บทที่ 39
[/b]
เนิ่นนานที่เวลอร์ไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด รอยแยกของมิติขนาดใหญ่บนท้องฟ้าเหนืออินเวียโนทำให้เมืองที่เคยงดงามดุจสรวงสวรรค์มืดดำไม่ต่างจากดินเดนแห่งความตาย กลิ่นสาปของเหล่าอันเดธรับรู้ได้แม้อยู่ไกลบนเนินเขาข้างนอกเมือง
"ดูสิ่งที่เจ้านั่นทำกับบ้านเราสิ" เดปเอ่ยอย่างเจ็บแค้น ริคัทโต้เคยเป็นคนที่เขาเคารพ ไม่นึกเลยว่าคนคนนี้จะแอบซ่อนความชั่วร้ายไว้ในใจ
เสียงฝีเท้าของสัตว์มุ่งตรงมาที่พวกเขา เสือโคร่งตัวใหญ่หยุดอยู่ตรงหน้าก่อนที่มันจะคืนร่างเป็นคน คิเมร่าตนนี้อาสาเข้าไปสอดแนมใกล้ ๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะบุกเข้าไป
"เป็นยังไงบ้าง พวกมันมีประมาณเท่าไร" เวลอร์เอ่ยถาม
"พวกมันมีเยอะกว่าพวกเรามาก เท่าที่กระผมประมาณการคงหลักหมื่น" สิ้นคำตอบนำเสียงฮือฮาให้ดังขึ้น
"จะเอาไง" ไมเรคเอ่ยถามพลางครุ่นคิด แม้ศักยภาพในการต่อสู้ที่วัดกันต่อหน่วย พวกเขาแข็งแกร่งกว่าอันเดธเหล่านั้นมาก แต่ด้วยจำนวนที่ต่างมันก็ดูเสี่ยงอยู่ดี
"ครั้งหนึ่งเราเคยพลาดจึงไม่อยากดึงดันทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบ เราให้พวกท่านเลือก ว่าจะถอยหรือไปต่อ"
"เรามากันถึงขนาดนี้แล้วจะให้กลับก็เสียดาย"
"ใช่ ถึงเราไม่บุกเข้าไปแล้วถอยกลับ ริคัทโต้ก็ต้องตามล่าเราอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว"
"ถ้าเราถอยกลับตอนนี้ที่ฝึกกันมาก็เสียเปล่า"
"ฉันเห็นด้วย"
"ฉันก็ว่างั้น" ก่อนที่คนอื่น ๆ จะเริ่มออกความเห็นตามมาซึ่งทั้งหมดก็เลือกที่จะสู้ต่อ
"งั้นสรุปแบบนี้ เป้าหมายของเราคือปิดรอยแยกที่อยู่บนฟ้านั่น ซึ่งฟาเรสต้องใช้พลังมหาศาลในการปิดมัน จำเป็นต้องมีสื่อกลางนั่นก็คือคริสตัลที่อยู่ใจกลางปราสาทในเขตพระราชวัง เราต้องยึดพระราชวังให้ได้"เวลอร์อธิบาย พลางมองไปยังคริสตัลขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดของหอคอยสูงเฉียดฟ้าตรงหน้า
"เราจะบุกเข้าไปพร้อมกัน จับกลุ่มกันไว้ห้ามแตกกลุ่มเพราะมันจะทำให้เราเสียเปรียบ ถ้ายึดข้างในได้เราจะทำการป้องกันจากภายใน ส่วนริคัทโต้และพวกฟอสโก้ทุกคนจับตายถ้าจำเป็น"
"ท่านเวลอร์เราได้ยินมาว่ามีชาวเมืองบางคนถูกจับเป็นทาส ขังไว้ที่นั่น" เดปรายงาน
"เราจะแบ่งส่วนหนึ่งตามหาและปล่อยพวกเขา ทุกคนเตรียมตัว คิเมร่าคนไหนมีร่างเป็นสัตว์ใหญ่ให้จับคู่กับที่ที่กลายร่างไม่ได้ ให้พวกที่มีผิวเกราะอยู่ชั้นนอก คนด้านในโจมตีเสริมไปรอบด้าน หากพร้อมแล้วเราจะเข้าไปที่นั่นพร้อมกัน" สิ้นคำทุกคนในทัพต่างหาตำแหน่งยืนของตัวเอง บางคนกลายร่างเป็นสัตว์ บางคนขึ้นขี่หลังคิเมร่าที่อยู่ใกล้พร้อมนัดแนะกัน
ฟาเรสมองภาพกองทัพไวโซลที่ไกลออกไปก่อนหันกลับมองหน้าคนรัก ดวงตาสีครามสั่นไหวเต็มไปด้วยความประหม่าและหวาดกลัว เวลอร์รวบเอวบางมากอดไว้พลางลูบหลังเบา ๆ
"ไม่ต้องกลัว ฉันจะไม่ยอมให้ใครถึงตัวนายเลยฟาร์"
"แล้ว รอยแยกนั่น ฉันคงปิดมันด้วยตัวคนเดียวไม่ไหวแน่" ครึ่งเอลฟ์รับรู้ได้ถึงเสียงที่สั่นของตัวเอง ไอ้พลังบ้าบอที่เขามีคือต้นเหตุของทุกอย่าง ทำไมนะทำไมเขาไม่เกิดเป็นคนธรรมดา
"ฉันรู้ ๆ อีกไม่นานโอซี่จะกลับมาพร้อมคนที่ช่วยได้ สิ่งที่ฟาร์ต้องทำ คือทำให้ดีที่สุด แต่ถ้ารู้สึกไม่ไหวก็ให้หยุด ถึงชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ชีวิตของฟาร์นั้นสำคัญที่สุดสำหรับฉันรู้ไหม" คิเมร่าหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม "สร้อยฟา ถอดมาให้ฉันหน่อย"
"อะนี่" ฟาเรสถอดสร้อยทับทิมก่อนใส่ให้คนตรงหน้าแทน "เอาไปทำไม"
"ฉันจะคืนร่างส่วนฟาร์ขี่หลังฉันไปนะ ถ้าฉันไม่สั่งห้ามลงจากหลังฉันเด็ดขาด พยายามอย่าใช้พลังพร่ำเพื่อ เข้าใจไหม"
"อื้อ" เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ
เวลอร์ถอยห่างไปหลายก้าวก่อนจะคืนร่างเป็นคิเมร่า สร้อยทับทิมกลายเป็นปลอกคอทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีลายดวงอาทิตย์ตรงกึ่งกลาง สร้อยของแม่นี่่มันวิเศษจริง ๆ ร่างใหญ่นั้นหมอบลงตรงหน้า ฟาเรสจึงจับแผงคอหนาปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคอ ก่อนจะรับเอาหน้าไม้ที่มีคนยื่นให้พร้อมกระบอกใส่ลูกมาสะพาย
"เฮ้ย!!!" ฟาเรสร้องลั่นเมื่อ ๆ จู่เวลอร์ก็ลุกขึ้น ดีนะคว้าปลอกคอไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป "เวอย่าแกล้งสิ"
-หึ ๆ- เสียงหัวเราะถูกใจดังขึ้นในหัว
"ทุกคนพร้อมนะ" เรน่าที่อยู่บนหลังเดปตระโกนถาม ได้ยินเสียงตอบรับและเสียงคำรามตามมาก่อนที่ทุกชีวิตจะมุ่งหน้าเข้าสู้อินเวียโน่อย่างพร้อมเพรียง
เหล่าไวด์โซลต่างโถมเข้ามายังพวกเขา ฟาเรสมองไปรอบกายอย่างลุ้นระทึกเขาไม่เคยเห็นพวกมันอยู่รวมกันมากมายขนาดนี้ บางตัวใส่เสื้อเกราะและมีอาวุธครบมือ บางตัวเปลือยเป่าใช้กงเล็บและคมเขี้ยวเป็นอาวุธ ดูยังไงคนธรรมดาคงยากจะต่อกรกับมัน เสียงคำรามกรีดร้องของอันเดธดังระงม ร่างของมันหลายตัวกระเด็นไกลไปในอากาศในการสะบัดหางเพียงครั้งเดียวของโฮเซีย งูยักษ์สีดำเลื้อยเบิกทางนำทัพไปตรงหน้า ตามด้วยเหล่าคิเมร่าหลากสายพันธ์ที่คอยกัดขย้ำพวกมันเป็นชิ้นๆ
"ตอนนี้พวกมันคงอาละวาดไปทั่วเอสทีเรียด ถ้าเราไม่รีบหยุดมัน หายนะแน่" ไมเรคที่อยู่บนหลังหมีดำตระโกนบอก พลางยิงลูกดอกเวทย์ปักหัวไวด์โซลหลายตัวตรงหน้า
"เข้าไปในปราสาทให้ได้ก่อนไหม"ฟาเรสตอบโดยที่มือยังไม่หยุดยิงเช่นกัน
กรรร!!! เสียงคำรามกึกก้องไปทั่วฟ้าก่อนจะปรากฏร่างมังกรสีดำทมิฬบินทยานขึ้นเหนทอสนามรบ ปากใหญ่อ้ากว้างโชวคมเขี้ยวก่อนจะพ่นไฟลงมาที่พวกเขา หากแต่ไฟนั่นกลับดูดับลงไปเพราะบาเรียน้ำแข็งที่เวลอร์สร้างขึ้น
-ฟาร์ ไปกับมอแกน- สิ้นเสียงของเวลอร์ที่ดังขึ้นในหัวก็ถูกมอร์แกนในร่างเหยี่ยวโฉบขึ้นจากหลังคนรัก
เมื่อมั่นใจว่าฟาเรสพ้นทางเวลอร์ก็พุ่งทะยานใส่เจ้ามังกรยักษ์ทันที กรงเล็บคมเฉียดหน้ามันไปเพียงคืบก่อนที่เขาจำต้องหลบหางที่ปกคุมไปดด้วยหนามของมันที่ฟาดลงมาทำให้เสียจังหวะในการบินไปบ้างแต่ยังคงเดินหน้าโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งเขี้ยวทั้งเล็บไม่เว้นแม้กระทั้งพลังเวทย์เกิดเป็นแสงสว่างวาบในทุกครั้งที่โจมตี เสียงคำรามเสียงประทะกัมปนาทราวกับเสียงสายฟ้าในยามเมฆฝนมาเยือน
"เหอะ กว่ามันจะมาถึงฉันละกลัวจะเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ" ริคัทโต้กล่าวเย้ยหยันพลางทอดมองสงครามตรงหน้าด้วยความลำพองใจ หากแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้ากลับหุบลงเมื่อบนฟ้าปรากฏเรือบินขนาดของเอแวนการ์ดสองลำกำลังมุ่งเข้ามา กำลังพลนับพันโรยตัวลงมาสู่เบื้องล่างเข้าประทะกับพวกไวด์โซล ก่อนจะตามมาด้วยทัพของเหล่่าออคที่ตีเข้ามาจากทางด้านใต้้ ของเมือง
"ฝ่าบาท ทำจะทำยังไงกันดี"
"ฉันไม่ยอมหรอกน่าา" ดวงตาสีครามกราดเกรียว เอลฟ์หนุ่มวาดมือขึ้นบนฟ้า รอยแยกดำทะมึนหมุนวนอันเดธนับพันตนล่วงหล่นลงมา
"พอเถอะ หากฝืนใช้พลังมากกว่านี้จะแย่เอานะ" นายทหารคนสนิทปราม
"เจ้าอย่ามายุ่ง" ริคัทโต้ตอบกลับ คนอื่น ๆ จึงได้แต่ยืนมองด้วยความเห็นห่วง
เหล่าไวด์โซลถึงแม้จะมีมากแต่ก็มีเพียงพละกำลังและสัญชาติญาณเป็นตัวนำทาง ไม่อาจต้านทานต่อเหล่าทหารหาญที่ถูกฝึกมาอย่างดีีและในไม่ช้าพวกเวลอร์ก็สามารถพังกำแพงรอบปราสาทแห่งอินเวียโนได้สำเร็จ ภายในมีพวกฟอสโก้รอต้อนรับพร้อมอาวุธครบมือ ด้วยพื้นที่ที่แคบลงหลายคนจึงกลับสู่ร่างมนุษย์คว้าเอาอาวุธใกล้มือมาใช้
"ทางนี้ท่านฟาเรส" เรน่าวิ่งทำไปจนถึงบันไดวนที่พาไปสู่ยอดหอคอย คนของฟอสโก้ที่วิ่งตามมาถูกกันไว้ข้างหลัง
ดวงตาสีครามมองบันไดวนที่สูงขึ้นไปจนลับตาพลางถอนใจก่อนจะวิ่งขึ้นไปตามทาง ความกดดันเพิ่มขึ้นในทุกขั้นที่ก้าวขึ้นไป เจ้าริคัทโต้คงรออยู่บนนั้น ฟาเรสทั้งอยากและไม่อยากเผชิญหน้ากับมันในเวลาเดียวกัน เพราะใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจก็อยากจะเอาคืนทุกสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทั้งพ่อ แม่(เลี้ยง) ออรี่และออร่า ชีวิตที่สงบสุขที่ถูกพรากไป ต่อใหเจ้านั่นตายก็ไม่รู้จะเพียงพอความคับแค้นของเขาหรือเปล่า
"ไงไอ้หลานรัก" ริคัทโต้เอ่ยต้อนรับเสียงระรื่น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นฟาเรสจริง ๆ ไม่ใช่ในนิมิตรหรือภาพถ่าย เจ้าเด็กนี่เหมือนตัวเขาเมื่อยังเยาว์ไม่มีผิด ทั้งสีผมสีตาและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"หึ ฉันไม่ใช่ญาติแก แค่คิดว่ามีสายเลือดเดียวกับปิศาจแบบแกก็รับไม่ได้แล้ว" ฟาเรสเถียง พลางมองเอลฟ์ตรงหน้าอย่างเคียดแค้น
ด้านหลังของริคัทโต้คือคริสตัลบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ซึ่งกำลังหมุนวนอยุ่บนแท่นศิลา รอบๆ นั้นเต็มไปด้วยลูกสมุนที่พร้อมจะโจมตีในทุกเมื่อที่ถูกสั่ง
"ปากดีจริง ๆ เหมือนแม่แกไม่มีผิด ไอ้น้องไม่รักดีนั่น เห็นผัวดีกว่าพี่"
"ก็พี่มันเลวใครมันจะไปเห็นด้วยวะ" ฟาเรสตะโกนลั่น แต่ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย ร่างของคิเมร่าก็บินโฉบลงมาขวางไว้ทันทีแล้วร่างนั้นก็ค่อย ๆ กลับกลายเป็นมนุษย์
"อย่าลืมหน้าที่ตัวเองฟาร์" เวลอร์เอ่ยเตือน ร่างเปลือยเปล่านั่นค่อยๆ ปรากฏเกราะน้ำแข็งพร้อมดาบใหญ่ในมือ
"แต่..."
"จัดการรอยแยกนั่นซะ ส่วนเจ้าบ้านี่ฉันจัดการเอง"
"ชิ..."
"เอาละมาทำให้เรื่องมันจบ ๆ ไปเสียที"
"ไม่ได้เล่นกับแกนานแล้วสินะ" ริคัทโต้ยิ้มสนุก พลางสร้างดาบสีดำมาถือไว้สองมือ "โคตรคิดถึงแกเลยวะเพื่อน"
แล้วทั้งคู่ก็เปิดฉากประทะกัน ทุกการฌจมตีเป็นไปอย่างว่องไวจนคนรอบข้างมองตามแทบไม่ทัน ยากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเข้าเป้าเพราะริคัทโต้และเวลอร์นั้นเติบโตมาด้วยกันจึงรู้ทางของอีกฝ่ายดี
ฟาเรสวิ่งไปยังฐานของคริสตัลโดยมีคนรอบข้างคอยคุ้มกัน เด็กหนุ่มบอกตัวเองไอ้ตั้งสมาธิกับสิ่งตรงหน้า พยายามตัดความวุ่นวายรอบกายออกไป
"เชื่อใจพวกฉันนะ" มาวิคที่ตามมาทันเข้าคุ้มกันให้พวกฟอสโกไม่ให้เข้าใกล้เพื่อน
"อืม" มือเรียววางลงบนคริสตัลเย็นเฉียบก่อนจะถ่ายลังทั้งหมดลงไป ลำแสงสีขาวถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าใจกลายรอยแยก เมฆสีดำหมุนวนจนเกิดเป็นพายุไปกระจายไปรอบ ๆ รอยแยกระหว่ามิติลดขนาดลงช้า ๆ
ริคัทโต้ตั้งรับคมดาบที่เวลอร์ฟาดลงมา อาศัยจังหวะที่เวลอร์เผลอสาดพลังไปทางที่ฟาเรสอยู่ โชคดีที่โฮเซียกันไว้ได้ทันแต่นั่นก็ทำให้คิเมร่าหนุ่มเสียจังหวะไปจนถูกเตะกระเด็นไปอีกทางและเขาไม่รอช้าที่จะตามไปซ้ำจนอีกฝ่ายล้มลง
ฉึก...ดาบสีดำแทงเข้าท้อเวอลร์อย่างจัง พลังเวทย์ที่ไหลมาจากดาบทำให้ความเจ็บปวดเล่นริ้วไปทั่วร่าง
"อย่าวอกแวกสิเพื่อน สู้กับฉันไม่ระวังตัวจะตายเอา...
อัก!!!" ริคัทโต้แซวยังไม่ทันจบร่างก็ถูกถีบกระไปชนกับเสา
"บอกแต่คนอื่น วู้! ไม่ได้เรื่อง" โอซี่ว่า ก่อนจะหันไปดึงเพื่อนตัวเองให้ลุกขึ้น "โทษทีมาสาย"
"คอเนเลียสละ" เวลอร์ถามพลางดึงดาบออกจากจากตัว
"โน่นไง คนแก่นี่ลีลาชะมัดกว่าจะลากออกมาได้" โอซี่บ่นพลางชี้ไปทางเจ้าของชื่อที่เข้าไปช่วยฟาเรสอีกแรง ปลุกขึ้นมาจากโลงก็งอแงจะไม่ยอมมาบอกไม่ใช่หน้าที่เป็นเรื่องที่กษัตริย์ปัจจุบันต้องจัดการ แต่ไอ้คนก่อเรื่องก็ลูกหลานตัวเอง สืบทอดพลังมาจากตัวเอง กว่าจะลากมาด้วยได้โอซี่เกือบได้ทุบหัวอุ้มมาแต่ก็ยังเกรงใจว่ายังไงคอเนเลียสก็เป็นกษัรติย์ของอินเวียโนอีกคน
"ไหนตัวปัญหาขอดูหน้าชัด ๆ หน่อย" ครึ่งออคหันไปมองริคัทโต้ที่ล้มกลิ้งไปด้วยฝีเท้าของเขาเอง
"หน๋อยย ไอ้เด็กนี่" ตัวปัญหาที่ว่าลุกขึ้นชี้หน้าด้วยแรงอารมณ์ "อวดดีชะมัด"
"ก็แล้วไง" โอซี่ยียวน แล้วสองสหายก็เปิดจากโจมตีใส่ริคัทโต้พร้อม ๆ กัน จะว่ารุมก็ใช่ ในสงครามไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ อย่างน้อยพวกเขาก็สู้ซึ่ง ๆ หน้า ไม่ได้รอบกัดเสียหน่อย ลำพังต่อกรกับเวลอร์คนเดียวว่ายากแล้วพอมีโอซี่เพิ่มเข้ามายิ่งทำให้ตึงมือขึ้นไปอีกเมื่อรวมกับก่อนหน้าที่เขาใช้พลังในการเรียกเหล่าอันเดธทำให้ล้าไวกว่าที่ควรจะเป็น
เคร้ง!! ดาบในมือของเอลฟ์หนุ่มถูกปัดกระเด็นไปไกล ดวงตาสีครามมองตามอาวุธที่แหลกสลายของตัวเองพอหันกลับมาก็เจอกับคมดาบของเวลอร์จ่อคออยู่
"จะหยุดทุกอย่าง หรือตายอยู่ตรงนี้" เวอลร์ถาม ดวงตาสีอำพันคมกล้า
"เหอะ คิดว่ามันจบแค่นี้หรอ" การยอมรับในความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่คนอย่างริคัทโต้ทำไม่ได้และไม่คิดจะทำเขาเตรียมทุกอย่างมาเพื่อวันนี้ จะให้หยุดงั้นเหรอ ตลกสิ้นดี
ฟึบ!! สายลมกรรโชกแรงจากร่างใหญ่ที่พุ่งทยานขึ้นมาจากเบื้องล่าง เวลอร์มองตามมังกรสีดำที่โฉบผ่านหัวตนไปอย่างตกตะลึง ทั้งที่เขาคิดว่าจัดการมันไปแล้ว ร่างกายที่เคยถูกเขาขย้ำจนยับเยิน บัดนี้กลับมาสมบูรณ์ราวกับว่ามันไม่เคยบาดเจ็บใด ๆ มังกรดำบินสูงก่อนพ่นไฟสาดลงมาโดยไม่สนว่าใครเป็นใคร เล่นเอาหลายชีวิตบนยอดหอคอยแตกกระเจิงไปคนละทาง บางคนหลบไม่พ้นถูกไฟคลอกกลายเป็นเถ้าถ่าน
"ถ้าฉันต้องตาย ก็ตายกันหมดนี่นั่นละ ฮ่าาาาาๆ" ริคัทโต้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
"แกเป็นคนควบคุมมันใช่ไหม" โอซี่กระชากคอเสื้ออีกคนขึ้นมาถาม
"เหอะ เจ้ามังกรนั่นนะเหรอ ไม่มีใครคุมมันอยู่ได้หรอก แกนี่เพ้อนะ" ผลัก!!! หมัดหนักๆ อัดเข้าเต็มหน้าของเอลฟ์หนุ่ม "ฮ่าาาา แคก ๆ แล้วจะบอกอะไรให้เอาบุญนะ มันฆ่าไม่ตายวะ"
"แต่แกตายได้ใช่ไหม" เวลอร์ถามเสียงเรียบ ดวงตาสีอำพันเย็นเยียบไปถึงใจ ดาบในมือปักลงบนอกของริคัทโต้จนมิดด้ามในทีเดียว ครั้งก่อนที่เขาแพ้ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเก่ง แต่เพราะไว้ใจจึงพลาดท่า
เวลอร์มองภาพชุลมุลวุ่นวายตรงหน้า สอดส่ายสายตาหาตัวฟาเรส ท่ามกลางไฟที่พ่นลงมาอย่างบ้าคลั่ง คนส่วนหนึ่งอยู่ใต้เกราะกำบังที่คอเนเรียสสร้างขึ้น อีกส่วนวิ่งหลบไปมา พลันสายตาก็หันไปเห็นร่างบางที่นอนนิ่งท่ามกลางผู้คน
ฟาเรสลุกขึ้นนั่งแบบมึนงง เขากำลังจดจ่อกับคริสตัลตรงหน้ารู้ตัวอีกทีลูกไฟก็หลนมาตรงที่ยืนโชคดีที่ใส่เสื้อคลุมของวาลาคัสเลยไมบาดเจ็บอะไร แต่ก็กระเด็นไปหลายเมตรทำเอาจุกไม่น้อย เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติหูอื้อไปหมด จนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบด้าน
"ฟาร์ หลบ" เสียงตะโกนของเวลอร์เรียกสายตาให้หันมอง ร่างสูงกำลังวิ่งมาทางเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก พอเงยหน้ามองบนฟ้าก็พบว่ามังกรดำกำลังพุ่งดิ่งมาที่เขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีแดงฉานของมันตรึงเขาไว้ตรงนั้น แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถูกขย้ำเข้าอย่างจังก็ถูกบังไว้ด้วยร่างของคิเมร่าตัวโตที่โดดมาขวางไว้ได้ทันท่วงที
คมเขี้ยวฝังเข้าเต็มหลังของเวลอร์ทำเอาเลือดสีเข้มไหลอาบไปทั้งร่าง เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังก้องของคนรักทำเอาฟาเรสน้ำตาคลอ คิเมร่าพยายามหยัดยืนสู้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มทับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างใต้
-ไปที่คริสตัล ปิดรอยแยกซะ- เสียงของเวลอร์ดังขึ้นในหัว เพราะเสียเลือดไปมากทำให้เขาเริ่มอ่อนแรงจึงตัดสินใจดันทั้งตัวเองและมังกรดำจนล้มกลิ้งตกลงไปจากหอคอย
"นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องอื่นนะหนุ่มน้อย" คอเนเลียสเดินมาดึงฟาเรสลุกขึ้น "เจ้านั่นดูแลตัวเองได้เชื่อสิ"
เหมือนภาพที่กลับมาฉายซ้ำเมื่อเวลอร์ต้องกลับมาสู้กับเจ้ามังกรยักษ์อีกครั้ง กลิ่นสาปจากตัวมันบอกให้รู้ว่ามันมากจากอีกมิติหนึ่ง คิเมร่าหนุ่มฟาดกรงเล็บเข้าเต็มสันคอของอีกฝ่าย แต่บาดแผลนั่นกลับสมานกันทันตา ไม่ว่าจะโจมตีไปมากแค่ไหนมันก็ฟื้นคืนมาได้เสมอจนเขาเริ่มเหนื่อย ร่างใหญ่สองร่างปะทะกันอย่างแรงจนกลิ้งไปกับพื้น ราชาคิเมร่าไม่ได้อยู่คงกระพัน อาการบาดเจ็บทำให้พละกำลังเริ่มถดถอยขืนสู้ต่อไปเรื่อย ๆ เห็นทีจะตายเปล่า
ภาพของผู้คนมากมายที่บาดเจ็บล้มตายอยู่รอบตัวช่างสะเทือนต่อจิตใจ สงครามไม่เคยมอบสิ่งดี ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างก็ต้องสูญเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายมามากพอและเขาต้องหยุดมัน ดวงตาสีอำพันมองรอยแยกมืดดำบนท้องฟ้าที่จวนเจียนจะปิดสนิท เจ้ามังกรนี่ฆ่าไม่ตายทางเดียวที่จะทำได้คือส่งมันกลับไป คิดได้ดังนั้นเวลอร์อาศัยจังหวะที่เจ้านั่นยังล้มกัดเข้าตรงปีกแล้วออกแรงลากมันบินขึ้นไปด้วยกัน เขามองพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จวบจนยอดหอคอยปรากฎตรงหน้า ชั่ววินาทีที่ได้สบกับดวงตาสีครามที่มองมาเหมือนเวลามันหยุดนิ่ง ฟาเรสจะผ่านมันไปได้และคนสำคัญของเขาต้องปลอดภัย
ร่างยักษ์สองร่างถูกกลืนหายไปในรอยแยกสิดำ ฟาเรสหยุดมือในสิ่งที่ทำด้วยความตระหนก แต่รอยแยกยังคงปิดตัวลงเรื่อย ๆ เพราะคอเนเลียสยังคงดำเนินทุกอย่างต่อไป
"อย่าเพิ่งปิด เว เวหลุดเข้าไปในนั้น หยุดนะ หยุด" เด็กหนุ่มตะโกนลั่น
"จับเด็กนั่นไว้" คอเนเลียสเอ่ยปากสั่ง เรน่ากับเดปจึงดึงตัวเด็กหนุ่มไว้ เขารับรู้ในสิ่งที่เวลอร์ต้องการเพราะครั้งหนึ่งเขาก็คือผู้ปกครองอาณาจักรนี้เช่นกัน
"ไม่อย่าาาา" ฟาเรสดื้นรนดึงดันจะเข้าไปยั้งคอเนเลียสให้ได้ แต่ก็ไม่อาจหลุดจากพันธนาการ
เด็กหนุ่มได้แต่มองตามรอยแยกระหว่างมิติที่ถูกปิดลงทั้งน้ำตา ท้องฟ้าเหนืออินเวียโนบัดนี้กลับมาสดใสสวนทางกับใจของฟาเรสที่มืดมิดไร้หนทาง ร่างบางทรุดนั่งลงช้า ๆ เจ็บปวดราวกับก้อนเนื้อในอกจะแตกสลาย ริคัทโต้ตายไปแล้ว รอยแยกถูกปิดไปแล้ว กองทัพไวด์โซลถูกทำลายไปแล้ว พวกเขาชนะ แล้วยังไงละสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยเมื่อปราศจากเวลอร์
ทำไม...ทำไมต้องเป็นเขาที่สูญเสียทุกที
...............................................
เราไม่ใช่คนใจร้ายเชื่อเราดิ