บทที่ 22
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งหมดเดินทางออกจากหมู่บ้านนักล่าสู่ดินแดนร้างโดยมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคือเจ้ามาสีน้ำตาลตัวโตที่ทำหน้าที่ขนสะเบียงอาหารและผ้าห่ม ฟาเรสมองไปรอบตัวอย่างสนใจ เส้นทางหุบเขาที่ทั้งสองข้างทางซ้ายขวาเป็นผาสูง ต้องลอดถ้ำบ้างเป็นบางคราว อากาศในนี้เย็นเยียบจับใจเพราะปราศจากแสงแดดส่องถึง เสียงสัตว์ที่ร้องดังตามรายทางดังก้องสะท้อนแว่วมาไกลๆ ที่นานๆ ครั้งจะได้ยิน เงียบสงัดมีเพียงเสียงเกือกม้ากระทบผืนดินเท่านั้นที่ยืนยันถึงสิ่งมีชีวิต ดินแดนร้าง ร้างสมชื่อจนพาลให้จิตใจหดหูตาม หากเดินทางมาคิดเดียวคงไม่วายสติแตกก่อนจะถึงที่หมาย
หุบเขาแห่งนี้คดเคี้ยวแถมยังมีทางแยกไปเรื่อยๆ ดุจเขาวงกต ถ้าเป็นคนอื่นๆ เข้ามาคงหลงตายในแห่งนี้ แต่พวกเขายังมีเจ้าชายแห่งเรดิเอนซี่ผู้ซึ่งแม้ไม่ได้มาเหยียบที่นี่ถึงหกเจ็ดปีแต่ก็ยังคุ้นเคยเพราะคือที่ให้กำเนิดตัวเองแถมเส้นทางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม พวกเขาเดินทางในตอนกลางวันและหยุดพักในตอนกลางคืน ฟางบางส่วนถูกขนมาสำหรับม้า กองไฟให้ความอบอุ่นถูกสร้างขึ้นจากเจ็ดที่ถูกถ่ายพลังเวทย์ใส่จนลุกโชน ส่วนเรื่องน้ำไม่ใช่ปัญหาเพราะเรามีคนที่สามารใช้พลังเวทย์บริสุทธิ์ได้ การรวบรวมน้ำในมวลอากาศจึงไม่ใช่เรื่องยาก เป็นอยู่แบบนั้นสองคืนหน้าที่นำทางจึงเปลี่ยนไปเป็นของลูน
"ลูนว่าน่าจะเป็นทางนี้" เจ้าเหมียวที่ตอนนี้อยู่บนม้าตัวหน้าสุดกับโอซี่ชี้ไปยังถ้ำขนาดใหญ่ที่มืดดำ ดูลึกและยาวไม่ใช่เพียงทางลอดดังเช่นที่แล้วๆ มา เจ้าเหมียวจดจำเส้นทางที่ลอเรนเฝ้าบอกมาเป็นอย่างดี ทั้งจากแผนที่และนิมิตที่ถูกถ่ายทอด
"รู้ได้ไงเนี่ย" พรีมถามอย่าสนใจ
"ก็มีอักขระเขียนยาวไปทางนั้น" คิเมร่าตัวน้อยว่าพร้อมยิ้มกว้าง พลางมองอักขระเรืองแสงบนผาที่เขียนยาวไปจนถึงผนังถ้ำแล้วเรียนหายไปภายใน ที่มีเพียงดวงตาสีม่วงอ่อนคู่นี้เท่านั้นที่เห็น คิเมร่าเผ่าแมวมีพลังที่โดดเด่นอยู่หนึ่งอย่างคือการหยั่งรู้ เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น "เป็นภาษาของอินเวียโนโบราณ จับใจความได้ประมาณว่า -ดินแดนแห่งความสงบ-"
"แต่พวกเราไม่เห็นอะไรเลยนะ"
"ลูนเป็นเผ่าแมว เป็นพวกมีตาทิพย์นะ" เวลอร์ไขข้อสงสัย เขารู้แต่แรกแล้วว่าทำไมท่าแม่เฒ่าลอเรนจึงอยากให้พาเจ้าเหมี๋ยวนี่มาด้วย
"คิเมร่าอย่างพวกนายนี่มันน่าทึ่งจริงๆ" พรีมบอกดวงตาเป็นประกาย นี่ถ้ากลับไปเล่าให้เซียฟัง ที่รักเขาคงขอให้เพื่อนกลายร่างให้ดูวันละลายสิบหน ยิ่งเจอลูนละก็คงจับฟัดแน่ บ้าแมวซะขนาดนั้น
"งั้นก็เข้าไปกันเถอะ" ไมเรคว่า พลางหยิบเจมอันใหญ่มาเกี่ยวไว้ที่อานมาแล้วถ่ายพลังลงไปจนเกิดแสงสว่างคนอื่นๆ จึงทำตาม
พวกเขาเดินลึกเข้ามากว่าสองชั่วโมง ลึกจนแสงภายนอกส่องมาไม่ถึง โชคดีที่โถงทางเดินมีขนาดใหญ่มากจึงนำม้าเข้ามาได้สบายๆ ไม่แปลกใจทากนี้จะถูกใช้เป็นเส้นทางอพยพของชาวอินเวียโนในอดีต ตามการบอกเล่าหลังจากเกิดสงครามภายในชาวเมืองจึงพากับเดินทางออกจากเมืองที่แสนวุ่นวาย ผ่านเทือกเขาเทเนบริสข้ามทะเลไซเลนซีเข้าสู่เรดิเอนซี่ทางตอนเหนือ ในยามนั้นชาวอินเวียโน่ไม่อาจไว้ใจใครได้เพราะคนที่ก่อกบฏอาจมีพักพวกอยู่ภายนอก คนที่เป็นผู้นำคารวานในตอนนั้นจึงเลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากใครแต่เลือกที่จะพาชาวเมืองทั้งหมดหลบซ่อนไปจากโลกที่แสนวุ่นวายสู่ดินแดนที่ยากจะเข้าถึง
"เหมือนจะมีคนมาต้อนรับแล้วละ" เวลอร์บอกพลางส่งสัญญาณให้ทุกชีวิตหยุด โอซี่่มองไปรอบๆ ประสาทสัมผัสเขาก็ดีไม่น้อยแต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงใครเลยละ ปกติหากเข้าใกล้ต้องรู้สึกได้แล้วสิ
"พวกคิเมร่าหรอเว" ฟาเรสหันไปถามคนรักที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง
"อืม"
กรรร...เสียงคำรามดังก่อนจะปรากฏฝูงเสือดำตัวใหญ่กว่ายี่สิบตัวล้อมเขาไว้ ดวงตาสีฟ้าสดดูผิดวิสัยอย่างดวงตาของเสือทั่วไปควรจะเป็น พยัคฆ์ร้ายย่างกรายเข้ามาใกล้ๆ ส่งเสียงขู่คำรามขับไล่
-ออกไปซะ-
-เรามาดี- เวลอร์พยายามเจรจา -มาตามหาชาวอินเวียโน เช่นพวกเจ้า-
-ไม่รู้หรอกนะว่าไปได้ข่าวมาจากไหน แต่ถอยไปซะ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่- หนึ่งในนั้นขู่คำรามพร้อมแยกเขี้ยวใส่ ตั้งท่าพร้อมกระโจนในทุกเมื่อ คนที่เหลือกระชับอาวุธพร้อมตอบโต้
-เอ่อ ป้าลอเรนบอกให้พวกเรามา- ลูนพูดขึ้นบ้าง เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นคิมิราเลยไม่อยากสู้กันเอง
-นักพยากรณ์หญิงนะหรอ อย่ามาโกหกน่าป่านนี้นางแก่ตายไปแล้วไอ้เด็กน้อย- เสือดำยังคงแสดงท่าทางคุกคามไม่ลดละ ใครจะเล่าจะรู้ภายใต้ท่าทางก้าวร้าวจิตใจพวกมันกำลังหวั่นเกรงกับความรู้สึกกดดันที่มันสัมผัสได้จากร่างสูงผู้มีนัยน์ตาสีอำพัน สัญชาติญาณเตือมันว่าคิเมร่าอีกตัวตรงหน้าเหนือกว่ามากโข แต่เพื่อบ้านมันก็จะสู้ไม่ถอย
-ยังไงก็ไม่ยอมให้ผ่านไปใช่หรือไม่- เวลอร์ถามเสียงเย็น พลางกวาดตามองรอบๆ อยางใจเย็น โถงถ้ำนี้ใหญ่พอจะแปลงร่างได้ก็จริง แต่ถ้าประทะแรงๆ อาจถล่มได้
"พอได้แล้วละ" ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้กระโจนใส่กันจริงๆ กลับมีอีกเสียงขัดขึ้นก่อนที่เอลฟ์ตนหนึ่งจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเดินแหวกฝูงเสือดำร่างใหญ่เข้ามาเผชิญหน้ากับพวกเขา หลังจากซุ่มดูเหตุการณ์อย่างเงียบเชียบมาครู่ใหญ่ จากคำบอกเล่าของผู้มาเยือนที่มีคิเมร่ามาด้วยถึงสองเช่นนี้ คนเหล่านี้อาจกำลังตามหาพวกเขาอย่างที่พูดจริง
"เอาละไหนลองอธิบายเหตุผลมาซิ ว่าทำไมเจ้าถึงตามหาชาว...เอ่อ" เอลฟ์ผู้มีผิวขาวจัดกับเรือนผมสีทองกวาดตามองผู้มาเยือนพลันสบสายตากับดวงตาสีอำพันคมกล้า เจ้าตัวรีบทรุดลงคุกเข่าให้ทันใดด้วยรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร "ขอประทานอภัยฝ่าบาท"
"ไง ไม่เจอนานเลยนะท่านดาเรียน" เวลอร์ว่าก่อนจะลงจากหลังม้า คำว่าฝ่าบาททำเอาทุกคนที่มาด้วยฉงน เว้นก็แต่ฟาเรสและโอซี่ที่รู้อยู่แล้ว คนที่เหลือจึงลงจากหลังมาตามเพราะไม่อยากค้ำหัวชาวเอลฟ์ที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเพื่อนเขา "ลุกเถอะท่าน"
"เจ้าพวกนี้ ตอนที่จากอินเวียโนมา พวกเขายังเด็ก จึงอาจไม่รู้จักฝ่าบาท ขอประทานอภัยในความก้าวร้าวของพวกเขาด้วยพะยะค่ะ"
-ขอประทานอภัยฝ่าบาท- ว่าแล้วเหล่าเสือดำพวกนั้นก็หมอบลงทำความเคารพให้เช่นกัน
"ท่านคือกษัตริย์เวลาเรียส พวกเจ้าจำไว้ด้วย"
"เอาน่า ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร โชคดีนะที่ไม่ต้องสู้กัน" เวลอร์ยิ้มน้อยๆ ให้เหล่าคิเมร่าเลือดใหม่
"แล้วคนเหล่านี้ละฝ่าบาท"
"เพื่อนของฉันเอง" เวลอร์บอก แล้วแนะนำทุกคนกับอีกฝ่าย
"พวกท่านคงเดินทางมาไกล กระหม่อมขอเชิญฝ่าบาทและพระสหายเสด็จไปพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อน ตามข้ามา"
ทั้งหมดเดินตามดาเรียนลึกเข้าไปในถ้ำ ทางเดินมืดๆ เริ่มปรากฏคริสตัลสีรุ้งประปราย ใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีก็มาถึงทางตัน ลูนมองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นเต้นเพราะในโถงถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยอักขระลวดลายมากมายเรืองรองเต็มผนังและเพดานที่คนอื่นมองไม่เห้น
"เราซ่อนทางเข้าจากโลกภายนอก คนที่จะเห็นมันได้มีไม่มาก ต้องเป็นพวกมีตาทิพย์หรือมีพลังพยากรณ์เท่านั้น" ดาเรียนอะอธิบายพลางหันมายิ้มให้เจ้าเหมี๋ยวที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับไปร่ายเวทย์ใส่ผนังหินที่แซมด้วยคริสตัลก่อนที่เหล่าคริสตัลนั้นจะเรืองแสงแล้วสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่นั่นจึ้งบิดเบี้ยวกลายเป็นประตูคริสตัลลายวิจิตรที่สูงกว่าสิบเมตร ดาเรียนผลักประตูบานยักษ์นั้นให้เปิดออกเผยให้เห็นดินแดนอัศจรรย์ตรงหน้า
"ยินดีต้อนรับสู่ไทวาส บ้านใหม่ของพวกเรา"
นี่มันสวรรค์ชัดๆ ฟาเรสคิด ดวงตาสีครามพยายามเก็บภาพทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าสู่สมองให้ได้มากที่สุด ท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้งและโหดร้าย ใครเล่าจะคิดว่าในดินแดนร้างจะมีหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ พื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยป่าเขียวชอุ่ม น้ำตกเล็กใหญ่ไหลลงจากผาสูงรวมกันเกิดเป็นทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตา เมืองขนาดกลางถูกสร้างอยู่ริมทะเลสาบ ด้วยสถาปัตยกรรมงดงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวอินเวียโนที่เน้นอาคารทรงสูงและยอดแหลม ให้ความรู้สึกโออ่าแต่ที่น่าทึ่งคือ เวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบปีพวกเขาสร้างได้ถึงขนาดนี้เชียวหรอ
ผู้มาเยือนถูกพามายังบ้านของดาเรียน ซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่อีกทั้งยังเป็นศูนย์บัญชาการของเมืองไทวาสแห่งนี้ มีอดีตองครักษ์สี่คนของเวลอร์ช่วยกันดูแล โดยแบ่งหน้าที่กันตามสัดส่วน ที่เมืองแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วเพราะชาวอินเวียโน่ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังเวทย์บริสุทธิ์ทำให้การสร้างสรรค์สิ่งใดจึงเป็นไปโดยง่าย
"ถวายบังคมฝ่าบาท" อดีตองครักษ์อีกสามคนที่ถูกดาเรียนตามตัวมารีบเข้ามาทำความเคารพนายเหนือหัวทันทีที่เข้ามาในห้องรับรอง
"พวกท่านนั่งเถอะ ไม่ต้องพิธีการอะไรมากมาย" เวลอร์ว่า พลางผายมือไปยังเก้าอี้ี่ยังว่างซึ่งถูกลากมาเพิ่ม เพราะลำพังโซฟาตัวยาวไม่เพียงพอต่อชายที่ตัวไม่ใช่เล็กๆ ทั้งหมดในห้องนี้ "พูดกับฉันปกติก็ได้ ฉันไม่ใช่กษัตริย์แห่งอินเวียโนอีกต่อไปแล้ว เมืองนั้นไม่เหลืออะไรแล้ว"
"แต่ฝ่าบาท ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด หรือต่อให้ท่าไม่ได้ปกครองเมืองใดท่านก็ยังเป็นเจ้านายของพวกเรา" ดาเรียนแย้ง เขาเป็นเด็กที่ถูกราชาคิเมร่าเก็บมาเลี้ยง ให้ชีวิตให้โอกาส ไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าก็คือเจ้าชีวิต องครักษ์คนอื่นๆ ก็คิดเช่นกัน
"งั้นก็ตามใจพวกท่านเถอะ"
"กระหม่อมได้ยินมาว่าฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์ไปแล้วในสงครามครั้งนั้น" ริบราชายร่างยักษ์ผู้มีร่างคิเมร่าเป็นกระทิงบอกกล่าวผู้เป็นนาย "กระหม่อมดีใจเหลือเกิน"
"ก็เกือบจะเป็นแบบท่านว่านั่นละ แต่ได้ฟาร่าฉันเลยรอดมาได้"
"แล้วองค์ราชินีละพะยะค่ะ"
"ฟาร่าเสียไปนานแล้ว หลังจากที่คลอดฟาเรสได้เพียงไม่กี่เดือนเพราะร่างกายเธออ่อนแอ นี่ฟาเรสลูกชายของเธอ" ร่างสูงแนะนำคนข้างกายต่ออดีตองครักษ์ทั้งสี่ "ลูกของฟาร่ากับคนที่นางรัก"
"อะ เอ่อ สวัสดีครับผมชื่อฟาเรสครับ" ร่างโปร่งบอกอย่างไม่มั่นใจ คนที่ขึ้นชื่อว่าเป้นราชินีกลับมีลูกกับชายอื่น คนเหล่านั้นจะมองเขายังไงนะ
"ลูกของท่านอินดิโก้สินะ ยังไงสุดท้ายพระองค์ก็ได้อยู่กับคนที่รัก" เรน่าเอลฟ์สาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เธออยู่ใกล้ชิดจึงรู้เรื่องภายในดี ว่าการแต่งงานนั้นมันคือหน้าที่ "ท่านเองก็มีพลังในการเปิดปิดรอยแยกเช่นกันสินะ"
"ครับ ผมทำแบบนั้นได้"
"สร้อยที่ท่านใส่รู้ไหมมันมีความหมายนะ" เรน่าว่าพลางชี้ไปที่สร้อยทับทิบรูปพระอาทิตย์บนลำคอขาว
"เอ๋ มีความหมายยังไงครับ"
"มันเป็นสร้อยประจำตระกูลของฟาร่า และเป็นสร้อยประจำตำแหน่งราชินีของอินเวียโน่ไงละ" ฟาเรสตาโตกับสิ่งที่รู้ ราชินีของเวลอร์ แค่คิดก็เขินแล้ว
"ฝ่าบาทตามหาพวกเรา ฝ่าบาทจะกลับมาอยู่กับพวกเราหรือเพค่ะ"
"ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เรน่าฉันยังมีเรื่องต้องสะสาง แค่อยากจะเห็นกับตานะว่าทุกคนสุขสบายดี ตลอดหลายปีมานี้ก็ได้แต่รอให้ร่างกายที่บาดเจ็บแข็งรองพอจะตามหาพวกท่าน เห็นแบบนี้ก็สบายใจ พวกท่านทั้งสี่เองก็เป็นผู้ปกครองที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีฉันหรอก" เวลอร์บอกออกไปจากใจจริง
"ฝ่าบาทจะกลับไปอินเวียโนไหมเพค่ะ"
"อาจจะ แต่พวกท่านอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว"
ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เป็นเรื่องความเป็นอยู่ของคนในเมืองนี้ เรื่องระหว่างทางตอนที่อพยพมา คนเก่าๆ ที่ยังอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือเวลอร์ไม่เอ่ยถึงอินเวียโน หรือเรียกร้องความช่วยเหลือใดๆ เลย ทั้งที่ตอนแรกเดินทางมาที่นี่เพื่อจะหากำลังคนเพื่อบุกเข้าไปสะสางเรื่องในอินเวียโน่แท้ๆ ฟาเรสได้แต่เก็บงำความสงสัยนั่นไว้ในใจ
"ที่นี่สวยจัง" ฟาเรสว่าพลางก้าวไปยืนเคียงข้างคนรักที่ยืนมองทิวทัศน์ของเมืองเบื้องหน้าอยู่ตรงระเบียงห้องพัก ซึ่งอาคารที่เขาอยู่สร้างบนเนินผาริมน้ำตก ทำให้มองเห็นทุกอย่างจากมุมสูง
"ทั้งสวยและสงบ แถมยังอยู่ในภูมิทัศน์ที่ปลอดภัย" เสียงทุ้มบอกเนิบๆ ดวงตาสีอำพันนิ่งสงบแต่เจือแววเจ็บปวดอยู่อยู่บางเบา "ตอนที่ท่านปู่สร้างอินเวียโน ท่านเองก็เลือกภูมิทัศน์ที่ปิดตายแบบนี้ ไม่มีใครระรานเราได้จากภายนอก เป็นที่ที่สมบูรณ์แบบและสงบสุข แต่สุดท้ายมันก็ถูกทำลายจากภายใน"
"คนเราไม่มีใครรู้อนาคตหรอกเว" ฟาเรสว่าพลางฉวยมือใหญ่มากุมไว้แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ปล่อยให้ความเงียบดำเนินอยู่คู่ใหญ่ร่างโปร่งจึงเอ่ยถามสิ่ที่สงสัยจั้งแต่มาถึงออกไป
"เรื่องกำลังคน ทำไมนายถึงไม่ขอให้พวกนั้นช่วยละ" เวลอร์หันมาสบตาร่างบางแล้วยิ้มให้
"เพราะมันเห็นแก่ตัว" เสียงทุ้มบอกก่อนมองออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง "ครั้งหนึ่งฉันเคยพาคนเหล่านี้เผชิญกับอันตราย ปล่อยให้บ้านของพวกเขาถูกทำลายโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย" คิดแล้วมันก็น่าอาย เขาปกครองอินเวียโนได้เพียงยี่สิบปีก็เกิดเรื่องเสียแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับท่านปู่ท่านพ่อที่ปกครองอาณาจักแห่งนั้นมาเป็นร้อยร้อยปี "ตอนนี้พวกเขามีบ้านใหม่ บ้านที่เขาช่วยกันสร้าง มีชีวิตสงบสุขกับมัน จะให้ฉันลากเขาของจากบ้านที่ลงทุนลงแรงสร้างเพื่อความต้องการของตัวเองคงทำไม่ได้"
"พูดอย่างกับนายจะบุกเข้าอินเวียโนคนเดียว"
"ถ้านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงต้องทำ" เวลอร์ตอบยิ้มๆ กษัตริย์ย่อมนึกถึงความสุขของประชาชนมาก่อนทุกสิ่ง นั่นคือสิ่งที่บรรพบุรุษเขาพร่ำสอนมา การที่อินเวียโน่กลายเป็นแบบนั้น การที่รอยแยกระหว่างมิติขนาดยักษ์นั่นถูกสร้างต่อให้มันจะมีผลต่อทั้งเอสทีเรียดในอนาคตแต่สาเหตุที่แท้จริงก็มาจากการที่เขาไว้ใจคนผิด ความผิดพลาดของเขา จะให้ชาวเมืองต้องมาเดือดร้อนได้อย่างไร
"นายไปคนเดียวไม่ได้หรอกเว" เสียงทักท้วงดึงตาคมให้หันมามองคนพูดแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย "เพราะฉันจะไปด้วย ทุกๆ ที่ ต่อให้เป็นอินเวียโน นรก สวรรค์ ฉันก็จะอยู่ข้างนาย" เสียงนุ่มหนักแน่นและจริงจัง นัยน์ตาสีครามมีเพียงเงาของเขาอยู่ในสายตา รัก...มันดีเสมอ ฟาเรสคือขุมพลังที่ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาก็พร้อมสู้อย่างไม่กลัวเกรง
"เฮ้ย!!!!" ฟาเรสร้องลั่นเมื่อจู่ๆ คนข้างกายหันมาช้อนอุ้มจนตัวลอยพลางก้าวยาวๆ ไปที่เตียง "เว...จะทำอ..."
"ก่อนไปอินเวียโน เราไป เที่ยวสวรรค์กันก่อนนะฟาร์" เสียงทุ้มบอก นัยน์ตาคมวาววับมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนเรียวปาก
......................................
-เขียน NC ดีมะ อยากเขียน หรือเนื้อเรื่องต่อโลด ขอโทษผู้อ่านทุกท่านที่ข้าน้อยหายยาวเพราะรับจ๊อบ เนื่องจากงานประจำรายได้ไม่เพียงพอ แม้หลวงจะบอกให้ไรท์พอเพียง
-อย่าเพิ่งเพื่อเค้านะค่ะ กระซฺกๆ
อยู่ด้วยกันนานๆ
-ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ อ่านเม้นแล้ว ยิ้มแก้มแตก คิคิ เหมือเจอเพื่อนใหม่