเลียตรงส่วนปลายที่เริ่มฉ่ำแล้วครอบครองไปทั้งลำ หน้าขาถูกกดลงแนบฟูกจนไม่อาจหลบหนีจากโพรงปากร้อนที่กำลังรูดรั้งปรนเปรอสลับกับละเลงเน้นๆ ตรงส่วนหัวเล่นเอาสติกระเจิงได้แต่ครางเสียงสั่นอยู่แบบนั้น ฟาเรสน้อยโดนรังแกด้วยจังหวะรูดรั้งที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร้องไห้ออกมาฉีดพ่นหยาดน้ำขุ่นเต็มปากของอีกคนที่กลืนมันลงคออย่างไม่รังเกียจ เวลอร์ยกยิ้มร้ายแล้วลากเลียน้ำคาวจนเกลี้ยงก่อนจะวกขึ้นมาจูบเจ้าของน้ำอีกรอบ
      "อื้อ มันคาว"

      "ของตัวเองแท้ ๆ"

      "ไอ้บ้าเว" เวลอร์ผละออกจ่างร่างที่นอนหอบไปคว้าเอาโลชั่นหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมาเป็นตัวช่วย ไม่คิดว่าจะได้ทำแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมตัว

     “เอาจริงแล้วนะครับ” เวลอร์บอกเสียงพร่า ดึงมือบางขึ้นมาจูบหลังมืออย่างรักใคร่ พยายามใจเย็นค่อยเป็นค่อยไป คนน่ารักอุตส่าให้โอกาสแก้ตัวจะปล่อยให้สัญชาตญาณนำจิตใจคงไม่ได้ เขาจะทำมันให้ดีและน่าประทับใจ ดวงตาสีครามมองมาอย่างออดอ้อน ริมฝีปากแดงช้ำยิ้มยั่วแล้วพยักหน้ารับ 

     แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านกระทบเรือนกายขาวที่บัดนี้เรื่อสีจากความปราถนาที่ถูกปลุก ผิวเนียนเกาะพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ เทวดาตัวน้อยในวันวานบัดนี้เติบโตและงดงามจนไม่อาจละสายตา อยากจะทิ้งทุกอย่าง ช่างหัวพวกฟอสโก ช่างหัวพวกไวด์โซล เอสทีเรียดจะไปยังไงก็ช่างมันเหอะเพราะเวลานี้ เขาอยากจะพาคนคนนี้หนีไปให้ไกล ไปในที่ที่มีแค่เขากับฟาเรสแค่สองคน

     “เว” ฟาเรสเอ่ยเรียกเสียงสั่น สัมผัสจากฝ่ามือร้อนพาลให้ภายในกายร้อนตาม ตาคมดุจนักล่าต้องมองมาอย่างหิวกระหายกระตุ้นให้ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและหวาดหวั่น เรียวขาถูกจับแยกกว้าง รับรู้ถึงสัมผัสเย็นชื้นตรงส่วนล่างก่อนจะสะดุ้งจากนิ้วที่ค่อยสอดเข้ามา

     “อ๊ะ…” ฟาเรสครางแผ่วในยามที่สิ่งแปลกปลอมเข้ามาในตัว มันค่อนข้างเจ็บจนเกร็งไปทั้งตัว กลีบเนื้ออุ่นนุ่งตอดรัดนิ้วเรียวแน่นจนยากจะขยับ

     "ไม่เกร็งนะฟาร์ เจ็บไหม เจ็บจนทนไม่ไหวให้รีบบอกฉันนะ” ใบหน้าคมก้มจูบซับหยาดเหงื่อที่ไหลซึมทั่วกรอบหน้าเนียน ค่อยๆ กดนิ้วเข้าไปลึกขึ้นแล้วหมุนคว้านไปตามผนังนุ่ม เมื่อเริ่มคุ้นชินความรู้สึกซาบซ่านจึงกระจายไปทั่วร่างจนเรียกเสียงครางหวานจากร่างบาง 

     “ฮ่ะ อ้าาา” นิ้วที่สองถูกเพิ่มเข้ามาชักเข้าออกช้าๆ จนช่องทางหวานเริ่มเข้าที่เข้าทางจึงสอดเพิ่มเข้าไปเป็นนิ้วที่สาม มันตึงแน่นไปหมด อึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง นอกจากความเสียวซ่านยังมีตวามเจ็บตามมาให้น้ำตาคลอ นิ้วเรียวขยับช้าๆ ดึงเข้าดึงออกสลับกับหมุนวนจนสัมผัสกับจุดกระสันภายในเล่นเอาคนตัวเล็กกระตุกเกร็งไปทั้งร่างด้วยความเสียว 

     “เว…อ๊ะ มัน ซี๊ด” คนข้างใต้เริ่มครวญครางไม่เป็นภาษาเมื่อความไม่คุ้นชินแปรเปี่ยนเป็นรันจวณในอารมณ์ มือหนึ่งปรนเปรอให้ร่างบาง ส่วนอีกมือเวลอร์ใช้มันขยับรูดตัวตนที่แข็งขืนจากภาพเร้าอารมณ์ตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มแดงช้ำ กัดปากบ้างเผยอครางบ้าง ดวงตาฉ่ำหวานช้อนมองมาดูเว้าวอน มันยั่วเสียจนอยากจะกระแทกเข้าใส่เสียตอนนี้แต่กลัวอีกคนจะบอบช้ำ

     "รอไม่ไหวแล้ว" เวลอร์บอกเสียงพร่า ริมฝีปากสวยยิ้มหวานก่อนจะวาดแขนคลองคอร่างหนาลงมาจูบอย่างดูดดื่ม ความเขินอายจำต้องโยนทิ้งไปในเมื่อความต้องการมีมากกว่า ก่อนทิ้งท้ายด้วยประโยคน่าหมั่นเขี้ยวชวนให้จัดหนักๆ

     "แล้วใครบอกให้รอเล่า"

     "ปากดีนะเรา" ใบหน้าคมยิ้มร้ายพลางดึงขาเรียวขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้างบีบโลชั่นใส่แก่นกายที่แข็งราวกับหินจากอารมณ์ที่คั่งค้างชโลมจนทั่วแล้วยกตัวเอาท่อนเนื้อร้อนถูไถช่องทางสีหวานจนคนใต้ร่างสั่นสะท้านด้วยความอยากที่เจือมาด้วยความกลัวในตัวตนของมัน

     "ฮึก เว ...อะ" เสียงหวานสะอื้นแผ่ว เมื่อท่อนเนื้อร้อนกดเข้ามาในร่างเพียงแค่ส่วนหัวก็เจ็บหน่วงจนน้ำตาซึม ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็เกินจะรับไหวอยู่ดี

     "ฟาร์...อย่าเกร็งนะครับ หายใจเข้าลึกๆ" ริมฝีปากสวยผ่อนลมหายใจช้าๆ เวลอร์พรมจูบไปทั่วใบหน้าเนียนแล้วมอบจูบอ่อนหวานหลอกล่อให้คนใต้ร่างได้ผ่อนคลาย เมื่อแรงบีบรัดตัวตนเบาลงเอวหนาจึงดึงดันแก่นกายเข้าช้าๆ ผนังร้อนตอดถี่คับแน่นจนร่างสูงต้องซีดปากอย่างเสียวซ่าน มือบางเกาะไหล่เขาแน่นพลางรั้งกายเข้าหา คิ้วเรียวขมวดมุ่น กัดริมฝีปากจนแดงช้ำอย่างทรมานจนน้ำใสๆ ไหลอาบแก้มแล้วร่างของทั้งสองก็แนบชิดกันในที่สุด

     "ดีมาก คนเก่ง" เวลอร์จูบซับน้ำตาให้ร่างบาง ลูบหัวลูบหางอย่างปลอบโยน 

     "อือออ.... เว ระ...ฮะ รอก่อนมัน อึดอัด" ใบหน้าสวยเหยเกกับความรู้สึกมากมายที่ตีรวนจากเบื้องล่าง ทั้งเจ็บทั้งแสบ ท่อนเนื้อร้อนที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในทำเขาอึดอัดที่มาพร้อมกับความรู้สึกซาบซ่านที่แผ่ลามไปทั่วสันพรางกาย ฟาเรสพยักหน้าพลางยิ้มฝืนให้คนตัวโต

     "อ๊ะ อาห์ เว ฮือ" ครึ่งเอลฟ์ครางเสียงขาดในยามที่ท่อนเอ็นร้อนถูกดึงจนเกือบหลุดแล้วกดเข้ามาจนมิดด้าม เอวหนาบดวนหนักๆ ให้อีกคนบิดเร่าด้วยความเสียว ทำแบบนี้อยู่ซักพักก่อนจะดำเนินบทรักเนิบช้า แต่ทุกจังหวะเน้นหนักจนคนตัวเล็กโยกคลอนไปตามแรง แรงตอดรัดจากผนั่งนุ่มร้อนมากจนเขาต้องคำรามในลำคออย่างข่มใจ พยายามสะกดตัวตนอีกด้านที่เริ่มเข้าครอบงำ ประคองสติไม่ให้เป็นไปตามสัญชาติญาณแม้จะสวนทางกับความต้องการมากเพียงใด

     ฟาเรสปรือตามอง ใบหน้าคมที่พร่างพรมไปด้วยหยาดเหงื่อจนหยดลงมาบนตัวเขา คิ้วเข้มขมวดมุ่น เวลอร์ขบกรามแน่นดูอดกลั้นเต็มทนจึงรู้ว่าอีกคนกำลังฝืนตัวเองมากแค่ไหน

     "เว...ฮึก..." มือบางทั้งสองยกขึ้นทาบแก้มคนบนร่างให้มองสบตา เวลอร์เลิกคิ้วน้อยๆ มองตอบมาโดยที่ช่วงล่างยังคงจังหวะเนิบนาบต่อไป "ทำที่อยากทำ ฮึก เถอะ อ๊ะห์ ฮะ ฉัน ไม่เป็นไร" สิ้นเสียงหวานที่เหมือนคำอนุญาติ ตัวตนอีกด้านจึงไม่ถูกหยุดยั้งอีกต่อไป

     ตับ ตับ ตับ เสียงกระทบเนื้อของจังหวะรักที่รุนแรงขึ้นตามอารมณ์ดิบ เอวหนากระแทกแรงๆ โดยมีสองมือกดรั้งเอวบางเข้ารับในทุกจังหวะที่สอดใส่จนอะไรๆ มันเข้าลึกถึงจุดกระสันของร่างบางรัวๆ ฟาเรสสะบัดหน้าครางลั่นด้วยความเสียวซ่านที่ประเด้ประดังเข้ามาจนสติกระเจิง จิกข่วนไปตามไหล่กว้างด้วยแรงอารมณ์ทิ้งรอยเล็บเป็นทางยาว

     "อาาาา โครตแน่นเลย"

     "ฮึกเบา โอ๊ย ซี๊ด เว อะ อ้าาาาห์ เบามันลึก" เสียงหวานกรีดร้องอย่างทรมานเมื่อร่างสูงเล่นใส่ไม่ยั้งจนหัวหมุนหายใจหายคอแทบไม่ทัน เสียงครางและกลิ่นกาย ผนังร้อนภายในที่ตอดรัดในยามที่รุกล้ำสัมผัส ทำเอาเวลอร์หน้ามืดตามัวกลืนกินร่างกายนี้อย่างบ้าคลั่ง หลงไหล มัวเมา แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงคำรามต่ำของปีศาจร้ายฟังดูสุขสมและถูกใจ รู้อย่างเดียวในตอนนี้คืออยากครอบครอบทุกสิ่งทุกอย่างของคนใต้ร่างให้เป็นของเขาคนเดียว

     สองเสียงครางประสานกันจนดังลั่นห้องที่บัดนี้อุณภูมิภายในร้อนระอุจากบทรักร้อนแรงของสองร่างบนเตียง รสจูบเร่าร้อนถูกส่งมอบให้กันไม่ได้ขาด แลกลิ้นกันพัลวันแบบไม่มีใครยอมใครในขนาดที่ส่วนล่างยังสอดประสานรัวแรงไม่มีตก ฟาเรสสั่นในยามที่มือกร้านบีบเค้นไปทั่วร่างพร้อมกับริมฝีปากร้อนที่ลากเลียขบกัดแรงแม้เจ็บแสบแต่ก็รู้ลึกดีหรือเขาจะเสพติดความรุนแรงไปเสียแล้ว

     "อ๊าาาห์ เว เร็ว ใกล้ ฮ้าาา ละ แล้ว" ฟาเรสเรียกร้องอย่างลืมอายใจยามที่อารมณ์ถูกฉุดจนเกือบถึงปลายทาง เด็กหนุ่มส่งเสียงครางหวานไม่ขาดปากเมื่อคนบนร่างกระหน่ำใส่ไม่ยั้ง จนร่างบางกระตุกเกร็งฉีดพ่นน้ำคาวขุ่นจนเลอะหน้าท้องของทั้งคู่   

     ปฏิกริยาของร่างในยามปลดปล่อยบีดรัดตัวตนของเวลอร์แน่น ตอดถี่และกระตุกเกร็งจากภายในเร่งรัดให้ร่างสูงต้องรีบตามไปด้วยการกระแทกหนักๆ อยู่หลายครั้งแล้วปลดปล่อยทุกความต้องการเข้าไปทำเอาฟาเรสอุ่นวาบจากภายใน น้ำคาวไหลล้นออกมาอาบไปทั่วง่ามขาที่สั่นระริก ก่อนที่เวลอร์จะทิ้งตัวลงมากกกอดเขาไว้โดยที่ส่วนล่างยังเชื่อมกัน

     "รักฟาร์นะ" เสียงทุ้มกระซิบบอจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน ฟาเรสยิ้มรับอย่างเหนื่อยอ่อนพลางหลับตามรับรสจูบอ่อนโยนที่อีกคนมอบให้อย่างเต็มใจเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าเขาก็คิดเหมือนกัน

     "เว พักก่อน ขอ อาาาา พักแปป" ฟาเรสบอกเสียงสั่นเมื่อปิศาจร้ายที่ยังคาอยู่ในร่างเริ่มผงาดอีกครั้ง

     "อยากพักก็อย่าตอดกันสิที่รัก" เวลอร์บอก จับร่างบางพลิกคว่ำหน้า ทำให้ท่อนเนื้อครูดกับผนังร้อนภายในจนฟาเรสร้องลั่นเพราะทั้งแสบทั้งเสียวในคราวเดียวกัน

     "อ๊าห์ เว...ฮืออออ เดี๋ยว อ๊ะ" ฟาเรสหมดสิทธิ์จะห้ามปรามเมื่อสะโพกกลมกลึงโดนจับยึดในยามที่แก่นกายกระแทกเข้ามาไม่หยุด

     การร่วมรักที่ปราศจากฤทธิ์ยาทำให้รับรู้ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัสได้ดีเยี่ยม มันเต็มตื้นไปทั้งใจ ฟาเรสแทบสำลักความสุขสมที่เวลอร์มอบให้แม้จะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็รู้สึกดีเมื่อทุกสิ่งดำเนินไปด้วยความต้องการและเต็มใจของเขาเอง

.........................

-เค้ามาแล้ว คิดถึง  :กอด1: ขอโทษที่ทำให้รอนะค่ะ งานเยอะมาช่วนนี้ ลูกค้าที่น่ารักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าก่อนสงการนะค่ะน้อง  :heaven  ช่างอาร์ตนะค่ะไม่ใช่พระเจ้า จะได้เสกให้ได้ดั่งใจคุณ (บ่นๆ นิดนึง)  :z3:

-มีรูปมาฝากค่า สีน้ำ กากๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามทีไรมันก็ไม่เวิคทุกที ก็เป็นจุดอ่อนนี่เนอะเลยพยายามทำ
(http://upic.me/i/0w/valorfar.jpg) (http://upic.me/show/58238017)


-ขอบคุณทุกคนนะค้า ขอบคุณที่ติดตาม :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 05-04-2016 23:29:05
มาต่อแล้ววว

ฟาร์เอ้ยจะกดเขาโดนกดซะเองเลยย


เวลอร์ก็หื่น ทนไม่ไหวล่ะสินะ :hao3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-04-2016 03:25:08
สวยยยย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-04-2016 07:27:09
ลุงงงงง.  หื่นมากๆๆ
ฟาช้ำแล้ว แอบเห็นใจอ่า
รูปสีก็สวยดีนะคะ.  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-04-2016 08:52:30
หนูฟาโดนตาลุงกดอีกล่ะนี่ก็ขยันยั่ว5555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 06-04-2016 21:45:20
พรุ่งนี้หนูฟาร์คงลุกไม่ขึ้น อิอิ  :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 07-04-2016 07:24:56
จัดหนักมาก!! เวหื่น และน้องฟาก้อยั่วอ่ะ 555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่14 P5 5-4-59 NC&Art
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 13-04-2016 03:22:21
บทที่ 15

     "เคลียกันแล้วสินะ" โอซี่แซวเมื่อเห็นเพื่อนออกมาจากห้องเข้ามาที่ครัว เวลอร์ยิ้มรับอารมณ์ดีเชียว 

     กว่าจะกลับก็เกือบเช้า ได้ยินเสียงฟาเรสโวยวายมาจากห้องข้างๆ ไม่นานก็ตามด้วยเสียงครางหวานของก่อนจะเงียบลงเมื่อช่วงสายๆ ทำกิจกรรมเข้าจังหวะไม่เกรงใจคนโสดเลยสิให้ตาย 

     เดาว่าคงไม่พอใจเรื่องที่เขากับเวลอร์ออกไปข้างนอกกันสองคนทุกคืนเพื่อไปสืบเรื่องพวกฟอสโกในเมือง คิดไว้แล้วละไอ้เหตุการณ์แย่ๆที่เกิดขึ้นในเอสทีเรียดมันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแท้จริงแล้วคือพวกฟอสโกนี่เอง เวลอร์เล่าเรื่องของฟาเรสให้ฟังแล้ว ได้ยินตอนแรกก็ทำเอาอึ้งเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีคนที่มีพลังแบบนี้อยู่บนโลก พลังในการเปิดปิดรอยแยกของมิติได้ ถึงว่าท่านผู้อำนวยการถึงเอาใจใส่เพื่อนตัวเล็กของเขามาก ยิ่งเวลอร์ยิ่งแทบไม่ห่างตัว  ที่ช่วยสองคนนี้ส่วนหนึ่งอยากช่วยเพื่อนตัวเล็กของเขา อีกส่วนคิดว่ามันคงสนุกดี ชีวิตจะได้มีอะไรทำ

     "เก็บกระเป๋าหรือยัง" โอซี่ถามพลางหยิบขวดน้ำในตู้เย็นแล้วโยนให้เพื่อน 

     "เรียบร้อยแล้ว เรือเหอะออกกี่โมง" 

     "หกโมงเย็น ฟาร์จะลุกไหวไหมนั่น" 

     "หึๆ ปล่อยนอนไปก่อน ฉันเก็บของเผื่อไว้แล้ว ฟาร์ฟื้นตัวไวอยู่" แต่บางทีก็ไวไป เวลอร์ทำหน้ายุ่ง เพราะไอ้รอยคิสมาร์คที่ทำไว้ไม่กี่ชั่วโมงมันก็หาย เห้อทำใหม่เรื่อยๆ ก็ได้วะ  :z3:

     "อิจฉานายวะ อยากมีกับเขามั่ง ซักคนที่ทำให้รู้สึกอยากจริงจังด้วย" โอซี่ว่าพลางเอาของสดในตู้เย็นออกมาวางบนเคาท์เตอร์ แล้วลงมือเตรียมมื้อกลางวันเอาเป็นข้าวพัดแล้วกันง่ายๆ อยากจะหาเป้าหมาย หาจุดศูนย์กลางของชีวิต ถึงจะมีสาวๆ มาเสนอตัวมากมายแต่ยังไม่เจอใครถูกใจเลย

     "เดี๋ยวก็เจอ"

     "แล้วเรื่องฟอสโกนะ ถ้าต้องไปฝึกงานกับหน่วยพิทักษ์แล้วใครจะตามสืบข้อมูลของพวกมันละ"

     "ปล่อยเป็นหน้าที่เอเบรียน ฉันอยากให้ฟาร์ได้ลองใช้พลังจริงๆ คงต้องให้หัดปิดรอยแยกดู ไปกับหน่วยพิทักษ์แหละดี ไม่ต้องไปตามหาให้เหนื่อยยังไงหน่วยนี้ก็คงตามล่าพวกไวด์โซลหรือคอยป้องกันพวกรอยแยกของมิติเล็กๆ ที่เกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว" เวลอร์อธิบาย "แต่ระหว่างนี้คงมีพวกมันมาตามเก็บฟาร์แน่ๆ เพราะงั้นถึงได้ขอให้นายช่วยระวังให้อีกแรง"

     "นี่ บางทีฉันอาจเป็นพวกนั้นก็ได้นะ"

     "หึ ถ้าเป็นจริง ไว้ค่อยฆ่านายทิ้งก็ยังไม่สาย"

     "น่ากลัวจัง" ลูกครึ่งออคยิ้มกวน ใครจะไปคิดสั้นแบบนั้นละ

     ห้าโมงเย็นทั้งสามเดินทางไปท่าเรือเหาะเพื่อรอเดินทางไปยังเรดิเอนซี พวกพรีมกับมาวิคมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงพร้อมรุ่นพี่คนอื่นๆ อีกสามคน การเดินทางจะใช้เวลาราวๆ ยี่สิบชั่วโมงด้วยที่นั่งคลาสพิเศษที่กองทัพจัดเตียมให้ ขึ้นเครื่องได้ฟาเรสก็เอนเบาะหลับเป็นตายจนพรีมกับมาวิคถามอย่างสงสัยว่าเจ้าตัวป่วยหรือเปล่า แต่ใครเล่าจะตอบขืนบอกสาเหตุไป โอซี่คิดว่าคงมีคนช้ำใจแน่ๆ 

     การต้องอยู่บนเรือเหอะเป็นเวลาเกือบวันมันไม่ใช่เรื่องดีกับร่างกายของมนุษย์แม้จะเป็นที่นั่งสะดวกสบายแต่ความดันอากาศก็ทำเอาเวียนหัวพอตัว โดยเฉพาะกับฟาเรสที่เคยขึ้นยานพาหนะทางอากาศชนิดนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิตต่อให้อีกครึ่งเป็นเอลฟ์แต่ก็อดเพลียไม่ได้จริงๆ

     ทันทีที่มาถึงหน่วยทหารของเรดิเอนซี่ถูกส่งมารับเด็กหนุ่มทั้งแปดคนเดินทางสู่พระราชวังเพื่อพำนับรอเหล่าหน่วยพิทักษ์ที่ยังติดภาระกิจแถบไซเลนซี เมืองหลวงของเรดิเอนซี่ตังอยู่บนโอเอซิสขนาดยักษ์ มีพืชเขตร้อนขึ้นอยู่หนาตาจนเป็นป่าย่อมๆ ที่ดูอุดมสมบูรณ์แม้อยู่ขอบทะเลทราย  ที่นี่แดดจะแรงในตอนกลางวันแต่ในยามค่ำกับหนาวเย็นจนเกือบศูนย์องศา พระราชวังถูกสร้างด้วยศิลปะของแถบตะวันออกเน้นความโอ่อ่าด้วยตัวอาคารสีอิฐและโดมสูงทรงหยดน้ำหรือครึ่งวงกลม บ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากอิฐหรือปูน กำแพงหนาเพื่อป้องกันสภาพอากาศและรักษาอุณหภูมิในตัวบ้าน จนทำให้เมืองนี้ดูกลืนไปกับเนินทรายรอบด้าน

    สวย...นิยามแรกที่ฟาเรสนึกได้เมื่อก้าวเข้ามาในพระราชวังของเรดิเอนซี่ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ตัดด้วยทางน้ำแผ่กระจายทั่วพื้นที่ราวกับใยแมงมุม ทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสดทอดยาวจนถึงปราสาทหลังใหญ่กับบานประตูเหล็กที่ประดับด้วยกระจกสีเป็นลายอสรพิษซึ่งนำไปสู่ท้องพระโรง

     "ทำไมทหารพวกนี้ถึงโค้งให้เราตลอดทางเลยละ" มาวิคถามอย่างแปลกใจ เพราะระหว่างที่เดินมาคนในวังต่างแสดงท่าทีนอบน้อมต่อพวกเขาจนเกินไป

     "เพราะเราเป็นแขกละมั้ง" พรีมว่า

     ทันทีที่เข้าสูงท้องพระโรงกษัตริย์แห่งเรดิเอนซี่ลุกขึ้นจากบรรลังก์เดินมาต้อนรับผู้มาเยือนทั้งแปดด้วยรอยยิ้ม กษัตริย์อลูคัส ผู้ปกครองดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ มีรูปร่างสูงใหญ่อย่างชายชาตินักรบ ผิวกร้านแดดใบหน้าดุดันแต่กลับมีแววตาที่อบอุ่นอ่อนโยนดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้แก่มากแม้จะอยู่ในวันห้าสิบปีแล้วก็ตาม อาจเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ออคที่อายุขัยนั้นมากกว่ามนุษย์อยู่พอตัว 

     อคันตุกะต่างเมืองโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม จะมีก็แต่เวลอร์ที่ยังนิ่งเฉยกับโอซี่ที่ไม่ได้โค้งให้เช่นกัน

     "ไง นึกว่ากลับบ้านไม่ถูกซะแล้วไอ้ลูกชาย" น้ำเสียงหยอกเย้าจากผู้เป็นใหญ่เอ่ยดังพร้อมก้าวยาวๆ ดึงเอาโอซี่เข้าไปกอด ทำเอาทุกคนที่ตามมาถึงกับอึ้ง โอซี่...ลูกชาย...งั้นเพื่อนเขาก็เป็นเจ้าชายนะสิ เคยได้ยินมาว่าเรดิเอนซี่มีเจ้าชายอยู่สามคนหากแต่คนเล็กยังไม่มีใครเคยเก็น ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าเพื่อนจอมกวนของเขาคนนี้

      "หึๆ ผมไม่กลับท่านพ่อก็ไปหาสิ" โอซี่กอดตอบพร้อมยิ้มกว้าง หากสังเกตดีๆ สองคนนี้มีบุคลิคท่าทางทีคล้ายคลึงกันอยู่พอตัวโดนเฉพาะรอยยิ้มที่ทำให้ทุกสิ่งรอบด้านดูผ่อนคลาย

     "แล้วไม่คิดจะกลับบ้านเลยใช่ไหม น่าเสียดายพี่แกถูกพ่อส่งไปออกงานแทน ถ้ารู้ว่าน้องกลับบ้านคงดีใจเอามาก"

     "พวกเรามาฝึกกับหน่วยพิทักษ์ อยู่ที่นี่อีกเป็นเดือนเดี๋ยวก็ได้เจอ แล้วนี่พวกเพื่อนๆ ผม ไอ้คุณชายนี่ชื่อพรีม เจ้านี่ชื่อมาวิค ไอ้ตัวเล็กๆ นี่ชื่อฟาเรส ส่วนหมอนี่ชื่อเวลอร์ แล้วก็นี่รุ่นพี่ที่คณะผม พี่คริส พี่จาฟาร์ แล้วก็พี่เบริอัส" 

     "ทุกคนยินดีต้อนรับสู่เรดิเอนซี่ของเรานะ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ฉันไม่ชอบพิธีตรีตองอะไรมาก พวกเธอเป็นเพื่อนเป็นพี่ของลูกชายฉันถือซะว่าที่นี่เป็นบ้านก็แล้วกัน" กษัตริย์อลูคัสกล่าวอย่างใจดี แต่พอหันมาเห็นเวลอร์กับนิ่งงันก่อนจะยิ้มให้ในที่สุด 

     จากนั้นก็มีการพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะถูกนำไปยังห้องพักที่จัดไว้ให้คนละห้อง แต่อย่าคิดว่าเวลอร์จะยอมนอนแยกห้องกับฟาเรสหรอกนะพอแยกย้ายกันปุ๊บเจ้าตัวก็หอบผ้าหอบผ่อมาห้องคนตัวเล็กทันที

      "ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ อย่างโอซี่เนี่ยนะเป็นเจ้าชาย" ฟาเรสว่าพลางลื้อสัมภาระตัวเองออกมา "แต่นายดูไม่แปลกใจเลยนะเว"

      "เจ้านั่นเคยบอกแล้ว"

      "เหอะ สนิทกันเหลือเกินนะ" คนตัวโตยักไหล่ 

     ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดัง เวลอร์จึงเดินไปเปิดเจอกับสาวใช้ที่มาบอกว่าฝ่าบาทให้เข้าเฝ้า ร่างสูงเพียงตอบรับก่อนจะลากฟาเรสให้ตามไปด้วย แล้วทำไมเขาต้องไปด้วยละ ทั้งสองถูกพามายังโดมสีขาวสะอาดตากลางสวนด้านหลังพระราชวังที่ตอนนี้มีกษัตริย์อลูกัสและโอรสองค์เล็กนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ถึงจะเป็นพ่อของเพื่อนแต่ฟาเรสก็อดประหม่าไม่ได้เมื่อต้องมานั่งร่วม

     "ไม่คิดเลยว่าจะยังอยู่ กษัตริย์เวลาเรียส" คำเรียกขานทำเอาฟาเรสต้องหันมองคนข้างกายอย่างฉงน

     "หมายความว่ายังไง ทำไมฝ่าบาทถึง...เรียกนายแบบนั้น" ร่างบางถามออกมาอย่างงุนงง

     "ขอโทษนะที่ไม่เคยบอก ก็มันเป็นอดีตนี่เนอะ แต่ก็ตามนั้น ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรอินเวียโน่ แต่ตอนนี้ที่นั่นล่มสลายไปแล้วละ เพราะงั้นฉันกับแม่เธอเลยต้องหนีออกมาไง เอาจริงๆ นอกจากเพื่อนๆ ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาจริงๆ ฉันหรอกฟาร์ เพราะงั้นถึงคิดว่ามันไม่สำคัญไง" เวลอร์อธิบาย "ชื่อจริงๆ ของฉันคือ เวลาเรียส แต่คนๆ นั้นตายไปนานแล้วละ ที่อยู่ตรงหน้านายตอนนี้คือ เวลอร์ โมนาคา ฉันคือเวลอร์ของฟาเรสรู้แค่นั้นพอ" 

     "อืม" ฟาเรสพยักหน้ารับ แต่ก็อดเคืองไม่ได้เพราะดูเหมือนยังมีอีกหลายอย่างที่เจ้าตัวปิดบังเขาอยู่ เขาเคยได้ยินเรื่องของอินเวียโนมาบ้าง เป็นอาณาจักรตอนเหนือที่ค่อนข้างจะตัดขาดจากอาณาจักรอื่นๆ จึงไม่ค่อยรู้ข้อมูลมากนักเพราะปกครองแบบเอกเทศและเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าอมนุษย์จนบางครั้งยังถูกเปรียบดังแดนสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพเหนือมนุษย์ นอธเทิลเรียมว่ากันว่าได้แยกตัวออกมากจากอาณาจักรแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ยังมีการติดต่อกับอินเวียโน่บ้างเป็นครั้งคราว

     "เด็กคนนี้เป็นลูกของฟาร่าสินะ ชื่อฟาเรสใช่ไหมเรา หนุ่มน้อยขอฉันดูหน้าใกล้ๆ หน่อยสิ" น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยเรียก ร่างบางจึงเดินไปหาอย่างเสียไม่ได้ ฝ่ามือใหญ่ทาบใบหน้าเนียนก่อนมองมาแบบชัดๆ แล้วยิ้มกว้าง "ใช่จริงๆ ด้วย เรานี่หน้าตาเหมือนแม่เลยนะ"

     "ฝ่าบาทรู้จักแม่ผมด้วยหรอ"

     "หึๆ รู้สิ เราเรียนมาด้วยกันนะ ฟาร่าเปรียบเสมือนน้องเล็กของพวกเรา เพราะงั้นพวกเราเลยรักเธอมากไงละ โดยเฉพาะหมอนี่รักฟาร่ามากยิ่งกว่าใคร เพราะฟาร่านะคือราชินีแห่งอินเวียโน่ยังไงละ" นี่มันอะไรกันเนี่ย ดวงตาสีครามฉายแววสับสน ท่านแม่เป็นราชินีงั้นแสดงว่า ท่านต้องแต่งงานกับเวลอร์สินะ แล้วท่านพ่ออินดิโก้ละ หรือว่าจริงแล้วพ่อของเขาจะเป็นเวลอร์ บ้านะแล้วพ่อจะมามีอะไรกับลูกตัวเองได้ยังไง หรือบางทีการที่เวลอร์เอาใจใส่เขาขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะคิดว่าเขาคือตัวแทนของแม่หรอกนะ

     "ฟาร์ คิดอะไรอยู่หืม" เหมือนอีกคนจะอ่านใจออก "ถึงฉันกับฟาร่าจะแต่งงานกัน แต่นั่นมันคือหน้าที่ เราอยู่กันแบบพี่น้อง ฟาร่านะมีคนรักอยู่แล้ว นั่นคืออินดิโก้พ่อของเธอไง" เวลอร์อธิบายพลางดึงร่างบางมากอดไว้ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยประโยคต่อมาช่วยทำให้คนฟังเบาใจแถมยังใบหน้าร้อนผ่าวได้ทันใด  "ตอนนี้ฉันมีคนที่รักจริงๆ แล้ว ก็รู้นิว่าใคร"

     เวลอร์เล่าเรื่องทุกอย่างให้กษัตริย์อลูคัสฟัง ในช่วงที่ก่อนเกิดเรื่องอลูคัสจำต้องกลับมารับราชสมบัติแทนบิดาที่หมดสิ้นอายุขัยจึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวในอินเวียโนรู้คร่าวๆ เพียงเพื่อนของเขาถูกหักหลัง พระราชวังถูกทำลายจนต้องพากันระหกระเหินกันไปไกล แต่ข่าวร้ายสุดๆ คงเป็นข่าวที่ว่าทั้งราชาและราชินีของอาณาจักรแห่งนี้ถูกลอบสังหารไปแล้ว เขาอยากช่วยแต่ให้ทิ้งประชาชนของตนก็ทำไม่ได้ ดีใจจริงๆ ที่เห็นเวลาเรียสไม่สิตอนนี้คือเวลอร์ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังได้พบกับลูกชายของฟาร่า เด็กคนนี้สามารถทำให้เขารู้สึกเอ็นดูได้ทันทีที่พบหน้า นั่นเพราะเป็นลูกชายของน้องสาวที่เขารัก

      "แล้วนี่จะทำอะไรต่อ รอยแยกที่อินเวียโนขยายขึ้นทุกวันๆ เราปล่อยไว้นานเกินไปแล้ว " ผู้เป็นใหญ่ถามพลางครุ่นคิด "ฉันคิดว่าหากปล่อยไปอีกจนวันหนึ่งโลกของเราอาจซ้อนทับกับโลกของวิญญาณแน่ๆ ถึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม"

     "ฟาร์ต้องเป็นคนปิดมัน แต่ตอนนี้ ฟาร์เองยังไม่รู้วิธีใช้พลังเลยด้วยซ้ำเลยเราถึงต้องมากับพวกหน่วยพิทักษ์ให้ฟาได้ฝึกปิดรอบแยกเล็กๆ ไปก่อน"

     "ท่านพ่อ ผมอยากขอให้ช่วย" โอซี่เอ่ยปาก "เราให้คนรู้มากไม่ได้ อยากจะแยกพวกที่เดินทางมาเป็นสองกลุ่มได้ไหม ในหน่วยพิทักษ์ท่านพ่อน่าจะรู้ว่าใครไว้ใจได้ ให้พวกนั้นมากับพวกผม"

     "เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดการให้ แล้วพวกไหนที่ลูกจะเอาไปด้วยละ"

     "ก็นอกจากพวกผมสามคนก็มีมาวิค กับพรีมนะ"

     "แล้วถ้าสมมุติ ใช้พลังเป็นแล้ว เราจะบุกไปที่อินเวียโนกันยังไง" ฟาเรสที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้น 

     "ก็คงต้องหากำลังคน คนของฉันลี้ภัยไปซ่อนตัวอยู่ไหนซักที่ในเอสทีเรียดนี่ละ เพียงแต่มันเป็นที่ค่อนข้างลึกลับถูกอำพรางด้วยเวทย์มนต์หากคนทางนั้นไม่แสดงตัวคงยากจะเจอ แต่เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หาคนจากอินเวียโนเหมือนฉันเจอก็คงเจอที่นั่นเหมือนกัน" เวลอร์ร่ายยาว พลางดึงคนตัวเล็กข้างกายมาโอบไว้เมื่อรู้สึกว่าลมกลางคืนที่พัดมาชักเย็นเกินไปจนไหล่เล็กๆ นั้นเริ่มสั่น

      "ด้วยตำแหน่งที่มี ฉันคงช่วยนายด้วยตัวเองไม่ได้เพื่อนยาก ฉันยังมีเมืองมีประชาชนที่ต้องดูแล" กษัตริย์อลูคัสมีสีหน้าหนักใจ

      "ไม่เป็นไรฉันเข้าใจ"

      "ท่านพ่อปล่อยเป็นหน้าที่ผมเถอะ เพื่อนท่านพ่อตอนนี้มันก็เพื่อนผม ได้ตัวเล็กนี่ก็เพื่อนผม" โอซี่ให้คำมั่นต่อบิดา "ผมจะช่วยพวกนี้เอง"

       จากนั้นทั้งสี่ก็คุยกันนิดหน่อยเรื่องแผนการหลังจากนี้ กษัตริย์อลูคัสรับปากว่าจะสืบหาคนจากอิเวียโนให้ ส่วนมาวิคกับพรีมคงไม่ต้องปิดบังอะไรในเมื่อเป็นเพื่อนกันซักวันก็ต้องรู้สู้บอกๆ ไปแล้วช่วยกันจะดีกว่า ทำไมฟาเรสไม่เกิดเป็นเด็กธรรมดาวะ ทำไมต้องเกิดมาเป็นครึ่งเอลฟ์แถมยังมีพลังบ้าๆ นี่อีก แต่ยังไงก็ต้องทำ บางคนเกิดมาพร้อมหน้าที่ มันปฏิเสธได้ที่ไหนละ ...เครียดโว้ยยย!!!

..........................

-มาต่อแล้วจ้าาา ปีใหม่ไทยนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขความเจริญในทุกๆ ด้าน เอนจอยกับเรื่องที่เราเขียนเพ้อพรรณนา และรักกันติดตามกันไปนานๆ  และหวังอย่างยิ่งว่าเรื่องที่เราเขียนจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถมอบความสุขแห่ทุกคนได้ รักทุกคนจ้า  :กอด1:
-ตอนหน้าเราจะมาเปิดตัวลุงเวกันค่า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่15 P5 13-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-04-2016 08:30:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่15 P5 13-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 13-04-2016 13:37:26
จะมีเรื่องอะไรต่อไปน้าาา ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่15 P5 13-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-04-2016 16:54:43
สู้ๆน้าทุกคนนน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่15 P5 13-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-04-2016 17:52:01
มีอะไรอีกที่หนูฟายังไม่รู้อีกเนี่ย
คนเขียนสู้ๆนะคะ สุขสันต์ปีใหม่ไทยค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่15 P5 13-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 18-04-2016 20:44:47
เพิ่งได้มาอ่าน สนุกๆๆ รอตอนต่อไปค่ะ   :katai2-1: :3123:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่15 P5 13-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 19-04-2016 13:30:56
 
บทที่ 16

     "นาย...พวกนายไม่ได้อำฉันใช่ไหม" พรีมที่ได้ฟังเรื่องของฟาเรสทั้งหมดช๊อคไปแล้ว ส่วนมาวิคนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด สองมือกุมขมับเครียดยิ่งกว่าสอบปลายภาค

     "ถ้านายคิดว่ามันหนักเกินไปก็ไม่ต้องช่วยก็ได้นะ เดี๋ยวฉันให้ท่านพ่อส่งนายไปไว้อีกกลุ่ม" โอซี่บอก ที่มาเล่าให้ฟังเพราะเห็นว่าทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน ไม่อยากมีอะไรปิดบัง ตอนเช้าโอซี่มาตามเพื่อนของเขาเข้าไปคุยที่โดมกลางสวนด้านหลังที่มีเวลอร์กับฟาเรสรออยู่แล้ว

    "ไม่ใช่แบบนั้น แค่กำลังช๊อค ไม่คิดว่าจะมีคนมีพลังแบบนี้บนโลก เรื่องจริงใช่ไหมฟาร์" มาวิคว่าพลางหันไปสบตาฟาเรสที่ยังคงทำตัวไม่ถูกกับเพื่อนคนนี้แต่ก็แค่พยักหน้ารับ  "ยังไงก็ต้องช่วยอยู่แล้ว ถึงฉันจะไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่ฉันคงไม่ปล่อยให้ฟาร์เผชิญเรื่องนี้คนเดียวอยู่แล้ว ก็แล้วนะเรา...เป็น เพื่อนกันนี่" มาวิคยิ้มขื่น แค่เพื่อนเขายังเป็นได้ใช่ไหม 

     "อืม ขะ ขอบคุณนะ" ฟาเรสตอบกลับเสียงเบา แต่ก็ทำให้ใจคนฟังลิงโลดขึ้นได้เพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาร่างบางยังไม่เอ่ยปากคุยกับเขาด้วยซ้ำ

     "ขอโทษนะฟาร์ ขอโทษจริงๆ" มาวิคบอกเสียงอ่อนแต่พอจะจับมือบางนั้นกลับชักออกทำเอาใจเขาเจ็บแปลบขึ้นทันใด แต่จะโทษใครในเมื่อเขาเป็นคนทำลายความเชื่อใจนั่น "ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงความรู้สึกนาย แต่ได้โปรดอย่าทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนี้มันเจ็บมากเลย"

     คนอื่นเงียบฟังแม้โอซี่กับพรีมจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่อาการตึงๆ ใส่กันของเพื่อนทั้งสองเขาก็สังเกตเห็นได้ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ฟาเรสนิ่งคิด ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนเวลอร์ลงโทษด้วยการเมินใส่มันทรมานมากๆ แย่ยิ่งกว่าการโดนต่อว่า แล้วใครจะสนละมาวิคก็ควรได้รับโทษไม่ใช่หรือ ดวงตาสีครามหันมองคนข้างกายอย่างขอความเห็น

     “เพื่อนคนแรกของฟาร์เชียวนะ” เวลอร์ว่าพลางลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ เจ้าตัวเล็กของเขาดูหงอยไปเยอะพอไม่มีมาวิคคอยเล่นคอยคุยด้วย เงียบใส่กันคงไม่มีอะไรดี คนผิดก็ขอโทษแล้ว อีกอย่างมาวิคเองก็ดูทุกข์ใจกับเรื่องนี้พอตัว ร่างบางดูสองจิตสองใจจนเขาต้องพยักให้ว่ามันไม่เป็นไร "โกรธกันไปก็เท่านั้น"

     ฝ่ามือนิ่มค่อยๆ วางลงบนมือของมาวิคที่ยื่นมาช้าๆ มือที่ใหญ่กว่ากอบกำมันไว้แน่นราวกับกลัวมันจะหลุดหายไป รอยยิ้มกว้างฉาบฉายเต็มใบหน้าหล่อตั้งแต่ตอนนั้นเขายังไม่เคยยิ้มได้เท่าวันนี้เลย แค่เพื่อนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้แค่ฟาเรสยังอยู่กับเขาก็พอแล้ว แม้จะรู้สึกเจ็บหน่วงทุกครั้งที่แววตาลึกซึ้งนั้นไม่ได้มองมาที่ตนก็ตาม

     "อยากรู้จริงๆ นายกับมาวิคมีปัญหาอะไรกัน" พรีมถามขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

     "ไม่บอก แบร่!!!" ฟาเรสแลบลิ้นใส่เพื่อนก่อนยิ้มสดใสจนสวนสวยนี้สดใสตาม



     ในช่วงสายทั้งห้าหนุ่มถูกตามตัวไปที่ห้องประชุมเล็กทางปีกตะวันออกเพื่อพบกับหน่วยพิทักษ์ทั้งสามคนที่จะนำทีมพวกเขาไปปฏิบัติภารกิจ แรกเริ่มที่เห็นทำเอาอึ้งไม่น้อยเขาคิดว่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยพิทักษ์ที่ล้วนเป็นยอดฝีมือน่าจะอายุมากกว่านี้ แต่ละคนกลับดูอายุอานามแค่ยี่สิบปลายๆ เท่านั้นเอง

     "พวกเธอคงเป็นเด็กที่มาจากอนิมาสินะ เฮ้!!... ฉันจำนายได้ แชมป์กับรองแชมป์ รอบชิงฉันได้ไปดูด้วยละ พวกนายแม่งสุดยอดไปเลย ฉันดิออน ซ้ายมือฉันชื่ออาเดน ส่วนไอ้ยักษ์ขวามือนี่ชื่อไมเรค" ชายร่างสูงผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีมรกตเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มกว้างผิวขาวจูไม่ค่อยสมบุกสมบัน เหมือนเจ้าหน้าที่ในสำนักงานมากกว่าภาคสนาม ส่วนอาเดนชายหนุ่มผมเกรียนดูแข็งแรงกว่าดิออนไปซักหน่อยแต่ผิวคล้ำแดดกว่า ผมและตาสีเดียวกันเดาคร่าวๆ ว่าคงเป็นพี่น้องกัน ส่วนอีกคนตัวใหญ่พอๆ กับโอซี่เลยก็ว่าได้ รูปร่างกำยำผิวกร้านแดด ดวงตาคมกล้าสีน้ำเงินเข้มและคิ้วหนาที่มีรอยแผลเป็นพาดยาวตรงหางคิ้วด้านซ้ายกับริมฝีปากบางเฉียบทำให้คนตรงหน้าดูดุดันน่ากลัวในความคิดของฟาเรส

     "เอ่อครับ ผมมาวิค ไอ้คุณชายนั่นชื่อพรีม ตัวเล็กนี่ชื่อฟาเรส นั่นโอซี่กับเวลอร์คุณคงรู้จักกันแล้ว" มาวิคแนะนำบ้าง

     "ผมไม่สนว่าคุณเป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน เมื่อมาอยู่ในหน่วยผม พวกผมคือผู้ดูแล พวกคุณต้องเชื่อฟังอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม สนามจริงอันตรายกว่าสนามฝึก ไม่มีห้องพยาบาลให้คุณได้ทำแผลหรอกนะ" ไมเรคเอ่ยเสียงดังฟังชัดพลางมองตาทุกคนอย่างจริงจัง "ต่อให้เป็นถึงลูกผู้ว่าแห่งเดสเซนฉันก็ไม่เกรงใจหรอกนะ"

     "หึ ผมยังไงก็ได้ คนมาฝึกเป็นผมเองไม่ใช่พ่อ ไม่เกี่ยวกัน" มาวิคบอกรอดไรฟัน รู้สึกคุ้นหน้าหมอนี่แปลกๆ อาจเคยเจอกันในงานสังคมซักที่ก็ได้เพราะหมอนี่เป็นคนของกองทัพ

     "หึๆ ก็ดี" รอยยิ้มมุมปากน้อยๆ กับนัยน์ตาคมที่มองมา มาวิครู้สึกเหมือนเท้าจะกระตุกฟาดหน้าคนพูดเอาให้ได้ แล้วไอ้ยักคิ้วให้นี่มันอะไร ขอถีบแม่งซักทีเหอะ

     "แล้วนี่เริ่มกันวันไหนครับ" พรีมถามขึ้นก่อนที่จะมีคนวางมวยใส่กัน

     "ภารกิจแรกของเราคงจะเป็นที่ออบเสกลลิ่ง ชาวบ้านที่อยู่แถบนั้นแจ้งมาว่ามีพวกไวด์โซลออกอาละวาด เดาว่าคงมีรอยแยกเกิดใกล้ๆ และหมู่บ้านตรงนี้ชื่อ อาดิซาน เราจะเดินทางไปตั้งหลักกันที่นั่น" ดิออนบอกหลังจากกางแผนที่ลงบนโต๊ะ ออบเสกลลิ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเรดิเอนซี่ เป็นเทือกเขาสูงส่วนหมู่บ้านที่แจ้งมาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แถวตีนเขา

     "ถ้าเราออกเดินทางไปในเที่ยงนี้ก็จะถึงที่นั่นช่วงค่ำ พักซักคืนตอนเช้าก็เข้าป่าไปตามหารอยแยก เมื่อเจอแล้วก็ง่ายๆ ฆ่าไวด์โซลทุกตัวที่หลุดออกมา รอจนกว่ารอยแยกนั้นจะปิดไปเอง" อาเดนบอก

     "เราจะปิดมัน" เวลอร์บอก

     "นายทำได้หรอ" 

     "ฟาร์จะเป็นคนทำ ไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่จะลองดู" หน่วยพิทักษ์ทั้งสามหันไปจ้องร่างบางอย่างสนใจ ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างโดดเด่น ผิวขาวจัดผมสีซีด เหมือนมีออร่าบางอย่างจากเด็กคนนี้ทำให้รู้ได้ว่าคงไม่ธรรมดา

     "ได้แบบนั้นก็ดีเราจะได้ไม่เสียเวลา บางรอยแยกเราต้องเฝ้ากันเกือบอาทิตย์กว่ามันจะปิดลง ถ้าทำได้เราจะได้ไปจัดการที่อื่นต่อไวๆ เอาเป็นว่าแยกย้าย เจอกันบ่ายโมง" ดิออนสรุป "ให้พวกนายไปเตรียมของเดินทาง ไม่ต้องเอาอะไรไปมากนะหนุ่มๆ ไม่ได้ไปเที่ยว ต้องการความคล่องตัว ส่วนอาวุธไปเลือกได้ที่คลังเอาที่ถนัดได้เลย ใช้เจมกันเป็นใช่ไหม เจอกันเที่ยงจะให้คนเตรียมม้าไว้ให้ เราจะไม่ใช้รถเพราะต้องเดินทางกันยาวๆ บางที่รถใช้ไม่ได้ ส่วนโทรศัพท์โยนทิ้งไปได้เลย ไม่ใช่เขตเมืองใช้ไม่ได้หรอก ถ้ามีธุระอะไร ไว้ตอนแวะที่หมู่บ้านก็ขอใช้ของทางโรงแรมเอา บ่ายโมงนะอย่าเลท มีอะไรสงสัยอีกไหม"

     "ไม่ครับ"

     "งั้นแยกย้าย ฉันหิวแล้ว" ดิออนบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะลากเอาอาเดนและไมเรคออกห้องตามไป

 

     บ่ายโมงทั้งแปดคนมารวมตัวที่ลานด้านหน้าพระราชวังซึ่งได้จัดเตรียมม้าพันธุ์ดีไว้รอ ทุกตัวล้วนมีขนสีน้ำตาลเข้ม กษัตริย์อลูคัสยกม้าทรงส่วนพระองค์ให้ลูกชายกับเวลอร์คนละตัว มาทรงขนสีดำขลับตัวใหญ่และมีพละกำลังมหาศาล ว่ากันว่าสามารถเดินทางข้ามทะเลทรายโอซี่ได้สบายๆ โดยปราศจากน้ำและอาหาร 

     ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีเข้มพร้อมผ้าคลุมหัวเพื่อกันแดดและลมเพราะเส้นทางที่ใช้มีภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทราย แต่หากขึ้นเหนือไปจนถึงเขตออบเสกลลิ่งก็จะกลายเป็นป่าทึบ ส่วนฟาเรสกลับเลือกใส่สีครีมไม่เข้าใจเหมือนกันจะใส่สีเข้มให้มันดูดแสงกันไปทำไมถึงจะดูเท่ก็เหอะ ทุกคนขี่มาคนละตัวแต่ฟาเรสกลับถูกเวลอร์บังคับให้ขึ้นมาตัวเดียวกัน ส่วนม้าของฟาเรสนั้นใส่เพียงสัมภาระของทั้งคู่

     "ขึ้นมาสิ คนอื่นรอแล้วเนี่ย" เวลอร์เร่งเมื่อร่างบางยังคงยึกยักแต่สุดท้ายก็ยอมเดินเข้าไปหา แขนแกร่งจึงอุ้มเอาเจ้าตัวขึ้นมานั่งอยู่ดานหน้าอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าหมอนี่มันแรงเยอะหรือฟาเรสตัวเบา

     "อ้าว ไม่ให้ฉันซ้อนละ"

     "ไม่ดีกว่า"

     "ทำไม"

     "มันกอดไม่ถนัด" เสียงทุ้มกระซิบบอก พร้อมวาดแขนมากกอดเอวบางเข้าชิดตัวจึงโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดแขนแกร่งเข้าเต็มแรง แต่คนโดนกลับหัวเราะชอบใจ ส่วนอีกมือกุมบังเหียนไว้ 

     "นี่ไม่ได้ไปฮันนี่มูน ให้มันน้อยๆ หน่อย" พรีมแซว ส่วนคนอื่นได้แต่มองมาแล้วยิ้มล้อฟาเรสทั้งเขินทั้งอายจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาสงบปากสงบคำ จะมีก็แต่มาวิคที่ทำทีหันมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตา



     กลุ่มของฟาเรสเดินทางมาถึงอาดิซานในช่วงค่ำก่อนจะเข้าพักที่โรงแรมเล็กๆ ในหมู่บ้าน รุ่งเช้าก็พากันเดินเท้าเข้าป่ามุ่งสู่เทือกเขาออบเสกลลิ่งตามเส้นทางที่มีคนรายงานว่าเจอพวกไวด์โซลออกอาละวาด ยิ่งเดินลึกเข้าไปบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่ยิ่งหนาตาจนดูรกทึบทำให้อากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนขนลุก ฟาเรสมองไปรอบกายอย่างหวาดๆ หากมาคนเดียวต้องหลงเลย

     "รอยเท้าพวกนั้น" ไมเรคว่าก่อนจะคุกเข่าลงไปสำรวจรอยเท้าหลายรอยที่พื้น ในขณะที่ทุกคนหยุดยืนเพื่อพิจารณาร่องรอยเหล่านั้น เวลอร์กลับตั้งสมาธิกวาดมองไปรอบกาย นัยน์ตาสีอำพันบัดนี้ม่านตาเปลี่ยนเป็นเรียวรีเพราะใช้สัณชาติญาณอย่างเต็มที่  เพิ่มประสาทสัมผัสให้เฉียบคมรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีที่กว้างไกลไม่ช้าก็รับรู็ได้ถึงกลิ่นสาปและไอปีศาจไม่ไกลมาก

     "ขึ้นเหนือไป บนเขาประมาณสามกิโล" เสียงทุ้มบอก ดึงทุกคนให้หันมาสนใจ นัยน์ตาที่เปลี่ยนไปทำเอาคนมองถึงกับฉงน 

     "ชิบหายเถอะ ถ้าขึ้นไปทางนั้น ก็รังของวาลาคัสแล้วละสิ" โอซี่ขยี้หัวจนยุ่งสีหน้าท่าทางดูกลุ้มใจมากๆ

     "วาลาคัส คืออะไร"

     "มังกรไงละ เป็นมังกรประจำถิ่น อยู่ในถ้ำบนเขาโน่น เฮ้อ มาฝึกภารกิจแรกก็เจองานหินเลยนะพวกนายนี่ โชคดีจริงๆ" ดิออนว่าเสียงเครียด "เอาไงดีไอ้พี่ชาย"

     "หรือจะอยู่รอบนอก กระจายๆ กันให้ครบทุกทิศแล้วค่อยเก็บพวกไวด์โซลที่หลุดออกมา จนกว่ารอยแยกจะปิดไปเอง" อาเดนเสนอ

     "ไม่น่าไหว รัศมีมันกว้างเกินไป ถ้ามีพวกมันหลุดไปเพิ่มชาวบ้านเดือดร้อนแน่ๆ" ไมเรคแย้ง

     "แต่ถ้าเข้าไปใกล้เกินไป กลัวจะได้มวยกับมังกรด้วยนะสิ เดี๋ยวจะโดนย่างสดเอานะ" ดิออนบอก แค่นึกถึงสภาพตัวเองเกรียมทั้งตัวก็ขนลุกแล้ว

     "กลัวอะไรวะ แค่มังกรตัวเดียว เราหน่วยพิทักษ์นะเว้ย ดูพวกเด็กๆ ยังไม่กลัวกันเลย" ไมเรคว่า ก็ไม่ได้กลัวหรอกแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ อยู่ที่อนิม่ากระทำชำเราแต่หุ่นไม้ เจอของจริงเป็นมังกรตัวใหญ่นี่ก็เกินคาดไปเยอะ แต่มาฝึกงานกับเขามีสิทธิ์มีเสียงซะที่ไหนละ

     "สรุปจะสู้"

     "ก็ใช่นะสิ"

     สุดท้ายทั้งหมดก็ตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าใกล้จุดหมายจนได้ยินเสียงคำรามกึกก้องของมังกรวาลาคัส กับฝูงไวด์โซลประปรายที่พุ่งเข้ามาโจมตีเพราะได้กลิ่นมนุษย์ ยิ่งเข้าใกล้ปริมาณของพวกอันเดธยิ่งหนาตา ยังไม่ทันถึงหน้าถ้ำมังกรสีแดงเพลิงที่สูงร่วมแปดเมตรก็โฉบทะยานมาขวางไว้ตรงหน้า พร้อมคำรามขู่โชว์คมเขี้ยวที่เรียงกันกว่าร้อยซี่ สะบัดหางใส่พวกไวด์โซลที่เข้ามาใกล้จนกระเด็นไปไกล นัยน์ตาสีเหลืองดูเกรี้ยวกราดคงจะกำลังหงุดหงิดเต็มที่เมื่อบ้านอันแสนสงบของมันถูกทั้งอันเดธและมนุษย์มารุกราน มันจ้องมายังมนุษย์ทั้งแปดก่อนจะพ่นไฟใส่แต่ไม่ไกลอาจเพียงเพราะจะขับไล่ ระหว่างที่ดูทางหนีทีไล่ก็ต้องรับมือกับพวกไวด์โซลที่ทะยานเข้าใส่เป็นระยะๆ

     "รอยแยกอยู่ไม่ไกล น่าจะแถวๆ ปากถ้ำนั่นแหละ" เวลอร์บอกพลางสบตากับมังกรตัวใหญ่นิ่งๆ



     -แกต้องการอะไร- เสียงคำรามต่ำๆ จากวาลาคัสมีเพียงเวลอร์ที่เข้าใจ

     -ตรงปากถ้ำ มีรอยแยกระหว่างมิติอยู่ ทำให้เจ้าพวกนี้หลุดเข้ามา เราแค่ขอเข้าไปปิดมัน- ร่างสูงตอบกลับ

     -หึๆ จะเชื่อได้หรอ มันก็แค่ข้ออ้าง พวกเจ้าแค่อยากเข้าไปในถ้ำนั้นละสิ เจ้าพวกโลภ คงได้ยินมาว่าถ้ำของข้ามีสมบัติมากมาย-

     -สรุปคือยังไงก็ไม่ยอมสินะ-

     -รังข้า ข้าจัดการเอง ถอยไปซะ แต่ถ้าอยากเข้าไปนักละก็ผ่านข้าไปให้ได้สิ ถ้าทำข้าล้มได้อะนะ-



     "เจ้านั่นบอก อยากเข้าไปก็ล้มมันให้ได้"

     "เฮ้ย นี่คุยกับมังกรได้ด้วยหรอ" มาวิคถามเพื่อนแบบอึ้งๆ ร่างสูงเพียงพยักหน้ารับ

     "เอาไงกันดี"

     "พวกคุณสามคนต้านพวกไวด์โซลไหวใช่ไหม พรีมกับมาวิคก็ช่วยด้วย" เวลอร์หับไปถามเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ทั้งสามคนสลับกับมองไปทางไวด์โซลฝูงใหญ่ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งปะทะกันกับมังกรวาลาคัสส่วนอีกด้านกำลังมาทางเขา

     "ก็ได้อยู่ แล้วมังกรละเจ้าเด็กใหม่"

     "เดี๋ยวผมจัดการเอง ส่วนโอซี่พยายามพาฟาเรสไปที่รอยแยกนั่น" หน่วยพิทักษ์ทั้งสามมองเวลอร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ "บอกไว้เผื่อพวกคุณไม่รู้ ผมนะ ไม่ใช่เด็กใหม่เผลอๆ อาจแก่กว่าพวกคุณด้วยซ้ำ เชื่อผมเถอะ" น้ำเสียงเฉียบขาดพร้อมนัยน์ตาคมดูทรงพลังจนคนฟังไม่อาจปฏิเสธจึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ แล้วกระจายกันไปจัดการศัตรูโดยรอบ

     "เว มันปิดยังไง" ฟาเรสถามเสียงสั่น เขาไม่เคยเรียนรู้วิิธีการมาก่อน

     "เหมือนการใช้พลังเวทย์ทั่วไป เพ่งสมาธิไปที่รอยแยกนั่น ถ่ายทอดความต้องการของนายลงไปเท่านั้นพอ" เสียงทุ้มบอกพลางกุมมือบางไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ "นายทำได้ ฟาร์ของฉันทำได้อยู่แล้ว"

     "แล้วนายจะสู้กับวาลาคัสยังไง" ร่างบางมองคนตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง มังกรตัวใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เก่งมากก็เถอะนะแต่ เวลอร์จะสู้ยังไง

     "หึๆ สบายมาก ฟาร์มีอีกอย่างที่ฉันไม่เคยบอก"

     "อะไร...บอกอะไร"

     "ฉันนะเป็น คิเมร่า" ดวงตาสีครามเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คิเมร่า เผ่าพันธุ์นี้ยังเหลืออยู่อีกหรือ "ดูให้ดีๆ ละ จากนี้คือของจริง"

     ริมฝีปากหนาหยักยิ้มก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะทะยานเข้าหามังกรสีแดงเพลิง พลันร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนร่างจนกลายเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ที่ผสมผสานกันระหว่างสัตว์สี่ชนิด มีลำตัวเป็นสิงโตบนหัวมีเขายาวมวนเป็นวงคล้ายของแพะ มีปีกขนาดใหญ่สีเดียวกับแผงคอและส่วนหางเป็นเกล็ดตรงปลายเป็นหัวของบาซิลิสมีพิษร้ายแรง รูปร่างกำยำใหญ่โตไม่แพ้มังกรวาลาคัส เวลอร์ในร่างคิเมร่าพุงชนวาลาคัสจนกระเด็นไถลไปกับพื้นดังสนั่นไปทั่วบริเวณดึงสายตาของทุกชีวิตในที่อยู่ตรงนั้นให้หันมองแต่ก็สนใจได้ไม่มากเพราะยังสู้ติดพันกับพวกไวด์โซล ก่อนจะหลบฉาดออกมาเมื่อมังกรแดงตวัดหางใส่แล้วตามเข้าไปตะปบด้วยกงเล็บคมกริบแต่คิเมร่าหลบได้อย่างหวุดหวิดทะยานขึ้นเหนือหัวกดร่างของมังกรลงกับพื้นแล้วใช้หัวบาซิลิสตรงปลายหางฝังเขี้ยวลงกลางหลัง วาลาคัสกรีดร้องกึกก้องไปทั้งบริเวณ มังกรวาลาคัสสะบัดร่างคิดเมร่าออกจากหลังก่อนจะกางปีกโผทะยานใส่

     "ไปกันเถอะฟาร์ ไม่มีเวลาแล้ว" โอซี่เร่ง ใจอยากจะดูต่อแต่หน้าที่ตัวเองก็มี โอซี่เสกดาบสีน้ำตาลเข้มขึ้นจากพื้นดินแล้วดึงฟาเรสให้วิ่งตามไป ฟาเรสดึงหน้าไม้ที่พกมาถือไว้ ยังไม่อยากใช้พลังเวทย์ตอนนี้เพราะคาดว่าคงต้องใช้พลังมากในการปิดรอยแยกนั้น ทั้งสองฝ่าเข้าไปถึงปากถ้ำโอซี่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเพราะไม่มีอันเดธตัวไหนถึงตัวของร่างบางเลย

     "ตรงนี้น่าจะได้" ฟาเรสบอก ในยามนี้เขายืนอยู่ตรงหน้ารอยแยกของมิติขนาดไม่ใหญ่ประมาณสามเมตรคูณสามเมตรมีลักษณะเหมือนหลุมดำให้ความรู้สึกเหมือนจะถูกดูดเข้าไปสู่ความมืดมิดตรงหน้า

     "เริ่มเลยฟาร์ เดี๋ยวคุ้มกันเอง สู้ๆ"

     "อื้มมมม!!!" 

     ฟาเรสสูดหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติ ดวงตาสีครามมองตรงไปยังรอยแยกระหว่างมิติตรงหน้า ฝ่ามือบางทั้งสองยื่นไปช้าๆ แม้จะสั่นเกร็งและไม่มั่นคงแต่ในใจกับตั้งมั่นและเด็ดเดี่ยว รวบรวมสมาธิเพื่อจะถ่ายทอดพลังไปยังจุดหมาย

     ...ต้องปิดมัน มันต้องหายไป...

     สายพลังเวทย์สีขาวไหลจากฝ่ามือพุ่งสู่รอยแยกสีดำตรงหน้าโอบรอบไหลเวียนอยู่โดยรอบก่อนที่หลุมดำนั่นจะค่อยๆ ลดขนาดลงช้าๆ ระหว่างนั้นมีไวด์โซลหลายตัวหลุดออกมาแต่ก็ถูกโอซี่จัดการไปอย่างรวดเร็ว

     "อึก..." หลุมดำตรงหน้าแคบลงเรื่อยๆ ยิ่งสายพลังไหลออกไปเท่าไหร่เหมือนเรี่ยวแรงในกายหลุดหายไปด้วยอย่างช้าๆ จนเหงื่อกาดผุดพรายตามกรอบหน้าเนียน 

     ...อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จ...

     ฝึกใช้พลังเวทย์ทั้งวันยังไม่เหนื่อยขนาดนี้ ฟาเรสหอบหายใจหนักฝืนร่างกายให้ยืนหยัดจนในที่สุดรอยแยกระหว่างมิติก็หายวับไปจากตรงนั้นราวกับไม่เคยมีอยู่เหลือเพียงปากถ้ำและปาทึบ ร่างบางทรุดนั่งกับพื้น แข้งขาอ่อนแรงไปหมด พวกไวด์โซลรอบๆ ถูกกำจัดไปเกือบหมด เลยออกไปไม่ไกลมังกรวาลาคัสเองก็นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น แม้จะมีบาดแผลไม่มากแต่ที่สัตว์ร่างยักษ์นั่นนิ่งไปคงเป็นเพราะพิษจากปลายหางของคิเมร่าอย่างแน่นอน

     เวลอร์ในร่างคิเมร่าก้าวช้าๆ มายังร่างบาง ถึงจะรู้ว่าร่างใหญ่ยักษ์นี่เป็นใครแต่ฟาเรสก็อดกลัวไม่ได้ เสียงคำรามต่ำๆ ทำเอาร่างโปร่งสะดุ้งโหยง ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เขายิ่งเกร็งไปหมด ส่วนหัวใหญ่ที่ปกคลุ่มไปด้วยขนหนานุ่มก้มลงมาใกล้จนเผลอกลั้นหายใจแบบไม่รู้ตัว 

     "ฮะๆ พอแล้วเว" คิเมร่าตัวโตดุนส่วนหัวเบาๆ  กับร่างบาง คลอเคลียข้างแก้มเหมือนแมวตัวโตจนฟาเรสหลุดขำออกมาเพราะมันจั๊กจี้จนต้องตีเบาๆ ตรงจมูกชื้นเพื่อปราม เหมือนคนอื่นๆ จะจัดการพวกไวดโซลจนหมดสิ้นจึงพากันมาเข้ามาหาทั้งคู่

     "นี่ยังมีอะไรเซอไพร์กันอีกไหม" พรีมถามพลางเอื้อมมือมาสัมผัสคิเมร่าตัวใหญ่ตรงหน้าแล้วพึมพำราวกับฝัน ส่วนมาวิคนี่นิ่งอึ้งไปเรียบร้อย พอๆ กับเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อีกสามคน "ของจริงใช่ไหมเนี่ย คิเมร่าจริงๆ ใช่ไหม"

     กรร!!! เวลอร์ในร่างคิเมร่าคำรามขู่เบาๆ เมื่อเพื่อนยังคงวุ่นวายกับร่างกายตัวเองไม่หยุดจนเริ่มรำคาญ คนอื่นๆ จึงถอยห่างออกไปอย่างรู้งานก่อนที่ร่างใหญ่โตนั้นจะค่อยๆ หดเล็กลงกลับคืนเป็นมนุษย์ดังเดิม

     "เห้ย!!!" ฟาเรสร้องลั่นพลางปิดหน้าปิดตาใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดเพราะสิ่งที่เห็น เวลอร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้านุ่งลมห่มฟ้าจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนถึงเจ้าตัวจะดูไม่ค่อยสนใจอะไรแต่เขาละอายแทน

     "อะไรกันฟาร์ ทำอย่างกับไม่เคยเห็น" 

     ...ฮือ แล้วจะเข้ามาใกล้เพื่อ!!...ลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดข้างแก้มเมื่อใบหน้าคมโน้มลงมาทำเอาใจเต้นระรัว

     "ใครจะไปหน้าด้านเหมือนนายเล่า"

     "เอ้าใส่ซะ อย่าโชว์นาน เห็นหุ่นนายแล้วอิจฉาวะ" มาวิคคนเสื้อผ้าที่ติดกระเป๋าสัมภาระมายื่นให้เพื่อน ยิ่งเห็นยิ่งแพ้แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้ เวลอร์นะรูปลักษณ์ก็ดี ฝีมือการต่อสู้นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แข็งแกร่งเสียใจเขาเทียบไม่ติด...ปลงเถอะ

     "กลับเลยไหม หรือจะแคมป์กันแถวนี้แล้วตอนเช้าค่อยกลับ" ไมเรคว่า ตอนนี้ท้องฟ้าแต่งแต้มไปด้วยแสงสุดท้ายของวัน "ใกล้ค่ำแล้ว"

     "เอ่อ ยังไมกลับได้ไหมครับ" ฟาเรสถามขึ้นสายตามองไปยังมังกรที่นอนนิ่งอยู่ไม่ไกล หน้าท้องที่กระเพื่อมขึ้นลงบอกให้รู้มันยังไม่ตายจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก็เจ้านี่ไม่ผิดซักหน่อยมันก็แค่ปกป้องที่อยู่ของตัวเองก็แค่นั้น เหมือนคนเรานี่แหละเวลามีใครบุกรุกบ้านเราก็คงไม่ยอมใช่ไหมละ

     "หืม...ทำไมละ" คืนอื่นๆ สงสัยถามขึ้นพลางมองตามสายตาของร่างบางไป

     "ผมอยากรักษามัน" น้ำเสียงนุ่มๆ กับสายตาอ้อนๆ แบบนั้นใครเล่าจะปฏิเสธได้ เจ็ดคนที่เหลือจึงยอมพยักหน้าตามใจฟาเรสไป...ชักเริ่มเข้าใจเวลอร์ขึ้นมาแล้วสิ

......................................

-มาอัพแล้วจ้า สงการต์อู้ เมาแฮงค์พมพ์ไม่ไหว เยาวชนไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอยาก แต่ปีนี้ไม่ได้ออกไปเล่นน้ำเลยเห็นแดดแล้วยอมแพ้กลัวไหม้ ไม่ใช่กลัวดำนะ  :katai5:

-ฝากเพจด้วยเพิ่งจะทำยังไม่ได้อัพอะไรเล้ยย เขามาพูดคุยทักทายได้นะ ถามได้ทุกเรื่องเลยค่ะ เรื่องวาดรูปก็ถามเราได้นะ เรื่องเกมก็ถามได้ ปัญหาหัวใจก็ถามเข้ามา ได้หมดยกเว้นเรื่องตังนะค่ะ https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/ (https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/)  o18
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่16 P6 19-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-04-2016 16:08:04
 :กอด1:   o13  สุดยอดมาก พระเอกนายเอกของเรา เก่งสุดยอดไปเลย
น่ารักค่ะ คนเขียนด้วยนะ   :L2: 
เรามาลุ้นสมบัติในถ้ำมังกรกันต่อดีกว่าเนอะ อิอิ   
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่16 P6 19-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 19-04-2016 23:07:09
พระเอกได้ใจไปเต็มๆค่าา  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่16 P6 19-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-04-2016 00:14:55
อยากอ่านตอนต่อไปล้าววว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่16 P6 19-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 20-04-2016 02:00:27
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่16 P6 19-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 20-04-2016 11:12:25
สนุกที่ซู๊ดดดดดดด :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 20-04-2016 23:12:42
บทที่ 17

     กรร!!! เสียงคำรามขู่ดังจากมังกรยักษ์ที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่บนพื้น โดยมีมนุษย์ผู้มาเยือนทั้งแปดตั้งแคมป์อยู่ไม่ไกลอย่างไม่กลัวตาย แม้รู้สึกไม่ไว้วางใจแต่ร่างกายของมันกับไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน พิษของคิเมร่าที่ได้รับจากการต่อสู้ทำให้ร่างกายเป็นเจ็บชาไปหมด วาลาคัสพรูลมหายใจร้อนผ่าวออกมา

     -เจ้าเด็กนี่ทำบ้าอะไร- นัยน์ตาสีเหลืองมองตามฟาเรสที่ตอนนี้เอาผ้าชุบน้ำซับไปตามบาดแผลของมัน

     -เขาจะรักษาแผลให้- เวลอร์ที่เฝ้ามองทุกการกระทำของคนรัก คำรามตอบ

     -ทั้งที่เจ้าเป็นคนทำข้าเจ็บนี่นะ- หางที่คลุมไปด้วยเกล็ดหนาสะบัดจนเกือบโดนร่างบางหมายจะขับไล่ นัยน์ตาคมจึงมองตาสัตว์ยักษ์แบบดุๆ

     -อยู่นิ่งๆ ซะ ถ้าแกทำฟาร์เจ็บแม้แต่นิดเดียว ได้ตายจริงๆ แน่ เราไม่ได้อยากทำร้ายแกหรอกนะ แค่ขอให้ฟาเรสได้ไปปิดรอยแยกของมิติ แกไม่ยอมเองนี่นา- มังกรวาลาคัสหลับตานิ่งอย่างจำยอม จากการต่อสู้กับเจ้าคิเมร่านี่เมื่อครู่มันรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่ามาก สัมผัสแผ่วเบาและอ่อนโยนทำให้เจ้ามังกรเบาใจเมื่อไม่ได้รู้สึกถึงการคุกคาม

     -ก็ข้ากลัวเจ้ามายุ่งกับสมบัติข้านิ ว่าแต่พลังของเจ้าเด็กนี่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เจ้านี่พิเศษข้ารับรู้ได้จากกลิ่นอาย เขาชื่ออะไร- มังกรส่งเสียงถามอย่างสนใจ

     -ฟาเรส-

     "เฮ้ คุยอะไรกันเล่าให้ฟังบ้างสิ ไม่ใช่แอบนินทาฉันหรอกนะ" ฟาเรสบ่นพลางเอาสมุนไพรที่เขาใช้เวลอร์ไปเก็บ มาขยี้จนออกน้ำโปะลงบนแผลตามร่างกายใหญ่โตตรงหน้า "โปะไว้แบบนี้แหละ พรุ่งนี้เช้าพิษน่าจะจางลงจนขยับตัวได้แล้วละ หวังว่าคงไม่ลุกมาพ่นไฟใส่กันนะ" ริมฝีปากสวยยิ้มบางๆ พลางตบลงบนผิวหนังหุ้มเกล็ดเบาๆ

     -ขอบคุณ-

     "มันบอกว่าขอบคุณ" เวลอร์สื่อสารต่อให้คนตัวเล็ก

     "ไม่เป็นไร ขอโทษนะที่ทำให้เจ็บตัว แต่งานพวกเราเสร็จแล้ว รุ่งเช้าก็กลับ ไม่อยู่รบกวนบ้านของนายอีกต่อไป ขอโทษจริงๆ" มังกรแดงมองคนที่ขยับมายืนอยู่ตรงหน้า กลิ่นไอจากเด็กหนุ่มมีทั้งเอลฟ์และมนุษย์ปนกัน แบบนี้หรือเปล่าที่มนุษย์เรียกว่างดงาม นึกชอบใจดวงตาสีครามสวยของเจ้าตัวเล็กซะแล้วสิ ฟาเรสผละออกไปนั่งรวมกับเพื่อนๆ ที่ล้อมกองไฟย่างกวางป่าที่จับมาได้เป็นอาหารเย็น

     -เฮ้ เจ้าคิเมร่า- มังกรวาลาคัสเอ่ยเรียกอีกคนที่ทำท่าจะตามไป -เจ้ามาจาอินเวียร์โนใช่ไหม ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีพวกคิเมร่าอาศัยอยู่- 

     -อืม- เวลอร์พยักหน้ารับ

     -ข้าเจอคนหนึ่ง มาจากอินเวียโนเมื่อไม่นานมานี้ จริงๆ แล้วก็เจอประจำแหละ นางชอบแวะมาเยี่ยมข้าที่ถ้ำ-

     -เป็นคิเมร่าเหมือนฉัน?-

     -เปล่า เป็นมนุษย์ แค่หญิงชรา นางบอกว่านางลี้ภัยมากจากอินเวียโน่ นางไม่เหมือนคนอื่นไว้ใจได้- 

     -แล้วจะมาอีกไหม- 

     -ข้าไม่เจอนางมาสี่ห้าวันแล้ว ใจจริงอยากไปดูที่กระท่อมบนเขาของนาง แต่เพราะไอ้รอยแยกของมิติบ้าๆ นั่นทำให้พวกอันเดธหลุดเข้ามาไม่หยุด ข้าเลยไปไหนไม่ได้ อยากให้เจ้าช่วยไปดูนางให้ที ครั้งล่าสุดที่มานี้นางดูอ่อนแอกว่าปกติเอามากๆ- มังกรถอนหายใจยาวแสดงท่าทีกลัดกลุ้ม

     -ได้สิ กระท่อมนางอยู่ไหน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้- เวลอร์รีบรับปากรับคำ คนจากอินเวียร์โน่งั้นหรอ เธออาจจะรู้ที่ซ่อนของคนอื่นๆ ก็ได้ 

     -เจ้าเห็นธารน้ำตกเล็กๆ หน้าถ้ำข้าไหม ตามธารน้ำนั่นขึ้นไปบนเขาก็จะเจอกระท่อมของนาง ช่วยที-

     เวลอร์เดินเข้ามายังกลุ่มคนที่ล้อมวงอยู่ก่อนเรียกโอซี่ให้ออกมาด้วยกัน ใจก็ไม่อยากทิ้งฟาเรสไว้แต่เจ้าตัวก็หลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยล้าจากการใช้พลังเวทย์มากมายในวันนี้ มือใหญ่เอาผ้าห่มคลุมกายให้คนรักแล้วหันไปฝากฝังกับคนที่เหลือ ที่กำลังตกลงเรื่องเฝ้าเวรยามกันอยู่ จากที่เจ้าวาลาคัสบอกกระท่อมนั้นคงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ รีบไปรีบกลับดีกว่า


 

     คิเมร่าและครึ่งออคเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วไปตามผืนป่า เลียบธารน้ำที่มุ่งสู่ยอดเขาก่อนจะพบกับกระท่อมยกสูงหลังเล็กๆ บนลานดอกไม้ริมลำธาร แสงไฟจางๆ ลอดบานหน้าต่างที่บังไว้ด้วยม่านขาวออกมาภายนอก เวลอร์ได้กลิ่นของสองชิวิตภายในนั้น จึงก้าวท้าวยาวๆ ไปหาประตูไม้บานเล็กแล้วเคาะเรียก

     "มีใครอยู่ไหมครับ" โอซี่ส่งเสียงถามออกไปแต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาเรียกซ้ำอยู่สองสามทีก่อนจะมองหน้าเพื่อนว่าจะเอายังไง คนข้างกายจึงพยักพเยิดบอกให้เขาผลักประตูเข้าไป

    เมี๊ยววว... เสียงเล็กๆ ที่ร้องดังดึงสายตาของสองหนุ่มให้ก้มมองลงพื้นไม้ แมวดำตัวหนึ่งเดินเข้ามาคลอเคลียพันแข้งพันขาผู้มาเยือน หัวเล็กๆ ถูไถกับขากางเกงของคนทั้งสองก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาสีม่วงอ่อนสุกใสราวกับแสงของพระจันทร์ เวลอร์ย่อตัวลงช้อนเอาแมวดำมาอุ้มไว้โดยที่มันเองก็ไม่ขัดขืน

     "ละ ลูน..." ชื่อของเจ้าแมวน้อยที่ถูกเรียกด้วยเสียงแหบแห้งแผ่วๆ จากด้านในดึงสองหนุ่มให้ก้าวเข้าไปหาอย่างถือวิสาสะ ภายในกระท่อมเล็กๆ เต็มไปด้วยเครื่องเรือนที่ทำจากไม้แบบง่ายๆ เตาผิงอยู่มุมหนึ่งกับโซฟาเก่าและโต๊ะกลมขนาดไม่ใหญ่ข้างกัน ติดกับเตาผิงมีเครื่องครัวและชั้นเก็บของที่มีเครื่องปรุงมากมาย ตรงข้ามกับประตูเป็นระเบียง ซ้านยือมีชั้นและตูบ้านใหญ่กั้นติดผนังด้านหนึ่งส่วนอีกด้านเว้นไว้แล้วบังด้วยมู่ลี่น่าจะเป็นส่วนของห้องนอนเดาว่าเจ้าของเสียงคงอยู่ในนั้นจึงรีบเข้าไปดู

    "ใคร...มานะลูน แคกๆ" หญิงชราผู้มีผมสีดอกเลาหยักโศก ยันกายลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางไอเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาเยือน ริมฝีปากแห้งๆ จะแย้มยิ้มบางเบา

    "เอ่อ สวัสดีครับ" โอซี่ไม่รู้จะพูดอะไรจึงเอ่ยทักไป

    "มาแล้วหรอฝ่าบาท" หญิงชราจ้องมองเวลอร์อย่างยินดี เจ้าตัวจึงเดินเข้าไปใกล้ ส่วนเจ้าแมวในอ้อมแขนกระโดดลงนอนบนตักเธออย่างคุ้นเคย สองมือเหี่ยวย่นคว้าเอามือใหญ่ไปกุมไว้แน่น "คนอื่นๆ บอกว่าฝ่าบาทจากไปแล้วแต่กระหม่อมไม่เชื่อ นิมิตของกระหม่อมไม่ได้ผิดเพี้ยน"

    "รู้ด้วยหรอว่าผมเป็นใคร"

    "ฝ่าบาทอาจจำไม่ได้ กระหม่อมอยู่ในกลุ่มนักพยากรณ์ของอินเวียร์โน่ แม้พระองค์ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าให้ใครเห็นนัก แต่กระหม่อมจำแววตาได้" ทุกครั้งที่ออกทรงงานกษัตริย์เวลาเรียสมักมาด้วยชุดเกราะเต็มยศ หากในยามสู้รบก็มักจะอยู่ในร่างของคิเมร่า น้อยคนนักที่จะเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระองค์ หยาดน้ำใสๆ ไหลอาบแก้มที่ซูบตอบด้วยความปิติ จนชายหนุ่มต้องเอื้อมมือใหญ่ไปเช็ดมันออกให้ "ฝ่าบาทจะกลับมาทวงคืนบ้านให้พวกเราใช่หรือไม่"

    "ใช่ ผมกลับมาคราวนี้เพื่อสะสางทุกอย่าง ท่านแม่เฒ่าชื่ออะไรบอกได้ไหมจะได้เรียกถูก"

    "ลอเรนเจ้าค่ะ กระหม่อมชื่อลอเรน"

    "ยินดีที่ได้เจอนะลอเรน จากนี้เรียกผมว่าเวลอร์หรือเวก็ได้ ไม่ต้องเป็นทางการหรอก" ฝ่ามืออุ่นลูบหลังมือหญิงชราเบาๆ

    "แต่ว่า..."

    "ได้โปรด คุณลอเรน เรียกผมว่าเว"

     "ได้ค่ะ"

     "ส่วนหมอนี่ชื่อโอซี่ เป็นเพื่อนของผม" เวลอร์หันไปแนะนำเพื่อนอีกคนที่ยืนมองเขาทั้งคู่เงียบๆ อย่างรู้งาน

     "แล้วชาวอินเวียร์โน่คนอื่นๆ ละครับ พวกเขาพากันไปอยู่ไหน" ครึ่งออคถามขึ้น

     "เห็นว่าจะพากันไปอยู่ที่นครใต้ดิน ตรงดินแดนร้างใจกลางทะเลทรายโอซี่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางเข้านั้นอยู่ไหน" เธอทำท่านึกก่อนจะส่ายหัวออกมา "ดิฉันแยกออกมาตอนที่เราเดินทางมาถึงอาดิซาน ดิฉันในตอนนั้นก็แก่มากส่วน เจ้าลูนที่ยังเล็ก จะให้เดินทางผ่าทะเลทรายคงถ่วงเขาเปล่าๆ แคกๆ " ลอเรนว่าพลางลูบขนสีดำนุ่มนิ่มนั้น แย้มยิ้มอบอุ่น ก่อนจะไอเพราะพูดยาวไปจนคอแห้ง โอซี่จึงลุกไปตักน้ำในตุ่มมาให้ เธอกล่าวขอบคุณเขา

     "คุณลอเรนไหวไม่ครับ ไม่สบาย อยู่คนเดียวแบบนี้มันแย่นะครับ" โอซี่ว่าเสียงเครียด

     "คนเดียวที่ไหนละ มีเจ้าลูนนี่ไง" เมี๊ยวๆ เสียงเล็กตอบรับ "ธรรมดา แก่แล้วก็งี้ แล้วหาดิฉันเจอได้ไง"

     "วาลาคัสบอกนะ เจ้านั่นไม่เห็นคุณหลายวันเลยวานให้ช่วยมาดู" เวลอร์ตอบ

     "พวกท่าน...จะไปตามหาคนอื่นๆ ไหม"

     "แน่นอนครับ"

     "คุณลอเรน ไปอยู่ในเมืองไหมครับ คุณก็อายุมากแล้ว เกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนดูแล" โอซี่บอกเสียงอ่อน "นะครับ ปล่อยคุณไว้แบบนี้พวกเราก็ไม่สบายใจ แล้วจะไปตามหาพวกที่เหลือได้ยังไง"

     "เอางั้นก็ได้ พวกท่านจะได้ไปตามหาคนอื่นๆ ได้เต็มที่" หญิงชรายิ้มกว้าง "แต่ดิฉันรบกวนอีกอย่าง หากออกไปตามหาชาวอินเวียโนที่เหลือช่วยพาลูนไปด้วยได้ไหมค่ะ เขาอาจช่วยพวกคุณได้" สองสายตามองตรงไปยังแมวดำที่จ้องตอบพวกเขาด้วยนัยน์ตาสีสวยนั่น พลางร้องเสียงอ่อนเสียงหวานออดอ้อน เรียกรอยยิ้มตรงมุมปากของเวลอร์เพราะชายหนุ่มเข้าใจที่เจ้าตัวเล็กต้องการสื่อดี

     "คุณลอเรนนอนพักซักหน่อยเถอะ ตอนใกล้ๆ รุ่งสางพวกผมจะพาคุณลงไปด้วยกัน" เวลอร์บอกก่อนจะอุ้มเจ้าแมวดำออกจากตักหญิงชรา ส่วนโอซี่ประคองเธอให้นอนลงบนเตียงแล้วทั้งสองก็ผละออกมานั่งกันหน้าเตาผิงรอเวลา เจ้าชายแห่งเรดิเอนซี่เอนหลังบนโซฟา ส่วนคิเมร่าหนุ่มนั่งขัดสมาธิเล่นกับเจ้าแมวดำอยู่บนพื้น

     "นายติดสัญญาฉันข้อหนึ่งนะเพื่อน ที่นายแพ้การประลอง" จู่ๆ ก็มาทวงกันแบบนี้ โอซี่เลิกคิ้วเล็กน้อยน้อยพลางสบตาเพื่อน ไอ้รอยยิ้มมุมปากนั่นดูไม่หน้าไว้ใจเอาซะเลย

     "ว่ามาอย่ายึกยัก"

     "แมวนั่นดูแลมันได้ไหม"

     "ฉันไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงจะรอดหรอวะ" 

     "หรือจะไม่ทำ ยกเลิกสัญญาได้นะ"  ดวงตาสีอำพันจ้องมาอย่างท้าทาย

     "ไม่ใช่เว้ย ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น แต่มีอะไรที่มันยากกว่านี้ไหมเพื่อน" มันควรเป็นคำขอที่สมศักดิ์ศรีกว่านี้ นี่ใคร เจ้าชายองค์เล็กแห่งเรดิเอนซี่จะให้มาเลี้ยงแมวมันไม่ใช่อะ

     "นี่แหละยากสุด ไม่รู้หรอการดูแลปกป้องอะไรซักอย่างมันยาก เห็นบ่นอิจฉาฉันกับฟาร์ อยากดูแลใครซักคน นี่ไงจัดให้แล้วดูแลดีๆ" ริมฝีปากหนายกยิ้มร้าย พลางอุ้มเจ้าแมวดำส่งให้เพื่อนที่นังทำหน้ายุ่ง   

     ...ฉันหมายถึงคนรัก ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเว้ย...

    โอซี่โอดครวญในใจ พลางจ้องเจ้าแมวดำตรงหน้า ดวงตาสีม่วงอ่อนใสแจ๋วจ้องมองมาทางเข้าด้วยสายตาออดอ้อน อุ้งเท้าปุกปุยตะกายหาเขาพลางส่งเสียง เมี๊ยวๆ ไม่หยุด ราวกับขอให้อุ้ม ทำเอาดวงใจชายหนุ่มอ่อนยวบกับความน่ารักเกินต้านทานยิ่งกว่าหน้าอกตูมๆ ของสาวๆ เสียอีก

     "เออก็ได้ ลูน...แกเป็นของฉันแล้วนะเว้ย" เสียงทุ้มบอกออกไปในที่สุดพร้อมรับเอาแมวดำมากอดไว้บนตักหลามๆ ขนสีดำขลับนุ่มนิ่ม ในยามที่เจ้าตัวเอาหัวถูไถแล้วเอาลิ้นเล็กชื้นเลียเบาๆ ตรงหลังมือ จนริมฝีปากสีคล้ำหลุดยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ 

     ...คงไม่กลายเป็นทาสแมวไปหรอกนะ...

     "หึๆ อย่ามาขอบคุณที่หลังแล้วกัน" เสียงหัวเราะกวนประสาทดังมาจากไอ้คิเมร่าตัวร้ายจนคนฟังอยากจะเตะก้านคอซักที

     รุ่งเช้าสองหนุ่มก็พาหญิงชรากับอีกหนึ่งแมวกลับมายังแคมป์ของพวกเขา มังกรวาลาคัสเข้ามาทักทายลอเรนอย่างคุ้นเคย ดีใจที่เธอปลอดภัย หญิงชรากล่าวลาสัตว์ยักษ์ว่าเธอจะต้องไปอาศัยอยู่ในเมืองที่ห่างไกลอย่างเมืองเรดิเอนซี ด้วยอายุอานามขนาดนี้คงใช้ชีวิตบันปลายที่นั่นจนตายและคงไม่เจอกันอีก

     วาลาคัสได้มอบของสิ่งหนึ่งให้ฟาเรสเป็นการตอบแทนที่ช่วยรักษา เป็นชุดคลุมที่ทอด้วยเส้นไหมเงินและทองคำ อาบด้วยเวทย์มนต์เนื้อผ้าบางเบาแต่กลับเหนียวชนิดที่ดาบธรรมดาฟันไม่เข้า เพราะมันคิดว่าด้วยพลังพิเศษที่ฟาเรสมี เจ้าตัวอาจต้องทำการใหญ่ในภายภาคหน้าและคงถูกล่า มีอันตรายเข้าหาตัวไม่หยุดหย่อน อย่างน้อยๆ เสื้อคลุมที่ให้ไปก็ช่วยอำพรางกลิ่นอายของเจ้าตัวเล็กนี่ไว้ได้บ้าง ด้วยพลังเวทย์มนต์ที่อาบไว้เมื่อยามที่ถักทอมันขึ้นมา

     ทั้งแปดหนุ่มเดินทางกลับเรดิเอนซีในวันนั้นส่วนหนึ่งเพื่อพาลอเรนไปส่งไว้ที่พระราชวังเพื่อให้เธอได้ใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่นและฝากฝังให้เหล่าข้ารับใช้คอยดูแล 

     ทั้งหมดตัดสินใจพักหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทำภารกิจอื่นๆ แต่เป้าหมายปลายทางจริงๆ หลังจากนี้คือดินแดนร้างใจกลางทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในเอสทีเรียด ชื่อว่าทะเลทรายโอซี่ ยิ่งลึกเข้าไปทะเลทรายนี้ยิ่งโหดร้าย ไม่ใช่สภาพอากาศแต่เพราะห่างไกลจากทุกสิ่ง ทั้งกฏหมายและศีลธรรม ดินแดนที่เต็มไปด้วยชนเผ่าหลากหลาย ซึ่งไม่ได้เป็นมิตรไปเสียหมด ไหนจะกองโจรต่างๆ ทั้งสัตว์ประหลาดและปีศาจมากมาย จนเรื่องไวด์โซลกลายเป็นสิ่งธรรมดาไปเลยสำหรับที่แห่งนี้ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาวอินเวียร์โนเดินทางมาหลบซ่อนที่นี่ เพราะมันยากจะเข้าถึง

     โอซี่ก้าวขึ้นจากอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ใจกลางห้องน้ำหรู สมศักดิ์ศรีราชนิกูล ใบหน้าคมแม้ไม่ได้หล่อสะดุจตาแต่ก็จัดว่าน่ามอง ริมฝีปากหยักที่ดูเหมือนมีรอยยิ้มจางๆ ประดับตลอดเวลา ทำให้ดูมีเสน่ห์เฉพาะตัว ร่างกายสีแทนเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำ ไลกล้ามเนื้องดงามสมบูรณ์ มีรอยแผลเป็นจางๆ ตามเรือนกาย เมื่อเห็นมันแล้วพาลนึกถึงอดีต ในยามที่ยังเดินทางแร่ร่อนไปในทะเลทรายแห่งนั้นสมัยที่ยังอยู่กับมารดาที่เผ่า ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เขาไม่ได้รู้สึกแย่กับร่องรอยเหล่านี้ซ้ำร้ายมันคือความภูมิใจ  เป็นหลักฐานแห่งการต่อสู้และการเอาตัวรอดที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็น เจ้าชายโอซี่ แซบเบีย อัลลิเวียคนนี้ แย้มยิ้มให้กับตัวเองอย่างพอใจในกระจกก่อนจะคว้าเอาชุดคลุมขึ้นมาสวมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ สู่ห้องนอนโอ่อ่ากว้างขวางจนรู้สึกอ้าวว้างในบางที หลังจากที่ท่านพ่อรับเขามาเลี้ยงดูในวังทั้งพ่อทั้งพี่ต่างก็พากันติดภารกิจตามประสาเชื้อพระวงศ์จนแทบไม่มีเวลาให้ เขาจึงเติบโตตามลำพังมาโดยตลอด

     หากในยามปกติคงมีสาวงามส่งมาเอาอกเอาใจให้ความสำราญ แต่วันนี้เขากับไม่รู้สึกต้องการมัน เพราะอะไรนะหรือ? ก็เพราะเจ้าแมวตัวจ้อยที่กำลังฟัดกองผ้าบนที่นอนเข้าอย่างเมามัน ส่งเสียงร้องแง่วๆ ไม่เลิกรา แต่น่าแปลกที่เขาเองไม่รู้สึกรำคาญอะไร ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียงใหญ่คว้าเอาแผนที่ภายในทะเลทรายโอซี่มาสำรวจดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง บนแผนที่บอกอาณาเขตของเผ่าใหญ่ ที่อยู่คร่าวๆ ของเหล่าอสูรการและเขตอันตราย 

     เจ้าแมวดำเงียบเสียงลงอย่างรู้งานก่อนจะกระโดดพาร่างนุ่มนิ่มมานั่งบนตักเขา ดวงตาสีม่วงอ่อนมองแผนที่ในมือเขาอย่างสนใจ เมื่อโอซี่เก็บเกี่ยวข้อมูลตรงหน้าจนพอใจก็หยิบเอารายงานเหตุการณ์ในบ้านเมืองขึ้นมาอ่าน เลือกเอาเฉพาะที่เกิดขึ้นในแถบทะเลทรายและดินแดนร้าง แผ่นแล้วแผ่นเล่า แต่ลูนก็ไม่ลุกไปไหนราวกับทั้งเขาและมันกำลังอ่านทุกสิ่งบนกระดาษนั้นไปด้วยกัน

    ...มีเจ้านี่อยู่ด้วยก็ไม่แย่เท่าไหร่แฮะ...

     "ฝันดีเจ้าเหมียว" เสียงทุ้มบอกก่อนจะล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มซุกหน้าลงกับหมอนแล้วหลับตาลงโดยมีเจ้าแมวดำขนนุ่มขดตัวนอนอยู่ข้างกัน

.....................................

-มาต่อแล้ว ตอนนี้ยกให้พี่โอซี่เขาไป

-ฝากแพจด้วยจ้าเข้ามาทักได้ https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/ (https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/)
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 21-04-2016 01:12:39
อร๊างงงง ดีใจมาต่อไวมากๆเลยค่ะ  :mew1:  :mew1:  :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-04-2016 03:03:05
เด่วๆ แมวกะยักษ์หรา 55555 น่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 21-04-2016 10:10:00
โอซี่จะมีคู่แล้ว   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-04-2016 10:24:56
 :impress2:  นี่ลุุ้นให้แมวน้อยแปลงร่างตอนกลางดึก อิอิ

มังกรหาคู่ให้ใช่ไหมพี่โอ   :mew1: 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 21-04-2016 22:58:42
กรี๊ดดดดด น้องแมวน่ารักอ่ะ
โอซี่จะได้เมียก้องานนี้ 555555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่17 P6 20-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 22-04-2016 11:55:43
คู่ของโอซี่ กับมาวิคมาแล้วววววววววววววววววววว  :laugh:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 22-04-2016 21:52:19
บทที่ 18

      เพราะเกิดในดินแดนหมู่เกาะที่อุดมสมบูรณ์อย่างไวท์ออกชาร์ด การได้เดินทางไปในทะเลทรายจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับฟาเรส เนินทรายสุดลูกหูลูกตาสีสันตัดกันกับท้องฟ้าสีน้ำเงินกระจ่าง เป็นความงามที่สรรสร้างโดยธรรมชาติ แม้แดดจะจัดแต่สายลมแรงๆ ที่พัดมากลับเย็น อากาศในทะเลทรายโอซี่ค่อนข้างแห้งทำให้รู้สึกกระหายน้ำอยู่บ่อยๆ จากเรดิเอนซีสู่ดินแดนร้างใช้เวลาเจ็ดวันสำหรับการเดินเท้า สี่ถึงหน้ามันด้วยม้า แต่สำหรับพวกเขาคงใช้เวลาประมาณสามวันเพราะใช้ม้าพันธุ์ดีที่รวดเร็วและแข็งแรงกว่าม้าทั่วไปอยู่มากในกรณีที่ไม่ได้แวะที่ไหนระหว่างทาง

      คืนแรกพวกเขาพักกันที่หมู่บ้านฮาดินเพราะมีรายงานเรื่องไวด์โซลส่งมา รายได้หลักของหมู่บ้านแห่งนี้มาจากเหมืองคริสตัลขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งเจ็มที่ใช้ทำอาวุธส่วนใหญ่ก็มาจากที่นี่ เจ็มคือคริสตัลชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่ดีกว่าแข็งแรงทนทานกว่าและทำปฏิกริยาต่อพลังเวทย์แฝงหากแต่อัตราการขุดพบน้อยมาก 

      ชายหนุ่มทั้งแปดกับอีกหนึ่งแมวที่ก้าวเข้ามาในโรงแรมเล็กๆ ใจกลางหมู่บ้านที่ชั้นล่างเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์เหล้าดึงสายตาของแขกในร้านให้หันมอง ทั้งหมดเลือกนั่งรวมกันที่โต๊ะยาวขนาดใหญ่ ฝั่งหนึ่งหน่วยพิทักษ์สามคนนั่งอยู่ต่อจากไมเรคคือมาวิค เพื่อนเขาตอนนี้กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองคนข้างๆ เหมือนจะหักคอทิ้ง ไม่รู้ทำไมว่างเมื่อไหร่กัดกันตลอด คนหนึ่งชอบแขวะคนหนึ่งก็เดือดง่าย ถามพรีมได้ความว่าพ่อพวกนั้นเป็นเพื่อนกัน แล้วมาวิคก็ไม่ค่อยถูกชะตากับหน่วยพิทักษ์คนนี้เท่าไหร่เพราะหมั่นไส้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนที่เหลือนั่งอยู่ฝั่งเขา ฟาเรสหันมองไปรอบๆ คนดูบางตากว่าที่ควรจะเป็น พอดีกับสาวสวยเดินมาที่โต๊ะพร้อมยิ้มกว้างแล้วยื่นเมนูให้พวกเขา

      "คนดูน้อยจัง" โอซี่ถามพร้อมยิ้มกว้างตามประสาคนอัธยาศัยดี

      "ค่ะ ก็ตั้งแต่มีไวด์โซลอาละวาดในเหมืองเลยต้องปิดชั่วคราว พวกทำเหมืองก็ว่างกลับไปทำงานไหม่ได้เลยขาดรายได้ ส่วนพ่อค้าที่มาซื้อขายพอได้ข่าวว่าเหมืองปิดชั่วคราวก็ไม่ค่อยมีมา ร้านก็เลยเงียบอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ" เธอบอกเสียงเศร้า พลางมองไปรอบๆ แล้วถอนใจ "รับอะไรดีค่ะ ถ้ายังไงสั่งเครื่องดื่มรอไปก่อนก็ได้ค่ะ ที่นี่เรามีเบียร์สดเป็นของขึ้นชื่อค่ะ"

       โอซี่หันมาถามเพื่อนร่วมโต๊ะว่าจะดื่มไหมซึ่งทุกคนก็พยักหน้ารับ ก่อนที่แต่ละคนจะสั่งอาหารที่ต้องการ เดินทางตากแดดมาทั้งวันหิวไส้จะขาด มื้อเที่ยงก็พากันกินขนมปังแห้งๆ ที่ถือติดมาเป็นสะเบียง ก่อนที่เจ้าชายครึ่งออคจะสั่งนมสดปิดท้ายสำหรับเจ้าลูนที่นั่งอยู่บนไหล่กว้างและกำลังเล่นกับฟาเรสที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งในสายตาของคนอื่นมองว่าหมือนแมวสองตัวกำลังหยอกกันซะมากกว่า

"ต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมค่ะ"

      "ไม่แล้วละ เอ่อ ใครเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่หรอ บอกหน่อยได้ไหม พวกเราเป็นหน่วยพิทักษ์นะ อยากจะคุยเรื่องพวกไวด์โซลซักหน่อย" ดิออนถาม คำว่าหน่วยพิทักษ์ทำเอาเธอมองพวกเขาตาโตก่อนจะยิ้มกว้างออกมา "ค่ะๆ จะให้คนไปตามเดี๋ยวนี้แหละค่ะ" 

       ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสริฟจนเต็มโต๊ะแม้จะดูมากมายจนแทบล้นแต่ก็ไม่สะเทือนกระเพราะของเหล่าชายหนุ่มเท่าไหร่นัก เพราะไม่นานบรรดาอาหารทั้งหลายก็อันตรทานหายไปเหลือติดจานไม่กี่อย่างจึงพากันนั่งย่อยไปซักพัก ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพร้อมผู้ติดตามอีกสองคน เขาตรงมายั่งโต๊ะที่ฟาเรสนั่งอยู่ น่าจะเป็ฯหัวหน้าหมู่บ้นของที่นี่มุกคนในโต๊ะจึงลุกขึ้นทักทาย

       "สวัสดี ฉันลอฟเป็นหัวหน้าหมู่บ้านฮาดินแห่งนี้ ยินดีที่พวกคุณมา นั่งเถอะๆ" ลอฟว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผู้ติดตามลากมาให้ แนะนำตัวกันต่ออีกนิดหน่อยจึงเริ่มคุยในหัวข้อหลัก มีเลยแยกเกิดขึ้นในเหมือนเมื่อประมาณสี่วันก่อน คนงานบางส่วนตายส่วนที่เหลือหนีออกมาเลยตัดสินใจปิดทางเข้าเหมืองไว้ แล้วแจ้งทางการ หากไม่มีใครมาจัดการตั้งใจว่าจะรอให้รอยแยกระหว่างมิติหายไปเองแล้วค่อยช่วยกันจัดการพวกอันเดธที่อยู่ในนั้น



       เจ้าของโรงแรมจัดห้องพักให้เขาห้าห้อง ดิออนนอนกับพี่ชาย ไมเรคอยู่อีกห้อง โอซี่กับลูน พรีมกับมาวิค และเวลอร์นอนกับฟาเรส ตอนแรกเจ้าตัวบอกไม่คิดเงินทั้งค่าที่พักและอาหาร แต่พวกเขาก็ยืนยันที่จะจ่ายโดยให้เหตุผลว่าช่วงนี้ทางโรงแรมไม่ค่อยมีลูกค้าอย่ามาเสียรายได้กับพวกเขาเลย ชายชราเจ้าของที่แห่งนี้เลยต้องยอมรับเงินไปแต่โดยดี

       "พรุ่งนี้มีภารกิจต้องทำอย่ารังแกฟาร์ละ" โอซี่แซวก่อนจะเข้าห้องตัวเองไป คนถูกแซวยิ้มรับมุมปากก่อนจะคว้ากอดเอวบางลากฟาเรสเข้าห้องไป

     ร่างโปร่งถูกผลักลงบนเตียงก่อนที่คนตัวโตกว่าจะตามมาทาบทับแล้วกดจูบริมฝีปากอิ่มสวยนั่นอย่างไม่ทันให้อีกคนได้ตั้งตัว ลิ้นร้อนแทรกกลีบปากนิ่มๆ เข้าไปลิ้มรสความหวานภายในอย่างหิวกระหายจนคนข้างใต้ครางอื้ออึงในลำคอเพราะหายใจไม่ทัน เวลอร์ยอมผละออกมาเมื่ออีกคนทำท่าจะขาดใจและไม่วายจูบซ้ำๆ เบาๆ บนริมฝีปากสีสดอยู่หลายที

     "แฮก...จะฆ่ากันหรือไง" ฟาเรสบ่นไปหอบไป ใบหน้าเห่อร้อนไปหมด ใบหน้าคมยิ้มหล่อก่อนจะก้มลงไปฟัดแก้มนิ่มๆ แล้วเลื่อนลงมาสูดเอากลิ่นกายอ่อนๆ ตรงซอกคอขาว จนคนใต้ร่างเอามือทุบหลังเขาแรงๆ ให้หยุดก่อนอารมณ์จะเตลิดไปไกล "พอแล้ว อื้อ...พอ"

     "อยากอะ" เวลอร์บอกด้วยเสียงแหบพร่า ดวงตาสีอำพันสบตาคนรักแบบอ้อนๆ อยู่บนหลังม้าโดยกอดคนตัวเล็กไว้ตรงหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ กับเนื้อตัวนุ่มนิ่มทำเขาจะบ้าตายมาทั้งวัน

     "พรุ่งนี้ต้องออกไปเหมืองแต่เช้า" ฟาเรสบอกเขินๆ พลางหลบตาคมที่มองมา "ถ้านายทำ ฉันคงลุกไม่ไหวแน่ๆ"

     "ก็ไม่ต้องไปไง"

     "แล้วใครจะปิดรอยแยกละ"

      "ช่างมันสิ"

      "ช่างไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ ถ้าไม่ทำก็มีคนตายเพิ่มอีก"

      "เฮ้อ ทำไมพวกเราไม่เกิดเป็นคนธรรมดาวะ"  เวลอร์ทำหน้ายุ่ง คิ้วเข้มขมวดหากันอย่างหงุดหงิด จนฟาเรสหลุดขำกับคนตัวโตที่งอแงเป็นเด็กๆ ฝ่ามือนิ่มๆ ยกขึ้นประกบสองแก้มของร่างสูง

      "ถ้าเกิดเป็นคนธรรมดา นายคงแก่ตายก่อนเจอฉันละเว" ว่าแล้วยื่นหน้าไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากหนาหนึ่งทีแล้วยิ้มให้ อีกคนยิ้มตามก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงมากอดคนพูดไว้ทั้งตัว ใบหน้าคมซุกอยู่กับไหล่บางแล้วพึมพำเบาๆ

      "นั่นสินะ"

      "เวลุกเลย จะไปอาบน้ำ" ฟาเรสบอกถึงชอบให้กอดแต่อีกคนก็ใช่ว่าตัวเล็กๆ เขาก็หนักเป็นนะ

     "อาบน้ำด้วยสิ" เวลอร์ยอมลุกออกแต่ก็ดึงแขนคนที่ยืนขึ้นไว้

     "ฝันไปเหอะ ขืนอาบด้วยกันคงไม่จบแค่อาบน้ำนะสิ" ริมฝีปากบางเบ้ใส่อย่างหมั่นไส้พลางดึงมือออกก่อนจะคว้าเอาผ้าขนหนูที่ถูกเตรียมไว้หนีเข้าห้องน้ำไป

     "หึๆ" เสียงหัวเราะเย็นๆ ตามหลังมาให้ฟาเรสได้สะดุ้ง



      ตอนเช้าลอฟมาส่งพวกเขาหน้าเหมืองแล้วช่วยเปิดประตูเหล็กบานใหญ่ที่ปิดเอาไว้ให้ คนอื่นๆ ถูกสั่งให้รออยู่ภายนอก ถึงจะมากันแบบอาวุธครบมือกำลังใจมาเต็มแต่ชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนเข้าไปข้างในคงจะเจ็บตัวเปล่าๆ ทั้งแปดเดินเข้ามาข้างในที่ส่องสว่างด้วยโคมไฟที่ติดไว้บนเพดานเหมือง ดูขนลุกชอบกลยิ่งเดินเข้าไปลึกอากาศยิ่งเย็น มีทางแยกมากมายดูเหมือนเขาวงกต หากไม่ได้แผนที่ทางเดินเหมืองที่หัวหน้าหมู่บ้านเอามาให้คงหลงกันเป็นวันแน่ๆ 

      "เฮ้!!! ลูนจะไปไหน" โอซี่ร้องตามแมวดำที่กระโดดลงจากไหล่เขาแล้วหนีหายไปอีกทาง 

      "ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็กลับมา" เวลอร์ดึงเขาไว้เมื่อทำท่าจะตามไป

      "ลูนบอกไว้หรอ" คนถูกถามพยักหน้ารับ

      เดินลึกเข้าไปซักพักก็ต้องปะทะกับพวกไวด์โซลฝูงใหญแต่ก็ไม่ได้ตึงมือมากมาย ฝ่าพวกมันเข้าไปจนถึงโถงกว้างด้านในก็พบกับรอยแยกระหว่างมิติที่เกิดขึ้นอยู๋ใจกลางห้องขนาดใหญ่กว่าที่หน้าถ้ามังกรอยู่ไม่มาก ทุกคนกระจายกำลังกัยไปรอบๆ ตัวของฟาเรสที่ยืนอยู่หน้าหลุมดำนั่นโดยมีคิเมร่าหนุ่มคอยระวังภัยอยู่ข้างกันก่อนจะเริ่มถ่ายทอดพลังเวทย์ไปยังประตูนั้น ครั้งนี้ดูเหมือนลูกครึ่งเอลฟ์จะทำได้ดี เพราะใช้เวลาไม่นานรอยแยกระหว่างมิติตรงนั้นก็หายไปในเวลาไม่ถึงห้านาที ส่วนคนอื่นๆ ก็จัดการพวกไวด์โซลที่เหลือจนตายเกลี้ยง

      "พลังนายนี่โคตรเจ๋งเลย แบบนี้จบเรื่องไวสุดๆ ถ้าเป็นแต่ก่อนพวกฉันคงต้องเฝ้าจนกว่ามันจะปิดไปเอง" ดิออนบอกพร้อมยิ้มกว้าง บีบนวดไหล่บางอย่างเอาใจแต่ก็ต้องถอยออกไปเพราะคิเมร่าหนุ่มที่ยืนข้างๆ ส่งสายตาอาฆาตมาเตือน

      เมี๊ยว!!! เสียงร้องเรียกจากเจ้าแมวที่วิ่งหายไปเมื่อก่อนหน้าดังขึ้นดึงทุกสายตาให้หันมอง โอซี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก...นี่เขาเป็นห่วงมันหรอเนี่ย คงเพราะในเหมืองทั้งมืดทั้งเย็นเกิดมันวิ่งๆ ไปเจอพวกไวด์โซล เจอสัตว์ร้าย โดนกัดโดนกิน เวลอร์คงหัวเราะเยาะ ว่าเขาไม่มีปัญหาดูแลแม้กระทั่งแมวตัวเดียว ครึ่งออคคิดเหตุผลให้ตัวเองในใจ

      "ลูนบอกว่ามีคนติดอยู่อีกทาง" เวลอร์หันมาบอกคนอื่นๆ "นำไปสิ"

       หัวเล็กๆ ก้มให้ก่อนเงยขึ้นมองคล้ายพยักหน้ารับ แล้ววิ่งนำพวกเขาไป โอซี่ชักหงุดหงิด เริ่มอิจฉาคิเมร่าข้างๆ ซะแล้วสิถ้าคุยกับเจ้มแมวนั่นรู้เรื่องบ้างคงจะดี ทั้งแปดคนวิ่งตามลูนมาจนถึงทางตัน มองดีๆ จึงเห็นว่ามันถูกหินถล่มทับไว้ แมวดำตัวจ้อยมุดเข้าไปในซอกหินพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาร้องเบาๆ บอกทุกคนที่รออยู่แล้วหายเข้าไปข้างในอีกครั้ง

       "มีคนติดอยู่ในนั้นห้าคน มีคนหนึ่งบาดเจ็บหนัก" เวลอร์สื่อสารแทนกับคนอื่นๆ

       "ถอยไปหน่อยเดี๋ยวเอาหินออกจากทางให้" โอซี่บอก แล้วครึ่งออคกับคิเมร่าหนุ่มก็ช่วยกันยกหินก้อนใหญ่ๆ ที่ปิดทางไว้ออกทีละก้อน ท่าทางสบายๆ ราวกับสิ่งที่ยกอยู่นั้นเป็นแค่ลังไม้ธรรมดา ไม่นานก้อนหินทั้งหมดก็ถูกกำจัดไปพ้นทาง เผยให้เห็นชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมทั้งห้าคนนั่งหมดแรงอยู่ด้านใน ทุกสายตามองมาทางพวกเขาอย่างดีใจ บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาดอย่างดีีใจที่รอดตาย ก็ติดอยู่ในนี้มาสามสี่วันแล้ว เสบียงก็หมดตั้งแต่สองวันแรกจนหิวโซ หน่วยพิทักษ์ทั้งสามเข้าไปพยุงชายเหล่านั้นขึ้น มาวิคเข้าไปช่วยอีกแรง ส่วนอีกคนที่บาดเจ็บเนื่องจากมีลอยบาดขนาดใหญ่ที่ต้นขาขวาถูกเวลอร์แบบขึ้นหลัง

      "แล้วลูนละ" นัยน์ตาสีเข้มกวาดมองไปรอบๆ ไม่เจอเจ้าแมวน้อย

      "ถ้าหมายถึงแมว กระผมเห็นมันวิ่งเข้าไปด้านในครับ" หนึงในคนงานเหมืองที่ถูกพยุงอยู่ตอบพลางชี้บอกทาง

      "งั้นพวกนายพาคนเจ็บออกไปก่อน ฉันขอไปตามหาไอ้ตัวซนแปบ" โอซี่หันไปบอกเพื่อนแล้วเดินไปตามทางที่คนงานเหมืองบอก เดินลึกเข้าไปจนสุดทางที่มีไฟส่องสว่างก็ยังไม่เห็น ตั้งใจจะไปหาทางใหม่แต่พอจะหันกลับไปดันได้ยินเสียงขู่ฟ่อของงูกับเสียงเล็กๆ คุ้นหูของลูน ครึ่งออคหนุ่มจึงรีบวิ่งไปตามเสียงทันที

       ฟ่อ!!! เจ้าของขนสีดำนุ่มนิ่มยืนตัวเกร็งอยู่บนหิน หางตั้งชันพร้อมแยกเขี้ยวใส่เหล่าอสรพิษเบี้องล่างที่ล้อมรอบอยู่ถึงห้าตัว โอซี่รีบวิ่งผ่าดงงูเหล่านั้นไปคว้าเจ้าแมวน้อยได้ทันพอดีกับที่งูตัวหนึ่งพุ่งหมายจะฉกเจ้าตัว ทำให้คมเขี้ยวฝังที่ท่อนแขนแกร่งแทน พิษร้ายแผ่ซ่านเข้ามาจนร้อนไปทั้งแขน

      "แม่งเอ้ย!!!" โอซี่สบถออกมาก่อนใช้อีกมือดึงงูตัวนั้นออกแล้วจับฟาดลงพื้นตายคาที่ พลางยกขาเตะตัวอื่นแล้วเหยียบซ้ำจนแหลกไปกับพื้น ก่อนจะรีบพาตัวเองออกมาจากเหมืองมืดๆ เพราะรับรู้ถึงพิษที่เริ่มกระจายไปทั่วร่าง ถ้าเป็นธรรดาคงหมดสติทันทีที่พิษเข้าสูงร่าง

      "เป็นอะไรหน้าซีดๆ" ฟาเรสถามทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนตัวโตที่ตามออกมาเป็นคนสุดท้ายพร้อมแมวน้อยในอ้อมแขน

      "งูกัด"

      "เฮ้ย!!! แล้วไม่เป็นไรหรอนั่น" เพื่อนคนอื่นร้องออกมาอย่างตกใจ

      "ไม่หรอก เดี๋ยวพิษก็จาง เพลียวะสงสัยเพราะพิษงู ขอกลับไปพักได้ไหม" โอซี่บอกเริ่มเบลอๆ ตัวร้อนเหมือนจะเป็นไข้ หน่วยพิทักษ์ทั้งสามจึงอาสาทำเรื่องส่งทางการกับจัดการที่เหลือพร้อมไล่บรรดาเด็กฝึกกลับโรงแรม พอมาถึงฟาเรสรีบกลับห้องไปรื้อกระเป๋าผสมยาจากสมุนไพรที่สกัดมาแล้วเอาไปให้เพื่อนตัวโตที่ห้อง สีหน้าอีกคนดูเพลียๆ 

      "ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม" ฟาเรสถามออกมาอย่างเป็นห่วง

      "ไม่เป็นไรกลับห้องนายไปเถอะ"

      "แต่โอซี่ เผื่อนายช๊อคตอนกลางคืนล่ะ"

      "ลูนก็อยู่ กลัวอะไร ฉันถึกจะตาย" เจ้าชายครึ่งออคบอกยิ้มๆ "ขอบคุณสำหรับยา" ว่าแล้วก็ปิดประตูห้องทันที ได้ยินเสียงตระโกนจากคนที่อยู่หน้าประตูดังตามมาว่า 

      "แมวที่ไหนดูแลคนป่วยได้วะ"



      โอซี่ยิ้มอ่อนให้เพื่อน ก่อนจะเดินเซๆ มาล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงใหญ่ ก่อนจะหันไปชี้หน้าคาดโทษเจ้าแมวดำที่กระโดดขึ้นมานั่งอยู่ข้างกาย

      "ซนจนได้เรื่อง" เสียงทุ้มว่าเบาๆ ดวงตาสีม่วงอ่อนหม่อนแสงลงราวกับรู้ตัวว่าผิด ลูนเอาหัวเล็กๆ ของมันถูกลำแขนแกร่งแล้วเลียตรงรอยกัดเบาๆ 

      "หึ...ไม่ต้องมาอ้อนเลย ง่วง...ขอนอนก่อนเถอะ ตื่นมาเจอดีแน่" ชายหนุ่มเอ่ยคาดโดดเจ้าตัวเล็กแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า งูที่กัดเขาเป็นงูเห่าทะเลทราย พิษมีฤทธิ์ต่อการเต้นของหัวใจและเม็ดเลือด แม้จะไม่มีผลรุนแรงกับสายเลือดครึ่งออคแบบเขา แต่ก็ทำให้ร่างกายร้อนจัดและเป็นไข้ หัวมันหนักๆ มึนเบลอเพียงแค่ตาปิดสติก็ล่องลอยไม่รับรู้สิ่งรอบตัวอีกเลย เพราะร่างกายอ่อนแอจึงหลับลึกทั้งที่ในยามปกติประสาทเขาจะดีเสมอจนไม่อาจรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย

       ร่างเล็กที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำอ่อนนุ่มค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ ผิวกายสีน้ำผึ้งเนียนสวย เครื่องหน้าหวาน ปากเล็กบาง จมูกเล็กแต่ก็โด่งรั้นกำลังดี ดูเข้ากับดวงตาโตๆ ที่หางตาเฉี่ยวขึ้นเล็กน้อยล้อมกรอบด้วยผมสีดำประบ่ากับ มีเพียงนัยน์ตาสีม่วงอ่อนที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าตัวคือคนๆ เดียวกันกับแมวสีดำตัวเมื่อครู่

      "ขอโทษนะ" เสียงนุ่มบอกกับคนที่หลับอยู่พร้อมกับลูบใบหน้าคมที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ หยาดเหงื่อผุดพรายทั่วกรอบหน้าอย่างรู้สึกผิด เวลอร์บอกว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจได้และจะคอยดูแลเขานับจากนี้ ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อถึงจะเป็นเพื่อนของเวลอร์ก็ตาม นอกจากลอเรนลูนไม่เคยไว้ใจใคร จนวันนี้ที่อีกคนเข้ามาช่วย ในตอนที่ถูกล้อมด้วยงูพวกนั้น 

      จริงๆ ลูนสู้พวกนั้นได้เพราะเขาเป็นคิเมร่า ในจังหวะที่ยังลังเลว่าจะคืนร่างมนุษย์หรือไม่ อีกคนกลับเข้ามาช่วยเขาไว้โดยไม่สนเลยว่าจะถูกงูพวกนั้นกัด ก็แค่แมวตัวหนึ่งจะปล่อยให้ตายไปก็ได้แต่กลับยอมเจ็บตัวเพื่อเขาเสียอย่างนั้น ไม่ว่าจะทำไปเพราะคำพูดที่ให้ไว้กับเวลอร์หรือทำไปเพราะห่วงแมวตัวน้อยๆ ลูนก็รู้สึกขอบคุณอยู่ดี

      "ขอบคุณนะ" ลูนบอกออกมาเสียงเบาก่อนจะผละออกไปหาอ่างเล็กๆ ในห้องน้ำกับผ้ามาเช็ดตัวให้คนบนเตียง จับคนตัวโตถอดเสื้อกับกางเกงออกเพราะมันเลาะเทาะเต็มทีจนเหลือแต่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว ก่อนเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิดพอหมาดซับไปตามผิวกายสีเข้มที่ดูแดงขึ้นกว่าเก่าเพราะพิษไข้ ทำอยู่แบบนั้นซ้ำๆ จนรู้สึกได้ว่าร่างกายตรงหน้าดูจะเย็นลง จึงเอาของทั้งหมดไปเก็บ 

      โอซี่ตัวสั่นน้อยๆ ไข้ทำให้รู้สึกหนาว ดวงตาสีม่วงมองกระเป๋าสัมภาระกับร่างที่เกือบเปลือยสลับกันไปมาก่อนตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างๆ แทนที่จะหาเสื้อผ้ามาใส่ให้ดึงเอาผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งร่างใหญ่และตัวเอง ความอุ่นร้อนที่รู้สึกได้กระตุ้นให้วงแขนแกร่งกอดรัดเรือนร่างบอบบางพร้อมเบียดกายเข้าหาพร้อมแนบหน้ากับเรือนผมนุ่มแล้วนิ่งไป

       "ฝันดีไอ้ยักษ์" ลูนกระซิบบอกพลางซุกหน้าเข้ากับอกแกร่ง เขาชอบกลิ่นหมอนี่จัง อยู่ด้วยแล้วรู็สึกปลอดภัย


..........................................


มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในเอสทีเรียด มนุษย์บางคนมีพลังเวทย์แฝงสามารถใช้ได้ผ่านตัวกลางที่เรียกว่าเจม น้อยมากที่จะสามารถให้พลังเวทย์บริสุทธิ์ได้

ดวอร์ฟ คนแคระขึ้นชื่อด้านการสร้างสรรค์ และเป็นผู้คิดค้นสิ่งต่างๆ เป็ฯนักประดิษฐ์ ส่วนใหญาอาศัยอยู๋ในเครวิช ดินแดนชายฝั่งทางตะวันตกของเอสทีเรียด แต่ก็มีอาศัยอยู่ในเมืองอื่นปะปนกับมนุษย์ไป

เอลฟ์ เผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุด รูปร่างสูงโปร่ง เก่งกาจด้านเวทย์มนต์ เอลฟ์ส่วนใหญ่มีพลังเวทย์ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ และฟื้นตัวได้ดี แต่พลังกำลังมากกว่ามนุษย์อยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางเหนือ และในนอธเทิร์นเรียมเองก็ปกรองโดยราชวงศ์เอลฟ์มาหลายชั่วอายุคน

ออค บางทีก็ถูกเรียกว่ายักษ์ เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังมาก ทรหดอดทนและมีพลังการฟื้นตัวดีเยี่ยม อีกทั้งยังเก่งกาจดานการรบ แม้รูปร่างหน้าตาจะดูไม่ต่างจากมนุษย์ แต่ชาวออคสูงใหญ่กว่า ซึ่งส่วนใหญ่สูงไม่ต่ำกว่า 180 cm. พบได้มากในเรดิเอนซี่อีกทั้งยังเป็ฯผู้ปกครองดินแดดตะวันออกแห่งนี้อีกด้วย

คิเมร่า เผ่าพันธุ์ที่ลึกลับที่สุดในเอสทีเรียด พบน้อยมาก เดิมทีมีถิ่นฐานอยู่ที่อินเวียโน่(ซึ่งร้างไปแล้ว)ปกครองอย่างเอกเทศ สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ได้แต่จะคงเอกลักษ์ตอนที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์ไว้ รูปร่างหน้าตาขึ้นอยู่ร่างสัตว์ของตัวเอง เช่น ถ้าเป็นกระทิง ร่างมนุษย์ก็จะบึกบึน ถ้าเป็นแมวร่างมนุษย์ก็จะตัวเล็กและบางกว่า
 แต่สำหรับเวลอร์ที่มีร่างของคิเมร่าอย่างแท้จริง(ลักษณะเป็นสัตว์ผสม) เพราะเป็นสายเลือดชั้นสูงและเก่าแก่ พบในบรรดาเชื้อพระวงศ์ของอินเวียโน่

...............................

-อธิบายคร่าวๆ เพื่อความเข้าใจในเนื้อเรื่องมากขึ้น เดี๋ยวจะพยายามอธิบายเรื่องอื่นๆ ต่อ ในตอนต่อไป

-งงตรงไหนถามได้นะค่ะ อยากให้วาดอะไรบอกได้

-ฝากเพจด้วยค่ะ https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/ (https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/)




 

 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-04-2016 21:55:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 22-04-2016 23:12:09
สนุกกกกก  :mew1: :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 23-04-2016 00:51:41
น้องแมวววววววว  :hao6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-04-2016 06:44:56
เมี้ยววว. ฟินล่วงหน้าไปแล้ว
น้องแมวน่ารัก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 23-04-2016 09:02:58
โอซี่เริ่มหลงน้องแมวน้อยแล้วล่ะสิ  :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 23-04-2016 09:42:00
อยากให้โลซี่เห็นร่างลูนที่ไม่ใช่แมวเร็วๆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 23-04-2016 10:16:36
น้องแมวววว
เช้าวันถัดไปโอซี่จะตื่นมาทันเห็นร่างคนของน้องแมวไหมน้อ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 23-04-2016 10:22:01
น้องแมวน่ารักอ่ะ ขี้อ้อนนนนน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 23-04-2016 21:10:10
 :-[ :-[ ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-04-2016 00:01:45
นั้นไง หึหึ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-04-2016 08:17:09
สนุกดี  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่18 P6 22-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 24-04-2016 22:31:26
สนุกมากๆจ้า  :pig4:

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 26-04-2016 01:25:49
บทที่ 19


     ...อืม อะไรนิ่มๆ กอดแล้วอุ่นจัง อืมผิวก็เนียน ว่าแต่ใครวะ...

     "เฮ้ย!!!" โอซี่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะจำได้ว่านอนคนเดียว แล้วเขากอดใครเหลือบมองในอ้อมแขนก็ต้องสะดุ้งออกมาเพราะมีร่างเปลือยเปล่าของใครซักคนนอนซบอยู่ ครึ่งออคหนุ่มกระพริบตาปริบๆ เผื่อจะเห็นภาพหลอน ก่อนจะผงกหัวมองในอ้อมแขนอีกครั้ง...มีก็แต่ ก้อนขนสีดำนุ่มนิ่มที่นอนทับอยู่บนอก

     "อ้าว ลูน" 

     เมี๊ยวววววว เจ้าตัวเล็กเปิดดวงตาสีม่วงอ่อนจ้องเขาตาแป๋วพร้อมขานรับ บิดขี้เกียจกลิ้งไปกลิ้งมาบนตัวเขา โอซี่ยิ้มอ่อนทิ้งหัวลงหมอน หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง นี่เขาห่างหายจากเรื่องบนเตียงมานานถึงขั้นหลอนว่าตื่นมาพร้อมคู่นอนเลยหรือไง ว่าแต่เสื้อผ้าเขาละ ทำไมเหลือแค่บ๊อกเซอร์ สงสัยร้อนจัดเมื่อคืนเลยละเมอถอดมั้ง

      แง่ววว ลูนร้องประท้วงพลางดิ้นเมื่อจู่ๆ ตัวก็ถูกอุ้มขึ้นมาจ้องตากับชายหนุ่ม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันพร้อมทำหน้าดุ 

     "เมื่อวานมีแมวซนทำฉันโดนงูกัด" คิเมร่าตัวน้อยหยุดดิ้นแทบจะทันที 

      -ขอโทษ จะไม่ทำอีก- ลูนบอกแต่อีกคนคงได้ยินเสียงแมวๆ ของตัวเอง พลางช้อนตามอง

      "ไม่ต้องมาอ้อน"

      -อย่าดุสิ- เสียงเล็กๆ ร้องแผ่วลงอย่างรู้สึกผิด

      "เห้อ" นี่ก็บ้า มาถือโทษโกรธแมวมันจะไปรู้เรื่อง ว่าแล้วก็ปล่อยเจ้าลูนลงบนฟูกนุ่มแล้วลุกจากเตียงไปอาบน้ำ เพิ่งเจ็ดโมง ซักแห้งมาตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่ยักจะเหนียวตัวเท่าไหร่แฮะ

      "หายแล้วหรอ" ฟาเรสที่นั่งอยู่ที่ชุดรับแขกด้านนอกพร้อม กาแฟและบิสกิตยามเช้าเอ่ยทักพร้อมลุกขึ้นมาจับเนื้อจับคัวผมวัดไข้ เอ่อ...หันไปดูหน้าสามีซักนิดไหมเพื่อน จะฆ่าเขาแล้ว

      "โถระดับนี้"

      "ก็นะ ได้พยาบาลดี" เวลอร์บอกพลางยักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่าง พยาบาลที่ไหนละนอนกับนอน แถมในห้องก็มีแต่แมว ไม่มีสาวๆ ซักคน

     เราออกเดินทางต่อในช่วงสาย ทำภารกิจและพักตามหมู่บ้านใกล้ๆ ฟาเรสดูใช้พลังได้คล่องแคล่วขึ้นมาก พวกเราทั้งหมดดูเหมือนหน่วยพิทักษ์จริงมากกว่าจะเป็นเด็กฝึก ส่วนเจ้าพรีมดูหงอยไปอาจเพราะคิดถึงเซียถึงแม้เข้าโรงแรมปุ๊บจะรีบโทรหากันปั๊บแต่ก็นะ ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนพื้นฐานสองคนนี้แทบไม่ได้แยกจากกันเลย ส่วนมาวิคก็ยังคงปะทะฝีปากกับไมเรคอยู่เรื่อยๆ แถมไมเรคยังดูมีความสุขที่ได้ยั่วโมโหเพื่อนเขาเสียด้วย เถียงกันไปเถียงกันมาเชื่อเถอะแม่งต้องได้กัน 

      ตลอดสามคืนมานี่โอซี่รู้สึกเหมือนได้นอนกอดใครซักคนอยู่ตลอด จะว่าฝันมันก็ทุกคืนเกินไป แถมบางครั้งตื่นเช้ามาข้าวของที่กระจัดกระจายก็มีคนเก็บให้ซะเรียบร้อย ชักเริ่มสงสัยว่าคิดไปเองหรือเรื่องจริง หรือจะมีวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรตามหลอกหลอน  เอาจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่เพราะไอ้ความรู้สึกที่ว่ากอดใครซักคนอยู่นั้นมันก็มีความสุขดี

 

      ทั้งแปดเดินทางผ่านหุบเขากลูดิโอ เพื่อไปยังหมู่บ้านนักล่าที่อยู่อีกฟาก สองข้างทางเป็นหน้าผาหินทรายสูงตระหง่านจนเกิดเงาทาบลงบนเส้นทางที่พวกเขายืนทำให้มันดูอึมครึมแม้บนฟากฟ้าแดดจะจ้าดังเช่นทุกวัน แล้วไมเรคที่นำอยู่หน้าสุดก็ยกสัญญาณมือบอกให้เราหยุด โอซี่กวาดตามองไปรอบๆ เขารับรู็ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมาทางพวกตน เสียงฝีเท้า จิตสังหาร แม้ไม่ได้ประสาทสัมผัสดีเท่าคิเมร่า แต่ด้วยระยะแค่นี้ครึ่งออคอย่างเขาก็พอรับรู้ได้ สี่สิบไม่สิ...ห้าสิบคน

     "พวกแบนดิท" โอซี่บอก สมัยเขาอยู่กับแม่มีโอกาศปะทะกับพวกนี้อยู่บ้าง เป็นกลุ่มโจรที่ออกปล้นพวกสะเบียงหรือสินค้าจากคารวานที่เดินทางในทะเลทรายแห่งนี้ 

     "โดนล้อมซะแล้ว" เวลอร์บอกด้วยท่าทางสบายๆ 

      "ทำไงดี ต้องสู้ใช่ไหม" มาวิคหันไปถามหน่วยพิทักษ์ทั้งสามคน

      "อยู่เฉยๆ ให้มันฆ่าทิ้งก็ได้นะ" ไมเรคบอกพลางยิ้มกวน

     "ฆ่านายสิ แม่ง..."

     "หึ ก่อนฉันจะตาย ลูกคุณหนูอย่างนายคงเป็นศพก่อน"

      "พอเลยทั้งคู่นั่นละ เถียงกันดีนักขอให้ได้กันแม่ง" ดิออนห้ามทัพ ใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อพวกแบนดิทเริ่มปรากฏตัวล้อมพวกเขาไว้ พวกคนซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำเล็กๆ หรือซอกหิน บางส่วนโรยตัวมาจากด้านบนบอกให้รู้ว่านี่คือถิ่นของพวกมัน

      "เอาล่ะ ทุกอย่างที่พวกแกเอามาทิ้งไว้ตรงนั้นซะ" หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงกร้าว พวกมันทุกคนต่างโพกผ้าปิดหน้าจนเห็นเพียงดวงตาที่มองมาอย่างมาดร้าย

      "พูดเหมือนเอาทุกอย่างให้ แล้วพวกแกจะปล่อยงั้นแหละ" อาเดนยิ้มเยาะ

      "หึ...ใครจะปล่อย แค่จะช่วยให้ตายสบายก็แค่นั้น เร็วๆ สิจะช่วยส่งไปโลกหน้าแบบไม่เจ็บไม่ปวด" จบคำ ธนูและหน้าไม้หลายอันที่เตรียมยิ่งก็เล็งมายังพวกเขา

      "เว เอาไงดี" ฟาเรสให้ไปถามคนตัวโตที่นั่งซ้อนหลัง หายใจไม่ทั่วท้องกับสถานการณ์ตรงหน้า เพราะว่าไม่เคยต้องสู้กับคนหมู่มากขนาดนี้

      "ฆ่าได้ไหม" เวลอร์เอ่ยถามหน่วยพิทักษ์เสียงเรียบ

      "ตามสบาย เราไม่ฆ่าพวกมันมันก็ฆ่าเรา" ไมเรคตอบ

      "ว่าไง ให้เวลาคิด สิบ...เก้า แปด.." แล้วพวกมันคนเดิมก็เริ่มนับถอยหลัง 

      โอซี่ยิ้มสนุกกับไอ้ท่าทีมั่นใจของพวกแบนดิทนั่น ลูนโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าที่ติดอยู่บนอานม้าซึ่งครึ่งออคหนุ่มหามาใส่ไว้ตอนรับเจ้านี่มาดูแลจะให้เกาะไหล่เขาไว้ก็กลัวจะตก ดวงตาสีม่วงจ้องพวกนั้นตาแป๋วก่อนจะเงยหน้ามองเขาแล้วส่งเสียงร้องอย่างหวาดๆ คิเมร่าตัวน้อยโตมากับลอเรนอยู่กันสองคนมาตั้งแต่เด็ก พอเอาตัวรอดได้บ้างตามสัณชาติญาณ แต่ไม่ได้เก่งกาจในการต่อสู้มากนักแม้ใจอยากจะช่วยก็เถอะ

       "หลบในนั้นแหละไม่ต้องออกมา" ว่าแล้วก็กดหัวเล็กๆ นั่นให้มุดเข้าไปอยู่ในกระเป๋าดังเดิม

        "สาม...สอง...หนึ่ง..."

      ฟิวว!!! ลูกธนูจำนวนมากพุ่งมาทางพวกเขา พอดีกับม่านพลังถูกสร้างขึ้นหุ้มเอาไว้ทำเอาลูกธนูทั้งหมดหยุดกลางอากาศและร่วงลงสู่พื้น พวกแบนดิทดูอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่พวกมันจะตัดสินใจจู่โจมเข้ามาพร้อมๆ กัน เกิดความชุลมุนขึ้นทันใด

       แม้ปริมาณจะต่างกันมากแต่ก็ไม่ทำให้ถึงกับเสียเปรียบอะไรมาก เมื่อทางฝั่งพวกเขาต่างก็มีฝีไม้ลายมืออยู่พอตัว แถมทุกคนยังสามาถใช้พลังเวทย์และอาวุธในมือได้อย่างคล่องแคล่ว  เวลอร์กับโอซี่ที่เหมือนจะหลุดไปอีกโลกเสียแล้ว โดยเฉพาะคิเมร่าหนุมที่ดูสนุกกับการฆ่า ที่ถึงแม้ฟาเรสจะเคยเห็นคนรักในโหมดนี้มาแล้วแต่ก็อดขนลุกไม่ได้อยู่ดี

      เมื่อทำท่าจะสู้ไม่ได้ พวกแบนดิทบางส่วนจึงพุ่งเป้าหมายไปยังม้าหมายจะชิงเอาของแล้วหนี ส่งผลให้ม้าของพวกเขาพยศใส่ สะบัดพวกโจรที่พยามจะขี่หลังออก ม้าเหล่านี้ถูกฝึกมาอย่างดีจึงไม่วิ่งหนีและกลัวตาย และถูกฝึกให้จดจำกลิ่นผู้เป็นเจ้าของหรือคนคุมบังเหียนของตัวเองมันจึงแยกออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน มีโจรคนหนึ่งโดดขึ้นหลังม้าของโอซี่ ทำให้อาชาสีดำตัวใหญ่ควบกระโดดพยายามสะบัดคนที่ไม่ใช่เจ้าของจนกระเด็นออกจากหลัง แต่ด้วยแรงที่มากของมันทำเอาร่างสีดำตัวจ้อยที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าบนหลังมันลอยหวือออกมาด้วย

       -เจ้าเหมียว- อาชาสีดำร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อนึกได้ว่ายังมีอีกชีวิตอยู่บนหลังมัน

       "เฮ้ย!!!" โอซี่ร้องลั่นมองตามแมวน้อยที่ลอยคว้างบนอากาศ หมายจะวิ่งไปรับแต่ก็สู้ติดพันจนเมื่อเขาละสายตาจากศัตรูดาบคมๆ ก็เฉือนเข้าหน้าท้องแกร่งทันใด แต่ครึ่งออคหนุ่มกับไม่สนใจเหวี่ยงโจรที่อยู่ใกล้ๆ กระเด็นไปไกลแล้วพุ่งเข้าไปรับตัวลูนไว้ได้ทันก่อนที่เจ้าแมวดำจะกระแทกพื้น...แค่คิดว่าเจ้าตัวเล็กนี้จะเป็นอะไรไปเขาก็ใจหายวาบ คงเพราะตั้งแต่ได้แมวตัวนี้มา เขากับลูนก็อยู่ด้วยกันตลอด จึงรู้สึกผูกพัน ในเมื่อรับปากว่าจะดูแลแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด

      "เป็นไรไหม" ไมเรคที่หันมาเจอเพื่อนตัวโตกลิ้งไปกับพื้นยื่นมือมาให้จับแล้วดึงขึ้น เลือดหยดลงพื้นเป็นวงกว้างบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวบาดเจ็บ

      "ขอบใจไม่เป็นไรๆ" โอซี่โบกไม้โบกมือให้ ส่วนมือใหญ่อีกข้างอุ้มแมวดำไว้ "ไกลหัวใจ"

      หน่วยพิทักษ์อยากจะถามต่อแต่เพราะยังล้อมด้วยแบนดิทมากมายจึงต้องกลับไปสนใจการต่อสู้ตรงหน้า พวกโจรบางคนบาดเจ็บสาหัส บางคนล้มตาย ส่วนพวกที่เหลือเมื่อเห็นทีว่าสู้ไม่ได้ก็หนีหายไปคนละทิศละทาง

      "นายเจ็บนี่" ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือดแดงฉานไหลซึมเสื้อสีเข้ม

      "เดี๋ยวก็หาย" แต่คนเจ็บดันยิ้มสบายๆ เอาเจ้าลูนยัดใส่กระเป๋าบนหหลังม้าแล้วดึงเอาผ้าก๊อตที่ติดมาในกระเป๋าสัมภาระพันไว้ลวกๆ "ปะ ไปต่อ รีบไปที่หมู่บ้านไวๆ ฉันจะได้ทำแผลจริงจัง" แล้วทุกคนก็กลับขึ้นหลังม้าและออกเดินทางต่อ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เลือดออกขนาดนั้นมันก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี 



       ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็พ้นจากหุบเขากลูดิโอมาถึงหมู่บ้านนักล่าซึ่งตั้งอยู่ยนโอเอซิสย่อมๆ ใจกลางหุบเขาบ้านเรือนบางส่วนจึงมีลักษณะเจาะเข้าไปในหน้าผาเป็นถ้ำ ส่วนโรงแรมที่พวกเขาเข้าพักนันอยู่ใจกลางหมู่บ้านมีเพียงสิบห้องเท่านั้น ที่นี่มีบริการอาหารสามมื้อเนื่องจากไม่มีรา้นอาหารให้บริการต้องไปกินร้านข้างนอก หมู่บ้านนี้สวยมากๆ ในความคิดของผู้มาเยือนหน้าใหม่เพราะบ้านเรือนต่างแกะสลักด้วยหินทราย ค้าขายพวกเพชรและของป่าจากสัตว์ในเขตทะเลทราย

      ถึงโรงแรมโอซี่ก็ขอตัวเข้าห้องพักและให้รูมเซอร์วิสนำอาหารมาเสริฟที่ห้อง ระหว่างนั้นก็อาบน้ำรอ 

     "คงได้แผลเป็นอีกรอย" ชายหนุ่มบ่นพลางมองรอยบาดเป็นทางยาวบนหน้าท้อง เลือดหยุดไหลแล้ว พรุ่งนี้แผลน่าจะปิดสนิท ออกมาจากห้องน้ำคว้ากางเกงขายาวมาใส่ซักพักอาหารที่สั่งก็มาส่งเขาจึงเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วฝากซักแล้วกลับมานั่งจัดการมื้อเย็นจนหมดอย่างรวดเร็ว แปรงฟันล้างหน้าแล้วพุ่งตัวลงฟูกนุ่ม เสียเลือดมากจนร่างกายเริ่มล้าเลยง่วงกว่าปกติดังนั้นหัวถึงหมอนก็หลับไปทันที



      สัมผัสชื้นปนแสบตรงหน้าท้องรบกวนให้เจ้าของร่างลืมตาตื่น แต่กลับนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เห็นเมื่อมีใครไม่รู้นั่งหมิ่นแหม่อยู่อยู่ขอบเตียงพลางก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ น้ำหนักมือที่แผ่วเบาทำให้วางใจว่าคนตรงหน้าไม่อันตราย โอซี่ข่มความตกใจตัวเองเอาไว้แล้วมองร่างบางตรงหน้าเงียบๆ แสงจันทร์ที่ลอดหน้าต่างเข้ามาตกกระทบผิวกายและใบหน้าเนียน เผยให้เห็นปากเล็กๆ ที่เม้มน้อยๆ อย่างใช้สมาธิกับงานตรงหน้า ดวงตากลมโตสีม่วงอ่อนจดจ้องไปที่บาดแผลของเขาอย่างตั้งใจ

       ...ลูน คิเมร่างั้นหรอ... แค่ได้เห็นตาคู่นั้นก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร เขาดีใจ...ทุกคืนที่คิดว่ากำลังนอนกอดใครซักคนมันไม่ใช่ฝันละเมอ เพราะใครคนนั้นมีตัวตนอยู่จริงใครคนนั้นคือเจ้าแมวน้อยที่อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

      "ลูนของโทษ โอซี่จะเจ็บมากไหมนะ" เสียงนุ่มพึมพำเบาๆ พลางทำหน้ายุ่งเรียกร้อยยิ้มกว้างของคนตัวโตที่เฝ้ามองจนอดไม่ได้ที่จะแหย่เล่น

      "ไม่เจ็บเลย" เสียงทุ้มๆ ที่ตอบมาทำเอาร่างเล็กสะดุ้งโหยงพลางมองคนที่คิดว่าหลับไปแล้วตาโต

      "เอ่อ...เฮ้ย!!!" ลูนในร่างมนุษย์ร้องลั่นก่อนจะกระโดดลงจากเตียงกลายร่างเป็นแมวอีกครั้ง

      "เดี๋ยวลูน...อย่าหนีนะ" โอซี่ลุกพรวดตาม เมื่อเจ้าตัวเล็กกระโจนข้ามหน้าต่างไปยืนบนหลังคาอย่างรวดเร็ว

      ...โอซี่เห็นเขาแล้ว ทำยังไงดี ทำยังไง ฮือ- ในขณะที่คิเมร่าตัวน้อยกำลังสับสน และขาน้อยๆ ก้าวถอยจากร่างสูงใหญ่ตรงหน้า โอซี่ก็ถอนหายใจออกมากอย่างปลงๆ 

       "อยากหนีก็หนี คราวนี้ฉันไม่ไปตามหรอกนะ ไปเลยไปให้ไกลอยากไปอยู่กับใครก็ไปไม่ต้องกลับมา" เจ้าชายแห่งเรดิเอนซี่กล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันหลังเดินหมายจะเดินกลับมาที่เตียงด้วยความหงุดหงิด

       ...ทำไมต้องหนี การที่ไม่ยอมเผยอีกร่างให้ดูเพราะไม่เชื่อใจฉันสินะ ทีเวลอร์ยังรู้ได้เลย ฉันคงจะไม่สำคัญกับนายพอ...นึกตกใจกับความคิดตัดพ้อของตัวเอง เกิดมาสิบเก้าปีไม่นึกว่าจะมีอารมณ์งี่เง่าแบบนี้เกิดขึ้น

      หมับ!!! เดินไปไม่กี่ก้าวลำแขนเล็กก็กอดเอวเข้าไว้แน่น คนกอดโถมกายเข้าใส่เขาทั้งตัว ทำเอาคนโดนกอดหยุดชะงักอย่างแปลกใจ

      "ไม่ไปแล้ว" ลูนบอกเสียงสั่น แค่ถูกบอกว่าจะไม่ตามแล้ว บอกให้ไปไหนก็ไป ถูกเอ่ยปากไล่ คิเมร่าตัวน้อยก็กลัวจนไม่กล้าก้าวเท้าออกไปไหนเลย...กลัวถูกทิ้ง กลัวไม่ได้อยู่กับโอซี่

      "ลูน" แขนเล็กถูกแกะออกจากเอว ยิ่งทำให้ร่างบางลนลานพยายามขืนตัวไว้ แต่อีกคนแรงมากกว่าจึงหลุดออกจากอ้อมแขนเขาในที่สุดแล้วหันกลับมาประจันหน้า

       "อย่าทิ้ง...ฮึก ผมขอโทษ" คนตัวเล็กละล่ำละลักบอกมองร่างสูงน้ำตาคลอ มือเล็กๆ คว้ามือใหญ่ๆ ไปกุมไว้แน่น ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันทั้งน่าสงสารและน่ารักอยู่ในที แล้วใครจะไปใจร้ายลง

       "มานี่ซิ ลูน" โอซี่นั่งลงบนเตียง อีกคนก็ก้าวตามปีนขึ้นมานั่งบนตักเหมือนทุกทีเพียงแต่คราวนี้อยู่ในร่างมนุษย์ที่เปลือยเปล่า ยกแขนโอบรอบขอเขาไว้พร้อมซุกหน้าลงกับอกกว้าง 

       ...อืม...สถานการณ์ชักล่อแหลม ตอนเป็นแมวอ้อนเก่งยังไง เป็นคนก็อ้อนเก่งอย่างนั้น...

       "โอซี่ ลูนขอโทษ" คนตัวเล็กบอกเสียงอ่อน

       "ขอโทษเรื่องอะไร หืม" ร่างสูงถามนิ่งๆ พลางกอดเอวบางนั่นไว้หลวมๆ

       "ขอโทษที่หนี"

       "แล้วไงต่อ"

       "ขอโทษที่ทำให้โอซี่เจ็บ"

       "แค่นี้..หรอ"

       "งือ...ไม่รู้แล้ว ยังโกรธลูนอยู่หรอ อย่าโกรธเลยนะ นะ" มันมาอีกแล้วไอ้แววตาอ้อนๆ แบบนั้น แพ้บอกเลยว่าเขาแพ้ ที่ตกปากรับคำไอ้เวลอร์มาก็เพราะแววตาแบบนี้นั่นแหละ

       "โกรธที่เจ้าเหมียวไม่เชื่อใจฉัน ปิดบังฉัน ไม่ยอมเผยร่างจริงให้ดู" โอซี่ก้มกระซิบที่ห้างหู น้ำเสียงนิ่งๆ เย็นๆ จนคนฟังใจหล่นวูบ ยิ่งกอดร่างสูงแน่นขึ้นไปอีก

      "ก็ลูนเป็นตัวประหลาด ป้าลอเรนบอกว่ามนุษย์จะรังเกียจลูน ถ้ารู้ว่ารู้กลายร่างได้ ก็เลย...กลัวโอซี่คิดแบบนั้น"

      "น่ารังเกียจตรงไหนขอดูซิ" โอซี่ถามพลางเชยคางเรียวให้เงยขึ้นเพื่อมองใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดๆ น่ารักโคตร

       ...ไอ้ปากเล็กๆ สีสดนั่นน่าจูบเป็นบ้า ไหนจะดวงตากลมโตสีม่วงอ่อนนั่นอีก...หืมๆ ทำไมไม่คืนร่างไวกว่านี้...

      "อย่าไล่เลยนะ ขอลูนอยู่ด้วย ให้ทำอะไรก็ได้ แต่อย่าทิ้งลูนเลยนะ" ว่าจบคนตัวเล็กก็หยัดกายขึ้นมาคลอเคลียที่ข้างแก้มลืมไปแล้วหรือไงว่าอยู่ในร่างไหน อืมมม...ชักจะเคลิ้ม ไหนจะผิวกายนุ่มนิ่มนั่นกับกลิ่นกายอ่อนๆ ร่างบางที่ยุกยิกอยู่บนตักทำให้ไอ้ที่หลับอยู่มันชักตื่น

      ...ไม่รู้ละ เจ้าแมวนี่เป็นของเขา จะไม่ปล่อยไปไหนแน่...

      "ให้ทำอะไรก็ได้ใช่ไหม" ฝ่ามือกร้านลูบไล้แผ่นหลังเนียน พลางไล้จมูกโด่งเบาๆ บนแก้มนุ่ม พร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์

      "อื้ม!!!" เสียงตอบรับทำให้ครึ่งออคหนุ่มสุดแสนจะพอใจ 

      ...แล้วจะรออะไร!!! จัดสิ...

............................

-คู่รองยาวปายยยยย ฮิ้วววว :katai5:

-วาดเล่น ไปรื้อเจอเมาส์ปากกา เลยเอามาหวดดู อิอิ ลูน อืมม คงประมาณนี้มั้ง  :ruready

(http://upic.me/i/n7/lunesmall.jpg) (http://upic.me/show/58358785)

-love ทุกคน :กอด1:

-โหวตให้เค้าหน่อยจิ ไม่เม้นก็โหวตได้นะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-04-2016 05:52:15
งื้ออออ ลูนน่ารักจัง
พี่โอจะจัดหนักแล้วง่า.  รอมานาน  :o8:

แง้ ทำไมรูปหายง่า เอาแมวตาม่วงมา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 26-04-2016 06:06:41
หลงรักลูน  :-[
โอซี่อย่าเพิ่งทำอะไรลูนเลยนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 26-04-2016 07:27:28
ลูนน่ารัก โอซี่จะรออะไร  :z1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 26-04-2016 09:09:19
อ้าว จัดแล้วรออะไร ลงสิ!
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 26-04-2016 21:10:34
โดนเสน่ห์น้องแมวใช่มั้ยยยยยยย  :impress2:  :-[  :o8:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-04-2016 21:53:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-04-2016 23:13:56
เด่วๆ เอาจิงดิ 55555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lovemongjang ที่ 27-04-2016 02:58:38
แอร๊กกกน่าร๊ากกอ่า พี่ยักษ์จับน้องเหมียวกดเลยเพ่
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 27-04-2016 08:14:19
เด๋วๆๆ โอซี่พอรู้ความจิงแล้วจะจัดเรยเรอะ!!
แต่ไม่เปนไร คนอ่านโอเค 5555555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-04-2016 08:52:07
ถ้าพี่โอซี่จะบอกว่า  ...แล้วจะรออะไร!!! จัดสิ...
ส่วนเราก็อยากจะบอกว่า   ...แล้วจะรออะไร!!! รออ่านตอนต่อไปสิ...

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 27-04-2016 12:11:41
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: love noon ที่ 27-04-2016 12:55:57
รออะไร!!! แหม ก็รู้ๆอยู่ ให้เป็ดด้วยเลย ห้ามยั่วให้อยากแล้วไม่แต่งสิ่งที่เค้ารอนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-04-2016 20:14:31
จัดไปตามคำขอ แล้วอย่าลืม ฉากหลังจาก จัดซิ รออะไร ด้วยล่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่19 P7 26-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-04-2016 19:53:23
เป็นทาสแมวไปอีกคนแล้ว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 29-04-2016 00:02:17
บทที่ 20

โอซี่คิดหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อความคิดส่วนดีกำลังตีกับส่วนร้าย ใจหนึ่งเหมือนเขากำลังล่อลวงเจ้าแมวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกใจกลับอยากครอบครองเจ้าแมวน่ารักนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนแค่รูปลักษณ์โดนใจก็ชวนขึ้นเตียงต่างคนต่างพอใจแล้วจบกันไป 

แต่นี่มันไม่ใช่เขายังต้องอยู่ร่วมกับเจ้าตัวเล็กนี้ไปอีกยาว ทั้งที่ได้มาในฐานะสัตว์เลี้ยงมองลูนเป็นแค่แมวตัวหนึ่งมาตลอด จนวันนี้เจ้าแมวดำของเขาแท้จริงคือหนุ่มน้อยน่ารัก น่าฟัด น่า... เมื่อรวมกับท่าทางที่ออดอ้อนโดยธรรมชาติของเจ้าตัวมันทำให้เขาหลงไหลได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมากพอที่จะเรียกว่ารักไหม...ก็ไม่เคยรักใครจริงจังซักทีนี่

"โอซี่..." ลูนเงยหน้าจากอกกว้าง เมื่อคนตัวโตนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แต่แขนแกร่งดันรัดตัวเขาแน่นจนเริ่มอึดอัด

"หืม...."

"กอดแน่นไปอะ อึดอัด" ได้ยินแบบนั้นร่างสูงก็ผ่อนแรง แค่โอบเอวอีกคนไว้หลวมๆ "แล้วจะให้ลูนทำอะไร ทำไมไม่บอกละ" ดวงตาสีม่วงจ้องเขาอย่างรอคอยคำขอ พลางเอียงคอน้อยๆ ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันทำลายเหตุและผลของชายหนุ่มให้หายไปแทบจะทันที เขาเลือกที่จะทำตามใจตัวเอง เรื่องวันข้างหน้าค่อยว่ากัน

"จูบฉันสิ รู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร"

"รู้สิ ลอเรนบอกว่ามันเป็นสิ่งที่เอาไว้ทำกับคนที่เรารัก" ลูนมองใบหน้าคมที่อยู่สูงกว่าอย่างครุ่นคิด เขาก็รักโอซี่นะ เพราะโอซี่ใจดี ปกป้องเขาดูแลเขา ดังนั้นเขาก็จูบโอซี่ได้สิ ว่าแล้วก็ยืดตัวขึ้นแนบริมฝีปากเล็กๆ เข้ากับริมฝีปากร้อนของร่างสูงอย่างกล้าๆ กลัว ๆ

...ตื่นเต้นจัง...คิเมร่าตัวน้อยรับรู้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนต้องยกสองมือมาลูบแก้มพลางก้มหน้างุด รู้สึกไม่กล้ามองตาอีกคนไปซะเฉยๆ

"ฮะ มันใช่จูบจริงซะที่ไหนละ เจ้าแมวบื้อ" โอซี่ยิ้มขำกับคนเขินไม่รู้ตัว ไม่ดูดดื่มไม่ร้อนแรงแบบแต่กลับรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด อย่างน้อยเขาก็แน่ใจแล้วว่าเจ้าแมวนี่พิเศษสำหรับเขา แล้วเขาจะไม่ยอมให้สิ่งพิเศษนี้ตกเป็นของใคร

"มา จะสอนให้" มือใหญ่เชยคางคนตัวเล็กให้สบตา ก่อนบรรจงจูบบนริมฝีกปากนุ่ม ขบเม้มบดคลึงเบาๆ ให้เจ้าแมวที่นั่งเกร็งเริ่มวางใจ จึงแลบลิ้นแตะตรงรอยแยกดุนดันบอกเป็นนัยน์ให้เจ้าตัวยอมเปิดปาก กลีบปากบางเปิดรับอย่างว่าง่ายให้เขาได้ลิ้มรสความหวานในโพรงปาก ลิ้นเล็กเงอะงะไม่ประสาพยายามหลีกหนีแต่กลับถูกคนมากประสบการณ์เกี่ยวกระหวัดรั้งไว้

"อืมมมม" วงแขนเรียวกอดรั้งลำคออีกคนไว้แน่น ชักจะเริ่มเคลิ้มไปกับสิ่งที่เรียกว่าจูบ ในหัวของลูนสับสนกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้รับ หัวใจเต้นเร็ว เหมือนเรี่ยวแรงหดหายไปเสียอย่างนั้น มันอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้องแต่ก็รู้สึกลอยละล่องอย่างประหลาด ...โดยรวมคือรู้สึกดี

"น่ารักเกินไปแล้วนะ" โอซี่ผละจูบ มองหน้าคนในอ้อมแขนที่ตอนนี้หายใจหอบ ริมฝีปากแดงช้ำจากการกระทำของเขาเอง ชายหนุ่มออกแรงดันร่างบางเอนราบลงบนฟูกนุ่มแล้วตามไปทาบทับ ก่อนจะกดจูบซ้ำๆ จนหนำใจเล่นเอาเจ้าแมวน้อยอ่อนระทวยขย้ำคอเสื้อเขาจนยับ เยิน

"จะ จะ ทำอะไร แฮก..." ดวงตาสีม่วงมองคนด้านบนอย่างหวาดๆ เมื่อมือกร้านลูบไล้ไปตามตัว ผิวกายเนียนนุ่มลื่นมือเสียจนต้องก้มลงไปพิสูจน์สัมผัสด้วยปาก "อ๊ะ...จั๊กจี้ อื้ออออ" ลูนร้องเบาๆ เมื่อใบหน้าคมซุกไซ้ไปตามซอกคอ ทั้บงับทั้งไซร์จนร่างกายสั่นสะท้าน "โอซี่...อาาาา จะทำอะไร...งือออออ"

"ถ้าลูนอยากอยู่กับฉัน ก็จะทำให้ลูนเป็นของฉัน เจ้าเหมี๋ยวอยากเป็นของโอซี่ไหม" โอซี่หลอกล่อ เขาไม่ต้องการฝืนใจใครเว้นแต่อีกฝ่ายจะยินยอมด้วยตัวเอง หึ...ถึงจะรู้ว่าอีกคนคงไม่เข้าใจความหมายแอบแฝงของมันก็เถอะ

 ลูนคิดตามพลางสบตาสีรัตติกาลนั่นเนิ่นนาน ลอเรนไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังด้วยสิ แต่ถ้าตอบตกลงแล้วได้อยู่กับโอซี่แค่นี้ก็พอแล้ว ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับ

"อยากสิ" จบคำก็ผงกหัวขึ้นจูบอย่างเอาใจ คิดว่าทำแบบนี้โอซี่ต้องชอบแน่ๆ เขายังชอบเลย ซึ่งอีกคนก็จูบตอบพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างถูกใจ

ใครจะด่าเขาว่าเจ้าเล่ห์ก็ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าแมวน้อยที่บิดเร่าใต้ร่างเขาน่ากินเสียขนาดนี้ เจ้าชายครึ่งออคสัมผัสเรียกเสียงครางแผ่วในทุกครั้งที่จับ ยิ่งในยามที่ยอดอกสีสวยถูกครอบครองด้วยโพรงปากดูดดุนแรงๆ สลับกันสองข้างเรียกเสียงครางหวานให้น่าฟังยิ่งขึ้น

"ฮาาาาา อ๊ะ อย่ากัด" ลูนห้ามปากคอสั่น เมื่อฟันคมๆ งับตุ่มไตสีสวยเบา เจ้าแมวน้อยปวดมวนตรงช่วงท้องโดยเฉพาะตรงส่วนกลางลำตัว "อ๊าาาาา มัน อ๊ะ...แปลกๆ" คิเมร่าตัวน้อยร้องดังในยามที่มือกร้านคว้าเอาส่วนกลางไปกอบกุมแล้วขยับรูด

"แปลก ยังไง หืมมมม" โอซี่กระซิบหยอกเย้าพลางเร่งจังหวะมือ

"ลูน อาาา ไม่รู้"

"เสียวหรอ รู้สึกดีใช่ไหม..." หัวเล็กส่ายไปมาอย่างไม่เข้าใจ โอซี่ยิ้มอ่อนคงต้องค่อยๆ สอนกันไป ว่าแล้วก็เร่งมือช่วยเจ้าแมวน้อยที่กำลังทรมานให้หลุดพ้นไปเสียที มือเรียวจิกทึ้งอกเสื้อเขายับเยินในยามที่ห้วงอารมณ์ถูกกระตุ้นจนถึงที่สุด เสียงหวานกรีดร้องออกมาพร้อมปลดปล่อยหยาดน้ำจนเลอะหน้าท้องแบบราบที่หดเกร็ง

"แฮก...เลอะเลย เสื้อโอซี่เลอะด้วย" ลูนบอกพลางหอบ รู้สึกเบาไปทั้งร่างแต่ก็เหนื่อยอย่างกับวิ่งมาอย่างยาวนาน "จบแล้วหรอ..."

"เพิ่งเริ่มต่างหากละ" ครึ่งออคตอบเสียงพร่า ทุกสิ่งทุกอย่างของคนใต้ร่างกระตุ้นเขาจนตื่นตัว ชายหนุ่มพรมจูบไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อแล้วผละออกไปปลดเปลื้องอาภรณ์ทุกชินออกจากตัว เรือนกายแข็งแกร่งที่มีแผลเป็นแต่งเต้มอยู่ประปราย มันช่างน่ามองดูสมชายชาตินักรบพึงมี ลูนมองอีกคนตาโตรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วหน้า มันน่ามองแต่ก็ไม่กล้ามองตรงๆ จนต้องดึงเอาผ้าห่มมาปิดหน้า

...เขิน เป็นบ้าเลย...

"ถ้าพึ่งเริ่ม ทำไมไม่ทำต่อละ" ถึงจะอายแต่ก็ยังถามออกมา จนคนฟังได้แต่ขำกับความซื่อของเจ้าแมวน้อย

"ครับๆ" โอซี่รับคำพลางดึงมือนิ่มขึ้นมาจูบทั้งสองข้าง มือก็เล็ก ตัวก็แค่นี้ กลัวจะรับเขาไม่ไหว 

โอซี่จับขาเรียวแยกกว้างแล้วช้อนสะโพกมนขึ้นมาเกยบนตัก โดยมีดวงตาสีม่วงอ่อนมองตามทุกอิริยาบท มือกร้านป้ายเอาสิ่งที่เจ้าตัวพึ่งปลดปล่อยมาใช้เป็นสารหล่อลื่น เขาค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปในกลีบเนื้อที่ปิดสนิท

"อื้อ...เจ็บ" ลูนผงกหัวขึ้นดูอย่างตระหนกพลางพยายามดึงมืออีกคนออกเพราะรู้สึกแสบตรงส่วนล่าง 

"ไม่เกร็งนะครับ เดี๋ยวดีเอง" เสียงทุ้มกระซิบบอกใช้อีกมือกอบกุมส่วนกลางที่สงบไปแล้วของอีกคนปลุกเร้าขึ้นมาใหม่ เมื่อร่างกายจดจ่อกับความรู้สึกด้านหน้าทำให้ความเจ็บแสบเริ่มบางเบาแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวกระสันแล่นผ่านไปทั่วร่างในยามที่นิ้วนั้นขยับคว้านอยู่ภายใน 

"อ๊าาาา โอซี่....ฮาาาา" ลูนส่งเสียงครางแผ่วไม่ขาดปากจนลืมทักท้วงกับจำนวนนิ้วที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ดวงตาสีม่วงอ่อนช้อนมองคนด้านบนอย่างออดอ้อนยิ่งได้เห็นใบหน้าคมกับแผ่นอกกว้างที่เขาชอบซบยิ่งมีอารมณ์เสียจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป มือเล็กปะป่ายลูบไล้ไปทั่วลำตัวหนา ก่อนจะคว้าท่อนลำใหญ่กอบกำไว้สองมือแล้วรูดรั้งแบบที่อีกคนทำให้บ้าง

"ซี๊ด ซนนะเรา" ร่างสูงหลุดครางเมื่อถูกมือนิ่มสำผัสกลางกาย

...โอซี่หุ่นดีจัง...ลูนคิด เผลอแลบเลียริมฝีปากบาง พลางสบลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้ม บอกกล่าวความต้องการอย่างปิดไม่มิด มันช่างน่ารักและยั่วยวนจนเขาไม่อาจห้ามตัวเองอีกต่อไป

...เย็นไม่ไหวแล้วฮึ่ย!!!...

"เอาจริงแล้วนะเจ้าเหมี๋ยว" มือที่ปรนเปรอทั้งหน้าและหลังหยุดชะงักแล้วจากไปให้อารมณ์ค้างกันดื้อๆ งงได้ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยท่อนเอ็นร้อนที่ดุนดันเข้ามา "ซี๊ดดดด แน่นชิบ" โอซี่กัดฟัดกรอดเมื่อกลีบเนื้อรัดส่วนปลายที่เข้าไปเกือบครึ่งของเขาแน่นจนปวด

"จะ...เจ็บ ลูนเจ็บ ฮืออออ" คนข้างใต้ผวากอดลำคอร่างสูงแน่น เสียงนุ่มสะอื้นไห้เมื่อตัวตนอีกฝ่ายสร้างความเจ็บร้าวราวกับร่างจะแยก

"ไหวไหม ให้หยุดไหม"  อยากก็อยากแต่สงสารมากกว่า

"ไม่เอา อย่าหยุด" ลูนส่ายหัวปฏิเสธ พลางช้อนตามองใบหน้าคมที่ตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นอย่างทรมาณไม่แพ้กัน "โอซี่..."

"ครับ..."

"โอซี่ ก็เจ็บ ฮึก...เหมือนกันหรอ" คิเมร่าตัวน้อยเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงพลางยกมือสั่นไปแตะตรงหว่างคิ้วที่ขมวดกันยุ่งแล้วฝืนยิ้มให้จนอีกคนต้องยิ้มตาม ชายหนุ่มดึงฝ่ามือนุ่มนิ่มนั่นมาทาบที่แผ่นอกกว้างของตนแล้วมองตาร่างบางอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีเข้มที่หางตาตกเล็กน้อยดูอบอุ่นอ่อนโยน "ไม่เจ็บเท่าลูนหรอก รู้สึกดีมากกว่า ตื่นเต้นมากๆ ด้วย"

ตึก ตึก ตึก ก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจเต้นแรงจนมือที่ทาบอยู่รู้สึกได้ ลูนยิ้มออกมาดวงตาคู่สวยเป็นประกาย

"ลูนก็ตื่นเต้นเหมือนกัน" ว่าแล้วก็ใช้มือข้างที่ว่างดึงมือใหญ่อีกข้างมาวางทาบไว้บนอก "ทำต่อสิ แค่โอซี่รู้สึกดีก็พอแล้ว"

...อ๊ากกกก น่ารัก น่ารัก...เจ้าชายครึ่งออคตะโกนก้องในใจ ขนาดเพิ่งเจอลูนในร่างนี้แค่วันเดียวก็หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้วเนี่ย ถ้าจะบอกว่ารักตอนนี้ไวไปไหม อดไม่ไหวที่จะก้มลงไปมอบจูบแสนหวานให้คนน่ารักเป็นรางวัล

"อื้อออ ฮึก" โอซี่อาศัยจังหวะที่เจ้าแมวของเขากำลังเคลิ้มดันแท่งเนื้อร้อนเข้าไปทีเดียวจนสุด จนคนใต้ร่างแทบจะกรี๊ดร้องแต่ก็โดนริมฝีปากหนาปิดเอาไว้จึงได้แต่คางอื้ออึงในลำคอพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ ลูนโอบกอดคนด้านบนแน่นจิกข่วนไหล่หนาอย่างระบายอารมณ์

"ลูนเป็นของฉันแล้วนะ" เสียงทุ้มกระซิบชิดใบหู ถึงมันจะเจ็บร้าวทั้งอึดอัดทั้งจุกแต่เสียงทุ้มที่บอกกล่าวกับทำให้ลูนรู้สึกดีใจจนไม่อยากจะสนใจสิ่งเหล่านั้น

"โอซี่ก็เป็นของลูน...เหมือนกัน" เสียงสั่นเอ่ยเอาแต่ใจคนเจ้าของชื่อต้องก้มลงพรมจูบทั่วใบหน้านั้นอย่างอดไม่ได้ เรือนกายสีน้ำผึ้งงดงามสัมผผัสเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ภายในตอดรัดแแนบแน่นมันร้อนผ่าวจนอุ่นไปถึงใจ

"ฮ๊ะ....อ๊าาาา โอซี่  อาาาาา" โอซี่ขยับกายเข้าออกช้าๆ ท่อนเนื้อร้อนถูกดึงจนเกือบหลุดแล้วกดไปจนมิดลำสลับกับหมุนคว้านหาจุดกระสันของเจ้าแมวน้อย เขาพยายามใจเย็นแม้อยากจะกระแทกใส่แรงๆ แทบตาย อยากให้อีกคนมีความสุขไปพร้อมกัน

"อ๊ะ ซี๊ดดด ...มัน ฮึก งื้ออออ" เสียงเล็กหวีดร้องยามที่แก่นกายร้อนแตะต้องจุดกระสัน ร่างเล็กสะดุ้งทุกครั้งยามที่จุดไวต่อสัมผัสนั้นถูกกระแทกย้ำ รู้สึกเหมือนมีนกระแสประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

"อืมม  ชอบไหมเจ้าเหมี๋ยว" เสียงทุ้มแตกพร่า เมื่อคนใต้ร่างมัวเมาไปกับรสสัมผัส ร่างสูงจึงเร่งจังหวะกระแทกกระทั้นแรงๆ ให้สมอยาก จนร่างบอบบางโยกคลอน 

"อ๊าาาา ซี๊ดดด อาห์...ชอบ...ฮือออ ร้อนน" ความรู้สึกหลากหลายจู่โจมเล่นเอาลูนหัวหมุน ทั้งทรมานทั้งสุขสม ชอบเสียงครางต่ำของโอซี่ ชอบสายตาที่มองมาอย่างกับต้องมนต์ ชอบมือร้อนที่สัมผัสไปทั่วร่างก่อนจะสอดประสานกับมือเล็กทั้งสองข้างกดลงบนเตียงนุ่มแล้วกำแน่น เหมือนยืนยันว่าจะไม่ปล่อยไปไหน 

สองร่างที่สอดประสาน เสียงครางดังระงมด้วยความรัญจวนคลอไปกลับเสียงกระทบเนื้อเสียงชื้นแฉะและเสียงโยกคลอนของเตียงใหญ่ ทะเลทรายในยามค่ำคืนช่างหนาวเย็นผิดกับภายในห้องที่ร้อนระอุไปด้วยแรงอารมณ์ที่หลอมละลายเป็นหยาดน้ำขุ่น คิเมร่าตัวน้อยปลดปล่อยจนเลอะไปทั่วแผ่นท้อง ส่วนเจ้าชายครึ่งออคหลั่งทุกความปราถนาเข้าไปในช่องทางร้อนที่ตอดถี่จนเจ้าแมวน้อยรู้สึกอุ่นวาบเต็มตื้นอยู่ภายใน

บทรักแรกจบไป ยังไม่ทันที่สติของลูนจะกลับเข้าที่ทาง ร่างบางก็ถูกพลิกกายขึ้นนั่งคร่อมแล้วบทที่สองก็เริ่มขึ้น ลูนออกแรงขย่มลงบนท่อนเนื้อร้อนที่ชูชันด้วยขาที่สั่นระริกโดยมีคนใต้ร่างคอยเด้งเอวสวนเข้าจังหวะอย่างรู้ดี ลูนเหมือนจะไม่ไหวหมดแรงล้มไปได้ทุกเมื่อหากแต่มือใหญ่ทั้งสองก็คอยประคองสะโพกมนเอาไว้ให้ขยับโยกจนถึงปลายทาง บทรักต่อมาโอซี่รับหน้าที่บรรเลงเอง ทุกประสบการณ์ที่มีถูกงัดมาปรนเปรอให้ได้สะอื้นครางไม่ขาดสาย เขาอยากให้เจ้าแมวน้อยของเขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างแค่เขาเท่านั้น เป็นของเขาทั้งกายทั้งใจ

"อ๊าาา ซี๊ดดด ไม่ไหว ลูน ฮะ อ๊ะะ ไม่ไหวแล้ว" เสียงหวานครางสั่น ร่างกายหยัดเกร็ง ปลายเท้าจิกกับฟูกนุ่มในขณะที่สองแขนกอดกายร่างหนาเอาไว้แน่น

"อืมมมม อีกนิด" โอซี่ครางต่ำ พลางขบกัดลำคอที่เต็มไปด้วยรอยจูบของเขาเอง รู้สึกเสียวซ่านไปทั้งร่างในยามที่ผนังเนื้อนุ่มตอดรัดแน่น ดี...มันรู้สึกดีจนแทบคลั่ง สองมือช้อนกอดร่างบางไว้แน่นแล้วบดเบียดเอวหนาซอยถี่ ทั้งรัวทั้งแรงจนเจ้าแมวน้อยของเขาต้องกรีดร้องออกมาเมื่อถึงจุดประทุ ภายในรัดจนสอดใส่เพียงไม่กี่ครั้งก็ต้องปลดปล่อยตามไปด้วยคน

"แฮกกก...เหนื่อยจัง" เรียวแขนตกลงข้างตัวอย่างอ่อนล้า แผ่นอกแบนกระเพื่อมจากการหอบหายใจ ส่วนคนตัวใหญ่ถอดถอนแก่นกายออกจนทุกสิ่งจากภายในไหลเลอะไปทั่วง่ามขาลามไปยังที่นอน คิเมร่าตัวน้อยนอนหมดแรงอยู่ตรงหน้า เขามองผลงานแล้วยิ้มอย่างพอใจเพราะรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่พึ่งผ่าน ไม่ใช่แค่สุขกายแต่เขาสุขไปถึงหัวใจ ถึงเจ้าแมวของเขาจะซื่อแต่เรื่องความร้อนแรงนี่ช่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ อยากจะทำต่อให้หนำใจแต่ก็ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับครั้งแรก

"ล้างตัวซักหน่อยนะจะได้หลับสบาย" โอซี่บอกพลางก้มลงจุ๊บริมฝีปากแดงช้ำไปที เขาช้อนอุ้มคิเมร่าตัวน้อยไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วพากลับมานอนที่เตียงโดยไม่ลืมดึงผ้าปูที่นอนที่ยับเยินจากสมรภูมิร้อนออกให้พ้นทาง

เจ้าชายแห่งเรดิเอนซี่เอนกายพิงหัวเตียงโดยมีร่างบางนอนเกยอยู่ด้านบน  ลูนซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง กลิ่นกายที่เขาชอบอยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยกับมือใหญ่ที่ลูบหลังเนียนเบาๆ กล่อมเจ้าแมวน้อยที่เหนื่อยอ่อนให้สติเริ่มหลุดลอยจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่

"รักนะ เจ้าเหมี๋ยวของฉัน" โอซี่บอกพลางก้มมองคนตัวเล็กในอ้อมกอดอย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าเร็วไปไหมกับความรู้สึกนี้ ก็แค่พูดแบบที่ใจคิดเท่านั้นเอง

"อืมมม รักเหมือนกัน" เจ้าแมวน้อยงัวเงียตอบ ชายหนุ่มได้ยินถึงกับส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ที่บอกนี่เข้าใจความหมายมันไหมนะ เขานึกสงสัยแต่ริมฝีปากกลับยิ้มกว้างเสียอย่างนั้น

"ไว้รู้ความหมายของมันเมื่อไหร่ค่อยบอกก็ได้ เจ้าแมวซื่อ" เขาสุขใจเป็นบ้า นี่สินะความรักที่เฝ้ามองเวลอร์กับฟาเรสมาตลอด  มันดีแบบนี้นี่เอง
 


ก๊อก ก๊อก ก๊อก โอซี่ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องข้างกันในยามเช้า รอไม่นานก็ได้ยินเสียงกุกกักก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกโดยคิเมร่าหนุ่มเจ้าของห้องที่ตอนนี้อยู่ในสภาพกางเกงนอนตัวเดียว ถึงหัวมันจะยุ่งแต่ไอ้เพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้ดูดีน้อยลง
 
"ไงเพื่อน"

"ใครมาอะ" เสียงฟาเรสถามดังจากในห้อง

"โอซี่" เวลอร์ตอบพร้อมเอี้ยวตัวหลบหมอนใบโตที่ถูกเขวี้ยงมาทางประตู ทำให้มันโดนหน้าครึ่งออคหนุ่มเต็มๆ ไม่เจ็บแต่งง

"เพราะนายเลยโอซี่...ฮึ่ยยยย ทำฉันซวย" ฟาเรสที่นั่งอยู่บนเตียงชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง มีผ้าห่มคลุมร่างไว้แต่ก็ร่นลงมาเล็กน้อยจนเห็นไหล่บางข้างซ้ายและลำคอขาวที่ถ้าสังเกตุดีๆ คงเห็นรอยแดงอยู่ปะปาย

"นอนไม่พอเลยงอแงนะ" เวลอร์ยิ้มร้าย นัยน์ตาสีอำพันพราวระยับพร้อมเอี้ยวตัวหลบหมอนอีกใบจนโดนหน้าผู้มาเยือนอีกรอบ 

"โทษทีเมื่อคืนเสียงดังไปหน่อย"

"มีอะไร"

"จะมาขอยืมชุดฟาเรสไปให้ลูนนะ ของฉันใหญ่เกินใส่ไม่ได้" โอซี่บอก เขาว่าจะพาเจ้าแมวออกไปหาซื้อเสื้อผ้าของตัวเองในเมืองวันนี้ ครั้นจะให้ใส่ของเข้า ไอ้เสื้อนะไม่เท่าไหร่ แต่กางเกงนี่ใส่ไม่ได้เลย ฟาเรสถึงจะสูงกว่าเจ้าแมวของเขาอยู่มากแต่ก็ตัวบางพอๆ กัน

"ในกระเป๋าสีน้ำตาล ด้านซ้ายชุดสีครีมกับสีน้ำเงิน" ฟาเรสชี้นิ้วสั่งให้คนรักรื้อของในกระเป๋า ซึ่งอีกคนก็ทำตามอย่างว่าง่าย หมดกันอดีตราชาคิเมร่าผู้ยิ่งใหญ่...เฮ้อ

"อ๊ะ..." เวลอร์ยื่นชุดมาให้สองชุด

"ขอบใจสำหรับเสื้อผ้า..." โอซี่ยิ้มพลางรับของมาถือไว้ "แล้วก็ขอบคุณ...เรื่องลูน"

"หึๆ ก็บอกแล้ว..." 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 29-04-2016 00:18:16
น้องแมวใสซื่อมากกก  :mew3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2016 01:18:17
เรียบร้อยโรงเรียนโอซี่
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 29-04-2016 02:33:44
 :mew1: ได้ทาสแมวเพิ่มอีกหนึ่ง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-04-2016 06:12:58
ต้องโทษผนังห้องที่มันบางสินะน้องฟา
ว่าแต่เหมียวลูนแก่กว่าแต่ใสมากๆโอ๊นย่าฟัดที่สุด
พี่ยักษ์โอจะคึกไปไหนเนี่ย ครั้งแรกจัดยาวทั้งคืน. แมวน้อยระบมแล้วมั้ง
ไม่ยอมให้กลับร่างแมวแล้วนะ. อิอิ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-04-2016 07:01:24
โอได้กินน้องลูนแถมยังพาน้องฟาถูกกินไปด้วย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: love noon ที่ 29-04-2016 10:05:27
วร้าย แมวโดนกิน
ตายอย่างสงบ
 :jul1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 29-04-2016 17:29:23
โดนกินล้าววววววว >\\\\\\<
อยากอ่านตอนหน้า ว่าน้องเหมียวตื่นมาจะเปนยังไง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 29-04-2016 18:07:26
ลูนน่ารัก   :impress2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-04-2016 21:25:08
เส้ดจนได้
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-04-2016 22:11:17
 :m25: แมวน้อยโดนกินซะละ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่20 P7 29-4-2016
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-04-2016 22:14:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 04-05-2016 15:13:51
บทที่ 21
[/b]

      "น่ะ...นี่ ลูนหรอ" ฟาเรสมองแขกผู้มาเยือนตาโต 

      "ใช่แล้วลูนเอง" ลูนว่าพลางเดินเป๋ๆ ไปนั่งข้างฟาเรสบนเตียงโดยมีตัวต้นเหตุมองตามทุกย่างก้าว ถึงสภาพร่างจะดีกว่าฟาเรสเพราะเป็นคิเมร่าฟื้นตัวไวแต่ก็ไม่วายระบมอยู่ดี แถมเมื่อเช้าที่ตื่นมายังมีไข้ต่ำๆ อีก

      "งือ ลูนน่ารักจัง" ฟาเรสชมพลางดึงแก้มเจ้าแมวอย่างถูกใจแต่ก็ต้องชะงักแล้วเอามือแตะหน้าผากดู ก่อนหันมามองโอซี่ดุๆ "ทำไมไม่ให้ลูนนอนพักฮะ เนี่ยตัวรุมๆ ด้วย พวกนายนี่แม่ง"

      "หึๆ แม่งอะไรครับ" เวลอร์ยิ้มร้ายพลางยักคิ้วให้อย่างยียวน

      "หื่นกาม...◙↕§◄{§|—◘♫o%€....." ร่างโปร่งบ่นเบาๆพลางมองคนรักอย่างเคียดแค้น

     "ไม่เป็นไรหรอกฟาเรสเดี๋ยวลูนก็หาย" บอกพลางยิ้มกว้างเป็นการยืนยัน ถึงเมื่อเช้าแทบคลานลงเตียงก็เถอะ 

      "เรียกฟาร์เฉยๆ ก็ได้ เอ่อ มีอะไรหรอ" ครึ่งเอลฟ์ตอบเสียงใส แต่ก็ต้องถามออกไปเมื่อดวงตาสีม่วงจ้องเขาไม่เลิก

     "ทำไมตรงคอมีรอยแดงๆ เหมือนของลูนเลย เมื่อคืนเวลอร์ก็ทำให้ฟาร์เป็นของเวลอร์หรอ" แล้วเจ้าแมวดำถามเสียงซื่อ แค่คิดถึงเรื่องเมื่อคืนใบหน้าลูนก็เห่อร้อนขึ้นทันใด 
 
     "บะ บ้า....ถามอะไรนะ" คนถูกถามก็หน้าแดงไม่ต่างกัน "แต่ก็ อืมมม ก็แบบนั้นแหละ"

     "หึๆ นายสอนแบบนั้นหรอ" เวลอร์ถาม

     "ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนิ" โอซี่ยักไหล่

     "อืมลูนเข้าใจ แต่ลูนเป็นของโอซี่แล้ว ก็ไม่ต้องทำอีกแล้วใช่ไหมละ" คิเมร่าตัวน้อยยิ้มบางๆ พลางตบไหล่คนข้างๆ "ฟาเรสก็เป็นของเวลอร์แล้วก็ไม่ต้องทำอีกไง"

     "ใช่ๆ ถูกต้องเลยลูน" นัยน์ตาสีครามพราวระยับ "ได้ไปแล้วก็ไม่ต้องมาเอาอีก ครั้งเดียวก็พอ" เสียงนุ่มเน้นชัดถ้อยชัดคำพลางปรายตามองสองหนุ่ม

"เฮ้ย!!! ไม่ใช่แล้ว" แล้วสองคนก็รีบประท้วงออกมาพร้อมกัน

     แต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้คนอื่นๆ ก็มารวมกันที่ห้อง ผู้ชายตัวโตๆ ทำให้ห้องพักดูแคบลงทันตา ไม่ว่าใครเห็นลูนครั้งแรกก็ตกใจเหมือนกันแต่ไม่นานก็เข้ากันได้ แถมทั้งมาวิคทั้งฟาเรสยังชอบเสี้ยมอะไรแปลกให้เจ้าตัวอีกต่างหาก ทำเอาโอซี่ถึงกับกุมขมับเพราะเจ้าแมวของเขาก็แสนซื่อเชื่อไปซะทุกอย่าง ทั้งที่อายุปีนี้ก็ยี่สิบห้าไปแล้ว(ถามเจ้าตัวมา) นอกจากซื่อแล้วยังตรงอีก เขาถามอะไรมาก็ตอบหมด ถามเรื่องเมื่อคืนยังตอบ ตอบทั้งๆ ที่เขินจะตายนั่นละ

    "เนี่ยรู้ไหม ที่ลูนทำกับโอซี่เมื่อคืนนะ เขาเรียกว่าเซ็กส์ เรียก เมคเลิฟก็ได้" มาวิคอธิบาย ลูนพยักหน้ารับ

    "เข้าใจแล้ว ลอเรนบอกไว้ทำกับคนรัก"

    "จริงๆ ทำกับคนที่ไม่รักก็ได้นะ แบบไว้ระบายอารมณ์ คลายเครียดอะไรประมาณนี้" มาวิคบอกต่อยิ้มๆ พลางยักคิ้วใส่เพื่อนตัวโตที่ทำหน้าดุใส่

    "เอ๋ ทำได้ด้วยหรอ ฟาร์เคยทำกับคนอื่นไหม" แล้วก็หันไปถามเพื่อนร่วมอุดมการณ์หน้าซื่อ

   ...แล้วโยนมาทางนี้ทำม้ายยยยย...

    "เอ่อ..." ว่าแล้วก็เหลือบไปมองเวลอร์อย่างหวาด ดวงตาสีอำพันจ้องเขม็งมาอย่างคาดคั้น...เหอๆ ตาดุเชียว "แต่ก่อนเคย แต่ตอนนี้มีคนเดียว แหะๆ" แล้วจะแหะๆ...ทำไมวะ ไม่ได้กลัวนะแค่เกรงใจ

    "งืมงั้นลูนจะไปลองมั่ง"

    "ไม่ได้" โอซี่ร้องเสียงหลงพลางถลาไปคว้าเจ้าแมวมากอดไว้บนตัก

    "ทีนายยังเคยเลยเพื่อน เห็นก่อนมานี่เปลี่ยนตลอดไม่เคยซ้ำ" มาวิคเผาเพื่อนต่อพลางยิ้มร้าย คิเมร่าตัวน้อยในตักขวับมามองเขาตาโต...ลูนรู้สึกไม่พอใจเลยแฮะ ก็โอซี่เป็นของลูนแล้วนี่

    "มาวิค...ไอ้เพื่อนเวร" เจ้าชายครึ่งออคบ่นพลางคว้าเอาของใกล้ๆ ปาใส่เพื่อนตัวดีซึ่งมันก็หลบพลางยิ้มกวน "แต่ต่อจากนี้ก็มีลูนคนเดียวไง" แล้วหันมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเอาใจเจ้าแมวบนตัก จนพรีมอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้

    "แน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีคนอื่นเมื่อไหร่ลูนก็จะมีมั่ง" ลูนบอกเสียงห้วนพลางกอดคนตัวโตแน่นกลัวใครมาแย่งไป เรียกเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูของคนทั้งห้อง

    "เข้าเรื่องเหอะ ออกทะเลไปไกลแล้ว" พรีมบอก

    "จากนี้คงไม่ต้องทำภารกิจอะไรอีก เพราะงานล่าสุดที่หมู่บ้านนักล่าแจ้งไปก็คือพวกแบนดิทพวกนั้นที่คอยปล้นพ่อค้าที่เดินทางเข้าออกหมู่บ้าน จริงๆ หมู่บ้านแห่งนี้มีเรือเหาะ แต่จะมาเพียงเดือนละสองสามครั้งสำหรับขนส่งสินค้าซึ่งหากเป็นช่วงที่มีพายุทรายก็จะหยุดไป เลยต้องเดินทางด้วยม้าหรืออูฐกัน เราจะมุ่งหน้าไปที่ดินแดนร้างเลยน่าจะใช้เวลาอีกไม่เกินสองคืนถึงระยะทางไม่ไกลแต่ก็เป็นหุบเขาเส้นทางค่อนข้างลำบาก จากนี่ไปจนถึงดินแดนร้างคงไม่มีหมู่บ้านให้พัก มีก็แต่พวกเร่ร่อนกับพวกโจรอันนี้คงไม่น่าห่วง เพราะดูฝีไม้ลายมือพวกนายแล้วมาเป็นร้อยคงสู้ได้สบาย" ดิออนว่า "แล้วพวกนายจะหาพวกอนเวียโนเจอได้ยังไง"

    "ลูนรู้ว่าทางเข้าอยู่ไหน ถ้าเข้าไปใกล้ๆ แถวนั้น ลอเรนบอกว่าพลังของลูนจะทำให้มองเห็นสัญลักษณ์ที่นำไปสู่ทางเข้า" คิเมร่าตัวน้อยบอก แมวคือสัตว์ที่มีพลังแห่งการหยังรู้ลอเรนบอกไว้แบบนั้น มักจะเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเองก็ถูกสอนให้อ่านสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งลอเลนบอกว่าซํกวันหนึ่งสิ่งพวกนี้จะนำทางเขาไปหาชาวอินเวียโนคนอื่นๆ

    "อืม เพราะอย่างนี้สินะ ท่านแม่เฒ่าเลยบอกให้พาลูนมาด้วย" โอซี่พยักหน้าเข้าใจ คิเมร่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีความสามรถหลากหลายในตัวเองนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในเอสทีเรียด

    "งั้นอะไรๆ คงง่ายขึ้น" ไมเรคว่า

    "เดี๋ยวฉันกับพี่จะไปขอซื้อม้าซักตัวเพื่อแบกข้าวของกับเสบียงสำหรับการเดินทาง เพราะเราเองก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เมืองที่เวบอกมันอยู่ไหน คงต้องตามหาทางเข้ากันก่อน" อาเดนเสนอ "วันนี้ก็ถือว่าพักซักวัน ใจกลางหมู่บ้านมีตลาดนะ จะไปเดินเล่นกันก็ได้ เป็นหน่วยพิทักษ์ได้เงินเยอะแต่ไม่มีเวลาใช้เฮ้อ"

    "แต่ตอนนี้โคตรหิว" พรีมบ่น "ก่อนไปร่อนไปหาอะไรใส่ท้องก่อนเถอะ" 

     แล้วทั้งหมดก็คนขโยงกันมายังร้านอาหารข้างๆ โรงแรมที่พัก ซึ่งคนที่นี่ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเพราะรู้ข่าวว่าพวกเขาช่วยจัดการพวกแบนดิทให้ หลังจากที่ต้องติดอยู่ในหมู่บ้านกันมาทั้งเดือน ไม่กล้าเดินทางเข้าออกเพราะกลัวถูกปล้นฆ่า มื้อนั้นเลยสบายกินกันจนอิ่มหนำสำราญก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเดินเล่นในตลาดกลางหมู่บ้าน

 

    หมู่บ้านนักล่าเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ กึ่งๆ จะเป็นเมืองท่าเพราะมีท่าเรือเหาะแม้จะเข้ามาเดือนละไม่กี่ครั้งก็ตาม จึงมีพวกชนเผ่าเร่ร่อนนำของป่า หรือของทำมือมาขายกันทำให้บรรยากาศครึกครื้นและค่อนข้างเจริญเมื่อเทียบกับหมู่บ้านอื่นในแถบนี้ ฟาเรสกับลูนเดินจูงมือดูโน่นดูนี่กันไปโดยมีผู้ปกครอง(?) เดินตามหลังพลางส่งสายตาข่มขู่ใครก็ตามที่มองคนของพวกเขามากจนเกินควร แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะทั้งคู่ก็ดูเด่นเสียเลยเกินโดยเฉาะฟาเรสเพราะรูปร่างโปร่งบางผิวขาวจัดตามแบบฉบับของชาวเอลฟ์ทำให้เจ้าตัวดูมีออร่าท่ามกลางชนพื้นเมืองที่รายรอบจึงไม่แปลกที่ตกเป็นเป้าสายตา

     "เอาตัวนี้เป็นไง" ฟาเรสว่าพลางหยิบเสื้อสีน้ำตาลอ่อนมาทาบบนร่างบางข้างๆ กัน เพราะอยู่ในร่างแมวมาตลอดลูนจึงไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยเลยซักชุด

    "อืมมม เรียบๆ แต่ผ้านิ่มดี" ลูนบอก

    "ตัวนี้ก็ดีนะ ปักลายตรงแขนเสื้อด้วย" แล้วก็เอาอีกตัวยื่นให้

    "โอซี่ชอบตัวไหน" ลูนหันมาถามคนตัวโตที่ดูอยู่ โอซี่ทำท่าครุ่นคิด ไม่เคยเลือกอะไรแบบนี้ด้วยสิ แต่คนตรงหน้าใส่อะไรก็น่ามองหมดแหละ จะบอกว่าชอบแบบไม่ใส่จะโดนถีบไหม

    "เลิกทำหน้าหื่นซักทีเหอะ" ฟาเรสแขวะ ส่วนลูนมองเขาตาแป๋วอย่างรอคำตอบ

    "ชอบทั้งสองตัวเลย ใส่อะไรก็น่ารักอยู่แล้ว"

    "อืม โอซี่ชอบลูนก็ชอบ" คิเมร่าตัวน้อยยิ้มกว้าง 

    "เอาหลายๆ ชุดก็ได้นะ"

    "งั้นมาช่วยลูนเลือกหน่อย" ว่าแล้วก็ดึงมือคนตัวโตมายืนข้างๆ ฟาเรสเห็นแบบนั้นเลยดึงมือเวลอร์เดินแยกออกมาอีกทาง



    ดวงตาคู่สวยมองไปรอบๆ อย่างสนใจจนไปเจอที่ขายเครื่องประดับมากมาย บ้างเป็นเพชรพลอยทีบ้างเป็นคริสตัลหลากหลายขนาดที่ถูกเจียระไนไว้อย่างดีหรือแม้แต่หินสีที่นำมาทำเป็นลูกปัด ใส่เครื่องประดับที่ถักด้วยเส้นหนัง หินสีเขียวอ่อนกับสีส้มชวนให้นึกถึงคนที่รักซึ่งไม่ได้เจอมาแสนนาน

    "ออรี่ชอบสีเขียว ส่วนออร่าชอบสีส้ม" ฟาเรสว่าพลางหยิบกำไลแขนที่ถักด้วยเส้นหนังแซมด้วยหินสองสีขึ้นมาดูพลางยิ้มฝืน แว่วเสียงเจื้อยแจ้วของสองแฝดดังก้องอยู่ในหัวราวกับน้องสาวทั้งสองวิ่งวนอยู่รอบตัว

    ...คิดถึงจัง...

    "เส้นนี้เท่าไหร่ครับ" เวลอร์คว้ากำเส้นนั้นมาถือไว้เอง ถามราคาพร้อมจ่ายตังเสร็จสรรพ

    "เอ่อเว..." ร่างโปร่งถึงกับงงเมื่ออีกคนดึงข้อมือบางไปสวมกำไลใส่ให้อย่างถือวิสาสะ "ให้ฉันหรอ"

    "อืม คิดว่าสองสาวนั่นคงดีใจถ้าพี่ชายก็ชอบเหมือนกัน" ว่าแล้วยิ้มให้

    ...งือออ หล่อไปแล้วนะ แฟนใคร...

    "ขอบคุณนะ" ฟาเรสบอกพลางมองกำไลที่ข้อมือซ้ายด้วยตาเป็นประกาย ไอ้อารมณ์เศร้าเมื่อครู่หายไปในพริบตา ถึงตอนนี้ไม่มีท่าพ่อท่านแม่ไม่มีสองแฝดตัวป่วนเขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยวซักหน่อย อย่างน้อยก็มีเวลอร์อยู่ทั้งคน

    "เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นจูบได้ไหม" เวลอร์ยักยิ้มก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ เลยโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดหน้าไปหนึ่งที

    "เลือกสถานที่มั่ง อายเป็นไหม" ฟาเรสมองค้อนก่อนจะหันหลังเดินหนีไปอีกทาง ปากก็ว่าไปแต่ก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี "ไว้กลับห้องก่อนแล้วกัน" แถมยังพูดทิ้งท้ายเรียกรอยยิ้มกว้างจากร่างสูงจนต้องรีบเดินตามไป



     มาวิคมองตามคนทั้งคู่จนลับตา เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวกำลังอารมณ์ดีๆ ก็มาเจอภาพบาดตาซะได้ ทำใจแล้วก็จริงแต่มันไม่ง่ายเลยถ้าต้องเจอคนที่ตัวเองแอบรักทุกวัน ลืมตัวทีไรสายตาก็ไปหยุดที่ฟาเรสเสมอ อยากยืนข้างๆ เจ้านั่นในฐานะเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องมาสุขปนทุกข์อยู่แบบนี้ ไม่รู้เมื่อไหร่จะหลุดพ้นซักที 

    "หลงทางหรือไงคุณชาย" น้ำเสียงยียวนดังขึ้นข้างกาย มาวิคหันไปมองคนพูดด้วยใบหน้าเอือมระอา พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนยิ่งกำลังเฮิธๆ ยังต้องมาเจอมันอีก

    "หึ หลงก็บอกไม่ต้องหยิ่ง" เหอะโรงแรมอยู่ใกล้แค่นี้ใครมันจะไปหลง ไม่มีอารมณ์จะเสวนาเลยเลือกที่จะเดินหนี ขี้เกียจเถียง

    "เอ้า เป็นใบ้ไปแล้วหรือไง" ไมเรคก้าวยาวๆ ตามมาเดินข้างกัน 

    ...ไม่กวนประสาทซักวันมันจะตายไหมวะ...มาวิคนึกหงุดหงิดในใจ ชาติที่แล้วไปทำอะไรให้มันวะถึงได้ตามมาระรานไม่เลิก ตอนเด็กก็โดนมันแกล้งตลอดถ้าเจอกัน โครตน่ารำคาญ อุส่าดีใจที่มันต้องไปทำงานไกลๆ ไม่เจอหน้ากันตั้งหลายปี นึกว่าหลุดพ้นแล้วเชียว แล้วทำไมต้องมาเจอไอ้บ้านี่อีก เวรกรรมแท้

     "อะไรนักหนาวะ" มาวิคหันมาวีนใส่เพราะอยู่ดีๆ ไอ้คนข้างกายก็ดึงแขนเขาไว้ ไอ้นี่ก็โรตจิตคนเหวี่ยงใส่ยังจะยิ้ม

     "ตรงนั้นมีคาเฟ่อยู่ ขนมน่ากินดี" ไมเรคบอกพลางชี้ให้ดูร้านขนมตรงหัวมุมถนน
 
     "ก็ไปสิ บอกทำซากอะไร" ว่าแล้วก็พยายามดึงมือออก แต่อีกคนกลับไม่ยอมปล่อย แรงเยอะไปไหนเนี่ย

     "ไปด้วยกัน"

     "ไม่ไปโว้ย!!!" สะบัดแขนแรงๆ ก็ไม่หลุด คนหรือปลิง ดวงตาสีน้ำตาลจ้องคนสูงกว่าเขม็ง

     "ไปน่าเดี๋ยวเลี้ยง" เสียงทุ้มบอกเรียบๆ พลางกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินตาม 

     "มีตังซื้อกินเองได้"

     "กินของหวานจะได้อารมณ์ดีไง" เห็นเขาเป็นเด็กหรือไง ไม่ต้องมาหลอกล่อเสียให้ยาก

     "อยากกินก็ไปกินคนเดียว"

     "มาวิค" ไมเรคหยุดเดินแล้วหันกลับมามอง นัยน์ตาสีดำคู่นั้นดูอ่อนแสงลงกว่าปกติจนคงถูกมองชะงัก "ไปนั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อย...นะครับ" 

    ...เหอะ ทำเป็นพูดดี คิดว่าใจอ่อนหรอ...

    "เฮ้อ!!!...ก็ได้วะ"

.........................................

-น้องแมวเราใสๆ เนอะ ออกจะตรงไปตรงมา  คิคิ

-ตัดใจจากฟาเรสเหอะมาวิค มันไม่ใช่ทาง ฮ่าาาาา :katai2-1:

-เนื้อเรื่องเรื่อยๆ มากอะช่วงนี้ จับสาระไม่ค่อยได้ หวังว่ายังไม่เบื่อกันนะค่ะ  :z3:

-ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านจ้า มีอะไรทักได้ในเพจนะค่ะ  https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe (https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe)
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-05-2016 15:39:30
 :o8:  มีความมุ้งมิ้ง
มาวิคเตรียมตัวเลย ฮี่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 04-05-2016 15:59:46
ออร่าสีม่วงของมาวิคมารอแล้วววว 55555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-05-2016 16:12:37
โอซี่ถึงขนาดทำให้ลูนต้องคลานลงจากเตียง  :impress2:
แถมยังทำให้ห้องข้างเคียงเจริญรอยตามความหื่น
หรือคู่ฟาเรสเขาหื่นกันอยู่แล้วหว่า :m28: :m28:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 04-05-2016 16:39:08
ไมเรคน่าจะจองมาวิคไว้แต่เด็กแน่ๆ ประมาณรักต้องแกล้ง
น้องแมวน่ารัก โอซี่อย่านอกใจนะ ไม่งั้นน้องแมวมีใหม่แน่ๆ o18
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 04-05-2016 16:57:32
เตียมตัวเตรียมใจเลยมาวิค  :impress2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 04-05-2016 20:44:25
มาวิคมีออร่าความเคะแผ่กระจาย 5555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-05-2016 22:47:53
แววมีคู่มาแล้ว คราวนี้จะได้ไม่ต้องเหงา  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-05-2016 23:21:24
มาอีกคู่แระสินะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 05-05-2016 16:14:17
ชอบๆๆ ฟาน่ารัก รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 11-05-2016 01:23:51
คนเขียนหายไปไหนนนน คิดถึงจังเลยย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่21 P7 4-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 11-05-2016 14:11:19
บทที่ 22

    เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งหมดเดินทางออกจากหมู่บ้านนักล่าสู่ดินแดนร้างโดยมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคือเจ้ามาสีน้ำตาลตัวโตที่ทำหน้าที่ขนสะเบียงอาหารและผ้าห่ม ฟาเรสมองไปรอบตัวอย่างสนใจ เส้นทางหุบเขาที่ทั้งสองข้างทางซ้ายขวาเป็นผาสูง ต้องลอดถ้ำบ้างเป็นบางคราว อากาศในนี้เย็นเยียบจับใจเพราะปราศจากแสงแดดส่องถึง เสียงสัตว์ที่ร้องดังตามรายทางดังก้องสะท้อนแว่วมาไกลๆ ที่นานๆ ครั้งจะได้ยิน เงียบสงัดมีเพียงเสียงเกือกม้ากระทบผืนดินเท่านั้นที่ยืนยันถึงสิ่งมีชีวิต ดินแดนร้าง ร้างสมชื่อจนพาลให้จิตใจหดหูตาม หากเดินทางมาคิดเดียวคงไม่วายสติแตกก่อนจะถึงที่หมาย

    หุบเขาแห่งนี้คดเคี้ยวแถมยังมีทางแยกไปเรื่อยๆ ดุจเขาวงกต ถ้าเป็นคนอื่นๆ เข้ามาคงหลงตายในแห่งนี้ แต่พวกเขายังมีเจ้าชายแห่งเรดิเอนซี่ผู้ซึ่งแม้ไม่ได้มาเหยียบที่นี่ถึงหกเจ็ดปีแต่ก็ยังคุ้นเคยเพราะคือที่ให้กำเนิดตัวเองแถมเส้นทางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม พวกเขาเดินทางในตอนกลางวันและหยุดพักในตอนกลางคืน ฟางบางส่วนถูกขนมาสำหรับม้า กองไฟให้ความอบอุ่นถูกสร้างขึ้นจากเจ็ดที่ถูกถ่ายพลังเวทย์ใส่จนลุกโชน ส่วนเรื่องน้ำไม่ใช่ปัญหาเพราะเรามีคนที่สามารใช้พลังเวทย์บริสุทธิ์ได้ การรวบรวมน้ำในมวลอากาศจึงไม่ใช่เรื่องยาก เป็นอยู่แบบนั้นสองคืนหน้าที่นำทางจึงเปลี่ยนไปเป็นของลูน
 
     "ลูนว่าน่าจะเป็นทางนี้" เจ้าเหมียวที่ตอนนี้อยู่บนม้าตัวหน้าสุดกับโอซี่ชี้ไปยังถ้ำขนาดใหญ่ที่มืดดำ ดูลึกและยาวไม่ใช่เพียงทางลอดดังเช่นที่แล้วๆ มา เจ้าเหมียวจดจำเส้นทางที่ลอเรนเฝ้าบอกมาเป็นอย่างดี ทั้งจากแผนที่และนิมิตที่ถูกถ่ายทอด 

    "รู้ได้ไงเนี่ย" พรีมถามอย่าสนใจ

    "ก็มีอักขระเขียนยาวไปทางนั้น" คิเมร่าตัวน้อยว่าพร้อมยิ้มกว้าง พลางมองอักขระเรืองแสงบนผาที่เขียนยาวไปจนถึงผนังถ้ำแล้วเรียนหายไปภายใน ที่มีเพียงดวงตาสีม่วงอ่อนคู่นี้เท่านั้นที่เห็น คิเมร่าเผ่าแมวมีพลังที่โดดเด่นอยู่หนึ่งอย่างคือการหยั่งรู้ เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น "เป็นภาษาของอินเวียโนโบราณ จับใจความได้ประมาณว่า -ดินแดนแห่งความสงบ-"

    "แต่พวกเราไม่เห็นอะไรเลยนะ"

    "ลูนเป็นเผ่าแมว เป็นพวกมีตาทิพย์นะ" เวลอร์ไขข้อสงสัย เขารู้แต่แรกแล้วว่าทำไมท่าแม่เฒ่าลอเรนจึงอยากให้พาเจ้าเหมี๋ยวนี่มาด้วย

    "คิเมร่าอย่างพวกนายนี่มันน่าทึ่งจริงๆ" พรีมบอกดวงตาเป็นประกาย นี่ถ้ากลับไปเล่าให้เซียฟัง ที่รักเขาคงขอให้เพื่อนกลายร่างให้ดูวันละลายสิบหน ยิ่งเจอลูนละก็คงจับฟัดแน่ บ้าแมวซะขนาดนั้น

    "งั้นก็เข้าไปกันเถอะ" ไมเรคว่า พลางหยิบเจมอันใหญ่มาเกี่ยวไว้ที่อานมาแล้วถ่ายพลังลงไปจนเกิดแสงสว่างคนอื่นๆ จึงทำตาม


    พวกเขาเดินลึกเข้ามากว่าสองชั่วโมง ลึกจนแสงภายนอกส่องมาไม่ถึง โชคดีที่โถงทางเดินมีขนาดใหญ่มากจึงนำม้าเข้ามาได้สบายๆ ไม่แปลกใจทากนี้จะถูกใช้เป็นเส้นทางอพยพของชาวอินเวียโนในอดีต ตามการบอกเล่าหลังจากเกิดสงครามภายในชาวเมืองจึงพากับเดินทางออกจากเมืองที่แสนวุ่นวาย ผ่านเทือกเขาเทเนบริสข้ามทะเลไซเลนซีเข้าสู่เรดิเอนซี่ทางตอนเหนือ ในยามนั้นชาวอินเวียโน่ไม่อาจไว้ใจใครได้เพราะคนที่ก่อกบฏอาจมีพักพวกอยู่ภายนอก คนที่เป็นผู้นำคารวานในตอนนั้นจึงเลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากใครแต่เลือกที่จะพาชาวเมืองทั้งหมดหลบซ่อนไปจากโลกที่แสนวุ่นวายสู่ดินแดนที่ยากจะเข้าถึง

    "เหมือนจะมีคนมาต้อนรับแล้วละ" เวลอร์บอกพลางส่งสัญญาณให้ทุกชีวิตหยุด โอซี่่มองไปรอบๆ ประสาทสัมผัสเขาก็ดีไม่น้อยแต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงใครเลยละ ปกติหากเข้าใกล้ต้องรู้สึกได้แล้วสิ 

    "พวกคิเมร่าหรอเว" ฟาเรสหันไปถามคนรักที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง

    "อืม"

    กรรร...เสียงคำรามดังก่อนจะปรากฏฝูงเสือดำตัวใหญ่กว่ายี่สิบตัวล้อมเขาไว้ ดวงตาสีฟ้าสดดูผิดวิสัยอย่างดวงตาของเสือทั่วไปควรจะเป็น พยัคฆ์ร้ายย่างกรายเข้ามาใกล้ๆ ส่งเสียงขู่คำรามขับไล่

    -ออกไปซะ-

    -เรามาดี- เวลอร์พยายามเจรจา -มาตามหาชาวอินเวียโน เช่นพวกเจ้า-

    -ไม่รู้หรอกนะว่าไปได้ข่าวมาจากไหน แต่ถอยไปซะ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่- หนึ่งในนั้นขู่คำรามพร้อมแยกเขี้ยวใส่ ตั้งท่าพร้อมกระโจนในทุกเมื่อ คนที่เหลือกระชับอาวุธพร้อมตอบโต้

    -เอ่อ ป้าลอเรนบอกให้พวกเรามา- ลูนพูดขึ้นบ้าง เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นคิมิราเลยไม่อยากสู้กันเอง

    -นักพยากรณ์หญิงนะหรอ อย่ามาโกหกน่าป่านนี้นางแก่ตายไปแล้วไอ้เด็กน้อย- เสือดำยังคงแสดงท่าทางคุกคามไม่ลดละ ใครจะเล่าจะรู้ภายใต้ท่าทางก้าวร้าวจิตใจพวกมันกำลังหวั่นเกรงกับความรู้สึกกดดันที่มันสัมผัสได้จากร่างสูงผู้มีนัยน์ตาสีอำพัน สัญชาติญาณเตือมันว่าคิเมร่าอีกตัวตรงหน้าเหนือกว่ามากโข แต่เพื่อบ้านมันก็จะสู้ไม่ถอย

    -ยังไงก็ไม่ยอมให้ผ่านไปใช่หรือไม่- เวลอร์ถามเสียงเย็น พลางกวาดตามองรอบๆ อยางใจเย็น โถงถ้ำนี้ใหญ่พอจะแปลงร่างได้ก็จริง แต่ถ้าประทะแรงๆ อาจถล่มได้   

    "พอได้แล้วละ" ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้กระโจนใส่กันจริงๆ กลับมีอีกเสียงขัดขึ้นก่อนที่เอลฟ์ตนหนึ่งจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเดินแหวกฝูงเสือดำร่างใหญ่เข้ามาเผชิญหน้ากับพวกเขา หลังจากซุ่มดูเหตุการณ์อย่างเงียบเชียบมาครู่ใหญ่ จากคำบอกเล่าของผู้มาเยือนที่มีคิเมร่ามาด้วยถึงสองเช่นนี้ คนเหล่านี้อาจกำลังตามหาพวกเขาอย่างที่พูดจริง

    "เอาละไหนลองอธิบายเหตุผลมาซิ ว่าทำไมเจ้าถึงตามหาชาว...เอ่อ" เอลฟ์ผู้มีผิวขาวจัดกับเรือนผมสีทองกวาดตามองผู้มาเยือนพลันสบสายตากับดวงตาสีอำพันคมกล้า เจ้าตัวรีบทรุดลงคุกเข่าให้ทันใดด้วยรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร "ขอประทานอภัยฝ่าบาท"

    "ไง ไม่เจอนานเลยนะท่านดาเรียน" เวลอร์ว่าก่อนจะลงจากหลังม้า คำว่าฝ่าบาททำเอาทุกคนที่มาด้วยฉงน เว้นก็แต่ฟาเรสและโอซี่ที่รู้อยู่แล้ว คนที่เหลือจึงลงจากหลังมาตามเพราะไม่อยากค้ำหัวชาวเอลฟ์ที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเพื่อนเขา "ลุกเถอะท่าน"

    "เจ้าพวกนี้ ตอนที่จากอินเวียโนมา พวกเขายังเด็ก จึงอาจไม่รู้จักฝ่าบาท ขอประทานอภัยในความก้าวร้าวของพวกเขาด้วยพะยะค่ะ" 

    -ขอประทานอภัยฝ่าบาท- ว่าแล้วเหล่าเสือดำพวกนั้นก็หมอบลงทำความเคารพให้เช่นกัน 

    "ท่านคือกษัตริย์เวลาเรียส พวกเจ้าจำไว้ด้วย"

    "เอาน่า ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร โชคดีนะที่ไม่ต้องสู้กัน" เวลอร์ยิ้มน้อยๆ ให้เหล่าคิเมร่าเลือดใหม่

    "แล้วคนเหล่านี้ละฝ่าบาท"

    "เพื่อนของฉันเอง" เวลอร์บอก แล้วแนะนำทุกคนกับอีกฝ่าย

    "พวกท่านคงเดินทางมาไกล กระหม่อมขอเชิญฝ่าบาทและพระสหายเสด็จไปพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อน ตามข้ามา"

    ทั้งหมดเดินตามดาเรียนลึกเข้าไปในถ้ำ ทางเดินมืดๆ เริ่มปรากฏคริสตัลสีรุ้งประปราย ใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีก็มาถึงทางตัน ลูนมองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นเต้นเพราะในโถงถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยอักขระลวดลายมากมายเรืองรองเต็มผนังและเพดานที่คนอื่นมองไม่เห้น

    "เราซ่อนทางเข้าจากโลกภายนอก คนที่จะเห็นมันได้มีไม่มาก ต้องเป็นพวกมีตาทิพย์หรือมีพลังพยากรณ์เท่านั้น" ดาเรียนอะอธิบายพลางหันมายิ้มให้เจ้าเหมี๋ยวที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับไปร่ายเวทย์ใส่ผนังหินที่แซมด้วยคริสตัลก่อนที่เหล่าคริสตัลนั้นจะเรืองแสงแล้วสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่นั่นจึ้งบิดเบี้ยวกลายเป็นประตูคริสตัลลายวิจิตรที่สูงกว่าสิบเมตร ดาเรียนผลักประตูบานยักษ์นั้นให้เปิดออกเผยให้เห็นดินแดนอัศจรรย์ตรงหน้า

    "ยินดีต้อนรับสู่ไทวาส บ้านใหม่ของพวกเรา"

 

    นี่มันสวรรค์ชัดๆ ฟาเรสคิด ดวงตาสีครามพยายามเก็บภาพทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าสู่สมองให้ได้มากที่สุด ท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้งและโหดร้าย ใครเล่าจะคิดว่าในดินแดนร้างจะมีหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ พื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยป่าเขียวชอุ่ม น้ำตกเล็กใหญ่ไหลลงจากผาสูงรวมกันเกิดเป็นทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตา เมืองขนาดกลางถูกสร้างอยู่ริมทะเลสาบ ด้วยสถาปัตยกรรมงดงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวอินเวียโนที่เน้นอาคารทรงสูงและยอดแหลม ให้ความรู้สึกโออ่าแต่ที่น่าทึ่งคือ เวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบปีพวกเขาสร้างได้ถึงขนาดนี้เชียวหรอ

    ผู้มาเยือนถูกพามายังบ้านของดาเรียน ซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่อีกทั้งยังเป็นศูนย์บัญชาการของเมืองไทวาสแห่งนี้ มีอดีตองครักษ์สี่คนของเวลอร์ช่วยกันดูแล โดยแบ่งหน้าที่กันตามสัดส่วน ที่เมืองแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วเพราะชาวอินเวียโน่ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังเวทย์บริสุทธิ์ทำให้การสร้างสรรค์สิ่งใดจึงเป็นไปโดยง่าย 

    "ถวายบังคมฝ่าบาท" อดีตองครักษ์อีกสามคนที่ถูกดาเรียนตามตัวมารีบเข้ามาทำความเคารพนายเหนือหัวทันทีที่เข้ามาในห้องรับรอง

    "พวกท่านนั่งเถอะ ไม่ต้องพิธีการอะไรมากมาย" เวลอร์ว่า พลางผายมือไปยังเก้าอี้ี่ยังว่างซึ่งถูกลากมาเพิ่ม เพราะลำพังโซฟาตัวยาวไม่เพียงพอต่อชายที่ตัวไม่ใช่เล็กๆ ทั้งหมดในห้องนี้ "พูดกับฉันปกติก็ได้ ฉันไม่ใช่กษัตริย์แห่งอินเวียโนอีกต่อไปแล้ว เมืองนั้นไม่เหลืออะไรแล้ว"

    "แต่ฝ่าบาท ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด หรือต่อให้ท่าไม่ได้ปกครองเมืองใดท่านก็ยังเป็นเจ้านายของพวกเรา" ดาเรียนแย้ง เขาเป็นเด็กที่ถูกราชาคิเมร่าเก็บมาเลี้ยง ให้ชีวิตให้โอกาส ไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าก็คือเจ้าชีวิต องครักษ์คนอื่นๆ ก็คิดเช่นกัน

    "งั้นก็ตามใจพวกท่านเถอะ"

    "กระหม่อมได้ยินมาว่าฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์ไปแล้วในสงครามครั้งนั้น" ริบราชายร่างยักษ์ผู้มีร่างคิเมร่าเป็นกระทิงบอกกล่าวผู้เป็นนาย "กระหม่อมดีใจเหลือเกิน"

    "ก็เกือบจะเป็นแบบท่านว่านั่นละ แต่ได้ฟาร่าฉันเลยรอดมาได้"

    "แล้วองค์ราชินีละพะยะค่ะ"

    "ฟาร่าเสียไปนานแล้ว หลังจากที่คลอดฟาเรสได้เพียงไม่กี่เดือนเพราะร่างกายเธออ่อนแอ นี่ฟาเรสลูกชายของเธอ" ร่างสูงแนะนำคนข้างกายต่ออดีตองครักษ์ทั้งสี่ "ลูกของฟาร่ากับคนที่นางรัก"

     "อะ เอ่อ สวัสดีครับผมชื่อฟาเรสครับ" ร่างโปร่งบอกอย่างไม่มั่นใจ คนที่ขึ้นชื่อว่าเป้นราชินีกลับมีลูกกับชายอื่น คนเหล่านั้นจะมองเขายังไงนะ

    "ลูกของท่านอินดิโก้สินะ ยังไงสุดท้ายพระองค์ก็ได้อยู่กับคนที่รัก" เรน่าเอลฟ์สาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เธออยู่ใกล้ชิดจึงรู้เรื่องภายในดี ว่าการแต่งงานนั้นมันคือหน้าที่ "ท่านเองก็มีพลังในการเปิดปิดรอยแยกเช่นกันสินะ"

    "ครับ ผมทำแบบนั้นได้"

    "สร้อยที่ท่านใส่รู้ไหมมันมีความหมายนะ" เรน่าว่าพลางชี้ไปที่สร้อยทับทิบรูปพระอาทิตย์บนลำคอขาว 

    "เอ๋ มีความหมายยังไงครับ"

    "มันเป็นสร้อยประจำตระกูลของฟาร่า และเป็นสร้อยประจำตำแหน่งราชินีของอินเวียโน่ไงละ" ฟาเรสตาโตกับสิ่งที่รู้ ราชินีของเวลอร์ แค่คิดก็เขินแล้ว

    "ฝ่าบาทตามหาพวกเรา ฝ่าบาทจะกลับมาอยู่กับพวกเราหรือเพค่ะ" 

    "ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เรน่าฉันยังมีเรื่องต้องสะสาง แค่อยากจะเห็นกับตานะว่าทุกคนสุขสบายดี ตลอดหลายปีมานี้ก็ได้แต่รอให้ร่างกายที่บาดเจ็บแข็งรองพอจะตามหาพวกท่าน เห็นแบบนี้ก็สบายใจ พวกท่านทั้งสี่เองก็เป็นผู้ปกครองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีฉันหรอก" เวลอร์บอกออกไปจากใจจริง

    "ฝ่าบาทจะกลับไปอินเวียโนไหมเพค่ะ"
 
    "อาจจะ แต่พวกท่านอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว"

    ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เป็นเรื่องความเป็นอยู่ของคนในเมืองนี้ เรื่องระหว่างทางตอนที่อพยพมา คนเก่าๆ ที่ยังอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือเวลอร์ไม่เอ่ยถึงอินเวียโน หรือเรียกร้องความช่วยเหลือใดๆ เลย ทั้งที่ตอนแรกเดินทางมาที่นี่เพื่อจะหากำลังคนเพื่อบุกเข้าไปสะสางเรื่องในอินเวียโน่แท้ๆ ฟาเรสได้แต่เก็บงำความสงสัยนั่นไว้ในใจ 



    "ที่นี่สวยจัง" ฟาเรสว่าพลางก้าวไปยืนเคียงข้างคนรักที่ยืนมองทิวทัศน์ของเมืองเบื้องหน้าอยู่ตรงระเบียงห้องพัก ซึ่งอาคารที่เขาอยู่สร้างบนเนินผาริมน้ำตก ทำให้มองเห็นทุกอย่างจากมุมสูง

    "ทั้งสวยและสงบ แถมยังอยู่ในภูมิทัศน์ที่ปลอดภัย" เสียงทุ้มบอกเนิบๆ ดวงตาสีอำพันนิ่งสงบแต่เจือแววเจ็บปวดอยู่อยู่บางเบา "ตอนที่ท่านปู่สร้างอินเวียโน ท่านเองก็เลือกภูมิทัศน์ที่ปิดตายแบบนี้ ไม่มีใครระรานเราได้จากภายนอก เป็นที่ที่สมบูรณ์แบบและสงบสุข แต่สุดท้ายมันก็ถูกทำลายจากภายใน"

    "คนเราไม่มีใครรู้อนาคตหรอกเว" ฟาเรสว่าพลางฉวยมือใหญ่มากุมไว้แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ปล่อยให้ความเงียบดำเนินอยู่คู่ใหญ่ร่างโปร่งจึงเอ่ยถามสิ่ที่สงสัยจั้งแต่มาถึงออกไป

    "เรื่องกำลังคน ทำไมนายถึงไม่ขอให้พวกนั้นช่วยละ" เวลอร์หันมาสบตาร่างบางแล้วยิ้มให้

    "เพราะมันเห็นแก่ตัว" เสียงทุ้มบอกก่อนมองออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง "ครั้งหนึ่งฉันเคยพาคนเหล่านี้เผชิญกับอันตราย ปล่อยให้บ้านของพวกเขาถูกทำลายโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย" คิดแล้วมันก็น่าอาย เขาปกครองอินเวียโนได้เพียงยี่สิบปีก็เกิดเรื่องเสียแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับท่านปู่ท่านพ่อที่ปกครองอาณาจักแห่งนั้นมาเป็นร้อยร้อยปี "ตอนนี้พวกเขามีบ้านใหม่ บ้านที่เขาช่วยกันสร้าง มีชีวิตสงบสุขกับมัน จะให้ฉันลากเขาของจากบ้านที่ลงทุนลงแรงสร้างเพื่อความต้องการของตัวเองคงทำไม่ได้"

    "พูดอย่างกับนายจะบุกเข้าอินเวียโนคนเดียว" 

    "ถ้านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงต้องทำ" เวลอร์ตอบยิ้มๆ กษัตริย์ย่อมนึกถึงความสุขของประชาชนมาก่อนทุกสิ่ง นั่นคือสิ่งที่บรรพบุรุษเขาพร่ำสอนมา การที่อินเวียโน่กลายเป็นแบบนั้น การที่รอยแยกระหว่างมิติขนาดยักษ์นั่นถูกสร้างต่อให้มันจะมีผลต่อทั้งเอสทีเรียดในอนาคตแต่สาเหตุที่แท้จริงก็มาจากการที่เขาไว้ใจคนผิด ความผิดพลาดของเขา จะให้ชาวเมืองต้องมาเดือดร้อนได้อย่างไร 

    "นายไปคนเดียวไม่ได้หรอกเว" เสียงทักท้วงดึงตาคมให้หันมามองคนพูดแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย "เพราะฉันจะไปด้วย ทุกๆ ที่ ต่อให้เป็นอินเวียโน นรก สวรรค์ ฉันก็จะอยู่ข้างนาย" เสียงนุ่มหนักแน่นและจริงจัง นัยน์ตาสีครามมีเพียงเงาของเขาอยู่ในสายตา รัก...มันดีเสมอ ฟาเรสคือขุมพลังที่ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาก็พร้อมสู้อย่างไม่กลัวเกรง

    "เฮ้ย!!!!" ฟาเรสร้องลั่นเมื่อจู่ๆ คนข้างกายหันมาช้อนอุ้มจนตัวลอยพลางก้าวยาวๆ ไปที่เตียง "เว...จะทำอ..."

    "ก่อนไปอินเวียโน เราไป เที่ยวสวรรค์กันก่อนนะฟาร์" เสียงทุ้มบอก นัยน์ตาคมวาววับมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนเรียวปาก

......................................

-เขียน NC ดีมะ อยากเขียน หรือเนื้อเรื่องต่อโลด ขอโทษผู้อ่านทุกท่านที่ข้าน้อยหายยาวเพราะรับจ๊อบ เนื่องจากงานประจำรายได้ไม่เพียงพอ แม้หลวงจะบอกให้ไรท์พอเพียง  :hao5:

-อย่าเพิ่งเพื่อเค้านะค่ะ กระซฺกๆ  :mew6: อยู่ด้วยกันนานๆ

-ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ อ่านเม้นแล้ว ยิ้มแก้มแตก คิคิ เหมือเจอเพื่อนใหม่  :mew1:

 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 11-05-2016 14:40:35
พาไปที่เตียง..  :mew3:  :hao7:  :hao6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-05-2016 14:42:16
 :impress2:  กำลังหวานได้ที่เลยค่ะ จะเขียนสั้นๆก็ได้ค่ะแต่ไม่อยากให้ข้ามทริปสวรรค์ของน้องฟา

 :mew1: ลูนน่ารัก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-05-2016 14:46:47
เราอยากไปนั่งอยู่บนสรรค์ดูเวลอร์กับฟาเรสขึ้นสวรรค์อ่ะ :hao6: :hao6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-05-2016 20:26:47
เด่วๆ เค้ากำลังซึ้งมะลุง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 11-05-2016 20:31:49
 :laugh: พาเข้าเรื่องหื่นอีกจนได้ ป่ะ!!! จะเกาะขอบเมฆตามไปดู  :o8:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 13-05-2016 07:31:46
โดนกินอีกจนได้นะฟาร์~~~~!!!!
เวลอร์ดูจิงจีงนะตอนพูดเรื่องเครียด แต่ได้แค่แปปเดียวก้อต่อด้วยเรื่องหื่นๆ 5555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่22 P8 11-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 15-05-2016 13:57:14
วกมาเรื่องหื่นตลอดเลยลุงเว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 19-05-2016 23:45:33
บทที่ 23 (50% NCpart)


     "เว ฮึก ดะ...เดี๋ยว อ๊าาา" ฟาเรสครางลั่นในยามที่ส่วนล่างถูกล่วงล้ำ แม้จะถูกตระเตรียมไว้ทั้งอารมณ์และร่างกาย แต่เล่นสอดใส่เข้ามาที่เดียวจนมิดลำก็เล่นเอาทั้งเจ็บทั้งจุกพ่วงมาด้วยความเสียดเสียวจนน้ำตาร่วง "อย่า เพิ่งขยับ อิ๊ อาาาา"

     "อืมม ดี" เวลอร์ครางเสียงพร่า สองมือจับยึดเอวบางไว้มั่นพร้อมกระแทกกระทันใส่แรงๆ หาได้สนคำห้ามปรามของคนใต้ร่าง สัญชาติญาณเข้าครอบงำคิเมร่าหนุ่มจนยากจะรั้งความต้องการของตัวเอง ดวงตาสีอำพันม่านตาเรียวรีสบกับดวงตาสีครามฉ่ำน้ำ ดวงตาของผู้ล่าที่จ้องมาอย่างหิวกระหายแต่ก็เจือไปด้วยความรักใครหลงไหล ตรึงฟาเรสไว้ราวกับมีมนต์สะกด

     "เว ฮือ แรง ไป โอ้วววว" เสียงหวานสะอื้น ขาดห้วงราวกับจะขาดใจ จังหวะรักร้อนแรง ความรู้สึกหลากหลายโดยเฉพาะจุดกระสันที่ถูกกระแทกย้ำๆ ด้วยท่อนเนื้อร้อนทำเอาหัวหมุน ตาพร่ากับความเสียวซ่านเกินบรรยาย

ผิวกายเรียบเนียนแดงเรื่อจากความร้อนที่ประทุอยู่ภายใน สองมือจิกทึ้งท่อนแขนแกร่งของร่างสูงจนเลือดซึม มันไม่ใช่ครั้งแรกแต่ก็ยากจะเคยชิน เวลอร์ในยามปกติทั่งอ่อนโยนและตามใจผิดกับเวลาแบบนี้ราวกับคนละคน ไม่ใช่ไม่ชอบเวลอร์ที่ดิบเถื่อน หิวกระหายและเอาแต่ใจมันก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและหลงไหลไปกับความดุร้าย แต่ก็ยากจะรับมือ

     "ฟาร์ อืมม นายทำฉันคลั่ง" เสียงแหบพร่าเอ่ยบอก

     "ฮืมม อย่ามาโทษ อ๊าาาาา ฮือออ" ฟาเรสเถียงไม่ทันขาดคำก็ต้องร้องลั่นเพราะสะโพกถูกรั้งสูงรับแก่นกายใหญ่ที่สวนเข้ามาลึกจนจุก ร่างกายสั่นสะท้านไปกับห้วงอารมณ์ที่ประเด้ประดังเข้ามามากมายจนเกินจะรับไหว หากแต่ร่างกายกลับขยับรับจังหวะร้อนไปตามความต้องการของเบื้องลึกใจจิตใจ "อาาาา ท่านี้มัน ฮึก  อ๊าา อ๊าาาา"

     เสียงครางหวานที่คลอไปด้วยเสียงกระทบกันของสองร่าง เรือนกายงดงามบิดเร่าอยู่ใต้ร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลอมลวมเป็นฟาเรสทำให้เขาเสพติด รักจนแปลกใจตัวเอง ว่านอกจากบ้านเมืองและหน้าที่ เขาสามารถรักใครได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ คิเมร่าที่มีอายุยืนยาวอย่างเวลอร์ งดงามแบบไร้ที่ติยิ่งกว่านี้ก็เคยเจอ แต่ก็ไม่อาจทำให้รักได้เหมือนคนนี้ คนที่เหมือนแสงสว่างแก่ใจที่มืดมิดในยามที่ร่างถูกสะกดให้เป็นหิน ถูกความอ้างว้างกัดกินจนด้านชา

      "อื้อ!!!" ริมฝีปากแดงช้ำที่เผยอครางเชิญชวนให้โน้มกายลงไปจูบ ตักตวงความหวานดูดดึงเกี่ยวรั้งลิ้นเล็กๆ ที่ตอบสนองอย่างเร่าร้อน รสจูบดูดดื่มเนินนานแทบขาดใจ ฟาเรสกอบโกยมวลอากาศหอบกระชั้น เรียวแขนไขว่คว้าไหล่หนารั้งตัวเข้าหาดึงใบหน้าคมเข้ามาจูบอีกครั้งและอีกครั้ง ผละจากจูบจมูกคมเลื่อนลงซุกไซร์สูดกลิ่นเนื้อของเด็กหนุ่มแรกรุ่นกระตุ้นสัตว์ร้ายในกายให้เดือดพล่าน จนเผลอขบกัดผิวขาวจัดจนเลือดซึม รู้ว่าทำแบบนี้ร่างโปร่งคงเจ็บ แต่ก็อดไม่ได้

     ห้วงอารมณ์วาบหวามกับคนที่รัก ทรมานและสุขสมจนเกินจะรับ แม้อยากจะยื้อไว้ให้นานแต่สุดท้ายฟาเรสก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความร้อนแรงปลดปล่อยออกมาในที่สุด ร่างบางหอบสั่นหัวสมองขาวโพลน เหนื่อย เรี่ยวแรงเหือดหายแต่ใครอีกคนกลับไม่ยอมให้ได้พักเพราะเจ้าตัวยังไม่ถึงปลายทาง เสียงหวานหวีดร้องลั่นด้วยความตกใจในยามที่ร่างโปร่งบางถูกพลิกให้ขึ้นคร่อมอยู่ด้านบน ยังไม่ทันได้จัดท่าจัดทางเอวหนาก็กระทุ้งใส่รัวๆ จนตัวลอย น้ำหนักตัวที่ขย่มลงมารับกับท่อนเนื้อร้อนที่เด้งสวนลึกเสียจนเสียวจี๊ดไปทั่วร่าง

     "เว เบา อึก  ซี๊ดดด" ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เวลอร์ยิ้มร้ายพร้อมยึดเอวบางไว้มั่นโถมแรงใส่อย่างเอาแต่ใจจนคนโดนกระทำครวนครางไม่เป็นคำ เวียนหัวจนต้องเอาสองมือคำยันหน้าอกแกร่งเพื่อทรงตัว สติที่มีหลุดกระเจิงรับรู้เพียงสัมผัสร้อนจากเบื้องล่างเร่งเร้าจนต้องปลดปล่อยออกมาอีกรอบพร้อมๆ กบัความรู้สึกอุ่นวาบจากน้ำรักที่ฉีดอัดเข้ามาภายในก่อนจะทิ้งร่างลงซบแผ่นอกกว้างอย่างสิ้นท่า

     "ฟาร์ของฉัน" เวลอร์บอก กดจูบขมับชื้นเหงื่ออย่างรักใคร่

     "พอ...เว พอแล้วแฮกกก ฉันไม่ไหว" ฟาเรสประท้วงเสียงแผ่วเมื่อแก่นกายที่ยังคาอยู่ไม่มีที่ท่าจะสงบลง...ให้ตายสิเจ้าคิเมร่านี่ถ้าได้ขึ้นแล้วลงยากเสียจริง

     "อาบน้ำไหม" เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามพลางลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

     "อืมมม" ฟาเรสรับคำอย่างอ่อนล้า ตาจะปิดอยู่รอมร่อ 

      "เฮ้ย!!!" แต่กลับต้องเบิกตากว้างอย่างตระหนกเมื่ออีกคนดึงเขาลุกจากเตียงไปด้วยกัน ลงไปยืนกับพื้นด้วยท่าอุ้มเตง ทั้งที่เบื้องล่างยังเชื่อมกันอยู่แบบนั้น "เว...นะ ไหนว่าจะอาบน้ำไง"

     "อืม ก็จะพาไปไง" คิเมร่าหนุ่มหยอกเย้าแล้วบดริมฝีปากอิ่มช้ำตรงหน้าพร้อมก้าวยาวๆ ไปยังห้องน้ำ ทิ้งกายนั่งลงตรงขอบอย่างโดยมีร่างโปร่งบางนั่งซ้อนอยู่บนตัก ระดมจูบไม่หยุด เอื้อมมือไปเปิดน้ำใส่อ่างก่อนกลับมาขย้ำก้นกลมกลึงอย่างมันมือ

     "อือออ เว อ๊าาาาาาา" ฟาเรสครางยาวในยามที่ร่างถูกลากลงไปนั่งในอ่างซ้อนอยู่บนตักของคนรักคร่อมทับแก่นกายร้อนให้กดลึก "ไอ้บ้า....อ๊ะ ไหนว่าจะอาบน้ำ"

      "หึๆ ก็อาบไปทำไปไงครับ อีกอย่างเรายังไม่เคยทำในอ่างเลยนี่เนอะ มาลองกันเถอะที่รัก" เวลอร์สบตาคนรักแบบอ้อนๆ ใบหน้าคมที่พร่างพราวไปด้วยหยดน้ำบวกกับรอยยิ้มบางๆ ที่เรียวปาก ฟาเรสไม่อยากจะยอมรับเลยว่าคนรักของเขาตอนนี้เซกซี่เป็นบ้า ไอ้จากที่ทั้งเหนื่อยทั้งล้ามันชักจะซู่ซ่าขึ้นมาแล้วสิ...เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าความหื่นมันเป็นโรคติดต่อ

     "รอบเดียวพอนะ" ฟาเรสบอก ถึงอารมณ์จะมาแต่สภาพร่างเริ่มไม่อำนวย

     "สองได้ไหม พรุ่งนี้ไม่มีภารกิจล่า" คิเมร่าหนุ่มกระซิบชิดริมฝีปากอิ่มก่อนจะประกบจูบดูดดื่มโดยไม่รอคำตอบ

     แล้วคิดหรอว่าคนอย่างเวลอร์จะยอมจบแค่สองรอบอย่างปากว่า เพราะเจ้าตัวเล่นบอกว่าหมายถึงสองรอบในอ่างไม่รวมที่กลับมาต่อที่เตียง ฟาเรสผู้น่าสงสารเลยโดนคิเมร่าบ้ากามรังแกจนสว่างคาตา สู้ศึกรักยืดยาวขนาดนี้ต่อให้เป็นครึ่งเอลฟ์ก็คงไม่วายเอวเดาะสะโพกครากจนไม่รู้ว่าจะมีแรงลุกจากเตียงหรือเปล่าเหอะ

(http://upic.me/i/ty/vfsmall.jpg) (http://upic.me/show/58504153)

2B pencil+Photoshop (Filter Neon)

.................................

-ขอโทษที่หายหน้า ช่วงนี้ไรท์อยู่ในช่วงย้ายที่ทำงานค่ะ กำลังมองหาลู่ทางใหม่ให้ชีวิตเลยค่อยข้างวุ่นวาย เลยเอามาลงซักครึ่งตอนให้หายอยาก(ไรท์อยากลง) :hao7:

-มาพร้อมรูปดรออิ้งกากๆ ที่เอาไปแต่งเล่นในโฟโต้ชอบเล็กน้อย เป็นกานไถ่โทษ เรทไปไหม จะโดนแอดมินหิ้วอะเปล่า  :เฮ้อ:

-คิดถึงทุกคน คิดถึงนิยายตัวเอง งืออออ  :mew6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 20-05-2016 00:41:12
มาต่อแล้ววววว  o13  :jul1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-05-2016 01:49:36
จ้าาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-05-2016 06:30:27
 :pighaun:    ร้อนแรงมากเลย. งื้อรูปมืดไปค่ะ
คิเมร่าบ้ากาม ลุงแกแรงดียอมใจแกเนาะ
มีคำผิดค่ะโรคติดต่อ ไม่ใช่โลก
 :pig4:  สู้ๆนะคะเรื่องงาน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-05-2016 09:29:28
 :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lovemongjang ที่ 20-05-2016 19:38:14
ร้อนแรง อิๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-05-2016 20:27:42
 :m25:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 20-05-2016 22:12:39
ร้อน แรง สุด สุด ไป เลย
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 21-05-2016 01:23:21
ลุงหื่นนนนนน
แต่คนอ่านชอบมากกกก :haun4: :pighaun: :jul1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 50% NC P8 19-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 23-05-2016 04:06:04
รูปยังคงดีงามเหมือนเคย เพิ่งรู้ว่าความหื่นมันติดต่อกันได้ โอซี่ก็มีคู่ไปแล้ว มาวิคล่ะมองคนใกล้ๆตัวก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 25-05-2016 23:01:35
บทที่ 23 (100%)

     ฟาเรสที่ศูนย์เสียพลังงานไปมากเมื่อคืน แทนที่จะได้นอนเอาแรงอยู่ที่ห้องกลับต้องฝืนสังขารจากฟูกนุ่ม เพราะเหล่าอดีตองครักษ์ให้คนมาตามเวลอร์แต่เช้าบอกมีเรื่องจะปรึกษา ตัวการของเรื่องก็หวังดีบอกให้เด็กหนุ่มนอนพักเดี๋ยวขึ้นมาปลุก แต่อารมณ์ไม่อยากอยู่คนเดียวแถมไม่อยากให้อีกคนเทียวไปเทียวมาเผื่อมีธุระติดพันเลยขอตามไปด้วย และตอนนี้ร่างโปร่งก็นั่งเป็นผู้ชมอยู่บนโซฟายาวข้างๆ คิเมร่าหนุ่มที่กำลัง อธิบายแผนงานต่างๆ ให้เหล่าอดีตองครักษ์ที่มาขอคำปรึกษาในการบริหารจัดการสิ่งต่างๆ ในเมืองไทวาสที่พวกเขาดูแลอยู่

     ดวงตาสีครามจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของคนรักไม่วางตา น้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่ทรงอำนาจ ดวงตาคมปราดมั่นคง เวลาอยู่มหาลัยเวลอร์เป็นคนที่เรียนเก่ง รอบรู้และความจำเป็นเลิศ แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีความรู้ความเข้าใจครอบคุมในทุกด้าน แถมยังมีไหวพริบดีอย่างหน้าทึ่ง เพียงแค่ดูผังเมืองที่เหล่าอดีตองครักษ์เอามาพร้อมกับฟังข้อมูลโดยสังเขบก็สามารถเข้าใจและช่วยนำเสนอแนวทางด้านต่างๆ ได้อย่างชัดเจนและดูเป็นไปได้ ทั้งเรื่องง่ายๆ อย่างสาธารณูปโภคเช่น น้ำ อาหาร พลังงานและการแพทย์  การวางแผนการศึกษาที่อ้างอิงจากแผนการศึกษาเดิมในอินเวียโนที่ต่างจากของดินแดนอื่นๆ ในเอสทีเรียด โดยให้ศึกษาพื้นฐานจากโรงเรียนเพียงห้าปี หลังจากนั้นคือการศึกษาด้วยตนเองเพราะชาวอินเวียโนมีความสามารถที่หลากหลายการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจึงเป็นผลดีที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยแนะนำแก้ไขกฏระเบียบเดิมที่ใช้ให้ดูเหมาะสม การปกครองในภาพรวมหรือแม้กระทั่งการทหารและความปลอดภัย ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและประสบการณ์ในการปกครองของเจ้าตัว สมกับชื่อกษัตริย์เวลาเรียสแห่งอินเวียโนจริงๆ

     คุณเคยตกหลุมรักใครซ้ำๆ ไหม ตอนนี้ฟาเรสกำลังมีอาการแบบนั้น ตกหลุมรักคิเมร่าไม่สิต้องบอกว่าราชาของเหล่าคิเมร่าที่ชื่อว่าเวลอร์ ถึงมันจะหื่นกามไปบ้าง ไม่บ้างอะ มากอยู่ แต่ก็เป็นคนเอาจริงเอาจัง เป็นผู้ใหญ่ เท่สุดๆ ไปเลย แถมยังเก่งกาจทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ช่างเป็นคนที่เพรียบพร้อมเสียจนน่าหมั่นไส้ แต่ก็อดภูมิใจในตัวคนรักไม่ได้ รู้สึกเป็นปลื้มสุดๆ ที่ได้คนคนนี้มาอยู่ข้างกาย

"เบื่อไหมฟาร์" เวลอร์หันมาถามคนที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ตลอดการสนทนา คนถูกถามทำเพียงยิ้มตอบพลางส่ายหน้า คิ้วหนาเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อร่างโปร่งเอาแต่จ้องหน้าแล้วยิ้มค้างอยู่แบบนั้น "มีอะไรหรอ"

     "ปะ...เปล่า ก็แค่เอ่อ ไม่มีอะไร" ฟาเรสบอกปัด นึกขึ้นได้ว่าเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตาจึงได้แต่ก้มหน้าลบนัยน์ตาคมอย่างเขินๆ สองแก้มเห่อร้อนไปหมด  :o8:

    "ก็แค่อะไร หืมมม บอกหน่อย"

     "ก็แค่คิดว่าดีจัง" ...ที่มีนายอยู่ข้างกัน...ฟาเรสต่อคำในใจ พลางเสมองไปทางอื่น แต่อาการประหม่าทั้งหลายหาได้รอดพ้นสายตาของคิเมร่าหนุ่มไปได้ ถึงไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ท่าทางแบบนั้นมันก็น่ารักดี

     "ฟาร์"

     "หืม...มีอะไร" ครึ่งเอลฟ์หันมามองคนเรียก

     จุ๊บ!!!! เวลอร์ขโมยจูบริมฝีปากนิ่มก่อนผละออกแล้วหันกลับไปสนใจงานต่อ หาได้เกรงใจเหล่าอดีตองค์รักษ์ที่นั่งประกอบฉากอยู่ในห้อง ก่อนเริ่มแผนงานเรื่องอื่นๆ ต่ออย่างสบายอารมณ์เพราะได้กำลังใจดี


     ส่วนฟาเรสที่ตอนนี้เขินจนไปไม่เป็นได้แต่ซุกหน้าเข้ากับไหล่หนาของคนข้างๆ หลบสายตาล้อเลียนหลายคู่ที่มองมา

"ไอ้ บ้าเว" ด่าอุบอิบเรียกเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง

     ...งื้อ เขินโว้ย...

     :-[

     จบงานบ้านเมืองแบบคร่าวๆ สำหรับวันนี้ เวลอร์จึงได้โอกาศถามเกี่ยวกับอินเวียโนหลังจากที่ทุกคนอพยพมา เมื่อห้าปีก่อนอดีองครักษ์ลิเบียกับเดปได้เดินทางกลับไปดูเมืองเก่าพบว่ารอยแยกระหว่างมิติที่นั่นมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก หลุมดำนั่นกินพื้นที่เหนือน่านฟ้าครอบคลุมทั้งเมืองจนในเขตเมืองอินเวียโนกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างสองโลกมีพวกอันเดธอาศัยอยู่กันประปราย สาเหตุที่พวกมันสามารถขยายรอยแยกได้ใหญ่ขนาดนี้นั่นเพราะใช้เจมบริสุทธิ์ขนาดยักษ์อันเป็นสมบัติมีค่าของเมืองแห่งนั้นภายในพระราชวังเป็นสื่อกลาง แต่ที่น่าสนใจคือพวกอันเดธโดนฝึก กองทัพปีศาจที่พวกฟอสโกสร้างขยายกำลังขึ้นทุกวัน 

    เวลอร์จำได้ดี อดีตเพื่อนรักที่โตมาด้วยกัน เรียนด้วยกัน ต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน และสุดท้ายก็ทรยศหักหลังจากไว้เจ็บแสบ ริคัทโต ผู้มีสายเลือดเอลฟ์บริสุทธิ์พี่ชายต่างแม่ของฟาร่า คนๆนี้กระหายในอำนาจเพราะเจ้าตัวคิดมาเสมอว่าเอลฟ์ก็มีสิทธิ์ในบรรลังก์ไม่ต่างจากคิเมร่า เพราะแรกเริ่มที่สร้างเมืองมาทั้งสองเผ่าพันธุ์ปกครองร่วมกัน สลับกันปกครองเรื่อยมาหากแต่ทางเอลฟ์เกิดปัญหาเรื่องการแย่งชิงภายในจนชาวเมืองเดือดร้อน กษัตริย์ในตอนนั้นซึ่งมาจากจากฝั่งเอลฟ์จึงรู้สึกละอายใจเลยสละอำนาจให้คิเมร่าครองบรรลังก์เรื่อยมา แต่เพื่อคานอำนาจกันราชินีคู่บรรลังก์จึงต้องเป็นเอลฟ์สูงศักดิ์ เหมือนเช่นที่เวลอร์ต้องแต่งงานกับฟาร่าเพื่อรักษาความมั่นคงภายในและคานอำนาจซึ่งกันและกัน

    ริคัทโตเชื่อมั่นในพลังอำนาจมากเกินไป เขาไม่เห็นด้วยกับการที่ชาวอินเวียโน่ซึ่งแข็งแกร่งกว่ามนุษย์หลายเท่าเลือกอยู่อย่างสันโดดไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก ทั้งที่ความจริงพวกเราควรเป็นผู้ปกครองสูงสุดอยู่เหนือทุกดินแดน สวนทางกับความคิดของเวลอร์ที่เห็นว่ายิ่งมีพลังอำนาจมากปัญหาก็ยิ่งมาก หากชาวอินเวียโนแสดงพลังข่มแหงดินแดนอื่นอาจสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง เพราะคนเราหากหวาดกลัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนถึงที่สุดก็จะรู้สึกอยากกำจัดทิ้งไปซะ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเช่นเดียวกับชาวอินเวียร์โนที่มีเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในเอสทีเรียด การอยู่อย่างสงบจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

    "ฝ่าบาทรู้ใช่ไหมว่าพวกฟอสโกตั้งใจจะทำอะไร" เดปถาม

     "รู้ แต่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่ อาจจะเร็วๆ นี้ เพราะข้างนอกนั่นมีข่าวการจู่โจมของพวกไวด์โซลให้ได้ยินหนาหูกว่าเมื่อก่อน" เวลอร์ตอบเสียงเครียด "คงต้องหยุดมันก่อนที่กองทัพพวกไวด์โซลจะขยายมากกว่านี้"

     "ให้พวกเราช่วยเถอะพะยะค่ะ" 

    "แล้วชาวเมืองที่เหลือละ ฉันไม่อยากพาพวกเขาไปลำบากอีกแล้ว แล้วถ้าเกิดพวกท่านตามเรามาหมดใครจะดูแลไทวาส คนหมู่มากต้องมีผู้นำนะ"

     "หม่อมฉันกับลิเบียจะอยู่นี่เองพะยะค่ะ แล้วให้เรน่ากับเดปและคนของเราส่วนหนึ่งติดตามฝ่าบาทไป" ดาเรียนบอก

     "แต่คนอื่นๆ ที่พวกท่านบอกอาจไม่เต็มใจ"

     "ฝ่าบาท กระหม่อมมั่นใจว่าทุกคนเต็มใจที่จะติดตามไป อีกอย่างพวกเราก็ทำเพื่อตัวเองด้วย คิดดูสิพะยะค่ะ หากพวกนั้นสร้างกองทัพสำหรับแล้วยึดครองเอสทีเรียด ไม่ช้าเราเองก็จะถูกรุกรานเช่นกัน ต่อให้เราซ่อนตัวแต่สุดท้ายคงถูกพบอยู่ดี ชาวอินเวียโนคงไม่อยากอยู่แบบขลาดกลัวไปจนตายหรอก ให้เราช่วยเถอะพะยะค่ะ" เดปว่าพลางเลื่อนตัวลงจากโซฟามาคุกเข่าตรงหน้าของเวลอร์และคนอื่นๆ จึงทำตาม

     "ได้โปรดเถอะ ฝ่าบาทเปรียบเสมือนพ่อของพวกเรา หากปล่อยให้ต้องลำบากอยู่พระองค์เดียวเราคงเหมือนลูกที่เนรคุณ" เรน่าอ้อนวอน 

     "ฝ่าบาทอย่าลืมว่าท่าฟาเรสเองก็ต้องเดินทางไปด้วย ไม่ห่วงพระองค์เองก็ห่วงท่านฟาเรสด้วยเถิด อย่างน้อยถ้ามีกำลังมากท่านฟาเรสเองก็เสี่ยงน้อยลง" ราชาคิเมร่านิ่งคิดตามที่ดาเรียนบอกซึ่งมันก็จริง 
 
     "อืม ขอบคุณพวกท่านมากลุกเถอะได้โปรด" สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้นอกจากสะสางเรื่องเก่าให้เสร็จนั่นคือชีวิตของคนรัก

     "อะ เอ่อขอบคุณครับที่เป็นห่วง" ฟาเรสบอกอย่างอายๆ คนแก่กว่ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าทำตัวไม่ถูกเลย

     "หึๆ ด้วยความเต็มใจครับ...องค์ราชินี" ดาเรียนยิ่มล้อพลางค้อมตัวน้อยๆ

     ฟาเรสตาโต ...หะ ใครราชินี ไม่เอาอะ ฟังดูเเต๋วชะมัด...  o22


     รู้สึกพิลึกที่โดนเรียกแบบนั้น แต่แบบมันเขินๆ ยังไงชอบกล 


..............................

-หวานนิดๆ สาระหน่อยๆ แล้วกันเนาะ

-ตอนหน้าเอาไงดี มาวิคมะ ? :katai2-1: หรือเนื้อเรื่องหลักต่อไป
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 25-05-2016 23:27:03
แอร๊ยยย เขินนนนน :mew1:

จะต่อเรื่องขอใครก็ด้ายยย ชอบมั้งหมดเลยยยย  o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-05-2016 00:52:44
จะเอาอีกกกกก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 26-05-2016 02:07:10
ยังไม่จุใจเลยอ่ะ
ตอนหน้าขอมาวิคๆๆ อยากเห็นพี่เอ็นดูน้อง คริๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-05-2016 05:55:09
 :mew1:     น้องฟาเป็นราชินีแหละดีแล้ว
ขอมาวิคกับสามีค่ะ. 55555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: lovemongjang ที่ 26-05-2016 08:05:13
อย่างไหน ก็อยากอ่านหมดค่ะ เพราะสนุกมาก ชอบนิยายแนวนี้ ที่แต่งสนุกๆหาอ่านยากมากค่ะ พอได้เจอนิเปิดเข้ามาเพจแทบทุกวัน รอว่าอัพรึยัง ฮา~
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-05-2016 10:24:45
เรียกบ่อยๆอีกหน่อยก็ชินนะราชินีฟา :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 26-05-2016 10:59:02
มาวิคๆๆๆๆ  :hao6:  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: natt lUcky ที่ 26-05-2016 19:50:55
มาวิคน้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่23 100% P8 25-5-2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-05-2016 04:13:07
ตามมาอ่านเรื่องนี้ด้วยคน สนุกมากๆค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่24 (ไมเรค+มาวิค) P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 03-06-2016 17:10:53
บทที่ 24
[/b]

     "พี่ไมค์ รอผมด้วย"

     "ข้ามมาสิพี่รออยู่" เด็กชายตัวน้อยมองคนเป็นพี่ที่อยู่อีกฟากของลำธาร มีเพียงแผ่นไม้เล็กให้ข้ามผ่านไปยังอีกฝั่งเท่านั้น เพราะพ่อแม่เอาแต่ทำงานแถมยังไม่อนุญาติให้ออกไปเล่นนอกคฤหาสก์คุณชายตัวน้อยจึงไม่มีเพื่อนมากนัก จะมีก้แต่ไมเรคพี่ชายข้างบ้านที่อายุห่างกันเป้นสิบปี ที่มักมาเล่นด้วยเสมอ

     "ผะ...ผมกลัวตก"

     "ลูกผู้ชายต้องกล้าหาญสิ มาเร็วพี่รอรับอยู่" เด็กหนุ่มเร่งพลางยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อนยืนยันว่าเขารอรับอยู่จริงๆ เด็กชายมีท่าทีลังเลแต่ก็ยอมข้ามสะพานไม้มาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทันทีที่ร่างเล็กๆ เข้ามาใกล้ฝั่ง ไมเรคก็คว้ามาอุ้มทันที

     "เย้ ทำได้แล้ว" เสียงเล็กร้องดีใจ ดวงตาสีน้ำตาลเปร่งประกายสดใสทำให้คนมองต้องยิ้มตาม

     "เก่งมาก เราไปดูสวนดอกไม้ทางดนั้นกันเถอะ" ว่าแล้วก็อุ้มเจ้าตัวเล็กไปยังที่หมายทันที

     ที่สนิทกับเจ้าเด็กนี่เพราะพ่อแม่เขาเป้นเพื่อนกันแถมอยู่ยบ้านติดกัน เห็นมันมาตั้งแต่เด็ก เล่นด้วยกันก้บ่อย จนน้องชายต่างสายเลือดคนนี้ติดเขาแจ หลังเลิกเรียนหรือว่าวันว่างๆ ไม่ว่าจะไปไหนคุณชายตัวน้อยก็จะเดินตามเขาต้อยๆ ไม่ห่าง มันก็ถือเป็นช่วงเวลาสงบสุขของชีวิตแต่สุดท้ายเขาก็ต้องจาก เมื่อพ่อของเขาถูกสั่งให้ไปประจำการในเรดิเอนซี่ เด็กหนุ่มจึงต้องย้ายตามโดยไม่มีโอกาสได้ล่ำลามาวิคเลยแม้แต่น้อย



     "วันนี้พี่ไมค์ จะมาเล่นกับผมไหมครับ" เด็กน้อยถามพี่เลี้ยง หลังจากไม่เห็นหน้าพี่ไมเรคของเขาหลายวัน

     "เดี๋ยวก็มาค่ะ พี่ไมเรคไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับ" และทุกครั้งเด็กน้อยก็ได้คำตอบแบบนี้เสมอ


     มาวิคยังคงนั่งรอพี่ชายทุกวัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่ไมเรคของเขาจะกลับมา เด็กน้อยตระหนักได้ว่าคงถูกทิ้ง จากเด็กร่าเริงกลายเป็นซึมเศร้า จนเข้าโรงเรียนถึงดีขึ้น การได้มีโอกาสพบเจอผู้คนที่มากขึ้น ทำให้มาวิคเกือบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยรอใคร มาวิคที่เติบโตขึ้นเป็นคนร่าเริงสดใส เข้ากับคนง่าย และมีเพื่อนมากมาย เพื่อชดเชยวัยเด็กที่ว่างเปล่าของตนเอง


     ไมเรคได้มีโอกาศกลับมาที่เดสเซนท์อีกครั้ง เพื่อนร่วมฉลองการเข้ารับตำแหน่งของผู้ว่าเรนอสพ่อของมาวิค เด็กชายตัวน้อยที่บัดนี้โตเป็นหนุ่ม เจ้าสเน่ห์ด้วยรอยยิ้มสดใสที่แจกจ่ายอย่างทั่วถึง แต่การกลับมาพบกันอีกครั้งดันไม่สวยงามเท่าไหร่ มาวิคเองที่จำได้ลางๆ ว่าเคยรู้จักลูกของเพื่อนพ่อคนนี้เมื่อยังเด็ก รู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับท่าทางนิ่งๆ หยิ่งๆ ของเจ้าตัวเอาเสียเลย ก็ไม่รู้ทำไมแค่รู้สึกไม่ถูกชะตาเสียเฉยๆ ทำให้คำทักทายที่ควรจะมีให้กลายเป็นคำพูดจิกกัดกันไปเสียอย่างนั้น ไมเรคเองก็ไม่ใช่คนมีความอดทนจึงตอบโต้ไปบ้าง เลยทำให้เจ้าเด็กน้อยของเขาไม่ชอบหน้าเสียอย่างนั้น หลังจากการพบกันที่ไม่ค่อยราบรื่นครั้งนั้น ไมเรคที่เข้าทำงานในเอแวนการ์ดก็เข้าทำงานในเขตเรดิเอนซี่แทนบิดาที่ปลดกระเสียไปและไม่ได้เจอมาวิคอีกเลยจนกระทั้งตอนนี้




    "นี่จะเดินตามอีกนานไหม" เสียงฟึดฟัดไม่พอใจดังขึ้น

      "รู้ได้ไงว่าเดินตาม" ไมเรคยิ้มเยาะ ทำเอาอีกคนชักสีหน้าใส่ ก่อนจะก้าวยาวๆ หนีไปในฝูงชน ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินเล่นในตลาดของเมืองไทวาส เป็นวันว่างๆ ที่ไม่มีอะไรให้ทำ ไมเรคยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น คิดแล้วมันตลกแต่ก่อนไอ้คุณชายมักจะเป็นคนเดินตาม แต่วันนี้สลับตำแหน่งกันซะได้

     "ถามจริงเป็นบ้าอะไรถึงตามติดเป็นปลิงขนาดนี้" มาวิคหันมาถามหน้ายุ่ง ตอนนี้เราเดินหนีออกจากฝูงคนมาอยู่ในสวนสาธรณะกลางเมือง ชายนุ่งนั่งลงบนม้าหินตัวยาวกดอก จ้องมองอีกคนเขม็ง

     "แค่อยากอยู่ด้วย"

     "เป็นบ้าหรอ"

      "แล้วคิดว่าไงละ" ดวงตาสีน้ำตาลหรี่มองอย่างจับผิด แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่ออีกคนยิ้มตอบแถมยังถือวิสาสะนั่งลงข้างกัน นี่ถ้าไล่คงไม่ไปสินะ...เวรกรรมจริงๆ



     มาวิคอยากจะร้องออกมาดังๆ ด้วยความดีใจที่ตอนนี้ได้อยู่คนเดียวซักที เมื่อเย็นพวกเขาทั้งหมดทานข้าวเย็นด้วยกัน มันก็เหมือนทุกครั้งที่ต้องเห็นฟาเรสกับเวลอร์เขาสวีทกัน ก็เจ็บทุกทีให้ตายสิ คนไม่ถูกเลือกก็ต้องยอมรับชะตากรรมทำใจให้มันได้ ไม่รู้ทำไมฝังใจนักหนา คิดแล้วเซงเมื่อไหร่จะทำใจได้ พอดีเจอร้านเหล้าดีๆ ในเมืองที่ดาเรียนแนะนำมาเลยนั่งดื่มย้อมใจเผื่อจะดีขึ้น

     "พี่เลี้ยงไหม" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายในขณะที่มาวิคกำลังมึนได้ที่ ให้ตายเถอะ นี่ยังตามาหลอกหลอนอีกหรอ  ไมเรคนั่งลงข้างๆ ยิ้มนิดๆ ดูกวนอารมณ์พอตัวสำหรับเขา

     "จ่ายไหวก็สั่งมา" บอกอย่างไม่ใส่ใจ ไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงในตอนนี้
ไมเรคมองคนที่เอาแต่กระดกน้ำเมาเข้าปากอย่างเป็นห่วง ความรู้สึกคนเรามันเป็นเรื่องตลกนะ ตอนที่ห่างกันต่างคนต่างมีชีวิตมันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก อาจมีคิดถึงกันบ้างแต่ก็ไม่ได้จะเป็นจะตาย คิดถึงในฐานะน้องชายที่เขาผูกพัน แต่พอมาเจอกันอีกครั้งความรู้สึกต่างๆ มันดูจะเพิ่มมากขึ้น อยากจะอยู่ใกล้ อยากให้อีกคนสนใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกชอบไอ้เด็กนี่ บางทีอาจจะนานแล้วแต่ไม่เคยใส่ใจ

     "หึ สิ้นฤทธิ์แล้วสินะ" เสียงทุ้มว่าขำๆ พลางมองคนเมาที่ตอนนี้หลับฟุบไปกับเคาท์เตอร์ของร้าน นี่ถ้าปล่อยมาคนเดียวคงไม่ถูกทิ้งไว้แบบนี้หรือไง ชายหนุ่มจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก่อนจะแบบไอ้เด็กขี้เมาขึ้นหลัง แล้วเดินกลับที่พัก
ไมเรควางร่างที่เมาไม่ได้สติลงบนเตียง ไอ้เด็กน้อยของเขาโตขึ้นมาก ที่ยังเหมือนเดิมก็คงจะเป็น ผมสีน้ำตาลกับกับปากแดงๆนั่นละมั้ง มันโตมาหล่อขนาดนี้คงมีสาวเข้าหาไม่ขาดเลยสิท่า ได้แต่ข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ในใจก่อนเดินไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนเมา
 
     "ทำไมถึงต้องมาดูแลด้วย" คนที่ควรจะหลับ ลืมตามองเขาแล้วเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่สร่างดี

    "อยากทำ" เสียงทุ้มตอบเรียบๆ มือก็เช็ดตัวให้อีกคนที่นอนนิ่งๆ อย่างว่าง่าย  มาวิคที่ตอนนี้เหลือเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว อวดผิวกายอมชมพูอย่างคนสุขภาพดีตามแบบฉบับคุณชายเจ้าสำอางค์ ร่างกายสมส่วนมีกล้ามเนื้อแต่พองามอย่างคนที่ออกกำลังเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงบึกบึนอย่างพวกเขาที่ออกจะใช้ชีวิตสมบุกสมบันไปหน่อย ไมเรคพยายามตั้งสติไม่ให้ทำอะไรคนเมา แต่ไอ้ดวงตาสีน้ำตาลสวยที่เอาแต่จ้องมานี่สิ อยากให้เข้าจิตหลุดหรือไง

    "พี่ไมค์ชอบผมหรอ" สรรพนามใช้เรียกที่เปลี่ยนไป เหมือนกับที่เจ้าตัวมักใช้เมื่อยังเล็กทำให้รู้สึกดีใจ อย่างน้อยมาวิคก็ไม่ได้ลืมเขา

    "ใช่ ชอบมานานแล้ว" ...แต่ไม่รู้ตัว...

    "แล้วทำไมทิ้งผมละ" เสียงนุ่มสั่นเครือ "ทำไมคนที่ทำให้ผมรู้สึกดี ฮึก ทุกคน...ถึงไม่อยู่กับผมละ " มาวิคร้องไห้ออกมา สติมีน้อยเกินกว่าจะกักเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้ในใจ "ฟาเรสก็ไม่เลือกผม พี่ฮึก...ก็ทิ้งผม"

    "ชู่ จากนี้จะไม่ทิ้งแล้ว พี่จะอยู่กับเรา" ไมเรคบอกพลางเช็ดน้ำตาออกจากแก้มเนียน "ดูสิหมดหล่อเลย" ใครมาเห็นเขาในโหมดนี้คงช๊อคละมั้ง ใครจะรู้ละว่าหน่วยพิทักษ์หน้าดุแบบเขาก็อ่อนโยนเป็น

    "ไม่เชื่อ เดี๋ยวพี่ไมค์ก็ให้ผมรออีก" คุณชายเจ้าน้ำตาเบือนหน้าหนีเป็นเด็กๆ จนอีกคนได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ "เดี๋ยวก็ต้องกับเดสเซนท์ เด๋ยวก็ไม่เจอกันอีก"

     "เจอสิ" ไมเรคบอกเสียงจริงจัง พลางบังคับใบหน้าหล่อๆ ที่เปือนน้ำตาให้หันมอง ริมฝีปากแดงเม้มแน่นกลั้นเสียงสะอื้น ใบหน้าคมก้มลงจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากนั่น กดย้ำๆ มาวิคที่ตระหนกในตอนแรกก็ยอมเผยอปากให้อีกคนสอดลิ้นเข้ามาสัมผัสภายใน สัมผัสเชื่องช้าดูดดื่มปลอบประโลมจิตใจที่กำลังสับสน อาจเพราะรู้สึกอ่อนแอจึงพ่ายแพ้ต่อความอ่อนโยนที่อีกคนมอบให้ในรสจูบ รู้สึกดีกับมันจนไม่อาจปฏิเสธ

    "มัดจำไว้ก่อนนะ" ริมฝีปากร้อนผละออกอย่างเสียดาย แต่ไม่วายหอมแก้มนิ่มๆ  และจูบหน้าผากมนนั้นไปที แล้วกล่าวทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี "ที่เหลือพี่จะตามไปเอาที่เดสเซนท์ เอาละนอนซะ ฝันดีไอ้เด็กขี้แย"

     กับไมเรคก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วรู้สึกยังไง เพียงแต่ตอนนี้มันก็รู้สึกดี ไอ้อารมณ์เศ้ราเรื่องฟาเรสก็ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว บางทีเข้าควรจะลองเปิดใจ ให้โอกาสไอ้พี่ชายคนนี้อีกซักที หวังว่าครั้งนี้คงไม่ทิ้งให้รอเก้อหรอกนะ พอเริ่มสบายใจ ความง่วงก็เข้ามาแทน ขอนอนก่อนเหอะพรุ่งนี้จะเอายังไงค่อยว่ากัน


............................

-กลับมาแล้ว คิดถึงเราไหม คู่นี้ไม่อยากให้ยืดเยื้อเท่าไหล่ เพราะไม่ใช่คู่หลัก เอาพอน่ารักกรุปกริบเนอะ NC อืมมม ควรมีไหมอะคู่นี้

-ส่วนหนึ่งที่หายหัวไป ตอนนี้ ไรท์มีโครงการ พิมพ์ หนังสือจ้า แพลน จะพิมพ์ Night Knight อัศวินรัติกาล สำหรับแฟน ป๋ารอท และ โยนาห์ เราซุ่มเขียนตอนพิเศษไว้ด้วย (สาเหตุที่หายหัวจ้ะ  :hao5:) แต่ตอนนี้ยังไม่ได้สรุปแพลนอะไรแน่ชัด ไว้จะมาแจ้งข่าวอีกทีเน้อ

-สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ

-นี่เพจเราค่ะ เข้ามาเเชทได้นะ  :กอด1:

https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/ (https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/)
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 03-06-2016 18:40:33
 :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 03-06-2016 19:14:32
โอ้ว. ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
เราชอบคู่นี้นะ คนเคยมีความหลังต่อกันแต่ยังไม่ชัดเจนในความรู้สึก
น่าสานต่อเป็นอย่างยิ่ง อิอิ เราคิดถึงน้องแมวจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-06-2016 20:20:29
NC อย่าถามเลย คนอ่านหื่น  :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-06-2016 20:47:00
จ้าาาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 04-06-2016 16:58:06
 :-[ :-[
น่าร้าก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: Sarayu555 ที่ 05-06-2016 16:24:06
รอๆรอๆ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: sankkungzaaa ที่ 06-06-2016 05:30:43
อ่านรวดเดียวจบ!!!
ติดงอมแงมมากกกก
เอาคู่หลักมาต่อเถอะ พลีสสส :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 06-06-2016 16:26:39
แหมๆๆๆ มุ้งมิ้ง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่24 P9 3-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: titeaw ที่ 07-06-2016 15:46:31
เพิ่งมาอ่านครั้งแรกค่ะ
บอกตามตรงนิยายแนวนี้หาอ่านยากกก วายแฟนตาซีดีๆหาอ่านยากก
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ แต่งดี ไรท์ดูเก็บรายละเอียดดี รออ่านนะคะ

ปล. ชอบแผนที่เรื่องนี้ค่ะ สวยยยยย ไรท์ใช้อะไรทำคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 10-06-2016 00:53:06
บทที่ 25

     ฟาเรสอยู่ที่ไทวาสมาสี่วันแล้ว เอาจริงๆ ที่นี่ก็เป็นเมืองน่าอยู่มากเมืองหนึ่ง สวยงามและเจริญไม่ต่างจากเมืองใหญ่ๆ ที่อยู่ภายนอกหุบเขานี้ เวลอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการช่วยงานพวกดาเรียนซึ่งฟาเรสมักจะตามไปด้วยยกเว้นวันนี้ที่เวลอร์บอกให้เขาพักผ่อนอยู่ที่ห้อง เพราะเมื่อคืน...อะเอิ่ม ขอไม่เล่าได้ไหม มันน่าอาย เอาเป็นว่าไอ้คิเมร่านั่นบอกให้เขานอนเอาแรง การได้เห็นคนที่รักทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ  ทำให้ฟาเรสอดคิดไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุได้สิบหก แถมยังไม่เอาไหนอย่างเขาช่างไม่คู่ควรเอาเสียเลย

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

    เสียงเคาะประตูดึงความสนใจของครึ่งเอลฟ์ที่กำลังดื่มด่ำบรรยากาศเย้นสบายอยุ่ตรงระเบียง ขาสเรียวก้าวยาวๆ ไปเปิดประตู ดวงตาสีครามงุนงงอย่างถึงที่สุดเมื่อเห็นโฉมหน้าผู้มาเยือน 

    ไม่ใช่เพื่อนของเขา ไม่ใช่พี่ๆ จากหน่วยพิทักษ์และไม่ใช่พวกอดีตองครักษ์ แต่เป็นหญิงสาวห้าคนที่มองตอบเขามาอย่างประหลาดใจไม่แพ้กัน หนุ่มน้อยเพียงคนเดียวในที่นี้เกิดอาการประหม่าอย่างเสียไม่ได้ เพราะหญิงสาวทั้งห้าล้วนงดงามทั้งรูปร่างและหน้าตา

    "เอ่อ...มาหาใครครับ"

    "พวกเรามาหาฝ่าบาท" หญิงในนั้นตอบพร้อมยิ้มหวาน

    "เว...อ๊ะ ผมหมายถึงฝ่าบาท ออกไปข้างนอกกับพวกดาเรียนครับ" ฟาเรสบอก รู้สึกแปลกที่มีสาวสวยขนาดนี้มาถามหาคนรักตน 

    "แล้วนานไหมค่ะ ฝ่าบาทถึงจะกลับ" คนถูกถามนิ่งคิด นี่มันก็บ่ายสามบ่ายสี่แล้วเห้นเวลอร์บอกเขาว่าวันนี้กลับไวคงอีกไม่นาน

    "เข้ามารอด้านในก่อนก็ได้ครับ ซักพักก็น่าจะกลับแล้ว" 

    ฟาเรสเบี่ยงตัวหลบพลางผายมือเชิญหญิงสาวทั้งห้าเข้ามาด้านใน เดินนำไปยังชุดโซฟา ส่วนตัวเขาเองเดินเลยไปหยิบเหยือกน้ำพร้อมแก้วที่เตรียมไว้ตรงโต๊ะมุมห้องมาวางตรงโต๊ะของชุดรับแขก ของว่างคงไม่มีเพราะนี่คือห้องพัก อาหารมักถูกนำมาส่งให้ในแต่ละมื้อหากต้องการอะไรเพิ่มเติมต้องเรียกแม่บ้านเอามาให้ซึ่งฟาเรสก็ไม่อยากรบกวนใคร

    "ท่านเป็นสหายของฝ่าบาทหรือเจ้าค่ะ" หนึ่งในนั้นเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร สาวผมทองยิ้มกว้างดวงตาสีฟ้าสดใสใจดี 

    "เอ่อ ครับ เราเดินทางมาที่นี่ด้วยกัน" ฟาเรสตอบรับ

    "ดิฉันชื่อ ควิน ส่วนนี่น้องสาวชื่อ คาเวีย เธอคนนี้คือโรส อาเรส แล้วก็มอแกน" ว่าแล้วควินก็หันไปแนะนำร่างบางทางซ้ายที่ดุละม้ายคล้ายเธอ สาวผมแดงทางขวาชื่อโรส ถัดจากโรสคืออาเรสเจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนดูตัวเล็กน่ารักกว่าคนอื่นๆ และคนสุกท้ายที่นั่งโซฟาเดี่ยวตรงข้ามชายหนุ่ม เจ้าของเรือนผมสีดำนัยน์ตาสีน้ำเงินสมชื่อมอแกน

    "ผมฟาเรสครับ"

    "พวกเราดีใจมากตอนที่ได้ข่าวว่าฝ่าบาทมาเยือนไทวาส ทั้งที่คิดมาตลอดว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว" คาเวียว่า พลางทำหน้าเศร้า "ราเสียใจกันมาก ที่ปล่อยให้ฝ่าบาททรงเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง ตอนนั้นเราถูกบังคับให้ออกมากับพวกผู้อพยพ และคิดว่าไม่นานพระองค์คงตามมา แต่แล้วก็ได้รับข่าวร้าย"

    "แต่ตอนนี้ เว เอ่อ ฝ่าบาทของพวกคุณสุขสบายดี อย่ากังวลไปเลยครับ" ครึ่งเอลฟ์หนุ่มเอ่ยปลอบ สาวงามนั่งเศร้าอยู่ตรงหน้าจะให้นิ่งเฉยได้อย่างไร "พวกคุณดูสนิทกับเวจังนะครับ"

    "อืมมม จริงๆ แล้วพวกเราทั้งห้าเป็นสนมในกษัตริย์วาเลเรียสเจ้าค่ะ"

    "สนมของเว" ฟาเรสพึมพำ รู้สึกมึนตึงไปหมด สนมก็คือเมียผู้หญิงทั้งห้าคนนี้เป็นเมียของเวลอร์ ถึงจะเป็นอดีตแต่ก็ทำให้เขารู้สึกแย่ขึ้นมาดื้อ 

    "ใช่เจ้าค่ะ ที่เรามากันวันนี้ เพราะจะกลับมาถวายการรับให้ฝ่าบาทดังเดิม" เสียงเล็กๆ ของอาเรสอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่คนฟังอย่างฟาเรสนี่อยากจะเป็นลมเอาให้ได้ 

    "เอ่อ ท่านฟาเรสเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าค่ะ" ควินถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเจ้าของห้องเงียบไป

    "เปล่า แค่ตกใจไม่คิดว่าเวจะมี...เอ่อ  สาวๆ เยอะขนาดนี้" ตกใจมาก ตกใจจนอยากจะร้องไห้เลยละ อยู่ๆ วันหนึ่งอดีตเมียของคนรักมาปากฏตัวตรงหน้าแล้วบอกว่าจะมาอยู่ด้วยคุณจะทำยังไง แถมนี่มาถึงห้าคนเกินที่เขาจะรับมือจริงๆ

    คนอื่นๆ ส่งยิ้มมาให้เขาอย่างขำขันในท่าที จะมีก็แต่มอแกนที่มองเขานิ่งๆ ด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่อยากจะอ่านได้คู่นั้น



    ก่อนที่ฟาเรสจะบ้าตายกับสถานการณ์ตรงหน้า ตัวต้นเรื่องก็กลับมา เวลอร์ดูประหลาดใจเมื่อเห็นหญิงสาวทั้งห้าภายในห้อง พวกเธอทั้งหมดลุกขึ้นแสดงความเคารพเขาแล้วนั่งลง คิเมร่าหนุ่มเดินมานั่งของเท้าแขนของโซฟาที่ฟาเรสนั่งเพราะทุกที่นั่งถูกจับจองเต็มหมดแล้ว

    "ไม่ต้องลุก ฉันนั่งได้" เสียงทุ้มเอ่ยห้ามเมื่อมอแกนทำท่าจะสละที่นั่งให้ "สบายดีใช่ไหมพวกเธอนะ"

    "ก็ดีเพคะ พวกเราทุกคนสุขสบายดี"

     "ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจ ขอโทษพวกเธอทุกคนด้วยทั้งที่เคยอยู่กันอย่างสะดวกสบายในรั้วในวังต้องมาลำบากเพราะฉัน" เวลอร์กล่าว เขาห่วงพวกเธออยู่เหมือนกันว่าจะเป็นยังไงกันบ้างหลังสงคราม แม้จะไม่ได้รักแต่ก็ผูกพันเพราะอดีตนางสนมเหล่านี้คอยปรนนิบัติรับใช้เขามานาน

    "ขอบคุณที่ยังทรงห่วงใยพวกเราทุกคนเพค่ะ" ทั้งห้าตอบกันอย่างพร้อมเพียง

    "ที่พวกเรามาวันนี้เพราะจะมาถวายการรับใช่ฝ่าบาทดังเดิม หวังว่าจะทรงเมตตา" ควินบอกความประสงค์  เวลอร์มองหน้าคนรัก ใบหน้าใสเบือนหนีไปอีกทาง ดวงตาสีครามสั่นไหวเพราะรู้สึกกลัวคำตอบของอีกคน ยิ่งท่าทีห่วงใยที่ร่างสูงมีให้หญิงสาวทั้งห้านั่นยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจ

    ริมฝีปากหนายิ้มบางพลางบีบไหล่คนรักเบาๆ อย่างให้กำลังใจเมื่อเห็นสีหน้าอีกคนไม่สู้ดี นี่ขนาดมาแนะนำตัวกันเฉยๆ เด็กน้อยยังหน้างอขนาดนี้ ขืนรับมาคงได้เห็นคนน้อยใจร้องไห้งอแงก็เป็นได้

    "ขอบคุณพวกเธอทุกคนมาก แต่ฉันรับไว้ไม่ได้" ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ฟาเรสเบาใจขึ้นมาหน่อย

    "ทำไมละเพค่ะ"

    "ฉันไม่ใช่กษัตริย์อีกต่อไป ตอนนี้ฉันคือเวลอร์ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง พวกเธอไม่จำเป็นต้องมาคอยรับใช้อีกแล้วละ" เวลอร์อธิบายถึงสถานะของตนในตอนนี้ เขาก็แค่คนคนหนึ่งที่อยากจะสะสางสิ่งเก่าๆ ที่ค้างคาให้หมดสิ้น และใช้ชีวิตอย่างสงบกับคนที่รัก 

    ควิน คาเวียและโรสมีท่าทีลังเล เพราะทั้งสามที่มาเพราะอยากได้ชีวิตสุขสบายกลับคืน เพราะตั้งแต่อพยพมาเธอก็กลายเป็นเพียงคนธรรมดาทั้งที่ลูกขุนนางแบบพวกเธอไม่คิดว่าจะต้องมาลำบากขนาดนี้ในชีวิต เมื่อได้ยินข่าวของกษัตริย์วาเลเรียสจึงมีความหวังขึ้นมา

    "ต่อให้เป็นอะไรหม่อมฉันก็ยังยินดี" อาเรสยังคนยืนยันคำเดิม 

    "ฉันมีคนที่รักแล้ว อาเรส"

    "แต่หม่อมฉันก็เป็นของฝ่าบาทเหมือนกันนะเพค่ะ เป็นเมียฝ่าบาทเหมือนกัน" อาเรสยังคงดื้อดึง เธอถือเป็นน้องเล็กในบรรดาสนมทั้งหมดจึงค่อนข้างเอาแต่ใจ

    "อาเรส!!!" มอแกนที่เงียบอยู่นานเอ่ยปราม ท่าทีสงบนิ่ง ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นๆ "หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทลำบากใจ ยินดีด้วยที่ฝ่าบาทได้เจอคนที่รักจริงๆ" เธอสบลึกเข้าไปในดวงตาสีครามของฟาเรสอย่างมีความหมาย ริมฝีปากสวยยิ้มบางๆ มาให้ เพราะรู้ดีว่ากษัตริย์ของเธอไม่ได้รักราชินีของตนในแบบที่ควรจะเป็น แต่ต้องทนอยู่เพราะหน้าที่

    "ขอบคุณที่เข้าใจฉันมอแกน" เวลอร์ตอบยิ้มๆ เธอคนนี้คงดูออกว่าฟาเรสเป็นอะไรกับเขา มอแกนมักเป็นแบบนี้เสมอ ในบรรดาสนมทั้งห้าเธอมักจะเป็นที่ปรึกษาให้เขายามลำบากใจ

    "ขอบพระทัยเพค่ะ"

    "อยากใหพวกเธอรู้ไว้ว่าฟาเรสคือคนรักของฉัน" คนถูกแนะนำตาโต ไม่คิดว่าจู่ๆ จะเปิดตัวกันแบบนี้ หญิงสาวที่เหลือกก็ดูประหลาดใจไม่แพ้กัน "ดังนั้นฉันเองก็ไม่อยากทำให้เขาต้องเสียใจด้วยการมีคนอื่น หวังว่าจะเข้าใจกันนะ"

    "แต่...หม่อมฉันรักฝ่าบาท และรอ รอมาตลอด ไม่ต้องรักอาเรสก็ได้ ขอแค่อาเรสได้อยู่ด้วยก็พอ ได้ไหมฝ่าบาท ได้ไหมท่านฟาเรส" ดวงตาคู่สวยคลอน้ำตา ภาพตรงหน้าทำเอาฟาเรสรู้สึกอึดอัดใจไปด้วย สงสารเธอนะแต่จะให้แบ่งปันเวลอร์ไปเขาก็ไม่ต้องการเช่นกัน

เวลอร์ถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนจะเดินไปคุกเข่าตรงหน้าหญิงสาวร่างเล็ก มือใหญ่เอื้อมไปเช็ดน้ำตาจากแก้มเนียนอย่างอ่อนโยน

    "ขอโทษที่ให้รอนะ แต่ความรักขอเธอฉันคงรับไว้ไม่ได้" เสียงทุ้มนุ่มปลอบโยนแต่ยังคงหนักแน่นในความรู้สึกตน "เก็บมันไว้ให้คนที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้เธอดีกว่านะ"

    "หม่อนฉันฮึก...หม่อมฉันจะพยายาม"

    "เธอเป็นคนน่ารักรู้ไหม หวังว่าจะเจอผู้ชายโชคดีคนนั้นไวๆ" คนตัวเล็กพยักหน้ารับทั้งน้ำตา มีมอแกนลูบหลังคอยให้กำลังใจอยู่ข้างกัน



    แล้วบรรดาสาวงามก็ออกจากห้องไปหลังจากพูดคุยกันต่อเล็กน้อย ฟาเรสถอนหายใจอย่างโล่งอก ร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียงแรงๆ รู้สึกแย่ชะมัด อดเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเธอเหล่านั้นไม่ได้ เวลอร์ยิ้มขำเมื่อใบหน้าหวานยุ่งเหยิงเพราะคิดอะไรมากมายในหัว คนตัวโตนั่งลงข้างกันแล้วอุ้มเอาเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตัก 

    "คิดอะไรอยู่ หืม..."

    "ไม่เสียดายหรือไง" ฟาเรสถาม คิ้วสวยขมวดมุ่นหากัน ริมฝีปากอิ่มเม้มนิดๆ แสดงออกรุนแรงว่าไม่สบายใจ แต่ก็ดูน่ารักดีในสายตาคิเมร่าหนุ่ม

    "เสียดายอะไร" เวลอร์แกล้งซื่อ

    "ก็สาวๆ พวกนั้นไง"

    "ทำไมต้องเสียงดายละ"

    "ก็สวยขนาดนั้น พูดก็เพราะ ดูท่าทางเอาอกเอาใจเก่งด้วย ซึ่งฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยซักอย่าง คงจะสู้พวกเธอไม่ได้หรอก" ฟาเรสว่าเสียงขุ่นก่อนที่มันจะแผ่วลงในช่วงปลายอย่างไม่มั่นใจ เรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนด้วยความเอ็นดู

    "ทำไมจะสู้ไม่ได้ละ ฟาร์นะมีดีตั้งหลายอย่างไม่รู้ตัวหรือไง" ดวงตาสีอำพันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายซึ่งถูกถ่ายทอดไปยังดวงตาสีครามอีกคู่

    "อะไร...บ้างที่ดี" ฟาเรสก็อยากรู้ว่าทำไมเวลอร์ถึงเลือกเขา

     "อืมมมมมม" ใบหน้าคมมีท่าทีครุ่นคิด หน้าตา...จะว่าสวยก็ไม่ใช่ แบบฟาเรสเรียกงดงามสิถึงจะถูก "สีผิว สีผมของฟาร์มันทำให้เหมือนมีแสงอยู่รอบตัวตลอดเวลา เหมือนแสงสว่างท่ามกลางความมืด"

    "เว่อนะ" ฟาเรสว่ารูแปลกที่ถูกบรรยายออกมาแบบนี้

    "ชอบทำตัวน่ารัก ปากก็แดง น่าจูบ" เวลอร์ยิ้มหล่อแล้วจุ๊บปากนิ่มๆ ยืนยันสิ่งที่พูดทำ "ตัวก็นิ่ม กอดแล้วอุ่น หอมด้วย" พูดเสร็จก็หอมแก้มเนียนไปอีกฟอด หอมจริงหอมจังอย่างปากว่า ใบหน้าเนียนแดงเรื่อ ฟาเรสนี่เขินจนต้องซุกหน้าหลบสายตาซุกซนด้วยความอาย

    "ฮือ...บ้า"

    "เสียงก็นุ่มน่าฟัง โดยเฉพาะเวลาครางยิ่งน่า...โอ๊ยย!!!!" คนตัวโตร้องลั่นเมื่อถูกอีกคนหยิกแขนแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว หวานได้แปปเดียวแม่งกลับมาหื่นอีกแล้ว

    "เข้าเรื่องตลอด" ฟาเรสอุบอิบเสียงเบา

    "ฮะ อะไรนะที่รัก ไม่เชื่อหรอ..." แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะดันคนบนตักราบไปกับฟูกนุ่ม ริมฝีปากหนายกยิ้ม ดวงตาแพรวพราวน่าหมันไส้ "งั้นมาพิสูจน์กัน...."

    "ไอ้บ้าเว!!!...อื้อ"

.....................................

-
เพิ่งมาอ่านครั้งแรกค่ะ
บอกตามตรงนิยายแนวนี้หาอ่านยากกก วายแฟนตาซีดีๆหาอ่านยากก
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ แต่งดี ไรท์ดูเก็บรายละเอียดดี รออ่านนะคะ

ปล. ชอบแผนที่เรื่องนี้ค่ะ สวยยยยย ไรท์ใช้อะไรทำคะเนี่ย

ตอบ : Photoshop ผสมกับ Illustration

- ตอนนี้อยากเขียนอะไรหวานๆ อิอิ  :katai2-1: เรื่องชื่อของเวลอร์อรกชื่อนะค่ะ ไรท์เขียนผิดมาตลอด จริงๆ ต้องอ่านว่า วาเลเรียส Valerious แปลว่าแข็งแกร่ง ทรงพลัง

- เราได้งานใหม่แล้วนะ ทำงานโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือ ส่วนใหญ่เป็นนิยาย มีงานออนดีมานด์ด้วย แอบอ่านนิยายคนอื่นที่เอามาพิม มีหยังสือฟรีให้อ่านเพียบ ฟิน.... :hao6:  แถมยังได้ประสบการณ์ในการทำรูปเล่มเเพคเก็ท ตั้งแต่การดีไซต์ ไปยันกันทำบล๊อกอัพจัดเพลท หวังว่าจะได้เอามาใช้กับงานตัวเองนะ  :katai5:

-เอารูปลุงมาฝาก

(http://upic.me/i/k7/valerious.jpg) (http://upic.me/show/58644768)

หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-06-2016 01:58:51
เกือบไปมั้ยละ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 10-06-2016 02:43:38
ดีนะไม่รับสนมไม่งั้นมีคนงอนอีกนาน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-06-2016 05:43:32
ยินดีด้วยกับงานใหม่ค่ะ. เกือบไปนะลุง. เห้อ
ฟาน่ารัก.  หลงขนาดนี้จะทิ้งขว้างได้ไง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 10-06-2016 07:07:42
ลุงทำดีแต่ไม่วายหื่นอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-06-2016 07:57:16
อิลุงนี่ก็หาเรื่องจับน้องกินตับตลอด
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-06-2016 09:16:16
นึกว่าจะมาม่าซะแล้ว  :เฮ้อ: ดีนะที่เวไม่รับ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: sosad ที่ 14-06-2016 23:12:41
 :mew1: :mew1: :mew1:
 :z13: :z13: :z13:
 :call: :call: :call:
 :t3: :t3: :t3:
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่25 P9 10-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 16-06-2016 23:16:38
เวนี่เนียนตลอดๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Chill บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 18-06-2016 01:28:11
บทที่ 26

   ช่วงเวลาในดินแดนแห่งฝันได้หมดลง ถึงเวลาที่ทุกคนต้องกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิด เช้าในวันที่อากาศสดใสเราเดินทางออกจากหุบเขาแสนสงบอันเป็นที่ตั้งของไทวาสสู่ทะเลซายโอซี่ ด้วยสมาชิกที่เพิ่มขึ้นมากตอนมาทำให้การเดินทางไม่ได้รวดเร้วเท่าไหล่นักคาดว่าอาจใช้ถึงสี่วันกว่าจะถึงเมืองหลวง โอซี่กับลูนจึงอาสาเป็นม้าเร็วล่วงหน้าไปก่อนเพื่อนไปตะเตรียมที่พักและแจ้งข่าวให้กับกษัตริย์อลูคัส

   คาราวานของเหล่าผู้กล้าเดินทางออกจากดินแดนร้างโดยเลี่ยงเส้นทางที่จะผ่านหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุ โดยวางแผนว่าจะทยอยกันเข้าเมืองเพื่อความแนบเนียน เพราะไม่รู้ว่ามีคนของพวกฟอสโกอยู่ที่ไหนในแอสทีเรียดบ้าง จะให้พวกนั้นรู้ว่าเหล่าชาวอินเวียโนเริ่มรวมตัวกันไม่ได้ ส่วนเรื่องตัวตนของเวลอร์นั้นไม่มีอะไรน่าห่วงนักเพราะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของกัตริย์วาเลเรียสเว้นแต่บรรดาเพื่อนสนิท ซึ่งในบรรดาพวกฟอสโกเห้นจะมีเพียงริคัทโตเท่านั้นที่รู้ว่าอดีตกษัตริย์แห่งอินเวียโนหน้าตาเป็นเช่นไร

   "เห็นทีเราต้องหยุดพักก่อน" ไมเรคว่าพลางมองพายุทรายเบื้องหน้าที่เริ่มก่อตัว มวลทรายมหาศาลที่ถูกลมหอบสู่อากาศมืดครื้มจนบดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังจ้าของเวลาเที่ยววัน

   "เขาหินทรายตรงนั้นน่าจะพอกันแรงปะทะจากพายุได้" อาเดนบอก พลางชี้ไปยังเนินหินขนาดกลางที่อยุ่ห่างออกไปไม่ถึงกิโลเมตร

   ทุกคนจึงตรงไปยังจุดนั้นเพื่อตั้งแคมป์โดยเลือกปักหลักกันที่ตีนผาด้านตรงข้ามกับพายุที่กำลังเคลื่อนเข้ามา เพื่อใช้ปราการธรรมชาติเป็นเกราะป้องกัน โชคดีที่ตรงจุดนี้มีโอเอซิส ทำให้พวกเขามีน้ำใช้และเติมส่วนที่เริ่มร่อยหรอระหว่าการเดินทาง เต็นท์ผ้าใบใหญ่เล็กถูกกางออกหลายหลังเพื่อใช้ป้องกันฝุ่นทรายที่กำลังถาโถมเข้ามา ดูจากขนาดของพายุกว่าจะได้เดินทางอีกทีคงพรุ่งนี้

   "ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะหากพวกเธอจะมาหลบด้วยกัน" เวลอร์ว่าพลางเงยหน้าขึ้นไปตามแนวผาเหมือนพูดกับใครซักคนที่อยุ่บนนั้น

   "นายพูดกับใครนะ" พรีมมองตามสายตาเพื่อนไป

   เหยี่ยวสีดำตัวหนึ่งบินโฉบลงมาจากยอดผาสู่พื้นเบื้องล่าง เวลอร์คว้าเอาผ้าผืนใหญ่จากหลังม้ามาถือไว้ ทันทีที่เหยี่ยวตัวนั้นถึงพื้นกลับกลายร่างเป้นหญิงสาวงดงามผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงินลึกล้ำ ผ้าถูกใช้คลุ่มร่างเปลือยเปล่านั้นไว้ มือเรียวกอบกับผ้าแนบชิดกับเรือยกายแล้วย่อทำความเคารพ

   "มอแกน!!!" ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ชัดๆ

   "ฉันพูดชัดเจนแล้วนะ ว่าไม่อาจรับพวกเธอมาไว้ข้างกาย" เวลอร์บอกเสียงนิ่ง ฟังดูเหินห่างและเย็นชา

   "หม่อมฉันไม่ได้มาในฐานะนางกำนัลเพค่ะ หม่อมฉันมาในฐานะชาวอินเวียโรคนหนึ่งที่อยากทำในสิ่งถูกต้อง" มอแกนกล่าว แววตาสีน้ำเงินเด็ดเดียวจ้องตอบร่างสุงตรงหน้า

   "ถ้านั่นคือความต้องการของเธอ" ราชาแห่งคิเมร่าทอดถอนใจ มอแกนมีสิทธิ์ที่จะมา

   "ขอให้หม่อมฉันได้เป็นกำลัง ให้หม่อมฉันได้ช่วยเหลือฝ่าบาทด้วยเพค่ะ"

   "ก็ได้ๆ แต่จากนี้ไป เรียกฉันว่าเวลอร์ พูดกับฉันเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันไม่ใช่กษัตริย์และไม่ใช่ฝ่าบาทของเธออีกต่อไปแล้วมอแกน" คนตัวโตยื่นขอแม้ที่เหมือนจะบังคับให้ทำตาม ในฐานะเวลอร์ เขาและมอแกนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เขาไม่ใช่กษัตริย์และเธอก็ไม่ใช่สนมที่อยู่ในความดูแล เป้นการย้ำชัดถึงสถานะปัจุบันเพราะไม่อยากให้ฟาเรสลำบากใจ

   "ได้เพค่ะ ฝ...เอ่อ ได้ค่ะ ท่านเวลอร์"

   "ท่านมอแกนเชิญทางนี้ค่ะ ไปพักที่เต็นท์ฉันก็ได้ เดี๋ยวจะช่วยหาของใช้จำเป็นให้" เรน่ารับอาสาดูแลผู้มาใหม่ จับจูงมือของอีกคนเดินนำไปที่เต็นท์

   การเดินทางล่าช้าไปหนึ่งวันจากที่คาดเพราะพายุทราย ทำให้กว่าจะมาถึงเมืองหลวงของเรดิเอนซี่กินเวลาไปถึงห้าวันเต็มๆ นั่นหมายถึงเหลืออีกไม่กี่วันก้จะเปิดเทอม เหล่านักเรียนฝึกหัดจึงต้องเดินทางกลับมหาวิทยาลัยอนิมาในเช้าของวันถัดมา โดยคนที่เหลือจะอยู่ในความดูแลของกษัตริย์อลูคัสแล้วจะเดินทางมาสมทบทีหลังที่เดสเซนท์โดยระหว่างนี้ทางผู้อำนวยการเอเบรียนกำลังมองหาฐานที่มั่นให้พวกชาวอินเวียดนได้พำนักและซ่อนตัว


........................................................

   เหล่านักเรียนฝึกหัดกลับมาเรียนตามปกติในเทอมสอง หากสิ่งที่ปรับเปลี่ยนไปคงจะเป้นเวลอรืที่ย้านมาอยู่ห้องเดียวกับฟาเรส ส่วนโอซี่ย้ายมาห้องเก่าของคิเมร่าหนุ่มเพราะมีลูนมาอยู่ด้วย ในห้องชุดรวมที่เคยอยู่กันสี่คนก็เหลือมาวิคที่ยึดห้องนอนหนึ่งไปคนเดียว และพรีมกับเซียที่ใช้อีกห้องเป็นเรือนหอ ช่างเป้นอะไรที่ลงตัวเสียจริง

   "น่ารัก แก้มก็นิ่ม นี่โดนไอ้โอซี่หลอกมาใช่ไหมเนี่ย" เสียงหวานใสของเซียคร่ำครวญไปกับความน่ารักของคิเมร่าตัวน้อย พลางกอดรัดฟัดเหวี่ยงลุนที่นั่งอยู่ข้างกันโดยไม่เกรงใจเจ้าของเขาเลย ตอนนี้ทุกคนขนขโยงกันมาอยู่ที่ห้องของฟาเรส เพื่อนเลี้ยงฉลองการกลับมาของพวกเขาทั้งห้าคน

   "อะไรใครหลอก ลูนอยากอยู่กับโอซี่ต่างหาก" ครึ่งออคแย้งพยายามจะดึงตัวเจ้าแมวกลับ ลูนเวลาไปข้างนอกจะอยู่ในร่างแมวแต่เวลาอยู่ในห้องก็จะอยู่ในร่างคน นั่นเพราะเจ้าคิเมร่าตัวน้อยไม่ใช่นักเรียนของที่นี่ โชคดีที่หอพักอนุณาติให้เลี้ยงสัตว์ได้จึงไม่ผิดสังเกตุ

   "รู้สึกตกกระป๋องยังไงไม่รู้" ฟาเรสบ่นหน้างอ

   "รู้สึกเหมือนกัน" แต่พรีมน่ายุ่งกว่า เพราะที่รักเขาคอยเอาใจเจ้าเพื่อนใหม่ไม่ห่างจนชักอิจฉา "ถ้าที่รักอยากหาอะไรกอดมาก มากอดผมเนี่ย"

   "ไม่เอาอะ กอดเบื่อแล้ว นายไม่ได้ตัวอ่อนนุ่มนิ่มแบบลูนนิ" ดวงตาสีม่วงมองตามคนพูดแบบงงๆ ตัวเซียหอมลูนรู้สึกว่าเธอใจดีจึงยอมให้เตะเนื้อต้องตัวได้ตามใจ

   "ถ้าผมอ่อนไม่แข็ง ที่รักก็อย่ามาบ่นแล้วกัน" พรีมบอกอย่างทะเล้น ทำเอาหญิงสาวคนเดียวในห้องหน้าแดงก่ำด้วยความอาย
   "ทะลึ่ง!!!!" ว่าแล้วก็ผละออกจากเจ้าแมวน้อยไปหยิกแขนคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว อีกคนก็แซวไม่เลิกส่วนอีกคนเขินแล้วชอบลงไม้ลงมือ แต่มีหรือพรีมมันจะหยุดชอบเสียอีกแกล้งให้คนรักอายเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทุกคนในห้อง แต่คนที่มักเฮฮามากกว่าใครกลับเพียงยิ้มน้อยๆ ดูสงบกว่าทุกที

   มาวิคเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ามืดดำนอกระเบียง ทำไมนะใบหน้าของใครบางคนถึงเข้ามารบกวนจิตใจไม่หยุดหย่อน ท่าทางกวนประสาทนั่น คำพูดที่บางทีก็ยียวนบางทีก็ดูห่วงใยอบอุ่น ยังดังชัดในความคิด เหมือนตอนเด็กๆ ที่ไม่เห็นไมเรคมาเล่นด้วย ไม่เข้าใจเหมือนกันทั้งที่ห่างกันไปนานมาก เขาเลิกคิดถึงเลิกถามหา มีเพื่อนใหม่ มีคนที่ชอบ เจอคนที่รักต่างคนต่างมีชีวิตแต่พอกลับมาเจอกับไอ้บ้านั่นกลับทำให้เขาคิดถึงได้อีกครั้ง

   "มาวิค....เฮ้!!!! มาวิค" คนที่กำลังจมอยุ่กับความคิดสะดุ้งเมื่อถูกเขย่าไหล่แรงๆ จากฟาเรส "เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดี"

   "อะ เอ่อ...เมื่อคืนนอนดึกนะเลยเบลอๆ" มาวิคยิ้มตอบ หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงปลื้มใจที่ฟาเรสให้ความสำคัญและเป็นห่วงแต่ตอนนี้กลับเฉยๆ

   "กลับไปพักก่อนก็ได้ พวกเราว่าจะอยู่ดื่มต่อซักหน่อย" เซียเสนอ "อยากจะลองมอมเหล้าเจ้าแมวน้อยดู" ริมฝีปากสีสดยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก

   "โอเค งั้นฉันขอตัวก่อนนะ อย่าดึกกันนักละพรุ่งนี้มีเรียน" มาวิคเอ่ยลาแล้วเดินออกจากห้องไป
   พรีมมองตามหลังเพื่อนไปอย่างเป็นกลังวล เขาเป็นเพื่อนกับมาวิคมาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน จึงรู้ดีว่าที่เพื่อนเขามีท่าทีแบบนี้เพราะใคร มาวิคในตอนนี้เหมือนกับตอนที่เจอกันใหม่ๆ ทั้งเหงาทั้งโดดเดี่ยว เหมือนเด็กหลงทางที่ถูกทิ้ง




   ...."ที่เหลือพี่จะตามไปเอาที่เดสเซนท์ เอาละนอนซะ ฝันดีไอ้เด็กขี้แย"...

   มาวิคยังจดจำรสจูบในคืนนั้นได้ดี หึ...บอกจะตามมางั้นหรือ นึกขำตัวเองในใจที่ไปคาดหวังกับคำพูดของไมเรค ทั้งที่อีกฝ่ายเคยทิ้งเขาไปโดยไม่ลาซักคำ ในวันที่ขึ้นเรือเหาะจะเดินทางกลับมาเดสเซ็ทน์อีกคนก็ไม่แม้แต่จะมาส่งด้วยซ้ำ คงถูกทิ้งให้รอแบบที่เคยเป็น ทำใจให้ลืม ท่าทางใจดี ท่าทางที่ทำเหมือนว่าเขาสำคัญนั่น เขาจะลืมมันได้ไม่ช้าก็เร็วแบบที่เคยทำได้ในอดีต
   "นายกินน้อยจัง" เซียเอ่ยทักในมื้อเช้าที่พวกเขาทุกคนรวมตัวกันอยุ่ในดรงอาหารชั้นล่างของตึก

   "มันไม่ค่อยอร่อย" มาวิคว่าพลางมองสปาเก็ตตี้ในจานที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งของตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยากอาหารเท่าไหร่

   "ปกติชอบกินร้านนี้ไม่ใช่หรอ"

   "เอิ่ม วันนี้สงสัยคนทำคนผิดสูตร แหะๆ" มาวิคยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อนในโต๊ะที่จ้องเขาเป็นตาเดียว

   "ช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า" ฟาเรสถามอย่างเป็นห่วง สามสี่วันมานี้เพื่อนเขาดูซึมๆ ไป

   "ก็นิดหน่อยนะ เทอมสองเรียนหนักขึ้น เลยกังวล"

   "อืมมม อย่าเครียดมากดูพรีมกับโอซี่สิ ชิวจะตาย" ฟาเรสว่าพลางตบไหล่ให้กำลังใจ พรีมหรี่ตามองมาวิคอย่างจับผิดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร




   วันนี้เหล่านักศึกษาภาควิทยาการการทหารปีหนึ่งได้มารวมตัวกันที่ลานประลองด้านหลังตึกในวิชาการต่อสู้ระยะประชิด มาวิคแทบจะไม่มีสมาธิฟังอาจารย์พูดเลยเพราะมัวแต่คิด คิดถึงคนเฮงซวย มันทำให้อะไรๆ รวนไปหมด ขนาดตอนวอร์มร่างกายยังเผลอสะดุดล้ม จนพาลโกรธตัวต้นเหตุแช่งชักหักกระดูกในใจ โดยปฏิญาณเอาไว้เลยว่าชาตินี้จะไม่เจอหน้ามันอีก...ไอ้เวรไมเรค ไอ้คนไม่รักษาคำพูด ไอ้ๆๆๆๆๆ

   "เฮ้ย....เพื่อน" พรีมเรียกคนข้างกาย แต่อีกคนยั่งนั่งนิ่งมองนกมองฟ้าไปเรื่อย "มาวิค เฮ้!!!"

   "เอ้อ ว่าไง" คนโดนเรียกสพดุ้งหลังจากผ่านไปสามสี่ครั้ง

   "เป็นไรช่วงนี้เหม่อๆ" โอซี่ทัก เขารู้สึกถึงความผิดปกติมาซักพักแล้วแต่ไม่อยากก้าวก่าย

   "คิดถึงไมเรคละมั้ง" พรีมตอบแทย ทำเอาตัวต้นเรื่องตาโตเพราะเพื่อนเดาถูกเผลง

   "บ้า จะไปคิดถึงไอ้เวรนั่นทำไม"

   "อ่าวก็อาจเหงา ไม่มีคนให้เถียง" พรีมว่าต่อ "ไม่ใช่แขวะกันไปเถียงกันมาจะได้กันเองหรอกนะ"

   "เพ้อเจ้อวะ" มาวิคว่าพลางชันเข่าขึ้นมากอด เพราะตอนนี้นั่งกันอยุ่บนพื้นหญ้า ดวงตาสีน้ำตาลจ้องไปข้างหน้าที่อาจารย์กำลังบรรยายอะไรซักอย่างที่เขาเองก็เพิ่งจพสนใจฟัง

   "วันนี้เรามีวิทยากรพิเศษ จากหน่วยพิทัก์มาช่วยสอนการต่อสู้ให้" อาจารย์ว่าพลางมองไปยังประตูที่ทางออกอัฒจันทร์

   ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบของเอแวนการ์ดสี่คนเดินออกมา หากแต่หนึ่งในนั้นทำเอามาวิคนิ่งงัน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคมกล้ามองมาทางเขา เหมือนเจือไว้ซึ่งความยินดีอยู่ในนั้น...ไมเรคกำลังมองมาที่เขา ใบหน้าดุดันคร้ามแดดที่คุ้นเคยทำเอาก้อนเนื้อในอกเต้นแรงขึ้นทันใด จู่ๆ ก็ตื่นเต้นไม่รู้ว่าเพราะดีใจหรือเพราะประหลาดใจกันแน่

   "คนทางซ้ายเท่เนอะ"

   "ดูหุ่นเขาสิ น่ากินชะมัด"

   "หน่วยพิทักษ์หรอ ยังหนุ่มอยู่เลย ท่าทางจะ แข็ง...แรงไม่เบา"

   "เสียงซุบซิบของสาวๆ ในคลาสดังเข้ามาให้ได้ยินไม่ขาดซึ่งเจ้าของเรื่องก็คงไม่พ้นหน่วยพิทักษ์คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายสุด หนุ่มที่สุด ตัวใหญ่ที่สุดและดูดีที่สุด มาวิคอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น

   "ไอ้ขี้เก๊ก"

   "ทำเป็นด่า ดีใจละสิไม่ว่า" พรีมแซว


   อาจารย์ให้นักเรียนแบ่งเป็นสี่กลุ่มโดยให้หน่วยพิทักษ์เข้ามาสอนกลุ่มละคนซึ่งแน่นอน ไมเรคเดินตรงมาทางมาวิคทั้งที่ยังจับกลุ่มกันไม่เสร็จด้วยซ้ำ ซึ่งส่งผลให้สาวๆ พยายามแย่งกันเข้ามาอยู่กลุ่มนี้ โอซี่กับพรีมทักทายอาจารย์ชั่วคราวนิดหน่อยตามประสาคนรู้จักกัน

   "เวลาจะเตะ ควรตั้งท่าแบบนี้แล้วยืดขาไปแบบนี้" ไมเรคอธิบายพลางช่วยจัดท่าทางให้นักเรียนหญิงคนหนึ่ง ซึ่งสาวเจ้าก็ดูชอบอกชอบใจแกล้งบนเบียดตัวใส่อย่างเชิญชวน

   "อ๊ะ ไม่ถนัดเลยค่ะอาจารย์ " เสียงหวานกระเง้ากระงอด สบสายตาไมเรคอย่างสื่อความหมาย แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากทำเอาเธอคนนั้นหน้ซับสีขึ้นทันใด เมื่อเห็นท่าทางเป็นมิตรของอาจารย์รูปหล่อจึงทำให้นักเรียนหญิงคนอื่นพากันไปรุมล้อมอย่างชอบใจ

   ไมเรคยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่เพราะสาวๆ ที่ล้อมกาย แต่เพราะใครอีกคนที่กำลังกอดอกยืนมองอยู่ห่างด้วยสีหน้าไม่พอใจ มาวิคจ้องเขม็งมาทางเขา ขมุบขมิบด่าบ้างละ เบ้ปากใส่บ้างละ คิดแบบเข้าข้างตัวเองเลยแล้วกันว่าน้องมันกกำลังหึงเขาอยู่ การที่ผู้ชายตัวไม่เล็กมายืนทำท่าทางฟึดฟัดอยู่ใกล้ๆ สำหรับคนอื่นอาจชวนขนลุก แต่สำหรับมาวิคเขากลับมองว่าน่ารักน่ามองทีเดียว เข้าทางคนชอบแกล้งละทีนี้

   "อาจารย์ค่ะ เอิ่ม..." จวบจนเวลาเลิกคลาสในตอนที่ทุกคนกำลังแยกย้าย หนึ่งในนักเรียนหญิงเข้ามาคว้ามือเขาไว้ "ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจนี่ หนูปรึกษาอาจารย์นอกเวลาได้ไหม" สายตาหวานเชื่อมเชิญชวนนั่นเขารู้ดีว่าคืออะไร ไมเรคมองเลยไปยังอีกคน มองมาที่เขาแบบเคืองเลยก่อนอาการอยากเล่นจึงหันหลับมาตอบคนช่างอ่อยด้วยน้ำเสียสุภาพเอาใจ

   "ยินดีครับ" แต่เหมือนวันนี้เล่นเยอะเกินไป เพราะมองกลับไปอีกทีมาวิคก็หายไปแล้ว...สงสัยจะงอน


................................................


   มาวิคหนีมาเข้าห้องน้ำ จัดการธุระตัวเองเสร็จก้มาล้างมือล้างหน้า ให้น้ำเย็นๆ ชำระความหงุดหงิดในใจ รู้สึกอะไรมันขัดหูขัดตาไปหมด ไอ้ไมเรคนั้นก็บ้า ทีกับเขาตีหน้านิ่งใส่ กวนตีนชิบหาย ทีกับผู้หญิงยิ้มหน้าบาน หน้าม่อชะมัด เอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาเช็ดลวกๆ พลางกระชับเป้ที่ไหล่แล้วออกเดินเตรียมตัวกลับเพราะพรีมและโอซี่กลับหอไปก่อนแล้ว เห็นพวกมันบอกว่ารีบกลับห้องเมียรออยู่ หมั่นไส้วะ

   ออกมานอกสนามประลองฟ้าเริ่มมืด รอบกายเงียบสงบเพราะคนอื่นๆ คงกลับไปหมดแล้ว สองเท้าก้าวเอื่อยๆ ไปตามทาง ต้นไม้ที่ปลูกเป็นช่วงๆ ไว้ริมทางให้บรรยากาศร่มรื่นผ่อนคลายขจัดความยุ่งเหยิงในจิตใจตลอดวันให้เบาบาง

   "เฮ้ย!!!" มาวิคร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อร่างถูกใครบางคนกระชากเข้าข้างทาง แผ่นหลังถูกดันชิดกับต้นไม้ถูกเบียดไว้ด้วยร่างใหญ่ของใครบางคน

   "อื้อ..." ยังไม่ทันได้โวยวายริมฝีปากก็ถูกช่วงชิงไป ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตระหนก เพราะใกล้กันจนชิดจึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าอีกคนได้ชัด หากแต่กลิ่นกายและอ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้คนถูกจู่โจมพอรู้ว่าเป็นใคร

   รสจูบร้อนแรงแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกโหยหาและเอาแต่ใจ มื้อกร้านที่กอดเอวไว้ข้างและเลื่อนลงไปบีบเค้นสะโพกเขาอีกข้างทำเอามาวิคต้องอ้าปากหมายจะประท้วงการกระทำ ซึ่งเข้าทางให้คนตัวใหญ่กว่าได้ส่งลิ้นเข้าไปลิ้มรสในเรียมปากนิ่ม ลิ้นร้อนเกียวกระหวัดอย่างหิวกระหายหลอกล่อให้มาวิคต้องจูบตอบอย่าลืมตัว จากเร่งเร้าแปลเปลี่ยนเป็นอ้อยอิ่งอ่อนหวานจนคนที่ว่าตัวเองจูบเก่งยังต้องพ่ายแพ้ ระทวยไปในอ้อมแขนของอีกคน

   "คิดถึง" ไมเรคกระซิบชิดริมฝีปากที่แดงช้ำจากจูบอันยาวนาน แสงอาทิตย์อัศดงที่ฉาบฉายทำให้ใบหน้าเนียนน่ามองจนไม่อาจละสายตา

   "แฮก...ไม่เชื่อ" มาวิคว่าพลางเบือนหน้าหนี หากแต่แกมใสแดงเรื่อ "สาวล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น" :m16:

   "หึๆ หึงพี่หรอ" คนตัวโตหยอกเย้า

   "หลงตัวเอง" คนเด็กกว่าแขวะอย่างหมั่นไส้

   "ก็แค่แกล้ง...ไม่มีใครน่าฟัดเท่านายหรอกนะ คุณชายตัวน้อย" เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน จนคนฟังใจเต็นรัว :o8:

   "พูด...อะไรนะ มะ ไม่เห็นเข้าใจเลย" ดวงตาสีน้ำตาลมองหน้าคนพูดสั่นไหว รู้สึกประหม่าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้แต่ตอนที่อยู่กับฟาเรสสองต่อสองยังไม่เป็นขณะนี้

   "อ้าวนี่ลืมแล้วหรอ ที่พี่มันจำไว้ก่อนแบบนี้ไ ว่าแล้วไมเรคก็ยื่นหน้ามาจุ๊บ ริมฝีปากนิ่มไปที "ที่เหลือบอกว่าจะตามมา...เอา!!! นี่ไงตามมา...เอา แล้วไง" o18

   ใบหน้าที่มักจะดุดันดูทะเล้นขึ้นทันตา ไหนจะร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์และดวงตาสีน้ำเงินเข้มพราวระยับนั่นอีก มาวิคมองอีกคนตาโตรนรานขืนตัวออกทั้งที่ใบหน้าร้อนผ่าว...รนเพราะมันเน้นคำว่า เอา!!! นี่ละ o22

   "ไม่ให้โว้ย" เสียงดังกลบเกื่อน

   "หึๆ แล้วไงก็จะเอา" O_O!!!!?


.........................................

-เราจะพยายามอัพให้ได้สัปดาห์ละตอนเป้นอย่างต่ำ เราขอโทษ ไม่ได้อยากเอื่อยแต่อย่างใดหากแต่ช่วงนี้ยุ่งมาก ต้องวาดภาพประกอบ ที่ยังเหลืออีกหลายรูป มีเวลามานั่งพิมจริงๆ ก็สุดสัปดาห์เสียมากกว่า  :katai4:

-ขอโทษนะค้า เขาเป้นนักเขียนไม่น่ารักเลยเนอะดองงาน อย่าโกรธเค้านะ อยุ่ด้วยกันนานๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-06-2016 02:45:17
จ้าา!! ร้ายทุกคน หื่นทุกนาย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: sosad ที่ 18-06-2016 05:27:13
 :hao7: :hao7: :hao7:
มาวิคก็มีมุมน่ารักนะเนี้ย
เป็นกำลังใจให้นะคะ
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-06-2016 08:45:15
 :z1:    โฮรวว. พี่ไมเรคก้อหื่นนี่นา เสร็จแน่เขาจะเอาง่ะ. อิอิ
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ.  :3123:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 18-06-2016 11:19:11
โอ๊ยๆๆ นี่เห็นชื่อคนเขียนก็รีบแจ้นกดเข้ามาเลยย  :katai4:
เพิ่งจะมีเวลาตามอ่านจนถึงตอนล่าสุด ฮึก  :hao5:
ไม่ผิดหวังจิงๆ สนุกมากก  o13
รอตอนหน้าอยู่นะ ว่าพี่ไมค์ของเราจะได้ "เอา" รึป่าว ฮ่าๆๆๆๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 18-06-2016 17:40:21
ฮิ้ววววววว~~~~!!
ไมเรคจอมหื่น 5555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 20-06-2016 12:20:27
เอาเลย เอาเลยยยยย  :katai4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 22-06-2016 19:50:17
 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่26 P9 18-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-06-2016 20:10:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 30-06-2016 00:09:48
บทที่ 27


   "กลับมาไวจัง" เสียงทักของเซียดังขึ้นทันที่มาวิคก้าวเข้ามาในห้องพัก

   "ไวอะไรนี่สองทุ่มแล้ว"

   "ไหนพรีมว่าโดนไมเรคลากไป นึกว่าคืนนี้จะไม่กลับห้อง" รอยยิ้มกรุ้มกริ่มถูกส่งมาให้ พร้อมไอ้ตัวต้นเรื่องที่เดินหัวเปียกออกจากห้องของทั้งคู่ มานั่งจุมปุกอยู่ตรงหน้าคนสวยที่รับเอาผ้าขนหนูในมือมันไปเช็ดให้อย่างรู้งาน เป็นภาพที่เห็นจนชินตาเพราะสองคนนี้เขาสวีทกันตลอด

   "แล้วยังไง คิดว่าฉันจะไปทำอะไรกับหมอนั่นหรือไง" คนถูกถามบอกเสียงขุ่น

   "หึๆ หน้าแดงนะเพื่อน"

   "สรุปกับไมเรคนี่ยังไง" พรีมเงยหน้าขึ้นมาถาม

   "ดูๆ กันไปก่อน" มาวิคตอบไปตามตรง ก่อนจะชิ่งเข้าห้องตัวเองเพราะไม่อยากโดนซักไปมากกว่านี้
   หลังจากอาบน้ำแต่งตัวก็มีเวลามานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย  กับไมเรคยอมรับตามตรงว่าหมอนี่พิเศษสำหรับเขา และดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นมานานแล้ว เพียงแต่ตอนแรกมันคือความผูกพันของเด็กคนหนึ่งแต่ตอนนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น การที่อีกคนเป็นฝ่ายเข้ามาหา และแสดงออกชัดเจนว่าชอบหากปฏิเสธไปก็เหมือนโกหกตัวเอง

   เรื่องความสัมพันธ์ทางกาย แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้ซีเรียสอะไร แบบสนุกชั่วครั้งคราวก็มีบ้าง แต่กับไมเรคนั้นต่างออกไปเพราะจะไม่ใช่แค่ทางกายแต่มันส่งผลต่อความรู้สึกที่มีต่อกันจึงไม่อยากเร่งรีบ รายนั้นก็เหมือนจะเข้าใจบอกจะให้เวลา ถึงจะรู้จักกันมาแต่เด็ก แต่จากกันไปนานก็เหมือนคนแปลกหน้าที่ต้องเรียนรู้กันใหม่ และที่สำคัญคนเป็นฝ่ายเสียบมาตลอดจะเป็นฝ่ายโดนเสียบมันทำใจไม่ได้โว้ย เสียเชิงหมด ลองหมอนั่นบอกจะยอมเป็นเมียเขาสิจัดเดี๋ยวนี้ก็ยังได้





   "เฮ้ยดูสิ ใครมา" ฟาเรสสะกิดเพื่อนยิกๆ ขณะที่ทุกคนกำลังทานมือเช้ากันอยู่ที่โรงอาหาร

   "ใครอัญเชิญมันวะ" มาวิคว่าพลางมองตามสายตาเพื่อน ก็เห็นไมเรคเลิกคิ้วแบบกวนๆ พลางเดินตรงมาทางโต๊ะเขา แถมฟาเรสที่นั่งข้างๆ ยังขยับที่นั่งให้อย่างรู้งาน
 
   "ไงทุกคน" คนอื่นทักทายตอบแทบทันทีเว้นไว้คน ที่กำลังมองคนมาใหม่หน้ายุ่ง

   "นี่มันโรงอาหารนักเรียน อาจารย์ฝึกสอนมาทำไม" มาวิคแขวะเข้าให้

   "อยากรู้ไหมมาทำไม" เสียงทุ้มกล่าวเนิบๆ

   "ทำไมครับ/ค่ะ" พรีมถาม พยายามปั้นหน้าไม่รู้เต็มที่มีแฟนมันเป็นลูกคู่

   "มาจีบมาวิค"

   "ฮิ้ววววววว" สิ้นคำก็ได้รับเสียงแซวจากทุกคนในโต๊ะทันที จนคนถูกกล่าวถึงทำหน้าไม่ถูก อายจนแทบแผ่นดินหนีเพราะโต๊ะอื่นๆ ก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว

   "อะ...เอ่อ ฉันไปก่อนนะ" ว่าแค่นั้นเจ้าตัวก็เก็บกระเป๋าออกไปทันที พน้อมกับไมเรคที่เดินตามไปติดๆ

   "เดี๋ยวเก็บจานให้นะพวก" โอซี่ตระโกนตามหลัง คนอื่นๆ หัวเราะร่วนกับสิ่งที่เกิด ใครจะรู้ว่าคุณชายจอมกระล่อน ยิ้มเก่งแถมเฟรนลี่ตัวพ่ออย่างมาวิคจะต้องมาเขินจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้

   "อารมณ์ดีเชียวนะ" ฟาเรสหันไปคนตัวโตที่ยิ้มกริ่มพลางมองหน้าเขา

   "หึๆ ไม่ต้องกลัวใครแย่งแล้วไง"

   "ไอ้บ้า"





   "นายไม่ควรทำแบบนี้" มาวิคว่าคนที่เดินตามเขามา ก้าวช้าๆ จนอีกคนเดินมาทัน

   "แบบไหน"

   "แบบเมื่อเช้า ที่เล่นประกาศออกไปแบบนั้นว่าจะ...เอ่อ นั่นละ" แม้จะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่พอจะพูดคำว่า จีบ...มันก็รู้สึกประหม่าเสียดื้อๆ

   "ที่บอกว่าจะจีบนะหรอ" ไมเรคยิ้มบางๆ เมื่อเห็นแก้มใสขึ้นสีแม้เจ้าตัวจะตีหน้ายุ่งก็ตาม

   "เออ นั่นละ"

   "อ่าว ทำไมละ นี่อุส่าทำตามขั้นตอนเลยนะ อยากให้เราเรียนรู้กันใหม่นี่ไง กำลังทำอยู่เลย เริ่มง่ายๆ จากการจีบนี่ไง" คนแก่กว่าแกล้งอธิบายเสียงดังฟังชัดทำเอาคนที่เดินผ่านไปมาหันมอง ดวงตาสีน้ำตาลถลึงมองอย่างโกรธๆ

   "พูดเบาๆ ก็ได้ยินไหม"

   "หรือไม่อยากให้จีบ งั้นก็ยอมๆ พี่ซักทีสิ" อีกคนยังคงเย้าแหย่ ยิ่งเห็นท่าทางฟึดฟัดของอีกฝ่ายยิ่งสนุกเขาละ

   "ฝันไปเถอะ"

   "เอ้า โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ สรุปยังไงครับคุณชาย" เสียงทุ้มเอ่ยกวนๆ ไอ้ท่าทางไม่ได้ดั่งใจนั่นมองๆ ไปก็น่าดูเอ็น...เอ้ย!! เอ็นดูอยู่ไม่น้อย

   "ไม่รู้โว้ยย!!!" มาวิคตัดบททำท่าจะเดินหนี แต่กับถูกอีกคนรั้งไว้

   "มาวิค พี่จริงจังนะ" ดวงตาสีน้ำเงิน สบลึกลงไปในตัวตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกคน มันทั้งหนักแน่นมั่นคง ตอกย้ำว่าที่เขาพูดคือความจริง มาวิคนิ่งไป มันรู้สึกประหม่ากับสายตาคู่นั้น แต่ก้ไม่อาจผลักไสได้ คนเด็กกว่าอึกอัคอยู่ครู่ใหญ่ จนเต้นแรงจนต้องก้มหน้าหลบ

   "ยะ...อยากทำอะไรก็ทำ" เสียงสั่นๆ ตอบออกมาในที่สุด

   "หึ พูดเองนะ"

   "ทีนี้ก็ปล่อยได้แล้ว จะไปเรียน" ว่าพลางดึงแขนออกจากอีกฝ่ายแล้วรีบเดินจากไปในทันที ไมเรคมองตามแผ่นหลังนั่นจนลับตา เด็กชายตัวน้อยในวันวานบัดนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการ แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนแต่ไอ้ท่าทางทางดื้อดึง ชอบย้อนแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยน ถึงจะไม่ขี้อ้อนแต่ก็ยังน่ามองสำหรับเขาอยู่ดี

   ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาคนถูกจีบต้องคอยรับมือกับไมเรคทุกวี่วัน แถมไอ้เพื่อนตัวดีทั้งหลายยังให้ท้ายไอ้ผู้ชายกวนประสาทนั่นเสียด้วย โดยเฉพาะพรีมกับโอซี่ที่เห็นดีเห็นงาม แทบจะจับเขาใส่พานถวายให้มันไปเลย มาวิคไม่ชินกับการถูกรุก เพราะที่ผ่านมาเขามักจะเป็นฝ่ายตามจีบเสมอหากรู้สึกสนใจใคร พอมีคนคอยมารับมาส่ง ชวนไปกินข้าว ดูแลเทคแคร์สารพัดจีงพลอยทำให้วางตัวไม่ถูกไปตามๆ กัน แต่ก้ต้องยอมรับ ว่าเขาเองก็รู้สึกดีเหมือนกันที่ถูกเอาใจใส่ อาจเพราะคนที่ทำคือไมเรคเพราะหากเป็นคนอื่นอาจรู้สึกอึดอัดพอสมควร

   "เสาร์นี้กลับเข้าเมืองหรือเปล่า" ไมเรคถามขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปทางหอพัก เพราะไมเรคแม้จะไม่มีสอนในคลาสของมาวิคแต่ก็มารอรับเจ้าตัวอย่างเช่นทุกวัน (ก็แค่เดินไปส่งหอพัก ซึ่งมันไม่ไกลเลยซักนิด)

   "มีอะไร จะชวนเดทหรือไง" มาวิคถามเสียงเรียบ

   "อยากไปบ้านนาย ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เห็นอีกเลย" ดวงตาสีน้ำเงินมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด "สวนหลังบ้านนั่นยังอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม"

   "อืมม แต่ตรงลำธารสร้างสะพานให้ข้ามแล้วละ" มาวิคว่าพลางนึกถึงธารน้ำเล็กๆ หลังบ้านที่ตอนเด็กๆ มีเพียงไม้แผ่นพาดให้ข้ามไปยังสวนดอกไม้อีกฝั่ง เป็นที่ที่อีกฝ่ายมักพาเขาไปเล่นเสมอ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้กลับบ้านมาเดือนสองเดือนแล้วสินะ พ่อแม่เขานะหรอไม่มีถามถึงหรอก ติดทั้งงานสังคมทั้งงานส่วนตัวจนไม่มีเวลาสนใจลูกแบบเขาหรอก 
   
   "เฮ้ ทำหน้าเศร้าทำไม"

   "ตาลายหรือไง" มาวิคกลบเกลื่อน "ก็ว่าจะกลับพอดี พรุ่งนี้เก้าโมง มาช้าฉันไม่รอด้วย"

   "ครับๆ"




   เช้าวันเสาร์ไมเรคและมาวิคนั่งเรือจากเกาะอนิมาเข้าเมือง โดยมีรถของที่บ้านมาวิคมารอรับที่ท่าเรือ ดวงตาสีน้ำเงินมองออกไปนอกหน้าต่าง เดสเซนท์เป็นเมืองที่เจริญมากแทบจะเป็นคนละโลกกับเรดิเอนซี่ ที่นั่น เทคโนโลยีต่างๆ มีให้เห็นแค่ในเมืองใหญ่ หรือหมู่บ้านหลักๆ นอกนั้นจะพึ่งพาธรรมชาติและเวทย์มนต์มากกว่า ซึ่งมันก็ดีคนละอย่าง ไม่ได้รูสึกว่าที่ไหนน่าอยู่น้อยกว่ากัน

   ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านของตระกูลสเตวาร์ท ซึ่งตอนนี้เจ้าบ้านเป็นถึงผู้ว่าการของเมืองแห่งนี้และแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้านนัก มีเพียงคนรับใช้และคนสวนรวมถึงหัวหน้าพ่อบ้านเท่านั้นที่ออกมาต้อนรับคุณชายคนเดียวของพวกเขา คฤหาสก์หลังใหญ่หรูหราแต่มันไม่เคยน่าอยู่เลยสำหรับมาวิค

   หลังจากทักทายทุกคนเจ้าบ้านก็เดินนำแขกไปยังสวนหลังบ้าน พืชพรรณในสวนถูกดูแลตกแต่งเป็นอย่างดี ดอกไม้ทีบานรับแสงแดดในยามสายส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ มาตามลม ...คิดถึง คำนี้ผุดขึ้นใมใจ ร่างสูงมองภาพตรงหน้า ที่เดิมๆ กับคุณชายตัวน้อยของเขาคนเดิม ทำให้ยิ้มออก ความสุขความสงบอบอวนใจจิตใจหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาแสนนาน

   มาวิคเดินนำไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่มีเสื่อและของว่างถูกเตรียมเอาไว้ คิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างขัดใจ เหมือนคู่รักมาออกเดตเลยให้ตายสิ แต่ก็ไม่ได้บ่นออกไปเพราะไม่อยากขัดคนที่กำลังดื่มด่ำบรรยากาศตอนนี้อยู่ สองหนุ่มนั่งลงข้างกัน ต่างคนต่างเงียบเพราะจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่

   "ทำไมถึงมาที่นี่ละ" มาวิคถาม ในสิ่งที่เขาน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

   "พี่มาเพราะเราไง" ไมเรคตอบด้วยรอยยิ้ม

   "อันนั้นรู้อยู่แล้วละ" อีกคนตอบเสียงแผ่ว ชันขาขึ้นนั่งกอดเข่าพลางทอดมองไปเบื้องหน้า "แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาช่วยสอนในอนิมาด้วย"

   "จะลาออกจากเอแวนการ์ด เขาเลยขอให้มาช่วยเป็นวิทยากรที่มหาลัยก่อนออก"

   "ลาออก...ทำไมละ"

   "เพราะตั้งใจจะช่วยเวลอร์กับฟาเรส ส่วนหนึ่งนะเพราะถูกชะตาหมอนั่นและคิดว่าเรื่องอินเวียโน่มันน่าสนุกดี" ร่างสูงว่าพลางหันมาสบตากับอีกคนอย่างมีความหมาย "มีอีกอย่าง..."

   "อะไร..."

   "เราเองก็ตั้งใจจะช่วยฟาเรสเรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหมละ"

   "แน่นอน ก็เจ้านั่นเป็นเพื่อนฉันนิ" มาวิคสวน นึกแปลกใจที่เดี๋ยวนี้พูดคำว่าเพื่อนกับฟาเรสได้เต็มปาก

   "นั่นละอีกเหตุผล พี่ไม่อยากให้เราต้องไปลำบากคนเดียว อย่างน้อยพี่ก็สบายใจที่ไม่ได้ปล่อยให้คนสำคัญเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพัง อยากจะสู้ไปพร้อมๆ กัน"

   "หึ สำคัญ" มาวิคทวนคำเสียงสั่น "ถ้าสำคัญทำไมถึงทิ้งผมไปโดยที่ไม่บอกอะไรเลยละ ทำไมถึงปล่อยให้รอ ทำไม ฮึก....ทำไมไม่กลับมาหาบ้าน ทำไมละ" หยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่ได้อยากจะอ่อนแอ แต่พอนึกถึงช่วงเวลาที่เฝ้าคอยมันกับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

   "พี่ขอโทษ" คนตัวโตรนรานเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ เขารั้งเด็กหนุ่มเข้ามากอดไว้ เข้าใจดีว่าเรื่องนี้ผิดเต็มประตู "พี่ยอมรับว่าตอนนั้นลืมนึกถึงเราไปจริงๆ แต่นี้พี่รู้แล้ว"

   "รู้บ้าอะไร ปล่อยเลย" คนในอ้อมกอดทั้งสะอื้นทั้งโวยวาย พูดมาได้ว่าลืมกัน แล้วนี่ยังมีหน้ามาบอกว่าเขาสำคัญอีกหรอ

   "ชู่ววว!!! ฟังพี่นะ ขอร้องละ" ไมเรคว่าพลางลูบหลังจนอีกคนสงบลงและยอมให้เขากอดดีๆ จึงตีเนียนดึงเด็กน้อย(ที่ตัวไม่น้อย" ขึ้นมานั่งตัก

   "ตอนนั้นท่านพ่อตัดสินใจแต่งงานใหม่ ภรรยาใหม่ของท่านเป็นคนเคลวิช ท่านพ่อจึงย้ายไปประจำการที่นั่นเพื่อไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นและบังคับให้พี่ย้ายไปด้วย ตอนนั้นพี่เองก็ไม่ค่อยถูกกับแม่เลี้ยงซักเท่าไหร่แถมยังมีปัญหากับลูกติดของเธออีก พ่อมักจะเข้าข้างฝ่ายนั้น ตอนนั้นเคว้งสุดๆ รู้สึกเหมือนตัวคนเดียวเลย มันบานปลายถึงขั้นทะเลาะกับพ่อตัวเอง  พี่หนีออกจากบ้าน เหลวแหลก ปะชดชีวิต เสเพลไปวันๆ มันมีอะไรหลายอย่างเข้ามาจนทำให้ลืมเราไป ขอโทษนะขอโทษจริงๆ"

         มาวิคนิ่งฟัง ไม่เคยคิดว่าก่อน ว่าที่ผ่านมาคนๆ นี้ต้องเจอกับอะไรบ้างเอาแต่โกรธที่ถูกทิ้งไปจนลืมนึกไปว่า ต่างคนต่างมีปัญหาของตัวเอง

   "จนวันหนึ่งเอแวนการ์ดประกาศรับสมัครทหารรับจ้างไปเรดิเอสซี่ คิดอะไรห่ามๆ กะไปตายเอาดาบหน้าเลยสมัครเข้าไป จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นหน่วยพิทักษ์ ก็สนุกดีกับพวกภาระกิจเสี่ยงตาย เอาชีวิดรอดไปวันๆ แลกกับเงินมากมายที่ไม่มีแม้เวลาจะใช้...หึ จนมาเจอเราอีกครั้ง..."

   มือใหญ่เชยคางคนในอ้อมกอดขึ้นสบตา ดวงตาสีน้ำเงินที่มักจะดุดันกลับเต็มไปด้วยประกายความอบอุ่นจนมาวิคไม่อาจละสายตาไปได้

   "มาวิค...คนที่ทำให้ตระหนักได้ว่า ครั้งหนึ่งคนอย่างพี่เคยมีความสุขแค่ไหน ที่ได้อยู่กับคุณชายตัวน้อย ที่แม้จะดื้อและเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ทำให้พี่ยิ้มและหัวเราะได้เสมอ ดังนั้นพี่ควรจะรักษาความสุขนี้เอาไว้ ไม่ปล่อยให้หายไปไหนอีก อยู่กับพี่นะ อยู่เป็นความสุขให้ผู้ชายคนนี้ได้ไหม" คนตัวโตยิ้มให้ สายตาที่มองมาอ้อนวอนอยู่ในที จนคนถูกมองซูกหน้าลงกับอกด้วยความเขิน ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบไหม้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้เขาหน้าแดงแค่ไหน :-[

   "ห้ามทิ้ง" เสียงผะแผ่วเอ่ยออกมาก

   "หืม...ว่าไงนะ"

   "ถ้ายอมอยู่ด้วยแล้วห้ามทิ้งไปไหนอีก" มาวิคว่าเสียงดัง พลางเงยหน้ามองคนฟัง ดวงตาสีน้ำตาลจ้องเขม็งเอาแต่ใจ "ถ้าทิ้งอีกฉันจะตามไปฉีกนายเป็นชิ้นๆ เลยคอยดู" 

   "กลัวแล้วครับ คนเก่ง" เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีกปากหวานของคุณชายของเขาอย่างเอาใจ...น่ารักแบบนี้จะไปไหนรอด




...................Talk Talk......................



- คู่นี้NC ควรเขียนเป็นตอนต่อจากนี้หรือแยกเป็นตอนพิเศษไปดี ช่วงนี้หัวมันตึบๆ มีพลอตก็จริง แต่กลัวบรรยายออกมาไม่ดีเลยยังไม่อยากเข้าเรื่องหลักเท่าไหร่นัก อย่างที่บอก พลอตเรื่องเดาพอได้ตามไสตนิยายแฟนตาซีทั่วไปค่ะ

- เรื่องอัพช้า อันนี้ข้าน้อยน้อมรับความผิดแต่โดยดีเจ้าค่ะ ท่านผู้อ่านจะ ลงโทษเช่นไร จับขึง แซ่เคี่ยนเป็นอีเย็น จะชำเราเช่นไร ไรท์ยินดีค่ะ หรืออยากให้ไถ่โทษเป็นสิ่งใดเรียกร้องมาได้เลยเจ้าค่ะ  :mew2:

-ของฝากๆ ฉลอง ไปถอย artisul d13D (เมาส์ปากกา แบบวาดบนจอ) มาค่ะ อันนี้ภาพเทส จากเรื่อง Night Knight นะค่ะ จำเขาได้ไหมเอ่ย     
(http://upic.me/i/g7/yohsmall.jpg) (http://upic.me/show/58799736)

- ส่วนนี่ ตังใจจะวาดลงหนังสือค่ะ แต่ สัดส่วนยังไม่โอเลยโล๊ะ ตั้งใจให้ภาพประกอบออกมาที่สุดค่ะ  :เฮ้อ:

(http://upic.me/i/uj/roteyonahsmall.jpg) (http://upic.me/show/58799753)
   
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 30-06-2016 00:30:33
เขินนนน น่ารักมากกกก อิอิ  :ling1:

เขียนเป็นตอนถัดไปก็ได้ค่ะ จะได้เหมือนกับตอนโอซี่  :hao6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-06-2016 00:43:56
รอสนามรบ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 30-06-2016 00:58:05
ทำไมคู่นี่มันน่ารักมุ้งมิ้งอะไรแบบนี้
 :-[
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-06-2016 05:13:40
รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-06-2016 05:35:06
มุ้งมิ้งแรง มาวิคมุมเขินน่าหยิกมากๆเลยค่ะ พี่ไมเรค โอ๋เด็กแล้วต้องจับกินสิคะ. รอตอนถัดไปจ้า
รูปงามมาก ได้ฟีลคนละแบบเนอะ คนเขียนสู้ๆค่ะดูแลสุขภาพด้วยนะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 30-06-2016 11:52:04
มีความมุ้งมิ้งอ่ะ แบบเริ่มจีบ ใสใส
(ยังใสอยู่อีกสักพักแหล่ะ...มั้ง 555555)
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: love noon ที่ 30-06-2016 14:09:42
วาดรูปเก่งมากค่ะ มีอินเนอร์ดีด้วย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 30-06-2016 14:20:13
ตะมุตะมิมุ้งมิ้งฟุ้งฟิ้ง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 30-06-2016 22:00:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 02-07-2016 10:57:38
nc ต่อเลยต่อเลยต่อเลยค่าาา  :katai4:

ไม่มีความหื่นเลยซักนิ้ดดด

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Mirec&Marvic บทที่27 P10 30-6-2016
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 03-07-2016 22:38:34
ใจอ่อนแล้วสิมาวิคคค   :z1:
ต่อตอนถัดไปก็ดีนะฮะคนเขียน  :hao6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 05-07-2016 01:03:57
บทที่ 28

   “อื้อ เดี๋ยวววๆๆๆ” มาวิคห้ามพลางหอบ เพราะโดนคนโตกว่าระดมจูบอย่างหนักหน่วง แล้วเขามานั่งคร่อมตักอีกฝ่ายได้ไงเนี่ย

   “ว่าไงครับ” ไมเรคถามแบบเบลอๆ ดวงตาสีน้ำเงินยังจับจ้องริมฝีปากสีสดไม่วางตา ทำท่าจะจูบอีกแต่โดยอีกคนดันหน้าไว้

   “ไหนว่าตามขั้นตอนวะ จีบยังไม่ติด มาจูบได้ไง นี่มันข้ามขั้นเลยนะเฮ้ยยยย!!!” มาวิคบ่นหน้าแดงเถือก

   “ก็ไม่ได้บอกว่าจะรอจนจีบติด เพราะตอนนี้รอไม่ไหวแล้ว” อดีตหน่วยพิทักษ์ว่าเสียงแหบพร่า ลำแขนเกร่งออกแรงรัดคนบนตักแน่นจนรับรู้ถึงอะไรๆ ที่มันกำลังตื่นตัว ดุนดันก้นเขาอยู่ผ่านเนื้อผ้า มาวิคจ้องหน้าอีกคนตาเหลือก

   “ปล่อยโว๊ยย” คุณชายเจ้าของบ้านดิ้นพลาดๆ อย่างกับปลาโดนน้ำร้อน

   “อืมมม อย่าดิ้นสิ มันยิ่งขึ้นรู้ไหม” เสียทุ้มกระซิบข้างหู คนฟังตัวแข็งทื่อเหมือนถ่านหมด

   “ปล่อยผมไปเถอะ...คือยังไม่พร้อมโดนเสียบอ่า เคยแต่เสียบเขา” มาวิคอ้อนเสียงเบา ยอมแทนตัวเองว่าผมเลยเนี่ย เจ้าตัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ถึงจะไม่มายกับเรื่องเซ็กแต่ให้คนอื่นบุกทำใจไม่ด้ายยยย  :hao5:

   “ไม่!!!”

   “พี่ไมค์ :hao5::” เติมพี่ด้วยเลย อะ!

   “ เอาน่าเสียวเหมือนกัน”

       “งั้นก็ใช้ฉันเสียบเองเลยซี่” คุณชายเริ่มมีน้ำโห ฟาดไหล่หนาดังป๊าบอย่างหมั่นไส้ ดวงตาสีน้ำเงินมองคนประทุษร้ายวาววับดุจนักล่าก่อนจะตอบเสียงเฉียบว่า

       “ไม่!!!”

      “ไอ้ มะ...อื้อ!!!”  ว่าจบก็ก้มลงมาฉกชิมริมฝีปากสีสดอย่างไม่ให้ปฏิเสธ มือสากสอดเข้าสาบเสื้อลูบแผ่นหลังเนียนในขณะที่ริมฝีปากและลิ้นร้อนไล่ต้อนคุณชายของเขาอย่างร้อนแรง มาวิคครางอื้ออึงหัวหมุนไปกับรสจูบของอีกฝ่าย นี่เขาว่าตัวเองเชี่ยวแล้วนะเจอไมเรคไปนี่ระทวย คนบนตักสะดุ้งเฮือกในยามที่ฟันคมขบเบาๆ ที่ซอกคอ และจุดไวสัมผัสบนแผ่นอกทั้งสองถูกจู่โดมด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง

       “หยุดดดดดด” มาวิคร้องเสียงหลงพลางดันตัวออก

      “อะไรอีก!!!” ไมเรคถามเสียดุ ดวงตาสีน้ำเงินจ้องเขม็ง ชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเอาแต่เบรก จับปล้ำมันตรงนี้ซะดีไหม

       “เปลี่ยนสถานที่ได้มะ เดี๋ยวคนเห็น มาวิคต่อรองเสียงสั่น

       “ไม่!” ตอบเสร็จทำท่าจะจู่โจมต่อ

       “เดี๋ยว คือเอ่อ” เด็กหนุ่มตะกุกตะกัก ก้มหน้างุดแต่ก็ไม่อาจซ่อนใบหน้าที่แดงจัดจนลามไปถึงหู เอาไงเอากันวะ “พี่ไมค์อยู่เฉยๆ เดี๋ยว...เอ่อ จัดการเอง” คิ้วเข้าเลิกขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะผุดยิ้มร้าย ไม่ยอมอ่อนข้อให้กันจนวินาทีสุดท้ายเลยสินะคุณชายของเขา มาดูว่าจะได้ซักแค่ไหน

     “หึ...มาสิ”

     ว่าจบมาวิคก็ยืดตัวขึ้นจูบร่างสูงตรงหน้า ริมฝีปากนิ่มๆ ขบเม้มก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาสัมผัสกับอีกฝ่าย กระหวัดหยอกเย้า อีกฝ่ายก็ยอมล่าถอยยอมถูกชักนำจนเด็กหนุ่มเริ่มได้ใจ ร่างโปร่งผละออกก่อนจะปลดกระดุมเสื้อที่ใส่อยู่ช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลเย้ายวนจ้องหน้าอีกคนไม่วางตา คนมองผิวปากหวืออย่างถูกใจ...ร้องแรงชะมัด

    มือขาวเอื้อมาถอดเสื้ออกจากกายแกร่งบ้าง เผยให้เห็นเรือนกายสีแทน แผ่นอกกว้างและกล้ามท้องที่ขึ้นลอนสวย ประดับด้วยรอยแผลเป็นแต่งแต้มบนผิวกายดูสมชายชาตรี ลิ้นเล็กเผลอเลียริมฝีปากก่อนจะก้มลงขบกัดแผ่นอกแน่นนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว

    “ซี๊ดดด” ไมเรคซีดปากอย่างซาบซ่าน ยามที่ฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปทั่วร่างพร้อมๆ กับริมฝีปากที่วนเวียนขบเม้มตรองซอกคอ ดวงตาสีน้ำเงินพราวระยับถือโอกาสที่อีกคนวุ่นวานกับร่างเขารั้งกางเกงอีกฝ่ายลง ก่อนจะล้วงมือผ่านเนื้อผ้าเอามาวิคน้อยที่เริ่มแข็งขืนมาไว้ในมือเค้นคลึงเบาๆ

     “อ๊า” มาวิคผละริมฝีปากครางแผ่วเมื่อความเสียวเข้าจู่โจม ใบหน้าหล่อติดหวานฉายแววหงุดหงิดก่อนจะดึงรั้งกางเกงร่างใหญ่ลงจนท่อนลำขนาดใหญ่เด้งผึงออกมา คุณชายผงะเล็กน้อยกับตัวตนของอีกฝ่าย แต่ก็คว้ามาขยับรูดหนักๆ อย่างไม่ยอมแพ้จนคนถูกกระทำคำรามในคอ มอบจูบให้คนทำเป็นรางวัล

     “อา พี่ไมค์” ร่างสูงอาศัยจังหวะที่อีกคนกำลังเคลิ้ม ก้มลงจาโจมยอดอกสีเข้มด้วยปาก รัวลิ้นเลียเรียกเสียงกระเส่าจากร่างโปร่ง ชายหนุ่มกอดเอวสอบ ยกตัวคนบนตักขึ้นแล้วรูดกางเกงออกให้พ้นตัว  มือสากลูบไล้ต้นขาเนียนที่มีกล้ามอย่างพอดีแต่เนียนนุ่มอย่างเพลินเมือ แต่พอเริ่มเลื้อยไปเกือบถึงร่องด้านหลังกลับถูกอีกคนตีมือไว้

     เพี๊ยะ!!!  มาวิคจ้องเขาดุๆ ทั้งที่หายใจปนหอบ

    “บอกว่าจะทำเอง!!! เลียสิ” ว่าแล้วมือนิ้มก็เตะที่ริมฝีปากบางเบาๆ ลิ้นชื้นแลบเลียนิ้วเรียวจนชุ่ม ดวงตาสีน้ำเงินจ้องหน้าเนียนด้วยสายตาร้อนแรงและออดอ้อนอยู่ในที มาวิคยิ้มยั่วก่อนะจะใช้มืออีกข้างคว้าไหล่หนาเป็นหลักแล้วแล้วหยัดตัวขึ้น ทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหน้าเอนเข้าหาร่างแกร่งก่อนจะสอดนิ้วที่เปียกชุ่มเข้าช่องทางของตัวเองอย่างไม่มั่นใจนัก

     “อึก..อาาาาา” เสียงนุ่มครางแผ่วกับสัมผัสแปลกปลอมที่ไม่เคยได้รับ นิ่วหน้าอย่างอึดอัดเมื่อเขาค่อยๆ สอดเพิ่มเข้ามาอีกนิ้ว เด็กหนุ่มขยับช้าๆ สร้างความคุ้นชินให้ตัวเอง ช่องทางร้อนตอดรัดแน่นจนชาหนึบ จึงตัดสินใจสอดนิ้วที่สามเข้าไปด้วยใบหน้าเหยเกเพราะมันตึงแน่นจนเจ็บแปลบแต่ก็เสียวไม่เบา

     “ไหวไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง อีกคนพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบก่อนขยับนิ้วตัวเองช้าๆ เพื่อเบิกทาง มือสากลูบไล้ไปตามผิวกายแดงก่ำพร้อมกับริมฝีปากร้อนดูดดุนยอดอกทั้งสองข้างหวังช่วยให้คนเก่งของเขาผ่อนคลาย มาวิคครางหวานเมื่อเริ่มชิน เสียงนั้นปลุกเอารมณ์ของร่างสูงจนตัวตนแข็งขืนและปวดหนึบ

     “พี่ไม่ไหวแล้วคนดี” ไมเรคออดอ้อนพลางขบใบหูที่ขึ้นสีแดงเรื่ออย่างหยอกเอิญ 

     “รู้แล้วน่า...แฮก” มาวิคตอบเสียงพร่าอารมณ์เขาตอนนี้ก็มาไกลพอกัน จึงตัดสินใจจับท่อนเนื้อร้อนที่กำไม่ยักจะรอบจ่อที่ปากทางแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลง “ฮึกกก ดวงตาสีน้ำตาลเอ่อคลอแค่ส่วนหัวก็ทำให้เขาเจ็บตึงไปหมด ร่างโปร่งสั่นระริกจนคนตัวโตต้องประครองสะโพกมนช่วยอีกแรง

      “หายใจเข้าลึกๆ” เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนค่อยๆ กดตัวลงไปอีกเรื่อยๆ ยิ่งลึกหยาดน้ำตายิ่งเอ่อ รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งร่าง ชักลังเล คิดถูกหรือคิดผิดที่ทำแบบนี้เนี่ย!!!

     “ฮึก  เจ็บ” เสียงหวานขาดห้วง น้ำตาร่วงในยามที่แก่นกายใหญ่หลอมหลวมกับเขาจนสุด ทั้งเจ็บทั้งจุก มือสากลูบเอวสอบเบาๆ พยายามรั้งตัวเองไม่ให้กระแทกใส่ช่องทางร้อนที่รัดตัวตนเขาแน่นจนขนลุกซู่เพราะไม่อยากให้คุณชายของเขาเจ็บไปมากกว่านี้

     “คุณชายเก่งที่สุด” ใบหน้าคมโน้มมาจูบซับน้ำตาบนแก้มใส พร้อมทั้งหอมแก้มทั้งสองอีกฟอดใหญ่อย่างเอาใจแล้วมาจบที่ริ่มฝีปากนิ่มมอบจูบแสนหวานเป็นรางวัล “พร้อมไหม”

     “อืมม” มาวิคพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนออกแรงขย่ม ท่อนเนื้อร้อนเสียดสีกับผนังนุ่มสร้างความเจ้บแสบแต่ก็เสียวซ่านเกินบรรยาย พอเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกที่ผสมปนเปนนี้ สะโพกสวยจึงเริ่มขย่มเป็นจังหวะโดยมีมือใหญ่ประครองช่วยอีกแรง

     “อ๊ะพี่ไมค์ ฮา” เสียงครางหวานดังก้องไปทั้งสวน คนบนร่างร่อนสะโพกใส่เอวหนาที่เด้งส่วนขึ้นมาอย่างเข้าจังหวะ แม้ไม่เคยอยู่ในตำแหน่งนี้แต่มาวิคก็รู้ว่าควรทำอย่างไรให้ตัวเองรู้สึกดีเพราะเรียนรู้จากเหล่าคู่นอนที่เคยทำให้เขา

     “อืมมม เด็กดีของพี่” ไมเรคคำรามต่ำไปกับความเสียวซ่าน มองเรือนกายขาวที่ขึ้นสีจัดตรงหน้าอย่างหิวกระหาย ลากเลียขบเม้มไปตามผิวเขียวเนียนจนขึ้นรอย ช่องทางร้อนตอดถี่จนเสียวไปทั้งร่าง ยิ่งสัมผัสยิ่งต้องการ หลงใหลไปกับอีกฝ่ายจนยากจะถอนตัว ชายหนุ่มรับรู้สึกแรงที่รั้งลงของคนด้านบน มองใบหน้าชื้นเหงื่อที่หอบหนักทำท่าจะไม่ไหว จึงตัดสินใจพลิกร่างอีกฝ่ายนอนราบกับผืนเสื่อแล้วโถมแรงใส่จนคนใต้ล่างโยกคลอนไปตามแรง

    “อ๊า ซี๊ดด  พี่ไมค์ เร็ว อือ” มาวิคออกปากเร่งอย่างลืมอาย ถูกความรัญจวนครอบงำจนสติกระเจิดกระเจิง ดวงตาสีน้ำตาลจ้องใบหน้าคมที่มีผืนฟ้าสีครามเป็นเป็นเบื้องหลังราวกับต้องมนต์ วาดมือโอบรอบคอหนาดึงรั้งเข้ามามอบจูบดูดดื่ม

    “อืม คุณชายของพี่” ไมเรคครางอย่างสุขสมไม่แพ้กัน ซุกหน้ากับซอกคอขาวสูดกลิ่นเนื้อหอมที่แม้แต่มวลดอกไม้ที่ส่งกลิ่นอบอวนไปทั้งสวนยังไม่อาจเทียบได้ เอวหนากระแทกรัวเร็วตามแรงอารมณ์

     เสียงเนื้อกระทบกันคลอไปกับเสียงครางดังก้องสวนดอกไม้ที่สวยงามดุจสรวงสวรรค์ และพวกเขาทั้งสองในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับอยู่บบนสวรรค์ที่อบอวนไปด้วยความโหยหายแต่ความต้องการ เสียงหวานครางขาดในยามที่ห้วงอารมณ์พุ่งสูง ใบหน้าเนียนสะบัดไปมากับความเสียวกระสันที่มากจนเกินรับ ยามที่แก่นกายใหญ่กระแทกเข้าจุดกระสันย้ำๆ ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มหยัดเกร็ง จิดข่วยแผ่นหลังแกร่งนั่นจนเกิดรอยเล็บเป็นทางยาวเพื่อระบายอารมณ์  ลมหายใจของทั้งคู่ร้อนผ่าวจากเพลิงปราถนาที่ประทุกอยู่ภายใน แผดเผามอดไหม้ทั้งสองร่างที่สอดประสานกันจนประทุออกมาเป็นหยาดน้ำสีขุ่นในที่สุด ไมเรคมอบจูบอ่อนหวานทิ้งท้ายให้กับร่างโปร่งที่นอนหอบสั่นใต้ร่างเขาอย่างรักใครๆ

     “แฮกกก เจ็บชะมัด” มาวิคไม่วายบ่น แม้เสียงจะเบาหวิวอย่างเหนื่อยอ่อน

     “แน่ใจว่าเจ็บอย่างเดียว” ไมเรคยิ้มล้อ จนอีกคนค้อนขวับ ดวงตาสีน้ำเงินเปร่งประกายความสุข...เขาไม่รู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างนี้มานานแค่ไหนนะ...ริมฝีปากบางยิ้มอบอุ่นให้คนสำคัญก่อนจะกดจูบริมฝีปากแดงช้ำเบาๆ อย่างรักใคร่ แล้วบอก “ขอบคุณนะ”

...ขอบคุณที่กลับมาเป็นความสุขให้พี่อีกครั้งไอ้เด็กดื้อ...

     มาวิคยิ้มตอบ ทั้งเขินทั้งอายแต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้ คิดถึงเหลือเกิดร้อยยิ้มที่แสนอบอุ่นนี้ เขาได้มันกลับมาแล้วและจะไม่ปล่อยให้รอยยิ้มนี้หายไปไหนอีก ถึงจะเสียงฟอร์มไปบ้างแต่ก็ได้อยู่ข้างบนก่อนละวะ(ตรรกระอะไรของมันวะ :katai1:) อารมณ์กำลังซึ้งได้ที่แต่มาวิคต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดเพราะได้ยินเสียงแปลกปลอม

     “เหมือนจะมีผู้ชมซะแล้ว” คนด้านบนยิ้มขำ พลางมองไปทางต้นเสียงเห็นหลังแม่บ้านวิ่งแจ้นออกไปไกลลิบๆ

     “หึ กล้าปากโป้งก็ลองดู จะเฉดหัวออกจากบ้านให้” เด็กหนุ่มว่าเสียงเรียบ

     “คุณชายใจร้าย” คนตัวโตสัพยอก

     “ช่างแม่ง” อีกคนไหวไหล่อย่างไม่ยี่ระที่ถูกเห็น

      “งั้นต่อนะ” ไมเรคกระซิบชิดริมฝีปากนิ่มก่อนที่บทรักจะดำเนินต่อไป ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธ์ที่ยังคงเบ่งบานสวยงามไม่ต่างจากความผูกพันของคนทั้งสองที่มีให้กันก็ไม่ได้จืดจางตามกาลเวลา

...................................

- คือพวกแกจะเกินหน้าเกินตาคู่หลักไปไหมค่ะ  :m16:   ตอนหน้าเข้าเรื่องหลักแล้วนะค่ะ เคลียแล้วนะคู่นี้ เป็นไงชอบมะๆ ใจก็อยากจะค้าง nc คู่นี้ไว้ แต่ดูเลวไปอะ ไม่อยากถูกสาปส่ง  :z6:
- อันนี้ไรท์รู้สึก ว่าคาแรคเตอร์หนูฟาเรสจืดจางไปไหมค่ะ ยังไงดี คนเเต่งอะเข้าใจลูกชายตัวเองอยู่แล้วละค่ะ ว่านางเป็นแบบไหน แต่กลัวคนอ่านไม่เก็ทตัวตนของ หนูฟาเขาอะค่ะ  :mew2:
- ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะค่ะ รักทุกคน  :mew1:

https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/?ref=bookmarks (https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/?ref=bookmarks)

เข้ามาเเชทกันได้นะค่ะ

   
ปล. ทำสารบัญแบบที่ขึ้นเป็นชื่อบทแบบไหนค่ะ ทำเป็นแต่ใส่ลิ้งซึ่งมันรกมาก ไม่สวยเลย
   
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 05-07-2016 01:30:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-07-2016 06:23:27
 :haun4:  โอ้โหววววว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-07-2016 10:26:14
กลางสวนนนนนนน ช่างกล้าเหลือเกืน :z1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 05-07-2016 12:23:05
ฟินกระจายกลางสวน :haun4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-07-2016 13:31:54
 :haun4 :haun4: :haun4: :haun4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-07-2016 22:13:00
จ้าาาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 07-07-2016 14:12:20
ไม่รอด!!!!!  ฮึฮึ   :z1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 07-07-2016 17:33:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)Mirec&Marvic(NC)บทที่28 P10 5-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 09-07-2016 13:10:50
จัดหนักจัดเต็มจริงๆเลยฮะะะะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 18-07-2016 00:27:24
บทที่ 29


   “เอ่อท่านลุง นี่เรากำลังจะไปไหนกัน” ฟาเรสถามขึ้นหลังจากเขาและเพื่อนๆ ถูกเอเบรียนเรียกมารวมตัวกันที่โดมกระจกในตอนเย็นของวันอาทิตย์

   “เดี๋ยวก็รู้” ผู้อาวุฒิโสยักคิ้วกวนๆ มาให้ก่อนะจะเดินนำเจ็ดหนุ่มและหนึ่งสาวไปยังโซนไม้ยืนต้นทางตะวันตกของโดมที่ติดชายป่าของอานิมา โดมส่วนนี้ถูกปรับสภาพให้เป็นป่าดิบชื้นต้นไม้ขนาดใหญ่หนาทึบทำให้แสงสุดท้ายของวันลอดผ่านเพียงบางเบาจนดูมืดสลัวชวนขนหัวลุก

   “เอ่อ...เราคงไม่ไปล่าท้าผีกันหรอกนะ” เซียว่าพลางเกาะแขนคนรักแน่น

   “ฉันดูเป็นคนเฮฮาขนาดนั้นเชียว” ท่านผู้อำนวนการหันมาพูดยิ้มๆ บรรยากาศวังเวงเนี่ยนะเรียกเฮฮา แม้แต่ฟาเรสยังอดขนลุกไม่ได้เลย ถึงจะใช้เวลาอยู่ในโดมแห่งนี้บ่อยๆ ก็เถอะแต่ส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในห้องวิจัย

   เดินลึกเข้ามาซักพักก็ถึงลานหินขนาดไม่ใหญ่นัก ชายชราเดินตรงไปยังใจกลางที่มีอ่างน้ำพุขนาดเล็กตั้งไว้สำหรับให้นกมาเล่นแล้วยกมือกดไหวัลูกปั้นปลาพ่นน้ำใจกลางอ่าง ก่อนที่พื้นตรงหน้าจะเปิดออกเผยให้เห็นบันไดทางเดินลงไปด้านล่าง
   “โอ้ววว ไม่ยักรู้ว่าในโดมมีอะไรแบบนี้” โอซี่บอกอึ้งๆ

   “จริงๆ มันสร้างไว้นานแล้ว มาๆ เข้ามา” ว่าแล้วท่าผู้อำนวยการก็เดินนำเหล่านักเรียนของเขาเข้าไปในอุโมงค์ที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาวบุผนังด้วยโลหะสีเงินดูสะอาดสะอ้านเหมือนถูกดูแลอย่างดี

   “นี่เรากำลังใจไปไหนกับครับ” มาวิคเอ่ยถาม พลางทอดมองทางเดินยาวสุดสายตายเดาจากทิศทางน่าจะตรงเข้าไปยังป่าทางด้านตะวันตกของมหาวิทยาลัย

   “ฐานลับ อย่างที่รู้ๆ ว่าแต่ก่อนอนิมาบริหารงานโดยกองทัพ มุ่งเน้นที่วิชาการทหารอย่างเดียว ก่อนจะเปิดสอนคณะอื่นๆ ทีหลัง ต่อมาการเลยปล่อยให้บริหารเอง เพราะมองว่าทหารไม่ควรมาแทรกแซงเรื่องการศึกษานะ แต่ก็ยังกันพื้นที่เกาะไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อทำฐานฝึก เพราะอนิมาเป็นเอกเทศจากภายนอก ง่ายต่อการดูแลและเก็บความลับ” เอเบรียนอธิบาย
 
         “อ่าวแล้วไม่มีใครใช้หรอครับ”

         “เฮ้อ...สร้างไว้ยังไม่ทันได้ใช้งานอยู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนแผนกันย้ายฐานไปที่ใหม่เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ที่นี่เลยถูกทิ้งร้าง แต่สภาพอาคารยังคงดีอยู่มาก แถมเครื่องใช้ต่างๆ ก็มีครบ พวกคนของอินเวียโนที่เดินทางมาเดสเซนท์เลยให้มาพักที่นี่ ใช้เป็นฐานของพวกเราไปในตัวเลยไง แล้วฟาร์เองก็ต้องมาฝึกใช้พลังเวทยืที่นี่ด้วยนะ เพราะมีห้องที่สร้างบาเรียรองรับพลังไว้แล้ว” ว่าแล้วก็หันมาทางเจ้าของชื่อที่พยักหน้ารับ เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน มัวแต่สนใจกับแผนการจนลืมไปว่า พลังของเขาที่จะใช้ในการปิดรอยแยกระหว่างมิตินั้นก็เป็นสิ่งสำคัญของภารกิจนี้

            “พอจะรู้ไหมว่าเขาย้ายฐานใหม่ไปที่ไหน” เวลอร์ถามพลางทำสีหน้าครุ่นคิด

             “ฉันไม่รู้หรอก อย่างที่บอก ฐานลับก็ต้องเป็นความลับ อีกอย่างฉันไม่ใช่คนของเอแวนการ์ดด้วยเลยยิ่งไม่มีสิทธิเข้าไปใหญ่” ชายสูงวันตอบ “แต่รู้มาว่าไว้ฝึกพวกมือดี ฝีมือผิดมนุษย์มนาอะไรเทือกนั้น”



             เดินเท้ามาร่วมสิบนาทีก็มาถึงปลายทางซึ่งมีบันไดนำขึ้นไปสู่ผิวดิน ก็ปรากฏอาคารสีน้ำตาลขนาดใหญ่ เบื้องหน้าเป็นลานกว้าง และรอบๆ เป็นบ้านพักหลังเล็กๆ อยู่ประปรายเหมือนหมู่บ้านขนาดย่อมที่ซ่อนตัวในป่าทึบของเกาะอนิมาแห่งนี้ ชาวอินเวียโนเดินกันขวักไขว่ บ้างอยู่ในร่างสัตว์บ้างกำลังปะลองฝีมือกัน

            “ตอนมาไม่เยอะอย่างนี้นี่” ฟาเรสว่าพลางกวาดตามองไปรอบๆ

            “พวกที่ออกมาจากไทวาส ระหว่างเดินทางมาที่นี่บางส่วนก็ไปตามพักพวกที่กระจายอยุ่ในเอสทีเรียดมาด้วย” ไมเรคอธิบาย เขาพาคนกลุ่มแลกมาส่งที่นี่ จึงรู้ว่ามีคนตามมาสมทบพอสมควร จนเหมือนกองทัพขนาดย่อมๆ แม้คนไม่มากแต่ประสิทธิภาพของแต่ละคนค่อนข้างสูง

             เรเน่กับเดปนำพวกเขาไปยังห้องประชุมในตัวอาคารหลักที่ ที่มีเหล่าผู้กล้าบางส่วนรออยู่แล้ว ในระหว่างนี้เหล่าผู้กล้าต้องฝึกฝนตัวเอง เพราะห่างหายจากการต่อสู้มานาน อีกทั้งทุกคนยังต้องศึกษาความเป็นไปของโลกภายนอกให้เข้าใจเพราะหลังจากนี้ไม่นานจะเริ่มออกเดินทางไปสู่อินเวียโนกัน ซึ่งนั่นอาจต้องผ่านเมืองต่างๆ ทุกคนจึงจำเป็นต้องทำตัวให้กลมกลืน และไม่เป็นที่จับตามอง

             ทางลุงเอเบรียน เวลอร์และคนหลักๆ ก็จะรวบรวมข้อมูลของทางนั้นให้ได้มากที่สุด ว่ามีใครพัวพันบ้างและการที่ริคัทโตและพวกฟอสโกอัญเชิญไวด์โซลมายังโลกแท้จริงมีจุดมุ่งหมายอย่างไร

               มาวิค พรีมและเซียยังคงไปเรียนตามปกติเพราะทางบ้านพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ คงสงสัยหากจู่ๆ ลูกของตัวเองขาดเรียนหรือหายไป โอซี่กับเจ้าเหมียวมาพักที่ฐานแห่งนี้ ฟาเรสและเวลอร์ก็เช่นกัน






              “ระหว่างนี้ ฟาร์คงต้องอยู่แต่ที่นี่ไปก่อนนะ ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปนอกอนิมาเลย” เวลอร์ว่าพลางจัดเสื้อผ้าที่ขนมาใส่ตู้ในห้องพักของพวกเขาก่อนกลับมานั่งลงข้างๆ คนรักที่ปลายเตียง

             “ทำไมละ”

             “พวกฟอสโกล่าตัวฟาร์อยู่ ตอนที่เราไปเรดิเอนซี่ เป็นทะเลทราย แถมตอนนั้นฟาร์ยังได้เสื้อคลุมจากวาลาคัสมาใส่ทำให้ตามรอยยาก พวกมันเลยตามตัวไม่เจอแต่กลับมาเดสเซนท์คราวนี้พวกนั้นคงเอาจริงมากขึ้น ดังนั้นอย่าออกไปจากที่นี่เลยนะในช่วงที่ฉันไม่อยู่”

            “ไม่อยู่” ฟาเรสทวนคำเสียงแผ่ว “หมายความว่าฉันต้องฝึกอยู่ที่ฐานนี้คนเดียวหรอ”  รู้สึกใจเสียนิดๆ เพราะตั้งแต่กันจนวันนี้เขาแทบไม่ได้ห่างกับเวลอร์เลยด้วยซ้ำ

            “ฉันต้องออกไปตามเรื่องของพวกฟอสโก แล้วก็ไม่อยากพาฟาร์ออกไปเสี่ยงด้วย” เสียงทุ้มอธิบายพลางดึงร่างโปร่งขึ้นมานั่งบนตัก “เข้าใจฉันนะ”

            มันก็เข้าใจอยู่หรอก ตัวเขาเองตอนนี้ก็ใช่ว่าจะใช้พลังเวทย์ได้อย่างคล่องแคล่ว จากที่เคยเลยปิดรอยแยกระหว่างมิติมา หากรอยแยกใหญ่เกินไปก็เล่นเอาแทบหมดแรง ยังต้องพัฒนาฝีมือกันอีกไกล ครั้นจะให้อีกฝ่ายอยู่เฉยๆ เพื่อรอเขาพร้อมมันก็เปล่าประโยชน์ แม้ใจจะไม่อยากให้ห่างกัน แต่บางทีชีวิตเรามันก็มีเรื่องจำเป็นจะงี่เง่าเอาแต่ใจไม่ได้

              “ถ้าฉันไม่อยากให้นายไปละ” แต่ยังไม่วายถามออกมาอยู่ดี

              “ก็ไม่ไป”

              “ว่าแล้วต้องตอบแบบนี้ ไม่เถอะเว เราควรจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เรื่องพวกนี้จะได้จบลงไวๆ” ฟาเรสถอนหายใจหนักก่อนจะโผเข้ากอดอีกคนไว้แน่น มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบแผ่นหลังเบาๆ

             “ฟาร์ของฉันน่ารักที่สุด” ว่าพลางใช้จมูกโด่งคลอเคลียแก้มใสก่อนจะหอมลงไปฟอดใหญ่

            “ไปวันไหน”

            “พรุ่งนี้เย็นนี้ครับ” เวลอร์ตอบก่อนจะรั้งไหล่อีกคนให้ผละออกมาสบตา “ฉันต้องขาดใจแน่เลยฟาร์"

            “อย่าเว่อนะ” ฟาเรสอุบอิบพลางหลบสายตาแพรวพราวที่อีกคนส่งมา

            “ขอนะ” เสียงมุ้มนุ่มเอ่ยอ้อนคนรักพลางกอดรั้งเอวบางให้แน่นขึ้น

            “ขะ ขออะไร” คนถูกขอแกล้งซื่อ

            “ก็รู้ๆ อยู่ หรือต้องให้พูดว่าจะขอ ‘รัก’ ฟาร์” คิเมร่าหนุ่มว่าพร้อทำหน้าเจ้าเล่ห์ “คงไม่ได้กอดฟาร์แบบนี้ไปหลายวัน ดังนั้นจะ ‘รัก’ หนักๆ เผื่อไว้เลยแล้วกัน” สิ้นคำเล่นเอาแก้มเนียนแดงซ่านไปยันหู

            “เวบ้า” เขินจนคิดคำต่อว่าไม่ออกเลยทีเดียว

            “อยากจูบฟาร์” เวลอร์ว่า ทำหน้าอ้อนๆ จนคนโดนอ้อนต้องยืดตัวขึ้นไปจูบริมฝีปากหนานั่นแม้จะอายเด็มทน คนตัวโตตอบสนองริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่ายในทันที ปากหวานๆ ลิ้นเล็กๆ ที่ไม่ว่ากี่ทีก็ทำให้เขาติดใจได้เสมอ สองร่างถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อกันออกมาผ่านสัมผัสทางกาย  อาภรณ์ทั้งหลายถูกกำจัดไปเพื่อให้ร่างกายได้แนบชิด ซึมซับไออุ่นของกันและกัน

             “มะ ไม่ไหวหรอก ฉันทำไม่ได้” ใบหน้าสวยส่ายไปมา สองแก้มแดงเรื่อ เมื่อร่างถูกพลิกให้ขึ้นคร่อมเอวหนา ท่อนเนื้อร้อนถูไถเบาๆ ที่ด้านหลังจนคนถูกกระทำขนลุกซู่ กับความต้องการที่มากขึ้น

             “น่า อยากให้ฟาร์ทำให้ฉันมั่ง นะครับ” นัยน์ตาสีอำพันสบตาคนรัก มันช่างพราวระยับและเจือไปด้วยความหลงใหลอยู่ในที “ที่รัก ได้โปรด”

             ฟาเรสพยักหน้ารับ ทั้งลูบทั้งไล้กันขนาดนี้ ใครมันจะคนไหว ครึ่งเอลฟ์หยัดกายขึ้นก่อนจับเอาตัวตนของอีกคน กดเข้าช่องทางเบื้องล่างของตนแล้วทิ้งน้ำหนักลงช้าๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นกับความอึดอัดคับแน่น ไม่ว่ากี่ทีก็ไม่ชิน ขาเรียวสั่นเกร็งจนคนตัวโตต้องคอยประคองจนทั้งสองร่างรวมกันเป็นหนึ่ง  แรงตอดรัดตรงส่วนกลาง ทำเอาเวลอร์ต้องข่มสัตว์ร้ายในใจเอาไว้เพราะอยากค่อยๆ สัมผัสอีกคนช้าๆ

            “ขยับเลยฟาร์” คิเมร่าหนุ่มเร่งเสียงพร่า คนโดนเร่งจึงค่อยๆ ยกตัวขึ้นแล้วกดลงเป็นจังหวะช้าๆ
 
            “อา มัน” เสียงหวานครางสั่นพอเริ่มเข้าที่เข้าทางจึงขย่มแรง ก่อนจะเร่งจังหวะตามอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น

            “อืมมม ดี” เวลอร์ว่า พลางดูดดุนยอดอกที่ล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้าแรงๆ จนร่างโปร่งครางลั่นด้วยความเสียว ในขณะที่เบื้องล่างเด้งรับจังหวะร้อนไม่มีผ่อนแรง

             ทั้งที่ตั้งใจจะให้อีกฝ่ายเป็นคนบรรเลงบทรักในครั้งนี้ แต่ผิวขาวที่แดงเรื่อและไหนจะใบหน้างดงามที่พร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ ขับกลิ่นเนื้อนุ่มชวนให้คลั่งจนสุดท้ายคิเมร่าหนุ่มก็ไม่อาจต้านต่อสัญชาติญาณของตนได้ พลิกกายบอบบางลงใต้ร่างจากนั้นก็ลงมือกลืนกินอีกฝ่ายอย่างไม่อาจหยุดยั่งตัวเองได้

      “เว ช้าหน่อย อืออ” ฟาเรสห้ามเสียงขาดในยามที่เอวหนากระแทกใส่รัวๆ แต่เสียงสั่นพร่านั่นกระกระตุ้นให้อีกคนกระสันอยากขึ้นเป็นเท่าตัว เวลอร์ในยามนี้มัวเมาไปกับเรือนกายของคนรัก กว่าจะหยุดยั้งตัวเองได้ก็เกือบรุ่งสาง





   ฟาเรสตื่นขึ้นมาในบ่ายของวัน ก่อนจะไปส่งเวลอร์ที่ท่าเรือส่วนตัวขอเอเบรียนในตอนเย็น คนที่ออกเดินทางไปด้วยครั้งนี้ มีโอซี่ ไมเรคและมอร์แกน

   “ไปนานไหม” ฟาเรสเอ่ยถามคนตรงหน้า ข้างๆ กันมีลูนที่กอดโอซี่ไม่ยอมปล่อย เจ้าชายครึ่งออคสั่งให้เจ้าเหมียวอยู่ที่นี่กับเขา เพราะไม่อยากให้ออกไปเสี่ยง ถัดออกไปเป็นไมเรคกับมาวิค ที่แม้วันจะไปยังไม่วายแขวะกันซึ่งดูเหมือนจะเป็นมาวิคเป็นฝ่ายเวี่ยงวีนเสียมากกว่า หลังๆ มานี้ดูไมเรคไม่ค่อยต่อปากต่อคำกับเพื่อนเขาเท่าไหร่นักยิ้มรับอบ่างเดียว

   “ก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเดือนสองเดือน หรืออาจจะกลับมาที่นี่แล้วไปใหม่” เวลอร์ตอบ “ดูแลตัวเองดีๆ นะ เวลาฝึกถ้าไม่ไหวก็พัก อย่าฝืนจนตัวเองแย่”

   “อืม นายก็เหมือนกัน ถึงจะเก่งแต่ใช่ว่าจะพลาดไม่ได้ ระวังตัวด้วย” ใบหน้าคมก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนเนินนานแล้วผละออก ก่อนจะเดินไปขึ้นเรือที่จอดรออยู่

   ฟาเรสมองตามแผ่นหลังกว้างที่แบกรับความเป็นไปของเอสทีเรียดด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งภูมิใจในตัวคนรัก และใจหายที่ต้องห่างกัน แต่มันไม่น่าลำบากใจเท่ากับใครอีกคนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ดวงตาสีครามวูบไหวในยามที่เห็นมอร์แกนทำท่าจะเสียหลักในยามที่จะก้าวขึ้นเรือแต่ได้เวลอร์มาประคองไว้ เขารู้ว่าคนรักนั่นหนักแน่นมั่นคงเพียงใด แต่ก็รู้สึกหน่วงๆ ในใจเมื่อคิดได้ว่าหลังจากนี้ทั้งสองคนต้องเดินทางร่วมกัน จนอดกลัวไม่ได้ในเพราะรู้ดีว่ามอร์แกนเคยอยู่ในสถานะไหนมาก่อนสำหรับเวลอร์

   “เอาน่า เดียวพวกนั้นก็กลับ อย่าคิดมาก” มาวิคว่าพลางบีบไหล่เขาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ นั่นสินะ สิ่งที่ฟาเรสควรสนใจตอนนี้คือทำยังไงให้ตัวเองเก่งขึ้น และตั้งใจกับสิ่งที่ควรทำก็พอ

......................................

- มาแล้วจ้า ตอนหน้าดราม่านิดๆ ก็แล้วกันเนอะ ส่วนตอนนี้ nc หน่อยๆ :hao5:

- ขอโทษที่หายหัวนะค่ะ งานเยอะมาก วันอาทิตย์ก็ไม่ได้หยุดเลย ทำโอทีสามสี่วันติดแล้วค่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-07-2016 00:43:02
มีมาม่าไปอีกตอนหน้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-07-2016 02:49:43
ดราม่านิดเดียวพอนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-07-2016 05:56:14
อ้าวเรอะ งั้นเตรียมตะเกียบรอ ขอรวดเดียวหวานเลยนะคะ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ น้องฟาน่ารักเสมอ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-07-2016 09:14:39
ให้มั่นใจแค่ไหนแต่ไม่ได้ไปด้วยแบบนี้ก็ต้องคิดมากอยู่ดี

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-07-2016 18:00:41
จะไปยังไม่วายหื่นตลอดนะลุง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 18-07-2016 19:31:37
ตอนหน้าอย่าดราม่ามากนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) (NCนิดๆ) บทที่29 P10 18-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 22-07-2016 20:53:17
ไม่เอาไม่เศร้านะฟาร์  :hao5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 30-07-2016 01:18:13
บทที่ 30

      “นี่คือห้องฝึกพลังเวทย์ของกองทัพ” เอเบรียนว่าพลางเดินนำฟาเรสและลูนสู่โถงใต้ดินขนาดยักษ์ที่กินบริเวรกว้างและเพดานสูงสุดสายตา ทั้งพื้น ผนังและเพดานเป็นสีขาว จนดูเหมือนว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ใหญ่กว่าโคลอสเซียมกลางน้ำที่ใช้ในงานประลองเสียอีก

      “โห ในอนิมามีอะไรที่ผมยังไม่เห็นอีกไหมครับ” ครึ่งเอลฟ์มองรอบตัวอย่างทึ่งๆ มองภายนอกดูไม่ออกเลยว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีฐานลับขนาดใหญ่ซ่อนอยู่

      "สองข้างนั่นเป็นเครื่องจำลองพลังเวทย์” เครื่องจักรสีเงินสูงเกือบสามเมตรถูกติดตั้งไว้สองด้านของห้องฝึกตรงข้ามกัน “และพวกนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องพวกนี้ คนของลุงเองไว้ใจได้ เขาจะมาคอยดูแลความปลอดภัยของหลานในช่วงฝึกซ้อม” ฟาเรสกล่าวทักทายเจ้าหน้าที่สี่ห้าคนที่ออกมาต้อนรับ

        “พลังเวทย์สร้างได้ด้วยหรอครับ” ลูนถามอย่างสงสัย

        “ก็เพิ่งจะทำได้เมื่อไม่นานมานี้นั่นละ แต่ก็มีขีดจำกัดของมันและใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก อีกทั้งต้องมีเครื่องกำเนิด ไม่เหมือนพลังเวทย์แฝงที่อยู่ในตัวพวกเราทุกคน” ผู้สูงวัยอธิบาย

         “แล้วจะให้ผมฝึกยังไงครับ” ฟาเรสถามต่อ ภารกิจของเขาคือการปิดรอบแยกระหว่างมิติขนาดยักษ์ใจกลางอินเวียโน
“จากการคนคว้าที่ผ่านมาของอนิมา พบว่า พลังเวทย์แฝงและเวทย์บริสุทธิ์ เกิดจากประจุพลังงานที่ซ่อนอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกประเภทแต่จะมากพอที่จะแสดงออกไหมนั่นก็เป็นอีกเรื่อง มีความคุณสมบัติแต่งต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างเช่นมนุษย์ กับเอลฟ์ที่มีความสามรถในการใช้พลังต่างกัน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านั้นจะถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม และบังเอิญคุณสมบัติของพลังที่ถ่ายทอดมากับสายเลือดคาเดนเซียเหมือนกับพลังงานของรอยแยกระหว่างมิติ ทำให้สายเลือดคาเดนเซียเกือบทุกคนสามารถเปิดปิดรอยแยกระหว่างมิติได้ เหมือนกับที่หลานทำได้ไงฟา” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ เริ่มเข้าใจถึงที่มาที่ไปของพลังตน “ลุงจะใช้เครื่องสร้างก้อนพลังที่มีคุณสมบัติคล้ายพลังงานของรอยแยกขึ้นมาและให้หลานหาทางสลายมัน จะเริ่มจากก้อนพลังเล็กๆ แล้วขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ”

        “แล้วผมต้องฝึกแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ครับ”

        “จนกว่าพลังในตัวหลายจะสมดุลย์ และสามารถใช้พลังได้มากๆ โดยไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง แต่เราคงไม่กระหน่ำฝึกแบบนี้ทุกวันหรอกนะ ลุงจะหาทีมแพทย์มาคอยเช็คสภาพร่างกายหลานถ้าไม่ไหวก็ต้องให้พักจนกว่าจะฟื้นตัว”
“แต่นั่นจะทำให้เราเสียเวลาเปล่านะครับ”

         “ฟา จริงอยู่ที่เรื่องหยุดยั่งฟอสโกมันสำคัญ และหลานลุงสำคัญกว่า ถ้ารู้สึกว่าใช้พลังไม่ไหว ก็ไปฝึกการต่อสู้ทางกายแทนก็ได้หากหลานไม่อยากอยู่เฉยๆ เอาลูนไปเป็นคู่มือก็ได้ พวกคิเมร่านะสัญชาติญาณในการต่อสู้ดีแต่เกิดอยู่แล้ว” เอเบรียนบอก

          “อืมมม ลูนจะเป็นคู่มือให้เอง” เจ้าเหมียวตาม่วงรับคำอย่างแข็งขัน
“ขอบคุณลูน” ฟาเรสบอกด้วยรอยยิ้ม

          “เอาละมาเริ่มกันเถอะ” ผู้อำนวยการถอยออกจากบริเวณ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เข้าที่ทุกคนแล้วเริ่มเปิดเครื่อง


          ลูกพลังที่ฟาเรสสามารถสลายได้ค่อยๆ เพิ่มขนาดขึ้นทุกวัน หากแต่การใช้พลังเวทย์ติดต่อกันหลายวันมันทำให้เขาเริ่มล้า แต่เจ้าตัวกลับไม่ปริปากบอกใครเพราะเขาไม่อยากหยุดอยู่เพียงเท่านี้ อาทิตย์หนึ่งแล้วที่เวลอร์ออกจากฐานไปยังไม่ติดต่อกลับมา  ทำให้ลูกครึ่งเอลฟ์ทั้งคิดถึงทั้งห่วง อาจเพราะเคยชินกับการมีอีกคนอยู่ข้างกาย จึงทำให้นอนไม่ค่อยหลับและนั่นยิ่งทำให้ร่างโปร่งยิ่งรู้สึกล้าเป้นทวีคูณ ส่วนลูนก็คิดถึงเจ้าชายครึ่งออคของตนเช่นกันแต่เจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างร่าเริงจึงไม่เซื่องซึมเท่าไหร่นัก คุณชายมาวิคของเราเองก็ดูหงอยไปบ้างเช่นกันหากแต่พยายามยิ้มแย้มเพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ ที่เหลือต้องกังวล

         “ฟาเรสสสสส” น้ำเสียงหวานๆ ดังต้อนรับขณะที่ฟาเรสเปิดประตูห้องพัก หลังจากฝึกมาตลอดวัน

          “ป้าโอเรนน!!!” เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นคนในครอบครัวของตน โผเข้ากอดหญิงร่างท้วมเต็มแรง “คิดถึงจัง”

          “ป้าก็คิดถึงเราเหมือนกัน” ฟอด...หญิงวัยกลางคนหอมแก้มหลานชายฟอดใหญ่ “ดูซิ โทรมไปเยออะเลยนะเรา พักผ่อนน้อยละสิ”

          “แหะๆ ฝึกหนักไปหน่อยนะครับ”

          “ดูแลตัวเองหน่อยนะเรา อินเดียโกมันตามมาหักคอฉันโทษฐานไม่ดูแลหลานจะทำยังไง” ชื่อของพ่อทำให้ดวงตาสีครามวูบไหว

          “ผมอยากไปเยี่ยมทุกคนจัง” ฟาเรสบอกเสียงเครือพลางฟุบหน้าลงกับไหล่กลมกลึงของคนเป็นป้า ตั้งแต่สอบเข้าอนิมาได้เขายังไม่ได้กลับไปเยี่ยมหลุมศพพวกท่านเลยซักครั้ง

           “เอาน่า พวกเขาอยู่กับหลานทุกที่นั่นละ ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่กับยัยสองแสบนั่น พวกเขาอยู่ตรงนี้ไงจ๊ะ” ว่าแล้วก็จิ้มนิ้มป้อมๆ ตรงตำแหน่งหัวใจของหลานชาย

           “นั่นสินะครับ” ริมฝีปากสวยยิ้มรับ เพราะฉะนั้นจะมามัวเหลาะแหละไม่ได้ เพื่อครอบครัวที่เสียไปฟาเรสต้องล้างแค้นให้สำเร็จ

          “ไว้ว่างก็กลับบ้านเรา” เธอว่าอย่างใจดี

          “แล้วป้ามาที่นี่ได้ไงครับ”

           “ก็เจ้าเวนะสิ บอกว่าจะต้องออกไปสืบข้อมูลพวกฟอสโกต้องทิ้งเราไว้ที่นี่ เลยขอร้องไห้ป้ามาดูแลเราหน่อย นี่ถามจริงหลานคิดยังไงไปตกลงปลงใจกับตาแก่นั่น” ฟาเรสยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเวลอร์เป็นห่วงตนขนาดนี้

           “ฮ่าาา ก็ไม่รู้สิครับ” จะว่าไปคนรักเขาก็อายุรุ่นๆ เดียวหรืออาจจะแก่กว่าท่านลุงท่านป้าเขาด้วยซ้ำ

           “ไปอาบน้ำไป ป้าทำข้าวเย็นไว้รอ มีแต่ของโปรดเราทั้งนั้น”

           “ว่าแต่ผมชวนลูนมาทานด้วยได้ไหมครับ”

           “ป้าให้คนไปตามแล้วจ้ะ ไปซักทีสิ เหม็นเหงื่อจะแย่อยู่แล้ว” ป้าโอเรนย่นจมูกใส่พลางดันหลังหลานชายให้เดินไปอาบน้ำเสียที

           "ครับๆ”


            การมีป้าโอเรนมาอยู่ด้วยช่วยให้เขาคลายคิดถึงเวลอร์ไปได้บ้าง สองอาทิตย์แล้วคนรักก็ยังเงียบหายจนเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง จนท้ายที่สุดเข้าก็ทนไม่ไหวจึงเอ่นปากถามเหล่าอดีตองครักษ์จนได้ความว่า

           “เมื่อคืนท่านเวลอร์ส่งข่าวมาว่าจะเดินทางต่อไปเคลวิช” เอลฟ์สาวบอกพลางยื่นจดหมายมาให้ การส่งข่าวข้ามเมืองนั้นค่อนข้างลำบากเพราะไม่ใช่ทุกที่จะมีการสื่อสารที่เจริญอย่างเดสเซนท์โทรศัพท์จึงมีอยู่ตามสถานที่หลักๆ เท่านั้น

            “แล้วอีกนานไหมครับกว่าพวกเขาจะกลับ”

           “คงไม่เกินสามอาทิตย์หรอค่ะท่าฟาเรส เพราะท่านเวลอร์แยกกันกับสหาย ท่านโอซี่กลับไปที่เรดิเอนซี่ ส่วนท่านไมเรคขึ้นเหนือไปนอธฟิวค่ะ” เรน่าอธิบาย

           “แล้วมอร์แกนละครับ” ฟาเรสไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าถามถึงเธอคนนี้ทำไม

          “เดินทางไปเคลวิชกับท่านเวลอร์ค่ะ” ไปกับเวลอร์สองต่อสอง ใบหน้าใสดูหมองลงขึ้นทันตา

         “ครับขอบคุณครับ”

         “ท่านฟาเรสอย่าคิดมากนะค่ะ เชื่อใจนายท่าน” เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับแม้ภายในจะอึดอัดเต็มทน
ฟาเรสไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะเป็นพวกคิดมาก เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็เก็บมากังวลไปเสียหมด ที่เวลอร์เดินทางไปกับมอร์แกนเขาพยายามปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็มีไมเรคและโอซี่ไปด้วย แต่ตอนนี้สองคนนั้นไปด้วยกัน ถ้าเกิดมอร์แกนอยากได้นายของเธอคืนละ หรือคนรักของเขาเผลอตัวเผลอใจไปกับสนมเก่าละ สารพัดความคิดมากมายโถมเข้าจนตลอดช่วงหลายวันมานี้ฟาเรสไม่มีสมาธิเลย ทำอะไรก็หงุดหงิดไปหมด

         “คุณฟาเรส วันนี้สีหน้าดูไม่ดีเลยนะครับ พักก่อนไหม” เจ้าหน้าที่ในโถงฝึกคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล

         “ผมไม่เป็นไรหรอกครับเราเพิ่งเริ่มเอง” ฟาเรสว่าพลางหยัดตัวยืนตรงเมื่อกี้พึ่งสลายก้อนพลังขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสี่ห้าเมตรไปเป็นการวอร์ม “ต่อเลยครับ เอาขนาดที่ใหญ่กว่าของเมื่อวาน”

          ตอนนี้ลูกพลังที่ใหญ่ที่สุดที่เขาสามารถสลายได้ ใหญ่พอๆ กับตึกสี่ชั้นเลยก็ว่าได้ จนเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างออกปากชมด้วยความทึ่งเพราะไม่เคยเจอคนที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์มากขนาดนี้

          “พร้อมนะครับ” เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณก่อนจะเปิดเครื่องกำเนิดพลัง

          สายพลังงานสีฟ้าพุ่งออกจากเครื่องจักรสีเงินทั้งสองข้างมาปะทะกันตรงการเกิดเป็นก้อนพลังงานที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ เกิดเสียงดังคล้ายไฟฟ้าที่กำลังชอตเป็นระยะและแสงสว่างจ้าไปทั่วโถง ฟาเรสพยายามตัดเรื่อวกสนใจออกไป บอกตัวเองว่าต้องตั้งใจ บอกตัวเองว่ายังมีสิ่งยิ่งใหญ่ที่ต้องทำ เขาต้องหยุดฟอสโก ต้องเอาคืนคนที่ทำลายชีวิตเขาและทำลายชีวิตเวลอร์ หยุดยั้งในสิ่งที่พวกมันทำ

          ดวงตาสีครามมองไปยังลูกบอลพลังงานใจกลางห้องอย่างใช้ความคิด ที่ผ่านมาเขาใช้พลังของตัวเองลบล้างมัน ผลที่ได้คือร่างกายอ่อนแรงลงเพราะสูญเสียพลังงานไปมาก หากพลังเวทย์ของเขามีคุณสมบัติเดียวกัน แทนที่จะปล่อยพลังไปลบล้างให้สูญเปล่า ทำไมเขาไม่ดึงพลังนั้นเข้าสู่ตัวแทน คิดได้ดังนั้นจึงยื่นแขนออกไปด้านหน้าตั้งสมาธิและทำตามสิ่งที่พึ่งคิดได้

           “คุณฟาเรส ทำอะไรของคุณนะ” เจ้าหน้าที่ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อสายเวทย์ถูกดึงจากก้อนพลังงานสู่ร่างโปร่งบาง

            “อย่าปิดเครื่องครับ ขอละให้ผมลอง” ครึ่งเอลฟ์บอกเสียงกร้าว ทุกคนจึงยอมอยู่นิ่ง เฝ้ามองร่างโปร่งอย่างลุ้นระทึก

             พลังมหาศาลที่ถูกดึงสู่ร่าง ทำเอาฟาเรสสั่นไปทั้งตัว เหมือนมีบางอย่างไหลเวียนอยู่ภายใน แต่เขาก็ยังไม่หยุดมองก้อนพลังที่เล็กลงเรื่อยๆ อย่างมีนหวัง อีกนิดทำก็จะทำได้ แต่ดูเหมือนร่างกายจะเริ่มไม่อำนวยกับปริมารของพลังมหาศาลที่ไหลสู่ร่าง

            “ฮึก...” ฟาเรสกัดฟัดกรอดเมื่อบางสิ่งที่อยู่ในกายไหลเวียนรุนแรงอย่างบ้าคลั่งจนเจ็บแปลบเหมือนถูกกรีดไปทั้งร่าง นั้ยน์ตาสีครามเรืองรอง แต่เขาจะทน อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จ ภาพก้อนพลังที่เหลือเพียงไม่กี่เมตรที่กำลังจะสลายตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน แล้วมันก็หายวับไปกับตาพร้อมเสียงตวาดลั่นของใครบางคนที่เขาไม่อาจรับรู้อีกต่อไป

            “พวกแกทำบ้าอะไร ทำไมไม่หยุดเขา ปล่อยเขาทำแบบนี้ได้ไง” เอเบรียนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เขาเข้ามาในโถงเมื่อครู่พอเห็นว่าหลานชายกำลังทำอะไรก็รีบวิ่งไปปิดเครื่องกำเนิดพลังงานในทันที

           “ฟา เฮ้ ฟา เป็นอะไรไหม” ผู้อำนวยการถลาไปประคองร่างโปร่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น มือเหี่ยวกร้านสั่นเทาลูบใบหน้าเนียนด้วยความตระหนก พยายามเช็ดเลือดที่ไหลออกจมูกออกปากไปจากใบหน้าเนียน

          “เรียกหน่วยพยาบาล เร็วเข้า”

         เขาไม่กล้าแม้ที่จะเคลื่อนย้ายร่างในอ้อมแขน เพราะไม่รู้ว่าพลังเวทย์ที่ฟาเรสรับเข้าร่างทำความเสียหายภายในร่างกายมากแค่ไหน ใจชองชายสูงวัยสั่นกลัวดังเช่นวันสุดท้ายที่เขาได้มีโอกาสไปดูใจฟาร่าที่กำลังจะตาย เขาคงไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้น อย่างน้อยถ้าจะมีซักคนที่เอเบรียนผู้พันต้องตาย ภาวนาให้มันเกิดขึ้นหลังจากตาแก่อย่างเขาสิ้นใจไปเสียก่อน



          เวลอร์เดินทางมาถึงเมืองหลวงของเคลวิชพอเข้าพักที่โรงแรมก็รีบติดต่อกลับไปที่อนิมาทันที ส่วนหนึ่งคืออยากทราบข่าวของฟาเรส แต่ที่ไม่ขอคุยนั้นเพราะเขากลัวว่าหากได้ยินเสียงนุ่มๆ ที่ชอบฟังคงทนความคิดถึงไม่ไหวจนต้องกลับไปหาเสียให้ได้ จึงตัดสินใจฟังความเป็นไปของคนรักผ่านทางอดีตองครักษ์ของเขาเอา หากแต่เรื่องราวที่ได้รับรู้เมื่อครู่กลับทำให้คิเมร่าที่แสนจะแข็งแกร่งอย่างเข้าถึงกับหมดแรง

          แกรก...โทรศัพท์ในมือใหญ่ร่วงลงทันใด หากไม่มีสายดึงไว้มันคงกระแทกพื้นเสียหาย ร่างสูงเอนหลังพิงพนักโซฟาที่นั่งอยู่อย่างสิ้นท่า เสียงของเรน่าที่พูดกับเขาเมื่อคครู่ดังก้องอยู่ในหัว


            ‘ท่านฟาเรสฝืนใช้พลังมากไปจนร่างกายรับไม่ไหว ตอนนี้ทรุดหนักเลยเจ้าค่ะ’

            ‘แล้วตอนนี้ ฟาเป็นอย่างไรบ้าง’

            ‘ดิฉันก็บอกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ นี่ก็สองวันมาแล้วยังไม่ฟื้นเลย’

            ‘ฉันจะกลับ’

           ในตอนนี้สิ่งที่รับรู้บีบหัวใจของเวลอร์จนเจ็บแปลบ ห่วงเหลือเกิน มันร้อนรนจนแทบบ้า มือกร้านกำแน่นจนเล็บจิกลงกับเนื้อ เพื่อภารกิจบ้าๆ เขาทำให้คนรักต้องเป็นอันตรายถึงเพียงนี้เชียวหรือ มอร์แกนที่นั่งอยู่โซฟาเดียวเลื่อนมานั่งข้างกายก่อนจะวางมือบนต้นแขนของนายเหนือหัวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

           “ไปเถอะเจ้าค่ะ ทางนี้มอร์แกนจะจัดการต่อเอง” ใบหน้าสวยยิ้มบางๆ ย้ำให้อีกคนวางใจ เธอไม่เคยเห็นฝ่าบาทของเธอรักใครเท่านี้มาก่อน จึงเข้าใจความรู้สึกของนายตัวเองดี





                   บนเรือบินที่ออกเดินทางจากนอธเทิร์นเรียมซึ่งกำลังมุ่งหน้าส่เดสเซนท์ ไมเรคนั่งอ่านเอกสารรายชื่อผู้สนับสนุนพวกฟอสโกที่เขาได้มาด้วยใบหน้าเคร่งเคียดเมื่อรายชื่อหนึ่งในนั้นเป็นนามสกุลขของคนใกล้ตัว
...หวังว่านายคงไม่มีส่วนกับเรื่องนี้นะ พรีม!!!...

.....................................

+มาแล้ว คิดถคงฉันไหมเวลาที่เธอ..........(จงเติมคำในช่องว่าง)  :hao7:

+ ขอโทษนะค่ะที่หายหน้าไปนาน เอานี่มาไถ่โทษพอหรือเปล่าคนดี  :hao5:

(http://upic.me/i/o1/farsm.jpg) (http://upic.me/show/59029824)

ตอนนี้พยายามฝักใฝ่ด้าน digital painting แล้วค่ะ

เข้ามาทักทายกับเราได้ที่
https://www.facebook.com/NightKnightByBloodRoSe/

ส่วนนี้เปิดไปเจอเพลงเพราะและมีความวาย ตอนจบแอบเศร้าอะค่ะ

https://youtu.be/fdXNNveYOfU   part 1/3

https://youtu.be/uxg222-hWWc  part 2/3

https://youtu.be/Lo3lxS-6joY      part 3/3
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-07-2016 09:01:03
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-07-2016 11:12:44
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-07-2016 20:33:51
 :ling2:   ขอไม่หน่วงนานได้ไหมอ่า. ขอบคุณที่มาต่อนะคะคนเขียน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 31-07-2016 05:08:48
ฟาเรสเด็กดื้อ เจ็บหนักเลย
ลุงกลับไปหาเมียด่วน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 31-07-2016 14:59:05
 :a5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy)(ซีเรียสนิดๆ) บทที่30 P.11 30-7-2016
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 07-08-2016 15:15:02
ฟาเรสเด็กดื้อ ฝืนฝึกจนร่างกายรับไม่ไหว เวมาจัดการตีก้นลงโทษเด็กดื้อหน่อย :sad5: หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยนะ
รอตอนต่อไปค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) แจ้งข่าวค่ะมารายงานตัว P11 18/8/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 18-08-2016 21:41:55
 :pig2: มาแจ้งข่าวซักนิด คนเขียนยังมีชีวิตอยู่นะค่ะ แค่ช่วงนี้งานประจำมันยุ่งมากเลยค่ะ ทำโอทีกลับดึกทุกวันเลย ไหนจะซุ่มวาดรูปประกอบเรื่อง อัศวินรัตติกาล

    เรื่องจัดพิมพ์ ตกลงเรื่องรูปเล่มกับผู้ใหญ่ใจดีไปแล้วค่ะ ซึ่งในเล่มนี้ เราจะวาดรูปประกอบและทำอาร์ตหน้าปกเองเลยค่าา  :impress2: จะมีการขัดเกลาภาษาให้สละสลวยขึ้น เพราะตอนที่ลงเรื่อง อัศวินรัตติกาล Night Knight  ยอมรับเลยว่าภาษาเขียนบางอย่างของเรายังไม่ดีนัก ด้วยวัยและประสบการณ์มันยังมีข้อบกพร่องมากอยู่ เนื้อหาในเล่มจึงกึ่งๆ รีไรท์แต่เนื่อเรื่องทุกอย่างยังคงเดิมค่ะ

     สำหรับลุงเวและน้องฟา ไม่ได้ทิ้งไปไหนค่ะ ยังเขียนอยู่ แต่บทที่ 31 นี้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงค่ะ เพราะเนื้อหาค่อนข้างจริงจังพอสมควร

 :ling3:  ขอโทษที่ทำให่รอนะค่ะ เอาตอนพิเศษ รอท และ น้องโยนาห์ไปอ่านแก้เซ็งก่อนก็แล้วกัน (แต่งดองไว้นานละค่ะ และ ไม่ได้ลงในหนังสือ ลงที่นี่ที่เล้าเท่านั้นค่ะ ตามลิ้งไปโลดด http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47290.msg3450878#new (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47290.msg3450878#new)

ปล. หาก เรื่อง Night Knight อัศวินรัตติกาล เป็นรูปเป็นร่างเมื่อไหร่อย่าลืมอุดหนุนเราน้าา (รอไอดีซื้อขายอยู่อะ)
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) แจ้งข่าวค่ะมารายงานตัว P11 18/8/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 24-08-2016 22:18:35
ตามอ่านทันแล้ว :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) แจ้งข่าวค่ะมารายงานตัว P11 18/8/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 30-08-2016 01:56:42
บทที่ 31

     บางทีฟาเรสก็นึกสมเพชในความอ่อนหัดของตัวเองเสียเลยเกิน เพราะชีวิตเขาเป็นอันต้องล้มหมอนนอนเสื่อกันอยู่บ่อยครั้ง เขาโดนทั้งท่านลุงเอเบรียนและป้าโอเรนปฐมเทศนาเป็นการใหญ่หลังจากหมดสติไปสองวันสองคืนเต็มๆ แถมโดนสั่งงดฝึกซ้อมจนกว่าผู้ใหญ่ทั้งสองจะเห็นว่าร่างกายเขาแข็งแรงพอ
 
    "ไงฟาร์" เซียเข้ามาเยี่ยมเขา พร้อมถือขนมมาเต็มไม้เต็มมือ "ทำไมชอบหาเรื่องเจ็บตัวนักนะนายนี่"

    "แหะๆ แล้วพรีมละ" ฟาเรสถามอย่าสงสัย ปกติสองคนนี้ตัวติดกันตลอด

    "พรีมกับไปช่วยงานที่บ้านนะ"

     "อ้อ แล้วเซียไม่กลับหรอ" เซียกับพรีมมักจะกลับไปอยู่กับครอบครัวช่วงสุดสัปดาห์เพราะบ้านของทั้งคู่อยู่ในเดสเซนท์

     "ก็ว่าจะกลับ ได้ยินว่ามีเด็กป่วยฉันเลยมาเยี่ยมหน่อย อ้าว!! คุ๊กกี้ฉันซื้อมาจากร้านริมหาด" ว่าแล้วก็แกะถุงหยิบขนมมาป้อนคนป่วย ฟาเรสก็ยอมกินอย่างว่าง่าย ยิ้มน้อยๆ กับรสชาติที่หวานกำลังดี เซียเอื้อมมือไปขยี้หัวเจ้าตัวอย่างเอ็นดู นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอคอยมาดูแลเขา อยู่กับเซียเหมือนมีพี่สาวเลยแฮะ

    "เบื่ออะ" ฟาเรสบ่น พอไม่ได้ฝึกซ้อม ให้มานั่งๆ นอนๆ แบบนี้มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย

     "งั้นไปเที่ยวกัน ในเมืองมีงานประจำปี ของกินเพียบเลย" เซียว่า

     "ไปได้หรอ"

     "ก็ป้านายนั่นละ บอกให้มาชวน กลัวนายจะเบื่อ ไปๆ ลุกไปอาบน้ำจะได้ไปกัน" ฟาเรสรับปากรับคำ ลุกไปจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว
 
    ฟาเรสมองไปรอบตัวอย่างตื่นเต้น จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นแบบนี้นานแล้ว เพราะเอาแต่เครียดเรื่องของอินเวียโน่และพวกฟอสโก้ บรรยากาศของงานประจำปีเป้นไปอย่างคึกคัก ถนนกลางเมืองถูกปิด กลายเป็นถนนคนเดินที่มีร้านรวงมากมาย มีเวทีการแสดงตั้งอยู่ประปรายตามมุมถนน และมีเวทีใหญ่อยู่หน้าที่ว่าการเมืองเดสเซนท์ 

    "ฟาร์ นายมีพี่น้องรือเปล่า" เซียถามระกว่างที่จูงมือร่างโปร่งให้เดินตามไป

    "มีน้องสาวสองคน  เป็นแฝดนะ" จะว่าไปออรี่และออร่าก็ชอบมาเดินเที่ยวตามงานแบบนี้เหมือนกัน

     “หืม ไม่เคยเห็นมาเยี่ยมที่มหาวิทยาลัยเลย”

     “เอ่อ...พวกเธอไม่อยู่แล้วละ” ฟาเรสตอบเสียงแผ่ว

    “เอ่อ โทษทีฉันไม่ได้ตั้งใจ”

     “เอาน่า ฉันมั่นใจว่าสองสาวนั่นกำลังมีความสุขอยู่แน่” อย่างน้อยออรี่และออร่าก็ไม่ต้องมาเผชิญปัญหาและการสูญเสียแบบที่เขาเจอ

     “เอ้อ ฟาร์ มาด้วยกันหน่อยสิ ฉันว่าจะไปซื้อกระเป๋ามือสองนะ ร้านอยู่ในตรอกใกล้ๆ นี่ละ” เซียเอ่ยชวน ซึ่งครึ่งเอลฟ์หนุ่มเพียงแค่เออออไปด้วย ร้านขายของมือสองอย่างนั้นหรอ น่าสนใจเหมือนกัน



   เซียเดินนำเขามาในตรอกแคบๆ ที่อยู่ระหว่างตึกสูงลัดเลาะ ไปตามทาง จนฟาเรสชักงง

    “เซียเกิดที่นี่หรอ” ฟาเรสเอ่ยถามทำลายความเงียบ

    “เปล่าหรอกจ้ะ ฉันเกิดที่นอธเทิร์นเรียม จริงๆ แต่ก่อนพ่อฉันทำงานเหมืองนะ ครอบครัวเราค่อนข้างลำบาก แต่ท่านเป็นคนเก่ง เชี่ยวชาญเรื่องคริสตัล เลยผันตัวเองมาเป็นพ่อค้ามาอยู่ที่เดสเซนท์นี่ละ”

    “เซีย!!!” ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติรอบกาย  ก่อนที่เขาทั้งคู่จะถูกล้อม ด้วยคนชุดดำร่วมสิบ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาจากทุกมุมตึก เป็นพวกฟอสโกแน่นอน จะว่าไปเขาลืมคิดเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท ทั้งที่เวลอร์เคยเตือนไว้ว่าไม่จำเป็นก็ไม่ควรออกจากอนิมา พลาดซะแล้ว

     “เซีย ทำอะไรนะ” ฟาเรสหันกลับไปมองทันทีเมื่อจู่ๆ คนที่อยู่ด้านหลังจับมือเขาไขว้หลังแล้วใส่กุญแจมือล๊อคอย่างรวดเร็ว
“นายเป็นคนดีนะฟาร์ แต่ก็ดีเกินไป” เสียงหวานกระซิบบอกข้างหู “ถึงได้โดนหลอกง่ายๆ ยังไงละ”

     “เธอเป็นพวกนั้นหรอ” แต่ละคำที่พูดออกมาช่างยากลำบาก นี่เป็นครั้งที่สองที่ถูกเพื่อนหักหลัง และเป็นครั้งที่ร้ายแรงยิ่งกว่า เมื่อคนที่เขาคิดเสมอว่าเปรียบเสมือนพี่สาวกลับขายเขาให้ศัตรู

     “แล้วคิดว่ายังไงละจ้ะ” เซียว่าพลางเดินมาข้างหน้าพร้อมแสยะยิ้ม “ถ้าฟอสโกแพ้ ครอบครัวฉันก็เดือดร้อน เรามีกินมีให้เพราะพวกเขายิบยื่นโอกาสให้ ฉันไม่ยอมให้เธอทำสำเร็จหรอกนะฟาร์”

     ดวงตาสีครามมองรอบตัวอย่างหาทางหนีทีไล่ ในตรอกแคบๆ นี้ นอกจากทางข้างหน้าและข้างหลังที่พวกมันยืนปิดไว้ คงจะมีแค่ด้านบนเท่านั้นละที่เปิดโล่ง แต่เอลฟ์บินได้ที่ไหนกัน สิ่งเดียวที่คิดออกคือพยายามรวบรวมพลังเวทย์ไปที่มือ ทำลายกุญแจมือซะเพื่อให้หลุดออกจากพันธนาการ

     “โอ๊ย!!” ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัวเมื่อกุญแจมือที่ใส่อยู่ร้อนวาบขึ้นมาเมื่อเขาพยายามใช้พลังเวทย์

      “อย่าพยายามเลย ถ้าไม่อยากแขนไหม้นะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยปนขำ ยิ่งเขาฝืนทำลายกุญแจมือนั่นมากเท่าไหร่มันยิ่งร้อน จนตอนนี้ข้อมือเขาแสบไปหมด เรื่องทุกอย่างจะมาจบตรงนี้ไม่ได้

     “พวกแก...”

    “เอาละ มาด้วยกันซะดีๆ เจ้านายพวกเราอยากคุยด้วย”

     “ไม่มีทาง เฮ้ยย!! อย่าเข้ามานะ” ฟาเรสโวยวาย

     “ปิดปากมันซะเดี๋ยวคนแถวนี้ก็ได้ยินกันหมด” สิ้นคำ ชายชุดดำที่อยู่ใกล้ที่สุดพุ่งเข้ามาหาฟาเรส แต่ร่างโปร่งถีบสวนจนอีกฝ่ายหงายหลัง แต่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกอีกคนพุ่งเข้าใส่

     ผลัวะ!!! หมัดหนักๆ ฟาดเข้าที่สันกรามของฟาเรส ใบหน้าเนียนหันไปตามแรง ในหัวมันมึนไปหมดพยายามตั้งสติแต่ก็ถูกชกเข้าที่ท้องแรงๆ จนร่างโปร่งทรุดกองไปกับพื้น

     “นี่ฟาร์ ในฐานะที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน อย่าขัดขืนดีกว่านะ ฉันไม่อยากให้นายเจ็บตัว” เซียนั่งยองลงตรงหน้าพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่คนฟังรู้สึกได้ถึงความเสสแสร้งอยู่ในนั้น แม้ใจอยากจะทักท้วงแต่แรงกระแทกตรงท้ายทอยก็ทำเอาสติของเขาดับลงทันที

     ร่างของครึ่งเอลฟ์หนุ่มถูกพวกฟอสโกแบกขึ้นบ่า ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่เข้ามา โดยมีเซียนำทาง
เมื่อหลายปีก่อนพ่อของเธอทำงานเป็นคนขุดเหมือง ถูกนายทุนเจ้าของเหมืองกดขี่สารพัด จนวันหนึ่งพวกฟอสโก้ได้เข้ามายึดเหมืองคริสตัลทางตอนเหนือที่พ่อเธอทำงานอยู่ พวกนั้นไม่ได้ฆ่าพ่อเธอแต่เสนอให้พ่อเป็นควบคุมดูแล โดยพวกไวด์โซลที่นั้นควบคุมอยู่คอยเป็นแรงงานให้ อันเดธเหล่านี้ไม่หิว ไม่เจ็บและไม่ป่วย แม้จะดุร้ายแต่ฟอสโก้ก็ควบคุมพวกมันได้ เธอไม่สนหรอกหากเหล่าฟอสโก้ยึดครองเอสทีเรียดได้คนอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ในเมื่อการมีอยู่ของพวกนี้หมายถึงอำนาจและความสุขสบายของครอบครัวเธอ

     “รถจอดไว้ตรงแยกที่ 12 เร็วเข้า ก่อนพวกนั้นจะตามเจอ” หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเร่ง เธอสั่งให้ชายตัวโตจับฟาเรสที่ยังไม่ได้สติขี่หลัง เผื่อมีคนเจอจะได้ไม่ผิดสั่งเกตุ

     ฟึบ!!! ฉีก...มีดสั้นสีเงินปักลงตรงหน้าของเซียก่อนที่เธอจะไปต่อ

     “คิดไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะเป็นคนทรยศ” เจ้าชายครึ่งออคก้าวมาขวางพวกฟอสโกเอาไว้

     “เธอทำแบบนี้ได้ยังไงเราเป็นเพื่อนกันนะ เธอทำกับพวกเราแบบนี้ คิดบ้าอะไรอยู่ เราเป็นเพื่อกนนนะ” มาวิคเอ่ยเสียงเครือ จนไมเรคที่ยืนอยู่ข้างหลังบีบไหล่คนรักเบาๆ ให้ใจเย็นลง

    “เอาละ ส่งฟาเรสคืนมาซะดีๆ” อดีตหน่วยพิทักษ์ตัดบท

     “เรื่องสิ” เซียแสยะยิ้มอย่างท้าทาย ถึงพวกนี้จะเก่ง แต่มีแค่คนไม่ถึงยี่สิบกับเจ้าเหมียวไร้ประโยชน์ที่แอบอยู่ข้างหลังจะทำอะไรพวกเธอได้  จำนวนมากกว่ากันเท่าตัวขนาดนี้

     โอ๊ยยย!! โครม ในขณะที่พวกคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับโอซี่และลูนที่ยืนตรงหน้า พวกคนอื่นๆ อาศัยจังหวะนั้นเข้าโจมตี แล้วการปะทะก็เริ่มขึ้น พวกคิเมร่าบางคนกลายร่างเข้าขย้ำพวกฟอสโก บางคนเข้าต่อยตีด้วยมือเปล่า หรืออาวุธตามที่ตนถนัด
ในตรอกแคบๆ อื้ออึงไปด้วยเสียงครึกโครมปะปนไปด้วยเสียงกรีดร้องของผู้บาดเจ็บ ชายร่างยักษ์ที่แบกฟาเรสไว้อาศัยจังหวะชุลมุลจะหลบหนี โดยมีหญิงสาวผมแดงคอยแหวกทางให้

     “เร็วๆ เข้า”
“ครับเจ้านาย....อ๊ากกกก” ร่างโปร่งถูกปล่อยทันทีเมื่อคนแบกโดนดาบยาวปักเข้ากลางอก
 
    “พรีม!!!” เซียกรีดร้องอย่างหัวเสีย “หลีกไป”

     “หึ เธอเป็นใคร ทำไมผมต้องฟัง” ดวงตาสีฟ้าวูบไหวชั่วขณะ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา มองหน้าคนรักด้วยความผิดหวัง
วันนี้พรีมไปที่ฐาน ตั้งใจจะไปอยู่เป็นเพื่อนฟาเรสเพราะวันนี้เซียบอกเขาว่าจะกลับไปเยี่ยมที่บ้าน แต่พอไปถึงกลับพบว่า เซียพาฟาเรสไปเที่ยวงานเทศกาลในเมือง แต่สิ่งที่ได้รับรู้จากไมเรคและมาวิคมันช่างยากจะยอมรับ ครอบครัวของเขาและเซียต่างทำงานให้ฟอสโกโดยที่เขาเองไม่เคยรู้มาก่อน ร้านขายเพชรพลอยในเมืองเป็นเพียงกิจการบังหน้า ถึงพรีมจะรักคนเหล่านั้นแต่เขาก็ไม่อาจอยู่ข้างเดียวกันได้ เมื่อเป้าหมายที่แท้จริงของฟอสโกคือการยึดครองเอสทีเรียด

     “หึ นายเลือกคนพวกนั้นงั้นหรอ” เสียงหวานตวาดลั่น พร้อมพุ่งเข้าใส่ด้วยมีดในมือ ร่างสูงทำเพียงแค่หลบ เขาควรจะตอบโต้แต่อีกใจหนึ่งกลับห้ามเอาไว้ เพราะความลังเลทำให้พรีมพลาดโดนคมมีดของฝีกฝ่ายไปหลายจุดทำให้เสียหลักล้มกลิ้งไปกับพื้น

...ไม่ได้เขาจะมาใจอ่อนกับเธอไม่ได้…

    “นายครับเอายังไง พวกนั้นมาเพิ่มเรื่อยๆ เลย” หนึ่งในนั้นตระโกนถาม เซียมองรอบตัวอย่างร้อนรน เหมือนพวกเธอจะเสียเปรียบแล้วตอนนี้

     “จับเป็นไม่ได้จับตายก็แล้วกัน ฆ่าเด็กนั่นซะ” สิ้นคำ ทั้งพลังเวทย์ ทั้งคมมีด พุ่งเข้าหาฟาเรสที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น

     “ไม่นะ ฟาร์!!!” ลูนตาโตมองภาพตรงหน้าอย่างตระหนก เจ้าเหมียวคืนร่างเป็นแมววิ่งลอดหว่างขาผู้คนหมายจะไปให้ถึงร่างนั้น โอซี่ซึ่งต่อสู้ติดพันพยายามฝ่าเหล่าชายฉกรรรอบตัวมาช่วงเพื่อนแต่ดูจะสายไปเสียแล้ว

     ฉึก!!! ฉึก!!! ฉัวะ!! ทั้งคมมีและสายพลังเฉือนลงบนผิมเนื้อจนเลือดสีเข้มไหลริน เซียนิ่งค้างไปกับภาพตรงหน้าเมื่อบุคคลที่เธอหมายจะปลิดชีวิตกลับเป็นชายหนุ่มผมทองที่แสนคุ้นเคย พรีมเอาตัวมาบังฟาเรสไว้ ทำให้สายเวทย์เฉือนเข้าที่กลางอก ตามลำตัวถูกปักด้วยมีด จนชุดที่ใส่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด ชายหนุ่มฝืนเงยหน้ามาสบตากับผู้หญิงที่เขาเคยรัก ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งเขาและเธอต้องเดินกันคนละเส้นทาง ดวงตาสีฟ้าที่เคยสดใสหม่นแสงลงเรื่อยๆ ไม่มีน้ำตาและฉาบฉายไปด้วยความเจ็บปวดอย่างเปลี่ยมล้น

     “หนีก่อนเถอะนายหญิง!!” พวกคนร้ายที่เหลือ อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังช๊อคกับสิ่งที่เกิด ดึงผู้เป็นนายที่ยังนิ่งทำอะไรไม่ถูกให้ถอยหนีออกไป

      “พรีม!!!” คนอื่นๆ กรูเข้ามาหาสองร่างที่กองอยู่บนพื้น

      “เร็วเข้า พาเขาไปหาหมอ” โอซี่พยายามห้ามเลือดบนตัวพรีม ส่วนไมเรคไปดูอาการฟาเรส

      “พรีม!! ฟื้นสิ บ้าเอ้ยยย” มาวิคช่วยห้ามเลือดอีกแรง แต่มือของเขาตอนนี้มันสั่นไปหมด ภาพตรงหน้าพร่ามัวเพราะไม่อาจห้ามน้ำตาได้ กลัวเขากลัวเหลือเกินในตอนนี้ พรีมคือเพื่อนคนแรกของมาวิค ถ้าเพื่อนคนนี้เป็นอะไรไปเขาคงแน่

       “พรีม ฮืออ...ช่วยเขา”
..........................

-พอแล้วเนอะดราม่า คนเขียนเฮิธเอง ช่วงนี้หายก็ขออภัยมา ณ ที่นี้เจ้าค่ะ  ด้วยช่วงวัยที่แก่ขึ้น เวลาในชีวิตมันก็หมือนน้อยลง เราเองอยากให้เวลาวันนึงมีซัก 30 ชม.จัง เลิกงานมาจะได้มรเวลามาปั่นนิยายให้ผู้อ่านที่น่ารักได้อ่านกัน อย่าพึ่งทิ้งกันไปไหนนะค่ะ เนื้อเรื่องนั้นล้วนแต่ถูกปูไว้แล้วเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการเรียบเรียง จุ๊บๆ :mew6:

-
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-08-2016 02:28:22
พรีมจะรอดมั้ยเนี่ย :katai1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 30-08-2016 05:37:01
:pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 30-08-2016 07:09:39
พรีมจ๋าา  :mew6:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-08-2016 08:47:52
 :mew5:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-08-2016 09:26:47
พรีมอย่าเป็นอะไรนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 31-08-2016 10:55:47
พรีมสู้ๆๆนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 31-08-2016 18:08:08
พรีมมมม :sad4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: FONS ที่ 31-08-2016 18:27:57
 :a5: พรีมมมมม
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 01-09-2016 07:17:11
พรีมมมมม สรุป โกงหรือดี งง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-09-2016 20:23:28
นอกเรื่องนิดนึง เราเคยดู MV 2 ใน 3 เพลงนั้นมาก่อน (ตอนนั้นยังมีแค่ 2)
ดีใจที่ได้ดูคลิปสุดท้าย แต่เสียดายไม่น่าจบเศร้าเลย

หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 31 p.11 30/08//2016 i back
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-09-2016 22:30:09
เอิ่ม
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 13-09-2016 16:08:44
บทที่ 32

     คุณเชื่อเรื่องโชคชะตา หรือว่าพรหมลิขิตไหม สำหรับฟาเรสเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง แล้วใครเล่าเป็นคนกำหนดมัน ใครคนนั้นคงใจร้ายกับเขาน่าดู จึงได้มอบพลังที่มาพร้อมกับหน้าที่ให้เขาเช่นนี้ บ่อยครั้งฟาเรสถามตัวเองว่า ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร  ทำไมถึงต้องพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่หากเขาละทิ้งมันชีวิตก็ใช่ว่าจะสงบสุข ตราบใดที่เขายังมีพลังนี้ พวกฟอสโกคงตามระรานชีวิตไม่เลิก และเขาเองก็ไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้คนที่ทำลายครอบครัวเขาทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จ แต่กว่าจะถึงวันที่ทุกอย่างจบสิ้นต้องมีคนรอบตัวบาดเจ็บล้มตายอีกซักกี่คน

    "ขอโทษ พรีม ฉันขอโทษ" ฟาเรสเอ่ยคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา ร่างโปร่งยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ยิ่งได้เห็นใบหน้าขาวซีด และเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของอีกคนยิ่งรู้สึกผิด 

    ในตอนนั้นหากเพื่อนคนนี้ไม่ได้เอาตัวมาบังไว้ คนที่นอนบนเตียงอาจเป็นฟาเรส หรือหากโชคร้ายคงถึงแก่ความตาย ในตอนที่เกิดเรื่องเขาสลบไสลจึงไม่อาจรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น มันจึงเป็นอีกครั้งที่ครึ่งเอลฟ์หนุ่มตื่นมาพร้อมข่าวร้ายแม้ครั้งนี้จะไม่มีใครตายก็ตาม

    "ฟาร์ควรไปพักนะ เดี๋ยวฉันดูต่อเอง" มาวิคที่เปิดประตูห้องพักเข้ามาบอก สองมือบีบไหล่เพื่อนเบาๆ "เอาน่า หมอบอกพ้นขีดอันตรายแล้ว พรีมแค่ต้องการพักผ่อนก็เท่านั้น"


    "ไม่เป็นไร" อีกคนยังคงดื้อฟุบหน้าลงกับมือพรีมอยู่แบบนั้น 

    "เป็นสิ ตั้งแต่เกิดเรื่องได้นอนบ้างหรือยังนะ เวลอร์กลับมาถึงแล้ว ไม่อยากเจอหมอนั่นหรือไง" ชื่อที่ได้ยินดึงความสนใจจากร่างโปร่งได้ทันที "ไปสิ เดี๋ยวฉันอยู่เฝ้าเอง" 

    "ก็ได้ แต่ถ้าพรีมฟื้น ไปเรียกทันทีเลยนะ"

    "ได้ๆ รีบไปเร็ว เดี๋ยวมีคนขาดใจตาย" มาวิคยิ้มขำกับท่าทางรีบร้อนของเพื่อน 

    ทันทีที่ร่างโปร่งไปลับตา รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที จริง ๆ เขาก็เครียดไม่น้อยกับเรื่องนี้ พรีมกับเขาโตมาด้วยกัน แถมเพื่อนของเขายังต้องมาเจอกับกับสิ่งที่เลวร้าย เมื่อทั้งคนรักและครอบครัวของตัวเองอยู่ฝ่ายศัตรู แม้พรีมจะเลือกความถูกต้องแต่จิตใจคงบอบช้ำไม่เบา ดังนั้นมาวิคจึงไม่ควรเศร้าและเข้มแข็ง เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นต่อไป

 


   ฟาเรสเร่งฝีเท้ากลับที่พัก ยามได้เห็นหน้าคนที่แสนคิดถึง ความอ่อนแอในใจไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป เวลอร์เดินมายืนตรงหน้าก่อนจะรวบกอดร่างโปร่งไว้แน่น ไหล่บางสั่นเทาจากแรงสะอื้นและเสียงร้องไห้ที่พยายามกลั้น ในช่วงเวลาที่เขาห่างไป แม้เจ้าตัวจะพยายามเข้มแข็งแค่ไหน แต่ทุกอย่างมันก็มากมายเกินกว่าที่เด็กอายุสิบหกจะรับมือไหว

    "เว...ฮึก ใจร้าย คนใจร้าย" เสียงหวานตัดพ้อ พลางซุกหน้าลงกับอกเกร่งจนเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา

    "อ้าวว ผิดอะไรเนี่ย" ร่างสูงถามเสียงอ่อน

     "ทิ้งกันแบบนี้ได้ไง แย่ที่สุด" ว่าแล้วก็ทุบอกอีกฝ่ายหนักๆ มันน่าน้อยใจไหมละ ทีส่งขาวเรื่องฟอสโกส่งได้ แต่คุยกับฟาเรสคุยไม่ได้ 

    "ไม่ทิ้งแล้ว ฉันจะไม่ยอมห่างฟาร์อีกแล้ว" เสียงทุ้มบอกอย่างหนักแน่น มีอันตรายเข้ามามากมายในช่วงที่ผ่านมาจน เขาเองก็กลัวที่จะปล่อยให้คนรักอยู่ไกลหูไกลตา "คิดถึงนะครับ"

    "อืม เหมือนกัน" ดวงตาสีครามช้อนมอง จนคนถูกมองต้องโน้้มลงมาจูบอย่างอดไม่ได้ คิเมร่าหนุ่มลิ้มรสริมฝีปากนิ่มเนิ่นนาน ทุกความคิดถึงความโหยหาถูกถ่ายทอดผ่านรสจูบที่แสนหวาน

    "อยากทำ..." เสียงทุ้มกระซิบบอกพลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าเนียนที่กำลังแดงซ่าน ไม่ว่ากี่ทีฟาเรสก็อดเขินไม่ได้ซักที

    "ฮืออออ เดี๋ยวสิ" ฟาเรสทั้งห้ามทั้งผลักใบหน้าคมออกห่างตัว แต่การเอียงหน้าหนีกลับเปิดโอกาสให้อีกคนเล่นงานซอกคอขาวแทน 

   "เดี๋ยวอะไร" เวลอร์ว่า กลิ่นกายหอมผิวเนื้อสีอ่อน เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวเผลอขบกัดจนร่างโปร่งสะดุ้ง

    "อื้อ ทำไมชอบกัดจังอะ เล่าก่อน หายไปทำอะไร ได้อะไรมาบ้าง" ฟาเรสทักท้วง แม้จะเคลิ้มไปบ้างแต่ความอยากรู้ก็มากกว่า "นะๆ จะตามใจทุกอย่าง เล่าหน่อยนะ"

    ดวงตาสีอำพันมองร่างในออมกอด อ้อนอีกแล้วอ้อนตลอด จะทำให้เขาหลงไปถึงไหนเนี่ย อยากจะจับฟัดเสียตอนนี้ ไม่รู้หรือไงว่าเก็บกดมากแค่ไหน 

    "เว..." 

    "ก็ได้ๆ" เวลอร์ว่าพลางดึงอีกคนไปนั่งข้างกันที่ปลายเตียง "ฉันไปหาพวกเพื่อนเก่าๆ มา ก็ไปเรื่อย ตามหาข่าวคราวชาวอินเวียโนคนอื่น ๆ แล้วก็พยายามสืบหาเรื่องของพวกฟอสโก กับลงมือกำจัดขยะนิดหน่อย"

    "แล้วได้เรื่องงว่ายังไง" ฟาเรสถามอย่างสนใจ

   "เอาจริงๆ คนของฟอสโกที่ขึ้นตรงกับ ริคัทโต้นั้นมีไม่มาก คนเหล่านั้นก็คือชพวกอินเวียโนที่มีแนวคิดเกมือนกันกับเจ้านั่น ที่เหลือก็จะเป็นพวกคนมีอำนาจ หรือพวกพ่อค้า ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับพวกฟอสโกก็เท่านั้น อย่างครอบครัวเซียก็เป็นหนึ่งในนั้น เหมืองที่บ้านเซียเป็นเจ้าของอยู่แรงงานส่วนใหญ่ก็คือพวกไวด์โซล แลกกับแรงงานชั้นดี บุคคลเหล่านี้จึงยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับพวกฟอสโก" 

    "แล้วเอ่อ...คนที่ชื่อริคัทโตนั่นจะเอาเงินทองมากมายนั้นไปทำอะไรละ" ครึ่งเอลฟถามอย่างสงสัย

     "เงินมันแค่ผลพลอยได้ แต่สิ่งที่เจ้านั่นต้องการคือกระจายกำลังพวกไวด์โซลไปทั่วเอสทีเรียด ลองนึกดูสิหากวันหนึ่งไวด์โซลทุกตัวที่คนเหล่านั้นใช้งานอยู่เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น" 

    "ทุกคนในเอสที่เรียดคงต้อง..." ฟาเรสคิดตาม ภาพเหตุการณ์ในวานก็ปรากฏขึ้นในหัว วันที่บ้านของเขาถูกพวกนั้นโจมดี ก็แค่ปีศาจร้ายกระหายเลือดรู้จักแต่การฆ่าเท่านั้น "แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร"

    "สมมุติในวันที่เอสทีเรียดถูกรุกราน แล้วริคัทโตเป็นคนเดียวที่หยุดพวกมันได้ เจ้านั่นก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในเอสทีเรียดไงละ ดังนั้นก่อนที่เราจะบุกเข้าไปในอินเวียโน พวกเราจึงจำเป็นต้องจัดการ คนที่สนับสนุนฟอสโกและไวด์โวลเหล่านี้เพื่อตัดกำลัง นั่นคือสิ่งที่เราทำในช่วงที่ผ่านมาไงละ"

    "งั้นที่นายหายไปเพราะไปตามเก็บพวกนี้งั้นหรอเว"

    "ใช่แล้วละ ขอโทษนะ ที่ฉันไม่อยากคุยกับฟาร์เพราะกลัวทนคิดถึงไม่ไหวไงละ"

     "เฮ้อ...เมื่อไหร่เรื่องบ้าๆ นี้จะจบซักที" ฟาเรสเอ่ยเสียงเบา ทุกสิ่งทุกอย่างช่างมากมายเหลือเกิน จนกลัวว่าท้ายที่สุดพวกเขาจะหยุดใครคนนั้นได้หรือไม่


.............................


    "พลาด...หึ กับอีแค่เด็กคนเดียวพวกแกทำพลาดงั้นหรอ" น้ำเสียงเย็นเยียบดังก้องโถงกลาง 

    ภายในปราสาทหินอ่อนดำ ร่างโปร่งผู้มีเรือนผมสีขาวที่ยาวถึงกลางหลังซึ่งล้อมกรอบใบหน้างดงามหากแต่เย็นชาไร้อารมณ์ นั่งอยู่บนบรรลัก์ ดวงตาสีครามกวาดมองกลุ่มคนที่คุกเข่าตรงหน้า 

    "ตอนแรกพวกเราได้ตัวเด็กนั่นมาแล้ว แต่เจ้าพวกนั้นมาขวางไว้" หนึ่งในนั้นอธิบายอย่งกล้าๆ กลัวๆ

    "แล้วฉันบอกพวกแกว่าอย่างไร หากไม่สำเร็จก็ให้ฆ่าทิ้งซะ"

    "แต่ เด็กนั่นเป็น..."

    "ต่อให้มีสายเลือดเดียวกัน หากมาขวางทางก็ต้องกำจัดทิ้ง" ริคัทโต้เอ่ยเสียงเฉียบ พลางมองรูปภาพในมือด้วยสายตาว่างเปล่า เป็นภาพของเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเดียวกับเขา เรือนผมสีอ่อนและใบหน้าหวานนั่นเหมือนกับฟาร่าน้องสาวของเขาไม่มีผิด 

     เมื่อหลายปีก่อนรับรู้ว่าฟาร่าหนีออกจากอินเวียโนไปได้ เขาใช้เวลาหลายปีตามหาจึงพบว่าอินเดียโก้ได้พาเธอหลบหนีไปอยู่ที่ไว้ออชาร์ด แม้ฟาร่าจะตายไปหลายปีแล้วแต่เขากลับรู้มาว่า น้องสาวคนนี้ได้ให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคน ซึ่งแน่นอน เด็กนั่นคงมีพลังแบบเขาอย่างไม่ต้องสงสัย จึงคิดกำจัดเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่ฟาเรสกลับรอดไปได้ และสิ่งที่เขาคิดไว้ก็เกิดขึ้น เมื่อคนเก่าๆ ที่แพ้ไปตอนนั้นเริ่มรวมตัวกันสนับสนุนเด็กนั่นในการหยุดเขา

    "เอ่อ...นายท่านจริงๆ แล้วเรามีอีกเรื่องที่ต้องรายงานขอรับ" หนึ่งในนั้นเอ่ยขัด ห้วงความคิดของผู้เป็นนาย

    "ว่ามา"

    "คนของเราพร้อมไวด์โซล์ ที่อยู่ในเหมืองแถบเคลวิชถูกกำจัดครับ" 

    "เเคมป์ตอนใต้ของนอธก็โดนเมือนกันค่ะ" ก่อนจะตามมาด้วยรายงานจากที่อื่นๆ อีกสามสี่ที่ 

    "วาเลเรียส" ชื่อนี้ผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่ฟังจบ 

     ก่อนหน้านี้พอได้ยินมาบ้างว่าเพื่อนเก่าของเขายังไม่ตาย เพื่อนที่กลายเป็นศัตรู คนที่ทำให้ริคัทโต้รู้สึกเป็นรองในทุกๆ ด้าน และเป็นเพียงแค่เงาของอีกฝ่ายเสมอมา ต่อให้เขาเก่งกาจแค่ไหน ทำเพื่อบ้านเมืองมากเท่าไหร่ แต่คนที่ได้เป็นกษัตริย์กลับเป็นวาเลเรียส แต่สายเลือดเอลฟ์เช่นเขาก็มีสิทธิ์ไม่ต่างกัน พวกเขาและชาวอินเวียโนบางคนก็คิดเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นฝ่ายหลบซ่อนทั้งที่แข็งเกร่งกว่าดินแดนอื่น ที่ทำทั้งหมดก็แค่ทวงในสิ่งที่เขาควรจะได้แค่นั้นเอง

...............................

- คุณผู้อ่าน ไรท์ขอถามตรงๆ หน่อยสิค่ะ ขอตอบแบบตรงๆ เลยเนอะ รู้สึกว่าเรื่องเริ่มน่าเบื่อหรือยืดเกินไปหรือเปล่าค่ะ ปมเยอะไป ไขไม่เก็ท หรือออกนอกทะเลไปไหม ....ทั้งนี้เป็นสิ่งที่ไรท์รู้สึกกัับตัวเองค่ะ เลยอยากได้ความเห็นจะได้ ปรับปรุงถูกค่ะ   :katai4:

- ในพาทพรีมนั้น กะจะหาคนมาดามใจค่ะ อยากถามว่า จะให้ พรีมเคะ หรือ เมะ ดีค่ะ
  :hao3:
- ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามผลงานเรานะค่ะ แม้ช่วงนี้ไรท์จะอัพช้ามากๆ ก็ตาม  :impress2:



 http://www.whybooksth.com/ (http://www.whybooksth.com/) เอ่อ...สำหรับผลงานเรื่อง Night Knight อัศวินรัติกาล ทางสำนักพิมพ์ไดเริ่มเปิดจองแล้วค่ะ แปะลิ้งแบบนี้ผิดกฏไหมค่ะ ขอไอดีซื้อขายไปยังไม่มีอะไรตอบกลับมาเลยค่ะ  :o12: สำหรับใครอยากเก็บสะสม อุดหนุนเกันได้ค่ะ
(http://upic.me/i/ra/14040000_1566581126985002_5490223334078363559_n.jpg) (http://upic.me/show/59258061)
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 13-09-2016 16:12:10
 :mew1:  แปะก่อนจ้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 13-09-2016 16:31:14
เค้าชอบเรื่องแบบนี้นะ ไม่ได้งงหรืออะไร
ให้พรีมเคะได้มะ 555555
คนเขียนอย่าหนีเค้าไปไหนนะ นี้เข้ามารอทุกวัน :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 13-09-2016 17:08:51
ไม่เบื่อค่าา มาต่ออีกไวๆน้าาาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-09-2016 19:05:57
มาบ่อยๆก้อพอแล้ว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: game6969 ที่ 13-09-2016 19:20:53
 :mew6: :mew6: :mew6: มาต่่อ ตอนต่อไปไวๆนะ ขอยาวๆเลย  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 13-09-2016 19:30:47
สำหรับเรา ก็รู้สึกว่าเรื่องอืดๆ  แต่การมาต่อบ่อยๆ ช่วยได้
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-09-2016 20:06:20
ให้พรีมเป็นเคะก็ได้ค่ะ ส่วนเนื้อเรื่องเอาตามที่นักเขียนเห็นสมควรนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-09-2016 21:39:14
จะมาเรื่อยๆ ทิ้งปมปริศนาต่างๆไว้ ขอแค่มาต่อจนจบยังไงก็ตามอ่านนะ
เอาตามที่วางพล็อตเรื่องไว้นั่นแหละ :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 14-09-2016 01:16:27
สำหรับเราไม่ยืดเยื้อนะ ค่อยๆเผยออกมาทีละจุดๆ
พรีมเอาเป็นเคะเลยดีไหม จะได้มีคนดูแลแบบถึงใจ ก๊ากก
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 14-09-2016 06:27:36
อ่านได้เรื่อยๆนะสนุกดี
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 14-09-2016 09:53:05
แต่ละคนนี่มีแต่ปัญหา หวังว่าเรื่องแย่ๆจะจบลงเสียที
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 14-09-2016 15:14:04
ขอพรีมเมะน่ะ :mew2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: lnwcool ที่ 14-09-2016 22:47:47
พรีมเคะเถอะ55+

ส่วนเรื่องชักจะเริ่มยืดไปนิด มันดูช้าไปหน่อยแต่เข้าใจเพราะเเนวสงครามนี้นะ

อยากให้เร่งเวลาซักหน่อยเรื่องการฝึกของฟาเรส ช้าไปแล้ว ควรรีบๆเก่ง แล้วเรื่องจะเร็วขึ้นเอง
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 15-09-2016 09:58:11
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 32 p.11 13/09/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 05-10-2016 16:54:00
บทที่ 33


"รู้ สึกเป็นไงบ้าง" โอซี่

"ยังเจ็บแผลหรือเปล่า" มาวิค

"หิวไหม ป้าโอเรนทำขนมฝากมาให้" ฟาเรส

"ลูนก็มีผลไม้มานะ" ลูนบอกอย่างไม่ยอมแพ้ 

"เฮ้ลูน ผลไม้นั้นฉันซื้อมาต่างหากละ" ครึ่งเอลฟ์แย้ง

"ก็จะเอามาฝากพรีม ลูนก็ถือมาให้ไง"

"ไม่ต้องมาเนียนเลย"

"ฟาร์ขี้งกอะ" เจ้าแมวดำอุบอิบ

ห้องผู้ป่วย ในเช้าวันนี้เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้มาเยือน เหล่าเพื่อนๆ มารวมตัวกันทันทีที่รู้ว่าพรีมฟื้น จนคนเจ็บยังอดตื้นตันใจไม่ได้ ไอ้เรื่องเศร้ามันก็เศร้าอยู่หรอก แต่พอเห็นทุกคนมาอยู่ตรงหน้ามันทำให้รู้ว่าเขาได้เหลือตัวคนเดียว 

"เฮ้ พรีมยังฟังอยู่ไหม" ฟาเรสเขย่าแขนเพื่อน เมื่อเพื่อนเอาแต่เหม่อ "อ๊ะ เอ่อ ขอโทษ เจ็บไหม" แต่ก็รีบปล่อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกคนอาจจะเจ็บพร้อมขอโทษเสียงอ่อย

"นิดหน่อยอะ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น" พรีมบอก

"แต่เชื่อหรอก ฮือขอโทษ" 

"ฟังจนเบื่อแล้ว พูดคำอื่นบ้างสิ อยากให้ฉันยกโทษไหมฟาร์ ยิ้มสิยิ้ม" คนป่วยว่าพลางยีหัวเพื่อนเบาๆ พยายามไม่แสดงอาการอะไรมากมายแม้จะเจ็บไปทั้งตัวก็ตาม

"แล้วเรื่องพวกนั้น จะเอายังไงเว" คนเจ็บหันไปถามเจ้าของชื่อ

"คงต้องตัดกำลังไปเรื่อยๆ เพราะริคัทโต้ สะสมกองกำลังพวกไวด์โซลมาเป็นสิบสิบปี ถ้าบุกเข้าไปตรงๆ ทีเดียว เราจะแย่เอง ตอนนี้พวกฉันเลยกระจายกำลังกันทำลายแคมป์พวกนั้นกัน" คิเมร่าหนุ่มอธิบาย เขาตั้งใจจะพาฟาเรสออกไปด้วย ฝึกยังไงก็ไม่ดีเท่ากับลุยของจริง

"เราคุยกันแล้ว จะไม่บุกไปอินเวียโนจนกว่านายจะหาย" โอซี่บอก

"แต่ ถ้าทุกคนต้องมารอฉัน มันจะดีหรอ" พรีมเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ เขารู้ตัวเองดีว่าตอนนีอยู่ในสภาพแย่แค่ไหน

"สู้ด้วยกันมาจนขนาดนี้ จะให้ทิ้งนายหรือไง" เจ้าชายครึ่งออคสวนกลับทันที

"เอานะ ถ้าอยากให้เรื่องมันจบก็รีบๆ หายแล้วกัน" เวลอร์สรุป 

"ไปเถอะพวกเรา ให้พรีมได้พักบ้าง" มาวิคบอก "หายไวๆ นะพวก"

"แต่..." 

"ไปเถอะฟาร์ มีภารกิจต้องทำนะ" 

 

พอเพื่อนๆ ไปพ้นสายตารอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าก็จางหายไปทันที มาคิดๆ ดูแล้ว พรีมก็เคยสงสัยว่าทำไมพ่อแม่จึงไม่ค่อยให้เขาได้ยุ่งกับกิจการที่บ้านเท่าไหร่นัก วันนี้คำตอบมันชัดเจนแล้ว ว่าสิ่งที่พวกท่านได้ทำมันไม่ดีและเพราะทั้งสองรู้ว่าพวกฟอสโกเป็นเช่นไรจึงพยายามกันเขาให้ห่างจากเรื่องนี้ คิดในแง่ดี พ่อกับแม่ก็รักเขานั่นละ ส่วนเซียมันทำใจยาก เพราะยังไงเขาก็รักและผูกพันกกับเธอมานาน เอาจริงๆ เขายังภาวนาให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน

"อ้ะ!!" พรีมสะดุ้งเมื่อรับรู้ได้ว่าใครซักคนสะกินไหล่เบาๆ นี่เขาเหม่อจนไม่รู้ว่ามีคนมายืนตรงหน้าเลยหรอ "เอ่อ...ผม" เจ้าตัวพยายามปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม

"ผม โฮเซียเป็นหมอเจ้าของไข้ เวลอร์ให้ผมมาดูแลคุณจนกว่าจะหายดี" เจ้าของชื่อแนะนำตัว ร่างสูงในชุดกราวผู้มีผมยาวสีดำสนิทและดวงตาสีเดียวกัน เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายนอกจากยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับคนไข้

"เอ่อ ขอบคุณครับ"

"คุณหลับไปสองวัน พลังเวทย์ทำให้มีอาการช้ำและเลือดคั่งที่อวัยวะภายใน ส่วนบาดแผลในจุดอื่น ไม่ลึกเท่าไหร่แต่จะหนักหน่อยตรงต้นขาขวาเพราะค่อนข้างลึก ทำให้เส้นเอ็นบริเวรนั้นเสียหาย แต่เราได้ทำการผ่าตัดรักษาไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้คุณต้องทำกายภาพบำบัด" คนเป็นหมอร่ายยาว

"อีกนานไหม กว่าผมจะหาย"

"ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ว่าจะทำกายภาพบำบัด ออกมาดีแค่ไหน" โฮเซียว่า "เอาละ ได้เวลาล้างแผลแล้ว"

"เดี๋ยวๆ หมอ ผมทำเองได้" พรีมเอ่ยเสียงตื่นเมื่อคุณหมอทำท่าจะถอดเสื้อเขา

"นี่มันงานผม ช่วยปฏิบัติตามด้วยครับ" น้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนบังคับให้คนป่วยยอมอยู่เฉยๆ 

พรีมได้แต่นั่งนิ่งให้คุณหมอ? ทำแผลให้ เขาไม่จำเป็นต้องอายอะไรก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก แม้โฮเซียจะมีท่าทางแข็งกระด้างแต่ใครจะคิดเล่าว่าชายคนนี้มือเบาเสียเหลือเกิน 

"เอ่อ...ผม อยากเข้าห้องน้ำ" พรีมว่า มองไปทางไม้ค้ำที่ถูกเตรียมไว้มุมห้อง 

"ได้" แต่แทนที่โฮเซียจะหยิบไม้ค้ำนั่นมาให้กลับขยับเข้ามาใกล้แทน

"เอ่อ หมอ เฮ้ยย" คนป่วยร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ก็ถูกช้อนอุ้มขึ้นจากเตียง "ผมไปเองได้ ปล่อยผมลงเหอะ" 

"เดินไม่ไหวหรอก เชื่อผมดิ  ผมเป็นหมอ" คนเป็นหมอบอกหน้านิ่งก่อนจะก้าวยาวๆ เข้าห้องน้ำไป...เฮ้อ แล้จะให้เขาขัดยังไง ถึงจะอายก็ต้องทำใจสินะ

 

พรีมมองคนที่ก้มหน้าจดขยุกขยิกลงบนกระดาษอยู่ข้างเตียงอย่างไม่เข้าใจ ตั้งแต่เช้า โฮเซียยังไม่ได้ออกจากห้องเขาเลย จริงอยู่หมอต้องดูแลคนไข้ แต่ก็ไม่น่าจะต้องดูตลอดเวลาแบบนี้นี่นา ไอ้เรื่องเฮิธๆ เศร้าๆ คงต้องพักเอาไว้ก่อน เพราะความสงสัยมันมีมากกว่า เกี่ยวกับตัวชายผู้นี้

"หมอไม่ต้องไปดูคนอื่นหรอ"

"ไม่ครับ"

"แล้วทำงานอยู่โรงพยาบาลของมหาลัยหรอ ปกติไม่เคยเห็น" เจ้าของผมสีทองถามต่อ เพราะเรียนการทหาร ทำให้เขาและเพื่อนเข้าออกโรงพยาบาลของอนิมาประจำด้วยอาการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม

"เปล่า ปกติทำอย่างอื่นไม่ได้รักษาคน"

"อ่าว แล้วทำไมมาเป็นหมอเจ้าของไข้ผมละ"

"อยากทำ ทำไมครับ"

"เอ่อ ไม่มีอะไรครับ" เล่นตอบแบบนี้คนถามก็ไปต่อไม่ถูกนะสิ คนเจ็บละความพยายามก่อนจะเอนกายลงนอนกับเตียงพร้อมหันหลังให้ใครอีกคน

 

โฮเซียเงยหน้าจากบันทึกในมือมองคนที่น่าหลับไปแล้วก่อนจะลุกขึ้นไปจับให้นอนหงายดีๆแล้วห่มผ้าให้ เอื้อมมือไปปัดปรอยผมสีทองออกจากใบหน้าที่ยังดูอิดโรยอยู่บ้าง ไม่รู้อะไรทำให้รู็สึกวนใจเด็กคนนี้ เพราะการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ออกจะโชกเลือดไปนิด 

"พรุ่งนี้เริ่มทำกายภาพแล้วนะเด็ฏน้อย สู้ๆ ละ" ผู้เป็นหมอทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป

 

ในวันที่โฮเซียกำลังนอนสบายๆ ในบ้านพักชานเมืองเอสทีเรียดซึ่งเขาใช้มันซุกหัวนอนตลอดยี่สิบปีหลังจากตัดสินใจย้ายออกจากอินเวียโนมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในโลกภายนอก ด้วยการขายสูตรยาที่คิดค้นขึ้นประทงชีวิต เวลอร์กับพักพวกก็บุกเข้ามาพร้อมพรีมที่อาการปางตาย เจ้านายและเพื่อนเก่าเมื่อครั้งเขายังเป็นหมอหลวงที่อินเวียโน ขอร้องกึ่งบังคับให้เขาทำยังไงก็ได้ให้เด็กคนนี้รอด 

พรีมในตอนนั้นแย่กว่าที่คิด ร่างกายเสียหายจากพลังเวทย์และมีบาดแผลหลายจุด อีกทั้งยังเสียเลือดมากและที่สำคัญเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ถ้าเป็นแต่ก่อนหากคนไข้อาการหนักขนาดนี้เขาคงปล่อยตายเพราะโฮเซียมองว่ายื้อไปก็ทรมานเปล่าๆ แต่พรีมในวันนั้นแม้เจ้าตัวไม่ได้สติแต่สองมือกลับกำแน่นไม่ยอมคลายบอกให้รู้ว่าใจยังสู้ เขาจึงลองที่จะเสี่ยง ความเป็นหมอที่ฝั่งดินเอาไว้เลยถูกขุดมาใช้หมดหน้าตัก เพื่อรักษาชีวิตเด็กคนนี้ไว้ 

คนเจ็บถูกย้ายมาอยู่ในฐานลับของพวกอิเวียโนทันทีที่อาการคงตัวเพราะกลัวพวกฟอสโกตามมาซ้ำ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาตามมาดูด้วย โฮเซียได้ฟังเรื่องของพรีมจากปากบรรดาเพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมเยียน สิ่งหนึ่งที่ได้รู้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้คือความรักที่เจ้าตัวมีให้คนรอบข้างนั้นช่างมากมายนัก โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ชื่อเซีย จนนึกสงสัยเหลือเกินว่าหัวใจของเจ้าตัวในตอนนี้จะบอบช้ำมากเพียงใด แม้โฮเซียจะไม่เข้าใจนิยามคำว่ารักแท้เท่าไหร่นักแต่ถ้าเป็ฯเขาหากมีใครเทหัวใจให้เขามากขนาดนี้คงจะรักษามันไว้ดีๆ แน่ ร่างสูงตีหน้ายุงเมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เป็นครั้งแรกที่ต้องมานั่งคิดวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น ผิดวิสัยของเขาเสียเหลือเกิน

"ทำงานเกินค่าจ้างจังเลยนะ" เสียงแซวดังขึ้นข้างหลัง ชายต่างวัยเดินคู่กันมา เจ้าของผมสีดำยาวหยุดเดินพลางเลิกคิ้วให้อย่างกวนๆ "ไม่ดีหรอ"

"ดีสิ" เอเบรียนว่า พลางเอาแขนคล้องคอเพื่อนที่ดูไม่แก่ตามวัยของเขาอย่างสนิทสนม "อยากให้จ่ายเพิ่มบอกได้นะ" 

"อยากได้เป็นอย่างอื่นตอบแทนมากกว่า" คนเป็นหมอบอก

"นั่นขึ้นอยู่กับนาย" เวลอร์ยิ้มอย่างรู้ทัน

"มือชั้นนี้แล้ว"



 :hao5: คิดถึงนะ  ข้าน้อยอัพช้ามากก จะโบยด้วยรักกี่ทีก็ยอม

 :ling1: บางทีก็สงสัย ว่าเงินที่ได้จาดจ๊อบกับค่าหมออันไหนมากกว่ากัน ว่าในฟรีเเลนซ์ซํนนี่ร่างพัง ตอนนี้ ไรท์พังกว่า

 :katai3: จบคู่พรีมแล้วเราไปเที่นสอินเวียโนกันค่ะ

 

 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 33 p.12 5/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 05-10-2016 17:26:45
มีคนมาดามใจพรีมแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 33 p.12 5/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-10-2016 18:42:44
 :mew1:  มันต้องแบบนี้
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 33 p.12 5/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 12-10-2016 17:52:40
 o13 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 34 p.12 17/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 18-10-2016 00:03:33
บทที่ 34

     โฮเซียเดินไปตามโถงทางเดิน ใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงคนไข้ของเขาที่รออยู่ ถามว่าทำไมเขาถึงสนใจพรีมนะหรอ ตอบแบบตรงไปตรงมาก็คงเพราะสนใจในรูปลักษณ์ของอีกคน ยิ่งได้ยินเรื่องราวของเจ้าตัวจากคนรอบข้างยิ่งรู้สึกชอบยิ่งขึ้น พรีมเหมาะกับรอยยิ้มมากว่าสีหน้าที่เศร้าสร้อย อยากให้คนไข้คนนี้ยิ้มและหัวเราะออกมาจากใจไม่ใช่เพื่อตบตาให้คนรอบข้างรู้สึกดี

    "อรุณสวัสดิ์ครับ" คนเป็นหมอกล่าวทักทาย แต่คนถูกทักกลับนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ขอบตาช้ำโรยบอกให้รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ร่างสูงมองมื้อเช้าที่ยังวางอยู่โต๊ะข้างเตียงที่ยังไม่ถูกแตะต้องก็ได้แต่ถอนใจ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้ตลอด คนไข้ไม่ให้ความร่วมมือแบบนี้เขาก็แย่นะสิ

    การเอาชีวิตไปผูกไว้กับใครซักคน บางครั้งมันก็อาจทำร้ายตัวเราเองเหมือนที่พรีมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ โฮเซียสะกิดไหล่คนที่กำลังเหม่อเบาๆ พรีมสะดุ้งหันกลับมามอง ดวงตาสีฟ้าหม่นแสงและว่างเปล่า จนร่างสูงพลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย 

    "อาหาร ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูร่างกายของคนเรา" คนโตกว่าว่าพลางเอาชามข้าวต้มที่เย็นชืดมาถือไว้ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงอย่างถือวิสาสะ พรีมมองชามกระเบื้องที่ขึ้นไอร้อนจางๆ จากพลังเวทย์ที่ส่งผ่านจากมือใหญ่ บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่

    "เอ่อ...ผมยังไม่หิว"

    "ไม่หิวก็ต้องกิน จะได้กินยา วันนี้คุณมีทำกายภาพ  ถ้าไม่ไหวผมคงต้องยกเลิกไป"
 
    "ไม่ได้นะ"

    "งั้นก็ต้องกินข้าวกินยาซะ จะได้มีเเรง" ร่างสูงตัดก่อนจะตักข้าวต้มทำท่าจะป้อนให้อีกคน 

    "ผมกินเองได้" มือขาวเอื้อมไปจับช้อน แต่อีกคนกลับดึงหลบ

    "เดี๋ยวป้อน เอ้ากินซะ อยากหายไวๆ ก็ทำตามที่บอก" พรีมตีหน้ายุ่ง นี่เขากำลังถูกบังคับใช่ไหมเนี่ย จากที่คิดว่าจะกินคำสองคำให้มันจบไป กลับถูกคุณหมอบังคับป้อนให้กินจนหมดชาม ตามด้วยน้ำและยา

   "เราไปกันได้หรือยัง" พรีมถามขึ้น

    "ไปไหน..." คนเป็นหมอถามกลับหน้ามึน

    "ก็ผมต้องไปทำกายภาพนิ"

    "อืมก็ใช่"

    "แล้วจะให้ไปที่ไหนละ"

    "ก็ที่นี่ไง" นี่พรีมอุส่าตั้งใจรอ เขาอยู่ในห้องนั่งๆ นอนๆ มาหลายวัน บอกตามตรงว่าฟุงซ่านสุดๆ

    "ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง" โฮเซียว่า พลางเอาไม้ค้ำ ไปพิงไว้อีกมุมของห้อง "เอาละ ไหนลองลุกขึ้นยืนซิ"

     เด็กหนุ่มถอนหายใจแบบเซ็ง ๆ ก่อนจะขยับลงจากเตียง สองเท้าแตะลงบนพื้นช้าๆ แต่พอทิ้งน้ำหนักตัวลงไป ความเจ็บแปลบก็เล่นริ้วไปทั้งขาจนแทบทรุดหากไม่มีลำแขนเกร่งประคองไว้

    "ไหวไหม"

    "ผม ไม่เป็นไร" พรีมปฏิเสธ กัดฟันข่มความเจ็บปวดแล้วพยายามยืนให้ได้ด้วยตัวเอง หากแต่สองขากลับแทบไม่มีแรง ก็พอจะรู้ตัวเองเพราะตั้งแต่ฟื้นมาเขาแทบจะไม่ได้ลุกจากเตียง ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่สามารถเดินได้เลยหากปราศจากไม้ค้ำ จะไปทำธุระส่วนตัวก็อาศัยเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมคอยช่วย

    "ค่อยๆ นะอย่าฝืน" โฮเซียเตือน เพราะหากขยับร่างกายมากเกินไปจะทำอาจทำให้แผลตรงต้นขาที่เย็บไว้ปริได้

    "ไม่ได้ฝืน ผมทำได้ ปล่อยเลย" พรีมเถียงพร้อม ผลักร่างสูงออกห่างตัว พอเดินไปไม่กี่ก้าวกลับล้มพับลงกับพื้น ทำให้ต้นขาขวามีเลือดสีเข้มซึมเนื้อผ้าเป็นวงกว้าง คนเจ็บกลับไม่สนใจพยายามฝืนลุกยืนแต่ก็ล้มลงไปอีกครั้ง จนคนเป็นหมอต้องเข้ามาห้ามไว้ ก่อนจะแย่ไปกว่านี้

    "พรีมใจเย็น ๆ"

    "ปล่อยผม ผมไม่เป็นไร" เด็กหนุ่มยังคงดื้อดึง หงุดหงิดเหลือเกินกับสภาพที่อ่อนแอของตน 

    "เป็นสิ แผลปริหมดแล้วนี่" โฮเซียแย้ง พลางช้อนอุ้มคนที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นมานั่งบนเตียงดังเดิม
 
    คำบ่นทั้งหลายถูกกลืนหายไป เมื่อน้ำใสๆ ไหลออกจากดวงตาสีฟ้าช้าๆ แม้พรีมจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของร่างสูงไปได้ คุณหมอนั่งลงบนเตียงข้างคนเจ็บก่อนจะรั้งตัวอีกคนเข้ามากอดไว้แนบอก  พลางลูบเรือนผมสีทองนุ่มมืออย่างปลอบโยน ร่างโปร่งไม่มีท่าทีขัดขืนโฮเซียเลยถือโอกาสช้อนตัวอีกคนมาไว้บนตักอย่างแนบเนียน

   "หมอ..." พรีมที่นิ่งเงียบไปคู่ใหญ่ เอ่ยเรียก

   "ครับ"

   "ผมจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม" คนเจ็บถามเสียงแผ่ว ในใจหวาดหวั่นไปหมด ถ้าเขาพิการถ้าเดินไม่ได้ตลอดไปแล้วจะสู้พวกฟอสโกได้อย่างไร เด็กหนุ่มสบตาอีกคนอย่างสิ้นหวัง 

    "ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็หาย แต่ต้องรักษาตัวเองดีๆ อย่าทำอะไรเกินตัวแบบวันนี้อีก" ดวงสีรัตติกาลมองตอบคนถามอย่างจริงจัง "ไหน ขอดูขาหน่อยซิ"

    "เฮ้ย!! หมอจะทำอะไรผม" พรีมโวยวาย เมื่อคุณหมอทำท่าจะจับถอดกางเกง พึ่งนึกได้ว่านั่งอยู่บนตักอีกคน 

    "ก็จะดูแผลให้ไง เลือดออกเยอะขนาดนี้" โฮเซียว่า พลางกอดเอวไว้ไม่ให้หนี
 
    "หมอ ผมก็อายเป็นนะเฮ้ย"

    "อายทำไมผู้ชายด้วยกัน ถอดเสื้อด้วย เช็ดตัวทีเดียวเลย" ร่างสูงตัดบท พลางจับคนเด็กกว่าลอกคราบก่อนจะยกลงไปนั่งบนฟูกดังเดิม ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นไปเตรียมอุปกรณ์มาทำแผลและเช็ดตัว  พรีมได้แต่นั่งเหวอก่อนจะคว้าเอาผ้าห่มมาปิดส่วนสำคัญไว
โฮเซียหอบอุปกรณ์ทั้งหมดมาวางที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะจัดการรวบผมยาวๆ ของตัวเองให้เรียบร้อย ลงมือเช็ดตัวให้คนเจ็บ ทั่วทั้งตัวยังคงมีรอยช้ำและบาดแผลเล็กๆ ประปายยิ่งทำให้ร่างสูงต้องระมัดระวังเบามือเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต้องคอยข่มจิตข่มใจกับภาพตรงหน้า เพราะผิวกายขาวและรูปร่างที่แข็งแรงพองามไม่ถึงกับผอมบาง ไหนจะใบหน้าหล่อเหลาซึ่งล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีทอง เมื่อรวมกับดวงตาสีฟ้าสดยิ่งทำให้ดูเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ ดูมีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตา

    "อ๊ะ!! " พรีมสะดุ้งเมื้อผ้าเย็นไล้ขึ้นมาตามเรียวขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว ท่าทีประหม่าและใบหน้าแดงๆ ทำให้รู้สึกอยากแกล้ง  ร่างสูงจึงแกล้งเลื่อนผ้าซับขึ้นไปจนเฉียดกับส่วนที่ถูกผ้าปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่

    "หึๆ" เสียงทุ้มหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้ง ทำเอาคนที่กำลังอายค้อนให้อย่างหมั่นไส้

    "หมอ ถามจริง โรคจิตเปล่าเนี่ย"

    "ก็นิดนึง" โฮเซียว่ายิ้มๆ พลางจับจ้องริมฝีปากบางตรงหน้า ได้จูบซักทีคงดีไม่น้อย แต่เอาไว้ก่อนเดี๋ยวเด็กตื่น 

    "เสร็จยังเนี่ยผมหนาวนะ"

    "ครับๆ" ร่างสูงตอบรับ ต่อปากต่อคำได้ ก็ดีกว่าเศร้าแบบก่อนหน้านี้ละนะ คุณหมอเก็บอุปกรณ์เช็ดตัวก่อนจะลงมือจัดการแผลที่ต้นขาขวา แผลที่ถูกเย็บไว้ ปริออกจนเลือดไหล เห็นแบบนี้ร่างสูงถึงกับถอนใจเพราะมันคงจะทิ้งร่องรอยไว้บนเรียวขาสวยๆ นี่เป็นแน่

       ...เฮ้อ เซ็ง...

     วันนี้ดูเหมือนอะไรที่วางไว้จะถูกระงับไปเสียทุกอย่างเมื่อคนไข้ดื้อจนได้เลือด โฮเซียยังคนวนเวียนอยู่ในห้อง อ่านหนังสือบ้าง แหย่พรีมบ้าง แถมตอนกลางคืนยังหอบผ้าหอบผ่อนมานอนห้องเขาอีก จนชักสงสัยว่าคุณหมอผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่ มันจำเป็นต้องเฝ้าตลอดเลยหรือไง พรีมได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ คุณหมอหน้ามึนคนนี้ไล่ยังไงก็คงไม่ไปแน่ คิดได้แบบนั้นจึงล้มตัวลงนอนพร้อมหันหลังให้ 

    "ฝันดีครับ" โฮเซียว่า พร้อมดับไฟแล้วล้มตัวนอนลงบนโซฟายาว

     ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้พระจันทร์เต็มดวง ชวนให้นึกถึงผู้หญิงที่ทำร้ายเขาปางตาย  เซียชอบแสงของดวงจันทร์ เธอบอกว่าสีของมันอ่อนโยนและนุ่มนวล ทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเซียจะขอให้เขาเปิดม่านไว้ แล้วทั้งคู่ก็จะนอนมองมันจนหลับไป จนถึงตอนนี้พรีมยังไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเธอจะยอมทำร้ายทั้งเขาและฟาเรสเพื่อพวกสารเลวนั่น มันยากเหลือเกินที่ข่มตาหลับ เหมือนในคืนที่ผ่านๆ มา เด็กหนุ่มนอนคู้ตัวในความมืด เอาหมอมากอดพลางซุกหน้าสะอื้น พยายามที่จะไม่ส่งเสียงใดๆ เพราะยังมีใครอีกคนหลับอยู่ไม่ไกล

    "ไม่ต้องกลั้นก็ได้ ร้องออกมาเถอะ" น้ำเสียงทุ้มนุ่มมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่วางลงบนไหล่ที่สั่นไหว ทำเอาพรีมสะดุ้งสุดตัว เพราะคิดว่าอีกคนน่าจะหลับไปแล้ว เขารับรู้ได้ถึงแรงยวบของที่นอนก่อนที่ร่างจะถูกรั้งไปกอดไว้ในวงแขนใหญ่
 
    "ทุกอย่างจะดีขึ้น" โฮเซียว่าพลางกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น รู้สึกใจหายไปวูบหนึ่งเมื่อพรีมขืนตัวจนเขาต้องคลายแขนออก ทั้งที่คิดว่าเด็กหนุ่มจะลุกหนีแต่กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเมื่อพรีมพลิกตัวเข้าหาพร้อมซุกหน้าลงกับอกเขาแล้วหลับตาลงและนิ่งไป
โฮเซียยิ้มกับตัวเองในความมืด ถึงมันจะดูไม่แฟร์ที่เข้าหาอีกฝ่ายในตอนที่อ่อนแอ แต่เขาก็มีเจตนาดี(มั้ง) เอาเป็นว่าจะรักษาให้หายทั้งกายและใจเลยก็แล้วกัน


     แม้ว่าการที่ถูกคนรักหักหลัง และต้องเป็นศัตรูกับคนครอบครัว จะทำร้ายจิตใจของพรีมอยู่มาก แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดทรมานเกินไปนัก เพราะเขายังมีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจและเเวะเวียนมาหาอยู่ไม่ขาด ไหนจะมีหมอโฮเซียที่คอยมาก่อกวนวุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาให้ฟุ้งซ่าน และไ่ม่ว่าใครเมื่อสุขภาพจิตดีสุขภาพกายก็ดีตาม  ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา อาการของพรีมจึงดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเพื่อนก็พลอยเบาใจไปด้วย พรีมเองอาจจะยังไม่รู้ตัว หากแต่ทุกคนก็สังเกตุได้ว่าเจ้าตัวค่อนข้างร่าเริงเวลาที่มีโฮเซียอยู่ใกล้
 
.................................................................

     ในช่วงที่รอพรีมพักฟื้นพวกของเวลอร์ได้ใช้เวลานี้ ตามหาและกวาดล้าง แหล่งที่อยู่ของพวกฟอสโก้ซึ่งกระจายอยู่โซนของเคลวิชและเดสเซนท์ ทำให้รู้ว่าในช่วงสิบกว่าปีที่เขาถูกผนึกไว้ ริคัทโต้ได้เรียกเหล่าไวโซลเข้ามาในเอสทีเรียดมากกว่าที่คิด จนไม่อยากจะนึกเลยว่าปีศาจเดินดินพวกนี้หากหลุดจากการควบคุมไปแล้วจะสร้างความเดือดร้อนมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนทางนั้นจะเริ่มไหวตัวทัน เพราะบางที่ที่ไปก็ว่างเปล่า เพราะพวกฟอสโก้หลบหนีไปก่อนหน้าแล้ว  ส่วนทางด้านมอร์แกนดูแลเรื่องอาวุธยุธโธปกรณ์ที่กำลังสร้างโดยกลุ่มพวกดวอร์ฟ อยู่ที่เควิช ซึ่งทางนี้หากพรีมหายดีก็จะเดินทางไปสมทบกับเธอที่นั่นและมุ่งหน้าไปที่อิเวียโนพร้อมกัน

    "หวังว่าวันนี้คงไม่เสียเปล่าอีกวันนะ" ฟาเรส บ่นหน้ายุ่ง ตอนนี้พวกเขากำลังเดินเท้าเข้าไปในป่าลึกของเขตดิเมียร์ เป้าหมายครั้งนี้ก็คือ เหมืองคริสตัลขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในความดูแลของครอบครัวเซีย เขาได้ข้อมูลที่ตั้งเหล่านี้มาจากพรีม และคิดว่าต้องได้อะไรจากที่นี่บ้างเพราะครอบครัวของเซียทำงานให้กับพวกฟอสโกมานาน

    "ช่วยไม่ได้นิ ริคัทโตเองก็ไม่ใช่คนโง่ เจ้านั่นคงไม่ปล่อยให้เราโจมตีฝ่ายเดียวหรอก" เวลอร์บอก เขาเองก็รู้สึกว่าวิธีนี้เริ่มไม่ได้ผล ดูเหมือนเจ้านั่นจะเรียกพวกตัวเองกลับไปตั้งรับที่อินเวียร์โนบางส่วนแล้ว เพราะท้ายทีี่สุดพวกเขาก็ต้องบุกไปที่เมืองแห่งนั้นอยู่ดี

       เดินเท้ามาไม่นาน เมื่อเข้าใกล้พื้นที่ของเหมือง ทุกคนจึงหาที่กำบังและสังเกตุการอยู่รอบนอก

     "มันเงียบเกินไปหรือเปล่า" โอซี่ว่าพลางใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังเป้าหมาย

     "ก็คงเหมือนทุกทีละมั้ง มาช้า พวกนั้นชิ่งไปก่อน" ครึ่งเอลฟ์ว่าแบบเซ็ง ๆ เขาน่าจะเชื่อลูนเพราะก่อนเดินทางมาที่นี่เจ้าแมวดำบอกว่าไม่อยากให้มาคงเพราะแบบนี้ละมั้ง

      "งั้นเข้าไปดูข้างในกันเถอะ เผื่อจะได้อะไรบ้าง" เจ้าชายครึ่งออคเสนอ ทุกคนจึงออกจากที่กำบังแล้วมุ่งหน้าเข้าไปยังตัวเหมือง 

      ดูจากเครื่องไม้เครื่องมือที่ยังใหม่ บอกให้รู้ว่าที่นี่ไม่ได้ถูกทิ้งร้าง พวกเขาที่มากันเกือบสามสิบคนจึงกระจายกันไปตามทางเดินซึ่งแยกออกไปหลายทาง เวลอร์ได้กลิ่นเลือดจางๆ มาจากทางหนึ่งจึงเดินนำไป ยิ่งลึกกลิ่นคาวยิ่งรุนแรง จนเข้ามาถึงโถงใหญ่ ดวงตาสีอำพันกวาดมองในแสงสลัวจากคบเพลิงที่ติดผนัง คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหนักใจกับภาพตรงหน้า โถงถ้ำ และพื้นถูกย้อมด้วยเลือดจากศพของมนุษย์มากมาย ซึ่งถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กระจายอยู่เต็มพื้น บางร่างบิดเกร็งจากความทรมาน บางร่างเละจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม บ่งบอกถึงความโหดร้ายป่าเถือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้าในห้องนี้

     "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน" ฟาเรสว่า ใบหน้าซีดเผือดกับสิ่งที่เห็น รู้สึกคลื่นไส้กับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง

     "ฟาร์ อย่ามอง" เวลอร์ว่า ดึงร่างบางมากอดพร้อมเอามือปิดตาไว้

     "ทหารของเอแวนการ์ดกำลังเข้ามาที่นี่" โอซี่ที่ตอนแรกแยกไปอีกทาง วิ่งมาหาพวกเขา บอกเสียงตื่น

     "ดูเหมือนเราจะติดกับแล้วละ" คิเมร่าหนุ่มบอกเสียงเครียด ศพอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ ดูยังไงก็ฝีมือพวกเขาอย่างแน่นอน

     "ท่านเวลอร์ เอายังไงดีครับ" คนอื่นๆ ที่แยกไปอีกทาง เข้ามารวมตัวกัน 

     "มีทางออกอื่นไหม"

     "จากที่ดูพิมพ์เขียว ก็มีอยู่ ตามฉันมา" โอซี่ว่า พร้อมนำออกไปอีกทาง โดยเวลอร์ไม่ลืมที่จะใช้พลังเวทย์สร้างกำแพงน้ำแข็ง ขว้างกันไว้ตามทางเดินที่ผ่าน แม้การหนีไปจากที่นี่จะไม่ยากเกินความสามารถของพวกเขา หากแต่สิ่งที่สำคัญคือเขาต้องบอกให้เอเบรียนและพวกที่ฐานออกไปจากที่นั่นโดยไว เพราะดูเหมือนมีสิ่งที่ต้องรับมือเพิ่มขึ้นเสียแล้ว

...............................

- กลับมาแล้วค่ะ หลังจากนี้น่าจะลงตัวแล้วค่ะ คงมีเวลาเขียนเรื่องนี้มากขึ้น คนอ่านหลายท่านคงเริ่มนอยกับควาไม่ต่อเนื่องของเเรา ทางเราเองต้องขออภัยด้วยค่ะที่หายหน้า นั่นเพราะ จัดการเรื่องภาพประกอบในเล่มของ Night Knight  และตอนนี้เสร็จไปแล้ว เปิดพรีแล้วนะเออ กำหนดส่งสินค้ากลางเดือนพย. ค่ะ ไปดูรายละเอียดในนี้ได้เลยค่ะ http://www.whybooksth.com/ (http://www.whybooksth.com/)   :katai2-1:

- เรื่องนี้ไม่เกิน 45 บทค่ะตามที่แพลน บวกลบ ตอนพิเศษตามสมควร  :katai5:
 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 34 p.12 17/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-10-2016 09:13:26
 :L2:  ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 34 p.12 17/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-10-2016 13:20:25
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 34 p.12 17/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-10-2016 18:47:21
ปวดตับ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 34 p.12 17/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 19-10-2016 10:15:44
ตื่นเต้นน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 34 p.12 17/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: poopae ที่ 19-10-2016 14:18:24
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 27-10-2016 01:29:55
บทที่ 35

     "พรีม ตื่น พรีม เราต้องรีบไปแล้ว" เด็กหนุ่มถูกปลุกกลางดึก ร่างโปร่งงัวเงียขึ้นนั่งบนเตียงก็ต้องหรี่ตาเพราะแสงสว่างในห้อง ปรับตัวอยู่ซักพักก็เห็นโฮเซียในชุดพร้อมเดินทางกำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผลและยาใส่กระเป๋า

    "หมอจะไปไหน"

    "ตอนนี้ทหารเอแวนการ์ดกำลังจะมาที่นี่ มาจับพวกเรา" โฮเซียว่าพร้อมปิดกระเป๋า ก่อนตรงมาที่เตียง

    "จับ จับทำไมพวกเราทำอะไรผิด แล้วรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่" พรีมถามยาว ตอนนี้ตื่นเต็มตาแล้ว

    "พวกเวลอร์ไปเหมืองของบ้านเซีย ไปถึงก็เจอแต่ศพ พอดีกับเอแวนการ์ดมาเจอ แถมยังมีคนไปแจ้งว่าเรากบดานอยู่ที่นี่ วางแผนจะโจมตีเดสเซนท์"

    "แล้วเอแวนการ์ดก็โง่เชื่อพวกนั้น ? นี่เราโดนใส่ร้ายหรอ" เด็กหนุ่มตีหน้ายุ่ง "คนอื่นๆ ละ"

    "พวกชาวอินเวียโนที่มาจากไทวาส ให้ขึ้นเรือออกไปก่อนแล้ว ทหารเอเเวนการ์ดไม่มีข้อมูลหน้าตาคนเหล่านั้น ส่วนพวกเรา มีชื่อในพลเมืองเดสเซนท์ พวกนั้นรู้หน้าตาเราก็ต้องแยก แล้วค่อยไปรวมกันที่แคลวิช มอร์แกนรอเราอยู่นั่นเพราะเธอไปจัดการเรื่องยุโธปกรณ์อยู่ก่อนแล้ว"

    "แล้วท่านผู้อำนวยการจะเป็นอะไรไหม" พรีมถามอย่างกังวล เพราะผู้อำนวยการเป็นคนให้ที่พักพิงพวกเขา

    "ระดับเจ้านั่น จัดการได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ คิดว่าพวกเราจะทิ้งเพื่อนหรอ" โฮเซียว่า เขาก็ชวนหนีด้วยกันนั่นละ แต่ไอ้หงอกนั่นบอกไม่อยากทิ้งอนิมาไป สปีริตแรงกล้าขนาดนั้นก็ไม่อยากขัดได้แต่หงุดหงิดในใจ

    "เอ่อ คุณหมอไปเถอะ ผมจะถ่วงเปล่าๆ" พรีมบอกเสียงอ่อย เขาในตอนนี้แค่เดินยังลำบากเลย

    "หมอที่ไหนทิ้งคนเจ็บ" ร่างสูงยิ้มพลางเอากระเป๋าขึ้นสะพาย คว้าเสื้อโค๊ทตัวใหญ่แล้วเอามาคลุมให้เด็กหนุ่ม

    "แล้วจะให้ผมเดินไปยังไง"

    "ก็ไม่ได้จะให้เดิน" ว่าแล้วก็ช้อนอุ้มคนเด็กกว่าขึ้นจากเตียง

    "เฮ้ย ผมเดินเองได้" พรีมบอกปัด ช่วงนี้โดนอุ้มบ่อยไปนะ

    “ครับๆ รู้ว่าเก่ง ไว้ค่อยเก่งวันอื่นนะ ตอนนี้รีบ” โฮเซียกล่าวตัดบทแล้วออกจากห้องไปทันที ภายในตึกไร้ซึ่งผู้คน 

    "แล้วเราจะไปไหน ไม่ใช่ว่าพวกทหารล้อมเกาะอนิมาไว้หมดแล้วหรอ"

    "ท่าเรือเก่าทางตะวันตกของเกาะ ฝ่าป่าไป ถ้าผ่านทางนั้นพวกเอแวนการ์ดก็จะตามรอยยาก อีกอย่างท่าเรือตรงจุดนั้นไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามี ส่วนชาวอินเวียโนคนอื่นๆ ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว"

    "อ้าว ไม่ถูกเรือของทหารเอแวนการ์ดตามเหรอ"

    "ไม่หรอก เอเบรียนให้คนขับเรือใหญ่ล่อไปอีกทาง ไปเถอะพวกมาวิครอเราอยู่" เสียงโหวกแหวกที่ดังมาจากฝั่งทางเข้าฐานเตือนให้รู้ว่าคนของเอแวนการ์ดน่าจะมาถึงแล้ว 

    "พวกนั้นมาแล้ว ปล่อยผมไว้เถอะ เดี๋ยวก็ซวยกันทั้งคู่หรอก" ตอนนี้พวกเขาอยู่ตั้งชั้นหกของตึกกว่าจะลงไปถึงชั้นล่างอาจโดนจับตัวก่อนแน่ 

    "นี่กลัวความสูงไหม"

    "ฮะ อะระ เฮ้ย!!!" ยังไม่ทันเข้าใจอะไรดีก็ต้องร้องลั่นเมื่อจู่ๆ โฮเซียพาเขาโดดจากระเบียงชั้นหก  เด็กหนุ่มหลับตาแน่น ใจหายวาบ ตาย ตายแน่ๆ แบบนี้

   "หึๆ กลัวหรอ" เสียงหัวเราะชอบใจดึงดวงตาสีฟ้าใสให้หันมอง โฮเซียยิ้มขำกับคนในอ้อมกอดที่หน้าซีดไปซะละ พรีมมองรอบๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อพบว่าเขาทั้งคู่ยังอยู่ดีแต่ก็ต้องผวากอดคอร่างสูงไว้แน่นเมื่ออีกฝ่ายออกวิ่งฝ่าเข้าไปในแมกไม้ด้วยความเร็วที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้ และไม่นานท่าเรือที่ทำจากไม้เก่าๆ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า มีเรือเร็วขนาดกลางจอดอยู่ พอเข้าไปใกล้จึงพบว่ามาวิคและไมเรครออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองช่วยดึงตัวคนเจ็บขึ้นเรือ

    "นายโอเคไหม" มาวิคเอ่ยถามพลางประคองเพื่อนไปนั่งตรงที่นั่งด้านใน 

    "อืม รู้สึกไร้ประโยชน์ชะมัด" พรีมบ่นหน้างอ

    "เอาน่าเดี๋ยวก็หาย" มาวิคตบบ่าเพื่อนด้วยความเคยชินแต่หนักมือไปนิดทำเอาคนที่ยังระบมทั้งตัวสะดุ้งโหยง

    "เจ็บนะเฮ้ย"

    "โทษวะ"

    "เราจะไปรวมกับพวกเวที่แยนทราทางเหนืองของเเคลวิช เรื่องเรือเหอะตัดไปได้เลย เพราะทหารเอแวนการ์ดคงไปดักรอเราที่ท่าแล้ว ต้องไปขึ้นฝั่งที่ฮาสลาแล้วเดินเท้าต่อ เลี่ยงพวกแคมป์ของหทารเอแวนการ์ดเอา เดี๋ยวฉันนำทางเอง" อดีตหน่วยพิทักษ์บอก เขาทำงานกับเอแวนการ์ดมาหลายปีจึงรู้ข้อมูลเหล่านี้ดี ไมเรครับหน้าที่เป็นสารถีขับเรือออกจากท่า เกาะอนิมาห่างไปไม่ทันลับสายตาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเรือใหญ่ดังมาจากอีกฝากหนึ่งและดูเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 
"ทำไงดี ถึงเรือนี้จะอำพรางจากเรดาร์แต่ถ้าเข้าใกล้พวกนั้นต้องเห็นแน่" มาวิคว่าอย่างร้อนรนพลางใช้กล้องส่องทางไกลมองไปทางเสียง เห็นหัวเรือใหญ่ของเอแวนการ์ดกำลังจะเลี้ยวพ้นมุมอ่าวมา
โฮเซียเดินไปท้ายเรือ คุณหมอร่างสูงถอดเสื้อก่อนจะโยนออกห่างตัว ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายท่าทางสุภาพที่มักอยู่ในเสื้อกราวตัวใหญ่จะมีเรือนกายแข็งแรงไม่ต่างจากนายทหาร ทั้งพรีมแลัมาวิคได้แต่มองตามด้วยความฉงน

    "ล่วงหน้าไปก่อนเลยนะเดี๋ยวตามไป"

    "หมอจะทำอะ" เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยท้วงไม่ทันจบ ร่างสูงก็ทิ้งตัวจากท้ายเรือสู่ผิวน้ำ

    ตูม ซ่าาา!!! นำทะเลสาดกระเซ็น ดวงตาสีฟ้าได้แต่มองตามวงคลื่นบนแผ่นน้ำที่นิ่งหายไปและยังคงเป็นแบบน้นจนพรีมเริ่มใจเสียเมื่อคนที่เพิ่งกระโดดลงไปไม่มีวี่แววจะโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา แม้จะไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องนึกห่วงคนคนนั้น

    "พี่ไมเรค จอดก่อน คุณหมอเขา" 

    "พรีมดูนั่น" มาวิคสะกิด พรีมมองตามมือเพื่อนไปก็เห็นว่า ด้านหลังห่างออกไปตรงจุดที่โฮเซียกระโดดลงจากเรือ เกิดเป็นหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ ขวางหน้าเรือของเอแวนการ์ดไว้ 

    ปัง ปัง ปัง กระสุนไฟลูกถูกยิงมาทางเขาซึ่งไมเรคก็หักหลบได้อย่างเฉียดฉิว แต่ยังไม่ทััันที่ลูกอื่นๆ จะยิงตามมาเรือรบลำนั้นก็โคลงเคลงเหมือนถูกกระแทกจากใต้น้ำ ก่อนจะปรากฏสาเหตุที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น เมื่อร่างใหญ่ยักษ์โผล่พรวดขึ้นมาจากผิวน้ำ ลำตัวยาวรัดกลางลำเรือของเหล่าทหารจนไม่อาจเคลื่อนต่อไปได้ ดวงตาสีแดงเพลิงและเกร็ดสีดำสนิทหากแต่แวววาวยามต้องกับแสงจันทร์ทำให้ร่างนั้นดุจเหมือนมัจจุราจเเห่งท้องทะเล งูยักษ์ค่อยๆ รัดตำลำเรือจนเริ่มยับยู่ก่อนที่มันจะถูกลากสู่หลุมน้ำวนช้าๆ 

    ในขณะที่สองสหายกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ไมเรคจึงอาศัยจังหวะนี้เร่งความเร็วออกมาให้ห่างจากจุดนั้น มาวิคได้แต่ปลอบใจเพื่อนว่าคุณหมอของมันคงไม่เป็นอะไร ขึ้นชื่อว่าเคยอยู่ในอินเวียโนต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ทั้งสามขึ้นฝั่งที่เขตฮาสล่าตอนเที่ยงวันก่อนจะเดินเท้าขึ้นเหนือกันไปเรื่อยๆ โดยเลี่ยงพวกหมู่บ้านใหญ่ รวมไปถึงเขตค่ายของทหารเอแวนการ์ด แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เนื่องจากพรีมยังขยับตัวได้ไม่เต็มที่แต่ก็ได้มาวิคเพื่อนซี้ประคองไปตลอดทาง ตกเย็นจึงพากันตั้งเเคมป์  เป็นแบบนี้มาสี่วัน พรีมเองก็ดีขึ้นสามารถเดินได้เกือบปกติเม้จะมีอาการเจ็บรบกวนบ้างแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกให้ใครเห็นเพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วง



    พรีมนอนลืมตาในแสงสลัวจากกองไฟที่ใกล้มอด มาวิคนอนหลับสนิทอยู่ไม่ไกลจากความอ่อนเพลียที่เดินมาทั้งวัน เขาไม่อาจข่มตาหลับได้แม้ร่างกายจะเหนื่อยเต็มทนด้วยใจยังพะวงถึงอีกคนที่ป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่โฮเซียทำให้นั้นก็มากมายพอจะให้ความรู้สึกผูกพัน เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่าหงุดหงิดก่อนจะตัดสินใจลุกนั่ง เขาคว้าเอาฟืนที่ยังเหลือโยนใส่กองไฟก่อนจะหันไปกระชับผ้าห่มให้เพื่อนแล้วลุกขึ้น พรีมเดินออกมาตรงปากถ้ำขนาดเล็กที่ใช้เป็นที่พักพิงในวันนี้ พวกเขามาถึงเขตวายเนสเทียแล้วและคิดว่าอีกไม่ถึงห้าวันคงเดินเท้าถึงจุดที่นัดกับพวกเวลอร์ไว้

    "พี่ไมเรคไปพักก่อนก็ได้ ผมอยู่เวรเอง"

    "เอางั้นหรอ ไปนอนต่อก็ได้ พี่ไหวอยู่" ไมเรคหันไปตอบคนที่ติดว่าหลับไปแล้ว เขาอาสาเป็นเวรยามเฝ้าอยู่หน้าถ้ำต่อจากมาวิคที่อยู่ก่อนแล้วช่วงหัวค่ำ จริง ๆ ก็เป็นเขาที่ไล่อีกฝ่ายไปนอนเพราะห่วงคนรักที่เติบโตในเมืองไม่เคยต้องมาเดินทางลำบากแบบนี้ สำหรับเขาการอดหลับอดนอนหรือต้องเดินเท้าไกล ๆ ถือเป็นเรื่องปกติที่หน่วยพิทักษ์ต้องเจอ

    "ผมนอนอิ่มแล้ว พี่ไปพักเถอะ อากาศกางคืนเย็นนะ มาวิคมันคงอยากได้คนก่อน" เด็กหนุ่มผมทองแซวยิ้มๆ 

    "เอางั้นก็ได้ อืม นี่ก็ตีสามแล้ว" ไมเรคมองนาฬิกาที่อขวนไว้ที่คอ อีกไม่นานคงเช้าจึงวางใจให้รุ่นน้องอยู่เวรแทน ร่างสูงลุกยืนแล้วกล่าวทิ้งท้าย "พระอาทิตย์ขึ้นไปปลุกด้วยนะ"

    พรีมนั่งลงแทนที่ก่อนจะเอาผ้าห่มที่ถือติดมาด้วยคลุมกาย ตรงจุดนี้ที่เลือกจะไม่ก่อไฟ เพราะมันจะทำให้เป็นเป้าสายตา สายลมยามค่ำคืนเย็นยะเยือกจนเด็กหนุ่มต้องกระชับผ้าห่มแน่นขึ้นเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ เขาแอนพิงผนังหินพลางเหม่อมองพระจันทร์ที่ให้ส่องสว่าง หากเป็นแต่ก่อนเขาคงนึกถึงเซียหากแต่ตอนนี้เขากลับนึกถึงใครอีกคน จากที่คิดว่านอนไม่หลับแต่พามาอยู่ตรงนี้กลับเริ่มล้า ก่อนดวงตาสีฟ้าสวยจะปิดลงเพราะไม่อาจฝืนความง่วงได้อีกต่อไป

    ซี่...

    เสียงหนึ่งดังอยู่ข้างหู ก่อนที่พรีมจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะรับรู้ได้ถึงแรงรัด ก่อนดวงตาทั้งคู่จะเบิกเพลิงเมื่อพบว่าร่างกำลังถูกรัดด้วยงูสีดำตัวใหญ่ เขาอยากจะร้องก็ร้องไม่ออกเพราะส่วนของลำตัวมันปิดปากเขาพอดี หัวขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดวาวยกขึ้นมาเสมอใบหน้าเขา ดวงตาสีเพลิงทำเขาชาวาบไปทั้งร่าง

    ...บ้าเอ้ย...พรีมสบถในใจเมื่อพบว่าไม่อาจขยับตัวได้

    ซี...

     เสียงร้องของมันยิ่งทำให้เขาใจหาย ในจังหวะที่หัวนั่นถอยห่างในท่าเตรียมจะฉกเด็กหนุ่มหลับตาแน่นใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว เตรียมใจรับกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหากแต่สิ่งที่รู้สึกกลับตรงกันข้าม สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ประทับลงบนเรียวปากทำให้ต้องลืมตามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ 

    "หึๆ กลัวอะไรขนาดนั้น" ใบหน้าคม ที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมดำยาว นัยน์ตาเรียวสีรัตติกาลแพรวพราวอย่างขบขัน 

    "หมอ..." พรีมร้องออกมาเสียงแผ่ว ลำตัวยาวที่รัดเขาไว้บัดนี้มีเพียงวงแขนใหญ่ที่โอบรอบตัวเขาซึ่งมานั่งอยู่บนตักอีกคนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามริมฝีปากบางก็ถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง ร่างสูงบดจูบอ้อยอิ่งหลอกล่อให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวต้องตอบสนอง ลิ้นชื้นที่ตอบรับเขาทำให้โฮเซียยิ่งจูบคนในอ้อมแขนดูดดื่มให้หายคิดถึง ก่อนจะถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย

    "เอ่อ ถ้าอย่างงั้น งูยักษ์ที่ล่มเรือของเอแวนการ์ดก็คือหมองั้นหรอ" พรีมถามตะกุกตะกัก เพราะไอ้จูบเมื่อกี้มันทำเอาสติไม่อยู่กับร่องกับรอย เรียบเรียงคำพูดยากไปหมด เขาเองก็บ้าสมยอมเฉยเลย

    "แล้วคิดว่าไงครับ"

    "เห้อ...ทำผมตกใจหมด" เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่าย คงเป็นคิเมร่า แต่เมื่อกี้เขากลัวจริงๆ นะโฮเซียยิ้มกับท่าทางที่หลากหลายของคนบนตัก ก่อนจะเชิยคางเรียวให้เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วเอ่ยถาม

    "นี่ คิดถึงฉันไหม" 

    "ผม..." ดวงตาสีเข้มที่จ้องมาสื่อความหมายชัดเจน หากแต่เป็นพรีมที่เป็นฝ่ายหลบ นัยน์ตาสีฟ้าฉายเเววเจ็บปวดและหมองเศร้า "ไม่รู้ ทำไมเป็นผมละ ยังไม่แน่ใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ว่าผมยังกล้าที่จะรักใครอีกไหม"

    "งั้นยังไม่ต้องรัก" 

    "ฮะ..."

    "ตอบแค่ว่า อยู่กับฉันแล้วมีความสุขไหม" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอย่างใจเย็น สุขไหมงั้นหรอ มันก็ดีนะอย่างน้อยมีคนคนนี้อยู่ข้างกายเขาก็ไม่เศร้า

    "อืม คิดว่านะ"

"แค่นั้นก็พอแล้ว" คนโตกว่ายิ้มใจดีก่อนจะจูบหน้าผ้าเนียนเบาๆ พลางกอดร่างโปร่งเเน่นขึ้น ผิวนุ่มกับกลิ่นกายที่เขาชอบ คิดถึงเป็นบ้า

    "หมอ" คนที่นิ่งไปนานจู่ๆ ก็ร้องออกมาอย่างตกใจ 

   "อะไร"

    "งู งูอะหมอ" พรีมบอกเสียงสั่น

    "งูที่ไหน นี่ร่างคน" โฮเซียขมวดคิ้วอย่างข้องใจ

    "ก็งูหมออะ ทิ่มก้นผมอยู่เนี่ย ไปหาเสื้อผ้ามาใส่สิโว้ย" พรีมบ่นหน้างอ รับรู้ถึงส่วนแข็งขืนของอีกคนที่ดั้นก้นเขาผ่านเนื้อผ้า ชวนให้ใบหน้าร้อนผ่าวกับสภาพที่เป็น นี่คงลืมไปแล้ใช่ไหมว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้นไอ้หมอบ้า เด็กหนุ่มกำมือทุบแผ่นอกหนาแรงๆ พลางขืนตัวออกจากตัก แต่อีกคนกลับกอดแน่นกว่าเดิม

   "หึๆ อย่าดิ้นสิ งูฉกไม่รู้นะ"

   "ไอ้หมอโรคจิต!!!"


........................................

-เริ่มเครียด จบแบบชิวๆ เอาเป็นว่าคู๋นี้สรุปตามนี้นะ แต่จะโดนงูฉกไหม ไม่รู้สิ  o18

- เนื้อหาจะเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รายละเอียดจะเยอะ ใครงงถามเราได้ค่ะ ใครไม่เข้าใจที่ไหนเป็นที่ไหน เราเคยเเปะแผนที่เอทีเรียดที่เราเราวาด ไว้หน้าต้นๆ ดูได้นะค่ะ

-หมอชอบแกล้งอะ

- รักนะทุกคน  :กอด1:
 
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 27-10-2016 09:16:17
หมอน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-10-2016 11:43:09
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-10-2016 12:58:41
ขอให้พรีมโดนงูฉกสักทีเถอะ :z1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-10-2016 19:35:15
งานเข้าทุกวันจิงๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 29-10-2016 02:03:54
อันนี้แค่งูรัดอยากเห็นตอนงูฉก กรี๊ดด เขินน
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 21-11-2016 11:23:20
โอยยยย พรีมโดนงูฉกแน่ คริคริ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 21-11-2016 15:59:38
 :hao5: รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ หมอรุกหนักเชียว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 35 p.12 27/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 06-12-2016 01:43:43
เข้ามารอทุกคนนน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 08-12-2016 01:26:24
บทที่ 36

      "ฮือออ ช้าหน่อย อ๊ะ" พรีมขบริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงครางของตัวเอง มองมือจิกไหล่หนาของอีกคนแน่น

      "ฮึมมม ครางเลยอยากได้ยิน" โฮเซียว่าพลางขยับมือที่รวบแก่นแกนของทั้งคู่ให้รูดเร็วขึ้น 

       "มะ อ้าาา ไม่ เดี๋ยวพวกนั้น ได้ยิน" เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว ๆ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับไหล่หมอเพราะไม่อาจกลั้นเสียงได้อีกต่อไป มันต่างจากช่วยตัวเอง อาจเพราะคนอื่นทำให้มันไม่ได้ดั่งใจแต่กลับรู้สึกมากว่าปกติ ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกรั้งออกมารับจูบดูดดื่ม ก่อนที่ห้วงอารมณ์ร้อนของทั้งคู่จะประทุเป็นน้ำอุ่น ๆ ที่เลอะเต็มมือ

       "พรีม ฮืมมม อีกได้ไหม" หมอหนุ่มว่าเสียงเพ้อ พลางไล้จูบขมับชื้นเหงื่อ ลากมาที่แก้มก่อนจะจบที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ใจจริงก็อยากจะทำมากกว่านี้ แต่รู้ดีถึงสัญชาติญาณของตัวเอง คิเมร่าถ้าได้เริ่มแล้วหยุดยาก แต่เขาไม่อยากรุกพรีมหนักไป แค่เด็กหนุ่มยอมเปิดใจให้เขาก็ถือว่ามากแล้ว แต่ในเมื่อลูกชายมันตื่นแล้วจะปล่อยไว้ก็ทรมาน เลยจบด้วยการอ้อนให้พรีมช่วยบรรเทาความอยากให้เพียงเท่านี้

       "พอแล้ว" พรีมว่า พยายามปรับอารมณ์ให้ปกติ แต่คุณหมอกลับเอาแต่พรมจูบไม่ห่างจนคนโดนลวนลามต้องฟาดแขนแรง ๆ ไปที

        "โหดร้ายตลอด" โฮเซียแซวพลางเช็ดไม้เช็ดมือแล้วกอดเด็กหนุ่มไว้หลวม ๆ สองชีวิตต่างเผ่าพันธุ์นั่งมองแสงอรุณที่กำลังฉาบฉายบนฟากฟ้าพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ทั้งคู่กำลังจะเจอต่อจากนี้ บางทีสงครามก็ไม่ได้นำพาแต่ความสุญเสียหากแต่ยังทำให้ให้พวกเขาได้พบสิ่งดี จากคนที่ใช้ชีวิตผ่านวันต่อวันแบบโฮเซียได้พบกับพรีม และต่างคนต่างลองเปิดใจให้กัน

         "นี่หมอ จะไม่หาเสื้อผ้าใส่จริงดิ"

      "ชู่ววว อย่าทักสิ เสียบรรยากาศหมด" 


 
        ดวงตาสีเทากวาดตามองรอบห้องพิพากษาแหงศาลสูงเดสเซนท์ อัศจรรย์ขนาดใหญ่ครึ่งวงกลมตรงหน้า เต็มไปด้วยนักกฏหมายและนายทหารระดับสูง มีแท่นเงินอีกสี่แท่นที่ฉายภาพโฮโลแกรมของกษัตริย์จากสี่อาณาจักร เรเวนเนียแห้งนอธเทิร์นเรียม ริชาร์ดแห่งเคลวิช ดาเวนแห่งไวท์ออชาร์ด และอลูคัสแห่งเรดิเอนซี่ เอเบรียนยืนอยู่บนแท่นใจกลางห้อง ข้อมือข้อเท้าถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่

      "ทำไมท่านถึงให้ที่พักพิงคนเหล่านั้น ท่านเป็นถึงผู้อำนวยการของอนิมากลับเอาอันตรายไว้ใกล้นักศึกษาของท่าน" นายทหารท่าหนึ่งเอ่ย น้ำเสียงเผยความไม่พอใจอย่างชัดเจน

       "เพราะผมรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อันตรายต่อเรา"

      "พวกนั้นมันผู้ก่อการร้าย" ราชินีเรเวนเนียตรัสแย้ง

       "อะไรทำให้ฝ่าบาทคิดว่าเขาเป็น" เอเบรียนถามกลับอย่างใจเย็น สบตาเจ้าแห่งดินแดนเหนือผ่านมอนิเตอร์แบบไม่กลัวเกรง
"พวกเขาฆ่าคนไปมากมายในเหมืองนั่น ตอนที่เจ้าหน้าที่ของเราเข้าไปพวกนั้นอยู่ในนั้นและหลบหนีการจับกุม" เจ้าหน้าที่กล่าวก่อนฉายภาพอันน่าสยดสยองของผู้เสียชีวิตภายในเหมือง

       "แต่ก็ไม่ได้เห็นกับตาว่าพวกเขาทำ" เอเบรียนแก้ตัว

        "แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าไม่ได้ทำ" เจ้าแดนเหนือว่าต่ออย่างไม่ยอมแพ้

       "ใครเป็นผู้นำกลุ่มพวกนั้น" กษัตริริชาร์ดตรัสถาม "เจ้าบอกได้ไหม"

       "เวลาเรียสแห่งอินเวียโน"

        "ชาวอินเวียโน ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเขานานมากแล้ว เพราะเจ้าพวกนั้นตัดขาดจากโลกภายนอก ข่าวสุดท้ายที่ได้ยินคืออาณาจักรของเจ้าพวกนั่นล่มสลายไปแล้วไม่ใช่หรือ" กษัตริย์ดาเวนผู้สูงวัยที่สุดแสดงความเห็น

         "ถูกแล้วฝ่าบาท ที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อจะกลับไปยังบ้านของเขาเท่านั้นไม่ได้เจตนาร้ายต่อเราเลย พวกเขาทำเพื่อปกป้องเราทุกคน" 

         "ปกป้องเราจากอะไร" 

        "ไวด์โซล พวกท่านอาจจะไม่รู้ ว่าในสายเลือดเอลฟ์จะมีผู้ที่มีพลังในการควบคุมรอยแยกระหว่างมิติ ไวด์โซลที่ถูกเรียกมาถูกควบคุมและทำให้เป็นทาสรับใช้กับพ่อค้าและนายทุน เพื่อแลกกับเงินให้กับคนที่เรียกพวกมันมา คนเหล่านั้นเรียกตัวเองว่าฟอสโก หากแต่เป้าหมายที่แท้จริงคือกระจายอันเดธเหล่านี้ไปให้ทั่วเอสทีเรียดของเรา" ทั่วทั้งของพิพากษาเงียบฟังทุกคำพูดของเอเบรียนอย่างตั้งใจ บางคนเชื่อบางคนไม่เชื่อ 

        "หากไวด์โซลใช้แทนแรงงานได้จริงก็ดีไม่ใช่หรือ" นักกฎหมายอาวุโสกล่าว
 
        "จริงอยู่ ไวด์โซลที่ควบคุมได้ คือแรงงานชั้นเยี่ยม แต่พวกท่านลองนึกดูสิ หากพวกมันถูกคลายผนึกและคุ้มคลั่ง ทั่วทุกดินแดนจะมีคนบาดเจ็บล้มตายแค่ไหน ประโยชน์หลักสิบเทียบได้หรือกับหายนะหลักล้าน และนี่คือสิ่งที่ชาวอินเวียโนกำลังทำ พวกเขาพยายามจะหยุดฟอสโก"

         "แล้วทำไมพวกเราต้องเชื่อ"

       "ผมไม่ขอให้พวกท่านเชื่อ เพราะหากทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจริง คนเดือดร้อนคือเหล่าประชากรในเอสทีเรียดทุกคน"
"ฉันไม่สนหรอกว่าพวกอินเวียโนพวกนั้นมีเป้าหมายอะไร แต่ฉันคงไม่ยอมให้พวกมันเข้ามาในดินแดนฉันแน่นอน" ราชินีเรเวนเนียกล่าว "แล้วท่านละอลูคัส มีความเห็นอย่างไร"

        "เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ ป้องกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย" กษัตริย์ออคตอบ หากแต่มีแผนในใจไว้เรียบร้อยแล้วเพราะเขารู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นและแน่นอนคงไม่ปล่อยเพื่อนและลูกชายให้สู้ตามลำพัง

       "หึ ผมมั่นใจว่าเอแวนการ์ดสามารถรับมือได้" นายทหารใหญ่กล่าวอย่างมันใจ เอเบรียนก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ "แต่เอแวนการ์ดจะไม่นิ่งนอนใจกับเรื่องที่ท่านเล่ามา ระหว่างที่ทางการพิสูจน์ว่าเรื่องเหล่านี้จริงหรือไม่ ท่านจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของเรา" ชายสูงวัยพยักหน้ารับ เขารู้ดีว่ามันคงไม่ง่ายแบบนั้น



        เพี๊ยะ!!! เสียงแส้เฆี่ยนลงบนแผ่นหลังหนาที่แม้จะเริ่มหยาบกร้านตามวัยแต่ยังคงมีกล้ามเนื้อแข็งแรงชัดเจน เอเบรียนกัดฟันแน่นร่างกายเจ็บจนชาไปทุกส่วน กับคนแก่ทีแม้จะยังแข็งแรงเกินวัย แต่ถูกทรมานยาวนานแบบนี้ก็ยากจะยืนไหว หากสองมือไม่ถูกล่ามด้วยโซ่ที่ขึงไว้กับขื่อภายในคุกเขาคงลงไปกองกับพื้นเป็นแน่

          “บอกมา ตอนนี้พวกมันอยู่ไหน” หนึ่งในนั้นถามเสียงเหี้ยม เครื่องแบบเต็มยศบอกให้รู้ว่าเป็นคนของเอแวนด์การ์ด เป็นอย่างที่คิด ในกองทัพมีพวกฟอสโกแฝงอยู่จริง ๆ 

         ทันทีที่เอเบรียนถูกพามาในแขนคุมขัง กลุ่มทหารเหล่านี้ก็เข้ามาอาสารับช่วงต่อและผาเขามายังชั้นสูงสุดของตึกฝั่งเหนือ ก่อนทรมานทุกวิถีทางให้เขาบอกที่อยู่ของพวกเวลอร์ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้าย ที่พวกมันไม่ทำเขาถึงตายเพราเอแวนการ์ดคนอื่น ๆ อาจสงสัยได้ ไม่ว่าพวกนั้นจะลงไม้ลงมือแค่ไหนเขาก็เลือกที่จะเงียบไม่หลุดข้อมูลใด ๆ ให้พวกมัน สิ่งเดียวที่เอเบรียนทำได้ตอนนี้คืออดทน อดทนให้พวกนั้นพิสูจน์ความจริงหรือไม่บางทีอาจมีใครมาช่วยก็ได้ 

        ร่างของอดีตผู้อำนวยการอนิมาถูกลากมาทิ้งไว้ในห้องขัง ที่มีเพียงประตูเหล็กกล้าซึ่งเจาะช่องเล็ก ๆ ขวางกั้น สองข้างเป็นกำแพงอิฐหนาและอีกด้านมีเพียงบานหน้าต่างขนาดกลางแต่ก็แคบเกินกว่าที่คนจะลอดผ่านได้ ถือต่อให้ผ่านไปได้ใช่ว่าจะมีชีวิตรอดเพราะที่คุมขังนี้อยู่บนหอคอยที่สูงกว่ายี่สิบชั้นตกลงไปตายแน่นอน   

        สำหรับชายแก่ที่อายุเฉียดเลขหกนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตกอยู่ในสภาพเลวร้ายแบบนี้ ลมพายุและละอองฝนลอดผ่านหน้าต่างกระทบร่างที่ท่อนบนปราศจากเสื้อคลุมทำเอาหนาวสั่น เอเบรียนยันร่างนั่งพิงกำแพงไว้ สภาพยับเยินเกินกว่าจะใช้พลังเวทย์ใด ๆ เพราะยังไงเขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา แม้จะเจ็บระบมไปทั่วร่างแต่ความอ่อนล้าก็ทำให้ดวงตาสีขี้เถ้าปิดลงอย่างง่ายดาย

          เสียงร้องแหลมปลุกเอเบรียนขึ้นมาตอนเช้ามืด ก่อนจะมีก้อนกระดาษโยนเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อคลี่อ่านก็พบข้อความว่า ...ถอยไปให้ห่างหน้าต่างซะ...ชายแก่ยังไม่ทันขยับกายให้ห่างดีกำแพงฝั่งหน้าต่างก็พังครืนลง เผยให้เห็นร่างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยขนสีดำบินผ่านตรงหน้า เหยี่ยวยักษ์โฉบห่างก่อนบินวนเข้ามาใกล้จนเห็นดวงตาสีน้ำเงินชัดเจน 

       "มอร์แกน!!!"

        "เราถูกโจมตี"

        "เจ้านั่นกำลังจะหนี"

         เสียงโหวกเหวกจากข้างนอก ถามมาด้วยเสียงฝีเท้าหลายคู่ที่กำลังตรงเข้ามา เอเบรียนฝืนร่างที่เจ็บร้าวลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดจนสุดตัวสู่ความว่างเปล่าของท้องฟ้าตรงหน้า ร่างร่วงลงสู่เบื้อล่างทำเอาใจหายวายแทนที่มันจะตกกระแทกพื้นก็ถูกรองรับด้วยร่างหนาหนุ่มของเยี่ยวยักษ์ก่อนร่างนั้นจะพาเขาพุ่งทะยานไปในอากาศทิ้งห่างจากเขตคุกของเอแวนการ์ดไว้เบื้องล่างก่อนจะหายลับไปในกลุ่มเมฆ

 
        "นี่เราถึงไหนแล้ว" เอเบรียนฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองกำลังนอนหนุนอยู่บนตักนุ่ม

         "เข้าเขตเหนือแล้ว อีกสองวันคงทันพวกท่านเวลอร์" มอร์แกนว่าพลางส่งสายพลังเวทย์เร่งกองไฟให้แรงขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าสวยหมดจดที่ต้องกับแสงจากกองฟืน ร่างระหงมีเพียงผ้าผืนใหญ่ห่มคลุมกาย

         "อย่าบอกนะ ว่าเธอพาฉันบินจากเดสเซนท์มาถึงนี่"

        "อืมก็ใช่ สองวัน ท่านเองก็หลับไปสองวันเหมือนกัน แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายท่าน"

         "อืม ดีขึ้นมากแล้ว" เอเบรียนตอบแต่พอทำท่าจะลุก คิเมร่าสาวกลับกดไหล่เขาให้ยังนอนอยู่ที่เดิม

        "อย่าทำเก่งน่า อายุปูนนี้แล้ว" เธอว่า

         "ใครมันจะสาวจะสวยตลอดกาลได้แบบเธอเล่า" มอร์แกนยิ่มรับคำชม พลางสางมือเบา ๆ ไปตามเรือนผมสีดอกเลาของชายแก่บนตัก "มอร์แกน ทำไมถึงมาช่วยฉันละ เธอน่าจะตามพวกเวลอร์ไปไม่น่ามาเสียเวลากับฉันเลย"

         "ท่านน่าจะรู้คำตอบดี เอเบรียน" ดวงตาสีน้ำเงินมองมาอย่างจริงจัง "จริงอยู่ที่ฉันรับใช้นายท่านเสมอมา ตอนนี้ท่านเวลอร์เจอคนที่ท่านรักและได้ทำตามหัวใจตนเอง ฉันเองก็อยากจะทำตามหัวใจตัวเองเช่นกัน"
 
         "เธอยังรักฉันอยู่หรอ" เอเบรียนลุกขึ้นนั่งมองอีกฝ่ายเต็มตา

            "ทุกอย่างยังคงเดิม ดังเช่นครั้งแรกที่เราเจอกัน" หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ช่างสวยงามเหลือเกินในสายตาเขา มันทั้งดีใจและกังวลใจ 

            เขายังจำวันแรกที่เจอมอร์แกนได้ ใบหน้างดงามผิวกายขาวและท่วงท่าสง่างามจนไม่อาจละสายตา เธอติดตามเวลอร์มารับเขาในตอนที่ไปเยือนอินเวียโนเมื่อครั้งยังหนุ่ม ทั้งสองได้รู้จักพูดคุยและนั่นทำให้เขาตกหลุมรักเธอโดยไม่รู้ตัว เอเบียนเลือกที่จะถอยออกมาส่วนหนึ่งเพราะเธอเป็นสนมของเพื่อน และอีกส่วนเพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา


            "ทำไมละ ฉันก็แค่มนุษย์ ดูตอนนี้สิฉันแก่ขนาดนี้คงอยู่กับเธอได้นานแค่ไหน" เสียงทุ้มสั่นพร่า "ถ้าวันหนึ่งเราต้องจากกัน ฉันไม่อยากทอดทิ้งเธอให้เดียวดายหรอกนะ"

            "แต่นั่นคือสิ่งที่ท่านทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา" มอร์แกนว่า ดวงตาสีน้ำเงินสวยเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ก่อนจะไหลออกมาแทนความรู้สึกในใจทั้งหมด"ท่านเลือกที่จะถอยห่างเลือกที่จะทอดทิ้งไป เรามาเริ่มใหม่เถอะนะ เลิกหนีหัวใจตัวเองเถอะนะ ฉันขอร้อง ถึงท่านจะแก่ แต่ก็ไม่ได้ตายวันนี้พรุ่งนี้ ฉันอยากให้เรามีช่วงเวลาที่ดีต่อกัน ถึงฉันจะเป็นคิเมร่าแต่ก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านเข้าใจไหม"

            "ฉัน ขอโทษ" เอเบรียนว่าพลางดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่นอย่างที่ใจอยากทำเสมอมา เขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าระยะห่างที่ได้สร้างกลับทำร้ายคนที่รักเสียเอง "เรามาเริ่มต้นใหม่กันนะ มันอาจจะเหลือเวลาไม่มากแต่ฉันสัญญาฉันจะทำให้ดีที่สุด"

          "ครั้งหน้าข้าไม่ให้อภัยท่านแล้วนะ" มอร์แกนรับบคำทั้งน้ำตา ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจแต่เป็นน้ำตาแห่งความยินดีต่างหาก


...........................................

 :hao5: Miss U  ตอนหน้าไปเที่ยวอินเวียโนกัน  กลับมาแล้วค่าาา มีชายหญิงปนมาไม่ว่ากันเนอะเพื่อความครบถ้วนของเนื้อเรื่อง
 
 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-12-2016 02:28:02
กลับมาบ่อยๆนะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-12-2016 02:29:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 08-12-2016 08:28:14
น่ารักกกกก  :mew3:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-12-2016 09:54:46
กลับมาต่อแล้ว ดีใจจจ
คิเมร่าหนุ่มเราหื่นทุกคนจริงๆ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 08-12-2016 10:08:04
ขอบคุณนะคะ.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-12-2016 11:10:05
นึกว่าจะโดนทรมานจนทนไม่ไหวซะแล้ว :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 08-12-2016 22:18:54
ดีใจที่เห็นเรื่องนี้อัพ :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 36 p.12 8/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-12-2016 22:56:21
มาติดตามค่า เป็นวาย แฟนซีที่ชอบมากอีกเรื่อง

รออ่านอยู่น้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 24-12-2016 02:18:06
บทที่ 37

 

     "ขอโทษที่รบกวน ขอคุยซักเดี๋ยวได้ไหม" เวลอร์เอ่ยทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูรับ


     "เข้ามาสิ" โอซี่ว่าพลางเบี่ยงตัวหลบให้ผู้มาเยือนเข้าไปในห้อง ก็ไม่ได้รบกวนอะไรเพราะเพิ่งสองทุ่มเอง


     พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนเรือลำยักษ์นี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เรือขนาดใหญ่ของกองทัพซึ่งเป็นทรัพย์สินของอนิมา เต็มไปด้วยห้องหับมากมายพร้อมสาธารณูปโภคครบครัน และเสบียงทั้งหมดที่อยู่ในฐานก็ถูกขนขึ้นเรือมาด้วย ซึ่งเพียงพอต่อกำลังคนสามร้อยกว่า ๆ ที่เขามีให้สามารถใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ได้เป็นแรมเดือน อีกทั้งเทคโนดลยีการอำพรางตัวชั้นเยี่ยมช่วยให้พวกเขาไม่ถูกพบจากหน่วยล่าตระเวณของเอแวนการ์ด เรือลำนี้ขลับเคลื่อนด้วยพลังงานเวทย์ที่ถูกสะสมอยู่ในขุมพลังงานที่ประกอบด้วยเจมนับล้านเม็ด


     พวกมาวิคตามมาทันเมื่อคืนวานและท่านผู้อำนวยการเองก็ถูกพามาถึงเมื่อคืนด้วยสภาพไม่เต็มร้อยเท่าใดนัก พร้อมกับข่าวร้ายเมื่ออาณาจักรนอธเทิร์นเรียมได้ตั้งกำลังพลอย่างแน่นหนาบริเวณชายแดนอินเวียโน ผู้นำในทุกอาณาจักรคงเห็นพวกเขาเป็นคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย จะมีก็แต่กษัตริย์อลูคัสเท่านั้นที่เห็นพวกเขาเป็นมิตร


     "แล้วฟาร์ละ" ลูนเอ่ยถามหาคนที่ตอนนี้แทบจะกลายเป็นคู่ซี้กันไปแล้ว


     "อยู่ที่ห้อง" เวลอร์ตอบ


     "มีอะไรสำคัญหรือเปล่า" ครึ่งออคเอ่ยถาม ถ้าไม่สำคัญคงเอาไว้คุยพรุ่งนี้ไม่มาเรียกเขากลางค่ำกลางคืนหรอก


     "อีกไม่กี่วันเราคงถึงฝั่ง ฉันอยากให้นายช่วยไปที่ที่หนึ่งให้ที" เวลอร์เอ่ยขอ พลางมอบแผนที่ ดูจากสภาพคงเก่าน่าดูแม้กระดาาจะเหลืองไปบ้างแต่ยังไม่ถึงกับยุ่ย


     "แผนที่อะไรเนี่ย"


     "สุสานราชวงค์" คิเมาหนุ่มเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือจากจุดที่เราจะขึ้นฝั่ง ในหุบเขากษัตริย์จะมีสุสานราชวงศ์ของอินเวียโนอยู่"

     "นายจะให้ฉันไปปลุกผีหรือไงเว"


     "ก็ไม่เชิง ที่นั่นเป็นที่พักสุดท้ายของเหล่าราชวงศ์ บางคนอาจตายไปแล้วแต่บางคนเพียงแค่หลับไปเท่านั้น" เวลอร์อธิบาย "ในตอนนี้มีฟาร์พียงคนเดียวที่สามารถปิดรอยแยกระหว่างมิตินั่นได้ แต่ริคัทโตเปิดและขยายมันมานาน รอยแยกนั้นกว้างจนครอบไปทั้งเมืองอินเวียโนแล้ว ไม่มีทางที่ฟารร์จะปิดมันได้โดยที่ตัวเองไม่เป็นอันตราย แม้การรบกวนสุสานราชวงศ์จะเป็นเรื่องไม่สมควรแต่ฉันจำเป็นต้องหาใครสักคนมาช่วยปิดมันอีกแรง"


     "แล้วนายจะรู้ได้ไงว่าใครแค่หลับหรือใครตายไปแล้ว"


     "ก็ต้องเสี่ยงดู ถ้ายังไม่เหลือจะได้เบาแรงฟาร์ไปได้"


     "แล้วจะทำยังไงฉันเป็นออคไม่ใช่หมอผีนะเฮ้ย" โอซี่ถาม "ไอ้ช่วยนะช่วยแน่ แต่จะให้งัดฝาโลงแล้วแล้วสะกิดบอก เฮ้ยตื่นโว้ยโลกกำลังจะแตกมันก็ไม่ใช่นะ"


     "เอาลูนไปด้วยสิ พวกสายเลือดพยากรณ์สามารถสื่อสารกับท่านเหล่านั้นได้"


     "ลูนคุยกับวิญญาณได้หรอ"


     "บ้านะ พวกนั้นยังไม่ตายซักหน่อยแค่หลับลูนก็คุยได้สิ" เจ้าเหมียวบ่น พวกนักพยากรณ์ส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการสื่อจิต และมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำสามารถเห็นพวกเวทย์มนต์อำพลาง เเต่ไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้อย่างที่ใครเข้าใจ "เวอยากให้ลูนไปเรียกใครมาช่วยละ"


     "คนที่ต้องการมากที่สุดคือ คอเนเลียส ต้นราชวงศ์เอลฟ์ เป็นคนแรกที่มีพลังในการควบคุมมิติ ส่วนคนอื่นก็แล้วแต่พวกนายเลย นี่เป็นตราประจำรัชกาลของกษัตริย์เอลฟ์" ว่าแล้วก็ยื่นเหรียญโลหะให้คู่สนธนา "เรื่องสุสานราชวงศ์นอกจากกษัตริย์ในแต่ละสมัยและพวกนักพยากรณ์ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกนะ ฉันไว้ใจนายที่สุด"


     "พูดซะซึ้ง สรุป คือลากไปเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีสินะ"


     "ใช่ ฉันไม่มั่นใจเต็มร้อยนักหรอกว่าศึกครั้งนี้เราจะชนะ แต่เราก็แพ้ไม่ได้ อะไรที่ทำให้เป็นต่อแม้เพียงเล็กน้อยเราก็ควรทำ"  ความผิดพลาดในอดีตสอนให้เวลอร์รไม่ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำ กับพวกเขาที่รวมตัวกันอย่างไรก็เสียเปรียบพวกฟอสโกที่สะสมกำลังกันมาเป็นสิบปี


     "เอาน่า เอาเป็นว่าพวกฉันจะตามไปสมทบให้ไวที่สุด วางใจได้เลยพวก เราทำเต็มที่อยู่แล้ว" โอซี่ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ


     "ลูนก็จะช่วยด้วยนะ"


     "ขอบใจพวกนายมาก "


                                                                                .........................................


     "ไปไหนมานะ" ฟาเรสเอ่ยถามครรักทันทีที่เปิดประตูเข้ามา หลังมื้อเย็นอีกฝ่ายก็เเยกตัวออกไป ส่วนตัวเขาเข้าห้องมาพักผ่อน

     "ไปคุยกับโอซี่มานะ" เด็กหนุ่มไม่ได้ถามต่อเพราะคงไม่พ้นเรื่องเเผนการรบละมั้ง


     "อาบน้ำสิ ฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้"


     "อาบด้วยกันไหม" คิเมร่าหนุ่มยิ้มบางพลางจับผมสีอ่อนที่เริ่มยาวทัดใบหูขาว เรียกเลือดให้มารวมที่แก้มใส


     "ไม่ ฉันอาบแล้ว" ฟาเรสว่าพลางดันหลังคนรักเข้าห้องน้ำไปพร้อมปิดประตูให้เสร็จสรรพ


     ร่างโปร่งเดินเอื่อยไปนอกระเบียงเหม่อมองแสงของจัญเพ็ญที่ส่องกระทบผื้นน้ำที่มีแผ่นน้ำแข็งลอยอยู่ประปราย สายลมเย็นเยียบพัดผ่านแก้มเนียน  แม้จะอยู่บนเรือลำนี้ไม่นานแต่ในความรู้สึกของฟาเรสมันช่างยาวไกล จนบางทีก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากให้เรื่องทุกอย่างมันจบโดยไว


     "ไม่หนาวหรือไง" เวลอร์เอ่ยถามพลางเอาผ้าขนสัตว์ผืนหนาคลุมร่างคนรักแล้วกอดไว้จากด้านหลัง


     "แล้วนายละ"


     "ชินแล้ว" คิเมร่าหนุ่มตอบ เกยคางไว้บนไหล่บาง เขาสังเกตุได้ว่าคนในอ้อมกอดซูบผอมลงกว่าเก่า แม้ฟาเรสจะยังยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับทุกคน แต่ในใจของเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความกังวล "ฟาร์"


     "หืม?"


     "ถ้าเรื่องทุกอย่างจบแล้วฟาร์อยากทำอะไร" ฟาเรสนิ่งคิด นั่นสินะ จะว่าไปเขาก็ไม่เคยนึกถึงอนาคตของตัวเองเลยซักครั้ง ว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บ้านเกิด ฟาเรสเพียงแค่ใช้ชีวิตไปตามที่พ่อแม่ต้องการ ความสนุกในแต่ละวันคงหนีไม่พ้นออรี่และออร่า แต่ตอนนี้ไม่มีพวกเขาอีกต่อไปแล้ว และในฐานนะที่เป็ฯทั้งลูกและพี่ชายเขาไม่อาจปล่อยให้คนที่รักตายเปล่าได้แม้เขาจะไม่รู้จักริคัทโตหรือพวกฟอสโกเลยก็ตาม


      "ไม่รู้สิเว ฉันช่างเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ความฝัน" ฟาเรสได้แต่ยิ้มเยอะในโชคชะตา "แต่ฉันก็มีนายนะ ฮ่าาา"


      "พูดจาน่าโดน...นะเรา" เวลอร์ยิ้มรับ "แต่ก็มีสิ่งที่ชอบใช่ไหมละ ลองนึกดูดี ๆ สิ"


      "อยากกลับไปที่อนิมา ฉันชอบเรือนสมุนไพรนั่น มันสงบแล้วก็เป็นสิ่งที่ชอบ" จะว่าไปตอนอยู่ที่นั่นกับเวลอร์แต่ละวันก็มีความสุขดีนะ "แล้วนายละ"


      "เมื่อก่อนฉันคงตอบว่าอินเวียโนคือทุกสิ่งทุกอย่าง" เวลอร์ตอบ "แต่ตอนนี้การได้อยู่กับฟาร์คือสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนี้" ในศึกที่กำลังจะเกิด ชัยชนะคือเรื่องรองขอแค่ท้ายที่สุดคนที่เขารักมีชีวิตรอดและปลอดภัย ไม่มีพวกสารเลวนั่นคอยตามล่าอีกต่อไป


      "คนแก่พูดจาเลี่ยน ๆ ก็เป็นหรอ" ฟาเรสบ่นทั้งที่หน้าแดงซ่านเพราะเขิน เขาหันกลับไปกอดตอบร่างสูงไว้แน่น แต่จู่ก็ถูกอีกคนอุ้มพาดบ่าก้าวยาว ๆ มาที่เตียงก่อนจะวางเขาลงแล้วคร่อมไว้ทั้งร่าง


      "แก่หรือเปล่ามาพิสูจน์กันไหม" ริมฝีปากหนายกยิ้มเจ้าเล่ห์ จ้องตาคนใต้ร่างอย่างสื่อความหมาย


      "หื่นตลอด" ฟาเรสยิ้มเขินพร้อมเอาแขนคล้องคอร่างสูงให้โน้มลงมารับจูบดูดดื่ม ทุกความรู้สึกความต้องการถูกถ่ายทอดให้แก่กัน มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วร่าง สูดดมกายหอมที่เขาชอบพลางกดจูบลงผิวเนียนอย่างหลงไหล เสียงหวานครางแผ่วมัวเมากับสัมผัสรู้ตัวอีกทีก็เหลืือแต่ตัวเปลือยเปล่า ลมหนาวที่พัดเข้ามากระทบผิวยิ่งทำให้เด็กหนุ่มเบียดกายเข้าหาไออุ่นจากอีกค น  "หนาวจัง"


      "เดี๋ยวก็อุ่นแล้วที่รัก" เสียงทุ้มแหบพร่า จัดการริมฝีปากสวยที่เผยอหอบตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว มือหรือบดขยี้ยอดอก ส่วนอีกมือปลุกรวบกำส่วนกลางของทั้งคู่แล้วขยับรูดจนคนใต้ล่างดิ้นพล่านด้วยความเสียวซ่าน คิเมร่าหนุ่มคำรามอย่างชอบใจ ผละจากริมฝีปากหวานจูบไล่ลงมาตามลำคอ แวะรังแกแผ่นอกบางที่แอ่นรับอย่างรู้ใจ ฟาเรสถึงกับเกร็งไปทั้งร่างยามที่ลิ้นรอ้อนลากผ่อนสะดือก่อนที่จะถูกจู่โจมกลางกาย จนครางไม่เป็นคำ ไหนจะนิ้วที่สอดเข้ามาในร่าง กระตุ้นความต้องการจนตั้งสติไม่อยู่

      "อ๊าาาา เว อย่าเพิ่ง" ฟาเรสร้องเสียงหลงพลางยึดไหล่หนาไว้แน่นในยามที่ร่างกายถูกลุกล้ำ 

      "ขอโทษนะ" เวลอร์ว่าพลางรั้งเรียวขาขึ้นพาดบ่า ดวงตาสีอำพันตรงหน้าที่ตอนนี้คงเต็มเปลี่ยมไปด้วยความต้องการและสัญชาติญาณที่ยากจะควบคุม จนต้องระบายด้วยการขบเม้มไปตามขาขาว จนเมื่อเด็กน้อยของเขาคล้อยตาม บทรักที่แท้จริงจึงได้เริ่มต้นขึ้น 

      "รัก อาาา รักนะ" เสียงหวานกระซิบบอก 

      "ฉันก็รักฟาร์เหมือนกัน" เวลอร์ยิ้มรับ กับคำบอกรักที่ใช่ว่าจะได้ยินบ่อยนักเพราะเด็กหนุ่มเขินอายเกินกว่าจะพูดออกมาง่าย ๆ ทุกสัมผัส ทุกถ้อยคำ ทุกความโหยหา และความรัก พวกเขามอบมันให้กันไม่รู้เบื่อ.

       ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต เวลอร์และฟาเรสก็เช่นกัน กับสิ่งที่เขากำลังเผชิญ ในสงครามอะไรก็เกิดขึ้นได้ พวกต่างก็มีสิ่งที่กังวลและหวาดกลัวอยู่ภายในใจ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งคู่ก็อยากจดจำทุกความสุขที่มีต่อกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


..........................

(http://upic.me/i/6h/15442131_1607164336260014_8846939000513365155_n.jpg) (http://upic.me/show/60019531)
แทนคำขอบคุณจากไรท์ค่ะ ไม่ได้วาดนานละ : จริง ๆ เราไฝ่ฝันอยากเขียน การ์ตูนวาย อ่านมันงะท่านอื่นแล้วคันมือ แต่ไม่รู้บ้านเราถูกกฏหมายไหมนะ (เดาว่าไม่)

- ตอนหน้าเราไปวอร์ ไปบู๊กันเถอะค่ะ เลยหวานบทนี้ให้ซักหน่อย เพราะเนื้อเรื่องจะเครียดขึ้นค่ะ :hao3:
- ไม่เกินสี่ถึงห้าตอนหน้าจะจบในเรื่องเมนหลัก แต่จะมีตอนพิเศษ เพิ่มเติมชีวิตของตัวละครอื่น ๆ หลังจากนี้ ต่อไปค่ะ :katai3:
- ข้อเสียยิ่งใหญ่ของเรื่องนี้ คือความต่อเนื่อง ต้องขอโทษจริง ๆ  :hao5:ค่ะ เพราะตอนเริ่มเเต่งเรื่องนี้คือเริ่มทำงานแล้ว มันไม่ชิวเหมือนตอนแต่ง Night Knight เพราะตอนนั้นเรียนอยู่...หนังสือยังพรีได้อยู่นะค่ะ อิอิ http://www.whybooksth.com/  
- ขอบคุณที่ยังติดตามแม้ไรท์จะเกเรไปบ้าง รักนะจุ๊บๆ  :mew1:

 
 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 24-12-2016 08:52:53
เย้ๆมาแย้ววว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-12-2016 15:23:26
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 24-12-2016 17:24:51
ตอนใหม่มาแล้วววว
กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว เพื่อความยาว
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 24-12-2016 17:27:08
ลุ้นนนน พี่เวจะออกศึกแล้ววว

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 24-12-2016 18:48:27
รอตอนบู๊
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-12-2016 18:57:49
 :katai2-1:แอบกลัวน้องฟาร์เอวหักจุง. ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อและรูปสวยงามเหมือนเคย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 24-12-2016 20:05:52
ดีใจที่คุณกลับมาาา :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-12-2016 20:12:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-12-2016 21:47:03
เร่าร้อนก่อนบู๊ค่าา
ชอบรูปที่คนเขียนวาดทุกรูปเลยยย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 14-01-2017 15:48:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: CHOKUN ที่ 24-01-2017 07:29:29
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 37 p.13 24/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 25-01-2017 17:39:57
 o13 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 38 p.13 11/2/2017
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 11-02-2017 01:51:05
บทที่ 38
[/b]


           "ฝ่าบาท บวกนั้นผ่านพรหมแดนสู่อินเวียโน่แล้ว" นายทหารคนสนิทนามลีม่ารายงาน "กระผมกำลังเตรียมกำลังคน ไปขัดขวางพวกมัน"

          "ไม่จำเป็น ให้พวกมันเข้ามา ที่นี่จะเป็นที่ฝังศพของพวกมัน เจ้าพวกนั้นคิดว่าเด็กคนเดียวจะทำลายทั้งหมดได้งั้นหรือ โง่เง่าสิ้นดี" ริคัทโต้กล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ พลางเท้ามือลงบนขอบระเบียง ดวงตาสีครามทอดมองไปเบื้องล่างที่บัดนี้เต็มไปด้วยเหล่าไวด์โซลที่เข้าแถวเป็นระเบียบสุดลูกหูลูกตา มันทุกตัวนิ่งสงบราวกับรูปปั้นหากแต่ยังมีชีวิต

           ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเรียนรู้และศึกษาพวกอันเดธเหล่านี้ และพบว่าพวกมันก็เหมือนสัตว์ เมื่อรวมตัวกันจะมีตัวที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นจ่าฝูงในกลุ่มนั้น  เขาเพียรพยายามหาวิธีควบคุมมันและก็เจอในที่สุด สัญญาเลือดที่ผูกพวกมันไว้กับเขาเอง ไม่ว่าพวกไวด์โซลจะอยู่ที่ใดในเอสทีเรียดเขาก็สามารถควบคุมมันได้ เชื่องพอที่จะใช้งาน แต่เมื่อสั่งให้สังหารมันก็จะล่าทุกอย่างที่ขวางหน้า 

           "วาเลเรียสมันต้องเสียใจ ที่วันนั้นปฏิเสธความหวังดีของฉัน" สาเหตุหนึ่งที่ริคัทโต้เริ่มแตกหักกับสหายรักก็คือเรื่องนี้ เขาพยายามหาวิธีใช้ประโยชน์จากอันเดธเหล่านี้แต่อีกฝ่ายกลับบอกให้เขาหยุดทุกอย่าง กษัติรย์ที่ดวงตามืดบอดเอาแต่จมอยู่กับแนวคิดเดิม ๆ มันไม่คู่ควรกับอาณาจักรนี้

           "แล้วฝ่าบาทจะทำอย่างไรกับ พวกนั้นโดยเฉพาะวาเลเรียส ก็รู้ว่าคิเมร่าสายเลือดราชวงศ์แข็งแกร่งแค่ไหน" ลีม่าที่ตามรับใช้ริคัทโตมาตั้งแต่ยังเด็กรู้ดีถึงความสามารถของอีกฝ่าย ครั้งที่แล้วเวลาเรียสพลาดท่าเพราะไม่ทันระวังตัว ครั้งนี้คงยาก

          "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันได้เตรียมคู่ต่อสู้ให้มันแล้ว"

          "เจ้าสิ่งนั้น ฝ่าบาทควบคุมมันได้แล้วหรือ"

            "หึ ฉันทำได้มากกว่านั้น" ลูกแก้วน้ำแข็งถูกสร้างขึ้นตรงหน้าจากสายพลังเวทย์ ก่อนที่มันจะฉายภาพในที่ต่างๆ ของเอสทีเรียด "อีกไม่นานวันที่ทุกอาณาจักรจะต้องกล้มหัวให้เราก็มาถึง เรามาเริ่มความสนุกนี้กันเถอะ"

..............................

 
          "กรี๊ดดดด" เสียงกรีดร้องของผู้คนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของนอธเทิร์นเรียมดังระงม คลอไปด้วยเสียงคำรามของปีศาจร้าย ในคืนที่แสนสงบหมู่บ้านถูกฝูงไวด์โซล์เข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว บ้างบาดเจ็บสาหัส บ้างสิ้นใจอยู่ตรงนั้น บ้านเรือนหลายหลังจมอยู่ในกองเพลิง กองกำลังคุ้มกันเพียงหยิบมือจากเอแวนการ์ดไม่สามารถคุ้มกันคนทั้งหมดได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือต้องหนี 

          "รายงายไปที่ส่วนกลาง" หนึ่งในหน่วยพิทักษ์ประจำเขตบอกเพื่อนที่กระโดดขึ้นม้าหมายจะไปแจ้งข่าว หากแต่อาชาสี่ขาไม่ทันก้าวพ้นเขต ขาของมันก็ถูกฟันขาดสะบั้นด้วยคมดาบของพวกไวด์โซล

           "พวกเราต้านมันไว้ พาพวกผู้หญิงกับเด็กออกไปจากหมู่บ้านซะ" หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างร้อนรน

            "ไม่ได้ พวกมันล้อมเราไว้แล้ว"

             "อะไรนะ บ้าเอ้ย!!"

 
             ไกลออกไปในเคลวิช ไวท์ออชาร์ด เดสเซ็นท์ และเรดิเอนซี่รอบนอกก็เจอสภาพไม่ต่างกัน มีคนตายจำนวนมาก หลายหมู่บ้านพังพินาศ หลายคนไร้ที่อยู่อาศัยสร้างความโกลลาหลขึ้นทั่วเอสทีเรียดทำให้ทั้งห้าอาณาจักรต้องเข้าหารือกันอย่างเร่งด่วน

            "ท่านยิ้มอะไรอลูคัส" ราชินีเรเวนเนียกล่าวอย่างเดือดดาน

             "ทีนี้เชื่อที่เอเบรียนบอกได้หรือยัง ยังต้องเอาชีวิตคนทั้งแผ่นดินเป็นบทพิสูจน์อีกไหม"

             "หึ มันเป็นสงครามระหว่างไอ้เอลฟ์บ้าอำนาจนั่น กับพวกคิเมร่าเฮงซวย ทำพวกเราเดือดร้อนหมด" เธอว่าอย่างไม่ยอมแพ้

             "เรเวนเนีย ท่านเป็นถึงผู้ปกครองสูงสุดใย คำพูดถึงเต็มไปด้วยอัคติเช่นนี้ จริงอยู่ต้นราชวงศ์ของท่านถูกขับจากที่นั่น ไม่เห็นต้องจงเกลียดจงชังพวกเขานักเลย"กษัตริย์ดาเวนเอ่ยปราม

             "ข้าไม่ได้อคติ"

              "พอเถอะ ไม่ใช่เวลาจะมาเถียงกัน หากสิ่งที่เอเบรียนกล่าวเป็นจริง ริคัทโต้มีเป้าหมายคือทั้งเอสทีเรียด ต่อให้ไม่มีพวกกษัตริย์เวลาเรียสเราก็ถูกโจมตีอยู่ดี ท่านมีแผนอย่างไรกับเรื่องนี้ท่านแม่ทัพ"

           "เราจะรวมประชาชนเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ รวมกำลังป้องกันอยู่ที่เดียวย่อมดีกว่า การกระจายกำลังไปยิ่งทำให้เราเสียเปรียบ" ผู้บัญชาการสูงสุดเอ่ยเสียงเครียด "นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้"

           "อลูคัส ท่านดูจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วท่านมีความเห็นอย่างไร"  ริชาร์ดแห่งเคลวิชขอความเห็นเจ้าแห่งเมืองทะเลทราย เขาได้ยินมาว่าเรดิเอนซี่ได้รับความเสียหายน้อยสุดเพราะตั้งแต่วันที่เอเบรียนขึ้นศาล ก็ได้วางแผนรับมือและวางกองกำลังไว้อย่างแน่นหนา

           "แอกนัส โอรสคนโตของเราได้นำกำลังส่วนหนึ่งเดินทางไปอินเวียโนแล้ว ริคัทโต้สะสมกำลังมาเป็นสิบปี คงมีไวด์โซลในควบคุมเป็นจำนวนมาก ลำพังกองทัพของชาวอินเวียโนที่กำลังเดินทางไปที่นั่นอาจจะไม่พอรับมือ"

           "หมายความว่าท่านติดต่อเจ้ากษัติรย์คิเมร่านั่นมาตลอดงั้นหรือ" เรเวนเนียคาดคั้น

           "ใช่ ก็เขาเป็นสหายของเรา และอีกอย่างโอรสคนเล็กของเราก็อยู่ในทัพของชาวอินเวียโนเหล่านั้นเราย่อมต้องช่วยเหลือลูกเราเป็นธรรมดา" ในเวลานี้คงไม่มีใครคลางแคงใจเรื่องเหล่านี้นัก "สิ่งที่เรารู้มา ไวด์โซลเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยอำนาจของริคัทโต้ หยุดเจ้านั่นได้ก็หยุดพวกอันเดธเหล่านี้ได้ คงต้องพึ่งกำลังจากเอแวนการ์ดแล้วละ"

           "แต่เราจะเดินทานไปอินเวียโนได้อย่างไร แล้วใช้เวลากี่วัน ถึงตอนนั้นจะยังทันเวลาอยู่ไหมฝ่าบาท" ผู้ว่าแห่งเดสเซนท์ถาม เขาเห็นด้วยกับอลูคัส ตั้งแต่พวกนั้นหนีจากอนิมาไปก็ไม่รู้เลยว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนนั้นเป็นเช่นไร

            "แล้วทำไมท่านไม่ใช้เรือบินของเอแวนการ์ดเล่า เรือบินรบที่พวกท่านทุ่มทุนมหาศาลสร้างมันมา ลำพังเรือเหล่านั้นก็สามารถขนส่งกองกำลังได้ไม่น้อย"  ริชาร์ดแห่งเคลวิชเสนอ

           "แต่ ระบบอาวุธภายในยังไม่สมบูรณ์ดีเลยนะฝ่าบาท" แม่ทัพใหญ่แย้ง

           "แต่พวกท่านสร้างมาใช้ในยามฉุกเฉินไม่ใช่หรือ ไหนจะนายทหารมากมายที่ท่านฝึกฝนมา ไม่ใช้ตอนนี้จะใช้ตอนไหน"
 
            "งั้นขอเวลาเตรียมพร้อม กองกำลังของเอแวนการ์ดจะออกเดินทางก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ พวกพระองค์โปรดวางใจ" ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งเอแวนการ์ดรับคำ

          "ได้ ฉันอยู่ใกล้จะแบ่งกำลังพลเดินเท้าเข้าไปในอินเวียโนล่วงหน้าไปก่อน" ราชินีเอลฟ์บอก 

           "ทางเราจะส่งคนนำทางไปพบท่านก่อนรุ่งสาง ตกลงตามนั้น" กษัตริย์อลูคัสกล่าวสรุปก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
 

...................................


            "ถึงฉันจะถึก แต่ก็เกิดในทะเลทรายนะโว้ย" โอซี่บ่นอากาศเย็นมันก็ดีอยู่หรอกแต่ไม่ใช่เย็นเข้ากระดูกขนาดนี้ เขากระชับเสื้อขนสัตว์ ลำแขนแกร่งกอดเจ้าเหมี๋ยวที่ซุกอยู่ในเสื้อให้แน่นขึ้น ให้ลูนอยู่ในร่างนี้เดินทางสะดวกกว่า เจ้าเหมียวโผล่หน้าออกมาดูทางเป็นระยะ
             เขาและลูนแยกกับพวกเวลอร์ทันทีที่เข้าเขตอินเวียโน แล้วเดินทางขึ้นเหนือตามแผนที่ที่เวลอร์ให้ไว้ กับเส้นทางที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและป่าสนหาจุดสังเกตุแทบไม่ได้ หากมาคนเดียวเขาต้องหลงแน่ ๆ โชคดีที่มีลูนช่วยนำทาง

            -โอซี่เห็นแนวเขาข้างหน้าไหม ตรงไปทางนั้นเลย- เสียงของลูนดังขึ้นในหัว ดวงตาสีรัตติกาลมองเทือกเขาเบื้องหน้าที่ตอนนี้ฉาบไปด้วยแสงสีแดงอมส้มของอาทิตย์ที่กำลังจะตก อีกไม่นานคงต้องหาที่พักแรม ตอนกลางคืนอากาศจะหนาวเย็นยิ่งกว่านี้

            "คิดว่าเราจะไปถึงนั่นก่อนค่ำไหม" ครึ่งออคหนุ่มถามพลางเร่งฝีเท้า 

            -ลูนก็ไม่แน่ใจ โอซี่เหนื่อยไหม ลูนหนักหรือเปล่า- คำถามที่ได้รับเรียกรอยยิ้มจากคนตัวโต เจ้าแมวน้อยเอาแต่ถามแบบนี้ตลอดทาง บางครั้งก็ขอลงเดินเอง แต่พอเห็นหิมะขาว ๆ ที่ปกคลุมบนพื้นเขาก็ไม่อยากให้คนรักลงมาเยียบมันซักเท่าไหร่
"เสบียงที่หลังฉันหนักกว่าตัวลูนตั้งเยอะ"

           โอซี่และลูนมาถึงตีนเขาช่วงค่ำพอดี ทั้งคู่เลือกพักอยู่ตรงแนวป่าสนรอบนอก เพราะติดเขาเกินไปอาจเสี่ยงต่อหิมะถล่ม ดวงตาสีม่วงมองตามคนรักที่หักเอาต้นสนรอบๆ พวกออคที่แรงเยอะจริง เผลอ ๆ อาจมากกว่าคิเมร่าด้วยซ้ำ ซุ้มขนาดใหญ่พอให้คนตัวโตอยู่ได้้ถึงสองคนคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ที่พกมาด้วย กลายเป็นเต้นชั่วคราว โอซี่เคยทำมันสมัยยังเดินทางเร่ร่อนอยู่กับแม่
 
           "เอ้าเสร็จแล้ว มาเร็ว" ครึ่งออคเรียก เจ้าแมวน้อยรีบวิ่งเข้าไปในซุ้มที่ทำไว้ ร่างสูงก่อกองไฟไว้ให้ความอบอุ่นภายในเต้นชั่วคราวที่สร้างขึ้น ทันทีที่แมวดำคืนร่างเป็นเด็กหนุ่ม ร่างสูงก็ไม่รีรอที่จะถึงเข้ามากอดพร้อมจูบริมฝีปากนิ่มให้หนำใจ

            "พอแล้วววว" ลูนห้ามพลางดันหน้าอีกคนไว้ ก่อนจะกันไปรื้อเอาอาหารที่พกมาไปอุ่นไฟ "กินมะ ลูนป้อน"

            "กินลูนแทนได้ไหม"

            "ไม่ได้" ว่าแล้วก็เอาขหนมปังที่อุ่นไฟแล้วยัดปากคนหื่นทันที
 
            "ลูนอยู่กับลอเรนมาตั้งแต่เกิดเลยหรอ" โอซี่เอ่ยถามท่ามกลางความเงียบระหว่างที่นอนกอดกันอยู่แบบนั้น

            "ก็ประมาณนั้น จริงๆ พ่อแม่ลูนเป็นพวกสมิง แต่ลูนดันเกิดมาเป็นแมวซะงั้น" ลูนว่าพลางซุกหน้ากับอกแกร่ง "ซึ่งเขาบอกว่าลูนจะมีพลังพิเศษ เลยยกลูนให้พวกนักพยาการณ์" เขาเองก็ไม่ได้เศร้าอะไรเพราะพ่อแม่ก็หมั่นมาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้ง

            "แล้วเห็นอนาคตได้เลยหรือ"

           "ไม่หรอก แค่มีลางบอกเหตุ มันจะเป็นความรู้สึกแบบน่าจะใช่ เหมือนที่นำทางโอซี่ ดูจากแผนที่แล้วสัญชาติญาณก็ช่วยบอกว่าไปทางไหน แต่ก็มีบ้างที่ฝันถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด" คิเมร่าน้อยเล่า พลันนึกถึงความฝันที่เพิ่งผ่านมาของตัวเองแล้วเงียบไป
"เป็นอะไรไปลูน" โอซี่ถามเมื่อจู่ ๆ อีกคนก็นิ่งไป

          "ที่จริง ตอนเดินทางมาที่นี่ลูนก็ฝัน"ภาพฝันที่ผ่าน ในสุสานงดงามและแสนสงบ พวกเขาทุกคนต่างยืนล้อมหลุมศพของใครคนหนึ่ง ชื่อบนนั้นเลือนลางจนไม่สามารอาจได้ แต่ลางสังหรบอกให้รู้ว่าต้องเป็นหนึ่งในพวกเขาแน่นอน

          "ฝันว่า"

         "จะมีพวกเราคนหนึ่งไม่ได้กลับไป...ละ ลูน กลัวนะ กลัวว่าใครคนนั้นจะเป็นโอซี่"

         "คิดมากนะ ลูนก็เคยพูดเองนี่ ว่านิมิตพวกนี้บางทีก็ไม่เป็นจริง"

         "นั่นสินะ ลูนอาจจะคิดมากจนเก็บไปฝันก็ได้"

         "นอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางต่อแต่เช้า"



 
         "เห้อใครมันเป็นคนต้นคิดให้สุสานมันลึกลับซับซ้อนขนาดนี้วะ" โอซี่บ่นพลางเดินไปตามหุบเข้าน้ำแข็ง

         "สถาปนิกในสมัยของกษัตริย์คอเนเลียส เป็นคนออกแบบที่นี่ อืมน่าจะหลายร้อยปีแล้วละ คนออกแบบที่นี่คงตายไปแล้วละ" ลูนที่เดินอยู่ข้างกันตอบ ตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในร่างมนุษย์ซึ่งได้เสื้อขนสัตว์ของโอซี่ห่มร่างไว้แต่คิเมร่าหนุ่มดูจะไม่สะทกสะท้านกับความหนาวเท่าใดนัก

        "อืม นึกว่ายัง จะได้ตามไปเชือด"

         "โอซี่ดุจัง"

           ทั้งคู่เดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง จนไปถึงหน้าบานประตูเหล็กประดับคริสตัลขนาดยักษ์ ทันทีที่ก้าวเข้าใกล้คบทั้งสองข้างของบ้านประตูก็ลุกพรึบ ดวงตาสีม่วงสำรวจบ้านประตูลายวิจิตรตรงหน้าที่เต็มไปด้วยอักขระเรืองแสงซึ่งมีเพียงลูนที่มองเห็น
 
             "แสงแห่งการเกิดใหม่จะเปิดทางไปสู่โลกหน้า" ลูนอ่านออกมาให้โอซี่ได้ยินด้วย

           "แสงแห่งการเกิดใหม่ แสงอาทิตย์ไง" เจ้าชายครึ่งออคคิดพลางเงยหน้ามองฟ้า ที่นี่มีฟน้าผาสูงขนาบข้าง ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะส่องถึงบานประตูนี้ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง พระอาทิตย์อยู่ด้านหลังประตู "งั้นก็ต้องเป็นเวลาช่วงสายสินะ เราต้องรอถึงวันพรุ่งรี้เลยหรอ"

            "โอซี่ ๆ หุ่นการ์เดียนมา" เจ้าแมวร้องเรียกคนตัวโตเสียงตื่น เมื่อบานประตูตรงหน้าค่อย ๆ ปรากฏร่างใหญ่ยักษ์สองร่างกำลังก้าวออกมา

             "ก็ว่าอยู่ ว่าคงไม่ได้เข้าไปง่าย ๆ" ไม่แปลกใจที่เวลอร์เลือกเขามาทำงานนี้เพราะต้องมาบวกกับเจ้าพวกนี้นี่เอง "แต่ยังไงก็ขอชมไอ้คนสร้างที่นี่มันช่างคิดจริง ๆ" หุ่นเหล็กสองตัวยืนอยู่ตรงหน้า ทุกชิ้นส่วนของมันถูกเชื่อมต่อด้วยสายฟ้า และดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงเรืองรอง พร้อมทวนและโล่ในมือ

            "เอาไงดี"

           "ลูนหลบไปก่อนนะ"

            "แต่"

            "ไม่แต่นะครับ ที่รักไปยืนเป็นกำลังใจก็พอแล้ว" ลูนที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องใช้กำลังจึงจำใจหลบฉากออกไป

             "เอาละ มาเล่นกัน" ว่าแล้วก็สร้างขวานขึ้นจากพื้นดินที่ยืนอยู่มาถือบนมือทั้งสองด้านน ก่อนจะพุ่งเข้าหาหุ่นสองตัวอย่างไม่ลังเล

            โครมมม เคร้งง!!!! โล่ในมือของหุ่นตัวหนึ่งถูกปัดกระเด็นออกจากมือ ก่อนที่โอซี่จะฟันหัวมันจนขาดสะบั้น ก่อนจะหันไปรับเมือกับอีกตัวที่จู่โจมเข้ามา เขายกขวานขึ้นกันได้ทันก่อนที่คมทวนจะฟาดลงบนหน้า ก่อนจะปัดมันจนหลุดจากมือของการ์เดียนตนนั้นแล้วฟันมันจนขาดครึ่งท่อน

             "ไงฉันเก่งไหม" ว่าแล้วคนตัวโตก็หันไปยิ้มร่าให้ลูนทันที 

            "เอ่อ ก็เก่งแต่ว่า" นิ้วเรียวชี้ไปที่ด้านหลังของเขา พอหันมองก็เห็นว่า หุ่นเหล็กพวกนั้นกลับมารวมร่างเดิมอีกรอบ
"เฮ้อออ อะไรกันวะเนี่ย" โอซี่บ่นก่อนจะเตรียมตัวรับมือกับการ์เดียนทั้งสองตัวที่พุ่งเข้ามาจู่โจม เขาไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าพวกมันว่องไวขึ้น

            ลูนมองตามคนรักที่เริ่มจะตึงมือ เจ้าพวกนี้ฆ่าไม่ตายน่าจะถูกควบคุมด้วยอะไรซักอย่าง ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่วบริเวณรอบ ๆ ประตูนั้น จนไปสะดุดอยู่เหนือซุ้มประตูก็พบกับลูกแก้มทรงกลมที่สะดุดตา คิเมร่าหนุ่มกลายร่างเป็นแมวดำได้ไปตามชะง้อนหินที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ต้องขอบคุณอุ้งเล็กคมที่ไม่ทำให้ลื่นถไลลงไปด้านล่าง ปีนมาเรื่อย ๆ จนถึงบนซุ้มประตู จึงรีบเดินไปยังลูกแก้วลูกนั้นพบว่าภายในมันเต็มไปด้วยฟันเฟืองต่าง ๆ จึงออกแรง ผลักมันออกจากฐานจนล่วงลงไป

            เพล้ง !!! ทั้นทีที่ลูกแก้วนั้นหล่นลงพื้น หุ่นเหล็กสองตัวก็หยุดทำงานก่อนชิ้นส่วนต่าง ๆ จะหล่นกระจายเต็มพื้นเบื้องหน้าของโอซี่ที่ตอนนี้สะบักสะบอมพอตัว   (กรุณานึกถึงภาพเเมวปัดแก้วลงจากชั้น 555+)
 
             "ลูน" โอซี่มองตามตำแหน่งของลูกแก้วที่หล่นลงมาก่อนจะเอื้อมมือไปรับเจ้าตีวเล็กที่กระโดดลงมา ก่อนคืนร่างเป็นเด็กหนุ่มดังเดิม

              "เอาละทีนี้ คงต้องรอแสงอาทิตย์ตอนสาย ๆ ของพรุ่งนี้" ลูนว่าพลางเอาเสื้อขนสัตว์คลุมตัว

              "เราไม่มีเวลาขนาดนั้นนะสิ" ตอนนี้พวกเวลอร์น่าจะไปได้ขึ้นทางแล้ว เขาต้องกลับไปสมทบให้ทันก่อนที่พวกนั้นจะบุกเข้าไปในเมืองจริง ๆ

              "แล้วโอซี่จะเปิดยังไง"

              "ก็ใช้วิธีบ้าน ๆ งัดแม่งเลย"
 
               "ฮะ!!!" เจ้าเหมียวตาโตประตูบานใหญ่ขนาดนี้ ร่างสูงยิ้มขำก่อนจะก้าวไปตรงหน้า สองมือกำที่จับประตูแน่นก่อนจะออกแรงเปิดมัน ประตูเหล็กประดับคริสตัลบานยักษ์ ค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ เสียงกลไกลในบางประตูดังลั่นก่อนจะตามมาด้วยเสียงหักของโลหะภายในแล้วมันก็เปิดผ่างออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นโถงกว้าง ภายในประกอบด้วยโลงหินแกะสลักขนาดใหญ่หลายโลง

               "เอาละได้เวลาปลุกพวกคนแก่ขี้เซากันแล้ว"
 

...................................................


ปล. พี่โอซี่เป็นคนไม่เครียดเนอะ  :katai2-1:
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 38 p.13 11/2/2017
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 11-02-2017 08:09:06
 โอซี่บ้าพลังมาก 555555555
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 38 p.13 11/2/2017
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-02-2017 08:33:42
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 38 p.13 11/2/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-02-2017 10:33:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 38 p.13 11/2/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-02-2017 10:50:57
ใครจะไม่ได้กลับไปง่าาา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 38 p.13 11/2/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-02-2017 11:19:32
แอบหวั่นใจเล็กๆว่าใครจะต้องมีการสูญเสีย
หัวข้อ: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 07-03-2017 16:12:05
บทที่ 39
[/b]


       เนิ่นนานที่เวลอร์ไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด  รอยแยกของมิติขนาดใหญ่บนท้องฟ้าเหนืออินเวียโนทำให้เมืองที่เคยงดงามดุจสรวงสวรรค์มืดดำไม่ต่างจากดินเดนแห่งความตาย กลิ่นสาปของเหล่าอันเดธรับรู้ได้แม้อยู่ไกลบนเนินเขาข้างนอกเมือง
 
        "ดูสิ่งที่เจ้านั่นทำกับบ้านเราสิ" เดปเอ่ยอย่างเจ็บแค้น ริคัทโต้เคยเป็นคนที่เขาเคารพ ไม่นึกเลยว่าคนคนนี้จะแอบซ่อนความชั่วร้ายไว้ในใจ

          เสียงฝีเท้าของสัตว์มุ่งตรงมาที่พวกเขา เสือโคร่งตัวใหญ่หยุดอยู่ตรงหน้าก่อนที่มันจะคืนร่างเป็นคน คิเมร่าตนนี้อาสาเข้าไปสอดแนมใกล้ ๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะบุกเข้าไป 

          "เป็นยังไงบ้าง พวกมันมีประมาณเท่าไร" เวลอร์เอ่ยถาม

          "พวกมันมีเยอะกว่าพวกเรามาก เท่าที่กระผมประมาณการคงหลักหมื่น" สิ้นคำตอบนำเสียงฮือฮาให้ดังขึ้น

           "จะเอาไง" ไมเรคเอ่ยถามพลางครุ่นคิด แม้ศักยภาพในการต่อสู้ที่วัดกันต่อหน่วย พวกเขาแข็งแกร่งกว่าอันเดธเหล่านั้นมาก แต่ด้วยจำนวนที่ต่างมันก็ดูเสี่ยงอยู่ดี 

          "ครั้งหนึ่งเราเคยพลาดจึงไม่อยากดึงดันทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบ เราให้พวกท่านเลือก ว่าจะถอยหรือไปต่อ"
 
          "เรามากันถึงขนาดนี้แล้วจะให้กลับก็เสียดาย"

          "ใช่ ถึงเราไม่บุกเข้าไปแล้วถอยกลับ ริคัทโต้ก็ต้องตามล่าเราอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว"

          "ถ้าเราถอยกลับตอนนี้ที่ฝึกกันมาก็เสียเปล่า"

          "ฉันเห็นด้วย"

          "ฉันก็ว่างั้น" ก่อนที่คนอื่น ๆ จะเริ่มออกความเห็นตามมาซึ่งทั้งหมดก็เลือกที่จะสู้ต่อ

          "งั้นสรุปแบบนี้ เป้าหมายของเราคือปิดรอยแยกที่อยู่บนฟ้านั่น ซึ่งฟาเรสต้องใช้พลังมหาศาลในการปิดมัน จำเป็นต้องมีสื่อกลางนั่นก็คือคริสตัลที่อยู่ใจกลางปราสาทในเขตพระราชวัง เราต้องยึดพระราชวังให้ได้"เวลอร์อธิบาย พลางมองไปยังคริสตัลขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดของหอคอยสูงเฉียดฟ้าตรงหน้า
          "เราจะบุกเข้าไปพร้อมกัน จับกลุ่มกันไว้ห้ามแตกกลุ่มเพราะมันจะทำให้เราเสียเปรียบ ถ้ายึดข้างในได้เราจะทำการป้องกันจากภายใน ส่วนริคัทโต้และพวกฟอสโก้ทุกคนจับตายถ้าจำเป็น"

            "ท่านเวลอร์เราได้ยินมาว่ามีชาวเมืองบางคนถูกจับเป็นทาส ขังไว้ที่นั่น" เดปรายงาน

            "เราจะแบ่งส่วนหนึ่งตามหาและปล่อยพวกเขา ทุกคนเตรียมตัว คิเมร่าคนไหนมีร่างเป็นสัตว์ใหญ่ให้จับคู่กับที่ที่กลายร่างไม่ได้ ให้พวกที่มีผิวเกราะอยู่ชั้นนอก คนด้านในโจมตีเสริมไปรอบด้าน หากพร้อมแล้วเราจะเข้าไปที่นั่นพร้อมกัน" สิ้นคำทุกคนในทัพต่างหาตำแหน่งยืนของตัวเอง บางคนกลายร่างเป็นสัตว์ บางคนขึ้นขี่หลังคิเมร่าที่อยู่ใกล้พร้อมนัดแนะกัน

            ฟาเรสมองภาพกองทัพไวโซลที่ไกลออกไปก่อนหันกลับมองหน้าคนรัก ดวงตาสีครามสั่นไหวเต็มไปด้วยความประหม่าและหวาดกลัว  เวลอร์รวบเอวบางมากอดไว้พลางลูบหลังเบา ๆ 

            "ไม่ต้องกลัว ฉันจะไม่ยอมให้ใครถึงตัวนายเลยฟาร์"

            "แล้ว รอยแยกนั่น ฉันคงปิดมันด้วยตัวคนเดียวไม่ไหวแน่" ครึ่งเอลฟ์รับรู้ได้ถึงเสียงที่สั่นของตัวเอง ไอ้พลังบ้าบอที่เขามีคือต้นเหตุของทุกอย่าง ทำไมนะทำไมเขาไม่เกิดเป็นคนธรรมดา

           "ฉันรู้ ๆ อีกไม่นานโอซี่จะกลับมาพร้อมคนที่ช่วยได้ สิ่งที่ฟาร์ต้องทำ คือทำให้ดีที่สุด แต่ถ้ารู้สึกไม่ไหวก็ให้หยุด ถึงชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ชีวิตของฟาร์นั้นสำคัญที่สุดสำหรับฉันรู้ไหม" คิเมร่าหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม "สร้อยฟา ถอดมาให้ฉันหน่อย"

            "อะนี่" ฟาเรสถอดสร้อยทับทิมก่อนใส่ให้คนตรงหน้าแทน "เอาไปทำไม"
 
            "ฉันจะคืนร่างส่วนฟาร์ขี่หลังฉันไปนะ ถ้าฉันไม่สั่งห้ามลงจากหลังฉันเด็ดขาด พยายามอย่าใช้พลังพร่ำเพื่อ เข้าใจไหม"
"อื้อ" เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ

           เวลอร์ถอยห่างไปหลายก้าวก่อนจะคืนร่างเป็นคิเมร่า สร้อยทับทิมกลายเป็นปลอกคอทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีลายดวงอาทิตย์ตรงกึ่งกลาง สร้อยของแม่นี่่มันวิเศษจริง ๆ  ร่างใหญ่นั้นหมอบลงตรงหน้า ฟาเรสจึงจับแผงคอหนาปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคอ ก่อนจะรับเอาหน้าไม้ที่มีคนยื่นให้พร้อมกระบอกใส่ลูกมาสะพาย

            "เฮ้ย!!!" ฟาเรสร้องลั่นเมื่อ ๆ จู่เวลอร์ก็ลุกขึ้น ดีนะคว้าปลอกคอไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป "เวอย่าแกล้งสิ"

             -หึ ๆ- เสียงหัวเราะถูกใจดังขึ้นในหัว 

              "ทุกคนพร้อมนะ" เรน่าที่อยู่บนหลังเดปตระโกนถาม ได้ยินเสียงตอบรับและเสียงคำรามตามมาก่อนที่ทุกชีวิตจะมุ่งหน้าเข้าสู้อินเวียโน่อย่างพร้อมเพรียง

             เหล่าไวด์โซลต่างโถมเข้ามายังพวกเขา ฟาเรสมองไปรอบกายอย่างลุ้นระทึกเขาไม่เคยเห็นพวกมันอยู่รวมกันมากมายขนาดนี้ บางตัวใส่เสื้อเกราะและมีอาวุธครบมือ บางตัวเปลือยเป่าใช้กงเล็บและคมเขี้ยวเป็นอาวุธ ดูยังไงคนธรรมดาคงยากจะต่อกรกับมัน เสียงคำรามกรีดร้องของอันเดธดังระงม ร่างของมันหลายตัวกระเด็นไกลไปในอากาศในการสะบัดหางเพียงครั้งเดียวของโฮเซีย งูยักษ์สีดำเลื้อยเบิกทางนำทัพไปตรงหน้า ตามด้วยเหล่าคิเมร่าหลากสายพันธ์ที่คอยกัดขย้ำพวกมันเป็นชิ้นๆ
 
            "ตอนนี้พวกมันคงอาละวาดไปทั่วเอสทีเรียด ถ้าเราไม่รีบหยุดมัน หายนะแน่" ไมเรคที่อยู่บนหลังหมีดำตระโกนบอก พลางยิงลูกดอกเวทย์ปักหัวไวด์โซลหลายตัวตรงหน้า

         "เข้าไปในปราสาทให้ได้ก่อนไหม"ฟาเรสตอบโดยที่มือยังไม่หยุดยิงเช่นกัน

            กรรร!!!  เสียงคำรามกึกก้องไปทั่วฟ้าก่อนจะปรากฏร่างมังกรสีดำทมิฬบินทยานขึ้นเหนทอสนามรบ ปากใหญ่อ้ากว้างโชวคมเขี้ยวก่อนจะพ่นไฟลงมาที่พวกเขา หากแต่ไฟนั่นกลับดูดับลงไปเพราะบาเรียน้ำแข็งที่เวลอร์สร้างขึ้น 

             -ฟาร์ ไปกับมอแกน- สิ้นเสียงของเวลอร์ที่ดังขึ้นในหัวก็ถูกมอร์แกนในร่างเหยี่ยวโฉบขึ้นจากหลังคนรัก 

              เมื่อมั่นใจว่าฟาเรสพ้นทางเวลอร์ก็พุ่งทะยานใส่เจ้ามังกรยักษ์ทันที กรงเล็บคมเฉียดหน้ามันไปเพียงคืบก่อนที่เขาจำต้องหลบหางที่ปกคุมไปดด้วยหนามของมันที่ฟาดลงมาทำให้เสียจังหวะในการบินไปบ้างแต่ยังคงเดินหน้าโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งเขี้ยวทั้งเล็บไม่เว้นแม้กระทั้งพลังเวทย์เกิดเป็นแสงสว่างวาบในทุกครั้งที่โจมตี เสียงคำรามเสียงประทะกัมปนาทราวกับเสียงสายฟ้าในยามเมฆฝนมาเยือน



 
          "เหอะ กว่ามันจะมาถึงฉันละกลัวจะเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ" ริคัทโต้กล่าวเย้ยหยันพลางทอดมองสงครามตรงหน้าด้วยความลำพองใจ หากแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้ากลับหุบลงเมื่อบนฟ้าปรากฏเรือบินขนาดของเอแวนการ์ดสองลำกำลังมุ่งเข้ามา กำลังพลนับพันโรยตัวลงมาสู่เบื้องล่างเข้าประทะกับพวกไวด์โซล ก่อนจะตามมาด้วยทัพของเหล่่าออคที่ตีเข้ามาจากทางด้านใต้้ ของเมือง

           "ฝ่าบาท ทำจะทำยังไงกันดี"
 
          "ฉันไม่ยอมหรอกน่าา" ดวงตาสีครามกราดเกรียว เอลฟ์หนุ่มวาดมือขึ้นบนฟ้า รอยแยกดำทะมึนหมุนวนอันเดธนับพันตนล่วงหล่นลงมา

          "พอเถอะ หากฝืนใช้พลังมากกว่านี้จะแย่เอานะ" นายทหารคนสนิทปราม

          "เจ้าอย่ามายุ่ง" ริคัทโต้ตอบกลับ คนอื่น ๆ จึงได้แต่ยืนมองด้วยความเห็นห่วง


 
            เหล่าไวด์โซลถึงแม้จะมีมากแต่ก็มีเพียงพละกำลังและสัญชาติญาณเป็นตัวนำทาง ไม่อาจต้านทานต่อเหล่าทหารหาญที่ถูกฝึกมาอย่างดีีและในไม่ช้าพวกเวลอร์ก็สามารถพังกำแพงรอบปราสาทแห่งอินเวียโนได้สำเร็จ ภายในมีพวกฟอสโก้รอต้อนรับพร้อมอาวุธครบมือ ด้วยพื้นที่ที่แคบลงหลายคนจึงกลับสู่ร่างมนุษย์คว้าเอาอาวุธใกล้มือมาใช้ 

             "ทางนี้ท่านฟาเรส" เรน่าวิ่งทำไปจนถึงบันไดวนที่พาไปสู่ยอดหอคอย คนของฟอสโก้ที่วิ่งตามมาถูกกันไว้ข้างหลัง 
ดวงตาสีครามมองบันไดวนที่สูงขึ้นไปจนลับตาพลางถอนใจก่อนจะวิ่งขึ้นไปตามทาง ความกดดันเพิ่มขึ้นในทุกขั้นที่ก้าวขึ้นไป เจ้าริคัทโต้คงรออยู่บนนั้น ฟาเรสทั้งอยากและไม่อยากเผชิญหน้ากับมันในเวลาเดียวกัน เพราะใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจก็อยากจะเอาคืนทุกสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทั้งพ่อ แม่(เลี้ยง) ออรี่และออร่า ชีวิตที่สงบสุขที่ถูกพรากไป ต่อใหเจ้านั่นตายก็ไม่รู้จะเพียงพอความคับแค้นของเขาหรือเปล่า

             "ไงไอ้หลานรัก" ริคัทโต้เอ่ยต้อนรับเสียงระรื่น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นฟาเรสจริง ๆ ไม่ใช่ในนิมิตรหรือภาพถ่าย เจ้าเด็กนี่เหมือนตัวเขาเมื่อยังเยาว์ไม่มีผิด ทั้งสีผมสีตาและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น 

          "หึ ฉันไม่ใช่ญาติแก แค่คิดว่ามีสายเลือดเดียวกับปิศาจแบบแกก็รับไม่ได้แล้ว" ฟาเรสเถียง พลางมองเอลฟ์ตรงหน้าอย่างเคียดแค้น 

            ด้านหลังของริคัทโต้คือคริสตัลบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ซึ่งกำลังหมุนวนอยุ่บนแท่นศิลา รอบๆ นั้นเต็มไปด้วยลูกสมุนที่พร้อมจะโจมตีในทุกเมื่อที่ถูกสั่ง

           "ปากดีจริง ๆ เหมือนแม่แกไม่มีผิด ไอ้น้องไม่รักดีนั่น เห็นผัวดีกว่าพี่"
 
            "ก็พี่มันเลวใครมันจะไปเห็นด้วยวะ" ฟาเรสตะโกนลั่น แต่ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย ร่างของคิเมร่าก็บินโฉบลงมาขวางไว้ทันทีแล้วร่างนั้นก็ค่อย ๆ กลับกลายเป็นมนุษย์

             "อย่าลืมหน้าที่ตัวเองฟาร์" เวลอร์เอ่ยเตือน ร่างเปลือยเปล่านั่นค่อยๆ ปรากฏเกราะน้ำแข็งพร้อมดาบใหญ่ในมือ

          "แต่..."

         "จัดการรอยแยกนั่นซะ ส่วนเจ้าบ้านี่ฉันจัดการเอง" 

             "ชิ..."
 
            "เอาละมาทำให้เรื่องมันจบ ๆ ไปเสียที"

            "ไม่ได้เล่นกับแกนานแล้วสินะ" ริคัทโต้ยิ้มสนุก พลางสร้างดาบสีดำมาถือไว้สองมือ "โคตรคิดถึงแกเลยวะเพื่อน"
แล้วทั้งคู่ก็เปิดฉากประทะกัน ทุกการฌจมตีเป็นไปอย่างว่องไวจนคนรอบข้างมองตามแทบไม่ทัน ยากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเข้าเป้าเพราะริคัทโต้และเวลอร์นั้นเติบโตมาด้วยกันจึงรู้ทางของอีกฝ่ายดี 

            ฟาเรสวิ่งไปยังฐานของคริสตัลโดยมีคนรอบข้างคอยคุ้มกัน เด็กหนุ่มบอกตัวเองไอ้ตั้งสมาธิกับสิ่งตรงหน้า พยายามตัดความวุ่นวายรอบกายออกไป

            "เชื่อใจพวกฉันนะ" มาวิคที่ตามมาทันเข้าคุ้มกันให้พวกฟอสโกไม่ให้เข้าใกล้เพื่อน
 
            "อืม" มือเรียววางลงบนคริสตัลเย็นเฉียบก่อนจะถ่ายลังทั้งหมดลงไป ลำแสงสีขาวถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าใจกลายรอยแยก เมฆสีดำหมุนวนจนเกิดเป็นพายุไปกระจายไปรอบ ๆ รอยแยกระหว่ามิติลดขนาดลงช้า ๆ 

              ริคัทโต้ตั้งรับคมดาบที่เวลอร์ฟาดลงมา อาศัยจังหวะที่เวลอร์เผลอสาดพลังไปทางที่ฟาเรสอยู่ โชคดีที่โฮเซียกันไว้ได้ทันแต่นั่นก็ทำให้คิเมร่าหนุ่มเสียจังหวะไปจนถูกเตะกระเด็นไปอีกทางและเขาไม่รอช้าที่จะตามไปซ้ำจนอีกฝ่ายล้มลง ฉึก...ดาบสีดำแทงเข้าท้อเวอลร์อย่างจัง พลังเวทย์ที่ไหลมาจากดาบทำให้ความเจ็บปวดเล่นริ้วไปทั่วร่าง

             "อย่าวอกแวกสิเพื่อน สู้กับฉันไม่ระวังตัวจะตายเอา...อัก!!!" ริคัทโต้แซวยังไม่ทันจบร่างก็ถูกถีบกระไปชนกับเสา

            "บอกแต่คนอื่น วู้!  ไม่ได้เรื่อง" โอซี่ว่า ก่อนจะหันไปดึงเพื่อนตัวเองให้ลุกขึ้น "โทษทีมาสาย"

            "คอเนเลียสละ" เวลอร์ถามพลางดึงดาบออกจากจากตัว

            "โน่นไง คนแก่นี่ลีลาชะมัดกว่าจะลากออกมาได้" โอซี่บ่นพลางชี้ไปทางเจ้าของชื่อที่เข้าไปช่วยฟาเรสอีกแรง ปลุกขึ้นมาจากโลงก็งอแงจะไม่ยอมมาบอกไม่ใช่หน้าที่เป็นเรื่องที่กษัตริย์ปัจจุบันต้องจัดการ แต่ไอ้คนก่อเรื่องก็ลูกหลานตัวเอง สืบทอดพลังมาจากตัวเอง กว่าจะลากมาด้วยได้โอซี่เกือบได้ทุบหัวอุ้มมาแต่ก็ยังเกรงใจว่ายังไงคอเนเลียสก็เป็นกษัรติย์ของอินเวียโนอีกคน 

             "ไหนตัวปัญหาขอดูหน้าชัด ๆ หน่อย" ครึ่งออคหันไปมองริคัทโต้ที่ล้มกลิ้งไปด้วยฝีเท้าของเขาเอง

              "หน๋อยย ไอ้เด็กนี่" ตัวปัญหาที่ว่าลุกขึ้นชี้หน้าด้วยแรงอารมณ์ "อวดดีชะมัด"

              "ก็แล้วไง" โอซี่ยียวน แล้วสองสหายก็เปิดจากโจมตีใส่ริคัทโต้พร้อม ๆ กัน จะว่ารุมก็ใช่ ในสงครามไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ อย่างน้อยพวกเขาก็สู้ซึ่ง ๆ หน้า ไม่ได้รอบกัดเสียหน่อย ลำพังต่อกรกับเวลอร์คนเดียวว่ายากแล้วพอมีโอซี่เพิ่มเข้ามายิ่งทำให้ตึงมือขึ้นไปอีกเมื่อรวมกับก่อนหน้าที่เขาใช้พลังในการเรียกเหล่าอันเดธทำให้ล้าไวกว่าที่ควรจะเป็น

           เคร้ง!! ดาบในมือของเอลฟ์หนุ่มถูกปัดกระเด็นไปไกล ดวงตาสีครามมองตามอาวุธที่แหลกสลายของตัวเองพอหันกลับมาก็เจอกับคมดาบของเวลอร์จ่อคออยู่ 

           "จะหยุดทุกอย่าง หรือตายอยู่ตรงนี้" เวอลร์ถาม ดวงตาสีอำพันคมกล้า

           "เหอะ คิดว่ามันจบแค่นี้หรอ" การยอมรับในความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่คนอย่างริคัทโต้ทำไม่ได้และไม่คิดจะทำเขาเตรียมทุกอย่างมาเพื่อวันนี้ จะให้หยุดงั้นเหรอ ตลกสิ้นดี

               ฟึบ!! สายลมกรรโชกแรงจากร่างใหญ่ที่พุ่งทยานขึ้นมาจากเบื้องล่าง เวลอร์มองตามมังกรสีดำที่โฉบผ่านหัวตนไปอย่างตกตะลึง ทั้งที่เขาคิดว่าจัดการมันไปแล้ว ร่างกายที่เคยถูกเขาขย้ำจนยับเยิน บัดนี้กลับมาสมบูรณ์ราวกับว่ามันไม่เคยบาดเจ็บใด ๆ มังกรดำบินสูงก่อนพ่นไฟสาดลงมาโดยไม่สนว่าใครเป็นใคร เล่นเอาหลายชีวิตบนยอดหอคอยแตกกระเจิงไปคนละทาง บางคนหลบไม่พ้นถูกไฟคลอกกลายเป็นเถ้าถ่าน 

             "ถ้าฉันต้องตาย ก็ตายกันหมดนี่นั่นละ ฮ่าาาาาๆ" ริคัทโต้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

             "แกเป็นคนควบคุมมันใช่ไหม" โอซี่กระชากคอเสื้ออีกคนขึ้นมาถาม

              "เหอะ เจ้ามังกรนั่นนะเหรอ ไม่มีใครคุมมันอยู่ได้หรอก แกนี่เพ้อนะ" ผลัก!!! หมัดหนักๆ อัดเข้าเต็มหน้าของเอลฟ์หนุ่ม "ฮ่าาาา แคก ๆ แล้วจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ มันฆ่าไม่ตายวะ"

              "แต่แกตายได้ใช่ไหม" เวลอร์ถามเสียงเรียบ ดวงตาสีอำพันเย็นเยียบไปถึงใจ ดาบในมือปักลงบนอกของริคัทโต้จนมิดด้ามในทีเดียว ครั้งก่อนที่เขาแพ้ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเก่ง แต่เพราะไว้ใจจึงพลาดท่า

              เวลอร์มองภาพชุลมุลวุ่นวายตรงหน้า สอดส่ายสายตาหาตัวฟาเรส ท่ามกลางไฟที่พ่นลงมาอย่างบ้าคลั่ง คนส่วนหนึ่งอยู่ใต้เกราะกำบังที่คอเนเรียสสร้างขึ้น อีกส่วนวิ่งหลบไปมา พลันสายตาก็หันไปเห็นร่างบางที่นอนนิ่งท่ามกลางผู้คน

             ฟาเรสลุกขึ้นนั่งแบบมึนงง เขากำลังจดจ่อกับคริสตัลตรงหน้ารู้ตัวอีกทีลูกไฟก็หลนมาตรงที่ยืนโชคดีที่ใส่เสื้อคลุมของวาลาคัสเลยไมบาดเจ็บอะไร แต่ก็กระเด็นไปหลายเมตรทำเอาจุกไม่น้อย เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติหูอื้อไปหมด จนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบด้าน

            "ฟาร์ หลบ" เสียงตะโกนของเวลอร์เรียกสายตาให้หันมอง ร่างสูงกำลังวิ่งมาทางเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก พอเงยหน้ามองบนฟ้าก็พบว่ามังกรดำกำลังพุ่งดิ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีแดงฉานของมันตรึงเขาไว้ตรงนั้น แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถูกขย้ำเข้าอย่างจังก็ถูกบังไว้ด้วยร่างของคิเมร่าตัวโตที่โดดมาขวางไว้ได้ทันท่วงที

           คมเขี้ยวฝังเข้าเต็มหลังของเวลอร์ทำเอาเลือดสีเข้มไหลอาบไปทั้งร่าง เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังก้องของคนรักทำเอาฟาเรสน้ำตาคลอ คิเมร่าพยายามหยัดยืนสู้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มทับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างใต้

           -ไปที่คริสตัล ปิดรอยแยกซะ- เสียงของเวลอร์ดังขึ้นในหัว เพราะเสียเลือดไปมากทำให้เขาเริ่มอ่อนแรงจึงตัดสินใจดันทั้งตัวเองและมังกรดำจนล้มกลิ้งตกลงไปจากหอคอย 

           "นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องอื่นนะหนุ่มน้อย" คอเนเลียสเดินมาดึงฟาเรสลุกขึ้น "เจ้านั่นดูแลตัวเองได้เชื่อสิ"

         เหมือนภาพที่กลับมาฉายซ้ำเมื่อเวลอร์ต้องกลับมาสู้กับเจ้ามังกรยักษ์อีกครั้ง กลิ่นสาปจากตัวมันบอกให้รู้ว่ามันมากจากอีกมิติหนึ่ง คิเมร่าหนุ่มฟาดกรงเล็บเข้าเต็มสันคอของอีกฝ่าย แต่บาดแผลนั่นกลับสมานกันทันตา ไม่ว่าจะโจมตีไปมากแค่ไหนมันก็ฟื้นคืนมาได้เสมอจนเขาเริ่มเหนื่อย ร่างใหญ่สองร่างปะทะกันอย่างแรงจนกลิ้งไปกับพื้น ราชาคิเมร่าไม่ได้อยู่คงกระพัน อาการบาดเจ็บทำให้พละกำลังเริ่มถดถอยขืนสู้ต่อไปเรื่อย ๆ เห็นทีจะตายเปล่า
 
        ภาพของผู้คนมากมายที่บาดเจ็บล้มตายอยู่รอบตัวช่างสะเทือนต่อจิตใจ สงครามไม่เคยมอบสิ่งดี ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างก็ต้องสูญเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายมามากพอและเขาต้องหยุดมัน ดวงตาสีอำพันมองรอยแยกมืดดำบนท้องฟ้าที่จวนเจียนจะปิดสนิท เจ้ามังกรนี่ฆ่าไม่ตายทางเดียวที่จะทำได้คือส่งมันกลับไป คิดได้ดังนั้นเวลอร์อาศัยจังหวะที่เจ้านั่นยังล้มกัดเข้าตรงปีกแล้วออกแรงลากมันบินขึ้นไปด้วยกัน เขามองพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จวบจนยอดหอคอยปรากฎตรงหน้า ชั่ววินาทีที่ได้สบกับดวงตาสีครามที่มองมาเหมือนเวลามันหยุดนิ่ง ฟาเรสจะผ่านมันไปได้และคนสำคัญของเขาต้องปลอดภัย

           ร่างยักษ์สองร่างถูกกลืนหายไปในรอยแยกสิดำ ฟาเรสหยุดมือในสิ่งที่ทำด้วยความตระหนก แต่รอยแยกยังคงปิดตัวลงเรื่อย ๆ เพราะคอเนเลียสยังคงดำเนินทุกอย่างต่อไป

          "อย่าเพิ่งปิด เว เวหลุดเข้าไปในนั้น หยุดนะ หยุด" เด็กหนุ่มตะโกนลั่น

         "จับเด็กนั่นไว้" คอเนเลียสเอ่ยปากสั่ง เรน่ากับเดปจึงดึงตัวเด็กหนุ่มไว้ เขารับรู้ในสิ่งที่เวลอร์ต้องการเพราะครั้งหนึ่งเขาก็คือผู้ปกครองอาณาจักรนี้เช่นกัน 

        "ไม่อย่าาาา" ฟาเรสดื้นรนดึงดันจะเข้าไปยั้งคอเนเลียสให้ได้ แต่ก็ไม่อาจหลุดจากพันธนาการ

        เด็กหนุ่มได้แต่มองตามรอยแยกระหว่างมิติที่ถูกปิดลงทั้งน้ำตา ท้องฟ้าเหนืออินเวียโนบัดนี้กลับมาสดใสสวนทางกับใจของฟาเรสที่มืดมิดไร้หนทาง ร่างบางทรุดนั่งลงช้า ๆ เจ็บปวดราวกับก้อนเนื้อในอกจะแตกสลาย ริคัทโต้ตายไปแล้ว รอยแยกถูกปิดไปแล้ว กองทัพไวด์โซลถูกทำลายไปแล้ว พวกเขาชนะ แล้วยังไงละสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยเมื่อปราศจากเวลอร์ 
ทำไม...ทำไมต้องเป็นเขาที่สูญเสียทุกที 

...............................................

 :katai2-1: เราไม่ใช่คนใจร้ายเชื่อเราดิ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-03-2017 22:17:01
เห้อ ไหงเปงงั้นละเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-03-2017 22:29:46
ไม่นะ.  :ling1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-03-2017 22:45:05
เวลอร์จะกลับมา ใช่ไหม  o18
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 12-03-2017 08:32:08
 :a5: :a5: o22 o22
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 12-03-2017 10:01:12
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 12-03-2017 11:03:34
ไม่น้าาา :sad4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 39 p.13 7/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 22-03-2017 17:46:15
ฮืออออออออ
เวลอออกลับมาาา
ฟาร์เจ็บค่ไหนรู้มั้ยเนี่ย
 :sad4:
หัวข้อ: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 29-03-2017 10:48:14
บทที่  40


     จากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายแผ่กระจายเป็นวงกว้าง แม้จะเกิดความสูญเสียมากมายแต่สิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือสายสัมพันธ์ของทุกเผ่าพันธุ์ในเอสทีเรียด ในวันนี้ชาวอินเวียโนกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะชนชาติลึกลับที่หน้าสะพรึงกลัวหากแต่พวกเขาคือผู้ปกป้อง 

     อินเวียโนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งโดยมีคอเนเลียสซึ่งถูกปลุกขึ้นมาเพื่อช่วยสงครามเป็นผู้ปกครอง แม้เจ้าตัวจะเคยสละบรรลังก์ไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครเหมาะสมกว่าเขาแล้วในเวลานี้ เอแวนการ์ดได้รับบทเรียนในความทะนงของตนว่ากองทัพไม่ได้จัดการได้ทุกอย่าง การเรียนการสอนในอนิมาถูกพักไว้ก่อนครึ่งปีแม้ตัวมหาวิทยาลัยเองจะไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ต่างกระจายกันไปเป็นอาสาให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของไวด์โซล

     ในช่วงที่มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดโอซี่และลูนเดินทางกลับเรดิเอนซี่ เพราะโอซี่ต้องไปช่วยงานบิดาในฐานะรัชทายาทองค์เล็ก พ่อแม่ของพรีมเข้ามอบตัวกับทางการ แต่ได้รับลดหย่อนโทษเนื่องจากทั้งสองเป็นคนนำทางเอแวนการ์ดไปยังคุกที่คุมขังชาวเมืองอินเวียโนแต่ยังต้องโทษจำคุกเป็นสิบปี ใช่ว่าพรีมจะเหลือตัวคนเดียว เขายังมีหมอโฮเซียที่ขยันทำคะแนนอยู่ไม่ขาด เอเบรียนกลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการอนิมาดังเดิมเพิ่มขึ้นมาคือเลขาคนสวยอย่างมอร์แกนที่ควบตำแหน่งภรรยาด้วย ไมเรคสมัครเข้าเป็นอาจารย์คณะวิทยาการการทหารเต็มตัวเพราะอยากใกล้ชิดมาวิค จากอดีตหน่วยพิทักษ์เลยกลายมาเป็นลูกเขยท่านผู้ว่าการแห่งเดสเซนท์

     ฟาเรสเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของเรีือเหาะ เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน ภาพหมู่เกาะไวท์ออชาร์ดค่อย ๆ ปรากฎแจ่มชัดต่อสายตา ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านเกิดอีกเลย

     "ฟาเรส ทางนี้จ้า" เสียงเจื้อยแจ้วของป้าโอเรนดังขึ้นตรงประตูทางออก ข้างกายมีลุงมาคัสยืนส่งยิ้มมาให้

     "กลับมาแล้วครับ" ร่างโปร่งเดินไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองจึงถูกผู้เป็นป้าดึงไปกอดไว้แน่น

     "ดีใจที่หลานปลอดภัย" โอเรนบอกพลางตบไหล่หลานชาย 

     "ดีใจที่ลุงกับป้าปลอดภัยเช่นกันครับ" ฟาเรสตอบ 

     "ปะ...กลับบ้านกันเถอะ ตรงนี้แดดร้อนชะมัด" มาคัสว่าพลางเดินนำไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ 

     ป้ากับลุงจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ต้อนรับฟาเรสอย่างอบอุ่น ลูกชายทั้งสองของท่านก็มาร่วมด้วย มื้ออาหารเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะไม่อยากทำให้คนรอบข้างลำบากใจเขาจึงไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น สามวันแรกเด็กหนุ่มพักที่บ้านป้าเพราะคฤหาสก์คาเดนเซียแม้จะสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่มีใครไปอยู่จึงต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่เมื่อเขากลับมา

     "ให้ป้าส่งเด็กไปรับใช้ไหมจ้ะ" โอเรนเอ่ยถามผู้เป็นหลาน 

     "ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่คนเดียวได้ ไว้ผมจะเรียกไปทำความสะอาดให้ก็แล้วกัน" ฟาเรสตอบ พลางส่งกระเป๋าให้คนรถที่รอไปส่งเขา

     "ขาดเหลืออะไรก็ติดต่อมานะฟาร์" แม้จะแสร้งทำเป็นร่าเริงแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของเธอได้ ใบหน้าของหลานชายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแย้มยิ้มให้แต่ดวงตาสีครามกลับไร้ซึ่งประกายของชีวิต เรื่องของความรู้สึกเธอคงไม่อาจก้าวก่าย เฝ้าแต่รอวันที่หัวใจของหลานชายจะกลับมาเข้มแข็งดังเดิม


 
     ฟาเรสลงจากรถที่มาส่ง คนรถขนกระเป๋าสัมภาระลงให้ คฤหาสก์คาเดนเซียถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยอิงตามแบบแปลนเดิม หน้าบ้านเป็นสนามหญ้า มีน้ำพุหินอ่อนอยู่ตรงกลาง รอบตัวน้ำพุเต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอกหลากสี ภาพตัวบ้านที่ถูกเผาวอดเหลือแต่เสาในวันนั้นราวกับเป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านพ้นไป และสิ่งที่จากไปพร้อมกับภาพเหล่านั้นก็คือชีวิตของทุกคนในที่แห่งนี้

     เด็กหนุ่มแบกของทั้งหมดขึ้นบ่าก่อนจะก้าวผ่านประตูเหล็กดัดไปยังอาคารสองชั้นสีขาว พอเปิดเข้าสู่ตัวบ้านโถงทรงกลมก็ปรากฏต่อสายตา มีบันไดทอดยาวลงมา หากเป็นแต่ก่อนออรี่กับอ่อร่าต้องแข่งกันวิ่งลงบันไดมาต้อนรับพี่ชายของพวกเธอแต่วันนี้ไม่มีแล้ว 

     ฟาเรสเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บในห้องซึ่งเคยเป็นห้องนอนเดิมของตัวเองก่อนจะออกไปเยี่ยมครอบครัวที่ถูกฝังไว้ยังสุสานของตระกูลคาเดนเซียซึ่งอยู่นอกเมือง เขาเอาสร้อยข้อมือที่ซื้อตอนเดินทางไปหมู่บ้านนักล่าวางลงบนป้ายหินอ่อนที่สลักชื่อออรี่และออร่า ถัดไปนั้นเป็นสุสานของท่านพ่อที่ข้างหนึ่งเป็นร่างของฟาร่าแม่ผู้ให้กำเนิดและอีกข้างเป็นร่างของไมร่าแม่ผู้เลี้ยงดู อย่างน้อยอินเดียโก้ก็ได้เคียงข้างผู้เป็นที่รักแม้ในยามที่ตัวตาย แล้วเขาละจะมีโอกาสนั้นไหม ฟาเรสวางช่อดอกไม้ให้เขาเหล่านั้น ร่างโปร่งคุกเข่าลงพร้อมโค้งตัวให้บุคคลทั้งห้าจนแทบจะติดพื้น 

     "ผมขอโทษ" เสียงของเขาสั่นเครือ รู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าฟาเรสไม่เกิดมาพร้อมพลังที่มี คนเหล่านี้ก็คงไม่ถูกฆ่าและได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขจนสิ้นอายุขัย   

     ฟาเรสกลับจากสุสานในตอนเย็น ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม บ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเขามันช่างว่างเปล่าและอ้างว้างเหลือเกิน ก่อนหน้านี้เขาสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรและศาสตร์การทำยา แต่ตอนนี้เขากลัวที่จะกลับอนิมา โดมกระจกนั่นเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายระหว่างเขากับเวลอร์ ถ้าไม่กลับไปเรียนแล้วฟาเรสจะทำอะไรต่อไป เขามองไม่เห็นจุดหมายของชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเหม่อมองเพดานอย่างไม่รู้จะทำอะไร


 
    "รักฟาร์นะ" เสียงทุ้มนุ่มในความทรงจำดังขึ้นในหัว


 
     "ก็แค่อยากอยู่กับนาย ฟาเรส" ดวงตาสีอำพันฉายแววจริงจังจนไม่อาจละสายตาไปได้


 
     "ไม่ทิ้งแล้ว ฉันจะไม่ยอมห่างฟาร์อีกแล้ว" แม้กระทั่งอ้อมกอดอบอุ่นเขาก็ยังรู้สึกได้


 
     "เมื่อก่อนฉันคงตอบว่าอินเวียโนคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ตอนนี้การได้อยู่กับฟาร์คือสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนี้" ใบหน้าคมคายที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนรักใคร่ แจ่มชัดราวกับผู้พูดยังอยู่ตรงหน้า


 
     เปรี๊ยง!!! เสียงฟ้าผ่าดึงสติของฟาเรสกลับสู่ปัจจุบัน ดวงตาสีครามมองออกไปนอกระเบียง ฝนกำลังตกหนัก ต้นไม้ในสวนโยกไหวไปตามแรงลม ฟ้าร้องดังต่อเนื่องราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย แสงสว่างวาบเผยให้เห็นยอดโดมกระจกของวิหารกลางน้ำที่อยู่ไกลออกไป ที่นั้นคือจุดเริ่มต้นของเขาและเวลอร์

     "คนโกหก" ทั้งที่บอกว่ารัก บอกว่าอย่างอยู่ด้วยกัน แต่กลับทิ้งเขาไว้คนเดียว



     น้ำฝนเย็นเยียบตกใส่ร่างบางจนเปียกโชก เท้าเปลือยเป่าก้าวย่ำไปบนพื้นที่ดินที่เต็มไปด้วยหินกรวดโดยไม่สนว่ามันจะสร้างบาดแผลให้กับตน วิหารกลางน้ำใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ภายในมีเพียงแสงจากคบเพลิงบนเสาหินอ่อนที่จวนเจียนจะดับส่องสว่าง ฟาเรสไม่เข้าใจว่าทำไมถึึงพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ แค่ใจบอกให้มา

     เด็กหนุ่มก้าวช้า ๆ ขึ้นไปบนแท่นก่อนจะทิ้งกายนั่งบนบรรลังก์หินอย่างอ่อนแรง ใบหน้าสวยบัดนี้ไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาสีครามว่างเปล่า เพียงแต่ทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เวลอร์เฝ้ามองเขาเติบโตจากตรงนี้ เฝ้ารอวันที่ผนึกถูกคลายและเขาก็จะรออยู่ตรงนี้เช่นกัน รอวันที่เวลอร์จะกลับมา




.................................................


 
    เวลอร์ลืมตาขึ้น ดวงตาสีอำพันกระพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสง เบื้องหน้าคือผืนฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีแดงฉานดุจเลือด เมฆมืดดำลอยคว้างอยู่บนนั้น คิเมร่าหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่งพร้อมมองสำรวจรอบตัว เขานั่งอยู่บนพื้นทรายสีกระดำกระด่าง มีต้นไม้รูปร่างหงิกหงอให้เห็นอยู่ประปราย 

     ...ที่นี่ หรือว่าจะเป็นโลกอีกฟากของประตูมิติ...

     มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสสร้อยทับทิมที่ใส่อยู่ ดวงตาสีครามเศร้าสร้อยเด่นชัดในความทรงจำ ถึงฟาเรสจะรอดจากสงครามไปได้แต่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหรือไม่ เขาไม่อาจรู้ได้
 
     ...ต้องหาทางกลับไป!!!...

     เขามาที่นี่ผ่านรอยแยกเขาก็ต้องตามหารอยแยกของโลกนี้ให้เจอเพื่อกลับไปที่เอสทีเรียดอีกครั้ง เวลอร์ยืนขึ้น ร่างกายกำยำที่เคยบาดเจ็บจากการต่อสู้บัดนี้ฟื้นตัวแล้วจะมีก็แต่รอยแผลเป็นหลงเหลือให้เห็นบ้างประปราย เสียงประท้วงจากท้องเพราะความหิวบอกให้รู้ว่าหลับไปหลายวัน พอดีกับสัตว์ฝูงหนึ่งวิ่งผ่านหน้า พวกมันดูคล้ายกวางหากแต่ลำตัวเพรียวกว่ามากเห็นทีคงต้องใช้พวกมันประทังชีวิตไปก่อน ว่าแล้วเวลอร์ก็กลายร่างเป็นคิเมร่าออกไล่ล่าพวกมัน
 
    เวลอร์เดินทางไปทั่วดินแดนแห่งนี้ไม่มีหยุดพัก ช่างเป็นดินแดนที่ให้ความรูสึกหดหู่เสียจริง ที่นี่น่าจะเคยมีผู้คนอาศัยอยู่เพราะเขาได้เดินทางผ่านซากประหลักหักพังมากมาย แต่ทุกแห่งกลับเป็นเพียงเมืองร้างไร้ผู้คน อากาศที่นี่เป็นพิษแม้จะไม่มีผลต่อคิเมร่าเช่นเขาแต่ถ้าเป็นมนุษย์อาจล้มป่วยในเวลาไม่กี่วัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครเหลือ เว้นแต่พวกสัตว์ที่สามารถปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายรวมไปถึงพืชพันธุ์ที่มีสีสรรแปลกตา สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนคนหน่อยก็ดูจะเป็นพวกไวด์โซลแต่ในดินแดนนี้พวกมันก็เหมือนสัตว์ประเภทหนึ่งที่อยู๋รวมฝูงและออกล่าไปเรื่อย ๆ ยามกลางคืนปรากฎพระจันทร์สีแดงบนฟากฟ้าและในยามกลางวันท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆดำดูมืดครึ้มตลอดเวลา 

     การเอาชีวิตรอดในโลกแห่งนี้ทำให้เขาสูญเสียด้านที่เป็นมนุษย์ไปอย่างช้า ๆ ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร เขาออกเดินไปอย่างไร้จุดหมายแต่ก็ยังไม่เจอรอยแยกระหว่างมิติเสียที  ร่างใหญ่ทรุดลงนั่งริมแม่น้ำเพื่อหยุดพัก ในตอนที่เวลอร์เริ่มถอดใจสร้อยทับทิมที่ใส่อยู่ก็เปล่งแสงขึ้นมา ลำแสงสีแดงของมันฉายไปข้างหน้าราวกับชี้บอกทาง เขากลายร่างเป็นคิเมร่าแล้วออกวิ่งตามลำแสงนั้นไปสุดกำลัง ไม่นานตรงหน้าก็ปรากฎรอยแยกระหว่างมิติขนาดใหญ่ ใจกลางของมันมืดดำราวกับประตูสู่ขุมนรกแต่คิเมร่าหนุ่มกระโจนเข้าไปในนั้นอย่างไม่ลังเล
 

..................................


     "มีคนอยู่ตรงนี้" เสียงโวกเหวกโวยวายปลุกเวลอร์ให้ฟื้นคืนสติ ชายวัยกลางคนมองเขาอย่างสนใจ "อ๊ะ...เขายังมีชีวิต" น้ำเสียงโล่งใจดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มของเจ้าตัว

     "ลุกไหวไหม" ผู้ชายอีกคนตรงเข้ามาช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้น "ที่รักเอาผ้ามาคลุมให้หมอนี่หน่อย"

     "มาแล้ว ๆ" ได้ยินเสียงตอบรับจากด้านหลังก่อนที่ผ้าผืนหนึ่งจะถูกคลุมลงบนร่างเปลือยเปล่าของเวลอร์ "ว่าแต่นายมานอนสลบอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย"

     "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน" เวลอร์เอ่ยถามเสียงพร่า ลำคอแห้งผากจนแสบไปหมด

     "ทะเลทรายไง" ชายตรงหน้าตอบ ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นพวกกลุ่มคารวานขนสินค้า

     "เอ่อ ฉันหมายถึงชื่อ"

     "อ้อ อาดิซาน ทะเลทรายเรดิเอนซี่" ใครอีกคนตอบ
 
     ...เรดิเอนซี่ ถ้างั้นที่นี่ก็คือ เอสทีเรียดงั้นสิ...

     คำตอบที่ได้รับสร้างความยินดีให้คิเมร่าหนุ่มเป็นอย่างยิ่งก่อนอื่นเขาต้องติดต่อคนรู้จักให้ได้

     "เมืองหลวงเรดิเอนซี่ไปทางไหน บอกฉันที" เวลอร์เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

     "ใจเย็น ๆ พ่อหนุ่ม เรากำลังจะไปที่นั่น ไปกับพวกเราก็ได้"

     "ขอบคุณนะ ขอบคุณพวกท่านจริง ๆ" 


     เมื่อเดินทางถึงเมืองเรดิเอนซี่เขาก็ติดต่อกับทางพระราชวัง โอซี่และลูนรีบมาหาเขาทันที่ที่ได้ยินข่าว เจ้าแมวน้อยดีใจที่เห็นเขายังมีชีวิตชนิดที่ว่าร้องไห้โฮกอดชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย โอซี่กล่าวขอบคุณพร้อมมอบเงินตอบแทนเหล่าคาราวานที่ให้การช่วยเหลือเวลอร์จำนวนมาก
 
     "ฉันอยากไปหาฟาร์" นี่คือสิ่งที่ต้องการที่สุดในตอนนี้
 
     "ได้ ฉันจะพาไป" โอซี่ตอบรับด้วยความเต็มใจ ก่อนจัดเจงหาเรือเหาะพาเขาเดินทางไปยังไวท์ออชาร์ดโดยมีลูนติดสอยห้อยตามมาด้วย 

     "ฉันหายไปนานแค่ไหน"

     "สามปีหลังจากเกิดเรื่อง" โอซี่ตอบ เวลอร์หลงทางอยู่ในอีกโลกจนลืมวันเวลาไม่คิดว่าจะผ่านไปนานขนาดนี้

     "แล้วฟาร์เป็นยังไงบ้าง" เขาถามถึงคนรัก สามปีมานี้ฟาเรสต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้างนะ โอซี่นิ่งเงียบไปลูนก็เช่นกัน "มีอะไรหรือเปล่า"

    "เฮ้อ...ฟาร์เสียใจมาก ที่นายจากไป" เจ้าชายครึ่งออคตอบออกมาในที่สุด "ฟาร์กลับบ้านเกิดและไม่ได้มาเรียนอีกเลย" ได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้เขาปวดใจ

    "ไว้นายไปเจอด้วยตัวเองก็แล้วกัน" ลูนสรุป

     ระหว่างทางเจ้าแมวน้อยก็เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังสงครามให้ฟัง ว่าใครไปอยู่ที่ไหนยังไง รวมไปถึงเรื่องที่คอเนเรียสต้องกลับมาครองบรรลังก์ รายนั้นถ้ารู้ว่าเขายังมีชีวิตคงตามมาลากเขากลับไปรับตำแหน่งแน่นอน  เวลอร์เล่าถึงสิ่งที่เจอในอีกโลกให้ทั้งสองฟัง ไม่แน่นะในอนาคตที่แสนไกลเอสทีเรียดอาจกลายเป็นแบบนั้นก็ได้
 
     คฤหาสก์คาเดนเซียตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าทันทีที่ทั้งสามก้าวลงจากรถที่มาส่ง เวลอร์ก้าวยาว ๆ เข้าไปยังตัวบ้าน เขาทนรอไม่ไหวที่จะได้เจอคนรัก มือใหญ่จับที่เคาะประตูซึ่งประดับอยู่บนบานไม้โอ๊คสีน้ำตาลเคาะอยู่หลายครั้งกลับไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจึงลองผลักประตูแล้วมันก็เปิดออกอย่างง่ายดาย

     "ฟาร์ อยู่ไหม" เวลอร์ร้องเรียก "ฟาเรส คาเดนเซีย นายอยู่ที่นี่ไหม" มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาจนร่างสูงเริ่มร้อนใจ หันไปถามเพื่อนทั้งสอง "ฟาร์อยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ"

     "อืม ฟาร์ยังอยู่ที่นี่" โอซี่ยืนยัน ลูนก็พยักหน้ารับ

     คิเมร่าหนุ่มกวาดตามองภายในบ้านก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีที่ที่อีกคนชอบไป นั่นคือวิหารกลางน้ำ คิดได้ดังนั้นเขาก็รีบมุ่งไปที่นั่นทันที เวลอร์ตัดผ่านสวนหลังบ้านก้าวไปบนสะพานอย่างเร่งรีบจนเข้ามาถึงตัววิหารและก็ได้พบกับฟาเรส

     ดวงตาสีอำพันจับจ้องร่างบางที่นั่งอยู่บนบรรลังก์อย่างตกตะลึง แสงแดดที่ส่องผ่านโดมกระจกสาดสีลงบนเนื้อหินอ่อนของรูปสลักตรงหน้า เขาจำได้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ใบหน้างดงามที่มองตรงมาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นั่นคงเป็นความรูสึกสุดท้ายของฟาเรส นึกโกรธตัวเองที่ทำร้ายคนรักให้เสียใจจนอีกฝ่ายกลายเป็นเช่นนี้

     เวลอร์เชื่อว่าฟาเรสยังอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเขา ทนทุกข์กับการรอคอยตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำอย่างไรฟาเรสถึงจะพ้นจากสภาพนี้ได้ พยามยามนึกว่าตอนที่ถูกผลึกเป็นรูปสลัก เขาถูกปลดปล่อยมาอย่างไร

     ...อา จริงสิ สร้อยของฟาร่า...

     เวลอร์ถอดสร้อยทับทิมที่ใส่ออกก่อนจะเดินตรงไปยังร่างที่นั่งนิ่งอยู่บนบรรลังก์หิน บรรจงสวมมันให้รูปสลักตรงหน้า มือเขาสั่นไปหมดภาวนาให้มันได้ผล

     จี้ทับทิมสีแดงสดเปร่งแสงเรืองรอง หินอ่อนเย็นเฉียบกลับกลายเป็นผิวเนื้อเนียน ดวงตาคู่สวยไร้ชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นสีครามก่อนที่หยาดน้ำใสจะไหลเอ่อล้นออกมา ฟาเรสมองภาพตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาเขาไม่แม้แต่จะกล้ากระพริบตาเพราะกลัวอีกคนจะหายไป 

     "เว..."

     มือเรียวยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของคนรักก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อความอุ่นร้อนที่ได้รับบ่งบอกว่านี่คือเวลอร์ตัวจริง  ฟาเรสถูกรวบเข้าไปกอดไว้แน่น ร่างบางสะอื้นไห้ปานจะขาดใจ ทั้งความทรมานที่ต้องเฝ้ารอ ความอ้างว้างที่ถูกทิ้งเอาไว้ หรือแม้กระทั้งความดีใจ ความรู้สึกมากมายถูกระบายออกมาด้วยน้ำตา มือใหญ่เช็ดน้ำตาจากสองแก้มอย่างแผ่วเบา เขาเชยคางเรียวให้อีกคนเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีอำพันอบอุ่นแล้วยิ้มให้

     "ฉันกลับมาแล้วฟาร์"

The End

..............................

    -เรารู้สึกว่าตัวเองเขียนแบบทำร้ายน้องฟาร์เอามาก ๆ ใจร้ายเนอะแต่เรื่องนี้ก็จบได้ด้วยดี (มั้ง) เราขอโทษที่เราเกเรลงนิยายไม่ต่อเนื่อง ซึ่งนั่นอาจทำให้หลายคนนอยและเลิกอ่านไป และสำหรับคนที่ยังคอยติดตามอ่านผลงานของเรา อยากบอกว่าขอบคุณมาก ไม่มีพวกคุณเราคงไม่มีกำลังใจที่จะแต่งต่อไป ขอบคุณจริงๆ

    -หลังจากนี้คงจะเป็นช่วงคืนความสุขให้น้องฟาร์ และตอนพิเศษของแต่ละคู่ ใครรักคู่ไหนเชียร์คู่ไหนยกป้ายไฟกันมาเลย

    - สำหรับโปรเจคต่อไป เราลังเลว่า จะเขียนเรื่องไหนต่อดี เพราะมีพลอตเรื่องที่ร่างไว้อยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเป็น Night Knight ภาค 3 ภาคนี้เป็นเรื่องราวของเหล่ามนุษย์หมาป่าบ้านเดอลาครัวซ์ หรือ อีกเรื่องที่เราวางพลอตขึ้นใหม่เป็นแนวไซไฟ แต่คงแต่งให้ได้หลาย ๆ ตอนโน่นแหละถึงเริ่มออนแอร์ เพราะไม่งั้นมันคงทิ้งช่วงนานเกินไปเหมือนเรื่องนี้ เอาเป็นว่าอย่าลืมติดตามกันนะค่ะ

รักทุกคน
:กอด1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 29-03-2017 11:08:32
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-03-2017 11:14:58
 :mew1:  โอ้ววว ในที่สุด น้องฟาร์ก็ได้เจอเวลอร์สักที ฮรือ ช่วงท้ายเศร้ามากเลยค่ะแต่ก็จบลงด้วยดีแบบกระชับรัดกุมเนอะ

ขอบคุณมากค่ะที่ตามมาเขียนต่อจนจบ  :L1: 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-03-2017 11:57:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 29-03-2017 13:51:34
ได้เจอกันแล้ววว ฮือออ ดีใจจจ
ขอบคุณสำหรับนิยายค่าา :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 29-03-2017 14:37:01
นึกว่าเค้าจะไม่ได้เจอกันซะแล้ว แต่เค้าก็ได้เจอกะนจนได้
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 29-03-2017 15:21:25
ขอบคุณที่แต่งจนจบนะคะ ชอบเรื่องแนวนี้มาก  :กอด1:
เอาตอนพิเศษทุกคู่เลย ^.^ ชอบทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-03-2017 15:50:23
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 29-03-2017 17:52:13
มีข่าวประชาสัมพันธ์ค่าาา เชิญทุกท่านอุดหนุนผลงานเรื่อง Night Knight อัศวินรัตติกาลของเราได้ที่

สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 45

ณ บูท Y06 ห้องบอลรูม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เริ่มจำหน่าย
วันที่ 30 มี.ค. - 9 เม.ย. เวลา 10.00 - 21.00 น.
(สำหรับบูธเบเกอรี่ แถมโปสเตอร์ จำนวนจำกัดค่าาา)

นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายที่บูธ บูทบลีส N28 โซน C ล่าง

อย่าลืมมาอุดหนุนกันเยอะ ๆ นะจ้ะ

:katai2-1:

ปล.ลงแบบนี้ผิดกฏหรือเปล่าค่ะ ถ้าผิดเดี๋ยวเราลบให้ค่าา
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-03-2017 19:48:29
แล้วก็จบ happy  :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 29-03-2017 19:58:19
มีข่าวประชาสัมพันธ์ค่าาา เชิญทุกท่านอุดหนุนผลงานเรื่อง Night Knight อัศวินรัตติกาลของเราได้ที่

สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 45

ณ บูท Y06 ห้องบอลรูม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เริ่มจำหน่าย
วันที่ 30 มี.ค. - 9 เม.ย. เวลา 10.00 - 21.00 น.
(สำหรับบูธเบเกอรี่ แถมโปสเตอร์ จำนวนจำกัดค่าาา)

นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายที่บูธ บูทบลีส N28 โซน C ล่าง

อย่าลืมมาอุดหนุนกันเยอะ ๆ นะจ้ะ

:katai2-1:

ปล.ลงแบบนี้ผิดกฏหรือเปล่าค่ะ ถ้าผิดเดี๋ยวเราลบให้ค่าา

ไม่ผิดคะ  ลงจนถึงตอนจบแล้ว สามารถ ปชส. การรวมเล่มได้
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 30-03-2017 19:10:08


ช็อคแปป

แบบว่า.....

พูดไม่ออก

แต่ก็อ่านต่อ

คิดในใจว่า

เดี๋ยวเวลอร์ก็กลับมา

หรือไม่ก็พบกันในชาติต่อไป

แต่สุดท้ายก็......

มีความสุขกันไป

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 31-03-2017 02:34:49
ขอบคุณเรื่องที่สนุกแบบนี้ค่ะ ลุ้นมากกับตอนจบ แอบน้ำตาซึมดีใจที่มีเรื่องนี้ค่ะ อย่างที่ว่าวายแฟนซีหาอ่านยาก ชอบทุกคู่ค่ะแต่แอบอยากได้ตอนพิเศษของพริมกับหมอค่า แบบหมอที่มีร่างคิเมร่าเป็นงูมันจะร้อนแรงแค่ไหน 555 หวังว่าเวกับฟาร์จะไม่น้อยใจนะที่ตอนแรกชอบมาก แต่เจอคุณหมอโฮเชียเท่านั้นใจปลิ้วเลยค่ะ :hao7: ยังไงก็จะตามเรื่องอื่นๆค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 31-03-2017 09:02:40
แอบชอบตอนจบ 5555

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-04-2017 12:43:48
^^
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 02-04-2017 09:23:15
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 02-04-2017 16:22:25
อ่านจบแล้วเย่ ในที่สุดดด ฮืออออ เหนื่อยมากเลย สนุกมากค่ะ ตามตั้งแต่ลงตอนแรกๆ แล้วหายไปสักพัก พึ่งมาตามอ่านจนจบสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 02-04-2017 22:39:13
 ขอบตุณเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 03-04-2017 12:13:35
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 03-04-2017 16:41:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 07-04-2017 00:52:49
สนุกมากค่า
มีบางตอนไม่เชื่อมกันบ้าง
แต่โอเคนะ
รออ่านตอนพิเศษของแต่ละคู่นะคะ
มาต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: natt lUcky ที่ 12-05-2017 19:30:19
ดีใจมากก ในที่สุดเวก็กลับมาหาฟาซะที
รอตอนน้องฟามีความสุขนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Kanyanat ที่ 13-05-2017 19:47:44
สนุกกกกกก เพิ่งเข้ามาอ่านวันนี้ วันเดียวจบเลย  :hao5: :hao7:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 13-05-2017 20:19:02
 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) บทที่ 40 End p.14 29/3/2017
เริ่มหัวข้อโดย: eiweiw ที่ 13-05-2017 23:16:23
 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme Part1/2 P.15 6/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-06-2017 21:02:09
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme Part1/2 P.15 6/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 09-06-2017 22:37:26
แง้ อยากอ่านต่อ ค้างง่ะ
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-06-2017 11:05:12
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 11-06-2017 22:35:24
 o13
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 12-06-2017 13:01:44
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-06-2017 20:16:02
 :z1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: Persephone ที่ 13-06-2017 21:59:03
 :pighaun: o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 14-06-2017 13:18:00
ดีต่อใจ :haun4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 14-06-2017 16:33:03
อ่านจบแล้วขอบคุณส่ำหรับนิยายดีดีนะคะ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 15-06-2017 15:57:26
ขอบคุณนะคะ
สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 16-06-2017 14:46:44
กลับมาอ่านตอนพิเศษของพรีมค่ะ  :hao7: คู่ต่อไปเอาฟาเรสกับวอลนะคะ แบบว่าต่อจากที่วอลหายไปสามปีแล้วกลับมาจากโลกอีกมิติค่ะ พอฟาเรสหายจากเป็นรูปปั้นแล้ว หลังจากนั้นทั้งสองจะเป็นยังไงต่อค่ะ เดาว่าฮันนีมูนรอบโลกให้หายคิดถึงกันและกัน อรั้ยยยยย :ling1: รีเควสค่ะรีเควส 
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 20-06-2017 10:58:29
กรี๊ดดดดดดดดดดดด

ตอนนี้มันฟินมากกกกกกกก

พิเศษสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ต่อไปคู่ใครก็ได้  เรารับได้หมด
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 15-11-2017 04:03:47
คู่หลักมันเหมือนไม่สมบูรณ์ รอตอนพิเศษคู่หลักครับ  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 23-11-2017 01:51:46
อดหลับอดนอนอ่านกันเลยทีเดียว สนุกมากกก
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  :L1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: 13love32108 ที่ 02-12-2017 22:48:56
ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนมา ถึงได้มาเจอเรื่องนี้เอาตอนที่จบแล้ว อ่านเพลินมากค่ะ สนุกมากจนอยากให้มีตอนต่อๆไปอีก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: sakuraki ที่ 08-02-2018 05:12:42
พึ่งอ่านไปนิดเอง สนุก แต่ง่วง นอนแปบ มาอ่านต่อสนุกชอบ
หัวข้อ: Re: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-06-2018 10:57:22
 :pig4: :pig4: :3123: